• สถานีต่อไป...เซกามัต จุดหมายแรกรัฐยะโฮร์

    15 มี.ค.2568 การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย จะขยายการเดินรถไฟ ETS (Electric Train Service) ไปถึงสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 11 สถานีของโครงการรถไฟทางคู่เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru) ระยะทาง 192 กิโลเมตร ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2568

    สถานีเซกามัตแห่งใหม่ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 15 พ.ค.2567 มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ ลิฟต์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ กล้องวงจรปิด CCTV ห้องละหมาด ลานจอดรถรองรับรถยนต์ได้ 97 คัน รถจักรยานยนต์ 49 คัน และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ (OKU) เช่น ที่จอดรถ ห้องน้ำ ปัจจุบันให้บริการรถไฟ KTM Intercity ขบวน ERT สายตุมปัต-เจบีเซ็นทรัล (Tumpat-JB Sentral) และขบวน ES สายเกอมัส-เจบีเซ็นทรัล (Gemas-JB Sentral)

    เมืองเซกามัต ห่างจากเมืองยะโฮร์บาห์รู 172 กิโลเมตร ประชาชนมีอาชีพทำการเกษตร สวนปาล์ม สวนยางพารา และมีทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียง มีสถานที่ท่องเที่ยว อาทิ จตุรัสเซกามัต (Dataran Segamat) แลนด์มาร์คของเมือง มีหอนาฬิกาและสวนภูมิทัศน์ สำหรับจัดงานสำคัญและกิจกรรมต่างๆ

    สะพานรถไฟเก่า (Segamat Old Iron Railway Bridge) เป็นสะพานเหล็ก ข้ามแม่น้ำเซกามัต สร้างขึ้นในปี 2452 กระทั่งก่อสร้างทางรถไฟยกระดับในปี 2561 เมื่อแล้วเสร็จจึงได้ปิดใช้สะพาน ปัจจุบันได้ปรับภูมิทัศน์เป็นจุดถ่ายรูปเช็กอิน

    สะพานบูโละห์ กาซัป (Buloh Kasap Bridge) ข้ามแม่น้ำมัวร์ สร้างขึ้นโดยอังกฤษ ที่ก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1 จากยะโฮร์บาห์รูไปยังบูกิตกายูฮิตัม แต่ได้ทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อขัดขวางไม่ให้ทหารญี่ปุ่นเข้าไปที่สิงคโปร์

    ร็อคการ์เดน (Rock Garden) หรือสวนบาตูฮัมปาร์ (Taman Bunga Batu Hampar) สวนสาธารณะใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของบ้านพักเจ้าหน้าที่ และพระราชวังฮิงกาปของราชวงศ์ยะโฮร์ มีสนามเด็กเล่น ลู่วิ่งจ็อกกิ้ง และร้านกาแฟ

    วอลเตอร์ส ฟาร์ม (Walters Farm) แหล่งท่องเที่ยวฟาร์มสเตย์ มีทั้งสวนสัตว์ขนาดเล็ก สวนน้ำ สวนสนุก รวมทั้งกิจกรรมนันทนาการอื่นๆ (มีค่าผ่านประตู)

    อุทยานแห่งชาติกูนุง เลดัง (Gunung Ledang) ห่างจากตัวเมือง 35 กิโลเมตร เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับเดินป่า ตั้งแคมป์ และเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ธรรมชาติ

    ป่านันทนาการสุไหงบันตัง (Sungai Bantang) ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจทางธรรมชาติ นิยมทำกิจกรรมทั้งปิกนิก เดินป่า และเล่นน้ำตกในแม่น้ำบันตัง

    นอกจากนี้ ยังสามารถขึ้นรถบัสไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รูได้อีกด้วย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาที

    #Newskit
    สถานีต่อไป...เซกามัต จุดหมายแรกรัฐยะโฮร์ 15 มี.ค.2568 การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย จะขยายการเดินรถไฟ ETS (Electric Train Service) ไปถึงสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 11 สถานีของโครงการรถไฟทางคู่เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru) ระยะทาง 192 กิโลเมตร ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2568 สถานีเซกามัตแห่งใหม่ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 15 พ.ค.2567 มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ ลิฟต์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ กล้องวงจรปิด CCTV ห้องละหมาด ลานจอดรถรองรับรถยนต์ได้ 97 คัน รถจักรยานยนต์ 49 คัน และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ (OKU) เช่น ที่จอดรถ ห้องน้ำ ปัจจุบันให้บริการรถไฟ KTM Intercity ขบวน ERT สายตุมปัต-เจบีเซ็นทรัล (Tumpat-JB Sentral) และขบวน ES สายเกอมัส-เจบีเซ็นทรัล (Gemas-JB Sentral) เมืองเซกามัต ห่างจากเมืองยะโฮร์บาห์รู 172 กิโลเมตร ประชาชนมีอาชีพทำการเกษตร สวนปาล์ม สวนยางพารา และมีทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียง มีสถานที่ท่องเที่ยว อาทิ จตุรัสเซกามัต (Dataran Segamat) แลนด์มาร์คของเมือง มีหอนาฬิกาและสวนภูมิทัศน์ สำหรับจัดงานสำคัญและกิจกรรมต่างๆ สะพานรถไฟเก่า (Segamat Old Iron Railway Bridge) เป็นสะพานเหล็ก ข้ามแม่น้ำเซกามัต สร้างขึ้นในปี 2452 กระทั่งก่อสร้างทางรถไฟยกระดับในปี 2561 เมื่อแล้วเสร็จจึงได้ปิดใช้สะพาน ปัจจุบันได้ปรับภูมิทัศน์เป็นจุดถ่ายรูปเช็กอิน สะพานบูโละห์ กาซัป (Buloh Kasap Bridge) ข้ามแม่น้ำมัวร์ สร้างขึ้นโดยอังกฤษ ที่ก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1 จากยะโฮร์บาห์รูไปยังบูกิตกายูฮิตัม แต่ได้ทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อขัดขวางไม่ให้ทหารญี่ปุ่นเข้าไปที่สิงคโปร์ ร็อคการ์เดน (Rock Garden) หรือสวนบาตูฮัมปาร์ (Taman Bunga Batu Hampar) สวนสาธารณะใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของบ้านพักเจ้าหน้าที่ และพระราชวังฮิงกาปของราชวงศ์ยะโฮร์ มีสนามเด็กเล่น ลู่วิ่งจ็อกกิ้ง และร้านกาแฟ วอลเตอร์ส ฟาร์ม (Walters Farm) แหล่งท่องเที่ยวฟาร์มสเตย์ มีทั้งสวนสัตว์ขนาดเล็ก สวนน้ำ สวนสนุก รวมทั้งกิจกรรมนันทนาการอื่นๆ (มีค่าผ่านประตู) อุทยานแห่งชาติกูนุง เลดัง (Gunung Ledang) ห่างจากตัวเมือง 35 กิโลเมตร เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับเดินป่า ตั้งแคมป์ และเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ธรรมชาติ ป่านันทนาการสุไหงบันตัง (Sungai Bantang) ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจทางธรรมชาติ นิยมทำกิจกรรมทั้งปิกนิก เดินป่า และเล่นน้ำตกในแม่น้ำบันตัง นอกจากนี้ ยังสามารถขึ้นรถบัสไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รูได้อีกด้วย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาที #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปรับ 2.5 แสนริงกิตคลื่น ERA ปมคลิปดีเจล้อเลียนฮินดู

    ความคืบหน้ากรณีที่ ปาก อาซาด (Pak Azad) หรือ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) ดีเจสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย ไปล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู แล้วมีคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูไม่พอใจ กระทั่งบริษัทแอสโตรสั่งให้พักงานดีเจสามคนที่จัดรายการร่วมกัน และพนักงานสถานีอีก 2 คนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ดีเจทั้งสามคนขอโทษทั้งผ่านคลิปวีดีโอ รวมทั้งไปขอโทษต่อชุมชนชาวอินเดียที่วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ก่อนหน้านี้

    ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. คณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) สั่งปรับ 250,000 ริงกิต (1,925,000 บาท) แก่บริษัทเมสตร้า บอร์ดคาสต์ (Maestra Broadcast) บริษัทย่อยของ แอสโตร มาเลเซีย โฮลดิ้งส์ (Astro Malaysia Holdings) ผู้ผลิตสื่อบันเทิงในมาเลเซีย โดยพิจารณาจากวีดีโอคลิปอัปโหลดลงในติ๊กต็อกที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ แต่ไม่ระงับใบอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาพร้อมกับขอโทษ อีกทั้งเกรงถึงผลกระทบกับคลื่นเพลงภาษาจีน Melody และคลื่นเพลงสากล Mix FM ภายใต้ใบอนุญาตเดียวกันด้วย

    อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบและโจมตี MCMC โดยเทียบกับกรณีละเมิดกฎ "3R" ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) ทำนองว่าลำเอียงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ทำให้นายฟาห์มี ฟาดซิล รมว.การสื่อสาร และโฆษกรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม อธิบายว่าแตกต่างกัน เพราะกรณีถุงเท้าในร้าน KK Mart เป็นคดีอาญา ศาลกำหนดค่าปรับ 60,000 ริงกิต (462,000 บาท) ส่วนกรณีนักแสดง ฮาริธ อิสกันเดอร์ (Harith Iskander) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Cecelia Yap ที่อัปโหลดเนื้อหาพาดพิงศาสนาอิสลาม ถูกดำเนินคดีในนามบุคคล ไม่ใช่บริษัท และอัยการให้ปรับ 10,000 ริงกิต (77,000 บาท) โดยไม่ได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด

    ตุนกู นาซรุล อาไบดาห์ โฆษกอาวุโสของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่า นายกฯ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสามัคคี และช่วยเหลือรัฐบาลรวมพลังชาวมาเลเซียทุกคนที่มีศาสนา เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้พบกับดีเจที่เป็นข่าว ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอิฟตาร์กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.โดยแนะว่าให้นำสารแห่งความสามัคคีไปใช้ในชีวิตประจำวัน และหวังว่าชาวมาเลเซียจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสันติภาพและความสามัคคีในประเทศ โดยเคารพซึ่งกันและกัน

    #Newskit
    ปรับ 2.5 แสนริงกิตคลื่น ERA ปมคลิปดีเจล้อเลียนฮินดู ความคืบหน้ากรณีที่ ปาก อาซาด (Pak Azad) หรือ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) ดีเจสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย ไปล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู แล้วมีคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูไม่พอใจ กระทั่งบริษัทแอสโตรสั่งให้พักงานดีเจสามคนที่จัดรายการร่วมกัน และพนักงานสถานีอีก 2 คนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ดีเจทั้งสามคนขอโทษทั้งผ่านคลิปวีดีโอ รวมทั้งไปขอโทษต่อชุมชนชาวอินเดียที่วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ก่อนหน้านี้ ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. คณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) สั่งปรับ 250,000 ริงกิต (1,925,000 บาท) แก่บริษัทเมสตร้า บอร์ดคาสต์ (Maestra Broadcast) บริษัทย่อยของ แอสโตร มาเลเซีย โฮลดิ้งส์ (Astro Malaysia Holdings) ผู้ผลิตสื่อบันเทิงในมาเลเซีย โดยพิจารณาจากวีดีโอคลิปอัปโหลดลงในติ๊กต็อกที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ แต่ไม่ระงับใบอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาพร้อมกับขอโทษ อีกทั้งเกรงถึงผลกระทบกับคลื่นเพลงภาษาจีน Melody และคลื่นเพลงสากล Mix FM ภายใต้ใบอนุญาตเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบและโจมตี MCMC โดยเทียบกับกรณีละเมิดกฎ "3R" ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) ทำนองว่าลำเอียงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ทำให้นายฟาห์มี ฟาดซิล รมว.การสื่อสาร และโฆษกรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม อธิบายว่าแตกต่างกัน เพราะกรณีถุงเท้าในร้าน KK Mart เป็นคดีอาญา ศาลกำหนดค่าปรับ 60,000 ริงกิต (462,000 บาท) ส่วนกรณีนักแสดง ฮาริธ อิสกันเดอร์ (Harith Iskander) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Cecelia Yap ที่อัปโหลดเนื้อหาพาดพิงศาสนาอิสลาม ถูกดำเนินคดีในนามบุคคล ไม่ใช่บริษัท และอัยการให้ปรับ 10,000 ริงกิต (77,000 บาท) โดยไม่ได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแต่อย่างใด ตุนกู นาซรุล อาไบดาห์ โฆษกอาวุโสของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่า นายกฯ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสามัคคี และช่วยเหลือรัฐบาลรวมพลังชาวมาเลเซียทุกคนที่มีศาสนา เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้พบกับดีเจที่เป็นข่าว ในงานเลี้ยงอาหารค่ำอิฟตาร์กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.โดยแนะว่าให้นำสารแห่งความสามัคคีไปใช้ในชีวิตประจำวัน และหวังว่าชาวมาเลเซียจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปข้างหน้าเพื่อสร้างสันติภาพและความสามัคคีในประเทศ โดยเคารพซึ่งกันและกัน #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟ ETS มาเลเซีย ขยายถึงเซกามัต รัฐยะโฮร์

    สิ้นสุดการรอคอยสำหรับการขยายเส้นทางรถไฟ ETS (Electric Train Service) ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย จากเดิมสิ้นสุดที่สถานีเกอมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบีลัน ขยายไปถึงสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ หลังเจอโรคเลื่อนไปหลายเดือน ล่าสุดประกาศว่าจะเปิดให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป จากต้นทางสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส ติดชายแดนไทย-มาเลเซีย จ.สงขลา และสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง

    โดยปรับเปลี่ยนต้นทางและปลายทางจากเดิมสถานีเกอมัส เป็นสถานีเซกามัต โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนเวลาเดินรถ ได้แก่ ขบวนที่ EG9420 เซกามัต-ปาดังเบซาร์ ออกจากสถานีเซกามัต 07.55 น. ผ่านสถานีเกอมัส 08.12 น. สถานี KL Sentral 10.41 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์ 16.18 น.

    ขบวนที่ EG9425 ปาดังเบซาร์-เซกามัต ออกจากสถานีปาดังเบซาร์ 15.55 น. (เวลามาเลเซีย เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ผ่านสถานี KL Sentral 21.39 น. สถานีเกอมัส 00.05 น. (วันถัดไป) ถึงสถานีเซกามัต 00.20 น. (วันถัดไป)

    ขบวนที่ EG9322 เซกามัต-บัตเตอร์เวิร์ธ ออกจากสถานีเซกามัต 15.35 น. ผ่านสถานีเกอมัส 15.52 น. สถานี KL Sentral 18.22 น. ถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 22.42 น.

    ขบวนที่ EG9321 ออกจากสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 07.50 น. ผ่านสถานี KL Sentral 12.15 น. สถานีเกอมัส 14.42 น. ถึงสถานีเซกามัต 14.57 น.

    ค่าโดยสารช่วงเซกามัต-ปาดังเบซาร์ เริ่มต้นที่ 101 ริงกิต (773 บาท) ส่วนช่วงเซกามัต-บัตเตอร์เวิร์ธ เริ่มต้นที่ 84 ริงกิต (643 บาท) สำรองที่นั่งได้ที่แอปพลิเคชัน KTMB Mobile ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป หรือที่เครื่อง Kiosk ของ KTM Berhad ทุกสถานี รับบัตร VISA และ Mastercard

    จากสถานีเซกามัต มีสถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี มีรถบัสให้บริการไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) สถานีขนส่งลาร์คิน ยะโฮร์บาห์รู (Larkin, Johor Bharu) มะละกา (Malacca) และกวนตัน (Kuantan) ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ แต่หากเดินทางด้วยรถไฟขบวน EG9425 จากปาดังเบซาร์ สามารถต่อรถไฟ KTM Intercity ไปยังสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) เพื่อไปประเทศสิงคโปร์ โดยขบวนที่ ES41 ออกจากสถานีเซกามัตเวลา 02.36 น. ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล 06.25 น.

    ส่วนโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร รัฐบาลท้องถิ่นรัฐยะโฮร์เปิดเผยว่าใกล้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะเปิดตัวประมาณเดือน ส.ค.2568

    #Newskit
    รถไฟ ETS มาเลเซีย ขยายถึงเซกามัต รัฐยะโฮร์ สิ้นสุดการรอคอยสำหรับการขยายเส้นทางรถไฟ ETS (Electric Train Service) ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย จากเดิมสิ้นสุดที่สถานีเกอมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบีลัน ขยายไปถึงสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ หลังเจอโรคเลื่อนไปหลายเดือน ล่าสุดประกาศว่าจะเปิดให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป จากต้นทางสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส ติดชายแดนไทย-มาเลเซีย จ.สงขลา และสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง โดยปรับเปลี่ยนต้นทางและปลายทางจากเดิมสถานีเกอมัส เป็นสถานีเซกามัต โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนเวลาเดินรถ ได้แก่ ขบวนที่ EG9420 เซกามัต-ปาดังเบซาร์ ออกจากสถานีเซกามัต 07.55 น. ผ่านสถานีเกอมัส 08.12 น. สถานี KL Sentral 10.41 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์ 16.18 น. ขบวนที่ EG9425 ปาดังเบซาร์-เซกามัต ออกจากสถานีปาดังเบซาร์ 15.55 น. (เวลามาเลเซีย เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ผ่านสถานี KL Sentral 21.39 น. สถานีเกอมัส 00.05 น. (วันถัดไป) ถึงสถานีเซกามัต 00.20 น. (วันถัดไป) ขบวนที่ EG9322 เซกามัต-บัตเตอร์เวิร์ธ ออกจากสถานีเซกามัต 15.35 น. ผ่านสถานีเกอมัส 15.52 น. สถานี KL Sentral 18.22 น. ถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 22.42 น. ขบวนที่ EG9321 ออกจากสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 07.50 น. ผ่านสถานี KL Sentral 12.15 น. สถานีเกอมัส 14.42 น. ถึงสถานีเซกามัต 14.57 น. ค่าโดยสารช่วงเซกามัต-ปาดังเบซาร์ เริ่มต้นที่ 101 ริงกิต (773 บาท) ส่วนช่วงเซกามัต-บัตเตอร์เวิร์ธ เริ่มต้นที่ 84 ริงกิต (643 บาท) สำรองที่นั่งได้ที่แอปพลิเคชัน KTMB Mobile ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป หรือที่เครื่อง Kiosk ของ KTM Berhad ทุกสถานี รับบัตร VISA และ Mastercard จากสถานีเซกามัต มีสถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี มีรถบัสให้บริการไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) สถานีขนส่งลาร์คิน ยะโฮร์บาห์รู (Larkin, Johor Bharu) มะละกา (Malacca) และกวนตัน (Kuantan) ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ แต่หากเดินทางด้วยรถไฟขบวน EG9425 จากปาดังเบซาร์ สามารถต่อรถไฟ KTM Intercity ไปยังสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) เพื่อไปประเทศสิงคโปร์ โดยขบวนที่ ES41 ออกจากสถานีเซกามัตเวลา 02.36 น. ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล 06.25 น. ส่วนโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร รัฐบาลท้องถิ่นรัฐยะโฮร์เปิดเผยว่าใกล้เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะเปิดตัวประมาณเดือน ส.ค.2568 #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการมาเลเซีย ออกคำเตือนถึงพลเรือน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนภาคใต้ของไทย ตามหลังเหตุระเบิดและยิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บ 13 คน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    รอยเตอร์รายงานว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในเหล่าจังหวัดทางใต้สุดของไทย บริเวณที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายมุสลิมมาเลย์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 7,300 ราย นับตั้งแต่การก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่าหลายทศวรรษ โหมกระพือขึ้นในปี 2004
    .
    กลุ่มมือปืนเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ว่าการอำเภอและจุดชนวนคาร์บอมบ์ ในอำเภอสุไหงโกลก ในจังหวัดนราธิวาส แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ปลิดชีพอาสามัครด้านความมั่นคงของไทยไป 2 ราย รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ส่วนในจังหวัดปัตตานีที่อยู่ติดกัน ระเบิดข้างทางสังหารอาสาสมัครทหารพราน 1 นายและเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(9มี.ค.) "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้"
    .
    จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้ มาเลเซีย เป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน
    .
    รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส บอกว่าได้ยกระดับคุมเข้มด้านความปลอดภัยในพื้นที่ "เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมา 4 ถึง 5 ปีแล้ว" พร้อมระบุยังคงมีชาวมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าในเบื้องต้น เหตุการณ์นี้คงจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023259
    ..............
    Sondhi X
    ทางการมาเลเซีย ออกคำเตือนถึงพลเรือน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนภาคใต้ของไทย ตามหลังเหตุระเบิดและยิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บ 13 คน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา . รอยเตอร์รายงานว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในเหล่าจังหวัดทางใต้สุดของไทย บริเวณที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายมุสลิมมาเลย์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 7,300 ราย นับตั้งแต่การก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่าหลายทศวรรษ โหมกระพือขึ้นในปี 2004 . กลุ่มมือปืนเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ว่าการอำเภอและจุดชนวนคาร์บอมบ์ ในอำเภอสุไหงโกลก ในจังหวัดนราธิวาส แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ปลิดชีพอาสามัครด้านความมั่นคงของไทยไป 2 ราย รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ส่วนในจังหวัดปัตตานีที่อยู่ติดกัน ระเบิดข้างทางสังหารอาสาสมัครทหารพราน 1 นายและเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน . กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(9มี.ค.) "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้" . จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้ มาเลเซีย เป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน . รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส บอกว่าได้ยกระดับคุมเข้มด้านความปลอดภัยในพื้นที่ "เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมา 4 ถึง 5 ปีแล้ว" พร้อมระบุยังคงมีชาวมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าในเบื้องต้น เหตุการณ์นี้คงจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023259 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1056 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอร์เอเชียจากแม่สู่ลูก

    แคปิตอล เอ (Capital A) หรือกลุ่มแอร์เอเชียเดิม ผู้ก่อตั้งสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซีย กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และถูกตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (Bursa Malaysia) จัดให้หุ้น CAPI อยู่ในสถานะ "PN17" หรือมีปัญหาทางการเงิน มาตั้งแต่ปี 2565 ล่าสุดได้รับอนุมัติแผนการปรับปรุงบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.

    โทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปิตอล เอ เปิดเผยว่า จะเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งพิเศษ (EGM) ในเดือน เม.ย. เพื่อขออนุมัติแผน ก่อนยื่นเรื่องไปที่ศาลสูงเพื่อขออนุมัติแผนลดทุนจดทะเบียน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการขายหุ้น แอร์เอเชีย เอวิเอชั่น กรุ๊ป (AAAGL) และมุ่งเน้นทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน หากปลดล็อกสถานะ PN17 ได้ จะสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ และเข้าถึงตลาดทุนมากขึ้น

    อีกด้านหนึ่ง โทนี่ยังได้เสนอขายหุ้นแบบส่วนตัว มูลค่า 1,000 ล้านริงกิต (7,700 ล้านบาท) เพื่อระดมทุนในกลุ่มบริษัทฯ ล่าสุดถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่ปฎิเสธข่าวกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดิอาระเบีย (PIF) มีแผนที่ลงทุนในกลุ่มบริษัทฯ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไม่ระบุว่าได้จองซื้อหุ้นจากการเสนอขายแบบส่วนตัวหรือไม่

    เมื่อปีที่แล้ว แคปิตอล เอ ประกาศว่าจะขายธุรกิจการบินแอร์เอเชียให้กับ แอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Airasia X หรือหุ้น AIRX) ซึ่งแยกบริษัทออกมาทำธุรกิจการบินระยะไกล (มากกว่า 4 ชั่วโมง) ก่อนหน้านี้ ด้วยมูลค่า 6,800 ล้านริงกิต (52,000 ล้านบาท) และจะรวมแบรนด์แอร์เอเชีย เอ็กซ์ กับแอร์เอเชีย ภายใต้ชื่อ AirAsia เพียงแบรนด์เดียว

    ส่วนแคปิตอล เอ จะลดทุนจดทะเบียนเพื่อชดเชยการขาดทุนสะสม และปรับโครงสร้างธุรกิจเหลือเพียง 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจซ่อมบํารุงเครื่องบิน Asia Digital Engineering (ADE) สัดส่วนรายได้ 23% 2. ธุรกิจขนส่งสินค้า Teleport สัดส่วนรายได้ 40% 3. ธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล AirAsia MOVE สัดส่วนรายได้ 19% 4. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน Santan 5. ธุรกิจฟินเทค BigPay 6. ธุรกิจบริหารจัดการแบรนด์แอร์เอเชีย Abc. International เป็นต้น

    ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แคปิตอล เอ เปิดเผยผลประกอบการปี 2567 พบว่าขาดทุนสุทธิ 475.1 ล้านริงกิต (3,632 ล้านบาท) จากปี 2566 มีกำไร 255.3 ล้านริงกิต (1,952 ล้านบาท) ส่วนใหญ่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,400 ล้านริงกิต (10,700 ล้านบาท) โดยเฉพาะธุรกิจการบิน ทำให้ไตรมาสที่ 4 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1,570 ล้านริงกิต (12,000 ล้านบาท) จาก 345.3 ล้านริงกิต (2,640 ล้านบาท) เมื่อปีก่อน

    #Newskit
    แอร์เอเชียจากแม่สู่ลูก แคปิตอล เอ (Capital A) หรือกลุ่มแอร์เอเชียเดิม ผู้ก่อตั้งสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซีย กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และถูกตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (Bursa Malaysia) จัดให้หุ้น CAPI อยู่ในสถานะ "PN17" หรือมีปัญหาทางการเงิน มาตั้งแต่ปี 2565 ล่าสุดได้รับอนุมัติแผนการปรับปรุงบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. โทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปิตอล เอ เปิดเผยว่า จะเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งพิเศษ (EGM) ในเดือน เม.ย. เพื่อขออนุมัติแผน ก่อนยื่นเรื่องไปที่ศาลสูงเพื่อขออนุมัติแผนลดทุนจดทะเบียน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการขายหุ้น แอร์เอเชีย เอวิเอชั่น กรุ๊ป (AAAGL) และมุ่งเน้นทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน หากปลดล็อกสถานะ PN17 ได้ จะสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ และเข้าถึงตลาดทุนมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง โทนี่ยังได้เสนอขายหุ้นแบบส่วนตัว มูลค่า 1,000 ล้านริงกิต (7,700 ล้านบาท) เพื่อระดมทุนในกลุ่มบริษัทฯ ล่าสุดถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่ปฎิเสธข่าวกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดิอาระเบีย (PIF) มีแผนที่ลงทุนในกลุ่มบริษัทฯ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไม่ระบุว่าได้จองซื้อหุ้นจากการเสนอขายแบบส่วนตัวหรือไม่ เมื่อปีที่แล้ว แคปิตอล เอ ประกาศว่าจะขายธุรกิจการบินแอร์เอเชียให้กับ แอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Airasia X หรือหุ้น AIRX) ซึ่งแยกบริษัทออกมาทำธุรกิจการบินระยะไกล (มากกว่า 4 ชั่วโมง) ก่อนหน้านี้ ด้วยมูลค่า 6,800 ล้านริงกิต (52,000 ล้านบาท) และจะรวมแบรนด์แอร์เอเชีย เอ็กซ์ กับแอร์เอเชีย ภายใต้ชื่อ AirAsia เพียงแบรนด์เดียว ส่วนแคปิตอล เอ จะลดทุนจดทะเบียนเพื่อชดเชยการขาดทุนสะสม และปรับโครงสร้างธุรกิจเหลือเพียง 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจซ่อมบํารุงเครื่องบิน Asia Digital Engineering (ADE) สัดส่วนรายได้ 23% 2. ธุรกิจขนส่งสินค้า Teleport สัดส่วนรายได้ 40% 3. ธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล AirAsia MOVE สัดส่วนรายได้ 19% 4. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน Santan 5. ธุรกิจฟินเทค BigPay 6. ธุรกิจบริหารจัดการแบรนด์แอร์เอเชีย Abc. International เป็นต้น ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แคปิตอล เอ เปิดเผยผลประกอบการปี 2567 พบว่าขาดทุนสุทธิ 475.1 ล้านริงกิต (3,632 ล้านบาท) จากปี 2566 มีกำไร 255.3 ล้านริงกิต (1,952 ล้านบาท) ส่วนใหญ่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,400 ล้านริงกิต (10,700 ล้านบาท) โดยเฉพาะธุรกิจการบิน ทำให้ไตรมาสที่ 4 ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1,570 ล้านริงกิต (12,000 ล้านบาท) จาก 345.3 ล้านริงกิต (2,640 ล้านบาท) เมื่อปีก่อน #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยายบริการ DRT เกาะปีนัง ไปยังเกอร์นีย์และบัตเตอร์เวิร์ธ

    บริการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง หรือ DRT (Demand Responsive Transport) ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลักไปยังชุมชนในรัศมีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เลือกจุดขึ้นรถ จุดลงรถ และชำระค่าโดยสารผ่านบัตรโดยสาร ไม่ได้จำกัดเพียงแค่พื้นที่หุบเขาแคลง (Klang Valley) ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่มหานครอันดับสองอย่างรัฐปีนัง เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา

    บริษัทแรพิดบัส (Rapid Bus) ผู้ให้บริการรถโดยสาร แรพิด ปีนัง (Rapid Penang) ประกาศว่าจะขยายบริการ แรพิด ปีนัง ออน ดีมานด์ (Rapid Penang On-Demand) จากเดิมมีสาย T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม (Farlim-Air Itam) เพิ่มอีก 3 เส้นทาง ตั้งแต่ 15 มี.ค.2568 เป็นต้นไป ได้แก่

    สาย T110B เกอร์นีย์-ตันจงบุงกะห์ (Gurney-Tanjung Bungah) ใช้รถตู้ 6 คัน

    สาย T710B ซันเวย์-บัตเตอร์เวิร์ธ (Sunway-Butterworth) ใช้รถตู้ 6 คัน

    และสาย T211B ปายา เตอรูบง (Paya Terubong) ใช้รถตู้ 1 คัน

    นอกจากนี้ สาย T210B จะเพิ่มรถตู้จาก 2 คัน เป็น 4 คัน เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น และลดเวลารอคอยของผู้โดยสารจาก 17 นาทีเหลือ 10 นาที ที่ผ่านมามีผู้โดยสารเฉลี่ย 137 คนต่อวัน ซึ่งเกินเป้าหมายเริ่มต้นที่ 100 คนต่อวัน รวมแล้วจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดเกิน 26,000 คนในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา

    แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า เส้นทางใหม่เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการขนส่งสาธารณะ ในพื้นที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและย่านที่อยู่อาศัยที่เพิ่งพัฒนา แต่ยังขาดการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ โดยจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายรถเมล์ Rapid Penang เพิ่มการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะในรัฐ โดยวางแผนทยอยนำรถตู้ 50 คันมาให้บริการตลอดทั้งปี ซึ่งการเปิดบริการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    Rapid Penang On-Demand เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. สามารถจองรถได้ทางแอปพลิเคชัน กัมมูเต (Kummute) คิดค่าโดยสารราคาพิเศษ 1 ริงกิต (ประมาณ 7.70 บาท) ต่อเที่ยวการเดินทาง และจะใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ได้แก่ บัตร My50 และบัตร OKU Smile สำหรับคนในพื้นที่ บัตรเดบิต บัตรเครดิต DuitNow QR และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเริ่มจากเส้นทาง T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.2568 ก่อนจะนำมาใช้ทั้ง 3 เส้นทางที่เปิดให้บริการขึ้นมาใหม่

    #Newskit
    ขยายบริการ DRT เกาะปีนัง ไปยังเกอร์นีย์และบัตเตอร์เวิร์ธ บริการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง หรือ DRT (Demand Responsive Transport) ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลักไปยังชุมชนในรัศมีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เลือกจุดขึ้นรถ จุดลงรถ และชำระค่าโดยสารผ่านบัตรโดยสาร ไม่ได้จำกัดเพียงแค่พื้นที่หุบเขาแคลง (Klang Valley) ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่มหานครอันดับสองอย่างรัฐปีนัง เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา บริษัทแรพิดบัส (Rapid Bus) ผู้ให้บริการรถโดยสาร แรพิด ปีนัง (Rapid Penang) ประกาศว่าจะขยายบริการ แรพิด ปีนัง ออน ดีมานด์ (Rapid Penang On-Demand) จากเดิมมีสาย T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม (Farlim-Air Itam) เพิ่มอีก 3 เส้นทาง ตั้งแต่ 15 มี.ค.2568 เป็นต้นไป ได้แก่ สาย T110B เกอร์นีย์-ตันจงบุงกะห์ (Gurney-Tanjung Bungah) ใช้รถตู้ 6 คัน สาย T710B ซันเวย์-บัตเตอร์เวิร์ธ (Sunway-Butterworth) ใช้รถตู้ 6 คัน และสาย T211B ปายา เตอรูบง (Paya Terubong) ใช้รถตู้ 1 คัน นอกจากนี้ สาย T210B จะเพิ่มรถตู้จาก 2 คัน เป็น 4 คัน เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น และลดเวลารอคอยของผู้โดยสารจาก 17 นาทีเหลือ 10 นาที ที่ผ่านมามีผู้โดยสารเฉลี่ย 137 คนต่อวัน ซึ่งเกินเป้าหมายเริ่มต้นที่ 100 คนต่อวัน รวมแล้วจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดเกิน 26,000 คนในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า เส้นทางใหม่เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการขนส่งสาธารณะ ในพื้นที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและย่านที่อยู่อาศัยที่เพิ่งพัฒนา แต่ยังขาดการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ โดยจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายรถเมล์ Rapid Penang เพิ่มการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะในรัฐ โดยวางแผนทยอยนำรถตู้ 50 คันมาให้บริการตลอดทั้งปี ซึ่งการเปิดบริการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Rapid Penang On-Demand เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. สามารถจองรถได้ทางแอปพลิเคชัน กัมมูเต (Kummute) คิดค่าโดยสารราคาพิเศษ 1 ริงกิต (ประมาณ 7.70 บาท) ต่อเที่ยวการเดินทาง และจะใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ได้แก่ บัตร My50 และบัตร OKU Smile สำหรับคนในพื้นที่ บัตรเดบิต บัตรเครดิต DuitNow QR และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเริ่มจากเส้นทาง T210B ฟาร์ลิม-ไอร์อิตัม ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.2568 ก่อนจะนำมาใช้ทั้ง 3 เส้นทางที่เปิดให้บริการขึ้นมาใหม่ #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ท่าทีที่น่ากังวล ของ สส. ผู้ทรงเกียรติ ##
    ..
    ..
    นายคนนี้ คือ สส. พรรคสีสัม ใครเลือกมา ได้โปรด ติดตามผลงานของท่านด้วย...!!!
    .
    นายคนนี้คือ นาย รอมฎอน ปันจอร์ สส. ที่อยู่ทางภาคใต้ ของ พรรคประชาชน
    .
    ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเหตุก่อขึ้นโดย กลุ่มก่อการร้ายภาคใต้...
    .
    สส. พรรคสีส้ม รายนี้ ไม่เคยตำหนิผู้ก่อการร้าย ที่ใช้ความรุนแรงเลย...
    .
    อย่างเดียวที่เขาพูดคือ ตำหนิ รัฐไทย ว่า เจ้าหน้าที่ไทยมีปัญหา กดขี่ ข่มขู่ ไม่จริงใจในการแสวงหาสันติภาพ...!!!
    .
    ให้ยกเลิก กฎอัยการศึก ให้ยกเลิก ศอ.บต.
    .
    จริงหรือไม่ หลายครั้ง สส.ท่านนี้ ไปงานสัมนา มากกว่า 1 ครั้ง และ พูด ชวัดเชวียน ไปมา ในทำนอง ประกาศอิสรภาพ เอกราช ประชามติ ปกครองตัวเอง
    .
    โดยครั้งหนึ่ง งานเสวนาที่ท่านเป็นแขกรับเชิญ ท่าน อาจะเป็น นกรู้ หรือ อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านไม่มา...
    .
    แต่ในงานนั้นมีการ "จัดการจำลอง" การ "ทำประชามติ แบ่งแยกดินแดน" ให้ รัฐปาตานี ปกครองตัวเอง (ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของรัฐทางภาคใต้)
    .
    ซึ่ง รัฐปาตานี นี้นักประวัติศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงกลุ่มคนผลักดันขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
    .
    ถึงขั้น คนอีกกลุ่ม เอาไปทำบอร์ดเกม เนื้อหาระบุว่า รัฐไทยกระทำการเหี้ยมโหด โหดร้ายทารุณ ต่อ ชาวปาตานี
    .
    ปาตานี ในที่นี้ พวกเขาไม่ได้หมายถึง จังหวัดปัตตานี นะครับ เขาหมายรวม ครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา ในปัจจุบัน รวมทั้งตอนเหนือของมาเลเซียในบางยุคสมัย ด้วย (นี่คือชุดข้อมูลของพวกเขา)
    .
    ซึ่งหลายครั้ง คุณ พวกคุณ คณะก้าวหน้า ธนาธร ช่อ ปิยะบุตร รวมไปถึง นักการเมืองอีกพรรคหนึ่ง เวลาไปเสวนา ก็จะพูดไปในทำนองนี้ รัฐไทยกดขี่ สร้างความเจ็บปวดให้ ใช่หรือไม่...???
    .
    คลิป มันมีนะครับ สมัยนี้เขาเรียก Digital Footprint พวกคุณหนีความจริงไม่พ้นหรอก
    .
    พวกเราประชาชนตาดำๆ ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่พรรคการเมือง ต้องช่วยกัน สอดส่องพฤติกรรม ของ สส. ที่พวกคุณเลือกเข้ามาด้วยนะครับ ว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง...???
    .
    ลึกๆแล้วพวกเขาคิดอะไร ต้องการอะไรกันแน่...???
    .
    ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมไม่สบายใจกับท่าที ของ สส. ผู้ทรงเกียรติหลายท่าน รวมไปถึง อดีต สส.เอย NGO เอย มานานพอสมควรแล้วครับ
    .
    แล้วจริงหรือไม่ ที่พรรคก้าวไกล เคยเสนอแก้รัฐนูญ นอกจากหมวด 2 ที่เกี่ยวกับ สถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว...
    .
    พรรคก้าวไกล ยังเคยเสนอแก้รัฐนูญ หมวด 1 อีกด้วย
    .
    หากผมจำไม่ผิด รัฐธรรมนูญ หมวด 1 ระบุว่า
    .
    มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
    .
    มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
    .
    ผมถาม ใน 3 มาตรานี้ พวกคุณต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อไหน...???
    .
    ผมจำชื่อไม่ได้ แต่มีอาจารย์คนหนึ่งเคยพูดว่า เรื่อง "มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" ไว้ว่า...
    .
    "มันต้องแบ่งได้"
    .
    ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์ท่านนั้นคนเดียวก็ได้...
    .
    แต่ผมเห็น หลายๆท่าน หลายๆกระบวนการ บอกตามตรงในฐานะ "พลเมืองไทย" ผมกังวลต่อท่าทีของหลายๆท่านมากนะครับ...
    .
    สงสารตัวเอง สงสารลูกหลาน...
    .
    และ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คนที่ยังไม่รู้พฤติกรรมแปลกๆพวกนี้ ยังมีอีกเยอะครับ...
    ## ท่าทีที่น่ากังวล ของ สส. ผู้ทรงเกียรติ ## .. .. นายคนนี้ คือ สส. พรรคสีสัม ใครเลือกมา ได้โปรด ติดตามผลงานของท่านด้วย...!!! . นายคนนี้คือ นาย รอมฎอน ปันจอร์ สส. ที่อยู่ทางภาคใต้ ของ พรรคประชาชน . ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเหตุก่อขึ้นโดย กลุ่มก่อการร้ายภาคใต้... . สส. พรรคสีส้ม รายนี้ ไม่เคยตำหนิผู้ก่อการร้าย ที่ใช้ความรุนแรงเลย... . อย่างเดียวที่เขาพูดคือ ตำหนิ รัฐไทย ว่า เจ้าหน้าที่ไทยมีปัญหา กดขี่ ข่มขู่ ไม่จริงใจในการแสวงหาสันติภาพ...!!! . ให้ยกเลิก กฎอัยการศึก ให้ยกเลิก ศอ.บต. . จริงหรือไม่ หลายครั้ง สส.ท่านนี้ ไปงานสัมนา มากกว่า 1 ครั้ง และ พูด ชวัดเชวียน ไปมา ในทำนอง ประกาศอิสรภาพ เอกราช ประชามติ ปกครองตัวเอง . โดยครั้งหนึ่ง งานเสวนาที่ท่านเป็นแขกรับเชิญ ท่าน อาจะเป็น นกรู้ หรือ อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านไม่มา... . แต่ในงานนั้นมีการ "จัดการจำลอง" การ "ทำประชามติ แบ่งแยกดินแดน" ให้ รัฐปาตานี ปกครองตัวเอง (ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของรัฐทางภาคใต้) . ซึ่ง รัฐปาตานี นี้นักประวัติศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงกลุ่มคนผลักดันขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง . ถึงขั้น คนอีกกลุ่ม เอาไปทำบอร์ดเกม เนื้อหาระบุว่า รัฐไทยกระทำการเหี้ยมโหด โหดร้ายทารุณ ต่อ ชาวปาตานี . ปาตานี ในที่นี้ พวกเขาไม่ได้หมายถึง จังหวัดปัตตานี นะครับ เขาหมายรวม ครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา ในปัจจุบัน รวมทั้งตอนเหนือของมาเลเซียในบางยุคสมัย ด้วย (นี่คือชุดข้อมูลของพวกเขา) . ซึ่งหลายครั้ง คุณ พวกคุณ คณะก้าวหน้า ธนาธร ช่อ ปิยะบุตร รวมไปถึง นักการเมืองอีกพรรคหนึ่ง เวลาไปเสวนา ก็จะพูดไปในทำนองนี้ รัฐไทยกดขี่ สร้างความเจ็บปวดให้ ใช่หรือไม่...??? . คลิป มันมีนะครับ สมัยนี้เขาเรียก Digital Footprint พวกคุณหนีความจริงไม่พ้นหรอก . พวกเราประชาชนตาดำๆ ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่พรรคการเมือง ต้องช่วยกัน สอดส่องพฤติกรรม ของ สส. ที่พวกคุณเลือกเข้ามาด้วยนะครับ ว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง...??? . ลึกๆแล้วพวกเขาคิดอะไร ต้องการอะไรกันแน่...??? . ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมไม่สบายใจกับท่าที ของ สส. ผู้ทรงเกียรติหลายท่าน รวมไปถึง อดีต สส.เอย NGO เอย มานานพอสมควรแล้วครับ . แล้วจริงหรือไม่ ที่พรรคก้าวไกล เคยเสนอแก้รัฐนูญ นอกจากหมวด 2 ที่เกี่ยวกับ สถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว... . พรรคก้าวไกล ยังเคยเสนอแก้รัฐนูญ หมวด 1 อีกด้วย . หากผมจำไม่ผิด รัฐธรรมนูญ หมวด 1 ระบุว่า . มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ . มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ . ผมถาม ใน 3 มาตรานี้ พวกคุณต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อไหน...??? . ผมจำชื่อไม่ได้ แต่มีอาจารย์คนหนึ่งเคยพูดว่า เรื่อง "มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" ไว้ว่า... . "มันต้องแบ่งได้" . ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์ท่านนั้นคนเดียวก็ได้... . แต่ผมเห็น หลายๆท่าน หลายๆกระบวนการ บอกตามตรงในฐานะ "พลเมืองไทย" ผมกังวลต่อท่าทีของหลายๆท่านมากนะครับ... . สงสารตัวเอง สงสารลูกหลาน... . และ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า คนที่ยังไม่รู้พฤติกรรมแปลกๆพวกนี้ ยังมีอีกเยอะครับ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨พระยอดขุนพลหลวงพ่อขันต์วัดศรีอารย์ จังหวัดราชบุรีปีพ.ศ.2504เป็นพระที่ได้ชื่อว่าเป็นพระยอดขุนพลแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง โดยเนื้อหามวลสารมีความพิเศษด้วยแร่และดินที่มาจากแหล่งเดียวกันกับพระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ปัตตานี ปีพ.ศ.2497ผสมกับดินกรุจากกรุต่างๆทั่วประเทศพร้อมกับว่านร้อยแปดจากมาเลเซีย

    พระเครื่องชุดนี้มี 5 พิมพ์ด้วยกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ใด พระของหลวงพ่อขันธ์นั้น ท่านว่าล้วนแล้วแต่ มีพุทธคุณเด่นในทาง เมตตามหานิยม โชคโภคทรัพย์ และ คงกระพันชาตรียิ่ง
    ✨พระยอดขุนพลหลวงพ่อขันต์วัดศรีอารย์ จังหวัดราชบุรีปีพ.ศ.2504เป็นพระที่ได้ชื่อว่าเป็นพระยอดขุนพลแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง โดยเนื้อหามวลสารมีความพิเศษด้วยแร่และดินที่มาจากแหล่งเดียวกันกับพระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ปัตตานี ปีพ.ศ.2497ผสมกับดินกรุจากกรุต่างๆทั่วประเทศพร้อมกับว่านร้อยแปดจากมาเลเซีย พระเครื่องชุดนี้มี 5 พิมพ์ด้วยกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ใด พระของหลวงพ่อขันธ์นั้น ท่านว่าล้วนแล้วแต่ มีพุทธคุณเด่นในทาง เมตตามหานิยม โชคโภคทรัพย์ และ คงกระพันชาตรียิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • แอร์เอเชียโบกมือลา หยุดให้บริการสนามบินซูบัง

    หลังจากสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซีย แอร์เอเชีย (AirAsia) กลับมาทำการบินที่ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิสชาห์ หรือท่าอากาศยานซูบัง (Subang หรือ SZB) ซึ่งเป็นอดีตสนามบินหลักของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในรอบ 24 ปี ไปยังรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว มาตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.2567 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าผ่านไปเพียง 7 เดือน ในที่สุดประกาศว่า จะกลับมารวมเที่ยวบินภายในประเทศที่ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (KUL) อาคาร 2 (KLIA2) เช่นเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.2568 เป็นต้นไป ผู้โดยสารที่เคยจองบัตรโดยสารไว้ก่อนหน้านี้ ต้องเปลี่ยนไปขึ้นหรือลงที่ KLIA2 แทน

    แถลงการณ์ของแอร์เอเชียอ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เนื่องจากผู้โดยสารระหว่าง KLIA2 ไปยังเมืองหลัก เช่น โกตากินาบาลู (Kota Kinabalu) และกูชิง (Kucing) เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการให้บริการรวมกันที่ KLIA2 จะช่วยรองรับปริมาณการเดินทางได้ดีขึ้น แม้ท่าอากาศยานซูบังจะสะดวกสบายโดยเฉพาะนักเดินทางที่มุ่งหน้าสู่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่การพัฒนาสนามบินซูบังขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตต้องใช้เวลา ขณะที่ท่าอากาศยาน KLIA2 เป็นทำเลที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพการให้บริการ

    ฟาเรห์ มาซปุตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอร์เอเชีย เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของ KLIA2 รองรับการเชื่อมต่อขนาดใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีการเดินทางสูงสุด และอาคารผู้โดยสารยังรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับ\เพิ่มเที่ยวบิน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเส้นทางมาเลเซียตะวันออก

    การยุติให้บริการของแอร์เอเชีย ทำให้ยังคงเหลือสายการบินที่ทำการบินที่ท่าอากาศยานซูบัง ได้แก่ ไฟร์ฟลาย (Firefly) ไปยังสนามบินเซเลตาร์ (Seletar) หรือ XSP ในสิงคโปร์มากถึงวันละ 5 เที่ยวบิน ปีนัง (Penang) วันละ 4 เที่ยวบิน โกตาบารู (Kota Bharu) วันละ 2-4 เที่ยวบิน ยะโฮร์บาห์รู (Johor Bahru) วันละ 2 เที่ยวบิน และเมืองอื่นๆ เช่น อลอร์สตาร์ (Alor Setar) ลังกาวี (Langkawi) กัวลาตรังกานู (Kuala Terengganu) และโกตากินาบาลู

    ส่วนสายการบินอื่นๆ อาทิ รายาแอร์เวย์ (Raya Airways) ไปยังโกตากินาบาลู 2 เที่ยวบิน กูชิง 2 เที่ยวบิน ลาบวน (Labuan) ฮ่องกง (HKG) 1-2 เที่ยวบิน สิงคโปร์ชางงี (SIN) และจาการ์ตา (Jakarta CGK) อินโดนีเซีย, เบอร์จายาแอร์ (Berjaya Air) ให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำไปยังลังกาวีและเรดัง (Redang), ทรานส์นูซา (TransNusa) ไปยังจาการ์ตา และสกู๊ต (Scoot) ไปยังสิงคโปร์ชางงี เป็นต้น

    #Newskit
    แอร์เอเชียโบกมือลา หยุดให้บริการสนามบินซูบัง หลังจากสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซีย แอร์เอเชีย (AirAsia) กลับมาทำการบินที่ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิสชาห์ หรือท่าอากาศยานซูบัง (Subang หรือ SZB) ซึ่งเป็นอดีตสนามบินหลักของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในรอบ 24 ปี ไปยังรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว มาตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.2567 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าผ่านไปเพียง 7 เดือน ในที่สุดประกาศว่า จะกลับมารวมเที่ยวบินภายในประเทศที่ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (KUL) อาคาร 2 (KLIA2) เช่นเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.2568 เป็นต้นไป ผู้โดยสารที่เคยจองบัตรโดยสารไว้ก่อนหน้านี้ ต้องเปลี่ยนไปขึ้นหรือลงที่ KLIA2 แทน แถลงการณ์ของแอร์เอเชียอ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เนื่องจากผู้โดยสารระหว่าง KLIA2 ไปยังเมืองหลัก เช่น โกตากินาบาลู (Kota Kinabalu) และกูชิง (Kucing) เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการให้บริการรวมกันที่ KLIA2 จะช่วยรองรับปริมาณการเดินทางได้ดีขึ้น แม้ท่าอากาศยานซูบังจะสะดวกสบายโดยเฉพาะนักเดินทางที่มุ่งหน้าสู่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่การพัฒนาสนามบินซูบังขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตต้องใช้เวลา ขณะที่ท่าอากาศยาน KLIA2 เป็นทำเลที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพการให้บริการ ฟาเรห์ มาซปุตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอร์เอเชีย เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของ KLIA2 รองรับการเชื่อมต่อขนาดใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีการเดินทางสูงสุด และอาคารผู้โดยสารยังรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับ\เพิ่มเที่ยวบิน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเส้นทางมาเลเซียตะวันออก การยุติให้บริการของแอร์เอเชีย ทำให้ยังคงเหลือสายการบินที่ทำการบินที่ท่าอากาศยานซูบัง ได้แก่ ไฟร์ฟลาย (Firefly) ไปยังสนามบินเซเลตาร์ (Seletar) หรือ XSP ในสิงคโปร์มากถึงวันละ 5 เที่ยวบิน ปีนัง (Penang) วันละ 4 เที่ยวบิน โกตาบารู (Kota Bharu) วันละ 2-4 เที่ยวบิน ยะโฮร์บาห์รู (Johor Bahru) วันละ 2 เที่ยวบิน และเมืองอื่นๆ เช่น อลอร์สตาร์ (Alor Setar) ลังกาวี (Langkawi) กัวลาตรังกานู (Kuala Terengganu) และโกตากินาบาลู ส่วนสายการบินอื่นๆ อาทิ รายาแอร์เวย์ (Raya Airways) ไปยังโกตากินาบาลู 2 เที่ยวบิน กูชิง 2 เที่ยวบิน ลาบวน (Labuan) ฮ่องกง (HKG) 1-2 เที่ยวบิน สิงคโปร์ชางงี (SIN) และจาการ์ตา (Jakarta CGK) อินโดนีเซีย, เบอร์จายาแอร์ (Berjaya Air) ให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำไปยังลังกาวีและเรดัง (Redang), ทรานส์นูซา (TransNusa) ไปยังจาการ์ตา และสกู๊ต (Scoot) ไปยังสิงคโปร์ชางงี เป็นต้น #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘สว.ไชยยงค์’ ชี้การก่อวินาศกรรมใน อ.สุไหงโก-ลก คือความล้มเหลวของภาครัฐในด้านการข่าว การรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ และกองกำลังพิเศษจากส่วนกบาง ชี้ถึงเวลาต้องมี “กฎหมายการก่อการร้าย และรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000022804

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ‘สว.ไชยยงค์’ ชี้การก่อวินาศกรรมใน อ.สุไหงโก-ลก คือความล้มเหลวของภาครัฐในด้านการข่าว การรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ และกองกำลังพิเศษจากส่วนกบาง ชี้ถึงเวลาต้องมี “กฎหมายการก่อการร้าย และรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000022804 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมต้องเรียนภาษาอินโดนีเซีย (Bahasa Indonesia)

    ความน่าสนใจของภาษาอินโดนีเซีย
    1. เรียนง่าย – ไม่มีการผันกริยา ไม่มีเพศของคำ และไม่มีโทนเสียง
    2. ใช้แพร่หลาย – เป็นภาษาทางการของอินโดนีเซีย (ประชากรกว่า 270 ล้านคน) และเข้าใจได้ในมาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์
    3. มีคำคล้ายภาษาอังกฤษ – เช่น “gratis” (ฟรี), “polisi” (ตำรวจ), “kantor” (สำนักงาน)
    4. โอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว – ช่วยให้เดินทางและทำงานในอินโดนีเซียได้สะดวกขึ้น
    5. ใช้ตัวอักษรโรมัน – อ่านง่าย ไม่ต้องเรียนตัวอักษรใหม่

    สนุกและง่ายขนาดนี้ มาเริ่มเรียนกันเลย! 🇹🇭❤️🇮🇩 #ไทยคำอินโดคำ
    ทำไมต้องเรียนภาษาอินโดนีเซีย (Bahasa Indonesia) ความน่าสนใจของภาษาอินโดนีเซีย 1. เรียนง่าย – ไม่มีการผันกริยา ไม่มีเพศของคำ และไม่มีโทนเสียง 2. ใช้แพร่หลาย – เป็นภาษาทางการของอินโดนีเซีย (ประชากรกว่า 270 ล้านคน) และเข้าใจได้ในมาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ 3. มีคำคล้ายภาษาอังกฤษ – เช่น “gratis” (ฟรี), “polisi” (ตำรวจ), “kantor” (สำนักงาน) 4. โอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว – ช่วยให้เดินทางและทำงานในอินโดนีเซียได้สะดวกขึ้น 5. ใช้ตัวอักษรโรมัน – อ่านง่าย ไม่ต้องเรียนตัวอักษรใหม่ สนุกและง่ายขนาดนี้ มาเริ่มเรียนกันเลย! 🇹🇭❤️🇮🇩 #ไทยคำอินโดคำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีเจมาเลเซีย ล้อเลียนพิธีกรรมฮินดู

    เกิดเรื่องไม่เหมาะสมในวงการวิทยุมาเลเซีย เมื่อ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) หนึ่งในผู้ดำเนินรายการตีกะ ปากี อีรา (3 Pagi Era) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ 6 โมงเช้า ทางสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเทศกาลไทปูซัม (Thaipusam) ตะโกนคำว่า “เวล เวล!” และหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ปรากฎผ่านวีดีโอคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี กลายเป็นที่วิจารณ์และไม่พอใจอย่างมากสำหรับชาวฮินดูในมาเลเซีย

    พฤติกรรมดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายมาเลเซีย ข้อหาจงใจทำร้ายความรู้สึกทางศาสนาของบุคคลใดๆ (กฎหมายอาญามาตรา 298) กับข้อหาใช้ระบบหรือบริการเครือข่ายสื่อสารและมัลติมีเดียไม่เหมาะสม (มาตรา 233 พ.ร.บ.การสื่อสารและมัลติมีเดีย) ซึ่งมีผู้แจ้งความกับตำรวจแล้วและอยู่ในระหว่างสอบสวน ส่วนคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้เรียกแอสโตร (Astro) บริษัทด้านสื่อและบันเทิงในมาเลเซีย กับผู้บริหารสถานีมาชี้แจง ขณะที่ โกบินด์ ซิงห์ ดิโอ รมว.ดิจิทัลมาเลเซีย ตำหนิพฤติกรรมดีเจคนดังกล่าวว่า น่ารังเกียจและกังวลใจอย่างยิ่ง การล้อเลียนหรือไม่เคารพต่อศาสนาใดๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ขณะที่แอสโตรได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ และจะดําเนินการสอบสวนภายในอย่างละเอียด โดยซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงได้เข้าพบคณะกรรมการ MCMC และตัดสินใจระงับการจัดรายการของดีเจทั้ง 3 คน พร้อมพนักงานอีก 2 คน

    ด้านดีเจทั้งสามคน นำโดย นาบิล อาห์หมัด (Nabil Ahmad), อาซาด และ ราดิน อาเมียร์ อัฟเฟนดี (Radin Amir Affendy) ออกมาขอโทษต่อวีดีโอคลิปดังกล่าว ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ และกระทบความรู้สึกบางคน รวมทั้งชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดีย ขณะที่ราดินได้ขอให้ผู้ฟังมั่นใจว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ส่วนคนต้นเรื่องอย่างอาซาด กล่าวว่า ยินดีรับคำติชมและคำวิจารณ์อยู่เสมอเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะจากผู้ฟัง พร้อมขออภัยอย่างสุดซึ้งสำหรับความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจและเสียใจอย่างยิ่ง

    อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เตือนทุกฝ่ายให้หลีกเลี่ยงคำพูดหรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับ 3R ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) เพราะจะทำลายความสามัคคีในชาติ และจะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก พร้อมกับให้ชาวมาเลเซียทุกคนให้ความสำคัญกับความเคารพในชุมชนต่างๆ ตามหลักการแห่งชาติ (Rukun Negara)

    #Newskit
    ดีเจมาเลเซีย ล้อเลียนพิธีกรรมฮินดู เกิดเรื่องไม่เหมาะสมในวงการวิทยุมาเลเซีย เมื่อ อาซาด จัสมิน จอห์น หลุยส์ เจฟฟรี่ (Azad Jazmin John Louis Jeffri) หนึ่งในผู้ดำเนินรายการตีกะ ปากี อีรา (3 Pagi Era) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ 6 โมงเช้า ทางสถานีวิทยุอีรา (ERA) คลื่นเพลงชื่อดังในมาเลเซีย แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ล้อเลียนการเต้นรำกาวาดี (Kavadi) ของศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเทศกาลไทปูซัม (Thaipusam) ตะโกนคำว่า “เวล เวล!” และหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ปรากฎผ่านวีดีโอคลิปในบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสถานี กลายเป็นที่วิจารณ์และไม่พอใจอย่างมากสำหรับชาวฮินดูในมาเลเซีย พฤติกรรมดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายมาเลเซีย ข้อหาจงใจทำร้ายความรู้สึกทางศาสนาของบุคคลใดๆ (กฎหมายอาญามาตรา 298) กับข้อหาใช้ระบบหรือบริการเครือข่ายสื่อสารและมัลติมีเดียไม่เหมาะสม (มาตรา 233 พ.ร.บ.การสื่อสารและมัลติมีเดีย) ซึ่งมีผู้แจ้งความกับตำรวจแล้วและอยู่ในระหว่างสอบสวน ส่วนคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้เรียกแอสโตร (Astro) บริษัทด้านสื่อและบันเทิงในมาเลเซีย กับผู้บริหารสถานีมาชี้แจง ขณะที่ โกบินด์ ซิงห์ ดิโอ รมว.ดิจิทัลมาเลเซีย ตำหนิพฤติกรรมดีเจคนดังกล่าวว่า น่ารังเกียจและกังวลใจอย่างยิ่ง การล้อเลียนหรือไม่เคารพต่อศาสนาใดๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ขณะที่แอสโตรได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ และจะดําเนินการสอบสวนภายในอย่างละเอียด โดยซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงได้เข้าพบคณะกรรมการ MCMC และตัดสินใจระงับการจัดรายการของดีเจทั้ง 3 คน พร้อมพนักงานอีก 2 คน ด้านดีเจทั้งสามคน นำโดย นาบิล อาห์หมัด (Nabil Ahmad), อาซาด และ ราดิน อาเมียร์ อัฟเฟนดี (Radin Amir Affendy) ออกมาขอโทษต่อวีดีโอคลิปดังกล่าว ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ และกระทบความรู้สึกบางคน รวมทั้งชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดีย ขณะที่ราดินได้ขอให้ผู้ฟังมั่นใจว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต ส่วนคนต้นเรื่องอย่างอาซาด กล่าวว่า ยินดีรับคำติชมและคำวิจารณ์อยู่เสมอเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะจากผู้ฟัง พร้อมขออภัยอย่างสุดซึ้งสำหรับความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจและเสียใจอย่างยิ่ง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เตือนทุกฝ่ายให้หลีกเลี่ยงคำพูดหรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับ 3R ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา และราชวงศ์ (Race, Religion and Royalty) เพราะจะทำลายความสามัคคีในชาติ และจะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก พร้อมกับให้ชาวมาเลเซียทุกคนให้ความสำคัญกับความเคารพในชุมชนต่างๆ ตามหลักการแห่งชาติ (Rukun Negara) #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงพ่อเพชรสุรินทร์หลังหลวงปู่หงษ์ ปี2548
    หลวงพ่อเพชรสุรินทร์หลังหลวงปู่หงษ์ สุสานทุ่งมน (วัดเพชรบุรี) อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ปี2548 // รุ่นสร้างอุโบสถ วัดเจ้าคุณสามราษฎร์นุกุล สุรินทร์ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเด่นด้านเมตตาโชคลาภ และแคล้วคลาด ค้าขายก็ดี เมตตามหานิยม มากประสบการณ์

    ** หลวงปู่หงษ์ ยอดเกจิอาจารย์สายอิทธิฤทธิ์ดังในดินแดนอีสานใต้ ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี มีชื่อเสียงไม่เป็นรองใครในด้านสรรพวิชาอาคม วัตถุมงคล ของขลัง หลวงปู่หงษ์มีลูกศิษย์ ลูกหามากมายไม่เพียงแค่ในประเทศ แต่กระจายไปทั้งกัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่แห่แหนกันไปสักการะบูชาเสริมสิริมงคลกันที่ ปราสาทเพชร พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ

    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงพ่อเพชรสุรินทร์หลังหลวงปู่หงษ์ ปี2548 หลวงพ่อเพชรสุรินทร์หลังหลวงปู่หงษ์ สุสานทุ่งมน (วัดเพชรบุรี) อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ปี2548 // รุ่นสร้างอุโบสถ วัดเจ้าคุณสามราษฎร์นุกุล สุรินทร์ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเด่นด้านเมตตาโชคลาภ และแคล้วคลาด ค้าขายก็ดี เมตตามหานิยม มากประสบการณ์ ** หลวงปู่หงษ์ ยอดเกจิอาจารย์สายอิทธิฤทธิ์ดังในดินแดนอีสานใต้ ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี มีชื่อเสียงไม่เป็นรองใครในด้านสรรพวิชาอาคม วัตถุมงคล ของขลัง หลวงปู่หงษ์มีลูกศิษย์ ลูกหามากมายไม่เพียงแค่ในประเทศ แต่กระจายไปทั้งกัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่แห่แหนกันไปสักการะบูชาเสริมสิริมงคลกันที่ ปราสาทเพชร พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
    .
    วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
    .
    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ
    .
    ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกันศาลอาญาไม่อนุญาต ทักษิณ ไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุเพียงพอ
    .
    ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
    .
    วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
    .
    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ
    .
    ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021861
    .........
    Sondhi X
    ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา . วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร . ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ . ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกันศาลอาญาไม่อนุญาต ทักษิณ ไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุเพียงพอ . ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศไปอินโดนีเซีย ชี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ หลังเจ้าตัวพร้อมทนายความยื่นคำร้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา . วันนี้ (6 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายทักษิณ พร้อมด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร . ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณเคยได้รับอนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 31 ม.ค. ยื่นคำร้องไปประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ. ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ศาลอนุญาตโดยได้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย และแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทราบ . ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. ได้ยื่นคำร้องไปประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. เพื่อไปประชุมตามคำเชิญของนายอันวาร์ ซึ่งศาลอนุญาตโดยวางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน นายทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชาในช่วงเดียวกัน ศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ถือว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการไปกัมพูชา เป็นการเชิญจากสมเด็จฯ ฮุนเซน ในนามส่วนตัว ไม่ใช่รัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021861 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    27
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2207 มุมมอง 0 รีวิว
  • 343 ปี สิ้น “หลวงปู่ทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งในสองอภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

    ย้อนรอย 343 ปี การมรณภาพของหลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งสยามประเทศ

    🔹 หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก และเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั่วประเทศไทย ด้วยพุทธคุณที่เป็นเลิศ ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมไปถึงปาฏิหาริย์ ที่เล่าขานกันมาหลายศตวรรษ

    วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 นับถึงวันนี้ เป็นวันครบรอบ 343 ปี แห่งการมรณภาพของหลวงปู่ทวด พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในสองอภิมหาเกจิอาจารย์ของไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ

    🔹 กำเนิดพระอริยสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงปู่ทวดมีนามเดิมว่า "ปู" เกิดในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2125 - 2131 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บิดาและมารดาคือ นายหู และนางจันทร์ ซึ่งเป็นชาวบ้านในเขตตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 🔸

    🔹 ปาฏิหาริย์ตั้งแต่แรกเกิด เล่ากันว่าขณะที่หลวงปู่ทวดยังเป็นทารก บิดามารดาได้นำเปลไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ ขณะออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ทันใดนั้น มีงูจงอางขนาดใหญ่ มาพันรอบเปล แต่แทนที่งูจะทำอันตราย มันกลับคลายตัวออก และทิ้งเม็ดแก้ววิเศษ ไว้บนหน้าอกของทารก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ ที่แสดงถึงบุญญาธิการอันสูงส่งของหลวงปู่ทวด ตั้งแต่แรกเกิด

    🔹 เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ที่วัดดีหลวง โดยมีหลวงตาจวง เป็นครูสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา

    ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หลวงปู่ทวดสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัย ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสีหยัง ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาธรรม ในเมืองนครศรีธรรมราช และต่อมาได้เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกในระดับสูง

    🔹 ปาฏิหาริย์ "เหยียบน้ำทะเลจืด" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะที่หลวงปู่ทวดเดินทางโดยเรือ เพื่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกโจรสลัดจีนจับตัวไป และระหว่างการเดินทางบนเรือ กลุ่มโจรต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำจืด

    หลวงปู่ทวดจึงเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล และทันใดนั้น น้ำทะเลอันเค็มจัด กลับกลายเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มได้อย่างอัศจรรย์! โจรสลัดพากันกราบไหว้ขอขมา และพากลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย

    ปาฏิหาริย์นี้ ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นที่มาของ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด"

    🔹 หลังจากศึกษาธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน หลวงปู่ทวดได้เดินทางไปยังเมืองไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และมรณภาพที่นั่น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 รวมสิริอายุได้ 100 ปี

    ศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารกลับมายังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผ่านเส้นทางที่มีจุดพักรวม 18 จุด จนถึงจุดหมายสุดท้ายที่วัดช้างให้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาในปัจจุบัน

    🔹 ความศรัทธา และพระเครื่องหลวงปู่ทวด
    🔸 อิทธิฤทธิ์และพุทธคุณ พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระเครื่องที่มีพุทธคุณสูงสุดของไทย" โดยเชื่อกันว่า ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตราย มีเมตตามหานิยม และเสริมดวงชะตา

    🔸 พระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่ได้รับความนิยม
    - หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี 2497 รุ่นแรก วัดช้างให้
    - หลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด
    - หลวงปู่ทวดหลังเตารีด วัดพะโคะ

    พระเครื่องหลวงปู่ทวดถือเป็น 1 ใน 5 พระเครื่องยอดนิยมของไทย และเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ

    🔹 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ทวด
    หลวงปู่ทวดได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 อภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เปี่ยมบารมีอีกท่านหนึ่งของไทย

    ทั้งสองท่านได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า

    👉 "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จโตเสกก้อนอิฐให้ลอยน้ำ"

    🔹แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 343 ปี แต่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด ยังคงอยู่ในหัวใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 061100 มี.ค. 2568

    🔹 #หลวงปู่ทวด #เหยียบน้ำทะเลจืด #พระเครื่องหลวงปู่ทวด #วัดช้างให้ #ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย #อภิมหาเกจิไทย #สมเด็จโต #หลวงปู่ทวดมรณภาพ343ปี #ตำนานไทย #เกจิอาจารย์
    343 ปี สิ้น “หลวงปู่ทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งในสองอภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ย้อนรอย 343 ปี การมรณภาพของหลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งสยามประเทศ 🔹 หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก และเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั่วประเทศไทย ด้วยพุทธคุณที่เป็นเลิศ ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมไปถึงปาฏิหาริย์ ที่เล่าขานกันมาหลายศตวรรษ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 นับถึงวันนี้ เป็นวันครบรอบ 343 ปี แห่งการมรณภาพของหลวงปู่ทวด พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในสองอภิมหาเกจิอาจารย์ของไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ 🔹 กำเนิดพระอริยสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงปู่ทวดมีนามเดิมว่า "ปู" เกิดในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2125 - 2131 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บิดาและมารดาคือ นายหู และนางจันทร์ ซึ่งเป็นชาวบ้านในเขตตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 🔸 🔹 ปาฏิหาริย์ตั้งแต่แรกเกิด เล่ากันว่าขณะที่หลวงปู่ทวดยังเป็นทารก บิดามารดาได้นำเปลไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ ขณะออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ทันใดนั้น มีงูจงอางขนาดใหญ่ มาพันรอบเปล แต่แทนที่งูจะทำอันตราย มันกลับคลายตัวออก และทิ้งเม็ดแก้ววิเศษ ไว้บนหน้าอกของทารก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ ที่แสดงถึงบุญญาธิการอันสูงส่งของหลวงปู่ทวด ตั้งแต่แรกเกิด 🔹 เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ที่วัดดีหลวง โดยมีหลวงตาจวง เป็นครูสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หลวงปู่ทวดสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัย ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสีหยัง ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาธรรม ในเมืองนครศรีธรรมราช และต่อมาได้เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกในระดับสูง 🔹 ปาฏิหาริย์ "เหยียบน้ำทะเลจืด" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะที่หลวงปู่ทวดเดินทางโดยเรือ เพื่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกโจรสลัดจีนจับตัวไป และระหว่างการเดินทางบนเรือ กลุ่มโจรต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำจืด หลวงปู่ทวดจึงเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล และทันใดนั้น น้ำทะเลอันเค็มจัด กลับกลายเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มได้อย่างอัศจรรย์! โจรสลัดพากันกราบไหว้ขอขมา และพากลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย ปาฏิหาริย์นี้ ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นที่มาของ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" 🔹 หลังจากศึกษาธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน หลวงปู่ทวดได้เดินทางไปยังเมืองไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และมรณภาพที่นั่น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 รวมสิริอายุได้ 100 ปี ศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารกลับมายังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผ่านเส้นทางที่มีจุดพักรวม 18 จุด จนถึงจุดหมายสุดท้ายที่วัดช้างให้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาในปัจจุบัน 🔹 ความศรัทธา และพระเครื่องหลวงปู่ทวด 🔸 อิทธิฤทธิ์และพุทธคุณ พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระเครื่องที่มีพุทธคุณสูงสุดของไทย" โดยเชื่อกันว่า ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตราย มีเมตตามหานิยม และเสริมดวงชะตา 🔸 พระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่ได้รับความนิยม - หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี 2497 รุ่นแรก วัดช้างให้ - หลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด - หลวงปู่ทวดหลังเตารีด วัดพะโคะ พระเครื่องหลวงปู่ทวดถือเป็น 1 ใน 5 พระเครื่องยอดนิยมของไทย และเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ 🔹 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ทวดได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 อภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เปี่ยมบารมีอีกท่านหนึ่งของไทย ทั้งสองท่านได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า 👉 "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จโตเสกก้อนอิฐให้ลอยน้ำ" 🔹แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 343 ปี แต่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด ยังคงอยู่ในหัวใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 061100 มี.ค. 2568 🔹 #หลวงปู่ทวด #เหยียบน้ำทะเลจืด #พระเครื่องหลวงปู่ทวด #วัดช้างให้ #ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย #อภิมหาเกจิไทย #สมเด็จโต #หลวงปู่ทวดมรณภาพ343ปี #ตำนานไทย #เกจิอาจารย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุ้นเปิดสถานีขนส่งใหม่ TBG ก่อนเทศกาลอีดิลฟิตรี

    แม้สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย จะเลื่อนให้บริการจากเดิมวันที่ 16 ก.พ. ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็มีความคืบหน้าจากการตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ของนายแอนโทเนีย โลค รมว.คมนาคมมาเลเซียและคณะ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. ในเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ปลายทางรัฐปะหัง รัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน

    นายแอนโทเนีย กล่าวว่า หากสถานีขนส่งกอมบัคสามารถเปิดเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือน มี.ค. จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) ในช่วงเทศกาลอีดิลฟิตรีได้ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกรมโยธาธิการมาเลเซีย จะตรวจสอบครั้งสุดท้ายภายในปลายสัปดาห์หน้า นอกจากรถบัสด่วนแล้ว ยังเชื่อมต่อกับรถบัสระหว่างเมือง และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) กอมบัค รวมทั้งโครงการรถไฟ ECRL ที่คืบหน้าแล้ว 79%

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งกอมบัคยังไม่เปิดให้บริการ ผู้โดยสารยังคงซื้อตั๋วได้สถานีขนส่ง TBS เช่นเดิม โดยการเปิดให้บริการนอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และฮอลล์เอนกประสงค์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการอีกด้วย

    สำหรับสถานีขนส่งกอมบัค (TBG) ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนรอบกลางสายที่ 2 (MRR2) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางกอมบัค และสถานีรถไฟฟ้ากอมบัค ปลายทางของรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) ซึ่งสามารถเดินทางได้จากสถานีกลาง KL Sentral และสถานี KLCC เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์รวม 1.1 ล้านตารางฟุต 350 ร้านค้า โดยรัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการก่อสร้าง ภายใต้โครงการริเริ่มทางการเงินของภาคเอกชน (PFI) ซึ่งบริษัทซีลัน (Zelan) เจ้าของธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมาเลเซีย ระยะเวลา 25 ปี

    อนึ่ง กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีสถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS เป็นสถานีขนส่งหลัก เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 และมีสถานีขนส่งย่อย เช่น สถานีขนส่งปูดูเซ็นทรัล (Pudu Sentral) ซึ่งเป็นอดีตสถานีขนส่งหลักก่อนย้ายไป TBS ใกล้กันจะมีสถานีขนส่งโกตารายา (Kota Raya) อีกด้านหนึ่งยังมีสถานีขนส่งเปอเกลิลิง (Pekeliling) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าตี้ตี้วังซา (Titiwangsa) หรือจะเป็นสถานีขนส่งเฮนเทียนดูตาร์ (Hentian Duta) ไปยังปลายทางรัฐตอนเหนือ เช่น ปีนัง เคดะห์ เปรัค ปะลิส และที่สถานี KL Sentral ยังมีรถทัวร์ให้บริการอีกด้วย

    #Newskit
    ลุ้นเปิดสถานีขนส่งใหม่ TBG ก่อนเทศกาลอีดิลฟิตรี แม้สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย จะเลื่อนให้บริการจากเดิมวันที่ 16 ก.พ. ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็มีความคืบหน้าจากการตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ของนายแอนโทเนีย โลค รมว.คมนาคมมาเลเซียและคณะ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. ในเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ปลายทางรัฐปะหัง รัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน นายแอนโทเนีย กล่าวว่า หากสถานีขนส่งกอมบัคสามารถเปิดเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือน มี.ค. จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) ในช่วงเทศกาลอีดิลฟิตรีได้ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกรมโยธาธิการมาเลเซีย จะตรวจสอบครั้งสุดท้ายภายในปลายสัปดาห์หน้า นอกจากรถบัสด่วนแล้ว ยังเชื่อมต่อกับรถบัสระหว่างเมือง และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) กอมบัค รวมทั้งโครงการรถไฟ ECRL ที่คืบหน้าแล้ว 79% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งกอมบัคยังไม่เปิดให้บริการ ผู้โดยสารยังคงซื้อตั๋วได้สถานีขนส่ง TBS เช่นเดิม โดยการเปิดให้บริการนอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และฮอลล์เอนกประสงค์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการอีกด้วย สำหรับสถานีขนส่งกอมบัค (TBG) ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนรอบกลางสายที่ 2 (MRR2) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางกอมบัค และสถานีรถไฟฟ้ากอมบัค ปลายทางของรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) ซึ่งสามารถเดินทางได้จากสถานีกลาง KL Sentral และสถานี KLCC เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์รวม 1.1 ล้านตารางฟุต 350 ร้านค้า โดยรัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการก่อสร้าง ภายใต้โครงการริเริ่มทางการเงินของภาคเอกชน (PFI) ซึ่งบริษัทซีลัน (Zelan) เจ้าของธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมาเลเซีย ระยะเวลา 25 ปี อนึ่ง กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีสถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS เป็นสถานีขนส่งหลัก เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 และมีสถานีขนส่งย่อย เช่น สถานีขนส่งปูดูเซ็นทรัล (Pudu Sentral) ซึ่งเป็นอดีตสถานีขนส่งหลักก่อนย้ายไป TBS ใกล้กันจะมีสถานีขนส่งโกตารายา (Kota Raya) อีกด้านหนึ่งยังมีสถานีขนส่งเปอเกลิลิง (Pekeliling) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าตี้ตี้วังซา (Titiwangsa) หรือจะเป็นสถานีขนส่งเฮนเทียนดูตาร์ (Hentian Duta) ไปยังปลายทางรัฐตอนเหนือ เช่น ปีนัง เคดะห์ เปรัค ปะลิส และที่สถานี KL Sentral ยังมีรถทัวร์ให้บริการอีกด้วย #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคาะวันเปิด LRT3 มาเลเซีย 30 กันยายน 2025

    ในที่สุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสายชาห์อลัม (Shah Alam Line) หรือ LRT3 รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างสถานีบันดาร์ อูตามา (Bandar Utama) กับสถานีโยฮัน เซเตีย (Johan Setia) มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังส่งมอบโครงการให้กับบริษัท ปราซารานา (Prasarana) ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ระบุว่าความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 98.16%

    สำหรับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายที่ 3 (LRT3) ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนลำดับที่ 11 ในหุบเขาแคลง มีระยะทาง 37 กิโลเมตร รวมทั้งอุโมงค์ความยาว 2 กิโลเมตร พาดผ่านเขตเปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ชาห์อลัม (Shah Alam) และแคลง (Klang) รองรับประชากรมากกว่า 2 ล้านคน มีสถานีรถไฟฟ้า 20 สถานี และอีก 5 สถานีที่ก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมที่จอดรถ 6 สถานี รองรับรถยนต์รวม 2,000 คัน

    ส่วนขบวนรถมี 3 ตู้ รวม 22 ขบวน ผลิตโดยบริษัท CRRC Corporation รองรับผู้โดยสารสูงสุด 18,630 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการความถี่ทุก 6 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 67,000 เที่ยวคนต่อวัน

    จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีบันดาร์ อูตามา ใกล้กับศูนย์การค้าวันอูตามา (1 Utama) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ผ่านสถานที่สำคัญอย่างสนามกีฬาชาห์อลัม (Stadium Shah Alam) มัสยิดสุลต่านซาลาฮุดดินอับดุลอาซิซ (Masjid Sultan Salahuddin Abdul Aziz Shah) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยียูไอทีเอ็ม (UiTM) โครงการไอ-ซิตี้ (i-City) สวนสนุกไอ-ซิตี้ ธีมพาร์ค (i-City Theme Park) มัสยิดบันดาร์ดิราจาแคลงอูตารา (Masjid Bandar Diraja Klang Utara)

    มีสถานีเชื่อมต่อ ได้แก่ 1. สถานีบันดาร์ อูตามา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายกาจัง (MRT Kajang Line) เส้นทางระหว่างสถานีควาซาดามานซารา (Kwasa Damansara) กับสถานีกาจัง (Kajang) ผ่านสถานีบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) และสถานีตุนราซัคเอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange)

    2. สถานีเกลนมารี 2 (Glenmarie 2) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) เส้นทางระหว่างสถานีปูตราไฮต์ (Putra Heights) กับสถานีกอมบัค (Gombak) ผ่านสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) และสถานีเคแอลซีซี (KLCC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์

    อนึ่ง ที่สถานีเซคชันตูจู (Seksyen 7) บริเวณเขต 7 ของรัฐสลังงอร์ มีศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจากประเทศไทย ลงทุนร่วมกับไอ-เบอร์ฮัด (I-Berhad) เปิดให้บริการเมื่อปี 2562

    #Newskit
    เคาะวันเปิด LRT3 มาเลเซีย 30 กันยายน 2025 ในที่สุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสายชาห์อลัม (Shah Alam Line) หรือ LRT3 รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างสถานีบันดาร์ อูตามา (Bandar Utama) กับสถานีโยฮัน เซเตีย (Johan Setia) มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังส่งมอบโครงการให้กับบริษัท ปราซารานา (Prasarana) ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ระบุว่าความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 98.16% สำหรับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายที่ 3 (LRT3) ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนลำดับที่ 11 ในหุบเขาแคลง มีระยะทาง 37 กิโลเมตร รวมทั้งอุโมงค์ความยาว 2 กิโลเมตร พาดผ่านเขตเปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ชาห์อลัม (Shah Alam) และแคลง (Klang) รองรับประชากรมากกว่า 2 ล้านคน มีสถานีรถไฟฟ้า 20 สถานี และอีก 5 สถานีที่ก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมที่จอดรถ 6 สถานี รองรับรถยนต์รวม 2,000 คัน ส่วนขบวนรถมี 3 ตู้ รวม 22 ขบวน ผลิตโดยบริษัท CRRC Corporation รองรับผู้โดยสารสูงสุด 18,630 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการความถี่ทุก 6 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 67,000 เที่ยวคนต่อวัน จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีบันดาร์ อูตามา ใกล้กับศูนย์การค้าวันอูตามา (1 Utama) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ผ่านสถานที่สำคัญอย่างสนามกีฬาชาห์อลัม (Stadium Shah Alam) มัสยิดสุลต่านซาลาฮุดดินอับดุลอาซิซ (Masjid Sultan Salahuddin Abdul Aziz Shah) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยียูไอทีเอ็ม (UiTM) โครงการไอ-ซิตี้ (i-City) สวนสนุกไอ-ซิตี้ ธีมพาร์ค (i-City Theme Park) มัสยิดบันดาร์ดิราจาแคลงอูตารา (Masjid Bandar Diraja Klang Utara) มีสถานีเชื่อมต่อ ได้แก่ 1. สถานีบันดาร์ อูตามา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายกาจัง (MRT Kajang Line) เส้นทางระหว่างสถานีควาซาดามานซารา (Kwasa Damansara) กับสถานีกาจัง (Kajang) ผ่านสถานีบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) และสถานีตุนราซัคเอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange) 2. สถานีเกลนมารี 2 (Glenmarie 2) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) เส้นทางระหว่างสถานีปูตราไฮต์ (Putra Heights) กับสถานีกอมบัค (Gombak) ผ่านสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) และสถานีเคแอลซีซี (KLCC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ อนึ่ง ที่สถานีเซคชันตูจู (Seksyen 7) บริเวณเขต 7 ของรัฐสลังงอร์ มีศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจากประเทศไทย ลงทุนร่วมกับไอ-เบอร์ฮัด (I-Berhad) เปิดให้บริการเมื่อปี 2562 #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญไพรีพินาศ รุ่นแรก หลวงปู่มีชัย กามฉินโท ปี2548
    เหรียญไพรีพินาศ รุ่นแรก หลวงปู่มีชัย กามฉินโท เขาหิมพานคีรี ปี2548 //พระดี ป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง พระมีประสบการณ์สูง //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พระขนาดเล็ก ไม่ค่อยเจอแล้วครับ เป็นอีกรุ่นที่น่าบูชามาก จะไว้บูชาเอง หรือให้ลูกหลานคล้องคอบูชาก็ดีเยี่ยมครับ !! เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ >>

    ** พุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน ป้องกันภัย โชคลาภ เมตตา รำ่รวย เจริญรุ่งเรือง เรียกทรัพย์ เก็บทรัพย์ ค้าขายดี

    ** หลวงปู่มีชัย กามฉินโท สุดยอดพระประสบการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ พระอริยสงฆ์ที่เป็นที่เคารพศรัทธาทั้งในไทยและหลายประเทศ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน เชคโกสโลวเกีย.. จึงมีลูกศิษย์มากมาย เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ... สายวิชาหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่มียันต์ขุมทรัพย์เรียกทรัพย์ที่เป็นหนึ่งเดียวต่อๆไปจะเป็นตำนาน แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีเกจิแบบนี้อยู่อีก หายาก >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญไพรีพินาศ รุ่นแรก หลวงปู่มีชัย กามฉินโท ปี2548 เหรียญไพรีพินาศ รุ่นแรก หลวงปู่มีชัย กามฉินโท เขาหิมพานคีรี ปี2548 //พระดี ป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง พระมีประสบการณ์สูง //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พระขนาดเล็ก ไม่ค่อยเจอแล้วครับ เป็นอีกรุ่นที่น่าบูชามาก จะไว้บูชาเอง หรือให้ลูกหลานคล้องคอบูชาก็ดีเยี่ยมครับ !! เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ >> ** พุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน ป้องกันภัย โชคลาภ เมตตา รำ่รวย เจริญรุ่งเรือง เรียกทรัพย์ เก็บทรัพย์ ค้าขายดี ** หลวงปู่มีชัย กามฉินโท สุดยอดพระประสบการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ พระอริยสงฆ์ที่เป็นที่เคารพศรัทธาทั้งในไทยและหลายประเทศ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน เชคโกสโลวเกีย.. จึงมีลูกศิษย์มากมาย เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ... สายวิชาหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่มียันต์ขุมทรัพย์เรียกทรัพย์ที่เป็นหนึ่งเดียวต่อๆไปจะเป็นตำนาน แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีเกจิแบบนี้อยู่อีก หายาก >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญจ้าวสมุทรอันดามัน หลวงพ่อจำเนียรหลังพระอุปคุต วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
    เหรียญจ้าวสมุทรอันดามัน หลวงพ่อจำเนียรหลังพระอุปคุต วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ // พระดีพิธีใหญ่ พิธีพุทธาภิเษกกลางทะเลอันดามัน ขอบารมีพระอุปคุตและเทวดาที่รักษาท้องมหาสมุทร //พระสถาพสวยมาก สถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเด่นทุกด้านรวมทั้งโชคลาภ คุ้มกันภัย ด้านการเงิน ค้าขาย เสี่ยงโชคลาภ ก่อให้เกิดลาภผล ความมั่งมี ร่ำรวยเป็นเศรษฐี ขจัดภยันตราย คุ้มครอง ป้องกันและเรื่องเมตตา มหานิยม มหาลาภ >>

    ** หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ.วัดถ้ำเสือ ท่านเป็นศิษย์พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พระอาจารย์จำเนียร ท่านเรียนวิชาปลุกเสกของไม่ให้เสื่อมจากพ่อท่านคล้าย สุดยอดประสบการณ์ แคล้วคลาด ปลอดภัน เมตตามหานิยม โชคลาภ ท่านหลวงพ่อจําเนียร ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งประจําภาคใต้ ปฏิปทาในองค์ท่านงดงามนุ่มนวล ถือ เคร่งครัดในการปฏิบัติพระธรรม วินัยมาก เป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางของคนไทยทั้งในและต่างประเทศ เป็นพระที่มีกิจนิมนต์เป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยเฉพาะการเดินทางไปแสดงธรรมในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ


    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญจ้าวสมุทรอันดามัน หลวงพ่อจำเนียรหลังพระอุปคุต วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ เหรียญจ้าวสมุทรอันดามัน หลวงพ่อจำเนียรหลังพระอุปคุต วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ // พระดีพิธีใหญ่ พิธีพุทธาภิเษกกลางทะเลอันดามัน ขอบารมีพระอุปคุตและเทวดาที่รักษาท้องมหาสมุทร //พระสถาพสวยมาก สถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเด่นทุกด้านรวมทั้งโชคลาภ คุ้มกันภัย ด้านการเงิน ค้าขาย เสี่ยงโชคลาภ ก่อให้เกิดลาภผล ความมั่งมี ร่ำรวยเป็นเศรษฐี ขจัดภยันตราย คุ้มครอง ป้องกันและเรื่องเมตตา มหานิยม มหาลาภ >> ** หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ.วัดถ้ำเสือ ท่านเป็นศิษย์พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พระอาจารย์จำเนียร ท่านเรียนวิชาปลุกเสกของไม่ให้เสื่อมจากพ่อท่านคล้าย สุดยอดประสบการณ์ แคล้วคลาด ปลอดภัน เมตตามหานิยม โชคลาภ ท่านหลวงพ่อจําเนียร ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งประจําภาคใต้ ปฏิปทาในองค์ท่านงดงามนุ่มนวล ถือ เคร่งครัดในการปฏิบัติพระธรรม วินัยมาก เป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางของคนไทยทั้งในและต่างประเทศ เป็นพระที่มีกิจนิมนต์เป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยเฉพาะการเดินทางไปแสดงธรรมในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน

    เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก”

    รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา

    แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว

    พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน”

    และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่

    ฝ่ายสถานทูตจีนในไทยกล่าวดักเอาไว้ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศนั้น “ดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติทั่วไป”

    แต่โปรดทราบว่าแนวปฏิบัติและการตีความสิทธิมนุษยชนของจีนและตะวันตกนั้นไม่ตรงกันเอาเลย ส่วนใครจะถูกจะผิดนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง

    อีกเรื่องคือการที่อุยกูร์เป็นประเด็นอีกครั้ง เพราะมีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย [ETIM] ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ”

    ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP)

    ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว

    จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย""

    เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง"

    ส่วนชาติตะวันตกและสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ประณามไทยเช่นกัน (อย่างเบาๆ คือ "เสียใจ") แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน-สหรัฐมากกว่า

    กรณีล่าสุด (รวมถึงอีกหลายกรณีก่อนหน้านี้) ไม่บอกก็รู้ว่าไทยเอียงไปทางจีนอย่างมากแล้วในตอนนี้

    ป.ล. - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ไทยส่งอุยกูร์ให้จีนนั้น รัสเซียก็เดินเกม "สร้างแนวร่วม" ในอาเซียนด้วยการส่ง ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย กรณีเหล่านี้น่าจะสะท้อนถึงการเดิมเกมรุกของแกนหลัก "ทางการเมือง" ของกลุ่ม BRICS

    ที่มา : เฟซบุ๊กของกรกิจ ดิษฐาน
    เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก” รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน” และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่ ฝ่ายสถานทูตจีนในไทยกล่าวดักเอาไว้ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศนั้น “ดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติทั่วไป” แต่โปรดทราบว่าแนวปฏิบัติและการตีความสิทธิมนุษยชนของจีนและตะวันตกนั้นไม่ตรงกันเอาเลย ส่วนใครจะถูกจะผิดนั้นโปรดพิจารณากันเอาเอง อีกเรื่องคือการที่อุยกูร์เป็นประเด็นอีกครั้ง เพราะมีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย [ETIM] ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ” ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP) ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย"" เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง" ส่วนชาติตะวันตกและสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ประณามไทยเช่นกัน (อย่างเบาๆ คือ "เสียใจ") แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน-สหรัฐมากกว่า กรณีล่าสุด (รวมถึงอีกหลายกรณีก่อนหน้านี้) ไม่บอกก็รู้ว่าไทยเอียงไปทางจีนอย่างมากแล้วในตอนนี้ ป.ล. - เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ไทยส่งอุยกูร์ให้จีนนั้น รัสเซียก็เดินเกม "สร้างแนวร่วม" ในอาเซียนด้วยการส่ง ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย กรณีเหล่านี้น่าจะสะท้อนถึงการเดิมเกมรุกของแกนหลัก "ทางการเมือง" ของกลุ่ม BRICS ที่มา : เฟซบุ๊กของกรกิจ ดิษฐาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณขออภัยกรณีตากใบ อ้างทำงานผิดพลาด

    นับเป็นการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบประมาณ 20 ปี สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 นายทักษิณพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และคณะ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

    ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในเหตุการณ์ตากใบ แล้วต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เรื่องตากใบ ตอนผมเป็นนายกฯ ผมมีความตั้งใจห่วงใยพี่น้อง 100% แต่การทำงานมีความผิดพลาดได้บ้าง ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน พี่น้องมุสลิมมีสิ่งที่สำคัญมาก ถูกสอนมาว่า ความเข้าใจ เกรงใจ รักสันติสุข การให้อภัย เพราะฉะนั้นเมื่อเราขออภัยในสิ่งที่ผมอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือผิดพลาดบ้าง ผมต้องขออภัยด้วย"

    สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านกว่า 2,000 คน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวมุสลิม 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวโดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนและก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมเสียชีวิตทันที 5 คน ที่เหลือนอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหารไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ห่างออกไป 150 กิโลเมตร มีผู้ชุมนุมขาดอากาศหายใจ เสียชีวิต 78 คน บาดเจ็บและพิการอีกมาก

    สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคณะกรรมการเยียวยาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. จ่ายเงินเยียวยากว่า 641 ล้านบาท ผู้เสียชีวิตจ่ายรายละ 7.5 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการได้รับลดหลั่นกันไป แต่ต่อมาในปี 2567 มีครอบครัวผู้เสียชีวิต 48 รายพร้อมญาติยื่นฟ้องคดีด้วยเอง ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 และออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน พบว่าแต่ละคนหลบหนี โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นใบลาออกจาก สส. กระทั่งคดีขาดอายุความ หลังเที่ยงคืนวันที่ 26 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกรณีตากใบ ระบุว่า พวกเขาต้องการได้ยินคำขอโทษจากนายทักษิณ และทวงถามความยุติธรรม แม้คดีขาดอายุความไปแล้ว

    #Newskit
    ทักษิณขออภัยกรณีตากใบ อ้างทำงานผิดพลาด นับเป็นการลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบประมาณ 20 ปี สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2568 นายทักษิณพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และคณะ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ช่วงหนึ่งนายทักษิณได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในเหตุการณ์ตากใบ แล้วต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เรื่องตากใบ ตอนผมเป็นนายกฯ ผมมีความตั้งใจห่วงใยพี่น้อง 100% แต่การทำงานมีความผิดพลาดได้บ้าง ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน พี่น้องมุสลิมมีสิ่งที่สำคัญมาก ถูกสอนมาว่า ความเข้าใจ เกรงใจ รักสันติสุข การให้อภัย เพราะฉะนั้นเมื่อเราขออภัยในสิ่งที่ผมอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจหรือผิดพลาดบ้าง ผมต้องขออภัยด้วย" สำหรับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านกว่า 2,000 คน รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวมุสลิม 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวโดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นปืนและก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมเสียชีวิตทันที 5 คน ที่เหลือนอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหารไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ห่างออกไป 150 กิโลเมตร มีผู้ชุมนุมขาดอากาศหายใจ เสียชีวิต 78 คน บาดเจ็บและพิการอีกมาก สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคณะกรรมการเยียวยาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. จ่ายเงินเยียวยากว่า 641 ล้านบาท ผู้เสียชีวิตจ่ายรายละ 7.5 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการได้รับลดหลั่นกันไป แต่ต่อมาในปี 2567 มีครอบครัวผู้เสียชีวิต 48 รายพร้อมญาติยื่นฟ้องคดีด้วยเอง ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 และออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน พบว่าแต่ละคนหลบหนี โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นใบลาออกจาก สส. กระทั่งคดีขาดอายุความ หลังเที่ยงคืนวันที่ 26 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกรณีตากใบ ระบุว่า พวกเขาต้องการได้ยินคำขอโทษจากนายทักษิณ และทวงถามความยุติธรรม แม้คดีขาดอายุความไปแล้ว #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทักษิณ" เผยลงพื้นที่ จชต.สวม 3 บทบาท ทั้งอดีตนายก-ที่ปรึกษา ปธ.อาเซียน-ผู้สนับสนุนรัฐบาล อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น เตรียมนำปัญหาคนสองสัญชาติเข้าหารือเวทีอาเซียน พร้อมนำแนวทาง 66/23 มาปรับใช้ ยอมรับ 20 ปีผ่านไปความปรองดองฟื้นฟูขึ้นเยอะ ยิ่งได้ประสานงานกับต่างประเทศด้วยมั่นใจว่าหาข้อยุติได้ เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

    วันนี้ (23 ก.พ. 68) ที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ว่า มีความตั้งใจที่อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น ซึ่งจากบทบาทที่ปรึกษาประธานอาเซียน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตนเองอยากเห็นความร่วมมือในพื้นที่และความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้านเป็นหัวใจสำคัญ ในการคืนสันติสุขให้กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ซึ่งในพื้นที่เราต้องมีการพูดคุยกันให้เข้าใจ ตนเองได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องทุกคนอยากเห็นประเทศไทยและอยากเห็นอาเซียนมีความสงบสุข และได้มีการลงทุน การท่องเที่ยวกันมากขึ้น ฉะนั้นทุกคนร่วมมือกันหมด ซึ่งการร่วมมือตนเองมีความรู้สึกว่าเป็นการร่วมมือที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเหมือนครั้งนี้เชื่อมั่นว่าเราน่าจะแก้ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ดีกว่าจากความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000017865

    #MGROnline #ทักษิณ
    "ทักษิณ" เผยลงพื้นที่ จชต.สวม 3 บทบาท ทั้งอดีตนายก-ที่ปรึกษา ปธ.อาเซียน-ผู้สนับสนุนรัฐบาล อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น เตรียมนำปัญหาคนสองสัญชาติเข้าหารือเวทีอาเซียน พร้อมนำแนวทาง 66/23 มาปรับใช้ ยอมรับ 20 ปีผ่านไปความปรองดองฟื้นฟูขึ้นเยอะ ยิ่งได้ประสานงานกับต่างประเทศด้วยมั่นใจว่าหาข้อยุติได้ เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ • วันนี้ (23 ก.พ. 68) ที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ว่า มีความตั้งใจที่อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น ซึ่งจากบทบาทที่ปรึกษาประธานอาเซียน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตนเองอยากเห็นความร่วมมือในพื้นที่และความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้านเป็นหัวใจสำคัญ ในการคืนสันติสุขให้กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ซึ่งในพื้นที่เราต้องมีการพูดคุยกันให้เข้าใจ ตนเองได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องทุกคนอยากเห็นประเทศไทยและอยากเห็นอาเซียนมีความสงบสุข และได้มีการลงทุน การท่องเที่ยวกันมากขึ้น ฉะนั้นทุกคนร่วมมือกันหมด ซึ่งการร่วมมือตนเองมีความรู้สึกว่าเป็นการร่วมมือที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเหมือนครั้งนี้เชื่อมั่นว่าเราน่าจะแก้ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ดีกว่าจากความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000017865 • #MGROnline #ทักษิณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดเหตุระเบิดในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส โดยคนร้ายใช้ระเบิดแสวงเครื่องผูกไว้กับรถกระบะของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสนามบิน ทำให้รถได้รับความเสียหาย ก่อนที่อดีตนายกฯ ทักษิณ รองนายกฯ ภูมิธรรม และคณะลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนหน้านี้เกิดเหุระเบิดที่บันนังสตา
    .
    วันนี้ (23 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 08.35 น. เหตุระเบิดขึ้นในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส หรือสนามบินบ้านทอน ต.โคกเคียน อ.เมืองฯ จ.นราธิวาส โดยคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องผูกไว้ใต้ท้องรถกระบะ อีซูซุ ดีแมกซ์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 6955 นราธิวาส ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ท่าอากาศยานนราธิวาส ทำให้รถกระบะได้รับความเสียหาย ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอีกประมาณ 50 นาทีข้างหน้า ส่วนบรรยากาศภายในสนามบิน เจ้าหน้าที่ได้มีการกันรถที่ไม่เกี่ยวข้องบางส่วนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 ก.พ.) เกิดเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดร้อยเวร 2-0 สายตรวจบริการ และ ชป.จู่โจม ของ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ขณะออกปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตเทศบาลบันนังสตา เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านมินิบิ๊กซี สาขาบันนังสตา ทำให้มีกำลังพลซึ่งเป็นตำรวจได้รับบาดเจ็บ 7 นาย อีกทั้งยังมีชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย โดยล่าสุดมีรายงานว่า มีชาวบ้านเสียชีวิตแล้ว 1 ราย
    .
    สำหรับกำหนดการนายทักษิณ ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนปี 2568 และคณะ ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยะชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มจากสนามกีฬา อบต.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ต่อด้วยวัดประชุมชนธารา โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา จากนั้นไปยังโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี อุทยานการเรียนรู้ TK Park เทศบาลนครยะลา จ.ยะลา และบ้านนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร บ้านศรียะลา จ.ยะลา ก่อนกลับกรุงเทพมหานคร
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017778
    ..............
    Sondhi X
    เกิดเหตุระเบิดในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส โดยคนร้ายใช้ระเบิดแสวงเครื่องผูกไว้กับรถกระบะของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสนามบิน ทำให้รถได้รับความเสียหาย ก่อนที่อดีตนายกฯ ทักษิณ รองนายกฯ ภูมิธรรม และคณะลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนหน้านี้เกิดเหุระเบิดที่บันนังสตา . วันนี้ (23 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 08.35 น. เหตุระเบิดขึ้นในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส หรือสนามบินบ้านทอน ต.โคกเคียน อ.เมืองฯ จ.นราธิวาส โดยคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องผูกไว้ใต้ท้องรถกระบะ อีซูซุ ดีแมกซ์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 6955 นราธิวาส ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ท่าอากาศยานนราธิวาส ทำให้รถกระบะได้รับความเสียหาย ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอีกประมาณ 50 นาทีข้างหน้า ส่วนบรรยากาศภายในสนามบิน เจ้าหน้าที่ได้มีการกันรถที่ไม่เกี่ยวข้องบางส่วนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย . ก่อนหน้านี้เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 ก.พ.) เกิดเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดร้อยเวร 2-0 สายตรวจบริการ และ ชป.จู่โจม ของ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ขณะออกปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตเทศบาลบันนังสตา เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านมินิบิ๊กซี สาขาบันนังสตา ทำให้มีกำลังพลซึ่งเป็นตำรวจได้รับบาดเจ็บ 7 นาย อีกทั้งยังมีชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย โดยล่าสุดมีรายงานว่า มีชาวบ้านเสียชีวิตแล้ว 1 ราย . สำหรับกำหนดการนายทักษิณ ที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนปี 2568 และคณะ ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยะชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มจากสนามกีฬา อบต.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ต่อด้วยวัดประชุมชนธารา โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา จากนั้นไปยังโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี อุทยานการเรียนรู้ TK Park เทศบาลนครยะลา จ.ยะลา และบ้านนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร บ้านศรียะลา จ.ยะลา ก่อนกลับกรุงเทพมหานคร . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017778 .............. Sondhi X
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1597 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไซด์ ซาดีค นักการเมือง ที่เป็นนายแบบได้นิดหน่อย

    เป็นอีกนักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่สร้างสีสันการเมืองในมาเลเซีย สำหรับไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) วัย 32 ปี สส.อำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ สังกัดพรรคฝ่ายค้าน มูดา (MUDA) และอดีต รมว.เยาวชนและกีฬามาเลเซีย ล่าสุดเขาออกมายอมรับว่า ต้องจำยอมไปเป็นนายแบบเสื้อผ้าชุดรายอให้กับแบรนด์แฟชั่นแบรนด์หนึ่ง คู่กับ เบลลา อัสติลลาห์ (Bella Astillah) นักร้องและนักแสดงสาวชื่อดัง เพราะรัฐบาลนายอันวาร์ อิบราฮิม จากกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน (PH) ไม่ยอมจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชนในเขตเลือกตั้งของตนเอง

    ซาดีค กล่าวกลางรัฐสภามาเลเซียว่า ได้พยายามเจรจากับรัฐบาลอันวาร์มาหลายครั้งแล้ว ทำตามคำแนะนำนายอันวาร์ เจรจากับนายฟาดิลลาห์ ยูโซฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปแล้ว 5 ครั้ง ส่งจดหมายไปแล้ว ฉบับแล้วฉบับเล่านานกว่า 400 วัน แต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อรัฐสภาเมืองมัวร์ยังเป็น 0 ริงกิต ถ้าไม่อยากให้งบประมาณก็พูดในรัฐสภาแห่งนี้ไปเลย อย่าพูดเล่นๆ แบบข้างนอกพูดอย่างหนึ่ง แต่ข้างในกลับพูดอีกอย่างหนึ่ง ผมพยายามหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยหนีมาเป็นนายแบบ สส.บางคนโกรธที่ผมเป็นนายแบบ ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดผมก็ได้รับเงินบริจาค 1 ล้านริงกิตให้กับรัฐสภาเมืองมัวร์

    ขณะเดียวกัน ซาดีค ได้ขอให้รัฐบาลอันวาร์ทำการเมืองแบบมีวุฒิภาวะ เพราะไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ชะตากรรมของประชาชนในพื้นที่จะได้รับการปกป้อง และให้ความช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงสังกัดทางการเมือง มาเลเซียจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร แม้แต่เรื่องพื้นฐานก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เราส่งเสียงเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วเมื่อเป็นฝ่ายค้าน

    ก่อนหน้านี้ เซียร์ลีนา อับดุล ราชิด (Syerleena Abdul Rashid) สมาชิกรัฐสภาของกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน กลุ่มเดียวกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ซาดีคว่า ละเลยประชาชนในเขตเลือกตั้งตนเอง เพราะเขามักจะร่วมงานกับอัสติลลาห์โปรโมตเสื้อผ้ารายอแบรนด์หนึ่ง กระทั่งซาดีคต้องออกมาตอบโต้ดังกล่าว

    ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ซาดีคตัดสินใจวิ่งจากอำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ ไปยังอาคารรัฐสภามาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 4 วัน เพื่อระดมทุนรับบริจาคภายใต้แคมเปญ Langkah Muar (ก้าวเพื่อมัวร์) โดยครั้งนั้นได้เงินบริจาคกว่า 1 แสนริงกิต หรือประมาณ 7.7 แสนบาทในเวลา 48 ชั่วโมง

    #Newskit
    ไซด์ ซาดีค นักการเมือง ที่เป็นนายแบบได้นิดหน่อย เป็นอีกนักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่สร้างสีสันการเมืองในมาเลเซีย สำหรับไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) วัย 32 ปี สส.อำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ สังกัดพรรคฝ่ายค้าน มูดา (MUDA) และอดีต รมว.เยาวชนและกีฬามาเลเซีย ล่าสุดเขาออกมายอมรับว่า ต้องจำยอมไปเป็นนายแบบเสื้อผ้าชุดรายอให้กับแบรนด์แฟชั่นแบรนด์หนึ่ง คู่กับ เบลลา อัสติลลาห์ (Bella Astillah) นักร้องและนักแสดงสาวชื่อดัง เพราะรัฐบาลนายอันวาร์ อิบราฮิม จากกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน (PH) ไม่ยอมจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชนในเขตเลือกตั้งของตนเอง ซาดีค กล่าวกลางรัฐสภามาเลเซียว่า ได้พยายามเจรจากับรัฐบาลอันวาร์มาหลายครั้งแล้ว ทำตามคำแนะนำนายอันวาร์ เจรจากับนายฟาดิลลาห์ ยูโซฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปแล้ว 5 ครั้ง ส่งจดหมายไปแล้ว ฉบับแล้วฉบับเล่านานกว่า 400 วัน แต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อรัฐสภาเมืองมัวร์ยังเป็น 0 ริงกิต ถ้าไม่อยากให้งบประมาณก็พูดในรัฐสภาแห่งนี้ไปเลย อย่าพูดเล่นๆ แบบข้างนอกพูดอย่างหนึ่ง แต่ข้างในกลับพูดอีกอย่างหนึ่ง ผมพยายามหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยหนีมาเป็นนายแบบ สส.บางคนโกรธที่ผมเป็นนายแบบ ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดผมก็ได้รับเงินบริจาค 1 ล้านริงกิตให้กับรัฐสภาเมืองมัวร์ ขณะเดียวกัน ซาดีค ได้ขอให้รัฐบาลอันวาร์ทำการเมืองแบบมีวุฒิภาวะ เพราะไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ชะตากรรมของประชาชนในพื้นที่จะได้รับการปกป้อง และให้ความช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงสังกัดทางการเมือง มาเลเซียจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร แม้แต่เรื่องพื้นฐานก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เราส่งเสียงเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วเมื่อเป็นฝ่ายค้าน ก่อนหน้านี้ เซียร์ลีนา อับดุล ราชิด (Syerleena Abdul Rashid) สมาชิกรัฐสภาของกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน กลุ่มเดียวกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ซาดีคว่า ละเลยประชาชนในเขตเลือกตั้งตนเอง เพราะเขามักจะร่วมงานกับอัสติลลาห์โปรโมตเสื้อผ้ารายอแบรนด์หนึ่ง กระทั่งซาดีคต้องออกมาตอบโต้ดังกล่าว ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ซาดีคตัดสินใจวิ่งจากอำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ ไปยังอาคารรัฐสภามาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 4 วัน เพื่อระดมทุนรับบริจาคภายใต้แคมเปญ Langkah Muar (ก้าวเพื่อมัวร์) โดยครั้งนั้นได้เงินบริจาคกว่า 1 แสนริงกิต หรือประมาณ 7.7 แสนบาทในเวลา 48 ชั่วโมง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts