• แรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย เจอจับอ้างถูกรัฐบาลหลอกให้กลับบ้าน
    https://www.thai-tai.tv/news/20215/
    .
    #แรงงานต่างด้าว #ลักลอบเข้าเมือง #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #ปอยเปต #ปัญหาเศรษฐกิจ #รัฐบาลกัมพูชา #ค้ามนุษย์ #เว็บพนัน #เตือนภัยออนไลน์
    แรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย เจอจับอ้างถูกรัฐบาลหลอกให้กลับบ้าน https://www.thai-tai.tv/news/20215/ . #แรงงานต่างด้าว #ลักลอบเข้าเมือง #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #ปอยเปต #ปัญหาเศรษฐกิจ #รัฐบาลกัมพูชา #ค้ามนุษย์ #เว็บพนัน #เตือนภัยออนไลน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • TOR46 หรือ TOR 2003 ฉบับเต็มมีทั้งหมด 31 แผ่น แต่เนื้อหาในหน้าแรกก็ระบุจัดเจนในการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 เป็นกรอบการจัดทำเขตแดน

    TOR 2003 หรือชื่อเต็มว่า

    > “Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia”
    คือ ข้อตกลงกรอบความร่วมมือ ที่ลงนามระหว่าง รัฐบาลไทย กับ รัฐบาลกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ร่วมกัน




    ---

    สาระสำคัญของ TOR 2003

    1. เป้าหมายหลัก

    กำหนดกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ

    ให้คณะทำงานย่อย (เช่น JWG, JTSC) สำรวจ ตรวจสอบ และจัดทำแผนที่เพื่อการปักปันแนวเขตแดน

    สนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น LIDAR, GPS, Orthophoto ในการสำรวจ



    ---

    2. ข้อ 1.1.3 (ข้อที่เป็นประเด็นสำคัญ)

    > ระบุว่า การสำรวจและจัดทำแผนที่เพื่อปักปันแนวเขตแดน จะต้องใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เป็นฐานข้อมูลประกอบ



    ความหมายโดยตรง:
    ให้ยึดแผนที่ขนาด 1:200,000 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับ แผนที่แนบท้ายคำพิพากษาศาลโลกปี 1962 (Annex I Map)

    ความเสี่ยง:
    การอ้างแผนที่นี้ อาจถูกตีความว่า “ยอมรับแนวเขตที่ฝั่งกัมพูชาอ้าง” ซึ่งอาจครอบคลุมพื้นที่ที่ไทยยังคัดค้าน หรือยังไม่ยอมรับ เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร


    ---

    3. ลำดับกระบวนการ

    1. สำรวจพื้นที่ (โดย JWG / เจ้าหน้าที่เทคนิค)


    2. จัดทำแผนที่ใหม่โดยอ้างอิงแผนที่ 1:200,000


    3. เสนอเข้าสู่ JBC เพื่อรับรองแนวเขต


    4. หากตกลงกันได้ จะเสนอให้รัฐบาลอนุมัติ (อาจถึงขั้นต้องผ่านรัฐสภา)




    ---

    TOR 2003 เชื่อมโยงกับเอกสารอื่นอย่างไร

    เอกสาร ความสัมพันธ์กับ TOR 2003

    MOU 2000 TOR 2003 อ้างอิง MOU 2000 เป็นรากฐานในการดำเนินงาน
    JBC ใช้ TOR 2003 เป็นกรอบในการดำเนินนโยบาย
    JWG / JTSC ทำงานภายใต้ TOR 2003 ในระดับเทคนิคและปฏิบัติ
    แผนที่ Annex I Map แม้ไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง แต่การใช้แผนที่ 1:200,000 เปิดช่องให้อ้างแผนที่ฉบับนี้



    ---

    สรุปประเด็นที่ควรจับตาใน TOR 2003

    ประเด็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

    แผนที่ 1:200,000 อาจเป็นการยอมรับแผนที่ที่ฝั่งกัมพูชาจัดทำฝ่ายเดียว
    ขาดกลไกคัดค้านใน TOR หากไม่มีการแสดงข้อสงวน อาจถือว่ายอมรับโดยปริยาย
    การรับรองของ JBC หาก JBC รับรองโดยไม่ระวัง อาจมีผลผูกพันระดับระหว่างประเทศ


    TOR46 หรือ TOR 2003 ฉบับเต็มมีทั้งหมด 31 แผ่น แต่เนื้อหาในหน้าแรกก็ระบุจัดเจนในการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 เป็นกรอบการจัดทำเขตแดน TOR 2003 หรือชื่อเต็มว่า > “Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia” คือ ข้อตกลงกรอบความร่วมมือ ที่ลงนามระหว่าง รัฐบาลไทย กับ รัฐบาลกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ร่วมกัน --- 🔍 สาระสำคัญของ TOR 2003 1. เป้าหมายหลัก กำหนดกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ ให้คณะทำงานย่อย (เช่น JWG, JTSC) สำรวจ ตรวจสอบ และจัดทำแผนที่เพื่อการปักปันแนวเขตแดน สนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น LIDAR, GPS, Orthophoto ในการสำรวจ --- 2. ข้อ 1.1.3 (ข้อที่เป็นประเด็นสำคัญ) > ระบุว่า การสำรวจและจัดทำแผนที่เพื่อปักปันแนวเขตแดน จะต้องใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เป็นฐานข้อมูลประกอบ ✅ ความหมายโดยตรง: ให้ยึดแผนที่ขนาด 1:200,000 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับ แผนที่แนบท้ายคำพิพากษาศาลโลกปี 1962 (Annex I Map) ⚠️ ความเสี่ยง: การอ้างแผนที่นี้ อาจถูกตีความว่า “ยอมรับแนวเขตที่ฝั่งกัมพูชาอ้าง” ซึ่งอาจครอบคลุมพื้นที่ที่ไทยยังคัดค้าน หรือยังไม่ยอมรับ เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร --- 3. ลำดับกระบวนการ 1. สำรวจพื้นที่ (โดย JWG / เจ้าหน้าที่เทคนิค) 2. จัดทำแผนที่ใหม่โดยอ้างอิงแผนที่ 1:200,000 3. เสนอเข้าสู่ JBC เพื่อรับรองแนวเขต 4. หากตกลงกันได้ จะเสนอให้รัฐบาลอนุมัติ (อาจถึงขั้นต้องผ่านรัฐสภา) --- 📌 TOR 2003 เชื่อมโยงกับเอกสารอื่นอย่างไร เอกสาร ความสัมพันธ์กับ TOR 2003 MOU 2000 TOR 2003 อ้างอิง MOU 2000 เป็นรากฐานในการดำเนินงาน JBC ใช้ TOR 2003 เป็นกรอบในการดำเนินนโยบาย JWG / JTSC ทำงานภายใต้ TOR 2003 ในระดับเทคนิคและปฏิบัติ แผนที่ Annex I Map แม้ไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง แต่การใช้แผนที่ 1:200,000 เปิดช่องให้อ้างแผนที่ฉบับนี้ --- 📍 สรุปประเด็นที่ควรจับตาใน TOR 2003 ประเด็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น แผนที่ 1:200,000 อาจเป็นการยอมรับแผนที่ที่ฝั่งกัมพูชาจัดทำฝ่ายเดียว ขาดกลไกคัดค้านใน TOR หากไม่มีการแสดงข้อสงวน อาจถือว่ายอมรับโดยปริยาย การรับรองของ JBC หาก JBC รับรองโดยไม่ระวัง อาจมีผลผูกพันระดับระหว่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮุน เซน สั่งรัฐบาลกัมพูชา หยุดนำเข้าไฟฟ้า-เน็ต-น้ำมัน-ละครไทย จากไทย แก้อายหลังโดนแฉ ยังลอบนำเข้าน้ำมันจากไทยทางทะเล
    https://www.thai-tai.tv/news/19985/
    .
    #ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #คว่ำบาตร #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ละครไทย #พลังงาน #ชายแดน #เศรษฐกิจ #ภูมิรัฐศาสตร์
    ฮุน เซน สั่งรัฐบาลกัมพูชา หยุดนำเข้าไฟฟ้า-เน็ต-น้ำมัน-ละครไทย จากไทย แก้อายหลังโดนแฉ ยังลอบนำเข้าน้ำมันจากไทยทางทะเล https://www.thai-tai.tv/news/19985/ . #ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #คว่ำบาตร #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ละครไทย #พลังงาน #ชายแดน #เศรษฐกิจ #ภูมิรัฐศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาหลายครั้ง ทรงพบว่าประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลมีความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากขาดโอกาสทางการศึกษาและความยากลำบากในการเข้ารับการศึกษาของเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับปัญหาในประเทศไทย จึงมีพระราชดำริพระราชทานความช่วยเหลือแก่กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมราชองครักษ์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนองพระราชดำริ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งคณะกรรมการโครงการโรงเรียนพระราชทานในราชอาณาจักรกัมพูชา และทรงรับเป็นประธานโครงการ

    รัฐบาลกัมพูชาโดยฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณ และยินดีรับสนองพระราชดำริอย่างเต็มที่ และน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 45 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลซ็อมโบร์ จังหวัดกำปงธม สำหรับเป็นพื้นที่ก่อสร้างวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล

    วันที่ 17 พ.ค. 2544 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2544 ต่อมามีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกจำนวนมากและขยายพื้นที่ออกไปอีก 72 ไร่ รวมเป็น 117 ไร่ การก่อสร้างทั้งหมดเสร็จสิ้นในเดือน เม.ย. 2548

    วิทยาลัยกำปงเฌอเตียล เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เปิดสอนทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนรวมประมาณ 1,200 คน โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนกัมพูชามีโอกาสได้รับการศึกษามากขึ้น ดังพระราชดำรัสในพิธีเปิดวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ณ จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2548 ความตอนหนึ่งว่า

    “... ข้าพเจ้ามาศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศกัมพูชาหลายครั้งทุกครั้งที่มารัฐบาลแห่งประเทศกัมพูชา อีกทั้งประชาชนชาวกัมพูชาต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดียิ่ง สะท้อนให้เห็นความเป็นมิตรที่ดีต่อกันมานาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา และมีใจปรารถนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการสนองตอบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดดีไปกว่าการส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และมีอนาคต จึงได้คิดโครงการสร้างสถานศึกษาขึ้น ณที่นี้ เมื่อเริ่มต้นโครงการก็ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ ฝ่าย จากทั้งสองประเทศ และผู้มีจิตศรัทธาร่วมช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก... วิทยาลัยกำปงเฌอเตียลนี้ จะเป็นเสมือนอนุสรณ์แห่งสายสัมพันธ์อันมั่นคงและยั่งยืนระหว่างเราสองประเทศสืบไปตราบนานเท่านาน ...”

    นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาของวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนแก่นักเรียนเพื่อให้มาศึกษาต่อในประเทศไทยในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรอาชีวศึกษาเพื่อนำความรู้กลับไปสอนและพัฒนาการจัดการศึกษาของวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานเครื่องดนตรีปี่พาทย์ครบชุด และพระราชทานทรัพย์สำหรับจ้างครูท้องถิ่นผู้ชำนาญการสอนนาฏศิลป์และดนตรี

    ต่อมาในปี 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในพระราชฐานะทูตสันถวไมตรีขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ร่วมมือกับราชอาณาจักรกัมพูชา ทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนใน 3 จังหวัด คือโรงเรียนประถมศึกษาดอมเบย (Domber Primary School) ในจังหวัดกำปงจาม (Kampong Cham Province) โรงเรียนประถมศึกษาทมปุง (Tompung Primary School) ในจังหวัดกำปงสะปือ (Kampong Speu Province) และโรงเรียนประถมศึกษาปุนเลย (Ponlei Primary School) ในจังหวัดเปรแวง (Prey Veng Province) ที่มีกิจกรรมการเกษตรแบบผสมผสานขนาดเล็ก พัฒนาแหล่งน้ำประจำโรงเรียน การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งการพัฒนาอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาล การดำเนินงานโครงการครอบคลุมเด็กนักเรียน 2,348 คน ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนและชุมชนอื่นๆ ต่อไป

    โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาหลายครั้ง ทรงพบว่าประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลมีความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากขาดโอกาสทางการศึกษาและความยากลำบากในการเข้ารับการศึกษาของเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับปัญหาในประเทศไทย จึงมีพระราชดำริพระราชทานความช่วยเหลือแก่กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมราชองครักษ์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนองพระราชดำริ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งคณะกรรมการโครงการโรงเรียนพระราชทานในราชอาณาจักรกัมพูชา และทรงรับเป็นประธานโครงการ รัฐบาลกัมพูชาโดยฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณ และยินดีรับสนองพระราชดำริอย่างเต็มที่ และน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 45 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลซ็อมโบร์ จังหวัดกำปงธม สำหรับเป็นพื้นที่ก่อสร้างวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล วันที่ 17 พ.ค. 2544 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2544 ต่อมามีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกจำนวนมากและขยายพื้นที่ออกไปอีก 72 ไร่ รวมเป็น 117 ไร่ การก่อสร้างทั้งหมดเสร็จสิ้นในเดือน เม.ย. 2548 วิทยาลัยกำปงเฌอเตียล เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เปิดสอนทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนรวมประมาณ 1,200 คน โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนกัมพูชามีโอกาสได้รับการศึกษามากขึ้น ดังพระราชดำรัสในพิธีเปิดวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ณ จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2548 ความตอนหนึ่งว่า “... ข้าพเจ้ามาศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศกัมพูชาหลายครั้งทุกครั้งที่มารัฐบาลแห่งประเทศกัมพูชา อีกทั้งประชาชนชาวกัมพูชาต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดียิ่ง สะท้อนให้เห็นความเป็นมิตรที่ดีต่อกันมานาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา และมีใจปรารถนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการสนองตอบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดดีไปกว่าการส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และมีอนาคต จึงได้คิดโครงการสร้างสถานศึกษาขึ้น ณที่นี้ เมื่อเริ่มต้นโครงการก็ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ ฝ่าย จากทั้งสองประเทศ และผู้มีจิตศรัทธาร่วมช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก... วิทยาลัยกำปงเฌอเตียลนี้ จะเป็นเสมือนอนุสรณ์แห่งสายสัมพันธ์อันมั่นคงและยั่งยืนระหว่างเราสองประเทศสืบไปตราบนานเท่านาน ...” นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาของวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนแก่นักเรียนเพื่อให้มาศึกษาต่อในประเทศไทยในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรอาชีวศึกษาเพื่อนำความรู้กลับไปสอนและพัฒนาการจัดการศึกษาของวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานเครื่องดนตรีปี่พาทย์ครบชุด และพระราชทานทรัพย์สำหรับจ้างครูท้องถิ่นผู้ชำนาญการสอนนาฏศิลป์และดนตรี ต่อมาในปี 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในพระราชฐานะทูตสันถวไมตรีขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ร่วมมือกับราชอาณาจักรกัมพูชา ทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนใน 3 จังหวัด คือโรงเรียนประถมศึกษาดอมเบย (Domber Primary School) ในจังหวัดกำปงจาม (Kampong Cham Province) โรงเรียนประถมศึกษาทมปุง (Tompung Primary School) ในจังหวัดกำปงสะปือ (Kampong Speu Province) และโรงเรียนประถมศึกษาปุนเลย (Ponlei Primary School) ในจังหวัดเปรแวง (Prey Veng Province) ที่มีกิจกรรมการเกษตรแบบผสมผสานขนาดเล็ก พัฒนาแหล่งน้ำประจำโรงเรียน การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งการพัฒนาอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาล การดำเนินงานโครงการครอบคลุมเด็กนักเรียน 2,348 คน ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนและชุมชนอื่นๆ ต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน่วยโฆษกรัฐบาลกัมพูชา โวย!!! เตือนสื่อโซเชียลภายในกัมพูชา หยุดเผยแพร่ข่าวเท็จที่ปรากฏอยู่หน้า facebook
    https://www.thai-tai.tv/news/19757/
    หน่วยโฆษกรัฐบาลกัมพูชา โวย!!! เตือนสื่อโซเชียลภายในกัมพูชา หยุดเผยแพร่ข่าวเท็จที่ปรากฏอยู่หน้า facebook https://www.thai-tai.tv/news/19757/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายแดนตึงเครียด เขมรลำบากเพราะผู้นำ : [NEWS UPDATE]

    พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ รองโฆษกกองทัพไทย มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากกำลังทหารกัมพูชาและการกระทำของบุคคลบางกลุ่มล่วงล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยไทย​ ทั้งการลาดตระเวน ติดอาวุธ ดัดแปลงที่มั่นทางทหาร พยายามยั่วยุ โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาควาย ปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียวโดยไม่หารือล่วงหน้า ชัดเจนว่าพฤติกรรมที่สร้างความตึงเครียดเป็นผลจากนโยบาย หรือคำสั่งของผู้นำระดับสูงบางคนของกัมพูชา เสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งจนบานปลาย รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจใช้มาตรการควบคุมเพิ่มบางพื้นที่ ส่วนการที่กัมพูชางดซื้อน้ำมันจากไทยนั้น ไทยไม่มีนโยบายห้ามขายน้ำมัน ความเดือดร้อนที่ชาวกัมพูชาประสบอยู่ เป็นผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชา

    -ป.ป.ช.รับสอบคลิปเสียง

    -ลุ้นนายกอิ๊งค์หยุดปฏิบัติหน้าที่

    -ครม.ใหม่ไม่มีความหวัง

    -ไทยวางตัวเป็นกลาง
    ชายแดนตึงเครียด เขมรลำบากเพราะผู้นำ : [NEWS UPDATE] พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ รองโฆษกกองทัพไทย มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากกำลังทหารกัมพูชาและการกระทำของบุคคลบางกลุ่มล่วงล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยไทย​ ทั้งการลาดตระเวน ติดอาวุธ ดัดแปลงที่มั่นทางทหาร พยายามยั่วยุ โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาควาย ปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียวโดยไม่หารือล่วงหน้า ชัดเจนว่าพฤติกรรมที่สร้างความตึงเครียดเป็นผลจากนโยบาย หรือคำสั่งของผู้นำระดับสูงบางคนของกัมพูชา เสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งจนบานปลาย รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจใช้มาตรการควบคุมเพิ่มบางพื้นที่ ส่วนการที่กัมพูชางดซื้อน้ำมันจากไทยนั้น ไทยไม่มีนโยบายห้ามขายน้ำมัน ความเดือดร้อนที่ชาวกัมพูชาประสบอยู่ เป็นผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชา -ป.ป.ช.รับสอบคลิปเสียง -ลุ้นนายกอิ๊งค์หยุดปฏิบัติหน้าที่ -ครม.ใหม่ไม่มีความหวัง -ไทยวางตัวเป็นกลาง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 35 0 รีวิว
  • 'กองทัพไทย' ยันไม่ล้ำเส้น แจงปมนักปั่นชม 'ตาเมือนธม' 'กัมพูชา' ดิ้นพล่านหนัก
    .
    รัฐบาลกัมพูชายังคงออกอาการโวยวายต่อเนื่อง โดยล่าสุดกระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์แสดงความกังวล กรณีเจ้าหน้าที่ทหารไทยนำคณะนักปั่นจักรยานเข้าเยี่ยมชมบริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ก่อนเวลาเปิดทำการ โดยอ้างว่าไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า ซึ่งในเรื่องนี้ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับหน่วยทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ พบว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.สุรินทร์ จัดโดยสำนักการท่องเที่ยว และกีฬาจังหวัด ภายใต้ชื่อว่า “ปั่น 2 ปราสาท สัมผัสทุเรียนเมืองช้าง @พนมดงรัก 2025”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000058804

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    'กองทัพไทย' ยันไม่ล้ำเส้น แจงปมนักปั่นชม 'ตาเมือนธม' 'กัมพูชา' ดิ้นพล่านหนัก . รัฐบาลกัมพูชายังคงออกอาการโวยวายต่อเนื่อง โดยล่าสุดกระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์แสดงความกังวล กรณีเจ้าหน้าที่ทหารไทยนำคณะนักปั่นจักรยานเข้าเยี่ยมชมบริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ก่อนเวลาเปิดทำการ โดยอ้างว่าไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า ซึ่งในเรื่องนี้ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับหน่วยทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ พบว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.สุรินทร์ จัดโดยสำนักการท่องเที่ยว และกีฬาจังหวัด ภายใต้ชื่อว่า “ปั่น 2 ปราสาท สัมผัสทุเรียนเมืองช้าง @พนมดงรัก 2025” . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000058804 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1291 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกนนำกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ดูสถานที่จริงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เตรียมพร้อมชุมนุมใหญ่แสดงพลัง 28 มิ.ย. “จตุพร” จวกรัฐบาลพยายามขวาง ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาร่วมมือกับประชาชน ซัดพวกบิดเบือนการแสดงพลังรักชาติว่าเรียกร้องรัฐประหาร “ปานเทพ” เผยกระบวนการเตะตัดขา ขู่เอาผิดตามกฎหมายจราจร อ้างรบกวนโรงพยาบาล แต่มีทางแก้ไว้แล้ว “ทนายนกเขา” ยันไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ชุมนุมสาธาณะ เตรียมหารือข้อกฎหมายกับ บช.น.พรุ่งนี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000058616

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    แกนนำกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ดูสถานที่จริงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เตรียมพร้อมชุมนุมใหญ่แสดงพลัง 28 มิ.ย. “จตุพร” จวกรัฐบาลพยายามขวาง ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาร่วมมือกับประชาชน ซัดพวกบิดเบือนการแสดงพลังรักชาติว่าเรียกร้องรัฐประหาร “ปานเทพ” เผยกระบวนการเตะตัดขา ขู่เอาผิดตามกฎหมายจราจร อ้างรบกวนโรงพยาบาล แต่มีทางแก้ไว้แล้ว “ทนายนกเขา” ยันไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ชุมนุมสาธาณะ เตรียมหารือข้อกฎหมายกับ บช.น.พรุ่งนี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000058616 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฐมบท ไทยเสียดินแดน?

    7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป

    ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว

    ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด

    พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์

    ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร

    #Newskit
    ปฐมบท ไทยเสียดินแดน? 7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • กาสิโน กล่องดวงใจเขมร

    ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบใหม่ เนื่องจากทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ก่อนนำกำลังบุกยึดสามเหลี่ยมมรกต หรือมุมไบ ล้ำมาถึงช่องบกเข้าเขตดินแดนไทยด้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยยอมไม่ได้ เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้ตกเป็นของกัมพูชา กระแสสังคมกดดันไปยังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก ด้วยข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน

    ในที่สุดมาตรการทางทหารที่ออกมา โดยที่รัฐบาลไฟเขียวให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หนึ่งในนั้นคือการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับฝั่งปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ปรับเวลาเปิดด่านเหลือ 4 โมงเย็น จากเดิม 4 ทุ่ม และห้ามนักท่องเที่ยวรวมถึงนักพนันชาวไทยออกนอกประเทศ ผลก็คือเกิดความโกลาหล ทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต และชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายฝั่งไทย

    มาตรการควบคุมการเข้าออกด่าน และที่คาดว่าจะตามมา โดยเฉพาะการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชากระทบต่อธุรกิจกาสิโนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้าไปเสี่ยงโชค และยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของผู้มีอำนาจในกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในที่สุด วันที่ 8 มิ.ย. พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เชิญ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือฝ่ายทหารกัมพูชา ยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม และกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเปิดทางให้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการพื้นที่ต่อไป

    ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนให้บริการประมาณ 48 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านปอยเปต มีกาสิโนให้บริการประมาณ 10 แห่ง โดยใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปเสี่ยงโชค ในปี 2566 สร้างรายได้ให้รัฐบาลกัมพูชาราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

    #Newskit
    กาสิโน กล่องดวงใจเขมร ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบใหม่ เนื่องจากทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ก่อนนำกำลังบุกยึดสามเหลี่ยมมรกต หรือมุมไบ ล้ำมาถึงช่องบกเข้าเขตดินแดนไทยด้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยยอมไม่ได้ เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้ตกเป็นของกัมพูชา กระแสสังคมกดดันไปยังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างหนัก ด้วยข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ในที่สุดมาตรการทางทหารที่ออกมา โดยที่รัฐบาลไฟเขียวให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง หนึ่งในนั้นคือการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับฝั่งปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ปรับเวลาเปิดด่านเหลือ 4 โมงเย็น จากเดิม 4 ทุ่ม และห้ามนักท่องเที่ยวรวมถึงนักพนันชาวไทยออกนอกประเทศ ผลก็คือเกิดความโกลาหล ทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต และชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายฝั่งไทย มาตรการควบคุมการเข้าออกด่าน และที่คาดว่าจะตามมา โดยเฉพาะการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชากระทบต่อธุรกิจกาสิโนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เข้าไปเสี่ยงโชค และยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของผู้มีอำนาจในกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ในที่สุด วันที่ 8 มิ.ย. พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา เชิญ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือฝ่ายทหารกัมพูชา ยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม และกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเปิดทางให้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการพื้นที่ต่อไป ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนให้บริการประมาณ 48 แห่ง ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านปอยเปต มีกาสิโนให้บริการประมาณ 10 แห่ง โดยใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง นักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้น เพราะรัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปเสี่ยงโชค ในปี 2566 สร้างรายได้ให้รัฐบาลกัมพูชาราว 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจดังแฉทุนเทาฝังรากลึกในปอยเปต-สีหนุวิลล์-อุดรมีชัย ภายใต้การอุปถัมภ์เป็นระบบจากรัฐบาลกัมพูชา โยงลูกพี่ลูกน้องฮุนมาเนต รมต.-คนในพรรค CPP แนะไทยอย่านิ่งเฉย ต้องตัดเน็ตตัดไฟที่ส่งให้ทุนเทา ยกระดับเป็นประเด็นภัยความมั่นคงสากล เรียกร้องนานาชาติช่วยกดดัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียง “ผู้เฝ้าชายแดนให้ทุนมืด”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000053614

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    เพจดังแฉทุนเทาฝังรากลึกในปอยเปต-สีหนุวิลล์-อุดรมีชัย ภายใต้การอุปถัมภ์เป็นระบบจากรัฐบาลกัมพูชา โยงลูกพี่ลูกน้องฮุนมาเนต รมต.-คนในพรรค CPP แนะไทยอย่านิ่งเฉย ต้องตัดเน็ตตัดไฟที่ส่งให้ทุนเทา ยกระดับเป็นประเด็นภัยความมั่นคงสากล เรียกร้องนานาชาติช่วยกดดัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียง “ผู้เฝ้าชายแดนให้ทุนมืด” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000053614 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กัณวีร์" เชื่อมีประเด็นการเมืองภายในกัมพูชาจึงเร่งฟ้องไทยต่อศาลโลก ติงไทยยังตั้งการ์ดหลวม ตอบโต้เบา เอาความสัมพันธ์ส่วยตัวมาก่อนความสัมพันธ์ทางการทูต อ้างคุยกันประจำแต่สถานการณ์กลับคลุมเครือมากขึ้น ชี้เป็นไปได้ "ทักษิณ" กลัวเข้ากัมพูชาไม่ได้หากเกิดอะไรขึ้นวันที่ 13 มิ.ย.จึงต้องยอมอ่อนข้อให้
    .
    วันนี้(6 มิ.ย.) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ตอนนี้ต้องดูการตอบสนองของทางกัมพูชา เพราะตอนแรกเรารับทราบว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการเจรจาในกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเข้าร่วม แต่จะไม่พูดหรือหารือเรื่องข้อพิพาทตรงช่องบก เพราะสภาของเขาได้มีการตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก จึงต้องรู้ว่าทางการไทยจะมีการเตรียมความพร้อมในการประชุม JBC จะไปพูดอะไรกับเขา และมีการเตรียมความพร้อมในเรื่อง 30 จุดที่เป็นกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยมากน้อยแค่ไหน
    .
    ส่วนทางกัมพูชาจะยอมอ่อนข้อให้ไทยหรือไม่หลังการพูดคุย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าดูการจัดการในฝ่ายบริหารและทางสภานิติบัญญัติค่อนข้างจะแรงพอสมควร ซึ่งครั้งนี้น่าแปลกใจ สำหรับตนที่ติดตามงานชายแดนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้กัมพูชาให้ความสำคัญมากๆ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างจะรวดเร็ว แล้วไปถึงศาลโลกโดยทันทีทั้งที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นจากระดับ 0 ไปถึง 80,90 ดังนั้นจึงมองว่าน่าจะมีประเด็นบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลกัมพูชาด้วย รวมไปถึงการเมืองภายใน หรืออาจจะใช้ประเด็นนี้เรียกร้องความนิยม และอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต คือ ผบ.ทบ.ในสมัยที่มีข้อพิพาทเขาพระวิหาร และเป็นคนนำยิงต่อสู้กับฝั่งไทย ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจจะใช้ประเด็นนี้ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ดังนั้นประเทศไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนว่าเราจะยอมหรือไม่หรือไม่ ยอมได้แค่ไหน
    .
    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000052994
    .
    #MGROnline #กัมพูชา #ทักษิณ
    "กัณวีร์" เชื่อมีประเด็นการเมืองภายในกัมพูชาจึงเร่งฟ้องไทยต่อศาลโลก ติงไทยยังตั้งการ์ดหลวม ตอบโต้เบา เอาความสัมพันธ์ส่วยตัวมาก่อนความสัมพันธ์ทางการทูต อ้างคุยกันประจำแต่สถานการณ์กลับคลุมเครือมากขึ้น ชี้เป็นไปได้ "ทักษิณ" กลัวเข้ากัมพูชาไม่ได้หากเกิดอะไรขึ้นวันที่ 13 มิ.ย.จึงต้องยอมอ่อนข้อให้ . วันนี้(6 มิ.ย.) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ตอนนี้ต้องดูการตอบสนองของทางกัมพูชา เพราะตอนแรกเรารับทราบว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการเจรจาในกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเข้าร่วม แต่จะไม่พูดหรือหารือเรื่องข้อพิพาทตรงช่องบก เพราะสภาของเขาได้มีการตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก จึงต้องรู้ว่าทางการไทยจะมีการเตรียมความพร้อมในการประชุม JBC จะไปพูดอะไรกับเขา และมีการเตรียมความพร้อมในเรื่อง 30 จุดที่เป็นกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยมากน้อยแค่ไหน . ส่วนทางกัมพูชาจะยอมอ่อนข้อให้ไทยหรือไม่หลังการพูดคุย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าดูการจัดการในฝ่ายบริหารและทางสภานิติบัญญัติค่อนข้างจะแรงพอสมควร ซึ่งครั้งนี้น่าแปลกใจ สำหรับตนที่ติดตามงานชายแดนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้กัมพูชาให้ความสำคัญมากๆ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างจะรวดเร็ว แล้วไปถึงศาลโลกโดยทันทีทั้งที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นจากระดับ 0 ไปถึง 80,90 ดังนั้นจึงมองว่าน่าจะมีประเด็นบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลกัมพูชาด้วย รวมไปถึงการเมืองภายใน หรืออาจจะใช้ประเด็นนี้เรียกร้องความนิยม และอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต คือ ผบ.ทบ.ในสมัยที่มีข้อพิพาทเขาพระวิหาร และเป็นคนนำยิงต่อสู้กับฝั่งไทย ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจจะใช้ประเด็นนี้ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ดังนั้นประเทศไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนว่าเราจะยอมหรือไม่หรือไม่ ยอมได้แค่ไหน . คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000052994 . #MGROnline #กัมพูชา #ทักษิณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลโดนทัวร์ลง เหตุนิ่งเกินไป ไม่ทันเหลี่ยมกัมพูชา
    .
    ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้เริ่มเห็นภาพกันรัฐบาลชุดนี้กำลังมีปัญหากับการรับมือการเล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศ ภายหลังรัฐบาลกัมพูชายืนยันจะเอาประเด็นข้อพิพาทที่ช่องบกขึ้นศาลโลก ในเรื่องนี้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความระบุว่า "ผมเข้าใจความจำเป็นในการสงวนท่าทีของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.ต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรชี้แจงกับประชาชน ให้ได้รับทราบว่า รัฐบาลไม่ได้ละเลยกับปัญหาดังกล่าว ยังคงประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินมาตรการที่ได้สัดส่วน เป็นไปตามหลักสากล ที่เหมาะกับสถานการณ์ อย่างทันท่วงที หากถูกรุกล้ำอธิปไตย"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052121

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รัฐบาลโดนทัวร์ลง เหตุนิ่งเกินไป ไม่ทันเหลี่ยมกัมพูชา . ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้เริ่มเห็นภาพกันรัฐบาลชุดนี้กำลังมีปัญหากับการรับมือการเล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศ ภายหลังรัฐบาลกัมพูชายืนยันจะเอาประเด็นข้อพิพาทที่ช่องบกขึ้นศาลโลก ในเรื่องนี้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความระบุว่า "ผมเข้าใจความจำเป็นในการสงวนท่าทีของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.ต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรชี้แจงกับประชาชน ให้ได้รับทราบว่า รัฐบาลไม่ได้ละเลยกับปัญหาดังกล่าว ยังคงประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินมาตรการที่ได้สัดส่วน เป็นไปตามหลักสากล ที่เหมาะกับสถานการณ์ อย่างทันท่วงที หากถูกรุกล้ำอธิปไตย" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000052121 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Angry
    Haha
    13
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1190 มุมมอง 1 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 4-6-68
    .
    สวัสดีเช้าวันพุธ คุณสนธิจะมาจัดให้อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ร้อนแรงที่สุด ณ เวลานี้ คือ ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งชัดเจนว่าผู้มีอำนาจทั้งในและเหนือรัฐบาลไทยนั้นมีทีท่าเข้าข้างรัฐบาลกัมพูชาอย่างชัดเจน เรื่องนี้มีความเป็นมา เป็นไป และกำลังจะนำไปสู่อะไร โปรดรับฟังโดยพลัน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=Le5oPQDuW6o
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยกัมพูชา #ฮุนเซน
    สนธิเล่าเรื่อง 4-6-68 . สวัสดีเช้าวันพุธ คุณสนธิจะมาจัดให้อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ร้อนแรงที่สุด ณ เวลานี้ คือ ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งชัดเจนว่าผู้มีอำนาจทั้งในและเหนือรัฐบาลไทยนั้นมีทีท่าเข้าข้างรัฐบาลกัมพูชาอย่างชัดเจน เรื่องนี้มีความเป็นมา เป็นไป และกำลังจะนำไปสู่อะไร โปรดรับฟังโดยพลัน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=Le5oPQDuW6o . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยกัมพูชา #ฮุนเซน
    Like
    Love
    26
    4 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1268 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 4-6-68
    .
    สวัสดีเช้าวันพุธ คุณสนธิจะมาจัดให้อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ร้อนแรงที่สุด ณ เวลานี้ คือ ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งชัดเจนว่าผู้มีอำนาจทั้งในและเหนือรัฐบาลไทยนั้นมีทีท่าเข้าข้างรัฐบาลกัมพูชาอย่างชัดเจน เรื่องนี้มีความเป็นมา เป็นไป และกำลังจะนำไปสู่อะไร โปรดรับฟังโดยพลัน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=Le5oPQDuW6o
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยกัมพูชา #ฮุนเซน
    สนธิเล่าเรื่อง 4-6-68 . สวัสดีเช้าวันพุธ คุณสนธิจะมาจัดให้อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นที่ร้อนแรงที่สุด ณ เวลานี้ คือ ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งชัดเจนว่าผู้มีอำนาจทั้งในและเหนือรัฐบาลไทยนั้นมีทีท่าเข้าข้างรัฐบาลกัมพูชาอย่างชัดเจน เรื่องนี้มีความเป็นมา เป็นไป และกำลังจะนำไปสู่อะไร โปรดรับฟังโดยพลัน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=Le5oPQDuW6o . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยกัมพูชา #ฮุนเซน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปานเทพ” เสนอรัฐบาลทำหนังสือประท้วงกัมพูชาให้ชัดเจน ป้องกันกฎหมายปิดปากซ้ำรอยประสาทพระวิหาร สนับสนุนกองทัพปกป้องประเทศถึงที่สุด แสดงจุดยืนหนักแน่นไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และปิดด่านตอบโต้

    จากกรณีปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งยังไม่มีข้อยุติ และทางกัมพูชาเตรียมนำเรื่องไปฟ้องศาลโลก วันนี้(3 มิ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก

    “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ว่า เมื่อรัฐบาลกัมพูชาแสดงตัวเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ฝ่ายรัฐบาลไทยควรจะต้อง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000051901

    #MGROnline #ปานเทพ
    “ปานเทพ” เสนอรัฐบาลทำหนังสือประท้วงกัมพูชาให้ชัดเจน ป้องกันกฎหมายปิดปากซ้ำรอยประสาทพระวิหาร สนับสนุนกองทัพปกป้องประเทศถึงที่สุด แสดงจุดยืนหนักแน่นไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และปิดด่านตอบโต้ • จากกรณีปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งยังไม่มีข้อยุติ และทางกัมพูชาเตรียมนำเรื่องไปฟ้องศาลโลก วันนี้(3 มิ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก • “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ว่า เมื่อรัฐบาลกัมพูชาแสดงตัวเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ฝ่ายรัฐบาลไทยควรจะต้อง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000051901 • #MGROnline #ปานเทพ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตโชแอร์พอร์ต สนามบินใหม่พนมเปญ

    แม้ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช (Techo International Airport หรือ KTI) ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเลื่อนเปิดให้บริการออกไป เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินพบว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สนามบินแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังจะทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ ซึ่งมีอายุกว่า 66 ปี บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ ใจกลางเมืองหลวงของกัมพูชา ด้วยความทันสมัยในฐานะท่าอากาศยานนานาชาติระดับ 4F บนพื้นที่ 2,600 เฮกตาร์ ใหญ่กว่าท่าอากาศยานเดิมกว่า 6 เท่า ซึ่งเฟสแรกรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15 ล้านคนต่อปี

    โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) กับบริษัท โอเวอร์ซีส์ แคมโบเดียน อินเวสต์เมนต์ คอร์ปฯ (OCIC Group) ของมหาเศรษฐีกัมพูชาเชื้อสายจีน ปง เคียวแซ (Pung Kheav Se) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกันดาล ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ 3 เส้น ยาว 4,000 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัทเซี่ยงไฮ้ เป่าเย่ กรุ๊ป คอร์ปฯ รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380-800 โบอิ้ง 747-800 พร้อมหอควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) สูง 118 เมตร

    สถาปัตยกรรมอาคารผู้โดยสาร ออกแบบโดย บริษัทฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ จากอังกฤษ ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอนสตรัคชัน เติร์ด เอนจิเนียริง บูโร ประเทศจีน ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารส่วนกลาง พร้อมเสารูปทรงแอโรฟอยล์หรือปีกนก ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง มีประตูขึ้นเครื่อง 22 ประตู รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ 40 ลำ หลังคาโดมโครงสร้างเหล็ก สูง 36 เมตร พร้อมตะแกรงกรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างในอาคาร ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,000 แผง และศูนย์กลางระบบผลิตไฟฟ้า (Energy Center) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับระบบปรับอากาศได้ 7,800 กิโลวัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 120 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ประมาณ 100,000 ตัน

    ในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ (PNH) มีเที่ยวบินทั้งหมด 41,022 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 4,746,000 คน โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ (BKK) มากที่สุด 88 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รองลงมาคือกว่างโจว ประเทศจีน (CAN) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (KUL) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (SGN) และสิงคโปร์ (SIN) หลังการย้ายสนามบินไปยังสถานที่แห่งใหม่ สนามบินเดิมรัฐบาลกัมพูชาจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ภายใต้การดูแลของ SSCA โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ยืนยันว่ายังไม่ขายให้แก่ผู้สนใจแต่อย่างใด

    #Newskit
    เตโชแอร์พอร์ต สนามบินใหม่พนมเปญ แม้ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช (Techo International Airport หรือ KTI) ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเลื่อนเปิดให้บริการออกไป เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินพบว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สนามบินแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังจะทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ ซึ่งมีอายุกว่า 66 ปี บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ ใจกลางเมืองหลวงของกัมพูชา ด้วยความทันสมัยในฐานะท่าอากาศยานนานาชาติระดับ 4F บนพื้นที่ 2,600 เฮกตาร์ ใหญ่กว่าท่าอากาศยานเดิมกว่า 6 เท่า ซึ่งเฟสแรกรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15 ล้านคนต่อปี โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) กับบริษัท โอเวอร์ซีส์ แคมโบเดียน อินเวสต์เมนต์ คอร์ปฯ (OCIC Group) ของมหาเศรษฐีกัมพูชาเชื้อสายจีน ปง เคียวแซ (Pung Kheav Se) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกันดาล ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ 3 เส้น ยาว 4,000 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัทเซี่ยงไฮ้ เป่าเย่ กรุ๊ป คอร์ปฯ รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380-800 โบอิ้ง 747-800 พร้อมหอควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) สูง 118 เมตร สถาปัตยกรรมอาคารผู้โดยสาร ออกแบบโดย บริษัทฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ จากอังกฤษ ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอนสตรัคชัน เติร์ด เอนจิเนียริง บูโร ประเทศจีน ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารส่วนกลาง พร้อมเสารูปทรงแอโรฟอยล์หรือปีกนก ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง มีประตูขึ้นเครื่อง 22 ประตู รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ 40 ลำ หลังคาโดมโครงสร้างเหล็ก สูง 36 เมตร พร้อมตะแกรงกรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างในอาคาร ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,000 แผง และศูนย์กลางระบบผลิตไฟฟ้า (Energy Center) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับระบบปรับอากาศได้ 7,800 กิโลวัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 120 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ประมาณ 100,000 ตัน ในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ (PNH) มีเที่ยวบินทั้งหมด 41,022 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 4,746,000 คน โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ (BKK) มากที่สุด 88 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รองลงมาคือกว่างโจว ประเทศจีน (CAN) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (KUL) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (SGN) และสิงคโปร์ (SIN) หลังการย้ายสนามบินไปยังสถานที่แห่งใหม่ สนามบินเดิมรัฐบาลกัมพูชาจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ภายใต้การดูแลของ SSCA โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ยืนยันว่ายังไม่ขายให้แก่ผู้สนใจแต่อย่างใด #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชาแก้เกมขึ้นภาษีของสหรัฐ ด้วยการประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ!!


    กัมพูชาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่โดนมาตรการตอบโต้ด้านภาษีจากสหรัฐอเมริกา

    หลังจากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากัมพูชา 49% กัมพูชาแก้เกมนี้ด้วย การ "ลดภาษี" สินค้านำเข้าจากอเมริกา

    รัฐบาลกัมพูชาส่งจดหมายถึงเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ โดยเสนอลดการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 19 รายการ ซึ่งรวมถึงวิสกี้ เนื้อวัว ถั่ว ข้าวโพด และมอเตอร์ไซค์ จาก 35% เหลือเพียง 5%

    เงื่อนไขของกัมพูชาเพื่อต้องการเลื่อนการขึ้นภาษีของสหรัฐออกไปก่อน เพื่อหาทางออกและเจรจากันใหม่

    ที่มา: Khmer Times
    กัมพูชาแก้เกมขึ้นภาษีของสหรัฐ ด้วยการประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ!! กัมพูชาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่โดนมาตรการตอบโต้ด้านภาษีจากสหรัฐอเมริกา หลังจากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากัมพูชา 49% กัมพูชาแก้เกมนี้ด้วย การ "ลดภาษี" สินค้านำเข้าจากอเมริกา รัฐบาลกัมพูชาส่งจดหมายถึงเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ โดยเสนอลดการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 19 รายการ ซึ่งรวมถึงวิสกี้ เนื้อวัว ถั่ว ข้าวโพด และมอเตอร์ไซค์ จาก 35% เหลือเพียง 5% เงื่อนไขของกัมพูชาเพื่อต้องการเลื่อนการขึ้นภาษีของสหรัฐออกไปก่อน เพื่อหาทางออกและเจรจากันใหม่ ที่มา: Khmer Times
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรไม่ยอมหยุด! ยั่วยุเยาะเย้ย “ผู้การเนี๊ยะ” จากร้องเพลงปลุกใจ ในปราสาทตาเมือนธม สู่ยกพล 3 กองร้อย ประชิดพรมแดน

    สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศไทย เริ่มปราบปราม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อย่างจริงจัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีเครือข่ายอยู่ในกัมพูชา

    แม้ว่าทางการกัมพูชา จะออกมาสนับสนุนไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี

    และล่าสุด...

    เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 กองกำลังติดอาวุธทหารกัมพูชา จำนวน 3 กองร้อย รวม 528 นาย ได้เคลื่อนกำลังเข้าใกล้ชายแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อ้างว่า “พากำลังทหารมากราบไหว้ สักการะปราสาทตาเมือนธม” แต่กลับไม่มีการเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน หรือสิ่งของบูชาใด ๆ

    นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นมากกว่านั้น?

    พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ (Neak Vong) หรือผู้การเยี๊ยะ ผู้บังคับการกองพลน้อยทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เป็นตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้

    ย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด

    5 ตุลาคม 2567 ผู้การเนี๊ยะนำพระสงฆ์ และเด็กนักเรียนกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมร้องเพลงชาติกัมพูชา

    ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้การเนี๊ยะนำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายไทย ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 ที่ประจำการรักษาอธิปไตยไทยในบริเวณนั้น ต้องกล่าวแจ้งเตือนไม่ให้ผู้การเนี้ยะ ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้ผู้การเนี๊ยะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หลุดปากกล่าวท้าทายทหารไทย "ให้มายิงกัน!"

    บ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะทหารกัมพูชา รวมถึงผู้การเนี๊ยะ เดินทางมาเจรจากับ พันโท จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.4) ที่ปราสาทตาเมือนธม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองทัพภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

    วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังติดอาวุธ ทหารกัมพูชา 3 กองร้อย 528 นาย เคลื่อนพลมาประชิดพรมแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แล้วปลดอาวุธเดินข้ามพรมแดน อ้างว่ามากราบไหว้สักการะปราสาทตาเหมือนธม โดยที่ไม่มีการเตรียมธูปเทียนดอกไม้ หรือสิ่งของเซ่นไหว้มาด้วย จนคล้ายกับเป็นการยั่วยุเยาะเย้ยทหารไทย

    ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยการเจรจาผ่านทางการทูต แต่กัมพูชากลับใช้วิธี ปลุกกระแสรักชาติในประเทศตนเอง

    แล้วอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “ผู้การเนี้ยะ” และรัฐบาลกัมพูชา?

    ปราสาทตาเมือนธม จุดยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์

    เป็นหนึ่งในปราสาทสำคัญ ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วย 3 ปราสาทหลัก ได้แก่
    1️⃣ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทหลักและใหญ่ที่สุด
    2️⃣ ปราสาทตาเมือนโต๊ด เชื่อว่าเคยเป็นโรงพยาบาลโบราณ
    3️⃣ ปราสาทตาเมือน หรือบายกรีม เป็นธรรมศาลา หรือสถานที่พักของนักเดินทาง

    ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางโบราณ จากกัมพูชาสู่ภาคอีสานของไทย มีความสำคัญทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พิพาททางพรมแดน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ

    นี่อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชา พยายามเข้ามาสร้างอิทธิพล ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม

    เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองหรือศักดิ์ศรีชาติ? การเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์หรือพรมแดน แต่นี่คือ "เกมการเมือง"

    เชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ปัจจุบันรัฐบาล "ฮุน มาเนต" ลูกชายของฮุน เซน กำลังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ที่ผ่านมา "ฮุน เซน" เคยใช้ประเด็นความขัดแย้งชายแดน ปลุกกระแสรักชาติ เพื่อรักษาอำนาจของตระกูลตนเอง การกระทำของผู้การเนี๊ยะ อาจเป็นแผนสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชา

    เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา? ไทยและกัมพูชามีแผนขุดเจาะทรัพยากรน้ำมัน ในเขตทับซ้อนทางทะเล ข้อพิพาทชายแดน อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง ทางเศรษฐกิจและการเมือง

    หรือแท้จริงแล้ว นี่คือแผนของกัมพูชา ในการกดดันไทย?

    กัมพูชากำลังเล่นเกมอะไร? การกระทำของผู้การเนี๊ยะ และทหารกัมพูชา อาจเป็นเพียงแค่ หมากตัวหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชา

    วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้ของกัมพูชา
    - สร้างกระแสรักชาติเพื่อดึงความสนใจ จากปัญหาการเมืองภายใน
    - กดดันไทยในประเด็นพรมแดน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ
    - ทดสอบปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย ก่อนเดินเกมต่อไป

    ทางออกของไทยควรเป็นอย่างไร?
    รักษาความสัมพันธ์ทางการทูต หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง
    เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา อย่างใกล้ชิด
    ใช้การเจรจาในระดับสูง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม

    นี่คือเกมการเมือง หรือสงครามชายแดนรอบใหม่? ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090905 มี.ค. 2568

    #เขมรไม่หยุด #ตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามชายแดน #ผู้การเนี้ยะ #กัมพูชา #ข่าวด่วน #ความขัดแย้งชายแดน #ไทยกัมพูชา #ปราสาทตาเมือน
    เขมรไม่ยอมหยุด! ยั่วยุเยาะเย้ย “ผู้การเนี๊ยะ” จากร้องเพลงปลุกใจ ในปราสาทตาเมือนธม สู่ยกพล 3 กองร้อย ประชิดพรมแดน 🔥 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากประเทศไทย เริ่มปราบปราม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อย่างจริงจัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีเครือข่ายอยู่ในกัมพูชา 🇰🇭 แม้ว่าทางการกัมพูชา จะออกมาสนับสนุนไทยอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี และล่าสุด... 💥 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 กองกำลังติดอาวุธทหารกัมพูชา จำนวน 3 กองร้อย รวม 528 นาย ได้เคลื่อนกำลังเข้าใกล้ชายแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อ้างว่า “พากำลังทหารมากราบไหว้ สักการะปราสาทตาเมือนธม” แต่กลับไม่มีการเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน หรือสิ่งของบูชาใด ๆ 🔴 นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือเป็นมากกว่านั้น? 👤 พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ (Neak Vong) หรือผู้การเยี๊ยะ ผู้บังคับการกองพลน้อยทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เป็นตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้ 📌 ย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียด 5 ตุลาคม 2567 ผู้การเนี๊ยะนำพระสงฆ์ และเด็กนักเรียนกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมร้องเพลงชาติกัมพูชา ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผู้การเนี๊ยะนำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายไทย ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 ที่ประจำการรักษาอธิปไตยไทยในบริเวณนั้น ต้องกล่าวแจ้งเตือนไม่ให้ผู้การเนี้ยะ ทำกิจกรรมในเชิงสัญลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้ผู้การเนี๊ยะเป็นอย่างมาก ถึงขั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หลุดปากกล่าวท้าทายทหารไทย "ให้มายิงกัน!" บ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะทหารกัมพูชา รวมถึงผู้การเนี๊ยะ เดินทางมาเจรจากับ พันโท จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.4) ที่ปราสาทตาเมือนธม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองทัพภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังติดอาวุธ ทหารกัมพูชา 3 กองร้อย 528 นาย เคลื่อนพลมาประชิดพรมแดน ด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แล้วปลดอาวุธเดินข้ามพรมแดน อ้างว่ามากราบไหว้สักการะปราสาทตาเหมือนธม โดยที่ไม่มีการเตรียมธูปเทียนดอกไม้ หรือสิ่งของเซ่นไหว้มาด้วย จนคล้ายกับเป็นการยั่วยุเยาะเย้ยทหารไทย 🇹🇭 ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยการเจรจาผ่านทางการทูต แต่กัมพูชากลับใช้วิธี ปลุกกระแสรักชาติในประเทศตนเอง 🔴 แล้วอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “ผู้การเนี้ยะ” และรัฐบาลกัมพูชา? 📍 ปราสาทตาเมือนธม จุดยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขต อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ 🏛️ เป็นหนึ่งในปราสาทสำคัญ ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วย 3 ปราสาทหลัก ได้แก่ 1️⃣ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทหลักและใหญ่ที่สุด 2️⃣ ปราสาทตาเมือนโต๊ด เชื่อว่าเคยเป็นโรงพยาบาลโบราณ 3️⃣ ปราสาทตาเมือน หรือบายกรีม เป็นธรรมศาลา หรือสถานที่พักของนักเดินทาง 🔎 ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางโบราณ จากกัมพูชาสู่ภาคอีสานของไทย มีความสำคัญทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พิพาททางพรมแดน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ 👉 นี่อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชา พยายามเข้ามาสร้างอิทธิพล ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 🎭 เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองหรือศักดิ์ศรีชาติ? การเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์หรือพรมแดน แต่นี่คือ "เกมการเมือง" 📌 เชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ปัจจุบันรัฐบาล "ฮุน มาเนต" ลูกชายของฮุน เซน กำลังเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน ที่ผ่านมา "ฮุน เซน" เคยใช้ประเด็นความขัดแย้งชายแดน ปลุกกระแสรักชาติ เพื่อรักษาอำนาจของตระกูลตนเอง การกระทำของผู้การเนี๊ยะ อาจเป็นแผนสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชา 📌 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ไทย-กัมพูชา? ไทยและกัมพูชามีแผนขุดเจาะทรัพยากรน้ำมัน ในเขตทับซ้อนทางทะเล ข้อพิพาทชายแดน อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง ทางเศรษฐกิจและการเมือง 🇰🇭 หรือแท้จริงแล้ว นี่คือแผนของกัมพูชา ในการกดดันไทย? 🔴 กัมพูชากำลังเล่นเกมอะไร? การกระทำของผู้การเนี๊ยะ และทหารกัมพูชา อาจเป็นเพียงแค่ หมากตัวหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชา 📌 วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้ของกัมพูชา - สร้างกระแสรักชาติเพื่อดึงความสนใจ จากปัญหาการเมืองภายใน - กดดันไทยในประเด็นพรมแดน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเจรจาทางเศรษฐกิจ - ทดสอบปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย ก่อนเดินเกมต่อไป 🇹🇭 ทางออกของไทยควรเป็นอย่างไร? ✅ รักษาความสัมพันธ์ทางการทูต หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง ✅ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา อย่างใกล้ชิด ✅ ใช้การเจรจาในระดับสูง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม 🔥 นี่คือเกมการเมือง หรือสงครามชายแดนรอบใหม่? ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090905 มี.ค. 2568 #เขมรไม่หยุด #ตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามชายแดน #ผู้การเนี้ยะ #กัมพูชา #ข่าวด่วน #ความขัดแย้งชายแดน #ไทยกัมพูชา #ปราสาทตาเมือน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1452 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
    .
    วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
    .
    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ
    .
    ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกันศาลอาญาไม่อนุญาต ทักษิณ ไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุเพียงพอ
    .
    ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
    .
    วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
    .
    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ
    .
    ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021861
    .........
    Sondhi X
    ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา . วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร . ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ . ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกันศาลอาญาไม่อนุญาต ทักษิณ ไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุเพียงพอ . ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา . วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร . ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ . ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021861 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    27
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2821 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต
    .
    'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว
    .
    นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ
    .
    อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง
    .
    สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
    ..............
    Sondhi X
    ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต . 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว . นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ . อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง . สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 703 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต
    .
    'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว
    .
    นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ
    .
    อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง
    .
    สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
    ..............
    Sondhi X
    ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต . 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว . นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ . อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง . สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    Wow
    28
    4 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2049 มุมมอง 1 รีวิว
  • ”ภูมิธรรม“ เมิน ม็อบเขมรเรียกร้องเอาเกาะกูด ชี้ต้องจัดลำดับสำคัญของปัญหา ไม่ใช่นำทุกเรื่องเป็นปัญหา เชื่อไม่เป็นประเด็นลุกลาม

    เมื่อเวลา 09.20 น.วันที่ 11 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี แรงงานและ ชาวกัมพูชาในประเทศญี่ปุ่น ออกมารวมตัวประท้วงกัน เพื่อเรียกร้องรัฐบาลกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในเรื่องเกาะกูด ว่า เรื่องนี้ยังอีกยาว ไม่เป็นปัญหาเลย ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะหยิบขึ้นมา หากหยิบขึ้นมาก็จะทำให้เรามีประเด็นเยอะไปหมด

    เมื่อถามว่า การที่ชาวกัมพูชาออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ จะทำให้คนไทยที่ไม่เห็นด้วยออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่เห็นมีเท่าไหร่ ที่ออกมาเคลื่อนไหว ประเด็นนี้ยังไม่เป็นประเด็นอะไรที่ลุกลาม ถ้าเราสนใจจะนำมาทุกเรื่อง และไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของปัญหา เราจะทำงานเหนื่อยยากมาก เวลานี้บางอย่างเราเฝ้าติดตามดู แตาเราไม่ได้หุนหันที่จะทำนู่นทำนี่ บางอย่างที่สำคัญเราก็เริ่มลงในรายละเอียดมากขึ้น เรารับทราบและติดตามดูทุกอย่างอยู่แล้ว บางทีคน 3 คน 30 คน หรือ 300 คน แล้วมาบอกว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ ต้องประเมินให้ถูกต้อง ว่ามันเป็นปัญหาแบบนั้นจริงหรือเปล่า ไม่งั้นเราจะหยิบปัญหาทุกปัญหา มาเป็นปัญหาไปหมด

    #MGROnline #ภูมิธรรม #ม็อบเขมร #เกาะกูด
    ”ภูมิธรรม“ เมิน ม็อบเขมรเรียกร้องเอาเกาะกูด ชี้ต้องจัดลำดับสำคัญของปัญหา ไม่ใช่นำทุกเรื่องเป็นปัญหา เชื่อไม่เป็นประเด็นลุกลาม • เมื่อเวลา 09.20 น.วันที่ 11 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี แรงงานและ ชาวกัมพูชาในประเทศญี่ปุ่น ออกมารวมตัวประท้วงกัน เพื่อเรียกร้องรัฐบาลกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในเรื่องเกาะกูด ว่า เรื่องนี้ยังอีกยาว ไม่เป็นปัญหาเลย ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะหยิบขึ้นมา หากหยิบขึ้นมาก็จะทำให้เรามีประเด็นเยอะไปหมด • เมื่อถามว่า การที่ชาวกัมพูชาออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ จะทำให้คนไทยที่ไม่เห็นด้วยออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่เห็นมีเท่าไหร่ ที่ออกมาเคลื่อนไหว ประเด็นนี้ยังไม่เป็นประเด็นอะไรที่ลุกลาม ถ้าเราสนใจจะนำมาทุกเรื่อง และไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของปัญหา เราจะทำงานเหนื่อยยากมาก เวลานี้บางอย่างเราเฝ้าติดตามดู แตาเราไม่ได้หุนหันที่จะทำนู่นทำนี่ บางอย่างที่สำคัญเราก็เริ่มลงในรายละเอียดมากขึ้น เรารับทราบและติดตามดูทุกอย่างอยู่แล้ว บางทีคน 3 คน 30 คน หรือ 300 คน แล้วมาบอกว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ ต้องประเมินให้ถูกต้อง ว่ามันเป็นปัญหาแบบนั้นจริงหรือเปล่า ไม่งั้นเราจะหยิบปัญหาทุกปัญหา มาเป็นปัญหาไปหมด • #MGROnline #ภูมิธรรม #ม็อบเขมร #เกาะกูด
    Angry
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ

    ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ
    ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ

    จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล
    ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้

    การตอบสนองของฮุนเซ็น
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง

    จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย
    เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต

    อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต
    เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย

    ทำลายสถานทูตไทย
    ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก

    ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า
    หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ

    รายละเอียดของปฏิบัติการ
    วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
    เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ

    22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568

    #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต







    22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้ การตอบสนองของฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย ทำลายสถานทูตไทย ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ รายละเอียดของปฏิบัติการ วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ 22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568 #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1266 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    https://thaipublica.org
    Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons
    กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา

    จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล

    มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค

    3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร

    และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488
    ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา

    ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า
    อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส

    10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง

    การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา
    จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น"
    โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ

    ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู"

    วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา

    เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน
    ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้"

    ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน"

    สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์
    เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน

    ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ

    * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

    * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน

    * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง

    * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย

    * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country"

    จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน
    แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย

    สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย

    ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน
    ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ

    ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง
    ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี

    ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว

    เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น
    นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา

    กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    17/1/68 https://thaipublica.org Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค 3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488 ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส 10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น" โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู" วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้" ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน" สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country" จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1649 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts