• #เพลงประกอบ #ลาวดวงดอกไม้ 🌹🥀" #ดอกไม้ #กุหลาบ
    #เพลงประกอบ #ลาวดวงดอกไม้ 🌹🥀" #ดอกไม้ #กุหลาบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 43 0 รีวิว
  • วันพระ: แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๗ (25 September 2024)

    บริจาคสิ่งของ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคเหนือ 279 บาท
    - ยาสีฟัน ซิสเท็มมา 40g. 12+3 กล่อง (99 บาท)
    - แปรงสีฟัน อิมแพ็ค Soft & Slim 12 ด้าม (75 บาท)
    - สบู่ก้อน นกแก้ว กุหลาบ 70g. 12 ก้อน (105 บาท)
    #ทำบุญทั่วไปโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๐ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    วันพระ: แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๗ (25 September 2024) บริจาคสิ่งของ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคเหนือ 279 บาท - ยาสีฟัน ซิสเท็มมา 40g. 12+3 กล่อง (99 บาท) - แปรงสีฟัน อิมแพ็ค Soft & Slim 12 ด้าม (75 บาท) - สบู่ก้อน นกแก้ว กุหลาบ 70g. 12 ก้อน (105 บาท) #ทำบุญทั่วไปโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๐ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันพระ: แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๗ (25 September 2024)

    บริจาคสิ่งของ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคเหนือ 279 บาท
    - ยาสีฟัน ซิสเท็มมา 40g. 12+3 กล่อง (99 บาท)
    - แปรงสีฟัน อิมแพ็ค Soft & Slim 12 ด้าม (75 บาท)
    - สบู่ก้อน นกแก้ว กุหลาบ 70g. 12 ก้อน (105 บาท)
    #ทำบุญทั่วไปโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๐ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    วันพระ: แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๗ (25 September 2024) บริจาคสิ่งของ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคเหนือ 279 บาท - ยาสีฟัน ซิสเท็มมา 40g. 12+3 กล่อง (99 บาท) - แปรงสีฟัน อิมแพ็ค Soft & Slim 12 ด้าม (75 บาท) - สบู่ก้อน นกแก้ว กุหลาบ 70g. 12 ก้อน (105 บาท) #ทำบุญทั่วไปโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๐ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร่วมอวยพร วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 88 ปี 🎂🥰🎁
    นักร้องฉายาเสียงระทม #วงจันทร์ไพโรจน์
    ในกิจกรรมที่ ดิโอลด์ สยามพลาซ่า ร่วมกับ แม่ไม้เพลงไทย เพลงเก่าต้นฉบับ ลูกทุ่งลูกกรุง ชวนคุณมาจับไมค์ร้องเพลง ครื้นเครงใจ

    คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ชื่อเล่น จิ๋ม เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิด 18 ก.ค. 2479 พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก จึงมาอยู่กับคุณยายในซอยกิ่งเพชร ซึ่งอยู่ใกล้วังอัศวิน จึงมีโอกาสคลุกคลี ร่ำเรียน การแสดงต่างๆ
    คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ เข้าสู่วงการนักร้องตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จากการสนับสนุนของ ครูมงคล อมาตยกุล คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ขับร้องผลงานเพลงไว้ 1,117 เพลง มีผลงานเพลงดัง เช่น #กุหลาบเวียงพิงค์, #สันป่าตอง, #สาวบ้านแพน, #ถึงร้ายก็รัก, #สาวชาวสวน, #บุษบาเสี่ยงเทียน เป็นต้น

    ณ The Old Siam Plaza ชั้น 3 บริเวณตลาดบำรุงเมือง

    #วงจันทร์ไพโรจน์ #แม่ไม้เพลงไทย #maemaiplengthai #theoldsiam #theoldsiamplaza #ดิโอลด์สโมสร #ศรีวัฒนธรรม #เพลงลูกกรุง #thaitimes

    ร่วมอวยพร วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 88 ปี 🎂🥰🎁 นักร้องฉายาเสียงระทม #วงจันทร์ไพโรจน์ ในกิจกรรมที่ ดิโอลด์ สยามพลาซ่า ร่วมกับ แม่ไม้เพลงไทย เพลงเก่าต้นฉบับ ลูกทุ่งลูกกรุง ชวนคุณมาจับไมค์ร้องเพลง ครื้นเครงใจ คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ชื่อเล่น จิ๋ม เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิด 18 ก.ค. 2479 พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก จึงมาอยู่กับคุณยายในซอยกิ่งเพชร ซึ่งอยู่ใกล้วังอัศวิน จึงมีโอกาสคลุกคลี ร่ำเรียน การแสดงต่างๆ คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ เข้าสู่วงการนักร้องตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จากการสนับสนุนของ ครูมงคล อมาตยกุล คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ขับร้องผลงานเพลงไว้ 1,117 เพลง มีผลงานเพลงดัง เช่น #กุหลาบเวียงพิงค์, #สันป่าตอง, #สาวบ้านแพน, #ถึงร้ายก็รัก, #สาวชาวสวน, #บุษบาเสี่ยงเทียน เป็นต้น ณ The Old Siam Plaza ชั้น 3 บริเวณตลาดบำรุงเมือง #วงจันทร์ไพโรจน์ #แม่ไม้เพลงไทย #maemaiplengthai #theoldsiam #theoldsiamplaza #ดิโอลด์สโมสร #ศรีวัฒนธรรม #เพลงลูกกรุง #thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 798 มุมมอง 144 0 รีวิว
  • ติ่งขา….เส้นทางของพี่ปูไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนะคะ คราวนี้เจอหนามเพียบเลยค่าาาา….

    ตอนสิบเอ็ด.……ผู้นำหน้าใหม่……ที่แทบม้วยเพราะพิษสื่อ…!!!!!

    หลังจากที่พิธีเข้ารับการสาบานตนรับตำแหน่งที่สมเกียรติได้ผ่านไป ปูตินต้องจัดระเบียบครอบครัวใหม่ มาชาและแคทยา
    ธิดาทั้งสอง เข้าเรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส นอกเหนือไปจากเยอรมันที่ใช้เป็นภาษาที่สอง ลุดมิลาลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ที่ Telekominvest
    อาคันตุกะรายแรกที่มาเยี่ยมประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Tony Blair นายกรัฐมนตรีจากอังกฤษ
    ที่ลุดมิลาได้ทำหน้าที่ของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ

    ในส่วนของการแสดงทรัพย์สิน…ปูตินมีอสังหาริมทรัพย์สามแห่ง แห่งหนึ่งคือบ้านพักตามอากาศที่เพิ่งซ่อมเสร็จจากไฟไหม้
    และอีกสองแห่งที่รับมาจากพ่อแม่เขา และ พ่อตา
    เงินในธนาคาร มีอยู่ประมาณ 13,000 ดอลล่าร์ ที่นับว่าพอประมาณ แต่ไม่ใช่ขั้นเศรษฐี

    ด้านบุคลากร ปูตินได้นำเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้ามาทั้งทีม เช่น Dmitri Medvedev (ต่อมาคือนายกรัฐมนตรี) Aleksei Kudrin (ต่อมาคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง)
    รวมไปถึงทีมจาก FSB
    กลุ่มนี้ เป็นที่รู้จักกันว่า คณะปีเตอร์สเบอร์ก ที่เริ่มจะไม่กินเส้นกับกลุ่มมอสโคว์
    ปูติน……ไม่ไว้ใจกลุ่มมอสโคว์ เพราะพวกนี้ต่างมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีธุรกิจแอบแฝงในเบื้องหลัง อีกทั้งมีความสนิทสนมกับกลุ่มทุน
    ส่วนกลุ่มข้าเก่าเต่าเลี้ยงของเยลซิน……เขายังเก็บไว้บางคน เช่น Alexandr Voloshin และ Anatoly Chubais
    ปูตินพูดเสมอว่า “ผมมีเพื่อนเยอะแยะ แต่ที่สนิทจริงๆมีไม่กี่คน
    กลุ่มนี้จะไม่ทิ้งผมไปไหน และผมก็จะไม่ทิ้งเขาเช่นกัน”

    นายกรัฐมนตรีที่เขาเลือก คือ Mikhail Kasyanov

    ทางด้านเศรษฐกิจ……ปูตินปรับระบบภาษี คือ 13% สำหรับประชาชนทั่วไป และ 24% จากธุรกิจห้างร้าน ลดจากเมื่อก่อนที่เคยเก็บ 35% ที่เก็บไม่ค่อยได้เพราะคนเลี่ยงจ่าย
    แต่นโยบายใหม่นี้ ……จะเก็บถึงที่ และเก็บทุกราย
    เริ่มต้นในเดือนมกราคม 2002
    นอกจากนั้น คือการชำระสะสางการใช้จ่ายของรัฐบาล
    กำจัดพวกที่อิงผลประโยชน์ และ สั่งให้กลุ่มจากตะวันตกจัดระเบียบใหม่ในเรื่องค่าแรง
    ในรัฐบาลชองปูตินเป็นผสมผสานระหว่าง ประชาธิปไตยสมัยใหม่กับระบบโซเวียต ที่ขึ้นอยู่กับปูตินว่าเขาจะเอาส่วนไหนมาใช้

    วันที่ 11 พฤษภาคม สี่วันหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีหมาดๆ งานเก็บกวาดได้เริ่มขึ้น นั่นคือ
    กลุ่ม FSB ได้บุกเข้าไปค้นสำนักพิมพ์ Media-Most
    ต้อนพนักงานทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ห้องอาหาร
    เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดเอาเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์
    และ…ปืนพก(แบบสั่งทำขึ้น ประเภทสวยงาม สำหรับสะสม)
    ที่เป็นของ Vladimir Gusinsky เจ้าของและบรรณาธิการ
    นายกัสซินสกี้ เป็นเจ้าของช่องโทรทัศน์ NTV ซึ่งเป็นช่องเอกชนรายแรกของรัสเซีย
    ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ หรือ ช่องทีวี ทั้งสองรายการคือ ไม่โปรปูติน แถมยังทำการ์ตูนล้อเลียน เช่นลักษณะหูกาง ตาโรย ที่ใครๆก็รู้ว่า นั่นคือปูติน
    ที่เขาล้อเลียนหนักข้อเข้าทุกที
    นอกจากเข้าค้นสำนักงานแล้ว หน่วยเก็บภาษีได้ทำการตรวจย้อนหลังสมทบอีก
    FSB ได้ทำการยึดปืนพกกระบอกนั้นไป และ กัสซินสกี้ได้ตกเป็นผู้ต้องหา

    ในช่วงที่เกิดขึ้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้มาเยี่ยมเยียนเป็นอาคันตุกะพอดี คลินตันได้พยายาม
    ถามถึงเรื่องคดีนี้ (กัสซินสกี้เป็นมหาเศรษฐียิว ที่มีธุรกิจอยู่ในอเมริกาด้วยเช่นกัน)
    แต่ปูตินได้อ้างว่า เขาไม่ทราบเรื่องเพราะในช่วงที่เกิดขึ้น เขาอยู่ที่สเปน

    สาเหตุที่บิล คลินตันไปรัสเซีย คือเรื่องการเจรจาถอยคนละก้าวในเรื่องของนิวเคลียร์ที่ต้องจำกัดจำนวนให้น้อยที่สุด
    แต่ไม่ได้ผลอะไรกับปูติน เพราะมันเป็นการใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะความขัดแย้งในพื้นที่รอบรัสเซียที่งัดกันอยู่ ก็เพราะอเมริกาสนับสนุนอยู่อย่างลับๆ……ใครๆก็รู้
    หลังจากที่คลินตันกลับไป เก้าวันต่อมา……กัสซินสกี้ก็ถูกจับด้วยข้อหามีปืนในครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาต

    **กัสซินสกี้ได้มีหลายคดีตามมา จนเขาต้องขอแลกอิสรภาพด้วยการขายหุ้นทุกอย่างคืนให้กับรัฐบาล เมื่อเขาออกไปอยู่ที่สเปน ก็ได้ทำการฟ้องร้องรัฐบาลรัสเซียในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน…คดียาวนานมาเป็นยี่สิบปี ในระหว่างนั้น เขาก็ยังทำธุรกิจหนังสือพิมพ์และช่องทีวีในต่างประเทศ แน่นอนว่า……
    ไม่เป็นมิตรกับรัสเซียและปูติน

    วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการพักร้อน พักผ่อนหย่อนใจ
    ปูตินและครอบครัวไปยังรีสอร์ตที่ Sochi ชายฝั่งทะเลดำ
    เมื่อไปถึง เขายังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสื้อผ้า เสียงโทรศัพท์ด่วนเข้ามา ข่าวร้าย……คือ เรือดำน้ำบรรทุกนิวเคลียร์ “the Kursk”
    ได้เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่มีการซ้อมรบที่ Barents Sea, Murmansk
    เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เคอร์สค์ ได้สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต มาเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1994 ที่นับว่าทันสมัยที่สุด สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอเมริกา (ถ้ามีสงคราม)
    ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้น

    แต่เหตุได้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ปูตินเพิ่งออกจากมอสโคว์ มีการระเบิดขึ้นสองครั้ง เรือจมดิ่งลงก้นสมุทร ลูกเรือ 113 คน เสียชีวิตหมด
    เมื่อปูตินได้ทราบข่าว……ทุกอย่างก็สายไปแล้ว
    อย่างเดียวที่ทำได้ คือ ปิดข่าวไว้ก่อน แล้วส่งทีมไปค้นหา
    เขายังทำตัวปรกติ……เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รอฟังข่าว
    อย่างใจจดใจจ่อ
    Boris Berezovsky โทรมาหาเขาจากปารีส ถามว่า
    “มาทำอะไรอยู่ในโซชิ…ทำไมไม่กลับไปที่มอสโคว์ หรือไปที่เกิดเหตุ……?”
    มาถึงตอนนี้……ปูตินเริ่มฉุน เพราะไม่ใช่หน้าที่อะไรของนายแบเรซอฟสกี้ ที่เป็นเพียงกลุ่มทุนที่อิงมาตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ แต่ชอบเสนอหน้าไปทุกสิ่ง ประมาณตัวว่าเป็นนักการเมืองใหญ่ จะสั่งใครก็ได้
    ในตอนนั้น……หลายประเทศเสนอตัวมาช่วยค้นหา แต่แม่ทัพเรือปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นสอดแนมดูพิมพ์เขียว

    จนบิล คลินตันโทรมาหาปูตินเป็นการส่วนตัว เขาจึงยอมให้มีการช่วยเหลือร่วมมือจาก ทีมอังกฤษและทีมนอร์เวย์ ที่มาช่วยกัน ในวันที่ 21
    ที่ทีมทั้งสองนี้ สามารถเปิดฝาปิดเรือดำน้ำได้ภายใน 6 ชั่วโมง
    ในขณะที่รัสเซียได้พยายามอยู่ถึงเก้าวันยังเปิดไม่ได้
    ทันทีที่ปูตินกลับถึงมอสโคว์……เสียงตำหนิ ก่นด่ามาจากทุกสารทิศ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวของทหารผู้เสียชีวิต
    ซ้ำร้าย……สื่อตีซ้ำด้วยในเรื่องที่ประธานาธิบดีไม่ได้สนใจกับ
    เรื่องนี้ เพราะกำลังไปสนุกสนานพักร้อนริมชายหาด……
    โดยเฉพาะช่องทีวีของ Boris Berezovsky ที่เป็นฝ่ายประโคมข่าว…

    ปูตินโกรธจัด เพราะข่าวจากสายในกองทัพบอกมาว่า บอริสได้จ้างหน้าม้าที่เป็นผู้หญิงมาอ้างตัวว่าเป็นภรรยาของทหารที่ตาย มาร้องห่มร้องไห้ ด่าปูตินออกอากาศ
    บอริสได้เข้าพบกับปูติน เพื่อแก้ข้อหา พร้อมตะโดนใส่ปูตินว่า
    “นั่นเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่หน้าม้า……ไอ้พวกนั้นมันโกหก……!!”
    วันที่ 22 สิงหาคม……ปูตินได้ไปที่ที่เกิดเหตุ พร้อมพบปะกับเหล่าครอบครัวผู้สูญเสีย ที่อยู่ในสภาพโกรธแค้น
    เขาพยายามเยียวยาด้วยการจ่ายเงินเดือนยาวไปสิบปี
    และจัดหาที่อยู่ให้อย่างสะดวกสะบาย พร้อมสวัสดิการเต็มที่
    แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
    เมื่อหนึ่งในนั้น……ได้ตะโกนถามเขาว่า
    “ทำไมไม่มาช่วยกู้อย่างทันที ……”
    ปูตินตอบไปอย่างตรงๆว่า……
    “เพราะเราไม่มีเครื่องมืออะไรอย่างนั้นเหลือใช้ในชาติเราไง…”

    ปูตินรู้ดีแก่ใจว่า……ไม่ใช่ความผิดของแม่ทัพเรือ (ที่โบ้ยว่าเป็นความผิดของอเมริกา ) ไม่ใช่ความผิดของหน่วยข่าวกรอง
    แต่ทุกอย่างที่มันเลวร้ายได้ขนาดนี้ เพราะ “สื่อ” ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ล้วนๆ ที่มีอำนาจทำลายล้างได้เทียบเท่ากับกองทัพขนาดใหญ่

    วันต่อมา..ปูตินได้ออกแถลงการทางโทรทัศน์ ที่เขาถอดใจพูดออกมาว่า ประเทศชาติได้ผ่านวิกฤติมาทุกรูปแบบ ทั้งในและนอกประเทศ แต่สิ่งที่ซ้ำเติมเรา คือ กลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของชาติ โดยการให้ข่าวบิดเบือนสร้างความเจ็บช้ำ แล้วมาทำดีโดยการระดมทุนเพื่อให้ผู้เสียหาย เพื่อเอาการค้ามาอิงร่วม การระดมทุนที่อ้างว่ามีถึงล้านเหรียญ (โดยประมาณ) มันแค่เป็นเศษน้อยนิด จากสิ่งที่เขารีดไปจากเรา ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์หรูที่เมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งฝรั่งเศส และฝั่งสเปน ไปช่วยกันถามหน่อยซิ ว่าเขาเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ……??

    เรื่องนี้……คือการกระทบ Boris Berezovsky โดยตรง เพราะเขาเป็นคนระดมทุนที่ว่า
    จากวันนั้น……ปูตินได้ทำการรุกเอาสมบัติของชาติคืนอย่างเอาจริงเอาจัง
    ยึดหุ้น Aeroflot คืนจากบอริส ที่หนีออกนอกประเทศไป
    ก่อนหนี……เขาได้ลุกลี้ลุกลนขายหุ้นสถานีโทรทัศน์ให้กับ
    Roman Abramovich (ที่คืนให้กับรัฐบาลในต่อมา)
    ส่วนนาย Gusinsky ได้ถูกยึดหุ้นทั้งหมดของ NTV เพราะมีหนี้ติดค้างกับ Gazprom หลังจากที่หนีไปสเปน
    เท่ากับว่า……ช่องทีวีเอกชนทั้งหมดได้ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลอย่างเรียบร้อย

    วันที่ 11 กันยายน…ปูตินได้เรียกประชุมนักข่าวจาก 48 สำนัก
    ให้เข้ามารับนโยบายของรัฐบาล และจะมีการให้ข่าวในเรื่องการปฎิบัติการทางทหารที่เชเชน…
    ทันทีที่จบการบันทึกภาพการประชุม ……เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รีบเข้ามารายงานให้เขาเข้าไปดู”อะไรบางอย่าง” โดยด่วนที่หน้าจอมอนิเตอร์ทีวี
    ภาพที่เขาเห็นคือ ภาพของเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ค
    ที่เป็นฝีมือของ Al-Queda ที่มีประวัติแทรกแซงฟาดฟันกับรัสเซียในเชเชนด้วยเช่นกัน
    สิ่งแรกที่ปูตินทำ คือ เขาหันไปถาม Sergei Ivanov ว่า..
    “เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง…??”
    เขาไม่ได้พูดเฉยๆ ปูตินยกหูไปหาประธานาธิบดีบุชทันที
    และได้พูดกับ นาง Condoleeza Rice (ฝ่ายความมั่นคง)
    เขาได้ยืนยันกับเธอว่า รัสเซียจะยกเลิกเรื่องการซ้อมรบทางฝั่งแปซิฟิค (ที่เพิ่งเริ่มไปเมื่อวาน) และ จะพักเรื่องการเจรจานิวเคลียร์ไปก่อน ทางอเมริกามีอะไรให้เราช่วยได้ ขอให้บอกมาได้เลย ทางเรายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่…”

    ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ไป.……ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้บอกกับ
    เขาว่า………สงครามเย็นได้จบสิ้นลงแล้ว………!!!
    เพราะจากนี้ไป รัสเซียและอเมริกาจะต้องร่วมมือกัน เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน
    คือ….กลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ (The Terrorists) ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า……พวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน…?!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา….เส้นทางของพี่ปูไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนะคะ คราวนี้เจอหนามเพียบเลยค่าาาา…. ตอนสิบเอ็ด.……ผู้นำหน้าใหม่……ที่แทบม้วยเพราะพิษสื่อ…!!!!! หลังจากที่พิธีเข้ารับการสาบานตนรับตำแหน่งที่สมเกียรติได้ผ่านไป ปูตินต้องจัดระเบียบครอบครัวใหม่ มาชาและแคทยา ธิดาทั้งสอง เข้าเรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส นอกเหนือไปจากเยอรมันที่ใช้เป็นภาษาที่สอง ลุดมิลาลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ที่ Telekominvest อาคันตุกะรายแรกที่มาเยี่ยมประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Tony Blair นายกรัฐมนตรีจากอังกฤษ ที่ลุดมิลาได้ทำหน้าที่ของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในส่วนของการแสดงทรัพย์สิน…ปูตินมีอสังหาริมทรัพย์สามแห่ง แห่งหนึ่งคือบ้านพักตามอากาศที่เพิ่งซ่อมเสร็จจากไฟไหม้ และอีกสองแห่งที่รับมาจากพ่อแม่เขา และ พ่อตา เงินในธนาคาร มีอยู่ประมาณ 13,000 ดอลล่าร์ ที่นับว่าพอประมาณ แต่ไม่ใช่ขั้นเศรษฐี ด้านบุคลากร ปูตินได้นำเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้ามาทั้งทีม เช่น Dmitri Medvedev (ต่อมาคือนายกรัฐมนตรี) Aleksei Kudrin (ต่อมาคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) รวมไปถึงทีมจาก FSB กลุ่มนี้ เป็นที่รู้จักกันว่า คณะปีเตอร์สเบอร์ก ที่เริ่มจะไม่กินเส้นกับกลุ่มมอสโคว์ ปูติน……ไม่ไว้ใจกลุ่มมอสโคว์ เพราะพวกนี้ต่างมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีธุรกิจแอบแฝงในเบื้องหลัง อีกทั้งมีความสนิทสนมกับกลุ่มทุน ส่วนกลุ่มข้าเก่าเต่าเลี้ยงของเยลซิน……เขายังเก็บไว้บางคน เช่น Alexandr Voloshin และ Anatoly Chubais ปูตินพูดเสมอว่า “ผมมีเพื่อนเยอะแยะ แต่ที่สนิทจริงๆมีไม่กี่คน กลุ่มนี้จะไม่ทิ้งผมไปไหน และผมก็จะไม่ทิ้งเขาเช่นกัน” นายกรัฐมนตรีที่เขาเลือก คือ Mikhail Kasyanov ทางด้านเศรษฐกิจ……ปูตินปรับระบบภาษี คือ 13% สำหรับประชาชนทั่วไป และ 24% จากธุรกิจห้างร้าน ลดจากเมื่อก่อนที่เคยเก็บ 35% ที่เก็บไม่ค่อยได้เพราะคนเลี่ยงจ่าย แต่นโยบายใหม่นี้ ……จะเก็บถึงที่ และเก็บทุกราย เริ่มต้นในเดือนมกราคม 2002 นอกจากนั้น คือการชำระสะสางการใช้จ่ายของรัฐบาล กำจัดพวกที่อิงผลประโยชน์ และ สั่งให้กลุ่มจากตะวันตกจัดระเบียบใหม่ในเรื่องค่าแรง ในรัฐบาลชองปูตินเป็นผสมผสานระหว่าง ประชาธิปไตยสมัยใหม่กับระบบโซเวียต ที่ขึ้นอยู่กับปูตินว่าเขาจะเอาส่วนไหนมาใช้ วันที่ 11 พฤษภาคม สี่วันหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีหมาดๆ งานเก็บกวาดได้เริ่มขึ้น นั่นคือ กลุ่ม FSB ได้บุกเข้าไปค้นสำนักพิมพ์ Media-Most ต้อนพนักงานทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ห้องอาหาร เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดเอาเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ และ…ปืนพก(แบบสั่งทำขึ้น ประเภทสวยงาม สำหรับสะสม) ที่เป็นของ Vladimir Gusinsky เจ้าของและบรรณาธิการ นายกัสซินสกี้ เป็นเจ้าของช่องโทรทัศน์ NTV ซึ่งเป็นช่องเอกชนรายแรกของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ หรือ ช่องทีวี ทั้งสองรายการคือ ไม่โปรปูติน แถมยังทำการ์ตูนล้อเลียน เช่นลักษณะหูกาง ตาโรย ที่ใครๆก็รู้ว่า นั่นคือปูติน ที่เขาล้อเลียนหนักข้อเข้าทุกที นอกจากเข้าค้นสำนักงานแล้ว หน่วยเก็บภาษีได้ทำการตรวจย้อนหลังสมทบอีก FSB ได้ทำการยึดปืนพกกระบอกนั้นไป และ กัสซินสกี้ได้ตกเป็นผู้ต้องหา ในช่วงที่เกิดขึ้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้มาเยี่ยมเยียนเป็นอาคันตุกะพอดี คลินตันได้พยายาม ถามถึงเรื่องคดีนี้ (กัสซินสกี้เป็นมหาเศรษฐียิว ที่มีธุรกิจอยู่ในอเมริกาด้วยเช่นกัน) แต่ปูตินได้อ้างว่า เขาไม่ทราบเรื่องเพราะในช่วงที่เกิดขึ้น เขาอยู่ที่สเปน สาเหตุที่บิล คลินตันไปรัสเซีย คือเรื่องการเจรจาถอยคนละก้าวในเรื่องของนิวเคลียร์ที่ต้องจำกัดจำนวนให้น้อยที่สุด แต่ไม่ได้ผลอะไรกับปูติน เพราะมันเป็นการใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะความขัดแย้งในพื้นที่รอบรัสเซียที่งัดกันอยู่ ก็เพราะอเมริกาสนับสนุนอยู่อย่างลับๆ……ใครๆก็รู้ หลังจากที่คลินตันกลับไป เก้าวันต่อมา……กัสซินสกี้ก็ถูกจับด้วยข้อหามีปืนในครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาต **กัสซินสกี้ได้มีหลายคดีตามมา จนเขาต้องขอแลกอิสรภาพด้วยการขายหุ้นทุกอย่างคืนให้กับรัฐบาล เมื่อเขาออกไปอยู่ที่สเปน ก็ได้ทำการฟ้องร้องรัฐบาลรัสเซียในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน…คดียาวนานมาเป็นยี่สิบปี ในระหว่างนั้น เขาก็ยังทำธุรกิจหนังสือพิมพ์และช่องทีวีในต่างประเทศ แน่นอนว่า…… ไม่เป็นมิตรกับรัสเซียและปูติน วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการพักร้อน พักผ่อนหย่อนใจ ปูตินและครอบครัวไปยังรีสอร์ตที่ Sochi ชายฝั่งทะเลดำ เมื่อไปถึง เขายังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสื้อผ้า เสียงโทรศัพท์ด่วนเข้ามา ข่าวร้าย……คือ เรือดำน้ำบรรทุกนิวเคลียร์ “the Kursk” ได้เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่มีการซ้อมรบที่ Barents Sea, Murmansk เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เคอร์สค์ ได้สร้างขึ้นในสมัยโซเวียต มาเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1994 ที่นับว่าทันสมัยที่สุด สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอเมริกา (ถ้ามีสงคราม) ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้น แต่เหตุได้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ปูตินเพิ่งออกจากมอสโคว์ มีการระเบิดขึ้นสองครั้ง เรือจมดิ่งลงก้นสมุทร ลูกเรือ 113 คน เสียชีวิตหมด เมื่อปูตินได้ทราบข่าว……ทุกอย่างก็สายไปแล้ว อย่างเดียวที่ทำได้ คือ ปิดข่าวไว้ก่อน แล้วส่งทีมไปค้นหา เขายังทำตัวปรกติ……เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รอฟังข่าว อย่างใจจดใจจ่อ Boris Berezovsky โทรมาหาเขาจากปารีส ถามว่า “มาทำอะไรอยู่ในโซชิ…ทำไมไม่กลับไปที่มอสโคว์ หรือไปที่เกิดเหตุ……?” มาถึงตอนนี้……ปูตินเริ่มฉุน เพราะไม่ใช่หน้าที่อะไรของนายแบเรซอฟสกี้ ที่เป็นเพียงกลุ่มทุนที่อิงมาตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ แต่ชอบเสนอหน้าไปทุกสิ่ง ประมาณตัวว่าเป็นนักการเมืองใหญ่ จะสั่งใครก็ได้ ในตอนนั้น……หลายประเทศเสนอตัวมาช่วยค้นหา แต่แม่ทัพเรือปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นสอดแนมดูพิมพ์เขียว จนบิล คลินตันโทรมาหาปูตินเป็นการส่วนตัว เขาจึงยอมให้มีการช่วยเหลือร่วมมือจาก ทีมอังกฤษและทีมนอร์เวย์ ที่มาช่วยกัน ในวันที่ 21 ที่ทีมทั้งสองนี้ สามารถเปิดฝาปิดเรือดำน้ำได้ภายใน 6 ชั่วโมง ในขณะที่รัสเซียได้พยายามอยู่ถึงเก้าวันยังเปิดไม่ได้ ทันทีที่ปูตินกลับถึงมอสโคว์……เสียงตำหนิ ก่นด่ามาจากทุกสารทิศ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวของทหารผู้เสียชีวิต ซ้ำร้าย……สื่อตีซ้ำด้วยในเรื่องที่ประธานาธิบดีไม่ได้สนใจกับ เรื่องนี้ เพราะกำลังไปสนุกสนานพักร้อนริมชายหาด…… โดยเฉพาะช่องทีวีของ Boris Berezovsky ที่เป็นฝ่ายประโคมข่าว… ปูตินโกรธจัด เพราะข่าวจากสายในกองทัพบอกมาว่า บอริสได้จ้างหน้าม้าที่เป็นผู้หญิงมาอ้างตัวว่าเป็นภรรยาของทหารที่ตาย มาร้องห่มร้องไห้ ด่าปูตินออกอากาศ บอริสได้เข้าพบกับปูติน เพื่อแก้ข้อหา พร้อมตะโดนใส่ปูตินว่า “นั่นเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่หน้าม้า……ไอ้พวกนั้นมันโกหก……!!” วันที่ 22 สิงหาคม……ปูตินได้ไปที่ที่เกิดเหตุ พร้อมพบปะกับเหล่าครอบครัวผู้สูญเสีย ที่อยู่ในสภาพโกรธแค้น เขาพยายามเยียวยาด้วยการจ่ายเงินเดือนยาวไปสิบปี และจัดหาที่อยู่ให้อย่างสะดวกสะบาย พร้อมสวัสดิการเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เมื่อหนึ่งในนั้น……ได้ตะโกนถามเขาว่า “ทำไมไม่มาช่วยกู้อย่างทันที ……” ปูตินตอบไปอย่างตรงๆว่า…… “เพราะเราไม่มีเครื่องมืออะไรอย่างนั้นเหลือใช้ในชาติเราไง…” ปูตินรู้ดีแก่ใจว่า……ไม่ใช่ความผิดของแม่ทัพเรือ (ที่โบ้ยว่าเป็นความผิดของอเมริกา ) ไม่ใช่ความผิดของหน่วยข่าวกรอง แต่ทุกอย่างที่มันเลวร้ายได้ขนาดนี้ เพราะ “สื่อ” ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ล้วนๆ ที่มีอำนาจทำลายล้างได้เทียบเท่ากับกองทัพขนาดใหญ่ วันต่อมา..ปูตินได้ออกแถลงการทางโทรทัศน์ ที่เขาถอดใจพูดออกมาว่า ประเทศชาติได้ผ่านวิกฤติมาทุกรูปแบบ ทั้งในและนอกประเทศ แต่สิ่งที่ซ้ำเติมเรา คือ กลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของชาติ โดยการให้ข่าวบิดเบือนสร้างความเจ็บช้ำ แล้วมาทำดีโดยการระดมทุนเพื่อให้ผู้เสียหาย เพื่อเอาการค้ามาอิงร่วม การระดมทุนที่อ้างว่ามีถึงล้านเหรียญ (โดยประมาณ) มันแค่เป็นเศษน้อยนิด จากสิ่งที่เขารีดไปจากเรา ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์หรูที่เมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งฝรั่งเศส และฝั่งสเปน ไปช่วยกันถามหน่อยซิ ว่าเขาเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อ……?? เรื่องนี้……คือการกระทบ Boris Berezovsky โดยตรง เพราะเขาเป็นคนระดมทุนที่ว่า จากวันนั้น……ปูตินได้ทำการรุกเอาสมบัติของชาติคืนอย่างเอาจริงเอาจัง ยึดหุ้น Aeroflot คืนจากบอริส ที่หนีออกนอกประเทศไป ก่อนหนี……เขาได้ลุกลี้ลุกลนขายหุ้นสถานีโทรทัศน์ให้กับ Roman Abramovich (ที่คืนให้กับรัฐบาลในต่อมา) ส่วนนาย Gusinsky ได้ถูกยึดหุ้นทั้งหมดของ NTV เพราะมีหนี้ติดค้างกับ Gazprom หลังจากที่หนีไปสเปน เท่ากับว่า……ช่องทีวีเอกชนทั้งหมดได้ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลอย่างเรียบร้อย วันที่ 11 กันยายน…ปูตินได้เรียกประชุมนักข่าวจาก 48 สำนัก ให้เข้ามารับนโยบายของรัฐบาล และจะมีการให้ข่าวในเรื่องการปฎิบัติการทางทหารที่เชเชน… ทันทีที่จบการบันทึกภาพการประชุม ……เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รีบเข้ามารายงานให้เขาเข้าไปดู”อะไรบางอย่าง” โดยด่วนที่หน้าจอมอนิเตอร์ทีวี ภาพที่เขาเห็นคือ ภาพของเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ค ที่เป็นฝีมือของ Al-Queda ที่มีประวัติแทรกแซงฟาดฟันกับรัสเซียในเชเชนด้วยเช่นกัน สิ่งแรกที่ปูตินทำ คือ เขาหันไปถาม Sergei Ivanov ว่า.. “เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง…??” เขาไม่ได้พูดเฉยๆ ปูตินยกหูไปหาประธานาธิบดีบุชทันที และได้พูดกับ นาง Condoleeza Rice (ฝ่ายความมั่นคง) เขาได้ยืนยันกับเธอว่า รัสเซียจะยกเลิกเรื่องการซ้อมรบทางฝั่งแปซิฟิค (ที่เพิ่งเริ่มไปเมื่อวาน) และ จะพักเรื่องการเจรจานิวเคลียร์ไปก่อน ทางอเมริกามีอะไรให้เราช่วยได้ ขอให้บอกมาได้เลย ทางเรายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่…” ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ไป.……ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้บอกกับ เขาว่า………สงครามเย็นได้จบสิ้นลงแล้ว………!!! เพราะจากนี้ไป รัสเซียและอเมริกาจะต้องร่วมมือกัน เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน คือ….กลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ (The Terrorists) ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า……พวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน…?!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • กุหลาบบานบ้านศรุณฯ
    กุหลาบบานบ้านศรุณฯ
    Love
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 36 0 รีวิว
  • Akesin Place : เอกสินเพลส, นนทบุรี

    คอนโดเอกสินเพลส ชั้น18 ห้องเลขที่ 181 เนื้อที่ 46 ตรม.ราคาขาย 2.75 ลบ. นนทบุรี ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน
    ขายคอนโด Akesin Place เอกสิน เพลส คอนโดหรูตกแต่งสวย พร้อมอยู่

    ➤ เฟอร์นิเจอร์ครบ เหมาะแก่การอยู่อาศัย บนทำเลศักยภาพ

    ➤ ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน

    ➤ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงและรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีรถไฟฟ้าศูนย์ราชการนนทบุรี ทั้งยังอยู่บนแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลในอนาคต สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลหน้าคอนโด(โครงการเริ่มปลายปี 68) เชื่อมต่อ 5 สาย สีแดง,สีม่วง,สีชมพู,สีเขียว,สีเหลือง

    ➤ พื้นที่ขนาด 46 ตรม. แยกเป็นสัดส่วน 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่น และครัว ชั้น18 ที่จอดรถ 100% (รวมจอดขวาง)

    ➤ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส คีย์การ์ด, รปภ.กล้องวงจรปิด 24 ชม.

    ➤ สถานที่ใกล้เคียง เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า งามวงศ์วาน, โรงพยาบาลนนทเวช,โรงพยาบาลเกษมราษฏร์,โรงพยาบาลโรคทรวงอก,กระทรวงสาธารณะสุข, โรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

    **อื่นๆ**
    ➤ สนามบินดอนเมือง : 16.7 กม.
    ➤ สนามบินสุวรรณภูมิ : 43 กม.

    -------------------------------------------
    สนใจสอบถามข้อมูลที่
    โทร.081-822-6553
    รับซื้อ ฝากขายที่ดิน บ้าน คอนโด อสังหาริมทรัพย์
    ทุกชนิด “ฟรี” ค่าใช้จ่ายจนกว่าจะขายได้
    พร้อมทั้งทำเรื่องยื่นกู้สินเชื่อ
    จนถึงโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดิน
    Akesin Place : เอกสินเพลส, นนทบุรี คอนโดเอกสินเพลส ชั้น18 ห้องเลขที่ 181 เนื้อที่ 46 ตรม.ราคาขาย 2.75 ลบ. นนทบุรี ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน ขายคอนโด Akesin Place เอกสิน เพลส คอนโดหรูตกแต่งสวย พร้อมอยู่ ➤ เฟอร์นิเจอร์ครบ เหมาะแก่การอยู่อาศัย บนทำเลศักยภาพ ➤ ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน ➤ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงและรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีรถไฟฟ้าศูนย์ราชการนนทบุรี ทั้งยังอยู่บนแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลในอนาคต สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลหน้าคอนโด(โครงการเริ่มปลายปี 68) เชื่อมต่อ 5 สาย สีแดง,สีม่วง,สีชมพู,สีเขียว,สีเหลือง ➤ พื้นที่ขนาด 46 ตรม. แยกเป็นสัดส่วน 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่น และครัว ชั้น18 ที่จอดรถ 100% (รวมจอดขวาง) ➤ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส คีย์การ์ด, รปภ.กล้องวงจรปิด 24 ชม. ➤ สถานที่ใกล้เคียง เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า งามวงศ์วาน, โรงพยาบาลนนทเวช,โรงพยาบาลเกษมราษฏร์,โรงพยาบาลโรคทรวงอก,กระทรวงสาธารณะสุข, โรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต **อื่นๆ** ➤ สนามบินดอนเมือง : 16.7 กม. ➤ สนามบินสุวรรณภูมิ : 43 กม. ------------------------------------------- สนใจสอบถามข้อมูลที่ โทร.081-822-6553 รับซื้อ ฝากขายที่ดิน บ้าน คอนโด อสังหาริมทรัพย์ ทุกชนิด “ฟรี” ค่าใช้จ่ายจนกว่าจะขายได้ พร้อมทั้งทำเรื่องยื่นกู้สินเชื่อ จนถึงโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์สากลผ้าไหมพื้นเรียบ
    ลายปักดอกคาร์เนชั่น สีและดอกไม้ประจำราชอาณาจักรสเปน

    ดอกคาร์เนชั่นสีแดง เป็นดอกไม้ประจำชาติที่อยู่คู่กับประเทศสเปนมาหลายร้อยปี เรามักคุ้นภาพนักเต้นระบำฟลามิงโก้ประดับดอกไม้สีแดงอยู่บนเรือนผม ดอกไม้ที่ว่ามีตำนานความรักของกษัตริย์และราชินีซ่อนอยู่ เรื่องนี้ย้อนกลับไปในศตวรรษที่๑๖ เมื่อกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ ๑ แห่งสเปนได้นำดอกคาร์เนชั่นสีแดงเข้ามาปลูกในสเปนเพื่อเป็นเครื่องหมายแทนความรักของพระองค์กับราชินีอิซาเบลล่า

    อิซาเบลล่าเกิดในปี ๑๕๐๓ พระองค์เป็นลูกสาวคนโตของอิมมานูเอลที่ ๑ กษัตริย์แห่งโปรตุเกส ในยุคที่สเปนและโปรตุเกสมั่งคั่งยิ่งใหญ่ ชีวิตของอิซาเบลล่าสมบูรณ์แบบไม่มีบกพร่องและเมื่อถึงวัยที่ต้องแต่งงาน พระมารดาของพระองค์ก็ประกาศชัดว่าลูกสาวคนนี้จะต้องแต่งงานกับกษัตริย์หรือลูกชายสายตรงของกษัตริย์เท่านั้น
    ตัวเลือกอันดับ ๑ ของอิซาเบลล่าคือพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ กษัตริย์ของสเปนซึ่งมีพระเกียรติสมกันถึงขั้นที่ประกาศกล้าว่าถ้าไม่ได้สมรสกับกษัตริย์สเปนก็จะขอครองตนโสดตลอดชีพ ปรากฏว่าการจับคู่กันเพื่ออำนาจนำมาสู่ความรักดังเทพนิยาย ชาร์ลส์ตกหลุมรักอิซาเบลล่าตั้งแต่แรกเห็น ขุนนางที่มีโอกาสได้ร่วมงานสมรสสุดยิ่งใหญ่บรรยายความสัมพันธ์ของทั้งสองว่า “ราวกับว่าทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกัน ความรักของชาร์ลส์และอินซาเบลล่าสวยงามสดใสดังกุหลาบสีแดง”
    -----
    HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEAR ROYAL ATTIRE IN THAI SILK
    CARNATIONS FLOWER OF THE KINGDOM OF SPAIN
    .
    THE RED CANATION has been the national flower of Spain for hundreds of years. We are familiar with the image of flamenco dancers with red flowers in their hair. The flower has a hidden legend of the love of a king and queen. This story dates back to the 16th century when King Charles I of Spain brought red carnations to Spain to symbolize his love for Queen Isabella.
    .
    Isabella was born in 1503. She was the eldest daughter of King Immanuel I of Portugal. At a time when Spain and Portugal were very wealthy, Isabella’s life was perfect and when it came time to marry, her mother made it clear that her daughter would marry the king or the king’s direct son. Isabella’s first choice was King Charles I, King of Spain, whose dignity was so great that he boldly declared that if he did not marry the king of Spain, he would remain single for life. It turned out that their power-for-power match led to a fairytale love. Charles fell in love with Isabella at first sight. A nobleman who had the opportunity to attend the grand wedding described their relationship as “as if they were made for each other. The love of Charles and Isabella was as beautiful and radiant as a red rose.”
    ____________________________________
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์สากลผ้าไหมพื้นเรียบ ลายปักดอกคาร์เนชั่น สีและดอกไม้ประจำราชอาณาจักรสเปน ดอกคาร์เนชั่นสีแดง เป็นดอกไม้ประจำชาติที่อยู่คู่กับประเทศสเปนมาหลายร้อยปี เรามักคุ้นภาพนักเต้นระบำฟลามิงโก้ประดับดอกไม้สีแดงอยู่บนเรือนผม ดอกไม้ที่ว่ามีตำนานความรักของกษัตริย์และราชินีซ่อนอยู่ เรื่องนี้ย้อนกลับไปในศตวรรษที่๑๖ เมื่อกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ ๑ แห่งสเปนได้นำดอกคาร์เนชั่นสีแดงเข้ามาปลูกในสเปนเพื่อเป็นเครื่องหมายแทนความรักของพระองค์กับราชินีอิซาเบลล่า อิซาเบลล่าเกิดในปี ๑๕๐๓ พระองค์เป็นลูกสาวคนโตของอิมมานูเอลที่ ๑ กษัตริย์แห่งโปรตุเกส ในยุคที่สเปนและโปรตุเกสมั่งคั่งยิ่งใหญ่ ชีวิตของอิซาเบลล่าสมบูรณ์แบบไม่มีบกพร่องและเมื่อถึงวัยที่ต้องแต่งงาน พระมารดาของพระองค์ก็ประกาศชัดว่าลูกสาวคนนี้จะต้องแต่งงานกับกษัตริย์หรือลูกชายสายตรงของกษัตริย์เท่านั้น ตัวเลือกอันดับ ๑ ของอิซาเบลล่าคือพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ กษัตริย์ของสเปนซึ่งมีพระเกียรติสมกันถึงขั้นที่ประกาศกล้าว่าถ้าไม่ได้สมรสกับกษัตริย์สเปนก็จะขอครองตนโสดตลอดชีพ ปรากฏว่าการจับคู่กันเพื่ออำนาจนำมาสู่ความรักดังเทพนิยาย ชาร์ลส์ตกหลุมรักอิซาเบลล่าตั้งแต่แรกเห็น ขุนนางที่มีโอกาสได้ร่วมงานสมรสสุดยิ่งใหญ่บรรยายความสัมพันธ์ของทั้งสองว่า “ราวกับว่าทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกัน ความรักของชาร์ลส์และอินซาเบลล่าสวยงามสดใสดังกุหลาบสีแดง” ----- HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEAR ROYAL ATTIRE IN THAI SILK CARNATIONS FLOWER OF THE KINGDOM OF SPAIN . THE RED CANATION has been the national flower of Spain for hundreds of years. We are familiar with the image of flamenco dancers with red flowers in their hair. The flower has a hidden legend of the love of a king and queen. This story dates back to the 16th century when King Charles I of Spain brought red carnations to Spain to symbolize his love for Queen Isabella. . Isabella was born in 1503. She was the eldest daughter of King Immanuel I of Portugal. At a time when Spain and Portugal were very wealthy, Isabella’s life was perfect and when it came time to marry, her mother made it clear that her daughter would marry the king or the king’s direct son. Isabella’s first choice was King Charles I, King of Spain, whose dignity was so great that he boldly declared that if he did not marry the king of Spain, he would remain single for life. It turned out that their power-for-power match led to a fairytale love. Charles fell in love with Isabella at first sight. A nobleman who had the opportunity to attend the grand wedding described their relationship as “as if they were made for each other. The love of Charles and Isabella was as beautiful and radiant as a red rose.” ____________________________________ #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผอ.โรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรีที่พา สส.พรรคส้มไปล้างสมองเด็ก ไล่ลบคอมเม้นผู้ปกครองใต้โพสชี้แจง ผอ.ด้อมส้มทำถึงจริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ผอ.โรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรีที่พา สส.พรรคส้มไปล้างสมองเด็ก ไล่ลบคอมเม้นผู้ปกครองใต้โพสชี้แจง ผอ.ด้อมส้มทำถึงจริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Angry
    Haha
    Yay
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอาแล้วพรรคส้มเน่า
    เตรียมหาหยกรุ่น2
    เพาะพันธ์ุบุกสวนกุหลาบนนทบุรี
    ผปค.โวยลั่น ผอ.พาเข้ามาทำไม
    ห่วงลูกหลานจริงๆ
    โรงเรียนที่มีผอ.เป็นสามกีบ
    แย่เลย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เอาแล้วพรรคส้มเน่า เตรียมหาหยกรุ่น2 เพาะพันธ์ุบุกสวนกุหลาบนนทบุรี ผปค.โวยลั่น ผอ.พาเข้ามาทำไม ห่วงลูกหลานจริงๆ โรงเรียนที่มีผอ.เป็นสามกีบ แย่เลย #คิงส์โพธิ์แดง
    Angry
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กระจกวิเศษบอกข้าเถิด
    ผู้ใดงามเลิศในปฐพี"

    "ความสวยของพระองค์นั้นเลื่องลือ
    แต่ ช้าก่อน-!
    ข้าเห็นสาวงามนางหนึ่ง
    เศษผ้ามิอาจเร้นความงามวิเศษ
    อนิจจา นางนี้งามกว่าราชินี"

    "อนิจจานางนั้น จงเอ่ยนาม"

    "ปากแดงดุจดังกลีบกุหลาบ
    เกศาดำดั่งมะเกลือ
    ฉวีงามดังหิมะขาว..."

    ....

    ดูกันเอาละกัน...

    😂😂😂😂😂😂

    #SnowWhite #AndSevenDwarf
    #EvilQueen #GalGadot
    "กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ผู้ใดงามเลิศในปฐพี" "ความสวยของพระองค์นั้นเลื่องลือ แต่ ช้าก่อน-! ข้าเห็นสาวงามนางหนึ่ง เศษผ้ามิอาจเร้นความงามวิเศษ อนิจจา นางนี้งามกว่าราชินี" "อนิจจานางนั้น จงเอ่ยนาม" "ปากแดงดุจดังกลีบกุหลาบ เกศาดำดั่งมะเกลือ ฉวีงามดังหิมะขาว..." .... ดูกันเอาละกัน... 😂😂😂😂😂😂 #SnowWhite #AndSevenDwarf #EvilQueen #GalGadot
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันไหว้พระจันทร์ปีนี้คือ วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 ... ลองมาดูขนมไหว้พระจันทร์ร้านนี้กัน
    .
    “Bakery Hut” สืบทอดสูตรลับมายาวนานกว่า 18 ปี ถือว่าเป็นร้านขนมไหว้พระจันทร์ในรูปแบบ Hand-crafted Mooncakes หรือขนมไหว้พระจันทร์ที่ปั้นสดด้วยมือทุกลูก จุดเด่นของเบเกอรี่ ฮัทต้องบอกว่าอยู่ที่ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์ เพราะไส้ของทางร้านมีให้เลือกมากกว่า 100 รสชาติ ที่ผ่านการคิดค้นสูตรใหม่เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ (แต่ทางร้านจะผลิตขายหลักๆ อยู่ประมาณ 50 รสชาติ) เช่น
    .
    เมลอนญี่ปุ่น ราคา 175 บาท (Size L)
    ความพิเศษของไส้นี้คือ ทางร้านจะเลือกใช้เมลอนที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเพราะจะให้รสและกลิ่นที่หอมแบบชัดเจน เมนูนี้ทานแล้วจะมีความหวานและหอมของเมลอน และยังได้เคี้ยวเพลินกับเนื้อเมลอนอบแห้งอีกด้วย
    .
    ชาไทย ราคา 175 บาท (Size L)
    ต้องบอกว่าปีนี้เทรนชาไทยมาแรงมากและแน่นอนว่าเบเกอรี่ฮัทก็ไม่ตกเทรนด์ ไส้ชาไทยจะมีความหอมของชาไทยแบบเข้มข้นสุดๆ ทานแล้วจะมีความขมของชานิดๆ เรียกได้ว่าเป็นรสชาติที่ถูกใจคนรักชาไทยแน่นอน
    .
    กุหลาบ ลิ้นจี่ เบอร์รี ราคา 175 บาท (Size L)
    ไส้นี้จะเป็นการผสมผสานระหว่างรสเปรี้ยวและหวานได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับคนที่อยากทานขนมไหว้พระจันทร์ไส้ใหม่ๆ ที่เป็นผลไม้ เมื่อทานแล้วจะได้รับรสชาติของลิ้นจี่มาก่อนเลย รสเปรี้ยวอมหวานและหอมกลิ่นลิ้นจี่มาก และตามมาด้วยรสเปรี้ยวนิดๆ จากเนื้อเบอร์รีอบแห้งที่ใส่ลงไปด้วย ปิดท้ายด้วยความหอมจากกลิ่นกุหลาบอบแห้ง
    .
    มะม่วงน้ำปลาหวาน ราคา 175 บาท (Size L)
    ไส้มะม่วงน้ำปลาหวาน ไส้นี้เป็นไส้ที่ออกใหม่ในปีที่ผ่านมาแต่ด้วยรสชาติที่จัดจ้านและเข้มข้นจึงทำให้เป็นไส้ที่ยังขายดีอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้เลย โดยไส้นี้ทางร้านจะเลือกใช้มะม่วงแก้วขมิ้นจากจังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะเวลาเอามาทำไส้จะมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อทานแล้วจะมีรสเปรี้ยวอมหวานของเนื้อมะม่วงอบแห้งที่ใส่ลงไป และตามด้วยความหวานหอม เค็ม และเผ็ดนิดๆ จากน้ำปลาหวานและกุ้งแห้ง
    .
    เอสเพรสโซ่ลำไยสีทอง ราคา 175 บาท (Size L)
    ไส้เอสเพรสโซ่ลำไยสีทอง เป็นไส้ที่มีความลงตัวของรสชาติทั้ง 2 รสชาติ ทั้งความขมจากกาแฟอราบิก้า และรสชาติหอมหวานของลำไยสีทองที่ส่งตรงจากจังหวัดลำพูน ทานแล้วบอกเลยว่าเป็นรสชาติไปด้วยกันได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ทางร้านก็ยังใส่ลำไยสีทองอบแห้งมาด้วย เมื่อเคี้ยวไปโดนเนื้อลำไยก็จะได้สัมผัสกับความหอมหวานที่มากขึ้นจากเนื้อลำไยด้วย
    .
    ส้มยูซุมิยาซากิ ราคา 175 บาท (Size L)
    ไส้ผลไม้พรีเมียมอีกหนึ่งไส้อย่าง ‘ส้มยูซุมิยาซากิ’ ที่มาพร้อมรสชาติเปรี้ยวอมหวานและตามมาด้วยความหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะส้มยูซุ ความพิเศษของไส้นี้คือทางร้านจะเลือกใช้ส้มยูซุที่นำเข้าจะเมืองมิยาซากิ ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น และความพิเศษอีกหนึ่งย่างคือทางร้านจะนำเปลือกส้มยูซุมาเป็นส่วนผสมในขั้นตอนการทำไส้เพื่อให้เกิดความหอมแบบอโรม่าตอนที่ทานด้วย
    .
    สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 080-424-4868 , 080-424-6848 และ 093-653-2655 Line : @bakeryhut2007
    .
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> Bakery Hut ขนมไหว้พระจันทร์ ย่านบางรัก มาพร้อมสูตรความอร่อยที่ไม่เหมือนใครกว่า 100 ไส้ หาทานได้ที่นี่ที่เดียว
    https://mgronline.com/travel/detail/9670000060220
    วันไหว้พระจันทร์ปีนี้คือ วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 ... ลองมาดูขนมไหว้พระจันทร์ร้านนี้กัน . “Bakery Hut” สืบทอดสูตรลับมายาวนานกว่า 18 ปี ถือว่าเป็นร้านขนมไหว้พระจันทร์ในรูปแบบ Hand-crafted Mooncakes หรือขนมไหว้พระจันทร์ที่ปั้นสดด้วยมือทุกลูก จุดเด่นของเบเกอรี่ ฮัทต้องบอกว่าอยู่ที่ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์ เพราะไส้ของทางร้านมีให้เลือกมากกว่า 100 รสชาติ ที่ผ่านการคิดค้นสูตรใหม่เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ (แต่ทางร้านจะผลิตขายหลักๆ อยู่ประมาณ 50 รสชาติ) เช่น . เมลอนญี่ปุ่น ราคา 175 บาท (Size L) ความพิเศษของไส้นี้คือ ทางร้านจะเลือกใช้เมลอนที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเพราะจะให้รสและกลิ่นที่หอมแบบชัดเจน เมนูนี้ทานแล้วจะมีความหวานและหอมของเมลอน และยังได้เคี้ยวเพลินกับเนื้อเมลอนอบแห้งอีกด้วย . ชาไทย ราคา 175 บาท (Size L) ต้องบอกว่าปีนี้เทรนชาไทยมาแรงมากและแน่นอนว่าเบเกอรี่ฮัทก็ไม่ตกเทรนด์ ไส้ชาไทยจะมีความหอมของชาไทยแบบเข้มข้นสุดๆ ทานแล้วจะมีความขมของชานิดๆ เรียกได้ว่าเป็นรสชาติที่ถูกใจคนรักชาไทยแน่นอน . กุหลาบ ลิ้นจี่ เบอร์รี ราคา 175 บาท (Size L) ไส้นี้จะเป็นการผสมผสานระหว่างรสเปรี้ยวและหวานได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับคนที่อยากทานขนมไหว้พระจันทร์ไส้ใหม่ๆ ที่เป็นผลไม้ เมื่อทานแล้วจะได้รับรสชาติของลิ้นจี่มาก่อนเลย รสเปรี้ยวอมหวานและหอมกลิ่นลิ้นจี่มาก และตามมาด้วยรสเปรี้ยวนิดๆ จากเนื้อเบอร์รีอบแห้งที่ใส่ลงไปด้วย ปิดท้ายด้วยความหอมจากกลิ่นกุหลาบอบแห้ง . มะม่วงน้ำปลาหวาน ราคา 175 บาท (Size L) ไส้มะม่วงน้ำปลาหวาน ไส้นี้เป็นไส้ที่ออกใหม่ในปีที่ผ่านมาแต่ด้วยรสชาติที่จัดจ้านและเข้มข้นจึงทำให้เป็นไส้ที่ยังขายดีอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้เลย โดยไส้นี้ทางร้านจะเลือกใช้มะม่วงแก้วขมิ้นจากจังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะเวลาเอามาทำไส้จะมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อทานแล้วจะมีรสเปรี้ยวอมหวานของเนื้อมะม่วงอบแห้งที่ใส่ลงไป และตามด้วยความหวานหอม เค็ม และเผ็ดนิดๆ จากน้ำปลาหวานและกุ้งแห้ง . เอสเพรสโซ่ลำไยสีทอง ราคา 175 บาท (Size L) ไส้เอสเพรสโซ่ลำไยสีทอง เป็นไส้ที่มีความลงตัวของรสชาติทั้ง 2 รสชาติ ทั้งความขมจากกาแฟอราบิก้า และรสชาติหอมหวานของลำไยสีทองที่ส่งตรงจากจังหวัดลำพูน ทานแล้วบอกเลยว่าเป็นรสชาติไปด้วยกันได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ทางร้านก็ยังใส่ลำไยสีทองอบแห้งมาด้วย เมื่อเคี้ยวไปโดนเนื้อลำไยก็จะได้สัมผัสกับความหอมหวานที่มากขึ้นจากเนื้อลำไยด้วย . ส้มยูซุมิยาซากิ ราคา 175 บาท (Size L) ไส้ผลไม้พรีเมียมอีกหนึ่งไส้อย่าง ‘ส้มยูซุมิยาซากิ’ ที่มาพร้อมรสชาติเปรี้ยวอมหวานและตามมาด้วยความหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะส้มยูซุ ความพิเศษของไส้นี้คือทางร้านจะเลือกใช้ส้มยูซุที่นำเข้าจะเมืองมิยาซากิ ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น และความพิเศษอีกหนึ่งย่างคือทางร้านจะนำเปลือกส้มยูซุมาเป็นส่วนผสมในขั้นตอนการทำไส้เพื่อให้เกิดความหอมแบบอโรม่าตอนที่ทานด้วย . สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 080-424-4868 , 080-424-6848 และ 093-653-2655 Line : @bakeryhut2007 . อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> Bakery Hut ขนมไหว้พระจันทร์ ย่านบางรัก มาพร้อมสูตรความอร่อยที่ไม่เหมือนใครกว่า 100 ไส้ หาทานได้ที่นี่ที่เดียว https://mgronline.com/travel/detail/9670000060220
    Wow
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว