• อย่ายอมแพ้แค่เพราะมันยาก แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ในวันที่โลกทั้งใบไม่เข้าข้างคุณ ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่ก็คุ้มค่าที่จะ "ไม่ยอมแพ้"

    🔍 แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ไม่หยุด = ชนะ สำหรับคนที่เจอวิกฤต ชีวิตมันยาก...แต่คุณ "ต้องรอด ✨

    📌 บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อคุณ...ผู้ที่กำลังเผชิญช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต ชีวิตอาจไม่ง่าย แต่คุณยังมีพลังเงียบในตัวเองเสมอ ขอแค่คุณไม่หยุดเดิน ก็ถือว่าคุณ "ชนะ" แล้ว

    💪 ชีวิตไม่ได้ง่ายสำหรับใครเลย...แต่คุณก็ยังไปต่อได้เสมอ ทุกคนล้วนมี "วันที่เหนื่อยแทบล้มทั้งยืน" วันที่เหมือนถูกทั้งโลก ผลักให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ วันที่ไม่เหลือแม้แต่ "คำปลอบใจ" จากใครสักคน...

    แต่รู้ไหม? คุณไม่ได้อ่อนแอที่รู้สึกท้อ และคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในความรู้สึกแบบนี้... บทความนี้...เขียนเพื่อคุณ เพื่อบอกคุณว่า "แค่ไม่ยอมแพ้...ก็ถือว่าชนะแล้ว"

    🌟 แรงบันดาลใจ ไม่ใช่พลังวิเศษ ไม่ใช่พลังมหาศาลแบบในหนังฮีโร่ แต่มันคือ “พลังเงียบ” ที่ช่วยให้เรา "ลุกจากเตียง" ในวันที่ไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ...

    แรงบันดาลใจ... ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องเว่อร์ แค่คิดถึง "คนที่เรารัก" ก็เป็นพลัง หรือบางทีแค่ "ประโยคหนึ่ง" จากบทความนี้
    ก็อาจเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของคุณได้

    🎯 ทำไมเราต้องมีแรงบันดาลใจ? เพราะในวันที่ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผน แรงบันดาลใจจะคอย "เตือนใจ" เราว่า ชีวิตยังมีความหมายอยู่...แม้มันจะยังไม่ง่ายก็ตาม

    🧩 เมื่อทุกอย่างพังทลาย...อะไรคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ชีวิตบางครั้งเหมือนห้องที่ถูกพายุถล่ม จนเละไม่มีชิ้นดี บ้านอาจพอซ่อมได้...แต่ “ใจ” ที่พังนี่แหละ ซ่อมยากที่สุด 🧱

    ในวันที่คุณรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีแสง ไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ ลองมองดูให้ดี... คุณยังมี “ตัวเอง” ยังมี หัวใจ ที่ยังเต้น แปลว่าคุณยัง "มีโอกาส" ยังมี สมอง ที่จะเปลี่ยนความคิดทุกอย่างได้ และที่สำคัญ...ยัง เลือกได้ เสมอว่าจะ “ลุก” หรือ “นอนจม” ต่อไป

    ❤️ อย่าลืมว่า...ต่อให้โลกจะไม่เข้าใจ แต่คุณยัง "เข้าใจตัวเอง" ได้เสมอ ❤️

    🎁 บทเรียนจากวิกฤต ทุกปัญหาคือของขวัญ ในรูปแบบที่เราไม่คาดคิด หลายคนค้นพบ "ตัวเอง" ในช่วงที่ยากที่สุดของชีวิต เพราะชีวิตไม่ได้ส่งวิกฤตมาเพื่อ "ทำร้ายเรา" แต่มันส่งมาเพื่อ "ทำให้เราเติบโต"

    คนที่เคยกลัวความล้มเหลว กลายเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

    คนที่เคยอ่อนแอ กลายเป็นคนที่เข้มแข็งจนคนรอบข้างทึ่ง

    ทุกปัญหา…มีของขวัญซ่อนอยู่ ถ้าคุณ “กล้าพอ” ที่จะเปิดมันออกมาดู

    🤝 อย่ายอมแพ้…แม้ในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้างคุณ ในวันที่คุณไม่มีใคร คุณยังมี “ตัวเอง” และคุณต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของตัวเองให้ได้ พูดกับตัวเองในกระจกว่า “เก่งมากแล้วนะ ที่ยังยืนอยู่ได้” ให้กำลังใจตัวเอง แบบที่คุณอยากได้จากคนอื่น

    และจงจำไว้เสมอว่า คุณคือคนเดียวที่อยู่กับตัวเอง ไปจนวันสุดท้าย อย่าให้ความโดดเดี่ยวทำให้คุณยอมแพ้ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกคนเข้าใจ แค่คุณ “เข้าใจตัวเอง” ก็เพียงพอแล้ว

    ✨ ความหวัง & ความเชื่อ พลังเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบได้ ความหวัง คือ "แสง" ที่ปลายอุโมงค์ มันอาจจะไกล...แต่มัน "มีอยู่จริง" 💡 คนที่เชื่อว่า "ชีวิตจะดีขึ้น" มักมีโอกาส “เจอสิ่งดีๆ” มากกว่าคนที่หมดหวัง

    ความเชื่อ คือ “พลังล่องหน” ที่สามารถขับเคลื่อนเรา แม้ในวันที่ดูเหมือนไม่เหลืออะไรเลย ความหวังไม่ใช่คำปลอบใจ
    แต่มันคือเครื่องมือในการ “เอาตัวรอด” อย่างแท้จริง

    🛠️ กลยุทธ์ฟื้นตัวในวันที่ชีวิตพัง ทำอย่างไรให้กลับมายืนได้อีกครั้ง

    ตั้งสติ ไม่โทษตัวเอง ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ลงโทษตัวเอง” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “เรียนรู้”

    พัก แต่ไม่ถอย เหนื่อยได้ ร้องไห้ได้ แต่ขอแค่ “อย่าถอยกลับไปที่เดิม”

    มองหาความสุขเล็กๆ อย่ามองหาแต่เป้าหมายใหญ่ จนลืมว่ารอยยิ้มจากกาแฟแก้วหนึ่ง...ก็เป็นพลังได้เหมือนกัน ☕

    เขียนไดอารี่ บันทึกความรู้สึก เพราะเมื่อคุณย้อนกลับมาอ่าน มันจะเตือนว่าคุณ "ผ่านอะไรมาได้มากแค่ไหนแล้ว"

    หาคนฟังที่ไม่ตัดสิน บางครั้งเราต้องการแค่คนที่ “ฟังเรา” โดยไม่พยายามแก้ไขอะไรเลย แค่รับฟัง

    🏁 ไม่หยุด = ชนะแล้ว คุณไม่ต้อง "ชนะทุกอย่าง" แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็ถือว่า “คุณชนะแล้ว” ล้มได้ แต่ลุกอีกครั้ง เดินช้าได้ แต่ขอแค่อย่าหยุด เหนื่อยได้ แต่จงจำไว้ว่า "พัก" ไม่ใช่ "ถอย"

    อย่าลืมว่า… คนที่ผ่านช่วงมืดที่สุดมาได้ คือคนที่จะ "สว่างกว่าใคร" เมื่อถึงเวลา

    💬 คำคมสร้างพลังใจ
    "ถ้าคุณยังหายใจอยู่ แปลว่าคุณยังเปลี่ยนทุกอย่างได้เสมอ"

    "ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่มัน ‘คุ้มค่า’ ที่จะใช้"

    "ล้มได้ ไม่เป็นไร ขอแค่ ‘อย่าล้มเลิก’"

    ถ้ารู้สึกท้อทุกวัน ควรเริ่มจากการดูแลตัวเองทีละนิด พักผ่อนให้เพียงพอ หาแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆ และอย่าลืมหาคนที่พร้อมจะฟังคุณอย่างแท้จริง

    หากแรงบันดาลใจหายไป ให้กลับไปหา "จุดเริ่มต้น" ที่ทำให้คุณเริ่มฝัน ลองนึกถึงคนที่คุณอยากภูมิใจในตัวคุณ แล้วเริ่มใหม่จากตรงนั้น

    หากรู้สึกไม่มีค่าเลย เพราะคุณกำลังใช้มาตรฐานของคนอื่น ตัดสินตัวเอง ลองกลับมาโฟกัสที่สิ่งที่คุณทำได้ดี แม้จะเล็กน้อย ก็ยังมีคุณค่า

    ถ้าคุณยังยืนอยู่ได้หลังจากที่เจ็บมา นั่นแปลว่าคุณ “ผ่านวิกฤตมาแล้วครึ่งหนึ่ง”

    เขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต เดินเล่นคนเดียว ไปเที่ยวธรรมชาติ หรือฟังเพลงที่ให้พลังบวก เพื่อฟืเนพลังใจ

    ไม่มีใครเก่งพอจะไม่ล้ม แต่ทุกคนเก่งพอที่จะ “ลุก” ได้เสมอ

    🔑 สาระสำคัญที่ควรจดจำ ชีวิตไม่ได้ต้องการให้เราชนะทุกวัน แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็คือ “คุณเก่งมากแล้ว”

    จงเลือกที่จะเดินต่อ...แม้จะช้าก็ตาม เพราะความหวังอยู่ที่ปลายทางเสมอ พร้อมหรือยังที่จะ "ไม่ยอมแพ้"...? 💥
    คุณไปต่อได้แน่นอน ✨

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222210 เม.ย. 2568

    📱 #แรงบันดาลใจ #ชีวิตไม่ง่ายแต่ต้องรอด #อย่ายอมแพ้ #กำลังใจดีๆ #สู้ชีวิต #พลังใจ #ความหวังยังมีเสมอ #คำคมชีวิต #เอาชนะใจตัวเอง #ชีวิตคือการเดินทาง
    อย่ายอมแพ้แค่เพราะมันยาก แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ในวันที่โลกทั้งใบไม่เข้าข้างคุณ ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่ก็คุ้มค่าที่จะ "ไม่ยอมแพ้" 🔍 แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ไม่หยุด = ชนะ สำหรับคนที่เจอวิกฤต ชีวิตมันยาก...แต่คุณ "ต้องรอด ✨ 📌 บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อคุณ...ผู้ที่กำลังเผชิญช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต ชีวิตอาจไม่ง่าย แต่คุณยังมีพลังเงียบในตัวเองเสมอ ขอแค่คุณไม่หยุดเดิน ก็ถือว่าคุณ "ชนะ" แล้ว 💪 ชีวิตไม่ได้ง่ายสำหรับใครเลย...แต่คุณก็ยังไปต่อได้เสมอ ทุกคนล้วนมี "วันที่เหนื่อยแทบล้มทั้งยืน" วันที่เหมือนถูกทั้งโลก ผลักให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ วันที่ไม่เหลือแม้แต่ "คำปลอบใจ" จากใครสักคน... แต่รู้ไหม? คุณไม่ได้อ่อนแอที่รู้สึกท้อ และคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในความรู้สึกแบบนี้... บทความนี้...เขียนเพื่อคุณ เพื่อบอกคุณว่า "แค่ไม่ยอมแพ้...ก็ถือว่าชนะแล้ว" 🌟 แรงบันดาลใจ ไม่ใช่พลังวิเศษ ไม่ใช่พลังมหาศาลแบบในหนังฮีโร่ แต่มันคือ “พลังเงียบ” ที่ช่วยให้เรา "ลุกจากเตียง" ในวันที่ไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ... แรงบันดาลใจ... ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องเว่อร์ แค่คิดถึง "คนที่เรารัก" ก็เป็นพลัง หรือบางทีแค่ "ประโยคหนึ่ง" จากบทความนี้ ก็อาจเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของคุณได้ 🎯 ทำไมเราต้องมีแรงบันดาลใจ? เพราะในวันที่ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผน แรงบันดาลใจจะคอย "เตือนใจ" เราว่า ชีวิตยังมีความหมายอยู่...แม้มันจะยังไม่ง่ายก็ตาม 🧩 เมื่อทุกอย่างพังทลาย...อะไรคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ชีวิตบางครั้งเหมือนห้องที่ถูกพายุถล่ม จนเละไม่มีชิ้นดี บ้านอาจพอซ่อมได้...แต่ “ใจ” ที่พังนี่แหละ ซ่อมยากที่สุด 🧱 ในวันที่คุณรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีแสง ไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ ลองมองดูให้ดี... คุณยังมี “ตัวเอง” ยังมี หัวใจ ที่ยังเต้น แปลว่าคุณยัง "มีโอกาส" ยังมี สมอง ที่จะเปลี่ยนความคิดทุกอย่างได้ และที่สำคัญ...ยัง เลือกได้ เสมอว่าจะ “ลุก” หรือ “นอนจม” ต่อไป ❤️ อย่าลืมว่า...ต่อให้โลกจะไม่เข้าใจ แต่คุณยัง "เข้าใจตัวเอง" ได้เสมอ ❤️ 🎁 บทเรียนจากวิกฤต ทุกปัญหาคือของขวัญ ในรูปแบบที่เราไม่คาดคิด หลายคนค้นพบ "ตัวเอง" ในช่วงที่ยากที่สุดของชีวิต เพราะชีวิตไม่ได้ส่งวิกฤตมาเพื่อ "ทำร้ายเรา" แต่มันส่งมาเพื่อ "ทำให้เราเติบโต" คนที่เคยกลัวความล้มเหลว กลายเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว คนที่เคยอ่อนแอ กลายเป็นคนที่เข้มแข็งจนคนรอบข้างทึ่ง ทุกปัญหา…มีของขวัญซ่อนอยู่ ถ้าคุณ “กล้าพอ” ที่จะเปิดมันออกมาดู 🤝 อย่ายอมแพ้…แม้ในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้างคุณ ในวันที่คุณไม่มีใคร คุณยังมี “ตัวเอง” และคุณต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของตัวเองให้ได้ พูดกับตัวเองในกระจกว่า “เก่งมากแล้วนะ ที่ยังยืนอยู่ได้” ให้กำลังใจตัวเอง แบบที่คุณอยากได้จากคนอื่น และจงจำไว้เสมอว่า คุณคือคนเดียวที่อยู่กับตัวเอง ไปจนวันสุดท้าย อย่าให้ความโดดเดี่ยวทำให้คุณยอมแพ้ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกคนเข้าใจ แค่คุณ “เข้าใจตัวเอง” ก็เพียงพอแล้ว ✨ ความหวัง & ความเชื่อ พลังเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบได้ ความหวัง คือ "แสง" ที่ปลายอุโมงค์ มันอาจจะไกล...แต่มัน "มีอยู่จริง" 💡 คนที่เชื่อว่า "ชีวิตจะดีขึ้น" มักมีโอกาส “เจอสิ่งดีๆ” มากกว่าคนที่หมดหวัง ความเชื่อ คือ “พลังล่องหน” ที่สามารถขับเคลื่อนเรา แม้ในวันที่ดูเหมือนไม่เหลืออะไรเลย ความหวังไม่ใช่คำปลอบใจ แต่มันคือเครื่องมือในการ “เอาตัวรอด” อย่างแท้จริง 🛠️ กลยุทธ์ฟื้นตัวในวันที่ชีวิตพัง ทำอย่างไรให้กลับมายืนได้อีกครั้ง ตั้งสติ ไม่โทษตัวเอง ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ลงโทษตัวเอง” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “เรียนรู้” พัก แต่ไม่ถอย เหนื่อยได้ ร้องไห้ได้ แต่ขอแค่ “อย่าถอยกลับไปที่เดิม” มองหาความสุขเล็กๆ อย่ามองหาแต่เป้าหมายใหญ่ จนลืมว่ารอยยิ้มจากกาแฟแก้วหนึ่ง...ก็เป็นพลังได้เหมือนกัน ☕ เขียนไดอารี่ บันทึกความรู้สึก เพราะเมื่อคุณย้อนกลับมาอ่าน มันจะเตือนว่าคุณ "ผ่านอะไรมาได้มากแค่ไหนแล้ว" หาคนฟังที่ไม่ตัดสิน บางครั้งเราต้องการแค่คนที่ “ฟังเรา” โดยไม่พยายามแก้ไขอะไรเลย แค่รับฟัง 🏁 ไม่หยุด = ชนะแล้ว คุณไม่ต้อง "ชนะทุกอย่าง" แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็ถือว่า “คุณชนะแล้ว” ล้มได้ แต่ลุกอีกครั้ง เดินช้าได้ แต่ขอแค่อย่าหยุด เหนื่อยได้ แต่จงจำไว้ว่า "พัก" ไม่ใช่ "ถอย" อย่าลืมว่า… คนที่ผ่านช่วงมืดที่สุดมาได้ คือคนที่จะ "สว่างกว่าใคร" เมื่อถึงเวลา 💬 คำคมสร้างพลังใจ "ถ้าคุณยังหายใจอยู่ แปลว่าคุณยังเปลี่ยนทุกอย่างได้เสมอ" "ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่มัน ‘คุ้มค่า’ ที่จะใช้" "ล้มได้ ไม่เป็นไร ขอแค่ ‘อย่าล้มเลิก’" ถ้ารู้สึกท้อทุกวัน ควรเริ่มจากการดูแลตัวเองทีละนิด พักผ่อนให้เพียงพอ หาแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆ และอย่าลืมหาคนที่พร้อมจะฟังคุณอย่างแท้จริง หากแรงบันดาลใจหายไป ให้กลับไปหา "จุดเริ่มต้น" ที่ทำให้คุณเริ่มฝัน ลองนึกถึงคนที่คุณอยากภูมิใจในตัวคุณ แล้วเริ่มใหม่จากตรงนั้น หากรู้สึกไม่มีค่าเลย เพราะคุณกำลังใช้มาตรฐานของคนอื่น ตัดสินตัวเอง ลองกลับมาโฟกัสที่สิ่งที่คุณทำได้ดี แม้จะเล็กน้อย ก็ยังมีคุณค่า ถ้าคุณยังยืนอยู่ได้หลังจากที่เจ็บมา นั่นแปลว่าคุณ “ผ่านวิกฤตมาแล้วครึ่งหนึ่ง” เขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต เดินเล่นคนเดียว ไปเที่ยวธรรมชาติ หรือฟังเพลงที่ให้พลังบวก เพื่อฟืเนพลังใจ ไม่มีใครเก่งพอจะไม่ล้ม แต่ทุกคนเก่งพอที่จะ “ลุก” ได้เสมอ 🔑 สาระสำคัญที่ควรจดจำ ชีวิตไม่ได้ต้องการให้เราชนะทุกวัน แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็คือ “คุณเก่งมากแล้ว” จงเลือกที่จะเดินต่อ...แม้จะช้าก็ตาม เพราะความหวังอยู่ที่ปลายทางเสมอ พร้อมหรือยังที่จะ "ไม่ยอมแพ้"...? 💥 คุณไปต่อได้แน่นอน ✨ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222210 เม.ย. 2568 📱 #แรงบันดาลใจ #ชีวิตไม่ง่ายแต่ต้องรอด #อย่ายอมแพ้ #กำลังใจดีๆ #สู้ชีวิต #พลังใจ #ความหวังยังมีเสมอ #คำคมชีวิต #เอาชนะใจตัวเอง #ชีวิตคือการเดินทาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์

    ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้แดนอาทิตย์อุทัยติดตามเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นในสังคมญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลาคงเคยได้ยินเรื่องวันสิ้นโลกซึ่ง คุณเรียว ทะสึคิ (たつき諒) ซึ่งเป็นนามปากกาของนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่นสายมังงะ (漫画) ซึ่งปัจจุบันท่านอายุย่าง 71 ปีเกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1954 ที่จังหวัดคะนะงะวะ (神奈川県) มีพรสวรรค์ในการวาดภาพตั้งแต่เด็ก

    ในช่วงแรกของการใช้ชีวิต คุณ เรียว ก็ดำเนินชีวิตตามปกติอย่างเด็กญี่ปุ่นทั่วไปจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุตอนอายุ 17 ปี แม้จะโชคดีที่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลร้ายถึงขั้นเสียชีวิตแต่กระนั้น ความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกลับสร้างปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเธอนั้นคือ เธอมักจะมองเห็นอนาคตจากความฝัน เริ่มจากสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวันจนลามไปถึงเหตุการณ์สำคัญระดับโลกรวมทั้งภัยพิบัติประเภทต่างๆ ข้อดีของคุณ เรียว คือเธอเป็นนักจดบันทึกที่ลงในรายละเอียดประกอบกับมีทักษะพิเศษในการวาดภาพ เลยเกิดเป็นการทำนายเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านหนังสือมังงะที่ใช้ชื่อว่า “อนาคตที่ฉันมองเห็น (私が見た未来)” ซึ่งเป็นการนำเอาไดอารี่ที่มีการจดบันทึกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวในรูปแบบของการ์ตูน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/daily/detail/9680000037620

    #MGROnline #เรียวทะสึคิ #たつき諒 #นักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น #สายมังงะ
    ศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ • ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้แดนอาทิตย์อุทัยติดตามเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นในสังคมญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลาคงเคยได้ยินเรื่องวันสิ้นโลกซึ่ง คุณเรียว ทะสึคิ (たつき諒) ซึ่งเป็นนามปากกาของนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่นสายมังงะ (漫画) ซึ่งปัจจุบันท่านอายุย่าง 71 ปีเกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1954 ที่จังหวัดคะนะงะวะ (神奈川県) มีพรสวรรค์ในการวาดภาพตั้งแต่เด็ก • ในช่วงแรกของการใช้ชีวิต คุณ เรียว ก็ดำเนินชีวิตตามปกติอย่างเด็กญี่ปุ่นทั่วไปจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุตอนอายุ 17 ปี แม้จะโชคดีที่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลร้ายถึงขั้นเสียชีวิตแต่กระนั้น ความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกลับสร้างปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเธอนั้นคือ เธอมักจะมองเห็นอนาคตจากความฝัน เริ่มจากสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวันจนลามไปถึงเหตุการณ์สำคัญระดับโลกรวมทั้งภัยพิบัติประเภทต่างๆ ข้อดีของคุณ เรียว คือเธอเป็นนักจดบันทึกที่ลงในรายละเอียดประกอบกับมีทักษะพิเศษในการวาดภาพ เลยเกิดเป็นการทำนายเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านหนังสือมังงะที่ใช้ชื่อว่า “อนาคตที่ฉันมองเห็น (私が見た未来)” ซึ่งเป็นการนำเอาไดอารี่ที่มีการจดบันทึกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวในรูปแบบของการ์ตูน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/daily/detail/9680000037620 • #MGROnline #เรียวทะสึคิ #たつき諒 #นักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น #สายมังงะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..พวกมันสื่อสารบอกเรานานแล้วในการจะเริ่มลงมือทำจริงๆกับเรา.
    ..วัคซีนที่ๆคนไทยเรากว่า60ล้านคนฉีดไป รวมถึงต่างด้าวในไทย ต่างชาติเถื่อนๆอีกในไทยกว่า10-20ล้านคนอีก.ที่จึกๆไป ต่างมีเชื้อผีดิบนี้นะและพวกมันพร้อมถูกกระตุ้นจากการกดปุ่มของจริงที่ใครมันควบคุมคลื่น5Gนั้น.

    MSNBC: 'เมืองใดจะอยู่รอดจากเหตุการณ์ซอมบี้ครองโลก?'

    นักวิจัยได้จัดทำรายชื่อสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ซอมบี้ครองโลก
    วันที่ออกอากาศ: 3 พฤศจิกายน 2015 ทาง MSNBC

    ในปี 2021 มีการเผยแพร่คู่มือการเตรียมตัวรับมือซอมบี้บนเว็บไซต์ของ CDC ซึ่งประกอบด้วย 'บล็อกการเตรียมตัวรับมือซอมบี้' 'การเตรียมตัวรับมือซอมบี้สำหรับนักการศึกษา' 'โปสเตอร์การเตรียมตัวรับมือซอมบี้' 'นิยายภาพการเตรียมตัวรับมือซอมบี้' แต่เนื้อหาเหล่านี้ถูกลบออกไปแล้ว เป็นเรื่องแปลก...

    https://www.cdc.gov/cpr/zombie/index.htm

    • CDC เสนอคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับมือซอมบี้ในกรณีที่ Nostradamus พูดถูก

    https://nypost.com/2021/03/04/cdc-has-zombie-preparedness-tips-in-case-nostradamus-is-right/

    • นิยายภาพการเตรียมตัวรับมือซอมบี้ของ CDC

    🔗 วิดีโอ: Rumble

    https://rumble.com/v1cwtbp-msnbc-what-cities-will-survive-the-zombie-apocalypse.html
    ..พวกมันสื่อสารบอกเรานานแล้วในการจะเริ่มลงมือทำจริงๆกับเรา. ..วัคซีนที่ๆคนไทยเรากว่า60ล้านคนฉีดไป รวมถึงต่างด้าวในไทย ต่างชาติเถื่อนๆอีกในไทยกว่า10-20ล้านคนอีก.ที่จึกๆไป ต่างมีเชื้อผีดิบนี้นะและพวกมันพร้อมถูกกระตุ้นจากการกดปุ่มของจริงที่ใครมันควบคุมคลื่น5Gนั้น. MSNBC: 'เมืองใดจะอยู่รอดจากเหตุการณ์ซอมบี้ครองโลก?' นักวิจัยได้จัดทำรายชื่อสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ซอมบี้ครองโลก วันที่ออกอากาศ: 3 พฤศจิกายน 2015 ทาง MSNBC ในปี 2021 มีการเผยแพร่คู่มือการเตรียมตัวรับมือซอมบี้บนเว็บไซต์ของ CDC ซึ่งประกอบด้วย 'บล็อกการเตรียมตัวรับมือซอมบี้' 'การเตรียมตัวรับมือซอมบี้สำหรับนักการศึกษา' 'โปสเตอร์การเตรียมตัวรับมือซอมบี้' 'นิยายภาพการเตรียมตัวรับมือซอมบี้' แต่เนื้อหาเหล่านี้ถูกลบออกไปแล้ว เป็นเรื่องแปลก... https://www.cdc.gov/cpr/zombie/index.htm • CDC เสนอคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับมือซอมบี้ในกรณีที่ Nostradamus พูดถูก https://nypost.com/2021/03/04/cdc-has-zombie-preparedness-tips-in-case-nostradamus-is-right/ • นิยายภาพการเตรียมตัวรับมือซอมบี้ของ CDC 🔗 วิดีโอ: Rumble https://rumble.com/v1cwtbp-msnbc-what-cities-will-survive-the-zombie-apocalypse.html
    Page Not Found | CDC
    Page Not Found | CDC
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 12 อยู่กินอย่างไรไม่ให้เดือดร้อน
    .
    การจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ตนเองต้องการเป็นเรื่องสนุก หลายคนมีสติในเรื่องการใช้จ่าย แต่หลายคนก็ขาดสติ ใช้จ่ายจนเกิดความเดือดร้อนในเรื่องเงินทอง ซึ่งมีผลกระทบไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย
    .
    บ่อยครั้งคนที่เริ่มเดือดร้อนเรื่องเงิน ยังไม่ตระหนักถึงสภานะของตนเอง เพราะไม่มีไฟแดงกระพริบเตือนเป็นสัญญาณให้ทราบว่ากำลังใช้จ่ายเกินตัว กินอยู่เกินฐานะ และชีวิตในอนาคตกำลังจะลำบาก สิ่งที่อาจเป็นตัวแทนของไฟแดงกระพริบได้แก่ (1) รายได้ส่วนหนึ่งถูกใช้ชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที (2) จ่ายเงินชำระหนี้บัตรเครดิตหรือเงินกู้ด้วยจำนวนเงินต่ำที่สุดเท่าที่เจ้าหนี้จะยอมให้ได้ (3) ใช้เงินเต็มวงกู้ของบัตรเครดิต (4) ต้องเอาเงินส่วนที่ตั้งใจไว้ทำอย่างอื่น มาจ่ายชำระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน (5) ใช้บัตรเครดิตชำระเงินสำหรับหลายสิ่งทั้ง ๆ ที่แต่เดิมใช้เงินสด (6) ชำระเงินตามใบเรียกเก็บเกินกำหนดเวลาอยู่เนืองๆ (7) ถูกเตือนให้จัดการกับบิลค้างชำระอยู่บ่อย ๆ (8) ทำงานล่วงเวลาหรือหาเงินพิเศษตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินสดมาชำระบิลที่ส่งมาเรียกเก็บ (9) หากต้องออกจากงานที่ทำอยู่ก็จะเกิดปัญหาการเงินขึ้นมาทันที (10) นึกกังวลถึงเรื่องเงินอยู่เสมอ
    .
    สัญญาณข้างต้นไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอย่างก็แสดงว่า กำลังกินอย่างเดือดร้อนแล้ว สาเหตุก็มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย หนทางแก้ไขแรกคือ ต้องหารายได้ให้พอกับรายจ่ายที่กำลังเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างว่า ยกฐานะการเงินขึ้นมาให้ทัดเทียมกับระดับการอยู่กิน หนทางที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ หรือลดการอยู่กินลงมาให้พอดีหรือต่ำกว่าฐานะ หรือทั้งสองหนทาง
    .
    การแก้ไขด้วยวิธีแรกนั้นยากมาก และไม่มีวันจบสิ้นได้เลย เพราะเคยชินกับการใช้จ่ายสูงจนเสมือนกับไล่จับเงาตัวเอง หามาได้เท่าใดก็ไม่มีวันเพียงพอ การใช้ทั้งสองวิธี หรือใช้วิธีที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ มีเหตุมีผลมากกว่า เพราะถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็กระทำได้ง่ายกว่าการหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย และที่สำคัญที่สุด เกิดเป็นมรรคเป็นผลในระยะยาว
    .
    อย่างไรก็ดีในการหาทางแก้ไข จะจ้องเข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของการอยู่กินอย่างเดือดร้อนของคนไฟแดงกะพริบเหล่านี้ หากมองในภาพรวมก็จะเห็นว่า ปัญหาเริ่มจากความต้องการที่ไม่มีวันพอ เป็นสาเหตุแรก กล่าวคือ ความต้องการมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังที่มาสโลว์ กล่าวไว้ โดยเริ่มต้นจากต้องการบำบัดความหิว ต้องการอยู่รอดอย่างมั่นคงปลอดภัย ต้องการความรักและมีพรรคพวก ต้องการความสำเร็จและได้รับการชื่นชมยอมรับ ต้องการมีความรู้และความเข้าใจ ต้องการความงามและความเป็นระเบียบ สุดท้ายต้องการบรรลุศักยภาพของตนเอง ดังนั้นโดยพื้นฐาน มนุษย์ต้องการการบริโภคมากอยู่แล้ว ซึ่งย่อมทำให้ใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
    .
    สาเหตุที่ 2 คือ ความเข้าใจโลกที่ไม่เหมาะสม หลายคนมักนึกว่าการดำเนินชีวิตของผู้คนและครอบครัวกังที่ปรากฏในสื่อ คือวิถีการดำเนินชีวิตจริงของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริโภค การใช้ชีวิต และค่านิยม ดังนั้นเมื่อผู้เสพสื่อเหล่านี้ต้องการเป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จึงจำเป็นต้องบริโภคในลักษณะนั้นๆ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิต และมีค่านิยมแบบเดียวกัน การเลียนแบบเหล่านี้ ย่อมเกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมากมายอีกเช่นกัน
    .
    สาเหตุที่ 3 คือ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันโทรศัพท์สื่อโซเชี่ยลมิเดียหลายแพลทฟอร์ม เป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก มีหลายครั้งที่ผู้โฆษณาพยายามบอกผู้ชมว่า ถ้าใช้สินค้านั้น หรือไปสถานที่นี้ ทำอย่างนั้นแล้วจะเป็น “คนมีระดับ” จะทำให้เป็นคนที่สังคมยอมรับ และ “คนปกติ” เขาก็ปฎิบัติเช่นนั้น การสื่อเช่นนี้ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้โดยง่าย
    .
    ทั้งสามสาเหตุ นำไปสู่การใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นการขาดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะอยู่กินอย่างเดือดร้อน
    .
    ผู้ที่ดื่มด่ำกับการบริโภคในปัจจุบันจนลึมนึกถึงอนาคต ลืมนึกถึงความมั่นคงในชีวิตตนเองและครอบครัวในวันข้างหน้า มักจะนึกเอาว่า เอาไว้อีกสักพักค่อยออมเงินเพื่อสร้างอนาคตก็ได้ แต่ “สักพัก” นั้นก็ไม่มาถึงซักที พร้อมกับจมดิ่งลงไปในหนี้สินที่พอกพูนขึ้นทุกวัน สำหรับคนเหล่านี้ อย่าว่าแต่จะออมได้เลย แค่มีเงินใช้จ่ายให้ตลอดเดือนได้ก็ยากเต็มทีแล้ว
    .
    กลุ่มคนเหล่านี้จะหลุดพ้นจากการอยู่กินอย่างเดือดร้อนได้ก็ด้วยหลัก 4 ประการ ดังต่อไปนี้
    (1) ต้องมองโลกในแง่ใหม่ ว่าเงินเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู การมีหนี้สินที่ไม่นำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น เท่ากับเปิดช่องให้เงินเป็นศัตรู โดยทำร้ายตนเองตลอดเวลาด้วยดอกเบี้ย ดังนั้นจึงต้องพยายามแก้ไขให้เงินเป็นมิตรด้วยการมีเงินออมแทน
    (2) อยู่กินต่ำกว่าฐานะ
    (3) ทำให้เงินทำงานรับใช้ โดยเริ่มจากการมีเงินออม
    (4) ควบคุมความต้องการของตนเองโดยยึด “แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นคือดำรงตนอย่างมีสติ ไม่ใช้เงินอย่างประมาท รู้จักความพอดี ความพอประมาณ มีเหตุมีผล และมีวุฒิภาวะควบคุมความต้องการของตนเองให้ได้
    .
    การอยู่กินอย่างเดือดร้อน คือการอยู่กินอย่างขาดความหวังว่าชีวิตในอนาคตจะมีความมั่นคงทางการเงิน เป็นการดำรงชีวิตอย่างทุกข์ใจ ต้องนึกถึงแต่เรื่องเงินอยู่ตลอดเวลาจนชีวิตเปราะบาง เอื้อต่อการกระทำที่ผิดจริยธรรม
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 12 อยู่กินอย่างไรไม่ให้เดือดร้อน . การจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ตนเองต้องการเป็นเรื่องสนุก หลายคนมีสติในเรื่องการใช้จ่าย แต่หลายคนก็ขาดสติ ใช้จ่ายจนเกิดความเดือดร้อนในเรื่องเงินทอง ซึ่งมีผลกระทบไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย . บ่อยครั้งคนที่เริ่มเดือดร้อนเรื่องเงิน ยังไม่ตระหนักถึงสภานะของตนเอง เพราะไม่มีไฟแดงกระพริบเตือนเป็นสัญญาณให้ทราบว่ากำลังใช้จ่ายเกินตัว กินอยู่เกินฐานะ และชีวิตในอนาคตกำลังจะลำบาก สิ่งที่อาจเป็นตัวแทนของไฟแดงกระพริบได้แก่ (1) รายได้ส่วนหนึ่งถูกใช้ชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที (2) จ่ายเงินชำระหนี้บัตรเครดิตหรือเงินกู้ด้วยจำนวนเงินต่ำที่สุดเท่าที่เจ้าหนี้จะยอมให้ได้ (3) ใช้เงินเต็มวงกู้ของบัตรเครดิต (4) ต้องเอาเงินส่วนที่ตั้งใจไว้ทำอย่างอื่น มาจ่ายชำระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน (5) ใช้บัตรเครดิตชำระเงินสำหรับหลายสิ่งทั้ง ๆ ที่แต่เดิมใช้เงินสด (6) ชำระเงินตามใบเรียกเก็บเกินกำหนดเวลาอยู่เนืองๆ (7) ถูกเตือนให้จัดการกับบิลค้างชำระอยู่บ่อย ๆ (8) ทำงานล่วงเวลาหรือหาเงินพิเศษตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินสดมาชำระบิลที่ส่งมาเรียกเก็บ (9) หากต้องออกจากงานที่ทำอยู่ก็จะเกิดปัญหาการเงินขึ้นมาทันที (10) นึกกังวลถึงเรื่องเงินอยู่เสมอ . สัญญาณข้างต้นไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอย่างก็แสดงว่า กำลังกินอย่างเดือดร้อนแล้ว สาเหตุก็มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย หนทางแก้ไขแรกคือ ต้องหารายได้ให้พอกับรายจ่ายที่กำลังเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างว่า ยกฐานะการเงินขึ้นมาให้ทัดเทียมกับระดับการอยู่กิน หนทางที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ หรือลดการอยู่กินลงมาให้พอดีหรือต่ำกว่าฐานะ หรือทั้งสองหนทาง . การแก้ไขด้วยวิธีแรกนั้นยากมาก และไม่มีวันจบสิ้นได้เลย เพราะเคยชินกับการใช้จ่ายสูงจนเสมือนกับไล่จับเงาตัวเอง หามาได้เท่าใดก็ไม่มีวันเพียงพอ การใช้ทั้งสองวิธี หรือใช้วิธีที่สองคือ ลดรายจ่ายลงให้พอดีกับรายได้ มีเหตุมีผลมากกว่า เพราะถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ก็กระทำได้ง่ายกว่าการหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย และที่สำคัญที่สุด เกิดเป็นมรรคเป็นผลในระยะยาว . อย่างไรก็ดีในการหาทางแก้ไข จะจ้องเข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของการอยู่กินอย่างเดือดร้อนของคนไฟแดงกะพริบเหล่านี้ หากมองในภาพรวมก็จะเห็นว่า ปัญหาเริ่มจากความต้องการที่ไม่มีวันพอ เป็นสาเหตุแรก กล่าวคือ ความต้องการมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังที่มาสโลว์ กล่าวไว้ โดยเริ่มต้นจากต้องการบำบัดความหิว ต้องการอยู่รอดอย่างมั่นคงปลอดภัย ต้องการความรักและมีพรรคพวก ต้องการความสำเร็จและได้รับการชื่นชมยอมรับ ต้องการมีความรู้และความเข้าใจ ต้องการความงามและความเป็นระเบียบ สุดท้ายต้องการบรรลุศักยภาพของตนเอง ดังนั้นโดยพื้นฐาน มนุษย์ต้องการการบริโภคมากอยู่แล้ว ซึ่งย่อมทำให้ใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว . สาเหตุที่ 2 คือ ความเข้าใจโลกที่ไม่เหมาะสม หลายคนมักนึกว่าการดำเนินชีวิตของผู้คนและครอบครัวกังที่ปรากฏในสื่อ คือวิถีการดำเนินชีวิตจริงของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริโภค การใช้ชีวิต และค่านิยม ดังนั้นเมื่อผู้เสพสื่อเหล่านี้ต้องการเป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จึงจำเป็นต้องบริโภคในลักษณะนั้นๆ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิต และมีค่านิยมแบบเดียวกัน การเลียนแบบเหล่านี้ ย่อมเกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมากมายอีกเช่นกัน . สาเหตุที่ 3 คือ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันโทรศัพท์สื่อโซเชี่ยลมิเดียหลายแพลทฟอร์ม เป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก มีหลายครั้งที่ผู้โฆษณาพยายามบอกผู้ชมว่า ถ้าใช้สินค้านั้น หรือไปสถานที่นี้ ทำอย่างนั้นแล้วจะเป็น “คนมีระดับ” จะทำให้เป็นคนที่สังคมยอมรับ และ “คนปกติ” เขาก็ปฎิบัติเช่นนั้น การสื่อเช่นนี้ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้โดยง่าย . ทั้งสามสาเหตุ นำไปสู่การใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นการขาดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะอยู่กินอย่างเดือดร้อน . ผู้ที่ดื่มด่ำกับการบริโภคในปัจจุบันจนลึมนึกถึงอนาคต ลืมนึกถึงความมั่นคงในชีวิตตนเองและครอบครัวในวันข้างหน้า มักจะนึกเอาว่า เอาไว้อีกสักพักค่อยออมเงินเพื่อสร้างอนาคตก็ได้ แต่ “สักพัก” นั้นก็ไม่มาถึงซักที พร้อมกับจมดิ่งลงไปในหนี้สินที่พอกพูนขึ้นทุกวัน สำหรับคนเหล่านี้ อย่าว่าแต่จะออมได้เลย แค่มีเงินใช้จ่ายให้ตลอดเดือนได้ก็ยากเต็มทีแล้ว . กลุ่มคนเหล่านี้จะหลุดพ้นจากการอยู่กินอย่างเดือดร้อนได้ก็ด้วยหลัก 4 ประการ ดังต่อไปนี้ (1) ต้องมองโลกในแง่ใหม่ ว่าเงินเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู การมีหนี้สินที่ไม่นำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น เท่ากับเปิดช่องให้เงินเป็นศัตรู โดยทำร้ายตนเองตลอดเวลาด้วยดอกเบี้ย ดังนั้นจึงต้องพยายามแก้ไขให้เงินเป็นมิตรด้วยการมีเงินออมแทน (2) อยู่กินต่ำกว่าฐานะ (3) ทำให้เงินทำงานรับใช้ โดยเริ่มจากการมีเงินออม (4) ควบคุมความต้องการของตนเองโดยยึด “แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นคือดำรงตนอย่างมีสติ ไม่ใช้เงินอย่างประมาท รู้จักความพอดี ความพอประมาณ มีเหตุมีผล และมีวุฒิภาวะควบคุมความต้องการของตนเองให้ได้ . การอยู่กินอย่างเดือดร้อน คือการอยู่กินอย่างขาดความหวังว่าชีวิตในอนาคตจะมีความมั่นคงทางการเงิน เป็นการดำรงชีวิตอย่างทุกข์ใจ ต้องนึกถึงแต่เรื่องเงินอยู่ตลอดเวลาจนชีวิตเปราะบาง เอื้อต่อการกระทำที่ผิดจริยธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นประเด็นร้อนๆ ในตอนนี้สำหรับนักร้อง นักแสดง "โตโน่ ภาคิน" หลังโดนหลายคนออกมาวิจารณ์และแฉสารพัดถึงเรื่องราวด้านลบนับตั้งแต่ที่เจ้าตัวมีข่าวไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นระหว่างที่คบหากับแฟนสาวนักแสดง "ณิชา ณัฏฐณิชา" ทั้งที่ฝ่ายหญิงเองก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่

    ย้อนกลับไปในอดีต "โตโน่" เองเคยตกเป็นข่าวดังเรื่องความรักมาหลายครั้งแต่ที่ฮือฮาสุดก็คือการที่เจ้าตัวตัดสินใจหมั้นกับนักแสดงหญิงผู้ล่วงลับ "แตงโม นิดา" ในปี 2556

    2 ปีของการใช้ชีวิตคู่ทั้งสองต่างก็ต้องเผชิญกับมรสุมข่าวต่างๆ นานา โดยเฉพาะกระแสแอนตี้จากแฟนคลับ สุดท้ายก็เลิกกันโดยตอนนั้นหลายคนเข้าใจว่าสาเหตุหลักๆ มาจากการที่แตงโมเองที่ "ไม่ซื่อสัตย์"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000035936

    #MGROnline #ณิชา #โตโน่ #โตโน่แตงโม
    เป็นประเด็นร้อนๆ ในตอนนี้สำหรับนักร้อง นักแสดง "โตโน่ ภาคิน" หลังโดนหลายคนออกมาวิจารณ์และแฉสารพัดถึงเรื่องราวด้านลบนับตั้งแต่ที่เจ้าตัวมีข่าวไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นระหว่างที่คบหากับแฟนสาวนักแสดง "ณิชา ณัฏฐณิชา" ทั้งที่ฝ่ายหญิงเองก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่ • ย้อนกลับไปในอดีต "โตโน่" เองเคยตกเป็นข่าวดังเรื่องความรักมาหลายครั้งแต่ที่ฮือฮาสุดก็คือการที่เจ้าตัวตัดสินใจหมั้นกับนักแสดงหญิงผู้ล่วงลับ "แตงโม นิดา" ในปี 2556 • 2 ปีของการใช้ชีวิตคู่ทั้งสองต่างก็ต้องเผชิญกับมรสุมข่าวต่างๆ นานา โดยเฉพาะกระแสแอนตี้จากแฟนคลับ สุดท้ายก็เลิกกันโดยตอนนั้นหลายคนเข้าใจว่าสาเหตุหลักๆ มาจากการที่แตงโมเองที่ "ไม่ซื่อสัตย์" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000035936 • #MGROnline #ณิชา #โตโน่ #โตโน่แตงโม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🥰สุขสันต์วันผู้สูงอายุแห่งชาติ 2568🥰
    🙏ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีกำลังใจที่เข้มแข็ง มีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกช่วงเวลา ขอให้ทุกวันของท่านเต็มไปด้วยความสุข ความสงบ และความอบอุ่น🥰💐
    🥰สุขสันต์วันผู้สูงอายุแห่งชาติ 2568🥰 🙏ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีกำลังใจที่เข้มแข็ง มีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกช่วงเวลา ขอให้ทุกวันของท่านเต็มไปด้วยความสุข ความสงบ และความอบอุ่น🥰💐
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเชี่ยวชาญของคุณคืออะไร?

    ผมและทีม 10X Consulting และ Life Alignmentor 2 แบรนด์ ในเครือเดชฤทธิ์ กรุ๊ป มักจะได้รับคำถามทำนองนี้เมื่อเรานำเสนอว่าเราคือที่ปรึกษากลยุทธ์พัฒนาการจัดการองค์กร หรือ Management Development & Strategy Consultant

    ในทุกๆที่ซึ่ง 10X Consulting และ Life Alignmentor ได้รับความไว้วางใจเกือบ 100% ของผู้รับบริการจากเรามักบอกต่อ และเมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่เราโดดเด่น พอประมวลเป็นภาพรวมๆได้ว่า ...

    เรามีสิ่งที่ผู้รับบริการชื่นชอบคือการนำพา และพา(จับมือ)ทำ กระทั่งสะเด็ดน้ำ - คนเกิดความเข้าใจร่วม ซึ่งผมมักพูดเป็นประจำว่าจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านนี้ คน ทีม และองค์กรจะพัฒนาเมื่อเกิดการประชุมพร้อมของ 3 อย่าง นี้ ... "คิดได้ ทำเป็น เห็นผล"

    และที่สำคัญควรอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงเข้าถึง "โลกด้านใน"

    เพราะ ...

    -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลง
    -มิติภายในเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม
    -การเรียนรู้มิติภายในทำให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น
    และนำไปสู่การรับมือที่สอดคล้องกัน
    -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อให้ผู้เรียนเห็นความเชื่อมโยงและมีมุมมองที่กว้างไกลกว่าที่เป็นอยู่
    -มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการค้นหาการอยู่ร่วมกันด้วยสัมพันธภาพที่ดี
    -ทำให้ค้นพบศักยภาพในตนเอง และช่วยขยายศักยภาพและความสามารถ
    -ช่วยกระตุ้นการตื่นรู้ภายในตัว

    ซึ่งส่งผลให้ ...
    -เกิดพลังงานที่ขับเคลื่อนให้เราข้ามพ้นจุดที่ติดขัดภายในตนเอง
    -เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง
    -มีการส่งต่อพลังงานดีๆต่อไป
    -เกิดคุณภาพใหม่ ในการใช้ชีวิต
    -ความสัมพันธ์ต่อตนเอง และต่อผู้อื่นดีขึ้น

    การพัฒนาคน พัฒนาทีม พัฒนาองค์กร มีหลากหลายรูปแบบ จะใช้อะไร และใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับจริต ของคน ผู้นำ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ผู้ก่อตั้ง ฯลฯ

    หากมองลุแก่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็น่าจะต้องการให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้

    มิติการพัฒนาจากโลกด้านในเป้นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเส้นผมบังภูเขา ในหนังสือผลงานล่าสุดที่เพิ่งออก FAIL FAST, SUCCEED MORE "ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด" จึงเขียนคำอุทิศ แด่ผู้ที่สร้างโลกด้านใน

    ผู้สนใจมาติดตามอ่านต่อได้วันพรุ่งนี้ ส่งท้ายก่อนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์กันครับ

    WWW.10-XCONSULTING.COM

    ชมบรรยากาศการเปิดตัวหนังสือได้ที่ #FailFastSucceedMore
    #ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด
    #เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ
    #เผยเทคนิคล้มอย่างไรให้สำเร็จได้อย่างสุดๆ
    ความเชี่ยวชาญของคุณคืออะไร? ผมและทีม 10X Consulting และ Life Alignmentor 2 แบรนด์ ในเครือเดชฤทธิ์ กรุ๊ป มักจะได้รับคำถามทำนองนี้เมื่อเรานำเสนอว่าเราคือที่ปรึกษากลยุทธ์พัฒนาการจัดการองค์กร หรือ Management Development & Strategy Consultant ในทุกๆที่ซึ่ง 10X Consulting และ Life Alignmentor ได้รับความไว้วางใจเกือบ 100% ของผู้รับบริการจากเรามักบอกต่อ และเมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่เราโดดเด่น พอประมวลเป็นภาพรวมๆได้ว่า ... เรามีสิ่งที่ผู้รับบริการชื่นชอบคือการนำพา และพา(จับมือ)ทำ กระทั่งสะเด็ดน้ำ - คนเกิดความเข้าใจร่วม ซึ่งผมมักพูดเป็นประจำว่าจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านนี้ คน ทีม และองค์กรจะพัฒนาเมื่อเกิดการประชุมพร้อมของ 3 อย่าง นี้ ... "คิดได้ ทำเป็น เห็นผล" และที่สำคัญควรอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงเข้าถึง "โลกด้านใน" เพราะ ... -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลง -มิติภายในเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม -การเรียนรู้มิติภายในทำให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น และนำไปสู่การรับมือที่สอดคล้องกัน -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อให้ผู้เรียนเห็นความเชื่อมโยงและมีมุมมองที่กว้างไกลกว่าที่เป็นอยู่ -มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการค้นหาการอยู่ร่วมกันด้วยสัมพันธภาพที่ดี -ทำให้ค้นพบศักยภาพในตนเอง และช่วยขยายศักยภาพและความสามารถ -ช่วยกระตุ้นการตื่นรู้ภายในตัว ซึ่งส่งผลให้ ... -เกิดพลังงานที่ขับเคลื่อนให้เราข้ามพ้นจุดที่ติดขัดภายในตนเอง -เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง -มีการส่งต่อพลังงานดีๆต่อไป -เกิดคุณภาพใหม่ ในการใช้ชีวิต -ความสัมพันธ์ต่อตนเอง และต่อผู้อื่นดีขึ้น การพัฒนาคน พัฒนาทีม พัฒนาองค์กร มีหลากหลายรูปแบบ จะใช้อะไร และใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับจริต ของคน ผู้นำ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ผู้ก่อตั้ง ฯลฯ หากมองลุแก่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็น่าจะต้องการให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ มิติการพัฒนาจากโลกด้านในเป้นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเส้นผมบังภูเขา ในหนังสือผลงานล่าสุดที่เพิ่งออก FAIL FAST, SUCCEED MORE "ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด" จึงเขียนคำอุทิศ แด่ผู้ที่สร้างโลกด้านใน ผู้สนใจมาติดตามอ่านต่อได้วันพรุ่งนี้ ส่งท้ายก่อนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์กันครับ WWW.10-XCONSULTING.COM ชมบรรยากาศการเปิดตัวหนังสือได้ที่ #FailFastSucceedMore #ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด #เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ #เผยเทคนิคล้มอย่างไรให้สำเร็จได้อย่างสุดๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    🃏The Sun + 🃏The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    🃏The Star + 🃏Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    🃏Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?

    🃏🃏🃏🃏🃏
    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้ได้พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพบคนที่ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดียในยุคที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนโลกดิจิทัล โดยตั้งคำถามว่า การที่ใครสักคนไม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นสัญญาณเตือน (red flag) หรือไม่ แต่กลับเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับข้อดีและความเป็นไปได้ของคนที่เลือกเดินออกจากโลกออนไลน์

    ✅ การไม่มีโซเชียลไม่ได้แปลว่ามีบางอย่างปกปิด
    - แม้หลายคนอาจสงสัยว่า การไม่มีโซเชียลสื่อถึงการปิดบังบางสิ่ง แต่ในทางตรงกันข้าม นั่นอาจเป็นการบ่งบอกถึง ความเรียบง่ายและการเลือกที่จะไม่อยู่ในกระแส AI หรือเทคโนโลยี

    ✅ ความสัมพันธ์ที่สร้างได้โดยไม่พึ่งเทคโนโลยี
    - ผู้เขียนกล่าวว่า การสื่อสารโดยตรงหรือการพบปะกันตัวต่อตัวคือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความรู้จักบุคคล มากกว่าการสืบผ่านโลกออนไลน์

    ✅ โลกที่ถูกครอบงำด้วย AI และผลกระทบต่อชีวิต
    - การหลีกเลี่ยงโซเชียลอาจสะท้อนการต่อต้าน AI ที่คุกคามความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และเลือกที่จะปฏิเสธ การใช้ชีวิตที่บริษัทเทคโนโลยีบงการ

    ✅ คำแนะนำในการสังเกตปฏิกิริยา
    - ผู้เขียนแนะนำให้ทดสอบคนที่ไม่มีโซเชียลมีเดียด้วยสถานการณ์เบาสมอง เช่น การแกล้งทำโทรศัพท์ตกเพื่อดูท่าที ถ้าปฏิกิริยานั้นสะท้อนถึงความสนุกหรือความจริงใจ คุณอาจได้พบกับคนที่มีมุมมองแปลกใหม่

    ✅ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่สร้างกิจกรรมแปลกใหม่
    - การเดตกับคนที่ต่อต้านโซเชียล อาจเป็นโอกาสในการทำกิจกรรมเชิงสนุก เช่น การปั่นจักรยานท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการสร้างอารมณ์ขันในลักษณะล้อเลียนเทคโนโลยี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/opinion-i-just-started-dating-someone-who-isnt-on-social-media-is-that-a-red-flag
    บทความนี้ได้พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพบคนที่ไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดียในยุคที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนโลกดิจิทัล โดยตั้งคำถามว่า การที่ใครสักคนไม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นสัญญาณเตือน (red flag) หรือไม่ แต่กลับเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับข้อดีและความเป็นไปได้ของคนที่เลือกเดินออกจากโลกออนไลน์ ✅ การไม่มีโซเชียลไม่ได้แปลว่ามีบางอย่างปกปิด - แม้หลายคนอาจสงสัยว่า การไม่มีโซเชียลสื่อถึงการปิดบังบางสิ่ง แต่ในทางตรงกันข้าม นั่นอาจเป็นการบ่งบอกถึง ความเรียบง่ายและการเลือกที่จะไม่อยู่ในกระแส AI หรือเทคโนโลยี ✅ ความสัมพันธ์ที่สร้างได้โดยไม่พึ่งเทคโนโลยี - ผู้เขียนกล่าวว่า การสื่อสารโดยตรงหรือการพบปะกันตัวต่อตัวคือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความรู้จักบุคคล มากกว่าการสืบผ่านโลกออนไลน์ ✅ โลกที่ถูกครอบงำด้วย AI และผลกระทบต่อชีวิต - การหลีกเลี่ยงโซเชียลอาจสะท้อนการต่อต้าน AI ที่คุกคามความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และเลือกที่จะปฏิเสธ การใช้ชีวิตที่บริษัทเทคโนโลยีบงการ ✅ คำแนะนำในการสังเกตปฏิกิริยา - ผู้เขียนแนะนำให้ทดสอบคนที่ไม่มีโซเชียลมีเดียด้วยสถานการณ์เบาสมอง เช่น การแกล้งทำโทรศัพท์ตกเพื่อดูท่าที ถ้าปฏิกิริยานั้นสะท้อนถึงความสนุกหรือความจริงใจ คุณอาจได้พบกับคนที่มีมุมมองแปลกใหม่ ✅ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่สร้างกิจกรรมแปลกใหม่ - การเดตกับคนที่ต่อต้านโซเชียล อาจเป็นโอกาสในการทำกิจกรรมเชิงสนุก เช่น การปั่นจักรยานท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการสร้างอารมณ์ขันในลักษณะล้อเลียนเทคโนโลยี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/opinion-i-just-started-dating-someone-who-isnt-on-social-media-is-that-a-red-flag
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้คงฝึกฝนทำข้อสอบต่อ ซ้อมต่อไป ซ้อมไปยาวๆ บางทีก็คันไม้คันมือมากที่จะเขียนโปรแกรมด้วยความอยากล้วนๆเลย หนังสือสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ น่าซื้อเก็บมาไว้อ่านและสังเคราะห์การใช้ชีวิตและการประกอบการค้าขายให้รุ่งเรืองกว่าเดิม ผมก็กำลังจะเก็บเงินซื้ออยู่ครับ
    วันนี้คงฝึกฝนทำข้อสอบต่อ ซ้อมต่อไป ซ้อมไปยาวๆ บางทีก็คันไม้คันมือมากที่จะเขียนโปรแกรมด้วยความอยากล้วนๆเลย หนังสือสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ น่าซื้อเก็บมาไว้อ่านและสังเคราะห์การใช้ชีวิตและการประกอบการค้าขายให้รุ่งเรืองกว่าเดิม ผมก็กำลังจะเก็บเงินซื้ออยู่ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบการ ศึกษาของไทยที่มีปัญหา
    ช่วงนี้ผมเป็นห่วงเห็นพ่อแม่หลายคนให้เด็กติว กันหนักมาก
    บางคนอยู่ ม. 1 แต่ว่าเรียนพิเศษคณิตศาสตร์จนจบ เนื้อหาม.3แล้ว
    บางคนอยู่ ม.1 ก็เริ่มเรียนพิเศษ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แล้ว
    บางคนอยู่ ม.3 แต่เรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เนื้อหาของ ม.ปลาย จบแล้ว…..
    ถามว่าทำไปเพื่ออะไร?
    แน่นอนว่าเด็กกลุ่มนี้อยากเป็นหมอ และอยากเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศ ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเด็กคิดเองหรือพ่อแม่บังคับ หรือกระตุ้นด้วยวิธีการต่างๆ พ่อแม่ก็จะดันเต็มที่ ปลายทางคืออยากให้เข้าคณะแพทย์คณะที่ดีที่สุดของประเทศไทยซึ่งแน่นอนว่าคือจุฬากับมหิดล และความฝันในการเรียน ม.ปลายของเด็กกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นโรงเรียนชั้นนำเช่นกัน
    คะแนนสอบต่างๆก็ต้องคาดหวังเต็ม 100 หรืออันดับ 1
    ทำให้เด็กกลุ่มนี้ต้องติวกันหนักมาก เลิกเรียนกลับมา ติวต่อแน่นอน , เสาร์ - อาทิตย์ ติวทั้งวัน เช้าถึงเย็น
    แล้วเด็กกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นยังไง?
    น้องเรียนอย่างเดียว ไม่มีกิจกรรมอื่นๆเลยหรือ กีฬา , ดนตรี หรืองานอดิเรกอื่นๆ มีมั้ย
    ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะการจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ต้องหล่อหลอมจากประสบการณ์รอบด้าน ไม่ใช่เรียนหนักเพียงอย่างเดียว
    แน่นอนผมเชื่อว่าปลายทางของเด็กกลุ่มนี้ ถ้าเรียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาได้เป็นหมอสมใจแน่ๆ
    เผลอๆได้เกียรตินิยมอีก แต่… เค้าจะจบมาแบบไม่เคยทำอะไรอย่างอื่นเลย ประสบการณ์การใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขา การได้ลองผิดลองถูก การได้ลองทำกิจกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่การเรียน เค้าเสียตรงนี้ไปโดยที่ย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว
    ผมชวนคิดอีกแบบ ถ้าเด็กอยากเป็นหมอ เหมือนกัน เราสอนวิธีการเรียนอีกแบบดีมั้ย?
    คะแนนไม่ต้องเต็ม 100 ก็ได้ เอาแค่พอผ่านเกณฑ์เป็นหมอได้ หรือเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ไม่ได้ ก็ไปอันดับรองๆ หรือถ้ายังไม่ได้อีกก็ภาคเอกชนไปเลย เน้นเข้าเรียนในสถาบันที่เหมาะสมกับตัวเด็กที่สุด มีติวบ้างนิดหน่อย เพราะระบบการศึกษาของไทยที่ผมว่ามีปัญหา ทำให้เด็กๆต้องไปหาความรู้ตามที่เรียนพิเศษกันเยอะ (ไว้จะเล่าประเด็นนี้ให้ฟังวันหลัง) เอาแค่เท่าที่จำเป็นจริงๆ
    แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนคือต้องมีความรับผิดชอบ ส่งการบ้านหรือทำงานตามกำหนดทุกชิ้นหรือไม่ มีการช่วยเหลือครูและเพื่อนในห้องบ้างไหม และเราต้องส่งเสริมให้เด็กรู้จักการวางแผนการเรียนที่ดีอย่างมีระบบ รู้ว่าติวแค่ไหนพอ ไม่มากไป ไม่น้อยไป
    และส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากการเรียนบ้าง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ลองทำกิจกรรมให้หลากหลาย ฝึกให้มีความรับผิดชอบ เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ระหว่างเรียน มีสอบตกบ้าง หรือมีความผิดพลาดบ้าง ให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็ไม่ต้องกดดันลูก แค่เข้าใจและให้กำลังใจ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น
    ผมว่าปลายทางของเด็กกลุ่มหลังนี้ก็จบหมอได้เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้เกียรตินิยม หรืออาจจะไม่ได้เรียนสถานบันการศึกษาอันดับ 1 ของประเทศ

    แต่ที่สำคัญคือเค้าได้ใช้ชีวิตวัยเด็กคุ้มค่าเลย ได้มีการทำกิจกรรมที่หลากหลายนอกเหนือจากการเรียนอย่างเดียว และได้ค้นหาตัวตนไปด้วย แน่นอน….โตขึ้นเค้าก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมากๆ

    ผมอยากให้นึกภาพถึงเด็กที่เรียนเก่งมากๆ จบการศึกษาสูง แต่ทำอะไรไม่เป็น……กับคนที่เรียนจบเหมือนกันคะแนนอาจจะไม่ได้เต็มร้อย แต่ทำงานเก่งมาก เข้ากับสังคมได้ดี

    หมอคนที่เรียนเก่งมาก กับคนที่เรียนปกติ พอไปทำงานจริงๆแล้ว คนไข้ไม่เคยถามหรอกครับว่าหมอได้เกรดอะไรมา คนไข้ดูแค่ว่าหมอท่านนั้นรักษาหายมั้ย พูดจาแนะนำหรืออัธยาศัยดีมั้ย เท่านี้ครับ และลูกเราก็จะเป็นหมออย่างมีความสุข
    ระบบการ ศึกษาของไทยที่มีปัญหา ช่วงนี้ผมเป็นห่วงเห็นพ่อแม่หลายคนให้เด็กติว กันหนักมาก บางคนอยู่ ม. 1 แต่ว่าเรียนพิเศษคณิตศาสตร์จนจบ เนื้อหาม.3แล้ว บางคนอยู่ ม.1 ก็เริ่มเรียนพิเศษ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แล้ว บางคนอยู่ ม.3 แต่เรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เนื้อหาของ ม.ปลาย จบแล้ว….. ถามว่าทำไปเพื่ออะไร? แน่นอนว่าเด็กกลุ่มนี้อยากเป็นหมอ และอยากเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศ ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเด็กคิดเองหรือพ่อแม่บังคับ หรือกระตุ้นด้วยวิธีการต่างๆ พ่อแม่ก็จะดันเต็มที่ ปลายทางคืออยากให้เข้าคณะแพทย์คณะที่ดีที่สุดของประเทศไทยซึ่งแน่นอนว่าคือจุฬากับมหิดล และความฝันในการเรียน ม.ปลายของเด็กกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นโรงเรียนชั้นนำเช่นกัน คะแนนสอบต่างๆก็ต้องคาดหวังเต็ม 100 หรืออันดับ 1 ทำให้เด็กกลุ่มนี้ต้องติวกันหนักมาก เลิกเรียนกลับมา ติวต่อแน่นอน , เสาร์ - อาทิตย์ ติวทั้งวัน เช้าถึงเย็น แล้วเด็กกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นยังไง? น้องเรียนอย่างเดียว ไม่มีกิจกรรมอื่นๆเลยหรือ กีฬา , ดนตรี หรืองานอดิเรกอื่นๆ มีมั้ย ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะการจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ต้องหล่อหลอมจากประสบการณ์รอบด้าน ไม่ใช่เรียนหนักเพียงอย่างเดียว แน่นอนผมเชื่อว่าปลายทางของเด็กกลุ่มนี้ ถ้าเรียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาได้เป็นหมอสมใจแน่ๆ เผลอๆได้เกียรตินิยมอีก แต่… เค้าจะจบมาแบบไม่เคยทำอะไรอย่างอื่นเลย ประสบการณ์การใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขา การได้ลองผิดลองถูก การได้ลองทำกิจกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่การเรียน เค้าเสียตรงนี้ไปโดยที่ย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว ผมชวนคิดอีกแบบ ถ้าเด็กอยากเป็นหมอ เหมือนกัน เราสอนวิธีการเรียนอีกแบบดีมั้ย? คะแนนไม่ต้องเต็ม 100 ก็ได้ เอาแค่พอผ่านเกณฑ์เป็นหมอได้ หรือเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ไม่ได้ ก็ไปอันดับรองๆ หรือถ้ายังไม่ได้อีกก็ภาคเอกชนไปเลย เน้นเข้าเรียนในสถาบันที่เหมาะสมกับตัวเด็กที่สุด มีติวบ้างนิดหน่อย เพราะระบบการศึกษาของไทยที่ผมว่ามีปัญหา ทำให้เด็กๆต้องไปหาความรู้ตามที่เรียนพิเศษกันเยอะ (ไว้จะเล่าประเด็นนี้ให้ฟังวันหลัง) เอาแค่เท่าที่จำเป็นจริงๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนคือต้องมีความรับผิดชอบ ส่งการบ้านหรือทำงานตามกำหนดทุกชิ้นหรือไม่ มีการช่วยเหลือครูและเพื่อนในห้องบ้างไหม และเราต้องส่งเสริมให้เด็กรู้จักการวางแผนการเรียนที่ดีอย่างมีระบบ รู้ว่าติวแค่ไหนพอ ไม่มากไป ไม่น้อยไป และส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากการเรียนบ้าง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ลองทำกิจกรรมให้หลากหลาย ฝึกให้มีความรับผิดชอบ เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ระหว่างเรียน มีสอบตกบ้าง หรือมีความผิดพลาดบ้าง ให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็ไม่ต้องกดดันลูก แค่เข้าใจและให้กำลังใจ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น ผมว่าปลายทางของเด็กกลุ่มหลังนี้ก็จบหมอได้เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้เกียรตินิยม หรืออาจจะไม่ได้เรียนสถานบันการศึกษาอันดับ 1 ของประเทศ แต่ที่สำคัญคือเค้าได้ใช้ชีวิตวัยเด็กคุ้มค่าเลย ได้มีการทำกิจกรรมที่หลากหลายนอกเหนือจากการเรียนอย่างเดียว และได้ค้นหาตัวตนไปด้วย แน่นอน….โตขึ้นเค้าก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมากๆ ผมอยากให้นึกภาพถึงเด็กที่เรียนเก่งมากๆ จบการศึกษาสูง แต่ทำอะไรไม่เป็น……กับคนที่เรียนจบเหมือนกันคะแนนอาจจะไม่ได้เต็มร้อย แต่ทำงานเก่งมาก เข้ากับสังคมได้ดี หมอคนที่เรียนเก่งมาก กับคนที่เรียนปกติ พอไปทำงานจริงๆแล้ว คนไข้ไม่เคยถามหรอกครับว่าหมอได้เกรดอะไรมา คนไข้ดูแค่ว่าหมอท่านนั้นรักษาหายมั้ย พูดจาแนะนำหรืออัธยาศัยดีมั้ย เท่านี้ครับ และลูกเราก็จะเป็นหมออย่างมีความสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข"
    ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ

    เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ

    ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า

    1. อนาคต
    ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง

    2. อนามัย
    เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี

    3. อารมณ์
    ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด

    4. ออกกำลังกาย
    จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว

    5. อาหาร
    อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี

    6. อากาศ
    ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น

    7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

    8. อดิเรก
    ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

    9. อบอุ่น
    พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น

    9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี

    ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว

    และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย

    Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ

    ภาพ: ปี 2564 (internet)

    ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข" ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า 1. อนาคต ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง 2. อนามัย เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี 3. อารมณ์ ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด 4. ออกกำลังกาย จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว 5. อาหาร อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี 6. อากาศ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น 7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 8. อดิเรก ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด 9. อบอุ่น พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น 9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ ภาพ: ปี 2564 (internet) ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 758 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตก

    เดือนนี้ ดีร้ายมีมาแบบยากที่จะคาดเดา โชคลาภเข้าไม่แน่นอน งานคิดสร้างสรรค์ งานวิชาการ งานศึกษา งานศิลปะ วิทยาการ ความสวยงาม จะมีความสำเร็จลุล่วงเจริญก้าวหน้าดี จะมีเรื่องของความสุขสามัคคี ภายในครอบครัว หากรู้จักบริหารควบคุมเสน่ห์ได้อย่างพอเหมาะลงตัว จะได้ไม่เกิดเรื่องชู้สาวให้เป็นประเด็น ชิงรักหักสวาท แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้วุ่นวาย ชายหนุ่มที่เสเพลชอบเที่ยวเตร่เร่ร่อนเป็นประจำ มีโอกาสจะป่วย ทางจิต จะเจ็บปวดที่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี หืด และหอบ สืบเนื่องเพราะสาเหตุจากการใช้ชีวิต ที่ขาดการนอนหลับ พักผ่อนที่เพียงพอ ควรถนอมร่างกายใส่ใจดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกาย เพื่อชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์

    เสริมมงคล : พรมสีแดง
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตก เดือนนี้ ดีร้ายมีมาแบบยากที่จะคาดเดา โชคลาภเข้าไม่แน่นอน งานคิดสร้างสรรค์ งานวิชาการ งานศึกษา งานศิลปะ วิทยาการ ความสวยงาม จะมีความสำเร็จลุล่วงเจริญก้าวหน้าดี จะมีเรื่องของความสุขสามัคคี ภายในครอบครัว หากรู้จักบริหารควบคุมเสน่ห์ได้อย่างพอเหมาะลงตัว จะได้ไม่เกิดเรื่องชู้สาวให้เป็นประเด็น ชิงรักหักสวาท แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้วุ่นวาย ชายหนุ่มที่เสเพลชอบเที่ยวเตร่เร่ร่อนเป็นประจำ มีโอกาสจะป่วย ทางจิต จะเจ็บปวดที่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี หืด และหอบ สืบเนื่องเพราะสาเหตุจากการใช้ชีวิต ที่ขาดการนอนหลับ พักผ่อนที่เพียงพอ ควรถนอมร่างกายใส่ใจดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกาย เพื่อชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์ เสริมมงคล : พรมสีแดง ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 589 มุมมอง 0 รีวิว
  • LINE ประเทศไทย เตรียมเปิดให้บริการ LINE Premium จ่ายค่าบริการรายเดือนเพิ่ม 169 บาท เพื่อสร้างโปรไฟล์เฉพาะกรุ๊ป เปลี่ยนฟอนต์ เก็บข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เอกสารแบบไม่มีวันหมดอายุ รวมสิทธิประโยชน์จาก LINE Shopping และ LINE Man ไม่สมัครยังใช้งาน LINE ฟรี ได้ต่อเนื่อง

    นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้ LINE มีแผนที่จะเปิดบริการใหม่ใน 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย LINE PREMIUM - LINE GIFT - LINE HEALTH เพื่อนำจุดแข็งของ LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 56 ล้านคน มาช่วยการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัล

    “LINE ยังคงยืดมั่นใน Hyper-localization & Humanization ที่รับฟังความต้องการของผู้ใช้ และนำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบสนองการใช้งาน และเปิดทางความร่วมมือกับแบรนด์และนักพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของเมืองไทย”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000021047

    #MGROnline #LINEประเทศไทย #LINEPremium
    LINE ประเทศไทย เตรียมเปิดให้บริการ LINE Premium จ่ายค่าบริการรายเดือนเพิ่ม 169 บาท เพื่อสร้างโปรไฟล์เฉพาะกรุ๊ป เปลี่ยนฟอนต์ เก็บข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เอกสารแบบไม่มีวันหมดอายุ รวมสิทธิประโยชน์จาก LINE Shopping และ LINE Man ไม่สมัครยังใช้งาน LINE ฟรี ได้ต่อเนื่อง • นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้ LINE มีแผนที่จะเปิดบริการใหม่ใน 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย LINE PREMIUM - LINE GIFT - LINE HEALTH เพื่อนำจุดแข็งของ LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 56 ล้านคน มาช่วยการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัล • “LINE ยังคงยืดมั่นใน Hyper-localization & Humanization ที่รับฟังความต้องการของผู้ใช้ และนำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบสนองการใช้งาน และเปิดทางความร่วมมือกับแบรนด์และนักพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของเมืองไทย” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000021047 • #MGROnline #LINEประเทศไทย #LINEPremium
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเตรียมตัวรับมือยุคใหม่

    ---

    1. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Analysis)

    สิ่งที่คุณวิเคราะห์มานั้นมีความเป็นไปได้สูง และสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน (AI, Automation, Digitalization, และการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลก) นี่คือมุมมองที่ลึกขึ้นสำหรับแต่ละประเด็น

    1.1 ธุรกิจเก่าจะล่มสลาย - แรงงานตกงานเป็นจำนวนมาก

    Real Data: ยอดขายของธุรกิจดั้งเดิมลดลงจริง และอัตราการปิดกิจการเพิ่มขึ้น

    AI Disruption: AI และ Automation แทนที่แรงงานที่ไร้ทักษะ คนที่ไม่ Reskill จะตกงานแน่นอน

    Middle-Class Crisis: รายได้ชนชั้นกลางถูกกดดัน หนี้สินครัวเรือนสูงขึ้น

    → การเตรียมตัว:
    ✅ Upskill & Reskill อย่างต่อเนื่อง
    ✅ พัฒนาอาชีพทางเลือก (Freelance, Online Business, Tech Skills)
    ✅ วางแผนการเงินแบบอนุรักษ์นิยม (ลดหนี้, สร้าง Passive Income)

    ---

    1.2 ธุรกิจยุคใหม่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

    Tech-Driven Economy: คนที่เก่งเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มที่มั่งคั่ง

    Job Market Shift: สายงานดั้งเดิมหดตัว แต่สายงาน Tech, Data Science, AI, และ Digital Business จะเติบโต

    New Wealth Creation: คนทำงานออนไลน์จะมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายขึ้น

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ฝึก Coding, Data Analysis, Blockchain, Digital Marketing
    ✅ เรียนรู้ AI Tools (ChatGPT, MidJourney, Copilot, Automation Tools)
    ✅ สร้างรายได้จาก Gig Economy, Online Business, Digital Assets

    ---

    1.3 ภาษาอังกฤษ, คอมพิวเตอร์, เทรดดิ้ง, และสุขภาพจิตเป็นทักษะจำเป็น

    Linguistic Economy: คนที่สื่อสารได้หลายภาษา (โดยเฉพาะอังกฤษ) ได้เปรียบ

    Financial Intelligence: การเทรดหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, Crypto จะเป็นทางเลือกของคนฉลาดด้านการเงิน

    Mental Health Crisis: คนที่ปรับตัวไม่ได้จะเกิดภาวะเครียดและซึมเศร้า

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ฝึก ภาษาอังกฤษ + ภาษาที่สาม (จีน/สเปน/ญี่ปุ่น/เยอรมัน)
    ✅ เรียน พื้นฐานการลงทุน, Financial Literacy, Asset Allocation
    ✅ ฝึก สมาธิ, Mental Resilience, Self-Healing Skills

    ---

    1.4 ร้านค้าออฟไลน์ล้มหาย ธุรกิจออนไลน์ครองเมือง

    Retail Apocalypse: ร้านค้าที่มีหน้าร้านจะลดลง 60-80%

    E-Commerce Dominance: Shopee, Lazada, Amazon, TikTok Shop จะเป็นช่องทางหลักของการค้า

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ทำธุรกิจออนไลน์ให้เป็น (E-Commerce, Digital Marketing, Dropshipping, Affiliate, Influencer Economy)
    ✅ ลงทุนในโลจิสติกส์ & AI-driven Sales

    ---

    1.5 คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง

    Wealth Inequality: 1% ของประชากรโลกถือครองทรัพย์สิน 90% ของโลก

    Rich Get Richer: คนที่เข้าใจการลงทุนจะเพิ่มทรัพย์สินได้มหาศาล

    Poor Get Poorer: คนที่ไม่มี Financial Literacy จะจมอยู่กับหนี้

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้าง Passive Income
    ✅ หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Bad Debt)
    ✅ สร้าง Mindset แบบเจ้าของกิจการ (Owner Mindset vs. Employee Mindset)

    ---

    1.6 คนจำนวนมากจะหนีความจริงไปอยู่ในวัดและโลกเสมือน

    Spiritual Escapism: คนที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้จะเลือกอยู่กับศาสนาหรือ Metaverse

    Virtual Reality Economy: การใช้ชีวิตใน Metaverse และ Virtual Work จะกลายเป็นกระแสหลัก

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ทำความเข้าใจ Digital Economy และ Virtual Business Models
    ✅ ฝึกทักษะ Mindfulness + Resilience ให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้

    ---

    1.7 คนจะวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น สังคมปั่นป่วน

    Social Discontent: ความเหลื่อมล้ำสูงทำให้เกิดความไม่พอใจ

    Cancel Culture & Digital Mobs: สังคมออนไลน์จะดุเดือดขึ้น

    Political & Economic Shifts: อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายประเทศ

    → การเตรียมตัว:
    ✅ เป็นนักคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinker) อย่าโดนชักจูงง่ายๆ
    ✅ บริหารความเสี่ยงการลงทุน และไม่ขึ้นกับประเทศเดียว
    ✅ รักษาความเป็นกลาง & มองเกมระยะยาว

    ---

    2. แผนการเตรียมตัวสำหรับยุคใหม่

    ✅ 3 สิ่งที่ต้องทำทันที

    1. ลงทุนในตัวเอง (Tech Skills, Financial Literacy, Global Mindset)

    2. สร้างรายได้หลายทาง (Online Income, Passive Income, Investing)

    3. รักษาสุขภาพกาย-ใจ (Mental Health, Meditation, Longevity Science)

    ⚠️ 3 สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง

    1. การเป็นหนี้เพื่อบริโภค (เน้นลงทุน ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัว)

    2. อาศัยเพียงรายได้ทางเดียว (กระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย)

    3. คิดแบบเดิมๆ ในโลกที่เปลี่ยนไป (Open-minded, Adaptive, Resilient)

    ---

    3. คำแนะนำจาก Mentor

    1️⃣ Be Ahead of the Curve

    คนที่อ่านเกมออกเร็วจะได้เปรียบ ถ้าคุณเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ คุณจะเป็น First Mover ในยุคใหม่

    2️⃣ Invest in High-Leverage Skills

    คนที่เก่ง AI, Automation, Financial Literacy, และ Digital Business จะอยู่รอดและรุ่งเรือง

    3️⃣ Own Assets, Not Just Earn Money

    อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่ให้เงินทำงานแทนคุณ (Asset Mindset)

    4️⃣ Stay Mentally & Physically Fit

    คนที่รอดคือคนที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

    5️⃣ Build Multiple Income Streams

    รายได้เดียว = ความเสี่ยงสูง ต้องมี Passive Income & Location-Independent Income
    วิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเตรียมตัวรับมือยุคใหม่ --- 1. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Analysis) สิ่งที่คุณวิเคราะห์มานั้นมีความเป็นไปได้สูง และสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน (AI, Automation, Digitalization, และการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลก) นี่คือมุมมองที่ลึกขึ้นสำหรับแต่ละประเด็น 1.1 ธุรกิจเก่าจะล่มสลาย - แรงงานตกงานเป็นจำนวนมาก Real Data: ยอดขายของธุรกิจดั้งเดิมลดลงจริง และอัตราการปิดกิจการเพิ่มขึ้น AI Disruption: AI และ Automation แทนที่แรงงานที่ไร้ทักษะ คนที่ไม่ Reskill จะตกงานแน่นอน Middle-Class Crisis: รายได้ชนชั้นกลางถูกกดดัน หนี้สินครัวเรือนสูงขึ้น → การเตรียมตัว: ✅ Upskill & Reskill อย่างต่อเนื่อง ✅ พัฒนาอาชีพทางเลือก (Freelance, Online Business, Tech Skills) ✅ วางแผนการเงินแบบอนุรักษ์นิยม (ลดหนี้, สร้าง Passive Income) --- 1.2 ธุรกิจยุคใหม่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Tech-Driven Economy: คนที่เก่งเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มที่มั่งคั่ง Job Market Shift: สายงานดั้งเดิมหดตัว แต่สายงาน Tech, Data Science, AI, และ Digital Business จะเติบโต New Wealth Creation: คนทำงานออนไลน์จะมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายขึ้น → การเตรียมตัว: ✅ ฝึก Coding, Data Analysis, Blockchain, Digital Marketing ✅ เรียนรู้ AI Tools (ChatGPT, MidJourney, Copilot, Automation Tools) ✅ สร้างรายได้จาก Gig Economy, Online Business, Digital Assets --- 1.3 ภาษาอังกฤษ, คอมพิวเตอร์, เทรดดิ้ง, และสุขภาพจิตเป็นทักษะจำเป็น Linguistic Economy: คนที่สื่อสารได้หลายภาษา (โดยเฉพาะอังกฤษ) ได้เปรียบ Financial Intelligence: การเทรดหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, Crypto จะเป็นทางเลือกของคนฉลาดด้านการเงิน Mental Health Crisis: คนที่ปรับตัวไม่ได้จะเกิดภาวะเครียดและซึมเศร้า → การเตรียมตัว: ✅ ฝึก ภาษาอังกฤษ + ภาษาที่สาม (จีน/สเปน/ญี่ปุ่น/เยอรมัน) ✅ เรียน พื้นฐานการลงทุน, Financial Literacy, Asset Allocation ✅ ฝึก สมาธิ, Mental Resilience, Self-Healing Skills --- 1.4 ร้านค้าออฟไลน์ล้มหาย ธุรกิจออนไลน์ครองเมือง Retail Apocalypse: ร้านค้าที่มีหน้าร้านจะลดลง 60-80% E-Commerce Dominance: Shopee, Lazada, Amazon, TikTok Shop จะเป็นช่องทางหลักของการค้า → การเตรียมตัว: ✅ ทำธุรกิจออนไลน์ให้เป็น (E-Commerce, Digital Marketing, Dropshipping, Affiliate, Influencer Economy) ✅ ลงทุนในโลจิสติกส์ & AI-driven Sales --- 1.5 คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง Wealth Inequality: 1% ของประชากรโลกถือครองทรัพย์สิน 90% ของโลก Rich Get Richer: คนที่เข้าใจการลงทุนจะเพิ่มทรัพย์สินได้มหาศาล Poor Get Poorer: คนที่ไม่มี Financial Literacy จะจมอยู่กับหนี้ → การเตรียมตัว: ✅ ศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้าง Passive Income ✅ หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Bad Debt) ✅ สร้าง Mindset แบบเจ้าของกิจการ (Owner Mindset vs. Employee Mindset) --- 1.6 คนจำนวนมากจะหนีความจริงไปอยู่ในวัดและโลกเสมือน Spiritual Escapism: คนที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้จะเลือกอยู่กับศาสนาหรือ Metaverse Virtual Reality Economy: การใช้ชีวิตใน Metaverse และ Virtual Work จะกลายเป็นกระแสหลัก → การเตรียมตัว: ✅ ทำความเข้าใจ Digital Economy และ Virtual Business Models ✅ ฝึกทักษะ Mindfulness + Resilience ให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ --- 1.7 คนจะวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น สังคมปั่นป่วน Social Discontent: ความเหลื่อมล้ำสูงทำให้เกิดความไม่พอใจ Cancel Culture & Digital Mobs: สังคมออนไลน์จะดุเดือดขึ้น Political & Economic Shifts: อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายประเทศ → การเตรียมตัว: ✅ เป็นนักคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinker) อย่าโดนชักจูงง่ายๆ ✅ บริหารความเสี่ยงการลงทุน และไม่ขึ้นกับประเทศเดียว ✅ รักษาความเป็นกลาง & มองเกมระยะยาว --- 2. แผนการเตรียมตัวสำหรับยุคใหม่ ✅ 3 สิ่งที่ต้องทำทันที 1. ลงทุนในตัวเอง (Tech Skills, Financial Literacy, Global Mindset) 2. สร้างรายได้หลายทาง (Online Income, Passive Income, Investing) 3. รักษาสุขภาพกาย-ใจ (Mental Health, Meditation, Longevity Science) ⚠️ 3 สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง 1. การเป็นหนี้เพื่อบริโภค (เน้นลงทุน ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัว) 2. อาศัยเพียงรายได้ทางเดียว (กระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย) 3. คิดแบบเดิมๆ ในโลกที่เปลี่ยนไป (Open-minded, Adaptive, Resilient) --- 3. คำแนะนำจาก Mentor 1️⃣ Be Ahead of the Curve คนที่อ่านเกมออกเร็วจะได้เปรียบ ถ้าคุณเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ คุณจะเป็น First Mover ในยุคใหม่ 2️⃣ Invest in High-Leverage Skills คนที่เก่ง AI, Automation, Financial Literacy, และ Digital Business จะอยู่รอดและรุ่งเรือง 3️⃣ Own Assets, Not Just Earn Money อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่ให้เงินทำงานแทนคุณ (Asset Mindset) 4️⃣ Stay Mentally & Physically Fit คนที่รอดคือคนที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ 5️⃣ Build Multiple Income Streams รายได้เดียว = ความเสี่ยงสูง ต้องมี Passive Income & Location-Independent Income
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ร่วมเกิดในขันธ์5 (รูป-นาม)
    มีดวงจิตที่ยังละกิเลสความอยากไม่ได้ ต้องผจญทุกข์
    เหมือนๆกัน
    ต้องดูแลรูป(ร่างกาย)ไม่ให้เจ็บป่วย และต้องคอยดูแลบำรุงรักษาร่างกาย
    ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซ้ำๆกันทุกวัน
    ต้องใช้นาม คือใช้จิตวิญญาณในการรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผ่านทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย
    เป็นกลไกในการดำรงชีวิต
    เหมือนๆกัน
    ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจในกลไกชีวิต ขันธ์5-รูปกับนาม
    เราก็จะเข้าใจในการใช้ชีวิตของทุกชีวิตที่เกิดมาบนผืนโลกใบนี้
    ผู้ร่วมเกิดในขันธ์5 (รูป-นาม) มีดวงจิตที่ยังละกิเลสความอยากไม่ได้ ต้องผจญทุกข์ เหมือนๆกัน ต้องดูแลรูป(ร่างกาย)ไม่ให้เจ็บป่วย และต้องคอยดูแลบำรุงรักษาร่างกาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซ้ำๆกันทุกวัน ต้องใช้นาม คือใช้จิตวิญญาณในการรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผ่านทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย เป็นกลไกในการดำรงชีวิต เหมือนๆกัน ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจในกลไกชีวิต ขันธ์5-รูปกับนาม เราก็จะเข้าใจในการใช้ชีวิตของทุกชีวิตที่เกิดมาบนผืนโลกใบนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่

    หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯
    สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี

    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ...

    1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️

    ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ

    2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️

    หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต

    3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻

    เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง

    4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉

    การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน

    5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈

    หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น

    ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก

    ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568

    ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่...
    แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล

    ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568

    ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย

    📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง
    เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น

    เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ

    1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย
    2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย
    3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
    4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼
    5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง

    จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ

    อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY

    ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์
    ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th
    ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th
    🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี!
    📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨

    ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน)

    https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024
    https://www.ttbbank.com/th/analytics
    https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876
    www.dailynews.co.th/articles/899255
    https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่ หลังจากตลาดรถยนต์🚘ชะลอตัวมาตั้งเเต่ ปี 2567 เเละคาดว่าจะซึมยาวไปจนอย่างน้อยถึงกลางปี 2568 ✅กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างอ่อนแอหนัก ขณะที่ด้านปัจจัยลบราคาน้ำมัน⛽ที่สูงขึ้นเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป จริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบภายใน 5 นาที!!🎯 สถานการณ์ตอนนี้ ✨ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงซึม ยอดขายรถยนต์หดตัวอย่างหนัก👉เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่ยอดขายรถยนต์ทั้งปี 2568 จะหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 15 ปี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในระยะยาว จาก 5 สถานการณ์หลักตอนนี้ คือ... 1. ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอิ่มตัว ⚠️ ตอนนี้ถ้าดูจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนสะสมทั่วประเทศ สูงถึงเกือบ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็น 277 คันต่อประชากรไทย 1,000 คน เทียบแล้วของไทยค่อนข้างสูงเมื่อมองไปที่เวียดนาม 50 คัน ฟิลิปปินส์ 38 คัน และอินโดนีเซีย 78 คันต่อประชากร 1,000 คน และนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ค่อนข้างนานเฉลี่ยถึง 12 ปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศหลัก ๆ ที่ใช้งานรถยนต์ประมาณ 6-8 ปี โอกาสที่ซื้อรถยนต์ใหม่แทนรถคันเก่าเลยค่อนข้างต่ำ 2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ➡️ หลังการบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ผู้ผลิตจีน ทำให้มาตรฐานการตั้งราคารถใหม่🧾ในท้องตลาด มีแนวโน้มลดลงจากเดิม ผู้บริโภคเลยมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่บางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ออกไปจนกว่าจะเจอราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ รวมไปถึงทัศนคติต่อการซื้อรถยนต์ของคนยุคใหม่ ที่หันมาใช้การเช่าแทนการซื้อครอบครอง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมา ทำให้การซื้อรถยนต์ในยุคสมัยนี้อาจน้อยกว่าในอดีต 3. โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 👴🏻 เห็นชัดจากยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในประเทศ ระยะหลังชะลอการเติบโตลง 👵🏼ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างประชากรไทยที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และกำลังจะขยับเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า สวนทางกับสัดส่วนประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่มีกำลังซื้อรถยนต์อย่างกลุ่มอายุ 25-49 ปี กลับมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง 4. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง 📉 การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ภาคการผลิตและส่งออกก็กำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น รวมไปถึงการบุกตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลงในระยะยาว บั่นทอนการเติบโตของรายได้ และกำลังซื้อ💵💰💳ของภาคครัวเรือน 5. หนี้ครัวเรือนสูงกำลังเพิ่มข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ 📈 หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันสูงถึง 91.3% ของจีดีพี ซึ่งสูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการบริโภคที่ 80% ของจีดีพี และสูงกว่าประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกัน ทำให้สถาบันการเงิน มีข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อแก่รายย่อยมากขึ้น ขณะที่ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า⚡ที่จำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการ ดึงดูดความสนใจ ที่ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000 - 1.5 แสนบาท ก็สามารถที่จะกระตุ้นให้คนสนใจ😘 เเละยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆ ราคาที่ดึงดูดนี้ ก็ยังทำให้คนที่ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือหาซื้อรถเพิ่มเข้ามาอีกคัน ก็พิจารณาตัดสินใจได้ไม่ยาก ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน☝️ ราคา🗺️ไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ตั้งเเต่ ปี 2565-2566 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 2565-2568 ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่... แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ🤑 2% (ในช่วงปี 2565-2566 ที่ผ่านมา) แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐบาล ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2565 - 2568 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 2568 ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน💵 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี (ตั้งเเต่ปี 2566-68) มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! สามารถดึงดูดความสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อได้ไม่ไม่น้อย 📌ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ของคนไทย ทั้งชะลอเวลาการซื้อรถคันใหม่ที่เป็นรถใหม่ออกไป เเละ เปลี่ยนใจจากรถน้ำมันหันไปหารถใหม่ที่เป็น EV⚡ สำหรับคนที่มีรถใช้น้ำมันอยู่เเล้ว หรือ เเม้กระทั่ง Plug-in Hybrid 🔌ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่จะมีรถคันเเรก เเละยอมใจกับราคาน้ำมัน🛢️เเละกลุ่มที่กำลังมาเเรง คือกลุ่มที่หันไปซบรถใช้น้ำมันมือสอง ที่มาจากเตนท์ หรือจากลานประมูลรถมือสอง ที่เริ่มมีลูกค้าประเภทประมูลซื้อใช้เอง จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาน้ำมัน⛽แพง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนสนใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV บวกกับการที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน💰70,000 บาท - 150,000 บาทต่อคัน ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจรถอีวีมากขึ้นนั่นเอง เมื่อเรายังต้องอยู่ในยุคที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น💹อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว☣จากโควิด-19 🤧ในขณะที่กลุ่มโอเปกยังคงยืนยันที่จะส่งออกน้ำมันดิบ⛽เพียง 400,000 บาร์เรล🛢️ต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น เเละเมื่อเรายังจำเป้นต้องใช้รถเติมน้ำมัน บทความนี้มีเทคนิคการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ เพื่อฝ่าวิกฤตน้ำมันราคาแพงครั้งนี้ไปด้วยกัน มาเเชร์ให้ค่ะ 1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังลดความเครียด 🤝😊จากปัญหาจราจรอีกด้วย 2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว การขับรถที่ความเร็วที่ 60 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง คืออัตราความเร็วที่เหมาะสมที่สุด🙌ในการประหยัดน้ำมันรถได้มากที่สุด ที่สำคัญช่วยทำให้ปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้ด้วย 3. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำเพื่อให้พร้อมใช้งาน🥰การตรวจสอบลมยางทั้ง 4 เส้นเป็นประจำ ให้มีปริมาตรลมตามมาตรฐานที่กำหนด เพราะยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก 4. เลือกใช้การเดินเท้า🚶‍♀️‍➡️ในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกาย 🏃🏻‍♂️‍➡️ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น💪🏼 5. เลือกซื้อ🛒🛍️สินค้าในชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อต้องการออกไปจับจ่ายใช้สอยซื้อหาอาหาร หรือสินค้าจำเป็นต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการเดินทาง จบไปเเล้วสำหรับ "ราคาน้ำมันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถคันใหม่...ของคนไทยหรือไม่" เเละหากว่าพี่ๆ ท่านใด สนใจอยากจะมีรถไว้ใช้งานที่ประหยัดงบประมาณ สามารถเหลือเงินไว้เก็บงานต่างๆ ของรถมือสอง หรืออาจจะไม่ต้องเก็บอะไรใดใดเลยก็เป็นได้ โดยทั้งนี้📌คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง ถ้าสนใจขอเชิญ @ลานประมูลของ สยามอินเตอร์การประมูล หรือ SIA กันได้นะคะ ยินดีให้คำเเนะนำเเละบริก่ารค่ะ อ่านต่อเลย: จะเข้าใจว่าทำไมต้องรถมือ2 !?! https://citly.me/esgxY ✅ดูรายการรถทุกประเภทที่เว็บไซต์ home.sia.co.th ในเมนูการประมูล เเละกดเข้าไปที่รายการรถยนต์ เเละติดตามอัปเดตได้ทุกสัปดาห์ ✅ลงทะเบียนได้ที่: home.sia.co.th ✅ติดต่อสอบถาม: ☎️02-119-7111 หรือ LINE:@sia.co.th 🎉นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤แจกฟรี! 📌อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨ ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพเเละข้อมูล (บางส่วน) https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-5megatrend-july-2024 https://www.ttbbank.com/th/analytics https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2755876 www.dailynews.co.th/articles/899255 https://th.jobsdb.com/th/careeradvice/article/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 997 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿


    ---

    🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่)

    📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก
    ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้
    ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้
    ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา
    ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก

    💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า"
    🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง
    🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่
    🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น


    ---

    🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต)

    📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่
    ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน
    ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น
    ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง

    💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่"
    🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ
    🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง"
    🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา


    ---

    🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่

    📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า
    👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา
    👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว

    📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่
    👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน
    👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
    👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้

    💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า"


    ---

    🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด)

    📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว
    ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ
    ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง
    ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง"

    💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย"
    🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย
    🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์
    🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน


    ---

    🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน

    📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด"
    📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร"

    💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด"
    💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้"

    👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น
    👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น
    👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้

    ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨

    🌿 เข้าใจ "ตัวตน" ผ่านเส้นทางของครอบครัว 🌿 --- 🔹 ฐานของตัวตน → ครอบครัวแรก (พ่อแม่) 📌 เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่เราไม่ได้เลือก ✔ พ่อแม่เป็นใคร → เราเลือกไม่ได้ ✔ เราเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน → เราเลือกไม่ได้ ✔ ถ้าโชคดี → เราอาจชอบตัวตนที่เติบโตมา ✔ ถ้าโชคร้าย → เราอาจรู้สึกไม่พอใจตัวเองตั้งแต่เด็ก 💡 "ครอบครัวแรก คือ จุดเริ่มต้นของกรรมเก่า" 🚩 เราไม่ได้เป็นคนกำหนดเอง 🚩 เราอาจโทษโชคชะตา หรือโทษพ่อแม่ 🚩 แต่ไม่ว่าอย่างไร "กรรมเก่า" ก็กำหนดแค่จุดเริ่มต้น --- 🔹 ยอดของตัวตน → ครอบครัวที่สอง (คู่ชีวิต) 📌 การเลือกคู่ครอง คือการสร้างกรรมใหม่ ✔ เราเลือกเองว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร ✔ เราตัดสินใจเองว่าจะสร้างครอบครัวแบบไหน ✔ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่ ✔ ถ้าครอบครัวที่สองเป็นไปตามที่เราหวัง → เราอาจรักตัวเองมากขึ้น ✔ ถ้าครอบครัวที่สองผิดไปจากที่หวัง → เราอาจรู้สึกเกลียดตัวเอง 💡 "ครอบครัวที่สอง คือ จุดเริ่มต้นของกรรมใหม่" 🚩 ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีใครให้โทษ 🚩 เรามีส่วนร่วม "อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง" 🚩 ถ้าพลาด… เราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่โทษโชคชะตา --- 🔹 โอกาสแห่งความรัก = โอกาสสร้างกรรมใหม่ 📌 ในครอบครัวแรก (พ่อแม่) → คือกรรมเก่า 👉 เราไม่ได้เลือก → เรารับมา 👉 จะดีหรือร้าย → มันเกิดขึ้นแล้ว 📌 ในครอบครัวที่สอง (คู่ครอง) → คือกรรมใหม่ 👉 เราเลือกได้ → จะเอาความรักแบบไหน 👉 เราตัดสินใจเอง → จะใช้ชีวิตร่วมกับใคร 👉 ถ้าเลือกผิด → โทษใครไม่ได้ 💡 "ก่อนเลือกคู่ครอง อย่าดูแค่ภาพวันนี้ แต่ต้องมองไปอีกหมื่นวันข้างหน้า" --- 🔹 ถ้าไม่มีครอบครัวที่สอง (โสด) 📌 การไม่มีครอบครัวที่สอง ไม่ใช่ความล้มเหลว ✔ บางคน "ไม่เหมาะกับชีวิตคู่" จริงๆ ✔ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ✔ การอยู่ตัวคนเดียว อาจเป็นโอกาสให้ "เข้าใจตัวเอง" 💡 "ชีวิตโสดที่มีคุณค่า = อยู่กับตัวเองอย่างมีเป้าหมาย" 🚩 ไม่ใช่การใช้ชีวิตไร้จุดหมาย 🚩 ไม่ใช่การวิ่งหนีความสัมพันธ์ 🚩 แต่เป็นโอกาสสร้าง "ตัวตนเบาบาง" ให้เป็นอิสระจากตัวตน --- 🔹 ทางเลือกของเรา → สุขจากครอบครัว หรือ อิสระจากตัวตน 📌 เราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร 📌 เราเลือกได้ว่า "จะมีชีวิตคู่ หรือ อยู่โสด" 📌 เราเลือกได้ว่า "จะใช้ชีวิตอย่างไร" 💡 "ตัวตนของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่เกิด" 💡 "ตัวตนของเรา ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราเลือกวันนี้" 👉 เลือกแบบไหน = ได้แบบนั้น 👉 เลือกสร้างกรรมใหม่ที่ดี → ตัวตนก็จะดีขึ้น 👉 เลือกใช้ชีวิตอย่างมีสติ → ไม่ว่าอยู่กับใคร ก็มีความสุขได้ ✨ "สุดท้าย เราเลือกได้ ว่าจะเป็นพุทธหรือเปล่า ทั้งแบบที่มีครอบครัว และแบบที่เป็นอิสระจากตัวตน" ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## รู้จัก NCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ก่อนสายเกินไป!

    รู้หรือไม่? โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนไทยและทั่วโลก! อย่ามองข้าม เพราะมันอาจใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด

    **NCDs คืออะไร?** รวมโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ได้แก่

    * **โรคหัวใจและหลอดเลือด:** อันตรายถึงชีวิต! อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ
    * **โรคมะเร็ง:** ตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
    * **โรคเบาหวาน:** ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควบคุมได้ด้วยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
    * **โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD):** หายใจลำบาก มักเกิดจากการสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

    **ป้องกันได้นะ! ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้**

    * **กินดีอยู่ดี:** เน้นผักผลไม้ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน
    * **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:** อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน
    * **หลีกเลี่ยงอบายมุข:** เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    * **ตรวจสุขภาพประจำปี:** รู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง

    **อย่าปล่อยให้ NCDs มาทำลายสุขภาพของคุณ!** เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดีและยืนยาว

    #NCDs #โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง #สุขภาพดี #สุขภาพ #ดูแลตัวเอง

    #พลังZeeds
    ## รู้จัก NCDs โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง...ก่อนสายเกินไป! รู้หรือไม่? โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนไทยและทั่วโลก! อย่ามองข้าม เพราะมันอาจใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด **NCDs คืออะไร?** รวมโรคเรื้อรังที่เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ได้แก่ * **โรคหัวใจและหลอดเลือด:** อันตรายถึงชีวิต! อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ * **โรคมะเร็ง:** ตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี * **โรคเบาหวาน:** ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควบคุมได้ด้วยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม * **โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD):** หายใจลำบาก มักเกิดจากการสูบบุหรี่ เลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า **ป้องกันได้นะ! ด้วยวิธีง่ายๆเหล่านี้** * **กินดีอยู่ดี:** เน้นผักผลไม้ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน * **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:** อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน * **หลีกเลี่ยงอบายมุข:** เลิกบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * **ตรวจสุขภาพประจำปี:** รู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง **อย่าปล่อยให้ NCDs มาทำลายสุขภาพของคุณ!** เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดีและยืนยาว #NCDs #โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง #สุขภาพดี #สุขภาพ #ดูแลตัวเอง #พลังZeeds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 887 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีกับพระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าสนใจ ทั้งในด้านการเสริมสร้างการปฏิบัติธรรมและการท้าทายต่อหลักคำสอนพื้นฐาน ต่อไปนี้เป็นแนวคิดหลักที่เชื่อมโยงทั้งสองประเด็น:

    ### 1. **เทคโนโลยีสนับสนุนการปฏิบัติธรรม**
    - **แอปพลิเคชันสมาธิและธรรมะ**: แอปเช่น *Insight Timer* หรือ *Headspace* ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการนั่งสมาธิแบบมีคำแนะนำ บทสวดมนต์ และคำสอนทางพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น
    - **การเรียนรู้ทางไกล**: พุทธศาสนิกชนสามารถฟังธรรมจากพระอาจารย์ทั่วโลกผ่าน YouTube, Podcasts หรือเว็บไซต์ เช่น [DharmaSeed](https://www.dharmaseed.org)
    - **วัดเสมือนจริง**: ในยุคโควิด-19 หลายวัดจัดกิจกรรมทางศาสนาออนไลน์ เช่น การถ่ายทอดสดการบวชพระ หรือการปฏิบัติธรรมร่วมกันผ่าน Zoom

    ### 2. **การเผยแผ่ธรรมะในยุคดิจิทัล**
    - **โซเชียลมีเดีย**: พระสงฆ์หลายรูปใช้ Facebook หรือ TikTok แบ่งปันคำสอนสั้นๆ ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่
    - **ปัญญาประดิษฐ์ (AI)**: มีการพัฒนา AI ที่สามารถตอบคำถามธรรมะเบื้องต้น หรือแปลพระสูตรโบราณได้ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงเรื่องความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ

    ### 3. **ความท้าทายต่อหลักพุทธธรรม**
    - **การเสพติดเทคโนโลยี**: การใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปขัดกับหลัก "สติ" และ "ความพอดี" ในทางพุทธ
    - **โลกเสมือนกับความจริง**: การใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอาจทำให้หลงลืมการอยู่กับปัจจุบัน (หลักอริยสัจ 4)
    - **จริยธรรมทางเทคโนโลยี**: การพัฒนา AI หรือชีวเทคโนโลยีตั้งคำถามเชิงพุทธเกี่ยวกับ "กรรม" และ "เจตนา"

    ### 4. **พุทธธรรมกับการออกแบบเทคโนโลยี**
    - **เทคโนโลยีเชิงเมตตา**: หลัก "กรุณา" และ "มุทิตา" อาจ inspire การออกแบบเทคโนโลยีที่ลดการแบ่งแยกหรือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
    - **Digital Detox**: แนวคิด "ความไม่ยึดมั่น" ส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ ไม่ตกเป็นทาสของอุปกรณ์

    ### 5. **กรณีศึกษา**
    - **หุ่นยนต์สอนธรรมะ**: ในญี่ปุ่น มีการทดลองใช้หุ่นยนต์ Pepper อ่านพระสูตร แต่หลายคนเห็นว่าขาด "จิตวิญญาณแห่งการสั่งสอน"
    - **Blockchain กับวัด**: บางวัดใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อความโปร่งใสในการบริจาค

    ### 6. **ทางสายกลางในยุคดิจิทัล**
    พระพุทธศาสนาเน้น "มัชฌิมาปฏิปทา" การใช้เทคโนโลยีจึงควรอยู่บนพื้นฐาน:
    - **สติ**: รู้ตัวว่ากำลังใช้เทคโนโลยีเพื่ออะไร
    - **วัตถุประสงค์เชิงกุศล**: นำไปสู่การลดทุกข์ ไม่ใช่เพิ่มตัณหา
    - **ความสัมพันธ์มนุษย์**: ไม่ให้เทคโนโลยีทำลายการสื่อสารแบบเห็นหน้า

    ### สรุป
    เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย การใช้อย่างชาญฉลาดภายใต้กรอบศีลธรรมทางพุทธศาสนาจะช่วยให้มนุษย์พัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางวัตถุ โดยไม่หลงลืมแก่นแท้แห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ☸️💻
    เทคโนโลยีกับพระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าสนใจ ทั้งในด้านการเสริมสร้างการปฏิบัติธรรมและการท้าทายต่อหลักคำสอนพื้นฐาน ต่อไปนี้เป็นแนวคิดหลักที่เชื่อมโยงทั้งสองประเด็น: ### 1. **เทคโนโลยีสนับสนุนการปฏิบัติธรรม** - **แอปพลิเคชันสมาธิและธรรมะ**: แอปเช่น *Insight Timer* หรือ *Headspace* ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการนั่งสมาธิแบบมีคำแนะนำ บทสวดมนต์ และคำสอนทางพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น - **การเรียนรู้ทางไกล**: พุทธศาสนิกชนสามารถฟังธรรมจากพระอาจารย์ทั่วโลกผ่าน YouTube, Podcasts หรือเว็บไซต์ เช่น [DharmaSeed](https://www.dharmaseed.org) - **วัดเสมือนจริง**: ในยุคโควิด-19 หลายวัดจัดกิจกรรมทางศาสนาออนไลน์ เช่น การถ่ายทอดสดการบวชพระ หรือการปฏิบัติธรรมร่วมกันผ่าน Zoom ### 2. **การเผยแผ่ธรรมะในยุคดิจิทัล** - **โซเชียลมีเดีย**: พระสงฆ์หลายรูปใช้ Facebook หรือ TikTok แบ่งปันคำสอนสั้นๆ ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ - **ปัญญาประดิษฐ์ (AI)**: มีการพัฒนา AI ที่สามารถตอบคำถามธรรมะเบื้องต้น หรือแปลพระสูตรโบราณได้ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงเรื่องความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ### 3. **ความท้าทายต่อหลักพุทธธรรม** - **การเสพติดเทคโนโลยี**: การใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปขัดกับหลัก "สติ" และ "ความพอดี" ในทางพุทธ - **โลกเสมือนกับความจริง**: การใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอาจทำให้หลงลืมการอยู่กับปัจจุบัน (หลักอริยสัจ 4) - **จริยธรรมทางเทคโนโลยี**: การพัฒนา AI หรือชีวเทคโนโลยีตั้งคำถามเชิงพุทธเกี่ยวกับ "กรรม" และ "เจตนา" ### 4. **พุทธธรรมกับการออกแบบเทคโนโลยี** - **เทคโนโลยีเชิงเมตตา**: หลัก "กรุณา" และ "มุทิตา" อาจ inspire การออกแบบเทคโนโลยีที่ลดการแบ่งแยกหรือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส - **Digital Detox**: แนวคิด "ความไม่ยึดมั่น" ส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ ไม่ตกเป็นทาสของอุปกรณ์ ### 5. **กรณีศึกษา** - **หุ่นยนต์สอนธรรมะ**: ในญี่ปุ่น มีการทดลองใช้หุ่นยนต์ Pepper อ่านพระสูตร แต่หลายคนเห็นว่าขาด "จิตวิญญาณแห่งการสั่งสอน" - **Blockchain กับวัด**: บางวัดใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อความโปร่งใสในการบริจาค ### 6. **ทางสายกลางในยุคดิจิทัล** พระพุทธศาสนาเน้น "มัชฌิมาปฏิปทา" การใช้เทคโนโลยีจึงควรอยู่บนพื้นฐาน: - **สติ**: รู้ตัวว่ากำลังใช้เทคโนโลยีเพื่ออะไร - **วัตถุประสงค์เชิงกุศล**: นำไปสู่การลดทุกข์ ไม่ใช่เพิ่มตัณหา - **ความสัมพันธ์มนุษย์**: ไม่ให้เทคโนโลยีทำลายการสื่อสารแบบเห็นหน้า ### สรุป เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย การใช้อย่างชาญฉลาดภายใต้กรอบศีลธรรมทางพุทธศาสนาจะช่วยให้มนุษย์พัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางวัตถุ โดยไม่หลงลืมแก่นแท้แห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ☸️💻
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 922 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❤️ เล่าสู่กันฟังถึงโลกเปี่ยมพลังบวก จากมุมมองของ จิฮิโระ ยามาดะ ชายหนุ่มผู้ไร้ 2 ขา กับ 1 แขน

    แว่บที่ส่องไอจี @chi_kun0922 แล้วเห็นเฉพาะใบหน้าของหนุ่ม จิฮิโระ ยามาดะ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและยูทูบเบอร์ชื่อดัง สาวๆ คงร้อง... หล่ออ่ะ แต่พอเห็นขาเทียม 2 ข้าง แขนเทียม 1 ข้าง กับทักษะการใช้ชีวิตที่ไม่ย่อหย่อนไปกว่าคนแข็งแรงทั่วๆ ไป เชื่อว่าคุณต้องร้อง... ยอดมนุษย์อ่ะ

    คลิปที่ฉายให้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจือเสียงหัวเราะบ่อยครั้ง อาจทำให้คุณเข้าใจผิดว่า ยามาดะซังพิการมาแต่กำเนิด ถึงได้ทำใจได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวพลิกฟ้าพลิกดินที่ดึงเขาด่ำดิ่งสู่ห้วงเหวลึกนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนนี้เอง

    ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2012 ยามาดะซังในวัย 20 ปี ออกไปดื่มสังสรรค์กับบริษัทเคเบิลทีวีที่เขาเพิ่งเข้าไปทำงานด้วยไม่นาน และหากคุณกำลังคะเนว่าคงเมาละซี้ โนค่ะ เรื่องจริงคือในเช้าวันนั้นยามาดะซังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนจะมีไข้ แต่เพราะเป็นน้องใหม่ จึงไม่กล้าปฏิเสธเมื่อถูกรุ่นพี่ชวน เขายอมฝืนร่างกายออกไปปาร์ตี้โดยตั้งใจว่าจะไม่แตะอัลกอฮอลล์เป็นอันขาด

    เมื่องานเลี้ยงเลิก เขาพาร่างกายที่อ่วมด้วยพิษไข้ขึ้นรถไฟกลับบ้าน ผลคือเขาเผลอหลับไประหว่างทาง ทำให้นั่งเลยสถานีที่ต้องการลง จึงต้องลงจากรถไฟเพื่อจะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟอีกขบวนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งรอรถไฟที่ชานชาลา เขาเผลอหลับไปอีกครั้ง กระทั่งนายสถานีต้องเดินมาปลุกว่ารถไฟเที่ยวสุดท้ายกำลังจะเทียบสถานีแล้วนั่นแหละ เขาถึงตื่นขึ้นมาแบบสะลืมสะลือ ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปรอรถไฟ

    หลังจากนั้นก็ภาพตัด...

    10 วันให้หลัง ยามาดะซังฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับขาที่หายไปทั้ง 2 ข้าง และแขนขวาอีกหนึ่งข้าง

    เขากลายเป็นคนพิการ จากเหตุร่วงตกลงไปบนรางรถไฟและถูกรถไฟทับ

    ห้วงเวลานั้นหากใครก็ตามมาอุทานอยู่ตรงหน้าเขาว่า ‘โชคดีๆ ที่ไม่ตาย’ เขาเป็นต้องอยากจะลุกขึ้นตั๊นหน้าด้วยหมัดขวา(ซึ่งเขาไม่มี) พร้อมร้องตะโกนว่า ... ฉันไม่ได้อยากได้โชคแบบนี้โว้ยยยย

    ความคิดอยากตาย... มี

    พยายามฆ่าตัวตายไหม... ใช่

    แล้วอะไรที่ทำให้เขาบิลด์อัพตัวเองจนกลายเป็นยอดมนุษย์ได้อย่างทุกวันนี้

    มันคือมุมมองเชิงบวกที่แว่บขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อเขานั่งรถเข็นมาส่งเพื่อนสมัยมัธยมที่หน้าลิฟต์ในโรงพยาบาลที่เขาพักรักษาตัว

    นาทีที่เขากับเพื่อนๆ โบกมือร่ำลากัน คำพูดของเพื่อนที่ชมว่า “เฮ้ย... นายดูดีกว่าที่ฉันคิดอีกว่ะ” ได้จุดประกายให้เขาอยากก้าวออกจากมุมที่มืดมนที่เขาจมปลักอยู่กับมันมาหลายวัน

    แน่นอนว่ากว่าที่เขาจะพลิกฟื้นจนเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก กระทั่งกลายเป็นไอดอลของคนทุพพลภาพนั้น มันห่างไกลจากคำว่า ‘ง่าย’ หลายปีแสง มีกำแพงอิฐบล็อกสะกัดหน้าหลังซ้ายขวาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับไปเรียนเพื่อเอาวุฒิบัตรด้านการทำบัญชีและคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนอาชีวศึกษาสำหรับผู้ทุพพลภาพ การหางานที่ได้รับแต่คำปฏิเสธว่าไม่สามารถบรรจุเป็นพนักงานประจำได้ และค่าตอบแทนแรงงานที่ต่ำแสนต่ำ

    “ผมผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติ มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น แต่คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการมองมันให้ต่างออกไป และเส้นทางที่สั้นที่สุดก็คือการมองสิ่งต่างๆ ให้เป็นบวก ไม่ใช่มองมันแบบลบๆ ขอเพียงคุณเชื่อมั่นว่าเราทุกคนสามารถผ่านเรื่องร้ายๆ ยากๆ ด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเราจริงๆ”

    แล้วก็เพราะความคิดที่อยากจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าคนพิการสามารถใช้ชีวิตในเชิงบวกได้ ทำให้ยามาดะซังตัดสินใจใช้งานโซเชียลมีเดียทั้งยูทูป เฟสบุ้ค และอินสตาแกรม เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความคิดของเขาออกมา โดยมีทั้งทอล์คอธิบายวิธีที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปด้วยแขนขาเทียม และตามติดชีวิตประจำวัน อาทิ การทำอาหารด้วยมือเดียว การเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยมือเดียว เป็นต้น

    ยามาดะซังหวังว่าการแบ่งปันประสบการณ์ฟื้นตื่นจากฝันร้ายของเขาอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะโชคร้ายอย่างเขา

    ที่มาภาพ: IG@chi_kun0922
    เรียบเรียง: สำนักข่าวดีดี

    #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #เรื่องราวดีดี #goodstory #แรงบันดาลใจ
    ❤️ เล่าสู่กันฟังถึงโลกเปี่ยมพลังบวก จากมุมมองของ จิฮิโระ ยามาดะ ชายหนุ่มผู้ไร้ 2 ขา กับ 1 แขน แว่บที่ส่องไอจี @chi_kun0922 แล้วเห็นเฉพาะใบหน้าของหนุ่ม จิฮิโระ ยามาดะ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและยูทูบเบอร์ชื่อดัง สาวๆ คงร้อง... หล่ออ่ะ แต่พอเห็นขาเทียม 2 ข้าง แขนเทียม 1 ข้าง กับทักษะการใช้ชีวิตที่ไม่ย่อหย่อนไปกว่าคนแข็งแรงทั่วๆ ไป เชื่อว่าคุณต้องร้อง... ยอดมนุษย์อ่ะ คลิปที่ฉายให้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจือเสียงหัวเราะบ่อยครั้ง อาจทำให้คุณเข้าใจผิดว่า ยามาดะซังพิการมาแต่กำเนิด ถึงได้ทำใจได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวพลิกฟ้าพลิกดินที่ดึงเขาด่ำดิ่งสู่ห้วงเหวลึกนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนนี้เอง ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2012 ยามาดะซังในวัย 20 ปี ออกไปดื่มสังสรรค์กับบริษัทเคเบิลทีวีที่เขาเพิ่งเข้าไปทำงานด้วยไม่นาน และหากคุณกำลังคะเนว่าคงเมาละซี้ โนค่ะ เรื่องจริงคือในเช้าวันนั้นยามาดะซังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนจะมีไข้ แต่เพราะเป็นน้องใหม่ จึงไม่กล้าปฏิเสธเมื่อถูกรุ่นพี่ชวน เขายอมฝืนร่างกายออกไปปาร์ตี้โดยตั้งใจว่าจะไม่แตะอัลกอฮอลล์เป็นอันขาด เมื่องานเลี้ยงเลิก เขาพาร่างกายที่อ่วมด้วยพิษไข้ขึ้นรถไฟกลับบ้าน ผลคือเขาเผลอหลับไประหว่างทาง ทำให้นั่งเลยสถานีที่ต้องการลง จึงต้องลงจากรถไฟเพื่อจะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟอีกขบวนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งรอรถไฟที่ชานชาลา เขาเผลอหลับไปอีกครั้ง กระทั่งนายสถานีต้องเดินมาปลุกว่ารถไฟเที่ยวสุดท้ายกำลังจะเทียบสถานีแล้วนั่นแหละ เขาถึงตื่นขึ้นมาแบบสะลืมสะลือ ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปรอรถไฟ หลังจากนั้นก็ภาพตัด... 10 วันให้หลัง ยามาดะซังฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับขาที่หายไปทั้ง 2 ข้าง และแขนขวาอีกหนึ่งข้าง เขากลายเป็นคนพิการ จากเหตุร่วงตกลงไปบนรางรถไฟและถูกรถไฟทับ ห้วงเวลานั้นหากใครก็ตามมาอุทานอยู่ตรงหน้าเขาว่า ‘โชคดีๆ ที่ไม่ตาย’ เขาเป็นต้องอยากจะลุกขึ้นตั๊นหน้าด้วยหมัดขวา(ซึ่งเขาไม่มี) พร้อมร้องตะโกนว่า ... ฉันไม่ได้อยากได้โชคแบบนี้โว้ยยยย ความคิดอยากตาย... มี พยายามฆ่าตัวตายไหม... ใช่ แล้วอะไรที่ทำให้เขาบิลด์อัพตัวเองจนกลายเป็นยอดมนุษย์ได้อย่างทุกวันนี้ มันคือมุมมองเชิงบวกที่แว่บขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อเขานั่งรถเข็นมาส่งเพื่อนสมัยมัธยมที่หน้าลิฟต์ในโรงพยาบาลที่เขาพักรักษาตัว นาทีที่เขากับเพื่อนๆ โบกมือร่ำลากัน คำพูดของเพื่อนที่ชมว่า “เฮ้ย... นายดูดีกว่าที่ฉันคิดอีกว่ะ” ได้จุดประกายให้เขาอยากก้าวออกจากมุมที่มืดมนที่เขาจมปลักอยู่กับมันมาหลายวัน แน่นอนว่ากว่าที่เขาจะพลิกฟื้นจนเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก กระทั่งกลายเป็นไอดอลของคนทุพพลภาพนั้น มันห่างไกลจากคำว่า ‘ง่าย’ หลายปีแสง มีกำแพงอิฐบล็อกสะกัดหน้าหลังซ้ายขวาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับไปเรียนเพื่อเอาวุฒิบัตรด้านการทำบัญชีและคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนอาชีวศึกษาสำหรับผู้ทุพพลภาพ การหางานที่ได้รับแต่คำปฏิเสธว่าไม่สามารถบรรจุเป็นพนักงานประจำได้ และค่าตอบแทนแรงงานที่ต่ำแสนต่ำ “ผมผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติ มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น แต่คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการมองมันให้ต่างออกไป และเส้นทางที่สั้นที่สุดก็คือการมองสิ่งต่างๆ ให้เป็นบวก ไม่ใช่มองมันแบบลบๆ ขอเพียงคุณเชื่อมั่นว่าเราทุกคนสามารถผ่านเรื่องร้ายๆ ยากๆ ด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเราจริงๆ” แล้วก็เพราะความคิดที่อยากจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าคนพิการสามารถใช้ชีวิตในเชิงบวกได้ ทำให้ยามาดะซังตัดสินใจใช้งานโซเชียลมีเดียทั้งยูทูป เฟสบุ้ค และอินสตาแกรม เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความคิดของเขาออกมา โดยมีทั้งทอล์คอธิบายวิธีที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปด้วยแขนขาเทียม และตามติดชีวิตประจำวัน อาทิ การทำอาหารด้วยมือเดียว การเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยมือเดียว เป็นต้น ยามาดะซังหวังว่าการแบ่งปันประสบการณ์ฟื้นตื่นจากฝันร้ายของเขาอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะโชคร้ายอย่างเขา ที่มาภาพ: IG@chi_kun0922 เรียบเรียง: สำนักข่าวดีดี #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #เรื่องราวดีดี #goodstory #แรงบันดาลใจ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 อยู่กับโลกและตัวเองให้เป็น

    โลกไม่สมบูรณ์แบบ → คนเราก็ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ

    ❌ ถ้าคิดว่าโลกต้องดีหมด → จะผิดหวังเสมอ
    ❌ ถ้าคิดว่าตัวเองต้องเพอร์เฟ็กต์ → จะทุกข์หนัก

    ✔️ แค่ไม่เบียดเบียนใคร
    ✔️ แค่ตั้งใจทำสิ่งดีๆ เท่าที่ทำได้
    ✔️ แค่นี้ก็ดีพอแล้ว


    ---

    📌 คนเราผิดพลาดได้เสมอ

    🟢 บางครั้งปล่อยใจ → มีผิดบ้าง ถูกบ้าง
    🔴 บางครั้งตั้งใจสุดๆ → ก็ยังพลาดได้

    📍 ถ้าผิดแล้วมัวแต่เจ็บปวด → เสียเวลาเปล่า
    📍 ถ้าผิดแล้วเก็บแค่บทเรียน → จะก้าวหน้าขึ้น

    ✔️ มนุษย์ทำได้ดีที่สุด คือ
    👉 เลือกยืนข้างความดี
    👉 อยู่ดี ไปดี
    👉 สบายใจกับตัวเองให้ได้


    ---

    📌 ทางสายกลางของการใช้ชีวิต

    ❌ ไม่ต้องพยายามสมบูรณ์แบบ
    ❌ ไม่ต้องปล่อยตัวตกต่ำ
    ✔️ แค่ทำให้ดีตามกำลัง
    ✔️ แค่ไม่ทุกข์ไปกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

    💡 จงอยู่กับโลกแบบเข้าใจ ไม่ใช่คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างใจเรา!

    📌 อยู่กับโลกและตัวเองให้เป็น โลกไม่สมบูรณ์แบบ → คนเราก็ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ❌ ถ้าคิดว่าโลกต้องดีหมด → จะผิดหวังเสมอ ❌ ถ้าคิดว่าตัวเองต้องเพอร์เฟ็กต์ → จะทุกข์หนัก ✔️ แค่ไม่เบียดเบียนใคร ✔️ แค่ตั้งใจทำสิ่งดีๆ เท่าที่ทำได้ ✔️ แค่นี้ก็ดีพอแล้ว --- 📌 คนเราผิดพลาดได้เสมอ 🟢 บางครั้งปล่อยใจ → มีผิดบ้าง ถูกบ้าง 🔴 บางครั้งตั้งใจสุดๆ → ก็ยังพลาดได้ 📍 ถ้าผิดแล้วมัวแต่เจ็บปวด → เสียเวลาเปล่า 📍 ถ้าผิดแล้วเก็บแค่บทเรียน → จะก้าวหน้าขึ้น ✔️ มนุษย์ทำได้ดีที่สุด คือ 👉 เลือกยืนข้างความดี 👉 อยู่ดี ไปดี 👉 สบายใจกับตัวเองให้ได้ --- 📌 ทางสายกลางของการใช้ชีวิต ❌ ไม่ต้องพยายามสมบูรณ์แบบ ❌ ไม่ต้องปล่อยตัวตกต่ำ ✔️ แค่ทำให้ดีตามกำลัง ✔️ แค่ไม่ทุกข์ไปกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 💡 จงอยู่กับโลกแบบเข้าใจ ไม่ใช่คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างใจเรา!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตาก – ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ชายแดน ติดตามแผน “แม่สอดโมเดล” ลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมข้ามชาติ ตามส่อง “ชเวโก๊กโก่-เมืองใหม่จีนเทาเมียวดี” พบผู้คนยังใช้ชีวิตปกติ-เดินหน้าก่อสร้างกันครึกโครม หลังไทยระงับจ่ายไฟ-งดส่งออกน้ำมันข้ามแดน

    วันนี้ (10 ก.พ. 68) พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด และ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อติดตามการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตามมาตรการ “แม่สอดโมเดล” โดยมี พล.ต.ณรงค์ฤทธิ ปาณิกบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 3 นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ

    ทั้งนี้ ผบ.บท.พร้อมคณะ ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์จากกองกำลังนเรศวร และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการแนวชายแดน รวมถึงจุดตรวจสำคัญ เช่น สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ท่าข้าม 34 (ท่าศาลเจ้า) และจุดตรวจการณ์ต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่เฝ้าระวังอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง และขนส่งยาเสพติด

    แต่ที่น่าสนใจคือ คณะ ผบ.ทบ.ได้เดินทางไปดูชายแดนที่บ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด ที่บริเวณตรงข้ามฝั่งไทยคือ ชเวโก๊กโก่ เมืองใหม่ของกลุ่มทุนจีน ที่มองจากฝั่งไทยแล้วเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งพบว่าบรรยากาศในฝั่งเมียนมามีการใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่สนใจคณะของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังมีการเดินหน้าก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000013433

    #MGROnline #ตาก #แม่สอดโมเดล #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ
    ตาก – ผบ.ทบ. ลงพื้นที่ชายแดน ติดตามแผน “แม่สอดโมเดล” ลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมข้ามชาติ ตามส่อง “ชเวโก๊กโก่-เมืองใหม่จีนเทาเมียวดี” พบผู้คนยังใช้ชีวิตปกติ-เดินหน้าก่อสร้างกันครึกโครม หลังไทยระงับจ่ายไฟ-งดส่งออกน้ำมันข้ามแดน • วันนี้ (10 ก.พ. 68) พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด และ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อติดตามการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตามมาตรการ “แม่สอดโมเดล” โดยมี พล.ต.ณรงค์ฤทธิ ปาณิกบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 3 นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ • ทั้งนี้ ผบ.บท.พร้อมคณะ ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์จากกองกำลังนเรศวร และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการแนวชายแดน รวมถึงจุดตรวจสำคัญ เช่น สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ท่าข้าม 34 (ท่าศาลเจ้า) และจุดตรวจการณ์ต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่เฝ้าระวังอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง และขนส่งยาเสพติด • แต่ที่น่าสนใจคือ คณะ ผบ.ทบ.ได้เดินทางไปดูชายแดนที่บ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด ที่บริเวณตรงข้ามฝั่งไทยคือ ชเวโก๊กโก่ เมืองใหม่ของกลุ่มทุนจีน ที่มองจากฝั่งไทยแล้วเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งพบว่าบรรยากาศในฝั่งเมียนมามีการใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่สนใจคณะของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังมีการเดินหน้าก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000013433 • #MGROnline #ตาก #แม่สอดโมเดล #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 700 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts