• 🌿 ธรรมะ...ที่มาถึงตอนลำบาก คือของขวัญที่ประเสริฐที่สุด

    ตอนชีวิตสบายดี
    เรามักไม่มองหาที่พึ่งทางใจ
    แต่พอถึงวันลำบาก
    จิตจะเริ่มค้นหา...อะไรสักอย่างที่ทำให้ “อยู่กับทุกข์ได้”

    และสำหรับคนไทย
    บางที “ธรรมะ” นี่แหละ...คือคำตอบที่ง่ายและลึกที่สุด

    เราอาจผ่านความผิดหวัง สูญเสีย เคว้งคว้าง
    แต่เมื่อมาถึงธรรมะ—ที่ทำให้ใจคลาย
    ทำให้ร่างกายไม่เกร็ง ทำให้ใจไม่ดิ้น
    ชีวิตที่เจอสิ่งนั้นเข้าไป...ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก่อน
    ก็นับว่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมา

    เพราะการได้เข้าใจธรรมะ
    ไม่ใช่แค่รอดจากทุกข์
    แต่คือการ เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นครู

    🪷 ยังไงก็ขอให้ใจ...ได้เจอธรรมะในเวลาที่ต้องการ
    ขอให้ธรรมะที่คุณเจอ
    ไม่ใช่แค่ความรู้...แต่เป็น “เครื่องอยู่” ของใจ

    #ธรรมะอยู่ตรงนี้
    #ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง
    #ตอนลำบากคือเวลาธรรมะทำงาน
    #โพสต์คลายใจ
    🌿 ธรรมะ...ที่มาถึงตอนลำบาก คือของขวัญที่ประเสริฐที่สุด ตอนชีวิตสบายดี เรามักไม่มองหาที่พึ่งทางใจ แต่พอถึงวันลำบาก จิตจะเริ่มค้นหา...อะไรสักอย่างที่ทำให้ “อยู่กับทุกข์ได้” และสำหรับคนไทย บางที “ธรรมะ” นี่แหละ...คือคำตอบที่ง่ายและลึกที่สุด เราอาจผ่านความผิดหวัง สูญเสีย เคว้งคว้าง แต่เมื่อมาถึงธรรมะ—ที่ทำให้ใจคลาย ทำให้ร่างกายไม่เกร็ง ทำให้ใจไม่ดิ้น ชีวิตที่เจอสิ่งนั้นเข้าไป...ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก่อน ก็นับว่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมา เพราะการได้เข้าใจธรรมะ ไม่ใช่แค่รอดจากทุกข์ แต่คือการ เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นครู 🪷 ยังไงก็ขอให้ใจ...ได้เจอธรรมะในเวลาที่ต้องการ ขอให้ธรรมะที่คุณเจอ ไม่ใช่แค่ความรู้...แต่เป็น “เครื่องอยู่” ของใจ #ธรรมะอยู่ตรงนี้ #ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง #ตอนลำบากคือเวลาธรรมะทำงาน #โพสต์คลายใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚫️ 9 บทเรียนจาก “ความตาย” ที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง

    บางคนต้อง “ตายจริง” ถึงจะเข้าใจชีวิต
    แต่บางคนแค่ “กล้าฟัง” ก็เริ่มเปลี่ยนได้แล้ว

    เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
    แต่คือบทเรียนที่อาจเปลี่ยน “วิธีอยู่” ของคุณไปตลอดกาล

    1. ความตายไม่ใช่จุดจบ...แค่เปลี่ยนสถานะ
    เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่การสูญหาย
    ชีวิตหลังตายยังมีอยู่ เพียงแค่ไม่ใช่ในร่างนี้

    2. เราไม่ได้ถูกส่งมา...เราเลือกมาเอง
    ทุกข์ที่เจอ พ่อแม่ที่ได้ บาดแผลที่เคยมี
    ล้วนเป็น “บทเรียนที่วิญญาณเลือก” เพื่อเติบโต
    เพราะ “วิญญาณไม่ได้เกิดมาเพื่อสบาย แต่มาเพื่อเรียนรู้”

    3. โรคบางโรค...มาจากความรู้สึกในอดีต
    บางคนเจ็บป่วยเพราะใจไม่เคยหาย
    แผลที่ไม่เยียวยาในชาติก่อน กลายเป็นความป่วยในชาตินี้
    บางที...สิ่งที่เราต้องรักษา อาจไม่ใช่ร่างกาย แต่คือ “ใจที่ให้อภัยตัวเอง”

    4. คนที่ทำให้เจ็บ...อาจคือคนที่เคยรักที่สุดในอีกภพหนึ่ง
    เขาอาจคือ “คู่สัญญาทางวิญญาณ”
    ที่ตกลงกันไว้ว่า เราจะเจ็บ เพื่อเราจะโต
    ไม่ใช่ทุกความเจ็บที่ไร้ค่า ถ้าเรามองเห็นบทเรียน

    5. ทุกเรื่องในชีวิต...ไม่เคยเกิดแบบสุ่ม
    คนที่มาเจอ เหตุการณ์ที่เจอ ล้วนเป็น “แผนการเรียนรู้”
    แทนที่จะถามว่า “ทำไมต้องเกิดกับฉัน”
    ลองถามว่า “ฉันควรเรียนรู้อะไรจากมัน” แทน

    6. โลกหลังความตาย...ไม่มีอะไรนอกจาก “ความรัก”
    คนที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบอกตรงกันว่า
    สิ่งที่ชัดที่สุด คือ “ความรักบริสุทธิ์”
    ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด
    บางทีเราอาจเริ่มใช้ “คุณภาพของโลกหน้า” มาเติมเต็มโลกนี้ได้แล้ว

    7. การให้อภัย...คือการปลดปล่อยจิตตัวเอง
    ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายถูก
    แต่เพราะเราพอแล้วกับการจองจำตัวเองไว้กับอดีต
    ถ้าไม่ให้อภัย เราจะต้องแบก “ปม” ไปข้ามภพข้ามชาติ

    8. คนที่กลัวตาย...มักเป็นคนที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้ม
    ยังไม่ได้รัก
    ยังไม่ได้ขอโทษ
    ยังไม่ได้ให้อภัย
    ยังไม่ได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง
    เมื่อเรา “ใช้ชีวิตจนเต็ม” ความตายจะไม่น่ากลัวอีกต่อไป

    9. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงิน...แต่เพื่อหาความหมาย
    เงินแค่เครื่องมือ
    แต่สิ่งที่วิญญาณตามหา คือ “ความหมาย” ของการมีชีวิต
    ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วรู้ว่า…
    "เราตื่นมาเพื่ออะไร"

    🖤 ถ้าโพสต์นี้ทำให้คุณรู้สึกบางอย่าง
    อย่าเพิ่งเลื่อนผ่านแบบเดิม ๆ
    ลองหยุดเพื่อทบทวน
    และ “เลือกอยู่” อย่างคนที่เข้าใจการจากไป

    #อ่านไปเรื่อยๆสรุปให้
    #ธรรมะเข้าใจง่าย
    #บทเรียนจากความตาย
    #อยู่ให้คุ้มก่อนจาก
    #โพสต์ธรรมะแบบมีชีวิต
    ⚫️ 9 บทเรียนจาก “ความตาย” ที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง บางคนต้อง “ตายจริง” ถึงจะเข้าใจชีวิต แต่บางคนแค่ “กล้าฟัง” ก็เริ่มเปลี่ยนได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือบทเรียนที่อาจเปลี่ยน “วิธีอยู่” ของคุณไปตลอดกาล 1. ความตายไม่ใช่จุดจบ...แค่เปลี่ยนสถานะ เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่การสูญหาย ชีวิตหลังตายยังมีอยู่ เพียงแค่ไม่ใช่ในร่างนี้ 2. เราไม่ได้ถูกส่งมา...เราเลือกมาเอง ทุกข์ที่เจอ พ่อแม่ที่ได้ บาดแผลที่เคยมี ล้วนเป็น “บทเรียนที่วิญญาณเลือก” เพื่อเติบโต เพราะ “วิญญาณไม่ได้เกิดมาเพื่อสบาย แต่มาเพื่อเรียนรู้” 3. โรคบางโรค...มาจากความรู้สึกในอดีต บางคนเจ็บป่วยเพราะใจไม่เคยหาย แผลที่ไม่เยียวยาในชาติก่อน กลายเป็นความป่วยในชาตินี้ บางที...สิ่งที่เราต้องรักษา อาจไม่ใช่ร่างกาย แต่คือ “ใจที่ให้อภัยตัวเอง” 4. คนที่ทำให้เจ็บ...อาจคือคนที่เคยรักที่สุดในอีกภพหนึ่ง เขาอาจคือ “คู่สัญญาทางวิญญาณ” ที่ตกลงกันไว้ว่า เราจะเจ็บ เพื่อเราจะโต ไม่ใช่ทุกความเจ็บที่ไร้ค่า ถ้าเรามองเห็นบทเรียน 5. ทุกเรื่องในชีวิต...ไม่เคยเกิดแบบสุ่ม คนที่มาเจอ เหตุการณ์ที่เจอ ล้วนเป็น “แผนการเรียนรู้” แทนที่จะถามว่า “ทำไมต้องเกิดกับฉัน” ลองถามว่า “ฉันควรเรียนรู้อะไรจากมัน” แทน 6. โลกหลังความตาย...ไม่มีอะไรนอกจาก “ความรัก” คนที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบอกตรงกันว่า สิ่งที่ชัดที่สุด คือ “ความรักบริสุทธิ์” ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด บางทีเราอาจเริ่มใช้ “คุณภาพของโลกหน้า” มาเติมเต็มโลกนี้ได้แล้ว 7. การให้อภัย...คือการปลดปล่อยจิตตัวเอง ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายถูก แต่เพราะเราพอแล้วกับการจองจำตัวเองไว้กับอดีต ถ้าไม่ให้อภัย เราจะต้องแบก “ปม” ไปข้ามภพข้ามชาติ 8. คนที่กลัวตาย...มักเป็นคนที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้ม ยังไม่ได้รัก ยังไม่ได้ขอโทษ ยังไม่ได้ให้อภัย ยังไม่ได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง เมื่อเรา “ใช้ชีวิตจนเต็ม” ความตายจะไม่น่ากลัวอีกต่อไป 9. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงิน...แต่เพื่อหาความหมาย เงินแค่เครื่องมือ แต่สิ่งที่วิญญาณตามหา คือ “ความหมาย” ของการมีชีวิต ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วรู้ว่า… "เราตื่นมาเพื่ออะไร" 🖤 ถ้าโพสต์นี้ทำให้คุณรู้สึกบางอย่าง อย่าเพิ่งเลื่อนผ่านแบบเดิม ๆ ลองหยุดเพื่อทบทวน และ “เลือกอยู่” อย่างคนที่เข้าใจการจากไป #อ่านไปเรื่อยๆสรุปให้ #ธรรมะเข้าใจง่าย #บทเรียนจากความตาย #อยู่ให้คุ้มก่อนจาก #โพสต์ธรรมะแบบมีชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌫️ อย่าฝากชีวิตไว้กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย

    ลองจินตนาการดู...

    คุณนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล
    เสียงเครื่องวัดชีพจรดัง บี๊บ... บี๊บ... ช้าลงเรื่อย ๆ
    คุณคิดว่า “ต้องมีสติไว้ ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า”

    แต่แล้ว...

    มันก็มาถึง — ความมืดมิด
    ไม่ใช่แค่ดับไฟในห้อง
    แต่คือการที่ “เรา” หายไปจากการรับรู้ทั้งหมด

    🪷 จิตหลุดพ้นจากความคิด ความจำ
    เหลือเพียง “นิสัย” ที่ฝึกไว้เท่านั้น...ที่จะนำทางจิตไป

    ---

    🤍 หลายคนฝากความหวังไว้กับจิตสุดท้าย
    หวังว่าแค่ตอนตาย "ตั้งจิตดี ๆ" ก็เพียงพอ
    แต่รู้ไหมว่า...

    > วาระจิตสุดท้าย ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้
    มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่คุณ “มีเวลา” ตั้งสติ
    แต่มันคือช่วงที่กรรมเก่าจะถาโถมเข้ามา “ก่อนที่คุณจะได้ตั้งตัว”

    และถ้าใจเราไม่คุ้นเคยกับธรรม
    มันจะกลับไปสู่สิ่งที่คุ้นเคยมากที่สุดคือ...
    ความกลัว ความโกรธ ความโลภ ความหลง
    ซึ่งเราเคยทำมันบ่อยที่สุด โดยไม่รู้ตัว

    ---

    😞 แม้จิตสุดท้ายดี… ก็ยังหนีไม่พ้น
    บางคนโชคดี ได้สติทัน
    ได้ครูบาอาจารย์อยู่ข้างเตียง
    แต่แม้จิตจะดีตอนตาย
    นิสัยเดิม ความเห็นผิดเดิม ก็ยังตามไปเหมือนเดิม

    > เกิดใหม่แค่เปลี่ยนเวที... แต่บทเดิม นักแสดงเดิม ยังอยู่

    ---

    ⏳ ความตายไม่เคยนัดล่วงหน้า
    ไม่เคยส่งอีเมลเตือน
    ไม่เคยให้คุณเลือกสถานที่หรือเวลา

    จิตสุดท้ายอาจเกิดขึ้นตอนที่คุณ…
    • กำลังโกรธ
    • กำลังเพลิน
    • กำลังเมา
    • กำลังลืมตัว
    ...และคุณอาจไม่มีโอกาสตั้งสติได้ทันแม้แต่เสี้ยววินาที

    ---

    💡 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า
    “ความไม่ประมาทคือทางแห่งนิพพาน”
    ไม่ใช่ให้กลัวความตาย
    แต่ให้ตื่นรู้ต่อ “วัฏฏะ”
    ที่หลอกล่อให้เรา “ผลัดวันประกันธรรม”

    ---

    ✨ โอกาสสำคัญไม่ใช่ตอนใกล้ตาย
    แต่คือ “ตอนนี้” ขณะที่คุณยังมีลมหายใจ
    ยังมีสติ ยังมีโอกาสฝึกจิต
    ยังมีสิทธิ์จะเปลี่ยนนิสัยจิตจากการหลงเป็นการรู้

    อย่าฝากอนาคตของจิตไว้กับ "เฮือกสุดท้าย"
    เพราะเฮือกนั้น...อาจไม่มีเวลาให้คุณทัน “รู้ตัว”

    🧘‍♂️ จงฝึกในลมหายใจนี้ ให้จิตคุ้นกับธรรม
    ให้จิตจำ “ทางกลับบ้าน” ได้
    ไม่ใช่เพราะจำได้ด้วยสมอง
    แต่เพราะมัน เคยเดินซ้ำจนเป็นทางธรรมชาติ

    ---

    #วาระจิตสุดท้าย
    #ธรรมะแบบไม่ประมาท
    #ปัจจุบันคือเวทีซ้อมที่แท้จริง
    #จิตคุ้นธรรมเท่านั้นที่จะพาเราข้ามพ้น
    #ฝึกไว้ก่อนตายเพราะตอนไกล้ตายอาจไม่มีเวลา
    🌫️ อย่าฝากชีวิตไว้กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย ลองจินตนาการดู... คุณนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรดัง บี๊บ... บี๊บ... ช้าลงเรื่อย ๆ คุณคิดว่า “ต้องมีสติไว้ ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า” แต่แล้ว... มันก็มาถึง — ความมืดมิด ไม่ใช่แค่ดับไฟในห้อง แต่คือการที่ “เรา” หายไปจากการรับรู้ทั้งหมด 🪷 จิตหลุดพ้นจากความคิด ความจำ เหลือเพียง “นิสัย” ที่ฝึกไว้เท่านั้น...ที่จะนำทางจิตไป --- 🤍 หลายคนฝากความหวังไว้กับจิตสุดท้าย หวังว่าแค่ตอนตาย "ตั้งจิตดี ๆ" ก็เพียงพอ แต่รู้ไหมว่า... > วาระจิตสุดท้าย ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้ มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่คุณ “มีเวลา” ตั้งสติ แต่มันคือช่วงที่กรรมเก่าจะถาโถมเข้ามา “ก่อนที่คุณจะได้ตั้งตัว” และถ้าใจเราไม่คุ้นเคยกับธรรม มันจะกลับไปสู่สิ่งที่คุ้นเคยมากที่สุดคือ... ความกลัว ความโกรธ ความโลภ ความหลง ซึ่งเราเคยทำมันบ่อยที่สุด โดยไม่รู้ตัว --- 😞 แม้จิตสุดท้ายดี… ก็ยังหนีไม่พ้น บางคนโชคดี ได้สติทัน ได้ครูบาอาจารย์อยู่ข้างเตียง แต่แม้จิตจะดีตอนตาย นิสัยเดิม ความเห็นผิดเดิม ก็ยังตามไปเหมือนเดิม > เกิดใหม่แค่เปลี่ยนเวที... แต่บทเดิม นักแสดงเดิม ยังอยู่ --- ⏳ ความตายไม่เคยนัดล่วงหน้า ไม่เคยส่งอีเมลเตือน ไม่เคยให้คุณเลือกสถานที่หรือเวลา จิตสุดท้ายอาจเกิดขึ้นตอนที่คุณ… • กำลังโกรธ • กำลังเพลิน • กำลังเมา • กำลังลืมตัว ...และคุณอาจไม่มีโอกาสตั้งสติได้ทันแม้แต่เสี้ยววินาที --- 💡 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า “ความไม่ประมาทคือทางแห่งนิพพาน” ไม่ใช่ให้กลัวความตาย แต่ให้ตื่นรู้ต่อ “วัฏฏะ” ที่หลอกล่อให้เรา “ผลัดวันประกันธรรม” --- ✨ โอกาสสำคัญไม่ใช่ตอนใกล้ตาย แต่คือ “ตอนนี้” ขณะที่คุณยังมีลมหายใจ ยังมีสติ ยังมีโอกาสฝึกจิต ยังมีสิทธิ์จะเปลี่ยนนิสัยจิตจากการหลงเป็นการรู้ อย่าฝากอนาคตของจิตไว้กับ "เฮือกสุดท้าย" เพราะเฮือกนั้น...อาจไม่มีเวลาให้คุณทัน “รู้ตัว” 🧘‍♂️ จงฝึกในลมหายใจนี้ ให้จิตคุ้นกับธรรม ให้จิตจำ “ทางกลับบ้าน” ได้ ไม่ใช่เพราะจำได้ด้วยสมอง แต่เพราะมัน เคยเดินซ้ำจนเป็นทางธรรมชาติ --- #วาระจิตสุดท้าย #ธรรมะแบบไม่ประมาท #ปัจจุบันคือเวทีซ้อมที่แท้จริง #จิตคุ้นธรรมเท่านั้นที่จะพาเราข้ามพ้น #ฝึกไว้ก่อนตายเพราะตอนไกล้ตายอาจไม่มีเวลา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌀 ทำไมใจเราฟุ้งซ่านง่ายนัก?
    เพราะ ใจไม่มีหลักเป็นเครื่องอยู่
    เลยหลุดลอยตามกระแสตัณหา
    อยากได้... ไม่อยากเจอ...
    ยิ่งอยากควบคุมโลก
    ก็ยิ่งหงุดหงิดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

    ในโลกนี้
    เวลาและอารมณ์ คือสิ่งที่ไม่เคยหยุด
    และคนไม่มี “หลักในใจ”
    ก็ต้องวิ่งตามสิ่งเหล่านี้
    เหมือนเรือลอยในทะเล…ไม่มีสมอ

    ---

    🪷 แต่ถ้าใจได้หลักจริง ๆ
    คุณจะรู้ว่า
    • ทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะสิ่งภายนอก
    • ทุกข์เกิดเพราะ “ความอยาก” ภายใน
    อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น
    ไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้
    แล้วเขาไม่เป็นตามใจเรา
    ...จิตก็ร้อน! โลกก็ร้าย!

    ---

    📌 แก่นของคำสอนนี้คือ
    ทุกข์มีเหตุ — ดับเหตุได้ — และรู้ทางดับนั้น
    เมื่อคุณเข้าใจ “อริยสัจ 4”
    คุณจะหยุด “เที่ยวหาครู”
    และเริ่ม “เป็นครูของใจตนเอง”

    ไม่ใช่หยุดนับถือครูบาอาจารย์
    แต่หยุดความลุ่มหลง
    หยุดพึ่งภายนอกอย่างไร้ที่สิ้นสุด
    เพราะคุณพบทางแล้ว
    คุณอยู่กับ “ธรรม” ในใจได้แล้ว

    ---

    🌿 เมื่อใจมีหลัก สติจึงเกิด
    เมื่อสติเกิด
    การปรุงแต่งก็ลด
    ใจไม่เผลอไปวิตก วิจารณ์
    ไม่หลงตามอารมณ์
    ไม่เป็นทาสของอารมณ์ทั้งดีและร้าย

    สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่รู้ แล้วปล่อย
    ใจไม่ถูกรั้ง ไม่ถูกกด ไม่ถูกผลัก
    ใจแค่นิ่งและตื่นอยู่กับ “ปัจจุบันธรรม”

    ---

    🪨 ถ้าคุณมี “หลักในใจ”
    เหมือนมีภูเขาหินอยู่กลางใจ
    ลมพายุอารมณ์จะโหมอย่างไร
    ก็ทำให้จิตไม่ลอยไปตามได้ง่าย ๆ

    และนั่นแหละ…
    คือจุดเริ่มต้นของ “อิสรภาพ” ที่แท้จริง!

    ---

    #ธรรมะในใจจริง
    #อริยสัจ4ไม่ใช่ท่องแต่ต้องรู้
    #จิตที่มีหลักไม่หลงกระแสโลก
    #หยุดทุกข์ได้เมื่อเห็นที่มาของมัน
    #ปัจจุบันขณะคือที่พึ่งของใจ
    🌀 ทำไมใจเราฟุ้งซ่านง่ายนัก? เพราะ ใจไม่มีหลักเป็นเครื่องอยู่ เลยหลุดลอยตามกระแสตัณหา อยากได้... ไม่อยากเจอ... ยิ่งอยากควบคุมโลก ก็ยิ่งหงุดหงิดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ในโลกนี้ เวลาและอารมณ์ คือสิ่งที่ไม่เคยหยุด และคนไม่มี “หลักในใจ” ก็ต้องวิ่งตามสิ่งเหล่านี้ เหมือนเรือลอยในทะเล…ไม่มีสมอ --- 🪷 แต่ถ้าใจได้หลักจริง ๆ คุณจะรู้ว่า • ทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะสิ่งภายนอก • ทุกข์เกิดเพราะ “ความอยาก” ภายใน อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ แล้วเขาไม่เป็นตามใจเรา ...จิตก็ร้อน! โลกก็ร้าย! --- 📌 แก่นของคำสอนนี้คือ ทุกข์มีเหตุ — ดับเหตุได้ — และรู้ทางดับนั้น เมื่อคุณเข้าใจ “อริยสัจ 4” คุณจะหยุด “เที่ยวหาครู” และเริ่ม “เป็นครูของใจตนเอง” ไม่ใช่หยุดนับถือครูบาอาจารย์ แต่หยุดความลุ่มหลง หยุดพึ่งภายนอกอย่างไร้ที่สิ้นสุด เพราะคุณพบทางแล้ว คุณอยู่กับ “ธรรม” ในใจได้แล้ว --- 🌿 เมื่อใจมีหลัก สติจึงเกิด เมื่อสติเกิด การปรุงแต่งก็ลด ใจไม่เผลอไปวิตก วิจารณ์ ไม่หลงตามอารมณ์ ไม่เป็นทาสของอารมณ์ทั้งดีและร้าย สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่รู้ แล้วปล่อย ใจไม่ถูกรั้ง ไม่ถูกกด ไม่ถูกผลัก ใจแค่นิ่งและตื่นอยู่กับ “ปัจจุบันธรรม” --- 🪨 ถ้าคุณมี “หลักในใจ” เหมือนมีภูเขาหินอยู่กลางใจ ลมพายุอารมณ์จะโหมอย่างไร ก็ทำให้จิตไม่ลอยไปตามได้ง่าย ๆ และนั่นแหละ… คือจุดเริ่มต้นของ “อิสรภาพ” ที่แท้จริง! --- #ธรรมะในใจจริง #อริยสัจ4ไม่ใช่ท่องแต่ต้องรู้ #จิตที่มีหลักไม่หลงกระแสโลก #หยุดทุกข์ได้เมื่อเห็นที่มาของมัน #ปัจจุบันขณะคือที่พึ่งของใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.6 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ 20 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร และยืนยันสิทธิ์ที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต ดังนี้

    พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น

    รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา

    เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว

    ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป

    สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม

    เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร

    พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ

    ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง

    เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า

    พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย

    การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย

    ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา

    ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป

    พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี”

    https://youtube.com/shorts/Xdz0paAXVz4?si=k7SNESYjZJlELM04
    EP.6 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ 20 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร และยืนยันสิทธิ์ที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต ดังนี้ พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี” https://youtube.com/shorts/Xdz0paAXVz4?si=k7SNESYjZJlELM04
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧠💥 สติก่อนคำ! หรือปากก่อนใจ?
    หลายคนมี “อาการปากไว ใจช้า”
    ยังไม่ทันตั้งสติ… ปากก็ไปก่อนแล้ว!
    และที่ร้ายกว่านั้น
    คือพอหลุดคำแรงๆ ออกไปแล้ว
    กลับ “ต้องยิงต่อให้จบ!”
    เหมือนง้างนกแล้ว ก็ต้องลั่นไก

    😶 คำเดียว...พังทั้งสัมพันธ์
    😮 คำเดียว...ทำใจอีกฝ่ายล้มทั้งยืน
    😔 คำเดียว...อาจทำลายศรัทธาที่กว่าจะสร้างใช้เวลาหลายปี

    ---

    📍แต่ธรรมะไม่ทิ้งใครนะครับ
    แม้จะหลุดแล้ว ก็ใช้ “โทสะ” เป็นครูได้
    แค่คุณ “เจริญสติ” อย่างจริงจัง
    ไม่ใช่แค่รู้ว่า “ฉันโกรธ”
    แต่ รู้ลึกลงไปในโครงสร้างของโทสะ

    ลองเช็กตัวเองเวลาเกิดอารมณ์ร้อน
    คุณเห็น 4 ข้อนี้ แค่ไหน? 👇

    ---

    ✅ ข้อที่ 1:
    คุณหลุดคำแรงที่สุดออกมาไหม
    ทั้งที่รู้ว่ามันร้ายแรง?
    ถ้ายับยั้งได้ – นั่นคือ “สติขั้นต้น” เกิดแล้ว

    ✅ ข้อที่ 2:
    ตอนกำลังโกรธ รู้ไหมว่ากำลังเป็นยักษ์?
    หรือแค่รู้เบลอๆ รู้ไม่ทัน?
    ถ้ารู้ชัดว่ายักษ์มา – นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

    ✅ ข้อที่ 3:
    คุณรู้จุดที่ความขัดเคือง “เริ่มเบาลง” ได้ไหม?
    (ฮินต์: ลมหายใจเริ่มเย็นลง รู้สึกหายใจได้ประณีตขึ้น)

    ✅ ข้อที่ 4:
    คุณเห็นไหมว่า…
    จิตก่อนโกรธ กับจิตหลังโกรธ มันเป็น “คนละดวงจิต”?
    ถ้าเห็นได้ – แปลว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่ “จิตตานุปัสสนา” แล้ว

    ---

    🌿 โทสะไม่ใช่ศัตรู
    ถ้าเรากล้า “อยู่กับมันอย่างรู้เท่าทัน”
    สติจะค่อยๆ แทรกซึม
    จนคุณเห็นว่า…
    “จิตที่เคยเป็นภูเขาไฟพ่นลาวา”
    สงบลงได้… โดยไม่ต้องฝืน

    นั่นแหละ
    ธรรมชาติของการเจริญสติที่แท้จริง
    ไม่ได้อยู่แค่ในถ้ำ หรือบนหมอนรองนั่ง
    แต่อยู่ใน “ตอนปากกับใจแยกกันทำงาน”
    แล้วคุณ...เลือกฝ่ายไหนดี?

    ---

    📌 อย่าลืมทบทวน 4 ข้อนี้
    หลังมีปากเสียงครั้งหน้า...
    คุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 🙏

    #เจริญสติในชีวิตจริง
    #โทสะไม่ใช่ศัตรูถ้ารู้ทัน
    #ปากไวใจเร็วต้องฝึกให้ทัน
    #ธรรมะเข้าใจง่าย
    #รู้เท่าทันจิต
    #มองโทสะเป็นครู
    #MindfulConflict
    🧠💥 สติก่อนคำ! หรือปากก่อนใจ? หลายคนมี “อาการปากไว ใจช้า” ยังไม่ทันตั้งสติ… ปากก็ไปก่อนแล้ว! และที่ร้ายกว่านั้น คือพอหลุดคำแรงๆ ออกไปแล้ว กลับ “ต้องยิงต่อให้จบ!” เหมือนง้างนกแล้ว ก็ต้องลั่นไก 😶 คำเดียว...พังทั้งสัมพันธ์ 😮 คำเดียว...ทำใจอีกฝ่ายล้มทั้งยืน 😔 คำเดียว...อาจทำลายศรัทธาที่กว่าจะสร้างใช้เวลาหลายปี --- 📍แต่ธรรมะไม่ทิ้งใครนะครับ แม้จะหลุดแล้ว ก็ใช้ “โทสะ” เป็นครูได้ แค่คุณ “เจริญสติ” อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่รู้ว่า “ฉันโกรธ” แต่ รู้ลึกลงไปในโครงสร้างของโทสะ ลองเช็กตัวเองเวลาเกิดอารมณ์ร้อน คุณเห็น 4 ข้อนี้ แค่ไหน? 👇 --- ✅ ข้อที่ 1: คุณหลุดคำแรงที่สุดออกมาไหม ทั้งที่รู้ว่ามันร้ายแรง? ถ้ายับยั้งได้ – นั่นคือ “สติขั้นต้น” เกิดแล้ว ✅ ข้อที่ 2: ตอนกำลังโกรธ รู้ไหมว่ากำลังเป็นยักษ์? หรือแค่รู้เบลอๆ รู้ไม่ทัน? ถ้ารู้ชัดว่ายักษ์มา – นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ✅ ข้อที่ 3: คุณรู้จุดที่ความขัดเคือง “เริ่มเบาลง” ได้ไหม? (ฮินต์: ลมหายใจเริ่มเย็นลง รู้สึกหายใจได้ประณีตขึ้น) ✅ ข้อที่ 4: คุณเห็นไหมว่า… จิตก่อนโกรธ กับจิตหลังโกรธ มันเป็น “คนละดวงจิต”? ถ้าเห็นได้ – แปลว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่ “จิตตานุปัสสนา” แล้ว --- 🌿 โทสะไม่ใช่ศัตรู ถ้าเรากล้า “อยู่กับมันอย่างรู้เท่าทัน” สติจะค่อยๆ แทรกซึม จนคุณเห็นว่า… “จิตที่เคยเป็นภูเขาไฟพ่นลาวา” สงบลงได้… โดยไม่ต้องฝืน นั่นแหละ ธรรมชาติของการเจริญสติที่แท้จริง ไม่ได้อยู่แค่ในถ้ำ หรือบนหมอนรองนั่ง แต่อยู่ใน “ตอนปากกับใจแยกกันทำงาน” แล้วคุณ...เลือกฝ่ายไหนดี? --- 📌 อย่าลืมทบทวน 4 ข้อนี้ หลังมีปากเสียงครั้งหน้า... คุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 🙏 #เจริญสติในชีวิตจริง #โทสะไม่ใช่ศัตรูถ้ารู้ทัน #ปากไวใจเร็วต้องฝึกให้ทัน #ธรรมะเข้าใจง่าย #รู้เท่าทันจิต #มองโทสะเป็นครู #MindfulConflict
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568. ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) ปีมะเส็ง วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ

    "ไม่มีใครเล่าความชั่วของตัวเองให้คนอื่นฟัง
    ดังนั้น...เราจึงไม่ควรฟังความข้างเดียว"

    ธรรมะสอนใจ
    พระธรรมโกศาจารย์ "พุทธทาสภิกขุ"
    วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568. ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) ปีมะเส็ง วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ "ไม่มีใครเล่าความชั่วของตัวเองให้คนอื่นฟัง ดังนั้น...เราจึงไม่ควรฟังความข้างเดียว" ธรรมะสอนใจ พระธรรมโกศาจารย์ "พุทธทาสภิกขุ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌪️ อนิจจัง…ของความเป็นคน
    มีทั้ง ขาขึ้น และ ขาลง

    บางวันคุณเห็นเขาสดชื่น
    บางวันคุณเห็นเขาหม่นหมอง
    บางวันเขาพูดดี มีเมตตา
    บางวันเขาเย็นชา น่าปวดหัว

    บางวันเขาคิดดี ทำดี
    บางวันเขามืดมนจนคุณไม่อยากเข้าใกล้

    🌀 นี่คือ "อนิจจัง" ในเวอร์ชันมีชีวิต
    เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เดินได้ หายใจได้
    และกำลังอยู่ใกล้คุณในรูปของ “คนคนหนึ่ง”

    ---

    🪞 ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวคุณ
    หากคุณเป็นคนที่อยู่ข้างเขา
    ในช่วงเวลาที่เขาค่อยๆดีขึ้น
    แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาขึ้นให้กับใครคนหนึ่ง

    แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงที่เขาค่อยๆถดถอย
    และคุณมีส่วนในนั้นไม่มากก็น้อย
    แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาลงโดยไม่รู้ตัว

    ---

    🧘‍♀️ ธรรมชาติไม่เคยให้ใคร "คงที่"
    แต่ให้เรารู้เท่าทันความไม่คงที่
    คุณจะไม่ตกใจเมื่อคนเปลี่ยนไป
    ไม่เสียดายเมื่อสิ่งดีๆหายไป
    ไม่หลงระเริงเมื่ออะไรดีขึ้นมา

    เพราะคุณจะเข้าใจว่า…
    “คนหนึ่งคน” จะต้องเปลี่ยนเป็น “อีกคนหนึ่ง” เสมอ
    และคุณ...มีส่วนให้เขาเป็นเช่นนั้น

    ---

    💡 บทเรียนจากความใกล้ชิด
    อยู่ใกล้ใครนานพอ
    เขาจะกลายเป็นครูโดยไม่ตั้งใจ
    ถ้าคุณตั้งใจเรียนรู้

    อยู่ใกล้กันนานแค่ไหนไม่สำคัญ
    แต่ถ้าคุณมีสติและใส่ใจ
    ความเป็น “อนิจจัง” ของเขา
    จะกลายเป็น “ปัญญา” ของคุณ
    ทั้งทางโลก และทางธรรม

    📌 อย่าเพิ่งสรุปว่าเขาดีหรือร้าย
    แค่ถามตัวเองว่า…
    “เราอยู่ข้างเขาในช่วงที่เขากำลังขึ้น หรือกำลังลง?”
    และ “เราเป็นแรงส่ง หรือแรงฉุด?”

    #อนิจจังขาขึ้น
    #อนิจจังขาลง
    #ธรรมะใกล้ตัว
    #ความเข้าใจเปลี่ยนทุกอย่าง
    🌪️ อนิจจัง…ของความเป็นคน มีทั้ง ขาขึ้น และ ขาลง บางวันคุณเห็นเขาสดชื่น บางวันคุณเห็นเขาหม่นหมอง บางวันเขาพูดดี มีเมตตา บางวันเขาเย็นชา น่าปวดหัว บางวันเขาคิดดี ทำดี บางวันเขามืดมนจนคุณไม่อยากเข้าใกล้ 🌀 นี่คือ "อนิจจัง" ในเวอร์ชันมีชีวิต เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เดินได้ หายใจได้ และกำลังอยู่ใกล้คุณในรูปของ “คนคนหนึ่ง” --- 🪞 ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวคุณ หากคุณเป็นคนที่อยู่ข้างเขา ในช่วงเวลาที่เขาค่อยๆดีขึ้น แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาขึ้นให้กับใครคนหนึ่ง แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงที่เขาค่อยๆถดถอย และคุณมีส่วนในนั้นไม่มากก็น้อย แปลว่าคุณกำลังสร้างอนิจจังขาลงโดยไม่รู้ตัว --- 🧘‍♀️ ธรรมชาติไม่เคยให้ใคร "คงที่" แต่ให้เรารู้เท่าทันความไม่คงที่ คุณจะไม่ตกใจเมื่อคนเปลี่ยนไป ไม่เสียดายเมื่อสิ่งดีๆหายไป ไม่หลงระเริงเมื่ออะไรดีขึ้นมา เพราะคุณจะเข้าใจว่า… “คนหนึ่งคน” จะต้องเปลี่ยนเป็น “อีกคนหนึ่ง” เสมอ และคุณ...มีส่วนให้เขาเป็นเช่นนั้น --- 💡 บทเรียนจากความใกล้ชิด อยู่ใกล้ใครนานพอ เขาจะกลายเป็นครูโดยไม่ตั้งใจ ถ้าคุณตั้งใจเรียนรู้ อยู่ใกล้กันนานแค่ไหนไม่สำคัญ แต่ถ้าคุณมีสติและใส่ใจ ความเป็น “อนิจจัง” ของเขา จะกลายเป็น “ปัญญา” ของคุณ ทั้งทางโลก และทางธรรม 📌 อย่าเพิ่งสรุปว่าเขาดีหรือร้าย แค่ถามตัวเองว่า… “เราอยู่ข้างเขาในช่วงที่เขากำลังขึ้น หรือกำลังลง?” และ “เราเป็นแรงส่ง หรือแรงฉุด?” #อนิจจังขาขึ้น #อนิจจังขาลง #ธรรมะใกล้ตัว #ความเข้าใจเปลี่ยนทุกอย่าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌱 ของจริง…ย่อมผ่านบททดสอบของจริงได้เสมอ

    คุณเลือกไม่ได้
    ว่าจะต้องเจอกับคนเลวแบบไหน
    แต่คุณเลือกได้
    ว่าจะ ไม่เลวตามเขา

    บางคนไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย
    แต่ความเลวที่สะสมอยู่ในเขา
    กระตุ้นความคิดไม่ดีให้ลุกวาบในใจคุณ
    ที่เหลือ…คือคุณเลือกได้
    จะดับไฟด้วยสติ
    หรือเติมเชื้อด้วยโทสะ

    🖤 ถ้าคุณเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้
    ก็อย่าให้เรื่องร้ายค่อยๆเปลี่ยนคุณ
    ให้กลายเป็นคนร้ายแทน

    บางครั้ง…
    เรื่องร้ายอาจพาคุณไปพบ “คนดี”
    แต่บางที…
    เรื่องดีอาจพาคุณไปเจอ “คนร้าย”
    คุณจึงต้องรู้ให้ทันว่า
    สุดท้ายแล้ว...
    จะลงเอยดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนดีหรือไม่

    ---

    ✨ พระพุทธเจ้าตรัสไว้
    พึงชนะคนโกหกด้วยคำจริง
    พึงชนะคนมักโกรธด้วยเมตตา
    พึงชนะคนร้ายด้วยความดี

    ฟังดูง่าย...แต่ทำยาก
    และเพราะทำยาก...
    จึงยกระดับจิตให้สูงส่งได้จริง

    เขาร้ายมาแบบไหน
    เราดีกลับไปแบบนั้น
    ไม่ได้หวังให้เขารู้สึกผิด
    แต่หวังให้เรา...
    รักษาความเป็นคนดีไว้ให้ได้

    ---

    🧭 เมื่อชีวิตเจอแบบทดสอบ
    จงดีใจ…
    เพราะไม่มีใครอยากพิสูจน์ “ตม”
    มีแต่คนอยากพิสูจน์ “เพชร”

    ทุกวัน...คือแบบทดสอบ
    ให้รู้ว่าเรามี “ของจริง” อยู่แค่ไหนในตัว

    ยิ่งแบบทดสอบยาก
    ยิ่งวัดได้ชัดว่า...
    คุณคือเพชรแท้
    หรือแค่ของเลียนแบบ

    หากวันไหนถูกคนใกล้ตัวทดสอบด้วยกิเลส
    ให้คุณมองว่าเขาไม่ได้มาแกล้ง
    แต่ “ธรรมะ” ใช้เขาเป็นเครื่องมือ
    เพื่อพิสูจน์ความสว่างในใจคุณ

    ---

    🌼 ของจริง…ไม่กลัวการพิสูจน์
    ของจริง…ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายด้วยคำคน
    ของจริง…ไม่หวั่นไหวแม้ถูกทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    และถ้าคุณเป็นของจริง...
    คุณจะรู้สึกได้เองว่า
    ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ใคร…
    แต่อยู่ที่ใจคุณแน่นอนแล้ว!

    #เพชรแท้ย่อมถูกทดสอบ
    #ธรรมะในชีวิตจริง
    #ใจที่ไม่หวั่นไหว
    #โพสต์เพื่อปลุกสติ
    🌱 ของจริง…ย่อมผ่านบททดสอบของจริงได้เสมอ คุณเลือกไม่ได้ ว่าจะต้องเจอกับคนเลวแบบไหน แต่คุณเลือกได้ ว่าจะ ไม่เลวตามเขา บางคนไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย แต่ความเลวที่สะสมอยู่ในเขา กระตุ้นความคิดไม่ดีให้ลุกวาบในใจคุณ ที่เหลือ…คือคุณเลือกได้ จะดับไฟด้วยสติ หรือเติมเชื้อด้วยโทสะ 🖤 ถ้าคุณเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้ ก็อย่าให้เรื่องร้ายค่อยๆเปลี่ยนคุณ ให้กลายเป็นคนร้ายแทน บางครั้ง… เรื่องร้ายอาจพาคุณไปพบ “คนดี” แต่บางที… เรื่องดีอาจพาคุณไปเจอ “คนร้าย” คุณจึงต้องรู้ให้ทันว่า สุดท้ายแล้ว... จะลงเอยดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนดีหรือไม่ --- ✨ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พึงชนะคนโกหกด้วยคำจริง พึงชนะคนมักโกรธด้วยเมตตา พึงชนะคนร้ายด้วยความดี ฟังดูง่าย...แต่ทำยาก และเพราะทำยาก... จึงยกระดับจิตให้สูงส่งได้จริง เขาร้ายมาแบบไหน เราดีกลับไปแบบนั้น ไม่ได้หวังให้เขารู้สึกผิด แต่หวังให้เรา... รักษาความเป็นคนดีไว้ให้ได้ --- 🧭 เมื่อชีวิตเจอแบบทดสอบ จงดีใจ… เพราะไม่มีใครอยากพิสูจน์ “ตม” มีแต่คนอยากพิสูจน์ “เพชร” ทุกวัน...คือแบบทดสอบ ให้รู้ว่าเรามี “ของจริง” อยู่แค่ไหนในตัว ยิ่งแบบทดสอบยาก ยิ่งวัดได้ชัดว่า... คุณคือเพชรแท้ หรือแค่ของเลียนแบบ หากวันไหนถูกคนใกล้ตัวทดสอบด้วยกิเลส ให้คุณมองว่าเขาไม่ได้มาแกล้ง แต่ “ธรรมะ” ใช้เขาเป็นเครื่องมือ เพื่อพิสูจน์ความสว่างในใจคุณ --- 🌼 ของจริง…ไม่กลัวการพิสูจน์ ของจริง…ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายด้วยคำคน ของจริง…ไม่หวั่นไหวแม้ถูกทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถ้าคุณเป็นของจริง... คุณจะรู้สึกได้เองว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ใคร… แต่อยู่ที่ใจคุณแน่นอนแล้ว! #เพชรแท้ย่อมถูกทดสอบ #ธรรมะในชีวิตจริง #ใจที่ไม่หวั่นไหว #โพสต์เพื่อปลุกสติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 เพื่อนแท้ กับ เส้นทางกรรม

    มนุษย์ไม่ได้ต้องการเพื่อนมากมาย
    แค่ “ไม่กี่คน” ที่จริงใจ
    ก็พอให้ใจไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
    กลางโลกที่หมุนเร็วและว่างเปล่า

    แต่เพื่อนแท้...
    ไม่ได้มีไว้แค่ปลอบใจ
    หรือให้ยืมไหล่ยามร้องไห้
    เพื่อนแท้... มีผลต่อเส้นทางกรรมของเรา

    เพื่อนบางคน
    คือผู้ ‘หักเห’ ทางชีวิต
    ให้เราหลงผิด ล้มลุก และพลาดพลั้ง
    แต่เพื่อนบางคน
    คือผู้ ‘ส่งเสริม’
    ให้เราเดินบนทางที่ถูกต้อง
    มีศีล มีปัญญา มีเมตตา
    และมีโอกาสได้ดีทั้งทางโลกและทางธรรม

    ---

    👣 จะพิสูจน์เพื่อนแท้...วัดที่อะไร?

    ไม่ใช่วัดว่า “พร้อมตายไปด้วยกันไหม”
    แต่วัดว่า “พร้อมทำบุญไปด้วยกันไหม?”

    เพื่อนแท้ คือคนที่กล้าตักเตือน
    เมื่อเราหลงผิด
    ไม่ปล่อยให้เราลงเหว
    แม้ตัวเองจะเจ็บใจที่ต้องพูดความจริง
    แต่ก็ยังยอมพูด… เพราะรัก

    แม้วันหนึ่งจะผิดใจกัน
    แต่ “บุญร่วมกัน”
    จะกลายเป็นสายใยอ่อนโยน
    ดึงให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง

    ---

    🪷 กัลยาณมิตร...ไม่ใช่สิ่งที่หาเจอ แต่คือสิ่งที่ “สร้างขึ้น”

    เราไม่พบเพื่อนแท้โดยบังเอิญ
    แต่จะ “มีโอกาสพบ” ก็ต่อเมื่อ
    เรา “จริงใจ” กับใคร ๆ มาก่อน

    อย่ารอให้ใครดีต่อคุณ
    ให้คุณเริ่มเป็นฝ่ายดีต่อคนอื่นก่อน
    วันหนึ่ง…
    คุณจะมีใจที่สะอาดของตนเองเป็นเพื่อนแท้
    และในภพต่อไป
    คุณจะไม่ต้องอยู่ในหมู่คนอสัตย์

    ---

    🕯 พระพุทธเจ้าตรัสไว้
    ว่าอรุณรุ่งของชีวิตทางธรรม
    คือการได้พบ “กัลยาณมิตร”

    กัลยาณมิตรทางธรรม
    ชี้ให้เห็นกฎของกรรม
    นำเราออกจากเส้นทางเวียนว่าย

    ส่วนเพื่อนแท้ในตัวเอง
    คือ “สติ”
    ที่เตือนเราทุกขณะให้ไม่หลงไป

    ---

    เพื่อนแท้ที่ดี คือบุญ
    เพื่อนแท้ทางธรรม คือทางพ้นทุกข์
    และเพื่อนแท้ในตัวเอง
    คือแสงสว่างในยามที่ไม่มีใครเข้าใจ

    จงสร้างเพื่อนแท้ขึ้นเอง
    และเป็นเพื่อนแท้ให้ใครบางคน
    ก่อนที่โลกจะทำให้ทุกคนเย็นชาเกินเยียวยา

    #เพื่อนแท้
    #กัลยาณมิตร
    #เส้นทางกรรม
    #ธรรมะเข้าใจชีวิต
    #สติคือเพื่อนแท้ในตัวเอง
    🌿 เพื่อนแท้ กับ เส้นทางกรรม มนุษย์ไม่ได้ต้องการเพื่อนมากมาย แค่ “ไม่กี่คน” ที่จริงใจ ก็พอให้ใจไม่รู้สึกเคว้งคว้าง กลางโลกที่หมุนเร็วและว่างเปล่า แต่เพื่อนแท้... ไม่ได้มีไว้แค่ปลอบใจ หรือให้ยืมไหล่ยามร้องไห้ เพื่อนแท้... มีผลต่อเส้นทางกรรมของเรา เพื่อนบางคน คือผู้ ‘หักเห’ ทางชีวิต ให้เราหลงผิด ล้มลุก และพลาดพลั้ง แต่เพื่อนบางคน คือผู้ ‘ส่งเสริม’ ให้เราเดินบนทางที่ถูกต้อง มีศีล มีปัญญา มีเมตตา และมีโอกาสได้ดีทั้งทางโลกและทางธรรม --- 👣 จะพิสูจน์เพื่อนแท้...วัดที่อะไร? ไม่ใช่วัดว่า “พร้อมตายไปด้วยกันไหม” แต่วัดว่า “พร้อมทำบุญไปด้วยกันไหม?” เพื่อนแท้ คือคนที่กล้าตักเตือน เมื่อเราหลงผิด ไม่ปล่อยให้เราลงเหว แม้ตัวเองจะเจ็บใจที่ต้องพูดความจริง แต่ก็ยังยอมพูด… เพราะรัก แม้วันหนึ่งจะผิดใจกัน แต่ “บุญร่วมกัน” จะกลายเป็นสายใยอ่อนโยน ดึงให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง --- 🪷 กัลยาณมิตร...ไม่ใช่สิ่งที่หาเจอ แต่คือสิ่งที่ “สร้างขึ้น” เราไม่พบเพื่อนแท้โดยบังเอิญ แต่จะ “มีโอกาสพบ” ก็ต่อเมื่อ เรา “จริงใจ” กับใคร ๆ มาก่อน อย่ารอให้ใครดีต่อคุณ ให้คุณเริ่มเป็นฝ่ายดีต่อคนอื่นก่อน วันหนึ่ง… คุณจะมีใจที่สะอาดของตนเองเป็นเพื่อนแท้ และในภพต่อไป คุณจะไม่ต้องอยู่ในหมู่คนอสัตย์ --- 🕯 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าอรุณรุ่งของชีวิตทางธรรม คือการได้พบ “กัลยาณมิตร” กัลยาณมิตรทางธรรม ชี้ให้เห็นกฎของกรรม นำเราออกจากเส้นทางเวียนว่าย ส่วนเพื่อนแท้ในตัวเอง คือ “สติ” ที่เตือนเราทุกขณะให้ไม่หลงไป --- เพื่อนแท้ที่ดี คือบุญ เพื่อนแท้ทางธรรม คือทางพ้นทุกข์ และเพื่อนแท้ในตัวเอง คือแสงสว่างในยามที่ไม่มีใครเข้าใจ จงสร้างเพื่อนแท้ขึ้นเอง และเป็นเพื่อนแท้ให้ใครบางคน ก่อนที่โลกจะทำให้ทุกคนเย็นชาเกินเยียวยา #เพื่อนแท้ #กัลยาณมิตร #เส้นทางกรรม #ธรรมะเข้าใจชีวิต #สติคือเพื่อนแท้ในตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 เพื่อนแท้ กับ เส้นทางกรรม

    มนุษย์ไม่ได้ต้องการเพื่อนมากมาย
    แค่ “ไม่กี่คน” ที่จริงใจ
    ก็พอให้ใจไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
    กลางโลกที่หมุนเร็วและว่างเปล่า

    แต่เพื่อนแท้...
    ไม่ได้มีไว้แค่ปลอบใจ
    หรือให้ยืมไหล่ยามร้องไห้
    เพื่อนแท้... มีผลต่อเส้นทางกรรมของเรา

    เพื่อนบางคน
    คือผู้ ‘หักเห’ ทางชีวิต
    ให้เราหลงผิด ล้มลุก และพลาดพลั้ง
    แต่เพื่อนบางคน
    คือผู้ ‘ส่งเสริม’
    ให้เราเดินบนทางที่ถูกต้อง
    มีศีล มีปัญญา มีเมตตา
    และมีโอกาสได้ดีทั้งทางโลกและทางธรรม

    ---

    👣 จะพิสูจน์เพื่อนแท้...วัดที่อะไร?

    ไม่ใช่วัดว่า “พร้อมตายไปด้วยกันไหม”
    แต่วัดว่า “พร้อมทำบุญไปด้วยกันไหม?”

    เพื่อนแท้ คือคนที่กล้าตักเตือน
    เมื่อเราหลงผิด
    ไม่ปล่อยให้เราลงเหว
    แม้ตัวเองจะเจ็บใจที่ต้องพูดความจริง
    แต่ก็ยังยอมพูด… เพราะรัก

    แม้วันหนึ่งจะผิดใจกัน
    แต่ “บุญร่วมกัน”
    จะกลายเป็นสายใยอ่อนโยน
    ดึงให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง

    ---

    🪷 กัลยาณมิตร...ไม่ใช่สิ่งที่หาเจอ แต่คือสิ่งที่ “สร้างขึ้น”

    เราไม่พบเพื่อนแท้โดยบังเอิญ
    แต่จะ “มีโอกาสพบ” ก็ต่อเมื่อ
    เรา “จริงใจ” กับใคร ๆ มาก่อน

    อย่ารอให้ใครดีต่อคุณ
    ให้คุณเริ่มเป็นฝ่ายดีต่อคนอื่นก่อน
    วันหนึ่ง…
    คุณจะมีใจที่สะอาดของตนเองเป็นเพื่อนแท้
    และในภพต่อไป
    คุณจะไม่ต้องอยู่ในหมู่คนอสัตย์

    ---

    🕯 พระพุทธเจ้าตรัสไว้
    ว่าอรุณรุ่งของชีวิตทางธรรม
    คือการได้พบ “กัลยาณมิตร”

    กัลยาณมิตรทางธรรม
    ชี้ให้เห็นกฎของกรรม
    นำเราออกจากเส้นทางเวียนว่าย

    ส่วนเพื่อนแท้ในตัวเอง
    คือ “สติ”
    ที่เตือนเราทุกขณะให้ไม่หลงไป

    ---

    เพื่อนแท้ที่ดี คือบุญ
    เพื่อนแท้ทางธรรม คือทางพ้นทุกข์
    และเพื่อนแท้ในตัวเอง
    คือแสงสว่างในยามที่ไม่มีใครเข้าใจ

    จงสร้างเพื่อนแท้ขึ้นเอง
    และเป็นเพื่อนแท้ให้ใครบางคน
    ก่อนที่โลกจะทำให้ทุกคนเย็นชาเกินเยียวยา

    #เพื่อนแท้
    #กัลยาณมิตร
    #เส้นทางกรรม
    #ธรรมะเข้าใจชีวิต
    #สติคือเพื่อนแท้ในตัวเอง
    🌿 เพื่อนแท้ กับ เส้นทางกรรม มนุษย์ไม่ได้ต้องการเพื่อนมากมาย แค่ “ไม่กี่คน” ที่จริงใจ ก็พอให้ใจไม่รู้สึกเคว้งคว้าง กลางโลกที่หมุนเร็วและว่างเปล่า แต่เพื่อนแท้... ไม่ได้มีไว้แค่ปลอบใจ หรือให้ยืมไหล่ยามร้องไห้ เพื่อนแท้... มีผลต่อเส้นทางกรรมของเรา เพื่อนบางคน คือผู้ ‘หักเห’ ทางชีวิต ให้เราหลงผิด ล้มลุก และพลาดพลั้ง แต่เพื่อนบางคน คือผู้ ‘ส่งเสริม’ ให้เราเดินบนทางที่ถูกต้อง มีศีล มีปัญญา มีเมตตา และมีโอกาสได้ดีทั้งทางโลกและทางธรรม --- 👣 จะพิสูจน์เพื่อนแท้...วัดที่อะไร? ไม่ใช่วัดว่า “พร้อมตายไปด้วยกันไหม” แต่วัดว่า “พร้อมทำบุญไปด้วยกันไหม?” เพื่อนแท้ คือคนที่กล้าตักเตือน เมื่อเราหลงผิด ไม่ปล่อยให้เราลงเหว แม้ตัวเองจะเจ็บใจที่ต้องพูดความจริง แต่ก็ยังยอมพูด… เพราะรัก แม้วันหนึ่งจะผิดใจกัน แต่ “บุญร่วมกัน” จะกลายเป็นสายใยอ่อนโยน ดึงให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง --- 🪷 กัลยาณมิตร...ไม่ใช่สิ่งที่หาเจอ แต่คือสิ่งที่ “สร้างขึ้น” เราไม่พบเพื่อนแท้โดยบังเอิญ แต่จะ “มีโอกาสพบ” ก็ต่อเมื่อ เรา “จริงใจ” กับใคร ๆ มาก่อน อย่ารอให้ใครดีต่อคุณ ให้คุณเริ่มเป็นฝ่ายดีต่อคนอื่นก่อน วันหนึ่ง… คุณจะมีใจที่สะอาดของตนเองเป็นเพื่อนแท้ และในภพต่อไป คุณจะไม่ต้องอยู่ในหมู่คนอสัตย์ --- 🕯 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าอรุณรุ่งของชีวิตทางธรรม คือการได้พบ “กัลยาณมิตร” กัลยาณมิตรทางธรรม ชี้ให้เห็นกฎของกรรม นำเราออกจากเส้นทางเวียนว่าย ส่วนเพื่อนแท้ในตัวเอง คือ “สติ” ที่เตือนเราทุกขณะให้ไม่หลงไป --- เพื่อนแท้ที่ดี คือบุญ เพื่อนแท้ทางธรรม คือทางพ้นทุกข์ และเพื่อนแท้ในตัวเอง คือแสงสว่างในยามที่ไม่มีใครเข้าใจ จงสร้างเพื่อนแท้ขึ้นเอง และเป็นเพื่อนแท้ให้ใครบางคน ก่อนที่โลกจะทำให้ทุกคนเย็นชาเกินเยียวยา #เพื่อนแท้ #กัลยาณมิตร #เส้นทางกรรม #ธรรมะเข้าใจชีวิต #สติคือเพื่อนแท้ในตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 เส้นทางกรรม...คือเส้นทางชีวิตที่คุณเลือกเดินทุกวัน

    เราไม่ได้เดินอยู่บนถนนที่บังเอิญ
    แต่กำลังเดินบน “เส้นทางกรรม”
    ที่ถูกปูไว้ด้วย “นิสัย” ที่เราทำซ้ำ ๆ
    — จนกลายเป็นตัวเราโดยไม่รู้ตัว

    ในทางธรรม
    นิสัย = อาจิณณกรรม
    คือการทำซ้ำ ๆ จนเป็นธรรมชาติ
    คิดซ้ำแบบเดิม พูดซ้ำแบบเดิม
    ทำซ้ำแบบเดิม แล้วก็มีชีวิตแบบเดิม

    ---

    คนมีนิสัยแบบไหน
    ก็เจอคนแบบนั้น
    อยู่ในโลกแบบนั้น

    โลกที่เราอยู่ จึงไม่เหมือนกัน
    บางคนอยู่ในโลกที่แก่งแย่ง
    บางคนอยู่ในโลกที่ร่วมแรงร่วมใจ



    โลกมีสองใบ
    ใบหนึ่งคือ โลกที่เอาแต่สุขเฉพาะตน
    อีกใบคือ โลกที่เอาสุขของทุกคนเข้าว่า

    🌪 โลกใบแรก เต็มไปด้วยการแย่งชิง
    พูดโกหกให้ได้ ทำร้ายให้ทัน
    เพราะคิดว่า “ความสุขของเรา ต้องมาก่อน”
    แต่กลับไม่มีใครเป็นสุขจริง
    แม้แต่ตัวเราเอง

    🍃 โลกใบที่สอง เต็มไปด้วยการให้
    ให้โดยไม่หวังอะไร
    ยับยั้งใจ ไม่เบียดเบียนใคร
    เพราะเข้าใจว่า “ไม่มีใครเป็นสุข บนความทุกข์ของใครได้จริง ๆ”

    ---

    ทุกครั้งที่คุณเลือกทำดี
    คุณกำลังเลือก “เส้นทางกรรม”
    ที่ค่อย ๆ พาคุณออกจากโลกเก่าที่ขม
    เข้าสู่โลกใหม่ที่เย็นและใสกว่าเดิม

    🛤 โลกที่คุณเห็น
    ผู้คนที่คุณเจอ
    ประสบการณ์ที่คุณสัมผัส
    ล้วนเป็นผลจากเส้นทางกรรม…
    ที่คุณ เคยเลือก และ กำลังเลือกอยู่ในตอนนี้!

    🌱 ขอให้คุณเห็นทางที่สว่าง
    แล้วเลือกเดิน…อย่างรู้ตัวทุกย่างก้าว

    #เส้นทางกรรม
    #ธรรมะแบบรู้ทันชีวิต
    #เข้าใจโลกเข้าใจตน
    🌿 เส้นทางกรรม...คือเส้นทางชีวิตที่คุณเลือกเดินทุกวัน เราไม่ได้เดินอยู่บนถนนที่บังเอิญ แต่กำลังเดินบน “เส้นทางกรรม” ที่ถูกปูไว้ด้วย “นิสัย” ที่เราทำซ้ำ ๆ — จนกลายเป็นตัวเราโดยไม่รู้ตัว ในทางธรรม นิสัย = อาจิณณกรรม คือการทำซ้ำ ๆ จนเป็นธรรมชาติ คิดซ้ำแบบเดิม พูดซ้ำแบบเดิม ทำซ้ำแบบเดิม แล้วก็มีชีวิตแบบเดิม --- คนมีนิสัยแบบไหน ก็เจอคนแบบนั้น อยู่ในโลกแบบนั้น โลกที่เราอยู่ จึงไม่เหมือนกัน บางคนอยู่ในโลกที่แก่งแย่ง บางคนอยู่ในโลกที่ร่วมแรงร่วมใจ — โลกมีสองใบ ใบหนึ่งคือ โลกที่เอาแต่สุขเฉพาะตน อีกใบคือ โลกที่เอาสุขของทุกคนเข้าว่า 🌪 โลกใบแรก เต็มไปด้วยการแย่งชิง พูดโกหกให้ได้ ทำร้ายให้ทัน เพราะคิดว่า “ความสุขของเรา ต้องมาก่อน” แต่กลับไม่มีใครเป็นสุขจริง แม้แต่ตัวเราเอง 🍃 โลกใบที่สอง เต็มไปด้วยการให้ ให้โดยไม่หวังอะไร ยับยั้งใจ ไม่เบียดเบียนใคร เพราะเข้าใจว่า “ไม่มีใครเป็นสุข บนความทุกข์ของใครได้จริง ๆ” --- ทุกครั้งที่คุณเลือกทำดี คุณกำลังเลือก “เส้นทางกรรม” ที่ค่อย ๆ พาคุณออกจากโลกเก่าที่ขม เข้าสู่โลกใหม่ที่เย็นและใสกว่าเดิม 🛤 โลกที่คุณเห็น ผู้คนที่คุณเจอ ประสบการณ์ที่คุณสัมผัส ล้วนเป็นผลจากเส้นทางกรรม… ที่คุณ เคยเลือก และ กำลังเลือกอยู่ในตอนนี้! 🌱 ขอให้คุณเห็นทางที่สว่าง แล้วเลือกเดิน…อย่างรู้ตัวทุกย่างก้าว #เส้นทางกรรม #ธรรมะแบบรู้ทันชีวิต #เข้าใจโลกเข้าใจตน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌀 เมื่อใครบางคน…ไม่ชอบหน้าเรา

    คุณเคยเจอไหม?

    คนที่ยังไม่ทันรู้จักกันดี
    แต่ดูเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเราตั้งแต่แรกเห็น

    เจอหน้ากันทีไร แววตาเขาแข็งขึ้นเล็กน้อย
    น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง
    คำพูดของเขาฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนบาดเบาๆ

    มันน่าระคายใจใช่ไหมครับ?
    แต่ถ้าคุณเข้าใจกลไกอารมณ์มนุษย์
    ความระคายใจเหล่านั้น…จะเบาลงได้เอง

    ---
    ในทางธรรม
    คนเรา “ไม่ชอบใคร” ได้ด้วยเหตุ 2 แบบ
    🔸 หนึ่ง — มีเหตุผลชัดเจน เช่น เขาเคยโกหก เคยทำให้เราหนักใจ
    🔸 สอง — ไม่มีเหตุผลชัดเจน แค่ “คลื่นไม่ตรงกัน” ก็กระเทือนใจแล้ว

    และแน่นอน…
    คนอื่นก็สามารถ “ไม่ชอบเรา” ได้ด้วย 2 เหตุแบบเดียวกันนี้

    ---

    จงอย่ารับเอาความไม่ชอบ
    มาเป็นคำพิพากษาว่า “เราต้องผิด”
    และจงอย่าด่วนปักใจว่า “เขาต้องเลว”

    ให้เราเฝ้าสังเกตใจ
    เหมือนฝึกสมาธิในชีวิตประจำวัน
    ลองถามใจตัวเองอย่างบริสุทธิ์ว่า…

    💬 เราเคยทำอะไรให้เขาไม่สบายใจไหม?
    💬 หรือเขาแค่ยังไม่รู้จักเราเพียงพอ?
    💬 เราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกเขาได้ไหม?
    💬 หรือเราควรวางใจ ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้น?

    เมื่อถามจนใจนิ่งพอ
    จะพบว่าคนที่ไม่ชอบเรา…
    ก็เป็นเพียง “บททดสอบ”
    มิใช่ “ศัตรูทางวิญญาณ” อย่างที่ใจเคยตีความไว้ก่อน

    ---

    และที่สุดของธรรมข้อนี้ คือ…

    ถ้าคุณสามารถยิ้มให้คนที่ไม่ยิ้มให้คุณได้
    ด้วยใจที่เมตตาจริง ไม่ประชด ไม่แกล้งดี
    คุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่พระอริยะเจ้าเคยเดินมาแล้ว

    🌱 เพราะเมตตาไม่ใช่การหวังให้เขารักเรา
    แต่คือการ “รักใจที่ใสเย็นของตัวเอง” จนเผื่อแผ่ความเย็นนั้นออกไปได้

    ---

    โพสต์นี้ไม่มีข้อสรุปตายตัว
    เพียงแต่อยากชวนคุณหยุดคิด…
    ก่อนจะ “เสียพลัง” ไปกับการไม่ชอบกันโดยไม่รู้ตัว

    บางครั้ง…
    สิ่งที่เราเรียกว่า “ศัตรูทางใจ”
    อาจเป็นแค่ “เงาของตัวเราเอง”
    ที่รอให้แสงแห่งความเข้าใจ…ส่องลงไปถึง

    🕊️ #โพสต์ธรรมะแบบมีใจ
    #เข้าใจคนเข้าใจตัวเอง
    #ฝึกใจให้เบา
    🌀 เมื่อใครบางคน…ไม่ชอบหน้าเรา คุณเคยเจอไหม? คนที่ยังไม่ทันรู้จักกันดี แต่ดูเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเราตั้งแต่แรกเห็น เจอหน้ากันทีไร แววตาเขาแข็งขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง คำพูดของเขาฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนบาดเบาๆ มันน่าระคายใจใช่ไหมครับ? แต่ถ้าคุณเข้าใจกลไกอารมณ์มนุษย์ ความระคายใจเหล่านั้น…จะเบาลงได้เอง --- ในทางธรรม คนเรา “ไม่ชอบใคร” ได้ด้วยเหตุ 2 แบบ 🔸 หนึ่ง — มีเหตุผลชัดเจน เช่น เขาเคยโกหก เคยทำให้เราหนักใจ 🔸 สอง — ไม่มีเหตุผลชัดเจน แค่ “คลื่นไม่ตรงกัน” ก็กระเทือนใจแล้ว และแน่นอน… คนอื่นก็สามารถ “ไม่ชอบเรา” ได้ด้วย 2 เหตุแบบเดียวกันนี้ --- จงอย่ารับเอาความไม่ชอบ มาเป็นคำพิพากษาว่า “เราต้องผิด” และจงอย่าด่วนปักใจว่า “เขาต้องเลว” ให้เราเฝ้าสังเกตใจ เหมือนฝึกสมาธิในชีวิตประจำวัน ลองถามใจตัวเองอย่างบริสุทธิ์ว่า… 💬 เราเคยทำอะไรให้เขาไม่สบายใจไหม? 💬 หรือเขาแค่ยังไม่รู้จักเราเพียงพอ? 💬 เราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกเขาได้ไหม? 💬 หรือเราควรวางใจ ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้น? เมื่อถามจนใจนิ่งพอ จะพบว่าคนที่ไม่ชอบเรา… ก็เป็นเพียง “บททดสอบ” มิใช่ “ศัตรูทางวิญญาณ” อย่างที่ใจเคยตีความไว้ก่อน --- และที่สุดของธรรมข้อนี้ คือ… ถ้าคุณสามารถยิ้มให้คนที่ไม่ยิ้มให้คุณได้ ด้วยใจที่เมตตาจริง ไม่ประชด ไม่แกล้งดี คุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่พระอริยะเจ้าเคยเดินมาแล้ว 🌱 เพราะเมตตาไม่ใช่การหวังให้เขารักเรา แต่คือการ “รักใจที่ใสเย็นของตัวเอง” จนเผื่อแผ่ความเย็นนั้นออกไปได้ --- โพสต์นี้ไม่มีข้อสรุปตายตัว เพียงแต่อยากชวนคุณหยุดคิด… ก่อนจะ “เสียพลัง” ไปกับการไม่ชอบกันโดยไม่รู้ตัว บางครั้ง… สิ่งที่เราเรียกว่า “ศัตรูทางใจ” อาจเป็นแค่ “เงาของตัวเราเอง” ที่รอให้แสงแห่งความเข้าใจ…ส่องลงไปถึง 🕊️ #โพสต์ธรรมะแบบมีใจ #เข้าใจคนเข้าใจตัวเอง #ฝึกใจให้เบา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชื่อในบาปบุญ เราละเลิกบาปทั้งหลาย หมั่นเพียรสร้างบุญความดีเอาไว้ ถือศีล ถือธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ให้ตาลอดไป
    เชื่อในบาปบุญ เราละเลิกบาปทั้งหลาย หมั่นเพียรสร้างบุญความดีเอาไว้ ถือศีล ถือธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ให้ตาลอดไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเบื่อธรรมะ หรือเสียงพระเทศน์ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีมานานเนินนานบนโลก ท่านได้เห็นยมทูตทั้ง 4 เกิด แก่ เจ็บ ตาย ธรรมะของพุทธพระเจ้าล้ำเลิศแล้ว หลวงปู่หลวงพ่อกี่ยุคสมัยก็สอนธรรมของเก่าที่มีมา
    อย่าเบื่อธรรมะ หรือเสียงพระเทศน์ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีมานานเนินนานบนโลก ท่านได้เห็นยมทูตทั้ง 4 เกิด แก่ เจ็บ ตาย ธรรมะของพุทธพระเจ้าล้ำเลิศแล้ว หลวงปู่หลวงพ่อกี่ยุคสมัยก็สอนธรรมของเก่าที่มีมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย
    ในฐานะเสาสัญญาณ
    ราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่
    และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ
    ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

    พวกเขา "นิ่ง"
    แต่นิ่งของพวกเขา
    ไม่ใช่ความเฉื่อย
    ไม่ใช่การหลบหลีก
    และไม่ใช่การตัดขาด

    แต่นิ่ง...จนสนามของเขา
    กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก

    “มนุษย์ทองคำ”
    ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง
    ไม่ใช่เพราะทำมาก
    แต่เพราะ “เป็นมาก”

    ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง
    เพื่อความสงบของตนเอง
    แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ
    พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    แก่นของ "นิ่งแล้วรวย"

    “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน
    กลายเป็นสนาม
    และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง”

    คนทั่วไปพยายามหาเงิน
    พูด ขาย สร้างแบรนด์

    แต่ “มนุษย์ทองคำ”
    ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย
    เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก
    “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม”

    สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง

    ไม่มีแรงอยาก
    ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน
    เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน

    เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น
    ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม
    เงิน ทรัพย์ โอกาส
    และคนที่พร้อมสนับสนุน
    จะไหลเข้ามาเอง

    เพราะโลกต้องการ
    #เสาที่ไม่สั่น
    มากกว่าคนที่พูดเก่ง

    และในระดับลึกกว่านั้น
    จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้
    ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ
    แบบไม่มีที่สิ้นสุด

    มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล

    มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้
    ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล
    แต่คือ "ตำแหน่งสนาม"

    เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง
    แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์
    ออกไปอย่างมั่นคง

    โลกไม่สามารถเร่งพังได้
    เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ

    พลังของเสาสัญญาณมีค่า
    เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ
    ไม่ให้สั่นเกินไป

    ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์
    ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง

    เป็นพิกัดพลังงานที่โลก
    ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่”

    จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง
    เงิน โอกาส คนดูแล
    ระบบซัพพอร์ต
    เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป

    เพราะถ้าเสานี้ล้ม
    โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น

    ตัวอย่างบุคคล
    "นิ่งแล้วรวยระดับโลก"

    1. ทะไลลามะ

    ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน
    แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก
    พลังของท่าน คือ
    ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา
    ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง

    2. รินโปเช่ระดับสูง

    ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส
    ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป
    เดินทางเพื่ออยู่ใกล้
    และยินดีถวายเงินนับล้าน
    เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ

    3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว

    ไม่สนใจเรื่องเงิน
    ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา
    แต่มีคนถวายทองคำให้
    มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า
    ท่าน คือ เสานิ่ง
    ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน

    4. มหาตมะ คานธี

    นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง
    แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย
    จากอาณานิคมได้
    ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง

    5. พระแม่เทเรซา

    ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ
    ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก
    ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า
    #เธอคือรักบริสุทธิ์

    วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย"
    ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง

    1. หยุดแรงต้านในใจ

    ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป
    ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต
    ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ

    2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น

    หยุดเล่าเรื่องตัวเอง
    หยุดพิสูจน์คุณค่า
    หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ
    ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร
    สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น

    3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี

    ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง
    ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ
    ไม่ต้องให้โลกยอมรับ
    แต่ยัง “มั่นคง ว่าง
    และเปล่งพลัง”
    ในความเงียบ

    4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ

    เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส
    โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ
    แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง

    บทสรุป

    มนุษย์ทองคำ
    ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด

    แต่คือคนที่

    “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง”

    มนุษย์ทองคำ คือ
    ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป
    แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล”

    เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง
    เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่
    เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ

    เพราะเขา… คือ

    #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง

    คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย ในฐานะเสาสัญญาณ ราคาแพงที่สุดของจักรวาล ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่ และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเขา "นิ่ง" แต่นิ่งของพวกเขา ไม่ใช่ความเฉื่อย ไม่ใช่การหลบหลีก และไม่ใช่การตัดขาด แต่นิ่ง...จนสนามของเขา กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก “มนุษย์ทองคำ” ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง ไม่ใช่เพราะทำมาก แต่เพราะ “เป็นมาก” ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง เพื่อความสงบของตนเอง แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล แก่นของ "นิ่งแล้วรวย" “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน กลายเป็นสนาม และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง” คนทั่วไปพยายามหาเงิน พูด ขาย สร้างแบรนด์ แต่ “มนุษย์ทองคำ” ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม” สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง ไม่มีแรงอยาก ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม เงิน ทรัพย์ โอกาส และคนที่พร้อมสนับสนุน จะไหลเข้ามาเอง เพราะโลกต้องการ #เสาที่ไม่สั่น มากกว่าคนที่พูดเก่ง และในระดับลึกกว่านั้น จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้ ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ แบบไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้ ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล แต่คือ "ตำแหน่งสนาม" เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์ ออกไปอย่างมั่นคง โลกไม่สามารถเร่งพังได้ เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ พลังของเสาสัญญาณมีค่า เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ ไม่ให้สั่นเกินไป ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์ ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง เป็นพิกัดพลังงานที่โลก ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่” จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง เงิน โอกาส คนดูแล ระบบซัพพอร์ต เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป เพราะถ้าเสานี้ล้ม โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น ตัวอย่างบุคคล "นิ่งแล้วรวยระดับโลก" 1. ทะไลลามะ ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก พลังของท่าน คือ ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง 2. รินโปเช่ระดับสูง ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป เดินทางเพื่ออยู่ใกล้ และยินดีถวายเงินนับล้าน เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ 3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว ไม่สนใจเรื่องเงิน ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา แต่มีคนถวายทองคำให้ มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า ท่าน คือ เสานิ่ง ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน 4. มหาตมะ คานธี นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย จากอาณานิคมได้ ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง 5. พระแม่เทเรซา ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า #เธอคือรักบริสุทธิ์ วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย" ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง 1. หยุดแรงต้านในใจ ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ 2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น หยุดเล่าเรื่องตัวเอง หยุดพิสูจน์คุณค่า หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น 3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ไม่ต้องให้โลกยอมรับ แต่ยัง “มั่นคง ว่าง และเปล่งพลัง” ในความเงียบ 4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง บทสรุป มนุษย์ทองคำ ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด แต่คือคนที่ “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง” มนุษย์ทองคำ คือ ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล” เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่ เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ เพราะเขา… คือ #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • แบบฝึกหัดของชีวิต คือเครื่องยืนยันว่าเรากำลัง “สูงขึ้น”

    คนที่มองเรื่องร้ายเป็นแบบฝึกหัด
    คือคนที่กำลังเดินขึ้นที่สูง
    ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม
    ย่อมมีแรงเสียดทานเสมอ
    แต่ยิ่งเหนื่อยมากเท่าไหร่
    ก็ยิ่งพิสูจน์ความเป็น “ของจริง” ได้ชัดเท่านั้น

    เราควบคุมไม่ได้
    ว่าจะต้องเจอกับคนไม่ดีมากแค่ไหน
    แต่เราควบคุมได้
    ว่าจะไม่เลวตาม
    ไม่เติมไฟ ไม่ส่งพิษ
    แค่พอเจอก็รู้ว่า “กำลังเข้าสอบ”
    ถ้าผ่านไปได้...ก็สอบผ่านไปอีกหนึ่งด่าน

    ทุกวันเต็มไปด้วยข้อสอบจากชีวิต
    อยู่ที่ว่า...เราจะตอบแบบเดิม
    หรือจะลองตอบด้วย “สติ” แบบใหม่?

    เพราะถ้าเราเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้
    เรื่องร้ายนั่นแหละจะค่อย ๆ เปลี่ยนเราให้ร้ายขึ้นตามมัน!

    คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ซับซ้อนเลยครับ...

    ชนะคนโกหกด้วยคำจริง

    ชนะคนโกรธด้วยเมตตา

    ชนะคนร้ายด้วยความดี

    พูดง่าย ๆ คือ
    เขาร้ายมาอย่างไร...เรากลับไปอย่างดีอย่างนั้น
    ไม่หวังให้เขาเปลี่ยน
    แต่หวังให้เรารอด!

    ยิ่งถูกทดสอบหนักแค่ไหน
    ยิ่งเหมือนถูกท้าทายว่า
    คุณคือเพชร หรือแค่ตมในร่างคำพูดธรรมะ?

    และเมื่อคุณผ่านแบบทดสอบยาก ๆ
    คุณจะรู้สึกชัดขึ้นว่า
    “เราคือของจริง”
    “เรามีธรรมะอยู่ในตัวจริง ๆ”
    แบบฝึกหัดของชีวิต คือเครื่องยืนยันว่าเรากำลัง “สูงขึ้น” คนที่มองเรื่องร้ายเป็นแบบฝึกหัด คือคนที่กำลังเดินขึ้นที่สูง ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม ย่อมมีแรงเสียดทานเสมอ แต่ยิ่งเหนื่อยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพิสูจน์ความเป็น “ของจริง” ได้ชัดเท่านั้น เราควบคุมไม่ได้ ว่าจะต้องเจอกับคนไม่ดีมากแค่ไหน แต่เราควบคุมได้ ว่าจะไม่เลวตาม ไม่เติมไฟ ไม่ส่งพิษ แค่พอเจอก็รู้ว่า “กำลังเข้าสอบ” ถ้าผ่านไปได้...ก็สอบผ่านไปอีกหนึ่งด่าน ทุกวันเต็มไปด้วยข้อสอบจากชีวิต อยู่ที่ว่า...เราจะตอบแบบเดิม หรือจะลองตอบด้วย “สติ” แบบใหม่? เพราะถ้าเราเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้ เรื่องร้ายนั่นแหละจะค่อย ๆ เปลี่ยนเราให้ร้ายขึ้นตามมัน! คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ซับซ้อนเลยครับ... ชนะคนโกหกด้วยคำจริง ชนะคนโกรธด้วยเมตตา ชนะคนร้ายด้วยความดี พูดง่าย ๆ คือ เขาร้ายมาอย่างไร...เรากลับไปอย่างดีอย่างนั้น ไม่หวังให้เขาเปลี่ยน แต่หวังให้เรารอด! ยิ่งถูกทดสอบหนักแค่ไหน ยิ่งเหมือนถูกท้าทายว่า คุณคือเพชร หรือแค่ตมในร่างคำพูดธรรมะ? และเมื่อคุณผ่านแบบทดสอบยาก ๆ คุณจะรู้สึกชัดขึ้นว่า “เราคือของจริง” “เรามีธรรมะอยู่ในตัวจริง ๆ”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนแอบถามกันว่าพราหมณ์เป็นฮินดู..รึ วันนี้ชี้แจงไปเล่าเรื่องความเป็นมาให้เขาฟัง ศาสนาในโลกนี้ก็มีศาสนาพากันพ้นทุกข์ ละเลิกกิเลส ตัณหาราคะ
    เทพท่านไม่มีธรรมะ ไม่มีบทสอนทางด้านทุกข์ ใดๆ ท่านทำแค่อวยพรให้สมปรารถนา ใครอยากได้อยากมีต้องสะสมบุญกุศลมาเองแล้วจะอวยพรให้ได้เร็วขึ้น
    คนแอบถามกันว่าพราหมณ์เป็นฮินดู..รึ วันนี้ชี้แจงไปเล่าเรื่องความเป็นมาให้เขาฟัง ศาสนาในโลกนี้ก็มีศาสนาพากันพ้นทุกข์ ละเลิกกิเลส ตัณหาราคะ เทพท่านไม่มีธรรมะ ไม่มีบทสอนทางด้านทุกข์ ใดๆ ท่านทำแค่อวยพรให้สมปรารถนา ใครอยากได้อยากมีต้องสะสมบุญกุศลมาเองแล้วจะอวยพรให้ได้เร็วขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • คู่แท้จะมา…เมื่อจิตนิ่งพอจะรักเป็น

    บางที รางวัลของคนดี
    ไม่ใช่การได้เจอคนรักเร็ว ๆ
    แต่คือการได้เจอใครบางคน...
    เมื่อใจเรานิ่งพอจะรักษาเขาไว้ได้

    เพราะธรรมชาติไม่ได้กะเกณฑ์ให้เจอรักง่าย
    แต่ให้เรา เรียนรู้จากความทุกข์เสียก่อน
    เพื่อเติบโตจากการผิดหวัง
    และเข้าใจความรักอย่างแท้จริง

    บางคนพลาดคู่แท้
    ไม่ใช่เพราะไม่ดีพอ
    แต่เพราะ ยังวุ่นวายพอจะทำลายรัก
    ขณะเดียวกัน…
    คู่แท้ก็ยังไม่อยากเจอเรา
    ในวันที่เรายังไม่รู้จัก “การหยุดนิ่ง”

    อาจิณณกรรม หรือนิสัยเดิม ๆ
    เป็นตัวขวางทางความรักดี ๆ
    เพราะนิสัยที่ยังฟุ้งซ่าน หวาดระแวง
    หรือไม่รู้จักพอ
    อาจทำลายคนที่ใช่…ทั้งที่ใจยังรักอยู่

    เมื่อเราผ่านบทเรียนของชีวิตมาพอ
    เมื่อเจ็บแล้วไม่โทษโลก
    แต่เลือกจะเข้าใจตัวเองให้ลึกกว่าเดิม
    เมื่อเรายอมอยู่กับความว่างเปล่าอย่างสงบ
    โดยไม่รีบเติมใครเข้ามา
    นั่นแหละ...
    ธรรมชาติอาจยอมเปิดตัวใครบางคนให้เรา
    คนที่คู่ควรกับใจนิ่ง ๆ ของเราในตอนนี้

    อย่าท้อกับความดีที่ยังไม่มีใครเห็น
    เพราะบางที “คนที่ใช่” ก็รอให้เรากลายเป็น “ตัวจริง” เสียก่อน
    เมื่อเราเริ่มอยู่กับธรรมะ
    เมื่อใจเริ่มเป็นบุญ
    เมื่อใจไม่เร่ง…ไม่เรียกร้อง
    นั่นแหละ
    คู่แท้ที่รอเวลาจะรักอย่างถาวร…จึงปรากฏตัวขึ้น
    คู่แท้จะมา…เมื่อจิตนิ่งพอจะรักเป็น บางที รางวัลของคนดี ไม่ใช่การได้เจอคนรักเร็ว ๆ แต่คือการได้เจอใครบางคน... เมื่อใจเรานิ่งพอจะรักษาเขาไว้ได้ เพราะธรรมชาติไม่ได้กะเกณฑ์ให้เจอรักง่าย แต่ให้เรา เรียนรู้จากความทุกข์เสียก่อน เพื่อเติบโตจากการผิดหวัง และเข้าใจความรักอย่างแท้จริง บางคนพลาดคู่แท้ ไม่ใช่เพราะไม่ดีพอ แต่เพราะ ยังวุ่นวายพอจะทำลายรัก ขณะเดียวกัน… คู่แท้ก็ยังไม่อยากเจอเรา ในวันที่เรายังไม่รู้จัก “การหยุดนิ่ง” อาจิณณกรรม หรือนิสัยเดิม ๆ เป็นตัวขวางทางความรักดี ๆ เพราะนิสัยที่ยังฟุ้งซ่าน หวาดระแวง หรือไม่รู้จักพอ อาจทำลายคนที่ใช่…ทั้งที่ใจยังรักอยู่ เมื่อเราผ่านบทเรียนของชีวิตมาพอ เมื่อเจ็บแล้วไม่โทษโลก แต่เลือกจะเข้าใจตัวเองให้ลึกกว่าเดิม เมื่อเรายอมอยู่กับความว่างเปล่าอย่างสงบ โดยไม่รีบเติมใครเข้ามา นั่นแหละ... ธรรมชาติอาจยอมเปิดตัวใครบางคนให้เรา คนที่คู่ควรกับใจนิ่ง ๆ ของเราในตอนนี้ อย่าท้อกับความดีที่ยังไม่มีใครเห็น เพราะบางที “คนที่ใช่” ก็รอให้เรากลายเป็น “ตัวจริง” เสียก่อน เมื่อเราเริ่มอยู่กับธรรมะ เมื่อใจเริ่มเป็นบุญ เมื่อใจไม่เร่ง…ไม่เรียกร้อง นั่นแหละ คู่แท้ที่รอเวลาจะรักอย่างถาวร…จึงปรากฏตัวขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย
    ในฐานะเสาสัญญาณ
    ราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่
    และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ
    ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

    พวกเขา "นิ่ง"
    แต่นิ่งของพวกเขา
    ไม่ใช่ความเฉื่อย
    ไม่ใช่การหลบหลีก
    และไม่ใช่การตัดขาด

    แต่นิ่ง...จนสนามของเขา
    กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก

    “มนุษย์ทองคำ”
    ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง
    ไม่ใช่เพราะทำมาก
    แต่เพราะ “เป็นมาก”

    ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง
    เพื่อความสงบของตนเอง
    แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ
    พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    แก่นของ "นิ่งแล้วรวย"

    “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน
    กลายเป็นสนาม
    และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง”

    คนทั่วไปพยายามหาเงิน
    พูด ขาย สร้างแบรนด์

    แต่ “มนุษย์ทองคำ”
    ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย
    เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก
    “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม”

    สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง

    ไม่มีแรงอยาก
    ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน
    เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน

    เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น
    ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม
    เงิน ทรัพย์ โอกาส
    และคนที่พร้อมสนับสนุน
    จะไหลเข้ามาเอง

    เพราะโลกต้องการ
    #เสาที่ไม่สั่น
    มากกว่าคนที่พูดเก่ง

    และในระดับลึกกว่านั้น
    จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้
    ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ
    แบบไม่มีที่สิ้นสุด

    มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล

    มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้
    ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล
    แต่คือ "ตำแหน่งสนาม"

    เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง
    แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์
    ออกไปอย่างมั่นคง

    โลกไม่สามารถเร่งพังได้
    เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ

    พลังของเสาสัญญาณมีค่า
    เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ
    ไม่ให้สั่นเกินไป

    ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์
    ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง

    เป็นพิกัดพลังงานที่โลก
    ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่”

    จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง
    เงิน โอกาส คนดูแล
    ระบบซัพพอร์ต
    เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป

    เพราะถ้าเสานี้ล้ม
    โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น

    ตัวอย่างบุคคล
    "นิ่งแล้วรวยระดับโลก"

    1. ทะไลลามะ

    ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน
    แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก
    พลังของท่าน คือ
    ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา
    ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง

    2. รินโปเช่ระดับสูง

    ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส
    ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป
    เดินทางเพื่ออยู่ใกล้
    และยินดีถวายเงินนับล้าน
    เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ

    3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว

    ไม่สนใจเรื่องเงิน
    ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา
    แต่มีคนถวายทองคำให้
    มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า
    ท่าน คือ เสานิ่ง
    ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน

    4. มหาตมะ คานธี

    นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง
    แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย
    จากอาณานิคมได้
    ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง

    5. พระแม่เทเรซา

    ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ
    ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก
    ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า
    #เธอคือรักบริสุทธิ์

    วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย"
    ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง

    1. หยุดแรงต้านในใจ

    ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป
    ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต
    ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ

    2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น

    หยุดเล่าเรื่องตัวเอง
    หยุดพิสูจน์คุณค่า
    หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ
    ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร
    สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น

    3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี

    ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง
    ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ
    ไม่ต้องให้โลกยอมรับ
    แต่ยัง “มั่นคง ว่าง
    และเปล่งพลัง”
    ในความเงียบ

    4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ

    เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส
    โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ
    แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง

    บทสรุป

    มนุษย์ทองคำ
    ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด

    แต่คือคนที่

    “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง”

    มนุษย์ทองคำ คือ
    ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป
    แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล”

    เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง
    เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่
    เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ

    เพราะเขา… คือ

    #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง

    คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย ในฐานะเสาสัญญาณ ราคาแพงที่สุดของจักรวาล ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่ และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเขา "นิ่ง" แต่นิ่งของพวกเขา ไม่ใช่ความเฉื่อย ไม่ใช่การหลบหลีก และไม่ใช่การตัดขาด แต่นิ่ง...จนสนามของเขา กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก “มนุษย์ทองคำ” ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง ไม่ใช่เพราะทำมาก แต่เพราะ “เป็นมาก” ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง เพื่อความสงบของตนเอง แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล แก่นของ "นิ่งแล้วรวย" “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน กลายเป็นสนาม และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง” คนทั่วไปพยายามหาเงิน พูด ขาย สร้างแบรนด์ แต่ “มนุษย์ทองคำ” ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม” สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง ไม่มีแรงอยาก ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม เงิน ทรัพย์ โอกาส และคนที่พร้อมสนับสนุน จะไหลเข้ามาเอง เพราะโลกต้องการ #เสาที่ไม่สั่น มากกว่าคนที่พูดเก่ง และในระดับลึกกว่านั้น จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้ ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ แบบไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้ ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล แต่คือ "ตำแหน่งสนาม" เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์ ออกไปอย่างมั่นคง โลกไม่สามารถเร่งพังได้ เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ พลังของเสาสัญญาณมีค่า เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ ไม่ให้สั่นเกินไป ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์ ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง เป็นพิกัดพลังงานที่โลก ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่” จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง เงิน โอกาส คนดูแล ระบบซัพพอร์ต เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป เพราะถ้าเสานี้ล้ม โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น ตัวอย่างบุคคล "นิ่งแล้วรวยระดับโลก" 1. ทะไลลามะ ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก พลังของท่าน คือ ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง 2. รินโปเช่ระดับสูง ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป เดินทางเพื่ออยู่ใกล้ และยินดีถวายเงินนับล้าน เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ 3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว ไม่สนใจเรื่องเงิน ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา แต่มีคนถวายทองคำให้ มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า ท่าน คือ เสานิ่ง ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน 4. มหาตมะ คานธี นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย จากอาณานิคมได้ ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง 5. พระแม่เทเรซา ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า #เธอคือรักบริสุทธิ์ วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย" ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง 1. หยุดแรงต้านในใจ ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ 2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น หยุดเล่าเรื่องตัวเอง หยุดพิสูจน์คุณค่า หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น 3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ไม่ต้องให้โลกยอมรับ แต่ยัง “มั่นคง ว่าง และเปล่งพลัง” ในความเงียบ 4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง บทสรุป มนุษย์ทองคำ ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด แต่คือคนที่ “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง” มนุษย์ทองคำ คือ ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล” เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่ เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ เพราะเขา… คือ #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำพูดมีพลัง…เปลี่ยนทั้งชีวิตให้สว่างหรือมืดลงได้!

    > “แค่คำพูดที่หลุดปาก ก็เหมือนประกาศต่อจักรวาลว่า…ใจเราสว่างหรือมืด”
    เพราะวจีกรรม…ไม่เคยเป็นแค่เสียง
    แต่มันคือ “แรงกระเพื่อมของพลังงานจิต” ที่ย้อนกลับมาสร้างชีวิตใหม่ทุกวินาที

    ---

    คนที่พูดมืดๆ เป็นนิสัย กำลังสวดมนต์อัปมงคลใส่ชีวิตตัวเอง!

    คุณอาจไม่ทันสังเกต
    ว่าคำพูดบ่น โอดครวญ ตัดพ้อ ด่าว่า หรือแขวะใคร
    คือ มนต์ดำ ที่เสกให้ใจตัวเองซวยทุกวัน

    ยิ่งพูดมาก…จิตยิ่งตก
    ยิ่งพูดนาน…ออร่าทางความคิดยิ่งขุ่น
    พลังงานดีๆ ไล่หนีหมด
    คนฟังก็หมดแรง คนอยู่ใกล้ก็หน่ายใจ
    สุดท้ายคือ โลกทั้งใบ เริ่มผลักคุณออก

    ---

    ทางรอดเริ่มที่การเปลี่ยนวิธีคิด

    คุณแกล้ง “พูดบวก” ได้ไม่นาน
    ถ้าใจยัง “คิดลบ” อยู่ลึกๆ

    แต่ถ้าเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดจริงจัง
    จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ
    คิดเป็น จิตเปลี่ยน พูดเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน…ชีวิตเปลี่ยน!

    ฝึกคิดบวกแบบธรรมะ ไม่ใช่โลกสวยหลอกตัวเอง
    แต่คือการตั้งใจ “มองให้เห็นคุณค่าแม้ในโชคร้าย” เช่น...

    ล้มเหลว = โอกาสฝึกความเข้มแข็ง

    เจอคนใส่ร้าย = โอกาสฝึกอดทน พิสูจน์ด้วยกาลเวลา

    เจอคนไม่จริงใจ = ฝึกวางใจแบบรู้เท่าทัน

    เลิกคบ = ปล่อยคืนสิ่งที่ไม่ใช่ของเราให้ธรรมชาติ

    ---

    พูดดีได้…เมื่อใจเริ่มหายฟุ้งซ่าน

    คนที่พูดแล้วเย็นใจ คือคนที่เริ่มคิดอย่างมีสติ
    ไม่ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านสั่งชีวิต
    เพราะรู้ว่าแค่ “คิดเยอะจนเหนื่อย”
    ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น
    แต่ทำให้พลังชีวิตรั่วไหลไปเฉยๆ

    จิตที่สงบ = พลังคำพูดที่ปลอบใจคนได้
    จิตที่ฟุ้ง = คำพูดที่เผาใจตัวเองและคนอื่น

    ---

    อยากโชคดี...ไม่ต้องรอวาสนา แค่พูดให้ถูกทาง!

    ถ้าฝึกจนพูดดีได้เป็นธรรมชาติ
    คุณจะรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดพลังบุญ
    คุ้มกันให้ไม่ตกเหวง่ายๆ
    แม้วิบากร้ายจะมาเคาะประตูทุกวัน

    > จำไว้ว่าคำพูดของคุณ
    ไม่ได้แค่ส่งเสียงออกไป
    แต่มันกำลัง “จัดชะตา” ให้คุณอยู่ทุกลมหายใจ

    ---

    เลือกพูดแบบมีสติ = เลือกชีวิตที่มีแสง!
    อย่าเผลอพูดมืดๆ แล้วเรียกความมืดมาครองโลกในใจอีกเลยครับ.
    คำพูดมีพลัง…เปลี่ยนทั้งชีวิตให้สว่างหรือมืดลงได้! > “แค่คำพูดที่หลุดปาก ก็เหมือนประกาศต่อจักรวาลว่า…ใจเราสว่างหรือมืด” เพราะวจีกรรม…ไม่เคยเป็นแค่เสียง แต่มันคือ “แรงกระเพื่อมของพลังงานจิต” ที่ย้อนกลับมาสร้างชีวิตใหม่ทุกวินาที --- คนที่พูดมืดๆ เป็นนิสัย กำลังสวดมนต์อัปมงคลใส่ชีวิตตัวเอง! คุณอาจไม่ทันสังเกต ว่าคำพูดบ่น โอดครวญ ตัดพ้อ ด่าว่า หรือแขวะใคร คือ มนต์ดำ ที่เสกให้ใจตัวเองซวยทุกวัน ยิ่งพูดมาก…จิตยิ่งตก ยิ่งพูดนาน…ออร่าทางความคิดยิ่งขุ่น พลังงานดีๆ ไล่หนีหมด คนฟังก็หมดแรง คนอยู่ใกล้ก็หน่ายใจ สุดท้ายคือ โลกทั้งใบ เริ่มผลักคุณออก --- ทางรอดเริ่มที่การเปลี่ยนวิธีคิด คุณแกล้ง “พูดบวก” ได้ไม่นาน ถ้าใจยัง “คิดลบ” อยู่ลึกๆ แต่ถ้าเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดจริงจัง จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ คิดเป็น จิตเปลี่ยน พูดเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน…ชีวิตเปลี่ยน! ฝึกคิดบวกแบบธรรมะ ไม่ใช่โลกสวยหลอกตัวเอง แต่คือการตั้งใจ “มองให้เห็นคุณค่าแม้ในโชคร้าย” เช่น... ล้มเหลว = โอกาสฝึกความเข้มแข็ง เจอคนใส่ร้าย = โอกาสฝึกอดทน พิสูจน์ด้วยกาลเวลา เจอคนไม่จริงใจ = ฝึกวางใจแบบรู้เท่าทัน เลิกคบ = ปล่อยคืนสิ่งที่ไม่ใช่ของเราให้ธรรมชาติ --- พูดดีได้…เมื่อใจเริ่มหายฟุ้งซ่าน คนที่พูดแล้วเย็นใจ คือคนที่เริ่มคิดอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านสั่งชีวิต เพราะรู้ว่าแค่ “คิดเยอะจนเหนื่อย” ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ทำให้พลังชีวิตรั่วไหลไปเฉยๆ จิตที่สงบ = พลังคำพูดที่ปลอบใจคนได้ จิตที่ฟุ้ง = คำพูดที่เผาใจตัวเองและคนอื่น --- อยากโชคดี...ไม่ต้องรอวาสนา แค่พูดให้ถูกทาง! ถ้าฝึกจนพูดดีได้เป็นธรรมชาติ คุณจะรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดพลังบุญ คุ้มกันให้ไม่ตกเหวง่ายๆ แม้วิบากร้ายจะมาเคาะประตูทุกวัน > จำไว้ว่าคำพูดของคุณ ไม่ได้แค่ส่งเสียงออกไป แต่มันกำลัง “จัดชะตา” ให้คุณอยู่ทุกลมหายใจ --- เลือกพูดแบบมีสติ = เลือกชีวิตที่มีแสง! อย่าเผลอพูดมืดๆ แล้วเรียกความมืดมาครองโลกในใจอีกเลยครับ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ใช้หลักธรรมะ” สานต่อพลังธรรม รุ่น 3

    วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ สถานปฏิบัติธรรมบ้านธรรมะชาติ อ.วังน้ำเขียว #นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก อบจ.นครราชสีมา เป็นประธานเปิดการอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมเพื่อคุณภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพชีวิตบุคลากรในสังกัด รุ่นที่ 3 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร อบจ. นำหลักธรรมคำสอน ตามหลักพุทธศาสนาไปสู่การปฏิบัติตนที่ถูกต้อง สามารถปรับใช้ในการปฏิบัติงาน พัฒนาจิตใจด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    “ใช้หลักธรรมะ” สานต่อพลังธรรม รุ่น 3 วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ สถานปฏิบัติธรรมบ้านธรรมะชาติ อ.วังน้ำเขียว #นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก อบจ.นครราชสีมา เป็นประธานเปิดการอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมเพื่อคุณภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพชีวิตบุคลากรในสังกัด รุ่นที่ 3 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร อบจ. นำหลักธรรมคำสอน ตามหลักพุทธศาสนาไปสู่การปฏิบัติตนที่ถูกต้อง สามารถปรับใช้ในการปฏิบัติงาน พัฒนาจิตใจด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อพ่อแม่พูดบั่นทอนใจ...เราจะรักษาใจอย่างไรดี?

    > ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดจากพ่อแม่ เช่น
    “เธอจะลำบากแน่”
    “เธอคงไม่มีอนาคต”
    “เธอจะไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หรอก”

    และคำพูดเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในใจคุณ
    จนทำให้เกิดความกังวล หวั่นไหว สะเทือนความเชื่อมั่น
    อย่าเพิ่งท้อครับ
    คุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ และคุณมีทางรอดที่งดงามกว่าโต้ตอบหรือหลบหนี

    ---

    1. หยุดคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องสมบูรณ์แบบเสมอ

    ในโลกนี้ พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่เพราะ “ตามสัญชาตญาณ”
    ไม่ใช่เพราะเข้าใจบทบาทหรือมีสัมมาทิฏฐิ
    พ่อแม่บางคนคาดหวังมากเกินไป บางคนพูดจากความกลัว
    หรือบางคนอาจไม่รู้เลยว่า “คำพูด” ของตัวเองทำร้ายลูกแค่ไหน

    ---

    2. เปลี่ยนจากความน้อยใจ → เป็นแรงใจให้เริ่มยกครอบครัวขึ้น

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    > “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง
    คือการช่วยให้ท่านมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)”

    หากเรารู้ธรรมะก่อนท่าน มีความเข้าใจถูกก่อนท่าน
    เรามีสิทธิ์เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณในครอบครัว
    ไม่ใช่เพราะท่านอ่อนแอ แต่เพราะเรา “มีกำลังใจจะเริ่มก่อน”

    ---

    3. หยุดดูถูกตัวเองว่าเป็น ‘เหยื่อ’ แล้วตั้งใจจะเป็น ‘ผู้เปลี่ยน’

    ทุกครั้งที่โดนคำพูดลบๆ ให้ย้อนมามองที่ใจ
    อย่าคิดแค่ “ทำไมพ่อแม่ถึงพูดแบบนี้กับเรา”
    แต่ให้ถามใหม่ว่า

    > “เราจะรักษาความดีในใจตัวเองไว้ได้ไหม?”
    “เราจะเป็นคนดับไฟด้วยน้ำเย็นได้หรือเปล่า?”

    อย่ารอให้เขาหยุดพูดก่อนถึงจะใจดี
    แต่ให้เริ่มใจดีก่อน แม้เขายังพูดไม่ดี

    ---

    4. สร้างใจให้สตรอง ด้วยธรรมะที่เป็นของจริงในใจ

    ไม่ต้องท่องศีลห้า ไม่ต้องท่องบทเมตตา
    แต่ ขอแค่มีธรรมะในใจจริงๆ
    คือ มีเจตนาจะไม่โต้ตอบด้วยโทสะ
    มีสติรู้ทันว่ากำลังจะโกรธ แล้วกลับมาสงบ
    มีเมตตาเพียงพอจะไม่ตอกกลับ

    ถ้าทำได้บ่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่มีสกิลสูงขึ้นเรื่อยๆ
    ในการรับมือกับไฟ ด้วยน้ำ

    ---

    5. จงภูมิใจในบทบาท “ผู้เริ่มต้น”

    แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่คุณคือคนที่ “เริ่มทำให้บ้านมีธรรมะ”
    คุณอาจจะยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนได้วันนี้
    แต่คุณกำลังสร้างคลื่นเล็กๆ ที่อาจเปลี่ยนทั้งครอบครัวในวันหน้า

    > เพราะคำพูดของพ่อแม่ ไม่ใช่คำทำนายชีวิตคุณ
    แต่ ใจของคุณต่างหาก ที่กำลังออกแบบชีวิตใหม่…ทุกวัน

    ---

    จงอย่ารอให้พ่อแม่เปลี่ยนก่อน
    แต่ให้ตัวคุณเป็นแสงแรกที่เริ่มสว่าง…เพื่อทั้งตัวคุณ และเขา

    เมื่อพ่อแม่พูดบั่นทอนใจ...เราจะรักษาใจอย่างไรดี? > ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดจากพ่อแม่ เช่น “เธอจะลำบากแน่” “เธอคงไม่มีอนาคต” “เธอจะไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หรอก” และคำพูดเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในใจคุณ จนทำให้เกิดความกังวล หวั่นไหว สะเทือนความเชื่อมั่น อย่าเพิ่งท้อครับ คุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ และคุณมีทางรอดที่งดงามกว่าโต้ตอบหรือหลบหนี --- 1. หยุดคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องสมบูรณ์แบบเสมอ ในโลกนี้ พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่เพราะ “ตามสัญชาตญาณ” ไม่ใช่เพราะเข้าใจบทบาทหรือมีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่บางคนคาดหวังมากเกินไป บางคนพูดจากความกลัว หรือบางคนอาจไม่รู้เลยว่า “คำพูด” ของตัวเองทำร้ายลูกแค่ไหน --- 2. เปลี่ยนจากความน้อยใจ → เป็นแรงใจให้เริ่มยกครอบครัวขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า > “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง คือการช่วยให้ท่านมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)” หากเรารู้ธรรมะก่อนท่าน มีความเข้าใจถูกก่อนท่าน เรามีสิทธิ์เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณในครอบครัว ไม่ใช่เพราะท่านอ่อนแอ แต่เพราะเรา “มีกำลังใจจะเริ่มก่อน” --- 3. หยุดดูถูกตัวเองว่าเป็น ‘เหยื่อ’ แล้วตั้งใจจะเป็น ‘ผู้เปลี่ยน’ ทุกครั้งที่โดนคำพูดลบๆ ให้ย้อนมามองที่ใจ อย่าคิดแค่ “ทำไมพ่อแม่ถึงพูดแบบนี้กับเรา” แต่ให้ถามใหม่ว่า > “เราจะรักษาความดีในใจตัวเองไว้ได้ไหม?” “เราจะเป็นคนดับไฟด้วยน้ำเย็นได้หรือเปล่า?” อย่ารอให้เขาหยุดพูดก่อนถึงจะใจดี แต่ให้เริ่มใจดีก่อน แม้เขายังพูดไม่ดี --- 4. สร้างใจให้สตรอง ด้วยธรรมะที่เป็นของจริงในใจ ไม่ต้องท่องศีลห้า ไม่ต้องท่องบทเมตตา แต่ ขอแค่มีธรรมะในใจจริงๆ คือ มีเจตนาจะไม่โต้ตอบด้วยโทสะ มีสติรู้ทันว่ากำลังจะโกรธ แล้วกลับมาสงบ มีเมตตาเพียงพอจะไม่ตอกกลับ ถ้าทำได้บ่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่มีสกิลสูงขึ้นเรื่อยๆ ในการรับมือกับไฟ ด้วยน้ำ --- 5. จงภูมิใจในบทบาท “ผู้เริ่มต้น” แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่คุณคือคนที่ “เริ่มทำให้บ้านมีธรรมะ” คุณอาจจะยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนได้วันนี้ แต่คุณกำลังสร้างคลื่นเล็กๆ ที่อาจเปลี่ยนทั้งครอบครัวในวันหน้า > เพราะคำพูดของพ่อแม่ ไม่ใช่คำทำนายชีวิตคุณ แต่ ใจของคุณต่างหาก ที่กำลังออกแบบชีวิตใหม่…ทุกวัน --- จงอย่ารอให้พ่อแม่เปลี่ยนก่อน แต่ให้ตัวคุณเป็นแสงแรกที่เริ่มสว่าง…เพื่อทั้งตัวคุณ และเขา —
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 624
    ชื่อบทธรรม :- อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    --ภิกษุ ท. !
    ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว
    ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ;
    ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ;
    เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย ;
    ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
    อันเป็นธรรมที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ด้วย.
    --ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้วซึ่งความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ.
    +--เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ ;
    นันทิ ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป.
    เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ;
    http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=นนฺทิ
    เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ;
    เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ;
    เพราะมีความดับแห่งชาติ,
    ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น.
    #ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    (ในกรณีแห่ง การได้ยินเสียงด้วยหู รู้สึกกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น
    ถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวกาย และ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ
    ก็ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน
    ).
    --ภิกษุ ท. ! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่เป็นธรรมทำความหลุดพ้น
    เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา ซึ่งเรากล่าวไว้โดยสังเขป.-

    (เกี่ยวกับเรื่องการทำความหลุดพ้นเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาซึ่งตรัสไว้โดยสังเขปดังตรัส ในสูตรข้างบนนี้
    ในสูตรอื่น
    [อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -มู. ม. ๑๒/๔๗๐/๔๓๙ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/12/470/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -สตฺตก.อํ. ๒๓/๙๐/๕๘
    http://etipitaka.com/read/pali/23/90/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%98 ]​
    ได้ตรัสไว้ว่า
    +--ภิกษุ ที่ได้สดับแล้วว่า
    สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ชื่อว่ารู้ยิ่งธรรมทั้งปวงรอบรู้ธรรมทั้งปวง เสวยเวทนาใด ๆ
    เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง ความจางคลาย ความดับ ความสลัดคืนในเวทนานั้น ๆ ประจำ
    ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใด ๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดเสียว ปรินิพพานเฉพาะตน, ดังนี้ก็มี
    ).

    #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/347/458.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/347/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=624
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43
    ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ สัทธรรมลำดับที่ : 624 ชื่อบทธรรม :- อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ; ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ; เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย ; ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็นธรรมที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ด้วย. --ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้วซึ่งความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ. +--เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ ; นันทิ ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป. เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=นนฺทิ เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น. #ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่ง การได้ยินเสียงด้วยหู รู้สึกกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวกาย และ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน ). --ภิกษุ ท. ! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่เป็นธรรมทำความหลุดพ้น เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา ซึ่งเรากล่าวไว้โดยสังเขป.- (เกี่ยวกับเรื่องการทำความหลุดพ้นเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาซึ่งตรัสไว้โดยสังเขปดังตรัส ในสูตรข้างบนนี้ ในสูตรอื่น [อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -มู. ม. ๑๒/๔๗๐/๔๓๙ ; http://etipitaka.com/read/pali/12/470/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -สตฺตก.อํ. ๒๓/๙๐/๕๘ http://etipitaka.com/read/pali/23/90/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%98 ]​ ได้ตรัสไว้ว่า +--ภิกษุ ที่ได้สดับแล้วว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ชื่อว่ารู้ยิ่งธรรมทั้งปวงรอบรู้ธรรมทั้งปวง เสวยเวทนาใด ๆ เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง ความจางคลาย ความดับ ความสลัดคืนในเวทนานั้น ๆ ประจำ ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใด ๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดเสียว ปรินิพพานเฉพาะตน, ดังนี้ก็มี ). #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/347/458. http://etipitaka.com/read/thai/12/347/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=624 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43 ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    -อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ ภิกษุ ท. ! .... ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ; ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ; เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย ; ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็นธรรมที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ด้วย. ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้วซึ่งความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ. เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ ; นันทิ ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป. เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น. ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่ง การได้ยินเสียงด้วยหู รู้สึกกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวกาย และ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน). ภิกษุ ท. ! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่เป็นธรรมทำความหลุดพ้น เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา ซึ่งเรากล่าวไว้โดยสังเขป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อ.ไชยันต์' ยกธรรมะนิยามความเมตตา สรุปใช้ไม่ได้กับ 'ทักษิณ'
    https://www.thai-tai.tv/news/18627/
    'อ.ไชยันต์' ยกธรรมะนิยามความเมตตา สรุปใช้ไม่ได้กับ 'ทักษิณ' https://www.thai-tai.tv/news/18627/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts