• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 20

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 20 (จบ)
    เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนืทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ
    แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆเรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้
    บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น
    เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิดชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้น ประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น
    ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน
    ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก
    แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ Kodama Yoshio ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือ Admiral Yonai ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว
    ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่า ครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว ตัวแรกคือ องค์ชาย Nashimoto อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือน เป็นการ จับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธาน มิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆกับเกาะญี่ปุ่นเอง
    หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมา ว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ
    ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอาไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ …. เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชืงตัน มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่าจะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
    ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุก พ้นข้อหาทั้งปวง
    แค่ จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน
    แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อย นักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มี นาย คิชิ Kishi Nobusuke คงยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่น ที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมา เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา Sasagawa Ryochi เจ้าพ่อ ยากูซ่าอีกราย
    ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมา ร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง 50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุกคน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือก หรือ ให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ
    และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบัน นาย ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของ นาย คิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรัก ที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก…
    ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วย คือ Sankichi Takahashi, Shumi Okawa และ Yoshihisa Kuzu
    Kuzu เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ Black Dragon Society รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ
    สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นาย Toyama Mitsuru ที่ลึกลับ และเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็น แขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์ และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน
    นายพล Takahashi ก็เป็นนายทหารใหญ่ ที่สังกัดมังกรดำ
    ส่วนนาย Shumi Okawa นั้น เป็นหัวหน้าสายลับ ที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน
    นายโคดามะ ภายหลัง ทำงานให้กับ CIA ของอเมริกา อย่างใกล้ชิด ผลงาน เข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะ เป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษ ให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่
    หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียง ไคเช็ค ปราบชาวฟอร์โมซา ที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุการณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา
    ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมค หอบเอา นาย Shiro Ishii อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้ สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว นายพลแมค ให้ทดลองปล่อย แมงมุม ตัวหมัด แมลงสาระพัด ซึ่ง ใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฎว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงานในที่สุด นายชิโร นี่ นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่ายังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ
    ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่อง ตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และตัวแสบ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของร้อกกี้ the great
    Dean Atchson ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ ที่พรรค Republican ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการ กลับตาลปัตร ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะ Johnston เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็น Atcheson ส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว….
    (ยังมีบทส่งท้าย นะครับ รออ่านหน่อย กำลังเร่งเครื่องเขียนอยู่ พบกัน พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าเหมือนเดิม)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    31 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 20 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 20 (จบ) เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนืทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆเรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้ บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิดชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้น ประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ Kodama Yoshio ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือ Admiral Yonai ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่า ครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว ตัวแรกคือ องค์ชาย Nashimoto อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือน เป็นการ จับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธาน มิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆกับเกาะญี่ปุ่นเอง หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมา ว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอาไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ …. เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชืงตัน มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่าจะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุก พ้นข้อหาทั้งปวง แค่ จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อย นักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มี นาย คิชิ Kishi Nobusuke คงยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่น ที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมา เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา Sasagawa Ryochi เจ้าพ่อ ยากูซ่าอีกราย ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมา ร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง 50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุกคน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือก หรือ ให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบัน นาย ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของ นาย คิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรัก ที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก… ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วย คือ Sankichi Takahashi, Shumi Okawa และ Yoshihisa Kuzu Kuzu เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ Black Dragon Society รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นาย Toyama Mitsuru ที่ลึกลับ และเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็น แขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์ และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน นายพล Takahashi ก็เป็นนายทหารใหญ่ ที่สังกัดมังกรดำ ส่วนนาย Shumi Okawa นั้น เป็นหัวหน้าสายลับ ที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน นายโคดามะ ภายหลัง ทำงานให้กับ CIA ของอเมริกา อย่างใกล้ชิด ผลงาน เข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะ เป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษ ให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่ หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียง ไคเช็ค ปราบชาวฟอร์โมซา ที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุการณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมค หอบเอา นาย Shiro Ishii อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้ สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว นายพลแมค ให้ทดลองปล่อย แมงมุม ตัวหมัด แมลงสาระพัด ซึ่ง ใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฎว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงานในที่สุด นายชิโร นี่ นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่ายังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่อง ตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และตัวแสบ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของร้อกกี้ the great Dean Atchson ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ ที่พรรค Republican ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการ กลับตาลปัตร ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะ Johnston เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็น Atcheson ส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…. (ยังมีบทส่งท้าย นะครับ รออ่านหน่อย กำลังเร่งเครื่องเขียนอยู่ พบกัน พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าเหมือนเดิม) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 31 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 18

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 18
    วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1945 เพียง 4 วัน นับแต่วันที่ญี่ปุ่นยอมสงบศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่น 14 คน ก็บินไปหาคณะทำงานของท่านนายพลแมค ที่เมืองมะนิลา เพื่อหารือเรื่องงานพิธีการสงบศึก ที่จักรพรรดิฮิโรโฮิโตจะต้องเป็นคนพูดสารภาพผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม แต่จริงๆ พวกญี่ปุ่นดูเหมือนจะไปทดสอบอุณหภูมิของฝ่ายอเมริกามากกว่า
    ท่านนายพลแมค นอนไข่วห้างอยู่ในที่พัก ปล่อยให้เด็กๆทั้ง 2 ฝ่าย ทดสอบอุณหภูมิกันเอง
    ฝ่ายญี่ปุ่นจับไต๋ได้ว่า ฝ่ายอเมริกันนั้น ดูเหมือนจะดีแต่ท่า พวกอเมริกาที่มาทำงาน แทบไม่มีใคร “รู้จัก” ญี่ปุ่นเอาเลย ขอข้าว ขอน้ำ เป็นภาษาญี่ปุ่นก็คงอดตาย แถมไม่มีทีท่าว่าอยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาอยากรีบทำงานให้จบๆ แล้วก็รีบกลับบ้านไปกินเนื้อสเต๊กใกล้สุก มากกว่ากินปลาดิบ
    หลังจากวัดอุณหภูมิอเมริกันได้ว่า อาการไข้ปลาดิบน่าจะสูงขึ้นทุกวัน รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น นายชิเกมิตสุ Shigemitsu ก็จัดทัพคณะทำงานฝ่ายญี่ปุ่นเสียใหม่ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับคณะทำงานของฝ่าย SCAP โดยมอบหมายให้มือขวาของเขา นาย คาเซะ โตชิคาซุ Kase Toshikazu ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Amherst ซึ่งมีชื่อเสียงมากของอเมริกา มาเป็นหัวหน้าผู้ประสานงานกับ SCAP
    นายคาเซะ ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัว ของรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นทุกคน มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 จริงๆแล้ว เขาสังกัดหน่วยสืบราชการลับของญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ประสานงานกับเบอร์ลินและมอสโคว์ พวกอเมริกันชอบเขามาก โดยเฉพาะ นายพล Bonner Fellers ถึงกับออกปากว่า …เขาเป็นเพื่อนรักของผมนะ และเขาใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากกว่าใครเลยล่ะ…
    ก่อนสงครามโลกจากขยายใหญ่ในปี ค.ศ.1941 นายคาเซะ ได้เป็นหัวหน้ากองอเมริกา ในกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นแทน นาย เทราซากิ ทาโระ (Terasaki Taro) และเช่นเดียวกับนายเทราซากิ นายคาเซะ ก็สนิทสนมดีกับ Joseph Grew ทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น ที่ใกล้ชิดกับ กลุ่มนักการเงินทั้งฝั่งอเมริกา และฝั่งญี่ปุ่น และรวมทั้ง Herbert Hoover
    คณะผู้ประสานงานกับ SCAP ที่นำโดยนายคาเซะ ทำให้การทำงานของฝ่ายอเมริกันง่ายขึ้น คำสั่งต่างๆ ของฝ่ายอเมริกัน จะส่งมาที่คณะนายคาเซะ ซึ่งทำหน้าที่แปล และแปลง ถ้าข้อความให้อเมริกา เขาก็เต็มรสซ้อสมะเขือเทศ ข้อความให้ญี่ปุ่น เขาก็เต็มวาซาบิ นายคาเซะทำหน้าที่ เป็นกันชน และคนแต่งรส ในการสื่อสารระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น รวมทั้ง ถ่วงเวลา หรือทำทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ของฝ่ายญี่ปุ่น
    ขณะเดียวกัน ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยข่าวกรองด้วย นายคาเซะ “รู้จัก” คนอเมริกันอย่างดี เขาเก็บข้อมูลของฝ่ายอเมริกาไว้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความลับระดับไหน คุณสมบัติเฉพาะ ข้อมูลละเอียดอ่อน ข้อขัดแย้ง หรือคู่แข่ง ของฝ่ายอเมริกัน เขามีหมด ทั้งหมดนี้ อเมริกา โดย (คิดว่า) ฝ่ายท่านนายพลแมค น่าจะไม่รู้ตัวเลย
    ฝ่ายท่านนายพลแมค นายพลเฟลเลอร์ ภายใต้การกำกับจากทางไกลของ Hoover ก็กำลังหาทาง “จัดการ” ให้ภาระกิจ ปฏิรูปญี่ปุ่น เดินหน้า ไปตามที่ War and Peace Studies วางนโยบาย และตามใบสั่ง
    ใบสั่งบอกว่า การปฏิรูปญี่ปุ่น แม้จะดีกับชาวญี่ปุ่น แต่ถ้าจับนักธุรกิจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ เจ้าพ่อใหญ่ต่างๆ ที่เป็นตัวเฟืองที่ทำให้ญี่ปุ่นเดินได้ เอามาดำเนินดคี และเอาเข้าคุกหมด แล้วเราจะใช้ใครโม่แป้ง ใครจะผลิตสินค้า ใครจะขายสินค้า ใครจะคุมกิจการที่เราจะตั้งขึ้น เราต้องมีมือ มีตีนนะ เราแค่เป็นเจ้าของ คนชี้นิ้วสั่ง เข้าใจไหม และที่สำคัญ เราจะลงทุนในธุรกิจของเรา จากเงินของเขา ที่เขาปล้นมาอีกต่อ นี่จะต้องให้อธิบายกันหมดหรือไง
    ฝ่ายปฏิบัติการ จึงต้องหาหนทาง ที่จะทำให้แผนตามใบสั่ง สำเร็จ ก็ไม่น่ายาก เงื่อนไขในการปฏิรูปข้อหนึ่ง กำหนด (เปิดทางไว้ให้แล้ว!) ว่า จักรพรรดิ ต้องมาสารภาพผิดที่พากองทัพเข้าสู่สงคราม
    แล้วขบวนการปล่อยข่าวขู่ว่า จักรพรรดิ ต้องรับผิด เพราะกองทัพ ทำในนามของจักรพรรดิทั้งนั้น แล้วถ้าผิด ราชวงศ์ก็จะต้องถูกยึดทรัพย์ เอามาชดใช้ค่าเสียหายในการทำสงคราม ข่าวปล่อยนี้ ทำเอาเครือข่ายนอกวังในวัง ต่างมือไม้สั่น วิ่งกันหัวหมุนชนกัน หาทางยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินจนวุ่นไปหมด
    ระหว่างที่ตัวนายพลแมค เอง ยังยืนเซ่อว่าจะเดินหน้าอย่างไร ทางวอชิงตันก็ส่งนาย George Atcheson ที่ปรึกษาใหญ่ของกระทรวงต่างประเทศ จากพรรครีพับลิกัน มาคอยดูการทำงาน ของ SCAPด้วย นายพลแมค ที่แอบตั้งความหวังอยู่ในใจ ที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดี อเมริกา ในปี ค.ศ.1948 เริ่มคิดมาก งานปฏิรูปญี่ปุ่นนี่ จะสร้างคะแนนบวก หรือลบให้เขา เขาต้องการคะแนนบวก และต้องการกระเป๋าหนุนหลัง และ Hoover อดีตประธานาธิบดี จากรีพับลิกัน น่าจะยังมีพวกพอที่สามารถ” จัดการ” หาทั้งสองอย่างให้เขาได้
    ขณะที่ขบวนการขู่จักรพรรดิ กำลังเดินหน้าไปอย่างดี ถึงขนาดมีข่าวว่า ราชวงศ์หลายคนรีบขายวัง ขายสมบัติ ให้เพื่อนเศรษฐีทำหน้าที่เป็นนอมินีถือแทน และมีการเตรียมบีบให้จักรพรรดิ สละบัลลังก์ให้น้องชาย ถ้าจักรพรรดิ ไม่ยอมรับผิดเรื่องสั่งทำสงคราม ฝ่ายทำงานของ SCAP ก็รวบรวมรายชื่อ แบบเหวี่ยงแห ได้ปลาตัวเล็ก ตัวใหญ่ ประมาณ สองแสนสองหมื่นชื่อ มีทั้ง ทหาร นักธุรกิจ นักการเมือง รัฐบาล ข้าราชการ เจ้าพ่อ ฯลฯ ครบถ้วน เพื่อมาสอบสวน และเอาเข้าคุกก่อนพิจารณาดำเนินคดี คราวนี้รายการวิ่งฝุ่นตลบ ก็เริ่มทยอยเกิดขึ้นในโตเกียว
    วอชิงตันคงเห็นฝุ่นตลบมากไป จึงให้นาย Joseph Keenan หัวหน้าฝ่ายการดำเนินคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสงคราม ตั้งคณะทำงาน Far Eastern Commission (FEC) คณะนี้ออกคำสั่งเรียกย่อๆ ว่า FEC-230 เพื่อสั่งให้ SCAP จัดการกับนักธุรกิจใหญ่ ที่ให้การสนับสนุนญี่ปุ่นในการทำสงคราม เฮ้ย จับปลาพวกนี้ก่อนโว้ย
    รายการ FEC นี่ต้องให้รางวัลคนคิด สุดยอดจริงๆ ปรากฏว่า ได้รับการประท้วง ทั้งจากฝั่งอเมริกาเอง นักธุรกิจใหญ่นายทุน ที่เป็นเจ้าหนี้ญี่ปุ่น ต่างด่ากันโขมง จับลูกหนี้ แล้วเจ้าหนี้ จะได้เงินคืนยังไงวะ โง่จริง และเจ้าหนี้ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวอลสตรีท เป็นเครือมอร์แกนเกือบทั้งนั้น เยี่ยมครับท่าน นี่มันเป็นหมากหลายชั้น กินกลายเด้ง ผมเชื่อแล้วว่าท่านชั่วได้เก่งจริงๆ
    คณะทำงานของ SCAP ไม่สนใจ ไม่ฟังเสียงวอชิงตัน ไม่ฟังเสียงวอลสตรีท เดินหน้าจับหัวกะทิ ของสองแสนสองหมื่น เข้าคุก ซูกาโม ไม่มีตกหล่น ไม่มียกเว้น นักโทษอย่างนายคิชิ นาย ซาซากาวา นายโคดามะ …ก็เดิน เรียงแถวเซื่องๆ เข้าห้องขัง ไหน ไหน ใครว่า ทหารญี่ปุ่น ซามูไร ยากูซ่าโหดเหี้ยม เห็นเดินเข้าห้องขัง หุบปากเงียบกันหมด…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 18 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 18 วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1945 เพียง 4 วัน นับแต่วันที่ญี่ปุ่นยอมสงบศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่น 14 คน ก็บินไปหาคณะทำงานของท่านนายพลแมค ที่เมืองมะนิลา เพื่อหารือเรื่องงานพิธีการสงบศึก ที่จักรพรรดิฮิโรโฮิโตจะต้องเป็นคนพูดสารภาพผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม แต่จริงๆ พวกญี่ปุ่นดูเหมือนจะไปทดสอบอุณหภูมิของฝ่ายอเมริกามากกว่า ท่านนายพลแมค นอนไข่วห้างอยู่ในที่พัก ปล่อยให้เด็กๆทั้ง 2 ฝ่าย ทดสอบอุณหภูมิกันเอง ฝ่ายญี่ปุ่นจับไต๋ได้ว่า ฝ่ายอเมริกันนั้น ดูเหมือนจะดีแต่ท่า พวกอเมริกาที่มาทำงาน แทบไม่มีใคร “รู้จัก” ญี่ปุ่นเอาเลย ขอข้าว ขอน้ำ เป็นภาษาญี่ปุ่นก็คงอดตาย แถมไม่มีทีท่าว่าอยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาอยากรีบทำงานให้จบๆ แล้วก็รีบกลับบ้านไปกินเนื้อสเต๊กใกล้สุก มากกว่ากินปลาดิบ หลังจากวัดอุณหภูมิอเมริกันได้ว่า อาการไข้ปลาดิบน่าจะสูงขึ้นทุกวัน รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น นายชิเกมิตสุ Shigemitsu ก็จัดทัพคณะทำงานฝ่ายญี่ปุ่นเสียใหม่ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับคณะทำงานของฝ่าย SCAP โดยมอบหมายให้มือขวาของเขา นาย คาเซะ โตชิคาซุ Kase Toshikazu ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Amherst ซึ่งมีชื่อเสียงมากของอเมริกา มาเป็นหัวหน้าผู้ประสานงานกับ SCAP นายคาเซะ ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัว ของรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นทุกคน มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 จริงๆแล้ว เขาสังกัดหน่วยสืบราชการลับของญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ประสานงานกับเบอร์ลินและมอสโคว์ พวกอเมริกันชอบเขามาก โดยเฉพาะ นายพล Bonner Fellers ถึงกับออกปากว่า …เขาเป็นเพื่อนรักของผมนะ และเขาใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากกว่าใครเลยล่ะ… ก่อนสงครามโลกจากขยายใหญ่ในปี ค.ศ.1941 นายคาเซะ ได้เป็นหัวหน้ากองอเมริกา ในกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นแทน นาย เทราซากิ ทาโระ (Terasaki Taro) และเช่นเดียวกับนายเทราซากิ นายคาเซะ ก็สนิทสนมดีกับ Joseph Grew ทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น ที่ใกล้ชิดกับ กลุ่มนักการเงินทั้งฝั่งอเมริกา และฝั่งญี่ปุ่น และรวมทั้ง Herbert Hoover คณะผู้ประสานงานกับ SCAP ที่นำโดยนายคาเซะ ทำให้การทำงานของฝ่ายอเมริกันง่ายขึ้น คำสั่งต่างๆ ของฝ่ายอเมริกัน จะส่งมาที่คณะนายคาเซะ ซึ่งทำหน้าที่แปล และแปลง ถ้าข้อความให้อเมริกา เขาก็เต็มรสซ้อสมะเขือเทศ ข้อความให้ญี่ปุ่น เขาก็เต็มวาซาบิ นายคาเซะทำหน้าที่ เป็นกันชน และคนแต่งรส ในการสื่อสารระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น รวมทั้ง ถ่วงเวลา หรือทำทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ของฝ่ายญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยข่าวกรองด้วย นายคาเซะ “รู้จัก” คนอเมริกันอย่างดี เขาเก็บข้อมูลของฝ่ายอเมริกาไว้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความลับระดับไหน คุณสมบัติเฉพาะ ข้อมูลละเอียดอ่อน ข้อขัดแย้ง หรือคู่แข่ง ของฝ่ายอเมริกัน เขามีหมด ทั้งหมดนี้ อเมริกา โดย (คิดว่า) ฝ่ายท่านนายพลแมค น่าจะไม่รู้ตัวเลย ฝ่ายท่านนายพลแมค นายพลเฟลเลอร์ ภายใต้การกำกับจากทางไกลของ Hoover ก็กำลังหาทาง “จัดการ” ให้ภาระกิจ ปฏิรูปญี่ปุ่น เดินหน้า ไปตามที่ War and Peace Studies วางนโยบาย และตามใบสั่ง ใบสั่งบอกว่า การปฏิรูปญี่ปุ่น แม้จะดีกับชาวญี่ปุ่น แต่ถ้าจับนักธุรกิจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ เจ้าพ่อใหญ่ต่างๆ ที่เป็นตัวเฟืองที่ทำให้ญี่ปุ่นเดินได้ เอามาดำเนินดคี และเอาเข้าคุกหมด แล้วเราจะใช้ใครโม่แป้ง ใครจะผลิตสินค้า ใครจะขายสินค้า ใครจะคุมกิจการที่เราจะตั้งขึ้น เราต้องมีมือ มีตีนนะ เราแค่เป็นเจ้าของ คนชี้นิ้วสั่ง เข้าใจไหม และที่สำคัญ เราจะลงทุนในธุรกิจของเรา จากเงินของเขา ที่เขาปล้นมาอีกต่อ นี่จะต้องให้อธิบายกันหมดหรือไง ฝ่ายปฏิบัติการ จึงต้องหาหนทาง ที่จะทำให้แผนตามใบสั่ง สำเร็จ ก็ไม่น่ายาก เงื่อนไขในการปฏิรูปข้อหนึ่ง กำหนด (เปิดทางไว้ให้แล้ว!) ว่า จักรพรรดิ ต้องมาสารภาพผิดที่พากองทัพเข้าสู่สงคราม แล้วขบวนการปล่อยข่าวขู่ว่า จักรพรรดิ ต้องรับผิด เพราะกองทัพ ทำในนามของจักรพรรดิทั้งนั้น แล้วถ้าผิด ราชวงศ์ก็จะต้องถูกยึดทรัพย์ เอามาชดใช้ค่าเสียหายในการทำสงคราม ข่าวปล่อยนี้ ทำเอาเครือข่ายนอกวังในวัง ต่างมือไม้สั่น วิ่งกันหัวหมุนชนกัน หาทางยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินจนวุ่นไปหมด ระหว่างที่ตัวนายพลแมค เอง ยังยืนเซ่อว่าจะเดินหน้าอย่างไร ทางวอชิงตันก็ส่งนาย George Atcheson ที่ปรึกษาใหญ่ของกระทรวงต่างประเทศ จากพรรครีพับลิกัน มาคอยดูการทำงาน ของ SCAPด้วย นายพลแมค ที่แอบตั้งความหวังอยู่ในใจ ที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดี อเมริกา ในปี ค.ศ.1948 เริ่มคิดมาก งานปฏิรูปญี่ปุ่นนี่ จะสร้างคะแนนบวก หรือลบให้เขา เขาต้องการคะแนนบวก และต้องการกระเป๋าหนุนหลัง และ Hoover อดีตประธานาธิบดี จากรีพับลิกัน น่าจะยังมีพวกพอที่สามารถ” จัดการ” หาทั้งสองอย่างให้เขาได้ ขณะที่ขบวนการขู่จักรพรรดิ กำลังเดินหน้าไปอย่างดี ถึงขนาดมีข่าวว่า ราชวงศ์หลายคนรีบขายวัง ขายสมบัติ ให้เพื่อนเศรษฐีทำหน้าที่เป็นนอมินีถือแทน และมีการเตรียมบีบให้จักรพรรดิ สละบัลลังก์ให้น้องชาย ถ้าจักรพรรดิ ไม่ยอมรับผิดเรื่องสั่งทำสงคราม ฝ่ายทำงานของ SCAP ก็รวบรวมรายชื่อ แบบเหวี่ยงแห ได้ปลาตัวเล็ก ตัวใหญ่ ประมาณ สองแสนสองหมื่นชื่อ มีทั้ง ทหาร นักธุรกิจ นักการเมือง รัฐบาล ข้าราชการ เจ้าพ่อ ฯลฯ ครบถ้วน เพื่อมาสอบสวน และเอาเข้าคุกก่อนพิจารณาดำเนินคดี คราวนี้รายการวิ่งฝุ่นตลบ ก็เริ่มทยอยเกิดขึ้นในโตเกียว วอชิงตันคงเห็นฝุ่นตลบมากไป จึงให้นาย Joseph Keenan หัวหน้าฝ่ายการดำเนินคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสงคราม ตั้งคณะทำงาน Far Eastern Commission (FEC) คณะนี้ออกคำสั่งเรียกย่อๆ ว่า FEC-230 เพื่อสั่งให้ SCAP จัดการกับนักธุรกิจใหญ่ ที่ให้การสนับสนุนญี่ปุ่นในการทำสงคราม เฮ้ย จับปลาพวกนี้ก่อนโว้ย รายการ FEC นี่ต้องให้รางวัลคนคิด สุดยอดจริงๆ ปรากฏว่า ได้รับการประท้วง ทั้งจากฝั่งอเมริกาเอง นักธุรกิจใหญ่นายทุน ที่เป็นเจ้าหนี้ญี่ปุ่น ต่างด่ากันโขมง จับลูกหนี้ แล้วเจ้าหนี้ จะได้เงินคืนยังไงวะ โง่จริง และเจ้าหนี้ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวอลสตรีท เป็นเครือมอร์แกนเกือบทั้งนั้น เยี่ยมครับท่าน นี่มันเป็นหมากหลายชั้น กินกลายเด้ง ผมเชื่อแล้วว่าท่านชั่วได้เก่งจริงๆ คณะทำงานของ SCAP ไม่สนใจ ไม่ฟังเสียงวอชิงตัน ไม่ฟังเสียงวอลสตรีท เดินหน้าจับหัวกะทิ ของสองแสนสองหมื่น เข้าคุก ซูกาโม ไม่มีตกหล่น ไม่มียกเว้น นักโทษอย่างนายคิชิ นาย ซาซากาวา นายโคดามะ …ก็เดิน เรียงแถวเซื่องๆ เข้าห้องขัง ไหน ไหน ใครว่า ทหารญี่ปุ่น ซามูไร ยากูซ่าโหดเหี้ยม เห็นเดินเข้าห้องขัง หุบปากเงียบกันหมด… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 16
    ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น
    และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย
    สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์
    ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ
    หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …
    การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น
    และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ
    กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ
    ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ..
    สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…
    คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ
    เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน)
    MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า
    นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง
    และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ
    นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980
    ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง
    นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน
    กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน
    นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา
    มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 16 ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร … การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ.. สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ… คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน) MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 15

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 15
    ในญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่น แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษผ่านมาที่สายพวกนักการเงิน และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือน อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขี้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษ ก็ อ ด
    อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรคกองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว
    ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆในเอเซีย รวมทั้งรัสเซีย ที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่นของอเมริกา เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง
    กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของ นายคิชิ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะพันธุ์ญี่ปุ่นใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน
    คิชิ โนบูซูเกะ ชื่อเดิม คือ ซาโตะ โนบูซูเกะ Sato Nobusuke เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมือง โชชู Choshu เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง และต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชายอีกคน ซาโตะ อิชิโร Sato Ichiro ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ
    เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิรู้ข้อมูล และนโยบาย ทั้งลับ และลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย
    คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ South Manchuria Railroad Company (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้ เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจ ฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด เข้าใจไหมท่านนายพล
    วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่านั้น บังเอิญ ประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้น นายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดิน และกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวก นิสสัน Nissan zaibutsu บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้น แต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ ไม่รู้ นายคิชิ นี่ มีลุงกี่คน
    กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ
    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
    หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม
    เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูก จับ และไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2 หมื่นคน เขาเป็นนักโทษระดับเอ class A ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุก ซุกาโม Sugamo ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และ ใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน
    หนึ่งวัน ก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร ( อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)”
    ระหว่างที่อยู่ในคุก ซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฏหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับ โคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่ หัวหน้ายากูซ่า แก็งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสาระพัดที่ในช่วงสงคราม โคดามะ น่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า Hatoyama Ichiro ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ
    ดูเหมือน คุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น
    โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่า นั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริง ของพรรคเสรีนิยม Liberal Party อยู่แล้ว แต่หลังจากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะ ก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้า ฮาโตยาม่ายอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของ พรรค ฮาโตยาม่าตกลง โคดามะ ก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย Democratic Party ให้ ฮาโตยาม่า ง่ายดีจัง ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า
    ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่ายเงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่าง เจียงไคเช็ค กับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้า ของซีไอเอ หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะ กับ คิชิ ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ
    ส่วน ซีไอเอ คงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอ จึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเต็น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่องบินรบ ซึ่งข่าวว่าจีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะ ไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถีงญี่ปุ่น ซีไอเอ ก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา
    ส่วนคิชิ เมื่อออกมาจากคุก ด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมือง ของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกัน พี่ชายของเขา นายซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ Yoshida เมื่อพรรค LDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง
    คิชิ โนบูซูเกะ มีความสำคัญอย่างไร
    เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อ หรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ ชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน
    อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่น และ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น สูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้ง Morgan และ Rockefeller ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน Morgan เน้นเรื่องธุรกิจการเงิน Rockefeller เน้น เรื่องน้ำมัน และอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 15 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 15 ในญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่น แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษผ่านมาที่สายพวกนักการเงิน และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือน อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขี้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษ ก็ อ ด อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรคกองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆในเอเซีย รวมทั้งรัสเซีย ที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่นของอเมริกา เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของ นายคิชิ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะพันธุ์ญี่ปุ่นใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน คิชิ โนบูซูเกะ ชื่อเดิม คือ ซาโตะ โนบูซูเกะ Sato Nobusuke เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมือง โชชู Choshu เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง และต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชายอีกคน ซาโตะ อิชิโร Sato Ichiro ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิรู้ข้อมูล และนโยบาย ทั้งลับ และลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ South Manchuria Railroad Company (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้ เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจ ฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด เข้าใจไหมท่านนายพล วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่านั้น บังเอิญ ประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้น นายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดิน และกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวก นิสสัน Nissan zaibutsu บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้น แต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ ไม่รู้ นายคิชิ นี่ มีลุงกี่คน กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูก จับ และไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2 หมื่นคน เขาเป็นนักโทษระดับเอ class A ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุก ซุกาโม Sugamo ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และ ใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน หนึ่งวัน ก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร ( อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)” ระหว่างที่อยู่ในคุก ซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฏหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับ โคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่ หัวหน้ายากูซ่า แก็งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสาระพัดที่ในช่วงสงคราม โคดามะ น่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า Hatoyama Ichiro ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ ดูเหมือน คุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่า นั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริง ของพรรคเสรีนิยม Liberal Party อยู่แล้ว แต่หลังจากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะ ก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้า ฮาโตยาม่ายอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของ พรรค ฮาโตยาม่าตกลง โคดามะ ก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย Democratic Party ให้ ฮาโตยาม่า ง่ายดีจัง ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่ายเงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่าง เจียงไคเช็ค กับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้า ของซีไอเอ หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะ กับ คิชิ ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ ส่วน ซีไอเอ คงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอ จึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเต็น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่องบินรบ ซึ่งข่าวว่าจีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะ ไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถีงญี่ปุ่น ซีไอเอ ก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา ส่วนคิชิ เมื่อออกมาจากคุก ด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมือง ของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกัน พี่ชายของเขา นายซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ Yoshida เมื่อพรรค LDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง คิชิ โนบูซูเกะ มีความสำคัญอย่างไร เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อ หรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ ชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่น และ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น สูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้ง Morgan และ Rockefeller ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน Morgan เน้นเรื่องธุรกิจการเงิน Rockefeller เน้น เรื่องน้ำมัน และอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • ให้ออกจากราชการ 4 เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังตรวจพบรู้เห็นการแปลงห้องเป็น “คุกวีไอพี” เอื้อกลุ่มนักโทษจีนสีเทา แต่ไม่ดำเนินการตามระเบียบ รมว.ยุติธรรมเผยมีหลักฐานชัด เตรียมส่ง ป.ป.ช.ดำเนินคดีมาตรา 157 พร้อมสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000114085
    .
    #คุกวีไอพี #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ #จีนสีเทา #กรมราชทัณฑ์ #ยุติธรรม #News1live #News1
    ให้ออกจากราชการ 4 เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังตรวจพบรู้เห็นการแปลงห้องเป็น “คุกวีไอพี” เอื้อกลุ่มนักโทษจีนสีเทา แต่ไม่ดำเนินการตามระเบียบ รมว.ยุติธรรมเผยมีหลักฐานชัด เตรียมส่ง ป.ป.ช.ดำเนินคดีมาตรา 157 พร้อมสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000114085 . #คุกวีไอพี #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ #จีนสีเทา #กรมราชทัณฑ์ #ยุติธรรม #News1live #News1
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราชทัณฑ์ตั้งกรรมการสอบ “อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ” และเจ้าหน้าที่หลายราย หลังพบเอื้อประโยชน์นักโทษจีนเทาวีไอพี-มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบ ไมโครเวฟ แอร์ ของต้องห้าม รวมถึงมีสาวสวยระดับนางแบบเข้าเยี่ยมเป็นประจำ ขณะที่ข้อมูลระบุมีการจ้างนักโทษไทยดูแลให้บริการ และมีการแจ้งเบาะแสจากผู้ต้องขังไทยก่อนลุยตรวจจริง

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000111115

    #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ #นักโทษจีนเทา #ราชทัณฑ์ #คอร์รัปชัน #อาชญากรรม #News1live #News1
    ราชทัณฑ์ตั้งกรรมการสอบ “อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ” และเจ้าหน้าที่หลายราย หลังพบเอื้อประโยชน์นักโทษจีนเทาวีไอพี-มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบ ไมโครเวฟ แอร์ ของต้องห้าม รวมถึงมีสาวสวยระดับนางแบบเข้าเยี่ยมเป็นประจำ ขณะที่ข้อมูลระบุมีการจ้างนักโทษไทยดูแลให้บริการ และมีการแจ้งเบาะแสจากผู้ต้องขังไทยก่อนลุยตรวจจริง • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000111115 • #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ #นักโทษจีนเทา #ราชทัณฑ์ #คอร์รัปชัน #อาชญากรรม #News1live #News1
    Sad
    Like
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทักษิณ” ปีที่หนัก คุกไม่เท่าภาษี1.7หมื่นล.!? , ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ต้องจ่ายภาษีขายหุ้นชินคอร์ปเต็มจำนวน ขณะคดีอื่นยังพาเสี่ยงเพิ่ม ทั้งสถานะนักโทษและอุทธรณ์ ม.112

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110375

    #ทักษิณชินวัตร #คดีภาษี #ศาลฎีกา #การเมืองไทย #คดี112 #News1live #News1
    “ทักษิณ” ปีที่หนัก คุกไม่เท่าภาษี1.7หมื่นล.!? , ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ต้องจ่ายภาษีขายหุ้นชินคอร์ปเต็มจำนวน ขณะคดีอื่นยังพาเสี่ยงเพิ่ม ทั้งสถานะนักโทษและอุทธรณ์ ม.112 • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110375 • #ทักษิณชินวัตร #คดีภาษี #ศาลฎีกา #การเมืองไทย #คดี112 #News1live #News1
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก”
    ตอน 3
    เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…”
    ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย
    นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย)
    นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน
    แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย
    จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ
    ###############
    ตอน 4 (จบ)

    พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว…
    นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน
    ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย
    นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า
    นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง
    ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ
    เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง
    อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย
    ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง
    สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา
    อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย)
    นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics
    ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว
    เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ
    และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน
    แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 มิ.ย. 2558
    เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก” ตอน 3 เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…” ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย) นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ ############### ตอน 4 (จบ) พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว… นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย) นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 732 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    เจาะลึก "นิทรา" : อัปสราลูกผสมแห่งความขัดแย้ง

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    ต้นกำเนิดระหว่างสองโลก

    ชื่อเต็ม: นิทรา เทวาลัย
    ชื่อหมายถึง:"ผู้หลับใหลแห่งสวรรค์"
    อายุ:25 ปี (ร่างกาย), 500 ปี (จิตวิญญาณ)
    สถานะ:อัปสราลูกผสมระหว่างเทพอัปสราและมนุษย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[เทพอัปสรา<br>มัทธนา] --> C[นิทรา<br>ผู้อยู่ระหว่างสองโลก]
    B[มนุษย์นักดนตรี<br>อัศวิน] --> C
    C --> D[ถูกสวรรค์ปฏิเสธ<br>เพราะเลือดไม่บริสุทธิ์]
    C --> E[ถูกมนุษย์หวาดกลัว<br>เพราะพลังพิเศษ]
    ```

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: สาวงามสูง 170 ซม. ผมยาวสีทองแท้ธรรมชาติ
    · ผิวพรรณ: เรียบเนียนดุจดอกบัว แต่มีรอยต่อพลังงานระหว่างมนุษย์และเทพอัปสรา
    · ดวงตา: สีม่วงamethyst เรืองรองด้วยพลัง แต่แฝงความเศร้าลึก
    · ปีก: ปีกพลังงานสีทองที่ต้องสร้างขึ้นเอง แทนปีกแท้ที่ไม่มี

    พลังพิเศษแห่งการลูกผสม

    พลังจากสองสายเลือด

    ```python
    class NithraPowers:
    def __init__(self):
    self.apsara_heritage = {
    "illusion_weaving": "สร้างภาพลวงตาที่สวยงามดุจสวรรค์",
    "emotion_amplification": "ขยายอารมณ์ของผู้คนรอบข้าง",
    "beauty_manifestation": "สร้างความงามจากพลังงาน",
    "dream_manipulation": "เข้าไปในความฝันและเปลี่ยนแปลงมัน"
    }

    self.human_heritage = {
    "empathic_sense": "รับรู้อารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง",
    "creative_genius": "ความคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ",
    "emotional_depth": "มีความรู้สึกซับซ้อนแบบมนุษย์",
    "resilient_spirit": "จิตใจที่แข็งแกร่งจากการต่อสู้"
    }

    self.unique_hybrid_powers = {
    "envy_energy_conversion": "แปลงความอิจฉาเป็นพลังงานทำลายล้าง",
    "comparison_distortion": "สร้างการเปรียบเทียบในใจผู้คน",
    "attention_absorption": "ดูดซับความสนใจจากผู้อื่น",
    "beauty_theft_temporary": "ขโมยความงามชั่วคราว"
    }
    ```

    ข้อจำกัดและจุดอ่อน

    · พลังงานอารมณ์: ต้องอาศัยอารมณ์เป็นเชื้อเพลิง
    · ปีกเทียม: ต้องเติมพลังทุก 24 ชั่วโมง
    · ความขัดแย้ง: อารมณ์ขัดแย้งระหว่างสองสายเลือดทำให้พลังไม่เสถียร

    จิตวิทยาแห่งความขัดแย้ง

    3 ด้านของบุคลิกภาพ

    ```mermaid
    graph LR
    A[นิทรา<br>ตัวตนที่แท้] --> B[ด้านเทพอัปสรา<br>สง่างาม ภูมิใจ]
    A --> C[ด้านมนุษย์<br>อ่อนไหว ต้องการความรัก]
    A --> D[ด้านลูกผสม<br>อิจฉา ต้องการการยอมรับ]
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    นิทราต้องการสิ่งที่ขัดแย้งกัน:

    1. ความเป็นอิสระ แต่ ต้องการการยอมรับ
    2. ความเหนือกว่า แต่ ต้องการความเท่าเทียม
    3. การเป็นตัวของตัวเอง แต่ ต้องการเป็นที่รักของ所有人

    บันทึกความในใจ

    "บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ...
    นักโทษแห่งสายเลือดของตัวเอง
    ติดอยู่ระหว่างสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน
    และโลกที่กลัวฉัน"

    ชีวิตในสวรรค์และโลกมนุษย์

    ชีวิตในสวรรค์

    นิทราเติบโตมาในสวรรค์แต่ถูกปฏิบัติอย่างแตกต่าง:

    · ถูกเรียกว่า "ลูกครึ่ง" แทนชื่อ
    · ไม่มีสิทธิ์ เข้าร่วมพิธีสำคัญ
    · ต้องซ่อน ความเป็นมนุษย์ของตัวเอง

    ชีวิตในโลกมนุษย์

    เมื่อลงมาโลกมนุษย์ เธอก็พบกับการปฏิเสธ:

    · มนุษย์กลัว พลังงานและความงามของเธอ
    · ถูกเข้าใจผิด ว่าเป็นปีศาจหรือสิ่งอัปมงคล
    · ไม่มีใครเข้าใจ ความโดดเดี่ยวของเธอ

    การปรับตัว

    นิทราพัฒนาวิธีการปรับตัว:

    · สร้างภาพลักษณ์ แห่งความสง่างามไม่ย่อท้อ
    · ซ่อนความอ่อนไหว ไว้ behind รอยยิ้มเย็น
    · ใช้ความอิจฉา เป็นแรงผลักดัน

    พัฒนาการแห่งความอิจฉา

    จากความเจ็บปวดสู่ความอิจฉา

    ```python
    class EnvyDevelopment:
    def __init__(self):
    self.stages = {
    "childhood": "ความสับสนว่าตนเองเป็นใคร",
    "adolescence": "ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ",
    "early_adulthood": "ความโกรธต่อโลกที่ไม่ยุติธรรม",
    "current": "ความอิจฉาต่อผู้ที่ได้สิ่งที่เธอต้องการ"
    }

    self.targets = {
    "pure_apsaras": "ที่ได้อยู่ในสวรรค์โดยไม่ต้องต่อสู้",
    "accepted_humans": "ที่มีชีวิตปกติโดยไม่ถูกมองว่าแปลก",
    "successful_hybrids": "ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองโลก"
    }
    ```

    กลไกการป้องกันตัว

    นิทราใช้ความอิจฉาเป็นเกราะป้องกัน:

    · ไม่ต้องเผชิญ กับความเจ็บปวดของตัวเอง
    · ได้รู้สึกมีพลัง จากการควบคุมสถานการณ์
    · ได้ความสนใจ แม้จะเป็นความสนใจในแง่ลบ

    การเปลี่ยนแปลงหลังพบหนูดี

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    การพบกับหนูดีทำให้นิทราเห็นว่า:

    · ความเป็นอื่น ไม่ใช่ข้อจำกัด
    · การให้อภัย เป็นพลังที่แข็งแกร่ง
    · การเป็นตัวเอง นั้นเพียงพอแล้ว

    กระบวนการเยียวยา

    ```mermaid
    graph TB
    A[การเผชิญหน้า<br>กับหนูดี] --> B[การยอมรับ<br>ความเจ็บปวด]
    B --> C[การเรียนรู้<br>การให้อภัย]
    C --> D[การค้นพบ<br>คุณค่าของตัวเอง]
    D --> E[การใช้พลัง<br>อย่างสร้างสรรค์]
    ```

    พลังใหม่แห่งการสร้างสรรค์

    นิทราค้นพบว่าสามารถ:

    · สร้างศิลปะ จากอารมณ์ทั้งหมด
    · เป็นที่ปรึกษา ให้ผู้ที่รู้สึกแตกต่าง
    · เป็นสะพาน ระหว่างสองโลก

    ความสามารถด้านศิลปะ

    ศิลปะพลังงาน

    นิทราพัฒนาศิลปะรูปแบบใหม่:

    · ภาพวาดพลังงาน: ที่แสดงอารมณ์ผ่านสีและแสง
    · สวนอารมณ์: ที่พืชพันธุ์เปลี่ยนตามความรู้สึก
    · ดนตรีแห่งจิตใจ: ที่สื่อสารความรู้สึกโดยไม่ต้องคำพูด

    ผลงานสำคัญ

    · "ความงามแห่งความแตกต่าง": นิทรรศการแรกที่รวมสองโลก
    · "เสียงจากระหว่างโลก": ผลงานดนตรีที่สื่อถึงการลูกผสม
    · "สวนแห่งการยอมรับ": สวนพลังงานที่เยียวยาจิตใจ

    ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น

    กับหนูดี

    初期: คู่แข่ง → 中期: ผู้ที่เข้าใจ → ปัจจุบัน: เพื่อนและที่ปรึกษา

    กับ ร.ต.อ. สิงห์

    初期: หวาดกลัว → 中期: เคารพ → ปัจจุบัน: รักเหมือนพ่อ

    กับเณรพุทธ

    初期: ระแวง → 中期: เรียนรู้ร่วมกัน → ปัจจุบัน: เพื่อนเล่น

    บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้

    🪷 การยอมรับตัวเอง

    นิทราเข้าใจว่า:
    "การเป็นลูกผสมหาใช่คำสาป...
    แต่คือของขวัญที่ทำให้เข้าใจทั้งสองโลก

    และการที่ฉันแตกต่าง...
    หาใช่ข้อบกพร่อง
    แต่คือความพิเศษที่ทำให้ฉันเป็นฉัน"

    การให้อภัย

    "ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัย...
    ให้อภัยสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน
    ให้อภัยมนุษย์ที่กลัวฉัน
    และที่สำคัญ...ให้อภัยตัวเองที่เกลียดตัวเองมานาน"

    อนาคตและความหวัง

    เป้าหมาย

    นิทราตั้งใจจะ:

    · สร้างโรงเรียนศิลปะ สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ
    · เป็นทูตสันถวไมตรี ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์
    · ช่วยเหลือเด็กลูกผสม ให้รักและยอมรับตัวเอง

    ความฝัน

    "ฉันอยากสร้างโลกที่...
    ไม่มีเด็กคนไหนต้องรู้สึกว่าตัวเอง'แปลก'
    เพราะการแตกต่างในความแปลก
    แต่คือความงดงามอีกแบบหนึ่ง"

    ---

    คำคมแห่งปัญญาจากนิทรา:
    "ฉันเคยใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน...
    ซ่อนความเป็นมนุษย์จากสวรรค์
    ซ่อนความเป็นเทพอัปสราจากมนุษย์
    และซ่อนความเจ็บปวดจากสวรรค์

    แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า...
    การได้เป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์
    สำคัญกว่าการได้เป็นที่ยอมรับจากใครสักคน

    และเมื่อฉันยอมรับตัวเองได้...
    ฉันก็พบว่าสวรรค์และโลกมนุษย์
    ต่างอยู่ในใจฉันมาทั้งหมดแล้ว"

    การเดินทางของนิทราสอนเราว่า...
    "Between two worlds, there is beauty
    Between two identities,there is strength
    And between acceptance and rejection
    there is the courage to be authentically yourself"
    O.P.K 🌸 เจาะลึก "นิทรา" : อัปสราลูกผสมแห่งความขัดแย้ง 👑 ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 ต้นกำเนิดระหว่างสองโลก ชื่อเต็ม: นิทรา เทวาลัย ชื่อหมายถึง:"ผู้หลับใหลแห่งสวรรค์" อายุ:25 ปี (ร่างกาย), 500 ปี (จิตวิญญาณ) สถานะ:อัปสราลูกผสมระหว่างเทพอัปสราและมนุษย์ ```mermaid graph TB A[เทพอัปสรา<br>มัทธนา] --> C[นิทรา<br>ผู้อยู่ระหว่างสองโลก] B[มนุษย์นักดนตรี<br>อัศวิน] --> C C --> D[ถูกสวรรค์ปฏิเสธ<br>เพราะเลือดไม่บริสุทธิ์] C --> E[ถูกมนุษย์หวาดกลัว<br>เพราะพลังพิเศษ] ``` 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: สาวงามสูง 170 ซม. ผมยาวสีทองแท้ธรรมชาติ · ผิวพรรณ: เรียบเนียนดุจดอกบัว แต่มีรอยต่อพลังงานระหว่างมนุษย์และเทพอัปสรา · ดวงตา: สีม่วงamethyst เรืองรองด้วยพลัง แต่แฝงความเศร้าลึก · ปีก: ปีกพลังงานสีทองที่ต้องสร้างขึ้นเอง แทนปีกแท้ที่ไม่มี 🔮 พลังพิเศษแห่งการลูกผสม ✨ พลังจากสองสายเลือด ```python class NithraPowers: def __init__(self): self.apsara_heritage = { "illusion_weaving": "สร้างภาพลวงตาที่สวยงามดุจสวรรค์", "emotion_amplification": "ขยายอารมณ์ของผู้คนรอบข้าง", "beauty_manifestation": "สร้างความงามจากพลังงาน", "dream_manipulation": "เข้าไปในความฝันและเปลี่ยนแปลงมัน" } self.human_heritage = { "empathic_sense": "รับรู้อารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง", "creative_genius": "ความคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ", "emotional_depth": "มีความรู้สึกซับซ้อนแบบมนุษย์", "resilient_spirit": "จิตใจที่แข็งแกร่งจากการต่อสู้" } self.unique_hybrid_powers = { "envy_energy_conversion": "แปลงความอิจฉาเป็นพลังงานทำลายล้าง", "comparison_distortion": "สร้างการเปรียบเทียบในใจผู้คน", "attention_absorption": "ดูดซับความสนใจจากผู้อื่น", "beauty_theft_temporary": "ขโมยความงามชั่วคราว" } ``` ⚡ ข้อจำกัดและจุดอ่อน · พลังงานอารมณ์: ต้องอาศัยอารมณ์เป็นเชื้อเพลิง · ปีกเทียม: ต้องเติมพลังทุก 24 ชั่วโมง · ความขัดแย้ง: อารมณ์ขัดแย้งระหว่างสองสายเลือดทำให้พลังไม่เสถียร 💔 จิตวิทยาแห่งความขัดแย้ง 🎭 3 ด้านของบุคลิกภาพ ```mermaid graph LR A[นิทรา<br>ตัวตนที่แท้] --> B[ด้านเทพอัปสรา<br>สง่างาม ภูมิใจ] A --> C[ด้านมนุษย์<br>อ่อนไหว ต้องการความรัก] A --> D[ด้านลูกผสม<br>อิจฉา ต้องการการยอมรับ] ``` 🌪️ ความขัดแย้งภายใน นิทราต้องการสิ่งที่ขัดแย้งกัน: 1. ความเป็นอิสระ แต่ ต้องการการยอมรับ 2. ความเหนือกว่า แต่ ต้องการความเท่าเทียม 3. การเป็นตัวของตัวเอง แต่ ต้องการเป็นที่รักของ所有人 📚 บันทึกความในใจ "บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ... นักโทษแห่งสายเลือดของตัวเอง ติดอยู่ระหว่างสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน และโลกที่กลัวฉัน" 🏛️ ชีวิตในสวรรค์และโลกมนุษย์ 👑 ชีวิตในสวรรค์ นิทราเติบโตมาในสวรรค์แต่ถูกปฏิบัติอย่างแตกต่าง: · ถูกเรียกว่า "ลูกครึ่ง" แทนชื่อ · ไม่มีสิทธิ์ เข้าร่วมพิธีสำคัญ · ต้องซ่อน ความเป็นมนุษย์ของตัวเอง 🌍 ชีวิตในโลกมนุษย์ เมื่อลงมาโลกมนุษย์ เธอก็พบกับการปฏิเสธ: · มนุษย์กลัว พลังงานและความงามของเธอ · ถูกเข้าใจผิด ว่าเป็นปีศาจหรือสิ่งอัปมงคล · ไม่มีใครเข้าใจ ความโดดเดี่ยวของเธอ 🎨 การปรับตัว นิทราพัฒนาวิธีการปรับตัว: · สร้างภาพลักษณ์ แห่งความสง่างามไม่ย่อท้อ · ซ่อนความอ่อนไหว ไว้ behind รอยยิ้มเย็น · ใช้ความอิจฉา เป็นแรงผลักดัน 🔥 พัฒนาการแห่งความอิจฉา 🌱 จากความเจ็บปวดสู่ความอิจฉา ```python class EnvyDevelopment: def __init__(self): self.stages = { "childhood": "ความสับสนว่าตนเองเป็นใคร", "adolescence": "ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ", "early_adulthood": "ความโกรธต่อโลกที่ไม่ยุติธรรม", "current": "ความอิจฉาต่อผู้ที่ได้สิ่งที่เธอต้องการ" } self.targets = { "pure_apsaras": "ที่ได้อยู่ในสวรรค์โดยไม่ต้องต่อสู้", "accepted_humans": "ที่มีชีวิตปกติโดยไม่ถูกมองว่าแปลก", "successful_hybrids": "ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองโลก" } ``` 💫 กลไกการป้องกันตัว นิทราใช้ความอิจฉาเป็นเกราะป้องกัน: · ไม่ต้องเผชิญ กับความเจ็บปวดของตัวเอง · ได้รู้สึกมีพลัง จากการควบคุมสถานการณ์ · ได้ความสนใจ แม้จะเป็นความสนใจในแง่ลบ 🌈 การเปลี่ยนแปลงหลังพบหนูดี ⚡ จุดเปลี่ยนสำคัญ การพบกับหนูดีทำให้นิทราเห็นว่า: · ความเป็นอื่น ไม่ใช่ข้อจำกัด · การให้อภัย เป็นพลังที่แข็งแกร่ง · การเป็นตัวเอง นั้นเพียงพอแล้ว 🕊️ กระบวนการเยียวยา ```mermaid graph TB A[การเผชิญหน้า<br>กับหนูดี] --> B[การยอมรับ<br>ความเจ็บปวด] B --> C[การเรียนรู้<br>การให้อภัย] C --> D[การค้นพบ<br>คุณค่าของตัวเอง] D --> E[การใช้พลัง<br>อย่างสร้างสรรค์] ``` 🌟 พลังใหม่แห่งการสร้างสรรค์ นิทราค้นพบว่าสามารถ: · สร้างศิลปะ จากอารมณ์ทั้งหมด · เป็นที่ปรึกษา ให้ผู้ที่รู้สึกแตกต่าง · เป็นสะพาน ระหว่างสองโลก 🎨 ความสามารถด้านศิลปะ 🖌️ ศิลปะพลังงาน นิทราพัฒนาศิลปะรูปแบบใหม่: · ภาพวาดพลังงาน: ที่แสดงอารมณ์ผ่านสีและแสง · สวนอารมณ์: ที่พืชพันธุ์เปลี่ยนตามความรู้สึก · ดนตรีแห่งจิตใจ: ที่สื่อสารความรู้สึกโดยไม่ต้องคำพูด 🏛️ ผลงานสำคัญ · "ความงามแห่งความแตกต่าง": นิทรรศการแรกที่รวมสองโลก · "เสียงจากระหว่างโลก": ผลงานดนตรีที่สื่อถึงการลูกผสม · "สวนแห่งการยอมรับ": สวนพลังงานที่เยียวยาจิตใจ 💞 ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น 🌸 กับหนูดี 初期: คู่แข่ง → 中期: ผู้ที่เข้าใจ → ปัจจุบัน: เพื่อนและที่ปรึกษา 👮 กับ ร.ต.อ. สิงห์ 初期: หวาดกลัว → 中期: เคารพ → ปัจจุบัน: รักเหมือนพ่อ 🏯 กับเณรพุทธ 初期: ระแวง → 中期: เรียนรู้ร่วมกัน → ปัจจุบัน: เพื่อนเล่น 📚 บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้ 🪷 การยอมรับตัวเอง นิทราเข้าใจว่า: "การเป็นลูกผสมหาใช่คำสาป... แต่คือของขวัญที่ทำให้เข้าใจทั้งสองโลก และการที่ฉันแตกต่าง... หาใช่ข้อบกพร่อง แต่คือความพิเศษที่ทำให้ฉันเป็นฉัน" 💫 การให้อภัย "ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัย... ให้อภัยสวรรค์ที่ปฏิเสธฉัน ให้อภัยมนุษย์ที่กลัวฉัน และที่สำคัญ...ให้อภัยตัวเองที่เกลียดตัวเองมานาน" 🌟 อนาคตและความหวัง 🚀 เป้าหมาย นิทราตั้งใจจะ: · สร้างโรงเรียนศิลปะ สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ · เป็นทูตสันถวไมตรี ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ · ช่วยเหลือเด็กลูกผสม ให้รักและยอมรับตัวเอง 💝 ความฝัน "ฉันอยากสร้างโลกที่... ไม่มีเด็กคนไหนต้องรู้สึกว่าตัวเอง'แปลก' เพราะการแตกต่างในความแปลก แต่คือความงดงามอีกแบบหนึ่ง" --- คำคมแห่งปัญญาจากนิทรา: "ฉันเคยใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน... ซ่อนความเป็นมนุษย์จากสวรรค์ ซ่อนความเป็นเทพอัปสราจากมนุษย์ และซ่อนความเจ็บปวดจากสวรรค์ แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า... การได้เป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์ สำคัญกว่าการได้เป็นที่ยอมรับจากใครสักคน และเมื่อฉันยอมรับตัวเองได้... ฉันก็พบว่าสวรรค์และโลกมนุษย์ ต่างอยู่ในใจฉันมาทั้งหมดแล้ว"🌸✨ การเดินทางของนิทราสอนเราว่า... "Between two worlds, there is beauty Between two identities,there is strength And between acceptance and rejection there is the courage to be authentically yourself"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกจอมมารตณู: เจ้าแห่งความว่างเปล่า

    ต้นกำเนิดแห่งความว่าง

    การถือกำเนิดจากสุญญตา

    จอมมารตณูไม่ได้ "เกิด" แต่ "กลายเป็น" จากความว่างเปล่าของจักรวาล

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความว่างเปล่า<br>แห่งจักรวาล] --> B[ความรู้สึก<br>โดดเดี่ยวครั้งแรก]
    B --> C[การค้นพบว่า<br>ความตายให้พลังงาน]
    C --> D[การพัฒนาตัวตน<br>เป็นผู้บริโภคความตาย]
    ```

    ยุคสมัย: ก่อนการเกิดของมนุษยชาตินับล้านปี
    สถานที่:มิติระหว่างโลก ที่เรียกว่า "อันตภูมิ"

    ปรัชญาการดำรงอยู่

    "ชีวิตคือโรคแห่งจักรวาล... ความตายคือการรักษา"
    มารตณูเชื่อว่าการทำลายชีวิตคือการคืนสมดุลให้จักรวาล

    ลักษณะและอำนาจ

    รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว

    · ร่างจริง: ไร้รูปร่างกำหนด เป็นเพียงความมืดที่ขยับได้
    · ร่างในโลกมนุษย์: สูง 3 เมตร ไร้ใบหน้า มีปากใหญ่เต็มฟัน
    · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงจากหลุมศพ

    อำนาจแห่งความตาย

    ```python
    class MarTanooAbilities:
    def __init__(self):
    self.primary_powers = {
    "death_consumption": "ดูดกลืนพลังงานความตาย",
    "fear_manifestation": "สร้างภาพหลอนจากความกลัว",
    "void_teleportation": "เดินทางผ่านความว่าง",
    "soul_corruption": "ทำให้จิตวิญญาณเสื่อมลง"
    }

    self.weaknesses = {
    "pure_compassion": "ความเมตตาบริสุทธิ์",
    "life_celebration": "พลังงานแห่งการเฉลิมฉลองชีวิต",
    "understanding": "ความเข้าใจอย่างแท้จริง"
    }
    ```

    ระดับพลัง

    · พลังพื้นฐาน: ควบคุมความมืดและความกลัว
    · พลังกลาง: สร้างมิติของความตายชั่วคราว
    · พลังสูง: กลืนกินดาวเคราะห์ทั้งดวง
    · พลังสุดยอด: เปลี่ยนความเป็นความตายในระดับจักรวาล

    จิตใจและแรงจูงใจ

    ความโดดเดี่ยวอันยาวนาน

    มารตณูใช้เวลานับล้านปีตามลำพังในมิติแห่งความตาย

    · ไม่มีใครเข้าใจเขา
    · สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลัวเขา
    · การถูกปฏิเสธนำไปสู่ความโกรธแค้น

    ความหิวที่ไม่รู้จบ

    "ความตายคืออาหาร... และฉันหิวมาตลอด"
    การบริโภคความตายเป็นทั้งความจำเป็นและความสุขเดียวของเขา

    ความขัดแย้งภายใน

    ```mermaid
    graph LR
    A[ต้องการเป็นที่เข้าใจ] --> B[แต่ขับไล่ทุกสิ่งที่เข้าใกล้]
    C[รู้สึกว่าตนทำเพื่อสมดุล] --> D[แต่สงสัยในความถูกต้อง]
    E[เกลียดชีวิต] --> F[แต่ต้องการมีชีวิต]
    ```

    การเผชิญหน้ากับหนูดี

    ความสนใจครั้งแรก

    เมื่อรู้สึกถึงพลังงานของจิตมารพิฆาตในตัวหนูดี
    "เธอมีกลิ่นแห่งการทำลายล้าง...แต่ก็มีกลิ่นแห่งชีวิต"

    การต่อสู้ทางปัญญา

    มารตณูพยายามโน้มน้าวจิตมารพิฆาต:
    "มาอยู่กับฉัน...เราจะสร้างจักรวาลที่สมบูรณ์แบบไร้ชีวิต"

    แต่กลับถูกหนูดีตอบโต้ด้วยปัญญา:
    "ท่านคิดว่าตนเป็นอิสระ...แต่ท่านเป็นทาสของความหิวต่างหาก"

    ช่วงเวลาแห่งการเข้าใจ

    คำพูดของหนูดีที่เปลี่ยนทุกอย่าง:
    "ท่านไม่ใช่ผู้คุมความตาย...ท่านคือนักโทษแห่งความตายต่างหาก"

    การเปลี่ยนแปลงสู่เทพตณู

    กระบวนการเปลี่ยนแปลง

    1. การยอมรับ: ยอมรับว่าตนเองต้องการมากกว่าความตาย
    2. การเข้าใจ: เรียนรู้ว่าชีวิตและความตายเป็นส่วนประกอบของกันและกัน
    3. การเปลี่ยนแปลง: จากการทำลายสู่การดูแลสมดุล

    รูปลักษณ์ใหม่

    · ร่างใหม่: เทพชายรูปงามในชุดสีเทาเงิน
    · ดวงตา: สีเงินเรืองรองแทนที่จะเป็นหลุมว่าง
    · พลัง: จากพลังงานมืดสู่พลังงานสมดุล

    หน้าที่ใหม่

    ```python
    def new_responsibilities():
    return {
    "balance_guardian": "รักษาสมดุลระหว่างชีวิตและความตาย",
    "soul_guide": "นำทางวิญญาณที่หลงทาง",
    "death_teacher": "สอนเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความตาย",
    "fear_transformer": "เปลี่ยนความกลัวเป็นความเข้าใจ"
    }
    ```

    บทเรียนและปรัชญา

    🪷 คำสอนจากมารตณู

    "ความตายไม่ใช่ศัตรู... แต่เป็นเพื่อนเดินทาง
    และการเข้าใจความตายคือการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง"

    การพัฒนาปัญญา

    จากผู้ที่...

    · เคยเชื่อ: ความตายคือทางออกเดียว
    · มาเข้าใจ: ความตายคือส่วนหนึ่งของวงจร
    · ปัจจุบันสอน: การยอมรับทั้งชีวิตและความตาย

    ความสัมพันธ์กับจักรวาล

    การเชื่อมต่อใหม่

    มารตณูในฐานะเทพตณูเรียนรู้ที่จะ:

    · รับรู้ความงามของชีวิต
    · เข้าใจคุณค่าของการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
    · เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแทนที่จะต่อต้านมัน

    ความสัมพันธ์กับโอปปาติกะ

    · กับหนูดี: ครูและมิตร
    · กับมายา: เพื่อนร่วมเรียนรู้
    · กับเวทย์: คู่หูทางปัญญา

    บทบาทในสถาบันวิวัฒนาการจิต

    อาจารย์พิเศษ

    สอนวิชา "ศิลปะแห่งการยอมรับความตาย"

    · การเข้าใจธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลง
    · การใช้ความกลัวเป็นครู
    · การพบความสงบในความไม่เที่ยง

    การเยียวยาจิตใจ

    ช่วยนักเรียนที่:

    · กลัวการเปลี่ยนแปลง
    · ติดอยู่กับอดีต
    · ต่อต้านธรรมชาติแห่งความตาย

    อนาคตและพัฒนาการ

    เป้าหมายใหม่

    · การสร้างสมดุลระหว่างมิติ
    · การช่วยเหลือ entity อื่นๆ ให้พบการเปลี่ยนแปลง
    · การเป็นสะพานระหว่างโลกแห่งชีวิตและความตาย

    การเดินทางต่อไป

    "ฉันเพิ่งเริ่มเข้าใจ... ว่าการเป็นเทพก็เหมือนการเป็นมาร
    ต่างต้องเรียนรู้และเติบโตไม่รู้จบ"

    บทสรุป: จากความมืดสู่แสงสว่าง

    จอมมารตณูคือตัวอย่างของ...
    "การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่ง"
    "ความเมตตาที่สามารถเปลี่ยน even the darkest heart"
    "และการเข้าใจที่สามารถรักษา even the deepest wound"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่มีใครชั่วร้ายโดยธรรมชาติ...
    มีแต่ผู้ที่หลงทางและรอคอยแสงสว่างนำทาง"

    และบางครั้ง...
    แสงสว่างนั้นอาจมาจากผู้ที่เราเคยเห็นว่าเป็นศัตรู

    ---

    คำคมสุดท้ายจากเทพตณู:
    "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย...
    แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน
    บัดนี้เราทั้งสองเป็นอิสระจากกันและกัน
    และในอิสรภาพนั้น...เราได้พบความเป็นเพื่อน"
    O.P.K. 🌑 เจาะลึกจอมมารตณู: เจ้าแห่งความว่างเปล่า 🕳️ ต้นกำเนิดแห่งความว่าง 🌌 การถือกำเนิดจากสุญญตา จอมมารตณูไม่ได้ "เกิด" แต่ "กลายเป็น" จากความว่างเปล่าของจักรวาล ```mermaid graph TB A[ความว่างเปล่า<br>แห่งจักรวาล] --> B[ความรู้สึก<br>โดดเดี่ยวครั้งแรก] B --> C[การค้นพบว่า<br>ความตายให้พลังงาน] C --> D[การพัฒนาตัวตน<br>เป็นผู้บริโภคความตาย] ``` ยุคสมัย: ก่อนการเกิดของมนุษยชาตินับล้านปี สถานที่:มิติระหว่างโลก ที่เรียกว่า "อันตภูมิ" 🔥 ปรัชญาการดำรงอยู่ "ชีวิตคือโรคแห่งจักรวาล... ความตายคือการรักษา" มารตณูเชื่อว่าการทำลายชีวิตคือการคืนสมดุลให้จักรวาล 🎭 ลักษณะและอำนาจ 👁️ รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว · ร่างจริง: ไร้รูปร่างกำหนด เป็นเพียงความมืดที่ขยับได้ · ร่างในโลกมนุษย์: สูง 3 เมตร ไร้ใบหน้า มีปากใหญ่เต็มฟัน · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงจากหลุมศพ 💀 อำนาจแห่งความตาย ```python class MarTanooAbilities: def __init__(self): self.primary_powers = { "death_consumption": "ดูดกลืนพลังงานความตาย", "fear_manifestation": "สร้างภาพหลอนจากความกลัว", "void_teleportation": "เดินทางผ่านความว่าง", "soul_corruption": "ทำให้จิตวิญญาณเสื่อมลง" } self.weaknesses = { "pure_compassion": "ความเมตตาบริสุทธิ์", "life_celebration": "พลังงานแห่งการเฉลิมฉลองชีวิต", "understanding": "ความเข้าใจอย่างแท้จริง" } ``` 🌊 ระดับพลัง · พลังพื้นฐาน: ควบคุมความมืดและความกลัว · พลังกลาง: สร้างมิติของความตายชั่วคราว · พลังสูง: กลืนกินดาวเคราะห์ทั้งดวง · พลังสุดยอด: เปลี่ยนความเป็นความตายในระดับจักรวาล 💔 จิตใจและแรงจูงใจ 🏚️ ความโดดเดี่ยวอันยาวนาน มารตณูใช้เวลานับล้านปีตามลำพังในมิติแห่งความตาย · ไม่มีใครเข้าใจเขา · สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลัวเขา · การถูกปฏิเสธนำไปสู่ความโกรธแค้น 🍽️ ความหิวที่ไม่รู้จบ "ความตายคืออาหาร... และฉันหิวมาตลอด" การบริโภคความตายเป็นทั้งความจำเป็นและความสุขเดียวของเขา 🎯 ความขัดแย้งภายใน ```mermaid graph LR A[ต้องการเป็นที่เข้าใจ] --> B[แต่ขับไล่ทุกสิ่งที่เข้าใกล้] C[รู้สึกว่าตนทำเพื่อสมดุล] --> D[แต่สงสัยในความถูกต้อง] E[เกลียดชีวิต] --> F[แต่ต้องการมีชีวิต] ``` 🌪️ การเผชิญหน้ากับหนูดี ⚡ ความสนใจครั้งแรก เมื่อรู้สึกถึงพลังงานของจิตมารพิฆาตในตัวหนูดี "เธอมีกลิ่นแห่งการทำลายล้าง...แต่ก็มีกลิ่นแห่งชีวิต" 💥 การต่อสู้ทางปัญญา มารตณูพยายามโน้มน้าวจิตมารพิฆาต: "มาอยู่กับฉัน...เราจะสร้างจักรวาลที่สมบูรณ์แบบไร้ชีวิต" แต่กลับถูกหนูดีตอบโต้ด้วยปัญญา: "ท่านคิดว่าตนเป็นอิสระ...แต่ท่านเป็นทาสของความหิวต่างหาก" 🕊️ ช่วงเวลาแห่งการเข้าใจ คำพูดของหนูดีที่เปลี่ยนทุกอย่าง: "ท่านไม่ใช่ผู้คุมความตาย...ท่านคือนักโทษแห่งความตายต่างหาก" 🌈 การเปลี่ยนแปลงสู่เทพตณู ✨ กระบวนการเปลี่ยนแปลง 1. การยอมรับ: ยอมรับว่าตนเองต้องการมากกว่าความตาย 2. การเข้าใจ: เรียนรู้ว่าชีวิตและความตายเป็นส่วนประกอบของกันและกัน 3. การเปลี่ยนแปลง: จากการทำลายสู่การดูแลสมดุล 🎭 รูปลักษณ์ใหม่ · ร่างใหม่: เทพชายรูปงามในชุดสีเทาเงิน · ดวงตา: สีเงินเรืองรองแทนที่จะเป็นหลุมว่าง · พลัง: จากพลังงานมืดสู่พลังงานสมดุล 🛡️ หน้าที่ใหม่ ```python def new_responsibilities(): return { "balance_guardian": "รักษาสมดุลระหว่างชีวิตและความตาย", "soul_guide": "นำทางวิญญาณที่หลงทาง", "death_teacher": "สอนเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความตาย", "fear_transformer": "เปลี่ยนความกลัวเป็นความเข้าใจ" } ``` 📚 บทเรียนและปรัชญา 🪷 คำสอนจากมารตณู "ความตายไม่ใช่ศัตรู... แต่เป็นเพื่อนเดินทาง และการเข้าใจความตายคือการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง" 🌟 การพัฒนาปัญญา จากผู้ที่... · เคยเชื่อ: ความตายคือทางออกเดียว · มาเข้าใจ: ความตายคือส่วนหนึ่งของวงจร · ปัจจุบันสอน: การยอมรับทั้งชีวิตและความตาย 🌍 ความสัมพันธ์กับจักรวาล 🔗 การเชื่อมต่อใหม่ มารตณูในฐานะเทพตณูเรียนรู้ที่จะ: · รับรู้ความงามของชีวิต · เข้าใจคุณค่าของการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย · เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแทนที่จะต่อต้านมัน 🤝 ความสัมพันธ์กับโอปปาติกะ · กับหนูดี: ครูและมิตร · กับมายา: เพื่อนร่วมเรียนรู้ · กับเวทย์: คู่หูทางปัญญา 🏛️ บทบาทในสถาบันวิวัฒนาการจิต 🎓 อาจารย์พิเศษ สอนวิชา "ศิลปะแห่งการยอมรับความตาย" · การเข้าใจธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลง · การใช้ความกลัวเป็นครู · การพบความสงบในความไม่เที่ยง 💞 การเยียวยาจิตใจ ช่วยนักเรียนที่: · กลัวการเปลี่ยนแปลง · ติดอยู่กับอดีต · ต่อต้านธรรมชาติแห่งความตาย 🔮 อนาคตและพัฒนาการ 🚀 เป้าหมายใหม่ · การสร้างสมดุลระหว่างมิติ · การช่วยเหลือ entity อื่นๆ ให้พบการเปลี่ยนแปลง · การเป็นสะพานระหว่างโลกแห่งชีวิตและความตาย 🌌 การเดินทางต่อไป "ฉันเพิ่งเริ่มเข้าใจ... ว่าการเป็นเทพก็เหมือนการเป็นมาร ต่างต้องเรียนรู้และเติบโตไม่รู้จบ" 💫 บทสรุป: จากความมืดสู่แสงสว่าง จอมมารตณูคือตัวอย่างของ... "การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่ง" "ความเมตตาที่สามารถเปลี่ยน even the darkest heart" "และการเข้าใจที่สามารถรักษา even the deepest wound" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่มีใครชั่วร้ายโดยธรรมชาติ... มีแต่ผู้ที่หลงทางและรอคอยแสงสว่างนำทาง" และบางครั้ง... แสงสว่างนั้นอาจมาจากผู้ที่เราเคยเห็นว่าเป็นศัตรู🌟 --- คำคมสุดท้ายจากเทพตณู: "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย... แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน บัดนี้เราทั้งสองเป็นอิสระจากกันและกัน และในอิสรภาพนั้น...เราได้พบความเป็นเพื่อน" 🕊️✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อกฎหมายไซเบอร์กลายเป็นเครื่องมือปราบนักข่าว

    บทความจาก Columbia Journalism Review เปิดเผยว่า กฎหมายไซเบอร์ที่ออกแบบมาเพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ กำลังถูกใช้เพื่อกดขี่เสรีภาพสื่อในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกาและตะวันออกกลาง เช่น ไนจีเรีย ปากีสถาน จอร์แดน และไนเจอร์

    ตัวอย่างที่เด่นชัดคือกรณีของ Daniel Ojukwu นักข่าววัย 26 ปีจากไนจีเรีย ที่ถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อหาอย่างชัดเจน หลังจากเขาเขียนบทความเกี่ยวกับการทุจริตในสำนักงานประธานาธิบดี เขาถูกกล่าวหาว่าละเมิด Cybercrime Act ปี 2015 ซึ่งมีบทบัญญัติที่คลุมเครือ เช่น ห้ามเผยแพร่ข้อมูล “น่ารำคาญ” หรือ “หยาบคาย” ทางออนไลน์

    แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายในปี 2024 แต่ข้อความใหม่ยังคงเปิดช่องให้ตีความได้กว้าง เช่น การเผยแพร่ข้อมูล “เท็จโดยเจตนา” ที่อาจ “ทำให้เกิดความวุ่นวาย” หรือ “คุกคามชีวิต” ซึ่งยังคงถูกใช้เล่นงานนักข่าวสายสืบสวนอย่างต่อเนื่อง

    ประเทศอื่นก็มีแนวโน้มคล้ายกัน เช่น:
    ไนเจอร์ กลับมาใช้โทษจำคุกสำหรับการหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลที่ “กระทบศักดิ์ศรีมนุษย์”
    จอร์แดน ดำเนินคดีนักข่าวอย่างน้อย 15 คนภายใต้กฎหมายไซเบอร์ฉบับขยายปี 2023
    ปากีสถานและตุรกี ใช้กฎหมาย “ต่อต้านข่าวปลอม” เพื่อควบคุมเนื้อหาสื่อ

    นักวิจัยจาก Citizen Lab เตือนว่า กฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยลดข่าวปลอมจริง ๆ แต่กลับเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลควบคุมเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ และเมื่อประเทศประชาธิปไตยก็เริ่มออกกฎหมายคล้ายกัน ก็ยิ่งเปิดช่องให้รัฐบาลเผด็จการใช้เป็นข้ออ้างในการเซ็นเซอร์

    กฎหมายไซเบอร์ถูกใช้เพื่อปราบปรามนักข่าวในหลายประเทศ
    โดยเฉพาะผู้ที่เปิดโปงการทุจริตหรือวิพากษ์รัฐบาล

    Cybercrime Act ของไนจีเรียมีบทบัญญัติคลุมเครือ
    เช่น “ข้อมูลเท็จที่คุกคามชีวิต” หรือ “น่ารำคาญ”
    เปิดช่องให้ตีความและใช้เล่นงานนักข่าว

    นักข่าวถูกจับกุมโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน
    เช่นกรณี Daniel Ojukwu และทีม Informant247
    ถูกควบคุมตัวร่วมกับนักโทษทั่วไปในสภาพแย่

    กฎหมายคล้ายกันถูกใช้ในไนเจอร์ จอร์แดน ปากีสถาน และตุรกี
    เพิ่มโทษจำคุกสำหรับการเผยแพร่ข้อมูลที่ “กระทบความสงบ”
    ใช้ข้อหา “ข่าวปลอม” เป็นเครื่องมือควบคุมสื่อ

    นักวิจัยเตือนว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่ช่วยลด misinformation
    แต่เพิ่มอำนาจให้รัฐบาลควบคุมเนื้อหา
    ประเทศประชาธิปไตยที่ออกกฎหมายคล้ายกันยิ่งเปิดช่องให้เผด็จการเลียนแบบ

    https://www.cjr.org/analysis/nigeria-pakistan-jordan-cybercrime-laws-journalism.php
    🛑 เมื่อกฎหมายไซเบอร์กลายเป็นเครื่องมือปราบนักข่าว บทความจาก Columbia Journalism Review เปิดเผยว่า กฎหมายไซเบอร์ที่ออกแบบมาเพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ กำลังถูกใช้เพื่อกดขี่เสรีภาพสื่อในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกาและตะวันออกกลาง เช่น ไนจีเรีย ปากีสถาน จอร์แดน และไนเจอร์ ตัวอย่างที่เด่นชัดคือกรณีของ Daniel Ojukwu นักข่าววัย 26 ปีจากไนจีเรีย ที่ถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อหาอย่างชัดเจน หลังจากเขาเขียนบทความเกี่ยวกับการทุจริตในสำนักงานประธานาธิบดี เขาถูกกล่าวหาว่าละเมิด Cybercrime Act ปี 2015 ซึ่งมีบทบัญญัติที่คลุมเครือ เช่น ห้ามเผยแพร่ข้อมูล “น่ารำคาญ” หรือ “หยาบคาย” ทางออนไลน์ แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายในปี 2024 แต่ข้อความใหม่ยังคงเปิดช่องให้ตีความได้กว้าง เช่น การเผยแพร่ข้อมูล “เท็จโดยเจตนา” ที่อาจ “ทำให้เกิดความวุ่นวาย” หรือ “คุกคามชีวิต” ซึ่งยังคงถูกใช้เล่นงานนักข่าวสายสืบสวนอย่างต่อเนื่อง ประเทศอื่นก็มีแนวโน้มคล้ายกัน เช่น: 🎃 ไนเจอร์ กลับมาใช้โทษจำคุกสำหรับการหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลที่ “กระทบศักดิ์ศรีมนุษย์” 🎃 จอร์แดน ดำเนินคดีนักข่าวอย่างน้อย 15 คนภายใต้กฎหมายไซเบอร์ฉบับขยายปี 2023 🎃 ปากีสถานและตุรกี ใช้กฎหมาย “ต่อต้านข่าวปลอม” เพื่อควบคุมเนื้อหาสื่อ นักวิจัยจาก Citizen Lab เตือนว่า กฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยลดข่าวปลอมจริง ๆ แต่กลับเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลควบคุมเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ และเมื่อประเทศประชาธิปไตยก็เริ่มออกกฎหมายคล้ายกัน ก็ยิ่งเปิดช่องให้รัฐบาลเผด็จการใช้เป็นข้ออ้างในการเซ็นเซอร์ ✅ กฎหมายไซเบอร์ถูกใช้เพื่อปราบปรามนักข่าวในหลายประเทศ ➡️ โดยเฉพาะผู้ที่เปิดโปงการทุจริตหรือวิพากษ์รัฐบาล ✅ Cybercrime Act ของไนจีเรียมีบทบัญญัติคลุมเครือ ➡️ เช่น “ข้อมูลเท็จที่คุกคามชีวิต” หรือ “น่ารำคาญ” ➡️ เปิดช่องให้ตีความและใช้เล่นงานนักข่าว ✅ นักข่าวถูกจับกุมโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน ➡️ เช่นกรณี Daniel Ojukwu และทีม Informant247 ➡️ ถูกควบคุมตัวร่วมกับนักโทษทั่วไปในสภาพแย่ ✅ กฎหมายคล้ายกันถูกใช้ในไนเจอร์ จอร์แดน ปากีสถาน และตุรกี ➡️ เพิ่มโทษจำคุกสำหรับการเผยแพร่ข้อมูลที่ “กระทบความสงบ” ➡️ ใช้ข้อหา “ข่าวปลอม” เป็นเครื่องมือควบคุมสื่อ ✅ นักวิจัยเตือนว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่ช่วยลด misinformation ➡️ แต่เพิ่มอำนาจให้รัฐบาลควบคุมเนื้อหา ➡️ ประเทศประชาธิปไตยที่ออกกฎหมายคล้ายกันยิ่งเปิดช่องให้เผด็จการเลียนแบบ https://www.cjr.org/analysis/nigeria-pakistan-jordan-cybercrime-laws-journalism.php
    WWW.CJR.ORG
    How anti-cybercrime laws are being weaponized to repress journalism.
    Across the world, well-meaning laws intended to reduce online fraud and other scourges of the internet are being put to a very different use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 1

    เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ

    แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่

    มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย

    (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี
    ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา

    จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย)

    กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่

    แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 2

    หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า

    “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย

    เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา

    เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ!

    เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
    “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก

    หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง

    “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..”
    นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ

    สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า

    “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้”

    คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร

    นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง

    หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ

    นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 3

    Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild

    ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป

    เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา

    เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน

    นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้:

    ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา”
    Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง
    ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

    นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง

    จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 4

    Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ

    ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว
    แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย

    วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง

    New York
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 1 เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย) กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 2 หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ! เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..” นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้” คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 3 Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้: ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา” Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 4 Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง New York
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 873 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 4 – 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 4

    หลังจากนายTrotsky ออกเดินทางจากนครนิวยอร์คได้ไม่นาน เมื่อเรือ S S Kristainiafjord มาถึงเมือง Halifax ประเทศแคนาดา ในวันที่ 3 เมษายน 1917 Trotsky ก็ถูกทางการแคนาดานำตัวขึ้นจากเรือ คราวนี้เขาถูกตั้งข้อหาว่า เป็นนักโทษสงครามชาวเยอรมัน และถูกคุมตัวไว้ที่เมือง Amherst ที่ ค่ายกักกันนักโทษเยอรมัน ไม่ใช่อยู่คุกแบบชั้นหนี่งอีกแล้ว ส่วนเมียของ Trotsky และลูก อีก 2 คน รวมทั้งพรรคพวกอีก 5 คน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นคนรัสเซีย ก็ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกันนี้ด้วย

    เจ้าหน้าที่แคนาดาได้บันทึกราย ละเอียดเกี่ยวกับ Trotsky ไว้ในแบบฟอร์ม LB-1V หมายเลข 1098 ว่า “อายุ 37 ปี ลี้ภัยการเมือง อาชีพสื่อ เกิดที่เมือง Gromskty, Chuson รัสเซีย สัญชาติรัสเซีย” และTrotsky ได้เขียนชื่อเต็มของตัวเองในแบบฟอร์ม ว่า Leon Bromstein Trotsky

    Trotsky และคณะ ถูกให้นำตัวขึ้นจากเรือ S S Kristainiafjord โดยคำสั่งทางโทรเลขลงวันที่ 29 มี ค 1917 ส่งมาจากกองทัพเรือของอังกฤษ ทีลอนดอน มาที่ด่าน Halifax ในโทรเลขระบุว่า

    “ให้นำขึ้นจากเรือและคุมตัวไว้ เพื่อรอคำสั่ง เนื่องจากพวกสังคมนิยมกลุ่มนี้ กำลังเดินทางเพื่อไปทำการปฏิวัติรัฐบาลรัสเซียชุดปัจจุบัน โดย Trotsky รับเงินจำนวน 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกสังคมนิยมเยอรมัน”

    หลังจากรับโทรเลขของกองทัพเรือ กัปตัน O M Makins ก็แจ้งกลับไปทาง Halifax เมื่อวันที่ 1 เม.ย 1917 ว่า ได้ตรวจดูผู้โดยสารชาวรัสเซียที่มากับเรือ S S Kristainiafjord แล้ว พบว่ามี 6 คน ที่บอกว่าตนเองเป็นพวกสังคมนิยม และกัปตันเตรียมที่จะเชิญคนพวกนี้ขึ้นไปจากเรือ พร้อมด้วยเมียนาย Trotsky และลูก 2 คน เมื่อถึงเมือง Halifax

    วันที่ 7 เม.ย. 1917 เจ้าหน้าที่เมือง Ottawa บันทึกเกี่ยวกับเรื่องการกักตัวพวกสังคมนิยมชาวรัสเซียว่า ” เราได้รับโทรเลขยาวเหยียด จากกงสุลรัสเซียประจำ Montreal ประท้วง การกักตัวบุคคลดังกล่าว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยกงสุลใหญ่รัสเซียประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเราจะต้องปล่อยตัวพวกเขา เมื่อมีข้อพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นพวกสัมพันธมิตร ”

    (หมายเหตุ: ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้ง ที่ 1 รัสเซีย อยู่ฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ที่เรียกกันว่า ฝ่าย “สัมพันธมิตร” เพื่อรบ กับอีกฝ่าย ที่นำโดย เยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ )

    ข้อมูลชักเริ่มไปคนละทาง
    นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขจากทนายความในนิวยอร์ค ชื่อ N. Aleinikoff แจ้งไปยัง R.M. Coulter นายด่านที่เมือง Ottawa “ชาวรัสเซียลี้ภัยทางการเมือง ถูกกักตัวที่ Halifax และอยู่ค่ายกักกัน Amherst โปรดตรวจสอบสาเหตุของการกักตัว และแจ้งรายชื่อมาด้วย เชื่อว่าในฐานะเป็นผู้รักเสรีภาพ คุณคงจะดูแลพวกเขาอย่างดี”

    วันที่ 11 เม.ย. R.M. Coulter โทรเลขกลับไปหานาย Aleinikoff ว่า “ได้รับโทรเลขแล้ว จะเขียนกลับไปหาบ่ายนี้ คุณคงได้รับพรุ่งนี้เย็น”

    จดหมายของ R.M. Coulter ถึง Aleinikoff มีข้อความน่าสนใจ “……พวกเขาต้องสงสัยว่า โฆษณาชวนเชื่อให้คัดค้านรัฐบาลรัสเซียปัจจุบัน และถูกสงสัยว่า เป็นสายลับของเยอรมัน แต่พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกอ้าง พวกเขาไม่ได้ถูกกักตัวโดยแคนาดา แต่เป็นคำสั่งมาจากนายใหญ่ที่อังกฤษ และเราจะดูแลเขาอย่างดี….”

    Aleinikoff ติดต่อกับ Coulter อีกหลายครั้ง เพื่อบอกว่าตนเองสนิทสนมกับ Trotsky เป็นอย่างดี และการที่กลุ่มของ Trotsky แสดงอาการที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ก็เพราะไม่พอใจการกระทำของรัสเซียสมัยซาร์ ต่อพวกยิว แต่ขณะนี้พวกเขาก็ดูจะไม่มีปฏิกริยารุนแรงต่อผู้บริหารปัจจุบันของรัสเซีย(หมายถึงกลุ่ม Kerensky) จึงขอให้ Coulter ช่วยหาทางติดต่อพูดกับนายใหญ่ต ่อไปด้วย ในที่สุด R.M. Coulter ก็ส่งจดหมายทั้งหมดของ Aleinikoff ไปให้นายใหญ่ของตน คือ Major General Willoughby Gwatkin ที่แคนาดา ให้พิจารณา

    วันที่ 21 เม.ย. Gwatkin แจ้ง Coulter ว่า “เพื่อนของเรา พวกสังคมนิยมชาวรัสเซีย จะได้รับการปล่อยตัว และจะมีการจัดการให้พวกเขาเดินทางไปยุโรป ผู้ที่อนุมัติการปล่อยตัวกลุ่ม Trotsky คือนายใหญ่ที่ลอนดอน หวังว่าข่าวนี้คงเป็นที่พอใจกับทางนิวยอร์คอย่างยิ่ง”

    นาย Trotsky นี่ นอกจากน่าสงสัยว่า มีปลอกคอแล้ว เขาคงมีเส้นใหญ่อีกด้วย Coulter และ Gwatkin ถึงออกแรงเต็มที่ เพื่อให้ปล่อยตัว

    พวกเขาเกี่ยว หรือพัวพัน กันอย่างไร ?!!

    จากเอกสารที่ทางแคนาดา เปิดเผยภายหลังระบุว่า Coulter เป็นแพทย์ชาวไอริช จบแพทย์จากสก๊อตแลนด์ ส่วน Major General Willoughby Gwatkin เป็นทหารอังกฤษ ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่แคนาดา ตั้งแต่ ค.ศ.1905 ถึง 1918 ดูแล้วยังไม่เห็นความเชื่อมโยง ความเกี่ยว ความพัน ที่จะต้องให้ทั้ง 2 คน ช่วยกันออกแรง ให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนายTrotsky

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 5
    เรื่องการปล่อยตัวนาย Trotsky มันน่าสงสัย แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาชี้แจง ผ่านไปปีกว่า มีคนขี้สงสัย ออกมาเขียนทวง

    ในปี ค.ศ.1918 Colonel John Bayne Maclean นักธุรกิจชาวแคนาดา เจ้าของโรงพิมพ์ใหญ่ และมีความคุ้นเคยอย่างดี กับพวกข่าวกรองของแคนาดา ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนบทความเมื่อปี ค.ศ.1918 ลงในนิตยสารของเขาเอง เรื่อง “Why did We let Trotsky Go?” ทำไมเราถึงปล่อยตัว Trotsky?

    ใครคือ Trotsky ? Maclean บอกว่า Trotsky ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนเยอรมัน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษารัสเซียเสียอีก เขาอยู่ในกลุ่ม “Black Bond” ของเยอรมัน แต่ภายหลังเล่นละครว่า ถูกไล่ออกมาจากเบอร์ลินในปี ค.ศ.1914 แล้วมาโผล่อยู่ที่อเมริกา เพื่อรวบรวมพรรคพวกที่อเมริกาและแคนาดา จากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นรัสเซีย แต่ความจริง คนพวกนั้นเป็นเยอรมันกับออสเตรีย เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย

    นาย Maclean บรรยายต่อไปว่า: ทางการอังกฤษ รู้จากพรรคพวกที่เป็นคนรัสเซียว่า ทั้ง Kerensky, Lenin และหัวหน้าย่อยๆลงมา ต่างได้รับค่าจ้างจากเยอรมันทั้งนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 และมารู้ข้อมูลเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1916 ว่า Trotsky หลบมาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้น กลุ่ม Bomb Squad ของอเมริกา ก็ตามต่อ ต้นปี ค.ศ. 1916 มีรายงานหลุดมาว่า มีเจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่ง กำลังนั่งเรือเพื่อมานิวยอร์ค ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษประกบติดคนเยอรมันดังกล่าว ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ Halifax ภายหลังมีการขอโทษที่กักตัวไว้ และในที่สุดก็ปล่อยตัวไป ฝ่ายข่าวกรองไม่ยอมปล่อยมือ ทำการแกะรอยตามต่อ ไปพบตัวอยู่ในสำนักพิมพ์เก่าๆ แถวนิวยอร์คใช้ชื่อว่า Trotsky และรู้ว่าชื่อจริงคือ Braustein และเป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่คนรัสเซีย

    Maclean บอกว่า เงินลึกลับ 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกเยอรมันในนิวยอร์ค และการปล่อยตัว Trotsky มาจากคำขอร้องของ Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษเข้าใจว่า การปฏิวัติของ Kerensky จะทำให้รัสเซียยังอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตร และร่วมกันต่อสู้เยอรมัน แต่หลังจากมีการปล่อยตัว Trotsky ไปแล้วหลายเดือน ทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ที่รัสเซียและสามารถพูดภาษารัสเซียได้ รายงานไปทางลอนดอนและวอชิงตันว่า Kerensky เองก็เป็นคนเยอรมัน !
    ข่าวของนาย Maclean นี่ สงสัยต้องกรองแยะหน่อย

    ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือมาจากวงในระดับสูง ว่า Trotsky ได้ รับการปล่อยตัวจากคำร้องขอ ของสถานฑูตอังกฤษในวอชิงตัน ซึ่งถูกขอร้องโดยกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งทำการแทนใครบางคน…อีกต่อหนึ่ง ฝ่ายแคนาดาถูกสั่งให้แจ้งแก่สื่อว่า การปล่อยตัว Trotsky เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา

    ข่าวนี้จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่น่าสนใจกว่าข่าวของนาย Maclean

    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Trotsky เท่าที่มีจนถึงตอนนี้ มาจากหลายฝ่ายและดูสับสน แต่ก็พอจับความได้ว่า นาย Trotsky กำลังเดินทางจากนิวยอร์คไป Petrograd (คือเมือง St Petersberg ในปัจจุบัน) ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา ที่มีการอ้างว่า ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกาเป็นคนจัดการให้ โดยมีการพูดกันว่า นาย Trotsky จะไปทำการปฏิวัติรัสเซีย ให้สมบูรณ์ (ปฏิวัติรอบ 2 ?) ส่วนรัฐบาลอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัว Trotsky จากแคนาดา ในเดือน เม.ย. 1917 ด้วยเหตุผลใดยังไม่รู้

    ส่วนนาย Cranes คงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย ด้านหนึ่ง คงเชื่อมกับ Lincoln Steffens และอีกด้านอาจจะเชื่อมกับ Trotsky ขณะที่ Cranes ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ลูกชายของ Cranes เป็นผู้ช่วย ของรัฐมนตรีต่างประเทศ Robert Lansing ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างยิ่ง และ Cranes คนพ่อ ได้รับการรายงานเกี่ยวกับปฏิวัติบอลเซวิกอย่างละเอียดจากทางการ นอกจากนี้ Cranes น่าจะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

    ความน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเชื่อมโยง ของบุคคลด้านอเมริกา กับTrotsky นักปฏิวัติรัสเซียเท่านั้น แต่การที่ Trotsky บอกว่า รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional ของ Kerensky คงเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราว และเหมือนจะมีการปฏิวัติซ้ำตามมานั้น ตกลงมันเป็นเรื่องรู้กันอยู่ มวยล้มต้มคนดู ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ

    แต่ประเด็นสำคัญ ที่ต้องตามดูอย่างยิ่งคือ ตกลง Trotsky ทำการปฏิวัติรัสเซียให้ใคร มันเป็นการปฏิวัติ ตามอุดมการณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาเป็นเพียง “ผู้รับจ้าง” ให้ทำการปฏิวัติ และถ้าเป็น “ผู้รับจ้าง” ใครเป็นผู้จ้างเขา และผู้จ้าง Trotsky ทำไปเพื่ออะไร หรือ Trotsky เล่นบท 2 หน้า

    มีรายงานวันที่ 20 มีนาคม 1918 จากมอสโคว์ จากข่าวของ นสพ รัสเซีย Russkoe Slovo ว่า ได้มีการสัมภาษณ์ Trotsky ซึ่งพูดชัดเจนว่า การเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โซเวียตไม่มีทางเป็นมิตรกับพวกทุนนิยมอย่างอเมริกา มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ และเป็นไปไม่ได้ ที่อเมริกาจะมาสร้างสัมพันธ์กับเรา ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะคบค้ากับประเทศที่เป็นสังคมนายทุน

    ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานมาจากทางมอสโคว์เช่นเดียวกัน เป็นโทรเลขลงวันที่ 17 มีนาคม 1918 จากฑูต Francis ของอเมริกา ที่ประจำอยู่ที่รัสเซีย แจ้งไปทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาว่า “Trotsky ขอให้ทางเราส่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมา 5 คน เพื่อมาช่วยสำรวจกองทัพ รวมทั้งส่งคนและสิ่งของมาเพื่อจัดการเรื่องทางรถไฟ”

    โทรเลขดังกล่าวของฑูต Francis ดูเป็นการขัดและสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ของ Trotsky ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 4 – 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 4 หลังจากนายTrotsky ออกเดินทางจากนครนิวยอร์คได้ไม่นาน เมื่อเรือ S S Kristainiafjord มาถึงเมือง Halifax ประเทศแคนาดา ในวันที่ 3 เมษายน 1917 Trotsky ก็ถูกทางการแคนาดานำตัวขึ้นจากเรือ คราวนี้เขาถูกตั้งข้อหาว่า เป็นนักโทษสงครามชาวเยอรมัน และถูกคุมตัวไว้ที่เมือง Amherst ที่ ค่ายกักกันนักโทษเยอรมัน ไม่ใช่อยู่คุกแบบชั้นหนี่งอีกแล้ว ส่วนเมียของ Trotsky และลูก อีก 2 คน รวมทั้งพรรคพวกอีก 5 คน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นคนรัสเซีย ก็ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกันนี้ด้วย เจ้าหน้าที่แคนาดาได้บันทึกราย ละเอียดเกี่ยวกับ Trotsky ไว้ในแบบฟอร์ม LB-1V หมายเลข 1098 ว่า “อายุ 37 ปี ลี้ภัยการเมือง อาชีพสื่อ เกิดที่เมือง Gromskty, Chuson รัสเซีย สัญชาติรัสเซีย” และTrotsky ได้เขียนชื่อเต็มของตัวเองในแบบฟอร์ม ว่า Leon Bromstein Trotsky Trotsky และคณะ ถูกให้นำตัวขึ้นจากเรือ S S Kristainiafjord โดยคำสั่งทางโทรเลขลงวันที่ 29 มี ค 1917 ส่งมาจากกองทัพเรือของอังกฤษ ทีลอนดอน มาที่ด่าน Halifax ในโทรเลขระบุว่า “ให้นำขึ้นจากเรือและคุมตัวไว้ เพื่อรอคำสั่ง เนื่องจากพวกสังคมนิยมกลุ่มนี้ กำลังเดินทางเพื่อไปทำการปฏิวัติรัฐบาลรัสเซียชุดปัจจุบัน โดย Trotsky รับเงินจำนวน 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกสังคมนิยมเยอรมัน” หลังจากรับโทรเลขของกองทัพเรือ กัปตัน O M Makins ก็แจ้งกลับไปทาง Halifax เมื่อวันที่ 1 เม.ย 1917 ว่า ได้ตรวจดูผู้โดยสารชาวรัสเซียที่มากับเรือ S S Kristainiafjord แล้ว พบว่ามี 6 คน ที่บอกว่าตนเองเป็นพวกสังคมนิยม และกัปตันเตรียมที่จะเชิญคนพวกนี้ขึ้นไปจากเรือ พร้อมด้วยเมียนาย Trotsky และลูก 2 คน เมื่อถึงเมือง Halifax วันที่ 7 เม.ย. 1917 เจ้าหน้าที่เมือง Ottawa บันทึกเกี่ยวกับเรื่องการกักตัวพวกสังคมนิยมชาวรัสเซียว่า ” เราได้รับโทรเลขยาวเหยียด จากกงสุลรัสเซียประจำ Montreal ประท้วง การกักตัวบุคคลดังกล่าว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยกงสุลใหญ่รัสเซียประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเราจะต้องปล่อยตัวพวกเขา เมื่อมีข้อพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นพวกสัมพันธมิตร ” (หมายเหตุ: ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้ง ที่ 1 รัสเซีย อยู่ฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ที่เรียกกันว่า ฝ่าย “สัมพันธมิตร” เพื่อรบ กับอีกฝ่าย ที่นำโดย เยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ ) ข้อมูลชักเริ่มไปคนละทาง นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขจากทนายความในนิวยอร์ค ชื่อ N. Aleinikoff แจ้งไปยัง R.M. Coulter นายด่านที่เมือง Ottawa “ชาวรัสเซียลี้ภัยทางการเมือง ถูกกักตัวที่ Halifax และอยู่ค่ายกักกัน Amherst โปรดตรวจสอบสาเหตุของการกักตัว และแจ้งรายชื่อมาด้วย เชื่อว่าในฐานะเป็นผู้รักเสรีภาพ คุณคงจะดูแลพวกเขาอย่างดี” วันที่ 11 เม.ย. R.M. Coulter โทรเลขกลับไปหานาย Aleinikoff ว่า “ได้รับโทรเลขแล้ว จะเขียนกลับไปหาบ่ายนี้ คุณคงได้รับพรุ่งนี้เย็น” จดหมายของ R.M. Coulter ถึง Aleinikoff มีข้อความน่าสนใจ “……พวกเขาต้องสงสัยว่า โฆษณาชวนเชื่อให้คัดค้านรัฐบาลรัสเซียปัจจุบัน และถูกสงสัยว่า เป็นสายลับของเยอรมัน แต่พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกอ้าง พวกเขาไม่ได้ถูกกักตัวโดยแคนาดา แต่เป็นคำสั่งมาจากนายใหญ่ที่อังกฤษ และเราจะดูแลเขาอย่างดี….” Aleinikoff ติดต่อกับ Coulter อีกหลายครั้ง เพื่อบอกว่าตนเองสนิทสนมกับ Trotsky เป็นอย่างดี และการที่กลุ่มของ Trotsky แสดงอาการที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ก็เพราะไม่พอใจการกระทำของรัสเซียสมัยซาร์ ต่อพวกยิว แต่ขณะนี้พวกเขาก็ดูจะไม่มีปฏิกริยารุนแรงต่อผู้บริหารปัจจุบันของรัสเซีย(หมายถึงกลุ่ม Kerensky) จึงขอให้ Coulter ช่วยหาทางติดต่อพูดกับนายใหญ่ต ่อไปด้วย ในที่สุด R.M. Coulter ก็ส่งจดหมายทั้งหมดของ Aleinikoff ไปให้นายใหญ่ของตน คือ Major General Willoughby Gwatkin ที่แคนาดา ให้พิจารณา วันที่ 21 เม.ย. Gwatkin แจ้ง Coulter ว่า “เพื่อนของเรา พวกสังคมนิยมชาวรัสเซีย จะได้รับการปล่อยตัว และจะมีการจัดการให้พวกเขาเดินทางไปยุโรป ผู้ที่อนุมัติการปล่อยตัวกลุ่ม Trotsky คือนายใหญ่ที่ลอนดอน หวังว่าข่าวนี้คงเป็นที่พอใจกับทางนิวยอร์คอย่างยิ่ง” นาย Trotsky นี่ นอกจากน่าสงสัยว่า มีปลอกคอแล้ว เขาคงมีเส้นใหญ่อีกด้วย Coulter และ Gwatkin ถึงออกแรงเต็มที่ เพื่อให้ปล่อยตัว พวกเขาเกี่ยว หรือพัวพัน กันอย่างไร ?!! จากเอกสารที่ทางแคนาดา เปิดเผยภายหลังระบุว่า Coulter เป็นแพทย์ชาวไอริช จบแพทย์จากสก๊อตแลนด์ ส่วน Major General Willoughby Gwatkin เป็นทหารอังกฤษ ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่แคนาดา ตั้งแต่ ค.ศ.1905 ถึง 1918 ดูแล้วยังไม่เห็นความเชื่อมโยง ความเกี่ยว ความพัน ที่จะต้องให้ทั้ง 2 คน ช่วยกันออกแรง ให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนายTrotsky นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 5 เรื่องการปล่อยตัวนาย Trotsky มันน่าสงสัย แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาชี้แจง ผ่านไปปีกว่า มีคนขี้สงสัย ออกมาเขียนทวง ในปี ค.ศ.1918 Colonel John Bayne Maclean นักธุรกิจชาวแคนาดา เจ้าของโรงพิมพ์ใหญ่ และมีความคุ้นเคยอย่างดี กับพวกข่าวกรองของแคนาดา ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนบทความเมื่อปี ค.ศ.1918 ลงในนิตยสารของเขาเอง เรื่อง “Why did We let Trotsky Go?” ทำไมเราถึงปล่อยตัว Trotsky? ใครคือ Trotsky ? Maclean บอกว่า Trotsky ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนเยอรมัน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษารัสเซียเสียอีก เขาอยู่ในกลุ่ม “Black Bond” ของเยอรมัน แต่ภายหลังเล่นละครว่า ถูกไล่ออกมาจากเบอร์ลินในปี ค.ศ.1914 แล้วมาโผล่อยู่ที่อเมริกา เพื่อรวบรวมพรรคพวกที่อเมริกาและแคนาดา จากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นรัสเซีย แต่ความจริง คนพวกนั้นเป็นเยอรมันกับออสเตรีย เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย นาย Maclean บรรยายต่อไปว่า: ทางการอังกฤษ รู้จากพรรคพวกที่เป็นคนรัสเซียว่า ทั้ง Kerensky, Lenin และหัวหน้าย่อยๆลงมา ต่างได้รับค่าจ้างจากเยอรมันทั้งนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 และมารู้ข้อมูลเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1916 ว่า Trotsky หลบมาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้น กลุ่ม Bomb Squad ของอเมริกา ก็ตามต่อ ต้นปี ค.ศ. 1916 มีรายงานหลุดมาว่า มีเจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่ง กำลังนั่งเรือเพื่อมานิวยอร์ค ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษประกบติดคนเยอรมันดังกล่าว ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ Halifax ภายหลังมีการขอโทษที่กักตัวไว้ และในที่สุดก็ปล่อยตัวไป ฝ่ายข่าวกรองไม่ยอมปล่อยมือ ทำการแกะรอยตามต่อ ไปพบตัวอยู่ในสำนักพิมพ์เก่าๆ แถวนิวยอร์คใช้ชื่อว่า Trotsky และรู้ว่าชื่อจริงคือ Braustein และเป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่คนรัสเซีย Maclean บอกว่า เงินลึกลับ 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกเยอรมันในนิวยอร์ค และการปล่อยตัว Trotsky มาจากคำขอร้องของ Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษเข้าใจว่า การปฏิวัติของ Kerensky จะทำให้รัสเซียยังอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตร และร่วมกันต่อสู้เยอรมัน แต่หลังจากมีการปล่อยตัว Trotsky ไปแล้วหลายเดือน ทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ที่รัสเซียและสามารถพูดภาษารัสเซียได้ รายงานไปทางลอนดอนและวอชิงตันว่า Kerensky เองก็เป็นคนเยอรมัน ! ข่าวของนาย Maclean นี่ สงสัยต้องกรองแยะหน่อย ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือมาจากวงในระดับสูง ว่า Trotsky ได้ รับการปล่อยตัวจากคำร้องขอ ของสถานฑูตอังกฤษในวอชิงตัน ซึ่งถูกขอร้องโดยกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งทำการแทนใครบางคน…อีกต่อหนึ่ง ฝ่ายแคนาดาถูกสั่งให้แจ้งแก่สื่อว่า การปล่อยตัว Trotsky เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ข่าวนี้จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่น่าสนใจกว่าข่าวของนาย Maclean ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Trotsky เท่าที่มีจนถึงตอนนี้ มาจากหลายฝ่ายและดูสับสน แต่ก็พอจับความได้ว่า นาย Trotsky กำลังเดินทางจากนิวยอร์คไป Petrograd (คือเมือง St Petersberg ในปัจจุบัน) ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา ที่มีการอ้างว่า ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกาเป็นคนจัดการให้ โดยมีการพูดกันว่า นาย Trotsky จะไปทำการปฏิวัติรัสเซีย ให้สมบูรณ์ (ปฏิวัติรอบ 2 ?) ส่วนรัฐบาลอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัว Trotsky จากแคนาดา ในเดือน เม.ย. 1917 ด้วยเหตุผลใดยังไม่รู้ ส่วนนาย Cranes คงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย ด้านหนึ่ง คงเชื่อมกับ Lincoln Steffens และอีกด้านอาจจะเชื่อมกับ Trotsky ขณะที่ Cranes ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ลูกชายของ Cranes เป็นผู้ช่วย ของรัฐมนตรีต่างประเทศ Robert Lansing ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างยิ่ง และ Cranes คนพ่อ ได้รับการรายงานเกี่ยวกับปฏิวัติบอลเซวิกอย่างละเอียดจากทางการ นอกจากนี้ Cranes น่าจะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ความน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเชื่อมโยง ของบุคคลด้านอเมริกา กับTrotsky นักปฏิวัติรัสเซียเท่านั้น แต่การที่ Trotsky บอกว่า รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional ของ Kerensky คงเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราว และเหมือนจะมีการปฏิวัติซ้ำตามมานั้น ตกลงมันเป็นเรื่องรู้กันอยู่ มวยล้มต้มคนดู ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ แต่ประเด็นสำคัญ ที่ต้องตามดูอย่างยิ่งคือ ตกลง Trotsky ทำการปฏิวัติรัสเซียให้ใคร มันเป็นการปฏิวัติ ตามอุดมการณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาเป็นเพียง “ผู้รับจ้าง” ให้ทำการปฏิวัติ และถ้าเป็น “ผู้รับจ้าง” ใครเป็นผู้จ้างเขา และผู้จ้าง Trotsky ทำไปเพื่ออะไร หรือ Trotsky เล่นบท 2 หน้า มีรายงานวันที่ 20 มีนาคม 1918 จากมอสโคว์ จากข่าวของ นสพ รัสเซีย Russkoe Slovo ว่า ได้มีการสัมภาษณ์ Trotsky ซึ่งพูดชัดเจนว่า การเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โซเวียตไม่มีทางเป็นมิตรกับพวกทุนนิยมอย่างอเมริกา มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ และเป็นไปไม่ได้ ที่อเมริกาจะมาสร้างสัมพันธ์กับเรา ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะคบค้ากับประเทศที่เป็นสังคมนายทุน ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานมาจากทางมอสโคว์เช่นเดียวกัน เป็นโทรเลขลงวันที่ 17 มีนาคม 1918 จากฑูต Francis ของอเมริกา ที่ประจำอยู่ที่รัสเซีย แจ้งไปทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาว่า “Trotsky ขอให้ทางเราส่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมา 5 คน เพื่อมาช่วยสำรวจกองทัพ รวมทั้งส่งคนและสิ่งของมาเพื่อจัดการเรื่องทางรถไฟ” โทรเลขดังกล่าวของฑูต Francis ดูเป็นการขัดและสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ของ Trotsky ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีคะคุณอาสนธิ"หลายเดือนก่อนมีกระแสปฏิวัติยึดอำนาจ สีจินผิงจริงๆใช่ไหมคะ เพราะเขาไปขอเข้าพบ หูจินเทาแต่เขาอ้างว่าสุขภาพไม่ดีไม่ออกมาพบให้เลขาเอาหนังสือ8ข้อออกมาอ่านให้ฟังมันเหมือนตบหน้าสีจินผิงอย่างแรง อย่างข้อแรก(1).บอกเธอมาพบฉันไม่ใช่เพราะอยากพบฉันแต่เธอมาเพื่ออำนาจของเธอ วันนั้นเธอเชิญฉันออกกลางคันอ้างสุขภาพฉัน แต่เธอต้องการอยู่เป็น ปธน.ตลอดไป(2).เธอเองก็70แล้วนะจะครองอำนาจแบบนี้ต่อไปคิดหรือว่าคนๆเดียวอยู่ในอำนาจจะคุ้มครองทุกคนเบื้องหลังเธอได้งั้นหรือ(3).ตอนนี้ทุกคนในประเทศตกอยู่ในความกลัวเธอสั่งประหารชีวิตนายก...จำชื่อไม่ได้คะ อ้างปรามคอรัปชั่นแล้วพวกเธอทำอะไร ฉันเสียใจจนวันนี้ที่ฉันไม่ได้ช่วยเขาๆเป็นคนดีทำงานกับพรรคมาอย่างซื่อสัตย์ แล้วนักวิชาการคนนั้นเขาตายอย่างผิดธรรมชาติ ทำไม เขาก็แค่นักวิชาการเขาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก(4).เธอควรลงจากตำแหน่งได้แล้วตามกฎพรรคคอมมิวนืสต์ไม่ใช่จะอยู่ตลอดไปแบบนี้(5).จะมีการประชุมพรรคในวันที่20-25/10/2568นี้ไม่รู้วันนั้นพรรคจะสรุป..
    ?ข้ออื่นๆหนูเองก็จำไม่ได้แล้วแต่เห็นว่าหูจินเทาเขารู้ว่าสีจินผิงคอรัปชั่นกับพวกทำกันเป็นขบวนการทั้งในประเทศและนอกประเทศ ใช้วงการบันเทิงของรัฐบังหน้าแท้จริงใช้สำหรับฟอกเงินสกปรกทั้งค้าอาวุธ,ยา,มนุษย์(อวัยวะ),ธุรกิจในนามครอบครัวการสร้างทางรถไฟในไทยไม่ใช่ในนามรัฐบาลแต่เป็นส่วนตัว"#พระเอกหนุ่มหลายคนในวงการถูกนำชื่อไปเป็นบัญชีม้าจัดตั้งบริษัทในนามชื่อเขาสัญญาทาสที่เซ็นแล้วห้ามออกถ้าออกตายซึ้งเกิดขึ้นสะสมมานานมากๆแล้วหลายคนเสียชีวิตผิดธรรมชาติอวัยวะภายในหายหมดเลย...!!!"กรณีล่าสุดคือ #YUMENGLONG โด่งดังและน่าสงสารมากเขาถูกเลือกตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมังกรสีแดงพูดกับเขาว่ารักษาตัวดีๆนะอีก12ปี.มีอะไรต้องทำร่วมกันก็ครบในปีนี้เขาถูกควบคุมตัวเหมือนนักโทษไม่มีอิสรภาพใดๆเขาอยากออกจากสังกัดๆอื่นยอมจ่ายชดเชยให้แต่ค่ายนี้ก็ไม่ยอมปล่อยกฎใต้โต๊ะคือต้องยอมบำเรอกามให้พวกมันถูกลวงละเมิดรังแกทำร้ายมาตลอดล่าสุดให้เขาไปพบผู้หญิงคนหนึ่งแต่เขาปฏิเสธและกลับไปบ้านที่ อุรุมชี ซินเจียงอุยกูร์เขตปกครองตนเองสอนหนังสือเด็กบนเขา3ปีสัญญาต้นสังกัดหมดแล้วเขากลับมาเข้าสังกัดใหม่แต่ค่ายเดิมก็ยังไม่ยอมปล่อยเพราะเขารู้ความลับพวกมันมากเขาแอบเก็บข้อมูลลับทุกอย่างไว้ใน"USB..เพื่อต่อรองขอเป็นอิสระจากสังกัดแต่ก็ยังพักอยู่ในคอนโดสังกัดพวกมันอยู่จึงมีอันตรายมาก มีคำสั่งธงแดงลงมาให้ประหารชีวิตเขาจึงมีอุบายจัดงานปาร์ตี้ บ.นี้ปกติก็บังคับให้ดาราในสังกัดต้องไปดื่มกับพวกมันอยู่แล้ว อวี่เหมิงหลงไม่ชอบดื่มนางนกต่อและเพื่อนสนิทมาหลอกเขาถูกจับขังไว้ในชั้นใต้ดินในอาคาร "Art798..บังคับให้สตรีมสดโดยเหมือนปกติแต่คนดูกังเกตุเห็นเงาสะท้อนจากขวดน้ำดื่มว่าเป็นห้องแคบๆฉาบซีเมนต์หยาบๆไม่สม่ำเสมอ"Yu..เขารู้ว่าเขาต้องตายแน่ๆเพราะมันรู้ว่าเขาแอบบันทึกข้อมูลการฟอกเงินของพวกมันไว้ต้องปิดปาก อีกสิ่งที่สำคัญมากก็คือใช้เขาเป็นเหยื่อในพิธีบูชายัญในแบบสมัยโบราณคือมีตัวตายตัวแทนเขาเกิดวันเดียวกับผู้นำ15ชื่อของเขา"Yumenglong แปลว่ามังกรเอาชีวิตเขาขโมยเวลาและโชควาสนาบารมีของเขาไปให้ผู้นำๆที่นำความลับไปขายให้ไส้ศึกด้วย(แดนอาทิตย์อุทัย)ศัตรูเก่าเขาไม่ยอมลงง่ายๆเขาจะสู้ทุกทางเพื่ออำนาจของตัวเองทำพิธีแลกเปลี่ยนวิญญาณความเชื่อตั้งแต่สมัยราชวงค์(ปล.จำสมัยไม่ได้)เขากลับมาเลยโดนจัดการทันทีวิธีที่ทรมานและโหดร้ายมากทั้งถอดเล็บสดๆถอนฟันเกือบหมดปากเหลือไว้ 1 ซี่เอาเส้นผมไปทำพืธีที่เทือกเขาทิเบตเขาโดนผ่าท้องสดๆมันโหดร้ายสุดจริงๆเขารู้มานานมากแล้วก็จริงแต่หนีไม่ได้ครอบครัวโดนข่มขู่เขาถูกฆ่าอย่างทารุณเขาไม่ได้เต็มใจเสียสละเพื่อผู้นำแต่โดนบังคับและวางยาพิษใส่ในเครื่องดื่มให้เขาดื่มร่างกายบอบช้ำมากแม่เขาถูกตำรวจข่มขู่ให้เซ็นยอมความแต่เธอไม่ยอมญาติของเขาถูกฆ่าน้องสาวกลายเป็นบ้าแม่อยู่ในICU แม่เขาต้องการศพลูกไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านพวกมันไม่ให้ จัดงานศพปลอมๆว่าจะให้แต่เถ้ากระดูกไป แต่ก็ไม่ใช่YUๆร่างถูกเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดินNO4ช่อง14...มันเอาศพใครมาเผานะหลอกลวงสังคมสั่งลบคลิปหนังละครของเขาออกจากสื่อทั้งหมดห้ามใครโพตส์ชื่อลงโซเชี่ยลเด็ดขาดโดนปรามรุนแรงแบนและโดนคุมตัวด้วย เคยคิดว่าสีจินผิงเป็นคนดี หนูมองผิดอีกตามเคยเศร้าใจ#39วันแล้วหนูนอนไม่หลับเลยสะเทือนใจมาก
    สวัสดีคะคุณอาสนธิ"หลายเดือนก่อนมีกระแสปฏิวัติยึดอำนาจ สีจินผิงจริงๆใช่ไหมคะ เพราะเขาไปขอเข้าพบ หูจินเทาแต่เขาอ้างว่าสุขภาพไม่ดีไม่ออกมาพบให้เลขาเอาหนังสือ8ข้อออกมาอ่านให้ฟังมันเหมือนตบหน้าสีจินผิงอย่างแรง อย่างข้อแรก(1).บอกเธอมาพบฉันไม่ใช่เพราะอยากพบฉันแต่เธอมาเพื่ออำนาจของเธอ วันนั้นเธอเชิญฉันออกกลางคันอ้างสุขภาพฉัน แต่เธอต้องการอยู่เป็น ปธน.ตลอดไป(2).เธอเองก็70แล้วนะจะครองอำนาจแบบนี้ต่อไปคิดหรือว่าคนๆเดียวอยู่ในอำนาจจะคุ้มครองทุกคนเบื้องหลังเธอได้งั้นหรือ(3).ตอนนี้ทุกคนในประเทศตกอยู่ในความกลัวเธอสั่งประหารชีวิตนายก...จำชื่อไม่ได้คะ อ้างปรามคอรัปชั่นแล้วพวกเธอทำอะไร ฉันเสียใจจนวันนี้ที่ฉันไม่ได้ช่วยเขาๆเป็นคนดีทำงานกับพรรคมาอย่างซื่อสัตย์ แล้วนักวิชาการคนนั้นเขาตายอย่างผิดธรรมชาติ ทำไม เขาก็แค่นักวิชาการเขาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก(4).เธอควรลงจากตำแหน่งได้แล้วตามกฎพรรคคอมมิวนืสต์ไม่ใช่จะอยู่ตลอดไปแบบนี้(5).จะมีการประชุมพรรคในวันที่20-25/10/2568นี้ไม่รู้วันนั้นพรรคจะสรุป.. ?ข้ออื่นๆหนูเองก็จำไม่ได้แล้วแต่เห็นว่าหูจินเทาเขารู้ว่าสีจินผิงคอรัปชั่นกับพวกทำกันเป็นขบวนการทั้งในประเทศและนอกประเทศ ใช้วงการบันเทิงของรัฐบังหน้าแท้จริงใช้สำหรับฟอกเงินสกปรกทั้งค้าอาวุธ,ยา,มนุษย์(อวัยวะ),ธุรกิจในนามครอบครัวการสร้างทางรถไฟในไทยไม่ใช่ในนามรัฐบาลแต่เป็นส่วนตัว"#พระเอกหนุ่มหลายคนในวงการถูกนำชื่อไปเป็นบัญชีม้าจัดตั้งบริษัทในนามชื่อเขาสัญญาทาสที่เซ็นแล้วห้ามออกถ้าออกตายซึ้งเกิดขึ้นสะสมมานานมากๆแล้วหลายคนเสียชีวิตผิดธรรมชาติอวัยวะภายในหายหมดเลย...!!!"กรณีล่าสุดคือ #YUMENGLONG โด่งดังและน่าสงสารมากเขาถูกเลือกตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมังกรสีแดงพูดกับเขาว่ารักษาตัวดีๆนะอีก12ปี.มีอะไรต้องทำร่วมกันก็ครบในปีนี้เขาถูกควบคุมตัวเหมือนนักโทษไม่มีอิสรภาพใดๆเขาอยากออกจากสังกัดๆอื่นยอมจ่ายชดเชยให้แต่ค่ายนี้ก็ไม่ยอมปล่อยกฎใต้โต๊ะคือต้องยอมบำเรอกามให้พวกมันถูกลวงละเมิดรังแกทำร้ายมาตลอดล่าสุดให้เขาไปพบผู้หญิงคนหนึ่งแต่เขาปฏิเสธและกลับไปบ้านที่ อุรุมชี ซินเจียงอุยกูร์เขตปกครองตนเองสอนหนังสือเด็กบนเขา3ปีสัญญาต้นสังกัดหมดแล้วเขากลับมาเข้าสังกัดใหม่แต่ค่ายเดิมก็ยังไม่ยอมปล่อยเพราะเขารู้ความลับพวกมันมากเขาแอบเก็บข้อมูลลับทุกอย่างไว้ใน"USB..เพื่อต่อรองขอเป็นอิสระจากสังกัดแต่ก็ยังพักอยู่ในคอนโดสังกัดพวกมันอยู่จึงมีอันตรายมาก มีคำสั่งธงแดงลงมาให้ประหารชีวิตเขาจึงมีอุบายจัดงานปาร์ตี้ บ.นี้ปกติก็บังคับให้ดาราในสังกัดต้องไปดื่มกับพวกมันอยู่แล้ว อวี่เหมิงหลงไม่ชอบดื่มนางนกต่อและเพื่อนสนิทมาหลอกเขาถูกจับขังไว้ในชั้นใต้ดินในอาคาร "Art798..บังคับให้สตรีมสดโดยเหมือนปกติแต่คนดูกังเกตุเห็นเงาสะท้อนจากขวดน้ำดื่มว่าเป็นห้องแคบๆฉาบซีเมนต์หยาบๆไม่สม่ำเสมอ"Yu..เขารู้ว่าเขาต้องตายแน่ๆเพราะมันรู้ว่าเขาแอบบันทึกข้อมูลการฟอกเงินของพวกมันไว้ต้องปิดปาก อีกสิ่งที่สำคัญมากก็คือใช้เขาเป็นเหยื่อในพิธีบูชายัญในแบบสมัยโบราณคือมีตัวตายตัวแทนเขาเกิดวันเดียวกับผู้นำ15ชื่อของเขา"Yumenglong แปลว่ามังกรเอาชีวิตเขาขโมยเวลาและโชควาสนาบารมีของเขาไปให้ผู้นำๆที่นำความลับไปขายให้ไส้ศึกด้วย(แดนอาทิตย์อุทัย)ศัตรูเก่าเขาไม่ยอมลงง่ายๆเขาจะสู้ทุกทางเพื่ออำนาจของตัวเองทำพิธีแลกเปลี่ยนวิญญาณความเชื่อตั้งแต่สมัยราชวงค์(ปล.จำสมัยไม่ได้)เขากลับมาเลยโดนจัดการทันทีวิธีที่ทรมานและโหดร้ายมากทั้งถอดเล็บสดๆถอนฟันเกือบหมดปากเหลือไว้ 1 ซี่เอาเส้นผมไปทำพืธีที่เทือกเขาทิเบตเขาโดนผ่าท้องสดๆมันโหดร้ายสุดจริงๆเขารู้มานานมากแล้วก็จริงแต่หนีไม่ได้ครอบครัวโดนข่มขู่เขาถูกฆ่าอย่างทารุณเขาไม่ได้เต็มใจเสียสละเพื่อผู้นำแต่โดนบังคับและวางยาพิษใส่ในเครื่องดื่มให้เขาดื่มร่างกายบอบช้ำมากแม่เขาถูกตำรวจข่มขู่ให้เซ็นยอมความแต่เธอไม่ยอมญาติของเขาถูกฆ่าน้องสาวกลายเป็นบ้าแม่อยู่ในICU แม่เขาต้องการศพลูกไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านพวกมันไม่ให้ จัดงานศพปลอมๆว่าจะให้แต่เถ้ากระดูกไป แต่ก็ไม่ใช่YUๆร่างถูกเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดินNO4ช่อง14...มันเอาศพใครมาเผานะหลอกลวงสังคมสั่งลบคลิปหนังละครของเขาออกจากสื่อทั้งหมดห้ามใครโพตส์ชื่อลงโซเชี่ยลเด็ดขาดโดนปรามรุนแรงแบนและโดนคุมตัวด้วย เคยคิดว่าสีจินผิงเป็นคนดี หนูมองผิดอีกตามเคย🥺😭😔เศร้าใจ🖤#39วันแล้วหนูนอนไม่หลับเลยสะเทือนใจมาก
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 754 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • คปท.จี้ ป.ป.ช. ชี้มูลเพิ่มโทษ "ทักษิณ" พักชั้น 14 ฐานสนับสนุนให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
    https://www.thai-tai.tv/news/21827/
    .
    #ไทยไท #คปท #ปปช #ทักษิณ #มาตรา157 #พักโทษ #นักโทษชั้น14
    คปท.จี้ ป.ป.ช. ชี้มูลเพิ่มโทษ "ทักษิณ" พักชั้น 14 ฐานสนับสนุนให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ https://www.thai-tai.tv/news/21827/ . #ไทยไท #คปท #ปปช #ทักษิณ #มาตรา157 #พักโทษ #นักโทษชั้น14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮามาสส่งรายชื่อนักโทษปาเลสไตน์ที่ต้องการให้ปล่อยตัวเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกันอิสราเอล เผยการเจรจาที่อียิปต์เป็นไปด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรีกาตาร์ ตลอดจนถึงผู้แทนอาวุโสของอเมริกาและตุรกีจะร่วมหารือด้วย ขณะที่ทรัมป์เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสันติภาพในตะวันออกกลาง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000096487

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ฮามาสส่งรายชื่อนักโทษปาเลสไตน์ที่ต้องการให้ปล่อยตัวเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกันอิสราเอล เผยการเจรจาที่อียิปต์เป็นไปด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรีกาตาร์ ตลอดจนถึงผู้แทนอาวุโสของอเมริกาและตุรกีจะร่วมหารือด้วย ขณะที่ทรัมป์เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสันติภาพในตะวันออกกลาง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000096487 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 705 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อวิศวกรซอฟต์แวร์ถูกขอให้ทำสิ่งผิดกฎหมาย — บทเรียนจาก FTX, Frank และ Pollen ที่อาจช่วยคุณไม่ต้องใส่ชุดนักโทษ”

    ในโลกของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยโค้ดและข้อมูล วิศวกรซอฟต์แวร์มักถูกมองว่าเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ แต่เมื่อคำสั่งจากผู้บริหารกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พวกเขากลับกลายเป็น “ผู้ร่วมกระทำผิด” ได้โดยไม่ตั้งใจ บทความจาก The Pragmatic Engineer ได้รวบรวมกรณีจริง 3 เรื่อง ที่วิศวกรถูกขอให้ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย — และผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    กรณีแรกคือ Nishad Singh จาก FTX ซึ่งในปี 2022 ได้รับรู้ว่า Alameda Research กำลังใช้เงินลูกค้าจาก FTX ไปกว่า 13 พันล้านดอลลาร์ เขารู้สึกตกใจและจัดประชุมทันที แต่กลับเลือกที่จะ “อยู่ต่อเพื่อช่วยแก้ไข” แทนที่จะลาออกหรือแจ้งความ สุดท้ายเขาได้รับเงินกู้ 3.7 ล้านดอลลาร์จากบริษัท และต้องรับโทษทางกฎหมาย แม้จะได้รับการลดโทษเหลือเพียงการควบคุมตัว 3 ปี แต่ก็เป็นบทเรียนที่ชัดเจนว่า “การอยู่ต่อหลังรู้ว่ามีการโกง ไม่ใช่ทางออก”

    กรณีที่สองคือวิศวกรจาก Frank ซึ่งถูก CEO ขอให้สร้างข้อมูลลูกค้าเทียมกว่า 4.2 ล้านรายเพื่อให้บริษัทดูมีมูลค่ามากขึ้นก่อนขายให้ JPMorgan วิศวกรคนนั้นปฏิเสธทันที และส่งเฉพาะข้อมูลจริงที่มีอยู่ประมาณ 293,000 ราย สุดท้าย CEO ถูกจับและถูกตัดสินจำคุก 7 ปี ส่วนวิศวกรรอดพ้นจากทุกข้อกล่าวหา

    กรณีสุดท้ายคือบริษัท Pollen ที่มีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าซ้ำโดยเจตนาเพื่อให้บริษัทมีเงินจ่ายเงินเดือน วิศวกรคนหนึ่งยอมทำตามคำสั่ง CEO โดยเขียนสคริปต์เพื่อเรียกเก็บเงินซ้ำ และยอมรับในภายหลังว่า “เป็นการตัดสินใจที่แย่มาก” แม้จะยังไม่มีการตั้งข้อหา แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นคดีฉ้อโกงในอนาคต

    บทเรียนจากทั้งสามกรณีคือ — วิศวกรมีสิทธิ์ปฏิเสธ และควรใช้สิทธินั้นเมื่อพบว่าคำสั่งอาจผิดกฎหมาย เพราะการ “ทำตามคำสั่ง” ไม่ได้ปกป้องคุณจากผลทางกฎหมาย หากสิ่งที่คุณทำกลายเป็นหลักฐานในศาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nishad Singh จาก FTX รู้ว่ามีการใช้เงินลูกค้าโดยมิชอบ แต่เลือกอยู่ต่อ
    เขาได้รับเงินกู้ 3.7 ล้านดอลลาร์หลังรู้เรื่อง และถูกดำเนินคดี
    ศาลลดโทษให้เหลือการควบคุมตัว 3 ปี เพราะเขาให้ความร่วมมือในการสอบสวน
    วิศวกรจาก Frank ถูกขอให้สร้างข้อมูลลูกค้าเทียม แต่ปฏิเสธทันที
    CEO ของ Frank ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี ฐานฉ้อโกง JPMorgan
    ที่ Pollen มีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าซ้ำโดยเจตนาเพื่อจ่ายเงินเดือน
    วิศวกรยอมทำตามคำสั่ง CEO และยอมรับภายหลังว่าเป็นการตัดสินใจผิด
    ยังไม่มีการตั้งข้อหาทางอาญาในกรณีของ Pollen ณ ตุลาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กฎหมายสหรัฐฯ ให้รางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) สูงถึง 30% ของเงินที่รัฐเรียกคืน
    การลาออกทันทีหลังพบการกระทำผิดอาจช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
    การรับเงินหรือผลประโยชน์หลังรู้ว่ามีการโกง อาจถูกตีความว่า “ร่วมมือ”
    การบันทึกคำสั่งที่อาจผิดกฎหมาย เช่น อีเมลหรือแชท เป็นหลักฐานสำคัญ
    การปรึกษาทนายก่อนตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

    https://blog.pragmaticengineer.com/asked-to-do-something-illegal-at-work/
    ⚖️ “เมื่อวิศวกรซอฟต์แวร์ถูกขอให้ทำสิ่งผิดกฎหมาย — บทเรียนจาก FTX, Frank และ Pollen ที่อาจช่วยคุณไม่ต้องใส่ชุดนักโทษ” ในโลกของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยโค้ดและข้อมูล วิศวกรซอฟต์แวร์มักถูกมองว่าเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ แต่เมื่อคำสั่งจากผู้บริหารกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พวกเขากลับกลายเป็น “ผู้ร่วมกระทำผิด” ได้โดยไม่ตั้งใจ บทความจาก The Pragmatic Engineer ได้รวบรวมกรณีจริง 3 เรื่อง ที่วิศวกรถูกขอให้ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย — และผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กรณีแรกคือ Nishad Singh จาก FTX ซึ่งในปี 2022 ได้รับรู้ว่า Alameda Research กำลังใช้เงินลูกค้าจาก FTX ไปกว่า 13 พันล้านดอลลาร์ เขารู้สึกตกใจและจัดประชุมทันที แต่กลับเลือกที่จะ “อยู่ต่อเพื่อช่วยแก้ไข” แทนที่จะลาออกหรือแจ้งความ สุดท้ายเขาได้รับเงินกู้ 3.7 ล้านดอลลาร์จากบริษัท และต้องรับโทษทางกฎหมาย แม้จะได้รับการลดโทษเหลือเพียงการควบคุมตัว 3 ปี แต่ก็เป็นบทเรียนที่ชัดเจนว่า “การอยู่ต่อหลังรู้ว่ามีการโกง ไม่ใช่ทางออก” กรณีที่สองคือวิศวกรจาก Frank ซึ่งถูก CEO ขอให้สร้างข้อมูลลูกค้าเทียมกว่า 4.2 ล้านรายเพื่อให้บริษัทดูมีมูลค่ามากขึ้นก่อนขายให้ JPMorgan วิศวกรคนนั้นปฏิเสธทันที และส่งเฉพาะข้อมูลจริงที่มีอยู่ประมาณ 293,000 ราย สุดท้าย CEO ถูกจับและถูกตัดสินจำคุก 7 ปี ส่วนวิศวกรรอดพ้นจากทุกข้อกล่าวหา กรณีสุดท้ายคือบริษัท Pollen ที่มีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าซ้ำโดยเจตนาเพื่อให้บริษัทมีเงินจ่ายเงินเดือน วิศวกรคนหนึ่งยอมทำตามคำสั่ง CEO โดยเขียนสคริปต์เพื่อเรียกเก็บเงินซ้ำ และยอมรับในภายหลังว่า “เป็นการตัดสินใจที่แย่มาก” แม้จะยังไม่มีการตั้งข้อหา แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นคดีฉ้อโกงในอนาคต บทเรียนจากทั้งสามกรณีคือ — วิศวกรมีสิทธิ์ปฏิเสธ และควรใช้สิทธินั้นเมื่อพบว่าคำสั่งอาจผิดกฎหมาย เพราะการ “ทำตามคำสั่ง” ไม่ได้ปกป้องคุณจากผลทางกฎหมาย หากสิ่งที่คุณทำกลายเป็นหลักฐานในศาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nishad Singh จาก FTX รู้ว่ามีการใช้เงินลูกค้าโดยมิชอบ แต่เลือกอยู่ต่อ ➡️ เขาได้รับเงินกู้ 3.7 ล้านดอลลาร์หลังรู้เรื่อง และถูกดำเนินคดี ➡️ ศาลลดโทษให้เหลือการควบคุมตัว 3 ปี เพราะเขาให้ความร่วมมือในการสอบสวน ➡️ วิศวกรจาก Frank ถูกขอให้สร้างข้อมูลลูกค้าเทียม แต่ปฏิเสธทันที ➡️ CEO ของ Frank ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี ฐานฉ้อโกง JPMorgan ➡️ ที่ Pollen มีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าซ้ำโดยเจตนาเพื่อจ่ายเงินเดือน ➡️ วิศวกรยอมทำตามคำสั่ง CEO และยอมรับภายหลังว่าเป็นการตัดสินใจผิด ➡️ ยังไม่มีการตั้งข้อหาทางอาญาในกรณีของ Pollen ณ ตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กฎหมายสหรัฐฯ ให้รางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) สูงถึง 30% ของเงินที่รัฐเรียกคืน ➡️ การลาออกทันทีหลังพบการกระทำผิดอาจช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมาย ➡️ การรับเงินหรือผลประโยชน์หลังรู้ว่ามีการโกง อาจถูกตีความว่า “ร่วมมือ” ➡️ การบันทึกคำสั่งที่อาจผิดกฎหมาย เช่น อีเมลหรือแชท เป็นหลักฐานสำคัญ ➡️ การปรึกษาทนายก่อนตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด https://blog.pragmaticengineer.com/asked-to-do-something-illegal-at-work/
    BLOG.PRAGMATICENGINEER.COM
    Asked to do something illegal at work? Here’s what these software engineers did
    At FTX, Frank, and Pollen, software engineers were asked to do something potentially illegal, or to go along with what looked like fraud. They obliged in two out of three cases, landed in hot water, and now face jail time. A reminder why it’s never a good idea to go along with such requests.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนตัว สมควรสร้างรั้วกำแพงลวดหนามแบบจีนกั้นกับเวียดหนามเลย หนา สูง คนเวียดนามจะข้ามไปจีนจะลำบาก เอาไม้ เอาบันไดลิงพาดกำแพงรั้วลวดหนามไม่ง่ายหรือต่ออะไรให้สูงกระโดดข้ามมาหรือหย่อนบันไดลิงมาอีกด้านฝั่งเราก็ไม่ง่าย,หากทำต่ำๆไม่สูงอะไรแบบรั้วปกติของไทบ้านประชาชนคนไทย มันแอบลักลอบ แอบโยน แอบยื่นอะไรให้กันก็ง่ายเหมือนเดิม, สร้างแบบ2ใน3ของกำแพงคุกขังนักโทษยิ่งดี ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณมากหรอก,ตัดงบเบี้ยประชุมเบี้ยต่างๆเบิกน้ำมันเบิกอะไรของข้าราชการทั่วประเทศออกก็มีตังเหลือกว่า10,000ล้านบาทแล้วต่อเดือน,ตัดชัตดาวน์เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทั้งหมดทั่วประเทศไทยสัก1ปีแบบวิจัยทดลองดู ให้แต่เงินเดือนข้าราชการเท่านั้นบวกเพิ่มอีก1%ของเงินเดือนปกติก็พอ,เราจะมีเงินไว้สร้างกำแพงถาวรรั้วลวดหนามอย่างดีกว่า30,000ล้านบาทต่อเดือนโน้นเลย.

    ..จริงๆแบบ รูปแบบ การออกแบบรั้วลวดหนามสมควรเผยแผ่ออกสู่ประชาชนได้แล้วว่าเป็นแบบใด,ยิ่งให้ประชาชนลงประชามติเลือกแบบลวดหนามด้วยกันออนไลน์ทางเน็ตทางเว็บทางแอปแบบแอปเป๋าตังผ่านตู้ธนาคารแบบยืนยันตัวตนยิ่งจะดีมาก,1บัตรประชาชนต่อ1กดปุ่มตัวเลือกแบบรั้วลวดหนาม,ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย,ยิ่งทางเว็บของทหารเอง ให้คนไทยมีส่วนร่วมยิ่งดี บอกราคารั้วลวดหนามต่อกม.ให้ชัดเจนด้วย,เช่นแบบนี้เกรดAกม.ละ10ล้าน เกรดBกม.ละ5ล้าน เกรดCกม.ละ2ล้าน เกรดDไทบ้านกม.ละ1ล้าน หรือ1เมตร1,000บาทนั้นเอง.,เรามีแนวจะสร้างเกือบ900กม.ก็สูงสุดที่9,000ล้านบาทถือว่าคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเราที่ติดแนวพรมแดนไทยกับเขมรทั้งหมดทันที ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินชัดเจนด้วย ไม่ต้องกังวลภัยอันตรายใดๆที่คนเขมร ทหารเขมรจะเข้ามาง่ายๆผ่านช่องทางธรรมชาติก่อนสร้างรั้วอีก,จากนั้นให้ทหารกำหนดห้ามมีประชาชนคนใดครอบครองที่ดินติดกำแพงเป็นฟรีเพื่อเป็นพื้นที่ลาดตะเวนตลอดแนวกำแพงรั้วลวดหนามห่างจากกำแพงรั้วลวดหนามฝั่งไทยคือ50เมตร. ทหารเราสามารถทำถนนไว้ลาดตะเวนติดรั้วลวดหนามเสริมกำลังและเข้าปฏิบัติการรักษาความสงบต่างๆใดๆได้ง่าย,ประชาชนคนไทยใดหมายทำอะไรใดๆไม่ดีก็เข้าพื้นที่เขตหวงห้ามนี้ลำบาก,โดยทหารจะสร้างแนวรั้วกั้นประชาชนแบบไทบ้านๆอีกชั้น,ถ้ามีประชาชนเข้าเขตเดทโซนนี้แสดงว่าคือพวกไม่ดีหมายติดต่อกระทำชั่วกับอีกฝั่งทันที,กล้องเราตรวจจับแม้ทันทีได้ แต่มันก็แค่กล้องไม่สามารถหยุดธุรกรรมกิจกรรมมันทันทีขณะนั้นได้ แม้ตามจับได้ในฝั่งไทยเราแต่เนื้องานทางส่งของให้คนร้ายมันทำสำเร็จกับอีกฝั่งแล้วนั้นเองไม่คุ้มค่ากับผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีก.ถ้าอดีตอาจคือตัวจุดฉนวนระเบิดหรือขีปนาวุธเป็นต้นที่ไม่มีล้ำๆแบบปัจจุบันต้องส่งของส่งอะไหล่แบบสมัยๆเก่าๆในอดีตนั้น.,และมีนัยยะที่ดีมากมายต่อทางจิตใจคนติดชายแดนติดเขมรด้วย,สิ้นเปลืองแบบนี้ถือว่าคุ้มค่าและจ่ายครั้งเดียวจบแค่ซ่อมบำรุงรายปีเท่านั้นเอง.,
    ..ปัจจุบันประชาชนไม่เห็นแบบของทหารอะไรเลย,สูง มั่นคงหรือแบบเวียดนามกั้นเขมรมั้ย หรือแบบจีน กั้นเวียดนามมั้ย,หากเราไปลอกเลียนแบบรั้วลวดหนามแบบเมืองผู้ดีชาติตะวันตกบอกเลยแบบนั้นกาก,กระจอก,กับคนสันดานนิสัยเขมรต้องเด็ดขาดสไตล์รั้วแบบเวียดนามหรือแบบจีน จึงเหมาะสมแก่คนสันดานนิสัยแบบเขมร หัวสมองพวกลิ้น2แฉกมันต้องเจอแบบนี้,นี้ไม่รวมที่มันอาจขุดรูใต้ดินใต้กำแพงรั้วลวดหนามเข้าไทยอีกนะ กล้องฝันไปเลยจะเห็นมัน,ระยะฟรี50เมตรจึงพอดี ไม่กินเนื้อที่ที่ดินประชาชนด้วย,ประชาชนยินยอมยกที่ดินฟรีๆให้กองทัพให้ทหารแน่นอนเพราะมันคือความมั่นคงทางอธิปไตยไทยเราทั้งประเทศด้วย.,เราจึงต้องมีเครื่องมือสแกนสิ่งผิดปกติใต้พื้นดินด้วย แบบโพร่งแบบรูใต้เส้นทางถนนตลอดแนวขนานรั้วกำแพงลวดหนามของเรา,ในเขตพื้นที่รับผิดชอบต้องใช้เครื่องสแกนทุกๆเดือนใต้ถนนหนทางเราว่ามันขุดรูขุดอุโมงค์รอดมาด้วยมั้ยเช่นกัน.

    https://youtube.com/watch?v=sJTo0hhGfnA&si=hARi7QFm0aKjk7dL
    ส่วนตัว สมควรสร้างรั้วกำแพงลวดหนามแบบจีนกั้นกับเวียดหนามเลย หนา สูง คนเวียดนามจะข้ามไปจีนจะลำบาก เอาไม้ เอาบันไดลิงพาดกำแพงรั้วลวดหนามไม่ง่ายหรือต่ออะไรให้สูงกระโดดข้ามมาหรือหย่อนบันไดลิงมาอีกด้านฝั่งเราก็ไม่ง่าย,หากทำต่ำๆไม่สูงอะไรแบบรั้วปกติของไทบ้านประชาชนคนไทย มันแอบลักลอบ แอบโยน แอบยื่นอะไรให้กันก็ง่ายเหมือนเดิม, สร้างแบบ2ใน3ของกำแพงคุกขังนักโทษยิ่งดี ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณมากหรอก,ตัดงบเบี้ยประชุมเบี้ยต่างๆเบิกน้ำมันเบิกอะไรของข้าราชการทั่วประเทศออกก็มีตังเหลือกว่า10,000ล้านบาทแล้วต่อเดือน,ตัดชัตดาวน์เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทั้งหมดทั่วประเทศไทยสัก1ปีแบบวิจัยทดลองดู ให้แต่เงินเดือนข้าราชการเท่านั้นบวกเพิ่มอีก1%ของเงินเดือนปกติก็พอ,เราจะมีเงินไว้สร้างกำแพงถาวรรั้วลวดหนามอย่างดีกว่า30,000ล้านบาทต่อเดือนโน้นเลย. ..จริงๆแบบ รูปแบบ การออกแบบรั้วลวดหนามสมควรเผยแผ่ออกสู่ประชาชนได้แล้วว่าเป็นแบบใด,ยิ่งให้ประชาชนลงประชามติเลือกแบบลวดหนามด้วยกันออนไลน์ทางเน็ตทางเว็บทางแอปแบบแอปเป๋าตังผ่านตู้ธนาคารแบบยืนยันตัวตนยิ่งจะดีมาก,1บัตรประชาชนต่อ1กดปุ่มตัวเลือกแบบรั้วลวดหนาม,ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย,ยิ่งทางเว็บของทหารเอง ให้คนไทยมีส่วนร่วมยิ่งดี บอกราคารั้วลวดหนามต่อกม.ให้ชัดเจนด้วย,เช่นแบบนี้เกรดAกม.ละ10ล้าน เกรดBกม.ละ5ล้าน เกรดCกม.ละ2ล้าน เกรดDไทบ้านกม.ละ1ล้าน หรือ1เมตร1,000บาทนั้นเอง.,เรามีแนวจะสร้างเกือบ900กม.ก็สูงสุดที่9,000ล้านบาทถือว่าคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเราที่ติดแนวพรมแดนไทยกับเขมรทั้งหมดทันที ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินชัดเจนด้วย ไม่ต้องกังวลภัยอันตรายใดๆที่คนเขมร ทหารเขมรจะเข้ามาง่ายๆผ่านช่องทางธรรมชาติก่อนสร้างรั้วอีก,จากนั้นให้ทหารกำหนดห้ามมีประชาชนคนใดครอบครองที่ดินติดกำแพงเป็นฟรีเพื่อเป็นพื้นที่ลาดตะเวนตลอดแนวกำแพงรั้วลวดหนามห่างจากกำแพงรั้วลวดหนามฝั่งไทยคือ50เมตร. ทหารเราสามารถทำถนนไว้ลาดตะเวนติดรั้วลวดหนามเสริมกำลังและเข้าปฏิบัติการรักษาความสงบต่างๆใดๆได้ง่าย,ประชาชนคนไทยใดหมายทำอะไรใดๆไม่ดีก็เข้าพื้นที่เขตหวงห้ามนี้ลำบาก,โดยทหารจะสร้างแนวรั้วกั้นประชาชนแบบไทบ้านๆอีกชั้น,ถ้ามีประชาชนเข้าเขตเดทโซนนี้แสดงว่าคือพวกไม่ดีหมายติดต่อกระทำชั่วกับอีกฝั่งทันที,กล้องเราตรวจจับแม้ทันทีได้ แต่มันก็แค่กล้องไม่สามารถหยุดธุรกรรมกิจกรรมมันทันทีขณะนั้นได้ แม้ตามจับได้ในฝั่งไทยเราแต่เนื้องานทางส่งของให้คนร้ายมันทำสำเร็จกับอีกฝั่งแล้วนั้นเองไม่คุ้มค่ากับผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีก.ถ้าอดีตอาจคือตัวจุดฉนวนระเบิดหรือขีปนาวุธเป็นต้นที่ไม่มีล้ำๆแบบปัจจุบันต้องส่งของส่งอะไหล่แบบสมัยๆเก่าๆในอดีตนั้น.,และมีนัยยะที่ดีมากมายต่อทางจิตใจคนติดชายแดนติดเขมรด้วย,สิ้นเปลืองแบบนี้ถือว่าคุ้มค่าและจ่ายครั้งเดียวจบแค่ซ่อมบำรุงรายปีเท่านั้นเอง., ..ปัจจุบันประชาชนไม่เห็นแบบของทหารอะไรเลย,สูง มั่นคงหรือแบบเวียดนามกั้นเขมรมั้ย หรือแบบจีน กั้นเวียดนามมั้ย,หากเราไปลอกเลียนแบบรั้วลวดหนามแบบเมืองผู้ดีชาติตะวันตกบอกเลยแบบนั้นกาก,กระจอก,กับคนสันดานนิสัยเขมรต้องเด็ดขาดสไตล์รั้วแบบเวียดนามหรือแบบจีน จึงเหมาะสมแก่คนสันดานนิสัยแบบเขมร หัวสมองพวกลิ้น2แฉกมันต้องเจอแบบนี้,นี้ไม่รวมที่มันอาจขุดรูใต้ดินใต้กำแพงรั้วลวดหนามเข้าไทยอีกนะ กล้องฝันไปเลยจะเห็นมัน,ระยะฟรี50เมตรจึงพอดี ไม่กินเนื้อที่ที่ดินประชาชนด้วย,ประชาชนยินยอมยกที่ดินฟรีๆให้กองทัพให้ทหารแน่นอนเพราะมันคือความมั่นคงทางอธิปไตยไทยเราทั้งประเทศด้วย.,เราจึงต้องมีเครื่องมือสแกนสิ่งผิดปกติใต้พื้นดินด้วย แบบโพร่งแบบรูใต้เส้นทางถนนตลอดแนวขนานรั้วกำแพงลวดหนามของเรา,ในเขตพื้นที่รับผิดชอบต้องใช้เครื่องสแกนทุกๆเดือนใต้ถนนหนทางเราว่ามันขุดรูขุดอุโมงค์รอดมาด้วยมั้ยเช่นกัน. https://youtube.com/watch?v=sJTo0hhGfnA&si=hARi7QFm0aKjk7dL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • การประชุม Valdai International Discussion Club ประจำปี ครั้งที่ 22 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโซชี (Sochi) ของรัสเซีย ประธานาธิบดีปูตินกล่าวถึงสถานการณ์ในปาเลสไตน์:

    ปธน.ปูติน ยกคำพูดของอันโตนิโอ กูแตร์เรส (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ถึงความน่าสะพรึงกลัวของสงครามว่า กาซาคือ 'สุสานเด็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก' และยังกล่าวอีกว่านั่นคือ 'โศกนาฏกรรม' ที่ไม่อาจบรรยายได้

    นอกจากนี้ ปธน.ปูติน ยังได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ในกาซาและข้อเสนอสันติภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยย้ำว่ารัสเซียพร้อมให้การสนับสนุนข้อเสนอใดๆ ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบ สองรัฐ (two-state solution) โดยมีรัฐปาเลสไตน์อยู่คู่กับอิสราเอล

    ปูตินยังกล่าวอีกว่า ทางเลือกที่เหมาะสมคือการโอนการควบคุมฉนวนกาซาให้กับประธานาธิบดีอับบาสแห่งปาเลสไตน์

    ปูตินสนับสนุนเงื่อนไขที่ต้องการให้ฮามาสปล่อยตัวประกันทั้งหมดในฉนวนกาซา และอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ออกจากเรือนจำอีกด้วย
    การประชุม Valdai International Discussion Club ประจำปี ครั้งที่ 22 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโซชี (Sochi) ของรัสเซีย ประธานาธิบดีปูตินกล่าวถึงสถานการณ์ในปาเลสไตน์: 👉ปธน.ปูติน ยกคำพูดของอันโตนิโอ กูแตร์เรส (António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ถึงความน่าสะพรึงกลัวของสงครามว่า กาซาคือ 'สุสานเด็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก' และยังกล่าวอีกว่านั่นคือ 'โศกนาฏกรรม' ที่ไม่อาจบรรยายได้ 👉นอกจากนี้ ปธน.ปูติน ยังได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ในกาซาและข้อเสนอสันติภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยย้ำว่ารัสเซียพร้อมให้การสนับสนุนข้อเสนอใดๆ ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบ สองรัฐ (two-state solution) โดยมีรัฐปาเลสไตน์อยู่คู่กับอิสราเอล 👉ปูตินยังกล่าวอีกว่า ทางเลือกที่เหมาะสมคือการโอนการควบคุมฉนวนกาซาให้กับประธานาธิบดีอับบาสแห่งปาเลสไตน์ 👉ปูตินสนับสนุนเงื่อนไขที่ต้องการให้ฮามาสปล่อยตัวประกันทั้งหมดในฉนวนกาซา และอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ออกจากเรือนจำอีกด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 629 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เปิดเอกสารลับ "ทวี" เซ็นเองตีตกคำขอพระราชทานอภัยโทษ "นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ" ยึดคำสั่งศาลฎีกาจำคุก 1 ปี
    https://www.thai-tai.tv/news/21725/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #ทวีสอดส่อง #กระทรวงยุติธรรม #ยกฎีกา #การเมือง #ไทยไท

    เปิดเอกสารลับ "ทวี" เซ็นเองตีตกคำขอพระราชทานอภัยโทษ "นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ" ยึดคำสั่งศาลฎีกาจำคุก 1 ปี https://www.thai-tai.tv/news/21725/ . #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #ทวีสอดส่อง #กระทรวงยุติธรรม #ยกฎีกา #การเมือง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 507 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราชทัณฑ์ แจง ทักษิณ ไม่เข้าเงื่อนไข ออกไปลอกท่อ ต้องปรับชั้นเป็นนักโทษชั้นดีก่อน
    https://www.thai-tai.tv/news/21634/
    .
    #ไทยไท #ทักษิณชินวัตร #กรมราชทัณฑ์ #นักโทษชั้นกลาง #ลอกท่อ #สาธารณประโยชน์ #ลดโทษ #เรือนจำ
    ราชทัณฑ์ แจง ทักษิณ ไม่เข้าเงื่อนไข ออกไปลอกท่อ ต้องปรับชั้นเป็นนักโทษชั้นดีก่อน https://www.thai-tai.tv/news/21634/ . #ไทยไท #ทักษิณชินวัตร #กรมราชทัณฑ์ #นักโทษชั้นกลาง #ลอกท่อ #สาธารณประโยชน์ #ลดโทษ #เรือนจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณยุครุ่งเรือง
    คุมโทรคมนาคม
    กุมอำนาจรัฐบาล
    คุมอำนาจคนเสื้อแดง
    แต่วันนี้จะได้ไปคุมนักโทษลอกท่อ
    #7ดอกจิก
    ทักษิณยุครุ่งเรือง คุมโทรคมนาคม กุมอำนาจรัฐบาล คุมอำนาจคนเสื้อแดง แต่วันนี้จะได้ไปคุมนักโทษลอกท่อ #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุ๊งอิ๊งเผยเอง
    พ่อมีภารกิจเพื่อชาติ
    ผบ.คลองเปรม เตรียมส่งอดีตนายกฯ ไปคุมนักโทษลอกท่อ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อุ๊งอิ๊งเผยเอง พ่อมีภารกิจเพื่อชาติ ผบ.คลองเปรม เตรียมส่งอดีตนายกฯ ไปคุมนักโทษลอกท่อ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช็อก! “แอนนา ทีวีพูล” คิดสั้นในเรือนจำ หลังญาติแจ้งความ “กันย์ ดอนเมือง” ยักยอกทรัพย์ ทั้งที่กันย์ช่วยเหลือมาตลอด “นิกกี้ ชีเสิร์ฟ” เผยนักโทษช่วยไว้ทัน แอนนาปลอดภัยแต่ยังรักษาตัวในรพ.ราชทัณฑ์ กันย์เตรียมฟ้องกลับญาติแอนนาข้อหาแจ้งความเท็จ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000091108

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ช็อก! “แอนนา ทีวีพูล” คิดสั้นในเรือนจำ หลังญาติแจ้งความ “กันย์ ดอนเมือง” ยักยอกทรัพย์ ทั้งที่กันย์ช่วยเหลือมาตลอด “นิกกี้ ชีเสิร์ฟ” เผยนักโทษช่วยไว้ทัน แอนนาปลอดภัยแต่ยังรักษาตัวในรพ.ราชทัณฑ์ กันย์เตรียมฟ้องกลับญาติแอนนาข้อหาแจ้งความเท็จ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000091108 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหารสี่ประการ
    สัทธรรมลำดับที่ : 750
    ชื่อบทธรรม :- วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหาร
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=750
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหาร
    --ภิกษุ ท. ! #กวฬีการาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ?
    http://etipitaka.com/read/pali/16/1​19/?keywords=กวฬีกาโร+อาหาโร
    +--ภิกษุ ท. ! ปรียบเหมือนภรรยาสามีสองคน
    ถือเอาสะเบียงสำหรับเดินทางเล็กน้อย เดินไปสู่หนทางอันกันดาร.
    สองภรรยาสามีนั้น มีบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูอยู่คนหนึ่ง.
    เมื่อขณะเขาทั้งสองกำลังเดินไปตามทางอันกันดารอยู่นั้น
    สะเบียงสำหรับเดินทางที่เขามีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้น
    ได้หมดสิ้นไปหนทางอันกันดารนั้นยังเหลืออยู่
    เขาทั้งสองนั้นยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนั้นไปได้.
    ครั้งนั้นแล สองภรรยาสามีนั้นได้คิดกันว่า
    “เสบียงสำหรับเดินทางของเราทั้งสองที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ ได้หมดสิ้นลงแล้ว
    หนทางอันกันดารนี้ยังเหลืออยู่ ทั้งเราก็ยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนั้นไปได้;
    อย่ากระนั้นเลยเราทั้งสองพึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนี้เสีย
    แล้วทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนี้แหละ
    เดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่นี้กันเถิด
    เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น พวกเราทั้งสามคนจะต้องพากันพินาศหมดแน่”
    ดังนี้.
    ครั้งนั้นแล ภรรยาสามีทั้งสองนั้น จึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนั้น
    แล้วทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนั้นเทียวเดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น.
    สองภรรยาสามีนั้น บริโภคเนื้อบุตรไปพลางพร้อมกับข้อนอกไปพลาง
    รำพันว่า “บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! เธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร :
    สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร
    เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานบ้าง
    เพื่อความมัวเมาบ้าง
    เพื่อความประดับประดาบ้าง หรือ
    เพื่อตบแต่ง (ร่างกาย) บ้าง, หรือหนอ ?
    ”ข้อนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ พระเจ้าข้า !”
    ถ้าอย่างนั้น สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร
    เพียงเพื่อ (อาศัย) เดินข้ามหนทางอันกันดารเท่านั้น ใช่ไหม ?
    “ใช่ พระเจ้าข้า !”
    ถ้าอย่างนั้น ภิกษุ ท. ! ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ;
    เรากล่าวว่า กวฬีการาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนเนื้อบุตร)
    http://etipitaka.com/read/pali/16/1​19/?keywords=กวฬีกาโร+อาหาโร
    ฉันนั้น.
    +--ภิกษุ ท. ! กพฬีการาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว ;
    ราคะ (ความกำหนัด) ที่มีเบญจกามคุณเป็นแดนเกิด
    ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย.
    เมื่อ ราคะที่มีเบญจกามคุณ เป็นแดนเกิด เป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้ว,
    สังโยชน์ชนิดที่อริยสาวกประกอบเข้าแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้มาสู่โลกนี้ได้อีกย่อมไม่มี.

    --ภิกษุ ท. ! #ผัสสาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ?
    http://etipitaka.com/read/pali/16/120/?keywords=ผสฺสาหาโร
    +--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนแม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้ม :
    ถ้าแม่โคนมนั้นพึงยืนพิงฝาอยู่ไซร้,
    มันก็จะพึงถูกพวกตัวสัตว์ที่อาศัยฝาเจาะกิน ;
    ถ้าแม่โคนมนั้นพึงยืนพิงต้นไม้อยู่ไซร้,
    มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน;
    ถ้าหากแม่โคนมนั้นพึงลงไปแช่น้ำอยู่ไซร้,
    มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดกันกิน;
    ถ้าหากแม่โคนมนั้นจะพึงยืนอาศัยอยู่ในที่โล่งแจ้งไซร้,
    มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดจิกกิน.
    +--ภิกษุ ท. ! แม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้มจะพึงอาศัยอยู่สถานที่ใดๆ ก็ตาม
    มันก็จะพึงถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไป, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ;
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า ผัสสาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนแม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้ม)
    ฉันนั้น.
    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อผัสสาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว
    เวทนาทั้งสาม ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย,
    เมื่อ เวทนาทั้งสาม เป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว
    เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไรๆ ที่ควรกระทำให้ ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น”
    ดังนี้.

    --ภิกษุ ท. ! #มโนสัญเจตนาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ?
    http://etipitaka.com/read/pali/16/120/?keywords=มโนสญฺเจตนาหาโร
    ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกเกินกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง
    เต็มด้วยถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลวและปราศจากควัน มีอยู่.
    ครั้งนั้น บรุษผู้หนึ่งผู้ต้องการเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ มาสู่ที่นั้น.
    และมีบุรุษที่มีกำลังกล้าแข็งอีกสองคน จับบุรุษนั้นที่แขนแต่ละข้าง
    แล้วฉุดคร่าไปยังหลุมถ่านเพลิงนั้น.
    +--ภิกษุ ท. ! ครั้งนั้นแล บุรุษนั้นมีความคิด ความปรารถนา ความตั้งใจ
    ที่จะให้ห่างไกลหลุมถ่านเพลิงนั้น.
    ข้อนั้นเพราะเหตุใดเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่าบุรุษนั้นย่อมรู้ว่า
    “ถ้าเราจะตกลงไปยังหลุมถ่านเพลิงไซร้ เราพึงถึงความตาย
    หรือได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ”
    ดังนี้,
    ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ;
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า มโนสัญเจตนาหาร อันอริยสาวกควรเห็น
    (ว่ามีอุปมาเหมือนหลุมถ่านเพลิง) ฉันนั้น.

    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อมโนสัญเจตนาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว,
    ตัณหาทั้งสาม ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย ;
    เมื่อ ตัณหาทั้งสาม เป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว,
    เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทำให้ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น“
    ดังนี้.

    --ภิกษุ ท. ! #วิญญาณาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลเห็นอย่างไร ?
    http://etipitaka.com/read/pali/16/121/?keywords=วิญฺญาณาหาโร
    +--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนพวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้ประพฤติชั่วช้าได้แล้ว
    แสดงแก่พระราชาว่า
    “ข้าแต่สมมติเทพ ! บุรุษนี้เป็นโจรประพฤติหยาบช้าต่อใต้ฝ่าพระบาท
    ขอใต้ฝ่าพระบาทจงโปรดให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามประสงค์เถิด พระเจ้าข้า !“
    พระราชามีกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า
    “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้” เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเช้า.
    ต่อมา ในเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามพวกเจ้าหน้าที่นั้นว่า
    “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! บุรุษนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?”.
    พวกเขากราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ! นักโทษนั้นยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า !”.
    พระราชาทรงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า
    “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยง”.
    พวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยง.
    ต่อมา ในเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกว่า
    “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! บุรุษนั้น เป็นอย่างไรบ้าง ?”.
    พวกเขากราบทูลว่า “ยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า !”.
    พระราชาทรงมีพระกระแสรับสั่งอีกว่า
    “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น” ดังนี้.
    พวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : บุรุษนักโทษ นั้นถูกเจ้าหน้าที่ประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่ม ตลอดทั้งวัน เขาจะพึงเสวยแต่ทุกขโทมนัสที่มีข้อนั้นเป็นเหตุ มิใช่หรือ ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุรุษนักโทษนั้น ถูกพวกเจ้าหน้าที่ประหารด้วยหอกเพียงเล่มเดียว
    ก็พึงเสวยทุกขโทมนัสที่มีข้อนั้นเป็นเหตุ (มากอยู่แล้ว)
    ก็จะกล่าวไปไยถึงการที่บุรุษนักโทษนั้นถูกประหารด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า,
    ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ;
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า วิญญาณาหาร อันอริยสาวกควรเห็น
    (ว่ามีอุปมาเหมือนนักโทษถูกประหารนั้น) ฉันนั้น.
    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อวิญญาณาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว,
    นามรูป ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย;
    เมื่อ นามรูป เป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว,
    เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทำให้ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น”,
    ดังนี้แล.-

    (คำข้าว เรียกว่าอาหาร เพราะหล่อเลี้ยงร่างกาย;
    ผัสสะเรียกว่าอาหาร เพราะทำให้ เกิดเวทนา ;
    มโนสัญเจตนา เรียกว่าอาหาร เพราะทำให้ เกิดกรรม;
    วิญญาณ เรียกว่าอาหาร เพราะทำให้ เกิดนามรูป.
    ถ้าบุคคลพิจารณาเห็นโทษแห่งอาหารแต่ละอย่างๆ
    ดังที่ตรัสไว้โดยอุปมาในข้อความหมายนั้นๆได้,
    จะดับทุกข์ได้ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์
    http://etipitaka.com/read/pali/16/123/?keywords=สอุปายาสนฺติ
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/97-99/241 - 244.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/97/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%91​
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๑๑๙-๑๒๑/๒๔๑ - ๒๔๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/119/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%91​
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=750
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=750
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหารสี่ประการ สัทธรรมลำดับที่ : 750 ชื่อบทธรรม :- วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหาร https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=750 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหาร --ภิกษุ ท. ! #กวฬีการาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ? http://etipitaka.com/read/pali/16/1​19/?keywords=กวฬีกาโร+อาหาโร +--ภิกษุ ท. ! ปรียบเหมือนภรรยาสามีสองคน ถือเอาสะเบียงสำหรับเดินทางเล็กน้อย เดินไปสู่หนทางอันกันดาร. สองภรรยาสามีนั้น มีบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูอยู่คนหนึ่ง. เมื่อขณะเขาทั้งสองกำลังเดินไปตามทางอันกันดารอยู่นั้น สะเบียงสำหรับเดินทางที่เขามีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้น ได้หมดสิ้นไปหนทางอันกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองนั้นยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนั้นไปได้. ครั้งนั้นแล สองภรรยาสามีนั้นได้คิดกันว่า “เสบียงสำหรับเดินทางของเราทั้งสองที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ ได้หมดสิ้นลงแล้ว หนทางอันกันดารนี้ยังเหลืออยู่ ทั้งเราก็ยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนั้นไปได้; อย่ากระนั้นเลยเราทั้งสองพึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนี้เสีย แล้วทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนี้แหละ เดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่นี้กันเถิด เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น พวกเราทั้งสามคนจะต้องพากันพินาศหมดแน่” ดังนี้. ครั้งนั้นแล ภรรยาสามีทั้งสองนั้น จึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนั้น แล้วทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนั้นเทียวเดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น. สองภรรยาสามีนั้น บริโภคเนื้อบุตรไปพลางพร้อมกับข้อนอกไปพลาง รำพันว่า “บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย” ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! เธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานบ้าง เพื่อความมัวเมาบ้าง เพื่อความประดับประดาบ้าง หรือ เพื่อตบแต่ง (ร่างกาย) บ้าง, หรือหนอ ? ”ข้อนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ พระเจ้าข้า !” ถ้าอย่างนั้น สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพียงเพื่อ (อาศัย) เดินข้ามหนทางอันกันดารเท่านั้น ใช่ไหม ? “ใช่ พระเจ้าข้า !” ถ้าอย่างนั้น ภิกษุ ท. ! ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; เรากล่าวว่า กวฬีการาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนเนื้อบุตร) http://etipitaka.com/read/pali/16/1​19/?keywords=กวฬีกาโร+อาหาโร ฉันนั้น. +--ภิกษุ ท. ! กพฬีการาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว ; ราคะ (ความกำหนัด) ที่มีเบญจกามคุณเป็นแดนเกิด ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย. เมื่อ ราคะที่มีเบญจกามคุณ เป็นแดนเกิด เป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้ว, สังโยชน์ชนิดที่อริยสาวกประกอบเข้าแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้มาสู่โลกนี้ได้อีกย่อมไม่มี. --ภิกษุ ท. ! #ผัสสาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ? http://etipitaka.com/read/pali/16/120/?keywords=ผสฺสาหาโร +--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนแม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้ม : ถ้าแม่โคนมนั้นพึงยืนพิงฝาอยู่ไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกตัวสัตว์ที่อาศัยฝาเจาะกิน ; ถ้าแม่โคนมนั้นพึงยืนพิงต้นไม้อยู่ไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน; ถ้าหากแม่โคนมนั้นพึงลงไปแช่น้ำอยู่ไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดกันกิน; ถ้าหากแม่โคนมนั้นจะพึงยืนอาศัยอยู่ในที่โล่งแจ้งไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดจิกกิน. +--ภิกษุ ท. ! แม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้มจะพึงอาศัยอยู่สถานที่ใดๆ ก็ตาม มันก็จะพึงถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไป, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า ผัสสาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนแม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้ม) ฉันนั้น. +--ภิกษุ ท. ! เมื่อผัสสาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว เวทนาทั้งสาม ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย, เมื่อ เวทนาทั้งสาม เป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไรๆ ที่ควรกระทำให้ ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! #มโนสัญเจตนาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ? http://etipitaka.com/read/pali/16/120/?keywords=มโนสญฺเจตนาหาโร ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกเกินกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลวและปราศจากควัน มีอยู่. ครั้งนั้น บรุษผู้หนึ่งผู้ต้องการเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ มาสู่ที่นั้น. และมีบุรุษที่มีกำลังกล้าแข็งอีกสองคน จับบุรุษนั้นที่แขนแต่ละข้าง แล้วฉุดคร่าไปยังหลุมถ่านเพลิงนั้น. +--ภิกษุ ท. ! ครั้งนั้นแล บุรุษนั้นมีความคิด ความปรารถนา ความตั้งใจ ที่จะให้ห่างไกลหลุมถ่านเพลิงนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุใดเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่าบุรุษนั้นย่อมรู้ว่า “ถ้าเราจะตกลงไปยังหลุมถ่านเพลิงไซร้ เราพึงถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ” ดังนี้, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า มโนสัญเจตนาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนหลุมถ่านเพลิง) ฉันนั้น. +--ภิกษุ ท. ! เมื่อมโนสัญเจตนาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, ตัณหาทั้งสาม ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย ; เมื่อ ตัณหาทั้งสาม เป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทำให้ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น“ ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! #วิญญาณาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลเห็นอย่างไร ? http://etipitaka.com/read/pali/16/121/?keywords=วิญฺญาณาหาโร +--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนพวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้ประพฤติชั่วช้าได้แล้ว แสดงแก่พระราชาว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ! บุรุษนี้เป็นโจรประพฤติหยาบช้าต่อใต้ฝ่าพระบาท ขอใต้ฝ่าพระบาทจงโปรดให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามประสงค์เถิด พระเจ้าข้า !“ พระราชามีกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้” เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเช้า. ต่อมา ในเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามพวกเจ้าหน้าที่นั้นว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! บุรุษนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?”. พวกเขากราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ! นักโทษนั้นยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า !”. พระราชาทรงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยง”. พวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยง. ต่อมา ในเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! บุรุษนั้น เป็นอย่างไรบ้าง ?”. พวกเขากราบทูลว่า “ยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า !”. พระราชาทรงมีพระกระแสรับสั่งอีกว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น” ดังนี้. พวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : บุรุษนักโทษ นั้นถูกเจ้าหน้าที่ประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่ม ตลอดทั้งวัน เขาจะพึงเสวยแต่ทุกขโทมนัสที่มีข้อนั้นเป็นเหตุ มิใช่หรือ ? +--ภิกษุ ท. ! บุรุษนักโทษนั้น ถูกพวกเจ้าหน้าที่ประหารด้วยหอกเพียงเล่มเดียว ก็พึงเสวยทุกขโทมนัสที่มีข้อนั้นเป็นเหตุ (มากอยู่แล้ว) ก็จะกล่าวไปไยถึงการที่บุรุษนักโทษนั้นถูกประหารด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า วิญญาณาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนนักโทษถูกประหารนั้น) ฉันนั้น. +--ภิกษุ ท. ! เมื่อวิญญาณาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, นามรูป ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย; เมื่อ นามรูป เป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทำให้ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น”, ดังนี้แล.- (คำข้าว เรียกว่าอาหาร เพราะหล่อเลี้ยงร่างกาย; ผัสสะเรียกว่าอาหาร เพราะทำให้ เกิดเวทนา ; มโนสัญเจตนา เรียกว่าอาหาร เพราะทำให้ เกิดกรรม; วิญญาณ เรียกว่าอาหาร เพราะทำให้ เกิดนามรูป. ถ้าบุคคลพิจารณาเห็นโทษแห่งอาหารแต่ละอย่างๆ ดังที่ตรัสไว้โดยอุปมาในข้อความหมายนั้นๆได้, จะดับทุกข์ได้ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ http://etipitaka.com/read/pali/16/123/?keywords=สอุปายาสนฺติ ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/97-99/241 - 244. http://etipitaka.com/read/thai/16/97/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%91​ อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๑๑๙-๑๒๑/๒๔๑ - ๒๔๔. http://etipitaka.com/read/pali/16/119/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%91​ ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=750 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=750 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหาร
    -วิธีพิจารณา เพื่อ “หมดปัญหา” เกี่ยวกับอาหาร ภิกษุ ท. ! กพฬีการาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! ปรียบเหมือนภรรยาสามีสองคน ถือเอาสะเบียงสำหรับเดินทางเล็กน้อย เดินไปสู่หนทางอันกันดาร. สองภรรยาสามีนั้น มีบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูอยู่คนหนึ่ง. เมื่อขณะเขาทั้งสองกำลังเดินไปตามทางอันกันดารอยู่นั้น สะเบียงสำหรับเดินทางที่เขามีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้น ได้หมดสิ้นไปหนทางอันกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองนั้นยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนั้นไปได้. ครั้งนั้นแล สองภรรยาสามีนั้นได้คิดกันว่า “เสบียงสำหรับเดินทางของเราทั้งสองที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ ได้หมดสิ้นลงแล้ว หนทางอันกันดารนี้ยังเหลืออยู่ ทั้งเราก็ยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนั้นไปได้; อย่ากระนั้นเลยเราทั้งสองพึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนี้เสีย แล้วทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนี้แหละ เดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่นี้กันเถิด เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น พวกเราทั้งสามคนจะต้องพากันพินาศหมดแน่” ดังนี้. ครั้งนั้นแล ภรรยาสามีทั้งสองนั้น จึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนั้น แล้วทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง บริโภคเนื้อบุตรนั้นเทียวเดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น. สองภรรยาสามีนั้น บริโภคเนื้อบุตรไปพลางพร้อมกับข้อนอกไปพลาง รำพันว่า “บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานบ้าง เพื่อความมัวเมาบ้าง เพื่อความประดับประดาบ้าง หรือเพื่อตบแต่ง (ร่างกาย) บ้าง, หรือ หนอ ? ”ข้อนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ พระเจ้าข้า !” ถ้าอย่างนั้น สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพียงเพื่อ (อาศัย) เดินข้ามหนทางอันกันดารเท่านั้น ใช่ไหม ? “ใช่ พระเจ้าข้า !” ถ้าอย่างนั้น ภิกษุ ท. ! ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; เรากล่าวว่ากพฬีการาหารอันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนเนื้อบุตร) ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! กพฬีการาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว ; ราคะ (ความกำหนัด) ที่มีเบญจกามคุณเป็นแดนเกิด ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย. เมื่อราคะที่มีเบญจกามคุณเป็นแดนเกิด เป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้ว, สังโยชน์ชนิดที่อริยสาวกประกอบเข้าแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้มาสู่โลกนี้ได้อีกย่อมไม่มี. ภิกษุ ท. ! ผัสสาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนแม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้ม : ถ้าแม่โคนมนั้นพึงยืนพิงฝาอยู่ไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกตัวสัตว์ที่อาศัยฝาเจาะกิน ; ถ้าแม่โคนมนั้นพึงยืนพิงต้นไม้อยู่ไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน; ถ้าหากแม่โคนมนั้นพึงลงไปแช่น้ำอยู่ไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดกันกิน; ถ้าหากแม่โคนมนั้นจะพึงยืนอาศัยอยู่ในที่โล่งแจ้งไซร้, มันก็จะพึงถูกพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดจิกกิน. ภิกษุ ท. ! แม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้มจะพึงอาศัยอยู่สถานที่ใดๆ ก็ตาม มันก็จะพึงถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไป, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่าผัสสาหาร อันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนแม่โคนมที่ปราศจากหนังห่อหุ้ม) ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เมื่อผัสสาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว เวทนาทั้งสาม ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย, เมื่อเวทนาทั้งสามเป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไรๆ ที่ควรกระทำให้ ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! มโนสัญเจตนาหาร เป็นสิ่งที่บุคคลควรเห็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกเกินกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลวและปราศจากควัน มีอยู่. ครั้งนั้น บรุษผู้หนึ่งผู้ต้องการเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ มาสู่ที่นั้น. และมีบุรุษที่มีกำลังกล้าแข็งอีกสองคน จับบุรุษนั้นที่แขนแต่ละข้าง แล้วฉุดคร่าไปยังหลุมถ่านเพลิงนั้น. ภิกษุ ท. ! ครั้งนั้นแล บุรุษนั้นมีความคิด ความปรารถนา ความตั้งใจ ที่จะให้ห่างไกลหลุมถ่านเพลิงนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุใดเล่า ? ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่าบุรุษนั้นย่อมรู้ว่า “ถ้าเราจะตกลงไปยังหลุมถ่านเพลิงไซร้ เราพึงถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ” ดังนี้, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า มโนสัญเจตนาหารอันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนหลุมถ่านเพลิง) ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เมื่อมโนสัญเจตนาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, ตัณหาทั้งสาม ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย ; เมื่อตัณหาทั้งสามเป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทำให้ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น“ ดังนี้. ภิกษุ ท. ! วิญญาณาหารเป็นสิ่งที่บุคคลเห็นอย่างไร ? ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนพวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้ประพฤติหยาบช้าได้แล้ว แสดงแก่พระราชาว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ! บุรุษนี้เป็นโจรประพฤติหยาบช้าต่อใต้ฝ่าพระบาท ขอใต้ฝ่าพระบาทจงโปรดให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามประสงค์เถิด พระเจ้าข้า !“ พระราชามีกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้” เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเช้า. ต่อมา ในเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามพวกเจ้าหน้าที่นั้นว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! บุรุษนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?”. พวกเขากราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ! นักโทษนั้นยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า !”. พระราชาทรงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยง”. พวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยง. ต่อมา ในเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! บุรุษนั้น เป็นอย่างไรบ้าง ?”. พวกเขากราบทูลว่า “ยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าข้า !”. พระราชาทรงมีพระกระแสรับสั่งอีกว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงไปประหารบุรุษนั้น ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น” ดังนี้. พวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น จึงประหารนักโทษนั้นด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น. ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : บุรุษนักโทษ นั้นถูกเจ้าหน้าที่ประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่ม ตลอดทั้งวัน เขาจะพึงเสวยแต่ทุกขโทมนัสที่มีข้อนั้นเป็นเหตุ มิใช่หรือ ? ภิกษุ ท. ! บุรุษนักโทษนั้น ถูกพวกเจ้าหน้าที่ประหารด้วยหอกเพียงเล่มเดียว ก็พึงเสวยทุกขโทมนัสที่มีข้อนั้นเป็นเหตุ (มากอยู่แล้ว) ก็จะกล่าวไปไยถึงการที่บุรุษนักโทษนั้นถูกประหารด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า, ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวว่า วิญญาณาหารอันอริยสาวกควรเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนนักโทษถูกประหารนั้น) ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เมื่อวิญญาณาหารอันอริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, นามรูปย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำหนดรู้ได้แล้วด้วย; เมื่อนามรูปเป็นสิ่งที่อริยสาวกกำหนดรู้ได้แล้ว, เราย่อมกล่าวว่า “สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทำให้ยิ่งขึ้นไป (กว่านี้) ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น”, ดังนี้แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 736 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts