• กลไกแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสู่การพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศเศรษฐกิจผสมผสาน (Integrated Economy) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการผสานความแข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม บริการ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายด้านทรัพยากรและวัฒนธรรม สามารถใช้ประโยชน์จากกลไกแรงขับเคลื่อนเหล่านี้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนานี้ได้---1. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันการวิจัยและพัฒนา (R&D): สนับสนุนการวิจัยในสถาบันการศึกษาและเอกชนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้: ส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI), IoT และ Big Data ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการการพัฒนาสตาร์ทอัพ: ส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถสร้างแนวคิดธุรกิจที่เชื่อมโยงทรัพยากรในประเทศเข้ากับตลาดโลก---2. การสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Economy)เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่สามารถมองข้ามความสำคัญของสิ่งแวดล้อมได้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน: สนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลการจัดการขยะและทรัพยากรหมุนเวียน: ส่งเสริมการรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว: พัฒนาสินค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก---3. การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)เศรษฐกิจสร้างสรรค์ช่วยเพิ่มมูลค่าผ่านความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรมศิลปะและวัฒนธรรม: นำมรดกวัฒนธรรมไทย เช่น ผ้าไหม งานหัตถกรรม และอาหาร มาปรับใช้ในตลาดสมัยใหม่การออกแบบและสื่อดิจิทัล: ส่งเสริมการพัฒนาภาพยนตร์ ดนตรี และเกมที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: พัฒนาผลิตภัณฑ์จากชุมชนเพื่อการส่งออก---4. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจผสมผสานประสบความสำเร็จการศึกษาและการฝึกอบรม: ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21การส่งเสริมทักษะที่หลากหลาย: เช่น ทักษะด้านดิจิทัล การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์การสนับสนุนแรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม: เพิ่มโอกาสให้แรงงานได้รับความรู้ใหม่และเทคโนโลยี---5. การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนการผสานความร่วมมือระหว่างเกษตร อุตสาหกรรม และบริการช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมเกษตรกรรมอัจฉริยะ: ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเพิ่มผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป: พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่การท่องเที่ยวแบบครบวงจร: ผสมผสานวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสุขภาพในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว---6. การสนับสนุนนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานการสนับสนุนจากรัฐบาลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นการจัดทำนโยบายที่ยั่งยืน: เช่น การลดภาษีสำหรับธุรกิจสีเขียวและสร้างสรรค์การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์: สร้างเครือข่ายการขนส่งที่ช่วยลดต้นทุนและเวลาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: สนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพผ่านกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจ---สรุปการพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชน หากประเทศไทยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็จะสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งได้ในระยะยาว
    กลไกแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสู่การพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศเศรษฐกิจผสมผสาน (Integrated Economy) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการผสานความแข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม บริการ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายด้านทรัพยากรและวัฒนธรรม สามารถใช้ประโยชน์จากกลไกแรงขับเคลื่อนเหล่านี้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนานี้ได้---1. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันการวิจัยและพัฒนา (R&D): สนับสนุนการวิจัยในสถาบันการศึกษาและเอกชนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้: ส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI), IoT และ Big Data ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการการพัฒนาสตาร์ทอัพ: ส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถสร้างแนวคิดธุรกิจที่เชื่อมโยงทรัพยากรในประเทศเข้ากับตลาดโลก---2. การสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Economy)เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่สามารถมองข้ามความสำคัญของสิ่งแวดล้อมได้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน: สนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลการจัดการขยะและทรัพยากรหมุนเวียน: ส่งเสริมการรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว: พัฒนาสินค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก---3. การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)เศรษฐกิจสร้างสรรค์ช่วยเพิ่มมูลค่าผ่านความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรมศิลปะและวัฒนธรรม: นำมรดกวัฒนธรรมไทย เช่น ผ้าไหม งานหัตถกรรม และอาหาร มาปรับใช้ในตลาดสมัยใหม่การออกแบบและสื่อดิจิทัล: ส่งเสริมการพัฒนาภาพยนตร์ ดนตรี และเกมที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: พัฒนาผลิตภัณฑ์จากชุมชนเพื่อการส่งออก---4. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจผสมผสานประสบความสำเร็จการศึกษาและการฝึกอบรม: ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21การส่งเสริมทักษะที่หลากหลาย: เช่น ทักษะด้านดิจิทัล การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์การสนับสนุนแรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม: เพิ่มโอกาสให้แรงงานได้รับความรู้ใหม่และเทคโนโลยี---5. การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนการผสานความร่วมมือระหว่างเกษตร อุตสาหกรรม และบริการช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมเกษตรกรรมอัจฉริยะ: ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเพิ่มผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป: พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่การท่องเที่ยวแบบครบวงจร: ผสมผสานวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสุขภาพในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว---6. การสนับสนุนนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานการสนับสนุนจากรัฐบาลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นการจัดทำนโยบายที่ยั่งยืน: เช่น การลดภาษีสำหรับธุรกิจสีเขียวและสร้างสรรค์การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์: สร้างเครือข่ายการขนส่งที่ช่วยลดต้นทุนและเวลาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: สนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพผ่านกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจ---สรุปการพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชน หากประเทศไทยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็จะสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งได้ในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • (เกร็ดความรู้เรื่องไทยศึกษา) แหวนพิรอด แหวนพิรอด เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ทำด้วยผ้าหรือกระดาษว่าว ลงยันต์และอักขระอาคม แล้วม้วนฟั่นเป็นเส้นนำมาถักเป็นวงแหวน ลงรักปิดทอง ดูภายนอกคล้ายทำด้วยโลหะ ใช้สวมใส่นิ้ว เพื่อความคงกระพันชาตรีและเพื่อผลในทางชกด้วยหมัดมือ เพราะมีหัวใหญ่และแข็งจึงใช้เหมือนสนับมือได้ ที่ใช้กระดาษว่าวเพราะมีความเหนียวพิเศษ แหวนพิรอดนี้บางทีทำด้วยเชือกหรือด้ายถัก หัวแหวนพิรอดมีหลายแบบ บางแบบทำเป็นรูปนูนอย่างที่เรียกว่า ถันพระอุมา อาจารย์บางองค์นิยมถักแบน ๆ เรียกกันว่า ถักแบบลายจระเข้ขบฟันเป็นลายแน่นสับกันไปมา ในการทำแหวนพิรอดนั้น หัวแหวนนิยมลงยันต์รูปพระภควัม เมื่อลงยันต์เสกคาถาแล้ว หลังจากนั้นทดลองนำไปเผาไฟดู ถ้าไม่ไหม้ก็ถือว่าใช้ได้ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แหวนพิรอดที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ แหวนพิรอดของหลวงพ่อม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถักด้วยกระดาษ ลงรัก และแหวนพิรอดของเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งถักด้วยด้าย เครื่องรางของขลังชนิดนี้หากทำขนาดใหญ่ใช้สวมแขน เรียกว่า “สนับแขนพิรอด” มักนิยมทำด้วยโลหะผสม ทำหัวเหมือนหัวแหวนพิรอด (เรียบเรียงโดย ประคอง นิมมานเหมินท์ ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคกลาง เล่ม15)(ภาพจาก คมชัดลึก ออนไลน์)
    (เกร็ดความรู้เรื่องไทยศึกษา) แหวนพิรอด แหวนพิรอด เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ทำด้วยผ้าหรือกระดาษว่าว ลงยันต์และอักขระอาคม แล้วม้วนฟั่นเป็นเส้นนำมาถักเป็นวงแหวน ลงรักปิดทอง ดูภายนอกคล้ายทำด้วยโลหะ ใช้สวมใส่นิ้ว เพื่อความคงกระพันชาตรีและเพื่อผลในทางชกด้วยหมัดมือ เพราะมีหัวใหญ่และแข็งจึงใช้เหมือนสนับมือได้ ที่ใช้กระดาษว่าวเพราะมีความเหนียวพิเศษ แหวนพิรอดนี้บางทีทำด้วยเชือกหรือด้ายถัก หัวแหวนพิรอดมีหลายแบบ บางแบบทำเป็นรูปนูนอย่างที่เรียกว่า ถันพระอุมา อาจารย์บางองค์นิยมถักแบน ๆ เรียกกันว่า ถักแบบลายจระเข้ขบฟันเป็นลายแน่นสับกันไปมา ในการทำแหวนพิรอดนั้น หัวแหวนนิยมลงยันต์รูปพระภควัม เมื่อลงยันต์เสกคาถาแล้ว หลังจากนั้นทดลองนำไปเผาไฟดู ถ้าไม่ไหม้ก็ถือว่าใช้ได้ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แหวนพิรอดที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ แหวนพิรอดของหลวงพ่อม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถักด้วยกระดาษ ลงรัก และแหวนพิรอดของเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งถักด้วยด้าย เครื่องรางของขลังชนิดนี้หากทำขนาดใหญ่ใช้สวมแขน เรียกว่า “สนับแขนพิรอด” มักนิยมทำด้วยโลหะผสม ทำหัวเหมือนหัวแหวนพิรอด (เรียบเรียงโดย ประคอง นิมมานเหมินท์ ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคกลาง เล่ม15)(ภาพจาก คมชัดลึก ออนไลน์)
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเชิญร่วมงาน
    "ลอยกระทง คลองสาน สำราญใจ"
    สืบสาน ความเป็นไทย ใส่ใจ สิ่งแวดล้อม
    ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 - 20.00 น.
    ณ สวนสารพัด (สวน 15 นาที) ถนนเชียงใหม่ เขตคลองสาน

    พิกัด https://maps.app.goo.gl/H6y1zUdbUDSQF25n6

    > ร่วมชม การแสดงนาฏศิลป์ไทยและเพลงพื้นบ้าน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
    โดยนักเรียน โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม
    > ร่วมกิจกรรม กระทงประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ (มีจำนวนจำกัด)
    > ร่วมลอยกระทง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ในพื้นที่จัดเตรียม)
    > เลือกช้อป ชิม อาหาร จากร้านค้าชาวคลองสาน

    มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรม ของชาวคลองสาน ด้วยกัน
    สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 083 889 9996

    จัดโดย
    #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
    #สภาวัฒนธรรมเขตคลองสาน
    #สำนักงานเขตคลองสาน
    #โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม
    #สยามโสภา
    ขอเชิญร่วมงาน "ลอยกระทง คลองสาน สำราญใจ" สืบสาน ความเป็นไทย ใส่ใจ สิ่งแวดล้อม ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 - 20.00 น. ณ สวนสารพัด (สวน 15 นาที) ถนนเชียงใหม่ เขตคลองสาน พิกัด https://maps.app.goo.gl/H6y1zUdbUDSQF25n6 > ร่วมชม การแสดงนาฏศิลป์ไทยและเพลงพื้นบ้าน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย โดยนักเรียน โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม > ร่วมกิจกรรม กระทงประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ (มีจำนวนจำกัด) > ร่วมลอยกระทง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ในพื้นที่จัดเตรียม) > เลือกช้อป ชิม อาหาร จากร้านค้าชาวคลองสาน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรม ของชาวคลองสาน ด้วยกัน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 083 889 9996 จัดโดย #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #สภาวัฒนธรรมเขตคลองสาน #สำนักงานเขตคลองสาน #โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม #สยามโสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • จริงครับ คนไทยควรภาคภูมิใจ
    ในวัฒนธรรมไทยของเราถึงจะถูกต้อง
    จริงครับ คนไทยควรภาคภูมิใจ ในวัฒนธรรมไทยของเราถึงจะถูกต้อง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • แดงตัดทอง เทคนิคการเขียนลายบนทองคำเปลว ภูมิปัญญาโบราณของไทย ถ้าชอบคลิปดีๆงานสวยๆมีความรู้ ฝากติดตามด้วยนะคะ #จิตรกรรมไทย#งามอย่างไทย #Thaicraftstudio #ช่างหัตถศิลป์ไทย #คนไทย #ช่างปิดทอง #ช่างลายรดน้ำ #ภูมิปัญญาไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย @Thai craft studio
    แดงตัดทอง เทคนิคการเขียนลายบนทองคำเปลว ภูมิปัญญาโบราณของไทย ถ้าชอบคลิปดีๆงานสวยๆมีความรู้ ฝากติดตามด้วยนะคะ #จิตรกรรมไทย#งามอย่างไทย #Thaicraftstudio #ช่างหัตถศิลป์ไทย #คนไทย #ช่างปิดทอง #ช่างลายรดน้ำ #ภูมิปัญญาไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย @Thai craft studio
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม

    วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 07.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงร่วมพิธีบวงสรวงในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา มีการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของบวงสรวงอย่างเป็นระเบียบ

    ในการเริ่มต้นพิธีในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขอพรให้กระทรวงและบุคลากรมีความเจริญก้าวหน้า ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การบวงสรวงยังได้รับการประกอบพิธีโดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อระลึกถึงบทบาทที่สำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามให้คงอยู่สืบไป

    ต่อมาในเวลา 09.20 น. ได้มีพิธีสวดพุทธชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงวัฒนธรรม การสวดพุทธชัยมงคลคาถาเป็นพิธีที่สำคัญและเป็นมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในวาระพิเศษเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสบายใจและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรที่ร่วมกันสร้างสรรค์และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในพิธีทางศาสนายังได้มีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับอีกด้วย

    นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันทอดผ้าบังสกุล จำนวน 10 ผืน และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดอุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและความเอื้อเฟื้อของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่กระทรวงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำบุญให้กับเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาแล้ว นางสาวสุดาวรรณ และคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางมาแสดงความยินดีและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งกระทรวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการร่วมมือกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การถ่ายรูปร่วมกันและการมอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน สื่อถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแสดงความยินดีต่อการครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของงานที่กระทรวงวัฒนธรรมทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง

    กระทรวงวัฒนธรรมก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและโลก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมงานศิลปะและการแสดงต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ กระทรวงยังทำหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวด การอบรม และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม

    ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้สร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้ กระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมที่ดีในสังคมไทย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

    ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีบทบาทในการนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโลกยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ กระทรวงได้มีการจัดทำเนื้อหาด้านวัฒนธรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ การจัดทำฐานข้อมูลวัฒนธรรม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมด้านวัฒนธรรม

    กระทรวงวัฒนธรรมมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย กิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์โบราณสถานทั่วประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านและศิลปินแห่งชาติ รวมถึงการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย

    อีกทั้งกระทรวงยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมในกลุ่มเยาวชน โดยการนำวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรากฐาน

    ภาพ/ข่าว​ โย​ ประเด็นรัฐ
    รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 07.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงร่วมพิธีบวงสรวงในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา มีการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของบวงสรวงอย่างเป็นระเบียบ ในการเริ่มต้นพิธีในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขอพรให้กระทรวงและบุคลากรมีความเจริญก้าวหน้า ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การบวงสรวงยังได้รับการประกอบพิธีโดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อระลึกถึงบทบาทที่สำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามให้คงอยู่สืบไป ต่อมาในเวลา 09.20 น. ได้มีพิธีสวดพุทธชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงวัฒนธรรม การสวดพุทธชัยมงคลคาถาเป็นพิธีที่สำคัญและเป็นมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในวาระพิเศษเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสบายใจและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรที่ร่วมกันสร้างสรรค์และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในพิธีทางศาสนายังได้มีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับอีกด้วย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันทอดผ้าบังสกุล จำนวน 10 ผืน และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดอุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและความเอื้อเฟื้อของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่กระทรวงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำบุญให้กับเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาแล้ว นางสาวสุดาวรรณ และคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางมาแสดงความยินดีและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งกระทรวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการร่วมมือกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การถ่ายรูปร่วมกันและการมอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน สื่อถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแสดงความยินดีต่อการครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของงานที่กระทรวงวัฒนธรรมทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง กระทรวงวัฒนธรรมก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและโลก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมงานศิลปะและการแสดงต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ กระทรวงยังทำหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวด การอบรม และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้สร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้ กระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมที่ดีในสังคมไทย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีบทบาทในการนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโลกยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ กระทรวงได้มีการจัดทำเนื้อหาด้านวัฒนธรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ การจัดทำฐานข้อมูลวัฒนธรรม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมด้านวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย กิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์โบราณสถานทั่วประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านและศิลปินแห่งชาติ รวมถึงการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย อีกทั้งกระทรวงยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมในกลุ่มเยาวชน โดยการนำวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรากฐาน ภาพ/ข่าว​ โย​ ประเด็นรัฐ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 564 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


    อาณาจักรสุโขทัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์โดยมีหลักฐานชัดเจนในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์(พ่อขุนบางกลางหาว พ.ศ.1781 - 1822) ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อำนาจของอาณาจักรสุโขทัยในช่วงรัชสมัยของพระองค์มีความมั่นคงจาก ทรงแผ่อาณาเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยได้เจริญขึ้นทุกสาขา ดังปรากฎในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งเจริญ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การสงคราม ภูมิศาสตร์ กฎหมาย ประเพณี การปกครอง การเศรษฐกิจ การสังคม ปรัชญา พระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย ราชวงศ์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พระร่วง หรือ สุโขทัย) ได้ปกครองอาณาจักรสุโขทัยสืบต่อมาเป็นเวลา 200 ปี ก็ถูกรวมเข้ากับ อาณาจักรอยุธยา

    ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวัง และวัดมากถึง 26 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ ได้รับการบูรรปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากร ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้า นั่งรถราง หรือ ขี่จักรยาน เที่ยวชมได้อย่างสะดวกปลอดภัย

    ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลก ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร และ อุทยานประวัติศาตร์ศรีสัชนาลัย ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร” (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฎแสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นนับเป็น ตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศไทย


    นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ ๓ วิธี คือ เดินเท้า ปั่นจักรยาน และ การนั่งรถรางไฟฟ้า โดยทางอุทยานฯ มีรถจักรยานให้เช่าด้วย นอกจากนี้ หน้าโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแต่ละแห่งยังมีป้าย OR Code สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถสแกนเข้าไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ มีให้เลือก ๔ ภาษา ได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส

    เมืองสุโขทัย ก่อตั้งขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สันนิษฐานว่าสุโขทัยในยุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบขอมจากละโว้หรือลพบุรี ต่อมายกฐานะเป็นราชธานี โดยมีพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์ เป็นจุดเริ่มต้นอาณาจักรแห่งแรกของไทย ราวปี ๑๗๙๒ อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์ที่ ๓ บันทึกในศิลาจารึกบอกถึงเขตอาณาจักรอันกว้างขวาง ทิศเหนือจดเมืองแพร่ น่าน หลวงพระบาง ทิศใต้จดเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออกจดเมืองเวียงจันทน์ และทิศตะวันตกจดเมืองหงสาวดี การปกครองเป็นระบบ พ่อปกครองลูก เอื้อสิทธิเสรีภาพให้ประชาชน

    จุดเด่นของผังเมืองสุโขทัยคือระบบชลประทาน เป็นระบบที่กระจายน้ำเพื่อการทำเกษตรกรรม อุปโภค บริโภคให้ชาวเมืองได้อย่างทั่วถึง และยังสามารถช่วยระบายน้ำเอ่อล้นช่วงหน้าน้ำหลากได้ดีเช่นกัน ในช่วงการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงชาวเมืองสุโขทัยมีความเป็นอยู่อย่างสงบร่มเย็น ด้วยพระองค์ทรงมีความเอาใจใส่ทำนุบำรุงศาสนาอย่างเต็มที่ สังเกตจากลักษณะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น ส่วนใหญ่จะมีพระโอษฐ์ยิ้ม สะท้อนเอกลักษณ์ของยุคสมัย และจำนวนวัดวาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมาย เมื่อปี ๒๕๓๔ องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอีก ๒ แห่ง ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร”
    อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์โดยมีหลักฐานชัดเจนในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์(พ่อขุนบางกลางหาว พ.ศ.1781 - 1822) ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อำนาจของอาณาจักรสุโขทัยในช่วงรัชสมัยของพระองค์มีความมั่นคงจาก ทรงแผ่อาณาเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยได้เจริญขึ้นทุกสาขา ดังปรากฎในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งเจริญ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การสงคราม ภูมิศาสตร์ กฎหมาย ประเพณี การปกครอง การเศรษฐกิจ การสังคม ปรัชญา พระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย ราชวงศ์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พระร่วง หรือ สุโขทัย) ได้ปกครองอาณาจักรสุโขทัยสืบต่อมาเป็นเวลา 200 ปี ก็ถูกรวมเข้ากับ อาณาจักรอยุธยา ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวัง และวัดมากถึง 26 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ ได้รับการบูรรปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากร ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้า นั่งรถราง หรือ ขี่จักรยาน เที่ยวชมได้อย่างสะดวกปลอดภัย ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลก ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร และ อุทยานประวัติศาตร์ศรีสัชนาลัย ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร” (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฎแสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นนับเป็น ตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ ๓ วิธี คือ เดินเท้า ปั่นจักรยาน และ การนั่งรถรางไฟฟ้า โดยทางอุทยานฯ มีรถจักรยานให้เช่าด้วย นอกจากนี้ หน้าโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแต่ละแห่งยังมีป้าย OR Code สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถสแกนเข้าไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ มีให้เลือก ๔ ภาษา ได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส เมืองสุโขทัย ก่อตั้งขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สันนิษฐานว่าสุโขทัยในยุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบขอมจากละโว้หรือลพบุรี ต่อมายกฐานะเป็นราชธานี โดยมีพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์ เป็นจุดเริ่มต้นอาณาจักรแห่งแรกของไทย ราวปี ๑๗๙๒ อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์ที่ ๓ บันทึกในศิลาจารึกบอกถึงเขตอาณาจักรอันกว้างขวาง ทิศเหนือจดเมืองแพร่ น่าน หลวงพระบาง ทิศใต้จดเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออกจดเมืองเวียงจันทน์ และทิศตะวันตกจดเมืองหงสาวดี การปกครองเป็นระบบ พ่อปกครองลูก เอื้อสิทธิเสรีภาพให้ประชาชน จุดเด่นของผังเมืองสุโขทัยคือระบบชลประทาน เป็นระบบที่กระจายน้ำเพื่อการทำเกษตรกรรม อุปโภค บริโภคให้ชาวเมืองได้อย่างทั่วถึง และยังสามารถช่วยระบายน้ำเอ่อล้นช่วงหน้าน้ำหลากได้ดีเช่นกัน ในช่วงการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงชาวเมืองสุโขทัยมีความเป็นอยู่อย่างสงบร่มเย็น ด้วยพระองค์ทรงมีความเอาใจใส่ทำนุบำรุงศาสนาอย่างเต็มที่ สังเกตจากลักษณะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น ส่วนใหญ่จะมีพระโอษฐ์ยิ้ม สะท้อนเอกลักษณ์ของยุคสมัย และจำนวนวัดวาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมาย เมื่อปี ๒๕๓๔ องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอีก ๒ แห่ง ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร”
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวันคล้ายวันสถาปนา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔

    กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นองค์กรส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนมีค่านิยมและพฤติกรรมที่เหมาะสม มีความภาคภูมิใจ และสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของตนเองและชุมชน สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการพัฒนาที่ยั่งยืน

    วิสัยทัศน์
    "เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

    พันธกิจ
    - เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    - ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในค่านิยมและวัฒนธรรมความเป็นไทย
    - ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทุนทางวัฒนธรรม
    - ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมทุกภาคส่วนให้มีความเข้มแข็ง
    - ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์เพื่อการให้บริการประชาชน
    - ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้มีศักยภาพ
    - สงวนรักษา พัฒนาต่อยอด และเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ
    - ยกย่องเชิดชูเกียรติ และสนับสนุนการดำเนินงานของศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม และศิลปินพื้นบ้าน
    - ส่งเสริมและพัฒนางานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย

    #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร #วัฒนธรรม #thaitimes #thaitimesวัฒนธรรม
    งานวันคล้ายวันสถาปนา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นองค์กรส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนมีค่านิยมและพฤติกรรมที่เหมาะสม มีความภาคภูมิใจ และสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของตนเองและชุมชน สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการพัฒนาที่ยั่งยืน วิสัยทัศน์ "เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” พันธกิจ - เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ - ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในค่านิยมและวัฒนธรรมความเป็นไทย - ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทุนทางวัฒนธรรม - ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมทุกภาคส่วนให้มีความเข้มแข็ง - ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์เพื่อการให้บริการประชาชน - ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้มีศักยภาพ - สงวนรักษา พัฒนาต่อยอด และเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ - ยกย่องเชิดชูเกียรติ และสนับสนุนการดำเนินงานของศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม และศิลปินพื้นบ้าน - ส่งเสริมและพัฒนางานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร #วัฒนธรรม #thaitimes #thaitimesวัฒนธรรม
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 790 มุมมอง 159 0 รีวิว
  • ขอแสดงความยินดีกับน้อง ธนกฤต จุฑาสมควร จาก โรงเรียนวัดแสมดำ เขตบางขุนเทียน ที่ได้เป็นตัวแทนระดับภูมิภาค "ภาคกลางและภาคตะวันออก" เข้าไปแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ ต่อไป

    #ดนตรีไทยสร้างสรรค์ #วัดแสมดำ #สยามเด็กเล่น #ครอบครัว #บิ๊กซีดนตรีไทย #บิ๊กซีพระนครศรีอยุธยา #BigC
    #thaitimes #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    ขอแสดงความยินดีกับน้อง ธนกฤต จุฑาสมควร จาก โรงเรียนวัดแสมดำ เขตบางขุนเทียน ที่ได้เป็นตัวแทนระดับภูมิภาค "ภาคกลางและภาคตะวันออก" เข้าไปแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ ต่อไป #ดนตรีไทยสร้างสรรค์ #วัดแสมดำ #สยามเด็กเล่น #ครอบครัว #บิ๊กซีดนตรีไทย #บิ๊กซีพระนครศรีอยุธยา #BigC #thaitimes #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2084 มุมมอง 780 0 รีวิว
  • สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประธานทุนจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์
    ซึ่งประกอบด้วย 16 ราชสกุล และสมาชิกสายสัมพันธ์กับมเหสีและเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    จัดงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
    ในวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์
    และพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส

    #thaitimes #สมเด็จพระสังฆราช #วัดราชบพิธ #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประธานทุนจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ ซึ่งประกอบด้วย 16 ราชสกุล และสมาชิกสายสัมพันธ์กับมเหสีและเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส #thaitimes #สมเด็จพระสังฆราช #วัดราชบพิธ #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1933 มุมมอง 633 0 รีวิว
  • สิ้นแล้ว “อาจารย์ทองแถม นาถจำนง” เจ้าของนามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก นักแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ “สามก๊ก” สิริอายุ 69 ปี

    2 สิงหาคม 2567 - เพจเฟซบุ๊ก “สามก๊ก 1994 三国演义” โพสต์อาลัย “อาจารย์ทองแถม” นักแปลชื่อดัง อดีตบรรณาธิการสยามรัฐ เสียชีวิตแล้ว สิริอายุ 69 ปี โดยระบุข้อความว่า

    “อำลาอาลัย อาจารย์ทองแถม นาถจำนง

    ทองแถม นาถจำนง (๒๔๙๘-๒๕๖๗)

    滚滚长江东逝水,
    น้ำแยงซี รี่ไหล ไปบูรพา

    浪花淘尽英雄。
    คลื่นซัดกวาดพา วีรชน หล่นลับหาย

    是非成败转头空。
    ถูกผิดแพ้ชนะ วัฏจักร เวียนว่างดาย

    青山依旧在,几度夕阳红。
    สิงขรยังคง ตาวันยังฉาย นานเท่านาน

    บทกวีนำวรรณกรรมสามก๊กและบทเพลงเปิดภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 แปลโดย อ.ทองเเถม นาถจำนง

    อาจารย์ทองแถม นาถจำนง นามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก ผลงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งสำหรับวงการสามก๊กในประเทศไทย คือการแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 三国演义 เป็นภาษาไทย ซึ่งนับเป็นงานใหญ่และยากยิ่ง แต่ท่านสามารถแปลและใช้คำได้อย่างไพเราะสละสลวยอย่างที่สุด ไม่สามารถพบได้ในสื่อหรือบทแปลภาพยนตร์และภาพยนตร์โทรทัศน์ใดในสมัยนี้ ทางผมเองได้เคยพูดคุยกับอาจารย์ทาง Messenger หลายครั้ง และเคยร่วมงานพิธีลงนามและแถลงข่าวการลงนามความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทย-จีน

    ในการเผยแพร่ภาพยนตร์โทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์จีนชุด “สามก๊ก” 《三国演义》1994 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ วันนั้นได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับอาจารย์ทองแถมอย่างใกล้ชิด ได้สนทนาพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานแปลสามก๊ก 1994 ได้รับความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ จากท่าน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีการจดบันทึก เป็นข้อมูลที่เกิดจากประสบการณ์และได้รับการถ่ายทอดด้วยการพูดคุยกับท่านโดยตรง นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และประทับใจจนทุกวันนี้“

    กราบคารวะอาจารย์ทองแถมสู่สุคติในสัมปรายภพ

    บทสัมภาษณ์พิเศษ อ.ทองแถมที่ผู้จัดการออนไลน์บันทึกไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว 10 ก.ค.2558 https://mgronline.com/china/detail/9580000078184#lzcmbn1540ec6hyp8mj บ่งบอกความลึกซึ้งในวิถีศรัทธาของอาจารย์ทองแถมในปรัชญาเต๋า เถายวนหมิง และแปลปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อ ที่ถือเป็นสุดยอดมรดกทางปัญญาของจีน

    หลักคิดของอาจารย์บนเส้นทางที่ยากลำบากของนักแปลปรัชญาวรรณกรรมจีนที่ให้ไว้กับคนรุ่นหลัง

    หนึ่ง-การเป็นนักเขียนอาชีพที่จะพึ่งรายได้ จากการแปลภาษาจีน มันยากมาก เราต้องมีความสามารถในเชิงวรรณศิลป์มาก ๆ สำนักพิมพ์จึงจะกล้าพิมพ์หนังสือให้เรา

    สอง-ต้องเข้าใจตลาดด้วย ต้องวิเคราะห์ให้เป็นว่า แนวเรื่องแบบใดจะขายได้ในตลาด เพื่อให้มีรายได้พอเลี้ยงชีพ

    สาม-เราควรมี “กล่อง” ไว้บ้าง คือมีงานมาสเตอร์พีซที่จะทำให้เราได้รับการยอมรับ แล้วสร้างแนวเรื่องของตนเองได้สำเร็จ เช่นว่าถ้าเรื่องกลยุทธ์บริหารโดยพิชัยสงครามจีนแล้ว อ่านงานของเราแล้วไม่ผิดหวัง

    สี่-ควรมีทั้งงานแปลและงานค้นคว้าเขียนเอง

    “ “ผมปรารถนาชีวิตสมถะ สงบสุข แบบเถายวนหมิง แม้จะรู้ว่าบางช่วงก็ต้องมีปัญหาด้านเศรษฐกิจบ้าง”อาจารยทองแถมกล่าว

    พิธีศพจัดที่ ศาลา 4 วัดภคินีนาถวรวิหาร ซอยราชวิถี 21 พิธีสวดอภิธรรมบำเพ็ญกุศล2-6 ส.ค.และพิธีฌาปนกิจในวันที่ 7 ส.ค.2567

    #Thaitimes
    สิ้นแล้ว “อาจารย์ทองแถม นาถจำนง” เจ้าของนามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก นักแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ “สามก๊ก” สิริอายุ 69 ปี 2 สิงหาคม 2567 - เพจเฟซบุ๊ก “สามก๊ก 1994 三国演义” โพสต์อาลัย “อาจารย์ทองแถม” นักแปลชื่อดัง อดีตบรรณาธิการสยามรัฐ เสียชีวิตแล้ว สิริอายุ 69 ปี โดยระบุข้อความว่า “อำลาอาลัย อาจารย์ทองแถม นาถจำนง ทองแถม นาถจำนง (๒๔๙๘-๒๕๖๗) 滚滚长江东逝水, น้ำแยงซี รี่ไหล ไปบูรพา 浪花淘尽英雄。 คลื่นซัดกวาดพา วีรชน หล่นลับหาย 是非成败转头空。 ถูกผิดแพ้ชนะ วัฏจักร เวียนว่างดาย 青山依旧在,几度夕阳红。 สิงขรยังคง ตาวันยังฉาย นานเท่านาน บทกวีนำวรรณกรรมสามก๊กและบทเพลงเปิดภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 แปลโดย อ.ทองเเถม นาถจำนง อาจารย์ทองแถม นาถจำนง นามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก ผลงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งสำหรับวงการสามก๊กในประเทศไทย คือการแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 三国演义 เป็นภาษาไทย ซึ่งนับเป็นงานใหญ่และยากยิ่ง แต่ท่านสามารถแปลและใช้คำได้อย่างไพเราะสละสลวยอย่างที่สุด ไม่สามารถพบได้ในสื่อหรือบทแปลภาพยนตร์และภาพยนตร์โทรทัศน์ใดในสมัยนี้ ทางผมเองได้เคยพูดคุยกับอาจารย์ทาง Messenger หลายครั้ง และเคยร่วมงานพิธีลงนามและแถลงข่าวการลงนามความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทย-จีน ในการเผยแพร่ภาพยนตร์โทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์จีนชุด “สามก๊ก” 《三国演义》1994 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ วันนั้นได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับอาจารย์ทองแถมอย่างใกล้ชิด ได้สนทนาพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานแปลสามก๊ก 1994 ได้รับความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ จากท่าน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีการจดบันทึก เป็นข้อมูลที่เกิดจากประสบการณ์และได้รับการถ่ายทอดด้วยการพูดคุยกับท่านโดยตรง นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และประทับใจจนทุกวันนี้“ กราบคารวะอาจารย์ทองแถมสู่สุคติในสัมปรายภพ บทสัมภาษณ์พิเศษ อ.ทองแถมที่ผู้จัดการออนไลน์บันทึกไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว 10 ก.ค.2558 https://mgronline.com/china/detail/9580000078184#lzcmbn1540ec6hyp8mj บ่งบอกความลึกซึ้งในวิถีศรัทธาของอาจารย์ทองแถมในปรัชญาเต๋า เถายวนหมิง และแปลปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อ ที่ถือเป็นสุดยอดมรดกทางปัญญาของจีน หลักคิดของอาจารย์บนเส้นทางที่ยากลำบากของนักแปลปรัชญาวรรณกรรมจีนที่ให้ไว้กับคนรุ่นหลัง หนึ่ง-การเป็นนักเขียนอาชีพที่จะพึ่งรายได้ จากการแปลภาษาจีน มันยากมาก เราต้องมีความสามารถในเชิงวรรณศิลป์มาก ๆ สำนักพิมพ์จึงจะกล้าพิมพ์หนังสือให้เรา สอง-ต้องเข้าใจตลาดด้วย ต้องวิเคราะห์ให้เป็นว่า แนวเรื่องแบบใดจะขายได้ในตลาด เพื่อให้มีรายได้พอเลี้ยงชีพ สาม-เราควรมี “กล่อง” ไว้บ้าง คือมีงานมาสเตอร์พีซที่จะทำให้เราได้รับการยอมรับ แล้วสร้างแนวเรื่องของตนเองได้สำเร็จ เช่นว่าถ้าเรื่องกลยุทธ์บริหารโดยพิชัยสงครามจีนแล้ว อ่านงานของเราแล้วไม่ผิดหวัง สี่-ควรมีทั้งงานแปลและงานค้นคว้าเขียนเอง “ “ผมปรารถนาชีวิตสมถะ สงบสุข แบบเถายวนหมิง แม้จะรู้ว่าบางช่วงก็ต้องมีปัญหาด้านเศรษฐกิจบ้าง”อาจารยทองแถมกล่าว พิธีศพจัดที่ ศาลา 4 วัดภคินีนาถวรวิหาร ซอยราชวิถี 21 พิธีสวดอภิธรรมบำเพ็ญกุศล2-6 ส.ค.และพิธีฌาปนกิจในวันที่ 7 ส.ค.2567 #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 791 มุมมอง 0 รีวิว