• เปิดเอกสารลับ “ทวี” เซ็นเองยกฎีกาตีตกคำขอพระราชทานอภัยโทษ "ทักษิณ" ยึดแนวคำสั่งศาลฎีกาจำคุก 1 ปี ตามกรมราชทัณฑ์เสนอ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000094250

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เปิดเอกสารลับ “ทวี” เซ็นเองยกฎีกาตีตกคำขอพระราชทานอภัยโทษ "ทักษิณ" ยึดแนวคำสั่งศาลฎีกาจำคุก 1 ปี ตามกรมราชทัณฑ์เสนอ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000094250 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเอกสารลับ "ทวี" เซ็นเองตีตกคำขอพระราชทานอภัยโทษ "นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ" ยึดคำสั่งศาลฎีกาจำคุก 1 ปี
    https://www.thai-tai.tv/news/21725/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #ทวีสอดส่อง #กระทรวงยุติธรรม #ยกฎีกา #การเมือง #ไทยไท

    เปิดเอกสารลับ "ทวี" เซ็นเองตีตกคำขอพระราชทานอภัยโทษ "นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ" ยึดคำสั่งศาลฎีกาจำคุก 1 ปี https://www.thai-tai.tv/news/21725/ . #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #ทวีสอดส่อง #กระทรวงยุติธรรม #ยกฎีกา #การเมือง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • รมว.ยุติธรรม ลุยตั้งกก.สอบข้อกม. "ทักษิณ" ยื่นซ้ำ ขออภัยโทษรอบ 2 คาดทราบผลพิจารณาข้อกฎหมายภายใน 3 วัน
    https://www.thai-tai.tv/news/21722/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #กระทรวงยุติธรรม #รุทธพลเนาวรัตน์ #การเมือง #ข้อกฎหมาย #ไทยไท
    รมว.ยุติธรรม ลุยตั้งกก.สอบข้อกม. "ทักษิณ" ยื่นซ้ำ ขออภัยโทษรอบ 2 คาดทราบผลพิจารณาข้อกฎหมายภายใน 3 วัน https://www.thai-tai.tv/news/21722/ . #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #กระทรวงยุติธรรม #รุทธพลเนาวรัตน์ #การเมือง #ข้อกฎหมาย #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 29-9-68
    .
    เช้าวันจันทร์นี้ คุณสนธิมาด้วยอารมณ์เดือดเมื่อทราบข่าวว่า "ทักษิณ" หนีคุกจนต้องกลับมาติดคุกยังไม่ถึงวันก็ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษอีกแล้ว? นอกจากนี้ยังมีเรื่องร้อน ๆ เกี่ยวกับ "นักร้องแคท-นางงามแคท-ผู้กองแคท-ปลัดแคท" ร.ต.อ.หญิง อาทิติยา เบ็ญจะปักที่กำลังฮือฮาว่าจู่ ๆ ก็จะมาเป็น "ผู้ช่วยประธานรัฐสภาแคท" จริง ๆ ใครอยู่เบื้องหลัง "ผู้กองแคท" กันแน่ ??? รวมไปถึงเรื่องติ่งลุงตู่ กับ บ่อนทมอดาซิตี้ด้วย ... โปรดติดตามโดยพลัน !
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=g55MXJarKKw
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ทักษิณ #พระราชทานอภัยโทษ #ผู้กองแคท #ติ่งลุงตู่ #บ่อนทมอดาซิตี้

    สนธิเล่าเรื่อง 29-9-68 . เช้าวันจันทร์นี้ คุณสนธิมาด้วยอารมณ์เดือดเมื่อทราบข่าวว่า "ทักษิณ" หนีคุกจนต้องกลับมาติดคุกยังไม่ถึงวันก็ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษอีกแล้ว? นอกจากนี้ยังมีเรื่องร้อน ๆ เกี่ยวกับ "นักร้องแคท-นางงามแคท-ผู้กองแคท-ปลัดแคท" ร.ต.อ.หญิง อาทิติยา เบ็ญจะปักที่กำลังฮือฮาว่าจู่ ๆ ก็จะมาเป็น "ผู้ช่วยประธานรัฐสภาแคท" จริง ๆ ใครอยู่เบื้องหลัง "ผู้กองแคท" กันแน่ ??? รวมไปถึงเรื่องติ่งลุงตู่ กับ บ่อนทมอดาซิตี้ด้วย ... โปรดติดตามโดยพลัน ! . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=g55MXJarKKw . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ทักษิณ #พระราชทานอภัยโทษ #ผู้กองแคท #ติ่งลุงตู่ #บ่อนทมอดาซิตี้
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทวี” จัดให้! ยกฎีกา “ทักษิณ” ขอพระราชทานอภัยโทษคดีชั้น14 1 วันหลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก
    https://www.thai-tai.tv/news/21657/
    .
    #ทักษิณ #พระราชทานอภัยโทษ #คดีทักษิณ #กระทรวงยุติธรรม #ครมใหม่ #รัฐบาลเศรษฐา #การเมืองไทย #ไทยไท

    “ทวี” จัดให้! ยกฎีกา “ทักษิณ” ขอพระราชทานอภัยโทษคดีชั้น14 1 วันหลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก https://www.thai-tai.tv/news/21657/ . #ทักษิณ #พระราชทานอภัยโทษ #คดีทักษิณ #กระทรวงยุติธรรม #ครมใหม่ #รัฐบาลเศรษฐา #การเมืองไทย #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะพัด! กระทรวงยุติธรรมยุค “ทวี” ยกฎีกา “ทักษิณ” ขอพระราชทานอภัยโทษคดีชั้น 14 ก่อนครม.ชุดใหม่ทำหน้าที่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092804

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    สะพัด! กระทรวงยุติธรรมยุค “ทวี” ยกฎีกา “ทักษิณ” ขอพระราชทานอภัยโทษคดีชั้น 14 ก่อนครม.ชุดใหม่ทำหน้าที่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000092804 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18-09-68/01 : หมี CNN / "สภาโกปี๊" หรรษาขาประจำ EP5.2(ตอนจบ)

    (ต่อ) ขณะที่ชาวบ้านมุงดูดารา เน็ตไอดอลกันตรึม สื่อก็ทำข่าวต่อทันที ดูเหมือนว่า เจ้านี้ จะจ่ายหนักกว่า นักข่าวสายชอบเปย์พากันเข้าสัมภาษณ์ทันที พรรคขาวปรี๊ด หนนี้มีความมั่นใจแค่ไหนครับท่าน?

    หัวหน้าพรรคตอบทันควัน "กระผม นายปลิงดูด น้องปรีดู ขอถวายตัวรับใช้เพ่น้องประชาชนอันเป็นที่รัก" ที่ไหนยากจน ความเจริญจะไปหาทันที ด้วยนโยบายพรรคเรา จ่ายหนัก เฮ๊ย..อยากได้ ก็ต้องได้ อยากมี ก็ต้องมี เสกได้ตามสั่ง แค่เลือกพรรคขาวปรี๊ด เบอร์ 00 ศักดิ์ไม่ต้องศรี มีแดร๊กทุกวัน เฮฮาปาร์ตี้กันทั่วหัวมุมถนน ใครใคร่ชอบอะไร ก็เชิญทำตามสบายใจท่าน เราคือพรรคเอนเตอร์เทนตัวพ่อ กาสิโอ๊ะ ไม่จำเป็น เราเน้นนโยบายกระจายรายได้ ใช้ชุมชนเป็นเจ้ามือ ทุกคนมีงานทำ เปิดด่านไปเลย การค้ากลับมาดั่งเดิม ไม่ต้องห่วงระเบิด เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษไปเลย ดูแลทั้ง 2 ฝ่าย จบง่าย รวยด้วยกัน อ่าวไทยเหรอ? เก็บเอาไว้ให้ใคร ขุดขึ้นมาใช้ดิ เราจะได้ใช้น้ำมันถูกไง ไม่ดีเหรอ ส่งออกเพื่อนบ้านได้อีก แบ่งๆ กันกิน ก็ไม่มีใครมารบกับเราแล้ว ปากท้องไม่เข้าใครออกใคร?

    นักข่าวยังช็อค ชาวบ้านอารมณ์เปลี่ยน? LIVE สด อยู่น่ะมรึง?

    1 ในชาวบ้าน ตะโกนถามท่านหัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า "แล้วดินแดนล่ะ ต้องแบ่งด้วยมั้ย?"

    อ้าว..แบ่งกันไปเลย จะได้จบจบ มีทองแบ่งทอง มีน้ำมันแบ่งน้ำมัน จะมาฆ่ากันทำไม แค่แผ่นดินเท่าเหมี๊ยวดิ้นตาย คนละครึ่งไงจ๊ะ แฟร์เพลย์ดีมั้ยล่ะ?

    ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงเห่าหอน ก็มีเสียงแทรกตะโกนมาว่า "ไอ้สัส!" ประเทศจะมีพวกมรึงไปทำไม? กล้องจับภาพทันที รู้ดี สัญญานแรงแน่ มีข่าวตีชัวร์

    หันไปดูปุ๊บ..ไม่ใช่ใครอื่น? "อาแปะ เปิดฟลอร์แล้วจ๊ะ"

    อาแปะ : มรึงรีบออกไปจากหมู่บ้านกูเลย ก่อนชาวบ้านจะสหบาทา อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก! (หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านก็เลิกสนใจดารา เน็ตไอดอลทันที ต่างรู้ดีว่า ไอ้พวกห่าเหี้ยนี่ มาทำไม? เดินกันเข้ามาหนุนอาแปะ)

    อาโก รีบชิงจังหวะ ที่เห็นอีปากหมา(หัวหน้าพรรคคนใหม่) มันยังช็อคกับเหตุการณ์อยู่ ชิงพื้นที่สื่อทันที เดินเข้าขวางหน้ากล้อง พร้อมพูดว่า

    "นี่คือคนที่คุณจะเลือกเหรอ?" เลือกตั้งมันตอบโจทย์ปากท้องเราได้จริงเหรอ? 93 ปี เราได้อะไรบ้างจากประชาธิปไตย ก็แค่เก้าอี้ดนตรี สมบัติผลัดกันชม เหี้ยไป จัญไรมา เวลาเปลี่ยน พรรคเปลี่ยน คนเปลี่ยน แต่ความเสียหายไม่เคยเปลี่ยน มันลงมาที่ชาวบ้านและประเทศนี้เสมอมา คืนพระราชอำนาจต่างหาก คือสิ่งที่ลูกทุกคนควรทำ เราแย่งชิงพระราชอำนาจมาจากพ่อ ด้วยกลโกงของภัยจากตะวันตก เมื่อไม่ใช่ของเรามาตั้งแต่ต้น ก็ควรจะคืนให้พ่อท่านไป เพราะไม่ว่าพ่อท่านจะส่งใครมาดูแล ปกครองเรา ก็ล้วนอยู่ในสายพระเนตรตลอดเวลา มั่นใจในความซื่อสัตย์ เที่ยงตรงแน่นอน แต่นักการเมือง มาจากพรรค มาจากนายทุน กำไรคือเป้าหมาย พวกเราก็เป็นแค่เหยื่อ?

    อาแปะ รับเข้ามาเสริมทันที "กล้องๆ มาทางนี้ เราขอประกาศว่า หมู่บ้านหมีดุ จะทำการขอประชามติ เรื่องคืนพระราชอำนาจ แล้วจะส่งผลไปให้ฝ่ายการปกครองบ้านเมือง ว่า ณ มุมแห่งนี้ มีความต้องการเช่นไร"

    นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตาตื่น ไอ้สัส! ออกสื่อไม่ปรึกษากูเลย ไอ้แปะ เอาอีกแล้ว งานนี้ กูจะเด้งมั้ยหนอ?

    มีชาวบ้านสนใจ ตะโกนถามอาแปะว่า "จะประชามติเมื่อไหร่" พวกเราพร้อมโหวตจ๊ะ ไม่เอาแล้วการเมือง ยิ่งอยู่ยิ่งรวย ชาวบ้านอดอยากมากยิ่งขึ้น เงินภาษีพวกกู ไม่ได้เอาไปทำความเจริญให้แผ่นดินเลย โดนพวกแม่งแดร๊กเรียบวุธ เอาเลยอาแปะ เราเอาด้วย พอกันที แผ่นดินนี้ต้องการพ่อ ไม่ได้ต้องการเหี้ย?

    นายอำเภอเห็นท่าไม่ดี เรียนเชิญหัวหน้าพรรคขาวปรี๊ด กลับไปก่อน เดี๋ยวชาวบ้านอาจจะไม่พอใจมากไปกว่านี้ อาจควบคุมสถานการณ์ไม่ได้อีก แต่กลับถูกตอกหน้ากลับว่า "แค่หมู่บ้านเล็กๆ จะกลัวไปทำไมกันเล่า" อั๊วเรียก อีกากี ยกกันมาทั้งกรมแล้ว อยากวัด ต้องได้วัด ใครขัดใจ มรึงตาย! เดี๋ยวมรึงหลบไป กูเดาไม่ผิด ต้องเจอพวกหัวแข็ง จึงได้เตรียมจัดฉาก ชาวบ้านคลั่งทำร้ายนักการเมือง จะต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ใครหัวนำ แกนนำ จับมันไปให้หมด งานนี้ ต้องประกาศศักดา พื้นที่นี้ พรรคขาวปรี๊ดเท่านั้น ที่จะตีให้แตกกระจุย

    ไม่ทันไร ขบวนรถขังคุกก็เข้ามาทันควัน เจ้าหน้าที่แห่กันมาเตรียมรวบชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำเหี้ยอาไยเลย? นี่ไง ข้าราชการใต้ตรีนนายทุน หาใช่ข้าราชการในหลวงไม่? มีการรประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน ห้ามชาวบ้านออกนอกพื้นที่นี้เด็ดขาด อ้างมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวเข้ามา ไอ้สัส! แทนที่จะไปปาย เสือกมาหมู่บ้านนี้ เหี้ยกันให้สุดไปเลย

    ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจหนัก นี่พวกมรึงคิดการณ์ไว้แล้วชิมิ? จะมากวาดล้างบางหมู่บ้านนี้สิท่า มันไม่ง่ายดอกน่ะ 20 ปีที่ผ่านมา เจออะไรมาเยอะ หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ไม่รีรอ ยิงแสงสปอตไลท์ขึ้นฟ้า "หาแม่ทัพกุ้ง SUPER KUNG" ทันที แจ้งรหัสลับ "ขะแมร์บุก"

    ในขณะที่กองกำลังอีกากี กำลังจะทำการสลายม็อบรักชาติ อาแปะก็รับชิงเปิดโทรโข่งเสียงดัง เปิดเพลงปลุกใจเพ่น้องไทย บ้านเมืองเป็นกลียุค เพราะไอ้อีที่ไร้จิตสำนึก ดีชั่ว แยกไม่ออก บรรยากาศ ชวนชนอย่างมว๊าก ชาวบ้านก็ไม่ถอย กล้องทุกตัว จับตาอยู่ตลอด ขณะที่อี 6 เหลี่ยม ผู้นำพรรคขาวปรี๊ด เตรียมสั่งกวาดล้างบางทั้งหมู่บ้าน เหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้านี้

    อาโก รีบพาเด็กๆ คนชรา ไปยืนแถวหลังสุด เพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการตะลุมบอล ฝา กะละมัง หม้อ สาก ครก เอามาใช้ป้องกันตัวหมด ยามนี้ ชาวหมู่บ้าน ได้รวมใจเป็นหนึ่ง ไม่คิดว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ แต่กลับไม่มีใครบ่น หรือกล่าวหาใครทั้งนั้น เพราะหมู่บ้านนี้ ชูเรื่อง รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่ตั้ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจได้ เมื่อวีรกรรมหมู่บ้านนี้ก่อเกิด มันจะส่งผลเป็นโดมิโน่ ไปทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอเภอ และทุกจังหวัด กระจายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไปทั่วประเทศ นี่แหละ ที่เราต้องการ

    สิ้นเสียงเพลงเร้าใจ ก็เปิดลุยทันที ยังไม่ทันจะได้ประชิดตัว ก็มีเสียงตะโกนดังก้องฟ้าว่า "ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้"

    หลังหันไปมองกันหมด ปรากฎว่า "ลุงกุ้ง" ไม่รู้โผล่มาจากไหน? สัญญาน SOS ส่งถึง SUPER KUNG มีอยู่จริงเฟ้ยเห้ย? ทุกคนต่างยินนิ่ง ดูก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น?

    ลุงกุ้งของน้องๆ มาแย้วจ๋า.. เอ๊ะ ทำอาไยกันอยู่ เหยียบกับระเบิดกันบ้างแล้วรึยัง?

    อี 6 เหลี่ยม หันมามองกองหนุนอีกากี ทันที "พวกมรึงทำห่าอะไรอยู่ฟ่ะ" มันมาแค่คนเดียว "กลัวเหี้ยอะไรกันนักหนา" ลุยเลย กูจ่ายเต็มที่ กล้องส่องกูก็ไม่สนแล้ว "เลือดขึ้นหน้า" วันนี้ หมู่บ้านหมีดุ ต้องตกเป็นของกูผู้เดียว แค่มดปลวก เสือกไม่คิด อยากวัดกับกูชิมิ? กูจัดให้

    "เดี๋ยวก่อน" อี 6 เหลี่ยม คราวก่อนกูไว้ชีวิตมรึง ยังไม่เข็ดอีกเหรอ? เมื่อคืน กูยังแอบเห็น อีเมีย กับอีลูกร่านมรึง เที่ยวบาร์โฮสต์อยู่เลย ครอบครัวหรรษาดีแท้จริงน่ะมรึง ไปอยู่ไหนมา กูมาคนเดียวก็จริง แต่แค่กูยกมือขึ้น ระเบิดลงหัวมรึงแน่ รู้จักมั้ย ดาวเทียม ขนมาทำไมเยอะแยะ แค่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ต้องยกกันมาทั้งกองทัพดอกน่ะ กับแค่ แก๊งค์สีกากี ไม่กี่ร้อย กูเอาอยู่ จริงมั้ย? เด็กๆ

    ไม่ทันไร F-16 และกริปเพนก็บินผ่านหัวอย่างไว เหมือนรอดูสัญญานมือแม่ทัพกุ้งอยู่ ว่าจะให้ย่างยังไงดี กึ่งสุก กึ่งดิบ หรือเอาแบบ MEDIUM RARE ดี เผาอีขะแมรืไป 5000 ตัวแล้ว ยังไม่หนำใจ ขอพ่วงอีสีกากีซักกองร้อย คงอร่อยเหาะดีเน๊าะ

    อี 6 เหลี่ยม เห็นท่าไม่ดี สั่งถอย "ฝากไว้ก่อนโอฬาร" ติดคุกไม่กี่ปี เดี๋ยวกูออกมาอาละวาดใหม่ได้ แค่ย้ายบ้านอยู่ใหม่ชั่วคราว

    หลังพวกเหี้ยกลับไป บรรยากาศก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ ชาวบ้านแยกย้ายกันไปทำมาหาแดร๊กกันต่อ ส่วนลุงกุ้ง ก็แวะเข้ามากินโกปี๊กันต่อ ถามสารทุกข์สุกดิบชาวบ้านตามประสา แม่ทัพผู้ใจดี

    อาฉี : ท่านแม่ทัพ ถามจริง? เราจะได้คืนพระราชอำนาจหรือไม่ ทหารคิดเห็นอย่างไร? และมีแผนการเรียกคืนดินแดนเดิมหรือไม่?

    แม่ทัพกุ้ง : ทหารก็คิดไม่แตกต่างจากพวกเราดอกน่ะ แต่ด้วยวินัยทหาร แสดงออกมาไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา แต่ทหารรุ่นใหม่ เค้าเทใจให้วังไปนานแล้ว ไอ้ที่ยังอยู่ เก่า แก่ แต่หวงอำนาจยังคงมี ส่วนแผนการเรียกคืนแผ่นดิน เรื่องนี้ การทหารเค้ามีนานแล้ว แต่จะเดินเกมส์ไปกับเกมส์การเมืองโลก และอำนาจของการปิดด่าน จนเศรษฐกิจอีขะแมร์พินาศ เมื่อประเทศอ่อนแอ การรวมชาติก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไปทีละสเตปเร่งไม่ได้ เพราะมันยังไม่เคลียร์เรื่องสนธิสัญญาโตเกียว ที่ไม่ผ่านมติสภา มีผลเป็นโมฆะตามกฎหมายไทย ไม่ว่าใครจะเซ็นต์อะไรไป แต่อำนาจในมือไม่มี ก็ไร้ผล

    อาแปะ : อั๊วว่า ท่านแม่ทัพคงได้สานเรื่องนี้ต่อแน่ หลังเกษียณชัวร์

    แม่ทัพกุ้ง : เราก็หวังเช่นนั้น เพราะทุกฝ่ายวางตัวสืบทอดไว้แล้ว คงต้องใช้เวลาอีกซักระยะนึง เพราะปัญหาโลกนั้นใหญ่เกินกว่าที่เราจะต้านทานเพียงลำพังได้

    อาโก : ท่านแม่ทัพ คิดว่าจะมีปฎิวัติอีกหรือไม่? ผบ.สูงสุด ผบ.ทบ. ท่านพร้อมเรื่องนี้มากแค่ไหน หากสถานการณ์เลวร้ายลง และไม่เป็นไปตามแผน

    แม่ทัพกุ้ง : ดูเหตุ และปัจจัยก่อน หากหาทางออกในฝ่ายการเมืองได้ก็จบ หากหาทางออกในฝ่ายความมั่นคงได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรัฐประหาร

    อาคิม : ข่าวมาล่าสุดว่า อีส้มเน่า เตรียมประกาศเป็นผู้นำรัฐบาลแล้ว พร้อมบริหารประเทศ สิ่งแรกที่จะทำ คือ "ยกเลิกมาตรา 112 ในทันที" ท่านแม่ทัพคิดว่ายังไง?

    แม่ทัพกุ้ง : มันทำไม่ได้ดอก แผ่นดินนี้ต้องมีกษัตริย์ และใครก็จะมาดูหมิ่นไม่ได้ เรื่องนี้ แม้ทหารก็ไม่ยอมเช่นกัน เป็นไงเป็นกัน เรื่องนี้ อย่าได้กังวลมากไป เพราะยังมีศาลไคฟงท่านอยู่ ดาบ 2 ดาบ 3 รออีกเพี๊ยบ บางอย่างจะพูดตอนนี้ไปทำไม ทุกอย่างมันต้องมีเหตุก่อน ผลถึงจะตามมา

    อาซิ่ม อินเตอร์ : ท่านแม่ทัพจ๊ะ แล้วเมื่อโลกเปลี่ยนมือไปแล้ว ภายในบ้านเราเองก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะกลับไปใช้ระบบการปกครองเดิม และประยุกต์ให้มันทันสมัยมากขึ้น ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายกับปชต.ตอแหลแล้ว จะเลือกไปทำไม เสียภาษีไปทำไม เอามาช่วยชาวบ้านอย่างเราเราไม่ดีกว่าเหรอ?

    แม่ทัพกุ้ง : รอบบ้านเราเองก็ยังไม่มั่นคง ต้องรอดูท่าทีอาเซียนก่อน หากสงครามใหญ่มา อาเซียนจะผนึกกำลังเอง ส่วนเรื่องการปกครองนั้น เป็นเรื่องภายในของเราเอง อยากจะเปลี่ยน อยากจะแก้ก็ได้ทั้งนั้น แต่เกมส์โลกต้องได้ผู้ชนะก่อน ถึงจะรู้ทิศทางลมว่าจะต้องเดินไปทางไหน? ศึกใหญ่มันใกล้เข้ามาล่ะ

    ปล.ในแผ่นดิน ย่อมต้องมี ทั้งคนดี คนชั่ว หากแต่ เราต้องช่วยกันส่งมอบอำนาจให้คนดีปกครอง ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด หากแต่ให้คนดีปกครองบ้านเมือง คนชั่วก็จะไม่มีโอกาสทำลายบ้านเมืองได้นั่นเอง แล้วใครล่ะคนดี? ก็คนที่พ่อเลือกไงล่ะ คนที่พ่อไว้วางพระทัย คืนพระราชอำนาจเป็นแค่สัญลักษณ์ เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว อำนาจสูงสุดก็ยังอยู่ในมือพระมหากษัตริย์ หาแต่ ที่ผ่านมา ลูกได้ช่วงชิงมันไปจากมือพ่อ ก็ต้องส่งคืนมือพ่อด้วยตัวเองไงล่ะ เป็นการขอพระราชทานอภัยโทษ ในสิ่งที่ลุกได้ทำผิดพลาดไปในครั้งอดีต ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกแล้ว แต่จะทำให้มันถูกต้องดั่งเดิม นั่นคือสิ่งที่ทำได้ในวันนี้

    EP.5.2(อวสาน) เรื่องราวในหมู่บ้านหมีดุ จะกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกนาน ทุกหมู่บ้านเริ่มดวงตาเห็นธรรม นักการเมือง พรรคการเมือง จะมีไปทำไม แดร๊กภาษี เอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ โลกเปลี่ยนมือ ก็ไม่ต้องตามปชต.ตอแหลอีกต่อไป โมเดลรัสเซีย จีน มีให้เห็นอยู่ ว่าทำยังไง ถึงได้เจริญแบบก้าวกระโดด โดยที่ไม่ทิ้งรากเหง้าตัวเอง ตัวอย่างมีให้โลกประจักษ์แล้ว อยู่ที่ใครจะเลือกทางไหน?

    หมี CNN(ไทยสุดทน! ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง ปราบม็อบเติมเงินขะแมร์ บ้านหนองหญ้าแก้ว ส่งสัญญานชัด ใช้วิธีสลายม็อบ แบบสากล แต่เด็ดขาด ชาวโลกประจักษ์ มันมาถึงที่สุดแล้ว ดินแดนใช่จะยอมให้กันง่ายๆ เอาชาวบ้านมาเป็นกันชน สุดท้ายมรึงเลือกเอง อย่าร้อง ไอ้สัส! โลกชื่นชมวิธีการทหารไทย ล่อจะเบาไปหาหนัก ตามความชอบธรรม)
    18 กันยายน 68
    00.01 น.
    18-09-68/01 : หมี CNN / "สภาโกปี๊" หรรษาขาประจำ EP5.2(ตอนจบ) (ต่อ) ขณะที่ชาวบ้านมุงดูดารา เน็ตไอดอลกันตรึม สื่อก็ทำข่าวต่อทันที ดูเหมือนว่า เจ้านี้ จะจ่ายหนักกว่า นักข่าวสายชอบเปย์พากันเข้าสัมภาษณ์ทันที พรรคขาวปรี๊ด หนนี้มีความมั่นใจแค่ไหนครับท่าน? หัวหน้าพรรคตอบทันควัน "กระผม นายปลิงดูด น้องปรีดู ขอถวายตัวรับใช้เพ่น้องประชาชนอันเป็นที่รัก" ที่ไหนยากจน ความเจริญจะไปหาทันที ด้วยนโยบายพรรคเรา จ่ายหนัก เฮ๊ย..อยากได้ ก็ต้องได้ อยากมี ก็ต้องมี เสกได้ตามสั่ง แค่เลือกพรรคขาวปรี๊ด เบอร์ 00 ศักดิ์ไม่ต้องศรี มีแดร๊กทุกวัน เฮฮาปาร์ตี้กันทั่วหัวมุมถนน ใครใคร่ชอบอะไร ก็เชิญทำตามสบายใจท่าน เราคือพรรคเอนเตอร์เทนตัวพ่อ กาสิโอ๊ะ ไม่จำเป็น เราเน้นนโยบายกระจายรายได้ ใช้ชุมชนเป็นเจ้ามือ ทุกคนมีงานทำ เปิดด่านไปเลย การค้ากลับมาดั่งเดิม ไม่ต้องห่วงระเบิด เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษไปเลย ดูแลทั้ง 2 ฝ่าย จบง่าย รวยด้วยกัน อ่าวไทยเหรอ? เก็บเอาไว้ให้ใคร ขุดขึ้นมาใช้ดิ เราจะได้ใช้น้ำมันถูกไง ไม่ดีเหรอ ส่งออกเพื่อนบ้านได้อีก แบ่งๆ กันกิน ก็ไม่มีใครมารบกับเราแล้ว ปากท้องไม่เข้าใครออกใคร? นักข่าวยังช็อค ชาวบ้านอารมณ์เปลี่ยน? LIVE สด อยู่น่ะมรึง? 1 ในชาวบ้าน ตะโกนถามท่านหัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า "แล้วดินแดนล่ะ ต้องแบ่งด้วยมั้ย?" อ้าว..แบ่งกันไปเลย จะได้จบจบ มีทองแบ่งทอง มีน้ำมันแบ่งน้ำมัน จะมาฆ่ากันทำไม แค่แผ่นดินเท่าเหมี๊ยวดิ้นตาย คนละครึ่งไงจ๊ะ แฟร์เพลย์ดีมั้ยล่ะ? ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงเห่าหอน ก็มีเสียงแทรกตะโกนมาว่า "ไอ้สัส!" ประเทศจะมีพวกมรึงไปทำไม? กล้องจับภาพทันที รู้ดี สัญญานแรงแน่ มีข่าวตีชัวร์ หันไปดูปุ๊บ..ไม่ใช่ใครอื่น? "อาแปะ เปิดฟลอร์แล้วจ๊ะ" อาแปะ : มรึงรีบออกไปจากหมู่บ้านกูเลย ก่อนชาวบ้านจะสหบาทา อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก! (หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านก็เลิกสนใจดารา เน็ตไอดอลทันที ต่างรู้ดีว่า ไอ้พวกห่าเหี้ยนี่ มาทำไม? เดินกันเข้ามาหนุนอาแปะ) อาโก รีบชิงจังหวะ ที่เห็นอีปากหมา(หัวหน้าพรรคคนใหม่) มันยังช็อคกับเหตุการณ์อยู่ ชิงพื้นที่สื่อทันที เดินเข้าขวางหน้ากล้อง พร้อมพูดว่า "นี่คือคนที่คุณจะเลือกเหรอ?" เลือกตั้งมันตอบโจทย์ปากท้องเราได้จริงเหรอ? 93 ปี เราได้อะไรบ้างจากประชาธิปไตย ก็แค่เก้าอี้ดนตรี สมบัติผลัดกันชม เหี้ยไป จัญไรมา เวลาเปลี่ยน พรรคเปลี่ยน คนเปลี่ยน แต่ความเสียหายไม่เคยเปลี่ยน มันลงมาที่ชาวบ้านและประเทศนี้เสมอมา คืนพระราชอำนาจต่างหาก คือสิ่งที่ลูกทุกคนควรทำ เราแย่งชิงพระราชอำนาจมาจากพ่อ ด้วยกลโกงของภัยจากตะวันตก เมื่อไม่ใช่ของเรามาตั้งแต่ต้น ก็ควรจะคืนให้พ่อท่านไป เพราะไม่ว่าพ่อท่านจะส่งใครมาดูแล ปกครองเรา ก็ล้วนอยู่ในสายพระเนตรตลอดเวลา มั่นใจในความซื่อสัตย์ เที่ยงตรงแน่นอน แต่นักการเมือง มาจากพรรค มาจากนายทุน กำไรคือเป้าหมาย พวกเราก็เป็นแค่เหยื่อ? อาแปะ รับเข้ามาเสริมทันที "กล้องๆ มาทางนี้ เราขอประกาศว่า หมู่บ้านหมีดุ จะทำการขอประชามติ เรื่องคืนพระราชอำนาจ แล้วจะส่งผลไปให้ฝ่ายการปกครองบ้านเมือง ว่า ณ มุมแห่งนี้ มีความต้องการเช่นไร" นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตาตื่น ไอ้สัส! ออกสื่อไม่ปรึกษากูเลย ไอ้แปะ เอาอีกแล้ว งานนี้ กูจะเด้งมั้ยหนอ? มีชาวบ้านสนใจ ตะโกนถามอาแปะว่า "จะประชามติเมื่อไหร่" พวกเราพร้อมโหวตจ๊ะ ไม่เอาแล้วการเมือง ยิ่งอยู่ยิ่งรวย ชาวบ้านอดอยากมากยิ่งขึ้น เงินภาษีพวกกู ไม่ได้เอาไปทำความเจริญให้แผ่นดินเลย โดนพวกแม่งแดร๊กเรียบวุธ เอาเลยอาแปะ เราเอาด้วย พอกันที แผ่นดินนี้ต้องการพ่อ ไม่ได้ต้องการเหี้ย? นายอำเภอเห็นท่าไม่ดี เรียนเชิญหัวหน้าพรรคขาวปรี๊ด กลับไปก่อน เดี๋ยวชาวบ้านอาจจะไม่พอใจมากไปกว่านี้ อาจควบคุมสถานการณ์ไม่ได้อีก แต่กลับถูกตอกหน้ากลับว่า "แค่หมู่บ้านเล็กๆ จะกลัวไปทำไมกันเล่า" อั๊วเรียก อีกากี ยกกันมาทั้งกรมแล้ว อยากวัด ต้องได้วัด ใครขัดใจ มรึงตาย! เดี๋ยวมรึงหลบไป กูเดาไม่ผิด ต้องเจอพวกหัวแข็ง จึงได้เตรียมจัดฉาก ชาวบ้านคลั่งทำร้ายนักการเมือง จะต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ใครหัวนำ แกนนำ จับมันไปให้หมด งานนี้ ต้องประกาศศักดา พื้นที่นี้ พรรคขาวปรี๊ดเท่านั้น ที่จะตีให้แตกกระจุย ไม่ทันไร ขบวนรถขังคุกก็เข้ามาทันควัน เจ้าหน้าที่แห่กันมาเตรียมรวบชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำเหี้ยอาไยเลย? นี่ไง ข้าราชการใต้ตรีนนายทุน หาใช่ข้าราชการในหลวงไม่? มีการรประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน ห้ามชาวบ้านออกนอกพื้นที่นี้เด็ดขาด อ้างมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวเข้ามา ไอ้สัส! แทนที่จะไปปาย เสือกมาหมู่บ้านนี้ เหี้ยกันให้สุดไปเลย ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจหนัก นี่พวกมรึงคิดการณ์ไว้แล้วชิมิ? จะมากวาดล้างบางหมู่บ้านนี้สิท่า มันไม่ง่ายดอกน่ะ 20 ปีที่ผ่านมา เจออะไรมาเยอะ หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ไม่รีรอ ยิงแสงสปอตไลท์ขึ้นฟ้า "หาแม่ทัพกุ้ง SUPER KUNG" ทันที แจ้งรหัสลับ "ขะแมร์บุก" ในขณะที่กองกำลังอีกากี กำลังจะทำการสลายม็อบรักชาติ อาแปะก็รับชิงเปิดโทรโข่งเสียงดัง เปิดเพลงปลุกใจเพ่น้องไทย บ้านเมืองเป็นกลียุค เพราะไอ้อีที่ไร้จิตสำนึก ดีชั่ว แยกไม่ออก บรรยากาศ ชวนชนอย่างมว๊าก ชาวบ้านก็ไม่ถอย กล้องทุกตัว จับตาอยู่ตลอด ขณะที่อี 6 เหลี่ยม ผู้นำพรรคขาวปรี๊ด เตรียมสั่งกวาดล้างบางทั้งหมู่บ้าน เหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ อาโก รีบพาเด็กๆ คนชรา ไปยืนแถวหลังสุด เพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการตะลุมบอล ฝา กะละมัง หม้อ สาก ครก เอามาใช้ป้องกันตัวหมด ยามนี้ ชาวหมู่บ้าน ได้รวมใจเป็นหนึ่ง ไม่คิดว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ แต่กลับไม่มีใครบ่น หรือกล่าวหาใครทั้งนั้น เพราะหมู่บ้านนี้ ชูเรื่อง รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่ตั้ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจได้ เมื่อวีรกรรมหมู่บ้านนี้ก่อเกิด มันจะส่งผลเป็นโดมิโน่ ไปทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอเภอ และทุกจังหวัด กระจายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไปทั่วประเทศ นี่แหละ ที่เราต้องการ สิ้นเสียงเพลงเร้าใจ ก็เปิดลุยทันที ยังไม่ทันจะได้ประชิดตัว ก็มีเสียงตะโกนดังก้องฟ้าว่า "ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้" หลังหันไปมองกันหมด ปรากฎว่า "ลุงกุ้ง" ไม่รู้โผล่มาจากไหน? สัญญาน SOS ส่งถึง SUPER KUNG มีอยู่จริงเฟ้ยเห้ย? ทุกคนต่างยินนิ่ง ดูก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ลุงกุ้งของน้องๆ มาแย้วจ๋า.. เอ๊ะ ทำอาไยกันอยู่ เหยียบกับระเบิดกันบ้างแล้วรึยัง? อี 6 เหลี่ยม หันมามองกองหนุนอีกากี ทันที "พวกมรึงทำห่าอะไรอยู่ฟ่ะ" มันมาแค่คนเดียว "กลัวเหี้ยอะไรกันนักหนา" ลุยเลย กูจ่ายเต็มที่ กล้องส่องกูก็ไม่สนแล้ว "เลือดขึ้นหน้า" วันนี้ หมู่บ้านหมีดุ ต้องตกเป็นของกูผู้เดียว แค่มดปลวก เสือกไม่คิด อยากวัดกับกูชิมิ? กูจัดให้ "เดี๋ยวก่อน" อี 6 เหลี่ยม คราวก่อนกูไว้ชีวิตมรึง ยังไม่เข็ดอีกเหรอ? เมื่อคืน กูยังแอบเห็น อีเมีย กับอีลูกร่านมรึง เที่ยวบาร์โฮสต์อยู่เลย ครอบครัวหรรษาดีแท้จริงน่ะมรึง ไปอยู่ไหนมา กูมาคนเดียวก็จริง แต่แค่กูยกมือขึ้น ระเบิดลงหัวมรึงแน่ รู้จักมั้ย ดาวเทียม ขนมาทำไมเยอะแยะ แค่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ต้องยกกันมาทั้งกองทัพดอกน่ะ กับแค่ แก๊งค์สีกากี ไม่กี่ร้อย กูเอาอยู่ จริงมั้ย? เด็กๆ ไม่ทันไร F-16 และกริปเพนก็บินผ่านหัวอย่างไว เหมือนรอดูสัญญานมือแม่ทัพกุ้งอยู่ ว่าจะให้ย่างยังไงดี กึ่งสุก กึ่งดิบ หรือเอาแบบ MEDIUM RARE ดี เผาอีขะแมรืไป 5000 ตัวแล้ว ยังไม่หนำใจ ขอพ่วงอีสีกากีซักกองร้อย คงอร่อยเหาะดีเน๊าะ อี 6 เหลี่ยม เห็นท่าไม่ดี สั่งถอย "ฝากไว้ก่อนโอฬาร" ติดคุกไม่กี่ปี เดี๋ยวกูออกมาอาละวาดใหม่ได้ แค่ย้ายบ้านอยู่ใหม่ชั่วคราว หลังพวกเหี้ยกลับไป บรรยากาศก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ ชาวบ้านแยกย้ายกันไปทำมาหาแดร๊กกันต่อ ส่วนลุงกุ้ง ก็แวะเข้ามากินโกปี๊กันต่อ ถามสารทุกข์สุกดิบชาวบ้านตามประสา แม่ทัพผู้ใจดี อาฉี : ท่านแม่ทัพ ถามจริง? เราจะได้คืนพระราชอำนาจหรือไม่ ทหารคิดเห็นอย่างไร? และมีแผนการเรียกคืนดินแดนเดิมหรือไม่? แม่ทัพกุ้ง : ทหารก็คิดไม่แตกต่างจากพวกเราดอกน่ะ แต่ด้วยวินัยทหาร แสดงออกมาไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา แต่ทหารรุ่นใหม่ เค้าเทใจให้วังไปนานแล้ว ไอ้ที่ยังอยู่ เก่า แก่ แต่หวงอำนาจยังคงมี ส่วนแผนการเรียกคืนแผ่นดิน เรื่องนี้ การทหารเค้ามีนานแล้ว แต่จะเดินเกมส์ไปกับเกมส์การเมืองโลก และอำนาจของการปิดด่าน จนเศรษฐกิจอีขะแมร์พินาศ เมื่อประเทศอ่อนแอ การรวมชาติก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไปทีละสเตปเร่งไม่ได้ เพราะมันยังไม่เคลียร์เรื่องสนธิสัญญาโตเกียว ที่ไม่ผ่านมติสภา มีผลเป็นโมฆะตามกฎหมายไทย ไม่ว่าใครจะเซ็นต์อะไรไป แต่อำนาจในมือไม่มี ก็ไร้ผล อาแปะ : อั๊วว่า ท่านแม่ทัพคงได้สานเรื่องนี้ต่อแน่ หลังเกษียณชัวร์ แม่ทัพกุ้ง : เราก็หวังเช่นนั้น เพราะทุกฝ่ายวางตัวสืบทอดไว้แล้ว คงต้องใช้เวลาอีกซักระยะนึง เพราะปัญหาโลกนั้นใหญ่เกินกว่าที่เราจะต้านทานเพียงลำพังได้ อาโก : ท่านแม่ทัพ คิดว่าจะมีปฎิวัติอีกหรือไม่? ผบ.สูงสุด ผบ.ทบ. ท่านพร้อมเรื่องนี้มากแค่ไหน หากสถานการณ์เลวร้ายลง และไม่เป็นไปตามแผน แม่ทัพกุ้ง : ดูเหตุ และปัจจัยก่อน หากหาทางออกในฝ่ายการเมืองได้ก็จบ หากหาทางออกในฝ่ายความมั่นคงได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรัฐประหาร อาคิม : ข่าวมาล่าสุดว่า อีส้มเน่า เตรียมประกาศเป็นผู้นำรัฐบาลแล้ว พร้อมบริหารประเทศ สิ่งแรกที่จะทำ คือ "ยกเลิกมาตรา 112 ในทันที" ท่านแม่ทัพคิดว่ายังไง? แม่ทัพกุ้ง : มันทำไม่ได้ดอก แผ่นดินนี้ต้องมีกษัตริย์ และใครก็จะมาดูหมิ่นไม่ได้ เรื่องนี้ แม้ทหารก็ไม่ยอมเช่นกัน เป็นไงเป็นกัน เรื่องนี้ อย่าได้กังวลมากไป เพราะยังมีศาลไคฟงท่านอยู่ ดาบ 2 ดาบ 3 รออีกเพี๊ยบ บางอย่างจะพูดตอนนี้ไปทำไม ทุกอย่างมันต้องมีเหตุก่อน ผลถึงจะตามมา อาซิ่ม อินเตอร์ : ท่านแม่ทัพจ๊ะ แล้วเมื่อโลกเปลี่ยนมือไปแล้ว ภายในบ้านเราเองก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะกลับไปใช้ระบบการปกครองเดิม และประยุกต์ให้มันทันสมัยมากขึ้น ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายกับปชต.ตอแหลแล้ว จะเลือกไปทำไม เสียภาษีไปทำไม เอามาช่วยชาวบ้านอย่างเราเราไม่ดีกว่าเหรอ? แม่ทัพกุ้ง : รอบบ้านเราเองก็ยังไม่มั่นคง ต้องรอดูท่าทีอาเซียนก่อน หากสงครามใหญ่มา อาเซียนจะผนึกกำลังเอง ส่วนเรื่องการปกครองนั้น เป็นเรื่องภายในของเราเอง อยากจะเปลี่ยน อยากจะแก้ก็ได้ทั้งนั้น แต่เกมส์โลกต้องได้ผู้ชนะก่อน ถึงจะรู้ทิศทางลมว่าจะต้องเดินไปทางไหน? ศึกใหญ่มันใกล้เข้ามาล่ะ ปล.ในแผ่นดิน ย่อมต้องมี ทั้งคนดี คนชั่ว หากแต่ เราต้องช่วยกันส่งมอบอำนาจให้คนดีปกครอง ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด หากแต่ให้คนดีปกครองบ้านเมือง คนชั่วก็จะไม่มีโอกาสทำลายบ้านเมืองได้นั่นเอง แล้วใครล่ะคนดี? ก็คนที่พ่อเลือกไงล่ะ คนที่พ่อไว้วางพระทัย คืนพระราชอำนาจเป็นแค่สัญลักษณ์ เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว อำนาจสูงสุดก็ยังอยู่ในมือพระมหากษัตริย์ หาแต่ ที่ผ่านมา ลูกได้ช่วงชิงมันไปจากมือพ่อ ก็ต้องส่งคืนมือพ่อด้วยตัวเองไงล่ะ เป็นการขอพระราชทานอภัยโทษ ในสิ่งที่ลุกได้ทำผิดพลาดไปในครั้งอดีต ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกแล้ว แต่จะทำให้มันถูกต้องดั่งเดิม นั่นคือสิ่งที่ทำได้ในวันนี้ EP.5.2(อวสาน) เรื่องราวในหมู่บ้านหมีดุ จะกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกนาน ทุกหมู่บ้านเริ่มดวงตาเห็นธรรม นักการเมือง พรรคการเมือง จะมีไปทำไม แดร๊กภาษี เอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ โลกเปลี่ยนมือ ก็ไม่ต้องตามปชต.ตอแหลอีกต่อไป โมเดลรัสเซีย จีน มีให้เห็นอยู่ ว่าทำยังไง ถึงได้เจริญแบบก้าวกระโดด โดยที่ไม่ทิ้งรากเหง้าตัวเอง ตัวอย่างมีให้โลกประจักษ์แล้ว อยู่ที่ใครจะเลือกทางไหน? หมี CNN(ไทยสุดทน! ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง ปราบม็อบเติมเงินขะแมร์ บ้านหนองหญ้าแก้ว ส่งสัญญานชัด ใช้วิธีสลายม็อบ แบบสากล แต่เด็ดขาด ชาวโลกประจักษ์ มันมาถึงที่สุดแล้ว ดินแดนใช่จะยอมให้กันง่ายๆ เอาชาวบ้านมาเป็นกันชน สุดท้ายมรึงเลือกเอง อย่าร้อง ไอ้สัส! โลกชื่นชมวิธีการทหารไทย ล่อจะเบาไปหาหนัก ตามความชอบธรรม) 18 กันยายน 68 00.01 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14 กรณีการบังคับโทษอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10.00 น. ขณะที่ไต่สวนนัดสุดท้าย วิษณุอ้างทักษิณเป็นอดีตนายกฯ อาจถูกประทุษร้าย และต้องดูแลอาการป่วย แต่ไม่ทราบทักษิณไปขอพระราชทานอภัยโทษอย่างไร เป็นแค่ผู้รับคำสั่งเฉยๆ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000071940

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14 กรณีการบังคับโทษอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10.00 น. ขณะที่ไต่สวนนัดสุดท้าย วิษณุอ้างทักษิณเป็นอดีตนายกฯ อาจถูกประทุษร้าย และต้องดูแลอาการป่วย แต่ไม่ทราบทักษิณไปขอพระราชทานอภัยโทษอย่างไร เป็นแค่ผู้รับคำสั่งเฉยๆ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000071940 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 910 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1876 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1421 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัว "สนธิ" ลงถนน ต้าน MOU 2544 รัฐยกอธิปไตยไทยให้เขมร.คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัวว่าผมจะลงถนนต้าน MOU 2544 ผมอยากพูดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนที่ออกมาต่อต้านผม ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด จะได้เข้าใจ ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ผมจะชวนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล หากรัฐบาลกระทำการอันใดก็ตามในเรื่อง MOU 2544 ที่เป็นการส่อเจตนาที่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลของเราให้กับฝ่ายเขมร นั่นล่ะ ผมถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับผมแล้ว และผมเชื่อว่าก็จะเป็นเรื่องเป็นราวกับท่านผู้ชมด้วย ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักพระมหากษัตริย์.เดิมทีเรากำหนดว่าผมจะไปยื่นหนังสือให้กับท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 2 คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่เผอิญทนายความผมบอกว่าวันที่ 2 ผมติดภารกิจที่ศาล ตกลงเราจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ผมและอาจารย์ปานเทพ จะเดินทางไปยื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าท่านผู้ชมสนใจ อยากไปยื่นหนังสือ ก็ไปได้ แต่ท่านอย่าไปชุมนุมบนท้องถนนนะครับ.ความเคลื่อนไหวของผมไปกระตุกต่อมของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ละคนดาหน้าออกมาพูดถึงเรื่องการลงถนนกันใหญ่ ตั้งแต่คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เปรยแกมขู่ผม คุณภูมิธรรมนี่ความจำสั้น สมัยที่พวกเสื้อแดงของคุณออกมาประท้วง ประเทศชาติทั้งประเทศ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง มิหนำซ้ำ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมา แล้วก็ยังมีคนอย่างเช่นคุณชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอีกท่านหนึ่ง คือ คุณพายัพ ปั้นเกตุ อดีตหัวหน้า นปช.ตอนนี้มีบทบาทมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณบอกว่าการต่อสู้ การทำให้ประเทศชาติต้องวุ่นวายถดถอยไปนั้น ถ้าคุณพูดมีความหมายอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเห็นด้วยกับอำนาจทางการเมืองที่ทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นได้จากคนที่มีอำนาจทางการเมือง ใช่หรือเปล่า .คุณรู้ไหม 2548 ที่ผมออกมา มาถึง 2566 สิบแปดปี ที่ผมสู้ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็เลยปรากฏออกมาในประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อสิงหาคม 2566 ที่ “นายคุณ”กลับมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับสารภาพผิดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องๆ นี่เป็นหลักฐานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา จะโกหกอะไร โกหกได้ แต่โกหกความจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างไร นั่นข้อแรก. ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอย ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลชุดอุ๊งอิ๊งค์ ที่ได้รับอิทธิพลจากนายคุณ คือพ่อเขา นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องการรักษาตัวบนชั้น 14 คุณก็รู้ว่านายคุณโกงเวลาติดคุก ผมคิดในใจว่ามันทุเรศ ปล่อยให้ชาวบ้านเขารุมเหยียบกันดีกว่า.แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของนายคุณ รวมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็พูดตลอดเวลา ว่าทะเลาะกันทำไมเรื่องพื้นที่ เอาสัมปทานมาแบ่งกัน 50-50 ใครเป็นคนพูด คุณณัฐวุฒิ คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณชูศักดิ์ ศิรินิล คุณภูมิธรรม เวชยชัย ใครเป็นคนพูด "ต้องแบ่งกัน 50-50" ทั้งนายคุณพูด ทั้งลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของนายคุณก็พูด และความสนิทสนมระหว่างสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นบิดาของฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับนายคุณ สนิทสนมมากอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเห็นได้ชัด ทำให้คนเขาอนุมานได้ และเขาเกิดความไม่ไว้วางใจพวกคุณ.ผมจะเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันแรก ปี 2548 ที่ผมตัดสินใจจะลงถนนสู้กับนายคุณ คุณไปดูคลิปเก่าๆ ไปดูข้อมูลเก่าๆ คุณจะจำได้ว่าผมพูดว่าอย่างนี้ จำใส่ใจไว้นะ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมบอกว่า ถึงจะเป็นผมเพียงคนเดียวออกมาสู้ ผมก็จะสู้ ผมพูดอย่างนี้ครับ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะเป็นผมคนเดียว ผมก็จะออกมา ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้กับประชาชนเขาทราบ และผมเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเห็นด้วยว่าผมทำถูกต้อง นี่คือสมบัติของชาติ
    คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัว "สนธิ" ลงถนน ต้าน MOU 2544 รัฐยกอธิปไตยไทยให้เขมร.คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัวว่าผมจะลงถนนต้าน MOU 2544 ผมอยากพูดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนที่ออกมาต่อต้านผม ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด จะได้เข้าใจ ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ผมจะชวนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล หากรัฐบาลกระทำการอันใดก็ตามในเรื่อง MOU 2544 ที่เป็นการส่อเจตนาที่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลของเราให้กับฝ่ายเขมร นั่นล่ะ ผมถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับผมแล้ว และผมเชื่อว่าก็จะเป็นเรื่องเป็นราวกับท่านผู้ชมด้วย ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักพระมหากษัตริย์.เดิมทีเรากำหนดว่าผมจะไปยื่นหนังสือให้กับท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 2 คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่เผอิญทนายความผมบอกว่าวันที่ 2 ผมติดภารกิจที่ศาล ตกลงเราจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ผมและอาจารย์ปานเทพ จะเดินทางไปยื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าท่านผู้ชมสนใจ อยากไปยื่นหนังสือ ก็ไปได้ แต่ท่านอย่าไปชุมนุมบนท้องถนนนะครับ.ความเคลื่อนไหวของผมไปกระตุกต่อมของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ละคนดาหน้าออกมาพูดถึงเรื่องการลงถนนกันใหญ่ ตั้งแต่คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เปรยแกมขู่ผม คุณภูมิธรรมนี่ความจำสั้น สมัยที่พวกเสื้อแดงของคุณออกมาประท้วง ประเทศชาติทั้งประเทศ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง มิหนำซ้ำ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมา แล้วก็ยังมีคนอย่างเช่นคุณชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอีกท่านหนึ่ง คือ คุณพายัพ ปั้นเกตุ อดีตหัวหน้า นปช.ตอนนี้มีบทบาทมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณบอกว่าการต่อสู้ การทำให้ประเทศชาติต้องวุ่นวายถดถอยไปนั้น ถ้าคุณพูดมีความหมายอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเห็นด้วยกับอำนาจทางการเมืองที่ทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นได้จากคนที่มีอำนาจทางการเมือง ใช่หรือเปล่า .คุณรู้ไหม 2548 ที่ผมออกมา มาถึง 2566 สิบแปดปี ที่ผมสู้ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็เลยปรากฏออกมาในประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อสิงหาคม 2566 ที่ “นายคุณ”กลับมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับสารภาพผิดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องๆ นี่เป็นหลักฐานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา จะโกหกอะไร โกหกได้ แต่โกหกความจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างไร นั่นข้อแรก. ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอย ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลชุดอุ๊งอิ๊งค์ ที่ได้รับอิทธิพลจากนายคุณ คือพ่อเขา นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องการรักษาตัวบนชั้น 14 คุณก็รู้ว่านายคุณโกงเวลาติดคุก ผมคิดในใจว่ามันทุเรศ ปล่อยให้ชาวบ้านเขารุมเหยียบกันดีกว่า.แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของนายคุณ รวมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็พูดตลอดเวลา ว่าทะเลาะกันทำไมเรื่องพื้นที่ เอาสัมปทานมาแบ่งกัน 50-50 ใครเป็นคนพูด คุณณัฐวุฒิ คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณชูศักดิ์ ศิรินิล คุณภูมิธรรม เวชยชัย ใครเป็นคนพูด "ต้องแบ่งกัน 50-50" ทั้งนายคุณพูด ทั้งลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของนายคุณก็พูด และความสนิทสนมระหว่างสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นบิดาของฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับนายคุณ สนิทสนมมากอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเห็นได้ชัด ทำให้คนเขาอนุมานได้ และเขาเกิดความไม่ไว้วางใจพวกคุณ.ผมจะเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันแรก ปี 2548 ที่ผมตัดสินใจจะลงถนนสู้กับนายคุณ คุณไปดูคลิปเก่าๆ ไปดูข้อมูลเก่าๆ คุณจะจำได้ว่าผมพูดว่าอย่างนี้ จำใส่ใจไว้นะ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมบอกว่า ถึงจะเป็นผมเพียงคนเดียวออกมาสู้ ผมก็จะสู้ ผมพูดอย่างนี้ครับ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะเป็นผมคนเดียว ผมก็จะออกมา ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้กับประชาชนเขาทราบ และผมเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเห็นด้วยว่าผมทำถูกต้อง นี่คือสมบัติของชาติ
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1187 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัว "สนธิ" ลงถนน ต้าน MOU 2544 รัฐยกอธิปไตยไทยให้เขมร
    .
    คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัวว่าผมจะลงถนนต้าน MOU 2544 ผมอยากพูดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนที่ออกมาต่อต้านผม ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด จะได้เข้าใจ ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ผมจะชวนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล หากรัฐบาลกระทำการอันใดก็ตามในเรื่อง MOU 2544 ที่เป็นการส่อเจตนาที่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลของเราให้กับฝ่ายเขมร นั่นล่ะ ผมถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับผมแล้ว และผมเชื่อว่าก็จะเป็นเรื่องเป็นราวกับท่านผู้ชมด้วย ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักพระมหากษัตริย์
    .
    เดิมทีเรากำหนดว่าผมจะไปยื่นหนังสือให้กับท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 2 คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่เผอิญทนายความผมบอกว่าวันที่ 2 ผมติดภารกิจที่ศาล ตกลงเราจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ผมและอาจารย์ปานเทพ จะเดินทางไปยื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าท่านผู้ชมสนใจ อยากไปยื่นหนังสือ ก็ไปได้ แต่ท่านอย่าไปชุมนุมบนท้องถนนนะครับ
    .
    ความเคลื่อนไหวของผมไปกระตุกต่อมของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ละคนดาหน้าออกมาพูดถึงเรื่องการลงถนนกันใหญ่ ตั้งแต่คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เปรยแกมขู่ผม คุณภูมิธรรมนี่ความจำสั้น สมัยที่พวกเสื้อแดงของคุณออกมาประท้วง ประเทศชาติทั้งประเทศ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง มิหนำซ้ำ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมา แล้วก็ยังมีคนอย่างเช่นคุณชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอีกท่านหนึ่ง คือ คุณพายัพ ปั้นเกตุ อดีตหัวหน้า นปช.ตอนนี้มีบทบาทมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณบอกว่าการต่อสู้ การทำให้ประเทศชาติต้องวุ่นวายถดถอยไปนั้น ถ้าคุณพูดมีความหมายอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเห็นด้วยกับอำนาจทางการเมืองที่ทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นได้จากคนที่มีอำนาจทางการเมือง ใช่หรือเปล่า
    .
    คุณรู้ไหม 2548 ที่ผมออกมา มาถึง 2566 สิบแปดปี ที่ผมสู้ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็เลยปรากฏออกมาในประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อสิงหาคม 2566 ที่ “นายคุณ”กลับมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับสารภาพผิดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องๆ นี่เป็นหลักฐานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา จะโกหกอะไร โกหกได้ แต่โกหกความจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างไร นั่นข้อแรก
    .
    ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอย ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลชุดอุ๊งอิ๊งค์ ที่ได้รับอิทธิพลจากนายคุณ คือพ่อเขา นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องการรักษาตัวบนชั้น 14 คุณก็รู้ว่านายคุณโกงเวลาติดคุก ผมคิดในใจว่ามันทุเรศ ปล่อยให้ชาวบ้านเขารุมเหยียบกันดีกว่า
    .
    แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของนายคุณ รวมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็พูดตลอดเวลา ว่าทะเลาะกันทำไมเรื่องพื้นที่ เอาสัมปทานมาแบ่งกัน 50-50 ใครเป็นคนพูด คุณณัฐวุฒิ คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณชูศักดิ์ ศิรินิล คุณภูมิธรรม เวชยชัย ใครเป็นคนพูด "ต้องแบ่งกัน 50-50" ทั้งนายคุณพูด ทั้งลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของนายคุณก็พูด และความสนิทสนมระหว่างสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นบิดาของฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับนายคุณ สนิทสนมมากอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเห็นได้ชัด ทำให้คนเขาอนุมานได้ และเขาเกิดความไม่ไว้วางใจพวกคุณ
    .
    ผมจะเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันแรก ปี 2548 ที่ผมตัดสินใจจะลงถนนสู้กับนายคุณ คุณไปดูคลิปเก่าๆ ไปดูข้อมูลเก่าๆ คุณจะจำได้ว่าผมพูดว่าอย่างนี้ จำใส่ใจไว้นะ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมบอกว่า ถึงจะเป็นผมเพียงคนเดียวออกมาสู้ ผมก็จะสู้ ผมพูดอย่างนี้ครับ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะเป็นผมคนเดียว ผมก็จะออกมา ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้กับประชาชนเขาทราบ และผมเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเห็นด้วยว่าผมทำถูกต้อง นี่คือสมบัติของชาติ
    คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัว "สนธิ" ลงถนน ต้าน MOU 2544 รัฐยกอธิปไตยไทยให้เขมร . คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัวว่าผมจะลงถนนต้าน MOU 2544 ผมอยากพูดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนที่ออกมาต่อต้านผม ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด จะได้เข้าใจ ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ผมจะชวนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล หากรัฐบาลกระทำการอันใดก็ตามในเรื่อง MOU 2544 ที่เป็นการส่อเจตนาที่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลของเราให้กับฝ่ายเขมร นั่นล่ะ ผมถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับผมแล้ว และผมเชื่อว่าก็จะเป็นเรื่องเป็นราวกับท่านผู้ชมด้วย ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักพระมหากษัตริย์ . เดิมทีเรากำหนดว่าผมจะไปยื่นหนังสือให้กับท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 2 คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่เผอิญทนายความผมบอกว่าวันที่ 2 ผมติดภารกิจที่ศาล ตกลงเราจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ผมและอาจารย์ปานเทพ จะเดินทางไปยื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าท่านผู้ชมสนใจ อยากไปยื่นหนังสือ ก็ไปได้ แต่ท่านอย่าไปชุมนุมบนท้องถนนนะครับ . ความเคลื่อนไหวของผมไปกระตุกต่อมของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ละคนดาหน้าออกมาพูดถึงเรื่องการลงถนนกันใหญ่ ตั้งแต่คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เปรยแกมขู่ผม คุณภูมิธรรมนี่ความจำสั้น สมัยที่พวกเสื้อแดงของคุณออกมาประท้วง ประเทศชาติทั้งประเทศ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง มิหนำซ้ำ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมา แล้วก็ยังมีคนอย่างเช่นคุณชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอีกท่านหนึ่ง คือ คุณพายัพ ปั้นเกตุ อดีตหัวหน้า นปช.ตอนนี้มีบทบาทมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณบอกว่าการต่อสู้ การทำให้ประเทศชาติต้องวุ่นวายถดถอยไปนั้น ถ้าคุณพูดมีความหมายอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเห็นด้วยกับอำนาจทางการเมืองที่ทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นได้จากคนที่มีอำนาจทางการเมือง ใช่หรือเปล่า . คุณรู้ไหม 2548 ที่ผมออกมา มาถึง 2566 สิบแปดปี ที่ผมสู้ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็เลยปรากฏออกมาในประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อสิงหาคม 2566 ที่ “นายคุณ”กลับมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับสารภาพผิดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องๆ นี่เป็นหลักฐานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา จะโกหกอะไร โกหกได้ แต่โกหกความจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างไร นั่นข้อแรก . ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอย ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลชุดอุ๊งอิ๊งค์ ที่ได้รับอิทธิพลจากนายคุณ คือพ่อเขา นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องการรักษาตัวบนชั้น 14 คุณก็รู้ว่านายคุณโกงเวลาติดคุก ผมคิดในใจว่ามันทุเรศ ปล่อยให้ชาวบ้านเขารุมเหยียบกันดีกว่า . แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของนายคุณ รวมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็พูดตลอดเวลา ว่าทะเลาะกันทำไมเรื่องพื้นที่ เอาสัมปทานมาแบ่งกัน 50-50 ใครเป็นคนพูด คุณณัฐวุฒิ คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณชูศักดิ์ ศิรินิล คุณภูมิธรรม เวชยชัย ใครเป็นคนพูด "ต้องแบ่งกัน 50-50" ทั้งนายคุณพูด ทั้งลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของนายคุณก็พูด และความสนิทสนมระหว่างสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นบิดาของฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับนายคุณ สนิทสนมมากอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเห็นได้ชัด ทำให้คนเขาอนุมานได้ และเขาเกิดความไม่ไว้วางใจพวกคุณ . ผมจะเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันแรก ปี 2548 ที่ผมตัดสินใจจะลงถนนสู้กับนายคุณ คุณไปดูคลิปเก่าๆ ไปดูข้อมูลเก่าๆ คุณจะจำได้ว่าผมพูดว่าอย่างนี้ จำใส่ใจไว้นะ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมบอกว่า ถึงจะเป็นผมเพียงคนเดียวออกมาสู้ ผมก็จะสู้ ผมพูดอย่างนี้ครับ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะเป็นผมคนเดียว ผมก็จะออกมา ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้กับประชาชนเขาทราบ และผมเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเห็นด้วยว่าผมทำถูกต้อง นี่คือสมบัติของชาติ
    Like
    5
    2 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1829 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 พ.ย.2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ปัญหา “ความเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีเนื้อหาดังนี้

๑.ข้อเท็จจริง นายกิตติรัตน์ ถือได้ว่าเป็นมือไม้ทำงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยโดยแท้ พ้นจาก กลต.แล้ว ก็รับงานเป็นรัฐมนตรีทั้งคลังและพาณิชย์ ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ช่วงพรรคเพื่อไทยต้องหยุดงานการเมืองสมัย คสช. นายกิตติรัตน์ก็ไปรับเป็นที่ปรึกษา ให้ นายกฯอบจ.เชียงใหม่ เมื่อเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล นายกฯเศรษฐา ก็ตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และพ้นตำแหน่งตามนายกฯเศรษฐาไปในที่สุด๒. พรรคเพื่อไทยกับธนาคารกลาง แนวทางเศรษฐกิจ “ทักษิโณมิคส์” ของทักษิณเน้นการอัดฉีดเงินเข้าระบบมาโดยตลอด ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกับผู้บริหารธนาคารกลางเป็นระยะเรื่อยมา ทั้งนโยบายดอกเบี้ย และการจัดการเงินเฟ้อ จนมาถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยพบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรงนี้ นโยบายแจกเงินดิจิตอลก็บานปลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างฐานคิดทางการเมือง กับฐานคิดในเรื่องความมั่นคงทางการเงินของชาติอย่างชัดเจนยิ่ง มีรัฐมนตรีของพรรคออกมาตำหนิติเตียนธนาคารกลางอย่างเปิดเผยกร้าวร้าวเป็นระยะ ดังตัวนายกิตติรัตน์เองก็เคยประกาศเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีคลังว่า เฝ้าคิดจะปลดผู้ว่าธนาคารกลางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยทีเดียว๓. พฤติการณ์ “ยึดครองส่วนราชการ” ของ “ระบอบทักษิณ” ระบอบนี้ไม่เคยยอมรับและเคารพในอิสระของราชการประจำที่ต้องยึดมั่นในระเบียบแบบแผนและเหตุผลเป็นหลัก เหตุเพราะพรรคชินวัตรนี้เป็น “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุน” มุ่งเอาเงินมาสร้างอำนาจและเอาอำนาจมาสร้างเงินตลอดเวลา ครองอำนาจเมื่อใดก็จะหาทางยึดครองส่วนราชการมาเป็นเบ๊ทุกครั้งไป ทั้งกระทรวงทบวงกรม รัฐวิสาหกิจ ธนาคารของรัฐ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร จนปัจจุบันก็ได้สร้างคดีความให้เจ้าหน้าที่กับลูกมือของพรรคต้องโทษติดคุกมากมายหลายคน ซึ่งตัวทักษิณเอง ก็ได้ยอมรับความผิดนานาของตนในคำขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้วเช่นกัน ด้วยพฤติการณ์ยึดครองอันเป็นนิสัยฝังลึกเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การส่งนายกิตติรัตน์ผ่านกระบวนการสรรหาจนสำเร็จ ผ่านเป็นรายชื่อเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารกลางในครั้งนี้ ต้องถูกมองว่า เป็นก้าวแรกของการแทรกซึมเข้ายึดครองการบริหารโดยเด็ดขาดต่อไป ทั้งในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคาร และคณะกรรมการสำคัญสามคณะ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ แล้วกลายเป็นเหตุให้เกิดกระแสคัดค้านต่อต้านขึ้นทั่วไป จนทุกวันนี้ในที่สุด๔. ความผิดพลาดในการแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ เป็นประธานธนาคารกลาง ระยะห่างจากการเมืองของธนาคารกลางเป็นหลักการสากลที่ปฏิเสธไม่ได้ และกฎหมายธนาคารชาติก็พยายามวางหลักประกันไว้หลายมาตรการด้วยกัน โดยเฉพาะในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่งนั้น ก็กำหนดไว้ว่า จะต้องไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากเคยเป็น ก็ต้องพ้นตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ปี ซึ่งก็ทำให้กรณีของนายกิตติรัตน์ เกิดปัญหาเป็นข้อพิจารณาสองประการดังนี้๔.๑) ความขัดแย้งต่อกฎหมาย มีข้อพิจารณาว่า การที่นายกิตติรัตน์ พ้นตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ในสมัยนายกฯเศรษฐามาไม่ถึง ๑ ปี นั้น ตำแหน่งนี้เป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ที่ต้องห้ามตาม มาตรา ๑๘ ของ พรบ.ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือไม่ ต่อปัญหานี้มีแนววินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ ๔๘๑/๒๕๓๕ เคยวางไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า คำนี้ครอบคลุมถึง “ผู้ช่วยรัฐมนตรี”ด้วย ทั้งๆที่ตำแหน่งนี้มิใช่ตำแหน่งตามกฎหมายฉบับใด สำหรับเหตุผลนั้นกฤษฎีกาก็อธิบายว่า เป็นคำที่กว้างกว่า “ข้าราชการการเมือง” หมายมุ่งให้ครอบคลุมบุคลากรทั้งหมดที่มีหน้าที่หรือมีส่วนร่วมในการอำนวยการปกครองประเทศ ดังนั้นหากยึดถือตามความหมายอย่างกว้างนี้ ตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่นายกฯใช้อำนาจตามกฎหมายแต่งตั้งขึ้น แล้วกำหนดให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือตามที่ท่านสั่งการนั้น จึงอยู่ในวิสัยที่จะตีความให้ถือเป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ได้ ซึ่งหาก ครม.นี้ ด่วนมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งและนำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว กรณีก็อาจเป็นปัญหาโต้แย้งขึ้นมาได้ในภายหลัง หนทางที่รัดกุมที่สุดจึงควรที่จะมีมติให้นำปัญหานี้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน เพื่อที่หากภายหลังมีผู้นำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองแล้ว รัฐบาลก็จะมีความเห็นทางกฎหมายที่รัดกุมอธิบายได้เสมอ๔.๒) การใช้ดุลพินิจโดยผิดพลาด ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่นายกฯรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานั้น อาจเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีอิสระทางความคิดเคารพตนเอง หรืออาจเป็นเพียงมือไม้ที่คอยรับใช้คิดอ่านให้ตามที่พรรคการเมืองต้องการเท่านั้นก็ได้ ดังนั้นแม้กรรมการสรรหาจะเห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง”ก็ตาม กรรมการก็ยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงระยะห่างจากพรรคการเมือง ของนายกิตติรัตน์อยู่ดี ซึ่งหากไม่ผ่านเกณฑ์ในข้อนี้แล้ว ก็ไม่ควรที่จะสนับสนุนเลยแม้แต่น้อยด้วยเหตุนี้หากคณะกรรมการสรรหาละทิ้งไม่พิจารณาประเด็นนี้ เพราะเห็นว่านายกิตติรัตน์ ผ่านด่านทางกฎหมายแล้ว ตนจะสรรหาอย่างไรก็ได้ไม่ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติความใกล้ชิดพรรคการเมืองอีกต่อไป จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาดยิ่ง และจำเป็นที่ ครม.พึงจะต้องเล็งเห็นถึงปัญหาความไม่เหมาะสมในข้อนี้ให้ถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน
    25 พ.ย.2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ปัญหา “ความเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีเนื้อหาดังนี้

๑.ข้อเท็จจริง นายกิตติรัตน์ ถือได้ว่าเป็นมือไม้ทำงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยโดยแท้ พ้นจาก กลต.แล้ว ก็รับงานเป็นรัฐมนตรีทั้งคลังและพาณิชย์ ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ช่วงพรรคเพื่อไทยต้องหยุดงานการเมืองสมัย คสช. นายกิตติรัตน์ก็ไปรับเป็นที่ปรึกษา ให้ นายกฯอบจ.เชียงใหม่ เมื่อเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล นายกฯเศรษฐา ก็ตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และพ้นตำแหน่งตามนายกฯเศรษฐาไปในที่สุด๒. พรรคเพื่อไทยกับธนาคารกลาง แนวทางเศรษฐกิจ “ทักษิโณมิคส์” ของทักษิณเน้นการอัดฉีดเงินเข้าระบบมาโดยตลอด ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกับผู้บริหารธนาคารกลางเป็นระยะเรื่อยมา ทั้งนโยบายดอกเบี้ย และการจัดการเงินเฟ้อ จนมาถึงปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยพบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรงนี้ นโยบายแจกเงินดิจิตอลก็บานปลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างฐานคิดทางการเมือง กับฐานคิดในเรื่องความมั่นคงทางการเงินของชาติอย่างชัดเจนยิ่ง มีรัฐมนตรีของพรรคออกมาตำหนิติเตียนธนาคารกลางอย่างเปิดเผยกร้าวร้าวเป็นระยะ ดังตัวนายกิตติรัตน์เองก็เคยประกาศเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีคลังว่า เฝ้าคิดจะปลดผู้ว่าธนาคารกลางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยทีเดียว๓. พฤติการณ์ “ยึดครองส่วนราชการ” ของ “ระบอบทักษิณ” ระบอบนี้ไม่เคยยอมรับและเคารพในอิสระของราชการประจำที่ต้องยึดมั่นในระเบียบแบบแผนและเหตุผลเป็นหลัก เหตุเพราะพรรคชินวัตรนี้เป็น “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุน” มุ่งเอาเงินมาสร้างอำนาจและเอาอำนาจมาสร้างเงินตลอดเวลา ครองอำนาจเมื่อใดก็จะหาทางยึดครองส่วนราชการมาเป็นเบ๊ทุกครั้งไป ทั้งกระทรวงทบวงกรม รัฐวิสาหกิจ ธนาคารของรัฐ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร จนปัจจุบันก็ได้สร้างคดีความให้เจ้าหน้าที่กับลูกมือของพรรคต้องโทษติดคุกมากมายหลายคน ซึ่งตัวทักษิณเอง ก็ได้ยอมรับความผิดนานาของตนในคำขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้วเช่นกัน ด้วยพฤติการณ์ยึดครองอันเป็นนิสัยฝังลึกเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การส่งนายกิตติรัตน์ผ่านกระบวนการสรรหาจนสำเร็จ ผ่านเป็นรายชื่อเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารกลางในครั้งนี้ ต้องถูกมองว่า เป็นก้าวแรกของการแทรกซึมเข้ายึดครองการบริหารโดยเด็ดขาดต่อไป ทั้งในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคาร และคณะกรรมการสำคัญสามคณะ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ แล้วกลายเป็นเหตุให้เกิดกระแสคัดค้านต่อต้านขึ้นทั่วไป จนทุกวันนี้ในที่สุด๔. ความผิดพลาดในการแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ เป็นประธานธนาคารกลาง ระยะห่างจากการเมืองของธนาคารกลางเป็นหลักการสากลที่ปฏิเสธไม่ได้ และกฎหมายธนาคารชาติก็พยายามวางหลักประกันไว้หลายมาตรการด้วยกัน โดยเฉพาะในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่งนั้น ก็กำหนดไว้ว่า จะต้องไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากเคยเป็น ก็ต้องพ้นตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ปี ซึ่งก็ทำให้กรณีของนายกิตติรัตน์ เกิดปัญหาเป็นข้อพิจารณาสองประการดังนี้๔.๑) ความขัดแย้งต่อกฎหมาย มีข้อพิจารณาว่า การที่นายกิตติรัตน์ พ้นตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ในสมัยนายกฯเศรษฐามาไม่ถึง ๑ ปี นั้น ตำแหน่งนี้เป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ที่ต้องห้ามตาม มาตรา ๑๘ ของ พรบ.ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือไม่ ต่อปัญหานี้มีแนววินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ ๔๘๑/๒๕๓๕ เคยวางไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า คำนี้ครอบคลุมถึง “ผู้ช่วยรัฐมนตรี”ด้วย ทั้งๆที่ตำแหน่งนี้มิใช่ตำแหน่งตามกฎหมายฉบับใด สำหรับเหตุผลนั้นกฤษฎีกาก็อธิบายว่า เป็นคำที่กว้างกว่า “ข้าราชการการเมือง” หมายมุ่งให้ครอบคลุมบุคลากรทั้งหมดที่มีหน้าที่หรือมีส่วนร่วมในการอำนวยการปกครองประเทศ ดังนั้นหากยึดถือตามความหมายอย่างกว้างนี้ ตำแหน่ง “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่นายกฯใช้อำนาจตามกฎหมายแต่งตั้งขึ้น แล้วกำหนดให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือตามที่ท่านสั่งการนั้น จึงอยู่ในวิสัยที่จะตีความให้ถือเป็น “ตำแหน่งทางการเมือง”ได้ ซึ่งหาก ครม.นี้ ด่วนมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งและนำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว กรณีก็อาจเป็นปัญหาโต้แย้งขึ้นมาได้ในภายหลัง หนทางที่รัดกุมที่สุดจึงควรที่จะมีมติให้นำปัญหานี้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน เพื่อที่หากภายหลังมีผู้นำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองแล้ว รัฐบาลก็จะมีความเห็นทางกฎหมายที่รัดกุมอธิบายได้เสมอ๔.๒) การใช้ดุลพินิจโดยผิดพลาด ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่นายกฯรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานั้น อาจเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีอิสระทางความคิดเคารพตนเอง หรืออาจเป็นเพียงมือไม้ที่คอยรับใช้คิดอ่านให้ตามที่พรรคการเมืองต้องการเท่านั้นก็ได้ ดังนั้นแม้กรรมการสรรหาจะเห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง”ก็ตาม กรรมการก็ยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงระยะห่างจากพรรคการเมือง ของนายกิตติรัตน์อยู่ดี ซึ่งหากไม่ผ่านเกณฑ์ในข้อนี้แล้ว ก็ไม่ควรที่จะสนับสนุนเลยแม้แต่น้อยด้วยเหตุนี้หากคณะกรรมการสรรหาละทิ้งไม่พิจารณาประเด็นนี้ เพราะเห็นว่านายกิตติรัตน์ ผ่านด่านทางกฎหมายแล้ว ตนจะสรรหาอย่างไรก็ได้ไม่ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติความใกล้ชิดพรรคการเมืองอีกต่อไป จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาดยิ่ง และจำเป็นที่ ครม.พึงจะต้องเล็งเห็นถึงปัญหาความไม่เหมาะสมในข้อนี้ให้ถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1238 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทวี” ชี้หาก “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย เริ่มที่ศาลออกหมายขัง และส่งมาราชทัณฑ์ ก่อนขอพระราชทานอภัยโทษ ยันไร้ “ทักษิณโมเดล”

    เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเดินทางกลับไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับมาร่วมประเพณีวันสงกรานต์ปีหน้า ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้รับการประสานมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะคนที่จะเข้าสู่กระบวนการของกรมราชทัณฑ์ ต้องเริ่มต้นที่กระบวนการศาลก่อน คือมีหมายขังที่ออกโดยศาล เมื่อรับหมายแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็ปฏิบัติตาม และตามกฏหมายของกรมราชทัณฑ์ปัจจุบัน มีการยกระดับมากขึ้น หากเป็นผู้หญิงก็ต้องอยู่ในทัณฑสถานกลาง ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฏหมาย

    เมื่อถามว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมา จะเข้าสู่กระบวนการแบบเดียวกับนายทักษิณ จน ไปถึงขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สมัยที่นายทักษิณกลับมา ตนยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรียุติธรรม แต่สำหรับการกลับมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องปฏิบัติตามกฏหมายราชทัณฑ์

    เมื่อถามย้ำว่า จะเป็นโมเดลเดียวกับนายทักษิณหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่ได้เป็นโมเดลอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างปฏิบัติตามกฏหมาย

    #MGROnline #ยิ่งลักษณ์
    “ทวี” ชี้หาก “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย เริ่มที่ศาลออกหมายขัง และส่งมาราชทัณฑ์ ก่อนขอพระราชทานอภัยโทษ ยันไร้ “ทักษิณโมเดล” • เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเดินทางกลับไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับมาร่วมประเพณีวันสงกรานต์ปีหน้า ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้รับการประสานมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะคนที่จะเข้าสู่กระบวนการของกรมราชทัณฑ์ ต้องเริ่มต้นที่กระบวนการศาลก่อน คือมีหมายขังที่ออกโดยศาล เมื่อรับหมายแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็ปฏิบัติตาม และตามกฏหมายของกรมราชทัณฑ์ปัจจุบัน มีการยกระดับมากขึ้น หากเป็นผู้หญิงก็ต้องอยู่ในทัณฑสถานกลาง ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฏหมาย • เมื่อถามว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมา จะเข้าสู่กระบวนการแบบเดียวกับนายทักษิณ จน ไปถึงขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สมัยที่นายทักษิณกลับมา ตนยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรียุติธรรม แต่สำหรับการกลับมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องปฏิบัติตามกฏหมายราชทัณฑ์ • เมื่อถามย้ำว่า จะเป็นโมเดลเดียวกับนายทักษิณหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่ได้เป็นโมเดลอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างปฏิบัติตามกฏหมาย • #MGROnline #ยิ่งลักษณ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 662 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าด้านหน้าทนมีอยู่จริง มีให้เห็นแล้ว หลายคนพูดผิดไปแล้ว ทำเหมือนไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ได้ทำกรรมสำเร็จแล้วด้วยวาจา หรือทำวจีกรรมทุจริตเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ การพูดโกหก ตอแหล บิดเบือน ส่อเสียดให้แตกแยก พูดหยาบ(พูดข้ามขั้นตอนระหว่างปัจจัยที่เป็นเหตุกับปัจจัยที่เกิดจากเหตุ) พูดเพ้อเจ้อ(พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีหลักการ ไม่อาศัยเหตุผล..) .....

    เมื่อคนทุจริตทำผิดจริยธรรม การตัดสินใจจัดการบริหารบ้านเมืองตามนโยบาย ก็ย่อมทุจจริต ผิดทำนองคลองธรรมไปด้วยโดยปริยาย

    #ยกตัวอย่าง เช่น
    1)ทำประเทศไทยให้เป็นแหล่งอบายมุขอันดับหนึ่งของโลก
    2)ให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้นานถึง 99 ปี
    3)อ้างว่ามีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และคิดแบ่งปันทรัพยากรพลังงานกับเพื่อนรัก ฮุนเซน
    4)เอาที่ดินธรณีสงฆ์ มาทำธุรกิจของตน ทั้งที่รู้มาก่อนว่า เป็นที่บริจาคจากยายเนื่อม
    5)เป็น นช.เทวดา แสร้งป่วยทิพย์ ไม่ยอมติดคุก ทั้ง ๆ ที่ได้ยอมรับจากคำขอพระราชทานอภัยโทษมาก่อนแล้ว

    หากนักการเมือง มีจิตสำนึกดี ประเทศจะไม่เดือดร้อน เมื่อเป็นคนไร้ยางอาย ทำเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี...อย่างนี้แล้ว ประชาชนคนไทยคิดอย่างไร ?
    เราต้องการคนไม่มีจริยธรรมแบบนี้มา บริหารประเทศจริงหรือ ?
    เราหาคนดี คนมีจริยธรรมมาบริหารประเทศของเราไม่ได้แล้ว ?!?!
    หน้าด้านหน้าทนมีอยู่จริง มีให้เห็นแล้ว หลายคนพูดผิดไปแล้ว ทำเหมือนไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ได้ทำกรรมสำเร็จแล้วด้วยวาจา หรือทำวจีกรรมทุจริตเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ การพูดโกหก ตอแหล บิดเบือน ส่อเสียดให้แตกแยก พูดหยาบ(พูดข้ามขั้นตอนระหว่างปัจจัยที่เป็นเหตุกับปัจจัยที่เกิดจากเหตุ) พูดเพ้อเจ้อ(พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีหลักการ ไม่อาศัยเหตุผล..) ..... เมื่อคนทุจริตทำผิดจริยธรรม การตัดสินใจจัดการบริหารบ้านเมืองตามนโยบาย ก็ย่อมทุจจริต ผิดทำนองคลองธรรมไปด้วยโดยปริยาย #ยกตัวอย่าง เช่น 1)ทำประเทศไทยให้เป็นแหล่งอบายมุขอันดับหนึ่งของโลก 2)ให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้นานถึง 99 ปี 3)อ้างว่ามีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และคิดแบ่งปันทรัพยากรพลังงานกับเพื่อนรัก ฮุนเซน 4)เอาที่ดินธรณีสงฆ์ มาทำธุรกิจของตน ทั้งที่รู้มาก่อนว่า เป็นที่บริจาคจากยายเนื่อม 5)เป็น นช.เทวดา แสร้งป่วยทิพย์ ไม่ยอมติดคุก ทั้ง ๆ ที่ได้ยอมรับจากคำขอพระราชทานอภัยโทษมาก่อนแล้ว หากนักการเมือง มีจิตสำนึกดี ประเทศจะไม่เดือดร้อน เมื่อเป็นคนไร้ยางอาย ทำเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี...อย่างนี้แล้ว ประชาชนคนไทยคิดอย่างไร ? เราต้องการคนไม่มีจริยธรรมแบบนี้มา บริหารประเทศจริงหรือ ? เราหาคนดี คนมีจริยธรรมมาบริหารประเทศของเราไม่ได้แล้ว ?!?!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 638 มุมมอง 26 0 รีวิว