• อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่าการ​เจริญสติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    สัทธรรมลำดับที่ : 667
    ชื่อบทธรรม :- สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    --ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร
    ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้ ?

    [หมวดกายานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้, หรือว่า
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี;
    [๒] เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้, หรือว่า
    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +-ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=กาเย+กายานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
    ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น.

    [หมวดเวทนานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=เวทนาสุ+เวทนานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
    ทั้งหลาย ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น.

    [หมวดจิตตานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=จิตฺเต+จิตฺตานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว
    ไม่มีสัมปชัญญะ.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น.

    [หมวดธัมมานุปัสสนา]
    --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ
    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้.
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ ตามเห็นซึ่งความจางคลาย อยู่เป็นประจำจักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลือ อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออกดังนี้ ;
    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้,
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า
    เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ;
    +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ
    http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=ธมฺเมสุ+ธมฺมานุปสฺสี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.
    +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
    ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
    ในสมัยนั้น.

    +--ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
    ชื่อว่าทำ #สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ ได้.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=จตฺตาโร+สติปฏฺฐาเน

    #สัมมาวายามะ #สัมมาสติ#สัมมาสมาธิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/195/289.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/156/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/195/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47&id=667
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47
    ลำดับสาธยายธรรม : 47 ฟังเสียง..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_47.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่าการ​เจริญสติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ สัทธรรมลำดับที่ : 667 ชื่อบทธรรม :- สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667 เนื้อความทั้งหมด :- --สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ --ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้ ? [หมวดกายานุปัสสนา] --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี; [๒] เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; +-ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=กาเย+กายานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดเวทนานุปัสสนา] --ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=เวทนาสุ+เวทนานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทั้งหลาย ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดจิตตานุปัสสนา] --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/196/?keywords=จิตฺเต+จิตฺตานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดธัมมานุปัสสนา] --ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ตามเห็นซึ่งความจางคลาย อยู่เป็นประจำจักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลือ อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออกดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; +--ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า #เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=ธมฺเมสุ+ธมฺมานุปสฺสี มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา. +--ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. +--ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าทำ #สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ ได้.- http://etipitaka.com/read/pali/14/197/?keywords=จตฺตาโร+สติปฏฺฐาเน #สัมมาวายามะ #สัมมาสติ​ #สัมมาสมาธิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/195/289. http://etipitaka.com/read/thai/14/156/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙. http://etipitaka.com/read/pali/14/195/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=667 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47&id=667 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=47 ลำดับสาธยายธรรม : 47 ฟังเสียง.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_47.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์
    -(ข้อปฏิบัติระบบนี้ ใช้ได้แม้แก่ผู้ตั้งต้นบำเพ็ญวิมุตติ ; และใช้ได้แก่ผู้บำเพ็ญวิมุตติแล้วแต่ยังไม่สุกรอบ คือเพิ่มข้อปฏิบัติชื่อเดียวกันเหล่านี้ให้ยิ่งขึ้นไป. นับว่าเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญมาก ควรแก่การสนใจอย่างยิ่ง. ธรรมะ ๕ ประการแห่งสูตรนี้เรียกในสูตรนี้ว่า “เครื่องบ่มวิมุตติ” ในสูตรอื่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕) เรียกว่า “ที่ตั้งอาศัยแห่งการเจริญสัมโพธิปักขิยธรรม” ก็มี). สติปัฏฐานบริบูรณ์เพราะอานาปานสติบริบูรณ์ ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้ ? [หมวดกายานุปัสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี; [๒] เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้, หรือว่า เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ก็ดี ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดเวทนานุปัสสนา] ภิกษุ ท.! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดีต่อลมหายใจเข้า และลมหายใจออกทั้งหลาย ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่ง ๆ ในเวทนาทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดจิตตานุปัสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็น ผู้ ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. [หมวดธัมมานุปัสสนา] ภิกษุ ท. ! สมัยใด ภิกษุ [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้. ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ตามเห็นซึ่งความจางคลาย อยู่เป็นประจำจักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลือ อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืน อยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. ! สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา. ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น. ภิกษุ ท. ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าทำสติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาวิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    สัทธรรมลำดับที่ : 666
    ชื่อบทธรรม :- วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    --เมฆิยะ ! ธรรมทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการคือ :-
    ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี
    : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย :
    +--เมฆิยะ ! นี้ เป็นธรรมข้อที่สอง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๓. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมกถาอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบาย แก่การเปิดโล่งแห่งจิต คือ
    อัปปิจฉกถา (ให้ปรารถนาน้อย)
    สันตุฏฐิกถา (ให้สันโดษ)
    ปวิเวกกถา (ให้สงัด)
    อสังสัคคกถา (ให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่)
    วิริยารัมภกถา (ให้ปรารภเพียร)
    สีลกถา (ให้มีศีล)
    สมาธิกถา (ให้มีสมาธิ)
    ปัญญากถา (ให้มีปัญญา)
    วิมุตติกถา (ให้เกิดวิมุตติ)
    วิมุตติญาณทัสสนกถา (ให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ) :
    +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สาม เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๔. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว
    เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม
    เป็นผู้มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย :
    +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สี่ เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.
    ๕. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุ เป็นผู้ มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ :
    +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่ห้า เป็นไปเพื่อความสุกรอบแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ.

    --เมฆิยะ ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี,
    ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เธอพึงหวังได้ คือ
    จักเป็นผู้มีศีล ฯลฯ,
    จักได้โดยง่ายซึ่งธรรมกถา ฯลฯ,
    จักเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ,
    จักเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ.
    +--เมฆิยะ ! ภิกษุนั้น ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว

    พึงเจริญธรรมสี่ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ :-
    ๑--เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ.
    ๒--เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท.
    ๓--เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก.
    ๔--เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอนอัส๎มิมานะ ;
    กล่าวคือ
    เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตาสัญญาย่อมมั่นคง.
    ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึงซึ่งการถอนอัส๎มิมานะ คือ #นิพพานในทิฏฐธรรม
    นั่นเทียว.-
    http://etipitaka.com/read/pali/23/371/?keywords=ทิฏฺเฐว+ธมฺเม+นิพฺพานนฺติ
    (--ธรรมะ ๕ ประการแห่งสูตรนี้เรียกในสูตรนี้ว่า “#เครื่องบ่มวิมุตติ”
    ในสูตรอื่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕)
    http://etipitaka.com/read/pali/23/364/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95
    เรียกว่า “#ที่ตั้งอาศัยแห่งการเจริญสัมโพธิปักขิยธรรม” ก็มี
    )

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/288/207.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/288/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๓๖๙/๒๐๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/366/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=666
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46
    ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาวิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด สัทธรรมลำดับที่ : 666 ชื่อบทธรรม :- วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด --เมฆิยะ ! ธรรมทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการคือ :- ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย : +--เมฆิยะ ! นี้ เป็นธรรมข้อที่สอง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๓. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมกถาอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบาย แก่การเปิดโล่งแห่งจิต คือ อัปปิจฉกถา (ให้ปรารถนาน้อย) สันตุฏฐิกถา (ให้สันโดษ) ปวิเวกกถา (ให้สงัด) อสังสัคคกถา (ให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่) วิริยารัมภกถา (ให้ปรารภเพียร) สีลกถา (ให้มีศีล) สมาธิกถา (ให้มีสมาธิ) ปัญญากถา (ให้มีปัญญา) วิมุตติกถา (ให้เกิดวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา (ให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ) : +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สาม เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๔. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย : +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สี่ เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๕. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุ เป็นผู้ มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ : +--เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่ห้า เป็นไปเพื่อความสุกรอบแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. --เมฆิยะ ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี, ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เธอพึงหวังได้ คือ จักเป็นผู้มีศีล ฯลฯ, จักได้โดยง่ายซึ่งธรรมกถา ฯลฯ, จักเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ, จักเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ. +--เมฆิยะ ! ภิกษุนั้น ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว พึงเจริญธรรมสี่ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ :- ๑--เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ. ๒--เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท. ๓--เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก. ๔--เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอนอัส๎มิมานะ ; กล่าวคือ เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตาสัญญาย่อมมั่นคง. ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึงซึ่งการถอนอัส๎มิมานะ คือ #นิพพานในทิฏฐธรรม นั่นเทียว.- http://etipitaka.com/read/pali/23/371/?keywords=ทิฏฺเฐว+ธมฺเม+นิพฺพานนฺติ (--ธรรมะ ๕ ประการแห่งสูตรนี้เรียกในสูตรนี้ว่า “#เครื่องบ่มวิมุตติ” ในสูตรอื่น (นวก. อํ. ๒๓/๓๖๔/๒๐๕) http://etipitaka.com/read/pali/23/364/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95 เรียกว่า “#ที่ตั้งอาศัยแห่งการเจริญสัมโพธิปักขิยธรรม” ก็มี ) #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/288/207. http://etipitaka.com/read/thai/23/288/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๓๖๙/๒๐๗. http://etipitaka.com/read/pali/23/366/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=666 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=666 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46 ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด
    -วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด เมฆิยะ ! ธรรมทั้งหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการคือ : ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย : เมฆิยะ ! นี้ เป็นธรรมข้อที่สอง เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๓. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ ภิกษุเป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งธรรมกถาอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบาย แก่การเปิดโล่งแห่งจิต คืออัปปิจฉกถา (ให้ปรารถนาน้อย) สันตุฏฐิกถา (ให้สันโดษ) ปวิเวกกถา (ให้สงัด) อสังสัคคกถา (ให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่) วิริยารัมภกถา (ให้ปรารภเพียร) สีลกถา (ให้มีศีล) สมาธิกถา (ให้มีสมาธิ) ปัญญากถา (ให้มีปัญญา) วิมุตติกถา (ให้เกิดวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา (ให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ) : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สาม เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๔. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่สี่ เป็นไปเพื่อความสุกรอบของเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. ๕. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุ เป็นผู้ มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อที่ห้า เป็นไปเพื่อความสุกรอบแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่สุกรอบ. เมฆิยะ ! เมื่อภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี, ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เธอพึงหวังได้ คือจักเป็นผู้มีศีล ฯลฯ, จักได้โดยง่ายซึ่งธรรมกถา ฯลฯ, จักเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ, จักเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ. เมฆิยะ ! ภิกษุนั้น ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล้ว พึงเจริญธรรมสี่ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ : เจริญ อสุภะ เพื่อ ละราคะ. เจริญ เมตตา เพื่อ ละพยาบาท. เจริญ อานาปานสติ เพื่อ ตัดเสียซึ่งวิตก. เจริญ อนิจจสัญญา เพื่อ ถอนอัส๎มิมานะ ; กล่าวคือ เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตาสัญญาย่อมมั่นคง. ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึงซึ่งการถอนอัส๎มิมานะ คือ นิพพานในทิฏฐธรรม นั่นเทียว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นจิตอย่างไร? ต้องเริ่มที่ตรงไหน?
    คำถามนี้ พระพุทธเจ้าทรงตอบไว้แล้ว
    ใน อานาปานสติ และ จิตตานุปัสสนา

    🪷 1. เริ่มจากเห็น “กาย” และ “เวทนา” ให้ชัดก่อน
    เริ่มจากหายใจเข้า...รู้ว่าเข้ายาว
    หายใจออก...รู้ว่าออกสั้น
    รู้ว่าลมหายใจเปลี่ยนไป
    และรู้ว่าขณะนั้น “สุข” หรือ “ทุกข์” แทรกเข้ามาไหม

    รู้กาย – รู้เวทนา – รู้ความต่าง – รู้ปัจจุบัน
    นี่คือการฝึกจิตให้ “ตั้งมั่น” บนฐานที่ไม่คลอนแคลน
    เมื่อจิตมั่นแล้ว...
    “จิต” จะกลายเป็นสิ่งถูกรู้เอง

    🪷 2. เห็นจิตผ่านกิเลส — ราคะ โทสะ โมหะ
    ถ้ามีราคะขึ้นมา → ก็รู้ว่ามีราคะ
    ถ้ามีโทสะขึ้นมา → ก็รู้ว่าโทสะครอบงำ
    ถ้ามีโมหะ หรือความหลง → ก็รู้ว่านี่คือความมืด

    แค่ “รู้ตามจริง” ณ ขณะนั้น
    ไม่ต้องดึง ไม่ต้องดัน
    พอกิเลสดับไป ความโล่งจะเกิด
    สิ่งที่เหลืออยู่ชัดๆ คือ
    “จิตที่ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ”
    ตรงนี้แหละ คือประสบการณ์เห็น “จิต”

    🪷 3. เห็นจิตแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
    จิตฟุ้งก็เห็น จิตสงบก็เห็น
    จิตร้ายก็เห็น จิตดีๆก็เห็น
    เห็นไปนานเข้า จะรู้เลยว่า
    ไม่มีจิตดวงไหนเป็นของเราเลยสักดวงเดียว

    จิตเปลี่ยนเพราะ “เหตุ”
    จิตดับเพราะ “เหตุ”
    จิตเกิดใหม่ เพราะ “อีกเหตุ”

    จิตไม่ใช่ตัว ไม่ใช่เรา
    มันแค่ “กระแสความรู้สึก” ที่มีเหตุให้เกิด
    และจะดับไปตามเหตุเท่านั้น

    ที่สุดของการเห็นจิต คือ
    การไม่หลงไปกับจิตใดๆอีก
    ไม่หลงไปกับจิตที่ดี
    ไม่รังเกียจจิตที่แย่
    เห็นหมดว่า “มันไม่ใช่เรา”
    และความทุกข์...
    จะเบาลง อย่างมีเหตุผล อย่างแท้จริง

    #อานาปานสติ
    #จิตตานุปัสสนา
    #เห็นจิตไม่ใช่แค่สงบ
    #เห็นตามจริงไม่ยึดมั่น
    #ทางแห่งอิสรภาพทางใจ
    #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึก
    #โพสต์ธรรมะแบบเห็นใจ
    🌿 เห็นจิตอย่างไร? ต้องเริ่มที่ตรงไหน? คำถามนี้ พระพุทธเจ้าทรงตอบไว้แล้ว ใน อานาปานสติ และ จิตตานุปัสสนา 🪷 1. เริ่มจากเห็น “กาย” และ “เวทนา” ให้ชัดก่อน เริ่มจากหายใจเข้า...รู้ว่าเข้ายาว หายใจออก...รู้ว่าออกสั้น รู้ว่าลมหายใจเปลี่ยนไป และรู้ว่าขณะนั้น “สุข” หรือ “ทุกข์” แทรกเข้ามาไหม รู้กาย – รู้เวทนา – รู้ความต่าง – รู้ปัจจุบัน นี่คือการฝึกจิตให้ “ตั้งมั่น” บนฐานที่ไม่คลอนแคลน เมื่อจิตมั่นแล้ว... “จิต” จะกลายเป็นสิ่งถูกรู้เอง 🪷 2. เห็นจิตผ่านกิเลส — ราคะ โทสะ โมหะ ถ้ามีราคะขึ้นมา → ก็รู้ว่ามีราคะ ถ้ามีโทสะขึ้นมา → ก็รู้ว่าโทสะครอบงำ ถ้ามีโมหะ หรือความหลง → ก็รู้ว่านี่คือความมืด แค่ “รู้ตามจริง” ณ ขณะนั้น ไม่ต้องดึง ไม่ต้องดัน พอกิเลสดับไป ความโล่งจะเกิด สิ่งที่เหลืออยู่ชัดๆ คือ “จิตที่ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ” ตรงนี้แหละ คือประสบการณ์เห็น “จิต” 🪷 3. เห็นจิตแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จิตฟุ้งก็เห็น จิตสงบก็เห็น จิตร้ายก็เห็น จิตดีๆก็เห็น เห็นไปนานเข้า จะรู้เลยว่า ไม่มีจิตดวงไหนเป็นของเราเลยสักดวงเดียว จิตเปลี่ยนเพราะ “เหตุ” จิตดับเพราะ “เหตุ” จิตเกิดใหม่ เพราะ “อีกเหตุ” จิตไม่ใช่ตัว ไม่ใช่เรา มันแค่ “กระแสความรู้สึก” ที่มีเหตุให้เกิด และจะดับไปตามเหตุเท่านั้น 🌟 ที่สุดของการเห็นจิต คือ การไม่หลงไปกับจิตใดๆอีก ไม่หลงไปกับจิตที่ดี ไม่รังเกียจจิตที่แย่ เห็นหมดว่า “มันไม่ใช่เรา” และความทุกข์... จะเบาลง อย่างมีเหตุผล อย่างแท้จริง #อานาปานสติ #จิตตานุปัสสนา #เห็นจิตไม่ใช่แค่สงบ #เห็นตามจริงไม่ยึดมั่น #ทางแห่งอิสรภาพทางใจ #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึก #โพสต์ธรรมะแบบเห็นใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ
    สัทธรรมลำดับที่ : 956
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=956
    ชื่อบทธรรม :- ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ (การรักษาโรคด้วยอำนาจสมาธิ)
    --อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่เธอแล้ว
    ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว
    อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ.
    สัญญา ๑๐ ประการนั้นคือ
    อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา
    อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา
    สัพพโลเกอนภิรตสัญญา สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา
    อานาปานสติ.
    --อานนท์ ! อนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้
    ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ ว่า
    “รูป ไม่เที่ยง; เวทนา ไม่เที่ยง;
    สัญญา ไม่เที่ยง; สังขาร ไม่เที่ยง;
    วิญญาณ ไม่เที่ยง”
    ดังนี้
    เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง ในอุปาทานขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้
    อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อนิจจสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/115/?keywords=อนิจฺจสญฺญา

    --อานนท์ ! อนัตตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า
    “ตา เป็นอนัตตา รูป เป็นอนัตตา;
    หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา;
    จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา;
    ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา;
    กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา;
    ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา”
    ดังนี้
    เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความเป็นอนัตตา ในอายตนะทั้งภายในและภายนอกหก เหล่านี้
    อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อนัตตสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/116/?keywords=อนตฺตสญฺญา

    --อานนท์ ! อสุภสัญญา เป็นอย่างไรเล่า?
    +--อานนท์! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นโดยประจักษ์ซึ่งกายนี้นี่แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไปถึงเบื้องบน แต่ปลายผมลงมาถึงเบื้องล่าง ว่ามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของอสุจิมีประการต่างๆ; คือกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำลื่นหล่อข้อ น้ำมูตร;
    เป็นผู้ตามเห็นความไม่งาม ในกายนี้ อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อสุภสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/117/?keywords=อสุภสญฺญา

    --อานนท์ ! อาทีนวสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า
    “กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก; คือในกายนี้มีอาพาธต่างๆ เกิดขึ้น,
    กล่าวคือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคที่ศีรษะ โรคที่หู โรคที่ปาก โรคที่ฟัน โรคไอ โรคหืด
    ไข้หวัด ไข้มีพิษร้อน ไข้เซื่องซึม
    โรคกระเพาะ โรคลมสลบ ลงแดง จุกเสียด เจ็บเสียว
    โรคเรื้อรัง โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน คุดทะราด โรคละออง โรคโลหิต โรคดีซ่าน เบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง ริดสีดวงทวาร
    อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฎฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน
    ไข้สันนิบาต ไข้เพราะฤดูแปรปรวน ไข้เพราะบริหารกายไม่สม่ำเสมอ ไข้เพราะออกกำลังเกิน ไข้เพราะวิบากกรรม
    ความไม่สบายเพราะความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย
    การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ”
    ดังนี้;
    เป็นผู้ตามเห็นโทษในกายนี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อาทีนวสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/117/?keywords=อาทีนวสญฺญา

    --อานนท์ ! ปหานสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง กามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป;
    ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง พยาบาทวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป;
    ไม่ยอมรับไว้ซึ่งวิหิงสาวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา
    กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป;
    ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง อกุศลธรรมทั้งหลาย อันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว
    ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป : นี้เรียกว่า #ปหานสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=ปหานสญฺญา

    --อานนท์ ! วิราคสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
    พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อ ย่างนี้ว่า
    “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต : กล่าวคือ
    ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
    เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับเย็น”
    ดังนี้ : นี้เรียกว่า วิราคสัญญา.
    --อานนท์ ! นิโรธสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
    พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า
    “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต
    : กล่าวคือ
    ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
    เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความดับ เป็นความดับเย็น”
    ดังนี้
    : นี้เรียกว่า #นิโรธสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=นิโรธสญฺญา

    --อานนท์ ! สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ อนุสัย (ความเคยชิน)
    ในการตั้งทับในการฝังตัวเข้าไปยึดมั่นแห่งจิตด้วยตัณหาอุปาทาน ใดๆ ในโลก มีอยู่,
    เธอละอยู่ซึ่งอนุสัยนั้นๆ
    งดเว้นไม่เข้าไปยึดถืออยู่
    : นี้เรียกว่า #สัพพโลเกอนภิรตสัญญา (ความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดี).
    http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=สพฺพโลเก+อนภิรตสญฺญา

    --อานนท์ ! สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง ต่อสังขารทั้งหลายทั้งปวง
    : นี้เรียกว่า #สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง).
    -http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=สพฺพสงฺขาเรสุ+อนิจฺจสญฺญา

    (สัญญาข้อที่เก้านี้ ควรจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา หรือมิฉะนั้นก็ควรจะมีชื่อว่าสัพพสังขาเรสุทุกขสัญญา จึงจะสมกับเนื้อความตามที่กล่าวอยู่,
    และสัญญาข้อที่แปดข้างบนแห่งข้อนี้ ที่มีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น น่าจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนุปาทานสัญญามากกว่า จึงจะมีความสมชื่อ, ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน).

    --อานนท์ ! อานาปานสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก.
    1. เมื่อ หายใจเข้า ยาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว ,
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว ;
    2. เมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น ,
    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    3. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า,
    รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    4. ทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า,
    ทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก.
    ทำการศึกษาว่า เรา
    5. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า,
    รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    6. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า,
    รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    7. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า,
    รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    8. ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า,
    ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก.
    ทำการศึกษาว่า เรา
    9. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า,
    รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    10. ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า,
    ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    11. ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า,
    ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    12. ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า,
    ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก.
    ทำการศึกษาว่า เรา
    13. ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า,
    ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    14. ตามเห็นความจางคลาย หายใจเข้า,
    ตามเห็นความจางคลาย หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    15. ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจเข้า,
    ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจออก;
    ทำการศึกษาว่า เรา
    16. ตามเห็นความสลัดคืน หายใจเข้า,
    ตามเห็นความสลัดคืน หายใจออก.
    : นี้เรียกว่า #อานาปานสติ.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/119/?keywords=อานาปานสติ

    --อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์
    แล้วกล่าวสัญญาสิบประการเหล่านี้ แก่เธอแล้ว
    ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว
    อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ.
    +--ลำดับนั้นแล ท่านอานนท์จำเอาสัญญาสิบประการเหล่านี้
    ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    แล้วเข้าไปหาท่านคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการแก่ท่าน
    เมื่อท่านพระคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธก็ระงับไปโดยฐานะอันควร.
    ท่านคิริมานนท์หาย แล้วจากอาพาธ และอาพาธก็เป็นเสมือนละไปแล้วด้วย
    แล.-

    (บาลีพระสูตรนี้ ได้ทำให้เกิดประเพณีสวดคิริมานนทสูตร
    ให้คนเจ็บฟัง เพื่อจะได้หายเจ็บไข้ เช่นเดียวกับโพชฌงคสูตร.
    บางคนอาจจะสงสัยว่า มิเป็นการผิดหลักกรรมหรือเหตุปัจจัยไป
    หรือ ที่ความทุกข์ดับไปโดยไม่มีการดับเหตุแห่งทุกข์ ตามหลักแห่งจตุราริยสัจ.
    ข้อนี้ขอให้เข้าใจว่า การฟังธรรมของพระคิริมานนท์ ทำให้มีธรรมปีติอย่างแรงกล้า
    อำนาจของธรรมปีตินั้นสามารถระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนา ทุกขเวทนาจึงระงับไป
    ดุจดังว่าหายจากอาพาธ;
    กล่าวได้ว่ามีปัจจัยเพื่อการดับแห่งทุกข์อริยสัจ;
    ไม่ผิดไปจากกฎเกณฑ์แห่งกรรมหรือกฎเกณฑ์แห่งเหตุปัจจัยเลย;
    เป็นการดับทุกข์ได้วิธีหนึ่ง จึงนำข้อความนี้ มาใส่ไว้ในหมวดนี้
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/99 - 104/60.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/99/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๑๑๕ - ๑๒๐/๖๐
    http://etipitaka.com/read/pali/24/115/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%90
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=956
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81&id=956
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81
    ลำดับสาธยายธรรม : 81 ฟังเสียงอ่าน....
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_81.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ สัทธรรมลำดับที่ : 956 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=956 ชื่อบทธรรม :- ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ เนื้อความทั้งหมด :- --ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ (การรักษาโรคด้วยอำนาจสมาธิ) --อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ. สัญญา ๑๐ ประการนั้นคือ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญา สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา อานาปานสติ. --อานนท์ ! อนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ ว่า “รูป ไม่เที่ยง; เวทนา ไม่เที่ยง; สัญญา ไม่เที่ยง; สังขาร ไม่เที่ยง; วิญญาณ ไม่เที่ยง” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง ในอุปาทานขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้ อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อนิจจสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/24/115/?keywords=อนิจฺจสญฺญา --อานนท์ ! อนัตตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า “ตา เป็นอนัตตา รูป เป็นอนัตตา; หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา; จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา; ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา; กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา; ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความเป็นอนัตตา ในอายตนะทั้งภายในและภายนอกหก เหล่านี้ อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อนัตตสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/24/116/?keywords=อนตฺตสญฺญา --อานนท์ ! อสุภสัญญา เป็นอย่างไรเล่า? +--อานนท์! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นโดยประจักษ์ซึ่งกายนี้นี่แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไปถึงเบื้องบน แต่ปลายผมลงมาถึงเบื้องล่าง ว่ามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของอสุจิมีประการต่างๆ; คือกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำลื่นหล่อข้อ น้ำมูตร; เป็นผู้ตามเห็นความไม่งาม ในกายนี้ อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อสุภสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/24/117/?keywords=อสุภสญฺญา --อานนท์ ! อาทีนวสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า “กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก; คือในกายนี้มีอาพาธต่างๆ เกิดขึ้น, กล่าวคือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคที่ศีรษะ โรคที่หู โรคที่ปาก โรคที่ฟัน โรคไอ โรคหืด ไข้หวัด ไข้มีพิษร้อน ไข้เซื่องซึม โรคกระเพาะ โรคลมสลบ ลงแดง จุกเสียด เจ็บเสียว โรคเรื้อรัง โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน คุดทะราด โรคละออง โรคโลหิต โรคดีซ่าน เบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง ริดสีดวงทวาร อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฎฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน ไข้สันนิบาต ไข้เพราะฤดูแปรปรวน ไข้เพราะบริหารกายไม่สม่ำเสมอ ไข้เพราะออกกำลังเกิน ไข้เพราะวิบากกรรม ความไม่สบายเพราะความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ” ดังนี้; เป็นผู้ตามเห็นโทษในกายนี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า #อาทีนวสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/24/117/?keywords=อาทีนวสญฺญา --อานนท์ ! ปหานสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง กามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง พยาบาทวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่งวิหิงสาวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง อกุศลธรรมทั้งหลาย อันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป : นี้เรียกว่า #ปหานสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=ปหานสญฺญา --อานนท์ ! วิราคสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อ ย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต : กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับเย็น” ดังนี้ : นี้เรียกว่า วิราคสัญญา. --อานนท์ ! นิโรธสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต : กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความดับ เป็นความดับเย็น” ดังนี้ : นี้เรียกว่า #นิโรธสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=นิโรธสญฺญา --อานนท์ ! สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ อนุสัย (ความเคยชิน) ในการตั้งทับในการฝังตัวเข้าไปยึดมั่นแห่งจิตด้วยตัณหาอุปาทาน ใดๆ ในโลก มีอยู่, เธอละอยู่ซึ่งอนุสัยนั้นๆ งดเว้นไม่เข้าไปยึดถืออยู่ : นี้เรียกว่า #สัพพโลเกอนภิรตสัญญา (ความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดี). http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=สพฺพโลเก+อนภิรตสญฺญา --อานนท์ ! สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง ต่อสังขารทั้งหลายทั้งปวง : นี้เรียกว่า #สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง). -http://etipitaka.com/read/pali/24/118/?keywords=สพฺพสงฺขาเรสุ+อนิจฺจสญฺญา (สัญญาข้อที่เก้านี้ ควรจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา หรือมิฉะนั้นก็ควรจะมีชื่อว่าสัพพสังขาเรสุทุกขสัญญา จึงจะสมกับเนื้อความตามที่กล่าวอยู่, และสัญญาข้อที่แปดข้างบนแห่งข้อนี้ ที่มีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น น่าจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนุปาทานสัญญามากกว่า จึงจะมีความสมชื่อ, ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน). --อานนท์ ! อานาปานสติ เป็นอย่างไรเล่า ? +--อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก. 1. เมื่อ หายใจเข้า ยาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว , เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว ; 2. เมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น , เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น; ทำการศึกษาว่า เรา 3. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 4. ทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า, ทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก. ทำการศึกษาว่า เรา 5. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 6. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 7. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 8. ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก. ทำการศึกษาว่า เรา 9. รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 10. ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 11. ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 12. ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก. ทำการศึกษาว่า เรา 13. ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า, ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 14. ตามเห็นความจางคลาย หายใจเข้า, ตามเห็นความจางคลาย หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 15. ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจเข้า, ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา 16. ตามเห็นความสลัดคืน หายใจเข้า, ตามเห็นความสลัดคืน หายใจออก. : นี้เรียกว่า #อานาปานสติ. http://etipitaka.com/read/pali/24/119/?keywords=อานาปานสติ --อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการเหล่านี้ แก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ. +--ลำดับนั้นแล ท่านอานนท์จำเอาสัญญาสิบประการเหล่านี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเข้าไปหาท่านคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการแก่ท่าน เมื่อท่านพระคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธก็ระงับไปโดยฐานะอันควร. ท่านคิริมานนท์หาย แล้วจากอาพาธ และอาพาธก็เป็นเสมือนละไปแล้วด้วย แล.- (บาลีพระสูตรนี้ ได้ทำให้เกิดประเพณีสวดคิริมานนทสูตร ให้คนเจ็บฟัง เพื่อจะได้หายเจ็บไข้ เช่นเดียวกับโพชฌงคสูตร. บางคนอาจจะสงสัยว่า มิเป็นการผิดหลักกรรมหรือเหตุปัจจัยไป หรือ ที่ความทุกข์ดับไปโดยไม่มีการดับเหตุแห่งทุกข์ ตามหลักแห่งจตุราริยสัจ. ข้อนี้ขอให้เข้าใจว่า การฟังธรรมของพระคิริมานนท์ ทำให้มีธรรมปีติอย่างแรงกล้า อำนาจของธรรมปีตินั้นสามารถระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนา ทุกขเวทนาจึงระงับไป ดุจดังว่าหายจากอาพาธ; กล่าวได้ว่ามีปัจจัยเพื่อการดับแห่งทุกข์อริยสัจ; ไม่ผิดไปจากกฎเกณฑ์แห่งกรรมหรือกฎเกณฑ์แห่งเหตุปัจจัยเลย; เป็นการดับทุกข์ได้วิธีหนึ่ง จึงนำข้อความนี้ มาใส่ไว้ในหมวดนี้ ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/99 - 104/60. http://etipitaka.com/read/thai/24/99/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๑๑๕ - ๑๒๐/๖๐ http://etipitaka.com/read/pali/24/115/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%90 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=956 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81&id=956 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81 ลำดับสาธยายธรรม : 81 ฟังเสียงอ่าน.... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_81.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ
    -ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ (การรักษาโรคด้วยอำนาจสมาธิ) อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ. สัญญา ๑๐ ประการนั้นคือ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญาสัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา อานาปานสติ. อานนท์ ! อนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ ว่า “รูป ไม่เที่ยง; เวทนา ไม่เที่ยง; สัญญา ไม่เที่ยง; สังขาร ไม่เที่ยง; วิญญาณ ไม่เที่ยง” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง ในอุปาทานขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้ อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อนิจจสัญญา. อานนท์ ! อนัตตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า “ตา เป็นอนัตตา รูป เป็นอนัตตา; หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา; จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา; ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา; กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา; ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความเป็นอนัตตา ในอายตนะทั้งภายในและภายนอกหก เหล่านี้ อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา. อานนท์ ! อสุภสัญญา เป็นอย่างไรเล่า? อานนท์! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นโดยประจักษ์ซึ่งกายนี้นี่แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไปถึงเบื้องบน แต่ปลายผมลงมาถึงเบื้องล่าง ว่ามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของอสุจิมีประการต่างๆ; คือกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำลื่นหล่อข้อ น้ำมูตร; เป็นผู้ตามเห็นความไม่งาม ในกายนี้ อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อสุภสัญญา. อานนท์ ! อาทีนวสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า “กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก; คือในกายนี้มีอาพาธต่างๆ เกิดขึ้น, กล่าวคือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคที่ศีรษะ โรคที่หู โรคที่ปาก โรคที่ฟัน โรคไอ โรคหืด ไข้หวัด ไข้มีพิษร้อน ไข้เซื่องซึม โรคกระเพาะ โรคลมสลบ ลงแดง จุกเสียด เจ็บเสียว โรคเรื้อรัง โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน คุดทะราด โรคละออง โรคโลหิต โรคดีซ่าน เบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง ริดสีดวงทวาร อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฎฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน ไข้สันนิบาต ไข้เพราะฤดูแปรปรวน ไข้เพราะบริหารกายไม่สม่ำเสมอ ไข้เพราะออกกำลังเกิน ไข้เพราะวิบากกรรม ความไม่สบายเพราะความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ” ดังนี้; เป็นผู้ตามเห็นโทษในกายนี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อาทีนวสัญญา. อานนท์ ! ปหานสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง กามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง พยาบาทวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่งวิหิงสาวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง อกุศลธรรมทั้งหลาย อันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป : นี้เรียกว่า ปหานสัญญา. อานนท์ ! วิราคสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อ ย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต : กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับเย็น” ดังนี้ : นี้เรียกว่า วิราคสัญญา. อานนท์ ! นิโรธสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต : กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความดับ เป็นความดับเย็น” ดังนี้ : นี้เรียกว่า นิโรธสัญญา. อานนท์ ! สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ อนุสัย (ความเคยชิน) ในการตั้งทับในการฝังตัวเข้าไปยึดมั่นแห่งจิตด้วยตัณหาอุปาทาน ใดๆ ในโลก มีอยู่, เธอละอยู่ซึ่งอนุสัยนั้นๆ งดเว้นไม่เข้าไปยึดถืออยู่ : นี้เรียกว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา (ความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดี). อานนท์ ! สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง ต่อสังขารทั้งหลายทั้งปวง : นี้เรียกว่า สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง). (สัญญาข้อที่เก้านี้ ควรจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา หรือมิฉะนั้นก็ควรจะมีชื่อว่าสัพพสังขาเรสุทุกขสัญญา จึงจะสมกับเนื้อความตามที่กล่าวอยู่, และสัญญาข้อที่แปดข้างบนแห่งข้อนี้ ที่มีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น น่าจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนุปาทานสัญญามากกว่า จึงจะมีความสมชื่อ, ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน). อานนท์ ! อานาปานสติ เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก. เมื่อ หายใจเข้า ยาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว , เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว ; เมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น , เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น; ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เราทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า, ทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก. ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เราทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก. ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า, รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า, ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก. ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า, ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความจางคลาย หายใจเข้า, ตามเห็นความจางคลาย หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจเข้า, ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจออก; ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความสลัดคืน หายใจเข้า, ตามเห็นความสลัดคืน หายใจออก. นี้เรียกว่า อานาปานสติ. อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการเหล่านี้ แก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ. ลำดับนั้นแล ท่านอานนท์จำเอาสัญญาสิบประการเหล่านี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเข้าไปหาท่านคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการแก่ท่าน เมื่อท่านพระคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธก็ระงับไปโดยฐานะอันควร. ท่านคิริมานนท์หาย แล้วจากอาพาธ และอาพาธก็เป็นเสมือนละไปแล้วด้วย แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 672 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยต้องมีสติตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก เช้า เที่ยง เย็น เป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นการอยู่ในกองกุศล..มิใช่ตามข่าวชาวบ้าน

    ยิ่งทำมากยิ่งดี กุศลทั้งหลายจะไหลลงสู่ใจของผู้ประพฤติธรรมนั้น เปรียบดังน้ำในมหาสมุทร ซึ่งเกิดจากสายน้ำทุกสายจากภูเขาสูง ไหลลงมารวมกัน

    ความสำเร็จสมหวังอันเกิดจากกุศลธรรมนั้น จึงมีมาทุกทิศทุกทาง ไม่นานเกินรอ แม้ไม่ได้คาดหวังตั้งใจมาก่อนก็ตาม

    #อานาปานสติ
    #กายาคตาสติ
    #พุทธวจน

    คนไทยต้องมีสติตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก เช้า เที่ยง เย็น เป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นการอยู่ในกองกุศล..มิใช่ตามข่าวชาวบ้าน ยิ่งทำมากยิ่งดี กุศลทั้งหลายจะไหลลงสู่ใจของผู้ประพฤติธรรมนั้น เปรียบดังน้ำในมหาสมุทร ซึ่งเกิดจากสายน้ำทุกสายจากภูเขาสูง ไหลลงมารวมกัน ความสำเร็จสมหวังอันเกิดจากกุศลธรรมนั้น จึงมีมาทุกทิศทุกทาง ไม่นานเกินรอ แม้ไม่ได้คาดหวังตั้งใจมาก่อนก็ตาม #อานาปานสติ #กายาคตาสติ #พุทธวจน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำเป็นไหม ? เมื่อได้เกิดมาเป็นคนโชคดีแค่ไหน ได้มีสติ มีความกล้าหาญ มีความสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ยอดเยี่ยม..

    มรรค ๘ คือ ทางปฏิบัติให้ถึงการดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ...มรรคง่าย ทำง่าย หนึ่งเดียวเป็นทางเอก คือ
    "อานาปานสติ" เข้าถึงปัญญาและเจโตวิมุติได้ โดยไม่พักหลงอยู่กับการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น และพิธีกรรมตามความเชื่อของปาริพาชกเหล่าอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติหรือสอนไว้

    จำเป็นไหม ? เมื่อได้เกิดมาเป็นคนโชคดีแค่ไหน ได้มีสติ มีความกล้าหาญ มีความสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ยอดเยี่ยม.. มรรค ๘ คือ ทางปฏิบัติให้ถึงการดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ...มรรคง่าย ทำง่าย หนึ่งเดียวเป็นทางเอก คือ "อานาปานสติ" เข้าถึงปัญญาและเจโตวิมุติได้ โดยไม่พักหลงอยู่กับการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น และพิธีกรรมตามความเชื่อของปาริพาชกเหล่าอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติหรือสอนไว้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตสุดท้ายจะออกจากร่างเป็นอย่างไร #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #จิตสุดท้าย #อานาปานสติ #ธรรมมะสอนใจ
    จิตสุดท้ายจะออกจากร่างเป็นอย่างไร #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #จิตสุดท้าย #อานาปานสติ #ธรรมมะสอนใจ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 592 มุมมอง 22 1 รีวิว
  • มรรค ๘ เรียงลำดับจาก ๑..๘

    เคยใคร่ครวญกันบ้างไหม เหตุใดพระพุทธเจ้าจัดมรรคเป็น ๓ กลุ่ม โดยไม่เรียงลำดับ..เป็น ศีล สมาธิ และปัญญา

    จาก ๓ กลุ่ม จัดทางปฏิบัติลงเหลือ ๒ ทาง ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา

    จากมรรค ๒ ทาง เหลือมรรคง่ายเพียง ๑ ทาง คือ "อานาปานสติ"(มีสติหายใจเข้า..มีสติหายใจออก)

    ชาวพุทธจึงเดินมรรคได้ง่าย ๆ ตลอดเวลา หากไม่หลงอยู่ในดงพิธีกรรมของปาริพาชกเหล่าอื่น
    มรรค ๘ เรียงลำดับจาก ๑..๘ เคยใคร่ครวญกันบ้างไหม เหตุใดพระพุทธเจ้าจัดมรรคเป็น ๓ กลุ่ม โดยไม่เรียงลำดับ..เป็น ศีล สมาธิ และปัญญา จาก ๓ กลุ่ม จัดทางปฏิบัติลงเหลือ ๒ ทาง ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา จากมรรค ๒ ทาง เหลือมรรคง่ายเพียง ๑ ทาง คือ "อานาปานสติ"(มีสติหายใจเข้า..มีสติหายใจออก) ชาวพุทธจึงเดินมรรคได้ง่าย ๆ ตลอดเวลา หากไม่หลงอยู่ในดงพิธีกรรมของปาริพาชกเหล่าอื่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเจริญอสุภกรรมฐาน

    นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

    1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ)

    แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ

    จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง

    ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น

    2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง

    มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย

    มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก

    3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ

    ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย

    ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว

    4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ

    เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น

    ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน

    5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ

    หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา

    แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ

    6. การใช้สติรู้ทัน

    เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต"

    อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป

    หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน

    ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ

    ข้อควรระวัง

    การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี

    ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ

    สรุป:
    อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    การเจริญอสุภกรรมฐาน นอกจากวิธีงดสระผมหรืออาบน้ำเพื่อให้รู้สึกถึงอสุภ (ความไม่น่ารัก น่าใคร่) แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. พิจารณากายส่วนต่างๆ (ปฏิกูลมนสิการ) แยกร่างกายเป็นส่วนๆ: พิจารณาเส้นผม เล็บ ฟัน ผิวหนัง เลือด น้ำหนอง กระดูก ฯลฯ จินตนาการร่างกายสลายตัว: ลองนึกถึงสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อย ผุพัง ทำความคุ้นชินกับความจริง: ทบทวนว่าอวัยวะเหล่านี้เป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดมั่น 2. ฝึกมองคนรอบตัวอย่างเป็นกลาง มองผู้อื่นไม่ใช่ด้วยความหลงใหลในรูปลักษณ์ แต่ให้จินตนาการว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ร่างกายทุกคนก็ต้องเสื่อมสลาย มองเห็นธรรมดาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แทนที่จะเห็นความสวยงาม ให้มองว่าเป็นเพียงร่างกายที่ต้องพึ่งพิงอาหาร อากาศ และยังต้องขับของเสียออก 3. ใช้สื่อช่วยฝึกสมาธิ ศึกษารูปภาพหรือวิดีโอของร่างกายมนุษย์ในสภาพผุพัง เช่น ซากศพ ภาพการผ่าตัด หรือสภาพเน่าเปื่อย ใช้เป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันชั่วคราว 4. ฝึกสมาธิให้จิตสงบก่อนเจริญอสุภ เริ่มต้นด้วยอานาปานสติ: การพิจารณาลมหายใจช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับการพิจารณาที่ลึกซึ้งขึ้น ใช้สมาธิเป็นฐาน: เมื่อจิตสงบ จะสามารถพิจารณาอสุภได้อย่างชัดเจนโดยไม่ถูกความคิดดิบหรืออารมณ์กามรบกวน 5. เจริญเมตตาควบคู่กับอสุภ หากรู้สึกว่าความรู้สึกดิบๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันที่ยากจะควบคุม ให้เสริมด้วยการแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่น: ความเมตตาจะช่วยปรับสมดุลจิตใจ ทำให้จิตไม่ติดอยู่กับความดิบที่เกิดจากกามคุณ 6. การใช้สติรู้ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกดิบในระหว่างปฏิบัติ ให้ใช้สติรู้ทันว่า "นี่คือความไม่เที่ยงของจิต" อย่าต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้มองเห็นว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป 7. ระมัดระวังไม่บังคับตัวเองเกินไป หากกดดันตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและความต่อต้าน ให้ปฏิบัติด้วยใจที่ผ่อนคลาย เห็นการเจริญอสุภเป็นโอกาสฝึกปัญญา ไม่ใช่การบีบบังคับ ข้อควรระวัง การเจริญอสุภกรรมฐานอาจทำให้จิตเกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ถ้าไม่พร้อมทางจิตใจควรทำในระดับที่พอดี ควรมีครูหรือผู้รู้ช่วยชี้แนะเป็นระยะ สรุป: อสุภกรรมฐานต้องใช้ความต่อเนื่องและสมาธิเป็นเครื่องนำทาง การฝึกในเบื้องต้นอาจเริ่มด้วยการพิจารณาอวัยวะหรือธรรมชาติของร่างกาย และใช้สติคอยดูแลจิตให้รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของกายนี้ การเจริญอสุภไม่ใช่เพื่อความรังเกียจร่างกาย แต่เพื่อปล่อยวางและเห็นธรรมชาติของมันตามความเป็นจริง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 577 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาธิ: ระดับและองค์ประกอบสำคัญ

    สมาธิเริ่มต้นอย่างไร?
    สมาธิทุกระดับเริ่มต้นจาก สององค์ประกอบทางใจ:

    1. วิตักกะ (เล็ง): การตั้งจิตให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง


    2. วิจาระ (เชื่อมติด): การเชื่อมกระแสจิตกับสิ่งที่เล็งจนจิตแนบแน่นกับอารมณ์นั้น



    เมื่อจิตเชื่อมติดกับอารมณ์ที่เล็งไว้ จะเกิดสมาธิ ซึ่งแบ่งได้ตามระดับของปีติสุขและความตั้งมั่นของจิต


    ---

    ระดับของสมาธิ

    1. ขณิกสมาธิ:

    สมาธิชั่วขณะ เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

    มีปีติสุขน้อย จิตสงบได้เพียงสั้นๆ

    มักเกิดในชีวิตประจำวัน เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือ



    2. อุปจารสมาธิ:

    สมาธิระดับกลาง

    มีปีติสุขซาบซ่าน สงบวิเวก

    จิตใกล้จะรวมเป็นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด



    3. อัปปนาสมาธิ:

    สมาธิระดับสูงสุด

    จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว

    เกิดปีติสุขอันละเอียดและมั่นคง





    ---

    ตัวอย่างการเข้าสมาธิด้วยอานาปานสติ

    1. เริ่มต้นด้วยวิตักกะ (เล็ง):

    ตั้งสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก

    โฟกัสจิตที่ลมหายใจ



    2. เข้าสู่วิจาระ (เชื่อมติด):

    รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง

    สังเกตลมหายใจที่ยาว สั้น หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย

    จิตเริ่มเชื่อมติดกับลมหายใจ



    3. เข้าสมาธิ:

    เมื่อจิตเชื่อมติดกับลมหายใจ จะเกิดปีติสุข

    สมาธิจะพัฒนาตามระดับของความสงบและความแน่วแน่





    ---

    สมาธิในชีวิตประจำวัน
    หลักการของวิตักกะและวิจาระเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น:

    การอ่านหนังสือแบบใจจดใจจ่อ

    การทำงานที่สนุกและมุ่งมั่นไม่วอกแวก

    การนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจจดจ่อและเพลิดเพลิน



    ---

    ข้อสรุป:
    สมาธิไม่จำกัดเฉพาะในรูปแบบการปฏิบัติธรรม แต่เกิดจากการ รู้เห็นกายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จิตที่ตั้งมั่นและแนบแน่นกับอารมณ์อย่างเหมาะสมจะนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่ช่วยสร้างความสงบและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง.

    สมาธิ: ระดับและองค์ประกอบสำคัญ สมาธิเริ่มต้นอย่างไร? สมาธิทุกระดับเริ่มต้นจาก สององค์ประกอบทางใจ: 1. วิตักกะ (เล็ง): การตั้งจิตให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 2. วิจาระ (เชื่อมติด): การเชื่อมกระแสจิตกับสิ่งที่เล็งจนจิตแนบแน่นกับอารมณ์นั้น เมื่อจิตเชื่อมติดกับอารมณ์ที่เล็งไว้ จะเกิดสมาธิ ซึ่งแบ่งได้ตามระดับของปีติสุขและความตั้งมั่นของจิต --- ระดับของสมาธิ 1. ขณิกสมาธิ: สมาธิชั่วขณะ เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว มีปีติสุขน้อย จิตสงบได้เพียงสั้นๆ มักเกิดในชีวิตประจำวัน เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือ 2. อุปจารสมาธิ: สมาธิระดับกลาง มีปีติสุขซาบซ่าน สงบวิเวก จิตใกล้จะรวมเป็นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด 3. อัปปนาสมาธิ: สมาธิระดับสูงสุด จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว เกิดปีติสุขอันละเอียดและมั่นคง --- ตัวอย่างการเข้าสมาธิด้วยอานาปานสติ 1. เริ่มต้นด้วยวิตักกะ (เล็ง): ตั้งสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก โฟกัสจิตที่ลมหายใจ 2. เข้าสู่วิจาระ (เชื่อมติด): รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง สังเกตลมหายใจที่ยาว สั้น หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตเริ่มเชื่อมติดกับลมหายใจ 3. เข้าสมาธิ: เมื่อจิตเชื่อมติดกับลมหายใจ จะเกิดปีติสุข สมาธิจะพัฒนาตามระดับของความสงบและความแน่วแน่ --- สมาธิในชีวิตประจำวัน หลักการของวิตักกะและวิจาระเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น: การอ่านหนังสือแบบใจจดใจจ่อ การทำงานที่สนุกและมุ่งมั่นไม่วอกแวก การนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจจดจ่อและเพลิดเพลิน --- ข้อสรุป: สมาธิไม่จำกัดเฉพาะในรูปแบบการปฏิบัติธรรม แต่เกิดจากการ รู้เห็นกายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จิตที่ตั้งมั่นและแนบแน่นกับอารมณ์อย่างเหมาะสมจะนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่ช่วยสร้างความสงบและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep. 18 ) อานาปานสติ . หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน • คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล (งานมุฑิตาสักการะ เจริญอายุวัฒนมงคล #หลวงพ่ออลงกต วันอาทิตย์ ๘ ธ.ค ๒๕๖๗) • บ้านพระอาทิตย์ • สนธิทอล์คธรรม • ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep. 18 ) อานาปานสติ . หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน • คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล (งานมุฑิตาสักการะ เจริญอายุวัฒนมงคล #หลวงพ่ออลงกต วันอาทิตย์ ๘ ธ.ค ๒๕๖๗) • บ้านพระอาทิตย์ • สนธิทอล์คธรรม • ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 972 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • อนุสติ (บาลี: อนุสฺสติ) หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่

    พุทธานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
    ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม
    สังฆานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์
    สีลานุสติ การระลึกถึงศีล ที่ตนเคยรักษาไว้ได้
    จาคานุสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้
    เทวตานุสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่น หิริ โอตตัปปะ
    อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน
    มรณานุสติChoawalit Chotwattanaphong [2] การระลึกถึงความตาย
    อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ)
    กายคตาสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
    เป็น 10 กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กองได้แก่ กสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภะ 10, พรหมวิหาร 4, อรูปฌาน 4, จตุธาตุววัตถาน 1, อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1

    วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณสติ เป็นอารมณ์นิมิตทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจารสมาธิ กายคตาสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน (ฌานที่ 1) และอานาปานสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน (ฌานที่ 4)
    อนุสติ (บาลี: อนุสฺสติ) หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่ พุทธานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม สังฆานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์ สีลานุสติ การระลึกถึงศีล ที่ตนเคยรักษาไว้ได้ จาคานุสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้ เทวตานุสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่น หิริ โอตตัปปะ อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน มรณานุสติ[1][2] การระลึกถึงความตาย อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ) กายคตาสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เป็น 10 กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กองได้แก่ กสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภะ 10, พรหมวิหาร 4, อรูปฌาน 4, จตุธาตุววัตถาน 1, อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณสติ เป็นอารมณ์นิมิตทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจารสมาธิ กายคตาสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน (ฌานที่ 1) และอานาปานสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน (ฌานที่ 4)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
  • แก่นสารสาระของการปฏิบัติคือจิต

    "การปฏิบัติ จุดตั้งต้นเริ่มจากจิตของเรา
    หลวงปู่มั่นถึงบอกว่าได้จิตก็ได้ธรรมะ
    ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะหรอก
    เห็นจิตก็คือการปฏิบัติธรรม
    มองจิตใจตัวเองไม่เห็นก็ไม่ได้ปฏิบัติ
    เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่หลงรูปแบบเกินไป
    จนลืมเนื้อหาแก่นสารสาระ
    แก่นสารสาระของการปฏิบัติก็คือจิตของเรานั่นเอง

    ทีแรกจะฝึกจิตให้ตั้งมั่น
    อาศัยสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้
    ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แต่มีสติรู้ทันจิตของตนเองไว้
    อย่างหลวงพ่อทำอานาปานสติบวกพุทโธ
    หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
    แล้วจิตจะหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
    จิตจะไหลเข้าไปในแสงสว่าง รู้ทัน
    ลมหายใจระงับ จะกลายเป็นแสง
    จิตจะไหลเข้าไปที่แสง รู้ทัน
    เห็นไหม อยู่ที่การรู้ทันจิตตัวเอง

    ทันทีที่เรามีสติรู้ทันจิตตนเองได้
    จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
    จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
    คำว่าพุทธ พุทธะ พุทโธ
    ก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    พุทโธ พุทโธ
    ไม่ใช่เป็นแค่คำเรียกขาน นกแก้วนกขุนทองแบบนั้น
    พุทโธก็คือจิตนั่นเอง
    ถ้าเราไม่เรียนเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจ
    ไม่มีวันเข้าใจศาสนาพุทธหรอก"

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
    21 มกราคม 2567

    แก่นสารสาระของการปฏิบัติคือจิต "การปฏิบัติ จุดตั้งต้นเริ่มจากจิตของเรา หลวงปู่มั่นถึงบอกว่าได้จิตก็ได้ธรรมะ ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะหรอก เห็นจิตก็คือการปฏิบัติธรรม มองจิตใจตัวเองไม่เห็นก็ไม่ได้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่หลงรูปแบบเกินไป จนลืมเนื้อหาแก่นสารสาระ แก่นสารสาระของการปฏิบัติก็คือจิตของเรานั่นเอง ทีแรกจะฝึกจิตให้ตั้งมั่น อาศัยสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แต่มีสติรู้ทันจิตของตนเองไว้ อย่างหลวงพ่อทำอานาปานสติบวกพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วจิตจะหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา จิตจะไหลเข้าไปในแสงสว่าง รู้ทัน ลมหายใจระงับ จะกลายเป็นแสง จิตจะไหลเข้าไปที่แสง รู้ทัน เห็นไหม อยู่ที่การรู้ทันจิตตัวเอง ทันทีที่เรามีสติรู้ทันจิตตนเองได้ จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา คำว่าพุทธ พุทธะ พุทโธ ก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธ พุทโธ ไม่ใช่เป็นแค่คำเรียกขาน นกแก้วนกขุนทองแบบนั้น พุทโธก็คือจิตนั่นเอง ถ้าเราไม่เรียนเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจ ไม่มีวันเข้าใจศาสนาพุทธหรอก" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 21 มกราคม 2567 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในการฝึกอานาปานสติ (การมีสติระลึกรู้ลมหายใจ) นั้น สิ่งสำคัญคือการแยกความแตกต่างระหว่างสมถะสมาธิและวิปัสสนา

    สมถะสมาธิ เกิดขึ้นเมื่อคุณจดจ่อกับลมหายใจเพียงอย่างเดียว โดยมุ่งเน้นไปที่ความสงบ เช่น การดูลมหายใจเข้า-ออกเพื่อให้จิตนิ่ง โดยไม่มีการสังเกตถึงความไม่เที่ยงหรือการแปรปรวนของลมหายใจ การทำแบบนี้จะช่วยให้จิตสงบเย็นและเกิดสมาธิที่มั่นคง แต่ยังไม่เกิดปัญญาในการรู้เห็นความจริงของกายและใจ

    วิปัสสนา เกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มสังเกตเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ของลมหายใจ เช่น ลมหายใจที่ยาวบ้างสั้นบ้าง หรือความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติดกับความสงบ แต่เน้นการเห็นความแปรเปลี่ยนของลมหายใจ นี่คือการใช้สติและปัญญาเพื่อตระหนักถึงธรรมชาติที่ไม่คงทน ไม่ใช่ตัวตนของสิ่งต่างๆ การฝึกแบบนี้จะนำไปสู่การเจริญวิปัสสนา และช่วยให้จิตคลายการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง

    ในกระบวนการฝึก คุณสามารถเริ่มต้นด้วยสมถะ เพื่อทำให้จิตสงบก่อน เมื่อจิตสงบแล้ว ให้เริ่มพิจารณาความแปรปรวนและไม่เที่ยงของลมหายใจ ซึ่งจะช่วยนำไปสู่การเกิดปัญญาแบบวิปัสสนา

    สรุปได้ว่า:

    ถ้าคุณ จดจ่อกับลมหายใจท่าเดียว โดยไม่สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ นั่นคือ สมถะสมาธิ.

    ถ้าคุณ สังเกตความไม่เที่ยง ของลมหายใจ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจ นั่นคือ วิปัสสนา.


    ในการฝึกอานาปานสติ (การมีสติระลึกรู้ลมหายใจ) นั้น สิ่งสำคัญคือการแยกความแตกต่างระหว่างสมถะสมาธิและวิปัสสนา สมถะสมาธิ เกิดขึ้นเมื่อคุณจดจ่อกับลมหายใจเพียงอย่างเดียว โดยมุ่งเน้นไปที่ความสงบ เช่น การดูลมหายใจเข้า-ออกเพื่อให้จิตนิ่ง โดยไม่มีการสังเกตถึงความไม่เที่ยงหรือการแปรปรวนของลมหายใจ การทำแบบนี้จะช่วยให้จิตสงบเย็นและเกิดสมาธิที่มั่นคง แต่ยังไม่เกิดปัญญาในการรู้เห็นความจริงของกายและใจ วิปัสสนา เกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มสังเกตเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ของลมหายใจ เช่น ลมหายใจที่ยาวบ้างสั้นบ้าง หรือความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติดกับความสงบ แต่เน้นการเห็นความแปรเปลี่ยนของลมหายใจ นี่คือการใช้สติและปัญญาเพื่อตระหนักถึงธรรมชาติที่ไม่คงทน ไม่ใช่ตัวตนของสิ่งต่างๆ การฝึกแบบนี้จะนำไปสู่การเจริญวิปัสสนา และช่วยให้จิตคลายการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง ในกระบวนการฝึก คุณสามารถเริ่มต้นด้วยสมถะ เพื่อทำให้จิตสงบก่อน เมื่อจิตสงบแล้ว ให้เริ่มพิจารณาความแปรปรวนและไม่เที่ยงของลมหายใจ ซึ่งจะช่วยนำไปสู่การเกิดปัญญาแบบวิปัสสนา สรุปได้ว่า: ถ้าคุณ จดจ่อกับลมหายใจท่าเดียว โดยไม่สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ นั่นคือ สมถะสมาธิ. ถ้าคุณ สังเกตความไม่เที่ยง ของลมหายใจ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจ นั่นคือ วิปัสสนา.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทสวดอิทัปปัจจยตาหรือ
    ปฏิจจสมุปบาท,
    อานาปานสติ,
    สัญญา 10 ประการ,
    จิตมโนวิญาณ,
    มรรค 8.
    บทธรรม"พุทธวจน" ดังกล่าวนี้ เมื่อชาวพุทธได้ศึกษาเล่าเรียนอย่างดีแล้ว จะได้ชื่อว่า เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าโดยธรรม ซึ่งเป็นผู้ไม่ถอยกลับอีกต่อไป
    บทสวดอิทัปปัจจยตาหรือ ปฏิจจสมุปบาท, อานาปานสติ, สัญญา 10 ประการ, จิตมโนวิญาณ, มรรค 8. บทธรรม"พุทธวจน" ดังกล่าวนี้ เมื่อชาวพุทธได้ศึกษาเล่าเรียนอย่างดีแล้ว จะได้ชื่อว่า เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าโดยธรรม ซึ่งเป็นผู้ไม่ถอยกลับอีกต่อไป
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตกนรก เพราะเราเป็นผู้กระทำ #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน #หลวงตามหาบัว
    ตกนรก เพราะเราเป็นผู้กระทำ #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน #หลวงตามหาบัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1034 มุมมอง 149 0 รีวิว
  • เทวดาตกนรกเกิดจากกรรมอะไร#อานาปานสติ #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน #ธรรมะสอนใจ #สติ
    เทวดาตกนรกเกิดจากกรรมอะไร#อานาปานสติ #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน #ธรรมะสอนใจ #สติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1070 มุมมอง 114 0 รีวิว
  • จิตสุดท้ายจะออกจากร่างเป็นอย่างไร #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #จิตสุดท้าย #อานาปานสติ #ธรรมมะสอนใจ
    จิตสุดท้ายจะออกจากร่างเป็นอย่างไร #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #จิตสุดท้าย #อานาปานสติ #ธรรมมะสอนใจ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 909 มุมมอง 79 0 รีวิว
  • หมดบุญหมดกรรม #อานาปานสติ #ธรรมะ #ธรรมทาน #สติ#ธรรมชาติ #ธรรมะสอนใจ #หลวงตามหาบัว
    หมดบุญหมดกรรม #อานาปานสติ #ธรรมะ #ธรรมทาน #สติ#ธรรมชาติ #ธรรมะสอนใจ #หลวงตามหาบัว
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 924 มุมมอง 106 0 รีวิว
  • #ปฏิบัติให้ถึงนิพพานในชาตินี้ #เสียงเทศน์ โดย #หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อน
    #ปฏิบัติให้ถึงนิพพานในชาตินี้ #เสียงเทศน์ โดย #หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อน
    Love
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1269 มุมมอง 140 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว เล่าเรื่องสมัยเด็ก ไปขโมยอ้อยป้าฝ้าย #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อน
    #หลวงตามหาบัว เล่าเรื่องสมัยเด็ก ไปขโมยอ้อยป้าฝ้าย #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อน
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 985 มุมมอง 105 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว พูดถึง วิญญาณ ญาติ ๆ ที่มารับส่วนบุญกุศล #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อน
    #หลวงตามหาบัว พูดถึง วิญญาณ ญาติ ๆ ที่มารับส่วนบุญกุศล #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อน
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1027 มุมมอง 114 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว เล่าเรื่องตลกขบขัน ฮา ๆ #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    #หลวงตามหาบัว เล่าเรื่องตลกขบขัน ฮา ๆ #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 929 มุมมอง 90 0 รีวิว
  • อายุขัย พระอรหันต์ #หลวงตามหาบัว#ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    อายุขัย พระอรหันต์ #หลวงตามหาบัว#ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1190 มุมมอง 199 0 รีวิว
  • พระผู้ใหญ่ รองพระผู้ใหญ่ #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    พระผู้ใหญ่ รองพระผู้ใหญ่ #หลวงตามหาบัว #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    Love
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1171 มุมมอง 211 0 รีวิว
Pages Boosts