• สหรัฐใช้สิทธิ์ยับยั้ง (วีโต้) ข้อเสนอของกลุ่ม G7 ที่จะจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจเพื่อรับมือกับ 'กองเรือเงา' (shadow fleet) ของรัสเซีย เพื่อเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

    ข้อเสนอให้จัดตั้งกลุ่มดังกล่าวได้รับการเสนอโดยแคนาดา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม G7 ในปีนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่สนับสนุน
    สหรัฐใช้สิทธิ์ยับยั้ง (วีโต้) ข้อเสนอของกลุ่ม G7 ที่จะจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจเพื่อรับมือกับ 'กองเรือเงา' (shadow fleet) ของรัสเซีย เพื่อเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร ข้อเสนอให้จัดตั้งกลุ่มดังกล่าวได้รับการเสนอโดยแคนาดา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม G7 ในปีนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่สนับสนุน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ข้าราชการ #เห็นตัวแก่ มีเยอะมากๆๆๆๆ เจอเยอะ #โกงยา ไปขายบ้าง ไปแจกบ้าง #ไม่ป่วย แต่ไป #หาหมอ ไม่มีโรค ไปหาหมอ #ใช้สิทธิ มันทุกสัปดาห์ ใช้สิทธิแบบไม่มี #เหตุอันควร
    https://youtu.be/58BvGX7DITw?feature=shared
    #ข้าราชการ #เห็นตัวแก่ มีเยอะมากๆๆๆๆ เจอเยอะ #โกงยา ไปขายบ้าง ไปแจกบ้าง #ไม่ป่วย แต่ไป #หาหมอ ไม่มีโรค ไปหาหมอ #ใช้สิทธิ มันทุกสัปดาห์ ใช้สิทธิแบบไม่มี #เหตุอันควร https://youtu.be/58BvGX7DITw?feature=shared
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ข้าราชการ บางคน ไม่ป่วย ก็ไปหาหมอ ถลุงงบฯ เบิกซ้ำเบิกซ้อน เอายาแจกญาติ พ่อ แม่ ลูก ขนกันไปตรวจซ้ำตรวจซ้อน ใช้สิทธิแบบเห็นแก่ตัวและพวกพ้องมากๆ (บัตรทอง ก็มี หาหมอทุกสัปดาห์ ไม่ป่วย แต่มีสิทธิ ใช้แบบเห็นแก่ตัว ไม่เผื่อแผ่ใคร)
    https://youtu.be/DdjBcsZ4gNc
    #ข้าราชการ บางคน ไม่ป่วย ก็ไปหาหมอ ถลุงงบฯ เบิกซ้ำเบิกซ้อน เอายาแจกญาติ พ่อ แม่ ลูก ขนกันไปตรวจซ้ำตรวจซ้อน ใช้สิทธิแบบเห็นแก่ตัวและพวกพ้องมากๆ (บัตรทอง ก็มี หาหมอทุกสัปดาห์ ไม่ป่วย แต่มีสิทธิ ใช้แบบเห็นแก่ตัว ไม่เผื่อแผ่ใคร) https://youtu.be/DdjBcsZ4gNc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮังการี สโลวาเกีย และ โปแลนด์ ไม่อนุญาตให้กองทหารของยุโรปใช้แผ่นดินของตนเป็นด่านหน้าสำหรับปฎิบัติการทางทหารที่จะมีต่อรัสเซีย
    นอกจากนี้ ฮังการี สโลวาเกีย โปแลนด์ และ อิตาลีบอกว่าจะวีโต้(ยับยั้ง) การส่งทหารชาติสมาชิกอียูเข้าไปในยูเครน
    ก่อนหน้านี้ ฮังการีเพิ่งจะวีโต้(ยับยั้ง)ความช่วยเหลือของสหภาพยุโรปมูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน

    ทำให้ขณะนี้ รัฐสภายุโรปกำลังพิจารณาอย่างจริงจัง เกี่ยวกับกฎในการลงมติใหม่ เพื่อริบสิทธิ์การลงคะแนนเสียงของฮังการี
    เดิมที มติต่างๆของสหภาพยุโรปจะต้องมีเสียงเป็นเอกฉันท์ แต่ระยะหลังเริ่มมีประเทศที่มักจะใช้สิทธิ์ยับยั้ง(วีโต้)บ่อยครั้ง ซึ่งนำโดยฮังการี และสโลวาเกีย โดยเฉพาะมติที่เกี่ยวกับยูเครน
    การเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับนี้ อาจนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพยุโรปเองในอนาคตข้างหน้า
    ฮังการี สโลวาเกีย และ โปแลนด์ ไม่อนุญาตให้กองทหารของยุโรปใช้แผ่นดินของตนเป็นด่านหน้าสำหรับปฎิบัติการทางทหารที่จะมีต่อรัสเซีย นอกจากนี้ ฮังการี สโลวาเกีย โปแลนด์ และ อิตาลีบอกว่าจะวีโต้(ยับยั้ง) การส่งทหารชาติสมาชิกอียูเข้าไปในยูเครน ก่อนหน้านี้ ฮังการีเพิ่งจะวีโต้(ยับยั้ง)ความช่วยเหลือของสหภาพยุโรปมูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน ทำให้ขณะนี้ รัฐสภายุโรปกำลังพิจารณาอย่างจริงจัง เกี่ยวกับกฎในการลงมติใหม่ เพื่อริบสิทธิ์การลงคะแนนเสียงของฮังการี เดิมที มติต่างๆของสหภาพยุโรปจะต้องมีเสียงเป็นเอกฉันท์ แต่ระยะหลังเริ่มมีประเทศที่มักจะใช้สิทธิ์ยับยั้ง(วีโต้)บ่อยครั้ง ซึ่งนำโดยฮังการี และสโลวาเกีย โดยเฉพาะมติที่เกี่ยวกับยูเครน การเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับนี้ อาจนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพยุโรปเองในอนาคตข้างหน้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ไปอัพเดทอาการ ใช้สิทธิ์ 30 บาท แต่เหลือเงินกินข้าวหมกไก่แค่ 40 บาท แต่อิ่มนี้ไม่สูญเปล่า แต่ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรหลังตรวจเสร็จ เพราะเงินช็อตไส้แห้ง ผมจะบ้าตายเพราะเงินหมุนไม่ทันเหมือนครั้งที่แล้วยังมาหลอกหลอนในหัวผม ทำให้ต้องคิดลบมากขึ้น และรอยร้าวระหว่างผมกับทั้งครอบครัวเริ่มแตกปริขึ้น จนผมต้องแบมือขอเงินคนในครอบครัวบ้าง ญาติมิตรบ้าง แต่ก็พยายามจะใช้เงินให้ประหยัดที่สุด แต่หยุดกาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง ทดด้วยนมผสมโอเมก้า3,6,9,สฟิงโกไมอิลินและนมผสมมอลต์สกัดทำให้ไม่เครียดมากเหมือนครั้งก่อน แต่ก่อนเครียดมากนอยด์มากครอบครัวกดดันหนักมากจนผมเกือบจะคิดสั้น แต่คิดแยกตัวไปหากินคนละที่ดีกว่า สิ่งแวดล้อม (Environment) ดีกว่า วันนี้ผมคงเจ็บเหมือนโดนแทงใจดำล่วงหน้า และมาเจ็บจนต้องคิดลบอย่างทรมานสุดท้ายผมต้องขอข้าวชาวบ้านกินไม่ก็ถึงขั้นแย่งข้าวหมาแมวกิน แล้วที่ผ่านมาก็มูจนไม่มีเงินเก็บเหลือไปต่อยอดทำธุรกิจ แม้แต่สตาร์ทอัพผมต้องใช้ทุนตัวเอง
    วันนี้ไปอัพเดทอาการ ใช้สิทธิ์ 30 บาท แต่เหลือเงินกินข้าวหมกไก่แค่ 40 บาท แต่อิ่มนี้ไม่สูญเปล่า แต่ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรหลังตรวจเสร็จ เพราะเงินช็อตไส้แห้ง ผมจะบ้าตายเพราะเงินหมุนไม่ทันเหมือนครั้งที่แล้วยังมาหลอกหลอนในหัวผม ทำให้ต้องคิดลบมากขึ้น และรอยร้าวระหว่างผมกับทั้งครอบครัวเริ่มแตกปริขึ้น จนผมต้องแบมือขอเงินคนในครอบครัวบ้าง ญาติมิตรบ้าง แต่ก็พยายามจะใช้เงินให้ประหยัดที่สุด แต่หยุดกาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง ทดด้วยนมผสมโอเมก้า3,6,9,สฟิงโกไมอิลินและนมผสมมอลต์สกัดทำให้ไม่เครียดมากเหมือนครั้งก่อน แต่ก่อนเครียดมากนอยด์มากครอบครัวกดดันหนักมากจนผมเกือบจะคิดสั้น แต่คิดแยกตัวไปหากินคนละที่ดีกว่า สิ่งแวดล้อม (Environment) ดีกว่า วันนี้ผมคงเจ็บเหมือนโดนแทงใจดำล่วงหน้า และมาเจ็บจนต้องคิดลบอย่างทรมานสุดท้ายผมต้องขอข้าวชาวบ้านกินไม่ก็ถึงขั้นแย่งข้าวหมาแมวกิน แล้วที่ผ่านมาก็มูจนไม่มีเงินเก็บเหลือไปต่อยอดทำธุรกิจ แม้แต่สตาร์ทอัพผมต้องใช้ทุนตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิจารณ์สนั่น! หนุ่มโพสต์ตัดพ้อ พี่ชายได้รับการรักษาช้ากว่าเหตุ เนื่องจากใช้สิทธิประกันสังคมทำให้กว่าจะได้รับการรักษาอาการก็หนักขึ้นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ลั่นแด่สิทธิรักษาประกันสังคมห่วยๆ

    วันนี้ (2 มี.ค.) เฟซบุ๊ก “Chatpat Chuthichok” โพสต์ข้อความระบุว่า "พี่ชายอายุ 52 ปี ผมแน่นหน้าอก เจ็บตรงลิ้นปี่ หายใจไม่ออก เมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.68 ได้ใช้สิทธิประกันสังคม ในการรักษา ตอนสองทุ่ม (20.00 น.) ทางโรงพยาบาลได้ให้ยา และทำการตรวจเลือด นอนรอที่ห้องฉุกเฉิน จนถึงประมาณห้าทุ่ม (23.00 น.) เจ้าหน้าที่มาบอกว่า ไม่เป็นอะไร ปกติ กลับบ้านได้ ทั้งที่ผู้ป่วยยังแน่นหน้าอกอยู่ ไม่ยอมให้นอน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020330

    #MGROnline #ประกันสังคม
    วิจารณ์สนั่น! หนุ่มโพสต์ตัดพ้อ พี่ชายได้รับการรักษาช้ากว่าเหตุ เนื่องจากใช้สิทธิประกันสังคมทำให้กว่าจะได้รับการรักษาอาการก็หนักขึ้นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ลั่นแด่สิทธิรักษาประกันสังคมห่วยๆ • วันนี้ (2 มี.ค.) เฟซบุ๊ก “Chatpat Chuthichok” โพสต์ข้อความระบุว่า "พี่ชายอายุ 52 ปี ผมแน่นหน้าอก เจ็บตรงลิ้นปี่ หายใจไม่ออก เมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.68 ได้ใช้สิทธิประกันสังคม ในการรักษา ตอนสองทุ่ม (20.00 น.) ทางโรงพยาบาลได้ให้ยา และทำการตรวจเลือด นอนรอที่ห้องฉุกเฉิน จนถึงประมาณห้าทุ่ม (23.00 น.) เจ้าหน้าที่มาบอกว่า ไม่เป็นอะไร ปกติ กลับบ้านได้ ทั้งที่ผู้ป่วยยังแน่นหน้าอกอยู่ ไม่ยอมให้นอน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020330 • #MGROnline #ประกันสังคม
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลเห็นชอบ! ทรัมป์ “แบน” “เอพี จากทำเนียบ-แอร์ฟอร์ซวันแอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ศาลรัฐบาลกลาง ปฏิเสธคำร้องของ เอพี ขอคืนสิทธิ์ให้นักข่าวเข้าร่วมทำข่าวกิจกรรมต่างๆ ของทรัมป์ ทั้งในห้องทำงานรูปไข่ และบนเครื่องบิน แอร์ฟอร์ซ-วันเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025 ผู้พิพากษา เทรเวอร์ แม็กเฟดเด้น แห่งศาลแขวงสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธคำร้องของสำนักข่าวเอพี ที่ขออำนาจศาลสั่งยกเลิกคำสั่งชั่วคราวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ห้ามนักข่าวของเอพี ร่วมทำข่าวของเขาในกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวและบนเครื่องบินประจำตำแหน่ง (แอร์ฟอร์ซ วัน) ด้วยคำสั่งแบนนักข่าวเอพี ของทรัมป์ดังกล่าว มีขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังจากสำนักข่าวเอพี ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนการเรียกชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' ที่ใช้มานานกว่า 400 ปี เป็น 'อ่าวอเมริกา' ตามคำสั่งของทรัมป์ โดยบอกว่าในฐานะองค์กรข่าวระดับโลก จะรายงานเรื่องนี้ตามหลักบรรณาธิการ แม้จะรับทราบชื่อที่ทรัมป์เลือกก็ตาม“ถ้ายังไม่เปลี่ยนชื่อ ก็อย่าหวังว่าจะได้ทำข่าว” ทรัมป์กล่าวและว่าคำสั่งแบนจะมีผลไปจนกว่าเอพี จะยอมรับว่า 'อ่าวอเมริกา' ควรเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของน่านน้ำดังกล่าวอย่างไรก็ดี ข่าวบอกว่าความพ่ายแพ้ของสำนักข่าวหลักของอเมริกาครั้งนี้ เป็นเพียงรอบแรก ที่เอพีขอให้ยกเลิกคำสั่งแบนชั่วคราว (temporary restraining order) เท่านั้น โดยศาลนัดพิจารณาคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งแบนถาวร (preliminary injunction) ในวันที่ 20 มีนาคม ที่จะถึงนี้ผู้พิพากษาเทรเวอร์ แม็กเฟดเด้น ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งโดยประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อปี 2017 ให้เหตุผลที่ไม่รับฟังคำร้องของเอพี หลายข้อ เช่น เขาไม่เห็นคล้อยตามที่เอพีบอกในคำฟ้องว่า กำลังเผชิญความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้ (irreparable harm) จากคำสั่งแบนของทรัมป์ผู้พิพากษาแม็กเฟดเด้น อ้างว่า แม้จะถูกแบนไม่ให้เข้าร่วมงานโดยตรง แต่เอพี ยังคงเข้าถึงข้อมูลเดียวกันจากข่าวแจก (pool notes) ที่ฝ่ายข่าวของทำเนียบข่าวแจกจ่ายให้นักข่าวสายทำเนียบ ทุกคน รวมถึงบอกว่า การที่เอพี ไม่ยื่นฟ้องศาลทันทีหลังถูกแบน แต่ใช้เวลานานกว่าสัปดาห์ คือหลักฐานที่บ่งชัดว่าเอพีไม่ได้รับ “บาดเจ็บ” ร้ายแรง ตามที่ระบุในคำฟ้องต่อมา โฆษกทำเนียบขาว คาโรไลน์ เลวิทท์ โพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ ว่าฝ่ายบริหารสนับสนุนคำสั่งแบนเอพี ของทรัมป์ เต็มที่“เหมือนที่เราได้บอกตั้งแต่แรก ว่าการได้ตั้งคำถามกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ หรือบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซ วัน ถือเป็นสิทธิพิเศษ (privilege) ที่มอบให้กับนักข่าว ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมาย” โฆษกทำเนียบขาว ระบุ.
    ศาลเห็นชอบ! ทรัมป์ “แบน” “เอพี จากทำเนียบ-แอร์ฟอร์ซวันแอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ศาลรัฐบาลกลาง ปฏิเสธคำร้องของ เอพี ขอคืนสิทธิ์ให้นักข่าวเข้าร่วมทำข่าวกิจกรรมต่างๆ ของทรัมป์ ทั้งในห้องทำงานรูปไข่ และบนเครื่องบิน แอร์ฟอร์ซ-วันเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025 ผู้พิพากษา เทรเวอร์ แม็กเฟดเด้น แห่งศาลแขวงสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธคำร้องของสำนักข่าวเอพี ที่ขออำนาจศาลสั่งยกเลิกคำสั่งชั่วคราวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ห้ามนักข่าวของเอพี ร่วมทำข่าวของเขาในกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวและบนเครื่องบินประจำตำแหน่ง (แอร์ฟอร์ซ วัน) ด้วยคำสั่งแบนนักข่าวเอพี ของทรัมป์ดังกล่าว มีขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังจากสำนักข่าวเอพี ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนการเรียกชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' ที่ใช้มานานกว่า 400 ปี เป็น 'อ่าวอเมริกา' ตามคำสั่งของทรัมป์ โดยบอกว่าในฐานะองค์กรข่าวระดับโลก จะรายงานเรื่องนี้ตามหลักบรรณาธิการ แม้จะรับทราบชื่อที่ทรัมป์เลือกก็ตาม“ถ้ายังไม่เปลี่ยนชื่อ ก็อย่าหวังว่าจะได้ทำข่าว” ทรัมป์กล่าวและว่าคำสั่งแบนจะมีผลไปจนกว่าเอพี จะยอมรับว่า 'อ่าวอเมริกา' ควรเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของน่านน้ำดังกล่าวอย่างไรก็ดี ข่าวบอกว่าความพ่ายแพ้ของสำนักข่าวหลักของอเมริกาครั้งนี้ เป็นเพียงรอบแรก ที่เอพีขอให้ยกเลิกคำสั่งแบนชั่วคราว (temporary restraining order) เท่านั้น โดยศาลนัดพิจารณาคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งแบนถาวร (preliminary injunction) ในวันที่ 20 มีนาคม ที่จะถึงนี้ผู้พิพากษาเทรเวอร์ แม็กเฟดเด้น ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งโดยประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อปี 2017 ให้เหตุผลที่ไม่รับฟังคำร้องของเอพี หลายข้อ เช่น เขาไม่เห็นคล้อยตามที่เอพีบอกในคำฟ้องว่า กำลังเผชิญความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้ (irreparable harm) จากคำสั่งแบนของทรัมป์ผู้พิพากษาแม็กเฟดเด้น อ้างว่า แม้จะถูกแบนไม่ให้เข้าร่วมงานโดยตรง แต่เอพี ยังคงเข้าถึงข้อมูลเดียวกันจากข่าวแจก (pool notes) ที่ฝ่ายข่าวของทำเนียบข่าวแจกจ่ายให้นักข่าวสายทำเนียบ ทุกคน รวมถึงบอกว่า การที่เอพี ไม่ยื่นฟ้องศาลทันทีหลังถูกแบน แต่ใช้เวลานานกว่าสัปดาห์ คือหลักฐานที่บ่งชัดว่าเอพีไม่ได้รับ “บาดเจ็บ” ร้ายแรง ตามที่ระบุในคำฟ้องต่อมา โฆษกทำเนียบขาว คาโรไลน์ เลวิทท์ โพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ ว่าฝ่ายบริหารสนับสนุนคำสั่งแบนเอพี ของทรัมป์ เต็มที่“เหมือนที่เราได้บอกตั้งแต่แรก ว่าการได้ตั้งคำถามกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ หรือบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซ วัน ถือเป็นสิทธิพิเศษ (privilege) ที่มอบให้กับนักข่าว ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมาย” โฆษกทำเนียบขาว ระบุ.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานเกี่ยวกับความพยายามในการเข้าซื้อกิจการของ Intel โดยบริษัทใหญ่อย่าง TSMC และ Broadcom ที่สนใจจะแยกส่วนธุรกิจของ Intel โดย Broadcom สนใจในส่วนการออกแบบและการตลาดของชิป ในขณะที่ TSMC สนใจในโรงงานผลิตชิปของ Intel

    อย่างไรก็ตาม มีอุปสรรคหลายประการที่ต้องพิจารณา หนึ่งในนั้นคือ ข้อตกลงการให้สิทธิบัตรข้ามกันระหว่าง Intel และ AMD ซึ่งมีเงื่อนไขว่า หากบริษัทใดถูกซื้อกิจการหรือควบรวม บริษัทอื่นมีสิทธิ์ยกเลิกข้อตกลงและต้องเจรจาใหม่ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีที่แล้วเมื่อ AMD และ Intel ยุติข้อพิพาททางกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม x86 ซึ่งทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถใช้สิทธิบัตรของกันและกันได้ และหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องคดีละเมิดสิทธิบัตรที่ไม่ตั้งใจ

    ตอนนี้ข้อตกลงนี้กลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งเมื่อ Intel อาจถูกซื้อกิจการ การที่ Broadcom จะซื้อ Intel อาจทำให้เกิดสถานการณ์ที่น่าสนใจ เนื่องจาก Broadcom ต้องเจรจากับ AMD ใหม่ ซึ่งอาจทำให้ Broadcom มีความท้าทายมากขึ้นในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับ AMD

    https://www.techradar.com/pro/what-an-irony-amd-could-potentially-block-intel-deal-by-invoking-agreement-put-in-place-to-prevent-sale-of-amd
    มีรายงานเกี่ยวกับความพยายามในการเข้าซื้อกิจการของ Intel โดยบริษัทใหญ่อย่าง TSMC และ Broadcom ที่สนใจจะแยกส่วนธุรกิจของ Intel โดย Broadcom สนใจในส่วนการออกแบบและการตลาดของชิป ในขณะที่ TSMC สนใจในโรงงานผลิตชิปของ Intel อย่างไรก็ตาม มีอุปสรรคหลายประการที่ต้องพิจารณา หนึ่งในนั้นคือ ข้อตกลงการให้สิทธิบัตรข้ามกันระหว่าง Intel และ AMD ซึ่งมีเงื่อนไขว่า หากบริษัทใดถูกซื้อกิจการหรือควบรวม บริษัทอื่นมีสิทธิ์ยกเลิกข้อตกลงและต้องเจรจาใหม่ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีที่แล้วเมื่อ AMD และ Intel ยุติข้อพิพาททางกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม x86 ซึ่งทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถใช้สิทธิบัตรของกันและกันได้ และหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องคดีละเมิดสิทธิบัตรที่ไม่ตั้งใจ ตอนนี้ข้อตกลงนี้กลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งเมื่อ Intel อาจถูกซื้อกิจการ การที่ Broadcom จะซื้อ Intel อาจทำให้เกิดสถานการณ์ที่น่าสนใจ เนื่องจาก Broadcom ต้องเจรจากับ AMD ใหม่ ซึ่งอาจทำให้ Broadcom มีความท้าทายมากขึ้นในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับ AMD https://www.techradar.com/pro/what-an-irony-amd-could-potentially-block-intel-deal-by-invoking-agreement-put-in-place-to-prevent-sale-of-amd
    WWW.TECHRADAR.COM
    AMD may block any Intel acquisition to prevent trillion dollar tech company from becoming even more powerful
    If Broadcom wants to acquire Team Blue it will have to negotiate a new contract with Team Red
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกอนุรักษนิยมของเยอรมนีคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แต่เสียงโหวตที่แตกกัน ส่งให้พรรค Alternative for Germany (AfD) พรรคขวาจัด คว้าอันดับ 2 มีผลงานดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประสบความยุ่งยากในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล
    .
    แมร์ซ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งมาก่อน เตรียมก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ที่เวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง มีความแตกแยกในสังคมเกี่ยวกับปัญหาคนเข้ามืองและติดแหง็กอยู่ในประเด็นความมั่นคงท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียและจีน
    .
    ตามหลังการพังครืนของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชล์ซ ทาง แมร์ซ วัย 69 ปี รับปากกับกองเชียร์ที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ว่ารัฐบาลของเขามีความตั้งใจทำให้เยอรมนีมีตัวตนในยุโรปอีกครั้ง เพื่อที่โลกจะสังเกตเห็นว่าเยอรมนีกำลังถูกปกครองด้วยความน่าเชื่อถืออีกครั้ง "คืนนี้เราจะเฉลิมฉลอง ทว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มทำงาน โลกภายนอกรอเราไม่ได้"
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพันธมิตรอย่าง อีลอน มัสก์ ส่งเสียงสนับสนุนพรรค AfD ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างศึกหาเสียง แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยมบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "แทบเหมือนกับในสหรัฐฯ ประชาชนเยอรมนีเบื่อหน่านกับวาระที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพลังงานและคนเข้าเมือง ที่ถูกให้ความสำคัญมานานหลายปีเหลือเกิน"
    .
    ผลการเลือกตั้งพบว่ากลุ่มก้อนอนุรักษนิยมพรรค CDU/CSU คว้าคะแนนเสียงไปได้ 28.4% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียง 20.4% ตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว ZDF
    .
    อย่างไรก็ตาม พรรคกระแสหลักทั้งหลายปฏิเสธทำงานร่วมกับ AfD ที่กวาดคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากศึกเลือกตั้งคราวก่อน และมองผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "มือของเรายังคงเปิดกว้างสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล" อลิซ ไวเดล ผู้นำพรรค AfD บอกกับผู้สนับสนุน พร้อมระบุ "ครั้งต่อไป เราจะมาเป็นอันดับ 1"
    .
    คาดหมายว่า แมร์ซ กำลังมุ่งหน้าสู่สิ่งที่เชื่อว่าอาจเป็นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยืดเยื้อยาวนาน เนื่องจากไม่ได้ถือครองความได้เปรียบในการเจรจาเท่าไหร่ โดยแม้กลุ่มก้อน CDU/CSU ของเขาจะคว้าคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือเป็นผลการเลือกตั้งเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของพวกเขาในยุคหลังสงคราม
    .
    ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า แมร์ซ จะต้องการพรรคร่วมรัฐบาล 1 หรือ 2 พรรค สำหรับรวบรวมเสียงข้างมาก ในขณะที่ชะตากรรมของบรรดาพรรคขนาดเล็กก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน การจัดตั้งรัฐบาล 3 พรรคก็ยิ่งอาจทำให้อุ้ยอ้ายกว่าเดิม และอาจบั่นทอนศักยภาพของเยอรมนี ในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ
    .
    พรรคโซเชียลเดโมแครตส์ (SPD) ของนายกรัฐมตรีโชลซ์ ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้คะแนนโหวตเพียง 16.4% และโชลซ์ ยอมรับว่ามันเป็นผลการเลือกตั้งที่เจ็บปวด อ้างอิงการคาดการณ์ของ ZDF ขณะที่พรรคกรีนส์ได้คะแนนเสียง 12.2% ส่วนพรรคซ้ายจัดอย่าง Die Linke ได้คะแนนเสียงเพียง 8.9% แม้ได้รับแรงสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนหนุ่มสาว
    .
    อ้างอิงข้อมูลเอ็กซิตโพล พบว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงถึง 83% มากที่สุดตั้งแต่ก่อนรวมชาติเยอรมนีในปี 1990 ขณะเดียวกันพบว่าผู้ออกเสียงที่เป็นผู้ชายมีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายขวา ส่วนผู้ออกเสียงที่เป็นผู้หญิง ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อพรรคฝ่ายซ้าย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017982
    ..............
    Sondhi X
    พวกอนุรักษนิยมของเยอรมนีคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) แต่เสียงโหวตที่แตกกัน ส่งให้พรรค Alternative for Germany (AfD) พรรคขวาจัด คว้าอันดับ 2 มีผลงานดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และอาจทำให้ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประสบความยุ่งยากในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล . แมร์ซ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งมาก่อน เตรียมก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ที่เวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง มีความแตกแยกในสังคมเกี่ยวกับปัญหาคนเข้ามืองและติดแหง็กอยู่ในประเด็นความมั่นคงท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียและจีน . ตามหลังการพังครืนของรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชล์ซ ทาง แมร์ซ วัย 69 ปี รับปากกับกองเชียร์ที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ว่ารัฐบาลของเขามีความตั้งใจทำให้เยอรมนีมีตัวตนในยุโรปอีกครั้ง เพื่อที่โลกจะสังเกตเห็นว่าเยอรมนีกำลังถูกปกครองด้วยความน่าเชื่อถืออีกครั้ง "คืนนี้เราจะเฉลิมฉลอง ทว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะเริ่มทำงาน โลกภายนอกรอเราไม่ได้" . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพันธมิตรอย่าง อีลอน มัสก์ ส่งเสียงสนับสนุนพรรค AfD ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างศึกหาเสียง แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยมบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "แทบเหมือนกับในสหรัฐฯ ประชาชนเยอรมนีเบื่อหน่านกับวาระที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพลังงานและคนเข้าเมือง ที่ถูกให้ความสำคัญมานานหลายปีเหลือเกิน" . ผลการเลือกตั้งพบว่ากลุ่มก้อนอนุรักษนิยมพรรค CDU/CSU คว้าคะแนนเสียงไปได้ 28.4% ตามมาด้วยพรรค AfD ที่ได้คะแนนเสียง 20.4% ตามการคาดการณ์ของสำนักข่าว ZDF . อย่างไรก็ตาม พรรคกระแสหลักทั้งหลายปฏิเสธทำงานร่วมกับ AfD ที่กวาดคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากศึกเลือกตั้งคราวก่อน และมองผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น "มือของเรายังคงเปิดกว้างสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล" อลิซ ไวเดล ผู้นำพรรค AfD บอกกับผู้สนับสนุน พร้อมระบุ "ครั้งต่อไป เราจะมาเป็นอันดับ 1" . คาดหมายว่า แมร์ซ กำลังมุ่งหน้าสู่สิ่งที่เชื่อว่าอาจเป็นการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ยืดเยื้อยาวนาน เนื่องจากไม่ได้ถือครองความได้เปรียบในการเจรจาเท่าไหร่ โดยแม้กลุ่มก้อน CDU/CSU ของเขาจะคว้าคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือเป็นผลการเลือกตั้งเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของพวกเขาในยุคหลังสงคราม . ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า แมร์ซ จะต้องการพรรคร่วมรัฐบาล 1 หรือ 2 พรรค สำหรับรวบรวมเสียงข้างมาก ในขณะที่ชะตากรรมของบรรดาพรรคขนาดเล็กก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน การจัดตั้งรัฐบาล 3 พรรคก็ยิ่งอาจทำให้อุ้ยอ้ายกว่าเดิม และอาจบั่นทอนศักยภาพของเยอรมนี ในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ . พรรคโซเชียลเดโมแครตส์ (SPD) ของนายกรัฐมตรีโชลซ์ ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้คะแนนโหวตเพียง 16.4% และโชลซ์ ยอมรับว่ามันเป็นผลการเลือกตั้งที่เจ็บปวด อ้างอิงการคาดการณ์ของ ZDF ขณะที่พรรคกรีนส์ได้คะแนนเสียง 12.2% ส่วนพรรคซ้ายจัดอย่าง Die Linke ได้คะแนนเสียงเพียง 8.9% แม้ได้รับแรงสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนหนุ่มสาว . อ้างอิงข้อมูลเอ็กซิตโพล พบว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงถึง 83% มากที่สุดตั้งแต่ก่อนรวมชาติเยอรมนีในปี 1990 ขณะเดียวกันพบว่าผู้ออกเสียงที่เป็นผู้ชายมีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายขวา ส่วนผู้ออกเสียงที่เป็นผู้หญิง ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อพรรคฝ่ายซ้าย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017982 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1501 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายพันคนแชร์ภาพของตนเองขณะลงคะแนนให้พรรค AfD ของอลิซ ไวเดล บนโซเชียลมีเดีย!

    ดูเหมือนว่าผลสำรวจของพรรค AfD จะสูงกว่าผลสำรวจก่อนการเลือกตั้งมาก

    นอกจากนี้ ผู้สังเกตการหลายราย รายงานว่าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากในเยอรมนีส่วนใหญ่สนับสนุนพรรค AfD อีกด้วย
    ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายพันคนแชร์ภาพของตนเองขณะลงคะแนนให้พรรค AfD ของอลิซ ไวเดล บนโซเชียลมีเดีย! ดูเหมือนว่าผลสำรวจของพรรค AfD จะสูงกว่าผลสำรวจก่อนการเลือกตั้งมาก นอกจากนี้ ผู้สังเกตการหลายราย รายงานว่าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากในเยอรมนีส่วนใหญ่สนับสนุนพรรค AfD อีกด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • กกต.เผย 22 หน่วย ออกเสียงลงคะแนนใหม่ สมาชิกสภาและนายก อบจ. เรียบร้อยดี เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกใหม่ถึง 17.00 น.

    วันนี้ (23 ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่าในการออกเสียงลงคะแนนใหม่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 22 หน่วย ใน 11 จังหวัดวันนี้ ว่าคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งได้เปิดการออกเสียงลงคะแนนใหม่เรียบร้อยแล้ว และได้เน้นย้ำให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และคู่มือปฏิบัติงานสำหรับเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งประจำหน่วยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การออกเสียงลงคะแนนใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้ง 22 หน่วย

    กกต. ย้ำว่าการแสดงหลักฐานเพื่อขอใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งนอกจากบัตรประชาชนหรือบัตรที่หน่วยงานของรัฐออกให้แล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังสามารถใช้แอปพลิเคชัน DLT QR LICENCE แอปพลิเคชัน ThaID และ แอปพลิเคชันบัตรคนพิการ เป็นหลักฐานในการแสดงตนเพื่อขอใช้สิทธิเลือกตั้งได้

    ทั้งนี้ กกต. ขอเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนใหม่ สมาชิกสภาและนายก อบจ. ได้ตั้งแต่ เวลา 08.00 – 17.00 น.

    #MGROnline #อบจ.
    กกต.เผย 22 หน่วย ออกเสียงลงคะแนนใหม่ สมาชิกสภาและนายก อบจ. เรียบร้อยดี เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกใหม่ถึง 17.00 น. • วันนี้ (23 ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่าในการออกเสียงลงคะแนนใหม่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 22 หน่วย ใน 11 จังหวัดวันนี้ ว่าคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งได้เปิดการออกเสียงลงคะแนนใหม่เรียบร้อยแล้ว และได้เน้นย้ำให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และคู่มือปฏิบัติงานสำหรับเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งประจำหน่วยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การออกเสียงลงคะแนนใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้ง 22 หน่วย • กกต. ย้ำว่าการแสดงหลักฐานเพื่อขอใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งนอกจากบัตรประชาชนหรือบัตรที่หน่วยงานของรัฐออกให้แล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังสามารถใช้แอปพลิเคชัน DLT QR LICENCE แอปพลิเคชัน ThaID และ แอปพลิเคชันบัตรคนพิการ เป็นหลักฐานในการแสดงตนเพื่อขอใช้สิทธิเลือกตั้งได้ • ทั้งนี้ กกต. ขอเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนใหม่ สมาชิกสภาและนายก อบจ. ได้ตั้งแต่ เวลา 08.00 – 17.00 น. • #MGROnline #อบจ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ดูคลิปที่แชร์กันต่อเรื่องที่ต่างด้าวเข้ามาใช้สิทธิ์การรักษาฟรีในประเทศ รวมถึงมาเรียนฟรีด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้ นึกถึงตอนที่มีคนพม่า มาขอให้รับรองว่ามาเช่าอยู่ในพื้นที่ เพื่อที่จะทำใบรับรองในการเรียนกับ สกร.(กศน.เก่า) ในระดับอนุบาล( ระดับไม่มีความรู้ด้านภาษาไทยเลย) ทั้งๆที่ อายุของคนที่มาขอรับรองก็ประมาณ 40 กว่าๆ เมื่อโทรไปเช็คกับต้นสังกัด เพราะเอกสารที่ให้เซ็นเกี่ยวกับการรับรองรายได้ รวมถึงใบรับรองจากผู้ใหญ่บ้านด้วย
    จนในที่สุดทาง สกร.(กศน.เดิม) ตอบมาว่าเป็นแบบฟอร์มที่มาจากหน่วยงานจริง แต่เหตุการณ์นี้ทำให้คิดต่อได้ว่า หากคนไทยต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศนอกจากจะต้องเสียค่าเล่าเรียนที่แสนแพงแล้ว การกระทำ student visa ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญแต่ตอนนี้ทั้งต่างด้าวและต่างชาติฉวยโอกาส เข้ามาเรียนฟรีแถมยังเป็นใบการันตีในการอยู่ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบาย
    เคยโทรไปปรึกษากับผอ.สกร อำเภอ แต่ก็ได้คำตอบว่าไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเป็นนโยบายมาจากส่วนกลาง เราก็ได้แต่เข้าใจและทำใจเพียงแต่ฝากผอ. ไปว่าถ้ามีโอกาสได้ชี้แจงหรือเสนอแนะประเด็นตรงนี้ขึ้นไปในระดับบน ก็จะได้ช่วยชี้ให้เห็นถึงช่องว่างช่องโหว่ เพราะคนไทยในปัจจุบันแทบจะไม่มีที่ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียนแล้ว
    พี่ที่เคารพกันเคยเล่าให้ฟังว่าเคยได้ยินพวกไทยใหญ่อ้างบุญคุณว่าถ้าไม่มีพวกเขาโรงเรียนต่างๆที่เปิดก็จะเจ๊งเพราะพวกเขาทำให้โรงเรียนของพวกเราอยู่ได้ แหม…. ทำไมไม่มาพูดให้เราได้ยินนะจะตอบกลับกลับไปให้สวยๆเลยทีเดียว
    ได้ดูคลิปที่แชร์กันต่อเรื่องที่ต่างด้าวเข้ามาใช้สิทธิ์การรักษาฟรีในประเทศ รวมถึงมาเรียนฟรีด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้ นึกถึงตอนที่มีคนพม่า มาขอให้รับรองว่ามาเช่าอยู่ในพื้นที่ เพื่อที่จะทำใบรับรองในการเรียนกับ สกร.(กศน.เก่า) ในระดับอนุบาล( ระดับไม่มีความรู้ด้านภาษาไทยเลย) ทั้งๆที่ อายุของคนที่มาขอรับรองก็ประมาณ 40 กว่าๆ เมื่อโทรไปเช็คกับต้นสังกัด เพราะเอกสารที่ให้เซ็นเกี่ยวกับการรับรองรายได้ รวมถึงใบรับรองจากผู้ใหญ่บ้านด้วย จนในที่สุดทาง สกร.(กศน.เดิม) ตอบมาว่าเป็นแบบฟอร์มที่มาจากหน่วยงานจริง แต่เหตุการณ์นี้ทำให้คิดต่อได้ว่า หากคนไทยต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศนอกจากจะต้องเสียค่าเล่าเรียนที่แสนแพงแล้ว การกระทำ student visa ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญแต่ตอนนี้ทั้งต่างด้าวและต่างชาติฉวยโอกาส เข้ามาเรียนฟรีแถมยังเป็นใบการันตีในการอยู่ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบาย เคยโทรไปปรึกษากับผอ.สกร อำเภอ แต่ก็ได้คำตอบว่าไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเป็นนโยบายมาจากส่วนกลาง เราก็ได้แต่เข้าใจและทำใจเพียงแต่ฝากผอ. ไปว่าถ้ามีโอกาสได้ชี้แจงหรือเสนอแนะประเด็นตรงนี้ขึ้นไปในระดับบน ก็จะได้ช่วยชี้ให้เห็นถึงช่องว่างช่องโหว่ เพราะคนไทยในปัจจุบันแทบจะไม่มีที่ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียนแล้ว พี่ที่เคารพกันเคยเล่าให้ฟังว่าเคยได้ยินพวกไทยใหญ่อ้างบุญคุณว่าถ้าไม่มีพวกเขาโรงเรียนต่างๆที่เปิดก็จะเจ๊งเพราะพวกเขาทำให้โรงเรียนของพวกเราอยู่ได้ แหม…. ทำไมไม่มาพูดให้เราได้ยินนะจะตอบกลับกลับไปให้สวยๆเลยทีเดียว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • Easy E-Receipt 2.0 ช้อปลดหย่อนภาษีกับ ทีพีไอ ได้สูงสุด 30,000 บาท
    📲 ช้อปง่าย คุ้มครบ! กับ ทีพีไอ
    .
    👉🏻 เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 👈🏻
    .
    วีธีขอใบกำกับภาษีเมื่อสั่งซื้อสินค้า
    1. แจ้ง ชื่อ-นามสกุล และ ที่อยู่ (ตามบัตรประชาชน)
    2. แจ้ง E-mail
    3. แจ้งหมายเลขโทรศัพท์
    4. แจ้ง เลขบัตรประชาชน
    .
    เงื่อนไขการร่วมโครงการ Easy E-Receipt ปี 2568
    ✅ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่าน www.tpipolene.com / App TPI Market / Line @tpipl / Facebook Tpipolene / Shopee : TPI Polene Official Shop / Lazada : TPI Polene Official Shop หรือ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้าน สามารถขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
    ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ประจำหน้าร้าน ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น
    ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกค้าต้องทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินให้สำเร็จภายใน 28 ก.พ. 2568 เวลา 23:00 น. และแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ Admin ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น โดยไม่สามารถขอหรือออกใบกำกับภาษีย้อนหลังได้
    ✅ ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะถูกจัดส่งให้ลูกค้าผ่านทางอีเมล (Email) ที่ลูกค้าลงทะเบียนข้อมูลไว้ ซึ่งจะถูกจัดส่งหลังจากที่คำสั่งซื้อและการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์แล้ว ภายใน 15 วันทำการ
    ✅ ลูกค้าที่ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะไม่สามารถทำการคืนสินค้า หรือ เปลี่ยนแปลงสินค้าได้ทุกกรณี

    - เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่สรรพากรกำหนด

    อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >> www.tpipolene.com/static/help/faq

    #TPIEasyEReceipt #ช้อปลดหย่อนภาษีกับทีพีไอ
    #EasyEReceipt #ใบกำกับภาษี #ลดหย่อน #ภาษี #ลดหย่อนภาษี #ทีพีไอ #TPIPolene
    Easy E-Receipt 2.0 ช้อปลดหย่อนภาษีกับ ทีพีไอ ได้สูงสุด 30,000 บาท 📲 ช้อปง่าย คุ้มครบ! กับ ทีพีไอ . 👉🏻 เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 👈🏻 . วีธีขอใบกำกับภาษีเมื่อสั่งซื้อสินค้า 1. แจ้ง ชื่อ-นามสกุล และ ที่อยู่ (ตามบัตรประชาชน) 2. แจ้ง E-mail 3. แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ 4. แจ้ง เลขบัตรประชาชน . เงื่อนไขการร่วมโครงการ Easy E-Receipt ปี 2568 ✅ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่าน www.tpipolene.com / App TPI Market / Line @tpipl / Facebook Tpipolene / Shopee : TPI Polene Official Shop / Lazada : TPI Polene Official Shop หรือ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้าน สามารถขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ประจำหน้าร้าน ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกค้าต้องทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินให้สำเร็จภายใน 28 ก.พ. 2568 เวลา 23:00 น. และแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ Admin ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น โดยไม่สามารถขอหรือออกใบกำกับภาษีย้อนหลังได้ ✅ ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะถูกจัดส่งให้ลูกค้าผ่านทางอีเมล (Email) ที่ลูกค้าลงทะเบียนข้อมูลไว้ ซึ่งจะถูกจัดส่งหลังจากที่คำสั่งซื้อและการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์แล้ว ภายใน 15 วันทำการ ✅ ลูกค้าที่ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะไม่สามารถทำการคืนสินค้า หรือ เปลี่ยนแปลงสินค้าได้ทุกกรณี - เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่สรรพากรกำหนด อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >> www.tpipolene.com/static/help/faq #TPIEasyEReceipt #ช้อปลดหย่อนภาษีกับทีพีไอ #EasyEReceipt #ใบกำกับภาษี #ลดหย่อน #ภาษี #ลดหย่อนภาษี #ทีพีไอ #TPIPolene
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • โคราชแชมป์บัตรโหวตโน ตรังเทียบผู้มาใช้สิทธิสูงสุด

    การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด หรือโหวตโน 1,158,201 ใบ คิดเป็น 7.08% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ สาเหตุหลักคือ ไม่มีผู้สมัครรายใดโดนใจประชาชน

    จากการรวบรวมข้อมูลผลการเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด พบว่ามี 4 จังหวัดที่ไม่เปิดเผยคะแนนโหวตโนต่อสาธารณะ ได้แก่ พิจิตร บึงกาฬ นครนายก และกระบี่ ส่วนจังหวัดหนองบัวลำภูมีเฉพาะข้อมูลดิบ ไม่มีการรวมจำนวนมาให้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อยู่ในประกาศ กกต.จังหวัด เรื่อง ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง หรือแบบฟอร์ม ส.ถ./ผ.ถ. 5/8 ที่ประธานและกรรมการ กกต.จังหวัดลงนามก่อนส่งไปยัง กกต.กลางเพื่อพิจารณารับรองผลการเลือกตั้ง ซึ่งมีหลายจังหวัดเผยแพร่เอกสารนี้

    ส่วน 43 จังหวัดที่เหลือ จากการจัดอันดับพบว่า นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงสุด 110,934 ใบ หรือคิดเป็น 9.58% ของจำนวนบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดทั้งประเทศ รองลงมาคือ สงขลา 86,855 ใบ คิดเป็น 7.50% อันดับสาม ตรัง 63,333 ใบ คิดเป็น 5.47% อันดับสี่ เชียงใหม่ 57,625 ใบ คิดเป็น 4.98% อันดับห้า บุรีรัมย์ 51,525 ใบ คิดเป็น 4.45% อันดับหก นครปฐม 49,395 ใบ คิดเป็น 4.26% อันดับเจ็ด เชียงราย 43,406 ใบ คิดเป็น 3.75% อันดับแปด สมุทรปราการ 42,142 ใบ คิดเป็น 3.64% อันดับเก้า สระบุรี 39,017 ใบ คิดเป็น 3.37% และอันดับสิบ นนทบุรี 37,562 ใบ คิดเป็น 3.24%

    แต่หากเปรียบเทียบกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง พบว่า ตรัง เป็นจังหวัดที่มีร้อยละของบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงสุด 21.30% รองลงมาคือ ยะลา 13.05% (29,334 ใบ) อันดับสาม นครปฐม 12.90% อันดับสี่ สิงห์บุรี 12.76% (12,741 ใบ) อันดับห้า สงขลา 12.63% อันดับหก สระบุรี 12.31% อันดับเจ็ด ฉะเชิงเทรา 10.20% (34,612 ใบ) อันดับแปด นครราชสีมา 9.60% อันดับเก้า สตูล 9.56% (14,659 ใบ) และอันดับสิบ น่าน 9.12% (22,872 ใบ)

    สำหรับจังหวัดที่มีจำนวนบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดน้อยที่สุด (ไม่รวมจังหวัดที่ไม่เปิดเผยตัวเลข) ได้แก่ ตราด 3,003 ใบ คิดเป็น 2.86% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งจังหวัด ส่วนจังหวัดที่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งจังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม 4,526 ใบ คิดเป็น 2.41%

    #Newskit
    โคราชแชมป์บัตรโหวตโน ตรังเทียบผู้มาใช้สิทธิสูงสุด การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด หรือโหวตโน 1,158,201 ใบ คิดเป็น 7.08% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ สาเหตุหลักคือ ไม่มีผู้สมัครรายใดโดนใจประชาชน จากการรวบรวมข้อมูลผลการเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด พบว่ามี 4 จังหวัดที่ไม่เปิดเผยคะแนนโหวตโนต่อสาธารณะ ได้แก่ พิจิตร บึงกาฬ นครนายก และกระบี่ ส่วนจังหวัดหนองบัวลำภูมีเฉพาะข้อมูลดิบ ไม่มีการรวมจำนวนมาให้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อยู่ในประกาศ กกต.จังหวัด เรื่อง ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง หรือแบบฟอร์ม ส.ถ./ผ.ถ. 5/8 ที่ประธานและกรรมการ กกต.จังหวัดลงนามก่อนส่งไปยัง กกต.กลางเพื่อพิจารณารับรองผลการเลือกตั้ง ซึ่งมีหลายจังหวัดเผยแพร่เอกสารนี้ ส่วน 43 จังหวัดที่เหลือ จากการจัดอันดับพบว่า นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงสุด 110,934 ใบ หรือคิดเป็น 9.58% ของจำนวนบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดทั้งประเทศ รองลงมาคือ สงขลา 86,855 ใบ คิดเป็น 7.50% อันดับสาม ตรัง 63,333 ใบ คิดเป็น 5.47% อันดับสี่ เชียงใหม่ 57,625 ใบ คิดเป็น 4.98% อันดับห้า บุรีรัมย์ 51,525 ใบ คิดเป็น 4.45% อันดับหก นครปฐม 49,395 ใบ คิดเป็น 4.26% อันดับเจ็ด เชียงราย 43,406 ใบ คิดเป็น 3.75% อันดับแปด สมุทรปราการ 42,142 ใบ คิดเป็น 3.64% อันดับเก้า สระบุรี 39,017 ใบ คิดเป็น 3.37% และอันดับสิบ นนทบุรี 37,562 ใบ คิดเป็น 3.24% แต่หากเปรียบเทียบกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง พบว่า ตรัง เป็นจังหวัดที่มีร้อยละของบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงสุด 21.30% รองลงมาคือ ยะลา 13.05% (29,334 ใบ) อันดับสาม นครปฐม 12.90% อันดับสี่ สิงห์บุรี 12.76% (12,741 ใบ) อันดับห้า สงขลา 12.63% อันดับหก สระบุรี 12.31% อันดับเจ็ด ฉะเชิงเทรา 10.20% (34,612 ใบ) อันดับแปด นครราชสีมา 9.60% อันดับเก้า สตูล 9.56% (14,659 ใบ) และอันดับสิบ น่าน 9.12% (22,872 ใบ) สำหรับจังหวัดที่มีจำนวนบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดน้อยที่สุด (ไม่รวมจังหวัดที่ไม่เปิดเผยตัวเลข) ได้แก่ ตราด 3,003 ใบ คิดเป็น 2.86% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งจังหวัด ส่วนจังหวัดที่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งจังหวัด ได้แก่ มหาสารคาม 4,526 ใบ คิดเป็น 2.41% #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • โหวตโนผงาด ศึกเลือกตั้ง อบจ.

    การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ แม้ด้านหนึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งส่วนใหญ่ล้วนมาจากบ้านใหญ่แบบไม่พลิกโผ ผู้มาใช้สิทธิไม่คึกคักเพราะจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งลางานไม่ได้ และไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า

    แต่อีกด้านหนึ่ง "ช่องไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด" กลับสูงขึ้นหลายจังหวัด สาเหตุหลักคือ ไม่มีผู้สมัครรายใดโดนใจ อาทิ จังหวัดยะลา ที่มีนายมุขตาร์ มะทา อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 224,707 คน ปรากฎว่าบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 29,334 ใบ คิดเป็น 13.05%

    จังหวัดสงขลาที่แข่งขันกันสูงด้วยจำนวนผู้สมัคร 9 ราย นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อดีตอธิบดีกรมฝนหลวง ทีมสงขลาพลังใหม่ ชนะการเลือกตั้งด้วยแรงสนับสนุนจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีผู้มาใช้สิทธิ 687,944 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 86,855 ใบ คิดเป็น 12.63%

    จังหวัดนครราชสีมา ที่นางยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ด้วยแรงสนับสนุนจากนายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ที่ไปเปิดตัวผู้สมัครด้วยตัวเอง มีผู้มาใช้สิทธิ 1,155,142 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 110,934 ใบ คิดเป็น 9.60%

    จังหวัดนนทบุรี ที่ พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 432,613 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 37,562 ใบ คิดเป็น 8.68%

    จังหวัดสมุทรปราการ ที่นายสุนทร ปานแสงทอง อดีต รมช.เกษตรฯ จากกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า (อัศวเหม) ชนะการเลือกตั้ง มีผู้มาใช้สิทธิ 569,659 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 42,142 ใบ คิดเป็น 7.40%

    จังหวัดเชียงราย ที่นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย มีผู้มาใช้สิทธิ 605,780 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 43,406 ใบ คิดเป็น 7.17%

    จังหวัดอื่นๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้มาใช้สิทธิ 877,640 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 57,625 ใบ คิดเป็น 6.57% จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้มาใช้สิทธิ 393,849 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 24,113 ใบ คิดเป็น 6.12%

    จังหวัดสมุทรสาคร มีผู้มาใช้สิทธิ 211,071 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 11,573 ใบ คิดเป็น 5.48% และจังหวัดมหาสารคาม มีผู้มาใช้สิทธิ 453,567 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 16,452 ใบ คิดเป็น 3.63% สะท้อนให้เห็นความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการเมืองท้องถิ่นและโยงไปถึงระดับชาติที่ไม่ควรมองข้าม

    #Newskit
    โหวตโนผงาด ศึกเลือกตั้ง อบจ. การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ แม้ด้านหนึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งส่วนใหญ่ล้วนมาจากบ้านใหญ่แบบไม่พลิกโผ ผู้มาใช้สิทธิไม่คึกคักเพราะจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งลางานไม่ได้ และไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่อีกด้านหนึ่ง "ช่องไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด" กลับสูงขึ้นหลายจังหวัด สาเหตุหลักคือ ไม่มีผู้สมัครรายใดโดนใจ อาทิ จังหวัดยะลา ที่มีนายมุขตาร์ มะทา อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 224,707 คน ปรากฎว่าบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 29,334 ใบ คิดเป็น 13.05% จังหวัดสงขลาที่แข่งขันกันสูงด้วยจำนวนผู้สมัคร 9 ราย นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อดีตอธิบดีกรมฝนหลวง ทีมสงขลาพลังใหม่ ชนะการเลือกตั้งด้วยแรงสนับสนุนจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีผู้มาใช้สิทธิ 687,944 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 86,855 ใบ คิดเป็น 12.63% จังหวัดนครราชสีมา ที่นางยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ด้วยแรงสนับสนุนจากนายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ที่ไปเปิดตัวผู้สมัครด้วยตัวเอง มีผู้มาใช้สิทธิ 1,155,142 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 110,934 ใบ คิดเป็น 9.60% จังหวัดนนทบุรี ที่ พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 432,613 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 37,562 ใบ คิดเป็น 8.68% จังหวัดสมุทรปราการ ที่นายสุนทร ปานแสงทอง อดีต รมช.เกษตรฯ จากกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า (อัศวเหม) ชนะการเลือกตั้ง มีผู้มาใช้สิทธิ 569,659 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 42,142 ใบ คิดเป็น 7.40% จังหวัดเชียงราย ที่นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย มีผู้มาใช้สิทธิ 605,780 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 43,406 ใบ คิดเป็น 7.17% จังหวัดอื่นๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้มาใช้สิทธิ 877,640 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 57,625 ใบ คิดเป็น 6.57% จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้มาใช้สิทธิ 393,849 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 24,113 ใบ คิดเป็น 6.12% จังหวัดสมุทรสาคร มีผู้มาใช้สิทธิ 211,071 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 11,573 ใบ คิดเป็น 5.48% และจังหวัดมหาสารคาม มีผู้มาใช้สิทธิ 453,567 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 16,452 ใบ คิดเป็น 3.63% สะท้อนให้เห็นความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการเมืองท้องถิ่นและโยงไปถึงระดับชาติที่ไม่ควรมองข้าม #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 623 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ

    วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้

    กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ

    นิยามใหม่ของ "การสมรส"
    ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป

    นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น
    - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์
    - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย
    - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต

    สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส
    1. สิทธิทางกฎหมาย
    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น
    - สิทธิในการรับมรดก
    - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต
    - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
    - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส

    2. การจัดการทรัพย์สิน
    ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย

    ข้อกังวลและความท้าทาย
    แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น
    - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง
    - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่

    ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม
    สร้างความเท่าเทียมในสังคม
    การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม

    เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย
    การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม

    สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย

    🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568

    #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม

    23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ นิยามใหม่ของ "การสมรส" ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์ - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส 1. สิทธิทางกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น - สิทธิในการรับมรดก - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส 2. การจัดการทรัพย์สิน ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย ข้อกังวลและความท้าทาย แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่ ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม สร้างความเท่าเทียมในสังคม การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย 🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568 #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 624 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ Catherine De Bolle หัวหน้า Europol ได้กล่าวว่า บริษัทเทคโนโลยีมี "ความรับผิดชอบทางสังคม" ที่จะให้ตำรวจเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสที่ใช้โดยอาชญากร เธอยังกล่าวว่า "ความไม่เปิดเผยตัวตนไม่ใช่สิทธิพื้นฐาน" และการบังคับให้มีการถอดรหัสข้อความที่เข้ารหัสเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้กับอาชญากรรม

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายคนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ พวกเขาเตือนว่าการสร้างช่องโหว่สำหรับการบังคับใช้กฎหมายจะทำให้การป้องกันข้อมูลของทุกคนอ่อนแอลง และเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงข้อมูลได้เช่นกัน

    Amandine Le Pape, COO ของ Element ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ปลอดภัย กล่าวว่า "การสื่อสารที่ปลอดภัยคือการสื่อสารที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นสำหรับตำรวจหรือประชาชนทั่วไป" เธออธิบายว่าช่องโหว่ที่สร้างขึ้นเพื่อการบังคับใช้กฎหมายสามารถถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดีได้เช่นกัน

    Jan Jonsson, CEO ของ Mullvad VPN, เห็นด้วยกับ Le Pape และกล่าวว่า "การสื่อสารจะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ไม่มีทางเลือกอื่น" เขายังเตือนถึงการโจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการติดตั้งช่องโหว่ในระบบ เช่น การโจมตี Salt Typhoon ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

    การถกเถียงเรื่องการเข้ารหัสและความเป็นส่วนตัวยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงยืนยันว่าการสื่อสารที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/anonymity-is-not-a-fundamental-right-experts-disagree-with-europol-chiefs-request-for-encryption-back-door
    เมื่อไม่นานมานี้ Catherine De Bolle หัวหน้า Europol ได้กล่าวว่า บริษัทเทคโนโลยีมี "ความรับผิดชอบทางสังคม" ที่จะให้ตำรวจเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสที่ใช้โดยอาชญากร เธอยังกล่าวว่า "ความไม่เปิดเผยตัวตนไม่ใช่สิทธิพื้นฐาน" และการบังคับให้มีการถอดรหัสข้อความที่เข้ารหัสเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้กับอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายคนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ พวกเขาเตือนว่าการสร้างช่องโหว่สำหรับการบังคับใช้กฎหมายจะทำให้การป้องกันข้อมูลของทุกคนอ่อนแอลง และเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงข้อมูลได้เช่นกัน Amandine Le Pape, COO ของ Element ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ปลอดภัย กล่าวว่า "การสื่อสารที่ปลอดภัยคือการสื่อสารที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นสำหรับตำรวจหรือประชาชนทั่วไป" เธออธิบายว่าช่องโหว่ที่สร้างขึ้นเพื่อการบังคับใช้กฎหมายสามารถถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดีได้เช่นกัน Jan Jonsson, CEO ของ Mullvad VPN, เห็นด้วยกับ Le Pape และกล่าวว่า "การสื่อสารจะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ไม่มีทางเลือกอื่น" เขายังเตือนถึงการโจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการติดตั้งช่องโหว่ในระบบ เช่น การโจมตี Salt Typhoon ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา การถกเถียงเรื่องการเข้ารหัสและความเป็นส่วนตัวยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงยืนยันว่าการสื่อสารที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน https://www.techradar.com/computing/cyber-security/anonymity-is-not-a-fundamental-right-experts-disagree-with-europol-chiefs-request-for-encryption-back-door
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับหนึ่งปฏิรูปกองทัพ? กลุ่มโรคไม่ต้องจับใบดำ-แดง รื้ออำนาจศาลทหาร
    .
    ไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการปฏิรูปกองทัพหรือไม่ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมติเกี่ยวกับการดำเนินการของกองทัพในสองเรื่อสำคัญ ประกอบด้วย 1.การกำหนดให้กลุ่มโรคตุ่มน้ำพอง โรคลําไส้โป่งพองแต่กําเนิด โรคเอนไซม์บนเม็ดเลือดแดง เป็นคนจําพวก 2 ตรวจเลือกทหารกองเกิน และ 2.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พระธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ซึ่งกำหนดให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารได้
    .
    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ซึ่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าว มีสาระสําคัญอยู่ที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 37 (พ.ศ.2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 โดยแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการเพื่อกําหนดเพิ่มลักษณะอาการของโรค จํานวน 3 กลุ่มโรค ได้แก่ 1.กลุ่มโรคตุ่มน้ำพอง 2.โรคลําไส้โป่งพองแต่กําเนิด และ 3.โรคของเอนไซม์บนเม็ดเลือดแดงผิดปกติชนิด G-6-PD (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase) กําหนดให้เป็นคนจําพวกที่ 2 เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองเกินประจําสามารถตรวจวินิจฉัย และกําหนดคนเป็นจําพวกได้ถูกต้องตามที่หลักเกณฑ์กําหนด หมายความว่า บุคคลที่มีอาการ 3 กลุ่มโรคดังกล่าว จะเป็นคนจำพวกที่ 2 ไม่ต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการในกรณีที่มีคนจำพวกที่ 1 มีจำนวนเพียงพอกับยอดความต้องการทหารกองประจำการ
    .
    นายคารม ระบุอีกว่า สำหรับกรณีการอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พระธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. นั้น เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 เสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอำนาจศาลมณฑลทหารฯ และมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยตนเองและสิทธิในการได้รับการพิจารณาทบทวนคำพิพากษาโดยศาลที่สูงกว่า จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารสามารถใช้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาในศาลทหารได้ด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นกรณีศาลทหารในเวลาปกติและในเวลาไม่ปกติ เว้นแต่ในกรณีศาลอาญาศึกจะเป็นอัยการทหารเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้
    .............
    Sondhi X
    นับหนึ่งปฏิรูปกองทัพ? กลุ่มโรคไม่ต้องจับใบดำ-แดง รื้ออำนาจศาลทหาร . ไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการปฏิรูปกองทัพหรือไม่ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมติเกี่ยวกับการดำเนินการของกองทัพในสองเรื่อสำคัญ ประกอบด้วย 1.การกำหนดให้กลุ่มโรคตุ่มน้ำพอง โรคลําไส้โป่งพองแต่กําเนิด โรคเอนไซม์บนเม็ดเลือดแดง เป็นคนจําพวก 2 ตรวจเลือกทหารกองเกิน และ 2.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พระธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ซึ่งกำหนดให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารได้ . นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ซึ่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าว มีสาระสําคัญอยู่ที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 37 (พ.ศ.2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 โดยแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการเพื่อกําหนดเพิ่มลักษณะอาการของโรค จํานวน 3 กลุ่มโรค ได้แก่ 1.กลุ่มโรคตุ่มน้ำพอง 2.โรคลําไส้โป่งพองแต่กําเนิด และ 3.โรคของเอนไซม์บนเม็ดเลือดแดงผิดปกติชนิด G-6-PD (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase) กําหนดให้เป็นคนจําพวกที่ 2 เพื่อให้คณะกรรมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองเกินประจําสามารถตรวจวินิจฉัย และกําหนดคนเป็นจําพวกได้ถูกต้องตามที่หลักเกณฑ์กําหนด หมายความว่า บุคคลที่มีอาการ 3 กลุ่มโรคดังกล่าว จะเป็นคนจำพวกที่ 2 ไม่ต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการในกรณีที่มีคนจำพวกที่ 1 มีจำนวนเพียงพอกับยอดความต้องการทหารกองประจำการ . นายคารม ระบุอีกว่า สำหรับกรณีการอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พระธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. นั้น เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 เสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอำนาจศาลมณฑลทหารฯ และมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยตนเองและสิทธิในการได้รับการพิจารณาทบทวนคำพิพากษาโดยศาลที่สูงกว่า จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารสามารถใช้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาในศาลทหารได้ด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นกรณีศาลทหารในเวลาปกติและในเวลาไม่ปกติ เว้นแต่ในกรณีศาลอาญาศึกจะเป็นอัยการทหารเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้ ............. Sondhi X
    Like
    Love
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1522 มุมมอง 0 รีวิว
  • โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้บุคคลต่างๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เตรียมหวนคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคมนี้
    .
    "มันยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการตัดสินใจ" ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ตอบคำถามหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนิรโทษกรรมล่วงหน้า
    .
    ไบเดน ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความกังวลที่โผล่ขึ้นมาภายในพรรคเดโมแครต ตามหลังผลงานการดีเบตกับทรัมป์ ที่ก่อความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรค ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปรับรองแฮร์ริส แต่ว่าเธอก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้ทรัมป์
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงถึงเจตนาจะเอาผิดกับทุกคนที่เขามองเป็นศัตรู "ในนั้นรวมถึงแฮร์ริส และโจ ไบเดน บุคคลที่เขามองว่าเป็นประธานาธิบดีคอร์รัปชันเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงครอบครัวอาชญากรของเขาด้วย"
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวิพากษ์วิจารณ์ไบเดน สำหรับกรณีนิรโทษกรรมให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายตนเองในเดือนธันวาคม กลับลำจากที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนนั้น ทั้งนี้ ไบเดน อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ แม้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน และศาลมีกำหนดตัดสินระวางโทษในเดือนธันวาคม
    .
    ทรัมป์ เรียกการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็น "การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม" และหยิบยกเรื่องนี้พาดพิงถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาที่ถูกจำคุกฐานก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 "การนิรโทษกรรมที่ไบเดนมอบให้ฮันเตอร์ ได้นับรวมกลุ่ม J-6 Hostages ด้วยหรือเปล่า เวลานี้พวกเขาถูกคุมขังมานานหลายปีแล้ว มันเป็นการละเมิดและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม!" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล
    .
    นอกจากนี้ ว่าที่ประธานาธิบดียังเรียกร้องให้สืบสวนอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และลิซ เชนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาตลอด
    .
    ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ขู่ดำเนินคดีอย่างที่ไม่มีมาก่อน กับบุคคลต่างๆ ที่เขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้ง "ขอให้ทราบว่าความเสี่ยงถูกดำเนินการทางกฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงพวกทนายความ พวกผู้ใช้อุบายในทางการเมือง บรรดาผู้บริจาค ผู้ใช้สิทธิใช้เสียงแบบผิดกฎหมายและพวกเจ้าหน้าที่เลือกตั้งที่คอร์รัปชัน" ทรัมป์โพสต์บนทรัสต์โซเชียล หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางในปี 2020
    .
    ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำเมื่อปีที่แล้ว ว่าเขาจะไล่ออก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลการสืบสวนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากรีพับลิกันรายนี้ จนกระทั่ง สมิธ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.)
    .
    เมื่อถามว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้ตนเองหรือไม่ ทาง ไบเดน ปฏิเสธความคิดนี้ โดยบอกว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
    .
    มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีอาจมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำผิดใดๆ ตามกฎหมายรัฐบาลกลางในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งยังไม่ถูกยื่นฟ้องดำเนินคดีก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่สามารถใช้กับความผิดทางอาญาตามกฎหมายในแต่ละรัฐหรือความผิดใดๆ ในอนาคต
    .
    ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่ารูปแบบการนิรโทษกรรมที่ไบเดนกำลังพิจารณาอยู่นั้น น่าจะเป็นการนิรโทษกรรมภายใต้ขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003513
    ..............
    Sondhi X
    โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้บุคคลต่างๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เตรียมหวนคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคมนี้ . "มันยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการตัดสินใจ" ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ตอบคำถามหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนิรโทษกรรมล่วงหน้า . ไบเดน ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความกังวลที่โผล่ขึ้นมาภายในพรรคเดโมแครต ตามหลังผลงานการดีเบตกับทรัมป์ ที่ก่อความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรค ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปรับรองแฮร์ริส แต่ว่าเธอก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้ทรัมป์ . ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงถึงเจตนาจะเอาผิดกับทุกคนที่เขามองเป็นศัตรู "ในนั้นรวมถึงแฮร์ริส และโจ ไบเดน บุคคลที่เขามองว่าเป็นประธานาธิบดีคอร์รัปชันเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงครอบครัวอาชญากรของเขาด้วย" . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวิพากษ์วิจารณ์ไบเดน สำหรับกรณีนิรโทษกรรมให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายตนเองในเดือนธันวาคม กลับลำจากที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนนั้น ทั้งนี้ ไบเดน อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ แม้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน และศาลมีกำหนดตัดสินระวางโทษในเดือนธันวาคม . ทรัมป์ เรียกการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็น "การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม" และหยิบยกเรื่องนี้พาดพิงถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาที่ถูกจำคุกฐานก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 "การนิรโทษกรรมที่ไบเดนมอบให้ฮันเตอร์ ได้นับรวมกลุ่ม J-6 Hostages ด้วยหรือเปล่า เวลานี้พวกเขาถูกคุมขังมานานหลายปีแล้ว มันเป็นการละเมิดและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม!" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล . นอกจากนี้ ว่าที่ประธานาธิบดียังเรียกร้องให้สืบสวนอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และลิซ เชนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาตลอด . ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ขู่ดำเนินคดีอย่างที่ไม่มีมาก่อน กับบุคคลต่างๆ ที่เขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้ง "ขอให้ทราบว่าความเสี่ยงถูกดำเนินการทางกฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงพวกทนายความ พวกผู้ใช้อุบายในทางการเมือง บรรดาผู้บริจาค ผู้ใช้สิทธิใช้เสียงแบบผิดกฎหมายและพวกเจ้าหน้าที่เลือกตั้งที่คอร์รัปชัน" ทรัมป์โพสต์บนทรัสต์โซเชียล หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางในปี 2020 . ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำเมื่อปีที่แล้ว ว่าเขาจะไล่ออก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลการสืบสวนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากรีพับลิกันรายนี้ จนกระทั่ง สมิธ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) . เมื่อถามว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้ตนเองหรือไม่ ทาง ไบเดน ปฏิเสธความคิดนี้ โดยบอกว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรผิด" . มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีอาจมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำผิดใดๆ ตามกฎหมายรัฐบาลกลางในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งยังไม่ถูกยื่นฟ้องดำเนินคดีก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่สามารถใช้กับความผิดทางอาญาตามกฎหมายในแต่ละรัฐหรือความผิดใดๆ ในอนาคต . ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่ารูปแบบการนิรโทษกรรมที่ไบเดนกำลังพิจารณาอยู่นั้น น่าจะเป็นการนิรโทษกรรมภายใต้ขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003513 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1477 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขั้นตอนจ่าเอ็ม เปิดปากรับสารภาพ ผู้มีพระคุณจ้างวานฆ่า อดีต สส.กัมพูชา ด้วยเงิน 60,000 บาท รับมัดจำมาแล้ว 30,000 บาท มีคนชี้เป้าให้ข้อมูล ขณะหลบหนีก็มีคนบอกตลอดให้ไปตรงจุดใดความคืบหน้าคดีอดีต สส.กัมพูชา ภายหลังการควบคุมตัวนายเอกลักษณ์ หรือจ่าเอ็ม หรือเอ็ม กองเรือ มาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำในเบื้องต้นเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งประเด็นหลักที่ผู้ต้องหายังคงกังวลคือเกรงว่าญาติพี่น้องจะรู้ถึงเหตุการณ์นี้ แต่ตำรวจให้ผู้ต้องหาพบทนายความและมีการพูดคุย จนกระทั่งนายเอ็มเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นจนสามารถให้การกับพนักงานสอบสวนได้บ้างแล้วนายเอ็มอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้มีพระคุณซึ่งเป็นพลเรือนมาจ้างวานให้ฆ่านายลิม กิมยา อดีต สส.กัมพูชา ซึ่งตอนแรกนายเอ็มได้ตอบปฏิเสธ แต่ผู้มีพระคุณพยายามโทร.ตื๊อ จนทำให้ตอบตกลงรับงาน ในราคา 60,000 บาท และจ่ายมัดจำมาก้อนแรก 30,000 บาท นายเอ็มจึงเอาเงินจำนวนนี้ไปไถ่ปืนที่จำนำไว้ในราคา 2,000 บาท ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ นายเอ็มบอกว่า มีคน LINE มาให้ข้อมูลตลอด ว่าเป้าหมายรูปพรรณสันฐานเป็นอย่างไร ตอนนี้เดินทางถึงไหน และช่วงเวลาที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก็มีคน LINE มาบอกตลอดว่าให้ไปตรงจุดใด ซึ่งข้อมูลในโทรศัพท์มือถือตรงกับคำให้การของนายเอ็มนายเอ็มยังได้ใช้สิทธิของผู้ต้องหา ไม่ประสงค์ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยให้เหตุผลว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย และยังไม่อยากไปเจอหน้าใครทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวนายเอ็มไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังในวันที่ 13 ม.ค.68การส่งตัวในวันนี้ พล.ต.ท.สมประสงค์ จะเป็นผู้ไปรับตัวนายเอ็มจากรอง ผบ.ตร. ของประเทศกัมพูชา จะเป็นผู้นำตัวมาส่งด้วยตัวเอง จากนั้นเมื่อควบคุมตัวผู้ต้องหามาถึงกองบินตำรวจ เจ้าหน้าที่จะส่งมอบตัวผู้ต้องหา ให้กับพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงคราม เพื่อสอบปากคำ ก่อนจะส่งตัวฝากขังศาลอาญารัชดาในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.นี้ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
    ขั้นตอนจ่าเอ็ม เปิดปากรับสารภาพ ผู้มีพระคุณจ้างวานฆ่า อดีต สส.กัมพูชา ด้วยเงิน 60,000 บาท รับมัดจำมาแล้ว 30,000 บาท มีคนชี้เป้าให้ข้อมูล ขณะหลบหนีก็มีคนบอกตลอดให้ไปตรงจุดใดความคืบหน้าคดีอดีต สส.กัมพูชา ภายหลังการควบคุมตัวนายเอกลักษณ์ หรือจ่าเอ็ม หรือเอ็ม กองเรือ มาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำในเบื้องต้นเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งประเด็นหลักที่ผู้ต้องหายังคงกังวลคือเกรงว่าญาติพี่น้องจะรู้ถึงเหตุการณ์นี้ แต่ตำรวจให้ผู้ต้องหาพบทนายความและมีการพูดคุย จนกระทั่งนายเอ็มเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นจนสามารถให้การกับพนักงานสอบสวนได้บ้างแล้วนายเอ็มอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้มีพระคุณซึ่งเป็นพลเรือนมาจ้างวานให้ฆ่านายลิม กิมยา อดีต สส.กัมพูชา ซึ่งตอนแรกนายเอ็มได้ตอบปฏิเสธ แต่ผู้มีพระคุณพยายามโทร.ตื๊อ จนทำให้ตอบตกลงรับงาน ในราคา 60,000 บาท และจ่ายมัดจำมาก้อนแรก 30,000 บาท นายเอ็มจึงเอาเงินจำนวนนี้ไปไถ่ปืนที่จำนำไว้ในราคา 2,000 บาท ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ นายเอ็มบอกว่า มีคน LINE มาให้ข้อมูลตลอด ว่าเป้าหมายรูปพรรณสันฐานเป็นอย่างไร ตอนนี้เดินทางถึงไหน และช่วงเวลาที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก็มีคน LINE มาบอกตลอดว่าให้ไปตรงจุดใด ซึ่งข้อมูลในโทรศัพท์มือถือตรงกับคำให้การของนายเอ็มนายเอ็มยังได้ใช้สิทธิของผู้ต้องหา ไม่ประสงค์ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยให้เหตุผลว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย และยังไม่อยากไปเจอหน้าใครทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวนายเอ็มไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังในวันที่ 13 ม.ค.68การส่งตัวในวันนี้ พล.ต.ท.สมประสงค์ จะเป็นผู้ไปรับตัวนายเอ็มจากรอง ผบ.ตร. ของประเทศกัมพูชา จะเป็นผู้นำตัวมาส่งด้วยตัวเอง จากนั้นเมื่อควบคุมตัวผู้ต้องหามาถึงกองบินตำรวจ เจ้าหน้าที่จะส่งมอบตัวผู้ต้องหา ให้กับพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงคราม เพื่อสอบปากคำ ก่อนจะส่งตัวฝากขังศาลอาญารัชดาในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.นี้ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่สอบสวนจากสำนักงานปราบปรามการทุจริตของเกาหลีใต้เตรียมขอขยายเวลาหมายจับ รวมทั้งขอให้ตำรวจเข้าจับกุมยุน ซอก-ยอล หลังจากประธานาธิบดีที่กำลังถูกสอบสวนเพื่อถอดถอนผู้นี้ขัดขวางการเข้าควบคุมตัวจากกรณีการประกาศกฎอัยการศึกมาตลอดหนึ่งสัปดาห์
    .
    ยุน อดีตอัยการดาวเด่น ปฏิเสธการไปให้ปากคำและกบดานอยู่ในที่พักประธานาธิบดีท่ามกลางการอารักขาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนับร้อย
    .
    ลี แจ-ซอง รองผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามการทุจริต (ซีไอโอ) เผยว่า กำลังเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลให้ขยายหมายจับที่กำลังจะหมดอายุเที่ยงคืนวันจันทร์ (6 ม.ค.) รวมทั้งขอให้ตำรวจเข้าดำเนินการจับกุมยุนแทน ขณะที่ทีมกฎหมายของยุนแย้งว่า ซีไอโอไม่มีอำนาจในการจับกุมประธานาธิบดี
    .
    สัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ต้องล้มเลิกความพยายามเข้าจับกุมยุนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หลังเผชิญหน้ากับหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีนับร้อยคนนานนับชั่วโมง
    .
    ทั้งนี้ หากถูกจับกุมและถูกตัดสินว่าผิด ยุนอาจถูกจำคุกหรือรับโทษประหาร จากกรณีการประกาศกฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ เมื่อต้นเดือนธันวาคมและนำเกาหลีใต้เข้าสู่วิกฤตการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ทว่า ทั้งยุน และผู้สนับสนุนยังคงต่อต้านการจับกุม
    .
    คิม ซู ยอง วัย 62 ปี หนึ่งในแกนนำการชุมนุม ประกาศว่า หน่วยอารักขาจะปกป้องประธานาธิบดี และผู้ชุมนุมจะปกป้องหน่วยอารักขาอีกทอดจนถึงเที่ยงคืนวันจันทร์ รวมทั้งยืนยันว่า ถ้ามีการออกหมายจับใหม่ก็จะมาชุมนุมกันอีก
    .
    นอกจากนั้น เมื่อเช้าวันจันทร์ยังมีสมาชิกสภาจากพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) ของยุนไปปรากฏตัวหน้าที่พักประธานาธิบดี
    .
    ทางด้านตำรวจได้ปิดถนนเพื่อป้องกันผู้ประท้วงที่คาดว่าจะรวมพลังกันต่อในวันจันทร์ ขณะที่ผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านยุนหลายสิบคนปักหลักค้างคืนในวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ
    .
    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ขอออกหมายจับครั้งแรกเนื่องจากยุนไม่ยอมไปให้ปากคำเรื่องการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งทีมกฎหมายของยุนย้ำว่า หมายจับดังกล่าวผิดกฎหมายและจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อตอบโต้ ขณะที่หัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดีประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเข้าจับกุมยุน
    .
    ขณะเดียวกัน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงโซลเมื่อเช้าวันจันทร์เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีใต้ที่รวมถึงชอย ซัง-ม็อก รัฐมนตรีคลังและรักษาการประธานาธิบดี
    .
    บลิงเคนไม่มีกำหนดพบกับยุนที่ถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ แต่แถลงข่าวร่วมกับโช แต-ยุล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ และความสนใจของบลิงเคนเปลี่ยนจากประเด็นการเมืองภายในของเกาหลีใต้ เนื่องจากก่อนแถลงข่าวไม่นาน เปียงยางได้ทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีป
    .
    อนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ระบุว่า จะเริ่มการพิจารณาคดีถอดถอนยุนในวันอังคารหน้า (14 ม.ค.) ไม่ว่ายุนจะไปปรากฏตัวในศาลหรือไม่ก็ตาม โดยศาลรัฐธรรมนูญมีเวลา 180 วันในการวินิจฉัยว่า จะถอดถอนหรือคืนตำแหน่งให้ยุน
    .
    เอเอฟพีรายงานโดยอ้างอิงจากรายงานของอัยการเกี่ยวกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหมว่า ยุนเพิกเฉยต่อการคัดค้านของรัฐมนตรีสำคัญหลายคนก่อนที่จะประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งรายงานนี้อาจเป็นหลักฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา
    .
    ตามรายงานดังกล่าว นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและการทูตที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในคืนที่ยุนประกาศกฎอัยการศึก
    .
    นอกจากนั้น พรรคประชาธิปไตยที่เป็นฝ่ายค้านสำคัญยังเรียกร้องให้ยุบหน่วยอารักขายุน
    .
    อย่างไรก็ดี ทีมกฎหมายของยุนยืนยันว่า จะใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันอาทิตย์ ยุน กั๊บ-กึน ทนายความคนหนึ่งในทีม เผยว่า จะยื่นคำร้องคัดค้านผู้อำนวยการซีไอโอที่พยายามเข้าจับกุมยุน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001570
    ..............
    Sondhi X
    เจ้าหน้าที่สอบสวนจากสำนักงานปราบปรามการทุจริตของเกาหลีใต้เตรียมขอขยายเวลาหมายจับ รวมทั้งขอให้ตำรวจเข้าจับกุมยุน ซอก-ยอล หลังจากประธานาธิบดีที่กำลังถูกสอบสวนเพื่อถอดถอนผู้นี้ขัดขวางการเข้าควบคุมตัวจากกรณีการประกาศกฎอัยการศึกมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ . ยุน อดีตอัยการดาวเด่น ปฏิเสธการไปให้ปากคำและกบดานอยู่ในที่พักประธานาธิบดีท่ามกลางการอารักขาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนับร้อย . ลี แจ-ซอง รองผู้อำนวยการสำนักงานปราบปรามการทุจริต (ซีไอโอ) เผยว่า กำลังเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลให้ขยายหมายจับที่กำลังจะหมดอายุเที่ยงคืนวันจันทร์ (6 ม.ค.) รวมทั้งขอให้ตำรวจเข้าดำเนินการจับกุมยุนแทน ขณะที่ทีมกฎหมายของยุนแย้งว่า ซีไอโอไม่มีอำนาจในการจับกุมประธานาธิบดี . สัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ต้องล้มเลิกความพยายามเข้าจับกุมยุนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หลังเผชิญหน้ากับหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีนับร้อยคนนานนับชั่วโมง . ทั้งนี้ หากถูกจับกุมและถูกตัดสินว่าผิด ยุนอาจถูกจำคุกหรือรับโทษประหาร จากกรณีการประกาศกฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ เมื่อต้นเดือนธันวาคมและนำเกาหลีใต้เข้าสู่วิกฤตการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ทว่า ทั้งยุน และผู้สนับสนุนยังคงต่อต้านการจับกุม . คิม ซู ยอง วัย 62 ปี หนึ่งในแกนนำการชุมนุม ประกาศว่า หน่วยอารักขาจะปกป้องประธานาธิบดี และผู้ชุมนุมจะปกป้องหน่วยอารักขาอีกทอดจนถึงเที่ยงคืนวันจันทร์ รวมทั้งยืนยันว่า ถ้ามีการออกหมายจับใหม่ก็จะมาชุมนุมกันอีก . นอกจากนั้น เมื่อเช้าวันจันทร์ยังมีสมาชิกสภาจากพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) ของยุนไปปรากฏตัวหน้าที่พักประธานาธิบดี . ทางด้านตำรวจได้ปิดถนนเพื่อป้องกันผู้ประท้วงที่คาดว่าจะรวมพลังกันต่อในวันจันทร์ ขณะที่ผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านยุนหลายสิบคนปักหลักค้างคืนในวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ . ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ขอออกหมายจับครั้งแรกเนื่องจากยุนไม่ยอมไปให้ปากคำเรื่องการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งทีมกฎหมายของยุนย้ำว่า หมายจับดังกล่าวผิดกฎหมายและจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อตอบโต้ ขณะที่หัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดีประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเข้าจับกุมยุน . ขณะเดียวกัน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงโซลเมื่อเช้าวันจันทร์เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีใต้ที่รวมถึงชอย ซัง-ม็อก รัฐมนตรีคลังและรักษาการประธานาธิบดี . บลิงเคนไม่มีกำหนดพบกับยุนที่ถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ แต่แถลงข่าวร่วมกับโช แต-ยุล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ และความสนใจของบลิงเคนเปลี่ยนจากประเด็นการเมืองภายในของเกาหลีใต้ เนื่องจากก่อนแถลงข่าวไม่นาน เปียงยางได้ทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีป . อนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ระบุว่า จะเริ่มการพิจารณาคดีถอดถอนยุนในวันอังคารหน้า (14 ม.ค.) ไม่ว่ายุนจะไปปรากฏตัวในศาลหรือไม่ก็ตาม โดยศาลรัฐธรรมนูญมีเวลา 180 วันในการวินิจฉัยว่า จะถอดถอนหรือคืนตำแหน่งให้ยุน . เอเอฟพีรายงานโดยอ้างอิงจากรายงานของอัยการเกี่ยวกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหมว่า ยุนเพิกเฉยต่อการคัดค้านของรัฐมนตรีสำคัญหลายคนก่อนที่จะประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งรายงานนี้อาจเป็นหลักฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา . ตามรายงานดังกล่าว นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและการทูตที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในคืนที่ยุนประกาศกฎอัยการศึก . นอกจากนั้น พรรคประชาธิปไตยที่เป็นฝ่ายค้านสำคัญยังเรียกร้องให้ยุบหน่วยอารักขายุน . อย่างไรก็ดี ทีมกฎหมายของยุนยืนยันว่า จะใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันอาทิตย์ ยุน กั๊บ-กึน ทนายความคนหนึ่งในทีม เผยว่า จะยื่นคำร้องคัดค้านผู้อำนวยการซีไอโอที่พยายามเข้าจับกุมยุน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001570 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการให้บริการสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดย “หน่วยบริการนวัตกรรมคลินิกทันตกรรมเอกชน” ว่า จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการของ สปสช. ณ วันที่ 6 มกราคม 2568 มีคลินิกทันตกรรมที่ร่วมขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมแล้วจำนวน 1,394 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนในการใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการอย่างมาก โดยปีงบประมาณ 2567 - 2568 (6 ม.ค. 68) มีผู้เข้ารับบริการจำนวน 368,870 คน เป็นจำนวน 666,664 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงบริการทันตกรรมในระบบบัตรทองที่เพิ่มขึ้น

    ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้โดยสะดวก รวดเร็ว และใกล้บ้านได้ ซึ่งแต่เดิมแม้ว่าภายใต้ระบบบัตรทองจะมีชุดสิทธิประโยชน์บริการทันตกรรมที่ครอบคลุมให้กับประชาชนแล้ว ทั้งการสร้างเสริมป้องกัน การรักษา และฟื้นฟูสุขภาพช่องปากและฟัน พร้อมจัดสรรงบประมาณรองรับเบิกจ่ายค่าบริการ แต่ที่ผ่านมาพบว่าการใช้บริการของประชาชนยังมีไม่มาก ด้วยข้อจำกัดที่มีเพียงแต่หน่วยบริการของรัฐเท่านั้นที่ให้บริการทันตกรรมกับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ทำให้มีคิวรอบริการยาวเหยียด บางแห่งต้องรอคิวข้ามปีกันเลยทีเดียว ขณะที่มีคลินิกทันตกรรมเอกชนกระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบ 7,000 แห่ง สามารถให้บริการประชาชนได้เหมือนกัน โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนสร้าง รพ.เพิ่มเติมแต่อย่างใด

    ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. จึงได้ร่วมมือกับทันตแพทยสภา เชิญชวนคลินิกทันตกรรมเอกชน มาร่วมให้บริการทันตกรรมตามแนวทางเน้นการรักษาดูแลต่อเนื่องแบบปฐมภูมิ ทั้งการรักษาและการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากปีละ 3 ครั้ง โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากประชาชน ซึ่งตลอดระยะเวลาของการดำเนินการตามแผนขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ทั้ง 4 ระยะ ทันตแพทยสภาได้ร่วมกับ สปสช. ชี้แจงและทำความเข้าใจกับคลินิกทันตกรรมเอกชนต่างๆ เพื่อให้ความมั่นใจต่อการเข้าร่วมให้บริการในระบบ ทั้งรายการการให้บริการ การยืนยันตัวตนใช้สิทธิ การเบิกจ่าย และการจัดทำระบบและการเชอมต่อข้อมูลต่างๆ

    นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงพื้นที่ไปยังคลินิกทันตกรรมในจังหวัดต่างๆ ที่เข้าร่วม อาทิ คลินิกทันตกรรมกู๊ด ฟ. ฟัน จ.เชียงใหม่ คลินิกทันตกรรม ซี สไมล์พลัส อ.เมือง จ.ลำพูน ไอสมายล์คลินิกทันตกรรม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และที่ คลินิกทันตกรรมทีสมายล์ จ.น่าน เป็นต้น ไม่เพียงแต่ติดตามการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองตามคุณภาพและมาตรฐานแล้ว ยังได้รับทราบและแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ กับทางผู้ประกอบการคลินิกฯ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่คลินิกฯ ที่ให้บริการ รวมถึงการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่มารับบริการ ก็ได้รับคำตอบว่ามีความพึงพอใจมาก เพราะได้ใช้สิทธิบัตรทองทำฟัน ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องรอคิวนานที่โรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้มีประชาชนใช้บริการแล้วจำนวนมาก

    ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์บัตรทอง รายการบริการทันตกรรมที่คลินิกทันตกรรม มี 6 รายการ ดังนี้ 1.ตรวจสุขภาพช่องปาก 2.ขูดหินปูน 3.อุดฟัน 4.ถอนฟัน 5.เคลือบหลุมร่องฟัน และ 6.เคลือบฟลูออไรด์ โดยสามารถเข้ารับบริการได้คนละ 3 ครั้งต่อปี หากใช้สิทธิครบแล้วผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ หรือกรณีที่มีภาวะรุนแรงและต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ส่งต่อไปรับบริการต่อไป
    ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการให้บริการสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดย “หน่วยบริการนวัตกรรมคลินิกทันตกรรมเอกชน” ว่า จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการของ สปสช. ณ วันที่ 6 มกราคม 2568 มีคลินิกทันตกรรมที่ร่วมขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมแล้วจำนวน 1,394 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนในการใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการอย่างมาก โดยปีงบประมาณ 2567 - 2568 (6 ม.ค. 68) มีผู้เข้ารับบริการจำนวน 368,870 คน เป็นจำนวน 666,664 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงบริการทันตกรรมในระบบบัตรทองที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้โดยสะดวก รวดเร็ว และใกล้บ้านได้ ซึ่งแต่เดิมแม้ว่าภายใต้ระบบบัตรทองจะมีชุดสิทธิประโยชน์บริการทันตกรรมที่ครอบคลุมให้กับประชาชนแล้ว ทั้งการสร้างเสริมป้องกัน การรักษา และฟื้นฟูสุขภาพช่องปากและฟัน พร้อมจัดสรรงบประมาณรองรับเบิกจ่ายค่าบริการ แต่ที่ผ่านมาพบว่าการใช้บริการของประชาชนยังมีไม่มาก ด้วยข้อจำกัดที่มีเพียงแต่หน่วยบริการของรัฐเท่านั้นที่ให้บริการทันตกรรมกับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ทำให้มีคิวรอบริการยาวเหยียด บางแห่งต้องรอคิวข้ามปีกันเลยทีเดียว ขณะที่มีคลินิกทันตกรรมเอกชนกระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบ 7,000 แห่ง สามารถให้บริการประชาชนได้เหมือนกัน โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนสร้าง รพ.เพิ่มเติมแต่อย่างใด ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สปสช. จึงได้ร่วมมือกับทันตแพทยสภา เชิญชวนคลินิกทันตกรรมเอกชน มาร่วมให้บริการทันตกรรมตามแนวทางเน้นการรักษาดูแลต่อเนื่องแบบปฐมภูมิ ทั้งการรักษาและการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากปีละ 3 ครั้ง โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากประชาชน ซึ่งตลอดระยะเวลาของการดำเนินการตามแผนขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ทั้ง 4 ระยะ ทันตแพทยสภาได้ร่วมกับ สปสช. ชี้แจงและทำความเข้าใจกับคลินิกทันตกรรมเอกชนต่างๆ เพื่อให้ความมั่นใจต่อการเข้าร่วมให้บริการในระบบ ทั้งรายการการให้บริการ การยืนยันตัวตนใช้สิทธิ การเบิกจ่าย และการจัดทำระบบและการเชอมต่อข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงพื้นที่ไปยังคลินิกทันตกรรมในจังหวัดต่างๆ ที่เข้าร่วม อาทิ คลินิกทันตกรรมกู๊ด ฟ. ฟัน จ.เชียงใหม่ คลินิกทันตกรรม ซี สไมล์พลัส อ.เมือง จ.ลำพูน ไอสมายล์คลินิกทันตกรรม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และที่ คลินิกทันตกรรมทีสมายล์ จ.น่าน เป็นต้น ไม่เพียงแต่ติดตามการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองตามคุณภาพและมาตรฐานแล้ว ยังได้รับทราบและแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ กับทางผู้ประกอบการคลินิกฯ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่คลินิกฯ ที่ให้บริการ รวมถึงการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่มารับบริการ ก็ได้รับคำตอบว่ามีความพึงพอใจมาก เพราะได้ใช้สิทธิบัตรทองทำฟัน ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องรอคิวนานที่โรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้มีประชาชนใช้บริการแล้วจำนวนมาก ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์บัตรทอง รายการบริการทันตกรรมที่คลินิกทันตกรรม มี 6 รายการ ดังนี้ 1.ตรวจสุขภาพช่องปาก 2.ขูดหินปูน 3.อุดฟัน 4.ถอนฟัน 5.เคลือบหลุมร่องฟัน และ 6.เคลือบฟลูออไรด์ โดยสามารถเข้ารับบริการได้คนละ 3 ครั้งต่อปี หากใช้สิทธิครบแล้วผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ หรือกรณีที่มีภาวะรุนแรงและต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ส่งต่อไปรับบริการต่อไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว