• เรื่องน้ำๆ ในความทรงจำ

    เหตุการณ์น้ำท่วมเชียงรายล่าสุดนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ราวปี 41-42 ซึ่งเป็นช่วงต่อเนื่องของวิกฤติต้มยำกุ้ง การจะมีงานทำเป็นเรื่องแสนสาหัสมาก วันหนึ่ง กรมฯ ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องน้ำ เปิดรับสมัครข้าราชการ 3 อัตรา ข้าพเจ้าซึ่งยังไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันหลังจบมา ได้ไปสมัครสอบแข่งขันร่วมกับผู้คนหลากหลายพันคน โดยข้อสอบมีทั้งแบบปรนัยและอัตนัย เมื่อประกาศผลสอบ มีผู้ผ่านข้อเขียนเพียง 6 คน แน่นอนข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในนั้น ความหวังมาล้นปรี่ แถมแอบฝันเล็กน้อย คือข้าพเจ้าอยากทำงานที่ได้รับใช้ใกล้ชิดในหลวง ร.9 และรู้ว่าในหลวง ร.9 ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำมาก การได้ทำงานในกรมฯ นี้ จะทำให้ฝันกลางวันของข้าพเจ้า เป็นจริง
    มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าจำอีก 5 คนที่เหลือไม่ได้แล้ว จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามีผู้หญิงกี่คนผู้ชายกี่คน พวกเราไม่ได้คุยกัน แต่ละคนอยู่ในมุมเงียบของตัวเอง บอกตามตรง ข้าพเจ้าไม่ตื่นเต้นกับการ สัมภาษณ์เลย เพราะก่อนจะมาถึงจุดนี้ ข้าพเจ้าผ่านการสัมภาษณ์มาอย่างโชกโชน อย่าลืมว่ามันเป็นช่วงวิกฤติ งานไม่มี แต่ถ้าส่งจดหมายสมัครงานไปที่ไหน เขาก็เรียกเราไปสัมภาษณ์เสมอ คงจะกลัวเราเหงาและคิดมาก เรื่องการสัมภาษณ์งานในช่วงนั้น สามารถเขียนได้อีกยาว แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าจะเป็นแบบนี้ ไปด้วยความหวัง ออกจากห้องสัมภาษณ์ด้วยความห่อเหี่ยว พ้นประตูบริษัทด้วยใจที่รู้ว่าชีวิตต้องไปต่อ แต่การสัมภาษณ์ที่กรมฯ ในวันนั้น ข้าพเจ้าออกจากห้องสัมภาษณ์ด้วยอาการแบบที่เรียกว่าน้ำท่วมปากระดับน้ำล้นมาถึงจมูกจนสำลักน้ำ
    กรรมการสัมภาษณ์ เป็นสุภาพสตรี 3 ท่าน การสัมภาษณ์เริ่มด้วยบทสนทนาทั่วไป แนะนำตัว การศึกษา ครอบครัว ต่อมาก็เป็นคำตอบในข้อสอบอัตนัย ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่ามีคำถามอะไรบ้าง มีกี่ข้อ แต่จำได้ว่ากรรมการฯ สนใจคำตอบของข้าพเจ้าอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งให้อธิบายความสัมพันธ์อะไรสักอย่างของน้ำ ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้ว แต่คำตอบข้อนี้ ในหน้ากระดาษคำตอบว่างๆ ข้าพเจ้าเขียนแค่ สมการคณิตศาสตร์ พร้อมกับคำนิยามตัวแปรแต่ละตัว กรรมการฯ ถามว่า สมการได้มาอย่างไร ข้าพเจ้าอธิบายว่า ข้าพเจ้าสร้างโมเดลคณิตศาสตร์ในกระดาษทด กำหนดตัวแปร สร้างความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ของตัวแปรแต่ละตัว แล้วแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จนได้ความสัมพันธ์ออกมา กรรมการถามว่า สมการถูกไหม ข้าพเจ้าตอบทันทีว่าไม่แม่นยำ ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าแก้สมการผิด แต่เป็นเพราะมีเวลาจำกัด โมเดลเลยหยาบเกินไป ขาดตัวแปรอีกหลายตัว ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ความถูกต้องจะมากขึ้น
    ดูกรรมการจะทึ่ง และทำให้รู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่ตอบแบบนี้ อันนี้ต้องขอบคุณ นีลส์ โบร์(Niels Bohr) ตอนสอบจบปริญญาเอก โบร์ ส่งกระดาษแผ่นเดียว ที่เขียนสมการคณิตศาสตร์อธิบาย โครงสร้างอะตอม ข้าพเจ้าแค่ยืมวิธีของโบร์มาใช้
    อีกข้อคือทำไมถึงอยากทำงานที่กรมฯ แน่นอนข้าพเจ้าซ่อนความฝันและความจริงไว้ คือ อยากมีงานทำมั่นคง แต่คำตอบของข้าพเจ้ามาจากประสบการณ์ตรง ข้าพเจ้ามักจะไปช่วยเพื่อน ทำนาเกี่ยวข้าวเสมอ ในปีที่น้ำดี ชีวิตมันก็ดีไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าฟ้าฝนไม่ดี เพื่อนของข้าพเจ้า จะขาดโรงเรียน ข้าวยืนต้นตาย เพื่อนต้องไปรับจ้าง บางคนต้องออกจากการศึกษา เพราะต้องติดตามครอบครัวไปขายแรงงานในเมืองใหญ่ น้ำคือชีวิตจริงจริง เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงอยากทำงานที่กรมฯ นี้ ข้าพเจ้าสามารถตอบได้ทันทีว่า ต้องการสำรวจแหล่งน้ำ จัดสร้างแหล่งน้ำ วางระบบชลประทาน เพื่อให้พี่น้องคนไทย มีน้ำใช้อย่างทั่วถึง จริงจริงแล้วตอนเจอคำถามครั้งแรก ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงภาพใหญ่ขนาดนั้น ข้าพเจ้าแค่นึกถึงเพื่อน แค่คิดว่าถ้าเพื่อนมีแหล่งน้ำ เพื่อนก็ไม่ต้องขาดเรียน แล้วก็คิดต่อไปว่า ถ้าหมู่บ้าน ตำบลมีแหล่งน้ำ หลายครอบครัวไม่ต้องอพยพ แล้วมันถึงค่อยเลยเถิดไปถึงการคิดจัดทำแหล่งน้ำและวางระบบเชื่อมโยงระดับประเทศ ซึ่งเป็นคำตอบสุดท้าย ในกระดาษคำตอบ ที่จำได้เพราะ กรรมการฯ บอกว่า งานในตำแหน่งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการวัดคุณภาพน้ำ ไม่เกี่ยวอะไรกับที่ข้าพเจ้าบรรยายเลย (กรรมแท้!) อย่างไรก็ตาม กรรมการแจ้งว่า ข้าพเจ้าได้คะแนนในส่วนอัตนัยดีเยี่ยม
    อะไรๆ มักจะเริ่มแบบนี้เสมอ สงบ สันติ คำชื่นชม สำหรับเด็กหนุ่มอายุ 21-22 มันยิ้มไม่หุบ ความฝันความหวังมันอยู่ตรงหน้า แต่แล้วชีวิตมันก็ฟาดเปรี้ยง ดูเหมือนมันจะเริ่มด้วยประโยคแบบ รู้สึกเสียดายและเสียใจ ที่จะ ต้องแจ้งให้ทราบว่า ทั้งสามตำแหน่งมีคนในอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจำได้อีกอย่างว่า แม้แต่กรรมการก็รู้สึกแบบไม่อยากจะพูดเหมือนกัน ในส่วนของข้าพเจ้า ก็แบบที่แจ้งให้ทราบมันอยากจะพูดอะไรแต่พูดไม่ออก รู้สึกในหัวมันแบบ โหวงๆ ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่าจบการสัมภาษณ์กันยังไง แต่ดูเหมือนข้าพเจ้าจะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แค่เหมือนกับว่า มันรู้อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องแบบนี้ เราโตมาแบบ คนใน เด็กท่าน นายสั่งมา ประมาณนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีกี่คนที่ได้รับการบอกตรงๆ แบบข้าพเจ้า เอาเข้าจริง ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า ก็ดีเหมือนกัน คือ ไม่มีอะไรติดค้างว่าทำไมข้าพเจ้าถึงไม่ได้ ออกจะรู้สึกขอบคุณที่กรรมการฯ กล้าหาญพอที่จะแจ้งให้ทราบ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องบอกก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้ากลับมีความมั่นใจมากขึ้น ว่าข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพ เพียงแค่ว่าโอกาสยังมาไม่ถึง อย่างที่บอก ชีวิตในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ไม่มีเวลาให้เราอาลัยอาวรณ์ หรือฟูมฟาย เมื่อเดินออกจากกรมฯ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบเสียดายแล้ว แค่กลับที่พัก หาอะไรกิน ตี่นมามีลมหายใจ ก็ออกไปท้าทายวิกฤติต่อ เรื่องก็มีเท่านี้

    เครดิตภาพ: ผู้จัดการออนไลน์
    เรื่องน้ำๆ ในความทรงจำ เหตุการณ์น้ำท่วมเชียงรายล่าสุดนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ราวปี 41-42 ซึ่งเป็นช่วงต่อเนื่องของวิกฤติต้มยำกุ้ง การจะมีงานทำเป็นเรื่องแสนสาหัสมาก วันหนึ่ง กรมฯ ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องน้ำ เปิดรับสมัครข้าราชการ 3 อัตรา ข้าพเจ้าซึ่งยังไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันหลังจบมา ได้ไปสมัครสอบแข่งขันร่วมกับผู้คนหลากหลายพันคน โดยข้อสอบมีทั้งแบบปรนัยและอัตนัย เมื่อประกาศผลสอบ มีผู้ผ่านข้อเขียนเพียง 6 คน แน่นอนข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในนั้น ความหวังมาล้นปรี่ แถมแอบฝันเล็กน้อย คือข้าพเจ้าอยากทำงานที่ได้รับใช้ใกล้ชิดในหลวง ร.9 และรู้ว่าในหลวง ร.9 ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำมาก การได้ทำงานในกรมฯ นี้ จะทำให้ฝันกลางวันของข้าพเจ้า เป็นจริง มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าจำอีก 5 คนที่เหลือไม่ได้แล้ว จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามีผู้หญิงกี่คนผู้ชายกี่คน พวกเราไม่ได้คุยกัน แต่ละคนอยู่ในมุมเงียบของตัวเอง บอกตามตรง ข้าพเจ้าไม่ตื่นเต้นกับการ สัมภาษณ์เลย เพราะก่อนจะมาถึงจุดนี้ ข้าพเจ้าผ่านการสัมภาษณ์มาอย่างโชกโชน อย่าลืมว่ามันเป็นช่วงวิกฤติ งานไม่มี แต่ถ้าส่งจดหมายสมัครงานไปที่ไหน เขาก็เรียกเราไปสัมภาษณ์เสมอ คงจะกลัวเราเหงาและคิดมาก เรื่องการสัมภาษณ์งานในช่วงนั้น สามารถเขียนได้อีกยาว แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าจะเป็นแบบนี้ ไปด้วยความหวัง ออกจากห้องสัมภาษณ์ด้วยความห่อเหี่ยว พ้นประตูบริษัทด้วยใจที่รู้ว่าชีวิตต้องไปต่อ แต่การสัมภาษณ์ที่กรมฯ ในวันนั้น ข้าพเจ้าออกจากห้องสัมภาษณ์ด้วยอาการแบบที่เรียกว่าน้ำท่วมปากระดับน้ำล้นมาถึงจมูกจนสำลักน้ำ กรรมการสัมภาษณ์ เป็นสุภาพสตรี 3 ท่าน การสัมภาษณ์เริ่มด้วยบทสนทนาทั่วไป แนะนำตัว การศึกษา ครอบครัว ต่อมาก็เป็นคำตอบในข้อสอบอัตนัย ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่ามีคำถามอะไรบ้าง มีกี่ข้อ แต่จำได้ว่ากรรมการฯ สนใจคำตอบของข้าพเจ้าอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งให้อธิบายความสัมพันธ์อะไรสักอย่างของน้ำ ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้ว แต่คำตอบข้อนี้ ในหน้ากระดาษคำตอบว่างๆ ข้าพเจ้าเขียนแค่ สมการคณิตศาสตร์ พร้อมกับคำนิยามตัวแปรแต่ละตัว กรรมการฯ ถามว่า สมการได้มาอย่างไร ข้าพเจ้าอธิบายว่า ข้าพเจ้าสร้างโมเดลคณิตศาสตร์ในกระดาษทด กำหนดตัวแปร สร้างความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ของตัวแปรแต่ละตัว แล้วแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จนได้ความสัมพันธ์ออกมา กรรมการถามว่า สมการถูกไหม ข้าพเจ้าตอบทันทีว่าไม่แม่นยำ ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าแก้สมการผิด แต่เป็นเพราะมีเวลาจำกัด โมเดลเลยหยาบเกินไป ขาดตัวแปรอีกหลายตัว ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ความถูกต้องจะมากขึ้น ดูกรรมการจะทึ่ง และทำให้รู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่ตอบแบบนี้ อันนี้ต้องขอบคุณ นีลส์ โบร์(Niels Bohr) ตอนสอบจบปริญญาเอก โบร์ ส่งกระดาษแผ่นเดียว ที่เขียนสมการคณิตศาสตร์อธิบาย โครงสร้างอะตอม ข้าพเจ้าแค่ยืมวิธีของโบร์มาใช้ อีกข้อคือทำไมถึงอยากทำงานที่กรมฯ แน่นอนข้าพเจ้าซ่อนความฝันและความจริงไว้ คือ อยากมีงานทำมั่นคง แต่คำตอบของข้าพเจ้ามาจากประสบการณ์ตรง ข้าพเจ้ามักจะไปช่วยเพื่อน ทำนาเกี่ยวข้าวเสมอ ในปีที่น้ำดี ชีวิตมันก็ดีไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าฟ้าฝนไม่ดี เพื่อนของข้าพเจ้า จะขาดโรงเรียน ข้าวยืนต้นตาย เพื่อนต้องไปรับจ้าง บางคนต้องออกจากการศึกษา เพราะต้องติดตามครอบครัวไปขายแรงงานในเมืองใหญ่ น้ำคือชีวิตจริงจริง เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงอยากทำงานที่กรมฯ นี้ ข้าพเจ้าสามารถตอบได้ทันทีว่า ต้องการสำรวจแหล่งน้ำ จัดสร้างแหล่งน้ำ วางระบบชลประทาน เพื่อให้พี่น้องคนไทย มีน้ำใช้อย่างทั่วถึง จริงจริงแล้วตอนเจอคำถามครั้งแรก ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงภาพใหญ่ขนาดนั้น ข้าพเจ้าแค่นึกถึงเพื่อน แค่คิดว่าถ้าเพื่อนมีแหล่งน้ำ เพื่อนก็ไม่ต้องขาดเรียน แล้วก็คิดต่อไปว่า ถ้าหมู่บ้าน ตำบลมีแหล่งน้ำ หลายครอบครัวไม่ต้องอพยพ แล้วมันถึงค่อยเลยเถิดไปถึงการคิดจัดทำแหล่งน้ำและวางระบบเชื่อมโยงระดับประเทศ ซึ่งเป็นคำตอบสุดท้าย ในกระดาษคำตอบ ที่จำได้เพราะ กรรมการฯ บอกว่า งานในตำแหน่งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการวัดคุณภาพน้ำ ไม่เกี่ยวอะไรกับที่ข้าพเจ้าบรรยายเลย (กรรมแท้!) อย่างไรก็ตาม กรรมการแจ้งว่า ข้าพเจ้าได้คะแนนในส่วนอัตนัยดีเยี่ยม อะไรๆ มักจะเริ่มแบบนี้เสมอ สงบ สันติ คำชื่นชม สำหรับเด็กหนุ่มอายุ 21-22 มันยิ้มไม่หุบ ความฝันความหวังมันอยู่ตรงหน้า แต่แล้วชีวิตมันก็ฟาดเปรี้ยง ดูเหมือนมันจะเริ่มด้วยประโยคแบบ รู้สึกเสียดายและเสียใจ ที่จะ ต้องแจ้งให้ทราบว่า ทั้งสามตำแหน่งมีคนในอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจำได้อีกอย่างว่า แม้แต่กรรมการก็รู้สึกแบบไม่อยากจะพูดเหมือนกัน ในส่วนของข้าพเจ้า ก็แบบที่แจ้งให้ทราบมันอยากจะพูดอะไรแต่พูดไม่ออก รู้สึกในหัวมันแบบ โหวงๆ ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่าจบการสัมภาษณ์กันยังไง แต่ดูเหมือนข้าพเจ้าจะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แค่เหมือนกับว่า มันรู้อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องแบบนี้ เราโตมาแบบ คนใน เด็กท่าน นายสั่งมา ประมาณนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีกี่คนที่ได้รับการบอกตรงๆ แบบข้าพเจ้า เอาเข้าจริง ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า ก็ดีเหมือนกัน คือ ไม่มีอะไรติดค้างว่าทำไมข้าพเจ้าถึงไม่ได้ ออกจะรู้สึกขอบคุณที่กรรมการฯ กล้าหาญพอที่จะแจ้งให้ทราบ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องบอกก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้ากลับมีความมั่นใจมากขึ้น ว่าข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพ เพียงแค่ว่าโอกาสยังมาไม่ถึง อย่างที่บอก ชีวิตในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ไม่มีเวลาให้เราอาลัยอาวรณ์ หรือฟูมฟาย เมื่อเดินออกจากกรมฯ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบเสียดายแล้ว แค่กลับที่พัก หาอะไรกิน ตี่นมามีลมหายใจ ก็ออกไปท้าทายวิกฤติต่อ เรื่องก็มีเท่านี้ เครดิตภาพ: ผู้จัดการออนไลน์
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • "หนูอยากเป็นนายกฯ" มันไม่ใช่แค่คำพูด แต่มีสติและปัญญามากพอไหม
    .
    ท่านนายกฯ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ครั้งนี้ แม่ไม่ต้องการให้เป็น คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พูดกับคนใกล้ชิดหมดเลย ขอร้อง อย่าเอาอุ๊งอิ๊งค์มาเป็นนายกฯ ขอร้อง แต่ปรากฏว่าพ่อคุณ ท่านนายกฯ ต้องการให้ท่านเป็น แต่ก็ขัดแม่ไม่ได้ ทั้งสองคนผัวเมียเลยตัดสินใจว่าให้ลูกสาวตัดสินใจก็แล้วกัน ใช่หรือเปล่า อย่าโกหกผม
    .
    เมื่อท่านนายกฯ ตัดสินใจจะก้าวเข้าสู่สนามสงครามแล้ว ท่านนายกฯ ต้องยอมรับหอก ดาบ ง้าว กระสุนปืน ที่ถั่งโถมหาท่านนายกฯ ท่านนายกฯ ต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน อย่าควันออกหูเพียงเพราะว่าหนังสือพิมพ์ คอลัมน์ประจำคอลัมน์หนึ่งของนายสุรวิชช์ วีรวรรณ พาดหัวข่าวว่า "นายกฯ ฟันน้ำนม"ท่านสติแตกเลย
    .
    ท่านนายกฯ ครับ การที่พ่อท่านเลือกท่าน ท่านรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร ง่ายนิดเดียว พ่อท่านไม่เคยไว้ใจใครเลย ไม่เคย ไม่เคยไว้ใจใครเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นลูกสาวตัวเอง โอเค ได้ แต่ความที่แม่ คือคุณหญิงพจมาน ขัดขวาง ไม่ยอมให้เป็น เพราะรู้ว่าจะมีปัญหา ก็เลยต้องตัดสินใจว่าโยนให้ท่านนายกฯ แพทองธารเป็นคนตัดสินใจ
    .
    ผมรู้ท่านนายกฯรักลูก คิดถึงลูก อยากจะใช้ชีวิตวันเสาร์-อาทิตย์อยู่กับลูก ในฐานะที่เป็นแม่ ไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านอย่ามาเป็นนายกฯ เพราะประเทศไทยปัญหาชาติบ้านเมืองไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหยุด ท่านนายกฯต้องรู้จักตัวเองบ้างว่าท่านสวมหมวกอะไรอยู่ในขณะนี้
    .
    ผมรู้ว่าคุณพ่อคุณเป็นห่วงท่าน ส่งทีมงานมา ตั้งคณะที่ปรึกษา ที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ประธานคือพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เข้ามาล้อมรอบ นั่งคุยด้วย ออกมาหมอเลี้ยบก็ให้สัมภาษณ์ทันทีเลยว่าจะอยู่จนครบ 4 ปี จะทำให้ประชาชนร่ำรวยขึ้น ประเด็นไม่ใช่ปัญหาประชาชนจะร่ำรวยหรือไม่ร่ำรวย ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านนายกฯเป็นตัวของตัวเองได้ไหม
    .
    แต่เผอิญการเป็นตัวของตัวเองนั้น ท่านนายกฯ‘ต้องมีปัญญา’ คำถามคือ ท่านนายกฯ มีสติและมีปัญญามากพอที่จะเป็นนายกฯ ได้ไหม ไม่ใช่ที่ท่านผิดพลาดไปในเรื่องของค่าเงินบาทแข็ง พอค่าเงินบาทแข็ง ท่านก็บอกว่า ดี ทำให้การส่งออกดีขึ้น นี่คือข้อผิดพลาดที่เรือหายไปแล้วนะ ท่านพูดมาแล้วหลายครั้งเรื่องนี้ ตั้งแต่ต้น แต่ผมไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ท่านเลย ผมเฉย ผมคิดในใจว่าท่านคงไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ น่าเห็นใจ
    .
    ท่านนายกฯ ครับ การศึกษาบ้านเราจะไปอย่างไร อนาคตบ้านเราจะเป็นอย่างไร คุณพิชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทะเลาะกับคุณเศรษฐพุฒิ ท่านต้องบอกคุณพิชัยให้หยุดพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น คุณเศรษฐพุฒิท่านจะว่าอย่างไรก็ว่าไป ตั้งใจทำงานไป
    .
    ท่านนายกฯ ครับ ผมเป็นคนที่มีเหตุมีผล ผมไม่ใช่นักเลงหัวไม้ ผมไม่รังแกคน แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกผม ท่านไม่ต้องกังวล ท่านทำงานไป ท่านตรวจสอบไป
    .
    ผมขอเถอะท่านนายกฯ ท่านตั้งใจทำงานเพื่อชาติ ท่านทำได้หรือเปล่า เพื่อชาติจริงๆ ท่านต้องบอกพ่อ พ่อ หนูขอทำงานเพื่อส่วนรวมได้ไหม พ่ออย่ามายุ่งกับการงานของหนูได้ไหม พ่อหาคนมาแนะนำหนูได้ แต่พ่ออย่าสอดแทรกอะไรเข้ามาให้หนูทำ เป้าหมายของหนูต้องการให้ประเทศชาติไปรอด เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เมื่อส่วนรวมเป็นตัวตั้งแล้ว หนูถือว่าหนูทำงานได้สำเร็จแล้วแต่ที่สำคัญที่สุด ท่านนายกฯ ท่านอย่าลืมตัวท่านเอง ท่านตัดสินใจจะเข้าสู่สงครามนี้ด้วยตัวท่านเอง
    .
    ถ้าท่านรับไม่ไหว ท่านก็ถอยออกมา แต่ท่านเข้าไปแล้ว ท่านต้องสู้ ท่านอย่ามาโอดครวญบนพื้นฐานที่ไม่ใช่ความจริง บอกว่าเพิ่งทำงานได้เดือนเดียว บอกคุณสนธิอย่าเพิ่งมาเดินถนนไล่ ท่านนายกฯ ท่านโกหก
    .
    ท่านนายกฯ ท่านเป็นคนรุ่นใหม่ ท่านอาจจะไม่เข้าใจเรื่องของกฎแห่งกรรม ผมอายุ 78 แล้ว ผมแก่กว่าคุณพ่อท่านนายกฯ 2 ปี โดยวัยวุฒิตามสังคมไทย ผมต้องเป็นลุงท่านนายกฯ แต่ผมไม่กล้าไปนับญาติกับท่านนายกฯ ไม่กล้า ผมอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ถ้าเป็นเรื่องชาติบ้านเมือง ท่านนายกฯ ครับ ผมไม่เจียมเนื้อเจียมตัวหรอก
    .
    พฤศจิกายนนี้ ผม78 ผมตายเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะตายทั้งทีให้มันลือลั่นไปทั่วในประวัติศาสตร์ ท่านนายกฯ ไม่ต้องกังวล และให้รู้ด้วยว่าถ้าผมประท้วงท่านนายกฯ ในอนาคต ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังผม ไม่ต้องมาหาเลยว่าจะเป็นทหารคนไหน ไม่มี ผมไม่ใช่สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำ กปปส. ที่มีกองทัพอยู่ข้างหลัง ผมตัวคนเดียว แต่ผมมีประชาชนที่รักความเป็นธรรม และเขารักผม และเขารู้ว่าผมทำงานโดยไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่ทำงานให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำงานให้ชาติจริงๆ วันที่ผมออกไปสู้กับคุณพ่อท่านนายกฯ ผมบอกกับทุกคนเลย เฮ้ย ถ้าจะมีกูคนเดียว กูก็จะไป เพราะกูเชื่อของกูอย่างนี้
    .
    ถ้าผมจำเป็นต้องประท้วงท่านนายกฯ ในอนาคต ซึ่งผมไม่รู้ว่าเมื่อไร สุดแล้วแต่การทำงานของท่านนายกฯ ผมมีทางเลือกอยู่ทางเดียว ผมต้องชนะ ไม่อย่างนั้นผมยอมตาย
    .
    หวังว่าสิ่งที่ผมพูดนี้จะเป็นประโยชน์ ถ้าท่านนายกฯ เปิดใจรับฟังความเห็นของผม นี่กล่าวจากความจริงใจในใจ เพราะโดยวัยวุฒิแล้วท่านก็เหมือนหลานผม แต่ผมไม่กล้านับลุงนับหลานกับท่าน แต่ผมแก่กว่าพ่อท่านนายกฯ 2 ปี ผมอยู่อีกไม่กี่ปีก็จะตายแล้ว ท่านนายกฯ ก็ต้องตายสักวันหนึ่ง คุณพ่อท่านนายกฯ ก็ต้องตายสักวันหนึ่ง คำถาม ถ้าคุณพ่อท่านนายกฯ ตายไปวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ตายอย่างมีสง่าราศีหรือเปล่า ? ไม่มี ท่านนายกฯ ต้องเข้ามากู้ศักดิ์ศรีของคุณพ่อท่านนายก ด้วยการทำความดี ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่าไปใส่ใจพวกญาติพี่น้องท่าน
    .
    แล้วท่านนายกฯ ต้องไม่สติแตกง่ายๆ ถ้าตัดสินใจมาลงเล่นสงครามแล้ว ต้องพร้อมจะเจ็บ เท่านั้นล่ะครับ
    "หนูอยากเป็นนายกฯ" มันไม่ใช่แค่คำพูด แต่มีสติและปัญญามากพอไหม . ท่านนายกฯ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ครั้งนี้ แม่ไม่ต้องการให้เป็น คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พูดกับคนใกล้ชิดหมดเลย ขอร้อง อย่าเอาอุ๊งอิ๊งค์มาเป็นนายกฯ ขอร้อง แต่ปรากฏว่าพ่อคุณ ท่านนายกฯ ต้องการให้ท่านเป็น แต่ก็ขัดแม่ไม่ได้ ทั้งสองคนผัวเมียเลยตัดสินใจว่าให้ลูกสาวตัดสินใจก็แล้วกัน ใช่หรือเปล่า อย่าโกหกผม . เมื่อท่านนายกฯ ตัดสินใจจะก้าวเข้าสู่สนามสงครามแล้ว ท่านนายกฯ ต้องยอมรับหอก ดาบ ง้าว กระสุนปืน ที่ถั่งโถมหาท่านนายกฯ ท่านนายกฯ ต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน อย่าควันออกหูเพียงเพราะว่าหนังสือพิมพ์ คอลัมน์ประจำคอลัมน์หนึ่งของนายสุรวิชช์ วีรวรรณ พาดหัวข่าวว่า "นายกฯ ฟันน้ำนม"ท่านสติแตกเลย . ท่านนายกฯ ครับ การที่พ่อท่านเลือกท่าน ท่านรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร ง่ายนิดเดียว พ่อท่านไม่เคยไว้ใจใครเลย ไม่เคย ไม่เคยไว้ใจใครเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นลูกสาวตัวเอง โอเค ได้ แต่ความที่แม่ คือคุณหญิงพจมาน ขัดขวาง ไม่ยอมให้เป็น เพราะรู้ว่าจะมีปัญหา ก็เลยต้องตัดสินใจว่าโยนให้ท่านนายกฯ แพทองธารเป็นคนตัดสินใจ . ผมรู้ท่านนายกฯรักลูก คิดถึงลูก อยากจะใช้ชีวิตวันเสาร์-อาทิตย์อยู่กับลูก ในฐานะที่เป็นแม่ ไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านอย่ามาเป็นนายกฯ เพราะประเทศไทยปัญหาชาติบ้านเมืองไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหยุด ท่านนายกฯต้องรู้จักตัวเองบ้างว่าท่านสวมหมวกอะไรอยู่ในขณะนี้ . ผมรู้ว่าคุณพ่อคุณเป็นห่วงท่าน ส่งทีมงานมา ตั้งคณะที่ปรึกษา ที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ประธานคือพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เข้ามาล้อมรอบ นั่งคุยด้วย ออกมาหมอเลี้ยบก็ให้สัมภาษณ์ทันทีเลยว่าจะอยู่จนครบ 4 ปี จะทำให้ประชาชนร่ำรวยขึ้น ประเด็นไม่ใช่ปัญหาประชาชนจะร่ำรวยหรือไม่ร่ำรวย ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านนายกฯเป็นตัวของตัวเองได้ไหม . แต่เผอิญการเป็นตัวของตัวเองนั้น ท่านนายกฯ‘ต้องมีปัญญา’ คำถามคือ ท่านนายกฯ มีสติและมีปัญญามากพอที่จะเป็นนายกฯ ได้ไหม ไม่ใช่ที่ท่านผิดพลาดไปในเรื่องของค่าเงินบาทแข็ง พอค่าเงินบาทแข็ง ท่านก็บอกว่า ดี ทำให้การส่งออกดีขึ้น นี่คือข้อผิดพลาดที่เรือหายไปแล้วนะ ท่านพูดมาแล้วหลายครั้งเรื่องนี้ ตั้งแต่ต้น แต่ผมไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ท่านเลย ผมเฉย ผมคิดในใจว่าท่านคงไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ น่าเห็นใจ . ท่านนายกฯ ครับ การศึกษาบ้านเราจะไปอย่างไร อนาคตบ้านเราจะเป็นอย่างไร คุณพิชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทะเลาะกับคุณเศรษฐพุฒิ ท่านต้องบอกคุณพิชัยให้หยุดพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น คุณเศรษฐพุฒิท่านจะว่าอย่างไรก็ว่าไป ตั้งใจทำงานไป . ท่านนายกฯ ครับ ผมเป็นคนที่มีเหตุมีผล ผมไม่ใช่นักเลงหัวไม้ ผมไม่รังแกคน แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกผม ท่านไม่ต้องกังวล ท่านทำงานไป ท่านตรวจสอบไป . ผมขอเถอะท่านนายกฯ ท่านตั้งใจทำงานเพื่อชาติ ท่านทำได้หรือเปล่า เพื่อชาติจริงๆ ท่านต้องบอกพ่อ พ่อ หนูขอทำงานเพื่อส่วนรวมได้ไหม พ่ออย่ามายุ่งกับการงานของหนูได้ไหม พ่อหาคนมาแนะนำหนูได้ แต่พ่ออย่าสอดแทรกอะไรเข้ามาให้หนูทำ เป้าหมายของหนูต้องการให้ประเทศชาติไปรอด เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เมื่อส่วนรวมเป็นตัวตั้งแล้ว หนูถือว่าหนูทำงานได้สำเร็จแล้วแต่ที่สำคัญที่สุด ท่านนายกฯ ท่านอย่าลืมตัวท่านเอง ท่านตัดสินใจจะเข้าสู่สงครามนี้ด้วยตัวท่านเอง . ถ้าท่านรับไม่ไหว ท่านก็ถอยออกมา แต่ท่านเข้าไปแล้ว ท่านต้องสู้ ท่านอย่ามาโอดครวญบนพื้นฐานที่ไม่ใช่ความจริง บอกว่าเพิ่งทำงานได้เดือนเดียว บอกคุณสนธิอย่าเพิ่งมาเดินถนนไล่ ท่านนายกฯ ท่านโกหก . ท่านนายกฯ ท่านเป็นคนรุ่นใหม่ ท่านอาจจะไม่เข้าใจเรื่องของกฎแห่งกรรม ผมอายุ 78 แล้ว ผมแก่กว่าคุณพ่อท่านนายกฯ 2 ปี โดยวัยวุฒิตามสังคมไทย ผมต้องเป็นลุงท่านนายกฯ แต่ผมไม่กล้าไปนับญาติกับท่านนายกฯ ไม่กล้า ผมอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ถ้าเป็นเรื่องชาติบ้านเมือง ท่านนายกฯ ครับ ผมไม่เจียมเนื้อเจียมตัวหรอก . พฤศจิกายนนี้ ผม78 ผมตายเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะตายทั้งทีให้มันลือลั่นไปทั่วในประวัติศาสตร์ ท่านนายกฯ ไม่ต้องกังวล และให้รู้ด้วยว่าถ้าผมประท้วงท่านนายกฯ ในอนาคต ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังผม ไม่ต้องมาหาเลยว่าจะเป็นทหารคนไหน ไม่มี ผมไม่ใช่สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำ กปปส. ที่มีกองทัพอยู่ข้างหลัง ผมตัวคนเดียว แต่ผมมีประชาชนที่รักความเป็นธรรม และเขารักผม และเขารู้ว่าผมทำงานโดยไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่ทำงานให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำงานให้ชาติจริงๆ วันที่ผมออกไปสู้กับคุณพ่อท่านนายกฯ ผมบอกกับทุกคนเลย เฮ้ย ถ้าจะมีกูคนเดียว กูก็จะไป เพราะกูเชื่อของกูอย่างนี้ . ถ้าผมจำเป็นต้องประท้วงท่านนายกฯ ในอนาคต ซึ่งผมไม่รู้ว่าเมื่อไร สุดแล้วแต่การทำงานของท่านนายกฯ ผมมีทางเลือกอยู่ทางเดียว ผมต้องชนะ ไม่อย่างนั้นผมยอมตาย . หวังว่าสิ่งที่ผมพูดนี้จะเป็นประโยชน์ ถ้าท่านนายกฯ เปิดใจรับฟังความเห็นของผม นี่กล่าวจากความจริงใจในใจ เพราะโดยวัยวุฒิแล้วท่านก็เหมือนหลานผม แต่ผมไม่กล้านับลุงนับหลานกับท่าน แต่ผมแก่กว่าพ่อท่านนายกฯ 2 ปี ผมอยู่อีกไม่กี่ปีก็จะตายแล้ว ท่านนายกฯ ก็ต้องตายสักวันหนึ่ง คุณพ่อท่านนายกฯ ก็ต้องตายสักวันหนึ่ง คำถาม ถ้าคุณพ่อท่านนายกฯ ตายไปวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ตายอย่างมีสง่าราศีหรือเปล่า ? ไม่มี ท่านนายกฯ ต้องเข้ามากู้ศักดิ์ศรีของคุณพ่อท่านนายก ด้วยการทำความดี ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่าไปใส่ใจพวกญาติพี่น้องท่าน . แล้วท่านนายกฯ ต้องไม่สติแตกง่ายๆ ถ้าตัดสินใจมาลงเล่นสงครามแล้ว ต้องพร้อมจะเจ็บ เท่านั้นล่ะครับ
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า

    “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ

    แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย

    ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก

    เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด

    ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้

    ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง

    เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว”

    แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

    ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี

    ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก

    สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว

    จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้

    แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม

    ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture

    ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media

    เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก

    พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง

    ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้

    จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”

    https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/

    #Thaitimes
    บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้ ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้ แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/ #Thaitimes
    WWW.SALIKA.CO
    UGC เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”
    User-Generated Content (UGC) หมายถึง Story ที่ผู้บริโภค หรือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย สร้างขึ้นมาเอง โดยผู้คนเหล่านั้น จะพูดถึงเรื่องราวที่พวกเขาประทับใจ หรือให้ความสนใจ โดยที่ต้นเรื่องไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • 7 ตุลารำลึก 16 ปี ถึงความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 4
    .
    งาน "ความจริงมีหนึ่งเดียว"ครั้งต่อไป ผมประกาศไปแล้วจะจัด วันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 แต่งวดนี้เราจัดที่หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เดิมทีค่าบัตรเราคิด 500 บาท แต่วันนี้เราจะลดเหลือแค่ 300 บาท เดิมทีตั้งไว้ 200 บาท แล้วก็ไปซื้อข้าวกินตอนเที่ยงกันเอง แต่ตอนนี้เป็น 300 บาทแล้ว เพื่ออะไร ? ใครซื้อบัตรจ่าย 300 บาท ได้อาหารกล่องที่เราทำให้ทานทุกครั้ง อร่อยมาก 1 กล่อง มูลค่า 100 บาท
    .
    ถ้าใครไม่อยากพลาด ตอนนี้เราเริ่มเปิดให้จองผ่านไลน์ (LINE) @sondhitalk ผมเตือนหน่อยครับ เพราะที่นั่งโซนหน้าเต็มเร็วมาก แล้วงานครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ไปเลยนะครับ หอประชุมใหญ่ จะครื้นเครงมาก สิบโมงเช้า เราจะเปิดด้วยวงดนตรีหลายวง ซึ่งตอนนี้กำลังติดต่อมาลีฮวนนาอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ แต่ว่าคาราวาน แฮมเมอร์ และศิลปินอีกหลายคนที่เคยเป็นแฟนเก่าๆ ของพวกเรา พอเที่ยงก็จะมีการรับประทานอาหารกันก่อน บ่ายโมงค่อยเริ่มรายการต่อไป และจะเป็นรายการที่มีความหลากหลายมาก ท่านผู้ชมจะไม่มีวันผิดหวังอย่างแน่นอน
    .
    วันที่ 7 ตุลาคมนี้ ครบรอบ 16 ปีของการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตไป จะเป็นการทำบุญใหญ่ ณ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เจ็ดโมงเช้า ทำบุญตักบาตรพระป่า หลังจากนั้นจะมีการปราศรัยจากอดีตแกนนำ มีผม มีอาจารย์ปานเทพ มีคุณมาลีรัตน์ แก้วก่า โน่นนี่นั่น แล้วต่อด้วยคอนเสิร์ตแฮมเมอร์ พร้อมด้วยศิลปินอื่นๆ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ
    7 ตุลารำลึก 16 ปี ถึงความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 4 . งาน "ความจริงมีหนึ่งเดียว"ครั้งต่อไป ผมประกาศไปแล้วจะจัด วันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 แต่งวดนี้เราจัดที่หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เดิมทีค่าบัตรเราคิด 500 บาท แต่วันนี้เราจะลดเหลือแค่ 300 บาท เดิมทีตั้งไว้ 200 บาท แล้วก็ไปซื้อข้าวกินตอนเที่ยงกันเอง แต่ตอนนี้เป็น 300 บาทแล้ว เพื่ออะไร ? ใครซื้อบัตรจ่าย 300 บาท ได้อาหารกล่องที่เราทำให้ทานทุกครั้ง อร่อยมาก 1 กล่อง มูลค่า 100 บาท . ถ้าใครไม่อยากพลาด ตอนนี้เราเริ่มเปิดให้จองผ่านไลน์ (LINE) @sondhitalk ผมเตือนหน่อยครับ เพราะที่นั่งโซนหน้าเต็มเร็วมาก แล้วงานครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ไปเลยนะครับ หอประชุมใหญ่ จะครื้นเครงมาก สิบโมงเช้า เราจะเปิดด้วยวงดนตรีหลายวง ซึ่งตอนนี้กำลังติดต่อมาลีฮวนนาอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ แต่ว่าคาราวาน แฮมเมอร์ และศิลปินอีกหลายคนที่เคยเป็นแฟนเก่าๆ ของพวกเรา พอเที่ยงก็จะมีการรับประทานอาหารกันก่อน บ่ายโมงค่อยเริ่มรายการต่อไป และจะเป็นรายการที่มีความหลากหลายมาก ท่านผู้ชมจะไม่มีวันผิดหวังอย่างแน่นอน . วันที่ 7 ตุลาคมนี้ ครบรอบ 16 ปีของการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตไป จะเป็นการทำบุญใหญ่ ณ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เจ็ดโมงเช้า ทำบุญตักบาตรพระป่า หลังจากนั้นจะมีการปราศรัยจากอดีตแกนนำ มีผม มีอาจารย์ปานเทพ มีคุณมาลีรัตน์ แก้วก่า โน่นนี่นั่น แล้วต่อด้วยคอนเสิร์ตแฮมเมอร์ พร้อมด้วยศิลปินอื่นๆ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ
    Like
    6
    0 Comments 1 Shares 67 Views 0 Reviews
  • ..น่าสนใจมากหากพันธมิตรเสื้อแผ่นดินไทย,ออกมาพลิกประเทศ ยึดอำนาจโดยภาคมหาชนจริงจัง ทำให้จบและสุดซอยของจริงในยุคนี้,บวกขึ้นเวทีประกาศก้องทั่วทั้งเวทีกลางแจ้ง"ภาคมหาประชาชนคนกู้แผ่นดิน" บอกความจริงเรื่องวัคซีนบนเวทีสะท้อนความจริงยิงข้อมูลตรงไปทั่วทั้งประเทศปลุกตื่นรู้จริง&เข้าใจความจริงทั่วประเทศไทยจริง,ถ้าทำได้นะเจริญแน่นอน ทั้งเชิญคนไทย&กูรูไทยมากมายขึ้นเวที แฉตระกูลรอธไชล์ดและตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ที่ต้องการปกครองคนทั้งโลกอย่างเบ็ดเสร็จด้วยและผลงานชั่วร้ายต่างๆที่ทำต่อคนทั้งโลกในอดีตถึงปัจจุบัน ออกมาแฉครบสูตรกันเลย เด้งแบบหมูเด้งกระจายทั่วโลกเรียลไทม์สแกนหา&ร่วมกันกำจัดพวกนี้ ภัยของโลกโดยชาวโลกเราทุกๆคนขึ้นไปไล่ล่ากำจัดมันอย่างจริงจังร่วมกันเพื่อตัดตอนและมิให้พวกมันลุแก่ใจ&ได้ใจเกินชั่วต่อไปสู่ยุคหน้า&ยุคต่อไป มิให้มีซากพวกนี้เด็ดขาดแบบไปต่อไม่ได้เลย,เราคนไทยและทั่วทั้งโลกจะร่วมกันจัดการต้นเหตุต้นตอของตัวปัญหาชัดเจนทันที&ร่วมกันเกาถูกที่ถูกทาง&ถูกที่คันด้วย,โลกจะสงบสุขทันทีที่ตระกูลพวกนี้ดับอนาถไป,เพราะพวกนี้ทั้งสิ้นที่ก่อกวนโกลาหลทั้งโลกจนวุ่นวายถึงปัจจุบัน ค้าอาวุธ&ทำกำไรจากสงครามที่ยุยงปลุก&ปั่นสงครามทุกๆรูปแบบ& ค้าความตายจากวัคซีนจากการค้าขายสาระพัดวัคซีนและออปชั่นต่างๆเพรียบทัังแบบตายเด็ดขาดและตายผ่อนส่งต่างค้ากำไร&ดูดตังเหยื่อชาวโลกได้ทุกๆสไตล์เลยทีเดียว.
    ..พันธมิตรออกมาจริง จะมีโอกาสพลิกโลกได้ หากเราไม่ขับเคลื่อนเอง ใครจะขับเคลื่อน ทหารยึดอำนาจก็ตกประโยชน์ในหมู่นายทุนทุกๆสมัยแบบอดีตที่ผ่านๆมา ยึดอำนาจโดยทหารเผลอๆยึดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ชนชั้นอีลิทซาตานเท่านั้น เสมือนทหารในอดีตคือขี้ข้า&ทาส&บ๋อย&ส้นตีนสมุนรับใช้อีลิทซาตานเท่านั้น ดูสิในอดีต มีปัญญาคิดอ่านแค่จะฉีกแต่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหัว ไม่มีปัญญาฉีกกฎหมายสัมปทานต่างๆเลย เพราะโดยหลักความจริง บ้านใดถูกยึด ทัังบ้านทั้งที่ดิน และทุกๆอย่างในบ้านนั้นๆจะเป็นเอกสิทธิผู้เดียวของคนไปยึดบ้านยึดที่ดินยึดอำนาจบ้านนั้นแล้ว เงื่อนไข&กฎกติกาใดๆในบ้านหลังนั้นที่มีอยู่ก่อนแล้วเป็นอันตกไปทัังหมดหรือโมฆะสิ้นซากทั้งหมด,เขาจะตั้งกฎกติกาใหม่ใดๆย่อมเป็นอำนาจเขาคนยึดอำนาจทั้งสิ้น,แล้วทหารในอดีตทำห่าที่ว่ามั้ย ยึดบ่อน้ำมันคืนมาเป็นอธิปไตยความมั่นคงทางพลังงานขั้นพื้นฐานของประเทศแบบคืนสู่สามัญมั้ย ,ก็ไม่ทำ ทหารมีไว้ทำรัฐประหารยึดอำนาจใช่หรือไม่,ภาคมหาประชาชนไม่มีสิทธิเอาอำนาจตนเองคืนมาหรือไง,ทำยึดอำนาจเองไม่เป็นหรือไง,ทหารต้องปกป้องอธิปไตยคนไทยแผ่นดินไทยระหว่างประชาชนจัดการระบบประชาธิปไตยเองสิ,วังทำไม่ได้เพราะกฎหมายเขียนไว้,วังยึดอำนาจเองได้มั้ยล่ะ ก็ไม่ได้,ทหารเป็นอะไรจึวมีสิทธิ์เหนือกว่าประชาชน ทหารก็เกณฑ์ประชาชนไปเป็น,น้ำท่วมทหารประชาชนลงไประงับเหตุก็ถูกต้องแล้ว,แต่ไม่สุดคือยังขลาดกลัวฝรั่งต่างชาติไม่โมฆะทรัพยากรมีค่ามากมายที่พวกมันปล้นแผ่นดินไทยผ่านกฎหมายลูกต่างๆบนแผ่นดินไทยไปและด้วยบริบทการฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ตนยึดอำนาจสิ้นแล้ว ต้องเสมือนกฎหมายลูกทั่วราชอาณาใหม่นี้ ของเก่าต้องโมฆะทั้งหมดในทันที,ไม่อนุญาตให้ใช้ต่อได้ทันทีเพราะจบอัตโนมัติสิ้นสภาพไปทันทีแล้วเมื่อฉีกรัฐธรรมนูณนั้นสำเร็จ อิสระสัมปทานจึงสมควรคืนสู่สามัญทั้งหมดแก่แผ่นดินไทยด้วยแต่ทหารที่ยึดอำนาจขี้ขลาด กาก&กระจอกสิ้นดี,สมควรพันธมิตรภาคมหาประชาชนกระทำเองผ่านสายตาชาวโลกอย่างชอบธรรมแทนเลย&เปิดเผยด้วย,โปร่งใส ชัดเจนด้วย.,เราจะได้อธิปไตยแผ่นดินไทย&อิสระเสรีกลับคืนมาอย่างเปิดเผยทันที,ใครก็แทรกแซงไม่ได้ UNเขามาจะน่าเกียจทันที ไม่สวยงามด้วย ไม่ได้ค่าให้ค่าต่อสายตาชาวโลกด้วยเพราะประชาชนกระทำการอย่างชอบธรรมนั้นเอง,ถ้าคนทั้งโลกยังเหมือนควายเหมือนวัว ย่อมาไทยก็ด้วย เสือชั่วร้ายเพียวตัวเดียวหรือสองตัวกำลังจะฆ่าจะกัดกินควายกัดกินวัว แต่ฝูงควายฝูงวัวทั้งฝูงมีเป็นอันมากกว่า7,000-8,000ล้านตัวหรือไทยกว่า70ล้านคน ยืนมองเฉยๆแบบโง่ๆ &โง่เขลา เขลาสิ้นดียืนมองใกล้&เฉยอย่างเหี้ยๆอย่างบัดสบอย่างไรสมองคิดอ่านกระทำร่วมกัน อาทิ เหยียบมันร่วมกันทันทีขณะนั้นที่กำลังคาบกัดเพื่อนๆเราอยู่ให้ทั้งตัวมันอักเสบ แข้งขาหักไส้แตกหากไม่ปล่อยก็สามารถทำได้แต่เสือกพากันไม่ทำยืนเหี้ยดูตาบัดสบทำเฉย ก็สมควรตายทั้งฝูงหรือทั่วโลกจริงๆ ปล่อยให้เสือร้ายออกลีลาฆ่าอย่างหน่ำใจสบายอยู่แบบนัันล่ะ อาทิ ฉีดวัคซีนให้คนทั้งโลกฉีดแล้วฉีดอีก ปล่อยข่าวเลวชั่วระยำๆปลอมๆ ปลอมแล้วปลอมอีก ปล่อยให้มันหามุกสาระพัดมาฆ่ามากัดสร้างลีลาฆ่าลีลากัดอย่างสบายใจต่อหน้าต่อตาคนทั้งฝูงทั่วไทย&ทั่วโลก,ถึงเวลาแล้วที่จะกระทืบเสือเลวระยำนี้ไม่กี่ตระกูลทั่วโลกให้สิ้นซากไป,เลิกเป็นควายเป็นวัวเป็นแกะเป็นแพะเถอะ พญาอินทรีย์ พญามหาเทพปราบมารเราสามารถเป็นร่วมกันทุกๆคนทั่วไทย&ทั่วโลกได้ ถึงเวลาเข้าทำลายล้างพวกเลวชั่วนี้ได้แล้ว ร่วมกันทั่วโลก เพราะ "เราคือประชาชน" ชาวโลกมนุษย์ร่วมกันทุกๆคน เริ่มบริบทปฐมบทในไทยก่อนก็ได้ ดังแบบหมูเด้งเลย.,เอาตระกูลชั่วรอธไชล์ด&ร็อกกี้เฟลเลอร์ดังๆทั่วโลกเลย แฉความชั่วเลวทุกๆบริบทให้ดังๆ คนก็จะมาเห็นชัดเจนแจ้งในความดังทางชั่วๆเลวๆทั่วโลกครบรสชาติทุกๆมิติมุมมอง,สแกนหาในอนาคตเพื่อทำลายและกำจัดร่วมกันกับคนทั้งโลกคงหลุดสายตาชาวโลกเรายากมากๆแล้ว ลงใต้อุโมงค์มุดดินก็คงไม่รอด ทะลุกายมิติสี่ก็ไม่รอดเพราะพวกเรามีทุกๆมิติไล่ล่าได้หมดก็ว่า,คนเก่งๆฝ่ายดีมีกันทั่วโลกแน่นอน,ชัยชนะคงไม่ยาก,จัดการที่ไทยก่อนเลย ไม่เริ่มก้าวแรก ก้าวที่สองคงไม่มี,แฉมันให้ดังๆเลย คนจะมาร่วมดูร่วมหน้างานแบบดังเหมือนหมูเด้งทั่วโลกเลย,คนจะได้รู้และร่วมกันทำลายได้ง่ายขึ้นเพราะคือภัยพิบัติของโลกตัวพ่อนั้นเอง&ร่วมทั้งสุดชั่วมาก่อการในไทยด้วยแบบเนียนๆเงียบๆหลังฉากมาแสนนาน.
    ..น่าสนใจมากหากพันธมิตรเสื้อแผ่นดินไทย,ออกมาพลิกประเทศ ยึดอำนาจโดยภาคมหาชนจริงจัง ทำให้จบและสุดซอยของจริงในยุคนี้,บวกขึ้นเวทีประกาศก้องทั่วทั้งเวทีกลางแจ้ง"ภาคมหาประชาชนคนกู้แผ่นดิน" บอกความจริงเรื่องวัคซีนบนเวทีสะท้อนความจริงยิงข้อมูลตรงไปทั่วทั้งประเทศปลุกตื่นรู้จริง&เข้าใจความจริงทั่วประเทศไทยจริง,ถ้าทำได้นะเจริญแน่นอน ทั้งเชิญคนไทย&กูรูไทยมากมายขึ้นเวที แฉตระกูลรอธไชล์ดและตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ที่ต้องการปกครองคนทั้งโลกอย่างเบ็ดเสร็จด้วยและผลงานชั่วร้ายต่างๆที่ทำต่อคนทั้งโลกในอดีตถึงปัจจุบัน ออกมาแฉครบสูตรกันเลย เด้งแบบหมูเด้งกระจายทั่วโลกเรียลไทม์สแกนหา&ร่วมกันกำจัดพวกนี้ ภัยของโลกโดยชาวโลกเราทุกๆคนขึ้นไปไล่ล่ากำจัดมันอย่างจริงจังร่วมกันเพื่อตัดตอนและมิให้พวกมันลุแก่ใจ&ได้ใจเกินชั่วต่อไปสู่ยุคหน้า&ยุคต่อไป มิให้มีซากพวกนี้เด็ดขาดแบบไปต่อไม่ได้เลย,เราคนไทยและทั่วทั้งโลกจะร่วมกันจัดการต้นเหตุต้นตอของตัวปัญหาชัดเจนทันที&ร่วมกันเกาถูกที่ถูกทาง&ถูกที่คันด้วย,โลกจะสงบสุขทันทีที่ตระกูลพวกนี้ดับอนาถไป,เพราะพวกนี้ทั้งสิ้นที่ก่อกวนโกลาหลทั้งโลกจนวุ่นวายถึงปัจจุบัน ค้าอาวุธ&ทำกำไรจากสงครามที่ยุยงปลุก&ปั่นสงครามทุกๆรูปแบบ& ค้าความตายจากวัคซีนจากการค้าขายสาระพัดวัคซีนและออปชั่นต่างๆเพรียบทัังแบบตายเด็ดขาดและตายผ่อนส่งต่างค้ากำไร&ดูดตังเหยื่อชาวโลกได้ทุกๆสไตล์เลยทีเดียว. ..พันธมิตรออกมาจริง จะมีโอกาสพลิกโลกได้ หากเราไม่ขับเคลื่อนเอง ใครจะขับเคลื่อน ทหารยึดอำนาจก็ตกประโยชน์ในหมู่นายทุนทุกๆสมัยแบบอดีตที่ผ่านๆมา ยึดอำนาจโดยทหารเผลอๆยึดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ชนชั้นอีลิทซาตานเท่านั้น เสมือนทหารในอดีตคือขี้ข้า&ทาส&บ๋อย&ส้นตีนสมุนรับใช้อีลิทซาตานเท่านั้น ดูสิในอดีต มีปัญญาคิดอ่านแค่จะฉีกแต่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหัว ไม่มีปัญญาฉีกกฎหมายสัมปทานต่างๆเลย เพราะโดยหลักความจริง บ้านใดถูกยึด ทัังบ้านทั้งที่ดิน และทุกๆอย่างในบ้านนั้นๆจะเป็นเอกสิทธิผู้เดียวของคนไปยึดบ้านยึดที่ดินยึดอำนาจบ้านนั้นแล้ว เงื่อนไข&กฎกติกาใดๆในบ้านหลังนั้นที่มีอยู่ก่อนแล้วเป็นอันตกไปทัังหมดหรือโมฆะสิ้นซากทั้งหมด,เขาจะตั้งกฎกติกาใหม่ใดๆย่อมเป็นอำนาจเขาคนยึดอำนาจทั้งสิ้น,แล้วทหารในอดีตทำห่าที่ว่ามั้ย ยึดบ่อน้ำมันคืนมาเป็นอธิปไตยความมั่นคงทางพลังงานขั้นพื้นฐานของประเทศแบบคืนสู่สามัญมั้ย ,ก็ไม่ทำ ทหารมีไว้ทำรัฐประหารยึดอำนาจใช่หรือไม่,ภาคมหาประชาชนไม่มีสิทธิเอาอำนาจตนเองคืนมาหรือไง,ทำยึดอำนาจเองไม่เป็นหรือไง,ทหารต้องปกป้องอธิปไตยคนไทยแผ่นดินไทยระหว่างประชาชนจัดการระบบประชาธิปไตยเองสิ,วังทำไม่ได้เพราะกฎหมายเขียนไว้,วังยึดอำนาจเองได้มั้ยล่ะ ก็ไม่ได้,ทหารเป็นอะไรจึวมีสิทธิ์เหนือกว่าประชาชน ทหารก็เกณฑ์ประชาชนไปเป็น,น้ำท่วมทหารประชาชนลงไประงับเหตุก็ถูกต้องแล้ว,แต่ไม่สุดคือยังขลาดกลัวฝรั่งต่างชาติไม่โมฆะทรัพยากรมีค่ามากมายที่พวกมันปล้นแผ่นดินไทยผ่านกฎหมายลูกต่างๆบนแผ่นดินไทยไปและด้วยบริบทการฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ตนยึดอำนาจสิ้นแล้ว ต้องเสมือนกฎหมายลูกทั่วราชอาณาใหม่นี้ ของเก่าต้องโมฆะทั้งหมดในทันที,ไม่อนุญาตให้ใช้ต่อได้ทันทีเพราะจบอัตโนมัติสิ้นสภาพไปทันทีแล้วเมื่อฉีกรัฐธรรมนูณนั้นสำเร็จ อิสระสัมปทานจึงสมควรคืนสู่สามัญทั้งหมดแก่แผ่นดินไทยด้วยแต่ทหารที่ยึดอำนาจขี้ขลาด กาก&กระจอกสิ้นดี,สมควรพันธมิตรภาคมหาประชาชนกระทำเองผ่านสายตาชาวโลกอย่างชอบธรรมแทนเลย&เปิดเผยด้วย,โปร่งใส ชัดเจนด้วย.,เราจะได้อธิปไตยแผ่นดินไทย&อิสระเสรีกลับคืนมาอย่างเปิดเผยทันที,ใครก็แทรกแซงไม่ได้ UNเขามาจะน่าเกียจทันที ไม่สวยงามด้วย ไม่ได้ค่าให้ค่าต่อสายตาชาวโลกด้วยเพราะประชาชนกระทำการอย่างชอบธรรมนั้นเอง,ถ้าคนทั้งโลกยังเหมือนควายเหมือนวัว ย่อมาไทยก็ด้วย เสือชั่วร้ายเพียวตัวเดียวหรือสองตัวกำลังจะฆ่าจะกัดกินควายกัดกินวัว แต่ฝูงควายฝูงวัวทั้งฝูงมีเป็นอันมากกว่า7,000-8,000ล้านตัวหรือไทยกว่า70ล้านคน ยืนมองเฉยๆแบบโง่ๆ &โง่เขลา เขลาสิ้นดียืนมองใกล้&เฉยอย่างเหี้ยๆอย่างบัดสบอย่างไรสมองคิดอ่านกระทำร่วมกัน อาทิ เหยียบมันร่วมกันทันทีขณะนั้นที่กำลังคาบกัดเพื่อนๆเราอยู่ให้ทั้งตัวมันอักเสบ แข้งขาหักไส้แตกหากไม่ปล่อยก็สามารถทำได้แต่เสือกพากันไม่ทำยืนเหี้ยดูตาบัดสบทำเฉย ก็สมควรตายทั้งฝูงหรือทั่วโลกจริงๆ ปล่อยให้เสือร้ายออกลีลาฆ่าอย่างหน่ำใจสบายอยู่แบบนัันล่ะ อาทิ ฉีดวัคซีนให้คนทั้งโลกฉีดแล้วฉีดอีก ปล่อยข่าวเลวชั่วระยำๆปลอมๆ ปลอมแล้วปลอมอีก ปล่อยให้มันหามุกสาระพัดมาฆ่ามากัดสร้างลีลาฆ่าลีลากัดอย่างสบายใจต่อหน้าต่อตาคนทั้งฝูงทั่วไทย&ทั่วโลก,ถึงเวลาแล้วที่จะกระทืบเสือเลวระยำนี้ไม่กี่ตระกูลทั่วโลกให้สิ้นซากไป,เลิกเป็นควายเป็นวัวเป็นแกะเป็นแพะเถอะ พญาอินทรีย์ พญามหาเทพปราบมารเราสามารถเป็นร่วมกันทุกๆคนทั่วไทย&ทั่วโลกได้ ถึงเวลาเข้าทำลายล้างพวกเลวชั่วนี้ได้แล้ว ร่วมกันทั่วโลก เพราะ "เราคือประชาชน" ชาวโลกมนุษย์ร่วมกันทุกๆคน เริ่มบริบทปฐมบทในไทยก่อนก็ได้ ดังแบบหมูเด้งเลย.,เอาตระกูลชั่วรอธไชล์ด&ร็อกกี้เฟลเลอร์ดังๆทั่วโลกเลย แฉความชั่วเลวทุกๆบริบทให้ดังๆ คนก็จะมาเห็นชัดเจนแจ้งในความดังทางชั่วๆเลวๆทั่วโลกครบรสชาติทุกๆมิติมุมมอง,สแกนหาในอนาคตเพื่อทำลายและกำจัดร่วมกันกับคนทั้งโลกคงหลุดสายตาชาวโลกเรายากมากๆแล้ว ลงใต้อุโมงค์มุดดินก็คงไม่รอด ทะลุกายมิติสี่ก็ไม่รอดเพราะพวกเรามีทุกๆมิติไล่ล่าได้หมดก็ว่า,คนเก่งๆฝ่ายดีมีกันทั่วโลกแน่นอน,ชัยชนะคงไม่ยาก,จัดการที่ไทยก่อนเลย ไม่เริ่มก้าวแรก ก้าวที่สองคงไม่มี,แฉมันให้ดังๆเลย คนจะมาร่วมดูร่วมหน้างานแบบดังเหมือนหมูเด้งทั่วโลกเลย,คนจะได้รู้และร่วมกันทำลายได้ง่ายขึ้นเพราะคือภัยพิบัติของโลกตัวพ่อนั้นเอง&ร่วมทั้งสุดชั่วมาก่อการในไทยด้วยแบบเนียนๆเงียบๆหลังฉากมาแสนนาน.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 84 0 Reviews
  • ชีวิตจะมีคู่หรือเป็นโสดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัวว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเป้าหมายของแต่ละคน บางคนในวัยหนุ่มสาวอาจโหยหาคู่ชีวิตเพื่อเติมเต็มความเหงา แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าการมีคู่ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นตามที่คาดหวัง ในขณะที่บางคนอาจไม่เคยคิดอยากมีคู่ แต่เมื่ออายุล่วงเลยไปก็พบความสุขและความสมดุลในชีวิตคู่

    สิ่งสำคัญไม่ใช่การถกเถียงว่าเป็นโสดหรือมีคู่ดีกว่ากัน แต่เป็นการเข้าใจว่าแต่ละคนมีเหตุปัจจัยและเส้นทางชีวิตต่างกัน การจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกับตัวเองและการร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือชีวิตเดี่ยว การพัฒนาตัวเองและตั้งคำถามกับตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการจากชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ

    คู่รักที่มีความสุขไม่ใช่เพียงอยู่ร่วมกันไปวันๆ แต่พวกเขาร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ หมั่นพูดคุยและหาวิธีสร้างความสุข ลดความทุกข์ในชีวิตประจำวัน การเงยหน้ามองกันแทนการจ้องมือถือ คุยกันถึงสิ่งดีๆ ที่จะทำร่วมกัน เป็นการสร้างความสุขที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด

    ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าเราสร้างเหตุปัจจัยอะไรให้กับชีวิตของตัวเอง และเราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของเราเองบ้าง
    ชีวิตจะมีคู่หรือเป็นโสดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัวว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเป้าหมายของแต่ละคน บางคนในวัยหนุ่มสาวอาจโหยหาคู่ชีวิตเพื่อเติมเต็มความเหงา แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าการมีคู่ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นตามที่คาดหวัง ในขณะที่บางคนอาจไม่เคยคิดอยากมีคู่ แต่เมื่ออายุล่วงเลยไปก็พบความสุขและความสมดุลในชีวิตคู่ สิ่งสำคัญไม่ใช่การถกเถียงว่าเป็นโสดหรือมีคู่ดีกว่ากัน แต่เป็นการเข้าใจว่าแต่ละคนมีเหตุปัจจัยและเส้นทางชีวิตต่างกัน การจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกับตัวเองและการร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือชีวิตเดี่ยว การพัฒนาตัวเองและตั้งคำถามกับตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการจากชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ คู่รักที่มีความสุขไม่ใช่เพียงอยู่ร่วมกันไปวันๆ แต่พวกเขาร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ หมั่นพูดคุยและหาวิธีสร้างความสุข ลดความทุกข์ในชีวิตประจำวัน การเงยหน้ามองกันแทนการจ้องมือถือ คุยกันถึงสิ่งดีๆ ที่จะทำร่วมกัน เป็นการสร้างความสุขที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าเราสร้างเหตุปัจจัยอะไรให้กับชีวิตของตัวเอง และเราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของเราเองบ้าง
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • 6 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตร วิเคราะห์ น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในรอบร้อยปี ว่าสาเหตุสำคัญคือฝนตกหนักบนดอยที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว...

    1.สาเหตุของน้ำท่วมหนักในเมืองเชียงใหม่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันโดยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 มีฝนหนักติดต่อกัน3วันวัดปริมาณน้ำฝนได้200ถึง300มิลลิเมตรทั้งที่ไม่มีพายุเข้าแต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนลงมาจากแผ่นดินใหญ่มาปะทะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ(อากาศร้อน) ที่พาดผ่านทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตอำ เภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริมและอำเภอพร้าวจนเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตงและอำเภอเมืองเชียงใหม่โดยทั้งแม่น้ำแม่งัด แม่น้ำแม่แตงและแม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำไหลเชี่ยวกรากลงมาท่วมพื้นที่เมืองเชียงใหม่

    2.แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียง ใหม่ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรร จบทางฝั่งซ้ายและน้ำแม่แตงไหลมาบรร จบทางฝั่งขวาเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มผ่านอำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่อำเภอป่าซาง จัง หวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้ายและจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้โดย มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวาที่อำเภอฮอดก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป
    เมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันยาวนานในพื้นที่ต้นน้ำจะเป็นผลให้ระดับน้ำและปริ มาณน้ำในแม่ปิงสะสมตัวเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง เกิดอุทกภัยสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำเพิ่มสูงเกินความจุของลำน้ำโดยความจุของน้ำปิงที่ตัวเมืองเชียงใหม่คือ 440 ลบ.เมตร/วินาที และระ ดับวิกฤติที่น้ำจะเริ่มล้นฝั่งไหลท่วมอยู่ที่ 3.70 เมตร

    3. ปี2566/67 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 285,004 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาวมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 19,878 ไร่ และอำเภอแม่แตงมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ1636.75ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกบนดอยสูง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวด เร็วและเชี่ยวกรากไหลลงมาท่วมพื้นที่ราบเชิงเขาได้
    ...หากฝนตกบนภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าใหญ่ น้ำฝนจะขังอยู่ในป่าประมาณเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนไหลลงข้างล่าง และค่อยๆไหลรินไปหล่อเลี้ยงผู้คนด้านล่างตลอดทั้งปี แต่หากเป็นภูเขาหัวโล้น น้ำฝนจะขังอยู่หนึ่งส่วน อีกเก้าส่วนไหลลงข้างล่างทำให้เกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวง...

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/pfkBEHemaUuFdGYg/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    6 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตร วิเคราะห์ น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในรอบร้อยปี ว่าสาเหตุสำคัญคือฝนตกหนักบนดอยที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว... 1.สาเหตุของน้ำท่วมหนักในเมืองเชียงใหม่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันโดยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 มีฝนหนักติดต่อกัน3วันวัดปริมาณน้ำฝนได้200ถึง300มิลลิเมตรทั้งที่ไม่มีพายุเข้าแต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนลงมาจากแผ่นดินใหญ่มาปะทะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ(อากาศร้อน) ที่พาดผ่านทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตอำ เภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริมและอำเภอพร้าวจนเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตงและอำเภอเมืองเชียงใหม่โดยทั้งแม่น้ำแม่งัด แม่น้ำแม่แตงและแม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำไหลเชี่ยวกรากลงมาท่วมพื้นที่เมืองเชียงใหม่ 2.แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียง ใหม่ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรร จบทางฝั่งซ้ายและน้ำแม่แตงไหลมาบรร จบทางฝั่งขวาเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มผ่านอำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่อำเภอป่าซาง จัง หวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้ายและจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้โดย มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวาที่อำเภอฮอดก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป เมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันยาวนานในพื้นที่ต้นน้ำจะเป็นผลให้ระดับน้ำและปริ มาณน้ำในแม่ปิงสะสมตัวเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง เกิดอุทกภัยสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำเพิ่มสูงเกินความจุของลำน้ำโดยความจุของน้ำปิงที่ตัวเมืองเชียงใหม่คือ 440 ลบ.เมตร/วินาที และระ ดับวิกฤติที่น้ำจะเริ่มล้นฝั่งไหลท่วมอยู่ที่ 3.70 เมตร 3. ปี2566/67 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 285,004 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาวมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 19,878 ไร่ และอำเภอแม่แตงมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ1636.75ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกบนดอยสูง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวด เร็วและเชี่ยวกรากไหลลงมาท่วมพื้นที่ราบเชิงเขาได้ ...หากฝนตกบนภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าใหญ่ น้ำฝนจะขังอยู่ในป่าประมาณเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนไหลลงข้างล่าง และค่อยๆไหลรินไปหล่อเลี้ยงผู้คนด้านล่างตลอดทั้งปี แต่หากเป็นภูเขาหัวโล้น น้ำฝนจะขังอยู่หนึ่งส่วน อีกเก้าส่วนไหลลงข้างล่างทำให้เกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวง... ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/pfkBEHemaUuFdGYg/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews

  • "จะเป็นผู้แก่ ผู้บวชนาน หรือผู้บวชใหม่ สักเพียงใด
    หากกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ไม่มีในจิตในใจ
    ยังกัดกินจิตกินใจอยู่ตราบใด อุปมา เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยางฯ
    ก็ยังถือว่าเป็นเด็กน้อย เป็นผู้ไม่มีธรรม อยู่ตราบนั้น
    ฉันใด...จะเป็นคนผมหงอก หรือจะเป็นคนผมดำสนิท กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ขาดไป หมดไปจากจิตจากใจ เรียกว่าผู้แก่ศีล ผู้มีธรรม

    ....ผู้ฉันอาหารบิณฑบาต ไม่พิจารณาอสุภะกรรมฐาน ราคะจะกำเริบ
    หลงรูป หลงหนัง หลงเวทนา ...อิมังปฏิกูลลัง? ความเปื่อยความเน่า
    มีทุกลมหายใจเข้า-ออก สมมุติว่าตายแล้ววันหนึ่ง สองวัน มีหนอนใต่รูตามจมูก ขึ้นอืด คำที่ว่าสวยงาม ไปไหน? ต้องพิจารณาทั้งนั้น
    พระบรมศาสดา สอนให้ไม่ยินดีในโลกทั้งปวง ฟอกจิต ฟอกใจ
    ให้เอือมระอา ในวัฏสงสาร เพราะมีแต่กองทุกข์ ขอเราจงเป็นสุขเถิด
    ละบาป บำเพ็ญบุญ มีศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร รวมเป็นพุทโธที่ดวงใจ ต้องระลึก พิจารณากรรมฐานที่ตั้งมั่นไว้ ทุกลมหายใจเข้า-ออก"


    #ศีลธรรมบรรเทากิเลส
    #ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ
    #เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
    #เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
    #ระลึกพุทโธคำเดียว_สะเทือนถึงพรหมโลก
    #หลวงปู่บวร_สุชีโว
    #วัดป่าหนองแข้ดง

    น้อมกราบเทิดทูนบูชาธรรมเหนือเศียรเกล้า
    ๖ ตุลาคม พ.ศ ๒๕๖๗

    "จะเป็นผู้แก่ ผู้บวชนาน หรือผู้บวชใหม่ สักเพียงใด หากกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ไม่มีในจิตในใจ ยังกัดกินจิตกินใจอยู่ตราบใด อุปมา เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยางฯ ก็ยังถือว่าเป็นเด็กน้อย เป็นผู้ไม่มีธรรม อยู่ตราบนั้น ฉันใด...จะเป็นคนผมหงอก หรือจะเป็นคนผมดำสนิท กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ขาดไป หมดไปจากจิตจากใจ เรียกว่าผู้แก่ศีล ผู้มีธรรม ....ผู้ฉันอาหารบิณฑบาต ไม่พิจารณาอสุภะกรรมฐาน ราคะจะกำเริบ หลงรูป หลงหนัง หลงเวทนา ...อิมังปฏิกูลลัง? ความเปื่อยความเน่า มีทุกลมหายใจเข้า-ออก สมมุติว่าตายแล้ววันหนึ่ง สองวัน มีหนอนใต่รูตามจมูก ขึ้นอืด คำที่ว่าสวยงาม ไปไหน? ต้องพิจารณาทั้งนั้น พระบรมศาสดา สอนให้ไม่ยินดีในโลกทั้งปวง ฟอกจิต ฟอกใจ ให้เอือมระอา ในวัฏสงสาร เพราะมีแต่กองทุกข์ ขอเราจงเป็นสุขเถิด ละบาป บำเพ็ญบุญ มีศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร รวมเป็นพุทโธที่ดวงใจ ต้องระลึก พิจารณากรรมฐานที่ตั้งมั่นไว้ ทุกลมหายใจเข้า-ออก" #ศีลธรรมบรรเทากิเลส #ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ #เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร #เมตตาธรรมค้ำจุนโลก #ระลึกพุทโธคำเดียว_สะเทือนถึงพรหมโลก #หลวงปู่บวร_สุชีโว #วัดป่าหนองแข้ดง น้อมกราบเทิดทูนบูชาธรรมเหนือเศียรเกล้า ๖ ตุลาคม พ.ศ ๒๕๖๗
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • 6/10/67

    เซเว่น อีเลฟเว่น แห่งแรกเปิดที่มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1927

    เซเว่น อีเลฟเว่น เริ่มต้นกิจการในปี 1927 ด้วยการขายน้ำแข็งแบบก้อนสำหรับการเก็บความเย็นในตู้เย็น ต่อมาเริ่มจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไข่ไก่ นม และขนมปัง โดยในตอนนั้น ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้จะเปิดขายในช่วงระหว่าง 07.00-23.00 น. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ 7-Eleven
    6/10/67 เซเว่น อีเลฟเว่น แห่งแรกเปิดที่มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1927 เซเว่น อีเลฟเว่น เริ่มต้นกิจการในปี 1927 ด้วยการขายน้ำแข็งแบบก้อนสำหรับการเก็บความเย็นในตู้เย็น ต่อมาเริ่มจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไข่ไก่ นม และขนมปัง โดยในตอนนั้น ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้จะเปิดขายในช่วงระหว่าง 07.00-23.00 น. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ 7-Eleven
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • 🤠#เรื่องเล่าของสองเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ต่างอุดมการณ์🤠

    ปัจจุบันไต้หวันกลายเป็นความเจ็บปวดในใจคนจีน และสหรัฐฯ มักใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีน จุดประสงค์ของสหรัฐฯนั้นชัดเจน นั่นคือเพื่อยั่วยุกระตุ้นให้จีนดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง หลังจากนั้นแล้วขัดขวางก่อกวนยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งจะทำให้จีนอ่อนแอลงอีก ดังนั้นปัญหาไต้หวันถึงจุดที่ต้องแก้ไข หากไม่ได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จะยังคงเล่นเกมไพ่ไต้หวัน พวกเขายังจะสนับสนุนกองกำลัง "ปลดปล่อยเอกราชของไต้หวัน" ให้ก่อปัญหาอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำขณะทำการแก้ไขปัญหา

    ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของไต้หวันมีขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เติ้งกง(邓公)ได้ส่งเสริมนำการแก้ปัญหาของไต้หวันมาดำเนินการ น่าเสียดายที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公)

    🥳หนึ่ง🥳

    เพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) คือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทั้งสองเรียนในชั้นเรียนเดียวกันที่มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น(Sun Yat-sen University中山大学)ในสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1927

    ในปี ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาที่สหภาพโซเวียต ส่วนเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาต่อต่างประเทศอาจกล่าวได้ว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น หรืออาจจะว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)หวังว่าลูกชายของเขาไปที่สหภาพโซเวียตเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่แท้จริงกลับมา

    เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ชื่อรอง เจี้ยนเฟิง(建丰) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นชื่อบรรพบุรุษของเขา และยังเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเขาด้วย เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิดที่เมืองเฟิงฮว่า(奉化)เจ้อเจียง(浙江)เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1910 เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)และเหมา ฝูเหมย(毛福梅)ภรรยาคนแรกของเขา หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิด เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ก็ทำงานหนักนอกบ้านตลอด ดังนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงเติบโตมากับแม่และยายของเขา สิ่งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ค่อนข้างขี้ขลาด ตามที่ครูผู้สอนหนังสือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวไว้ ตอนนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีอะไรนิดหน่อยมักจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน

    ในปีค.ศ. 1924 เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ส่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปโรงเรียนมัธยมต้นเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(浦东) ในเวลานี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 14 ปีเป็นผู้ใหญ่มาก ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากการสังหารหมู่30 พฤษภาคม(五卅惨案) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 15 ปีก็เข้าร่วมในการประท้วงด้วยความรักชาติด้วย แต่หลังจากที่ทางโรงเรียนค้นพบ เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากในความผิดว่า "ความคิดที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมเบี่ยงเบน"

    หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาจึงไปปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากการเข้าร่วมขบวนการนักเรียนต่อต้านขุนศึกเป่ยหยาง(北洋)

    ขณะอยู่ในปักกิ่ง เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้พบกับหลี่ ต้าเจวา(李大钊) และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ เขาชื่นชมความรู้และความเชื่อของหลี่ ต้าเจวา(李大钊) ต่อมา หลี่ ต้าเจวา(李大钊)ได้แนะนำชาวโซเวียตจำนวนมากให้รู้จักกับ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)

    เกี่ยวกับประสบการณ์นี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เล่าในภายหลังว่า:

    “เป่ยผิง(北平)เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และพรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ในใจของฉันก็สับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ และเปลี่ยนแผนการเรียนในฝรั่งเศสเดิมอย่างสิ้นเชิง”

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจศึกษาต่อในสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มาถึงสหภาพโซเวียต ในเวลานั้น มีบุตรของเจ้านายใหญ่หลายคน เช่น เซ่าจวื่อกาง(邵志刚)ลูกชาย ของเซ่า ลี่จวื๋อ(邵力子), เฝิงหงกั๋ว(冯洪国)ลูกชายของ เฝิง อวิ้เสียง(冯玉祥) พร้อมกับลูกสาว เฝิงฝูเหนิ่ง(冯弗能) และ อวิ้ ซิ่วจวือ(于秀芝) ลูกสาวของ อวิ้โย่วเยิ่น(于右任) รวมถึง จาง ซีย่วน(张锡媛) ภรรยาคนแรกของ เติ้งกง(邓公), หวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ

    ระหว่างทางไปสหภาพโซเวียต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้อ่านหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ "ABC of Communism" หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)

    ปีที่สองก็คือปี ค.ศ.1926 ในชั้นเรียนของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีนักเรียนที่ย้ายมาจากปารีส ประเทศฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาคือเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平) ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ชื่อเติ้ง ซีเสียน(邓希贤) เติ้งกง(邓公)มีอายุมากกว่าเจียงจิงกัว 5 ปี และยังมีชื่อภาษารัสเซียว่า "อีวาน เชโกวิช(Ivan Shegovich)"

    ในความประทับใจของ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เติ้งกง(邓公)เป็นคนร่าเริงมาก สามารถพูดได้ดีบนเวที และมีทักษะในการจัดองค์กรที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งฉายาให้เขาว่า "ปืนใหญ่เหล็กน้อย(小钢炮)"

    เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ากันได้ดี และทั้งสองคนรูปร่างไม่สูงนักเช่นกัน ทั้งสองมักจะเดินคุยกันริมแม่น้ำมอสโก ดังนั้น เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีมากอีกด้วย

    ในปี ค.ศ. 1927 เติ้งกง(邓公)ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้กลับไปทำงานที่ประเทศจีน และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ยังคงศึกษาต่อในสหภาพโซเวียตในเวลานี้ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ได้เปิดฉากเหตุการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ "4.12"(“4.12”反革命事件) และสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ในฐานะบุตรชายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงถูกสหภาพโซเวียตตั้งคำถาม และหวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปทำงานในโรงงานและแต่งงานกับหญิงชาวโซเวียต จนกระทั่งถึงหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการประสานงานของ โจวกง(周公)ถึงทำให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)สามารถเดินทางกลับประเทศจีนได้

    🥳สอง🥳

    หลังจากที่เติ้งกง(邓公)เดินทางกลับจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1927 จนกระทั่งมีการสถาปนาจีนใหม่ เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกเดินอีกต่อไป ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงของกองทัพของหลิว(刘)และเติ้ง(邓) เขาถูกมองว่าเป็นเสี้ยนหนามในฝ่ายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มานานแล้ว และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ละทิ้งความเชื่ออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ของเขาด้วย ได้ตัดสินใจที่จะทำตามพ่อซึ่งเป็นผู้นำของเขาและเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ

    หลังจากที่เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)พ่ายแพ้และถอยไปไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มรัฐมนตรีผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของเขา จุดประสงค์ของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ในการทำเช่นนี้คือปูทางเพื่อให้เชียงจิงกัวสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ท้ายที่สุดแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ยังไม่กล้าส่งสัญญาณออกไปว่าให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ามารับหน้าที่สืบทอดแทน เขายังต้องคำนึงถึงหน้าตาความรู้สึกของรัฐมนตรีเก่าผู้มีประสบการณ์บางคนด้วย หากลูกชายเข้ามารับช่วงต่อ หลี่จงเหริน(李宗仁)จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)จะไม่ทำอย่างนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถเห็นได้

    หลังจากที่ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มาถึงไต้หวัน เมื่ออำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นแล้วหลังจากดูแลจัดการรัฐมนตรีคนเก่าของเขา และเขาก็เริ่มปล่อยมือให้ลูกชายทำงาน หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นเป็นประธานฝ่ายบริหาร สร้างไต้หวันตามแนวทางการปกครองของเขา ขณะนั้นไต้หวันมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเจี่ยงน้อย(小蒋)ก็ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง นั่นคือการพัฒนาบริษัทผลิตชิป แม้จะมีราคาแพงสูงมาก แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง

    ภายใต้การปกครองของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็กลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย

    แต่หลังจากที่พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋)เข้าบริหารปกครองไต้หวัน ก็เป็นตอนที่ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)มอบอำนาจเกือบทั้งหมดให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ด้วยมีบางอย่างเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประธานเหมา(毛)

    หลังจากที่เติ้งกง(邓公)กลับคืนสู่รัฐบาลกลาง โจวกง(周公)ก็มอบงานการต่างประเทศจำนวนมากให้กับเติ้งกง(邓公) จากนั้นเติ้งกง(邓公)ก็ประกาศบางอย่างต่อสาธารณะ:

    เตรียมหารือปัญหาการรวมตัวกับไทเป(台北)โดยตรง

    สมาชิกก๊กมิ่นตั๋ง(国民党)บางคนในแผ่นดินใหญ่ยังสื่อสารส่งข้อความถึงพ่อลูกครอบครัวตระกูลเจี่ยง(蒋)ผ่านช่องทางสาธารณะหรือส่วนตัว เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งล้มป่วยอยู่นั้นก็ไม่มีแรงจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ซึ่งได้รับอำนาจเต็มในเวลานี้แล้ว ก็ยังเพิกเฉยไม่แยแสต่อความคิดริเริ่มของเติ้งกง(邓公)

    ในปีค.ศ. 1975 ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)เสียชีวิต และหยาน เจียก้าน(严家淦) เข้ามารับช่วงต่อ สามปีต่อมา หยาน เจียก้าน(严家淦)ได้มอบอำนาจคืนโดยอัตโนมัติ วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)และเจี่ยงน้อย(小蒋)ไม่คาดคิด

    ในปีค.ศ. 1972 พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋) ไม่ทราบเกี่ยวกับการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon理查德·尼克松) เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งโกรธมากจนสาปแช่ง นิกสัน(Nixon尼克松)ว่า “ไม่ใช่สิ่งของ” และแม้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็มี "แวดวงสนับสนุนไต้หวัน(亲台圈子)" ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาโดย จิมมี คาร์เตอร์(Jimmy Carter吉米·卡特) และเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)หารือกันเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในความมืด

    เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สิบสองชั่วโมงก่อนการประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ลีโอนาร์ด ไซด์มาน อังเกอร์ (Leonard Seidman Unger安克志)ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ได้รับโทรศัพท์ลับจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยขอให้เขาโทรหา ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)เลขาของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในตอนเช้า

    อังเกอร์ (Unger安克志)บอก ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)ว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องพบ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตื่นขึ้นมากลางดึกและได้พบอังเกอร์ (Unger安克志)จึงเพิ่งทราบข่าวการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

    อังเกอร์ (Unger安克志)บอกกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ว่าอย่าให้ข่าวนี้รั่วไหลสู่โลกภายนอกก่อน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)โกรธมาก เขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีวิธีใดที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลังจากมีข่าวตลาดหุ้นไทเป(台北)ก็ร่วงลง 10%

    นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือครั้งแรกระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น

    🥳สาม🥳

    เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 จอมพล สวีเซี่ยงเฉียน(徐向前)ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าว:

    ยุติการยิงปืนใหญ่โจมตีจินเหมิน(金门)อย่างเป็นทางการ

    ในวันนี้ สภาประชาชนแห่งชาติ(全国人大)ยังได้ออก "ข้อความถึงเพื่อนร่วมชาติในไต้หวัน(告台湾同胞书)" และเหลียว เฉิงจือ(廖承志)ซึ่งรับผิดชอบกิจการไต้หวัน ก็เผยแพร่จดหมายถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ต่อสาธารณะด้วย: เสนอความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และ พรรคคอมมิวนิสต์(共產黨)

    ถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)รู้สึกอ่อนไหวต่อความคิดริเริ่มด้านสันติภาพของเติ้งกง(邓公)มาก เขาปฏิเสธการเยือนไต้หวันของเหลียว เฉิงจือ(廖承志) แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไต้หวัน การแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ในปีค.ศ. 1981 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้อนุญาตให้ ซีโข่ว(溪口) เจ้อเจียง(浙江)ปรับปรุงที่พักอาศัยเดิมของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) และสุสานของมาดาม เหมา (毛)ซึ่งเป็นยายของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ว่ากันว่าทั้ง เติ้งกง(邓公)และ เหลียว เฉิงจือ(廖承志)รู้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นลูกกตัญญู ภาพถ่ายสิ่งต่างๆที่ได้รับการซ่อมแซมได้ถูกส่งไปยังเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)อย่างรวดเร็ว

    หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เห็นรูปถ่ายเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อสาธารณะ แต่เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างในใจ

    หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เชื่อว่าถึงเวลาสำหรับการเจรจาแล้ว เขาจึงค้นเลือกหาคนกลาง และคนกลางคนนี้คือ ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀) เขาคิดว่าลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)ทำหน้าที่เป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมกว่า

    ในปีค.ศ. 1981 เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) เยือนสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบประสบการณ์ของสิงคโปร์ในด้านการปกครองระดับชาติ

    ในปีค.ศ. 1983 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวกับลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เป็นการส่วนตัวว่า:

    ภายใต้การปฏิรูปและการทูตเชิงปฏิบัติของเติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) แผ่นดินใหญ่จะแข็งแกร่งขึ้น “หากแผ่นดินใหญ่และไต้หวันรวมกัน อนาคตของจีนจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน”

    หลังจากนั้นจีนและอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการคืนฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1986 ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เดินทางไปไต้หวันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวว่า: เขาจะเปลี่ยนแปลงไต้หวัน แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเช่นไร

    ในปี ค.ศ. 1987 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(国民党)นอกเหนือจากการยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคและการห้ามหนังสือพิมพ์แล้ว ยังอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ แต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วย

    หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปถึงปักกิ่ง เติ้งกง(邓公)ก็จัดการประชุมระดับสูงทันที หลังจากได้ฟังรายงานเกี่ยวกับการทำงานเรื่องไต้หวันแล้ว เขาเชื่อว่าการรวมชาติเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จากไป การรวมชาติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ยากลำบาก เขาคร่ำครวญ: "เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตายเร็วเกินไป"

    เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้เผชิญหน้ากันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียต ทั้งสองมีความเชื่อร่วมกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทรยศต่อศรัทธาและติดตามเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) จนกระทั่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสู่อำนาจที่ทั้งสองได้พบกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พบกันมาห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว แต่ทั้งสองก็คิดถึงประเด็นการรวมชาติ

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เรื่องเล่าของสองเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ต่างอุดมการณ์🤠 ปัจจุบันไต้หวันกลายเป็นความเจ็บปวดในใจคนจีน และสหรัฐฯ มักใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีน จุดประสงค์ของสหรัฐฯนั้นชัดเจน นั่นคือเพื่อยั่วยุกระตุ้นให้จีนดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง หลังจากนั้นแล้วขัดขวางก่อกวนยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งจะทำให้จีนอ่อนแอลงอีก ดังนั้นปัญหาไต้หวันถึงจุดที่ต้องแก้ไข หากไม่ได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จะยังคงเล่นเกมไพ่ไต้หวัน พวกเขายังจะสนับสนุนกองกำลัง "ปลดปล่อยเอกราชของไต้หวัน" ให้ก่อปัญหาอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำขณะทำการแก้ไขปัญหา ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของไต้หวันมีขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เติ้งกง(邓公)ได้ส่งเสริมนำการแก้ปัญหาของไต้หวันมาดำเนินการ น่าเสียดายที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) 🥳หนึ่ง🥳 เพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) คือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทั้งสองเรียนในชั้นเรียนเดียวกันที่มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น(Sun Yat-sen University中山大学)ในสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1927 ในปี ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาที่สหภาพโซเวียต ส่วนเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาต่อต่างประเทศอาจกล่าวได้ว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น หรืออาจจะว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)หวังว่าลูกชายของเขาไปที่สหภาพโซเวียตเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่แท้จริงกลับมา เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ชื่อรอง เจี้ยนเฟิง(建丰) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นชื่อบรรพบุรุษของเขา และยังเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเขาด้วย เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิดที่เมืองเฟิงฮว่า(奉化)เจ้อเจียง(浙江)เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1910 เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)และเหมา ฝูเหมย(毛福梅)ภรรยาคนแรกของเขา หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิด เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ก็ทำงานหนักนอกบ้านตลอด ดังนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงเติบโตมากับแม่และยายของเขา สิ่งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ค่อนข้างขี้ขลาด ตามที่ครูผู้สอนหนังสือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวไว้ ตอนนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีอะไรนิดหน่อยมักจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน ในปีค.ศ. 1924 เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ส่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปโรงเรียนมัธยมต้นเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(浦东) ในเวลานี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 14 ปีเป็นผู้ใหญ่มาก ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากการสังหารหมู่30 พฤษภาคม(五卅惨案) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 15 ปีก็เข้าร่วมในการประท้วงด้วยความรักชาติด้วย แต่หลังจากที่ทางโรงเรียนค้นพบ เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากในความผิดว่า "ความคิดที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมเบี่ยงเบน" หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาจึงไปปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากการเข้าร่วมขบวนการนักเรียนต่อต้านขุนศึกเป่ยหยาง(北洋) ขณะอยู่ในปักกิ่ง เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้พบกับหลี่ ต้าเจวา(李大钊) และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ เขาชื่นชมความรู้และความเชื่อของหลี่ ต้าเจวา(李大钊) ต่อมา หลี่ ต้าเจวา(李大钊)ได้แนะนำชาวโซเวียตจำนวนมากให้รู้จักกับ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เกี่ยวกับประสบการณ์นี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เล่าในภายหลังว่า: “เป่ยผิง(北平)เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และพรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ในใจของฉันก็สับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ และเปลี่ยนแผนการเรียนในฝรั่งเศสเดิมอย่างสิ้นเชิง” การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจศึกษาต่อในสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มาถึงสหภาพโซเวียต ในเวลานั้น มีบุตรของเจ้านายใหญ่หลายคน เช่น เซ่าจวื่อกาง(邵志刚)ลูกชาย ของเซ่า ลี่จวื๋อ(邵力子), เฝิงหงกั๋ว(冯洪国)ลูกชายของ เฝิง อวิ้เสียง(冯玉祥) พร้อมกับลูกสาว เฝิงฝูเหนิ่ง(冯弗能) และ อวิ้ ซิ่วจวือ(于秀芝) ลูกสาวของ อวิ้โย่วเยิ่น(于右任) รวมถึง จาง ซีย่วน(张锡媛) ภรรยาคนแรกของ เติ้งกง(邓公), หวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ระหว่างทางไปสหภาพโซเวียต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้อ่านหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ "ABC of Communism" หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ปีที่สองก็คือปี ค.ศ.1926 ในชั้นเรียนของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีนักเรียนที่ย้ายมาจากปารีส ประเทศฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาคือเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平) ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ชื่อเติ้ง ซีเสียน(邓希贤) เติ้งกง(邓公)มีอายุมากกว่าเจียงจิงกัว 5 ปี และยังมีชื่อภาษารัสเซียว่า "อีวาน เชโกวิช(Ivan Shegovich)" ในความประทับใจของ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เติ้งกง(邓公)เป็นคนร่าเริงมาก สามารถพูดได้ดีบนเวที และมีทักษะในการจัดองค์กรที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งฉายาให้เขาว่า "ปืนใหญ่เหล็กน้อย(小钢炮)" เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ากันได้ดี และทั้งสองคนรูปร่างไม่สูงนักเช่นกัน ทั้งสองมักจะเดินคุยกันริมแม่น้ำมอสโก ดังนั้น เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีมากอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1927 เติ้งกง(邓公)ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้กลับไปทำงานที่ประเทศจีน และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ยังคงศึกษาต่อในสหภาพโซเวียตในเวลานี้ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ได้เปิดฉากเหตุการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ "4.12"(“4.12”反革命事件) และสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ในฐานะบุตรชายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงถูกสหภาพโซเวียตตั้งคำถาม และหวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปทำงานในโรงงานและแต่งงานกับหญิงชาวโซเวียต จนกระทั่งถึงหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการประสานงานของ โจวกง(周公)ถึงทำให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)สามารถเดินทางกลับประเทศจีนได้ 🥳สอง🥳 หลังจากที่เติ้งกง(邓公)เดินทางกลับจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1927 จนกระทั่งมีการสถาปนาจีนใหม่ เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกเดินอีกต่อไป ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงของกองทัพของหลิว(刘)และเติ้ง(邓) เขาถูกมองว่าเป็นเสี้ยนหนามในฝ่ายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มานานแล้ว และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ละทิ้งความเชื่ออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ของเขาด้วย ได้ตัดสินใจที่จะทำตามพ่อซึ่งเป็นผู้นำของเขาและเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ หลังจากที่เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)พ่ายแพ้และถอยไปไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มรัฐมนตรีผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของเขา จุดประสงค์ของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ในการทำเช่นนี้คือปูทางเพื่อให้เชียงจิงกัวสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ท้ายที่สุดแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ยังไม่กล้าส่งสัญญาณออกไปว่าให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ามารับหน้าที่สืบทอดแทน เขายังต้องคำนึงถึงหน้าตาความรู้สึกของรัฐมนตรีเก่าผู้มีประสบการณ์บางคนด้วย หากลูกชายเข้ามารับช่วงต่อ หลี่จงเหริน(李宗仁)จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)จะไม่ทำอย่างนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถเห็นได้ หลังจากที่ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มาถึงไต้หวัน เมื่ออำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นแล้วหลังจากดูแลจัดการรัฐมนตรีคนเก่าของเขา และเขาก็เริ่มปล่อยมือให้ลูกชายทำงาน หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นเป็นประธานฝ่ายบริหาร สร้างไต้หวันตามแนวทางการปกครองของเขา ขณะนั้นไต้หวันมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเจี่ยงน้อย(小蒋)ก็ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง นั่นคือการพัฒนาบริษัทผลิตชิป แม้จะมีราคาแพงสูงมาก แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ภายใต้การปกครองของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็กลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย แต่หลังจากที่พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋)เข้าบริหารปกครองไต้หวัน ก็เป็นตอนที่ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)มอบอำนาจเกือบทั้งหมดให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ด้วยมีบางอย่างเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประธานเหมา(毛) หลังจากที่เติ้งกง(邓公)กลับคืนสู่รัฐบาลกลาง โจวกง(周公)ก็มอบงานการต่างประเทศจำนวนมากให้กับเติ้งกง(邓公) จากนั้นเติ้งกง(邓公)ก็ประกาศบางอย่างต่อสาธารณะ: เตรียมหารือปัญหาการรวมตัวกับไทเป(台北)โดยตรง สมาชิกก๊กมิ่นตั๋ง(国民党)บางคนในแผ่นดินใหญ่ยังสื่อสารส่งข้อความถึงพ่อลูกครอบครัวตระกูลเจี่ยง(蒋)ผ่านช่องทางสาธารณะหรือส่วนตัว เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งล้มป่วยอยู่นั้นก็ไม่มีแรงจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ซึ่งได้รับอำนาจเต็มในเวลานี้แล้ว ก็ยังเพิกเฉยไม่แยแสต่อความคิดริเริ่มของเติ้งกง(邓公) ในปีค.ศ. 1975 ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)เสียชีวิต และหยาน เจียก้าน(严家淦) เข้ามารับช่วงต่อ สามปีต่อมา หยาน เจียก้าน(严家淦)ได้มอบอำนาจคืนโดยอัตโนมัติ วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)และเจี่ยงน้อย(小蒋)ไม่คาดคิด ในปีค.ศ. 1972 พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋) ไม่ทราบเกี่ยวกับการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon理查德·尼克松) เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งโกรธมากจนสาปแช่ง นิกสัน(Nixon尼克松)ว่า “ไม่ใช่สิ่งของ” และแม้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็มี "แวดวงสนับสนุนไต้หวัน(亲台圈子)" ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาโดย จิมมี คาร์เตอร์(Jimmy Carter吉米·卡特) และเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)หารือกันเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในความมืด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สิบสองชั่วโมงก่อนการประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ลีโอนาร์ด ไซด์มาน อังเกอร์ (Leonard Seidman Unger安克志)ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ได้รับโทรศัพท์ลับจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยขอให้เขาโทรหา ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)เลขาของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในตอนเช้า อังเกอร์ (Unger安克志)บอก ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)ว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องพบ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตื่นขึ้นมากลางดึกและได้พบอังเกอร์ (Unger安克志)จึงเพิ่งทราบข่าวการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อังเกอร์ (Unger安克志)บอกกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ว่าอย่าให้ข่าวนี้รั่วไหลสู่โลกภายนอกก่อน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)โกรธมาก เขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีวิธีใดที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลังจากมีข่าวตลาดหุ้นไทเป(台北)ก็ร่วงลง 10% นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือครั้งแรกระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น 🥳สาม🥳 เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 จอมพล สวีเซี่ยงเฉียน(徐向前)ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าว: ยุติการยิงปืนใหญ่โจมตีจินเหมิน(金门)อย่างเป็นทางการ ในวันนี้ สภาประชาชนแห่งชาติ(全国人大)ยังได้ออก "ข้อความถึงเพื่อนร่วมชาติในไต้หวัน(告台湾同胞书)" และเหลียว เฉิงจือ(廖承志)ซึ่งรับผิดชอบกิจการไต้หวัน ก็เผยแพร่จดหมายถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ต่อสาธารณะด้วย: เสนอความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และ พรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)รู้สึกอ่อนไหวต่อความคิดริเริ่มด้านสันติภาพของเติ้งกง(邓公)มาก เขาปฏิเสธการเยือนไต้หวันของเหลียว เฉิงจือ(廖承志) แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไต้หวัน การแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปีค.ศ. 1981 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้อนุญาตให้ ซีโข่ว(溪口) เจ้อเจียง(浙江)ปรับปรุงที่พักอาศัยเดิมของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) และสุสานของมาดาม เหมา (毛)ซึ่งเป็นยายของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ว่ากันว่าทั้ง เติ้งกง(邓公)และ เหลียว เฉิงจือ(廖承志)รู้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นลูกกตัญญู ภาพถ่ายสิ่งต่างๆที่ได้รับการซ่อมแซมได้ถูกส่งไปยังเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เห็นรูปถ่ายเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อสาธารณะ แต่เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เชื่อว่าถึงเวลาสำหรับการเจรจาแล้ว เขาจึงค้นเลือกหาคนกลาง และคนกลางคนนี้คือ ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀) เขาคิดว่าลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)ทำหน้าที่เป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมกว่า ในปีค.ศ. 1981 เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) เยือนสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบประสบการณ์ของสิงคโปร์ในด้านการปกครองระดับชาติ ในปีค.ศ. 1983 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวกับลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เป็นการส่วนตัวว่า: ภายใต้การปฏิรูปและการทูตเชิงปฏิบัติของเติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) แผ่นดินใหญ่จะแข็งแกร่งขึ้น “หากแผ่นดินใหญ่และไต้หวันรวมกัน อนาคตของจีนจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นจีนและอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการคืนฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1986 ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เดินทางไปไต้หวันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวว่า: เขาจะเปลี่ยนแปลงไต้หวัน แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเช่นไร ในปี ค.ศ. 1987 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(国民党)นอกเหนือจากการยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคและการห้ามหนังสือพิมพ์แล้ว ยังอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ แต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วย หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปถึงปักกิ่ง เติ้งกง(邓公)ก็จัดการประชุมระดับสูงทันที หลังจากได้ฟังรายงานเกี่ยวกับการทำงานเรื่องไต้หวันแล้ว เขาเชื่อว่าการรวมชาติเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จากไป การรวมชาติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ยากลำบาก เขาคร่ำครวญ: "เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตายเร็วเกินไป" เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้เผชิญหน้ากันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียต ทั้งสองมีความเชื่อร่วมกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทรยศต่อศรัทธาและติดตามเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) จนกระทั่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสู่อำนาจที่ทั้งสองได้พบกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พบกันมาห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว แต่ทั้งสองก็คิดถึงประเด็นการรวมชาติ 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

    เดือนนี้ จะตัดสินใจลงนามในหนังสือเอกสารสัญญาใดๆควรไตร่ตรองคิดพิจารณาให้รอบคอบรอบด้าน เป็นเพราะการเอาแต่ใจตนเองคิดเป็นใหญ่เกินตัวจะถูกฟ้องร้องฟ้องศาลให้แพ้คดีความในภายหลัง อีกทั้งลูกหลานและบริวารจะเป็นต้นเหตุให้เสียหาย รู้จักการวางเฉยปล่อยวางตั้งสติให้มั่น เพราะการคิดไม่ตกจากเรื่องที่ต้องขบคิดทำให้เกิดความเครียดเข้าครอบงำ ควรพิจารณาให้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงเพราะทุกๆปัญหาย่อมมีหนทางการแก้ไข อีกทั้งยามค่ำคืนควรจะหลีกเลี่ยงที่เปลี่ยวอย่าไปที่ไหนเพียงลำพังคนเดียวอาจจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมอุบัติเหตุเภทภัยได้ ควรรู้จักนอนหลับพักผ่อนออกกำลังกายให้พอเหมาะ สุขภาพร่างกายจะได้ไม่เจ็บป่วยไม่ต้องเสียทรัพย์ไปกับการรักษาพยาบาล
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดือนนี้ จะตัดสินใจลงนามในหนังสือเอกสารสัญญาใดๆควรไตร่ตรองคิดพิจารณาให้รอบคอบรอบด้าน เป็นเพราะการเอาแต่ใจตนเองคิดเป็นใหญ่เกินตัวจะถูกฟ้องร้องฟ้องศาลให้แพ้คดีความในภายหลัง อีกทั้งลูกหลานและบริวารจะเป็นต้นเหตุให้เสียหาย รู้จักการวางเฉยปล่อยวางตั้งสติให้มั่น เพราะการคิดไม่ตกจากเรื่องที่ต้องขบคิดทำให้เกิดความเครียดเข้าครอบงำ ควรพิจารณาให้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงเพราะทุกๆปัญหาย่อมมีหนทางการแก้ไข อีกทั้งยามค่ำคืนควรจะหลีกเลี่ยงที่เปลี่ยวอย่าไปที่ไหนเพียงลำพังคนเดียวอาจจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมอุบัติเหตุเภทภัยได้ ควรรู้จักนอนหลับพักผ่อนออกกำลังกายให้พอเหมาะ สุขภาพร่างกายจะได้ไม่เจ็บป่วยไม่ต้องเสียทรัพย์ไปกับการรักษาพยาบาล ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • 06-10-67/01 : หมี CNN / "3 แยกปากหมา" EP.3

    เป็นไงล่ะ? อีโครแอต เตรียมชิ่ง ยุโรปตะวันออกก่อกบฎ ไม่เอา NATO ไม่รบรัสเซีย เดี๋ยวมรึงจะได้เห็นอสรพิษอีกเยอะ ไอ้ที่รอ เค้ารอมรึงฉิบหายก่อน เมื่ออ่อนยวบ ก็ไม่มีแรงจะมาขู่กูได้อีก สัญญานยุโรปตะวันออกแยกตัวเริ่มชัด! หลังรัสเซียยึดยูเครนเบ็ดเสร็จแล้ว แบบไม่เป็นทางการ เชื่อมเส้นทางลำเลียงไคร์เมียร์ฉลุย ยิ่งทำให้ไคร์เมียร์มีแผ่นดินเชื่อมต่อง่ายขึ้น ฐานทัพรัสเซียโยกเข้าไปแทนที่แล้ว มรึงเสร็จ! อยู่ที่ว่าจะกินพื้นที่เท่าไหร่ดี เอาแม่งให้หมดทั้งแผ่นดินเพื่อเป็นเกาะกันชนเลยดีมุย? อีโปลหนาวสุดตรีน เมื่อยูเครนไป แล้วอีโปลเสี้ยนจะทำสงครามต่อ เท่ากับยื่นใบเสร็จเส้นทางท่อแก็สอาร์คติคให้ปูตินนั่นเอง หากฉลาด ประกาศยุติสงคราม หันมาจับมือรัสเซีย อาจจะยังเหลือประเทศโปแลนด์อยู่? แต่คนยาก เพราะอียิวเหี้ยไซออนนิสต์มันกลืนอีโปลมาเป็นชาติแล้ว แผ่นดินที่เต็มไปด้วยอียิว ยิ่งแผ่นดินแม่เยรูซาเล็มใกล้แตก มรึงจะไปหาที่อพยพที่ไหนได้อีกล่ะ? ปล่อยข่าวอีล่ะ? อียิวเหี้ยไม่มีอะไรนอกจากปั่นหัวควาย กระแสล่อนุ๊กใส่เลบานอน เค้ารออยู่ อาวุธเหี้ยมะกันทั้งนั้น ปฎิเสธไม่ได้ มรึงมีส่วนทุกสงครามที่เกิด ดอกนี้ จะสมหวัง 3 ประการ 1.อียิวโดนหนักถึงขัดแผ่นดินแตก 2.อีวอชิงตันจะดิ้นพล่าน ฐานทัพเหี้ยทั่วโลกถูกลงแขก จัดหนัก 3.เกมส์ยุโรปปิดเกมส์เร็ว เพราะไม่เหลือใครเติมอาวุธให้อีกแล้ว ต่างป้องกันตัวเองสิ้น เฮซบอเลาะห์มีอาวุธไฮเทครุ่นใหม่ครบ พูดง่ายๆ ใครที่อิหร่านส่งเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน? จะได้ของครบมือทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่นั้น อาวุธไฮเทค ต้องใช้เวลาฝึกฝนและเรียนรู้เยอะ ใครล่ะ? ควบคุมบังคับการใช้งาน หากไม่ใช่ WAGNER ใช่แล้ว ผีพริโกซินล่องลอยไปตามอากาศ หลอกหลอนเหี้ยยิวทุกสมรภูมิรบ? รัสเซีย จีน อิหร่าน วางแผนหลายชั้น ไม่ใช่ให้เดาทางง่ายดอกน่ะ ดูภาพรวมแล้วจะเข้าใจ สงครามในเยรูซาเล็ม มีเพื่อตัดกำลังเหี้ย NATO เพื่อที่ปูตินจะเขมือบยูเครนง่ายดาย แถมตัดกำลังพล อาวุธ คลังแสง คลังเงิน จนยุโรปถังแตกไปทั่ว แค่หาพลังงานใช้ยังยาก ต้องจ่ายเป็นรูเบิล? ที่มาว่า EU ถอยหมด แล้ว NATO จะเหลือใคร? ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด โจมตีที่ไหน เพื่อเป้าหมายที่อื่น? ไม่ใช่เหี้ยขี้ข้ามะกันจะไม่ช่วยลวกเพ่ใหญ่ยิวดอกน่ะ แต่มันไม่เหลืออะไรแล้ว? ล่าสุด อีเอ๋อ(ตัวโคลน) ส่งสัญญานชัด แผนเด็ดหัวอีทรัมปป์ เดาไม่ยากดอก จะมีเลือกตั้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เป้าหมายแท้จริงคือนำอเมริกาไปตายโหงตายห่าในสงครามต่างหากล่ะ ตายไม่ถึงล้าน อียิวไม่มีสิทธิ์เข้า ต้องให้แตกเป็นเสี่ยงๆ แยกรัฐย่อย อียิวถึงจะได้แผ่นดินมาตั้งต้นรัฐยิวใหม่ นิวยอร์ค แคลิฟอร์เนีย เสร็จอียิวชัวร์! แผนพลิกน่ะสิ เพราะโลกต่อต้านอียิวกันสุดโต่งแล้ว เลือกตั้งอเมริกาแค่ละคร อีตาเพนเตรียมปฎิวัติแล้วจ๊ะ CIVIL WAR ต้องมา ไม่ต้องให้มรึงมาฆ่า เดี๋ยวพวกกูจะฆ่ากันเองโชว์ให้มรึงดู? สู้กับมรึง มีแต่ตายโหงกับตายห่า แต่สู้กับควายมะกันด้วยกันเอง ชนะใสใส เพราะกูเก่งแต่ของกระจอกไงล่ะ? มรึงเอาดิ? F-35 หันหัวกลับหลังรู้ว่าถูกล็อคเป้า จะลอบกัดโจมตีอิหร่าน ไม่ง่ายดอก หากไม่อนุญาตให้จัดฉาก เพราะความเป็นจริง S-400/S-350s รอดักอยู่ SU-35s ก็มีทั้งฝูง แถมรัสเซียเพิ่งส่งปืนเลเซอร์ รัศมี 4 กม. ตัวจี๊ด ทำลายโดรนได้อย่างไวพร้อมกัน ล่าสุด รัสเซียคุ้มกันเครื่องบินบรรทุกหนักไปส่งถึงกรุงเบรุต ไม่ต้องเดา ของดี ของหนักมาครบ เฮซบอเลาะห์ถึงได้มั่นใจ งวดนี้ กูเอาจริง! ภาพข่าวทั่วโลกถูกสื่อปลอมยิวหลอกควายไปโฟกัสยิวถล่มเลบานอน แต่ของจริง อียิวนอนตายพะงาบพะงาบ มรึงดูภาพรวม อีเบียร์ทรุดทั้งเศรษฐกิจ การคลัง การทหาร อีเศษฝรั่งถอย เพราะรู้ดีว่า งานนี้จะต้องแลกด้วยอะไร? เพราะปูตินเบื่ออีน้ำเน่ามว๊าก ตอแหลไม่เลิก! อาวุธหนักทุกชิ้นของรัสเซียตอนนี้ พ่วงไฮเปอร์โซนิค 8-15 มัค ทั้งหมด ไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดของชาติเหี้ยจะสกัดได้ เหมือนที่อิหร่านทำให้ดู ลงกลางหัวเทลอาวีฟจนแถไม่ออก! โลกอาหรับยกพลขึ้นบกแล้ว โดยเสริมกำลังไปทางเลบานอน ซีเรีย อิรัก ปูพรมเข้า 3 ทิศทาง ลูกยาวนำ ภาคพื้นเก็บงาน อียิวถูกบีบให้ถอยไปตอนกลาง อยู่รวมกันที่นั่น เท่ากับว่ามรึงถูกล้อมนอก ล้อมใน จนไม่มีทางถอย เยเมนคือคีย์สำคัญ ที่จะเปิดทางให้ทั้ง 3 กองรบได้ไปเจอะหน้ากันในเวสต์แบงค์ อิหร่านแต่คุมเกมส์ข้างนอก ปิดไม่ให้เรือเหี้ยมะกันเข้ามาช่วยอียิวได้ เรือรบรัสเซีย จีน อยู่ในทะลดำ สามารถยิงสกัดอาวุธยาวได้ อิหร่านมีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ล่ออียิวได้ทุกเมื่อ ที่ผ่านมา คือปล่อยให้มันถล่มแค่หน้าฉาก ประปราย เพื่อเอาใบเสร็จโลกเท่านั้นเอง ส่วนแผนผู้นำแห่กันตายถี่ ตายแล้วตายอีก ก็เพื่อจะสับราง ไม่ให้เหี้ยเดาทางถูก เพราะคนใหม่มา คือเพชรฆาต ไม่พูดเยอะ สั่งลุยท่าเดียว ยังต้องมีผู้นำตายห่าอีกต่อเนื่อง ก็เพื่อความปลอดภัย และลดการจับตาจากฝ่ายตรงกันข้าม เวลาเดินทางไปไหนมาไหนมันรู้หมด เปลี่ยนกล้องจับตา สายลับให้ไปที่อื่นแทน นี่คือ "สงคราม" ยามศึก ไม่สนวิธีการ เพื่อเป้าหมายใหญ่ งัดมาใช้ได้หมด! ช่วงนี้ ใช้ตัวโคลนเปลือง เพราะเกมส์มันหลายชั้นน่ะจ๊ะ? สิ่งที่เหี้ยไม่รู้เลยคือ ขั้วใหม่เค้ารู้อาวุธมรึงหมดเกลี้ยง เอาไปโชว์พิพิธภัณฑ์ของกระจอกที่มอสโคว์ทั้ง NATO แต่อาวุธรุ่นใหม่ของอิหร่าน จีน รัสเซีย ยังออกมาไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ใช้ทดสอบกับมรึงผ่านเฮซบอเลาะห์ ฮูตี เนี่ยแหละ รู้ตัวมั้ยว่า มรึงมีค่าแค่หนูทดลองอาวุธ? อาวุธรัสเซียโหดสุด ไม่ใช่แค่ทำลายพื้นที่เป้าหมาย แต่ทำลายโสตประสาททุกชีวิตในบริเวณนั่นด้วย รัศมี 15 กม. ที่มาว่าทำไมทหารมะกัน นาโต้ พิการไปกว่าครึ่งกองทัพ หลอนไปเลยมรึง ขนาดทหารรับจ้าง อย่างอี "น้ำดำ" ยังเคยออกมาให้ข่าวว่า "ไม่ไหวแล้ว รับไม่ได้" นี่ไม่ใช่สงคราม แต่มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ จ้างไอ้โง่ไปตายห่าไงล่ะ ไอ้สัส! อย่าคิดว่ามรึงจะรอด? ทั้งอีโปล อีสวิงกิ้ง อีฟินน์ อีลอนดอน ทุกอย่างมันปูทางไปหามรึงทั้งสิ้น WAGNER กระจายอยู่เต็มยุโรป อยากรู้ให้ไปถามลูคาเชนโก รู้ทะลุ ตับไตไส้พุง อีโปล หมดเกลี้ยง! แค่จะสั่งเก็บตอนไหน เท่านั้นเอง ISKANDER ว่าโหดแล้ว เกิดพ่วงหัวรบมินิคุ๊กกี้รสชาเชียวเข้าไปอีก กูบอกเลย อิ่มยันไปถึงชาติหน้า?

    ปล.ส่วนประเทศกูมี ประเทศสารขัณฑ์ ทรงมาแล้วจ๊ะ แผนลงถนนขับไล่รัฐบาลชาติชั่ว บอกก่อนเลยว่า "หมีจะออก ก็เพียงเรื่องวัง เท่านั้น" ใครมีแรง มีอยากเกิด ใครทนไม่ไหว จะไปร่วมก็ดูแลตัวเองหน่อย เพราะหมีอ่านเกมส์ทะลุแล้วว่า ไม่ต้องลงถนน ศาลไคฟงก็ฟันตายคาที่แล้ว แต่แผนนี้ที่เรียกขึ้นมา ก็เพื่อเร่งเวลาตายให้เร็วขึ้น เท่านั้นเอง ชงเพื่อสร้างสถานการณ์ บีบให้นำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ของแผ่นดิน อย่าลืมว่า เสรีก็กำลังชงอยู่อีกเรื่อง ชั้น 14 ตายห่ายกแก๊งค์ ปปช.งานเข้า มรึงจะหมกเม็ดต่อไป แอบช่วยต่อ ไม่ได้อีกแล้ว โดนกันหมด เพราะงานนี้ ศาลใหญ่มาเอง? ยื่นทูลความเท็จ โทษหนักสถานใด ไม่ต้องบอก? ทุกอย่างที่มรึงเคยช้ำใจ นั่นแค่ละคร ที่วังชงให้ศาล เพื่อหาใบเสร็จ มาวันนี้ มรึงเข้าใจกันรึยัง? อะไรที่ให้ได้ ก็เอาคืนได้ กูพูดบ่อยไปป่ะ? ตัวพ่อไม่รอด แล้วตัวลูกสาวร่านจะเหลือเหรอ? คดีค้างไว้เพี๊ยบ ชงมาเป็น 100 รอตบแค่วันเดียว ไปหมดทั้งกะปิเหี้ย? ทุกอย่างคือละคร แต่ 10000 นึงได้จริง ควายปลื้ม 3 วันหมด ตามสติปัญญา มันไม่สนดอกว่า ใครเป็นคนจ่าย เพราะควายไม่มีจ่าย มีแต่ขอ? วังเมตตา โปรดสัด เดี๋ยวกูไปเอาคืนจากไอ้อีนักการเมืองเหี้ยเอง บทเค้าชงให้วังเป็นพระเอก พวกมรึงรอด! แต่ไอ้คนเซ็นต์ อนุมัติ เสนอนโยบาย คาคุกทั้งพรรค ทั้งคน เดี๋ยวมรึงได้เห็นแน่ มาพร้อมกันหมด 100 คดี เนื้อหาแก่นแท้มีแค่ "บ่อนทำลายแผ่นดิน ล้มวัง แยกดินแดน ชักศึกเข้าบ้าน" อยู่ดีดี คดีตากใบก็กลับมาเช็คบิลอีกครั้ง มันคือสัญญานบอกถึงอีบ้านเหี้ยส่องหล้าโดยตรงไงล่ะ? นิ่ง สงบ รอดูความเคลื่อนไหว ช่วงนี้ เหี้ยมันจะแฉกันเอง เชือดกันเอง สุดท้ายเขียวคาบไปแดร๊กตามใบสั่ง เพราะทุกอย่างเค้าขีดเขียนให้มรึงเดิน อีเหลี่ยมที่คิดว่าแน่ มรึงพลาดตั้งแต่เข้ามาเหยียบแผ่นดินสวรรค์แล้ว มันคือ "แสงทำงาน หลอกมาสำเร็จ" ตัวประกันอยู่ในมือ ยังไงก็ชนะ เพราะที่นี่มีแค่กติกาเดียว "ใต้พระบารมี" การโยกย้ายตำแหน่งสำคัญในกองทัพบกที่ผ่านมา คือภาพสะท้อนว่า กองทัพไทยรวมเป็น 1 เดียวกันหมดแล้ว ทหารขายชาติจะถูกเขี่ยทิ้ง ทหารล้มเจ้าจะถูกดองเค็มจนหมดวาระ เสธ.แดง ไม่ได้มามือเปล่า งวดนี้ ยกทั้ง 3 เหล่าทัพมาพร้อมกันขยี้เหี้ยล้างแผ่นดินกันไปเลย! เกมส์โลกกำลังเข้าทาง เกมส์ไทยกำลังเข้าตรีน อีจตุพรเนี่ยตัวชงเลย พาคนลงถนน ไม่มีใบสั่ง ใครจะนำ? ย้อนเกล็ดเหี้ยไงล่ะ รู้ทางกันดี PUT THE RIGHT MAN ON THE RIGHT JOB ทหารเค้าเป็นงานไม่ต้องสอนดอก? จำไว้ว่า ละครลงถนน แค่หน้าฉาก เพื่อเงื่อนไขการนำไปสู่ "รัฐประหาร" เวลาของมรึง หมดแล้ว! ภาพใหญ่ตอนนี้ ยิ่งตะวันออกกลางเดือดมากเท่าไหร่ ยุโรปยิ่งยวบลงมากเท่านั้น เพราะต้องเติมไม่อั้น เติมไม่หยุด เพราะอีเหี้ยมะกันมันเจ๊งแล้ว สุดท้ายก็นำไปสู่การแยกย้าย แตก NATO แตก EU เพราะทั้งโลกเดินตามขั้วใหม่หมดแล้ว มรึงยังจะเหลือใครในองค์กรสากลตอแหลบัดซบอีก? สงครามแค่หน้าฉาก ของจริงคือใครคุมปัจจัย 4 โลก? มันจบแล้วครับนาย! ย้ำอีกที "สงครามข่าวสาร" ไม่รู้ที่มา อย่าเชื่อ สื่อเหี้ยยิวรายงาน ให้ตีเป็น 0 ดูของจริง ผลลัพธ์จริง และใครได้ประโยชน์? จะจับทางได้ไม่ยาก ทุกอย่างไม่มีของฟรี โลกต้องจ่าย เพื่อเปลี่ยน เช่นกัน!

    หมี CNN(เมื่อวานไม่ได้โพส ไม่ว่างจ๊ะ แถมไม่มีอารมณ์ เตรียมจะเขียนตอนเย็นแล้ว แต่เปลี่ยนใจ เพราะมันไร้อารมณ์ ตื่นมาเช้านี้ เห็น หงส์แดงจ่าฝูง เลยมีอารมณ์เขียนทันที สรุปคือ "หมาจะกัดกัน อย่าเข้าไปห้าม" ปล่อยให้โลกกำจัดสิ่งชั่วร้ายด้วยตัวมันเอง กลียุคใกล้จะจบลงแล้ว ทุกความระยำ ชาติชั่ว ที่เห็นในชาตินี้ มันจะหมดไป แล้วตามมาเกิดใหม่อีก 100 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากมรึงเป็นอมตะ มรึงจะเห็นวัฎจักรจักรวาลเวียนว่ายไม่รู้จบ ดังนั้น อย่าอินเยอะ ปล่อยให้มันเป็นไปซะ ใครก็ห้ามไม่ได้ อียิวตายโหงชัวร์!)
    06 ตุลาคม 67
    10.58 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u


    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    06-10-67/01 : หมี CNN / "3 แยกปากหมา" EP.3 เป็นไงล่ะ? อีโครแอต เตรียมชิ่ง ยุโรปตะวันออกก่อกบฎ ไม่เอา NATO ไม่รบรัสเซีย เดี๋ยวมรึงจะได้เห็นอสรพิษอีกเยอะ ไอ้ที่รอ เค้ารอมรึงฉิบหายก่อน เมื่ออ่อนยวบ ก็ไม่มีแรงจะมาขู่กูได้อีก สัญญานยุโรปตะวันออกแยกตัวเริ่มชัด! หลังรัสเซียยึดยูเครนเบ็ดเสร็จแล้ว แบบไม่เป็นทางการ เชื่อมเส้นทางลำเลียงไคร์เมียร์ฉลุย ยิ่งทำให้ไคร์เมียร์มีแผ่นดินเชื่อมต่อง่ายขึ้น ฐานทัพรัสเซียโยกเข้าไปแทนที่แล้ว มรึงเสร็จ! อยู่ที่ว่าจะกินพื้นที่เท่าไหร่ดี เอาแม่งให้หมดทั้งแผ่นดินเพื่อเป็นเกาะกันชนเลยดีมุย? อีโปลหนาวสุดตรีน เมื่อยูเครนไป แล้วอีโปลเสี้ยนจะทำสงครามต่อ เท่ากับยื่นใบเสร็จเส้นทางท่อแก็สอาร์คติคให้ปูตินนั่นเอง หากฉลาด ประกาศยุติสงคราม หันมาจับมือรัสเซีย อาจจะยังเหลือประเทศโปแลนด์อยู่? แต่คนยาก เพราะอียิวเหี้ยไซออนนิสต์มันกลืนอีโปลมาเป็นชาติแล้ว แผ่นดินที่เต็มไปด้วยอียิว ยิ่งแผ่นดินแม่เยรูซาเล็มใกล้แตก มรึงจะไปหาที่อพยพที่ไหนได้อีกล่ะ? ปล่อยข่าวอีล่ะ? อียิวเหี้ยไม่มีอะไรนอกจากปั่นหัวควาย กระแสล่อนุ๊กใส่เลบานอน เค้ารออยู่ อาวุธเหี้ยมะกันทั้งนั้น ปฎิเสธไม่ได้ มรึงมีส่วนทุกสงครามที่เกิด ดอกนี้ จะสมหวัง 3 ประการ 1.อียิวโดนหนักถึงขัดแผ่นดินแตก 2.อีวอชิงตันจะดิ้นพล่าน ฐานทัพเหี้ยทั่วโลกถูกลงแขก จัดหนัก 3.เกมส์ยุโรปปิดเกมส์เร็ว เพราะไม่เหลือใครเติมอาวุธให้อีกแล้ว ต่างป้องกันตัวเองสิ้น เฮซบอเลาะห์มีอาวุธไฮเทครุ่นใหม่ครบ พูดง่ายๆ ใครที่อิหร่านส่งเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน? จะได้ของครบมือทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่นั้น อาวุธไฮเทค ต้องใช้เวลาฝึกฝนและเรียนรู้เยอะ ใครล่ะ? ควบคุมบังคับการใช้งาน หากไม่ใช่ WAGNER ใช่แล้ว ผีพริโกซินล่องลอยไปตามอากาศ หลอกหลอนเหี้ยยิวทุกสมรภูมิรบ? รัสเซีย จีน อิหร่าน วางแผนหลายชั้น ไม่ใช่ให้เดาทางง่ายดอกน่ะ ดูภาพรวมแล้วจะเข้าใจ สงครามในเยรูซาเล็ม มีเพื่อตัดกำลังเหี้ย NATO เพื่อที่ปูตินจะเขมือบยูเครนง่ายดาย แถมตัดกำลังพล อาวุธ คลังแสง คลังเงิน จนยุโรปถังแตกไปทั่ว แค่หาพลังงานใช้ยังยาก ต้องจ่ายเป็นรูเบิล? ที่มาว่า EU ถอยหมด แล้ว NATO จะเหลือใคร? ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด โจมตีที่ไหน เพื่อเป้าหมายที่อื่น? ไม่ใช่เหี้ยขี้ข้ามะกันจะไม่ช่วยลวกเพ่ใหญ่ยิวดอกน่ะ แต่มันไม่เหลืออะไรแล้ว? ล่าสุด อีเอ๋อ(ตัวโคลน) ส่งสัญญานชัด แผนเด็ดหัวอีทรัมปป์ เดาไม่ยากดอก จะมีเลือกตั้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เป้าหมายแท้จริงคือนำอเมริกาไปตายโหงตายห่าในสงครามต่างหากล่ะ ตายไม่ถึงล้าน อียิวไม่มีสิทธิ์เข้า ต้องให้แตกเป็นเสี่ยงๆ แยกรัฐย่อย อียิวถึงจะได้แผ่นดินมาตั้งต้นรัฐยิวใหม่ นิวยอร์ค แคลิฟอร์เนีย เสร็จอียิวชัวร์! แผนพลิกน่ะสิ เพราะโลกต่อต้านอียิวกันสุดโต่งแล้ว เลือกตั้งอเมริกาแค่ละคร อีตาเพนเตรียมปฎิวัติแล้วจ๊ะ CIVIL WAR ต้องมา ไม่ต้องให้มรึงมาฆ่า เดี๋ยวพวกกูจะฆ่ากันเองโชว์ให้มรึงดู? สู้กับมรึง มีแต่ตายโหงกับตายห่า แต่สู้กับควายมะกันด้วยกันเอง ชนะใสใส เพราะกูเก่งแต่ของกระจอกไงล่ะ? มรึงเอาดิ? F-35 หันหัวกลับหลังรู้ว่าถูกล็อคเป้า จะลอบกัดโจมตีอิหร่าน ไม่ง่ายดอก หากไม่อนุญาตให้จัดฉาก เพราะความเป็นจริง S-400/S-350s รอดักอยู่ SU-35s ก็มีทั้งฝูง แถมรัสเซียเพิ่งส่งปืนเลเซอร์ รัศมี 4 กม. ตัวจี๊ด ทำลายโดรนได้อย่างไวพร้อมกัน ล่าสุด รัสเซียคุ้มกันเครื่องบินบรรทุกหนักไปส่งถึงกรุงเบรุต ไม่ต้องเดา ของดี ของหนักมาครบ เฮซบอเลาะห์ถึงได้มั่นใจ งวดนี้ กูเอาจริง! ภาพข่าวทั่วโลกถูกสื่อปลอมยิวหลอกควายไปโฟกัสยิวถล่มเลบานอน แต่ของจริง อียิวนอนตายพะงาบพะงาบ มรึงดูภาพรวม อีเบียร์ทรุดทั้งเศรษฐกิจ การคลัง การทหาร อีเศษฝรั่งถอย เพราะรู้ดีว่า งานนี้จะต้องแลกด้วยอะไร? เพราะปูตินเบื่ออีน้ำเน่ามว๊าก ตอแหลไม่เลิก! อาวุธหนักทุกชิ้นของรัสเซียตอนนี้ พ่วงไฮเปอร์โซนิค 8-15 มัค ทั้งหมด ไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดของชาติเหี้ยจะสกัดได้ เหมือนที่อิหร่านทำให้ดู ลงกลางหัวเทลอาวีฟจนแถไม่ออก! โลกอาหรับยกพลขึ้นบกแล้ว โดยเสริมกำลังไปทางเลบานอน ซีเรีย อิรัก ปูพรมเข้า 3 ทิศทาง ลูกยาวนำ ภาคพื้นเก็บงาน อียิวถูกบีบให้ถอยไปตอนกลาง อยู่รวมกันที่นั่น เท่ากับว่ามรึงถูกล้อมนอก ล้อมใน จนไม่มีทางถอย เยเมนคือคีย์สำคัญ ที่จะเปิดทางให้ทั้ง 3 กองรบได้ไปเจอะหน้ากันในเวสต์แบงค์ อิหร่านแต่คุมเกมส์ข้างนอก ปิดไม่ให้เรือเหี้ยมะกันเข้ามาช่วยอียิวได้ เรือรบรัสเซีย จีน อยู่ในทะลดำ สามารถยิงสกัดอาวุธยาวได้ อิหร่านมีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ล่ออียิวได้ทุกเมื่อ ที่ผ่านมา คือปล่อยให้มันถล่มแค่หน้าฉาก ประปราย เพื่อเอาใบเสร็จโลกเท่านั้นเอง ส่วนแผนผู้นำแห่กันตายถี่ ตายแล้วตายอีก ก็เพื่อจะสับราง ไม่ให้เหี้ยเดาทางถูก เพราะคนใหม่มา คือเพชรฆาต ไม่พูดเยอะ สั่งลุยท่าเดียว ยังต้องมีผู้นำตายห่าอีกต่อเนื่อง ก็เพื่อความปลอดภัย และลดการจับตาจากฝ่ายตรงกันข้าม เวลาเดินทางไปไหนมาไหนมันรู้หมด เปลี่ยนกล้องจับตา สายลับให้ไปที่อื่นแทน นี่คือ "สงคราม" ยามศึก ไม่สนวิธีการ เพื่อเป้าหมายใหญ่ งัดมาใช้ได้หมด! ช่วงนี้ ใช้ตัวโคลนเปลือง เพราะเกมส์มันหลายชั้นน่ะจ๊ะ? สิ่งที่เหี้ยไม่รู้เลยคือ ขั้วใหม่เค้ารู้อาวุธมรึงหมดเกลี้ยง เอาไปโชว์พิพิธภัณฑ์ของกระจอกที่มอสโคว์ทั้ง NATO แต่อาวุธรุ่นใหม่ของอิหร่าน จีน รัสเซีย ยังออกมาไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ใช้ทดสอบกับมรึงผ่านเฮซบอเลาะห์ ฮูตี เนี่ยแหละ รู้ตัวมั้ยว่า มรึงมีค่าแค่หนูทดลองอาวุธ? อาวุธรัสเซียโหดสุด ไม่ใช่แค่ทำลายพื้นที่เป้าหมาย แต่ทำลายโสตประสาททุกชีวิตในบริเวณนั่นด้วย รัศมี 15 กม. ที่มาว่าทำไมทหารมะกัน นาโต้ พิการไปกว่าครึ่งกองทัพ หลอนไปเลยมรึง ขนาดทหารรับจ้าง อย่างอี "น้ำดำ" ยังเคยออกมาให้ข่าวว่า "ไม่ไหวแล้ว รับไม่ได้" นี่ไม่ใช่สงคราม แต่มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ จ้างไอ้โง่ไปตายห่าไงล่ะ ไอ้สัส! อย่าคิดว่ามรึงจะรอด? ทั้งอีโปล อีสวิงกิ้ง อีฟินน์ อีลอนดอน ทุกอย่างมันปูทางไปหามรึงทั้งสิ้น WAGNER กระจายอยู่เต็มยุโรป อยากรู้ให้ไปถามลูคาเชนโก รู้ทะลุ ตับไตไส้พุง อีโปล หมดเกลี้ยง! แค่จะสั่งเก็บตอนไหน เท่านั้นเอง ISKANDER ว่าโหดแล้ว เกิดพ่วงหัวรบมินิคุ๊กกี้รสชาเชียวเข้าไปอีก กูบอกเลย อิ่มยันไปถึงชาติหน้า? ปล.ส่วนประเทศกูมี ประเทศสารขัณฑ์ ทรงมาแล้วจ๊ะ แผนลงถนนขับไล่รัฐบาลชาติชั่ว บอกก่อนเลยว่า "หมีจะออก ก็เพียงเรื่องวัง เท่านั้น" ใครมีแรง มีอยากเกิด ใครทนไม่ไหว จะไปร่วมก็ดูแลตัวเองหน่อย เพราะหมีอ่านเกมส์ทะลุแล้วว่า ไม่ต้องลงถนน ศาลไคฟงก็ฟันตายคาที่แล้ว แต่แผนนี้ที่เรียกขึ้นมา ก็เพื่อเร่งเวลาตายให้เร็วขึ้น เท่านั้นเอง ชงเพื่อสร้างสถานการณ์ บีบให้นำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ของแผ่นดิน อย่าลืมว่า เสรีก็กำลังชงอยู่อีกเรื่อง ชั้น 14 ตายห่ายกแก๊งค์ ปปช.งานเข้า มรึงจะหมกเม็ดต่อไป แอบช่วยต่อ ไม่ได้อีกแล้ว โดนกันหมด เพราะงานนี้ ศาลใหญ่มาเอง? ยื่นทูลความเท็จ โทษหนักสถานใด ไม่ต้องบอก? ทุกอย่างที่มรึงเคยช้ำใจ นั่นแค่ละคร ที่วังชงให้ศาล เพื่อหาใบเสร็จ มาวันนี้ มรึงเข้าใจกันรึยัง? อะไรที่ให้ได้ ก็เอาคืนได้ กูพูดบ่อยไปป่ะ? ตัวพ่อไม่รอด แล้วตัวลูกสาวร่านจะเหลือเหรอ? คดีค้างไว้เพี๊ยบ ชงมาเป็น 100 รอตบแค่วันเดียว ไปหมดทั้งกะปิเหี้ย? ทุกอย่างคือละคร แต่ 10000 นึงได้จริง ควายปลื้ม 3 วันหมด ตามสติปัญญา มันไม่สนดอกว่า ใครเป็นคนจ่าย เพราะควายไม่มีจ่าย มีแต่ขอ? วังเมตตา โปรดสัด เดี๋ยวกูไปเอาคืนจากไอ้อีนักการเมืองเหี้ยเอง บทเค้าชงให้วังเป็นพระเอก พวกมรึงรอด! แต่ไอ้คนเซ็นต์ อนุมัติ เสนอนโยบาย คาคุกทั้งพรรค ทั้งคน เดี๋ยวมรึงได้เห็นแน่ มาพร้อมกันหมด 100 คดี เนื้อหาแก่นแท้มีแค่ "บ่อนทำลายแผ่นดิน ล้มวัง แยกดินแดน ชักศึกเข้าบ้าน" อยู่ดีดี คดีตากใบก็กลับมาเช็คบิลอีกครั้ง มันคือสัญญานบอกถึงอีบ้านเหี้ยส่องหล้าโดยตรงไงล่ะ? นิ่ง สงบ รอดูความเคลื่อนไหว ช่วงนี้ เหี้ยมันจะแฉกันเอง เชือดกันเอง สุดท้ายเขียวคาบไปแดร๊กตามใบสั่ง เพราะทุกอย่างเค้าขีดเขียนให้มรึงเดิน อีเหลี่ยมที่คิดว่าแน่ มรึงพลาดตั้งแต่เข้ามาเหยียบแผ่นดินสวรรค์แล้ว มันคือ "แสงทำงาน หลอกมาสำเร็จ" ตัวประกันอยู่ในมือ ยังไงก็ชนะ เพราะที่นี่มีแค่กติกาเดียว "ใต้พระบารมี" การโยกย้ายตำแหน่งสำคัญในกองทัพบกที่ผ่านมา คือภาพสะท้อนว่า กองทัพไทยรวมเป็น 1 เดียวกันหมดแล้ว ทหารขายชาติจะถูกเขี่ยทิ้ง ทหารล้มเจ้าจะถูกดองเค็มจนหมดวาระ เสธ.แดง ไม่ได้มามือเปล่า งวดนี้ ยกทั้ง 3 เหล่าทัพมาพร้อมกันขยี้เหี้ยล้างแผ่นดินกันไปเลย! เกมส์โลกกำลังเข้าทาง เกมส์ไทยกำลังเข้าตรีน อีจตุพรเนี่ยตัวชงเลย พาคนลงถนน ไม่มีใบสั่ง ใครจะนำ? ย้อนเกล็ดเหี้ยไงล่ะ รู้ทางกันดี PUT THE RIGHT MAN ON THE RIGHT JOB ทหารเค้าเป็นงานไม่ต้องสอนดอก? จำไว้ว่า ละครลงถนน แค่หน้าฉาก เพื่อเงื่อนไขการนำไปสู่ "รัฐประหาร" เวลาของมรึง หมดแล้ว! ภาพใหญ่ตอนนี้ ยิ่งตะวันออกกลางเดือดมากเท่าไหร่ ยุโรปยิ่งยวบลงมากเท่านั้น เพราะต้องเติมไม่อั้น เติมไม่หยุด เพราะอีเหี้ยมะกันมันเจ๊งแล้ว สุดท้ายก็นำไปสู่การแยกย้าย แตก NATO แตก EU เพราะทั้งโลกเดินตามขั้วใหม่หมดแล้ว มรึงยังจะเหลือใครในองค์กรสากลตอแหลบัดซบอีก? สงครามแค่หน้าฉาก ของจริงคือใครคุมปัจจัย 4 โลก? มันจบแล้วครับนาย! ย้ำอีกที "สงครามข่าวสาร" ไม่รู้ที่มา อย่าเชื่อ สื่อเหี้ยยิวรายงาน ให้ตีเป็น 0 ดูของจริง ผลลัพธ์จริง และใครได้ประโยชน์? จะจับทางได้ไม่ยาก ทุกอย่างไม่มีของฟรี โลกต้องจ่าย เพื่อเปลี่ยน เช่นกัน! หมี CNN(เมื่อวานไม่ได้โพส ไม่ว่างจ๊ะ แถมไม่มีอารมณ์ เตรียมจะเขียนตอนเย็นแล้ว แต่เปลี่ยนใจ เพราะมันไร้อารมณ์ ตื่นมาเช้านี้ เห็น หงส์แดงจ่าฝูง เลยมีอารมณ์เขียนทันที สรุปคือ "หมาจะกัดกัน อย่าเข้าไปห้าม" ปล่อยให้โลกกำจัดสิ่งชั่วร้ายด้วยตัวมันเอง กลียุคใกล้จะจบลงแล้ว ทุกความระยำ ชาติชั่ว ที่เห็นในชาตินี้ มันจะหมดไป แล้วตามมาเกิดใหม่อีก 100 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากมรึงเป็นอมตะ มรึงจะเห็นวัฎจักรจักรวาลเวียนว่ายไม่รู้จบ ดังนั้น อย่าอินเยอะ ปล่อยให้มันเป็นไปซะ ใครก็ห้ามไม่ได้ อียิวตายโหงชัวร์!) 06 ตุลาคม 67 10.58 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปทองคำแท้ทั้งองค์ หนักถึง 5.5 ตัน เฉพาะมูลค่าทองคำตามที่บันทึกในกินเนสบุ๊คนั้น อยู่ที่ประมาณ 28.5 ล้านปอนด์ ประวัติว่าสร้างเมื่อใดยังไม่แน่ชัด เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญของวัดมหาธาตุ สุโขทัย ดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า "วัดมหาธาตุ กลางเมืองสุโขทัย มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม" ซึ่งพิจารณาทั้งตามหลักฐานอื่นและเหตุผลประกอบแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้ น่าจะเป็นพระพุทธรูปทององค์ดังกล่าว เพราะปริมาณทองคำแท้นี้ รวมถึงขนาดพระพุทธรูปนี้ ย่อมเกินกว่าที่สามัญชนทั่วไปพึงสร้างเป็นสมบัติ ---------------- #หลวงพ่อทองคำ #พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร #วัดไตรมิตร #วัดไตรมิตรวิทยาราม #พระสุโขทัยไตรมิตร #กรุงเทพมหานคร #สุโขทัย #พระพุทธรูปสุโขทัย #พระพุทธรูปทองคำ #goldenbuddha #thegoldenbuddha #phraphutthamahasuwannapatimakon #wattraimit #bangkok #thailand #siampiya
    พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปทองคำแท้ทั้งองค์ หนักถึง 5.5 ตัน เฉพาะมูลค่าทองคำตามที่บันทึกในกินเนสบุ๊คนั้น อยู่ที่ประมาณ 28.5 ล้านปอนด์ ประวัติว่าสร้างเมื่อใดยังไม่แน่ชัด เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญของวัดมหาธาตุ สุโขทัย ดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า "วัดมหาธาตุ กลางเมืองสุโขทัย มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม" ซึ่งพิจารณาทั้งตามหลักฐานอื่นและเหตุผลประกอบแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้ น่าจะเป็นพระพุทธรูปทององค์ดังกล่าว เพราะปริมาณทองคำแท้นี้ รวมถึงขนาดพระพุทธรูปนี้ ย่อมเกินกว่าที่สามัญชนทั่วไปพึงสร้างเป็นสมบัติ ---------------- #หลวงพ่อทองคำ #พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร #วัดไตรมิตร #วัดไตรมิตรวิทยาราม #พระสุโขทัยไตรมิตร #กรุงเทพมหานคร #สุโขทัย #พระพุทธรูปสุโขทัย #พระพุทธรูปทองคำ #goldenbuddha #thegoldenbuddha #phraphutthamahasuwannapatimakon #wattraimit #bangkok #thailand #siampiya
    0 Comments 0 Shares 101 Views 28 0 Reviews
  • อิหร่านปิดน่านฟ้าทางตะวันตกของประเทศตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๙ ตุลาคม

    ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเตรียมการโจมตีอิสราเอลทันทีเมื่อจำเป็น
    .
    ⚡️BREAKING

    Iran is closing airspace in the west of the country from today until 9 October.

    This looks like a preparation for an immediate strike on Israel when needed
    .
    2:19 AM · Oct 6, 2024 · 614.4K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1842645909588324669
    อิหร่านปิดน่านฟ้าทางตะวันตกของประเทศตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๙ ตุลาคม ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเตรียมการโจมตีอิสราเอลทันทีเมื่อจำเป็น . ⚡️BREAKING Iran is closing airspace in the west of the country from today until 9 October. This looks like a preparation for an immediate strike on Israel when needed . 2:19 AM · Oct 6, 2024 · 614.4K Views https://x.com/IranObserver0/status/1842645909588324669
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ขอเป็นอีกหนึ่งคนที่จะเป็นกำลังใจรำลึกถึงพี่น้องทุกท่าน"7ตุลา
    ขอเป็นอีกหนึ่งคนที่จะเป็นกำลังใจรำลึกถึงพี่น้องทุกท่าน"7ตุลา
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • ด้านหน้าจะเป็นรัฐ #Schwyz 🇨🇭 #เมืองจำลอง #SwissManiatur
    ด้านหน้าจะเป็นรัฐ #Schwyz 🇨🇭 #เมืองจำลอง #SwissManiatur
    0 Comments 0 Shares 106 Views 58 0 Reviews
  • เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!!

    ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!!

    ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง
    ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน
    ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป

    สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ
    ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ
    แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว
    พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด ……
    แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!!

    ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย
    ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน
    เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก)
    และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!!

    วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ
    เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21
    ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ
    โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า
    เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน……
    เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน…
    ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน……
    (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…)
    แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์
    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!!
    แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ
    จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ……
    เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน……

    ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน
    เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้…
    แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม
    แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย……
    นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!!

    เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า
    “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน)
    จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน
    และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้
    ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น
    การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!!

    ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง
    ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ

    ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน
    ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ)

    วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!!

    สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ
    การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……)
    แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว
    เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า
    “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “

    วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน
    แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น”
    เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย
    ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!!

    ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น
    แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่……
    มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น
    เต้นมาร้องกันใหม่……

    การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย
    นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน……
    นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย
    เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด
    ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน
    แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.……

    ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden
    แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์
    สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร
    กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์

    เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
    ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม
    เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
    มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต
    ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า
    Novorossiya อันหมายถึง New Russia…

    ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์
    ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน
    ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป……

    ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ
    Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ)

    วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว
    แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน…
    เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง
    สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี
    จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป
    แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน
    วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์
    ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!!

    ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!! ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!! ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด …… แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!! ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก) และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!! วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21 ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน…… เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน… ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน…… (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…) แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!! แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ…… เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน…… ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้… แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย…… นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!! เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน) จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้ ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!! ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ) วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!! สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……) แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “ วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!! ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่…… มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น เต้นมาร้องกันใหม่…… การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน…… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.…… ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์ สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์ เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า Novorossiya อันหมายถึง New Russia… ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์ ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป…… ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ) วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน… เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์ ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!! ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1)

    หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ

    ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1]

    จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ

    แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ

    ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4]

    ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5]

    ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6]

    ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7]

    จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8]

    ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9]

    งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10]

    จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ

    แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ

    ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น

    แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11]

    โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12]

    แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก

    หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ

    นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14]

    อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15]

    หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น

    การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง

    งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี

    งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่

    ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ

    ---

    อ้างอิง

    [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40.

    [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199.

    [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5.

    [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149.

    [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14.

    [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220.

    [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8.

    [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10.

    [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    ---


    ต. ตุลยากร
    วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1) หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1] จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4] ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5] ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6] ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7] จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8] ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9] งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10] จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11] โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12] แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14] อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15] หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่ ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ --- อ้างอิง [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40. [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199. [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5. [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149. [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14. [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220. [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8. [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10. [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). --- ต. ตุลยากร
    1 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.79 : วอร์เกม 2002

    ในปี 2002 กองทัพสหรัฐเกิดความคิดขึ้นว่า อยากจะสมมติสถานการณ์การรบ หรือ ”วอร์เกม“ ว่าถ้าเกิดกองทัพสหรัฐต้องรบกับอิหร่านแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผลการรบจะออกมาเป็นอย่างไร ใครจะสูญเสียเท่าไร

    กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ “เพนตากอน” จึงทุ่มงบประมาณไป 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเล่นวอร์เกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งการใช้เรือรบและเครื่องบินรบ ทหารจริงกว่า 13,000 คนเข้าร่วม และผสมกับการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการรบหรือซิมูเลเตอร์ด้วยครับ

    เป็นวอร์เกมที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเพนตากอน

    การฝึกนี้ชื่อว่า “มิลเลนเนียม ชาเล้นจ์ 2002“ ครับ เพนตากอนกำหนดไว้ว่าเขาจะเล่นวอร์เกมส์นี้กัน 14 วันถ้วน

    ในการฝึกนี้เขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงินซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐ นำโดยกองทัพเรือ

    ส่วนฝ่ายแดง คือ ฝ่ายอิหร่าน เพนตากอนเขาได้ตั้งพลเรือโทพอล แวน ริพเพอร์ มาเป็นแม่ทัพฝ่ายแดง ซึ่งนายพลผู้นี้ท่านเป็นทหารนาวิกโยธินอเมริกันที่เกษียณอายุแล้วครับ

    เงื่อนไขในการรบก็คือ ”อยู่ดีๆก็เกิดสงครามขึ้นซะยังงั้นแหละ“ นั่นหมายความว่า ในท้องทะเลก็ยังมีเรือสินค้า เรือเดินสมุทรแล่นไปแล่นมาอยู่ ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว

    และไฮไลท์ซึ่งเป็นมูลเหตุของวอร์เกมนี้คือ ให้ฝ่ายแดง(อิหร่าน)ใช้อาวุธและยุทธวิธีโลว์เทคในการรบ

    เพราะเพนตากอนอยากรู้ว่า ถ้ากองทัพสหรัฐต้องมาเจอกองทัพศัตรูที่ใช้อาวุธแสวงเครื่องและยุทโธปกรณ์ที่โลว์เทค หรือ Asymmetric warfare แล้ว กองทัพสหรัฐจะเป็นอย่างไร

    โดยเพนตากอนบอกท่านนายพลริพเพอร์ หรือ แม่ทัพฝ่ายแดงว่า “เล่นได้เต็มที่แบบ Free play เลย”

    ผลที่ได้คือ…
    .
    .
    .
    เปิดฉากมาวันแรกปุ๊บ ฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐก็ส่งสาส์นมายังฝ่ายแดงตามธรรมเนียมว่า “พลานุภาพกำลังรบและรี้พลของฝ่ายข้าพเจ้านั้นเหนือกว่าท่านมากมายนัก ขอให้ท่านจงยอมแพ้แต่โดยดีเถิด หาไม่แล้วอาณาประชาราษฎร์จะได้ยาก”

    ท่านนายพลริพเพอร์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และเริ่มเล่นยุทธวิธีที่เตรียมไว้คือ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการนำสาร ไม่มีการใช้วิทยุใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้กองทัพสหรัฐดักฟังหรือแจมระบบสื่อสารได้

    บรรดาฝูงรถมอเตอร์ไซค์พวกนี้นำคำสั่งของนายพลริพเพอร์วิ่งไปยังกองเรือเร็วขนาดเล็กที่บรรทุกมิสไซล์จอดเทียบอยู่ตามท่าเรือต่างๆ

    เมื่อรับคำสั่งปุ๊บบรรดาเรือสปีดโบ๊ทเหล่านี้ก็พร้อมใจกันแล่นมุ่งหน้าไปยังกองเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งอิหร่าน

    ด้วยความที่วอร์เกมนี้ระบุว่า “อยู่ดีๆสงครามก็ปะทุ” ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องแล่นเรือเข้ามาลอยลำใกล้ชายฝั่งอิหร่านมากกว่าปกติ เพราะต้องเว้นระยะห่างจากเส้นทางเรือสินค้าครับ

    เมื่อฝูงเรือสปีดโบ๊ทฝ่ายแดงแล่นเข้ามาได้ระยะยิงปุ๊บ ก็พร้อมใจกันระดมยิงขีปนาวุธห่าใหญ่ใส่กองเรือสหรัฐ จำนวนขีปนาวุธนี้มากมายท่วมท้นเสียจนระบบเรด้าร์และระบบป้องกันของเรือรบสหรัฐเอาไม่อยู่

    นอกจากนี้ยังมีเรือสปีดโบ๊ทบางลำใช้วิธีกามิกาเซ่ คือ บรรทุกระเบิดแล้วพุ่งเข้าชนเรือรบสหรัฐเพื่อให้ระเบิดไปด้วยกัน

    ผลที่ได้คือ เรือรบสหรัฐจมไป 16 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 5 ลำ และเรือลาดตระเวนอีก 10 ลำ

    จากนั้นท่านนายพลริพเพอร์ก็ใช้กระจกสะท้อนแสง เพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องบินรบฝ่ายแดงขึ้นบิน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ

    คีย์สำคัญคือ ฝ่ายแดงไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือเรด้าร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่สามารถแจมหรือสแกนหาที่ตั้งสถานีเรด้าร์ได้

    ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของวอร์เกม เรือของกองทัพเรือฝ่ายสหรัฐจมไป 16 ลำ ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์จริงๆแล้ว จะหมายถึงชีวิตของทหาร 20,000 คนเลยเชียว
    .
    .
    .
    เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพน้ำเงินหรือฝ่ายสหรัฐก็เต้นผาง โวยกับแม่ทัพฝ่ายแดงว่า “ยูฆ่าไอตายตั้งแต่วันแรก แล้วเวลาที่เหลืออีก 13 วันไอจะทำอะไรล่ะ เอางี้ละกันเรามารีสตาร์ทเริ่มเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน“

    แล้วก็มีการแก้บทในวอร์เกมใหม่ว่า ให้ฝ่ายแดงเปิดใช้สถานีเรด้าร์ เพื่อที่ฝ่ายสหรัฐจะได้สแกนหาเจอและส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มได้สะดวก ตามด้วยส่งทหารกองพลพลร่มที่ 82 กระโดดร่มลงไปยังที่หมาย

    ในระหว่างนี้ คนคุมวอร์เกมได้บอกแม่ทัพฝ่ายแดงว่าห้ามยิงเครื่องบินสหรัฐที่บินเข้ามา แม่ทัพฝ่ายแดงหรือนายพลริพเพอร์จึงไม่พอใจอย่างมากที่วอร์เกมนี้ไม่สมจริงและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ต้น

    เมื่อสคริปท์ได้เปลี่ยนไปเพื่อการันตีว่าฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น นายพลริพเพอร์จึงประท้วงด้วยการขอถอนตัวออกจากวอร์เกมกลางคัน เพราะท่านบอกว่า “เปลืองเงิน”

    ตามมาด้วยวิวาทะของแม่ทัพทั้งสองฝ่ายในวอร์เกมนี้ ต่างฝ่ายต่างด่ากันคนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ

    ส่วนเพนตากอนนั้นก็ออกมาแถลงว่า บทเรียนที่ได้จากวอร์เกมนี้จะถูกส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อพัฒนาหลักนิยมในการรบต่อไปในอนาคต
    .
    .
    .
    ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากจะเล่าว่า ในเวลานี้ก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกับในวอร์เกมดังกล่าวขึ้นจริงๆที่แถวเยเมนครับ

    อย่างที่เราทราบว่า เยเมนนั้นเป็นที่มั่นของพวกกองโจรฮูติ ซึ่งพวกฮูตินี้ได้ยึดครองชายฝั่งทะเลตรงปากทางเข้าทะเลแดง

    ทะเลแดงนี้เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของเรือสินค้าจำนวนมหาศาลครับ พวกฮูตินี้เริ่มมีอิทธิพลตรงปากทางเข้าทะเลแดงและยิงจรวดไปจมเรือสินค้าหลายๆลำตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา

    กองทัพเรือสหรัฐส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปคุ้มครองความปลอดภัยของเรือสินค้า ส่วนทางยุโรปก็ส่งกองทัพเรือผสมหลายๆชาติเข้าไปเช่นกัน

    แต่ฝ่ายฮูติก็ไม่ได้สนใจใยดี ยังคงยิงจรวดใส่เรือสินค้าเล่นไปอย่างนั้นมาได้ 6 เดือนแล้ว เกิดเหตุร้ายกับเรือสินค้านับได้ 100 กว่าเหตุการณ์

    แม้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะพร้อมรบเต็มที่ แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดฉากถล่มฮูติเต็มเหนี่ยว เพราะมันจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน

    ด้วยเหตุว่าอาวุธของฮูตินั้นเป็นอาวุธราคาประหยัดแต่มีประสิทธิภาพ เช่น ขีปนาวุธที่ยิงได้เป็นระยะ 200-300 กิโลเมตรและโดรนติดอาวุธราคาไม่เกินลำละ 2,000 ดอลล่าร์ ทั้งหมดนี้ได้รับสปอนเซอร์จากอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการก๊อปปี้และสร้างอาวุธราคาถูกได้ทีละมากๆ

    ส่วนอาวุธของฝ่ายสหรัฐนั้นราคาแพง เช่น ขีปนาวุธครูซลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 1-4 ล้านดอลล่าร์

    เรือพิฆาตของสหรัฐลำหนึ่ง ราคา 2 พันล้านดอลล่าร์ และค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้มันแล่นเป็นเรือรบอยู่ได้ก็ตกเดือนละ 7 ล้านเหรียญ

    การรบระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองโจรฮูติ จึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เพราะเผลอๆเรือรบแพงๆอาจโดนขีปนาวุธราคาถูกยิงจมเอาได้ง่ายๆ

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…..


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.79 : วอร์เกม 2002 ในปี 2002 กองทัพสหรัฐเกิดความคิดขึ้นว่า อยากจะสมมติสถานการณ์การรบ หรือ ”วอร์เกม“ ว่าถ้าเกิดกองทัพสหรัฐต้องรบกับอิหร่านแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผลการรบจะออกมาเป็นอย่างไร ใครจะสูญเสียเท่าไร กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ “เพนตากอน” จึงทุ่มงบประมาณไป 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเล่นวอร์เกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งการใช้เรือรบและเครื่องบินรบ ทหารจริงกว่า 13,000 คนเข้าร่วม และผสมกับการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการรบหรือซิมูเลเตอร์ด้วยครับ เป็นวอร์เกมที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเพนตากอน การฝึกนี้ชื่อว่า “มิลเลนเนียม ชาเล้นจ์ 2002“ ครับ เพนตากอนกำหนดไว้ว่าเขาจะเล่นวอร์เกมส์นี้กัน 14 วันถ้วน ในการฝึกนี้เขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงินซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐ นำโดยกองทัพเรือ ส่วนฝ่ายแดง คือ ฝ่ายอิหร่าน เพนตากอนเขาได้ตั้งพลเรือโทพอล แวน ริพเพอร์ มาเป็นแม่ทัพฝ่ายแดง ซึ่งนายพลผู้นี้ท่านเป็นทหารนาวิกโยธินอเมริกันที่เกษียณอายุแล้วครับ เงื่อนไขในการรบก็คือ ”อยู่ดีๆก็เกิดสงครามขึ้นซะยังงั้นแหละ“ นั่นหมายความว่า ในท้องทะเลก็ยังมีเรือสินค้า เรือเดินสมุทรแล่นไปแล่นมาอยู่ ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว และไฮไลท์ซึ่งเป็นมูลเหตุของวอร์เกมนี้คือ ให้ฝ่ายแดง(อิหร่าน)ใช้อาวุธและยุทธวิธีโลว์เทคในการรบ เพราะเพนตากอนอยากรู้ว่า ถ้ากองทัพสหรัฐต้องมาเจอกองทัพศัตรูที่ใช้อาวุธแสวงเครื่องและยุทโธปกรณ์ที่โลว์เทค หรือ Asymmetric warfare แล้ว กองทัพสหรัฐจะเป็นอย่างไร โดยเพนตากอนบอกท่านนายพลริพเพอร์ หรือ แม่ทัพฝ่ายแดงว่า “เล่นได้เต็มที่แบบ Free play เลย” ผลที่ได้คือ… . . . เปิดฉากมาวันแรกปุ๊บ ฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐก็ส่งสาส์นมายังฝ่ายแดงตามธรรมเนียมว่า “พลานุภาพกำลังรบและรี้พลของฝ่ายข้าพเจ้านั้นเหนือกว่าท่านมากมายนัก ขอให้ท่านจงยอมแพ้แต่โดยดีเถิด หาไม่แล้วอาณาประชาราษฎร์จะได้ยาก” ท่านนายพลริพเพอร์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และเริ่มเล่นยุทธวิธีที่เตรียมไว้คือ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการนำสาร ไม่มีการใช้วิทยุใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้กองทัพสหรัฐดักฟังหรือแจมระบบสื่อสารได้ บรรดาฝูงรถมอเตอร์ไซค์พวกนี้นำคำสั่งของนายพลริพเพอร์วิ่งไปยังกองเรือเร็วขนาดเล็กที่บรรทุกมิสไซล์จอดเทียบอยู่ตามท่าเรือต่างๆ เมื่อรับคำสั่งปุ๊บบรรดาเรือสปีดโบ๊ทเหล่านี้ก็พร้อมใจกันแล่นมุ่งหน้าไปยังกองเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งอิหร่าน ด้วยความที่วอร์เกมนี้ระบุว่า “อยู่ดีๆสงครามก็ปะทุ” ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องแล่นเรือเข้ามาลอยลำใกล้ชายฝั่งอิหร่านมากกว่าปกติ เพราะต้องเว้นระยะห่างจากเส้นทางเรือสินค้าครับ เมื่อฝูงเรือสปีดโบ๊ทฝ่ายแดงแล่นเข้ามาได้ระยะยิงปุ๊บ ก็พร้อมใจกันระดมยิงขีปนาวุธห่าใหญ่ใส่กองเรือสหรัฐ จำนวนขีปนาวุธนี้มากมายท่วมท้นเสียจนระบบเรด้าร์และระบบป้องกันของเรือรบสหรัฐเอาไม่อยู่ นอกจากนี้ยังมีเรือสปีดโบ๊ทบางลำใช้วิธีกามิกาเซ่ คือ บรรทุกระเบิดแล้วพุ่งเข้าชนเรือรบสหรัฐเพื่อให้ระเบิดไปด้วยกัน ผลที่ได้คือ เรือรบสหรัฐจมไป 16 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 5 ลำ และเรือลาดตระเวนอีก 10 ลำ จากนั้นท่านนายพลริพเพอร์ก็ใช้กระจกสะท้อนแสง เพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องบินรบฝ่ายแดงขึ้นบิน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ คีย์สำคัญคือ ฝ่ายแดงไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือเรด้าร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่สามารถแจมหรือสแกนหาที่ตั้งสถานีเรด้าร์ได้ ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของวอร์เกม เรือของกองทัพเรือฝ่ายสหรัฐจมไป 16 ลำ ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์จริงๆแล้ว จะหมายถึงชีวิตของทหาร 20,000 คนเลยเชียว . . . เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพน้ำเงินหรือฝ่ายสหรัฐก็เต้นผาง โวยกับแม่ทัพฝ่ายแดงว่า “ยูฆ่าไอตายตั้งแต่วันแรก แล้วเวลาที่เหลืออีก 13 วันไอจะทำอะไรล่ะ เอางี้ละกันเรามารีสตาร์ทเริ่มเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน“ แล้วก็มีการแก้บทในวอร์เกมใหม่ว่า ให้ฝ่ายแดงเปิดใช้สถานีเรด้าร์ เพื่อที่ฝ่ายสหรัฐจะได้สแกนหาเจอและส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มได้สะดวก ตามด้วยส่งทหารกองพลพลร่มที่ 82 กระโดดร่มลงไปยังที่หมาย ในระหว่างนี้ คนคุมวอร์เกมได้บอกแม่ทัพฝ่ายแดงว่าห้ามยิงเครื่องบินสหรัฐที่บินเข้ามา แม่ทัพฝ่ายแดงหรือนายพลริพเพอร์จึงไม่พอใจอย่างมากที่วอร์เกมนี้ไม่สมจริงและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ต้น เมื่อสคริปท์ได้เปลี่ยนไปเพื่อการันตีว่าฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น นายพลริพเพอร์จึงประท้วงด้วยการขอถอนตัวออกจากวอร์เกมกลางคัน เพราะท่านบอกว่า “เปลืองเงิน” ตามมาด้วยวิวาทะของแม่ทัพทั้งสองฝ่ายในวอร์เกมนี้ ต่างฝ่ายต่างด่ากันคนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ ส่วนเพนตากอนนั้นก็ออกมาแถลงว่า บทเรียนที่ได้จากวอร์เกมนี้จะถูกส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อพัฒนาหลักนิยมในการรบต่อไปในอนาคต . . . ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากจะเล่าว่า ในเวลานี้ก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกับในวอร์เกมดังกล่าวขึ้นจริงๆที่แถวเยเมนครับ อย่างที่เราทราบว่า เยเมนนั้นเป็นที่มั่นของพวกกองโจรฮูติ ซึ่งพวกฮูตินี้ได้ยึดครองชายฝั่งทะเลตรงปากทางเข้าทะเลแดง ทะเลแดงนี้เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของเรือสินค้าจำนวนมหาศาลครับ พวกฮูตินี้เริ่มมีอิทธิพลตรงปากทางเข้าทะเลแดงและยิงจรวดไปจมเรือสินค้าหลายๆลำตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา กองทัพเรือสหรัฐส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปคุ้มครองความปลอดภัยของเรือสินค้า ส่วนทางยุโรปก็ส่งกองทัพเรือผสมหลายๆชาติเข้าไปเช่นกัน แต่ฝ่ายฮูติก็ไม่ได้สนใจใยดี ยังคงยิงจรวดใส่เรือสินค้าเล่นไปอย่างนั้นมาได้ 6 เดือนแล้ว เกิดเหตุร้ายกับเรือสินค้านับได้ 100 กว่าเหตุการณ์ แม้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะพร้อมรบเต็มที่ แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดฉากถล่มฮูติเต็มเหนี่ยว เพราะมันจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ด้วยเหตุว่าอาวุธของฮูตินั้นเป็นอาวุธราคาประหยัดแต่มีประสิทธิภาพ เช่น ขีปนาวุธที่ยิงได้เป็นระยะ 200-300 กิโลเมตรและโดรนติดอาวุธราคาไม่เกินลำละ 2,000 ดอลล่าร์ ทั้งหมดนี้ได้รับสปอนเซอร์จากอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการก๊อปปี้และสร้างอาวุธราคาถูกได้ทีละมากๆ ส่วนอาวุธของฝ่ายสหรัฐนั้นราคาแพง เช่น ขีปนาวุธครูซลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 1-4 ล้านดอลล่าร์ เรือพิฆาตของสหรัฐลำหนึ่ง ราคา 2 พันล้านดอลล่าร์ และค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้มันแล่นเป็นเรือรบอยู่ได้ก็ตกเดือนละ 7 ล้านเหรียญ การรบระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองโจรฮูติ จึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เพราะเผลอๆเรือรบแพงๆอาจโดนขีปนาวุธราคาถูกยิงจมเอาได้ง่ายๆ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ….. นัทแนะ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Smith&Wesson Model 629 .44 Magnum

    โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง

    เมื่อ คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด (Clint Eastwood) ในบทของสารวัตรมือปราบ ฮาร์รี่ คาลาแฮน (Harry Callahan) พูดกับคนร้ายในฉากแรกของภาพยนต์เรื่อง “มือปราบปืนโหด” หรือ Dirty Harry ภาพยนต์ซีรี่ส์บู้แอ๊คชั่นที่ยิงกันสนั่นจอเรื่องที่โด่งดังที่สุดในโลกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

    ด้วยทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มือปราบปืนโหด(ภาคแรก-ปีค.ศ.1971)ทำรายได้สูงถึง 35 ล้านเหรียญ, ภาคที่สอง คือ Magnum Force (ปี 1973), ภาคที่สาม-The Enforcer (ปี 1976), ภาคที่สี่-Sudden Impact (ปี 1983), และภาคสุดท้าย คือ The Dead Pool (ปี 1988)

    ไม่ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะออกมากี่ภาคก็ตาม ผลตอบรับ ก็คือ ปลุกกระแสความนิยมปืน “สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม” จนตลาดปืนทั่วโลกยอดขายถล่มทลาย แม้ว่าบริษัทผลิตปืนสมิธฯกำลังจะขุดหลุมฝัง(เลิกผลิต)ปืนสั้นกระสุนโหดรุ่นนี้อยู่ก่อนหน้านั้นก็ตาม
    ................

    อเมริกัน ได้ชื่อว่าเก่งในเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธปืน เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน นับแต่ครั้งที่ต่อสู้แย่งผืนดินที่ทำกินกับอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ จนกระทั่งถึงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง-สอง และสงครามเวียดนาม

    อานุภาพกระสุนปืน(อำนาจหยุดยั้ง, ประหัตประหาร, และทะลุทะลวง)เป็นข้อสำคัญประการแรกสำหรับงานล่า ป้องกันตัว และจู่โจม ความแม่นยำเป็นอันดับที่สองโดยเฉพาะกรณีที่ระยะยิงตั้งแต่ 75 หลา(หรือ 68.6 เมตร)ขึ้นไป หรือในระยะที่ความหนาของใบศูนย์หน้าใหญ่ทับเป้าหรือตัวคน

    ดังที่ทราบกัน โดยหลักการ การเพิ่มอานุภาพกระสุนปืนมากขึ้นได้ก็ต้องอาศัย หนึ่ง-แรงดันในรังเพลิง(Chamber Pressure) ซึ่งจะให้ประโยชน์โดยปริยายในข้อที่สอง-คือ ความเร็วหัวกระสุน(Velocity), สาม-รูปแบบหัวกระสุน(Bullet type), ส่วนข้อที่สี่ คือ ขนาด-น้ำหนักหัวกระสุน(Bore & Weight) นั้น กลายเป็นเรื่องท้ายสุด หากว่าความเร็วกระสุนเกิน 3,000 ฟุตต่อวินาทีขึ้นไป ก็จะเกิดแรงปะทะคลื่นอากาศหรือ Shock Wave ทำให้บาดแผลแหกฉกรรจ์และกระเด็นล้มคว่ำได้ทันใด

    ยกตัวอย่าง กระสุนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนไรเฟิลล่าสัตว์ขนาด .223 หรือ 5.56x45 ม.ม.นาโต้(NATO) หัวกระสุนเล็กเท่ากับกระสุนลูกกรด คือ .22 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรนมากกว่ากระสุนลูกกรด(40 เกรน)นิดเดียว ความเร็วต้น 3,250 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,325 ฟุต-ปอนด์ ฯลฯ เป็นต้น

    “สี่สี่แม็กนั่ม” หรือในชื่อเป็นทางการว่า .44 Remington Magnum เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นกระสุนปืนสั้นที่อานุภาพเอกอุที่สุดในโลก(The Most Powerful Handgun in the World)

    ประดิษฐ์คิดค้นโดย เอลเม่อร์ คีธ (Elmer Keith) นักเขียนเรื่องปืนและนักผจญภัยกลางแจ้ง(Outdoor Adventurer)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับบริษัทผลิตปืน สมิธแอนด์เวสสัน(Smith&Wesson)และบริษัทปืนและกระสุนยี่ห้อเรมิงตัน(Remington) ผลิตจำหน่ายในปีค.ศ.1955 (ปีพ.ศ.2498) จนปัจจุบัน

    เอลเม่อร์ คีธ นำกระสุนขนาด “สี่สี่-สเปเชี่ยล” หรือ .44 S&W Special (ผลิตในปีค.ศ.1907 แรงดันรังเพลิง 15,500 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.16 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 246 เกรน ความเร็วต้น 755 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 310 ฟุต-ปอนด์) มาทดลองพัฒนาเพิ่มแรงดันในรังเพลิง ซึ่งก็หมายถึงกระสุนความเร็วสูงโดยปริยาย เพื่อให้เป็น “สี่สี่-แม็กนั่ม”

    โดยไม่คิดนำกระสุนหน้าตัดใหญ่ที่โด่งดังในยุคโคบาลตะวันตก(Wild Western) คือ “สี่ห้า-โค้ลท์” หรือ .45 Colt (ผลิตในปีค.ศ.1872 แรงดันรังเพลิง 14,000 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.285 นิ้วฟุต หัวกระสุนหนัก 250 เกรน ความเร็วต้น 929 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 479 ฟุต-ปอนด์ และแบบ Buffalo Bore หัวกระสุนหนัก 325 เกรน ความเร็วต้น 1,325 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,267 ฟุต-ปอนด์) มาพัฒนา

    หลักการง่ายๆ ก็คือ กระสุนหน้าตัดใหญ่(Big Bore), หัวกระสุนหนักอึ้ง(Heavy Bullet), และ กระสุนความเร็วสูง(Higher Velocity) เปรียบง่ายๆว่า ซุงหนึ่งต้นหนัก 500 กิโลกรัมวางไว้เฉยๆข้างถนน รถยนต์ที่พุ่งชนต้นซุงต้นนี้ย่อมเสียหายน้อยกว่าการที่ถูกต้นซุงพุ่งมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.ชนเข้ากับรถยนต์ที่จอดอยู่เฉยๆ (อ่านและคิดทบทวนอีกครั้งนะครับ)

    วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์คิดค้น ก็เพื่อล่าสัตว์เท้ากีบขนาดเขื่อง เช่น กวางเอ้ลค์(Elk) สูงถึงหัวไหล่ 1.50 เมตร หนักประมาณ 250-450 กิโลกรัม จนกระทั่งถึงควายป่าที่เรียกว่า Cape Buffalo ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่น้ำหนักไม่มากเท่ากระทิงในบ้านเรา โดยการยิงจากปืนสั้นลูกโม่ลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต

    จึงเป็นจุดกำเนิดปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น Smith&Wesson Model 29
    สมิธแอนด์เวสสัน “สี่สี่-แม็กนั่ม”

    56 ปีมาแล้วที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น(Double-Action Revolver) กระสุนสี่สี่แม็กนั่มผลิตจำหน่าย อันที่จริงก็ด้วยวัตถุประสงค์ของการล่าสัตว์ด้วยปืนสั้น ซึ่งเป็นความคลาสสิคและใช้ศิลปะการล่ามากกว่าปืนยาว ยิ่งปืนสั้นลูกโม่แม้จะลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต หากได้ติดศูนย์กล้องเล็งขยาย 4-8 เท่า ก็ยิ่งทวีความยากลำบากในการเล็งยิงมากขึ้น

    แม้ปืนโมเดลนี้(ซึ่งรวมทั้งกระสุนด้วย)จะขายดิบดีในช่วงต้นๆของการเปิดจำหน่ายก็ตาม แต่แล้วยอดขายก็ตกฮวบตามวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับรถ 4x4 Off-Road เพราะมนุษย์หันมาอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติ ออกกำลังกายในร่มมากกว่ากีฬากลางแจ้งเช่นก่อน

    จนกระทั่ง ในปีค.ศ.1971 ที่ภาพยนต์บู้แอ๊คชั่นเรื่อง “มือปราบปืนโหด” ออกฉาย ทำให้ปืนและกระสุนสี่สี่แม๊กนั่มกลับขายดีถล่มทลาย เพราะผู้ชายส่วนมากอย่างเก่งกล้าหรือมีอาวุธที่อานุภาพเอกอุเหมือนพระเอก คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด นั้น จะเป็นกลยุทธ์การตลาดเช่นเดียวกับที่ภาพยนต์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ปลุกกระแสความนิยมรถสปอร์ตอังกฤษยี่ห้อ แอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ

    สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29
    -ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นบรรจุกระสุน 6 นัด โครงปืนใหญ่(S&W N-Frame)
    -ลูกโม่หมุนทวนเข็มนาฬิกา(Anti-Clockwise)
    -กระสุนปืนสั้นลูกโม่ชนวนกลาง(Revolver/Center-Fire Cartridge)ขนาด .44 Remington Magnum
    -ตัวปืนเสนอตลาดด้วย 7 ขนาดความยาวลำกล้อง ได้แก่ 3, 4, 5, 6, 6 ½ , 8 3/8 และหลังสุด 10 5/8 นิ้วฟุต
    -เฉพาะลำกล้อง 5 นิ้วฟุตเท่านั้นที่ฟักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนยาวเต็มความยาวลำกล้องหรือ Full Barrel Length Underlug

    โมเดล 29 เสนออยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบรมดำผิวหนา(Highly Polished Blued Finish) กับแบบนิเกิ้ลโครเมี่ยม(Nickle-Plated Surface)

    ในปีค.ศ.1960 โมเดล 29-1 ผลิตสู่ตลาดภายใต้การปรับปรุงด้านเทคนิคเล็กน้อย อาทิ สกรูยึดก้านกระทุ้งปลอกกระสุน(Ejector Rod Screw) ให้หลังหนึ่งปี โมเดล 29-2 ก็ปรากฏสู่ตลาดโดยเพิ่มสกรูตัวขันยึดความแน่นหนาให้กับสปริงสลักล็อคลูกโม่(Cylinder Stop Spring) ในปีค.ศ. 1979 หั่นลำกล้องจาก 6 ½ เหลือแค่ 6 นิ้วฟุต

    ทั้งโมเดล 29-1 และ 29-2 เพิ่มเทคนิคพิเศษอีกนิดนึง คือ ตัวลำกล้องขันเกลียวยึดแน่นกับโครงปืนพร้อมหมุดตอกย้ำ ส่วนตัวลูกโม่เซาะร่องฝังจานคัดปลอกกระสุนให้เรียบหน้าโม่ เรียกเทคนิคนี้ว่า Pinned & Recessed Model

    ปีค.ศ.1967-1971 บริษัทสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์สหรัฐอเมริกา ชื่อ AAI Corporation (Aircraft Armaments, Inc.) สั่งผลิตปืนสมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 จำนวนหนึ่ง

    ลำกล้องสั้นแค่ 1.375 นิ้วฟุต ใช้ยิงกับกระสุน .40 หรือว่า 10 มอมอ และกระสุนลูกซองขนาด .410 เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า QAPR (Quiet Special Purpose Revolver) เพื่อให้ทหารอเมริกันบุกเข้าจู่โจมและตรวจค้น “ถ้ำรูหนู” หรือ Tunnel Rats ที่ทหารเวียดนามอาศัยเป็นช่องทางหลบหนีหลบซ่อน

    ในปีค.ศ. 1982 โมเดล 29-3 ยกเลิกเทคนิคพิเศษดังกล่าวเพิ่มลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต โดยหันมาใช้เทคนิค Crush-Fit Barrel หรือคล้ายๆกับ โคนลำกล้องตีปลอกฟิตแน่นกับโครงปืน ซึ่งได้ผลเท่าเทียมกันแต่ประหยัดต้นทุนและเวลาผลิตมากกว่า

    ในปีค.ศ.1988 (โมเดล 29-4) และปี 1990 (โมเดล 29-5) เสริมแรงให้กับชิ้นส่วนและโครงสร้างตัวปืนเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น โดยเฉพาะทนแรงดันรังเพลิงและแรงสะบัดสะท้อนจากกระสุนแรงสูงสมัยใหม่ ปีค.ศ.1994 โมเดล 29-6 ผลิตจำหน่ายพร้อมกับด้ามยาง Monogrip กระชับมือยี่ห้อ ฮ้อว์ก(Hogue) สันบนโครงปืนมีรูไว้สำหรับขันสกรูติดตั้งศูนย์กล้องล่าสัตว์

    ในปีค.ศ.1998 โมเดล 29-7 ออกตลาดภายใต้การปรับปรุงชิ้นส่วนลั่นไก เช่น เข็มแทงชนวน, นกปืน, ไกปืน, ฯลฯ ล้วนผลิตจากกรรมวิธีฉีดโลหะขึ้นรูป(Metal Injection Molding Process) เพื่อป้องกันปัญหาแตกหักขณะใช้งานหนัก

    สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ถูกยกเลิกการผลิตไปอย่างถาวรในปีค.ศ.1999 ด้วยเหตุผลของอายุสินค้า(Model Life)ในเชิงการตลาด ปัจจุบัน ทั้งตลาดนอกและตลาดไทย นักเล่นปืนต่างมองหาสี่สี่แม็กนั่มรุ่นนี้ไว้สะสม เพราะตัวปืนมีความสวยงามมากกว่าปืนรุ่นใหม่ของสมิธฯ

    โดยเฉพาะ โมเดล 29 ในรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Model 29) ที่ผลิตขึ้นจำกัดจำนวนเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2006 ลักษณะพิเศษ ได้แก่ ลูกโม่กลมกลึงไม่มีร่อง(Non-Fluted Cylinder), สลักลายทองด้วยแสงเลเซอร์บนตัวปืน, ระบบสลักนิรภัยภายใน(Interlock Mechanism), ฯลฯ

    วันที่ 1 มกราคมปี 2007 โมเดล 29 คลาสสิคไลน์ รุ่นพิเศษแกะลายสวยหรู(Engraved Model)

    สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629”
    ในยุคที่โลหะวิทยาหันมาสนใจเหล็กสแตนเลส(Stainless Steel)กันอย่างบ้าคลั่ง

    ด้วยคุณสมบัติบางประการที่ให้ประโยชน์ใช้งานเหนือกว่าเหล็ก(Steel) เช่น ไม่เป็นสนิมเหล็ก, ทนสภาวะกัดกร่อนได้สูง(Anti-Corrosion), เนื้อโลหะเหนียวแน่น(High-Density)จากการหล่อขึ้นรูปได้มากกว่า, เนื้อผิวสวยงามดูน่าใช้น่าจับต้องมากกว่า, ฯลฯ
    สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” จึงกำเนิดขึ้นมาด้วยเหล็กสแตนเลสแทนโมเดล 29 ที่เป็นเหล็ก ด้วยประการเช่นนี้

    โมเดล 629 สี่สี่แม็กนั่ม เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1978 ในขนาดลำกล้องยาว 6 นิ้วฟุต ส่วนลำกล้อง 4 และ 8 3/8 นิ้วฟุตออกสู่ตลาดในปีค.ศ.1980

    ในปีค.ศ.1982 โมเดล 629-1 ใช้เทคนิคพิเศษ Crush-Fit Barrel ตามอย่างโมเดล 29-3 ในปีค.ศ.1988 โมเดล 629-1 เพิ่มรุ่นพิเศษลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต ส้นด้ามมน(Round Butt) ชิ้นส่วนกลไกภายในเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโมเดล 29-4 กรณีที่ตัวปืนปั๊ม 629-2E นั่นหมายถึงว่า บานพับหน้าลูกโม่หรือ Cylinder Crane ปรับให้ผิวเนื้อมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

    ปีค.ศ.1990 โมเดล 629-3 มาในรูปแบบของด้ามยางฮ้อว์ก(Hogue), สันบนโครงปืนมีสกรูพร้อมติดตั้งศูนย์กล้องเล็ง, เปลี่ยนก้านกระทุ้งปลอกกระสุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดล 629-4 ที่เปิดตัวภายหลังในคุณสมบัติของปืนสั้นแข่งขันยิงเป้ามากขึ้น อาทิ นกปืน-ไกปืนใหญ่แบบปืนสั้นแข่งขันยิงเป้า, ศูนย์หน้ากระโดงปลาแถบแดง(Red Ramp Front Sight), ใบศูนย์หลังเส้นขาว(White Outline Rear Sight), ฯลฯ เป็นต้น

    ในปีเดียวกันนี้(1990) โมเดล 629 คลาสสิค(Classic) เสนอตลาดด้วยรูปแบบของ “ฝักเต็ม” หรือ Full Barrel Underlug หมายถึง มีแท่งตันถ่วงน้ำหนักต่อจากฝักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนใต้ลำกล้องยาวจรดปากกระบอกปืน

    ภายใต้รหัส 629-4s ลำกล้องยาว 5, 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต ปีค.ศ.1991 โมเดล 629 คลาสสิค ดีเอ๊กซ์ (629 Classic DX) ออกสู่ตลาดพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษเหนือใคร คือ เปลี่ยนใบศูนย์หน้าได้ 5 แบบ

    ปีค.ศ.1988 โมเดล 629-5 เปลี่ยนนกและไกปืน MIM และใช้เข็มแทงชนวนแบบฝังลอยในโครงปืน แทนเข็มแทงชนวนแบบนกสับเช่นก่อน

    โมเดล 629 คลาสสิค มิได้เป็นแค่สินค้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีมากกว่าโมเดล 29 และโมเดล 629 เท่านั้น

    ในเชิงการตลาดถือว่าเป็นการ “ยกระดับ” สินค้า(Product Repositioning)ให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง ราคาแพงขึ้นตามคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับชื่อยี่ห้อและตัวสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อตลาดระดับไฮเอ็น(High-end) คือ เศรษฐีและนักสะสมปืน

    ดังนี้ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 คลาสสิค ยุคหลังๆจึงมีสินค้ารุ่นพิเศษสู่ตลาด อาทิ แม๊กน่าคลาสสิค(MagnaClassic), วี-ค้อมพ์(V-Comp), สเต็ลท์ฮันเตอร์(Stealth Hunter), ฯลฯ เป็นต้น รวมทั้งความยาวลำกล้อง 7 ½ นิ้วฟุตที่มาคั่นกลางเป็นทางเลือกใหม่ ระหว่างลำกล้อง 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต อีกด้วย

    บทวิพากย์….
    ในแง่มุมของนักสะสมปืน(Gun Collectors) ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ไม่สามารถลงพิมพ์ในจำนวนหน้ากระดาษจำกัดนี้ได้หมด เช่น รุ่นลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต, เมาเท่นกันส์(Mountain Gun), และอื่นๆ

    แต่ในมุมของผู้ใช้ปืนทั่วไปก็พอที่จะใช้เนื้อที่หน้ากระดาษที่เหลือนั่งจับเข่าคุยกันได้ดังนี้ครับ

    คำถาม: “ใครบ้างที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม? และทำไมต้องเป็นสมิธแอนด์เวสสัน?”

    ตอบ: แม้กระสุนสี่สี่แม็กนั่มจะออกแบบมาแต่อ้อนออกให้ใช้กับปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น เพื่อกีฬาล่าสัตว์และป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายในงานสำรวจท่องเที่ยวป่า

    แต่กลุ่มผู้ซื้อปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้ส่วนมากกลับเป็นนักสะสมปืน นักเลงปืน และตำรวจทหารตามชายแดนหรือในท้องที่ทุรกันดาร ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมืองไทย

    ด้วยราคาตัวปืนและกระสุนที่แพงกว่าปืนอื่นในตลาด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม ก็คือ คนที่มีใจรักปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้จริงๆ

    ขณะที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม คลอดสู่ตลาดเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ก็มีบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ รูเก้อร์ (Ruger) สหรัฐอเมริกา ผลิตปืนสั้นที่ใช้กระสุนขนาดเดียวกันนี้ออกแข่งตลาด แต่เป็นปืนสั้นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น(Single Action Revolver)

    นัยว่า เป็นเพราะพนักงานของบริษัทผลิตกระสุนเรมิงตันนำปลอกกระสุนขนาดใหม่ล่านี้ไปให้รูเก้อร์

    ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีปืนสั้นหลายยี่ห้อที่แข่งค้ากับปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มของสมิธฯ เช่น โค้ลท์ อะนาคอนด้า(Colt Anaconda), รูเก้อร์ ซูเปอร์ เรดฮอว์ก(Ruger Super Redhawk)ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น, รูเก้อร์ ซูเปอร์ แบล็คฮอว์ก(Ruger Super Blackhawk)ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น, ฯลฯ

    ยังไม่นับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Automatic Pistol)ชื่อดังที่ใช้กระสุนสี่สี่แม๊กนั่มของปืนสั้นลูกโม่ เช่น เดสเสิร์ต อีเกิ้ล (IMI Desert Eagle), และอื่นๆ เป็นต้น

    แต่ที่เมืองนอกเมืองไทยพูดกันมากที่สุด ก็คือ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29, 629 และ 629 คลาสสิค ประณีตแม่นยำที่สุดในกระบวนปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มด้วยกัน

    ถาม: “ปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มใช้กระสุนอื่นยิงแทนได้ไหมในเมื่อไม่มีลูกซ้อมยิง?”

    ตอบ: ได้ คือ .44 สเปเชี่ยล(.44 S&W Special) ที่ปลอกหรือนัดกระสุนสั้นกว่าสี่สี่แม็กนั่มนิดเดียว (0.125 นิ้วฟุต)

    ทำนองเดียวกับที่เราใช้กระสุนสามแปดสเปฯ (.38 Special) ยิงซ้อมมือกับปืนสั้นลูกโม่สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum) เพราะขนาดหน้าตัดหัวกระสุนและความโตของปลอกกระสุนใกล้เคียงกันมาก แต่หลักการนี้ใช้ได้เฉพาะปืนสั้นลูกโม่เท่านั้น ปืนพกกึ่งอัตโนมัติหรือปืนสั้นออโตเมติคจะมีปัญหา

    ถาม: “สมมุติว่าขอใบอนุญาตและซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มมาได้แล้วจะไปยิงซ้อมที่สนามยิงปืนที่ไหน?”

    ตอบ: เดี๋ยวนี้ยากมากครับ สนามยิงปืนของราชการและเอกชนทั่วไปในบ้านเราไม่ค่อยอนุญาตให้ยิงปืนกระสุนสี่สี่แม็กนั่ม ซึ่งรวมทั้งปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ด้วย

    ปืนกระสุนดุที่อนุญาตให้ยิงซ้อมกันในสนาม อย่างมากก็แค่สิบเอ็ดมอมอ(.45 ACP), ลูกซองกระสุนลูกปราย, สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum)เป็นบางสนาม จริงๆจังๆก็คงเป็นสนามยิงปืนของทหารที่ Backstop (กำแพงหยุดกระสุนหลังเป้า) เตรียมไว้สำหรับเอ็ม 16 ก็พอจะพูดคุยขอกันได้บ้าง

    ถาม: “สี่สี่แม็กนั่มกระสุนนอกราคานัดละเท่าไร? กระสุนไทยมีผลิตไหม?”

    ตอบ: กระสุนสี่สี่แม็กนั่มที่พอจะหาซื้อได้ในตลาดปืนบ้านเรามีค่อนข้างน้อยมาก ถ้ามีก็ตกนัดละเกือบๆร้อยบาทหรือกว่านี้ เท่าที่ทราบ สี่สี่แม็กนั่มไม่มีผลิตขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะขาดวัสดุและดินปืนที่ต้องขออนุญาตกลาโหมเพื่อนำเข้า ยอดจำหน่ายมีแค่นิดเดียว จึงไม่คุ้มที่จะผลิตในประเทศไทย

    ถาม: “ที่ว่า ปืนสมิธฯสี่สี่แม็กนั่มแม่นยำกว่าปืนอื่นนั้นเป็นอย่างไร?”

    ตอบ: จากบทความต่างประเทศ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 แม็กน่าคลาสสิค ลำกล้องยาว 8 3/8 นิ้วฟุต ยิงด้วยกระสุน Garrett Cartridges หัวกระสุนหนัก 320 เกรน ความเร็วต้น 1,315 ฟุต/วินาที จากระยะยิง 25 หลา(ประมาณ 23 เมตร)จำนวน 6 นัดทำกลุ่มกระสุนได้ 1 นิ้วฟุต

    กระสุน Carbon Hunter หัวกระสุนหนัก 260 เกรน หัวรู(Hollow Point) ความเร็วต้น 1,450 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,214 ฟุต-ปอนด์ ระยะยิง 25 หลา จำนวน 6 นัดทำกลุ่มได้ 1x2 นิ้วฟุต

    ทั้งนี้ยังไม่มีการยิงพิสูจน์ความแม่นยำเทียบระหว่าง Smith&Wesson, Colt Anaconda, Ruger Super Redhawk ทั้งเมืองนอกและในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

    ถาม: “ถ้าจะซื้อปืนสั้นลูกโม่สี่สี่แม็กนั่มสักกระบอกในชีวิตจะเลือกอะไรดี?”

    ตอบ: ถ้าเลือกความประณีตแม่นยำ(Precision/Accuracy)ก็ต้องสมิธแอนด์เวสสัน ถ้าชอบความแข็งแรงบึกบึนทนทาน(Strong, Durability & Reliability)ก็ต้องฟันธงว่ารูเก้อร์ ส่วนอะนาคอนด้า(Anaconda)เป็นอะไรๆ ที่ต้องเป็นยี่ห้อโค้ลท์ไว้ก่อน

    ถาม: “ปืนสั้นลูกโม่เล่นกระสุนสี่สี่แม็กนั่มแบบไหนดี?”

    ตอบ: นักเลงสี่สี่แม็กนั่มตัวจริงจะเล่นกระสุน “หัวตัน-หัวหนัก” ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Jacketed Soft Point, Semi-Wadcutter, Flat/Leaded Nose, รวมทั้งกระสุนพิเศษซาบ้อต(Sabot)

    จากประสบการณ์ส่วนตัว สี่สี่แม็กนั่มหัวรู น้ำหนัก 240 เกรน แม้จะมีความเร็วสูงถึงขั้น 1,400 ฟุต/วินาที จะมีปัญหา “เหินลม” ทำให้วิถีกระสุน(Trajectory)ไม่ราบเรียบไม่แม่นยำเท่าควร

    ขณะที่กระสุนหัวตัน น้ำหนักหัวกระสุนมากๆ (หรือบางทีก็น้ำหนัก 240 เกรนเท่ากัน) แต่ปลอกกระสุนมีเข็มขัดรัดหรือรอยย้ำ 2 แถว แม้ความเร็วน้อยกว่าแต่ให้ความแม่นยำหนักแน่นสูงกว่ามาก เรียกว่าได้ใจทุกนัดไป ข้อเสีย คือ ยิงสะบัดกัดมือมากกว่ากระสุนรุ่นใหม่ๆ ประมาณ +15%-20%

    ถาม: “ปืนสี่สี่แม็กนั่มต้องระวังอะไรบ้าง? ติดศูนย์กล้องดีไหม?”

    ตอบ: ข้อหนึ่ง-ถ้าเป็นเหล็กสแตนเลส เช่น โมเดล 629 และ 629 คลาสสิค ควรใส่กล่องเก็บหรือไม่ก็ตัดซองหนังใส่ปืนเก็บรักษา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว ที่เกิดขึ้นเพราะผิวเหล็กสแตนเลสเนื้ออ่อนกว่าเหล็ก

    ข้อสอง-ไม่ควรใช้ยาขัดโลหะชนิดที่มีสารชะล้าง(Solven)ขัดถูกตัวปืน เพราะจะทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักด้วยเลเซอร์เคลือบสีทองไว้ลางเลือนจางหาย

    ข้อสาม-หมั่นตรวจขันหมุดสกรูที่ตัวปืนทั้งก่อนและหลังการยิง เนื่องจากแรงสะบัดสะท้อนรุนแรงทำให้หมุดสกรูคลายตัวและอาจหลุดกระเด็นหาย

    ข้อสี่-ถึงจะหาซื้อกระสุนได้มากก็ไม่ควรยิงเล่นบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตัวปืนทรุดโทรมเร็วกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย

    ข้อห้า-อย่านำมายิงแห้งหรือเหนี่ยวไกเล่น(โดยไม่บรรจุกระสุนในตัวปืน)บ่อยๆ กลไกปืนอาจชำรุดเสียหาย โดยเฉพาะเข็มแทงชนวนอาจหักโดยไม่รู้ตัว

    ข้อหก-ติดศูนย์กล้องเล็งได้ในกำลังขยายภาพไม่เกิน 4 เท่า สูงกว่านั้นจะเล็งยิงได้ลำบาก มือสั่นสายตาพร่ามัวเพราะไม่กล้าลั่นกระสุน(เพราะภาพมันฟ้องว่าศูนย์ปืนไม่เข้าเป้าเนื่องจากมือผู้ยิงสั่นไปมา) แต่สุดท้ายก็ต้องถอดศูนย์กล้องเล็งออกเพราะรู้สึกเกะกะหนักตัวปืนเปล่าๆ

    สรุปท้ายเรื่อง...

    สมิธแอนด์เวสสัน สี่สี่แม็กนั่ม เป็นทรัพย์สมบัติที่คู่ควรต่อผู้มีบารมีและนักสะสมปืนมากกว่าการมีใช้เพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตทรัพย์สิน ไม่ใช่ปืนสั้นประจำกายอย่างแน่นอน แต่จะเหมาะที่สุดในกรณีท่องไพรสำรวจป่าที่พกไว้ข้างเอวหรือข้างสีข้างลำตัวเพื่อป้องกันสัตว์เขี้ยวยาวดุร้ายต่างๆ

    แม้ปัจจุบัน ตลาดปืนโลกจะมี “ปืนโหดกระสุนดุ” รุ่นใหม่ๆที่มีอานุภาพสูงกว่าสี่สี่แม็กนั่ม ไม่ว่าจะเป็น .454 Casull, .460 S&W Magnum, .500 S&W Magnum, และอื่นๆ แต่

    “สี่สี่แม็กนั่มยังจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักเล่นปืนตลอดไป”
    ขอบคุณครับ...

    Smith&Wesson Model 629 .44 Magnum โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง เมื่อ คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด (Clint Eastwood) ในบทของสารวัตรมือปราบ ฮาร์รี่ คาลาแฮน (Harry Callahan) พูดกับคนร้ายในฉากแรกของภาพยนต์เรื่อง “มือปราบปืนโหด” หรือ Dirty Harry ภาพยนต์ซีรี่ส์บู้แอ๊คชั่นที่ยิงกันสนั่นจอเรื่องที่โด่งดังที่สุดในโลกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ด้วยทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มือปราบปืนโหด(ภาคแรก-ปีค.ศ.1971)ทำรายได้สูงถึง 35 ล้านเหรียญ, ภาคที่สอง คือ Magnum Force (ปี 1973), ภาคที่สาม-The Enforcer (ปี 1976), ภาคที่สี่-Sudden Impact (ปี 1983), และภาคสุดท้าย คือ The Dead Pool (ปี 1988) ไม่ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะออกมากี่ภาคก็ตาม ผลตอบรับ ก็คือ ปลุกกระแสความนิยมปืน “สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม” จนตลาดปืนทั่วโลกยอดขายถล่มทลาย แม้ว่าบริษัทผลิตปืนสมิธฯกำลังจะขุดหลุมฝัง(เลิกผลิต)ปืนสั้นกระสุนโหดรุ่นนี้อยู่ก่อนหน้านั้นก็ตาม ................ อเมริกัน ได้ชื่อว่าเก่งในเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธปืน เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน นับแต่ครั้งที่ต่อสู้แย่งผืนดินที่ทำกินกับอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ จนกระทั่งถึงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง-สอง และสงครามเวียดนาม อานุภาพกระสุนปืน(อำนาจหยุดยั้ง, ประหัตประหาร, และทะลุทะลวง)เป็นข้อสำคัญประการแรกสำหรับงานล่า ป้องกันตัว และจู่โจม ความแม่นยำเป็นอันดับที่สองโดยเฉพาะกรณีที่ระยะยิงตั้งแต่ 75 หลา(หรือ 68.6 เมตร)ขึ้นไป หรือในระยะที่ความหนาของใบศูนย์หน้าใหญ่ทับเป้าหรือตัวคน ดังที่ทราบกัน โดยหลักการ การเพิ่มอานุภาพกระสุนปืนมากขึ้นได้ก็ต้องอาศัย หนึ่ง-แรงดันในรังเพลิง(Chamber Pressure) ซึ่งจะให้ประโยชน์โดยปริยายในข้อที่สอง-คือ ความเร็วหัวกระสุน(Velocity), สาม-รูปแบบหัวกระสุน(Bullet type), ส่วนข้อที่สี่ คือ ขนาด-น้ำหนักหัวกระสุน(Bore & Weight) นั้น กลายเป็นเรื่องท้ายสุด หากว่าความเร็วกระสุนเกิน 3,000 ฟุตต่อวินาทีขึ้นไป ก็จะเกิดแรงปะทะคลื่นอากาศหรือ Shock Wave ทำให้บาดแผลแหกฉกรรจ์และกระเด็นล้มคว่ำได้ทันใด ยกตัวอย่าง กระสุนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนไรเฟิลล่าสัตว์ขนาด .223 หรือ 5.56x45 ม.ม.นาโต้(NATO) หัวกระสุนเล็กเท่ากับกระสุนลูกกรด คือ .22 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรนมากกว่ากระสุนลูกกรด(40 เกรน)นิดเดียว ความเร็วต้น 3,250 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,325 ฟุต-ปอนด์ ฯลฯ เป็นต้น “สี่สี่แม็กนั่ม” หรือในชื่อเป็นทางการว่า .44 Remington Magnum เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นกระสุนปืนสั้นที่อานุภาพเอกอุที่สุดในโลก(The Most Powerful Handgun in the World) ประดิษฐ์คิดค้นโดย เอลเม่อร์ คีธ (Elmer Keith) นักเขียนเรื่องปืนและนักผจญภัยกลางแจ้ง(Outdoor Adventurer)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับบริษัทผลิตปืน สมิธแอนด์เวสสัน(Smith&Wesson)และบริษัทปืนและกระสุนยี่ห้อเรมิงตัน(Remington) ผลิตจำหน่ายในปีค.ศ.1955 (ปีพ.ศ.2498) จนปัจจุบัน เอลเม่อร์ คีธ นำกระสุนขนาด “สี่สี่-สเปเชี่ยล” หรือ .44 S&W Special (ผลิตในปีค.ศ.1907 แรงดันรังเพลิง 15,500 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.16 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 246 เกรน ความเร็วต้น 755 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 310 ฟุต-ปอนด์) มาทดลองพัฒนาเพิ่มแรงดันในรังเพลิง ซึ่งก็หมายถึงกระสุนความเร็วสูงโดยปริยาย เพื่อให้เป็น “สี่สี่-แม็กนั่ม” โดยไม่คิดนำกระสุนหน้าตัดใหญ่ที่โด่งดังในยุคโคบาลตะวันตก(Wild Western) คือ “สี่ห้า-โค้ลท์” หรือ .45 Colt (ผลิตในปีค.ศ.1872 แรงดันรังเพลิง 14,000 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.285 นิ้วฟุต หัวกระสุนหนัก 250 เกรน ความเร็วต้น 929 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 479 ฟุต-ปอนด์ และแบบ Buffalo Bore หัวกระสุนหนัก 325 เกรน ความเร็วต้น 1,325 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,267 ฟุต-ปอนด์) มาพัฒนา หลักการง่ายๆ ก็คือ กระสุนหน้าตัดใหญ่(Big Bore), หัวกระสุนหนักอึ้ง(Heavy Bullet), และ กระสุนความเร็วสูง(Higher Velocity) เปรียบง่ายๆว่า ซุงหนึ่งต้นหนัก 500 กิโลกรัมวางไว้เฉยๆข้างถนน รถยนต์ที่พุ่งชนต้นซุงต้นนี้ย่อมเสียหายน้อยกว่าการที่ถูกต้นซุงพุ่งมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.ชนเข้ากับรถยนต์ที่จอดอยู่เฉยๆ (อ่านและคิดทบทวนอีกครั้งนะครับ) วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์คิดค้น ก็เพื่อล่าสัตว์เท้ากีบขนาดเขื่อง เช่น กวางเอ้ลค์(Elk) สูงถึงหัวไหล่ 1.50 เมตร หนักประมาณ 250-450 กิโลกรัม จนกระทั่งถึงควายป่าที่เรียกว่า Cape Buffalo ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่น้ำหนักไม่มากเท่ากระทิงในบ้านเรา โดยการยิงจากปืนสั้นลูกโม่ลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต จึงเป็นจุดกำเนิดปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น Smith&Wesson Model 29 สมิธแอนด์เวสสัน “สี่สี่-แม็กนั่ม” 56 ปีมาแล้วที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น(Double-Action Revolver) กระสุนสี่สี่แม็กนั่มผลิตจำหน่าย อันที่จริงก็ด้วยวัตถุประสงค์ของการล่าสัตว์ด้วยปืนสั้น ซึ่งเป็นความคลาสสิคและใช้ศิลปะการล่ามากกว่าปืนยาว ยิ่งปืนสั้นลูกโม่แม้จะลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต หากได้ติดศูนย์กล้องเล็งขยาย 4-8 เท่า ก็ยิ่งทวีความยากลำบากในการเล็งยิงมากขึ้น แม้ปืนโมเดลนี้(ซึ่งรวมทั้งกระสุนด้วย)จะขายดิบดีในช่วงต้นๆของการเปิดจำหน่ายก็ตาม แต่แล้วยอดขายก็ตกฮวบตามวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับรถ 4x4 Off-Road เพราะมนุษย์หันมาอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติ ออกกำลังกายในร่มมากกว่ากีฬากลางแจ้งเช่นก่อน จนกระทั่ง ในปีค.ศ.1971 ที่ภาพยนต์บู้แอ๊คชั่นเรื่อง “มือปราบปืนโหด” ออกฉาย ทำให้ปืนและกระสุนสี่สี่แม๊กนั่มกลับขายดีถล่มทลาย เพราะผู้ชายส่วนมากอย่างเก่งกล้าหรือมีอาวุธที่อานุภาพเอกอุเหมือนพระเอก คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด นั้น จะเป็นกลยุทธ์การตลาดเช่นเดียวกับที่ภาพยนต์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ปลุกกระแสความนิยมรถสปอร์ตอังกฤษยี่ห้อ แอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 -ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นบรรจุกระสุน 6 นัด โครงปืนใหญ่(S&W N-Frame) -ลูกโม่หมุนทวนเข็มนาฬิกา(Anti-Clockwise) -กระสุนปืนสั้นลูกโม่ชนวนกลาง(Revolver/Center-Fire Cartridge)ขนาด .44 Remington Magnum -ตัวปืนเสนอตลาดด้วย 7 ขนาดความยาวลำกล้อง ได้แก่ 3, 4, 5, 6, 6 ½ , 8 3/8 และหลังสุด 10 5/8 นิ้วฟุต -เฉพาะลำกล้อง 5 นิ้วฟุตเท่านั้นที่ฟักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนยาวเต็มความยาวลำกล้องหรือ Full Barrel Length Underlug โมเดล 29 เสนออยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบรมดำผิวหนา(Highly Polished Blued Finish) กับแบบนิเกิ้ลโครเมี่ยม(Nickle-Plated Surface) ในปีค.ศ.1960 โมเดล 29-1 ผลิตสู่ตลาดภายใต้การปรับปรุงด้านเทคนิคเล็กน้อย อาทิ สกรูยึดก้านกระทุ้งปลอกกระสุน(Ejector Rod Screw) ให้หลังหนึ่งปี โมเดล 29-2 ก็ปรากฏสู่ตลาดโดยเพิ่มสกรูตัวขันยึดความแน่นหนาให้กับสปริงสลักล็อคลูกโม่(Cylinder Stop Spring) ในปีค.ศ. 1979 หั่นลำกล้องจาก 6 ½ เหลือแค่ 6 นิ้วฟุต ทั้งโมเดล 29-1 และ 29-2 เพิ่มเทคนิคพิเศษอีกนิดนึง คือ ตัวลำกล้องขันเกลียวยึดแน่นกับโครงปืนพร้อมหมุดตอกย้ำ ส่วนตัวลูกโม่เซาะร่องฝังจานคัดปลอกกระสุนให้เรียบหน้าโม่ เรียกเทคนิคนี้ว่า Pinned & Recessed Model ปีค.ศ.1967-1971 บริษัทสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์สหรัฐอเมริกา ชื่อ AAI Corporation (Aircraft Armaments, Inc.) สั่งผลิตปืนสมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 จำนวนหนึ่ง ลำกล้องสั้นแค่ 1.375 นิ้วฟุต ใช้ยิงกับกระสุน .40 หรือว่า 10 มอมอ และกระสุนลูกซองขนาด .410 เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า QAPR (Quiet Special Purpose Revolver) เพื่อให้ทหารอเมริกันบุกเข้าจู่โจมและตรวจค้น “ถ้ำรูหนู” หรือ Tunnel Rats ที่ทหารเวียดนามอาศัยเป็นช่องทางหลบหนีหลบซ่อน ในปีค.ศ. 1982 โมเดล 29-3 ยกเลิกเทคนิคพิเศษดังกล่าวเพิ่มลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต โดยหันมาใช้เทคนิค Crush-Fit Barrel หรือคล้ายๆกับ โคนลำกล้องตีปลอกฟิตแน่นกับโครงปืน ซึ่งได้ผลเท่าเทียมกันแต่ประหยัดต้นทุนและเวลาผลิตมากกว่า ในปีค.ศ.1988 (โมเดล 29-4) และปี 1990 (โมเดล 29-5) เสริมแรงให้กับชิ้นส่วนและโครงสร้างตัวปืนเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น โดยเฉพาะทนแรงดันรังเพลิงและแรงสะบัดสะท้อนจากกระสุนแรงสูงสมัยใหม่ ปีค.ศ.1994 โมเดล 29-6 ผลิตจำหน่ายพร้อมกับด้ามยาง Monogrip กระชับมือยี่ห้อ ฮ้อว์ก(Hogue) สันบนโครงปืนมีรูไว้สำหรับขันสกรูติดตั้งศูนย์กล้องล่าสัตว์ ในปีค.ศ.1998 โมเดล 29-7 ออกตลาดภายใต้การปรับปรุงชิ้นส่วนลั่นไก เช่น เข็มแทงชนวน, นกปืน, ไกปืน, ฯลฯ ล้วนผลิตจากกรรมวิธีฉีดโลหะขึ้นรูป(Metal Injection Molding Process) เพื่อป้องกันปัญหาแตกหักขณะใช้งานหนัก สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ถูกยกเลิกการผลิตไปอย่างถาวรในปีค.ศ.1999 ด้วยเหตุผลของอายุสินค้า(Model Life)ในเชิงการตลาด ปัจจุบัน ทั้งตลาดนอกและตลาดไทย นักเล่นปืนต่างมองหาสี่สี่แม็กนั่มรุ่นนี้ไว้สะสม เพราะตัวปืนมีความสวยงามมากกว่าปืนรุ่นใหม่ของสมิธฯ โดยเฉพาะ โมเดล 29 ในรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Model 29) ที่ผลิตขึ้นจำกัดจำนวนเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2006 ลักษณะพิเศษ ได้แก่ ลูกโม่กลมกลึงไม่มีร่อง(Non-Fluted Cylinder), สลักลายทองด้วยแสงเลเซอร์บนตัวปืน, ระบบสลักนิรภัยภายใน(Interlock Mechanism), ฯลฯ วันที่ 1 มกราคมปี 2007 โมเดล 29 คลาสสิคไลน์ รุ่นพิเศษแกะลายสวยหรู(Engraved Model) สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” ในยุคที่โลหะวิทยาหันมาสนใจเหล็กสแตนเลส(Stainless Steel)กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยคุณสมบัติบางประการที่ให้ประโยชน์ใช้งานเหนือกว่าเหล็ก(Steel) เช่น ไม่เป็นสนิมเหล็ก, ทนสภาวะกัดกร่อนได้สูง(Anti-Corrosion), เนื้อโลหะเหนียวแน่น(High-Density)จากการหล่อขึ้นรูปได้มากกว่า, เนื้อผิวสวยงามดูน่าใช้น่าจับต้องมากกว่า, ฯลฯ สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” จึงกำเนิดขึ้นมาด้วยเหล็กสแตนเลสแทนโมเดล 29 ที่เป็นเหล็ก ด้วยประการเช่นนี้ โมเดล 629 สี่สี่แม็กนั่ม เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1978 ในขนาดลำกล้องยาว 6 นิ้วฟุต ส่วนลำกล้อง 4 และ 8 3/8 นิ้วฟุตออกสู่ตลาดในปีค.ศ.1980 ในปีค.ศ.1982 โมเดล 629-1 ใช้เทคนิคพิเศษ Crush-Fit Barrel ตามอย่างโมเดล 29-3 ในปีค.ศ.1988 โมเดล 629-1 เพิ่มรุ่นพิเศษลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต ส้นด้ามมน(Round Butt) ชิ้นส่วนกลไกภายในเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโมเดล 29-4 กรณีที่ตัวปืนปั๊ม 629-2E นั่นหมายถึงว่า บานพับหน้าลูกโม่หรือ Cylinder Crane ปรับให้ผิวเนื้อมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ปีค.ศ.1990 โมเดล 629-3 มาในรูปแบบของด้ามยางฮ้อว์ก(Hogue), สันบนโครงปืนมีสกรูพร้อมติดตั้งศูนย์กล้องเล็ง, เปลี่ยนก้านกระทุ้งปลอกกระสุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดล 629-4 ที่เปิดตัวภายหลังในคุณสมบัติของปืนสั้นแข่งขันยิงเป้ามากขึ้น อาทิ นกปืน-ไกปืนใหญ่แบบปืนสั้นแข่งขันยิงเป้า, ศูนย์หน้ากระโดงปลาแถบแดง(Red Ramp Front Sight), ใบศูนย์หลังเส้นขาว(White Outline Rear Sight), ฯลฯ เป็นต้น ในปีเดียวกันนี้(1990) โมเดล 629 คลาสสิค(Classic) เสนอตลาดด้วยรูปแบบของ “ฝักเต็ม” หรือ Full Barrel Underlug หมายถึง มีแท่งตันถ่วงน้ำหนักต่อจากฝักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนใต้ลำกล้องยาวจรดปากกระบอกปืน ภายใต้รหัส 629-4s ลำกล้องยาว 5, 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต ปีค.ศ.1991 โมเดล 629 คลาสสิค ดีเอ๊กซ์ (629 Classic DX) ออกสู่ตลาดพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษเหนือใคร คือ เปลี่ยนใบศูนย์หน้าได้ 5 แบบ ปีค.ศ.1988 โมเดล 629-5 เปลี่ยนนกและไกปืน MIM และใช้เข็มแทงชนวนแบบฝังลอยในโครงปืน แทนเข็มแทงชนวนแบบนกสับเช่นก่อน โมเดล 629 คลาสสิค มิได้เป็นแค่สินค้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีมากกว่าโมเดล 29 และโมเดล 629 เท่านั้น ในเชิงการตลาดถือว่าเป็นการ “ยกระดับ” สินค้า(Product Repositioning)ให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง ราคาแพงขึ้นตามคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับชื่อยี่ห้อและตัวสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อตลาดระดับไฮเอ็น(High-end) คือ เศรษฐีและนักสะสมปืน ดังนี้ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 คลาสสิค ยุคหลังๆจึงมีสินค้ารุ่นพิเศษสู่ตลาด อาทิ แม๊กน่าคลาสสิค(MagnaClassic), วี-ค้อมพ์(V-Comp), สเต็ลท์ฮันเตอร์(Stealth Hunter), ฯลฯ เป็นต้น รวมทั้งความยาวลำกล้อง 7 ½ นิ้วฟุตที่มาคั่นกลางเป็นทางเลือกใหม่ ระหว่างลำกล้อง 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต อีกด้วย บทวิพากย์…. ในแง่มุมของนักสะสมปืน(Gun Collectors) ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ไม่สามารถลงพิมพ์ในจำนวนหน้ากระดาษจำกัดนี้ได้หมด เช่น รุ่นลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต, เมาเท่นกันส์(Mountain Gun), และอื่นๆ แต่ในมุมของผู้ใช้ปืนทั่วไปก็พอที่จะใช้เนื้อที่หน้ากระดาษที่เหลือนั่งจับเข่าคุยกันได้ดังนี้ครับ คำถาม: “ใครบ้างที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม? และทำไมต้องเป็นสมิธแอนด์เวสสัน?” ตอบ: แม้กระสุนสี่สี่แม็กนั่มจะออกแบบมาแต่อ้อนออกให้ใช้กับปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น เพื่อกีฬาล่าสัตว์และป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายในงานสำรวจท่องเที่ยวป่า แต่กลุ่มผู้ซื้อปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้ส่วนมากกลับเป็นนักสะสมปืน นักเลงปืน และตำรวจทหารตามชายแดนหรือในท้องที่ทุรกันดาร ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมืองไทย ด้วยราคาตัวปืนและกระสุนที่แพงกว่าปืนอื่นในตลาด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม ก็คือ คนที่มีใจรักปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้จริงๆ ขณะที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม คลอดสู่ตลาดเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ก็มีบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ รูเก้อร์ (Ruger) สหรัฐอเมริกา ผลิตปืนสั้นที่ใช้กระสุนขนาดเดียวกันนี้ออกแข่งตลาด แต่เป็นปืนสั้นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น(Single Action Revolver) นัยว่า เป็นเพราะพนักงานของบริษัทผลิตกระสุนเรมิงตันนำปลอกกระสุนขนาดใหม่ล่านี้ไปให้รูเก้อร์ ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีปืนสั้นหลายยี่ห้อที่แข่งค้ากับปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มของสมิธฯ เช่น โค้ลท์ อะนาคอนด้า(Colt Anaconda), รูเก้อร์ ซูเปอร์ เรดฮอว์ก(Ruger Super Redhawk)ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น, รูเก้อร์ ซูเปอร์ แบล็คฮอว์ก(Ruger Super Blackhawk)ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น, ฯลฯ ยังไม่นับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Automatic Pistol)ชื่อดังที่ใช้กระสุนสี่สี่แม๊กนั่มของปืนสั้นลูกโม่ เช่น เดสเสิร์ต อีเกิ้ล (IMI Desert Eagle), และอื่นๆ เป็นต้น แต่ที่เมืองนอกเมืองไทยพูดกันมากที่สุด ก็คือ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29, 629 และ 629 คลาสสิค ประณีตแม่นยำที่สุดในกระบวนปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มด้วยกัน ถาม: “ปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มใช้กระสุนอื่นยิงแทนได้ไหมในเมื่อไม่มีลูกซ้อมยิง?” ตอบ: ได้ คือ .44 สเปเชี่ยล(.44 S&W Special) ที่ปลอกหรือนัดกระสุนสั้นกว่าสี่สี่แม็กนั่มนิดเดียว (0.125 นิ้วฟุต) ทำนองเดียวกับที่เราใช้กระสุนสามแปดสเปฯ (.38 Special) ยิงซ้อมมือกับปืนสั้นลูกโม่สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum) เพราะขนาดหน้าตัดหัวกระสุนและความโตของปลอกกระสุนใกล้เคียงกันมาก แต่หลักการนี้ใช้ได้เฉพาะปืนสั้นลูกโม่เท่านั้น ปืนพกกึ่งอัตโนมัติหรือปืนสั้นออโตเมติคจะมีปัญหา ถาม: “สมมุติว่าขอใบอนุญาตและซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มมาได้แล้วจะไปยิงซ้อมที่สนามยิงปืนที่ไหน?” ตอบ: เดี๋ยวนี้ยากมากครับ สนามยิงปืนของราชการและเอกชนทั่วไปในบ้านเราไม่ค่อยอนุญาตให้ยิงปืนกระสุนสี่สี่แม็กนั่ม ซึ่งรวมทั้งปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ด้วย ปืนกระสุนดุที่อนุญาตให้ยิงซ้อมกันในสนาม อย่างมากก็แค่สิบเอ็ดมอมอ(.45 ACP), ลูกซองกระสุนลูกปราย, สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum)เป็นบางสนาม จริงๆจังๆก็คงเป็นสนามยิงปืนของทหารที่ Backstop (กำแพงหยุดกระสุนหลังเป้า) เตรียมไว้สำหรับเอ็ม 16 ก็พอจะพูดคุยขอกันได้บ้าง ถาม: “สี่สี่แม็กนั่มกระสุนนอกราคานัดละเท่าไร? กระสุนไทยมีผลิตไหม?” ตอบ: กระสุนสี่สี่แม็กนั่มที่พอจะหาซื้อได้ในตลาดปืนบ้านเรามีค่อนข้างน้อยมาก ถ้ามีก็ตกนัดละเกือบๆร้อยบาทหรือกว่านี้ เท่าที่ทราบ สี่สี่แม็กนั่มไม่มีผลิตขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะขาดวัสดุและดินปืนที่ต้องขออนุญาตกลาโหมเพื่อนำเข้า ยอดจำหน่ายมีแค่นิดเดียว จึงไม่คุ้มที่จะผลิตในประเทศไทย ถาม: “ที่ว่า ปืนสมิธฯสี่สี่แม็กนั่มแม่นยำกว่าปืนอื่นนั้นเป็นอย่างไร?” ตอบ: จากบทความต่างประเทศ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 แม็กน่าคลาสสิค ลำกล้องยาว 8 3/8 นิ้วฟุต ยิงด้วยกระสุน Garrett Cartridges หัวกระสุนหนัก 320 เกรน ความเร็วต้น 1,315 ฟุต/วินาที จากระยะยิง 25 หลา(ประมาณ 23 เมตร)จำนวน 6 นัดทำกลุ่มกระสุนได้ 1 นิ้วฟุต กระสุน Carbon Hunter หัวกระสุนหนัก 260 เกรน หัวรู(Hollow Point) ความเร็วต้น 1,450 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,214 ฟุต-ปอนด์ ระยะยิง 25 หลา จำนวน 6 นัดทำกลุ่มได้ 1x2 นิ้วฟุต ทั้งนี้ยังไม่มีการยิงพิสูจน์ความแม่นยำเทียบระหว่าง Smith&Wesson, Colt Anaconda, Ruger Super Redhawk ทั้งเมืองนอกและในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถาม: “ถ้าจะซื้อปืนสั้นลูกโม่สี่สี่แม็กนั่มสักกระบอกในชีวิตจะเลือกอะไรดี?” ตอบ: ถ้าเลือกความประณีตแม่นยำ(Precision/Accuracy)ก็ต้องสมิธแอนด์เวสสัน ถ้าชอบความแข็งแรงบึกบึนทนทาน(Strong, Durability & Reliability)ก็ต้องฟันธงว่ารูเก้อร์ ส่วนอะนาคอนด้า(Anaconda)เป็นอะไรๆ ที่ต้องเป็นยี่ห้อโค้ลท์ไว้ก่อน ถาม: “ปืนสั้นลูกโม่เล่นกระสุนสี่สี่แม็กนั่มแบบไหนดี?” ตอบ: นักเลงสี่สี่แม็กนั่มตัวจริงจะเล่นกระสุน “หัวตัน-หัวหนัก” ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Jacketed Soft Point, Semi-Wadcutter, Flat/Leaded Nose, รวมทั้งกระสุนพิเศษซาบ้อต(Sabot) จากประสบการณ์ส่วนตัว สี่สี่แม็กนั่มหัวรู น้ำหนัก 240 เกรน แม้จะมีความเร็วสูงถึงขั้น 1,400 ฟุต/วินาที จะมีปัญหา “เหินลม” ทำให้วิถีกระสุน(Trajectory)ไม่ราบเรียบไม่แม่นยำเท่าควร ขณะที่กระสุนหัวตัน น้ำหนักหัวกระสุนมากๆ (หรือบางทีก็น้ำหนัก 240 เกรนเท่ากัน) แต่ปลอกกระสุนมีเข็มขัดรัดหรือรอยย้ำ 2 แถว แม้ความเร็วน้อยกว่าแต่ให้ความแม่นยำหนักแน่นสูงกว่ามาก เรียกว่าได้ใจทุกนัดไป ข้อเสีย คือ ยิงสะบัดกัดมือมากกว่ากระสุนรุ่นใหม่ๆ ประมาณ +15%-20% ถาม: “ปืนสี่สี่แม็กนั่มต้องระวังอะไรบ้าง? ติดศูนย์กล้องดีไหม?” ตอบ: ข้อหนึ่ง-ถ้าเป็นเหล็กสแตนเลส เช่น โมเดล 629 และ 629 คลาสสิค ควรใส่กล่องเก็บหรือไม่ก็ตัดซองหนังใส่ปืนเก็บรักษา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว ที่เกิดขึ้นเพราะผิวเหล็กสแตนเลสเนื้ออ่อนกว่าเหล็ก ข้อสอง-ไม่ควรใช้ยาขัดโลหะชนิดที่มีสารชะล้าง(Solven)ขัดถูกตัวปืน เพราะจะทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักด้วยเลเซอร์เคลือบสีทองไว้ลางเลือนจางหาย ข้อสาม-หมั่นตรวจขันหมุดสกรูที่ตัวปืนทั้งก่อนและหลังการยิง เนื่องจากแรงสะบัดสะท้อนรุนแรงทำให้หมุดสกรูคลายตัวและอาจหลุดกระเด็นหาย ข้อสี่-ถึงจะหาซื้อกระสุนได้มากก็ไม่ควรยิงเล่นบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตัวปืนทรุดโทรมเร็วกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย ข้อห้า-อย่านำมายิงแห้งหรือเหนี่ยวไกเล่น(โดยไม่บรรจุกระสุนในตัวปืน)บ่อยๆ กลไกปืนอาจชำรุดเสียหาย โดยเฉพาะเข็มแทงชนวนอาจหักโดยไม่รู้ตัว ข้อหก-ติดศูนย์กล้องเล็งได้ในกำลังขยายภาพไม่เกิน 4 เท่า สูงกว่านั้นจะเล็งยิงได้ลำบาก มือสั่นสายตาพร่ามัวเพราะไม่กล้าลั่นกระสุน(เพราะภาพมันฟ้องว่าศูนย์ปืนไม่เข้าเป้าเนื่องจากมือผู้ยิงสั่นไปมา) แต่สุดท้ายก็ต้องถอดศูนย์กล้องเล็งออกเพราะรู้สึกเกะกะหนักตัวปืนเปล่าๆ สรุปท้ายเรื่อง... สมิธแอนด์เวสสัน สี่สี่แม็กนั่ม เป็นทรัพย์สมบัติที่คู่ควรต่อผู้มีบารมีและนักสะสมปืนมากกว่าการมีใช้เพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตทรัพย์สิน ไม่ใช่ปืนสั้นประจำกายอย่างแน่นอน แต่จะเหมาะที่สุดในกรณีท่องไพรสำรวจป่าที่พกไว้ข้างเอวหรือข้างสีข้างลำตัวเพื่อป้องกันสัตว์เขี้ยวยาวดุร้ายต่างๆ แม้ปัจจุบัน ตลาดปืนโลกจะมี “ปืนโหดกระสุนดุ” รุ่นใหม่ๆที่มีอานุภาพสูงกว่าสี่สี่แม็กนั่ม ไม่ว่าจะเป็น .454 Casull, .460 S&W Magnum, .500 S&W Magnum, และอื่นๆ แต่ “สี่สี่แม็กนั่มยังจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักเล่นปืนตลอดไป” ขอบคุณครับ...
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • มาทำเทมเป้กันค่ะ
    การล้างแช่ถั่ว ep1
    ✅️ถั่วที่ใช้จะเน้นถั่วที่ไม่มีเปลือกเช่นถั่วเหลืองผ่าซีก ไม่มีเปลือกเป็นหลักๆนะคะ ถ้าเราจะผสมถั่วแดงถั่วดำถั่วมีเปลือกก็ได้แต่ใช้เปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า
    ✅️วิธีการล้าง ให้ล้างทำความสะอาด หลายๆครั้ง
    ✅️ส่วนการแช่ถั่วให้ใช้น้ำสะอาดที่ดื่มได้
    ในการแช่ถั่วเท่านั้นค่ะ
    ✅️ใช้ปริมาณน้ำให้มากกว่าปริมาณถั่วประมาณ 1.5 เท่าถึง 2 เท่าจะดีที่สุดค่ะเพราะถั่วจะไม่แตก และน้ำจะไม่มีกลิ่น ในการหมักมากค่ะ
    ✅️ให้ใช้ภาชนะเช่นฝาชีผ้าขาวบางที่มีรูระบายอากาศได้ในการครอบปิดเพื่อป้องกันมดแมลงที่จะมารบกวน
    ✅️ทำการแช่ประมาณ 40-48 ชั่วโมงจะเป็นการดีที่สุดเพราะทำให้ถั่วเกิดกรดอ่อนๆเหมาะสำหรับการเดินของเชื้อเทมเป้โดย
    ไม่ต้องผสมน้ำส้มสายชูค่ะ
    #เทมเป้ #tempeh #เทมเป้โปรตีน #โปรตีน #protein #อาหารเจ #เจ #อาหารเพื่อสุขภาพ #มังสวิรัติ #วีแกน #วีแกนVegan#thaitimes
    มาทำเทมเป้กันค่ะ การล้างแช่ถั่ว ep1 ✅️ถั่วที่ใช้จะเน้นถั่วที่ไม่มีเปลือกเช่นถั่วเหลืองผ่าซีก ไม่มีเปลือกเป็นหลักๆนะคะ ถ้าเราจะผสมถั่วแดงถั่วดำถั่วมีเปลือกก็ได้แต่ใช้เปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า ✅️วิธีการล้าง ให้ล้างทำความสะอาด หลายๆครั้ง ✅️ส่วนการแช่ถั่วให้ใช้น้ำสะอาดที่ดื่มได้ ในการแช่ถั่วเท่านั้นค่ะ ✅️ใช้ปริมาณน้ำให้มากกว่าปริมาณถั่วประมาณ 1.5 เท่าถึง 2 เท่าจะดีที่สุดค่ะเพราะถั่วจะไม่แตก และน้ำจะไม่มีกลิ่น ในการหมักมากค่ะ ✅️ให้ใช้ภาชนะเช่นฝาชีผ้าขาวบางที่มีรูระบายอากาศได้ในการครอบปิดเพื่อป้องกันมดแมลงที่จะมารบกวน ✅️ทำการแช่ประมาณ 40-48 ชั่วโมงจะเป็นการดีที่สุดเพราะทำให้ถั่วเกิดกรดอ่อนๆเหมาะสำหรับการเดินของเชื้อเทมเป้โดย ไม่ต้องผสมน้ำส้มสายชูค่ะ #เทมเป้ #tempeh #เทมเป้โปรตีน #โปรตีน #protein #อาหารเจ #เจ #อาหารเพื่อสุขภาพ #มังสวิรัติ #วีแกน #วีแกนVegan#thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 651 Views 188 0 Reviews
  • 3 ต.ค.67
    ศาลสิงคโปร์ตัดสินลงโทษอดีตรัฐมนตรี Subramnian Iswaran ข้อหาคอร์รัปชั่น รับ 'ของขวัญ' จากเอกชนในรูปของตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ฯลฯ เป็นมูลค่า S$403,000 (สิบล้านบาท) ตอบแทนการจัดงาน F1 Grand Prix

    อัยการขอให้ศาลลงโทษจำคุก 6-7 เดือน

    ผู้พิพากษาใจดี ให้เพิ่มโบนัส เป็นหนึ่งปี

    ผู้พิพากษากล่าวว่า บุคคลที่ทำงานเป็นรัฐบาลต้องมีมาตรฐานสูงกว่าคนทั่วไป ต้องซื่อสัตย์ระดับสูงสุด เพราะคนระดับนี้ย่อมมีอิทธิพลต่อองค์กรธุรกิจต่างๆ

    “Persons who accept appointments to high office take on the heavy responsibilities of their office along with the associated power and status, and should generally be regarded as having acted with greater culpability in abusing their position to obtain valuable gifts."

    ศาลว่า คนระดับรัฐมนตรีต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สูงสุด ไม่มีข้อแม้หรือคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

    ไม่มีใครเอาปืนจี้ให้เป็นรัฐมนตรี

    คำพิพากษานี้เป็นการตั้งมาตรฐานของความอดทนต่อการคอร์รัปชั่นในประเทศสิงคโปร์เท่ากับศูนย์

    และสร้างบรรทัดฐานว่า จะเป็นรัฐมนตรีต้องสะอาดจริงๆ

    วินทร์ เลียววาริณ
    ถอดความจาก The Straits Times
    3-10-2024

    ภาพ: MIEL / The Straits Times
    3 ต.ค.67 ศาลสิงคโปร์ตัดสินลงโทษอดีตรัฐมนตรี Subramnian Iswaran ข้อหาคอร์รัปชั่น รับ 'ของขวัญ' จากเอกชนในรูปของตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ฯลฯ เป็นมูลค่า S$403,000 (สิบล้านบาท) ตอบแทนการจัดงาน F1 Grand Prix อัยการขอให้ศาลลงโทษจำคุก 6-7 เดือน ผู้พิพากษาใจดี ให้เพิ่มโบนัส เป็นหนึ่งปี ผู้พิพากษากล่าวว่า บุคคลที่ทำงานเป็นรัฐบาลต้องมีมาตรฐานสูงกว่าคนทั่วไป ต้องซื่อสัตย์ระดับสูงสุด เพราะคนระดับนี้ย่อมมีอิทธิพลต่อองค์กรธุรกิจต่างๆ “Persons who accept appointments to high office take on the heavy responsibilities of their office along with the associated power and status, and should generally be regarded as having acted with greater culpability in abusing their position to obtain valuable gifts." ศาลว่า คนระดับรัฐมนตรีต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สูงสุด ไม่มีข้อแม้หรือคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครเอาปืนจี้ให้เป็นรัฐมนตรี คำพิพากษานี้เป็นการตั้งมาตรฐานของความอดทนต่อการคอร์รัปชั่นในประเทศสิงคโปร์เท่ากับศูนย์ และสร้างบรรทัดฐานว่า จะเป็นรัฐมนตรีต้องสะอาดจริงๆ วินทร์ เลียววาริณ ถอดความจาก The Straits Times 3-10-2024 ภาพ: MIEL / The Straits Times
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • การสำรวจจิตเพื่อทำความเข้าใจอาการ "ยึด" และ "ไม่ยึด" เป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายปริศนาต่างๆ ในชีวิต เมื่อเรายึดถือสิ่งใดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือสิ่งที่ปรารถนา พอได้มาจริงๆ กลับรู้สึกว่างเปล่า จิตเกิดอาการหมดแรงในการตะกาย ยึดสิ่งนั้น และกลายเป็นความรู้สึกไม่พอใจหรือเบื่อหน่าย

    ในทางกลับกัน บางครั้งเราไม่ได้พยายามมากนัก แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกยึดถือก็อ่อนแรงลง จิตก็เริ่มถอนตัว อยากปล่อยทิ้งสิ่งนั้นไป ความรู้สึกเหล่านี้เป็นธรรมชาติของจิตที่ยึดและปล่อย เมื่อจิตยึดจนเต็มที่แล้วก็จะมีแรงถอย หรือเบื่อหน่ายในที่สุด

    การไม่เข้าใจจิตที่ยึดและไม่ยึด อาจทำให้เกิดความสับสนและเคว้งคว้าง ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร สิ่งที่ได้มาคือสิ่งที่สำคัญจริงหรือไม่ แต่ถ้าเราหยุดพิจารณาและเริ่มเจริญสติ เราจะเห็นว่าจิตที่ไม่ยึดและไม่ทิ้ง เช่น การหายใจเข้าออกที่เราไม่ยึดถือ แต่ก็ไม่สามารถทิ้งได้ เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตที่สมดุล

    การสังเกตจิตที่ยึดและจิตที่ปล่อย ทำให้เรามีสติรู้ทันว่า ความยึดถือเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะหมดแรงจับ เมื่อเราเห็นจิตในลักษณะนี้บ่อยๆ จิตจะเริ่มเกิดปัญญา รู้ทันว่าแรงยึดถือไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ความสงบและอิ่มเต็มคือความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ตลอดเวลา

    เมื่อจิตสว่าง รู้จักธรรมชาติของการยึดและการปล่อย จิตจะหิวน้อยลงและกระวนกระวายน้อยลง เพราะเข้าใจความจริงว่า ความสงบระงับนั้นเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุด
    การสำรวจจิตเพื่อทำความเข้าใจอาการ "ยึด" และ "ไม่ยึด" เป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายปริศนาต่างๆ ในชีวิต เมื่อเรายึดถือสิ่งใดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือสิ่งที่ปรารถนา พอได้มาจริงๆ กลับรู้สึกว่างเปล่า จิตเกิดอาการหมดแรงในการตะกาย ยึดสิ่งนั้น และกลายเป็นความรู้สึกไม่พอใจหรือเบื่อหน่าย ในทางกลับกัน บางครั้งเราไม่ได้พยายามมากนัก แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกยึดถือก็อ่อนแรงลง จิตก็เริ่มถอนตัว อยากปล่อยทิ้งสิ่งนั้นไป ความรู้สึกเหล่านี้เป็นธรรมชาติของจิตที่ยึดและปล่อย เมื่อจิตยึดจนเต็มที่แล้วก็จะมีแรงถอย หรือเบื่อหน่ายในที่สุด การไม่เข้าใจจิตที่ยึดและไม่ยึด อาจทำให้เกิดความสับสนและเคว้งคว้าง ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร สิ่งที่ได้มาคือสิ่งที่สำคัญจริงหรือไม่ แต่ถ้าเราหยุดพิจารณาและเริ่มเจริญสติ เราจะเห็นว่าจิตที่ไม่ยึดและไม่ทิ้ง เช่น การหายใจเข้าออกที่เราไม่ยึดถือ แต่ก็ไม่สามารถทิ้งได้ เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตที่สมดุล การสังเกตจิตที่ยึดและจิตที่ปล่อย ทำให้เรามีสติรู้ทันว่า ความยึดถือเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะหมดแรงจับ เมื่อเราเห็นจิตในลักษณะนี้บ่อยๆ จิตจะเริ่มเกิดปัญญา รู้ทันว่าแรงยึดถือไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ความสงบและอิ่มเต็มคือความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ตลอดเวลา เมื่อจิตสว่าง รู้จักธรรมชาติของการยึดและการปล่อย จิตจะหิวน้อยลงและกระวนกระวายน้อยลง เพราะเข้าใจความจริงว่า ความสงบระงับนั้นเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุด
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • เคาะแล้ว เก้าอี้ เลขาฯ สมช.คนใหม่ คนในผงาดในรอบสิบปี
    .
    ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช) วันนี้ 4 ตุลาคม ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน
    .
    ถูกจับตามองอย่างมากว่า ที่ประชุมจะลงมติให้เสนอชื่อใครเป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) “คนใหม่ แทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์

    โดยหลังการประชุม ภูมิธรรม ยังคงอุบไต๋ ไม่บอกว่า จะเสนอชื่อใครเข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้(วันที่8 ตุลาคม)แต่บอกว่า ได้รายชื่อแล้ว และข่าวสะพัดในช่วงเย็น ว่า คนที่จะได้รับการเสนอชื่อก็คือ คนในสมช. ไม่มีข้ามห้วย แบบหลายปีที่ผ่านมา
    .
    โดยนายภูมิธรรม กล่าวหลังการประชุมว่า เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาแล้วจึงจำเป็นต้องรีบ เพื่อให้งานต่างๆ ขับเคลื่อนต่อได้ โดยจะมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่าจะมีความเห็นอะไร อย่างไร ซึ่งกระบวนการยังไม่จบสิ้น ต้องคุยและหารือกันอีกเรื่อง โดยพยายามจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ให้ได้ในวันอังคารนี้
    .
    เมื่อถามว่า เลขาธิการสมช.คนใหม่ เป็นทหารหรือพลเรือน เคาะแล้วหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เคาะแล้วแต่ยังบอกไม่ได้
    ต่อข้อถามว่า จะเป็นคนใน สมช.หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเวลาเป็นคนนอก รองนายกฯ ภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปมองว่าคนนอกจะเป็นอย่างนั้น เพราะอยู่ที่ความจำเป็นและสถานการณ์ของแต่ละช่วง ทุกคนที่มาก็รับผิดชอบในหน้าที่ของตน แต่ว่าความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์หรืออะไรต่างๆ ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนในที่เคยเป็นมาก็สามารถทำได้ดีทั้งนั้น
    .
    เมื่อถามย้ำว่า ระบุให้ชัดได้หรือไม่ว่า เป็นคนในสมช. แต่ยังไม่บอกว่าเป็นใคร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ระบุไม่ได้ จนกว่าการตัดสินใจจะเกิดขึ้น
    .
    ส่วนกระแสข่าวระบุว่า ชื่อนายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสมช. มาแรง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นข่าว อันนั้นก็เรื่องของข่าว โดยการเสนอชื่อ เป็นการให้เลือก โดยมีมากกว่า1 ชื่อ ซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี
    .
    สำหรับเก้าอี้ เลขาธิการสมช.ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พบว่า เป็นการข้ามห้วยมาทั้งหมด ทั้งจากทหารและตำรวจ ที่มาเอาตำแหน่งเลขาธิการสมช. โดยเลขาธิการสมช.คนสุดท้ายที่เป็นพลเรือนและเป็นลูกหม้อของสมช.คือ นายอนุสิษฐ คุณากร ที่ทำหน้าที่หนึ่งปี คือในช่วง1 ตุลาคม พ.ศ. 2557ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2558
    .
    หลังจากนั้น เลขาธิการสมช. ก็มาจาก คนนอก ข้ามห้วยมาตลอดเกือบสิบปี ไล่เรียงกันมาดังนี้
    .
    พลเอก ทวีป เนตรนิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2560
    พลเอก วัลลภ รักเสนาะ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2562
    พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2563
    พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2564 ปัจจุบันเป็นรมช.กลาโหม
    .
    พลเอก สุพจน์ มาลานิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566
    พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567
    .
    อย่างไรก็ตาม ข่าวบางกระแสรายงานว่า ในที่ประชุมบอร์ดสมช. ที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว มีการพิจารณารายชื่อคนที่จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการสมช. จากคนใน โดยมีแคนดิเดตสามคนที่เป็นรองเลขาธิการสมช.เรียงตามลำดับอาวุโส คือ นายฉัตรชัย บางชวด นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ และนายวรณัฐ คงเมือง
    .
    โดยมีข่าวบางกระบอกว่า นายฉัตรชัย บางชวด จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ สมช.คนใหม่ แต่นายภูมิธรรม จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯก่อน
    ซึ่งก็คาดว่า ยังไง แพทองธาร ก็ต้อง มีการปรึกษา สอบถามท่าทีจากทักษิณ ชินวัตรก่อน ว่าจะไฟเขียวหรือไม่
    .................
    Sondhi X
    เคาะแล้ว เก้าอี้ เลขาฯ สมช.คนใหม่ คนในผงาดในรอบสิบปี . ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช) วันนี้ 4 ตุลาคม ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน . ถูกจับตามองอย่างมากว่า ที่ประชุมจะลงมติให้เสนอชื่อใครเป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) “คนใหม่ แทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ โดยหลังการประชุม ภูมิธรรม ยังคงอุบไต๋ ไม่บอกว่า จะเสนอชื่อใครเข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้(วันที่8 ตุลาคม)แต่บอกว่า ได้รายชื่อแล้ว และข่าวสะพัดในช่วงเย็น ว่า คนที่จะได้รับการเสนอชื่อก็คือ คนในสมช. ไม่มีข้ามห้วย แบบหลายปีที่ผ่านมา . โดยนายภูมิธรรม กล่าวหลังการประชุมว่า เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาแล้วจึงจำเป็นต้องรีบ เพื่อให้งานต่างๆ ขับเคลื่อนต่อได้ โดยจะมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่าจะมีความเห็นอะไร อย่างไร ซึ่งกระบวนการยังไม่จบสิ้น ต้องคุยและหารือกันอีกเรื่อง โดยพยายามจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ให้ได้ในวันอังคารนี้ . เมื่อถามว่า เลขาธิการสมช.คนใหม่ เป็นทหารหรือพลเรือน เคาะแล้วหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เคาะแล้วแต่ยังบอกไม่ได้ ต่อข้อถามว่า จะเป็นคนใน สมช.หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเวลาเป็นคนนอก รองนายกฯ ภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปมองว่าคนนอกจะเป็นอย่างนั้น เพราะอยู่ที่ความจำเป็นและสถานการณ์ของแต่ละช่วง ทุกคนที่มาก็รับผิดชอบในหน้าที่ของตน แต่ว่าความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์หรืออะไรต่างๆ ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนในที่เคยเป็นมาก็สามารถทำได้ดีทั้งนั้น . เมื่อถามย้ำว่า ระบุให้ชัดได้หรือไม่ว่า เป็นคนในสมช. แต่ยังไม่บอกว่าเป็นใคร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ระบุไม่ได้ จนกว่าการตัดสินใจจะเกิดขึ้น . ส่วนกระแสข่าวระบุว่า ชื่อนายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสมช. มาแรง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นข่าว อันนั้นก็เรื่องของข่าว โดยการเสนอชื่อ เป็นการให้เลือก โดยมีมากกว่า1 ชื่อ ซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี . สำหรับเก้าอี้ เลขาธิการสมช.ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พบว่า เป็นการข้ามห้วยมาทั้งหมด ทั้งจากทหารและตำรวจ ที่มาเอาตำแหน่งเลขาธิการสมช. โดยเลขาธิการสมช.คนสุดท้ายที่เป็นพลเรือนและเป็นลูกหม้อของสมช.คือ นายอนุสิษฐ คุณากร ที่ทำหน้าที่หนึ่งปี คือในช่วง1 ตุลาคม พ.ศ. 2557ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2558 . หลังจากนั้น เลขาธิการสมช. ก็มาจาก คนนอก ข้ามห้วยมาตลอดเกือบสิบปี ไล่เรียงกันมาดังนี้ . พลเอก ทวีป เนตรนิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2560 พลเอก วัลลภ รักเสนาะ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2562 พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2563 พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2564 ปัจจุบันเป็นรมช.กลาโหม . พลเอก สุพจน์ มาลานิยม 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567 . อย่างไรก็ตาม ข่าวบางกระแสรายงานว่า ในที่ประชุมบอร์ดสมช. ที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว มีการพิจารณารายชื่อคนที่จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการสมช. จากคนใน โดยมีแคนดิเดตสามคนที่เป็นรองเลขาธิการสมช.เรียงตามลำดับอาวุโส คือ นายฉัตรชัย บางชวด นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ และนายวรณัฐ คงเมือง . โดยมีข่าวบางกระบอกว่า นายฉัตรชัย บางชวด จะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ สมช.คนใหม่ แต่นายภูมิธรรม จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯก่อน ซึ่งก็คาดว่า ยังไง แพทองธาร ก็ต้อง มีการปรึกษา สอบถามท่าทีจากทักษิณ ชินวัตรก่อน ว่าจะไฟเขียวหรือไม่ ................. Sondhi X
    Like
    10
    0 Comments 2 Shares 384 Views 1 Reviews
  • #ดวงรายวัน 5 ตุลาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า งานมีความมั่นคงดี การเงิน: มีรายจ่ายกี่ยวกับลูก หรือหมดเงินกับรถ ค่าปรับค่าซ่อม ความรัก: มีดวงทะเลาะกับรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา รักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนรูปร่างท้วมหรืออ้วนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระดูก ฟัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะมีงานเข้ามาหลายทาง มีโอกาสได้งานเพิ่มงานเสริม ระวังจะมีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน หากมีคนที่ทำงานเข้ามาชอบเข้ามาจีบ ต้องดูให้ดีเพราะมีโอกาสเป็นรักซ้อน การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก รับผิดชอบหลายปากท้อง จะหมดเงินกับคนรัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะการโกหก เจ้าชู้นอกใจ คนโสด:จะมีคนเข้ามาเปย์ อาจได้โชคได้เงินจากคนที่เข้ามา สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดหัว ระบบประสาท การเดินทาง:ให้ระวังสัตว์ตัดหน้ารถ

    #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทาง ระวังจะมีศัตรูมีคนคอยจ้องจับผิด ควรทำงานให้ดี ให้มีความรอบคอบ การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก อาจได้เสียเงินก้อน จะหมุนเงินไม่ทัน ความรัก:ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน คนรักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนเจ้าชู้เข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจจะเป็นคนที่อยู่ไกลกันหรือคนทางออนไลน์สุขภาพ: ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เป็นบ่อยๆจะกลับมาอีกครั้ง การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:งานค่อนข้างหนัก จะได้รับผิดชอบงานหลายอย่าง แต่งานมีความก้าวหน้าดี การเงิน:จะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะปัญหาการเจ้าชู้นอกใจ ให้ระวังคนเก่าๆจะเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ความรัก: จะมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงเนื่องจากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวใกล้ชิด คนโสด: จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคอ้วน ปวดข้อเข่า ปวดหลัง โรคกระดูก การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันศุกร์...การงาน: มีปัญหาจุกจิก จะมีคนทำให้อารมณ์เสีย ทำงานไม่ได้ดั่งใจเลย การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับผลไม้ ของกินของฝาก ต้นไม้ ของตกแต่งบ้าน ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก หรือได้บุตร คนโสด:มีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจจะมีคนแนะนำแฟนให้ สุขภาพ:ปวดขา ปวดเมื่อยตามตัว มีโอกาสเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็น การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า อาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง การท่องเที่ยว ความรัก: คนรักจะยั่วโมโหทำให้อารมณ์เสีย หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย เอาแต่ใจตัวเอง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรืออาจจะมีเรื่องยุ่งกับงานหรือคนในครอบครัว ไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ: ปวดตา หู สายตาไม่ดี นอนไม่หลับ การเดินทาง: ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: มีงานคั่งค้างมากต้องรีบสะสาง อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก บ้าน รถ ใครผ่อนบ้านผ่อนรถต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก ให้ระวังทะเลาะกันเพราะอารมณ์หงุดหงิดง่าย คนโสด:จะมีคนเก่าๆเข้ามาวนวียน สุขภาพ: โรคในช่องปาก ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ตรวจเช็คลมยางให้ดี ระวังมีปัญหาเกี่ยวกับล้อรถ ยางรถ
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงรายวัน 5 ตุลาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า งานมีความมั่นคงดี การเงิน: มีรายจ่ายกี่ยวกับลูก หรือหมดเงินกับรถ ค่าปรับค่าซ่อม ความรัก: มีดวงทะเลาะกับรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา รักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนรูปร่างท้วมหรืออ้วนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระดูก ฟัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะมีงานเข้ามาหลายทาง มีโอกาสได้งานเพิ่มงานเสริม ระวังจะมีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน หากมีคนที่ทำงานเข้ามาชอบเข้ามาจีบ ต้องดูให้ดีเพราะมีโอกาสเป็นรักซ้อน การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก รับผิดชอบหลายปากท้อง จะหมดเงินกับคนรัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะการโกหก เจ้าชู้นอกใจ คนโสด:จะมีคนเข้ามาเปย์ อาจได้โชคได้เงินจากคนที่เข้ามา สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดหัว ระบบประสาท การเดินทาง:ให้ระวังสัตว์ตัดหน้ารถ #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทาง ระวังจะมีศัตรูมีคนคอยจ้องจับผิด ควรทำงานให้ดี ให้มีความรอบคอบ การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก อาจได้เสียเงินก้อน จะหมุนเงินไม่ทัน ความรัก:ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน คนรักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนเจ้าชู้เข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจจะเป็นคนที่อยู่ไกลกันหรือคนทางออนไลน์สุขภาพ: ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เป็นบ่อยๆจะกลับมาอีกครั้ง การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:งานค่อนข้างหนัก จะได้รับผิดชอบงานหลายอย่าง แต่งานมีความก้าวหน้าดี การเงิน:จะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะปัญหาการเจ้าชู้นอกใจ ให้ระวังคนเก่าๆจะเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ความรัก: จะมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงเนื่องจากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวใกล้ชิด คนโสด: จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคอ้วน ปวดข้อเข่า ปวดหลัง โรคกระดูก การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันศุกร์...การงาน: มีปัญหาจุกจิก จะมีคนทำให้อารมณ์เสีย ทำงานไม่ได้ดั่งใจเลย การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับผลไม้ ของกินของฝาก ต้นไม้ ของตกแต่งบ้าน ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก หรือได้บุตร คนโสด:มีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจจะมีคนแนะนำแฟนให้ สุขภาพ:ปวดขา ปวดเมื่อยตามตัว มีโอกาสเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็น การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า อาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง การท่องเที่ยว ความรัก: คนรักจะยั่วโมโหทำให้อารมณ์เสีย หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย เอาแต่ใจตัวเอง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรืออาจจะมีเรื่องยุ่งกับงานหรือคนในครอบครัว ไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ: ปวดตา หู สายตาไม่ดี นอนไม่หลับ การเดินทาง: ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: มีงานคั่งค้างมากต้องรีบสะสาง อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก บ้าน รถ ใครผ่อนบ้านผ่อนรถต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก ให้ระวังทะเลาะกันเพราะอารมณ์หงุดหงิดง่าย คนโสด:จะมีคนเก่าๆเข้ามาวนวียน สุขภาพ: โรคในช่องปาก ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ตรวจเช็คลมยางให้ดี ระวังมีปัญหาเกี่ยวกับล้อรถ ยางรถ ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • #ดวงรายวัน 5 ตุลาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า งานมีความมั่นคงดี การเงิน: มีรายจ่ายกี่ยวกับลูก หรือหมดเงินกับรถ ค่าปรับค่าซ่อม ความรัก: มีดวงทะเลาะกับรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา รักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนรูปร่างท้วมหรืออ้วนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระดูก ฟัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะมีงานเข้ามาหลายทาง มีโอกาสได้งานเพิ่มงานเสริม ระวังจะมีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน หากมีคนที่ทำงานเข้ามาชอบเข้ามาจีบ ต้องดูให้ดีเพราะมีโอกาสเป็นรักซ้อน การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก รับผิดชอบหลายปากท้อง จะหมดเงินกับคนรัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะการโกหก เจ้าชู้นอกใจ คนโสด:จะมีคนเข้ามาเปย์ อาจได้โชคได้เงินจากคนที่เข้ามา สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดหัว ระบบประสาท การเดินทาง:ให้ระวังสัตว์ตัดหน้ารถ

    #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทาง ระวังจะมีศัตรูมีคนคอยจ้องจับผิด ควรทำงานให้ดี ให้มีความรอบคอบ การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก อาจได้เสียเงินก้อน จะหมุนเงินไม่ทัน ความรัก:ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน คนรักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนเจ้าชู้เข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจจะเป็นคนที่อยู่ไกลกันหรือคนทางออนไลน์สุขภาพ: ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เป็นบ่อยๆจะกลับมาอีกครั้ง การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:งานค่อนข้างหนัก จะได้รับผิดชอบงานหลายอย่าง แต่งานมีความก้าวหน้าดี การเงิน:จะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะปัญหาการเจ้าชู้นอกใจ ให้ระวังคนเก่าๆจะเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ความรัก: จะมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงเนื่องจากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวใกล้ชิด คนโสด: จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคอ้วน ปวดข้อเข่า ปวดหลัง โรคกระดูก การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันศุกร์...การงาน: มีปัญหาจุกจิก จะมีคนทำให้อารมณ์เสีย ทำงานไม่ได้ดั่งใจเลย การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับผลไม้ ของกินของฝาก ต้นไม้ ของตกแต่งบ้าน ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก หรือได้บุตร คนโสด:มีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจจะมีคนแนะนำแฟนให้ สุขภาพ:ปวดขา ปวดเมื่อยตามตัว มีโอกาสเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็น การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า อาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง การท่องเที่ยว ความรัก: คนรักจะยั่วโมโหทำให้อารมณ์เสีย หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย เอาแต่ใจตัวเอง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรืออาจจะมีเรื่องยุ่งกับงานหรือคนในครอบครัว ไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ: ปวดตา หู สายตาไม่ดี นอนไม่หลับ การเดินทาง: ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: มีงานคั่งค้างมากต้องรีบสะสาง อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก บ้าน รถ ใครผ่อนบ้านผ่อนรถต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก ให้ระวังทะเลาะกันเพราะอารมณ์หงุดหงิดง่าย คนโสด:จะมีคนเก่าๆเข้ามาวนวียน สุขภาพ: โรคในช่องปาก ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ตรวจเช็คลมยางให้ดี ระวังมีปัญหาเกี่ยวกับล้อรถ ยางรถ
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงรายวัน 5 ตุลาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า งานมีความมั่นคงดี การเงิน: มีรายจ่ายกี่ยวกับลูก หรือหมดเงินกับรถ ค่าปรับค่าซ่อม ความรัก: มีดวงทะเลาะกับรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา รักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนรูปร่างท้วมหรืออ้วนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระดูก ฟัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะมีงานเข้ามาหลายทาง มีโอกาสได้งานเพิ่มงานเสริม ระวังจะมีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน หากมีคนที่ทำงานเข้ามาชอบเข้ามาจีบ ต้องดูให้ดีเพราะมีโอกาสเป็นรักซ้อน การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก รับผิดชอบหลายปากท้อง จะหมดเงินกับคนรัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะการโกหก เจ้าชู้นอกใจ คนโสด:จะมีคนเข้ามาเปย์ อาจได้โชคได้เงินจากคนที่เข้ามา สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดหัว ระบบประสาท การเดินทาง:ให้ระวังสัตว์ตัดหน้ารถ #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทาง ระวังจะมีศัตรูมีคนคอยจ้องจับผิด ควรทำงานให้ดี ให้มีความรอบคอบ การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก อาจได้เสียเงินก้อน จะหมุนเงินไม่ทัน ความรัก:ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน คนรักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนเจ้าชู้เข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจจะเป็นคนที่อยู่ไกลกันหรือคนทางออนไลน์สุขภาพ: ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เป็นบ่อยๆจะกลับมาอีกครั้ง การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:งานค่อนข้างหนัก จะได้รับผิดชอบงานหลายอย่าง แต่งานมีความก้าวหน้าดี การเงิน:จะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะปัญหาการเจ้าชู้นอกใจ ให้ระวังคนเก่าๆจะเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ความรัก: จะมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงเนื่องจากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวใกล้ชิด คนโสด: จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคอ้วน ปวดข้อเข่า ปวดหลัง โรคกระดูก การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันศุกร์...การงาน: มีปัญหาจุกจิก จะมีคนทำให้อารมณ์เสีย ทำงานไม่ได้ดั่งใจเลย การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับผลไม้ ของกินของฝาก ต้นไม้ ของตกแต่งบ้าน ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก หรือได้บุตร คนโสด:มีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจจะมีคนแนะนำแฟนให้ สุขภาพ:ปวดขา ปวดเมื่อยตามตัว มีโอกาสเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็น การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า อาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง การท่องเที่ยว ความรัก: คนรักจะยั่วโมโหทำให้อารมณ์เสีย หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย เอาแต่ใจตัวเอง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรืออาจจะมีเรื่องยุ่งกับงานหรือคนในครอบครัว ไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ: ปวดตา หู สายตาไม่ดี นอนไม่หลับ การเดินทาง: ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: มีงานคั่งค้างมากต้องรีบสะสาง อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก บ้าน รถ ใครผ่อนบ้านผ่อนรถต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก ให้ระวังทะเลาะกันเพราะอารมณ์หงุดหงิดง่าย คนโสด:จะมีคนเก่าๆเข้ามาวนวียน สุขภาพ: โรคในช่องปาก ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ตรวจเช็คลมยางให้ดี ระวังมีปัญหาเกี่ยวกับล้อรถ ยางรถ ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • #ดวงรายวัน 5 ตุลาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า งานมีความมั่นคงดี การเงิน: มีรายจ่ายกี่ยวกับลูก หรือหมดเงินกับรถ ค่าปรับค่าซ่อม ความรัก: มีดวงทะเลาะกับรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา รักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนรูปร่างท้วมหรืออ้วนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระดูก ฟัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะมีงานเข้ามาหลายทาง มีโอกาสได้งานเพิ่มงานเสริม ระวังจะมีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน หากมีคนที่ทำงานเข้ามาชอบเข้ามาจีบ ต้องดูให้ดีเพราะมีโอกาสเป็นรักซ้อน การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก รับผิดชอบหลายปากท้อง จะหมดเงินกับคนรัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะการโกหก เจ้าชู้นอกใจ คนโสด:จะมีคนเข้ามาเปย์ อาจได้โชคได้เงินจากคนที่เข้ามา สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดหัว ระบบประสาท การเดินทาง:ให้ระวังสัตว์ตัดหน้ารถ

    #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทาง ระวังจะมีศัตรูมีคนคอยจ้องจับผิด ควรทำงานให้ดี ให้มีความรอบคอบ การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก อาจได้เสียเงินก้อน จะหมุนเงินไม่ทัน ความรัก:ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน คนรักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนเจ้าชู้เข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจจะเป็นคนที่อยู่ไกลกันหรือคนทางออนไลน์สุขภาพ: ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เป็นบ่อยๆจะกลับมาอีกครั้ง การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:งานค่อนข้างหนัก จะได้รับผิดชอบงานหลายอย่าง แต่งานมีความก้าวหน้าดี การเงิน:จะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะปัญหาการเจ้าชู้นอกใจ ให้ระวังคนเก่าๆจะเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ความรัก: จะมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงเนื่องจากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวใกล้ชิด คนโสด: จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคอ้วน ปวดข้อเข่า ปวดหลัง โรคกระดูก การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันศุกร์...การงาน: มีปัญหาจุกจิก จะมีคนทำให้อารมณ์เสีย ทำงานไม่ได้ดั่งใจเลย การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับผลไม้ ของกินของฝาก ต้นไม้ ของตกแต่งบ้าน ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก หรือได้บุตร คนโสด:มีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจจะมีคนแนะนำแฟนให้ สุขภาพ:ปวดขา ปวดเมื่อยตามตัว มีโอกาสเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็น การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า อาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง การท่องเที่ยว ความรัก: คนรักจะยั่วโมโหทำให้อารมณ์เสีย หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย เอาแต่ใจตัวเอง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรืออาจจะมีเรื่องยุ่งกับงานหรือคนในครอบครัว ไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ: ปวดตา หู สายตาไม่ดี นอนไม่หลับ การเดินทาง: ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: มีงานคั่งค้างมากต้องรีบสะสาง อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก บ้าน รถ ใครผ่อนบ้านผ่อนรถต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก ให้ระวังทะเลาะกันเพราะอารมณ์หงุดหงิดง่าย คนโสด:จะมีคนเก่าๆเข้ามาวนวียน สุขภาพ: โรคในช่องปาก ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ตรวจเช็คลมยางให้ดี ระวังมีปัญหาเกี่ยวกับล้อรถ ยางรถ
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงรายวัน 5 ตุลาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า งานมีความมั่นคงดี การเงิน: มีรายจ่ายกี่ยวกับลูก หรือหมดเงินกับรถ ค่าปรับค่าซ่อม ความรัก: มีดวงทะเลาะกับรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา รักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนรูปร่างท้วมหรืออ้วนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระดูก ฟัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะมีงานเข้ามาหลายทาง มีโอกาสได้งานเพิ่มงานเสริม ระวังจะมีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน หากมีคนที่ทำงานเข้ามาชอบเข้ามาจีบ ต้องดูให้ดีเพราะมีโอกาสเป็นรักซ้อน การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก รับผิดชอบหลายปากท้อง จะหมดเงินกับคนรัก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะการโกหก เจ้าชู้นอกใจ คนโสด:จะมีคนเข้ามาเปย์ อาจได้โชคได้เงินจากคนที่เข้ามา สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดหัว ระบบประสาท การเดินทาง:ให้ระวังสัตว์ตัดหน้ารถ #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทาง ระวังจะมีศัตรูมีคนคอยจ้องจับผิด ควรทำงานให้ดี ให้มีความรอบคอบ การเงิน: จะมีรายจ่ายมาก อาจได้เสียเงินก้อน จะหมุนเงินไม่ทัน ความรัก:ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน คนรักจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยสนใจ คนโสด: มีคนเจ้าชู้เข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจจะเป็นคนที่อยู่ไกลกันหรือคนทางออนไลน์สุขภาพ: ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เป็นบ่อยๆจะกลับมาอีกครั้ง การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:งานค่อนข้างหนัก จะได้รับผิดชอบงานหลายอย่าง แต่งานมีความก้าวหน้าดี การเงิน:จะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะปัญหาการเจ้าชู้นอกใจ ให้ระวังคนเก่าๆจะเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ความรัก: จะมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงเนื่องจากคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวใกล้ชิด คนโสด: จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: โรคอ้วน ปวดข้อเข่า ปวดหลัง โรคกระดูก การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันศุกร์...การงาน: มีปัญหาจุกจิก จะมีคนทำให้อารมณ์เสีย ทำงานไม่ได้ดั่งใจเลย การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับผลไม้ ของกินของฝาก ต้นไม้ ของตกแต่งบ้าน ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก หรือได้บุตร คนโสด:มีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจจะมีคนแนะนำแฟนให้ สุขภาพ:ปวดขา ปวดเมื่อยตามตัว มีโอกาสเจ็บป่วยจากสิ่งที่มองไม่เห็น การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: มีโอกาสรุ่งเรืองก้าวหน้า อาจได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หรือขึ้นเงินเดือน การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง การท่องเที่ยว ความรัก: คนรักจะยั่วโมโหทำให้อารมณ์เสีย หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย เอาแต่ใจตัวเอง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรืออาจจะมีเรื่องยุ่งกับงานหรือคนในครอบครัว ไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ: ปวดตา หู สายตาไม่ดี นอนไม่หลับ การเดินทาง: ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: มีงานคั่งค้างมากต้องรีบสะสาง อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น การเงิน: มีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก บ้าน รถ ใครผ่อนบ้านผ่อนรถต้องบริหารจัดการเงินให้ดี ความรัก: มีโอกาสได้โชคได้เงินจากคนรัก ให้ระวังทะเลาะกันเพราะอารมณ์หงุดหงิดง่าย คนโสด:จะมีคนเก่าๆเข้ามาวนวียน สุขภาพ: โรคในช่องปาก ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ตรวจเช็คลมยางให้ดี ระวังมีปัญหาเกี่ยวกับล้อรถ ยางรถ ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • 🤠#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 01.🤠

    😎#ออกจากประตูหยก😎

    🥸การเดินทางของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปทางทิศตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะนั้นเป็นการกระทำส่วนตัวโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ แต่ด้วยเหตุนี้ มุมมองของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่มีต่อภูมิภาคตะวันตกจึงมีความเป็นพลเรือนมากกว่า เป็นกลางมากกว่า และเป็นจริงมากกว่า🥸

    🥸ต่อไปนี้เชิญท่านมาเผชิญหน้ากับท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยลมและทราย เดินย่ำเหยียบฝ่าหมอกควันทะเลทราย เริ่มต้นเข้าร่วมกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ในการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์ของเขาเพื่อร่างขอบเขตดินแดนของภูมิภาคตะวันตก🥸

    😎ออกจากประตูหยก(玉门)ไปทางทิศตะวันตก 😎

    🥸ในปีคริสตศักราช 629 ภัยพิบัติน้ำแข็งเกิดขึ้นในพื้นที่กวนจง(关中) ราชวงศ์ถัง(唐)ออกคำสั่งให้พระภิกษุและฆราวาสในพื้นที่ คยองกี(Gyeonggi京畿) ย้ายไปยังสถานที่อื่นเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงหลบหนีจากความอดอยาก พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ซึ่งแต่เดิมต้องการออกจากด่านทางผ่าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักจึงใช้โอกาสนี้ออกจากฉางอาน(长安)🥸 เขาเดินทางผ่านหลานโจว(兰州)และเหลียงโจว(凉州) เขาหลีกเลี่ยงการติดตามจัยกุมของทางการโดยการเดินทางเวลากลางคืนและพักเวลากลางวัน ต่อมา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เสี่ยงภัยเดินทางผ่าน กวัวโจว(瓜州) และ อวี้เหมินกวน(Yumen Pass玉门关) ผ่านหอคอยสัญญาณไฟ 5 แห่งที่มีกองทหารคุ้มกันตามลำดับรายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากทหารรักษาชายแดนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ข้ามทะเลทรายโกบีด้วยพลังแห่งความศรัทธาและความอุตสาหะอย่างแรงกล้าก่อนจะไปถึงอีหวู(伊吾) และเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก

    🥸สถานีแรกของการเดินทาง อีหวู(伊吾) ได้มีการส่งมอบการมาถึงอย่างกะทันหันของพระภิกษุให้กับเกาชาง(Gaochang高昌) (ปัจจุบันคือเมืองถูหลู่ฟาน(Turfan 吐鲁番) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์(Xinjiang Uygur Autonomous Region 新疆维吾尔自治区)) เจ้าเหนือหัวองค์น้อยทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตกในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมแอ่งถูหลู่ฟาน(Turfan Depression吐鲁番盆地)🥸

    🥸หลังจากได้ยินข่าวว่า พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)มาถึงแล้ว กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) เสนาบดี และสาวใช้ออกมาจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทรงจุดเทียน และเข้าแถวเพื่อต้อนรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เข้าสู่พระราชวังด้วยความเคารพ🥸 หลังจากเห็น พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) แล้ว ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ดีใจมากและบอกกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ว่า: นับตั้งแต่ฉันรู้ชื่ออาจารย์ ฉันมีความสุขมากจนลืมกินลืมนอน ฉันรู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงธรรมจากตะวันออกจะมาคืนนี้ ฉันก็เลยพร้อมกับพระราชินีและเจ้าชายทรงพากันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนรอการมาถึงของพระอาจารย์

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ถูกจัดให้อยู่ที่สนามหลวงทางพิธีกรรมของศาสนาถัดจากพระราชวังกษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) และจัดขันทีให้ดูแลอาหารและชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)

    รัฐเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)เป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตก และถูกปกครองโดยผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์ฮั่น(汉)และเว่ย(魏) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่รวมหู(胡)และฮั่น(汉)เข้าด้วยกัน ในบรรดาพลเมืองนั้น ไม่เพียงแต่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวฮั่น(汉)เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากภูมิภาคตะวันตกด้วย เช่น ชาวซ็อกเดียน(Sogdians粟特) ชาวซานซาน(Shanshan鄯善人)และชาวเติร์ก(Turks突厥人) 🥸ก่อนที่ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)จะมาถึง ประเทศนี้ก็ก่อตั้งขึ้นที่นั่นมานานกว่า 100 ปีแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าข้อมูลจำเพาะของเมืองที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองฉางอัน(长安)ในราชวงศ์ซุย(隋)และราชวงศ์ถัง(唐)มาก นอกจากนี้ยังมีรูปของ ดยุคไอแห่งหลู่(鲁哀公)สอดถามขงจื๊อ(孔子)เกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่แขวนอยู่ในพระราชวังของอาณาจักร เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)🥸

    😎การต้อนรับด้วยมารยาทอันสูงส่ง😎

    🥸ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และบิดาของเขาเดินทางไปยังราชวงศ์สุย(隋)ในยุครุ่งเรืองเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิสุยหยางตี้(隋炀帝)🥸 เขาไม่เพียงแต่เดินทางไปยังฉางอาน(长安) ล่อหยาง(洛阳) เฝินหยาง(汾阳) เอี้ยนตี้(燕地) ไต้ตี้(代地) และเมืองสำคัญอื่นๆ และได้เห็นวัฒนธรรมฮั่น(汉)ของที่ราบตอนกลางดั้งเดิม แต่เขายังไปเยี่ยมคารวะพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและผู้มีคุณธรรมอีกมากมาย และเขาก็ชื่นชมที่ราบภาคกลางที่เป็นบ้านเกิดทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างมาก แต่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในอดีตของราชวงศ์ซุย ความฉลาดสามารถของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)นั้นเหนือกว่ามาก

    เมื่อใดก็ตามที่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)บรรยายธรรมแก่ขุนนางของเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ในเต็นท์ใหญ่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ถือกระถางธูปเพื่อเคลียร์นำทางให้พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วยตนเอง เมื่อพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปที่แท่นธรรมาสน์เพื่อขึ้นเทศนาธรรม กษัตริย์แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ถึงกับคุกเข่าโน้มตัวลง และทำหน้าที่เป็นบันไดให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ก้าวขึ้นแท่นธรรมาสน์ การปฏิบัตินี้ไม่สอดคล้องกับประเพณีตะวันออก แต่ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือดั้งเดิมของอินเดียบางเรื่อง สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากสิ่งแวดล้อมข้วงเคียงว่า เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)คือจุดทางสี่แยกของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการบูชาสักการะอย่างสูงสุดต่อ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ยังคัดเลือกพระภิกษุในท้องถิ่นหลายแห่งใน เกาชาง(Gaochang高昌)ให้เป็นนักเรียนและคนรับใช้ นิสัยปกิบัติในการรับลูกศิษย์ไปตลอดทางนี้ กลายเป็นต้นแบบทางประวัติศาสตร์สำหรับทีมอาจารย์และลูกศิษย์ของภิกษุราชวงศ์ถัง(唐)ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน "บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(Journey to the West西游记)" แม้ว่ากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)จะชื่นชมพรสวรรค์และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เขาถึงกับมีความคิดหน่วงรั้งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้ที่เกาชาง(Gaochang高昌)ด้วยซ้ำ และขอให้ประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป แสดงธรรมสั่งสอนให้ความรู้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ระดับชาติของ เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เห็นด้วยเพราะมีตวามเห็นว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่กว่า กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)เห็นว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) มีความมุ่งมั่นดังนั้นเขาจึงจำต้องโยนไพ่ตายทางเลือกสุดท้ายของเขาออกไป: 🥸ถ้าพระคุณท่านไม่ปรารถนาอยู่ในเกาชาง(Gaochang高昌) ข้าพระเจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งท่านอาจารย์กลับไปทางทิศตะวันออก🥸

    เมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ไม้แข็งและไม้อ่อนร่วมกันของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองว่า: 🥸พระองค์สามารถจะเพียงได้รับกระดูกของอาตมาเอาไว้ได้ แต่พระองค์ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของอาตมาที่จะไปทางตะวันตกได้🥸

    😎หนทางเบื้องหน้าอันยาวไกล😎

    🥸ด้วยเหตุนี้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) จึงอดอาหารเป็นเวลาสามวันเพื่อแสดงความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตก🥸 ในฐานะเป็นอาณาจักรในภูมิภาคตะวันตกที่นับถือศาสนาพุทธ หากมีพระภิกษุที่แสวงหาธรรมะมาอดอยากจนตายภายในดินแดนของตน ชื่อเสียงสู่ภายนอกของเกาชาง(Gaochang高昌)ในภูมิภาคตะวันตกจะเสียหายอย่างมาก และเขาจะพลอยได้รับชื่อเสียงเสื่อมเสียงจากการทำร้ายพระภิกษุที่มีชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว การขัดขวางการเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ด้วยเพื่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาเองก็เป็นการขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเขา

    🥸เมื่อเขาคิดมาถึง ณ จุดนี้ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ก้มหัวให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เพื่อขอโทษ🥸 ความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาที่มีต่อเกาชาง(Gaochang高昌) ก็ถูกขจัดออกไปในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นมีเมตตาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเวลาเดียวกันกับขณะที่รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะแสวงหาธรรมะโดยปราศจากสิ่งภายนอกมาบั่นทอนความตั้งใจ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ได้สาบานต่อฟ้าดินสัญญาเป็นพี่น้องกัน ภายใต้การอุปถัมภ์จากแม่ของแผ่นดินเจ้าจอมมารดา จาง(张太妃) เพื่อให้พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เดินทางไปถึงอินเดียได้อย่างราบรื่น กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) ทรงสั่งการให้จัดทีมงานเล็กๆ ประกอบด้วยม้า 30 ตัว พนักงานข้าราชการเกาชาง(Gaochang高昌)1 คน ผู้ติดตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 25 คน และพระภิกษุหนุ่ม 4 รูป เพื่อดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมหน้ากากและหมวกพิเศษสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สำหรับการเดินทางผ่านภูเขาและทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับเขตภูมิอากาศต่างๆ จัดทหารม้าขนนำทองคำ เงิน และผ้าไหมจำนวนมากไว้สำหรับการครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยระหว่างทางไปอินเดียเท่านั้น แต่ยังมีเงินเพียงพอที่จะทำทานอีกด้วย ในสิ่งแต่งเคิมเหล่านี้เป็นรายละเอียดด้านที่อ่อนโยนของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออัครสาวก

    🥸นอกจากทรัพย์สินแล้ว เนื่องจากเจ้าผู้ครองแคว้นตะวันตกในขณะนั้น คือ ข่านเตอร์กตะวันตก(西突厥)ได้สมรสกับราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ยังมีจดหมายแสดงความเคารพที่กษัตริย์แห่งเกาชาง(Gaochang高昌)มอบให้กับข่านแห่งเติร์กตะวันตก(西突厥) อธิบายถึงความตั้งใจของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะไปทางดินแดนแคว้นตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะ🥸 ภายใต้การคุ้มครองของเตอร์กข่านตะวันตก (西突厥) ทุกประเทศในภูมิภาคตะวันตกตลอดเส้นทางให้ความเคารพแก่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) และให้การสนับสนุนทางทหารที่เข้มแข็งและมีควาทปลอดภัยที่สุดสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)และคณะเดินทางของเขา และจดหมายแสดงความเคารพของกษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ถึงพระมหากษัตริย์ของยี่สิบสี่ประเทศในภูมิภาคตะวันตกจะช่วยให้การเดินทางของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก

    🥸ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของการอำลาอาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌) บรรดาราชวงศ์และชาวเกาชาง(Gaochang高昌)ก็ออกจากเมืองเพื่อส่งอำลา🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สัญญาว่า เมื่อเดินทางผ่านเกาชาง(Gaochang高昌)หลังจากกลับจากการศึกษาในอินเดียจะแสดงเทศนาธรรมอีก จากนั้นเขาก็กล่าวคำอำลากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ด้วยน้ำตา พวกบรรดาราชวงศ์ เกาชาง(Gaochang高昌)เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวพุทธต่างพากันออกจากเมืองส่งเสียงอำลาดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งถิ่น ราวกับว่ามือแห่งโชคชะตาได้ฉีกหัวใจและจิตวิญญาณออกจากร่างกายของชาวเกาชาง(Gaochang高昌) ทำให้พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติไปตลอดกาล

    บรรดาพวกราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ส่งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ออกไปนอกเมืองหลายสิบลี้ แม้ว่าพระภิกษุสมณเพศจะมองเห็นบรรลุแล้วการจากแยกอำลาในทางโลกแล้วก็ตาม แต่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและยังคงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาขอบคุณต่ออาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌)อย่างสุดซึ้งอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจ ราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังจับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่ำไห้ราวกับสายฝนกล่าวว่า 🥸ในเมื่อพระคุณท่านถือเป็นพี่น้องกัน สัตว์พาหนะต่าง ๆ ในประเทศก็มีเจ้าของคนเดียวกัน แล้วเหตุใดจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วย?🥸

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ตอบว่า: 🥸ฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของเสด็จพี่ตลอดชีวิตของอาตมา ในวันที่อาตมากลับจากนำพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนากลับมา อาตมาจะอยู่สอนธรรมะในเกาชาง(Gaochang高昌)เป็นเวลาสามปีเป็นการตอบแทน!🥸

    หลายปีต่อมาในฉางอาน(长安) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากให้เหล่าสาวกฟัง มิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีต่อราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังคงเกินคำบรรยาย ดูเหมือนราวกับว่าพิธีอำลาที่หรูหราและยิ่งใหญ่นั้นได่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ 🥸นี่ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพี่ชายร่วมสาบานของเขา🥸

    🥳โปรดติดตามบทความ#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 02.
    #อาณาจักรคาราซาห์และคูชาที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 01.🤠 😎#ออกจากประตูหยก😎 🥸การเดินทางของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปทางทิศตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะนั้นเป็นการกระทำส่วนตัวโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ แต่ด้วยเหตุนี้ มุมมองของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่มีต่อภูมิภาคตะวันตกจึงมีความเป็นพลเรือนมากกว่า เป็นกลางมากกว่า และเป็นจริงมากกว่า🥸 🥸ต่อไปนี้เชิญท่านมาเผชิญหน้ากับท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยลมและทราย เดินย่ำเหยียบฝ่าหมอกควันทะเลทราย เริ่มต้นเข้าร่วมกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ในการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์ของเขาเพื่อร่างขอบเขตดินแดนของภูมิภาคตะวันตก🥸 😎ออกจากประตูหยก(玉门)ไปทางทิศตะวันตก 😎 🥸ในปีคริสตศักราช 629 ภัยพิบัติน้ำแข็งเกิดขึ้นในพื้นที่กวนจง(关中) ราชวงศ์ถัง(唐)ออกคำสั่งให้พระภิกษุและฆราวาสในพื้นที่ คยองกี(Gyeonggi京畿) ย้ายไปยังสถานที่อื่นเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงหลบหนีจากความอดอยาก พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ซึ่งแต่เดิมต้องการออกจากด่านทางผ่าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักจึงใช้โอกาสนี้ออกจากฉางอาน(长安)🥸 เขาเดินทางผ่านหลานโจว(兰州)และเหลียงโจว(凉州) เขาหลีกเลี่ยงการติดตามจัยกุมของทางการโดยการเดินทางเวลากลางคืนและพักเวลากลางวัน ต่อมา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เสี่ยงภัยเดินทางผ่าน กวัวโจว(瓜州) และ อวี้เหมินกวน(Yumen Pass玉门关) ผ่านหอคอยสัญญาณไฟ 5 แห่งที่มีกองทหารคุ้มกันตามลำดับรายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากทหารรักษาชายแดนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ข้ามทะเลทรายโกบีด้วยพลังแห่งความศรัทธาและความอุตสาหะอย่างแรงกล้าก่อนจะไปถึงอีหวู(伊吾) และเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก 🥸สถานีแรกของการเดินทาง อีหวู(伊吾) ได้มีการส่งมอบการมาถึงอย่างกะทันหันของพระภิกษุให้กับเกาชาง(Gaochang高昌) (ปัจจุบันคือเมืองถูหลู่ฟาน(Turfan 吐鲁番) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์(Xinjiang Uygur Autonomous Region 新疆维吾尔自治区)) เจ้าเหนือหัวองค์น้อยทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตกในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมแอ่งถูหลู่ฟาน(Turfan Depression吐鲁番盆地)🥸 🥸หลังจากได้ยินข่าวว่า พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)มาถึงแล้ว กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) เสนาบดี และสาวใช้ออกมาจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทรงจุดเทียน และเข้าแถวเพื่อต้อนรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เข้าสู่พระราชวังด้วยความเคารพ🥸 หลังจากเห็น พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) แล้ว ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ดีใจมากและบอกกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ว่า: นับตั้งแต่ฉันรู้ชื่ออาจารย์ ฉันมีความสุขมากจนลืมกินลืมนอน ฉันรู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงธรรมจากตะวันออกจะมาคืนนี้ ฉันก็เลยพร้อมกับพระราชินีและเจ้าชายทรงพากันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนรอการมาถึงของพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ถูกจัดให้อยู่ที่สนามหลวงทางพิธีกรรมของศาสนาถัดจากพระราชวังกษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) และจัดขันทีให้ดูแลอาหารและชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) รัฐเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)เป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตก และถูกปกครองโดยผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์ฮั่น(汉)และเว่ย(魏) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่รวมหู(胡)และฮั่น(汉)เข้าด้วยกัน ในบรรดาพลเมืองนั้น ไม่เพียงแต่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวฮั่น(汉)เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากภูมิภาคตะวันตกด้วย เช่น ชาวซ็อกเดียน(Sogdians粟特) ชาวซานซาน(Shanshan鄯善人)และชาวเติร์ก(Turks突厥人) 🥸ก่อนที่ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)จะมาถึง ประเทศนี้ก็ก่อตั้งขึ้นที่นั่นมานานกว่า 100 ปีแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าข้อมูลจำเพาะของเมืองที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองฉางอัน(长安)ในราชวงศ์ซุย(隋)และราชวงศ์ถัง(唐)มาก นอกจากนี้ยังมีรูปของ ดยุคไอแห่งหลู่(鲁哀公)สอดถามขงจื๊อ(孔子)เกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่แขวนอยู่ในพระราชวังของอาณาจักร เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)🥸 😎การต้อนรับด้วยมารยาทอันสูงส่ง😎 🥸ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และบิดาของเขาเดินทางไปยังราชวงศ์สุย(隋)ในยุครุ่งเรืองเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิสุยหยางตี้(隋炀帝)🥸 เขาไม่เพียงแต่เดินทางไปยังฉางอาน(长安) ล่อหยาง(洛阳) เฝินหยาง(汾阳) เอี้ยนตี้(燕地) ไต้ตี้(代地) และเมืองสำคัญอื่นๆ และได้เห็นวัฒนธรรมฮั่น(汉)ของที่ราบตอนกลางดั้งเดิม แต่เขายังไปเยี่ยมคารวะพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและผู้มีคุณธรรมอีกมากมาย และเขาก็ชื่นชมที่ราบภาคกลางที่เป็นบ้านเกิดทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างมาก แต่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในอดีตของราชวงศ์ซุย ความฉลาดสามารถของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)นั้นเหนือกว่ามาก เมื่อใดก็ตามที่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)บรรยายธรรมแก่ขุนนางของเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ในเต็นท์ใหญ่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ถือกระถางธูปเพื่อเคลียร์นำทางให้พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วยตนเอง เมื่อพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปที่แท่นธรรมาสน์เพื่อขึ้นเทศนาธรรม กษัตริย์แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ถึงกับคุกเข่าโน้มตัวลง และทำหน้าที่เป็นบันไดให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ก้าวขึ้นแท่นธรรมาสน์ การปฏิบัตินี้ไม่สอดคล้องกับประเพณีตะวันออก แต่ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือดั้งเดิมของอินเดียบางเรื่อง สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากสิ่งแวดล้อมข้วงเคียงว่า เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)คือจุดทางสี่แยกของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการบูชาสักการะอย่างสูงสุดต่อ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ยังคัดเลือกพระภิกษุในท้องถิ่นหลายแห่งใน เกาชาง(Gaochang高昌)ให้เป็นนักเรียนและคนรับใช้ นิสัยปกิบัติในการรับลูกศิษย์ไปตลอดทางนี้ กลายเป็นต้นแบบทางประวัติศาสตร์สำหรับทีมอาจารย์และลูกศิษย์ของภิกษุราชวงศ์ถัง(唐)ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน "บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(Journey to the West西游记)" แม้ว่ากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)จะชื่นชมพรสวรรค์และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เขาถึงกับมีความคิดหน่วงรั้งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้ที่เกาชาง(Gaochang高昌)ด้วยซ้ำ และขอให้ประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป แสดงธรรมสั่งสอนให้ความรู้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ระดับชาติของ เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เห็นด้วยเพราะมีตวามเห็นว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่กว่า กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)เห็นว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) มีความมุ่งมั่นดังนั้นเขาจึงจำต้องโยนไพ่ตายทางเลือกสุดท้ายของเขาออกไป: 🥸ถ้าพระคุณท่านไม่ปรารถนาอยู่ในเกาชาง(Gaochang高昌) ข้าพระเจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งท่านอาจารย์กลับไปทางทิศตะวันออก🥸 เมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ไม้แข็งและไม้อ่อนร่วมกันของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองว่า: 🥸พระองค์สามารถจะเพียงได้รับกระดูกของอาตมาเอาไว้ได้ แต่พระองค์ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของอาตมาที่จะไปทางตะวันตกได้🥸 😎หนทางเบื้องหน้าอันยาวไกล😎 🥸ด้วยเหตุนี้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) จึงอดอาหารเป็นเวลาสามวันเพื่อแสดงความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตก🥸 ในฐานะเป็นอาณาจักรในภูมิภาคตะวันตกที่นับถือศาสนาพุทธ หากมีพระภิกษุที่แสวงหาธรรมะมาอดอยากจนตายภายในดินแดนของตน ชื่อเสียงสู่ภายนอกของเกาชาง(Gaochang高昌)ในภูมิภาคตะวันตกจะเสียหายอย่างมาก และเขาจะพลอยได้รับชื่อเสียงเสื่อมเสียงจากการทำร้ายพระภิกษุที่มีชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว การขัดขวางการเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ด้วยเพื่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาเองก็เป็นการขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเขา 🥸เมื่อเขาคิดมาถึง ณ จุดนี้ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ก้มหัวให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เพื่อขอโทษ🥸 ความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาที่มีต่อเกาชาง(Gaochang高昌) ก็ถูกขจัดออกไปในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นมีเมตตาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเวลาเดียวกันกับขณะที่รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะแสวงหาธรรมะโดยปราศจากสิ่งภายนอกมาบั่นทอนความตั้งใจ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ได้สาบานต่อฟ้าดินสัญญาเป็นพี่น้องกัน ภายใต้การอุปถัมภ์จากแม่ของแผ่นดินเจ้าจอมมารดา จาง(张太妃) เพื่อให้พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เดินทางไปถึงอินเดียได้อย่างราบรื่น กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) ทรงสั่งการให้จัดทีมงานเล็กๆ ประกอบด้วยม้า 30 ตัว พนักงานข้าราชการเกาชาง(Gaochang高昌)1 คน ผู้ติดตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 25 คน และพระภิกษุหนุ่ม 4 รูป เพื่อดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมหน้ากากและหมวกพิเศษสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สำหรับการเดินทางผ่านภูเขาและทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับเขตภูมิอากาศต่างๆ จัดทหารม้าขนนำทองคำ เงิน และผ้าไหมจำนวนมากไว้สำหรับการครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยระหว่างทางไปอินเดียเท่านั้น แต่ยังมีเงินเพียงพอที่จะทำทานอีกด้วย ในสิ่งแต่งเคิมเหล่านี้เป็นรายละเอียดด้านที่อ่อนโยนของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออัครสาวก 🥸นอกจากทรัพย์สินแล้ว เนื่องจากเจ้าผู้ครองแคว้นตะวันตกในขณะนั้น คือ ข่านเตอร์กตะวันตก(西突厥)ได้สมรสกับราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ยังมีจดหมายแสดงความเคารพที่กษัตริย์แห่งเกาชาง(Gaochang高昌)มอบให้กับข่านแห่งเติร์กตะวันตก(西突厥) อธิบายถึงความตั้งใจของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะไปทางดินแดนแคว้นตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะ🥸 ภายใต้การคุ้มครองของเตอร์กข่านตะวันตก (西突厥) ทุกประเทศในภูมิภาคตะวันตกตลอดเส้นทางให้ความเคารพแก่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) และให้การสนับสนุนทางทหารที่เข้มแข็งและมีควาทปลอดภัยที่สุดสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)และคณะเดินทางของเขา และจดหมายแสดงความเคารพของกษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ถึงพระมหากษัตริย์ของยี่สิบสี่ประเทศในภูมิภาคตะวันตกจะช่วยให้การเดินทางของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก 🥸ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของการอำลาอาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌) บรรดาราชวงศ์และชาวเกาชาง(Gaochang高昌)ก็ออกจากเมืองเพื่อส่งอำลา🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สัญญาว่า เมื่อเดินทางผ่านเกาชาง(Gaochang高昌)หลังจากกลับจากการศึกษาในอินเดียจะแสดงเทศนาธรรมอีก จากนั้นเขาก็กล่าวคำอำลากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ด้วยน้ำตา พวกบรรดาราชวงศ์ เกาชาง(Gaochang高昌)เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวพุทธต่างพากันออกจากเมืองส่งเสียงอำลาดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งถิ่น ราวกับว่ามือแห่งโชคชะตาได้ฉีกหัวใจและจิตวิญญาณออกจากร่างกายของชาวเกาชาง(Gaochang高昌) ทำให้พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติไปตลอดกาล บรรดาพวกราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ส่งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ออกไปนอกเมืองหลายสิบลี้ แม้ว่าพระภิกษุสมณเพศจะมองเห็นบรรลุแล้วการจากแยกอำลาในทางโลกแล้วก็ตาม แต่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและยังคงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาขอบคุณต่ออาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌)อย่างสุดซึ้งอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจ ราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังจับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่ำไห้ราวกับสายฝนกล่าวว่า 🥸ในเมื่อพระคุณท่านถือเป็นพี่น้องกัน สัตว์พาหนะต่าง ๆ ในประเทศก็มีเจ้าของคนเดียวกัน แล้วเหตุใดจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วย?🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ตอบว่า: 🥸ฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของเสด็จพี่ตลอดชีวิตของอาตมา ในวันที่อาตมากลับจากนำพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนากลับมา อาตมาจะอยู่สอนธรรมะในเกาชาง(Gaochang高昌)เป็นเวลาสามปีเป็นการตอบแทน!🥸 หลายปีต่อมาในฉางอาน(长安) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากให้เหล่าสาวกฟัง มิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีต่อราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังคงเกินคำบรรยาย ดูเหมือนราวกับว่าพิธีอำลาที่หรูหราและยิ่งใหญ่นั้นได่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ 🥸นี่ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพี่ชายร่วมสาบานของเขา🥸 🥳โปรดติดตามบทความ#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 02. #อาณาจักรคาราซาห์และคูชาที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • “เมื่อใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี"
    “When the mind is focused on the present, the body will change for the better.”
    “เมื่อใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี" “When the mind is focused on the present, the body will change for the better.”
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • #อุ๊ยโจมณฑนีเปลี่ยนเวย์เช็ดดดดดด
    #ใจร้ายมากอิป้า
    คิดจะเปลี่ยนเวย์ก็เปลี่ยนซะทุยจะตามไม่ทันเอานะ
    ด้นสดมันทุกวันเลยโจตกขาว
    สมแล้วที่จบถึงม.ต้น เป็นศ.ดร.มโนของเทพ DC
    หลังจากชิมลางแล้ว ทุกครั้งที่ไลฟ์ ยอดฟอลดิ่งๆๆ
    ยูซผีปั๊มไม่ทันยอดคนที่อันฟอล
    กลัวจะต่ำกว่า 1 M เอเจนซี่จะมีปัญหาได้
    นั่งแอบอิจ สาวจีนอย่างตาเขียวปั๊ด
    เลยปล่อยข่าว ว่าจะมาทวงบัลลังนายหญิง
    พี่คิงส์นี่ ขนลุก 5555555
    โจ มณทนี โจใจร้ายมาก ไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจ
    ของไอ่เป็ด ที่ ตี๋หิด และบี๋ห้า เลย มันก็ฝันของมัน
    ไหนจะไอ่เฒ่าตันหากลับอีกตัว
    การประกาศแบบนี้ ก็เท่ากับดับฝันของกลุ่มทุยหน้ากระนูย(น่ารัก)
    ทั่วประเทศเลยนะ แล้วไหนจะบรรดาเทพ บรรดาชายทาแป้งผิดเบอร์อะไรนั่นอีก เป็นอาหวังฝันค้างเลย เธอมันร้าย โจ
    ไอ่ส่วนที่ปล่อยข่าวว่า แน๊กเค้าจะรีทงรีเทินอะไรนั่นหนะ
    ฝันน่ะ ได้ แต่ความจริงก็คือความจริง ครูปรีชาเคยพูดไว้
    และความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว โคนันก็ได้พูดไว้
    ถามโจว่า ถ้าวันนึง สิ่งที่อยู่ในจานอาหาร ที่คิดว่ามันคือสเต็ก
    แต่ปรากฏว่า ดูจริงๆ ก็เป็นแค่โกเต็กค้างปีอันโสโครก
    ถ้าเป็นโจ โจจะหยิบมาแดรกอีกมั๊ย
    อิฟายยยย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #อุ๊ยโจมณฑนีเปลี่ยนเวย์เช็ดดดดดด #ใจร้ายมากอิป้า คิดจะเปลี่ยนเวย์ก็เปลี่ยนซะทุยจะตามไม่ทันเอานะ ด้นสดมันทุกวันเลยโจตกขาว สมแล้วที่จบถึงม.ต้น เป็นศ.ดร.มโนของเทพ DC หลังจากชิมลางแล้ว ทุกครั้งที่ไลฟ์ ยอดฟอลดิ่งๆๆ ยูซผีปั๊มไม่ทันยอดคนที่อันฟอล กลัวจะต่ำกว่า 1 M เอเจนซี่จะมีปัญหาได้ นั่งแอบอิจ สาวจีนอย่างตาเขียวปั๊ด เลยปล่อยข่าว ว่าจะมาทวงบัลลังนายหญิง พี่คิงส์นี่ ขนลุก 5555555 โจ มณทนี โจใจร้ายมาก ไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจ ของไอ่เป็ด ที่ ตี๋หิด และบี๋ห้า เลย มันก็ฝันของมัน ไหนจะไอ่เฒ่าตันหากลับอีกตัว การประกาศแบบนี้ ก็เท่ากับดับฝันของกลุ่มทุยหน้ากระนูย(น่ารัก) ทั่วประเทศเลยนะ แล้วไหนจะบรรดาเทพ บรรดาชายทาแป้งผิดเบอร์อะไรนั่นอีก เป็นอาหวังฝันค้างเลย เธอมันร้าย โจ ไอ่ส่วนที่ปล่อยข่าวว่า แน๊กเค้าจะรีทงรีเทินอะไรนั่นหนะ ฝันน่ะ ได้ แต่ความจริงก็คือความจริง ครูปรีชาเคยพูดไว้ และความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว โคนันก็ได้พูดไว้ ถามโจว่า ถ้าวันนึง สิ่งที่อยู่ในจานอาหาร ที่คิดว่ามันคือสเต็ก แต่ปรากฏว่า ดูจริงๆ ก็เป็นแค่โกเต็กค้างปีอันโสโครก ถ้าเป็นโจ โจจะหยิบมาแดรกอีกมั๊ย อิฟายยยย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 653 Views 0 Reviews
  • ยิ่งฉีดมาก กลับอ่อนแอ

    IgG4 เป็นชนิดหนึ่ง
    ของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ

    ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA
    ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing 14 กันยายน 2024
    ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด
    แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement

    ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน
    ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality.

    ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น

    อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี

    นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน

    และเมื่อฉีดมากเข็มตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์
    และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว
    (รายงานในวารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว)

    https://immunityageing.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12979-024-00466-9?utm_source=substack&utm_medium=email

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    ยิ่งฉีดมาก กลับอ่อนแอ IgG4 เป็นชนิดหนึ่ง ของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing 14 กันยายน 2024 ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality. ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน และเมื่อฉีดมากเข็มตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์ และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว (รายงานในวารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว) https://immunityageing.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12979-024-00466-9?utm_source=substack&utm_medium=email ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Love
    11
    1 Comments 3 Shares 277 Views 1 Reviews
  • #ปัญหาที่โจจะเป็นต้นเหตุให้ทุกอย่างพัง
    #เพราะโจมณฑนีปากสว่าง
    หยุดพูดหยุดพิมพ์ไม่ได้ ทำให้ข้อมูลหลายๆอย่าง
    ก็หลุดจากปากโจ หรือไม่ก็คนที่เป็นเครือข่ายที่เปิดหน้า
    และโจไม่เคยหยุด แสดงออกถึงการแซะ การแขวะ
    ย้ำคำที่โจบอกว่า เป็นข้อเขียนอมตะ
    ว่าทุกอย่าง ซึ่งหมายถึง เอเจนซี่ ขบวนการฟอก กลุ่มเงินดาร์ค
    จะพังเพราะอินังโจนี่แหละ
    มันโต้ทุกคอมเม้นที่พิมพ์ไปทางบวกถึงแน๊กชาลี
    อิโจม.ต้น อิ สก็อยไร้การศึกษา อิ ศ.ดร.มโน อิฟาย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #ปัญหาที่โจจะเป็นต้นเหตุให้ทุกอย่างพัง #เพราะโจมณฑนีปากสว่าง หยุดพูดหยุดพิมพ์ไม่ได้ ทำให้ข้อมูลหลายๆอย่าง ก็หลุดจากปากโจ หรือไม่ก็คนที่เป็นเครือข่ายที่เปิดหน้า และโจไม่เคยหยุด แสดงออกถึงการแซะ การแขวะ ย้ำคำที่โจบอกว่า เป็นข้อเขียนอมตะ ว่าทุกอย่าง ซึ่งหมายถึง เอเจนซี่ ขบวนการฟอก กลุ่มเงินดาร์ค จะพังเพราะอินังโจนี่แหละ มันโต้ทุกคอมเม้นที่พิมพ์ไปทางบวกถึงแน๊กชาลี อิโจม.ต้น อิ สก็อยไร้การศึกษา อิ ศ.ดร.มโน อิฟาย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 605 Views 0 Reviews
  • ยิ่งไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยสูงตรึงเงินดอลลาร์ได้ ยิ่งเร่งสงครามโลกและสงครามโรคเร็วขึ้น/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ความขัดแย้งกันในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาในยุคนี้ด้วยว่า นอกจากมาตรการตอบโต้กันทางด้านการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ สงครรามทุนระหว่างประเทศ สงครามค่าเงิน ถึงขนาดที่เรียกว่าเรื่องนี้อาจมีจุดจบที่ต้องมีฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะกันไปข้างหนึ่ง

    โดยเฉพาะสถานภาพของเงินสกุลสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถดำรงสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายปิโตรเลียมที่ไม่ได้ยึถถือเงินสกุลดอลลาร์ (ปิโตรดอลลาร์)แต่เพียงสกุลเดียวได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลือกหนทางในการทำให้เกิดการโจมตีแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช่พันธมิตรอเมริกาทั่วโลก เพื่อให้ราคาปิโตรเลียมของธุรกิจในเครือสหรัฐอเมริกายังคงดำรงสถานภาพปิโตรดอลลาร์ต่อไป

    อย่างไรก็ตามการเปลี่ยแปลงเงินสกุลหลักของโลกแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแบบยืดเยื้อ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเครื่องมือเป็นเงินกู้เข้าแทรกแซงช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสถานภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเจ้าหนี้ของประเทศต่างๆที่มีพันธะผูกพันจำนวน 94 ประเทศ มีมูลค่าหนี้คงค้างกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ[1]

    นอกจากนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกยังคงเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกามากถึงร้อยละ 54.06[2] โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ออกพันธบัตรก่อหนี้มหาศาลมากถึง 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว[3] โดยยังไม่เพียงแค่ปัญหาว่าสหรัฐอเมริกาจะมีทางว่าจะชำระหนี้คืนได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

    การที่สหรัฐอเมริกาก่อหนี้อย่างมหาศาล อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศเทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ปริมาณอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐล้นระบบเกินความต้องการของอุปสงค์เงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงิน และทำให้ธนาคารกลางได้เพิ่มสัดส่วนเงินสกุลของคู่ค้าประเทศอื่นๆและทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาที่แท้จริงในเรื่องนี้คือปัญหา “ความไม่เชื่อมั่น” ในเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ก่อหนี้ไม่หยุด หรือไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง

    ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเสื่อมค่าลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้ยังคงรักษาเงินดอลลาร์สหรัฐให้เป็นที่ต้องการในทุนสำรองระหว่างประเทศต่อไป

    แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐอเมริกา กลับทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะทำให้ธุรกิจเอกชนในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สินครัวเรือน และหนี้สินส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การก่อหนี้เสีย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อสถานภาพธนาคารในสหรัฐอเมริกาด้วย

    ปรากฏการณ์เพียงแค่ธนาคารกลางผ่อนปรนลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาคารกลางลงเท่านั้น เม็ดเงินทั่วโลกก็ได้ทยอยเทขายทรัพย์สินในเงินดอลลาร์สหรัฐไหลไปสู่ทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าทันที และทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงฉับพลันและยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าอย่างต่อเนื่องด้วย

    และนั่นทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกเปลี่ยนมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และทำให้ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินสกุลหลายประเทศในเอเชียจึงแข็งค่าขึ้น

    โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศติดอันดับโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป็นเป้าหมายในการลงทุนไปด้วย ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทะยานต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่าถูกนำมาแปลงสภาพผ่านทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าในตลาดหุ้น กองทุน หรือพันธบัตรในเอเชีย ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนกลับยิ่งมีเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

    ราคาทองคำจึงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

    และเมื่อมีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะตั้งเป้าโจมตีทำลายแหล่งปิโตรเลียมอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกราคาเพิ่มสูงขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ด้วยเพราะธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกพยายามจะได้พยายามลดการถือครองพันธบัตร เพื่อหวังจะทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศจากเงินดอลลาร์สหรัฐให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆ หรือทองคำนั้นให้มากขึ้นนั้น เป็นการคิดพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ

    อย่างไรก็ตามประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเท่ากับว่าประเทศนั้นถือครองทรัพย์สินที่อ่อนค่าลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมทำให้สกุลเงินในประเทศที่มีทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าไปด้วยอยู่ดี

    เมื่อถึงสถานการณ์ที่นโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางกลายเป็นข้อจำกัด และถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง หากสหรัฐอเมริกาจะยังคงสถานภาพเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อต้องบีบให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด

    สถานการณ์ใกล้ตีบตันแล้ว จึงเหลือหนทางแค่ 2 ทางเท่านั้น

    หนทางที่หนึ่ง คือ “ก่อสงคราม” เพื่อทำให้ประเทศที่มีสงครามต้องสั่งซื้อ สั่งผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น และเมื่ออาวุธ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ขายในรูปของดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งมีความต้องการเงินดอลลาร์ศหรัฐมากขึ้น

    การสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดสงครามยังจะเป็นผลทำให้ราคาปิโตรเลียมทั่วโลกราคาสูงขึ้น และทำให้ดึงความมั่งคั่งของโลกมาซื้อทรัพยากรปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกามากขึ้น

    ตัวอย่างสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริการสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลทั้งจากธุรกิจอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดสนับสนุนอิสราเอลเพื่อก่อสงครามในตะวันออกลาง ก็เพื่อเร่งการซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้มากขึ้น

    อย่างไรก็ตามแสนยานุภาพของมหาอำนาจหลายขั้วอยู่ในระดับที่ไม่แพ้กัน ทำให้การก่อสงครามด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นลักษณะของการจำกัดพื้นที่ ”ในประเทศอื่นๆ“ และให้มีความยืดเยื้อ และมีเป้าหมายในการทำลายแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

    หนทางที่สอง “ก่อโรคระบาดใหม่” เพื่อทำให้ทุกประเทศต้องก่อหนี้สินมหาศาลในการช่วยเหลือประชาชน หากล้มละลาย และยังเป็นการดูดความมั่งคั่งเหล่านี้ไปซื้อวัคซีน และยารักษาโรคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป

    หากประเทศเหล่านั้นยากจนเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องให้มีการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นหนทางในการบีบให้ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศนั้นๆอยู่ดี

    และเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยสูงในการรักษาการยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา “แบบสันติวิธี” ได้นานกว่านี้ได้แล้ว

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อมูลของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้พิสูจน์ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับที่ก่อสงคราม หรือการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้อันมหาศาลของหลายประเทศนั้น ได้ส่งผลดำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังคงเป็นยุทธวิธีที่ดำรงสถานภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐได้[4]

    โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง[4] สถานการณ์นี้เป็นตัวนบีบเงื่อนไขในรักษาเงินดอลลาร์ “มีเวลาน้อยลง” เรื่อยๆ

    ดังนั้นโลกกำลังเข้าสู่ความเสี่ยงในการเร่งทำสงครามจำกัดพื้นที่แต่ยืดเยื้ออย่างชัดเจนขึ้น โดยมีเป้าหมายในการทำลาายแหล่งปิโตรเลียมของประเทศที่ออกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ

    แต่หากความเสียหายเกิดขึ้นเกินกว่าที่ประเทศที่ถูกอิสราเอลหรือนาโต้จะรับได้ ทั้งต่อประเทศในตะวันออกกลางคู่ขัดแย้งกับอิสราเอล หรือ การทำสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม “ความยืดเยื้อ” ในระหว่างประเทศอาจถูกทำให้ยุติ ได้ด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการทำสงครามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

    ซึ่งเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจทั่วโลกพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์​

    เพราะหากถึงจุดนั้น ก็เท่ากับสงครามต้อง “หมดยก” และต้องยุติลงด้วยชัยชนะหรือพ่ายแพ้กันไปข้างหนึ่ง และทำให้สงครามเศรษฐกิจที่เพิ่มความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐต้องยุติลงฉับพลันเช่นกัน

    เมื่อสถานการณ์การเร่งสถานการณ์สงครามมีความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจในมิติการก่อสงคราม จึงเหลืออีกหนทางหนึ่งคือ “การก่อโรคระบาด” ที่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำให้ทั่วโลกต้องมาหาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาซื้อวัคซีนหรือยารักษาโรคที่มีราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา

    ในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะมีผู้นำที่มาชี้นำทางความคิดในการเตรียมตัวในการรับมือกับสถานการณสงครามโลก สงครามโรค ในสงครามความโลภทั้งหลาย

    โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางด้าน ”ความมั่นคงทางพลังงาน, ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางยาสมุนไพรเพื่อการพี่งพาตนเอง“

    เอาจริงๆแล้วยังไม่เห็นรัฐบาลเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้เลย

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    4 ตุลาคม 2567

    อ้างอิง
    [1] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Total IMF Credit Outstanding �Movement From September 01, 2024 to October 01
    https://www.imf.org/external/np/fin/tad/balmov2.aspx?type=TOTAL

    [2] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserve (COFER), World allocated Reserves by Currency for 2023 Q2
    https://data.imf.org/?sk=e6a5f467-c14b-4aa8-9f6d-5a09ec4e62a4

    [3] Peterson G. Foundation, What is the National Debt Today?,
    https://www.pgpf.org/national-debt-clock?gad_source=1&gbraid=0AAAAABdefgYCJ8Ko6Ivna9fcfHx0Y_lqt&gclid=EAIaIQobChMIhbGExczxiAMVyqpLBR2NuhvEEAAYASAAEgJXjvD_BwE

    [4] marketwatch, US Dollar Index(DXY)
    https://www.marketwatch.com/investing/index/dxy
    ยิ่งไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยสูงตรึงเงินดอลลาร์ได้ ยิ่งเร่งสงครามโลกและสงครามโรคเร็วขึ้น/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ความขัดแย้งกันในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาในยุคนี้ด้วยว่า นอกจากมาตรการตอบโต้กันทางด้านการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ สงครรามทุนระหว่างประเทศ สงครามค่าเงิน ถึงขนาดที่เรียกว่าเรื่องนี้อาจมีจุดจบที่ต้องมีฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะกันไปข้างหนึ่ง โดยเฉพาะสถานภาพของเงินสกุลสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถดำรงสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายปิโตรเลียมที่ไม่ได้ยึถถือเงินสกุลดอลลาร์ (ปิโตรดอลลาร์)แต่เพียงสกุลเดียวได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลือกหนทางในการทำให้เกิดการโจมตีแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช่พันธมิตรอเมริกาทั่วโลก เพื่อให้ราคาปิโตรเลียมของธุรกิจในเครือสหรัฐอเมริกายังคงดำรงสถานภาพปิโตรดอลลาร์ต่อไป อย่างไรก็ตามการเปลี่ยแปลงเงินสกุลหลักของโลกแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแบบยืดเยื้อ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเครื่องมือเป็นเงินกู้เข้าแทรกแซงช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสถานภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเจ้าหนี้ของประเทศต่างๆที่มีพันธะผูกพันจำนวน 94 ประเทศ มีมูลค่าหนี้คงค้างกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ[1] นอกจากนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกยังคงเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกามากถึงร้อยละ 54.06[2] โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ออกพันธบัตรก่อหนี้มหาศาลมากถึง 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว[3] โดยยังไม่เพียงแค่ปัญหาว่าสหรัฐอเมริกาจะมีทางว่าจะชำระหนี้คืนได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร การที่สหรัฐอเมริกาก่อหนี้อย่างมหาศาล อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศเทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ปริมาณอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐล้นระบบเกินความต้องการของอุปสงค์เงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงิน และทำให้ธนาคารกลางได้เพิ่มสัดส่วนเงินสกุลของคู่ค้าประเทศอื่นๆและทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่แท้จริงในเรื่องนี้คือปัญหา “ความไม่เชื่อมั่น” ในเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ก่อหนี้ไม่หยุด หรือไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเสื่อมค่าลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้ยังคงรักษาเงินดอลลาร์สหรัฐให้เป็นที่ต้องการในทุนสำรองระหว่างประเทศต่อไป แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐอเมริกา กลับทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะทำให้ธุรกิจเอกชนในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สินครัวเรือน และหนี้สินส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การก่อหนี้เสีย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อสถานภาพธนาคารในสหรัฐอเมริกาด้วย ปรากฏการณ์เพียงแค่ธนาคารกลางผ่อนปรนลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาคารกลางลงเท่านั้น เม็ดเงินทั่วโลกก็ได้ทยอยเทขายทรัพย์สินในเงินดอลลาร์สหรัฐไหลไปสู่ทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าทันที และทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงฉับพลันและยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าอย่างต่อเนื่องด้วย และนั่นทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกเปลี่ยนมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และทำให้ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินสกุลหลายประเทศในเอเชียจึงแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศติดอันดับโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป็นเป้าหมายในการลงทุนไปด้วย ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทะยานต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่าถูกนำมาแปลงสภาพผ่านทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าในตลาดหุ้น กองทุน หรือพันธบัตรในเอเชีย ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนกลับยิ่งมีเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ราคาทองคำจึงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และเมื่อมีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะตั้งเป้าโจมตีทำลายแหล่งปิโตรเลียมอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกราคาเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยเพราะธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกพยายามจะได้พยายามลดการถือครองพันธบัตร เพื่อหวังจะทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศจากเงินดอลลาร์สหรัฐให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆ หรือทองคำนั้นให้มากขึ้นนั้น เป็นการคิดพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ตามประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเท่ากับว่าประเทศนั้นถือครองทรัพย์สินที่อ่อนค่าลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมทำให้สกุลเงินในประเทศที่มีทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าไปด้วยอยู่ดี เมื่อถึงสถานการณ์ที่นโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางกลายเป็นข้อจำกัด และถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง หากสหรัฐอเมริกาจะยังคงสถานภาพเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อต้องบีบให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด สถานการณ์ใกล้ตีบตันแล้ว จึงเหลือหนทางแค่ 2 ทางเท่านั้น หนทางที่หนึ่ง คือ “ก่อสงคราม” เพื่อทำให้ประเทศที่มีสงครามต้องสั่งซื้อ สั่งผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น และเมื่ออาวุธ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ขายในรูปของดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งมีความต้องการเงินดอลลาร์ศหรัฐมากขึ้น การสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดสงครามยังจะเป็นผลทำให้ราคาปิโตรเลียมทั่วโลกราคาสูงขึ้น และทำให้ดึงความมั่งคั่งของโลกมาซื้อทรัพยากรปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกามากขึ้น ตัวอย่างสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริการสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลทั้งจากธุรกิจอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดสนับสนุนอิสราเอลเพื่อก่อสงครามในตะวันออกลาง ก็เพื่อเร่งการซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามแสนยานุภาพของมหาอำนาจหลายขั้วอยู่ในระดับที่ไม่แพ้กัน ทำให้การก่อสงครามด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นลักษณะของการจำกัดพื้นที่ ”ในประเทศอื่นๆ“ และให้มีความยืดเยื้อ และมีเป้าหมายในการทำลายแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หนทางที่สอง “ก่อโรคระบาดใหม่” เพื่อทำให้ทุกประเทศต้องก่อหนี้สินมหาศาลในการช่วยเหลือประชาชน หากล้มละลาย และยังเป็นการดูดความมั่งคั่งเหล่านี้ไปซื้อวัคซีน และยารักษาโรคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป หากประเทศเหล่านั้นยากจนเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องให้มีการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นหนทางในการบีบให้ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศนั้นๆอยู่ดี และเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยสูงในการรักษาการยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา “แบบสันติวิธี” ได้นานกว่านี้ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อมูลของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้พิสูจน์ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับที่ก่อสงคราม หรือการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้อันมหาศาลของหลายประเทศนั้น ได้ส่งผลดำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังคงเป็นยุทธวิธีที่ดำรงสถานภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐได้[4] โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง[4] สถานการณ์นี้เป็นตัวนบีบเงื่อนไขในรักษาเงินดอลลาร์ “มีเวลาน้อยลง” เรื่อยๆ ดังนั้นโลกกำลังเข้าสู่ความเสี่ยงในการเร่งทำสงครามจำกัดพื้นที่แต่ยืดเยื้ออย่างชัดเจนขึ้น โดยมีเป้าหมายในการทำลาายแหล่งปิโตรเลียมของประเทศที่ออกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ แต่หากความเสียหายเกิดขึ้นเกินกว่าที่ประเทศที่ถูกอิสราเอลหรือนาโต้จะรับได้ ทั้งต่อประเทศในตะวันออกกลางคู่ขัดแย้งกับอิสราเอล หรือ การทำสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม “ความยืดเยื้อ” ในระหว่างประเทศอาจถูกทำให้ยุติ ได้ด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการทำสงครามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย ซึ่งเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจทั่วโลกพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์​ เพราะหากถึงจุดนั้น ก็เท่ากับสงครามต้อง “หมดยก” และต้องยุติลงด้วยชัยชนะหรือพ่ายแพ้กันไปข้างหนึ่ง และทำให้สงครามเศรษฐกิจที่เพิ่มความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐต้องยุติลงฉับพลันเช่นกัน เมื่อสถานการณ์การเร่งสถานการณ์สงครามมีความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจในมิติการก่อสงคราม จึงเหลืออีกหนทางหนึ่งคือ “การก่อโรคระบาด” ที่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำให้ทั่วโลกต้องมาหาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาซื้อวัคซีนหรือยารักษาโรคที่มีราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา ในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะมีผู้นำที่มาชี้นำทางความคิดในการเตรียมตัวในการรับมือกับสถานการณสงครามโลก สงครามโรค ในสงครามความโลภทั้งหลาย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางด้าน ”ความมั่นคงทางพลังงาน, ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางยาสมุนไพรเพื่อการพี่งพาตนเอง“ เอาจริงๆแล้วยังไม่เห็นรัฐบาลเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้เลย ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 4 ตุลาคม 2567 อ้างอิง [1] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Total IMF Credit Outstanding �Movement From September 01, 2024 to October 01 https://www.imf.org/external/np/fin/tad/balmov2.aspx?type=TOTAL [2] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserve (COFER), World allocated Reserves by Currency for 2023 Q2 https://data.imf.org/?sk=e6a5f467-c14b-4aa8-9f6d-5a09ec4e62a4 [3] Peterson G. Foundation, What is the National Debt Today?, https://www.pgpf.org/national-debt-clock?gad_source=1&gbraid=0AAAAABdefgYCJ8Ko6Ivna9fcfHx0Y_lqt&gclid=EAIaIQobChMIhbGExczxiAMVyqpLBR2NuhvEEAAYASAAEgJXjvD_BwE [4] marketwatch, US Dollar Index(DXY) https://www.marketwatch.com/investing/index/dxy
    Like
    Love
    Yay
    43
    3 Comments 3 Shares 528 Views 1 Reviews
  • รถโดยสารไฟไหม้
    'เด็กตาย' เพราะสภาพรถอันตรายแต่ถูกนำมาใช้
    และยังมีวิ่งอยู่ตามถนนอีกมากมาย
    เพราะระบบงานรักษากฎหมายไทย
    ไร้ประสิทธิภาพ!

    'พ.ต.อ.วิรุตม์' ชี้ กรณี รถโดยสารไฟไหม้ทำให้เด็กเสียชีวิตจำนวนมากนั้น ปัญหาสำคัญคือ 'สภาพรถ' ที่ไม่สมบูรณ์และอันตรายในการนำ
    มาใช้ ยางน่าจะหมดสภาพหรืออาจเกิดจากเหตุอื่นเกิดการเสียดสีไฟลุกไหม้จากถังแก๊สลามไปทั้งคันในเวลาอันรวดเร็ว ถือเป็นความประมาททั้งของ
    คนขับและเจ้าของรถผู้รับจ้างที่ไม่ดูแลยางรถให้อยู่ในสภาพดีมีความปลอดภัย มีความผิดทางอาญา

    ปัญหาไม่ใช่เรื่องครูพาเด็กไปทัศนศึกษา เพราะว่าเด็กทุกวัยควรมีโอกาสได้เรียนรู้ดูของจริงต่างๆ นอกสถานศึกษาบ้าง

    ประเด็นคือ รัฐจะจัดการอย่างไรให้ระบบงาน รักษากฏหมายเป็นไปด้วยความสุจริตและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
    ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนต้องใช้ชีวิตกันอยู่บนความเสี่ยงสารพัดที่รัฐ
    ไม่ควบคุมดูแลตามหน้าที่เช่นทุกวันนี้ และการแก้ปัญหาไม่ควรเน้นไปที่คำแนะนำในการเอาชีวิตรอดจากรถเกิดไฟไหม้
    จะเปิดประตูจะทุบกระจกอย่างไร?
    เพราะในเหตุการณ์จริงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้โดยสารจำนวนมากจะปีนป่ายออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็วขณะไฟกำลังลุกไหม้

    หัวใจคือ แม้รถโดยสารสาธารณะจะเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าลักษณะใด ไฟก็ไม่ควรลุกไหม้ได้ง่ายๆ ต่างหาก

    พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
    เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
    4 ตุลาคม 2567

    ที่มา : @สืบจากข่าว

    https://www.facebook.com/share/v/Xzc3tJQkbnR5wrAB/
    รถโดยสารไฟไหม้ 'เด็กตาย' เพราะสภาพรถอันตรายแต่ถูกนำมาใช้ และยังมีวิ่งอยู่ตามถนนอีกมากมาย เพราะระบบงานรักษากฎหมายไทย ไร้ประสิทธิภาพ! 'พ.ต.อ.วิรุตม์' ชี้ กรณี รถโดยสารไฟไหม้ทำให้เด็กเสียชีวิตจำนวนมากนั้น ปัญหาสำคัญคือ 'สภาพรถ' ที่ไม่สมบูรณ์และอันตรายในการนำ มาใช้ ยางน่าจะหมดสภาพหรืออาจเกิดจากเหตุอื่นเกิดการเสียดสีไฟลุกไหม้จากถังแก๊สลามไปทั้งคันในเวลาอันรวดเร็ว ถือเป็นความประมาททั้งของ คนขับและเจ้าของรถผู้รับจ้างที่ไม่ดูแลยางรถให้อยู่ในสภาพดีมีความปลอดภัย มีความผิดทางอาญา ปัญหาไม่ใช่เรื่องครูพาเด็กไปทัศนศึกษา เพราะว่าเด็กทุกวัยควรมีโอกาสได้เรียนรู้ดูของจริงต่างๆ นอกสถานศึกษาบ้าง ประเด็นคือ รัฐจะจัดการอย่างไรให้ระบบงาน รักษากฏหมายเป็นไปด้วยความสุจริตและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนต้องใช้ชีวิตกันอยู่บนความเสี่ยงสารพัดที่รัฐ ไม่ควบคุมดูแลตามหน้าที่เช่นทุกวันนี้ และการแก้ปัญหาไม่ควรเน้นไปที่คำแนะนำในการเอาชีวิตรอดจากรถเกิดไฟไหม้ จะเปิดประตูจะทุบกระจกอย่างไร? เพราะในเหตุการณ์จริงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้โดยสารจำนวนมากจะปีนป่ายออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็วขณะไฟกำลังลุกไหม้ หัวใจคือ แม้รถโดยสารสาธารณะจะเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าลักษณะใด ไฟก็ไม่ควรลุกไหม้ได้ง่ายๆ ต่างหาก พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 4 ตุลาคม 2567 ที่มา : @สืบจากข่าว https://www.facebook.com/share/v/Xzc3tJQkbnR5wrAB/
    0 Comments 0 Shares 187 Views 56 0 Reviews
  • 🇮🇱 อิสราเอล, ซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป, กำลังคุกคามอิทธิพลของตะวันตก

    การเกิดขึ้นของโครงการไซออนิสต์เป็นผลมาจากมรดกของจักรวรรดินิยมยุโรปเป็นอย่างมาก, แต่การกระทำของอิสราเอลในตอนนี้กำลังคุกคามที่จะทำลายอำนาจครอบงำของตะวันตกที่กำลังจะล่มสลายลง, ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต แฟนตินา และ นิโค เฮาส์ ผู้วิจารณ์ในรายการ The Critical Hour ของสปุตนิก

    🗣️“จำไว้ว่า, 🤣อิสราเอลคือสัตว์ประหลาดที่สหรัฐฯสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่สหรัฐฯสูญเสียการควบคุม,”🤣 แฟนตินา กล่าวอ้าง “โอกาสที่อิสราเอลจะดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมีมากขึ้นทุกวัน, และนั่นจะเป็นหายนะสำหรับทุกคน”

    ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์, ผู้ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์, ได้คิดโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นที่เชื้อชาติโดยเฉพาะ, โดยพยายามขายแนวคิดเรื่อง “ป้อมปราการของอารยธรรม [ตะวันตก] เพื่อต่อต้านความป่าเถื่อน” ในโลกอาหรับให้กับชาวยุโรป อังกฤษเป็นหัวหอกในการสร้างอิสราเอลบนดินแดนที่ตนเคยยึดครองในเลแวนต์ แต่สหรัฐฯกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างรวดเร็ว การป้องกันอิสราเอลกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตะวันตกในตะวันออกกลาง แม้ว่าบางคนจะตั้งคำถามถึงผลที่ตามมาต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ของสหรัฐฯในวงกว้าง

    🗣️“ฉันเชื่อจริงๆว่า, สหรัฐฯต้องการข้อตกลงหยุดยิงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ในเลบานอน,” เฮาส์ กล่าว “[อิสราเอล] ไม่สามารถจัดการสงครามนั้นได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และนั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ”

    เฮาส์ตั้งข้อสังเกตว่า 🤣สหรัฐฯกำลังดิ้นรนท่ามกลางสงครามตัวแทนในยูเครน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯจะสนับสนุนสงครามหลายแนวรบของอิสราเอล,🤣 โดยอิหร่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม
    .
    🇮🇱 Israel, an outgrowth of European colonialism, now threatens West’s dominance

    The emergence of the Zionist project owes much to the legacy of European imperialism, but Israel’s conduct now threatens to bring a dying Western hegemony crashing down, according to commentators Robert Fantina and Niko House on Sputnik’s The Critical Hour program.

    🗣️“Remember, Israel is the monster of the US's creation and it's one that it's lost control of,” claimed Fantina. “The possibility of Israel pulling the United States into a war in the Middle East grows every day, and it would be a disaster for everyone.”

    Theodor Herzl, the founder of Zionism, conceived of the project in explicitly racial terms, attempting to sell Europeans on the concept of an “outpost of [Western] civilization against barbarism” in the Arab world. The UK spearheaded Israel’s creation in land it had colonized in the Levant but the US quickly became its most powerful backer. The defense of Israel has become a primary driver of Western policy in the Middle East even as some question the ramifications for US national security and American interests more broadly.

    🗣️“I do believe, honestly, that the United States did want a ceasefire agreement because they have interests in Lebanon,” said House. “[Israel] can't handle that war by themselves. So that means we're going to have to get involved and that is a very unpopular position here in the US.”

    House noted the US is struggling amid its proxy war in Ukraine as Prime Minister Netanyahu raises the prospect of US support for Israel’s multi-front war, with Iran representing a formidable opponent.
    .
    10:59 AM · Oct 4, 2024 · 4,447 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1842051857511784709
    🇮🇱 อิสราเอล, ซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป, กำลังคุกคามอิทธิพลของตะวันตก การเกิดขึ้นของโครงการไซออนิสต์เป็นผลมาจากมรดกของจักรวรรดินิยมยุโรปเป็นอย่างมาก, แต่การกระทำของอิสราเอลในตอนนี้กำลังคุกคามที่จะทำลายอำนาจครอบงำของตะวันตกที่กำลังจะล่มสลายลง, ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต แฟนตินา และ นิโค เฮาส์ ผู้วิจารณ์ในรายการ The Critical Hour ของสปุตนิก 🗣️“จำไว้ว่า, 🤣อิสราเอลคือสัตว์ประหลาดที่สหรัฐฯสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่สหรัฐฯสูญเสียการควบคุม,”🤣 แฟนตินา กล่าวอ้าง “โอกาสที่อิสราเอลจะดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมีมากขึ้นทุกวัน, และนั่นจะเป็นหายนะสำหรับทุกคน” ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์, ผู้ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์, ได้คิดโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นที่เชื้อชาติโดยเฉพาะ, โดยพยายามขายแนวคิดเรื่อง “ป้อมปราการของอารยธรรม [ตะวันตก] เพื่อต่อต้านความป่าเถื่อน” ในโลกอาหรับให้กับชาวยุโรป อังกฤษเป็นหัวหอกในการสร้างอิสราเอลบนดินแดนที่ตนเคยยึดครองในเลแวนต์ แต่สหรัฐฯกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างรวดเร็ว การป้องกันอิสราเอลกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตะวันตกในตะวันออกกลาง แม้ว่าบางคนจะตั้งคำถามถึงผลที่ตามมาต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ของสหรัฐฯในวงกว้าง 🗣️“ฉันเชื่อจริงๆว่า, สหรัฐฯต้องการข้อตกลงหยุดยิงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ในเลบานอน,” เฮาส์ กล่าว “[อิสราเอล] ไม่สามารถจัดการสงครามนั้นได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และนั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ” เฮาส์ตั้งข้อสังเกตว่า 🤣สหรัฐฯกำลังดิ้นรนท่ามกลางสงครามตัวแทนในยูเครน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯจะสนับสนุนสงครามหลายแนวรบของอิสราเอล,🤣 โดยอิหร่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม . 🇮🇱 Israel, an outgrowth of European colonialism, now threatens West’s dominance The emergence of the Zionist project owes much to the legacy of European imperialism, but Israel’s conduct now threatens to bring a dying Western hegemony crashing down, according to commentators Robert Fantina and Niko House on Sputnik’s The Critical Hour program. 🗣️“Remember, Israel is the monster of the US's creation and it's one that it's lost control of,” claimed Fantina. “The possibility of Israel pulling the United States into a war in the Middle East grows every day, and it would be a disaster for everyone.” Theodor Herzl, the founder of Zionism, conceived of the project in explicitly racial terms, attempting to sell Europeans on the concept of an “outpost of [Western] civilization against barbarism” in the Arab world. The UK spearheaded Israel’s creation in land it had colonized in the Levant but the US quickly became its most powerful backer. The defense of Israel has become a primary driver of Western policy in the Middle East even as some question the ramifications for US national security and American interests more broadly. 🗣️“I do believe, honestly, that the United States did want a ceasefire agreement because they have interests in Lebanon,” said House. “[Israel] can't handle that war by themselves. So that means we're going to have to get involved and that is a very unpopular position here in the US.” House noted the US is struggling amid its proxy war in Ukraine as Prime Minister Netanyahu raises the prospect of US support for Israel’s multi-front war, with Iran representing a formidable opponent. . 10:59 AM · Oct 4, 2024 · 4,447 Views https://x.com/SputnikInt/status/1842051857511784709
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • มาเถอะ ถึงเวลาแล้ว พี่น้องไทย วิญญาณ ไทย ในดินน้ำฟ้า ป่า อากาศ ธรรมชาติ เทวธาตุ อวกาศ ธาตุ​​
    แต่นี้ ป่าจะล้อมเมือง อวกาศ จะครอบงำ ทุกดวงดาว อวกาศ คือพ่อแม่ พ่อแม่จะทวงคืนความยุติธรรม
    ​​ประชาธิปไตย ทางตรง อำนาจ ปชช ทางตรงเท่ากัน เปลี่ยนเกมส์ ใหม่ เกมส์ ของ ทุกคน ไม่ใช่ 500 ตระกูล
    โลกใหม่พึ่งเริ่ม ทุกคน มีส่วนเป้นพระผู้สร้างร่วม มาๆๆๆ
    ของๆ คนไทย ไม่ดี เหมือน ฝรั่ง แต่ ปลอดภัยกว่ามากๆๆ
    ตึ้งๆ ตึ้งๆ ตึ้งๆ​​
    ตึ่งๆ ตึ่งๆ ตึ่งๆ
    ประชาธิปไตยทางตรง อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข + ระบบ ศีลธรรมคุณธรรม เป็น ธรรมนูญ ปชช เกินครึงใช้อำนาจทั้ง 3 การเงิน นโยบาย การควบคุม ทางตรง ด้วยเสียงเกิน กึ่ง โหวดผ่าน ควอนตั้งอินเตอร์เน็ต ตัดอำนาจคนกลางและอำนาจการเงิน พวกเขาโดยสิ้นเชิง แต่ จ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวได้ และให้โบนัส ในถานะผู้อาสารับใน ปชช อย่างแท้ จริง Civil servants. โลกใหม่ จะเปลี่ยนไป นักการเมือง ทุกประเทศ จะหมดอำนาจ ปชช ชาวโลก สันติสุข จะเป็นใหญ่ นักการเมือง ไม่ต้องแย่งชิง เราเอา ส้วมออก หมาจะไม่แย่งอึ๊ อีกต่อไป😊 ไทยจะเป็นตัวอย่างดีๆ ของดลกใหม่ เขาจะมา สนใจงานของเรา งานมีสเน่ห์ แบบ น้องหมูเด้ง ที่ฝรั่งต้องเขามาเรียนมาสนใจมาดู ที่ไหนๆ ที่ให้ความสงบของใจ เขาทำได้อย่างไร สันติสุขความดี ศีลธรรม ความถูกต้อง ความยุติธรรม เริ่มได้อย่าไร อนุโมทนา พ่อแม่พี่น้อง ลุกหลานหลวงตา ผู้มีส่วนร่วม สร้างโลกใหม่ ของ ทุกคน ที่จะมาเกิดใหม่ นะครับ😊
    😊
    มาเถอะ ถึงเวลาแล้ว พี่น้องไทย วิญญาณ ไทย ในดินน้ำฟ้า ป่า อากาศ ธรรมชาติ เทวธาตุ อวกาศ ธาตุ​​ แต่นี้ ป่าจะล้อมเมือง อวกาศ จะครอบงำ ทุกดวงดาว อวกาศ คือพ่อแม่ พ่อแม่จะทวงคืนความยุติธรรม ​​ประชาธิปไตย ทางตรง อำนาจ ปชช ทางตรงเท่ากัน เปลี่ยนเกมส์ ใหม่ เกมส์ ของ ทุกคน ไม่ใช่ 500 ตระกูล โลกใหม่พึ่งเริ่ม ทุกคน มีส่วนเป้นพระผู้สร้างร่วม มาๆๆๆ ของๆ คนไทย ไม่ดี เหมือน ฝรั่ง แต่ ปลอดภัยกว่ามากๆๆ ตึ้งๆ ตึ้งๆ ตึ้งๆ​​ ตึ่งๆ ตึ่งๆ ตึ่งๆ ประชาธิปไตยทางตรง อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข + ระบบ ศีลธรรมคุณธรรม เป็น ธรรมนูญ ปชช เกินครึงใช้อำนาจทั้ง 3 การเงิน นโยบาย การควบคุม ทางตรง ด้วยเสียงเกิน กึ่ง โหวดผ่าน ควอนตั้งอินเตอร์เน็ต ตัดอำนาจคนกลางและอำนาจการเงิน พวกเขาโดยสิ้นเชิง แต่ จ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวได้ และให้โบนัส ในถานะผู้อาสารับใน ปชช อย่างแท้ จริง Civil servants. โลกใหม่ จะเปลี่ยนไป นักการเมือง ทุกประเทศ จะหมดอำนาจ ปชช ชาวโลก สันติสุข จะเป็นใหญ่ นักการเมือง ไม่ต้องแย่งชิง เราเอา ส้วมออก หมาจะไม่แย่งอึ๊ อีกต่อไป😊 ไทยจะเป็นตัวอย่างดีๆ ของดลกใหม่ เขาจะมา สนใจงานของเรา งานมีสเน่ห์ แบบ น้องหมูเด้ง ที่ฝรั่งต้องเขามาเรียนมาสนใจมาดู ที่ไหนๆ ที่ให้ความสงบของใจ เขาทำได้อย่างไร สันติสุขความดี ศีลธรรม ความถูกต้อง ความยุติธรรม เริ่มได้อย่าไร อนุโมทนา พ่อแม่พี่น้อง ลุกหลานหลวงตา ผู้มีส่วนร่วม สร้างโลกใหม่ ของ ทุกคน ที่จะมาเกิดใหม่ นะครับ😊 😊
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • อดีตแม่ทัพ 4 หนีศาล 'พิศาล' โดนหมายจับ สภาเปิดทางจับได้เลย
    .
    ในขณะที่กองทัพต้องการให้ชายไทยเข้ามารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีอดีตนายทหารระดับแม่ทัพหนีคดีไม่ยอมมาขึ้นศาล โดยเอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนายทหารคนที่ว่านั้น คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยในคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ โดยล่าสุด ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ พล.อ.พิศาล แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีไม่มาตามศาลตามกำหนด ซึ่งเป็นตามคำร้องทนายโจทก์ขอให้ศาลออกหมายจับ
    .
    แม้พล.อ.พิศาล จะเป็นส.ส. แต่ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เลขาธิการศาลยุติธรรมเคยมีหนังสือมาถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขออนุญาตดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาล ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และมีหนังสือตอบกลับไปยังเลขาธิการศาลยุติธรรม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ คือ สามารถดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาลได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาขออนุมัติจากสภา ดังนั้น หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะจับกุม พล.อ.พิศาลหรือไม่ เพราะสภาได้มีมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องมาขออนุญาตต่อสภาอีก
    .
    ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิศาล ไม่เคยมาประชุมสภาเลยนั้น เลขาธิการสภากล่าวว่า พล.อ.พิศาลได้ยื่นหนังสือลาประชุมต่อสภาโดยอ้างเหตุผลว่าป่วย และเดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 30 ตุลาคม ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาได้เซ็นหนังสืออนุมัติให้
    .
    “หลังจากนี้เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าเจอตัว พล.อ.พิศาล ก็สามารถจับได้เลยเพียงแต่ว่าวันไหนที่มีการประชุมสภา ศาลก็ต้องปล่อยตัว พล.อ.พิศาลให้กลับมาประชุม พอประชุมเสร็จแล้วให้นำตัวกลับไปควบคุมใหม่” ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์กล่าว
    .
    การควบคุมตัวพล.อ.พิศาล มาดำเนินคดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้
    ................
    Sondhi X
    อดีตแม่ทัพ 4 หนีศาล 'พิศาล' โดนหมายจับ สภาเปิดทางจับได้เลย . ในขณะที่กองทัพต้องการให้ชายไทยเข้ามารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีอดีตนายทหารระดับแม่ทัพหนีคดีไม่ยอมมาขึ้นศาล โดยเอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนายทหารคนที่ว่านั้น คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยในคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ โดยล่าสุด ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ พล.อ.พิศาล แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีไม่มาตามศาลตามกำหนด ซึ่งเป็นตามคำร้องทนายโจทก์ขอให้ศาลออกหมายจับ . แม้พล.อ.พิศาล จะเป็นส.ส. แต่ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เลขาธิการศาลยุติธรรมเคยมีหนังสือมาถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขออนุญาตดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาล ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และมีหนังสือตอบกลับไปยังเลขาธิการศาลยุติธรรม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ คือ สามารถดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาลได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาขออนุมัติจากสภา ดังนั้น หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะจับกุม พล.อ.พิศาลหรือไม่ เพราะสภาได้มีมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องมาขออนุญาตต่อสภาอีก . ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิศาล ไม่เคยมาประชุมสภาเลยนั้น เลขาธิการสภากล่าวว่า พล.อ.พิศาลได้ยื่นหนังสือลาประชุมต่อสภาโดยอ้างเหตุผลว่าป่วย และเดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 30 ตุลาคม ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาได้เซ็นหนังสืออนุมัติให้ . “หลังจากนี้เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าเจอตัว พล.อ.พิศาล ก็สามารถจับได้เลยเพียงแต่ว่าวันไหนที่มีการประชุมสภา ศาลก็ต้องปล่อยตัว พล.อ.พิศาลให้กลับมาประชุม พอประชุมเสร็จแล้วให้นำตัวกลับไปควบคุมใหม่” ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์กล่าว . การควบคุมตัวพล.อ.พิศาล มาดำเนินคดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ................ Sondhi X
    Like
    Love
    10
    0 Comments 1 Shares 496 Views 0 Reviews
  • #มีความพยายาม ที่จะเป็นคนดี 😀
    #รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ 😀
    #มีความพยายาม ที่จะเป็นคนดี 😀 #รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ 😀
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • 📚รีเบคก้า


    ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที

    ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ

    หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

    สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก

    🔻

    เนื้อเรื่องโดยย่อ

    หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง

    ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ

    แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่

    นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ

    ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง

    นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น

    🔶️

    เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก

    ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า

    การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้

    เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม

    มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง

    เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่

    ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า

    "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง"

    สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม)

    เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว

    #thaitimes
    #รีเบคกา
    #นิยายแปล
    #นิยาย
    #ลึกลับ
    #ความวิปริตทางเพศ
    #มอนติคาโล
    #ท่องเที่ยว
    #บ้านริมหาด
    #คฤหาสน์
    #หนังสือดี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    📚รีเบคก้า ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก 🔻 เนื้อเรื่องโดยย่อ หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่ นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น 🔶️ เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้ เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่ ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง" สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย . . . . . . . . . ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม) เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว #thaitimes #รีเบคกา #นิยายแปล #นิยาย #ลึกลับ #ความวิปริตทางเพศ #มอนติคาโล #ท่องเที่ยว #บ้านริมหาด #คฤหาสน์ #หนังสือดี #หนังสือน่าอ่าน #วรรณกรรมคลาสสิก
    0 Comments 0 Shares 698 Views 0 Reviews
  • พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องกรรมไว้อย่างลึกซึ้งว่า เราทุกคนเป็นทายาทแห่งกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว สิ่งที่เราทำในอดีตจะตามมาเป็นผลที่เราต้องเผชิญในอนาคต การพิจารณาให้เห็นความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราละเว้นจากการกระทำที่เป็นทุจริต และหันมาเดินในทางที่ถูกต้อง

    ในสมัยพุทธกาล ภิกษุที่มีสมาธิและญาณทัศนะสูงสามารถมองเห็นกรรมของตนเองและผู้อื่นได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความกลัวต่อกรรมที่ไม่ดีและพยายามละเลิกนิสัยเสียทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม สำหรับเราในยุคนี้ แม้เราอาจไม่สามารถเห็นกรรมหรือผลของกรรมได้อย่างแจ่มชัดเช่นเดียวกับภิกษุในสมัยนั้น แต่เราก็สามารถพิจารณาชีวิตของเราในปัจจุบันได้

    เมื่อเรามองย้อนกลับไปในชีวิต เราจะพบว่าความคิด การกระทำ และสิ่งที่เราเลือกทำในอดีต ยังคงส่งผลต่อชีวิตของเราในปัจจุบัน การที่ชีวิตคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ความคิด หรือพฤติกรรม แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต แต่สิ่งที่คงอยู่และตามมาคือผลกรรมจากการกระทำของเราในอดีต

    การตระหนักรู้ถึงกรรมและผลของกรรม จะทำให้เราเริ่มระวังตัวมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความกลัวในแบบเด็กๆ แต่เป็นความเข้าใจว่า สิ่งที่เราทำวันนี้จะส่งผลในอนาคต การพิจารณาว่าธรรมชาติมิได้บังเอิญสร้างสรรค์ความดีหรือความเลวให้กับใครบางคนโดยไม่มีเหตุผล แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นผลมาจากกรรมที่เคยสร้างไว้

    การเจริญสติและพิจารณาชีวิตด้วยปัญญาจะทำให้เราเห็นว่า กายนี้ ใจนี้ และชีวิตนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเลือกเดินบนเส้นทางกรรมที่เราเคยสร้างและกำลังสร้างอยู่ สิ่งนี้ทำให้เราต้องระมัดระวังการกระทำของเราในทุกขณะ เพราะกรรมที่เราทำในวันนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดเส้นทางชีวิตในอนาคตอย่างแน่นอน
    พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องกรรมไว้อย่างลึกซึ้งว่า เราทุกคนเป็นทายาทแห่งกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว สิ่งที่เราทำในอดีตจะตามมาเป็นผลที่เราต้องเผชิญในอนาคต การพิจารณาให้เห็นความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราละเว้นจากการกระทำที่เป็นทุจริต และหันมาเดินในทางที่ถูกต้อง ในสมัยพุทธกาล ภิกษุที่มีสมาธิและญาณทัศนะสูงสามารถมองเห็นกรรมของตนเองและผู้อื่นได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความกลัวต่อกรรมที่ไม่ดีและพยายามละเลิกนิสัยเสียทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม สำหรับเราในยุคนี้ แม้เราอาจไม่สามารถเห็นกรรมหรือผลของกรรมได้อย่างแจ่มชัดเช่นเดียวกับภิกษุในสมัยนั้น แต่เราก็สามารถพิจารณาชีวิตของเราในปัจจุบันได้ เมื่อเรามองย้อนกลับไปในชีวิต เราจะพบว่าความคิด การกระทำ และสิ่งที่เราเลือกทำในอดีต ยังคงส่งผลต่อชีวิตของเราในปัจจุบัน การที่ชีวิตคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ความคิด หรือพฤติกรรม แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต แต่สิ่งที่คงอยู่และตามมาคือผลกรรมจากการกระทำของเราในอดีต การตระหนักรู้ถึงกรรมและผลของกรรม จะทำให้เราเริ่มระวังตัวมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความกลัวในแบบเด็กๆ แต่เป็นความเข้าใจว่า สิ่งที่เราทำวันนี้จะส่งผลในอนาคต การพิจารณาว่าธรรมชาติมิได้บังเอิญสร้างสรรค์ความดีหรือความเลวให้กับใครบางคนโดยไม่มีเหตุผล แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นผลมาจากกรรมที่เคยสร้างไว้ การเจริญสติและพิจารณาชีวิตด้วยปัญญาจะทำให้เราเห็นว่า กายนี้ ใจนี้ และชีวิตนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเลือกเดินบนเส้นทางกรรมที่เราเคยสร้างและกำลังสร้างอยู่ สิ่งนี้ทำให้เราต้องระมัดระวังการกระทำของเราในทุกขณะ เพราะกรรมที่เราทำในวันนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดเส้นทางชีวิตในอนาคตอย่างแน่นอน
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • #ดวงรายวัน 4 ตุลาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: ค่อนข้างหนัก จะได้รับงานที่ยาก แต่ผลตอบแทนดี การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับการทำบุญ หรืออาจได้นำเงินไปช่วยเหลือคนอื่น และจะมีรายจ่ายเกี่ยวกับอาหารเครื่องดื่มราคาแพงๆ ความรัก:ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะคนเก่าๆ ปัญหาเก่าๆ หรือทะเลาะกันเรื่องเดิมๆที่ไม่ได้รับการแก้ไข คนโสด: จะเป็นช่วงที่มีเสน่ห์ มีคนเข้ามาพูดคุยคบหาหลายคน และ อาจทำให้เกิดปัญหา สุขภาพ: โรคอ้วน ข้อเข่า การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ งานจะสำเร็จ ต้องทำให้รอบคอบด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสีย หรือต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข การเงิน: จะมีรายจ่ายจุกจิก จ่ายแบบไม่รู้จักจบ แต่ไม่ติดขัดเพราะจะมีคนคอยช่วยเหลือ ความรัก:มีโอกาสทะเลาะกันรุนแรง อาจถึงขั้นเลิกรา คนโสด: จะมีคนอายุแก่กว่า หรือคนในเครื่องแบบ เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ปวดหัว ระบบประสาท ขี้หลงขี้ลืม ระวังลูกไม่สบาย การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ระวังจะลืมของ

    #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทางเกี่ยวกับเรื่องงาน จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องงาน การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับเครื่องประดับ ของสวยงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องคำพูดคำจา พูดไม่ถนอมน้ำใจกัน คนโสด: มีโอกาสพบคนถูกใจ และได้สานสัมพันธ์ สุขภาพ: เบาหวาน ความดัน สายตาไม่ดี ปวดตา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัยให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกล

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:ให้ระวังเรื่องเวลา มาสาย เพราะจะมีคนคอยจ้องจับผิด การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับบ้าน ของใช้ในบ้าน หรือหมดกับการลงทุน ความรัก: จะมีเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับลูก มีโอกาสทะเลาะขัดแย้งกันเพราะคนในครอบครัว คนโสด:จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน สุขภาพ:สิว ผิวหน้าผื่นแพ้ ปวดหลัง โรคกระดูก ให้ระวังการยกของหนักๆ การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันศุกร์...การงาน:งานดีงานเด่น หากว่างงานอยู่จะได้งาน หรือได้งานเพิ่มงานเสริม การเงิน:จะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยเหลือ โอกาสได้โชคลาภจากผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้อุปถัมภ์ มีรายจ่ายเกี่ยวกับรถหรือหมดกับลูก ความรัก: จะทะเลาะกันเพราะการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล คนโสด:จะมีคนเพศเดียวกันเข้ามาชอบมาจีบ สุขภาพ: โรคตามวัย ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เคยเป็นบ่อยๆจะกลับมา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน

    #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: ค่อนข้างเครียดทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การเงิน: มีค่าใช้จ่ายมารอแล้ว จะหมดกับหนี้สิน ใครมีหนี้อยู่ต้องรีบใช้ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาบานปลาย ความรัก: ระวังมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องปัญหาการเงินหนี้สิน คนโสด: จะมีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ตับ ไต ให้ระวังอาหารการกิน การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: จะมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงานให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาและเรื่องอารมณ์ การเงิน:มีรายจ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือหมดกับของที่เกิดจากกิเลสเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ความรัก:จะรักกันดี หากทะเลาะกันมีโอกาสได้คืนดีกัน คนโสด:จะมีคนทางแชททางออนไลน์เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ระบบสืบพันธุ์ ระบบประจำเดือน การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ถ้ามีเด็กเดินทางไปด้วยจะวุ่นวาย
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงรายวัน 4 ตุลาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: ค่อนข้างหนัก จะได้รับงานที่ยาก แต่ผลตอบแทนดี การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับการทำบุญ หรืออาจได้นำเงินไปช่วยเหลือคนอื่น และจะมีรายจ่ายเกี่ยวกับอาหารเครื่องดื่มราคาแพงๆ ความรัก:ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะคนเก่าๆ ปัญหาเก่าๆ หรือทะเลาะกันเรื่องเดิมๆที่ไม่ได้รับการแก้ไข คนโสด: จะเป็นช่วงที่มีเสน่ห์ มีคนเข้ามาพูดคุยคบหาหลายคน และ อาจทำให้เกิดปัญหา สุขภาพ: โรคอ้วน ข้อเข่า การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ งานจะสำเร็จ ต้องทำให้รอบคอบด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสีย หรือต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข การเงิน: จะมีรายจ่ายจุกจิก จ่ายแบบไม่รู้จักจบ แต่ไม่ติดขัดเพราะจะมีคนคอยช่วยเหลือ ความรัก:มีโอกาสทะเลาะกันรุนแรง อาจถึงขั้นเลิกรา คนโสด: จะมีคนอายุแก่กว่า หรือคนในเครื่องแบบ เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ปวดหัว ระบบประสาท ขี้หลงขี้ลืม ระวังลูกไม่สบาย การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ระวังจะลืมของ #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทางเกี่ยวกับเรื่องงาน จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องงาน การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับเครื่องประดับ ของสวยงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องคำพูดคำจา พูดไม่ถนอมน้ำใจกัน คนโสด: มีโอกาสพบคนถูกใจ และได้สานสัมพันธ์ สุขภาพ: เบาหวาน ความดัน สายตาไม่ดี ปวดตา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัยให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกล #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:ให้ระวังเรื่องเวลา มาสาย เพราะจะมีคนคอยจ้องจับผิด การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับบ้าน ของใช้ในบ้าน หรือหมดกับการลงทุน ความรัก: จะมีเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับลูก มีโอกาสทะเลาะขัดแย้งกันเพราะคนในครอบครัว คนโสด:จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน สุขภาพ:สิว ผิวหน้าผื่นแพ้ ปวดหลัง โรคกระดูก ให้ระวังการยกของหนักๆ การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันศุกร์...การงาน:งานดีงานเด่น หากว่างงานอยู่จะได้งาน หรือได้งานเพิ่มงานเสริม การเงิน:จะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยเหลือ โอกาสได้โชคลาภจากผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้อุปถัมภ์ มีรายจ่ายเกี่ยวกับรถหรือหมดกับลูก ความรัก: จะทะเลาะกันเพราะการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล คนโสด:จะมีคนเพศเดียวกันเข้ามาชอบมาจีบ สุขภาพ: โรคตามวัย ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เคยเป็นบ่อยๆจะกลับมา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: ค่อนข้างเครียดทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การเงิน: มีค่าใช้จ่ายมารอแล้ว จะหมดกับหนี้สิน ใครมีหนี้อยู่ต้องรีบใช้ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาบานปลาย ความรัก: ระวังมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องปัญหาการเงินหนี้สิน คนโสด: จะมีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ตับ ไต ให้ระวังอาหารการกิน การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: จะมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงานให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาและเรื่องอารมณ์ การเงิน:มีรายจ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือหมดกับของที่เกิดจากกิเลสเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ความรัก:จะรักกันดี หากทะเลาะกันมีโอกาสได้คืนดีกัน คนโสด:จะมีคนทางแชททางออนไลน์เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ระบบสืบพันธุ์ ระบบประจำเดือน การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ถ้ามีเด็กเดินทางไปด้วยจะวุ่นวาย ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • #ดวงรายวัน 4 ตุลาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: ค่อนข้างหนัก จะได้รับงานที่ยาก แต่ผลตอบแทนดี การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับการทำบุญ หรืออาจได้นำเงินไปช่วยเหลือคนอื่น และจะมีรายจ่ายเกี่ยวกับอาหารเครื่องดื่มราคาแพงๆ ความรัก:ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะคนเก่าๆ ปัญหาเก่าๆ หรือทะเลาะกันเรื่องเดิมๆที่ไม่ได้รับการแก้ไข คนโสด: จะเป็นช่วงที่มีเสน่ห์ มีคนเข้ามาพูดคุยคบหาหลายคน และ อาจทำให้เกิดปัญหา สุขภาพ: โรคอ้วน ข้อเข่า การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ งานจะสำเร็จ ต้องทำให้รอบคอบด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสีย หรือต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข การเงิน: จะมีรายจ่ายจุกจิก จ่ายแบบไม่รู้จักจบ แต่ไม่ติดขัดเพราะจะมีคนคอยช่วยเหลือ ความรัก:มีโอกาสทะเลาะกันรุนแรง อาจถึงขั้นเลิกรา คนโสด: จะมีคนอายุแก่กว่า หรือคนในเครื่องแบบ เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ปวดหัว ระบบประสาท ขี้หลงขี้ลืม ระวังลูกไม่สบาย การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ระวังจะลืมของ

    #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทางเกี่ยวกับเรื่องงาน จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องงาน การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับเครื่องประดับ ของสวยงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องคำพูดคำจา พูดไม่ถนอมน้ำใจกัน คนโสด: มีโอกาสพบคนถูกใจ และได้สานสัมพันธ์ สุขภาพ: เบาหวาน ความดัน สายตาไม่ดี ปวดตา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัยให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกล

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:ให้ระวังเรื่องเวลา มาสาย เพราะจะมีคนคอยจ้องจับผิด การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับบ้าน ของใช้ในบ้าน หรือหมดกับการลงทุน ความรัก: จะมีเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับลูก มีโอกาสทะเลาะขัดแย้งกันเพราะคนในครอบครัว คนโสด:จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน สุขภาพ:สิว ผิวหน้าผื่นแพ้ ปวดหลัง โรคกระดูก ให้ระวังการยกของหนักๆ การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันศุกร์...การงาน:งานดีงานเด่น หากว่างงานอยู่จะได้งาน หรือได้งานเพิ่มงานเสริม การเงิน:จะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยเหลือ โอกาสได้โชคลาภจากผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้อุปถัมภ์ มีรายจ่ายเกี่ยวกับรถหรือหมดกับลูก ความรัก: จะทะเลาะกันเพราะการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล คนโสด:จะมีคนเพศเดียวกันเข้ามาชอบมาจีบ สุขภาพ: โรคตามวัย ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เคยเป็นบ่อยๆจะกลับมา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน

    #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: ค่อนข้างเครียดทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การเงิน: มีค่าใช้จ่ายมารอแล้ว จะหมดกับหนี้สิน ใครมีหนี้อยู่ต้องรีบใช้ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาบานปลาย ความรัก: ระวังมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องปัญหาการเงินหนี้สิน คนโสด: จะมีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ตับ ไต ให้ระวังอาหารการกิน การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: จะมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงานให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาและเรื่องอารมณ์ การเงิน:มีรายจ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือหมดกับของที่เกิดจากกิเลสเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ความรัก:จะรักกันดี หากทะเลาะกันมีโอกาสได้คืนดีกัน คนโสด:จะมีคนทางแชททางออนไลน์เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ระบบสืบพันธุ์ ระบบประจำเดือน การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ถ้ามีเด็กเดินทางไปด้วยจะวุ่นวาย
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงรายวัน 4 ตุลาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...การงาน: ค่อนข้างหนัก จะได้รับงานที่ยาก แต่ผลตอบแทนดี การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับการทำบุญ หรืออาจได้นำเงินไปช่วยเหลือคนอื่น และจะมีรายจ่ายเกี่ยวกับอาหารเครื่องดื่มราคาแพงๆ ความรัก:ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะคนเก่าๆ ปัญหาเก่าๆ หรือทะเลาะกันเรื่องเดิมๆที่ไม่ได้รับการแก้ไข คนโสด: จะเป็นช่วงที่มีเสน่ห์ มีคนเข้ามาพูดคุยคบหาหลายคน และ อาจทำให้เกิดปัญหา สุขภาพ: โรคอ้วน ข้อเข่า การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันอังคาร...การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ งานจะสำเร็จ ต้องทำให้รอบคอบด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดผลเสีย หรือต้องนำไปปรับปรุงแก้ไข การเงิน: จะมีรายจ่ายจุกจิก จ่ายแบบไม่รู้จักจบ แต่ไม่ติดขัดเพราะจะมีคนคอยช่วยเหลือ ความรัก:มีโอกาสทะเลาะกันรุนแรง อาจถึงขั้นเลิกรา คนโสด: จะมีคนอายุแก่กว่า หรือคนในเครื่องแบบ เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ปวดหัว ระบบประสาท ขี้หลงขี้ลืม ระวังลูกไม่สบาย การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ระวังจะลืมของ #คนเกิดวันพุธ...การงาน: มีโอกาสได้เดินทางเกี่ยวกับเรื่องงาน จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องงาน การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับเครื่องประดับ ของสวยงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องคำพูดคำจา พูดไม่ถนอมน้ำใจกัน คนโสด: มีโอกาสพบคนถูกใจ และได้สานสัมพันธ์ สุขภาพ: เบาหวาน ความดัน สายตาไม่ดี ปวดตา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัยให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกล #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน:ให้ระวังเรื่องเวลา มาสาย เพราะจะมีคนคอยจ้องจับผิด การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับบ้าน ของใช้ในบ้าน หรือหมดกับการลงทุน ความรัก: จะมีเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับลูก มีโอกาสทะเลาะขัดแย้งกันเพราะคนในครอบครัว คนโสด:จะมีคนที่มีเจ้าของแล้วเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน สุขภาพ:สิว ผิวหน้าผื่นแพ้ ปวดหลัง โรคกระดูก ให้ระวังการยกของหนักๆ การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันศุกร์...การงาน:งานดีงานเด่น หากว่างงานอยู่จะได้งาน หรือได้งานเพิ่มงานเสริม การเงิน:จะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยเหลือ โอกาสได้โชคลาภจากผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้อุปถัมภ์ มีรายจ่ายเกี่ยวกับรถหรือหมดกับลูก ความรัก: จะทะเลาะกันเพราะการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล คนโสด:จะมีคนเพศเดียวกันเข้ามาชอบมาจีบ สุขภาพ: โรคตามวัย ระวังโรคประจำตัวกำเริบ หรือโรคที่เคยเป็นบ่อยๆจะกลับมา การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: ค่อนข้างเครียดทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การเงิน: มีค่าใช้จ่ายมารอแล้ว จะหมดกับหนี้สิน ใครมีหนี้อยู่ต้องรีบใช้ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาบานปลาย ความรัก: ระวังมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องปัญหาการเงินหนี้สิน คนโสด: จะมีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ: ท้องอืดท้องเฟ้อ ตับ ไต ให้ระวังอาหารการกิน การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: จะมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงานให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาและเรื่องอารมณ์ การเงิน:มีรายจ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือหมดกับของที่เกิดจากกิเลสเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ความรัก:จะรักกันดี หากทะเลาะกันมีโอกาสได้คืนดีกัน คนโสด:จะมีคนทางแชททางออนไลน์เข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ระบบสืบพันธุ์ ระบบประจำเดือน การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ถ้ามีเด็กเดินทางไปด้วยจะวุ่นวาย ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย แนะรัฐตรวจเข้มกลุ่มรถที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดงบฯ – สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ

    เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น สะท้อนความล้มเหลวในการป้องกัน และควบคุมการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนไทย ตอกย้ำสมญานามประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากการจราจรมากที่สุด สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และครองแชมป์อันดับ 1 ในอาเซียน
    อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยง ทั้งในด้านพฤติกรรมการขับขี่ ความรู้ในการเผชิญเหตุฉุกเฉิน ยังได้นำไปสู่การเปิดโปงข้อบกพร่องของ “ระบบตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย” โดยเฉพาะรถทัศนาจร หรือ “รถรับจ้างไม่ประจำทาง” ที่วิ่งให้บริการขวักไขว่ อันเป็นภาพคุ้นชินตาของคนไทย

    ‘ทีดีอาร์ไอ’ เผยมีรถรับจ้างไม่ประจำทางเพียง 5% ผ่าน “มาตรฐานลุกไหม้”
    ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า แม้ว่ากรมการขนส่งทางบก จะมีความพยายามในการปรับปรุงมาตรฐานรถโดยสารขนาดใหญ่ในหลายประเด็น รวมถึงมาตรฐานด้านการลุกไหม้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดคุณสมบัติด้านการลุกไหม้การลามไฟของวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในรถโดยสาร แต่ปรากฎว่าประกาศดังกล่าวถูกเลื่อนการบังคับใช้อยู่เรื่อย ๆ
    ด้วยเหตุผลเพราะผู้ประกอบการ ไม่มีความพร้อมในการแบกรับต้นทุน จากการเปลี่ยนไปใช้วัสดุกันไฟที่มีราคาแพง จนกระทั่งสุดท้ายเพิ่งบังคับใช้ได้จริงในปี 2565 แต่กลับไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งหมายความว่าใช้บังคับได้เฉพาะกับรถที่จดทะเบียนใหม่ หรือ มีการปรับปรุงตัวถังใหม่ในปี 2565 เท่านั้น “รถคันที่เกิดเหตุก็เป็นหนึ่งในกรณี ที่ไม่เข้าเงื่อนไขของประกาศฉบับนี้ เนื่องจากมีการจดเบียนใหม่ในปี 2561”

    ดร.สุเมธ ระบุว่าปัจจุบันรถทัศนาจรในกลุ่มมาตรฐาน 1 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับรถคันที่เกิดเหตุ มีจำนวน 5,896 คัน และรถมาตรฐาน 4 หรือรถ 2 ชั้น มีจำนวน 4,972 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในจำนวนทั้งหมดกว่า 1 หมื่นคัน มีจำนวนเพียง 5% เท่านั้น ที่ผ่านมาตรฐานด้านการลุกไหม้ และอนุมานได้ว่าส่วนที่เหลืออีก 95% ที่เป็นรถจดทะเบียนก่อนประกาศดังกล่าวบังคับใช้ ยังไม่ถูกกำหนดให้มีมาตรฐานนี้ ขณะที่ในต่างประเทศเวลากำหนดมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้ จะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังด้วย และต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี

    “คาดว่ามีรถที่ไม่ผ่านหรือไม่ได้มาตรฐานใหม่ ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเป็นหมื่นคัน แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่วิ่งอยู่บนท้องถนนตอนนี้ เสมือนกับเป็นระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีกเมื่อไหร่ ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก ควรติดตามตรวจสอบรถในกลุ่มนี้ ที่ยังวิ่งอยู่ในระบบ เช่น ด้านมาตรฐานทนไฟ การชนด้านหน้า สภาพรถเป็นอย่างไร ติดก๊าซหรือไม่ ฯลฯ โดยเร่งกำหนดมาตรการอย่างเข้มข้นในรถกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน”

    จี้ ขบ.ตรวจเข้มรถเสี่ยงสูง – เสนอรัฐจัดงบฯหนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ
    ดร.สุเมธ เน้นย้ำว่าเหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจร ซึ่งความเสี่ยงนี้กระทบต่อสวัสดิภาพของประชาชน โจทย์ใหญ่ของรัฐคือจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้รถเหล่านี้มีมาตรฐานดีขึ้นได้อย่างไร ทั้งการเปลี่ยนวัสดุไวไฟ เช่น เบาะที่นั่ง ม่าน พรม ให้เป็นไปตามมาตรฐาน UNECE ซึ่งคือการใช้วัสดุที่ทนไฟได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟลุกไหม้จะไม่เร็วและแรง สามารถช่วยซื้อเวลาให้ผู้โดยสารหนีออกภายนอกตัวรถได้
    “ภาครัฐอาจจะต้องเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจต่าง ๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงไปยังผู้ประกอบการ หรือ อาจมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนในการปรับปรุงมาตรฐานรถ”

    สำหรับกรณีระยะเวลาการใช้งานของรถคันเกิดเหตุ ที่พบว่ามีการจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2513 นั้น ดร.สุเมธ กล่าวว่า องค์ประกอบหลักของรถจะมี 2 ส่วน คือ
    ส่วนที่ 1 : โครงหลัก หรือที่เรียกว่า “แชสซี” ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของรถ ซึ่งอยู่ด้านใต้ตัวรถติดกับโครงล้อ ซึ่งปกติรถขนาดใหญ่จะจดทะเบียนครั้งแรกด้วยแชสซี ซึ่งส่วนนี้มีอายุการใช้งาน 70-80 ปี
    ส่วนที่ 2 : ตัวถังรถ ประกอบไปด้วย หลังคา ประตู เบาะที่นั่ง โดยตัวถังรถมีอายุการใช้งาน 8-10 ปีเท่านั้น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ
    อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวถังรถหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเป็นหลักว่าต้องการเปลี่ยนหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการกำหนดอายุรถ หรือระยะเวลาการปรับปรุงสภาพรถ มีแต่การตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยกรมการขนส่งทางบก 2 ครั้งต่อปี

    “ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง จะมีการปรับปรุงความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร การตรวจสอบมีความเข้มงวดมากน้อยขนาดไหน ตรงนี้ล้วนเป็นประเด็น เพราะมาตรฐานการติดตั้ง ยังเป็นสิ่งที่มีความท้าทายในการตรวจสอบอยู่ หากการติดตั้งทำโดยช่างผู้ชำนาญการก็จะได้มาตรฐานสูง แต่ถ้าติดตั้งโดยไม่รัดกุมมากนัก ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ประกายไฟ ได้” ดร.สุเมธ ระบุ

    ยกระดับทัศนศึกษาปลอดภัย ซักซ้อม – วางแผน – ลงรายละเอียด รับมือเหตุไม่คาดคิด

    ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถึงเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการ ต้องทบทวนเชิงระบบ เพื่อสร้างแนวทางการไปทัศนศึกษาที่ปลอดภัย โดยปัจจุบันการไปทัศนศึกษาของเด็กมีอยู่ 2 รูปแบบ 1. ไปเช้า – เย็นกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทัศนศึกษาในช่วงปิดเทอมหนึ่ง ประมาณเดือนตุลาคม กับ 2. ทัศนศึกษาแบบพักค้างคืนจะอยู่ในช่วงเทอมสอง ซึ่งจะมีการเดินทางช่วงกลางคืน มีการใช้รถบัสสองชั้น การเกิดอุบัติเหตุจึงมักจะเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม

    นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า คณะผู้จัดกิจกรรมไปทัศนศึกษา ต้องวางแผนโดยการลงรายละเอียด ทั้งการเตรียมครูประจำรถกี่คนต่อจำนวนเด็ก ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เช่น อาจจะต้องเป็นครูหนึ่งคนต่อ 10 คน เป็นต้น หรือหากเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ หรือเกิดเพลิงไหม้ คุณครูก็ต้องรู้จักการใช้ถังดับเพลิง และถ้าจำเป็นต้องอพยพ คุณครูจะต้องวางแผนอพยพออกทางไหน ประตูอยู่ตรงจุดไหน เป็นต้น

    เสนอยกเลิกรถสองชั้นเด็ดขาด – เพิ่มวงเงินประกันภัยภาคบังคับ

    นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวถึงข้อเสนอในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ โดยเน้นย้ำการยกเลิกการใช้รถสองชั้นในการรับจ้างแบบไม่ประจำทาง อันเป็นสิ่งที่องค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้มีข้อเสนอเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ยังไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง รวมถึงรื้อระบบตรวจสภาพรถบริการขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันตรวจสภาพปีละสองครั้ง แต่ในบางประเทศตรวจทุกไตรมาส ซึ่งจริง ๆ ควรจะดูตามจํานวนการใช้งาน หรือกำหนดเป็นระยะเวลาตายตัวเพียงอย่างเดียว

    นอกจากนี้ เสนอให้ขยายวงเงินประกันภัยภาคบังคับ ของรถโดยสารแบบไม่ประจำทาง โดยเพิ่มวงเงินประกันเป็น 30 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันการทำประกันภัยรถภาคบังคับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 กำหนดความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน แต่มีข้อกำหนดวงเงินเฉลี่ยจ่ายจากวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง ซึ่งไม่ครอบคลุมความเสียหายเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

    “ความสูญเสียที่เกิดขึ้นต้องนำไปสู่การพัฒนากฎ ระเบียบ มาตรการต่าง ๆ และวิธีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรถโดยสาร” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าว

    จากอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ สู่ปัญหา “รถโรงเรียนไทยไม่ปลอดภัย”

    ความไม่ปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนไทย ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง และเปรียบเทียบมาตรฐานความปลอดภัยของไทยกับต่างประเทศ โดยล่าสุดในโซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูล รถรับส่งนักเรียนในสหรัฐ มีการควบคุมความปลอดภัยมากกว่ารถปกติถึง 70 เท่า ขณะที่ของญี่ปุ่นกรณีรถบัสทัศนศึกษา นอกจากการตรวจสอบมาตรฐานตัวรถที่เข้มงวด ยังมีการติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็วในการขับขี่อีกด้วย

    สำหรับประเทศไทย หากย้อนกลับไปที่ข้อมูลของ ศวปถ. และสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งระบุในคู่มือการจัดระบบรถโรงเรียนให้ปลอดภัยและเป็นธรรม พบว่าระหว่างปี 2562 – 2564 เกิดอุบัติเหตุกับรถโรงเรียนมากถึง 38 ครั้ง มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 431 ราย

    จากการสํารวจข้อมูลรถโรงเรียนทุกภูมิภาค ได้สะท้อนภาพปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง 3 ปมปัญหาใหญ่ที่รอเวลาเกิดเหตุ ได้แก่

    สภาพรถที่ไม่ได้มาตรฐาน : ดัดแปลงรถ ไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ควรมี เช่น ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง เป็นต้น

    ผู้ขับประมาทไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร : ใช้ประสบการณ์ความเคยชินขับเร็วเสี่ยงอันตราย ขาดความรู้ความเข้าใจบทบาทการขับรถส่งนักเรียน

    ขาดระบบจัดการรถที่ดี : ขาดระบบกำกับควบคุมผู้ขับขี่ รวมถึงกลไกสนับสนุนเพื่อให้เกิดระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ

    แม้การเพิ่มมาตรการและความเข้มงวดภายหลังเกิดเหตุ จะหนีไม่พ้นคำพูดที่ว่า “วัวหายล้อมคอก” แต่ในบริบทของประเทศไทย เมื่อเกิดบทเรียนขึ้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันล้อมคอกไม่ให้เกิดเหตุสลด เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

    ที่มา https://thaipublica.org/2024/10/tdri-reveals-95-of-non-regular-taxis-are-ticking-time-bombs-on-thai-roads/

    #Thaitimes
    ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย แนะรัฐตรวจเข้มกลุ่มรถที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดงบฯ – สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น สะท้อนความล้มเหลวในการป้องกัน และควบคุมการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนไทย ตอกย้ำสมญานามประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากการจราจรมากที่สุด สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และครองแชมป์อันดับ 1 ในอาเซียน อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยง ทั้งในด้านพฤติกรรมการขับขี่ ความรู้ในการเผชิญเหตุฉุกเฉิน ยังได้นำไปสู่การเปิดโปงข้อบกพร่องของ “ระบบตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย” โดยเฉพาะรถทัศนาจร หรือ “รถรับจ้างไม่ประจำทาง” ที่วิ่งให้บริการขวักไขว่ อันเป็นภาพคุ้นชินตาของคนไทย ‘ทีดีอาร์ไอ’ เผยมีรถรับจ้างไม่ประจำทางเพียง 5% ผ่าน “มาตรฐานลุกไหม้” ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า แม้ว่ากรมการขนส่งทางบก จะมีความพยายามในการปรับปรุงมาตรฐานรถโดยสารขนาดใหญ่ในหลายประเด็น รวมถึงมาตรฐานด้านการลุกไหม้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดคุณสมบัติด้านการลุกไหม้การลามไฟของวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในรถโดยสาร แต่ปรากฎว่าประกาศดังกล่าวถูกเลื่อนการบังคับใช้อยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลเพราะผู้ประกอบการ ไม่มีความพร้อมในการแบกรับต้นทุน จากการเปลี่ยนไปใช้วัสดุกันไฟที่มีราคาแพง จนกระทั่งสุดท้ายเพิ่งบังคับใช้ได้จริงในปี 2565 แต่กลับไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งหมายความว่าใช้บังคับได้เฉพาะกับรถที่จดทะเบียนใหม่ หรือ มีการปรับปรุงตัวถังใหม่ในปี 2565 เท่านั้น “รถคันที่เกิดเหตุก็เป็นหนึ่งในกรณี ที่ไม่เข้าเงื่อนไขของประกาศฉบับนี้ เนื่องจากมีการจดเบียนใหม่ในปี 2561” ดร.สุเมธ ระบุว่าปัจจุบันรถทัศนาจรในกลุ่มมาตรฐาน 1 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับรถคันที่เกิดเหตุ มีจำนวน 5,896 คัน และรถมาตรฐาน 4 หรือรถ 2 ชั้น มีจำนวน 4,972 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในจำนวนทั้งหมดกว่า 1 หมื่นคัน มีจำนวนเพียง 5% เท่านั้น ที่ผ่านมาตรฐานด้านการลุกไหม้ และอนุมานได้ว่าส่วนที่เหลืออีก 95% ที่เป็นรถจดทะเบียนก่อนประกาศดังกล่าวบังคับใช้ ยังไม่ถูกกำหนดให้มีมาตรฐานนี้ ขณะที่ในต่างประเทศเวลากำหนดมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้ จะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังด้วย และต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี “คาดว่ามีรถที่ไม่ผ่านหรือไม่ได้มาตรฐานใหม่ ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเป็นหมื่นคัน แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่วิ่งอยู่บนท้องถนนตอนนี้ เสมือนกับเป็นระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีกเมื่อไหร่ ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก ควรติดตามตรวจสอบรถในกลุ่มนี้ ที่ยังวิ่งอยู่ในระบบ เช่น ด้านมาตรฐานทนไฟ การชนด้านหน้า สภาพรถเป็นอย่างไร ติดก๊าซหรือไม่ ฯลฯ โดยเร่งกำหนดมาตรการอย่างเข้มข้นในรถกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน” จี้ ขบ.ตรวจเข้มรถเสี่ยงสูง – เสนอรัฐจัดงบฯหนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ ดร.สุเมธ เน้นย้ำว่าเหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจร ซึ่งความเสี่ยงนี้กระทบต่อสวัสดิภาพของประชาชน โจทย์ใหญ่ของรัฐคือจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้รถเหล่านี้มีมาตรฐานดีขึ้นได้อย่างไร ทั้งการเปลี่ยนวัสดุไวไฟ เช่น เบาะที่นั่ง ม่าน พรม ให้เป็นไปตามมาตรฐาน UNECE ซึ่งคือการใช้วัสดุที่ทนไฟได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟลุกไหม้จะไม่เร็วและแรง สามารถช่วยซื้อเวลาให้ผู้โดยสารหนีออกภายนอกตัวรถได้ “ภาครัฐอาจจะต้องเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจต่าง ๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงไปยังผู้ประกอบการ หรือ อาจมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนในการปรับปรุงมาตรฐานรถ” สำหรับกรณีระยะเวลาการใช้งานของรถคันเกิดเหตุ ที่พบว่ามีการจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2513 นั้น ดร.สุเมธ กล่าวว่า องค์ประกอบหลักของรถจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 : โครงหลัก หรือที่เรียกว่า “แชสซี” ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของรถ ซึ่งอยู่ด้านใต้ตัวรถติดกับโครงล้อ ซึ่งปกติรถขนาดใหญ่จะจดทะเบียนครั้งแรกด้วยแชสซี ซึ่งส่วนนี้มีอายุการใช้งาน 70-80 ปี ส่วนที่ 2 : ตัวถังรถ ประกอบไปด้วย หลังคา ประตู เบาะที่นั่ง โดยตัวถังรถมีอายุการใช้งาน 8-10 ปีเท่านั้น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวถังรถหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเป็นหลักว่าต้องการเปลี่ยนหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการกำหนดอายุรถ หรือระยะเวลาการปรับปรุงสภาพรถ มีแต่การตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยกรมการขนส่งทางบก 2 ครั้งต่อปี “ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง จะมีการปรับปรุงความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร การตรวจสอบมีความเข้มงวดมากน้อยขนาดไหน ตรงนี้ล้วนเป็นประเด็น เพราะมาตรฐานการติดตั้ง ยังเป็นสิ่งที่มีความท้าทายในการตรวจสอบอยู่ หากการติดตั้งทำโดยช่างผู้ชำนาญการก็จะได้มาตรฐานสูง แต่ถ้าติดตั้งโดยไม่รัดกุมมากนัก ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ประกายไฟ ได้” ดร.สุเมธ ระบุ ยกระดับทัศนศึกษาปลอดภัย ซักซ้อม – วางแผน – ลงรายละเอียด รับมือเหตุไม่คาดคิด ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถึงเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการ ต้องทบทวนเชิงระบบ เพื่อสร้างแนวทางการไปทัศนศึกษาที่ปลอดภัย โดยปัจจุบันการไปทัศนศึกษาของเด็กมีอยู่ 2 รูปแบบ 1. ไปเช้า – เย็นกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทัศนศึกษาในช่วงปิดเทอมหนึ่ง ประมาณเดือนตุลาคม กับ 2. ทัศนศึกษาแบบพักค้างคืนจะอยู่ในช่วงเทอมสอง ซึ่งจะมีการเดินทางช่วงกลางคืน มีการใช้รถบัสสองชั้น การเกิดอุบัติเหตุจึงมักจะเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า คณะผู้จัดกิจกรรมไปทัศนศึกษา ต้องวางแผนโดยการลงรายละเอียด ทั้งการเตรียมครูประจำรถกี่คนต่อจำนวนเด็ก ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เช่น อาจจะต้องเป็นครูหนึ่งคนต่อ 10 คน เป็นต้น หรือหากเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ หรือเกิดเพลิงไหม้ คุณครูก็ต้องรู้จักการใช้ถังดับเพลิง และถ้าจำเป็นต้องอพยพ คุณครูจะต้องวางแผนอพยพออกทางไหน ประตูอยู่ตรงจุดไหน เป็นต้น เสนอยกเลิกรถสองชั้นเด็ดขาด – เพิ่มวงเงินประกันภัยภาคบังคับ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวถึงข้อเสนอในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ โดยเน้นย้ำการยกเลิกการใช้รถสองชั้นในการรับจ้างแบบไม่ประจำทาง อันเป็นสิ่งที่องค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้มีข้อเสนอเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ยังไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง รวมถึงรื้อระบบตรวจสภาพรถบริการขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันตรวจสภาพปีละสองครั้ง แต่ในบางประเทศตรวจทุกไตรมาส ซึ่งจริง ๆ ควรจะดูตามจํานวนการใช้งาน หรือกำหนดเป็นระยะเวลาตายตัวเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ เสนอให้ขยายวงเงินประกันภัยภาคบังคับ ของรถโดยสารแบบไม่ประจำทาง โดยเพิ่มวงเงินประกันเป็น 30 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันการทำประกันภัยรถภาคบังคับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 กำหนดความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน แต่มีข้อกำหนดวงเงินเฉลี่ยจ่ายจากวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง ซึ่งไม่ครอบคลุมความเสียหายเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก “ความสูญเสียที่เกิดขึ้นต้องนำไปสู่การพัฒนากฎ ระเบียบ มาตรการต่าง ๆ และวิธีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรถโดยสาร” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าว จากอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ สู่ปัญหา “รถโรงเรียนไทยไม่ปลอดภัย” ความไม่ปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนไทย ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง และเปรียบเทียบมาตรฐานความปลอดภัยของไทยกับต่างประเทศ โดยล่าสุดในโซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูล รถรับส่งนักเรียนในสหรัฐ มีการควบคุมความปลอดภัยมากกว่ารถปกติถึง 70 เท่า ขณะที่ของญี่ปุ่นกรณีรถบัสทัศนศึกษา นอกจากการตรวจสอบมาตรฐานตัวรถที่เข้มงวด ยังมีการติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็วในการขับขี่อีกด้วย สำหรับประเทศไทย หากย้อนกลับไปที่ข้อมูลของ ศวปถ. และสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งระบุในคู่มือการจัดระบบรถโรงเรียนให้ปลอดภัยและเป็นธรรม พบว่าระหว่างปี 2562 – 2564 เกิดอุบัติเหตุกับรถโรงเรียนมากถึง 38 ครั้ง มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 431 ราย จากการสํารวจข้อมูลรถโรงเรียนทุกภูมิภาค ได้สะท้อนภาพปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง 3 ปมปัญหาใหญ่ที่รอเวลาเกิดเหตุ ได้แก่ สภาพรถที่ไม่ได้มาตรฐาน : ดัดแปลงรถ ไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ควรมี เช่น ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง เป็นต้น ผู้ขับประมาทไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร : ใช้ประสบการณ์ความเคยชินขับเร็วเสี่ยงอันตราย ขาดความรู้ความเข้าใจบทบาทการขับรถส่งนักเรียน ขาดระบบจัดการรถที่ดี : ขาดระบบกำกับควบคุมผู้ขับขี่ รวมถึงกลไกสนับสนุนเพื่อให้เกิดระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ แม้การเพิ่มมาตรการและความเข้มงวดภายหลังเกิดเหตุ จะหนีไม่พ้นคำพูดที่ว่า “วัวหายล้อมคอก” แต่ในบริบทของประเทศไทย เมื่อเกิดบทเรียนขึ้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันล้อมคอกไม่ให้เกิดเหตุสลด เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต ที่มา https://thaipublica.org/2024/10/tdri-reveals-95-of-non-regular-taxis-are-ticking-time-bombs-on-thai-roads/ #Thaitimes
    THAIPUBLICA.ORG
    ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย
    ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย แนะรัฐตรวจเข้มกลุ่มรถที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดงบฯ - สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 696 Views 0 Reviews
  • บทความบางส่วนเรื่อง“ช้างบรรณาการ” จากรัชกาลที่ ๔ จบชีวิตที่ร้านขายเนื้อกรุงปารีสจริงหรือ?โดย ไกรฤกษ์ นานา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน ๒๕๕๙

    “ เครื่องราชบรรณาการจากสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถึงฝรั่งเศส ไม่ได้มีเพียงพระมหามงกุฎเท่านั้น แต่ยังมีช้างสยามอีก ๒ เชือก ที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นนานกว่า ๑๐ ปี แต่อนิจจา ช้างทั้ง ๒ เชือก ต้องเผชิญชะตากรรมน่ารันทด และจบชีวิตลงด้วยฝีมือทหารฝรั่งเศส ใน ค.ศ.๑๘๗๐ เกิดอะไรขึ้นกับของขวัญจากสยาม

    ช้างบรรณาการจากสยามได้รับการต้อนรับที่ปารีสอย่างอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ได้ทรงมอบให้หน่วยงานของสวนสัตว์กรุงปารีสเป็นผู้ดูแลเป็นอย่างดี จนพอจะคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองหนาว และมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางกับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมเยียนสวนสัตว์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เมื่อใดที่มีการโฆษณาหรือพูดถึงสวนสัตว์ Jardin des Plantes ช้างสยาม ๒ เชือกนี้ก็จะเป็นดาวเด่นในใบโฆษณาเสมอ

    ที่ปารีสพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ได้พระราชทานชื่อใหม่อันโก้หร่านให้ช้างบรรณาการคู่นี้ว่า คาสเตอร์ และพอลลุกซ์ (Castor & Pollux) ตามชื่อของพระโอรสแฝดของเทพธิดาลีด และเทพเจ้าซีอุส (Leda & Zeus) ทำให้ช้างทั้งคู่มีสถานภาพค่อนข้างมีเส้นสายกับทางราชสำนักและมีกิตติศัพท์พอควร

    ช้างสยามทั้ง ๒ เชือก ใช้ชีวิตอยู่ภายในสวนสัตว์กรุงปารีสจนมีอายุราว ๑๔ ปี ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นปลายรัชกาลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของช้างคู่นี้โดยตรง!?

    ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐-๗๑ เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกสาธารณรัฐนิยมในปารีสฉวยโอกาสทำการปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ แล้วจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยโจมตีและประณามพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ว่าเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และอับจน ทรงถูกจับและเนรเทศออกนอกประเทศอย่างน่าเวทนา คุณความดีของราชวงศ์โบนาปาร์ตลบเลือนออกไปจากหัวใจของประชาชนจนหมดสิ้น

    กรุงปารีสถูกปิดล้อมนานหลายเดือน เกิดยุคข้าวยากหมากแพง แต่ในปารีสเป็นที่อยู่ของทั้งคนรวยและคนจน คนจนต้องจับหนู และเอาหมาแมวที่ตนเลี้ยงไว้มากินกันตาย

    แต่คนรวยที่อยู่ในปารีสก็ยังพอใช้เงินซื้อหาอาหารได้ แต่ที่ขาดแคลนคืออาหารชั้นดีที่คนมีฐานะต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสังคมมีระดับปลายปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ทางการจึงตัดสินใจชำแหละเนื้อของสัตว์ในสวนสัตว์อันเป็นแหล่งเนื้อชั้นดีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และกองกำลังป้องกันชาติตั้งกองกำลังดูแลสัตว์จากการถูกขโมยมาปีกว่า

    แต่แล้วในที่สุด ช้างสยาม ๒ เชือกสุดท้าย ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้ากรุงสยามก็ถูกสังเวยชีวิตเพื่อเอาใจคนมีฐานะ ถูกฆ่าและชำแหละที่ร้านขายเนื้อ เป็นเมนูอาหารชั้นเลิศ ณ ภัตตาคารหรูของปารีส เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วยุโรปต้นปี ค.ศ. ๑๘๑๗”

    #Thaitimes
    บทความบางส่วนเรื่อง“ช้างบรรณาการ” จากรัชกาลที่ ๔ จบชีวิตที่ร้านขายเนื้อกรุงปารีสจริงหรือ?โดย ไกรฤกษ์ นานา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน ๒๕๕๙ “ เครื่องราชบรรณาการจากสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถึงฝรั่งเศส ไม่ได้มีเพียงพระมหามงกุฎเท่านั้น แต่ยังมีช้างสยามอีก ๒ เชือก ที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นนานกว่า ๑๐ ปี แต่อนิจจา ช้างทั้ง ๒ เชือก ต้องเผชิญชะตากรรมน่ารันทด และจบชีวิตลงด้วยฝีมือทหารฝรั่งเศส ใน ค.ศ.๑๘๗๐ เกิดอะไรขึ้นกับของขวัญจากสยาม ช้างบรรณาการจากสยามได้รับการต้อนรับที่ปารีสอย่างอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ได้ทรงมอบให้หน่วยงานของสวนสัตว์กรุงปารีสเป็นผู้ดูแลเป็นอย่างดี จนพอจะคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองหนาว และมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางกับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมเยียนสวนสัตว์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เมื่อใดที่มีการโฆษณาหรือพูดถึงสวนสัตว์ Jardin des Plantes ช้างสยาม ๒ เชือกนี้ก็จะเป็นดาวเด่นในใบโฆษณาเสมอ ที่ปารีสพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ได้พระราชทานชื่อใหม่อันโก้หร่านให้ช้างบรรณาการคู่นี้ว่า คาสเตอร์ และพอลลุกซ์ (Castor & Pollux) ตามชื่อของพระโอรสแฝดของเทพธิดาลีด และเทพเจ้าซีอุส (Leda & Zeus) ทำให้ช้างทั้งคู่มีสถานภาพค่อนข้างมีเส้นสายกับทางราชสำนักและมีกิตติศัพท์พอควร ช้างสยามทั้ง ๒ เชือก ใช้ชีวิตอยู่ภายในสวนสัตว์กรุงปารีสจนมีอายุราว ๑๔ ปี ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นปลายรัชกาลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของช้างคู่นี้โดยตรง!? ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐-๗๑ เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกสาธารณรัฐนิยมในปารีสฉวยโอกาสทำการปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ แล้วจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยโจมตีและประณามพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ว่าเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และอับจน ทรงถูกจับและเนรเทศออกนอกประเทศอย่างน่าเวทนา คุณความดีของราชวงศ์โบนาปาร์ตลบเลือนออกไปจากหัวใจของประชาชนจนหมดสิ้น กรุงปารีสถูกปิดล้อมนานหลายเดือน เกิดยุคข้าวยากหมากแพง แต่ในปารีสเป็นที่อยู่ของทั้งคนรวยและคนจน คนจนต้องจับหนู และเอาหมาแมวที่ตนเลี้ยงไว้มากินกันตาย แต่คนรวยที่อยู่ในปารีสก็ยังพอใช้เงินซื้อหาอาหารได้ แต่ที่ขาดแคลนคืออาหารชั้นดีที่คนมีฐานะต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสังคมมีระดับปลายปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ทางการจึงตัดสินใจชำแหละเนื้อของสัตว์ในสวนสัตว์อันเป็นแหล่งเนื้อชั้นดีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และกองกำลังป้องกันชาติตั้งกองกำลังดูแลสัตว์จากการถูกขโมยมาปีกว่า แต่แล้วในที่สุด ช้างสยาม ๒ เชือกสุดท้าย ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้ากรุงสยามก็ถูกสังเวยชีวิตเพื่อเอาใจคนมีฐานะ ถูกฆ่าและชำแหละที่ร้านขายเนื้อ เป็นเมนูอาหารชั้นเลิศ ณ ภัตตาคารหรูของปารีส เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วยุโรปต้นปี ค.ศ. ๑๘๑๗” #Thaitimes
    Sad
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 685 Views 0 Reviews
  • ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!!

    ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!!

    ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก
    คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน
    และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย……
    เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ
    พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า

    กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน
    เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล
    ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี……

    กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา
    แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี
    เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ)
    แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร

    สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว

    ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์
    ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย

    ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน
    นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินตอบว่า……
    “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..??
    แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน)
    จากนั้นกลุ่ม ***** Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ

    ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO
    ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย…
    ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!!

    การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร
    เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…??
    เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!!

    ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……)
    ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……)
    และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้)

    มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง
    เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill
    จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว…
    ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่
    แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น

    ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin
    เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม…

    เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี……
    ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง
    ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว
    ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์

    ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม

    และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน
    จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda”
    ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า
    “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?”
    ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า
    “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..”
    ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า…
    “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
    นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง

    ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010)
    ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน
    ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง)
    เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ)
    คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก
    บานมาเป็น 260 ล้าน…
    ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ)
    แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…???
    คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!!
    ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……”
    แล้วเขาก็เดินออกไป….

    วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี
    ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน……
    ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff
    (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน)

    ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ
    หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี
    ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด
    เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ
    เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา
    ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย
    แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป………
    รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร
    เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว..


    Wiwanda W. Vichit
    ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!! ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!! ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย…… เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี…… กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ) แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์ ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้ ปูตินตอบว่า…… “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..?? แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน) จากนั้นกลุ่ม Pussy Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย… ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!! การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…?? เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!! ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……) ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……) และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้) มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว… ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่ แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม… เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี…… ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda” ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?” ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..” ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า… “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010) ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง) เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ) คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก บานมาเป็น 260 ล้าน… ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ) แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…??? คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!! ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……” แล้วเขาก็เดินออกไป…. วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน…… ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน) ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป……… รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว.. Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ

    หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ

    ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร

    บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้

    ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน

    ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน

    กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา

    จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน

    ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ

    เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด

    1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่

    3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน

    4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น

    Cr: Boonchu Chung (羅文娟)
    จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว

    - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง
    การปฏิรูปการศึกษาที่จีน

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที

    ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก

    กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด

    ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย

    ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง

    ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์

    และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก

    นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น

    ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ

    และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง

    งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้

    เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก

    ลดการบ้านเด็ก

    ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ

    คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร

    ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ

    ปรับครูทุก 6 ปี

    ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ

    นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก

    ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่

    ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด

    และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที

    เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา
    #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้ ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด 1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่ 3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน 4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น Cr: Boonchu Chung (羅文娟) จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง การปฏิรูปการศึกษาที่จีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์ และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้ เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก ลดการบ้านเด็ก ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ ปรับครูทุก 6 ปี ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่ ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • เราจะเป็น 'ความสุข'
    ให้กับคนสำคัญในชีวิตได้
    ก็ต่อเมื่อเรารู้จัก
    ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อน

    จากหนังสือ |อย่าลืมไปว่าใจเราสำคัญนะ

    หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสุข
    เราจะเป็น 'ความสุข' ให้กับคนสำคัญในชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จัก ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อน จากหนังสือ |อย่าลืมไปว่าใจเราสำคัญนะ หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสุข
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 433 Views 0 Reviews
  • #วันนี้จริงๆแล้วตั้งใจจะไม่โพสถึงเพจกากนี้อีกแล้ว
    ตอบคำถามให้ลุงนุหายสงสัยก่อนว่า
    ทำไมยังไม่เปิดข้อมูล ก็ไม่มีอะไรมาก ข้อมูลมันเยอะ และมีแฟนเพจเค้าตามีปัญหาหลายท่าน ที่อยากทราบข้อความข้อมูลที่พี่คิงส์พิมพ์แต่อ่านไม่ไหว ก็เลยทำเป็นคลิปมีเสียงแทน ซึ่งถ้าลุงนะแหหกตาดูนิดนึงก็เห็นแล้วแหละ แต่คงไม่เข้าใจหรอกว่าพี่คิงส์ทำอะไรเพื่ออะไร ก็มีอาจารย์มีวุฒิแค่ม.ต้น ยังเพิ่งซื้อแอดเป็นแล้วดีใจนั่นแหละ จะไปรู้อะไรที่มันลึกซึ้ง
    ข้อมูล มันจะมีสามแบบ
    1. ข้อมูลที่เปิดเผยได้เลย
    2. ข้อมูลที่ต้องรอเวลา
    3. ข้อมูลที่เปิดเผยไม่ได้ต้องส่งเป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่
    คือ ถ้าเพจคิงส์โพสแบบที่ลุงนุโพส คือไม่ต้องหาข้อมูล โพสไปเรื่อย โพสแบบไม่มีแก่นสาร มันทำได้วันเป็นพันโพสนะไอ่นุ แต่นี่คือข้อมูล ที่พี่คิงส์ก็จะมีการซ้อนอ้างอิงไว้ในภาพ หรือในคอมเม้น ซึ่งลุงก็ไม่มีวันเข้าใจตอีกแหละ สรุปจบนะ ที่ถามว่าทำไมไม่โพสไอ่ที่ว่า
    ส่วนที่บอกว่าไม่โพสถึงเพราะกลัวลุงอะไรนั่น อ่านให้ดีๆนับจากบรรทัดนี้ไป
    และจะพิมพ์ถึงเมิงครั้งสุดท้ายแล้วไอ่นุ
    แฟนเพจก็ดูเอา โจมณฑนีลงทุนสอน แล้วอัดงบซื้อแอดให้ด้วยรึเปล่าไม่รู้
    แล้วดู ลุงโพสดิ แล้วจะให้พี่คิงส์ไปโพสถึงอะไรอีก มันเริ่มหยะแหย๋งไปเรื่อยๆ ดาวน์ลงไปแบบ สะอิดสเอียนจริงๆ
    แต่พอดี โพสพาดพิงถึงเพจคิงส์โพธิ์แดง
    ลักษณะว่า เพจลุงนุ เป็นเพจมีคุณภาพ
    คือ ขอถอนหงอกอีกซักรอบนะครับ
    คือ ตอนแรก พี่คิงส์คิดว่า แกเป็นคนเฒ่าที่แค่หลงตต.เกอร์เกาหลี
    เหมือนกับเฒ่าตันหากลับแบบพื้นๆ ที่เปย์กระเป๋าแบรนด์เนม
    ลาออกจากงานมาเพื่อโพสแต่เรื่องตต.เกอร์เกาหลีธรรมดา
    แต่พออ่านโพสพวกนี้แล้ว มันเกิดอธิบายจริงๆ
    มันมีคำถามขุึ้นมาในใจเลยว่า อายุขนาดนี้ ต้องมีลูก มีภรรยา
    รวมถึงต้องมีรุ่นหลานแล้วด้วย ซึ่งแกแสดงตนว่าตัวแกโสด
    แต่ก็มีคนบอกว่า แกมีลูกโตแล้ว ทำงานแล้วอะไรแบบนี้
    นั่นแปลว่า มีสองทาง เมียแกต้องไม่อยู่เพราะตรุย แต่พี่คิงส์คิดว่า
    สภาพนี้ เมียน่าจะทิ้งละครับ ดูสำนวนภาษาที่พิมพ์
    มันบ่งบอกถึงความ ถ๋อย สถูน ทราาม ยังไงไม่รู้
    แล้วเพ้อพรรณณา เดาว่า น่าจะเป็นแฟนเพจรุ่นลูกรุ่นหลานนี่แหละ
    แล้วไอ่เฒ่านี่ก็ไปจีบ แล้วล่อว่าจะดูแล พอน้องมันได้สติ
    ก็เผ่นดิครับ
    ถ้า ณุ เหงือกแดงผู้ไร้ฟัน เฒ่าชราตันหากลับ อยากรู้ว่า
    ทำไมพี่คิงส์ไม่โพสหา และไม่คิดจะโพสอะไรอีกแล้วถึงเมิง
    ขอให้รู้ไว้ว่า กรรูสะอิดสะเอืยน ไม่ไหว แค่คิดถึงภาพโปรไฟล์เพจแดงๆ
    แล้วมีตัวอักษร Diy reviwev2 มันก็รู้สึกพะอืดพะอม
    และยังคิดว่า ทำไม คนที่หลงรักกามิจ มันเป็นแบบนี้ทุกตัวเลย
    ไอ่เป็ดก็ไม่ต่างกัน ตอนแรกก็คิดว่า ลุงจะดีกว่ามันซักนิดนึง
    สุดท้าย กินกันไม่ลงเลย พอกันทั้งคู่
    นี่ใช่มั๊ย ทีมงานคนดีย์ของโจมณฑนี
    นี่นะเหรอ ผู้ปกป้องดอกเดซี่ แต่ละคน
    ไม่น่าจะมีตัวตนในสังคมจริงได้เลย
    พฤติกรรมของลุงนุนี่นะ โครตน่าอัวสำหรับหญิงสาว
    ที่อยู่ใกล้ชิดมากๆ แก่แบบ ยิ่งกว่ากะโหลกกะลา
    แต่เกินเยียวยา รอแค่ให้รีบ "ตาห่าย" ไปเร็วๆ
    คนแถวบ้าน ลูกชาวบ้าน เมียชาวบ้านระแวกบ้านลุง
    จะได้เดินในที่สาธารณะได้อย่างปลอดภัย
    หรือถ้าใครอยู่แถวนั้น ก็ฝากเตือนๆกันด้วยนะครับ
    เป็นชายผอม หน้าตอบ ชราแล้วแต่ย้อมผมครับ
    คิดว่าสาววัยรุ่นจะดูไม่ออกว่าตัวเองเฒ่าแล้ว
    แกจะไม่ยอมยิ้มเห็นฟันเด็ดขาด เพราะอ้าปากจะเจอแต่เหงือกดำๆ
    กินแอปเปิดแบบไม่เฉาะไม่ได้นะครับ มันจะปลิ้นไปปลิ้นมา
    แล้วชอบคิดว่าตัวเองหล่อมาก เหมือนอาโนลชวาเสน็กเกอร์
    แต่สาระ รูป อาจต้องอุทานว่า อนาถแท้
    ฝากด้วยนะครับ แปะป้ายติดประกาศไว้ก็จะยิ่งเป็นบุญ
    ให้กับลูกกับเมียคนระแวกนั้นได้ครับ
    เอาหละ ณุ ต่อจากนี้ไป เมิงไม่ต้องมาโพสพาดพิงพี่คิงส์อีก
    และขอแฟนเพจ อย่าส่งอะไรที่มันโพสมาอีก
    ชายคนนี้ น่าหยะแหยงเกินกว่าที่จะนำมาเอ่ยถึง
    หรือแม้กระทั่งนึกถึง ทีมงานโจมณฑนี เครือข่ายห้องดีซี
    เค้าคัดมาแล้วจริงๆ คัดแบบที่สังคมจริงไม่เอา
    สังคมจริงเททิ้ง ถ้าเปรียบบัวสี่เหล่า นี่คือยิ่งกว่าชั้นใต้ตม
    แต่เป็นชั้นที่จมต่ำระดับเต่าเผลอไปเคี้ยวยังต้องถุยทิ้งเลย
    ขอความร่วมมือจากแฟนเพจทุกท่านด้วยนะครับ
    ให้มัน ถ๋อย ทราาม และตาาายตามธรรมชาติไปครับ
    อย่าไปให้ความสำคัญ เดี๋ยวมันก็เจอทรรีนคนแถวนั้นเอง
    ไม่น่าอยู่มาได้ถึงวันนี้จริงๆ
    ขอทิ้งท้ายให้สตินะ อายุลุงตอนนี้นะ อีกไม่เกินแบบเต็มที่เลย
    10 ปี ก็เดินไม่ไหวแล้ว เมิงคิดจะใช้ชีวิตแบบนี้จนตาาายจริงๆเหรอ
    ก็แล้วแต่นะ เอาที่สบายใจ กรรรูสบายใจแบบนี้แหละ
    ที่ไม่ยุ่งกับขยะเก่าๆเปียกๆแบบเมิงอีก
    โจเลือกแม่ทัพเพื่อมาตอบโต้กับคิงส์ได้สมกับ
    ที่จบการศึกษาแค่ม.ต้นจริงๆ ขอชื่นชม
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #วันนี้จริงๆแล้วตั้งใจจะไม่โพสถึงเพจกากนี้อีกแล้ว ตอบคำถามให้ลุงนุหายสงสัยก่อนว่า ทำไมยังไม่เปิดข้อมูล ก็ไม่มีอะไรมาก ข้อมูลมันเยอะ และมีแฟนเพจเค้าตามีปัญหาหลายท่าน ที่อยากทราบข้อความข้อมูลที่พี่คิงส์พิมพ์แต่อ่านไม่ไหว ก็เลยทำเป็นคลิปมีเสียงแทน ซึ่งถ้าลุงนะแหหกตาดูนิดนึงก็เห็นแล้วแหละ แต่คงไม่เข้าใจหรอกว่าพี่คิงส์ทำอะไรเพื่ออะไร ก็มีอาจารย์มีวุฒิแค่ม.ต้น ยังเพิ่งซื้อแอดเป็นแล้วดีใจนั่นแหละ จะไปรู้อะไรที่มันลึกซึ้ง ข้อมูล มันจะมีสามแบบ 1. ข้อมูลที่เปิดเผยได้เลย 2. ข้อมูลที่ต้องรอเวลา 3. ข้อมูลที่เปิดเผยไม่ได้ต้องส่งเป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ คือ ถ้าเพจคิงส์โพสแบบที่ลุงนุโพส คือไม่ต้องหาข้อมูล โพสไปเรื่อย โพสแบบไม่มีแก่นสาร มันทำได้วันเป็นพันโพสนะไอ่นุ แต่นี่คือข้อมูล ที่พี่คิงส์ก็จะมีการซ้อนอ้างอิงไว้ในภาพ หรือในคอมเม้น ซึ่งลุงก็ไม่มีวันเข้าใจตอีกแหละ สรุปจบนะ ที่ถามว่าทำไมไม่โพสไอ่ที่ว่า ส่วนที่บอกว่าไม่โพสถึงเพราะกลัวลุงอะไรนั่น อ่านให้ดีๆนับจากบรรทัดนี้ไป และจะพิมพ์ถึงเมิงครั้งสุดท้ายแล้วไอ่นุ แฟนเพจก็ดูเอา โจมณฑนีลงทุนสอน แล้วอัดงบซื้อแอดให้ด้วยรึเปล่าไม่รู้ แล้วดู ลุงโพสดิ แล้วจะให้พี่คิงส์ไปโพสถึงอะไรอีก มันเริ่มหยะแหย๋งไปเรื่อยๆ ดาวน์ลงไปแบบ สะอิดสเอียนจริงๆ แต่พอดี โพสพาดพิงถึงเพจคิงส์โพธิ์แดง ลักษณะว่า เพจลุงนุ เป็นเพจมีคุณภาพ คือ ขอถอนหงอกอีกซักรอบนะครับ คือ ตอนแรก พี่คิงส์คิดว่า แกเป็นคนเฒ่าที่แค่หลงตต.เกอร์เกาหลี เหมือนกับเฒ่าตันหากลับแบบพื้นๆ ที่เปย์กระเป๋าแบรนด์เนม ลาออกจากงานมาเพื่อโพสแต่เรื่องตต.เกอร์เกาหลีธรรมดา แต่พออ่านโพสพวกนี้แล้ว มันเกิดอธิบายจริงๆ มันมีคำถามขุึ้นมาในใจเลยว่า อายุขนาดนี้ ต้องมีลูก มีภรรยา รวมถึงต้องมีรุ่นหลานแล้วด้วย ซึ่งแกแสดงตนว่าตัวแกโสด แต่ก็มีคนบอกว่า แกมีลูกโตแล้ว ทำงานแล้วอะไรแบบนี้ นั่นแปลว่า มีสองทาง เมียแกต้องไม่อยู่เพราะตรุย แต่พี่คิงส์คิดว่า สภาพนี้ เมียน่าจะทิ้งละครับ ดูสำนวนภาษาที่พิมพ์ มันบ่งบอกถึงความ ถ๋อย สถูน ทราาม ยังไงไม่รู้ แล้วเพ้อพรรณณา เดาว่า น่าจะเป็นแฟนเพจรุ่นลูกรุ่นหลานนี่แหละ แล้วไอ่เฒ่านี่ก็ไปจีบ แล้วล่อว่าจะดูแล พอน้องมันได้สติ ก็เผ่นดิครับ ถ้า ณุ เหงือกแดงผู้ไร้ฟัน เฒ่าชราตันหากลับ อยากรู้ว่า ทำไมพี่คิงส์ไม่โพสหา และไม่คิดจะโพสอะไรอีกแล้วถึงเมิง ขอให้รู้ไว้ว่า กรรูสะอิดสะเอืยน ไม่ไหว แค่คิดถึงภาพโปรไฟล์เพจแดงๆ แล้วมีตัวอักษร Diy reviwev2 มันก็รู้สึกพะอืดพะอม และยังคิดว่า ทำไม คนที่หลงรักกามิจ มันเป็นแบบนี้ทุกตัวเลย ไอ่เป็ดก็ไม่ต่างกัน ตอนแรกก็คิดว่า ลุงจะดีกว่ามันซักนิดนึง สุดท้าย กินกันไม่ลงเลย พอกันทั้งคู่ นี่ใช่มั๊ย ทีมงานคนดีย์ของโจมณฑนี นี่นะเหรอ ผู้ปกป้องดอกเดซี่ แต่ละคน ไม่น่าจะมีตัวตนในสังคมจริงได้เลย พฤติกรรมของลุงนุนี่นะ โครตน่าอัวสำหรับหญิงสาว ที่อยู่ใกล้ชิดมากๆ แก่แบบ ยิ่งกว่ากะโหลกกะลา แต่เกินเยียวยา รอแค่ให้รีบ "ตาห่าย" ไปเร็วๆ คนแถวบ้าน ลูกชาวบ้าน เมียชาวบ้านระแวกบ้านลุง จะได้เดินในที่สาธารณะได้อย่างปลอดภัย หรือถ้าใครอยู่แถวนั้น ก็ฝากเตือนๆกันด้วยนะครับ เป็นชายผอม หน้าตอบ ชราแล้วแต่ย้อมผมครับ คิดว่าสาววัยรุ่นจะดูไม่ออกว่าตัวเองเฒ่าแล้ว แกจะไม่ยอมยิ้มเห็นฟันเด็ดขาด เพราะอ้าปากจะเจอแต่เหงือกดำๆ กินแอปเปิดแบบไม่เฉาะไม่ได้นะครับ มันจะปลิ้นไปปลิ้นมา แล้วชอบคิดว่าตัวเองหล่อมาก เหมือนอาโนลชวาเสน็กเกอร์ แต่สาระ รูป อาจต้องอุทานว่า อนาถแท้ ฝากด้วยนะครับ แปะป้ายติดประกาศไว้ก็จะยิ่งเป็นบุญ ให้กับลูกกับเมียคนระแวกนั้นได้ครับ เอาหละ ณุ ต่อจากนี้ไป เมิงไม่ต้องมาโพสพาดพิงพี่คิงส์อีก และขอแฟนเพจ อย่าส่งอะไรที่มันโพสมาอีก ชายคนนี้ น่าหยะแหยงเกินกว่าที่จะนำมาเอ่ยถึง หรือแม้กระทั่งนึกถึง ทีมงานโจมณฑนี เครือข่ายห้องดีซี เค้าคัดมาแล้วจริงๆ คัดแบบที่สังคมจริงไม่เอา สังคมจริงเททิ้ง ถ้าเปรียบบัวสี่เหล่า นี่คือยิ่งกว่าชั้นใต้ตม แต่เป็นชั้นที่จมต่ำระดับเต่าเผลอไปเคี้ยวยังต้องถุยทิ้งเลย ขอความร่วมมือจากแฟนเพจทุกท่านด้วยนะครับ ให้มัน ถ๋อย ทราาม และตาาายตามธรรมชาติไปครับ อย่าไปให้ความสำคัญ เดี๋ยวมันก็เจอทรรีนคนแถวนั้นเอง ไม่น่าอยู่มาได้ถึงวันนี้จริงๆ ขอทิ้งท้ายให้สตินะ อายุลุงตอนนี้นะ อีกไม่เกินแบบเต็มที่เลย 10 ปี ก็เดินไม่ไหวแล้ว เมิงคิดจะใช้ชีวิตแบบนี้จนตาาายจริงๆเหรอ ก็แล้วแต่นะ เอาที่สบายใจ กรรรูสบายใจแบบนี้แหละ ที่ไม่ยุ่งกับขยะเก่าๆเปียกๆแบบเมิงอีก โจเลือกแม่ทัพเพื่อมาตอบโต้กับคิงส์ได้สมกับ ที่จบการศึกษาแค่ม.ต้นจริงๆ ขอชื่นชม #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 801 Views 0 Reviews
  • #ไอ่เฒ่านุแอดมินเพจDiyreviwev2ก่อเรื่องแล้ว
    จากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงได้รับแจ้งเหตุ ว่าพบผู้ที่อ้างว่าเป็นตร.
    ได้เข้าไปเล่นตต.ในเวลาราชการตามปรากฏในคลิป
    โดยมีถ้อยคำที่มีลักษณะเยาะเย้ย เหน็นแนบประชาชน
    โดยแสดงออกด้วยท่าทีเป็นผู้ปกป้อง
    ตต.เกอร์ชาวเกาหลี ซึ่งมีความไม่เหมาะสม
    และเป็นสิ่งที่ผิดวินัยของข้าราชการ
    โดยเพจคิงส์โพธิ์แดงได้พิมพ์แคปชั่นไว้ว่า
    1.พฤติกรรมเหมาะสมหรือไม่ในเวลาราชการ
    2. เป็นเจ้าหน้าที่ ตร.จริงหรือไม่
    3. ถูกมิจนำภาพเจ้าหน้าที่ ตร.จริง และนำไปแอบอ้างหรือไม่
    ซึ่งมีความชัดเจนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นข้อที่ 3
    เพราะมีผู้ใช้โซเชียลส่งข้อมูลหลักฐานมามากว่า
    โปรไฟล์ดังกล่าว ได้ไปคอมเม้นตามโซเชียลดุจเป็นด้อม
    ของตต.เกอร์เกาหลี รุ่นหลาน ซึ่งพี่คิงส์ก็ไม่เชื่อว่า
    ตร.ที่มียศสูง จะขาดวุฒิภาวะ มาเถียงชาวโซเชียล
    หรืออกตัวปกป้องชาวต่างชาติด้วยการ เยาะเย้ย เหน็บแนม
    ประชาชนไทย และใช้เวลาราชการในการกระทำดังกล่าว
    ซึ่งขณะนี้ ทางทีมงานเพจคิงส์โพธิ์แดง
    ก็ได้ส่งเรื่องให้ทางฝ่ายสืบสันติบาล ได้กรุณาตรวจสอบข้อมูลอยู่
    ว่า นายตำรวจในภาพมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกมิจ
    มาแอบอ้างเป็นท่าน ซึ่งหากคิงส์โพธิ์แดงไม่นำเสนอเรื่องนี้
    แล้วปรากฏว่าท่านถูกแอบอ้างจริง แล้วท่านไม่รู้
    ก็เป็นไปได้ว่า ท่านจะมีความเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยที่ท่านไม่รู้ตัว
    -แต่ระยะเวลาหลังจากโพสคลิปเพื่อหาความจริงไม่นาน
    พบว่า แอดมินเพจ diy reviwe V2 โดยพฤตินัย
    ที่แอดมินเพจดังกล่าว มักโพสพาดพิงเชื่อมโยงกับสิ่งที่
    เพจคิงส์โพธิ์แดงโพสเสมอ โดยพิมพ์ว่า
    "น้องคิง(หมายถึงเพจคิงส์โพธิ์แดง) เล่นท่านรองแล้วว่ะ"
    #ตำรวจจริงนะนั่น
    เพจคิงส์โพธิ์แดงถึงกับตกใจมากกับโพสดังกล่าว
    เพราะเป็นการปรักปรำว่า แอคเคาท์ดังกล่าว
    คือ นายตำรวจตัวจริง ที่ปฏิบัติผิดวินัยข้าราชการตำรวจ
    และมีการผิดวินัยร้ายแรงในการแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับ
    ประชาชนไทย โดยฝั่งใฝ่ชาวต่างชาติรุ่นหลาน
    ซึ่ง หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง
    จะต้องถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัย และอาจนำไปสู่การถูกบทลงโทษ
    ทั้งๆที่ ขณะนี้เพจคิงส์โพธิ์แดงเอง ก็ยังอยู่ในขั้นตอนหาคำตอบ
    ว่าเจ้าหน้าที่ในภาพที่ใช้ในโปรไฟล์ อาจถูกแอบอ้าง
    ดังนั้น หากเกิดกรณี ที่ท่านเจ้าหน้าที่ตร.ในภาพ
    ได้ถูกแอบอ้างภาพ และชื่อไปใช้ เพจคิงส์โพธิ์แดงจึง
    ต้องขอเรียนว่า แอดมินเพจ Diy reviwe V2. ได้ทำการปรับปรำท่าน
    จนทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าใจผิด และมีผลทำให้ท่าน
    เกิดความเสื่อมเสีย โดยคลิปที่โพสเพื่อสอบถามความจริงดังกล่าวก็จะเป็นข้อมูลตั้งต้นให้เจ้าหน้าที่ได้สืบหาความจริง และหากมิจนำภาพเจ้าหน้าที่ตร.ไปใช้ ก็จะได้มีการติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคะดีต่อไป
    -แต่หากตรวจสอบพบว่า ภาพดังกล่าวและแอคเคา์นั้นเป็นของจริงตามที่แอดมินเพจ Diy reviwe v2 อ้างนั้นเป็นจริง
    ก็ถือว่าจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบทางวินัย
    เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิป และในโซเชียลนั้น
    เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งก็จะเรื่องของคณะกรรมการสอบสวน
    ที่ได้รับการแต่งตั้งต่อไป
    หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการข้อมูลของ
    แอดมินเพจ diy reviwe v2 ที่เป็นผู้โพสในลักษณะปรักปรัม
    ว่าตำรวจในภาพซึ่งมีพฤติกรรมผิดวินัยข้าราชการ ว่านั่นคือแอคเคาท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงดังกล่าว สามารถทักมาสอบถามได้ที่
    เพจคิงส์โพธิ์แดง หรือติดต่อได้ที่ คุณโจ มณฑนี เนื่องจากแอดมินเพจดังกล่าว ให้ความเคารพเป็นอาจารย์ มีความสนิทสนมกันอย่างยิ่ง
    น่าจะมีข้อมูลต่างๆชัดเจน
    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ไอ่เฒ่านุแอดมินเพจDiyreviwev2ก่อเรื่องแล้ว จากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงได้รับแจ้งเหตุ ว่าพบผู้ที่อ้างว่าเป็นตร. ได้เข้าไปเล่นตต.ในเวลาราชการตามปรากฏในคลิป โดยมีถ้อยคำที่มีลักษณะเยาะเย้ย เหน็นแนบประชาชน โดยแสดงออกด้วยท่าทีเป็นผู้ปกป้อง ตต.เกอร์ชาวเกาหลี ซึ่งมีความไม่เหมาะสม และเป็นสิ่งที่ผิดวินัยของข้าราชการ โดยเพจคิงส์โพธิ์แดงได้พิมพ์แคปชั่นไว้ว่า 1.พฤติกรรมเหมาะสมหรือไม่ในเวลาราชการ 2. เป็นเจ้าหน้าที่ ตร.จริงหรือไม่ 3. ถูกมิจนำภาพเจ้าหน้าที่ ตร.จริง และนำไปแอบอ้างหรือไม่ ซึ่งมีความชัดเจนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นข้อที่ 3 เพราะมีผู้ใช้โซเชียลส่งข้อมูลหลักฐานมามากว่า โปรไฟล์ดังกล่าว ได้ไปคอมเม้นตามโซเชียลดุจเป็นด้อม ของตต.เกอร์เกาหลี รุ่นหลาน ซึ่งพี่คิงส์ก็ไม่เชื่อว่า ตร.ที่มียศสูง จะขาดวุฒิภาวะ มาเถียงชาวโซเชียล หรืออกตัวปกป้องชาวต่างชาติด้วยการ เยาะเย้ย เหน็บแนม ประชาชนไทย และใช้เวลาราชการในการกระทำดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ ทางทีมงานเพจคิงส์โพธิ์แดง ก็ได้ส่งเรื่องให้ทางฝ่ายสืบสันติบาล ได้กรุณาตรวจสอบข้อมูลอยู่ ว่า นายตำรวจในภาพมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกมิจ มาแอบอ้างเป็นท่าน ซึ่งหากคิงส์โพธิ์แดงไม่นำเสนอเรื่องนี้ แล้วปรากฏว่าท่านถูกแอบอ้างจริง แล้วท่านไม่รู้ ก็เป็นไปได้ว่า ท่านจะมีความเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยที่ท่านไม่รู้ตัว -แต่ระยะเวลาหลังจากโพสคลิปเพื่อหาความจริงไม่นาน พบว่า แอดมินเพจ diy reviwe V2 โดยพฤตินัย ที่แอดมินเพจดังกล่าว มักโพสพาดพิงเชื่อมโยงกับสิ่งที่ เพจคิงส์โพธิ์แดงโพสเสมอ โดยพิมพ์ว่า "น้องคิง(หมายถึงเพจคิงส์โพธิ์แดง) เล่นท่านรองแล้วว่ะ" #ตำรวจจริงนะนั่น เพจคิงส์โพธิ์แดงถึงกับตกใจมากกับโพสดังกล่าว เพราะเป็นการปรักปรำว่า แอคเคาท์ดังกล่าว คือ นายตำรวจตัวจริง ที่ปฏิบัติผิดวินัยข้าราชการตำรวจ และมีการผิดวินัยร้ายแรงในการแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับ ประชาชนไทย โดยฝั่งใฝ่ชาวต่างชาติรุ่นหลาน ซึ่ง หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง จะต้องถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัย และอาจนำไปสู่การถูกบทลงโทษ ทั้งๆที่ ขณะนี้เพจคิงส์โพธิ์แดงเอง ก็ยังอยู่ในขั้นตอนหาคำตอบ ว่าเจ้าหน้าที่ในภาพที่ใช้ในโปรไฟล์ อาจถูกแอบอ้าง ดังนั้น หากเกิดกรณี ที่ท่านเจ้าหน้าที่ตร.ในภาพ ได้ถูกแอบอ้างภาพ และชื่อไปใช้ เพจคิงส์โพธิ์แดงจึง ต้องขอเรียนว่า แอดมินเพจ Diy reviwe V2. ได้ทำการปรับปรำท่าน จนทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าใจผิด และมีผลทำให้ท่าน เกิดความเสื่อมเสีย โดยคลิปที่โพสเพื่อสอบถามความจริงดังกล่าวก็จะเป็นข้อมูลตั้งต้นให้เจ้าหน้าที่ได้สืบหาความจริง และหากมิจนำภาพเจ้าหน้าที่ตร.ไปใช้ ก็จะได้มีการติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคะดีต่อไป -แต่หากตรวจสอบพบว่า ภาพดังกล่าวและแอคเคา์นั้นเป็นของจริงตามที่แอดมินเพจ Diy reviwe v2 อ้างนั้นเป็นจริง ก็ถือว่าจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบทางวินัย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิป และในโซเชียลนั้น เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งก็จะเรื่องของคณะกรรมการสอบสวน ที่ได้รับการแต่งตั้งต่อไป หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการข้อมูลของ แอดมินเพจ diy reviwe v2 ที่เป็นผู้โพสในลักษณะปรักปรัม ว่าตำรวจในภาพซึ่งมีพฤติกรรมผิดวินัยข้าราชการ ว่านั่นคือแอคเคาท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงดังกล่าว สามารถทักมาสอบถามได้ที่ เพจคิงส์โพธิ์แดง หรือติดต่อได้ที่ คุณโจ มณฑนี เนื่องจากแอดมินเพจดังกล่าว ให้ความเคารพเป็นอาจารย์ มีความสนิทสนมกันอย่างยิ่ง น่าจะมีข้อมูลต่างๆชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อทราบ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 851 Views 0 Reviews
More Results