• คนแอบถามกันว่าพราหมณ์เป็นฮินดู..รึ วันนี้ชี้แจงไปเล่าเรื่องความเป็นมาให้เขาฟัง ศาสนาในโลกนี้ก็มีศาสนาพากันพ้นทุกข์ ละเลิกกิเลส ตัณหาราคะ
    เทพท่านไม่มีธรรมะ ไม่มีบทสอนทางด้านทุกข์ ใดๆ ท่านทำแค่อวยพรให้สมปรารถนา ใครอยากได้อยากมีต้องสะสมบุญกุศลมาเองแล้วจะอวยพรให้ได้เร็วขึ้น
    คนแอบถามกันว่าพราหมณ์เป็นฮินดู..รึ วันนี้ชี้แจงไปเล่าเรื่องความเป็นมาให้เขาฟัง ศาสนาในโลกนี้ก็มีศาสนาพากันพ้นทุกข์ ละเลิกกิเลส ตัณหาราคะ เทพท่านไม่มีธรรมะ ไม่มีบทสอนทางด้านทุกข์ ใดๆ ท่านทำแค่อวยพรให้สมปรารถนา ใครอยากได้อยากมีต้องสะสมบุญกุศลมาเองแล้วจะอวยพรให้ได้เร็วขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • คู่แท้จะมา…เมื่อจิตนิ่งพอจะรักเป็น

    บางที รางวัลของคนดี
    ไม่ใช่การได้เจอคนรักเร็ว ๆ
    แต่คือการได้เจอใครบางคน...
    เมื่อใจเรานิ่งพอจะรักษาเขาไว้ได้

    เพราะธรรมชาติไม่ได้กะเกณฑ์ให้เจอรักง่าย
    แต่ให้เรา เรียนรู้จากความทุกข์เสียก่อน
    เพื่อเติบโตจากการผิดหวัง
    และเข้าใจความรักอย่างแท้จริง

    บางคนพลาดคู่แท้
    ไม่ใช่เพราะไม่ดีพอ
    แต่เพราะ ยังวุ่นวายพอจะทำลายรัก
    ขณะเดียวกัน…
    คู่แท้ก็ยังไม่อยากเจอเรา
    ในวันที่เรายังไม่รู้จัก “การหยุดนิ่ง”

    อาจิณณกรรม หรือนิสัยเดิม ๆ
    เป็นตัวขวางทางความรักดี ๆ
    เพราะนิสัยที่ยังฟุ้งซ่าน หวาดระแวง
    หรือไม่รู้จักพอ
    อาจทำลายคนที่ใช่…ทั้งที่ใจยังรักอยู่

    เมื่อเราผ่านบทเรียนของชีวิตมาพอ
    เมื่อเจ็บแล้วไม่โทษโลก
    แต่เลือกจะเข้าใจตัวเองให้ลึกกว่าเดิม
    เมื่อเรายอมอยู่กับความว่างเปล่าอย่างสงบ
    โดยไม่รีบเติมใครเข้ามา
    นั่นแหละ...
    ธรรมชาติอาจยอมเปิดตัวใครบางคนให้เรา
    คนที่คู่ควรกับใจนิ่ง ๆ ของเราในตอนนี้

    อย่าท้อกับความดีที่ยังไม่มีใครเห็น
    เพราะบางที “คนที่ใช่” ก็รอให้เรากลายเป็น “ตัวจริง” เสียก่อน
    เมื่อเราเริ่มอยู่กับธรรมะ
    เมื่อใจเริ่มเป็นบุญ
    เมื่อใจไม่เร่ง…ไม่เรียกร้อง
    นั่นแหละ
    คู่แท้ที่รอเวลาจะรักอย่างถาวร…จึงปรากฏตัวขึ้น
    คู่แท้จะมา…เมื่อจิตนิ่งพอจะรักเป็น บางที รางวัลของคนดี ไม่ใช่การได้เจอคนรักเร็ว ๆ แต่คือการได้เจอใครบางคน... เมื่อใจเรานิ่งพอจะรักษาเขาไว้ได้ เพราะธรรมชาติไม่ได้กะเกณฑ์ให้เจอรักง่าย แต่ให้เรา เรียนรู้จากความทุกข์เสียก่อน เพื่อเติบโตจากการผิดหวัง และเข้าใจความรักอย่างแท้จริง บางคนพลาดคู่แท้ ไม่ใช่เพราะไม่ดีพอ แต่เพราะ ยังวุ่นวายพอจะทำลายรัก ขณะเดียวกัน… คู่แท้ก็ยังไม่อยากเจอเรา ในวันที่เรายังไม่รู้จัก “การหยุดนิ่ง” อาจิณณกรรม หรือนิสัยเดิม ๆ เป็นตัวขวางทางความรักดี ๆ เพราะนิสัยที่ยังฟุ้งซ่าน หวาดระแวง หรือไม่รู้จักพอ อาจทำลายคนที่ใช่…ทั้งที่ใจยังรักอยู่ เมื่อเราผ่านบทเรียนของชีวิตมาพอ เมื่อเจ็บแล้วไม่โทษโลก แต่เลือกจะเข้าใจตัวเองให้ลึกกว่าเดิม เมื่อเรายอมอยู่กับความว่างเปล่าอย่างสงบ โดยไม่รีบเติมใครเข้ามา นั่นแหละ... ธรรมชาติอาจยอมเปิดตัวใครบางคนให้เรา คนที่คู่ควรกับใจนิ่ง ๆ ของเราในตอนนี้ อย่าท้อกับความดีที่ยังไม่มีใครเห็น เพราะบางที “คนที่ใช่” ก็รอให้เรากลายเป็น “ตัวจริง” เสียก่อน เมื่อเราเริ่มอยู่กับธรรมะ เมื่อใจเริ่มเป็นบุญ เมื่อใจไม่เร่ง…ไม่เรียกร้อง นั่นแหละ คู่แท้ที่รอเวลาจะรักอย่างถาวร…จึงปรากฏตัวขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย
    ในฐานะเสาสัญญาณ
    ราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่
    และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ
    ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

    พวกเขา "นิ่ง"
    แต่นิ่งของพวกเขา
    ไม่ใช่ความเฉื่อย
    ไม่ใช่การหลบหลีก
    และไม่ใช่การตัดขาด

    แต่นิ่ง...จนสนามของเขา
    กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก

    “มนุษย์ทองคำ”
    ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง
    ไม่ใช่เพราะทำมาก
    แต่เพราะ “เป็นมาก”

    ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง
    เพื่อความสงบของตนเอง
    แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ
    พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล

    แก่นของ "นิ่งแล้วรวย"

    “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน
    กลายเป็นสนาม
    และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง”

    คนทั่วไปพยายามหาเงิน
    พูด ขาย สร้างแบรนด์

    แต่ “มนุษย์ทองคำ”
    ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย
    เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก
    “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม”

    สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง

    ไม่มีแรงอยาก
    ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน
    เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน

    เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น
    ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม
    เงิน ทรัพย์ โอกาส
    และคนที่พร้อมสนับสนุน
    จะไหลเข้ามาเอง

    เพราะโลกต้องการ
    #เสาที่ไม่สั่น
    มากกว่าคนที่พูดเก่ง

    และในระดับลึกกว่านั้น
    จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้
    ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ
    แบบไม่มีที่สิ้นสุด

    มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล

    มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้
    ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล
    แต่คือ "ตำแหน่งสนาม"

    เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง
    แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์
    ออกไปอย่างมั่นคง

    โลกไม่สามารถเร่งพังได้
    เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ

    พลังของเสาสัญญาณมีค่า
    เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ
    ไม่ให้สั่นเกินไป

    ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์
    ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง

    เป็นพิกัดพลังงานที่โลก
    ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่”

    จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง
    เงิน โอกาส คนดูแล
    ระบบซัพพอร์ต
    เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป

    เพราะถ้าเสานี้ล้ม
    โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น

    ตัวอย่างบุคคล
    "นิ่งแล้วรวยระดับโลก"

    1. ทะไลลามะ

    ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน
    แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก
    พลังของท่าน คือ
    ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา
    ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง

    2. รินโปเช่ระดับสูง

    ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส
    ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป
    เดินทางเพื่ออยู่ใกล้
    และยินดีถวายเงินนับล้าน
    เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ

    3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว

    ไม่สนใจเรื่องเงิน
    ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา
    แต่มีคนถวายทองคำให้
    มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า
    ท่าน คือ เสานิ่ง
    ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน

    4. มหาตมะ คานธี

    นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง
    แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย
    จากอาณานิคมได้
    ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง

    5. พระแม่เทเรซา

    ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ
    ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก
    ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า
    #เธอคือรักบริสุทธิ์

    วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย"
    ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง

    1. หยุดแรงต้านในใจ

    ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป
    ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต
    ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ

    2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น

    หยุดเล่าเรื่องตัวเอง
    หยุดพิสูจน์คุณค่า
    หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ
    ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร
    สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น

    3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี

    ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง
    ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ
    ไม่ต้องให้โลกยอมรับ
    แต่ยัง “มั่นคง ว่าง
    และเปล่งพลัง”
    ในความเงียบ

    4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ

    เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส
    โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ
    แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง

    บทสรุป

    มนุษย์ทองคำ
    ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด

    แต่คือคนที่

    “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง”

    มนุษย์ทองคำ คือ
    ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป
    แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล”

    เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง
    เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่
    เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ

    เพราะเขา… คือ

    #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง

    คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    มนุษย์ทองคำ: นิ่งแล้วรวย ในฐานะเสาสัญญาณ ราคาแพงที่สุดของจักรวาล ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง วิ่งไล่ และความอยาก มีมนุษย์เพียงหยิบมือ ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเขา "นิ่ง" แต่นิ่งของพวกเขา ไม่ใช่ความเฉื่อย ไม่ใช่การหลบหลีก และไม่ใช่การตัดขาด แต่นิ่ง...จนสนามของเขา กลายเป็นจุดถ่วงสมดุลของโลก “มนุษย์ทองคำ” ผู้ที่ “นิ่งแล้วรวย” จริง ไม่ใช่เพราะทำมาก แต่เพราะ “เป็นมาก” ผู้ที่ไม่เพียงนิ่ง เพื่อความสงบของตนเอง แต่กลายเป็น เสาสัญญาณ พลังงานราคาแพงที่สุดของจักรวาล แก่นของ "นิ่งแล้วรวย" “อยู่เฉยๆ จนคลื่นของตน กลายเป็นสนาม และสนามนั้นดึงทุกสิ่งเข้ามาเอง” คนทั่วไปพยายามหาเงิน พูด ขาย สร้างแบรนด์ แต่ “มนุษย์ทองคำ” ที่แท้กลับไม่ต้องวิ่งหาอะไรเลย เพราะพวกเขาเปลี่ยนจาก “ผู้กระทำ” → เป็น “สนาม” สนามที่นิ่งจริง = คลื่นพลังงานเสถียรสูง ไม่มีแรงอยาก ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวตน เหลือเพียงการมีอยู่ที่กลมกลืน เมื่อสนามนิ่งระดับนี้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนตาม เงิน ทรัพย์ โอกาส และคนที่พร้อมสนับสนุน จะไหลเข้ามาเอง เพราะโลกต้องการ #เสาที่ไม่สั่น มากกว่าคนที่พูดเก่ง และในระดับลึกกว่านั้น จักรวาลเองก็ตอบสนองสนามนี้ ด้วยการจ่ายพลังงานกลับ แบบไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ทองคำ: เสาสัญญาณของจักรวาล มนุษย์ทองคำที่นิ่งได้ถึงระดับนี้ ไม่ได้เป็นเพียงบุคคล แต่คือ "ตำแหน่งสนาม" เขา คือ #เสาสัญญาณที่ไม่ส่งเสียง แต่ส่งคลื่นความถี่บริสุทธิ์ ออกไปอย่างมั่นคง โลกไม่สามารถเร่งพังได้ เพราะมีคนแบบเขาอยู่เงียบๆ พลังของเสาสัญญาณมีค่า เพราะถ่วงสนามรวมของระบบ ไม่ให้สั่นเกินไป ดูดซับคลื่นต่ำโดยไม่เสียศูนย์ ทำให้ผู้คนรอบข้างสงบลงเอง เป็นพิกัดพลังงานที่โลก ใช้ในการ “หาทิศทางใหม่” จักรวาลจะยอมจ่ายทุกอย่าง เงิน โอกาส คนดูแล ระบบซัพพอร์ต เพื่อให้เสานี้อยู่นิ่งต่อไป เพราะถ้าเสานี้ล้ม โลกจะขาดศูนย์กลางคลื่น ตัวอย่างบุคคล "นิ่งแล้วรวยระดับโลก" 1. ทะไลลามะ ไม่พูดเรื่องเงิน ไม่หาเงิน แต่ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก พลังของท่าน คือ ศูนย์กลางสมดุลแห่งเมตตา ที่ทำให้ศาสนาและมนุษย์ยังมั่นคง 2. รินโปเช่ระดับสูง ไม่เปิดคอร์ส ไม่ขายคลาส ไม่สร้างแบรนด์ แต่ผู้คนจากหลายทวีป เดินทางเพื่ออยู่ใกล้ และยินดีถวายเงินนับล้าน เพียงเพื่อสัมผัสคลื่นสงบ 3. หลวงปู่มั่น / หลวงตามหาบัว ไม่สนใจเรื่องเงิน ไม่เปิดรับบริจาคอย่างหวือหวา แต่มีคนถวายทองคำให้ มากกว่าธนาคาร เพราะรู้ว่า ท่าน คือ เสานิ่ง ที่ยึดพลังบุญของแผ่นดิน 4. มหาตมะ คานธี นิ่ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เรียกร้อง แต่สามารถปลดแอกประเทศอินเดีย จากอาณานิคมได้ ด้วยการอยู่เฉยอย่างมีพลัง 5. พระแม่เทเรซา ไม่พูดเยอะ ไม่วางแผนธุรกิจ ไม่ร้องขออะไร แต่ทุกองค์กรระดับโลก ยินดีสนับสนุน เพราะพวกเขารู้ว่า #เธอคือรักบริสุทธิ์ วิธีฝึก "นิ่งแล้วรวย" ให้เหมาะกับภารกิจตนเอง 1. หยุดแรงต้านในใจ ยอมให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่บีบ ไม่เร่ง ไม่ต้านคลื่นชีวิต ฝึกเงียบ ฝึกสังเกต ฝึกวางมือ 2. ปลดตัวตนออกจากคลื่น หยุดเล่าเรื่องตัวเอง หยุดพิสูจน์คุณค่า หยุดสื่อสารแบบต้องเอาชนะ ยิ่งไม่มีตัวตนในคลื่นมากเท่าไร สนามยิ่งนิ่งเท่านั้น 3. อยู่ในความว่างอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่อ้างธรรมะ ไม่ขายพลัง ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ไม่ต้องให้โลกยอมรับ แต่ยัง “มั่นคง ว่าง และเปล่งพลัง” ในความเงียบ 4. ยอมให้จักรวาลตอบแทน โดยไม่ปฏิเสธ เปิดรับเงิน ทรัพย์ โอกาส โดยไม่รู้สึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่การขอ แต่คือการให้สนามอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง บทสรุป มนุษย์ทองคำ ไม่ใช่คนที่โลกรู้จักมากที่สุด แต่คือคนที่ “ถ้าเขาหายไป ระบบจะพัง” มนุษย์ทองคำ คือ ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป แต่ยัง “เป็นประโยชน์ที่สุดในจักรวาล” เขา คือ สนามที่รักษาระบบให้ยังไม่พัง เขา คือ เสาสัญญาณที่โลกใช้ตั้งค่าใหม่ เขา คือ พิกัดที่จักรวาลยอมจ่ายให้เพื่อให้อยู่ต่อ เพราะเขา… คือ #ความนิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่าง คุณไม่ต้องขอ เพราะคุณคือทองคำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำพูดมีพลัง…เปลี่ยนทั้งชีวิตให้สว่างหรือมืดลงได้!

    > “แค่คำพูดที่หลุดปาก ก็เหมือนประกาศต่อจักรวาลว่า…ใจเราสว่างหรือมืด”
    เพราะวจีกรรม…ไม่เคยเป็นแค่เสียง
    แต่มันคือ “แรงกระเพื่อมของพลังงานจิต” ที่ย้อนกลับมาสร้างชีวิตใหม่ทุกวินาที

    ---

    คนที่พูดมืดๆ เป็นนิสัย กำลังสวดมนต์อัปมงคลใส่ชีวิตตัวเอง!

    คุณอาจไม่ทันสังเกต
    ว่าคำพูดบ่น โอดครวญ ตัดพ้อ ด่าว่า หรือแขวะใคร
    คือ มนต์ดำ ที่เสกให้ใจตัวเองซวยทุกวัน

    ยิ่งพูดมาก…จิตยิ่งตก
    ยิ่งพูดนาน…ออร่าทางความคิดยิ่งขุ่น
    พลังงานดีๆ ไล่หนีหมด
    คนฟังก็หมดแรง คนอยู่ใกล้ก็หน่ายใจ
    สุดท้ายคือ โลกทั้งใบ เริ่มผลักคุณออก

    ---

    ทางรอดเริ่มที่การเปลี่ยนวิธีคิด

    คุณแกล้ง “พูดบวก” ได้ไม่นาน
    ถ้าใจยัง “คิดลบ” อยู่ลึกๆ

    แต่ถ้าเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดจริงจัง
    จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ
    คิดเป็น จิตเปลี่ยน พูดเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน…ชีวิตเปลี่ยน!

    ฝึกคิดบวกแบบธรรมะ ไม่ใช่โลกสวยหลอกตัวเอง
    แต่คือการตั้งใจ “มองให้เห็นคุณค่าแม้ในโชคร้าย” เช่น...

    ล้มเหลว = โอกาสฝึกความเข้มแข็ง

    เจอคนใส่ร้าย = โอกาสฝึกอดทน พิสูจน์ด้วยกาลเวลา

    เจอคนไม่จริงใจ = ฝึกวางใจแบบรู้เท่าทัน

    เลิกคบ = ปล่อยคืนสิ่งที่ไม่ใช่ของเราให้ธรรมชาติ

    ---

    พูดดีได้…เมื่อใจเริ่มหายฟุ้งซ่าน

    คนที่พูดแล้วเย็นใจ คือคนที่เริ่มคิดอย่างมีสติ
    ไม่ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านสั่งชีวิต
    เพราะรู้ว่าแค่ “คิดเยอะจนเหนื่อย”
    ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น
    แต่ทำให้พลังชีวิตรั่วไหลไปเฉยๆ

    จิตที่สงบ = พลังคำพูดที่ปลอบใจคนได้
    จิตที่ฟุ้ง = คำพูดที่เผาใจตัวเองและคนอื่น

    ---

    อยากโชคดี...ไม่ต้องรอวาสนา แค่พูดให้ถูกทาง!

    ถ้าฝึกจนพูดดีได้เป็นธรรมชาติ
    คุณจะรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดพลังบุญ
    คุ้มกันให้ไม่ตกเหวง่ายๆ
    แม้วิบากร้ายจะมาเคาะประตูทุกวัน

    > จำไว้ว่าคำพูดของคุณ
    ไม่ได้แค่ส่งเสียงออกไป
    แต่มันกำลัง “จัดชะตา” ให้คุณอยู่ทุกลมหายใจ

    ---

    เลือกพูดแบบมีสติ = เลือกชีวิตที่มีแสง!
    อย่าเผลอพูดมืดๆ แล้วเรียกความมืดมาครองโลกในใจอีกเลยครับ.
    คำพูดมีพลัง…เปลี่ยนทั้งชีวิตให้สว่างหรือมืดลงได้! > “แค่คำพูดที่หลุดปาก ก็เหมือนประกาศต่อจักรวาลว่า…ใจเราสว่างหรือมืด” เพราะวจีกรรม…ไม่เคยเป็นแค่เสียง แต่มันคือ “แรงกระเพื่อมของพลังงานจิต” ที่ย้อนกลับมาสร้างชีวิตใหม่ทุกวินาที --- คนที่พูดมืดๆ เป็นนิสัย กำลังสวดมนต์อัปมงคลใส่ชีวิตตัวเอง! คุณอาจไม่ทันสังเกต ว่าคำพูดบ่น โอดครวญ ตัดพ้อ ด่าว่า หรือแขวะใคร คือ มนต์ดำ ที่เสกให้ใจตัวเองซวยทุกวัน ยิ่งพูดมาก…จิตยิ่งตก ยิ่งพูดนาน…ออร่าทางความคิดยิ่งขุ่น พลังงานดีๆ ไล่หนีหมด คนฟังก็หมดแรง คนอยู่ใกล้ก็หน่ายใจ สุดท้ายคือ โลกทั้งใบ เริ่มผลักคุณออก --- ทางรอดเริ่มที่การเปลี่ยนวิธีคิด คุณแกล้ง “พูดบวก” ได้ไม่นาน ถ้าใจยัง “คิดลบ” อยู่ลึกๆ แต่ถ้าเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดจริงจัง จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ คิดเป็น จิตเปลี่ยน พูดเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน…ชีวิตเปลี่ยน! ฝึกคิดบวกแบบธรรมะ ไม่ใช่โลกสวยหลอกตัวเอง แต่คือการตั้งใจ “มองให้เห็นคุณค่าแม้ในโชคร้าย” เช่น... ล้มเหลว = โอกาสฝึกความเข้มแข็ง เจอคนใส่ร้าย = โอกาสฝึกอดทน พิสูจน์ด้วยกาลเวลา เจอคนไม่จริงใจ = ฝึกวางใจแบบรู้เท่าทัน เลิกคบ = ปล่อยคืนสิ่งที่ไม่ใช่ของเราให้ธรรมชาติ --- พูดดีได้…เมื่อใจเริ่มหายฟุ้งซ่าน คนที่พูดแล้วเย็นใจ คือคนที่เริ่มคิดอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านสั่งชีวิต เพราะรู้ว่าแค่ “คิดเยอะจนเหนื่อย” ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ทำให้พลังชีวิตรั่วไหลไปเฉยๆ จิตที่สงบ = พลังคำพูดที่ปลอบใจคนได้ จิตที่ฟุ้ง = คำพูดที่เผาใจตัวเองและคนอื่น --- อยากโชคดี...ไม่ต้องรอวาสนา แค่พูดให้ถูกทาง! ถ้าฝึกจนพูดดีได้เป็นธรรมชาติ คุณจะรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดพลังบุญ คุ้มกันให้ไม่ตกเหวง่ายๆ แม้วิบากร้ายจะมาเคาะประตูทุกวัน > จำไว้ว่าคำพูดของคุณ ไม่ได้แค่ส่งเสียงออกไป แต่มันกำลัง “จัดชะตา” ให้คุณอยู่ทุกลมหายใจ --- เลือกพูดแบบมีสติ = เลือกชีวิตที่มีแสง! อย่าเผลอพูดมืดๆ แล้วเรียกความมืดมาครองโลกในใจอีกเลยครับ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ใช้หลักธรรมะ” สานต่อพลังธรรม รุ่น 3

    วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ สถานปฏิบัติธรรมบ้านธรรมะชาติ อ.วังน้ำเขียว #นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก อบจ.นครราชสีมา เป็นประธานเปิดการอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมเพื่อคุณภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพชีวิตบุคลากรในสังกัด รุ่นที่ 3 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร อบจ. นำหลักธรรมคำสอน ตามหลักพุทธศาสนาไปสู่การปฏิบัติตนที่ถูกต้อง สามารถปรับใช้ในการปฏิบัติงาน พัฒนาจิตใจด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    “ใช้หลักธรรมะ” สานต่อพลังธรรม รุ่น 3 วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ สถานปฏิบัติธรรมบ้านธรรมะชาติ อ.วังน้ำเขียว #นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก อบจ.นครราชสีมา เป็นประธานเปิดการอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมเพื่อคุณภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพชีวิตบุคลากรในสังกัด รุ่นที่ 3 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร อบจ. นำหลักธรรมคำสอน ตามหลักพุทธศาสนาไปสู่การปฏิบัติตนที่ถูกต้อง สามารถปรับใช้ในการปฏิบัติงาน พัฒนาจิตใจด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อพ่อแม่พูดบั่นทอนใจ...เราจะรักษาใจอย่างไรดี?

    > ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดจากพ่อแม่ เช่น
    “เธอจะลำบากแน่”
    “เธอคงไม่มีอนาคต”
    “เธอจะไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หรอก”

    และคำพูดเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในใจคุณ
    จนทำให้เกิดความกังวล หวั่นไหว สะเทือนความเชื่อมั่น
    อย่าเพิ่งท้อครับ
    คุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ และคุณมีทางรอดที่งดงามกว่าโต้ตอบหรือหลบหนี

    ---

    1. หยุดคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องสมบูรณ์แบบเสมอ

    ในโลกนี้ พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่เพราะ “ตามสัญชาตญาณ”
    ไม่ใช่เพราะเข้าใจบทบาทหรือมีสัมมาทิฏฐิ
    พ่อแม่บางคนคาดหวังมากเกินไป บางคนพูดจากความกลัว
    หรือบางคนอาจไม่รู้เลยว่า “คำพูด” ของตัวเองทำร้ายลูกแค่ไหน

    ---

    2. เปลี่ยนจากความน้อยใจ → เป็นแรงใจให้เริ่มยกครอบครัวขึ้น

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    > “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง
    คือการช่วยให้ท่านมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)”

    หากเรารู้ธรรมะก่อนท่าน มีความเข้าใจถูกก่อนท่าน
    เรามีสิทธิ์เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณในครอบครัว
    ไม่ใช่เพราะท่านอ่อนแอ แต่เพราะเรา “มีกำลังใจจะเริ่มก่อน”

    ---

    3. หยุดดูถูกตัวเองว่าเป็น ‘เหยื่อ’ แล้วตั้งใจจะเป็น ‘ผู้เปลี่ยน’

    ทุกครั้งที่โดนคำพูดลบๆ ให้ย้อนมามองที่ใจ
    อย่าคิดแค่ “ทำไมพ่อแม่ถึงพูดแบบนี้กับเรา”
    แต่ให้ถามใหม่ว่า

    > “เราจะรักษาความดีในใจตัวเองไว้ได้ไหม?”
    “เราจะเป็นคนดับไฟด้วยน้ำเย็นได้หรือเปล่า?”

    อย่ารอให้เขาหยุดพูดก่อนถึงจะใจดี
    แต่ให้เริ่มใจดีก่อน แม้เขายังพูดไม่ดี

    ---

    4. สร้างใจให้สตรอง ด้วยธรรมะที่เป็นของจริงในใจ

    ไม่ต้องท่องศีลห้า ไม่ต้องท่องบทเมตตา
    แต่ ขอแค่มีธรรมะในใจจริงๆ
    คือ มีเจตนาจะไม่โต้ตอบด้วยโทสะ
    มีสติรู้ทันว่ากำลังจะโกรธ แล้วกลับมาสงบ
    มีเมตตาเพียงพอจะไม่ตอกกลับ

    ถ้าทำได้บ่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่มีสกิลสูงขึ้นเรื่อยๆ
    ในการรับมือกับไฟ ด้วยน้ำ

    ---

    5. จงภูมิใจในบทบาท “ผู้เริ่มต้น”

    แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่คุณคือคนที่ “เริ่มทำให้บ้านมีธรรมะ”
    คุณอาจจะยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนได้วันนี้
    แต่คุณกำลังสร้างคลื่นเล็กๆ ที่อาจเปลี่ยนทั้งครอบครัวในวันหน้า

    > เพราะคำพูดของพ่อแม่ ไม่ใช่คำทำนายชีวิตคุณ
    แต่ ใจของคุณต่างหาก ที่กำลังออกแบบชีวิตใหม่…ทุกวัน

    ---

    จงอย่ารอให้พ่อแม่เปลี่ยนก่อน
    แต่ให้ตัวคุณเป็นแสงแรกที่เริ่มสว่าง…เพื่อทั้งตัวคุณ และเขา

    เมื่อพ่อแม่พูดบั่นทอนใจ...เราจะรักษาใจอย่างไรดี? > ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดจากพ่อแม่ เช่น “เธอจะลำบากแน่” “เธอคงไม่มีอนาคต” “เธอจะไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หรอก” และคำพูดเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในใจคุณ จนทำให้เกิดความกังวล หวั่นไหว สะเทือนความเชื่อมั่น อย่าเพิ่งท้อครับ คุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ และคุณมีทางรอดที่งดงามกว่าโต้ตอบหรือหลบหนี --- 1. หยุดคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องสมบูรณ์แบบเสมอ ในโลกนี้ พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่เพราะ “ตามสัญชาตญาณ” ไม่ใช่เพราะเข้าใจบทบาทหรือมีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่บางคนคาดหวังมากเกินไป บางคนพูดจากความกลัว หรือบางคนอาจไม่รู้เลยว่า “คำพูด” ของตัวเองทำร้ายลูกแค่ไหน --- 2. เปลี่ยนจากความน้อยใจ → เป็นแรงใจให้เริ่มยกครอบครัวขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า > “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง คือการช่วยให้ท่านมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)” หากเรารู้ธรรมะก่อนท่าน มีความเข้าใจถูกก่อนท่าน เรามีสิทธิ์เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณในครอบครัว ไม่ใช่เพราะท่านอ่อนแอ แต่เพราะเรา “มีกำลังใจจะเริ่มก่อน” --- 3. หยุดดูถูกตัวเองว่าเป็น ‘เหยื่อ’ แล้วตั้งใจจะเป็น ‘ผู้เปลี่ยน’ ทุกครั้งที่โดนคำพูดลบๆ ให้ย้อนมามองที่ใจ อย่าคิดแค่ “ทำไมพ่อแม่ถึงพูดแบบนี้กับเรา” แต่ให้ถามใหม่ว่า > “เราจะรักษาความดีในใจตัวเองไว้ได้ไหม?” “เราจะเป็นคนดับไฟด้วยน้ำเย็นได้หรือเปล่า?” อย่ารอให้เขาหยุดพูดก่อนถึงจะใจดี แต่ให้เริ่มใจดีก่อน แม้เขายังพูดไม่ดี --- 4. สร้างใจให้สตรอง ด้วยธรรมะที่เป็นของจริงในใจ ไม่ต้องท่องศีลห้า ไม่ต้องท่องบทเมตตา แต่ ขอแค่มีธรรมะในใจจริงๆ คือ มีเจตนาจะไม่โต้ตอบด้วยโทสะ มีสติรู้ทันว่ากำลังจะโกรธ แล้วกลับมาสงบ มีเมตตาเพียงพอจะไม่ตอกกลับ ถ้าทำได้บ่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่มีสกิลสูงขึ้นเรื่อยๆ ในการรับมือกับไฟ ด้วยน้ำ --- 5. จงภูมิใจในบทบาท “ผู้เริ่มต้น” แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่คุณคือคนที่ “เริ่มทำให้บ้านมีธรรมะ” คุณอาจจะยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนได้วันนี้ แต่คุณกำลังสร้างคลื่นเล็กๆ ที่อาจเปลี่ยนทั้งครอบครัวในวันหน้า > เพราะคำพูดของพ่อแม่ ไม่ใช่คำทำนายชีวิตคุณ แต่ ใจของคุณต่างหาก ที่กำลังออกแบบชีวิตใหม่…ทุกวัน --- จงอย่ารอให้พ่อแม่เปลี่ยนก่อน แต่ให้ตัวคุณเป็นแสงแรกที่เริ่มสว่าง…เพื่อทั้งตัวคุณ และเขา —
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 624
    ชื่อบทธรรม :- อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    --ภิกษุ ท. !
    ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว
    ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ;
    ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ;
    เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย ;
    ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
    อันเป็นธรรมที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ด้วย.
    --ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้วซึ่งความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ.
    +--เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ ;
    นันทิ ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป.
    เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ;
    http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=นนฺทิ
    เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ;
    เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ;
    เพราะมีความดับแห่งชาติ,
    ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น.
    #ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    (ในกรณีแห่ง การได้ยินเสียงด้วยหู รู้สึกกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น
    ถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวกาย และ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ
    ก็ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน
    ).
    --ภิกษุ ท. ! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่เป็นธรรมทำความหลุดพ้น
    เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา ซึ่งเรากล่าวไว้โดยสังเขป.-

    (เกี่ยวกับเรื่องการทำความหลุดพ้นเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาซึ่งตรัสไว้โดยสังเขปดังตรัส ในสูตรข้างบนนี้
    ในสูตรอื่น
    [อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -มู. ม. ๑๒/๔๗๐/๔๓๙ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/12/470/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -สตฺตก.อํ. ๒๓/๙๐/๕๘
    http://etipitaka.com/read/pali/23/90/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%98 ]​
    ได้ตรัสไว้ว่า
    +--ภิกษุ ที่ได้สดับแล้วว่า
    สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ชื่อว่ารู้ยิ่งธรรมทั้งปวงรอบรู้ธรรมทั้งปวง เสวยเวทนาใด ๆ
    เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง ความจางคลาย ความดับ ความสลัดคืนในเวทนานั้น ๆ ประจำ
    ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใด ๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดเสียว ปรินิพพานเฉพาะตน, ดังนี้ก็มี
    ).

    #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/347/458.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/347/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=624
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43
    ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ สัทธรรมลำดับที่ : 624 ชื่อบทธรรม :- อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ; ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ; เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย ; ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็นธรรมที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ด้วย. --ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้วซึ่งความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ. +--เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ ; นันทิ ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป. เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=นนฺทิ เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น. #ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่ง การได้ยินเสียงด้วยหู รู้สึกกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวกาย และ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน ). --ภิกษุ ท. ! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่เป็นธรรมทำความหลุดพ้น เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา ซึ่งเรากล่าวไว้โดยสังเขป.- (เกี่ยวกับเรื่องการทำความหลุดพ้นเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาซึ่งตรัสไว้โดยสังเขปดังตรัส ในสูตรข้างบนนี้ ในสูตรอื่น [อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -มู. ม. ๑๒/๔๗๐/๔๓๙ ; http://etipitaka.com/read/pali/12/470/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%93%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -สตฺตก.อํ. ๒๓/๙๐/๕๘ http://etipitaka.com/read/pali/23/90/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%98 ]​ ได้ตรัสไว้ว่า +--ภิกษุ ที่ได้สดับแล้วว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ชื่อว่ารู้ยิ่งธรรมทั้งปวงรอบรู้ธรรมทั้งปวง เสวยเวทนาใด ๆ เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง ความจางคลาย ความดับ ความสลัดคืนในเวทนานั้น ๆ ประจำ ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใด ๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดเสียว ปรินิพพานเฉพาะตน, ดังนี้ก็มี ). #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/347/458. http://etipitaka.com/read/thai/12/347/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/494/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=624 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43&id=624 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=43 ลำดับสาธยายธรรม : 43 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_43.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ
    -อาการดับแห่งตัณหาในนามแห่งนันทิ ภิกษุ ท. ! .... ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ; ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปอันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความเกลียดชัง ; เป็นผู้อยู่ด้วยสติเป็นไปในกายอันตนเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตหาประมาณมิได้ด้วย ; ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็นธรรมที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ด้วย. ภิกษุนั้น เป็นผู้ละเสียได้แล้วซึ่งความยินดีและความยินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาใด ๆ อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขก็ตาม ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ. เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ในเวทนานั้น ๆ ; นันทิ ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดับไป. เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น. ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่ง การได้ยินเสียงด้วยหู รู้สึกกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วยผิวกาย และ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน). ภิกษุ ท. ! เธอจงทรงธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่เป็นธรรมทำความหลุดพ้น เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา ซึ่งเรากล่าวไว้โดยสังเขป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อ.ไชยันต์' ยกธรรมะนิยามความเมตตา สรุปใช้ไม่ได้กับ 'ทักษิณ'
    https://www.thai-tai.tv/news/18627/
    'อ.ไชยันต์' ยกธรรมะนิยามความเมตตา สรุปใช้ไม่ได้กับ 'ทักษิณ' https://www.thai-tai.tv/news/18627/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กรรมเก่าบีบคั้น…กรรมใหม่คือคำตอบ”

    โลกวิทยาศาสตร์วันนี้
    เริ่มเห็นว่าแม้แต่ DNA ก็อาจกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า
    – คุณจะหน้าตาอย่างไร
    – มีแนวโน้มจะเป็นโรคไหน
    – อุบัติเหตุหรืออายุขัยจะสิ้นสุดเมื่อใด

    แต่ในทางพุทธ
    สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ผลของกรรมเก่า”
    คือแรงบีบคั้นที่ถูกออกแบบไว้จากปางก่อน
    ว่าชาตินี้คุณจะ “เจออะไร”
    ไม่ใช่เพราะบังเอิญ
    แต่เพราะมัน เหมาะสมแล้ว กับสิ่งที่คุณเคยทำไว้

    ---

    กรรมเก่าบีบคั้น – กรรมใหม่คือทางเลือก

    สิ่งที่คุณประสบ — คือกรรมเก่า
    แต่สิ่งที่คุณจะ “ตอบโต้กลับไป” — คือกรรมใหม่

    เมื่อกรรมเก่าทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก
    คุณมีสิทธิ์เลือกว่าจะ...

    – โต้ตอบด้วยโทสะ = สร้างกรรมลบซ้ำ
    – โต้ตอบด้วยเมตตา = สร้างกรรมบวกใหม่

    คุณไม่มีทางรู้ว่าใครคือศัตรูจากอดีตชาติ
    แต่คุณรู้แน่ว่า “ตัวคุณวันนี้”
    เลือกจะปล่อยมือ หรือจะขว้างกลับได้ทุกเมื่อ

    ---

    ชีวิตคือเกมที่แรงบีบคั้นรอบด้าน

    คุณไม่ได้เลือกเกิด
    แต่คุณเลือกได้ว่าจะ “ถือศีล” หรือ “ปล่อยตามกิเลส”
    การถือศีล คือการ “ทวนกระแสกรรม”
    – เจ็บแต่ไม่เอาคืน
    – ทุกข์แต่ไม่โกรธ
    – เหนื่อยแต่ไม่ยอมเลว

    ศีลเป็นเรื่อง “ผิดธรรมชาติ” ของจิตมีกิเลส
    แต่มันคือทางเดียวที่จะ เปลี่ยนแผนกรรมเดิมให้ดีขึ้นได้จริง

    ---

    มนุษย์…มีเวลาพอให้พยายาม

    ไม่มีใครถูกกำหนดให้ “เลวตลอดไป”
    แม้กรรมเก่าจะจัดฉากมาเต็ม
    แต่คุณยังมี ช่วงว่างระหว่างเหตุและผล
    ให้สติสอดแทรก
    เพื่อเปลี่ยนการตอบสนองจาก กรรมซ้ำ
    เป็น กรรมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

    ---

    บทสรุปธรรมะข้ามภพ

    > ถ้าอยากชนะเกมกรรม
    ต้องมีใจเหนือแรงบีบคั้น
    และเลือก “อยู่ข้างตัวเอง”
    มากกว่าเข้าข้างแรงดึงดูดของกิเลส
    “กรรมเก่าบีบคั้น…กรรมใหม่คือคำตอบ” โลกวิทยาศาสตร์วันนี้ เริ่มเห็นว่าแม้แต่ DNA ก็อาจกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า – คุณจะหน้าตาอย่างไร – มีแนวโน้มจะเป็นโรคไหน – อุบัติเหตุหรืออายุขัยจะสิ้นสุดเมื่อใด แต่ในทางพุทธ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ผลของกรรมเก่า” คือแรงบีบคั้นที่ถูกออกแบบไว้จากปางก่อน ว่าชาตินี้คุณจะ “เจออะไร” ไม่ใช่เพราะบังเอิญ แต่เพราะมัน เหมาะสมแล้ว กับสิ่งที่คุณเคยทำไว้ --- กรรมเก่าบีบคั้น – กรรมใหม่คือทางเลือก สิ่งที่คุณประสบ — คือกรรมเก่า แต่สิ่งที่คุณจะ “ตอบโต้กลับไป” — คือกรรมใหม่ เมื่อกรรมเก่าทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก คุณมีสิทธิ์เลือกว่าจะ... – โต้ตอบด้วยโทสะ = สร้างกรรมลบซ้ำ – โต้ตอบด้วยเมตตา = สร้างกรรมบวกใหม่ คุณไม่มีทางรู้ว่าใครคือศัตรูจากอดีตชาติ แต่คุณรู้แน่ว่า “ตัวคุณวันนี้” เลือกจะปล่อยมือ หรือจะขว้างกลับได้ทุกเมื่อ --- ชีวิตคือเกมที่แรงบีบคั้นรอบด้าน คุณไม่ได้เลือกเกิด แต่คุณเลือกได้ว่าจะ “ถือศีล” หรือ “ปล่อยตามกิเลส” การถือศีล คือการ “ทวนกระแสกรรม” – เจ็บแต่ไม่เอาคืน – ทุกข์แต่ไม่โกรธ – เหนื่อยแต่ไม่ยอมเลว ศีลเป็นเรื่อง “ผิดธรรมชาติ” ของจิตมีกิเลส แต่มันคือทางเดียวที่จะ เปลี่ยนแผนกรรมเดิมให้ดีขึ้นได้จริง --- มนุษย์…มีเวลาพอให้พยายาม ไม่มีใครถูกกำหนดให้ “เลวตลอดไป” แม้กรรมเก่าจะจัดฉากมาเต็ม แต่คุณยังมี ช่วงว่างระหว่างเหตุและผล ให้สติสอดแทรก เพื่อเปลี่ยนการตอบสนองจาก กรรมซ้ำ เป็น กรรมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม --- บทสรุปธรรมะข้ามภพ > ถ้าอยากชนะเกมกรรม ต้องมีใจเหนือแรงบีบคั้น และเลือก “อยู่ข้างตัวเอง” มากกว่าเข้าข้างแรงดึงดูดของกิเลส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อคำพูดไม่มีประโยชน์…จงใช้ความเงียบที่มีเมตตา”

    แม้เราจะรักและผูกพันกันแค่ไหน
    แต่ถ้าใจอยู่คนละฝั่งจริงๆ
    แค่คุยกันก็เหนื่อยแล้ว
    เพราะคำพูดทั้งหมดจะกลายเป็นเสียงเบาๆ ที่ลอยผ่านไป
    ไม่มีวันแตะใจอีกฝ่ายได้เลย

    ---

    ญาติที่รัก แต่ “ไม่ฟัง” คือบททดสอบระดับสูง

    โดยเฉพาะเมื่อเป็นญาติผู้ใหญ่
    ที่พร้อมจะโกรธโดยไม่รอฟัง
    ที่หงุดหงิดง่าย ดุดันเร็ว
    คุณจะรู้สึกเหมือน “ถูกจับสอบกลางสนามไฟ”
    ไม่ว่าคุณจะอธิบายดีแค่ไหน…ก็เหมือนเทน้ำใส่หินร้อน

    แต่จงจำไว้ให้แม่น —
    “ไฟจะดับด้วยไฟไม่ได้ ต้องดับด้วยน้ำ”
    และน้ำในธรรมะก็คือ
    ความสงบ ความเงียบ และความเมตตา

    ---

    ถ้อยคำแห่งเหตุผล…อาจไร้ค่าทันทีเมื่อใจต่างกัน

    ใจที่ติดสี ติดข้าง ติดอัตตา
    จะไม่เปิดรับเหตุผลจากฝั่งตรงข้าม
    ต่อให้คุณพูดเพราะ ใช้หลักวิชาเป๊ะ
    ก็เหมือนยิงลูกธนูใส่กำแพง
    ไม่ได้ทะลุใจใครเลย

    ---

    ทางออกไม่ใช่การชนะด้วยคำพูด แต่เป็น “การหยุดด้วยจิตที่สว่าง”

    หากคุณสงบนิ่งได้
    วางใจไว้ในความเงียบ
    แต่เป็นความเงียบที่มีสติ มีเมตตา มีความเย็น
    จิตของคุณจะกลายเป็นแรงสะเทือนที่ดี
    สะกิดอีกฝ่ายโดยที่คุณไม่ต้องเอ่ยอะไรเลย

    นั่นแหละคือ บุญที่แผ่ออกเป็น “พลังงานทางใจ”
    ละลายมุมแข็งๆ
    ของคนที่คุณเคารพและรักได้อย่างนุ่มนวล

    ---

    ศิลปะแห่ง “การหยุด – ถอย – รุก” ด้วยเมตตา

    คนที่มีธรรมะในใจ
    จะรู้ว่าเมื่อใดควรเงียบ
    เมื่อใดควรถอย
    เมื่อใดควรรุกอย่างอ่อนโยน
    และที่สุดของปฏิภาณ ไม่ใช่การเอาชนะ
    แต่คือการ ทำให้ทุกคน “ชนะร่วมกัน” โดยไม่มีใครแพ้เลย

    ---

    บทสรุปธรรมะที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ยาก

    > ถ้าจิตของคุณมีเมตตา และไม่เจือโทสะแม้แต่นิดเดียว
    – เมื่อคิด จะเป็นบุญ
    – เมื่อพูด จะเป็นบุญ
    – เมื่อทำ จะเป็นบุญ

    และ บุญนั้นเองจะเปิดทางให้คุณอย่างเหลือเชื่อ
    ช่วยให้สถานการณ์ร้ายคลี่คลาย
    ด้วยความอ่อนโยน ที่แข็งแกร่งกว่าอารมณ์ใดในโลก
    “เมื่อคำพูดไม่มีประโยชน์…จงใช้ความเงียบที่มีเมตตา” แม้เราจะรักและผูกพันกันแค่ไหน แต่ถ้าใจอยู่คนละฝั่งจริงๆ แค่คุยกันก็เหนื่อยแล้ว เพราะคำพูดทั้งหมดจะกลายเป็นเสียงเบาๆ ที่ลอยผ่านไป ไม่มีวันแตะใจอีกฝ่ายได้เลย --- ญาติที่รัก แต่ “ไม่ฟัง” คือบททดสอบระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อเป็นญาติผู้ใหญ่ ที่พร้อมจะโกรธโดยไม่รอฟัง ที่หงุดหงิดง่าย ดุดันเร็ว คุณจะรู้สึกเหมือน “ถูกจับสอบกลางสนามไฟ” ไม่ว่าคุณจะอธิบายดีแค่ไหน…ก็เหมือนเทน้ำใส่หินร้อน แต่จงจำไว้ให้แม่น — “ไฟจะดับด้วยไฟไม่ได้ ต้องดับด้วยน้ำ” และน้ำในธรรมะก็คือ ความสงบ ความเงียบ และความเมตตา --- ถ้อยคำแห่งเหตุผล…อาจไร้ค่าทันทีเมื่อใจต่างกัน ใจที่ติดสี ติดข้าง ติดอัตตา จะไม่เปิดรับเหตุผลจากฝั่งตรงข้าม ต่อให้คุณพูดเพราะ ใช้หลักวิชาเป๊ะ ก็เหมือนยิงลูกธนูใส่กำแพง ไม่ได้ทะลุใจใครเลย --- ทางออกไม่ใช่การชนะด้วยคำพูด แต่เป็น “การหยุดด้วยจิตที่สว่าง” หากคุณสงบนิ่งได้ วางใจไว้ในความเงียบ แต่เป็นความเงียบที่มีสติ มีเมตตา มีความเย็น จิตของคุณจะกลายเป็นแรงสะเทือนที่ดี สะกิดอีกฝ่ายโดยที่คุณไม่ต้องเอ่ยอะไรเลย นั่นแหละคือ บุญที่แผ่ออกเป็น “พลังงานทางใจ” ละลายมุมแข็งๆ ของคนที่คุณเคารพและรักได้อย่างนุ่มนวล --- ศิลปะแห่ง “การหยุด – ถอย – รุก” ด้วยเมตตา คนที่มีธรรมะในใจ จะรู้ว่าเมื่อใดควรเงียบ เมื่อใดควรถอย เมื่อใดควรรุกอย่างอ่อนโยน และที่สุดของปฏิภาณ ไม่ใช่การเอาชนะ แต่คือการ ทำให้ทุกคน “ชนะร่วมกัน” โดยไม่มีใครแพ้เลย --- บทสรุปธรรมะที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ยาก > ถ้าจิตของคุณมีเมตตา และไม่เจือโทสะแม้แต่นิดเดียว – เมื่อคิด จะเป็นบุญ – เมื่อพูด จะเป็นบุญ – เมื่อทำ จะเป็นบุญ และ บุญนั้นเองจะเปิดทางให้คุณอย่างเหลือเชื่อ ช่วยให้สถานการณ์ร้ายคลี่คลาย ด้วยความอ่อนโยน ที่แข็งแกร่งกว่าอารมณ์ใดในโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้อนมาก..รอฝนก็เงียบ มานึกองค์พระพุทธเจ้า เสด็จไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดีย ร้อนจัด หนทางก็ลำบาก องค์ท่านก็เสด็จไปสอนผู้คนให้พ้นทุกข์
    เราเองก็อดทน เพียรในการไหว้สวดมนต์ ภาวนา ตายจากโลกนี้ไปแบกเอาบุญกุศล ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    ร้อนมาก..รอฝนก็เงียบ มานึกองค์พระพุทธเจ้า เสด็จไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดีย ร้อนจัด หนทางก็ลำบาก องค์ท่านก็เสด็จไปสอนผู้คนให้พ้นทุกข์ เราเองก็อดทน เพียรในการไหว้สวดมนต์ ภาวนา ตายจากโลกนี้ไปแบกเอาบุญกุศล ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากเข้าใจ…สู่เข้าถึง”
    บทเรียนสำคัญของผู้เดินทางในทางธรรม

    ในเส้นทางแห่งการลดกิเลส ไม่มีใครข้ามจากศูนย์ไปถึงปลายทางได้ภายในวันเดียว

    ธรรมะจึงไม่ใช่สิ่งที่จะ “เชื่อไว้ก่อน” แล้วได้ผลทันที

    แต่เป็นสิ่งที่ต้อง เรียนรู้-เข้าใจ-เข้าถึง-และกลายเป็นทีละลมหายใจ ทีละขณะจิต อย่างชัดเจน

    ---

    พุทธิปัญญา มี 3 ระดับ

    1. ได้ยินรู้เรื่อง – เรียนจากครูบาอาจารย์ ฟังแล้วเข้าหัว

    2. เข้าใจอย่างมีเหตุผล – ใช้การคิดพิจารณา เห็นด้วยใจบางๆ

    3. เข้าถึงความจริงตรงหน้า – ไม่ใช่แค่คิด แต่จิตเห็นแจ้งเอง

    ---

    “เข้าใจ” – คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ

    ผู้ที่เพียง “เข้าใจ” ว่าชีวิตไม่มีอะไรเป็นของเรา
    รู้ว่าทุกข์มีเหตุ ทุกข์ดับได้
    รู้ว่ากายใจไม่เที่ยง ไม่ควรยึด
    แม้แค่นี้ ก็ถือว่าเริ่ม “ต่อยกิเลสให้ถลอก” ได้แล้ว

    ยามทุกข์ ก็น้อมจิตระลึกว่า

    > “มันผ่านมาแล้ว ก็แล้วไป”
    “ทุกข์แค่ช่วงกลางวัน กลางคืนก็หลุดได้”

    นี่คือการคิดปลอบใจตนด้วยธรรม
    แม้ยังไม่พ้น แต่ก็ไม่หลงฟูมฟายอีก
    นี่แหละ “การเข้าใจ” ที่ลดพลังของกิเลสลงได้ระดับหนึ่ง

    ---

    “เข้าถึง” – คือจุดที่กิเลสเริ่มแตกจริง

    แต่หากวันหนึ่ง เรา
    – ให้จิตเป็นทาน
    – วางใจไว้ในศีล
    – ตั้งจิตอยู่กับความสงบ
    – แล้ว “รู้ตามความจริง” อย่างเงียบๆ ไม่คิด ไม่แปล

    จิตจะเริ่มเห็นว่า...

    > “อารมณ์แย่ๆ เกิดขึ้นตรงลมหายใจไหน”
    “ความดี ความสงบ เข้ามาแทนที่ตรงลมหายใจไหน”
    “นี่คือตัวรู้ – และสิ่งอื่นล้วนเป็นสิ่งถูกรู้”

    เมื่อเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร
    เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของเรา
    อุปาทานจะถูกกะเทาะออก
    ไม่ใช่เพราะเชื่อครู หรือเพราะใช้เหตุผล
    แต่เพราะ “จิตเห็นเอง” อย่างประจักษ์

    ---

    **เมื่อ ‘รู้’ เกิดจากความว่าง

    นิพพานจึงอยู่ตรงนั้นเอง**

    ทุกครั้งที่เราเข้าถึงความจริงได้ด้วยใจที่สงบ
    นั่นคือการลดตัวตน ลดการยึด
    และทุกครั้งที่ไม่มีตัวตน
    จิตจะแตะนิพพานชั่วขณะ
    แม้เพียงวินาทีเดียว ก็มีค่ากว่ารู้โลกทั้งโลก

    ---

    บทสรุปของผู้ปฏิบัติธรรม

    > – ฟังธรรม = ใส่เชื้อดี
    – คิดธรรม = ประคบใจให้อบอุ่น
    – เห็นธรรม = เผากิเลสตรงหน้าได้จริง

    เมื่อปัญญาเดินทางจาก “เข้าใจ” สู่ “เข้าถึง”
    จะไม่ใช่แค่หัวที่เบา
    แต่คือ ใจที่เป็นอิสระจริงๆ
    จากสิ่งที่เคยครอบงำ…มาทั้งชีวิต
    “จากเข้าใจ…สู่เข้าถึง” บทเรียนสำคัญของผู้เดินทางในทางธรรม ในเส้นทางแห่งการลดกิเลส ไม่มีใครข้ามจากศูนย์ไปถึงปลายทางได้ภายในวันเดียว ธรรมะจึงไม่ใช่สิ่งที่จะ “เชื่อไว้ก่อน” แล้วได้ผลทันที แต่เป็นสิ่งที่ต้อง เรียนรู้-เข้าใจ-เข้าถึง-และกลายเป็นทีละลมหายใจ ทีละขณะจิต อย่างชัดเจน --- พุทธิปัญญา มี 3 ระดับ 1. ได้ยินรู้เรื่อง – เรียนจากครูบาอาจารย์ ฟังแล้วเข้าหัว 2. เข้าใจอย่างมีเหตุผล – ใช้การคิดพิจารณา เห็นด้วยใจบางๆ 3. เข้าถึงความจริงตรงหน้า – ไม่ใช่แค่คิด แต่จิตเห็นแจ้งเอง --- “เข้าใจ” – คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ผู้ที่เพียง “เข้าใจ” ว่าชีวิตไม่มีอะไรเป็นของเรา รู้ว่าทุกข์มีเหตุ ทุกข์ดับได้ รู้ว่ากายใจไม่เที่ยง ไม่ควรยึด แม้แค่นี้ ก็ถือว่าเริ่ม “ต่อยกิเลสให้ถลอก” ได้แล้ว ยามทุกข์ ก็น้อมจิตระลึกว่า > “มันผ่านมาแล้ว ก็แล้วไป” “ทุกข์แค่ช่วงกลางวัน กลางคืนก็หลุดได้” นี่คือการคิดปลอบใจตนด้วยธรรม แม้ยังไม่พ้น แต่ก็ไม่หลงฟูมฟายอีก นี่แหละ “การเข้าใจ” ที่ลดพลังของกิเลสลงได้ระดับหนึ่ง --- “เข้าถึง” – คือจุดที่กิเลสเริ่มแตกจริง แต่หากวันหนึ่ง เรา – ให้จิตเป็นทาน – วางใจไว้ในศีล – ตั้งจิตอยู่กับความสงบ – แล้ว “รู้ตามความจริง” อย่างเงียบๆ ไม่คิด ไม่แปล จิตจะเริ่มเห็นว่า... > “อารมณ์แย่ๆ เกิดขึ้นตรงลมหายใจไหน” “ความดี ความสงบ เข้ามาแทนที่ตรงลมหายใจไหน” “นี่คือตัวรู้ – และสิ่งอื่นล้วนเป็นสิ่งถูกรู้” เมื่อเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของเรา อุปาทานจะถูกกะเทาะออก ไม่ใช่เพราะเชื่อครู หรือเพราะใช้เหตุผล แต่เพราะ “จิตเห็นเอง” อย่างประจักษ์ --- **เมื่อ ‘รู้’ เกิดจากความว่าง นิพพานจึงอยู่ตรงนั้นเอง** ทุกครั้งที่เราเข้าถึงความจริงได้ด้วยใจที่สงบ นั่นคือการลดตัวตน ลดการยึด และทุกครั้งที่ไม่มีตัวตน จิตจะแตะนิพพานชั่วขณะ แม้เพียงวินาทีเดียว ก็มีค่ากว่ารู้โลกทั้งโลก --- บทสรุปของผู้ปฏิบัติธรรม > – ฟังธรรม = ใส่เชื้อดี – คิดธรรม = ประคบใจให้อบอุ่น – เห็นธรรม = เผากิเลสตรงหน้าได้จริง เมื่อปัญญาเดินทางจาก “เข้าใจ” สู่ “เข้าถึง” จะไม่ใช่แค่หัวที่เบา แต่คือ ใจที่เป็นอิสระจริงๆ จากสิ่งที่เคยครอบงำ…มาทั้งชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก**

    ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)**
    ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ):

    1. **มหาวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ
    - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์

    2. **ภิกขุนีวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ

    3. **มหาวรรค**
    - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม

    4. **จุลวรรค**
    - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน

    5. **ปริวาร**
    - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย

    ---

    ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)**
    รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya):

    1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว)
    - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร

    2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง)
    - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร

    3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง)
    - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์

    4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม)
    - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2)

    5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ)
    - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น
    - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ)
    - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า)
    - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์)

    ---

    ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)**
    ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์:

    1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม)
    2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม)
    3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18)
    4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล)
    5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม)
    6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน)
    7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24)

    ---

    ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ**
    - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์
    - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4)
    - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน)

    พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก

    หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก** ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)** ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ): 1. **มหาวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์ 2. **ภิกขุนีวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ 3. **มหาวรรค** - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม 4. **จุลวรรค** - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน 5. **ปริวาร** - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย --- ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)** รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya): 1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว) - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร 2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง) - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร 3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง) - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์ 4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม) - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2) 5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ) - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ) - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า) - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์) --- ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)** ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์: 1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม) 2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม) 3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18) 4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล) 5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม) 6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน) 7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24) --- ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ** - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์ - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4) - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน) พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ใจเสียที่สุด คือใจที่ไร้สติ”

    “รักษาใจดีไว้ คือการรักษาชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า”

    “สติฉายแสงเมื่อไร อเวจีในอกก็ดับลงทันที”

    “แม้ไม่เหลืออะไร แต่ถ้ายังมีใจดีอยู่ นั่นคือทรัพย์แท้ของชีวิต”

    “ใจดีคือบ้านของธรรมะ และธรรมะคือเกราะป้องกันใจจากความพังทลาย”
    “ใจเสียที่สุด คือใจที่ไร้สติ” “รักษาใจดีไว้ คือการรักษาชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า” “สติฉายแสงเมื่อไร อเวจีในอกก็ดับลงทันที” “แม้ไม่เหลืออะไร แต่ถ้ายังมีใจดีอยู่ นั่นคือทรัพย์แท้ของชีวิต” “ใจดีคือบ้านของธรรมะ และธรรมะคือเกราะป้องกันใจจากความพังทลาย”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน

    1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง

    > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ

    เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ

    และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง”

    ---

    2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง

    > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย

    เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว

    เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง”

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที

    “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง”

    “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา”

    “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่”

    “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก”

    ---
    ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน 1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร > ธรรมะสำคัญ: “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง” --- 2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน > ธรรมะสำคัญ: “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง” --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง” “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา” “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่” “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก” ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต"

    ---

    1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ

    > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต"

    บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น

    แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น"

    ---

    2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน

    ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ:

    สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง

    มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง

    เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด

    ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”:

    อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง

    และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต

    > ธรรมะสำคัญ:
    "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข"

    ---

    3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ?

    ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน"

    บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น"

    ---

    4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต

    ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง

    ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด

    ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว"

    ---

    5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้

    บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ

    การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว

    ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ

    ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที

    "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น"

    "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน"

    "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด"

    "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ"

    "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ"

    ---
    นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต" --- 1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต" บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ > ธรรมะสำคัญ: "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น" --- 2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ: สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”: อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต > ธรรมะสำคัญ: "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข" --- 3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ? ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน" บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง > ธรรมะสำคัญ: "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น" --- 4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง > ธรรมะสำคัญ: "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว" --- 5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้ บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต --- ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น" "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน" "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด" "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ" "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ" ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล**

    ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด

    ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม**
    วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า:
    "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!"

    สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..."

    นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!"

    แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร

    ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า**
    เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม:

    "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..."

    นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย

    นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน

    ### **การเปลี่ยนแปลง**
    หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน

    สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..."

    นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!"

    ### **บทเรียนที่ได้**
    เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ

    และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน!

    *(จบ)*

    > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล** ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม** วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า: "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!" สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..." นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!" แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า** เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม: "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..." นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน ### **การเปลี่ยนแปลง** หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..." นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!" ### **บทเรียนที่ได้** เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน! *(จบ)* > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง “การชอบคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน” ซึ่งเป็นหัวข้อที่ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกธรรมดาในใจคน กับการเสี่ยงต่อการก่อกรรมที่ร้ายแรงหากไม่รู้เท่าทัน

    ---

    1. คำถาม "ผิดไหม" อาจไม่ใช่คำถามที่ดีที่สุด

    > "การตั้งโจทย์ที่ถูกต้อง คือถามว่า ‘มันล่อแหลมต่อการผิดหรือเปล่า?’"

    เพราะบางอย่าง แม้ยังไม่ผิดตอนนี้ แต่ เปิดทางให้กิเลสโต และนำไปสู่การผิดศีลได้ในที่สุด

    ที่สำคัญมากคือ กิเลสโดยเฉพาะ ราคะ มีลักษณะไหลลึก ลื่นไถล และตบตาจิตใจให้ประมาทง่ายกว่ากิเลสอื่นๆ

    > ธรรมะสำคัญ:
    "อย่าใช้แค่กฎเกณฑ์ภายนอกตัดสิน ให้ดูแรงไหลของใจด้วย"

    ---

    2. รักหรือชอบที่ยังไม่ผิด แต่ "ล่อแหลม" คือภัยเงียบ

    ความชอบในใจแม้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากปล่อยให้ พูดบ่อย คุยบ่อย คิดบ่อย จิตจะตกลงไปในห้วงหลงโดยไม่รู้ตัว

    จุดที่หลายคนพลาดคือ การอนุโลมเล็กๆ ที่สะสมเป็นไฟเผาใจในที่สุด

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ต้นทางที่คิดว่าไม่ผิด คือกับดักที่เปิดทางสู่ความผิดในอนาคต"

    ---

    3. วิธีปฏิบัติที่ชัดเจน: ห้ามกาย ห้ามวาจา แม้ใจยังไม่ห้ามได้

    > “แม้ห้ามใจไม่ได้ ก็ต้องห้ามกายกับปากให้ได้ก่อน”

    ทางกาย: ไม่แตะต้อง ไม่หาข้ออ้างไปพบปะ

    ทางวาจา: ไม่พูด หรือไม่สื่อสารด้วยถ้อยคำที่เหนี่ยวนำให้ผูกพัน

    การห้ามกายห้ามวาจาคือ การถือศีลเบื้องต้น ที่หยุดไม่ให้กิเลสระบาดออกนอก

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ห้ามกายวาจาได้ คือป้องกันจิตจากการแตกพ่ายหนักขึ้น"

    ---

    4. วิธีทำให้จิตฉลาดขึ้น: หมั่นถามตัวเองด้วยคำถามสั้นๆ

    > “ความรู้สึกผิด เป็นสุขหรือเป็นทุกข์?”

    การถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เช่น

    ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ใจโปร่งเบา หรือหน่วงหนัก?

    ถ้าเดินต่อ จะได้บุญหรือได้บาป?

    จิตจะค่อยๆ คิดเป็นเองได้ และรู้ทันตัวเองเร็วขึ้น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ตั้งคำถามถูก จิตจะตอบตัวเองได้โดยไม่ต้องบังคับ"

    ---

    5. เคล็ดสำคัญ: ต้อง “หักดิบ” ตั้งแต่ต้นลม

    > “ศีลข้อ ๓ ต้องหักดิบตั้งแต่ยังไม่สาย”

    ถ้าปล่อยให้มีเยื่อใยแม้นิดเดียว จิตจะสร้างเรื่องขยายกิเลสให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ที่รอดปลอดภัยจากกรรมหนัก คือผู้ที่ “ใจเด็ด” ไม่ปล่อยให้กิเลสมีโอกาสโตตั้งแต่ต้น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ปล่อยต้นลมไม่ได้ ถ้าไม่อยากตกเหวตอนปลายทาง"

    ---

    สรุปใจกลางธรรมะ

    อย่าแค่ถามว่า "ผิดไหม" แต่ถามว่า "ล่อแหลมหรือไม่?"

    ความชอบที่ไม่ดูแล จะกลายเป็นไฟเผาตัว

    แม้ห้ามใจไม่ได้ แต่ต้องห้ามกายกับวาจาให้ได้

    ฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ด้วยการถามหาความสุขแท้จริงในใจ

    การหักดิบตั้งแต่ต้น คือเกราะป้องกันกรรมหนักได้ดีที่สุด

    ---

    ธรรมะสั้นใช้ต่อยอดได้ทันที

    "รักเขาไม่ผิด แต่หลงเขาเกินขอบเขต คือทางสู่กรรม"

    "ต้นลมที่ไม่ห้าม คือพายุใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า"

    "ห้ามกาย วาจา คือป้องกันใจได้ในวันข้างหน้า"

    "ถามใจเสมอ: สิ่งนี้พาใจไปเบาหรือไปหนัก?"

    "หักดิบความล่อแหลมวันนี้ เพื่อไม่ต้องร้องไห้ในวันพรุ่งนี้"

    ---
    เรื่อง “การชอบคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน” ซึ่งเป็นหัวข้อที่ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกธรรมดาในใจคน กับการเสี่ยงต่อการก่อกรรมที่ร้ายแรงหากไม่รู้เท่าทัน --- 1. คำถาม "ผิดไหม" อาจไม่ใช่คำถามที่ดีที่สุด > "การตั้งโจทย์ที่ถูกต้อง คือถามว่า ‘มันล่อแหลมต่อการผิดหรือเปล่า?’" เพราะบางอย่าง แม้ยังไม่ผิดตอนนี้ แต่ เปิดทางให้กิเลสโต และนำไปสู่การผิดศีลได้ในที่สุด ที่สำคัญมากคือ กิเลสโดยเฉพาะ ราคะ มีลักษณะไหลลึก ลื่นไถล และตบตาจิตใจให้ประมาทง่ายกว่ากิเลสอื่นๆ > ธรรมะสำคัญ: "อย่าใช้แค่กฎเกณฑ์ภายนอกตัดสิน ให้ดูแรงไหลของใจด้วย" --- 2. รักหรือชอบที่ยังไม่ผิด แต่ "ล่อแหลม" คือภัยเงียบ ความชอบในใจแม้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากปล่อยให้ พูดบ่อย คุยบ่อย คิดบ่อย จิตจะตกลงไปในห้วงหลงโดยไม่รู้ตัว จุดที่หลายคนพลาดคือ การอนุโลมเล็กๆ ที่สะสมเป็นไฟเผาใจในที่สุด > ธรรมะสำคัญ: "ต้นทางที่คิดว่าไม่ผิด คือกับดักที่เปิดทางสู่ความผิดในอนาคต" --- 3. วิธีปฏิบัติที่ชัดเจน: ห้ามกาย ห้ามวาจา แม้ใจยังไม่ห้ามได้ > “แม้ห้ามใจไม่ได้ ก็ต้องห้ามกายกับปากให้ได้ก่อน” ทางกาย: ไม่แตะต้อง ไม่หาข้ออ้างไปพบปะ ทางวาจา: ไม่พูด หรือไม่สื่อสารด้วยถ้อยคำที่เหนี่ยวนำให้ผูกพัน การห้ามกายห้ามวาจาคือ การถือศีลเบื้องต้น ที่หยุดไม่ให้กิเลสระบาดออกนอก > ธรรมะสำคัญ: "ห้ามกายวาจาได้ คือป้องกันจิตจากการแตกพ่ายหนักขึ้น" --- 4. วิธีทำให้จิตฉลาดขึ้น: หมั่นถามตัวเองด้วยคำถามสั้นๆ > “ความรู้สึกผิด เป็นสุขหรือเป็นทุกข์?” การถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เช่น ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ใจโปร่งเบา หรือหน่วงหนัก? ถ้าเดินต่อ จะได้บุญหรือได้บาป? จิตจะค่อยๆ คิดเป็นเองได้ และรู้ทันตัวเองเร็วขึ้น > ธรรมะสำคัญ: "ตั้งคำถามถูก จิตจะตอบตัวเองได้โดยไม่ต้องบังคับ" --- 5. เคล็ดสำคัญ: ต้อง “หักดิบ” ตั้งแต่ต้นลม > “ศีลข้อ ๓ ต้องหักดิบตั้งแต่ยังไม่สาย” ถ้าปล่อยให้มีเยื่อใยแม้นิดเดียว จิตจะสร้างเรื่องขยายกิเลสให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่รอดปลอดภัยจากกรรมหนัก คือผู้ที่ “ใจเด็ด” ไม่ปล่อยให้กิเลสมีโอกาสโตตั้งแต่ต้น > ธรรมะสำคัญ: "ปล่อยต้นลมไม่ได้ ถ้าไม่อยากตกเหวตอนปลายทาง" --- สรุปใจกลางธรรมะ อย่าแค่ถามว่า "ผิดไหม" แต่ถามว่า "ล่อแหลมหรือไม่?" ความชอบที่ไม่ดูแล จะกลายเป็นไฟเผาตัว แม้ห้ามใจไม่ได้ แต่ต้องห้ามกายกับวาจาให้ได้ ฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ด้วยการถามหาความสุขแท้จริงในใจ การหักดิบตั้งแต่ต้น คือเกราะป้องกันกรรมหนักได้ดีที่สุด --- ธรรมะสั้นใช้ต่อยอดได้ทันที "รักเขาไม่ผิด แต่หลงเขาเกินขอบเขต คือทางสู่กรรม" "ต้นลมที่ไม่ห้าม คือพายุใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า" "ห้ามกาย วาจา คือป้องกันใจได้ในวันข้างหน้า" "ถามใจเสมอ: สิ่งนี้พาใจไปเบาหรือไปหนัก?" "หักดิบความล่อแหลมวันนี้ เพื่อไม่ต้องร้องไห้ในวันพรุ่งนี้" ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..คนยุคน้ำหมากเราก็เหนื่อยเป็นนะ,จะมั่วแต่มาออกมาไล่มาชุมนุมประกาศความชั่วเลวเป็นตัวแทนความดีเหี้ยนี้ไม่นานหรอก,มันบ่งบอกถึงระบบมันชั่วเลวชัดเจนจึงควบคุมคนชั่วเลวไม่ได้จริง,ระบบปกครองล้มเหลวจนเดือดร้อนประชาชนตนดำๆทั่วประเทศต้องมาทวงคืนความเป็นธรรมแทนคนไทยร่วมกันแทน,ในขณะตัวแทนพวกกาเลทอกตั้งอวดอวยตนกราบไหว้ก่อนกาเลือกบอกว่าจะเป็นตัวแทนที่ดีเสือกกระทำชั่ว,คนในระบบแบบคนข้าราชการก็ไม่ทำอะไรสร้างดุลความยุติธรรม,มองตาปริบๆในวงราชการตนเองนั่งคาตำแหน่งอำนาจกระจายเต็มแผ่นดินไทยตั้งแต่ระดับผู้ว่า,นายอำเภอคนราชการท้องถิ่นซึ่งชัดเจนว่าอยุติธรรมเต็มแผ่นดินเพียงใดในปัญหาประจำท้องถิ่นตนแต่ล่ะที่ พบเจอค่าจริงมากมาย แต่หดเป็นเต่าไม่บอกความจริงประชาชนเลยก็คนราชการนี้ล่ะ,บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายเต็มประเทศระดับผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.รับรู้หมดล่ะ,อะไรไม่ดีก็ไม่คิดอ่านส่งเสริมให้ดี,อะไรดีก็ตัดตอนทำให้แย่,มันคือการปกครองแบบใด,บ่อนพนันเลวๆรู้ว่าชั่ว มีผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.กี่คนออกมาประกาศจุดยืนปกป้องประเทศให้พ้นอบายมุขในสิ่งชั่ว,นึกเล่นๆสิผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.ร่วมกันตีแผ่บอกค่าจริงที่เลวชั่วสาระพัดร่วมกัน ใครประชาชนที่ไหนจะมืดบอดอีก ตนในฐานะพ่อเมืองพ่อบ้านที่อวดอวยอ้างนักกลับไม่ออกมาสู้ อ้างผิดวิถีคนใต้ปกครองพะนะ ถ้าวิถีปกครองเหี้ยๆนี้ปิดปากให้อบายมุขสิ่งเลวชั่วเจริญรุ่งเรืองก็อย่ามีวิถีปกครองแบบนำพาประชาชนให้มืดบอดเลย บรรลุรู้เองพะนะ คงไม่จำเป็นต้องมีผู้ว่านายเภออบต.อบจ.ประดับแผ่นดินไทยสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศที่แม้ความชั่วเลวก็ออกมาสู้รบกับข้าศึกชั่วเลวนี้แบบเปิดเผยชี้บอกเลวชั่วต่อทหารตนไม่ได้ว่ารบกับข้าศึกทำไม สู้เพื่ออะไรในนานแม่ทัพนำหน้ารบ,เสือกหลบมืดใต้ดินที่เกรงกลัวข้าศึกศัตรูแต่พอเงินเดือนออกสวัสดิโบนัสมารีบเร่งเบิกเร่งรับโอนเต็มๆ มันใช้ไม่ได้นะ,เราต้องล้างทุบทำลายวิถีปกครองที่ส่งเสริมความชั่วเลวเถอะ,ตนถูกปล้นก็ไม่สู้กลับเอาคืน,ตนถูกหลอกก็ไม่บอกความจริงให้หายโง่ไม่พาคนตามโง่ไปด้วย ฉีกความโง่ทิ้ง,แบบฉีกสัญญาทาสฉีกกฎหมายเลวชั่วที่ปล้นบ่อน้ำมันเราไปแบบฉีกรัฐธรรมนูญที่ทหารยึดอำนาจแล้วทำเสียของมาก,ไม่เป็นประโยชน์จริงอะไรต่อการสร้างชาติ นึกว่าจะเอาวัตถุดิบสร้างชาติคืนทั้งหมดได้เช่นสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายทีีเอกชนต่างชาติผูกขาดไปและคนทรยศเอกชนไทยเองยึดเอาผูกขาดเอาไปก็ด้วยให้ตกเป็นของกลางสร้างชาติจริงในอนาคตต่อยอดสิ่งต่างๆมากมายต่อไป,กาก&กระจอกมาก,ฝีมือไม่ถึง,เสียเวลาและเสียของจนก่อปัญหาไม่จบสิ้นถึงปัจจุบัน,ปัญหาทั้งหมดคือพวกปกครองพวกได้อำนาจไปปกครองที่ไร้ฝีมือ นำพาประเทศสู่ความฉิบหายทั่วประเทศ เจริญแบบเป็นทาสขี้ข้าวัตถุต่างชาติ เขาทุบทำลายตนเมื่อใดก็ไร้ความเจริญเพราะเจริญแบบปลอมๆ,ไม่สร้างรากฐานความเจริญที่แท้จริงจากคนของแผ่นดินไทยตนก่อน,ทุกๆคนไทยเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ ยืนด้วยขาตนเองจริง ร่ำรวยทางวัตถุแม้ไม่มากแต่ความว่าสิ้นชาติไทยจะไม่มีบนแผ่นดินไทยต่อคนไทยเราทุกๆคนและพลิกสู่เจริญวัตถุธาตุร่ำรวยทั้งทางกายและจิตวิญญาณที่ดีงามฝ่ายเดียวด้วยคู่ขนานโลกยุคล้ำๆต่างๆปรับเข้าลงตัวต่อโลกได้อย่างสบาย.
    ..ปัจจุบันสมควรจบจริง ภาคนักการเมืองแบบนี้และแบบภาคก่อนคณะกบฎ2475ก็คงรับการปกครองแบบนั้นไม่ได้ในสไตล์ศักดินาขี้ข้าทาสไพร่รับใช้แบบนั้น,วิถีปกครองเราต้องธรรมาธิปไตยสไตล์ธรรมะฝ่ายกุศลธรรมนำหน้าจริงๆจึงพอก้าวต่อไปได้,ทุกๆคนไทยจะมีธรรมดีปกครองในใจใครมันบนจริตสันดานปรับปรุงตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆร่วมกันได้,ตรงข้ามทุกๆคนไทยขาดธรรมดี วุ่นวายทั้งชุมชนสังคมแบบในปัจจุบันนี้แน่นอน ทำร้ายกันแบบไร้สติคิดอ่านล่ะ,จึงต้องเคลียร์พื้นที่อย่างรวดเร็ว,ใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยต้องถีบออกจากประเทศไทยทั้งหมดทันที ความโกลาหลจากคนต่างบ้านต่างเมืองจะหมดไปจะเหลือแค่จัดการกันเองภายในล้วนๆ, นโยบายเร่งด่วนคือใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยกรุณาบินกลับประเทศตนเองทั้งหมดทันที,สนับสนุนส่งไปเกาะใดๆพักคนพวกนี้ได้,หรือติดต่อประเทศที่สามรับไปดูแลแทนแบบพวกสงครามพม่า,ไม่ใช่ภาระเราต้องแบกรับปัญหาที่บ้านเมืองมันเองก่อการกันเอง.แล้วมาสร้างความไม่สงบสุขแก่คนของแผ่นดินไทยในบ้านเมืองไทยเราด้วย,กิจการไหนเสียดายต่างด้าวกรุณาย้ายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานที่ประเทศต่างด้าวนั้นเลยบวกตัดเครดิตในภาครัฐทั้งหมดที่รัฐส่งเสริมสนับสนุนทิ้งทั้งหมด ข้อหาส่งเสริมต่างด้าวสร้างภัยความมั่นคงไม่สงบต่อชุมชนสังคมรอบกิจการโรงงานและคนไทยร่วมทั้งประเทศ,
    ..แม้ฝรั่งหรือคนต่างชาติใดๆจะอาศัยต่างด้าวสร้างเป็นมือที่สามหรือใดๆจะก่อการลำบากหรือยากหรือไม่ได้เป็นเพียงอาศัยคนทรยศคนไทยอย่างเดียวแล้วแค่นั้นหรือมันก่อการเองของต่างชาตินั้นๆ.ตัดตอนปัญหาสาระพัดเลยล่ะหรือหมอพยาบาลที่ดูแลต่างด้าวมากกว่าคนไทย งบมากมาย ทรัพยากรจำกัดหลากหลายที่ต่างชาติต่างด้าวนี้มาแย่งชิงการใช้ขณะดำรงชีวิตไม่ให้ตายในไทยจะลดลงมหาศาลเป็นจำนวนมากทันที,ฝ่ายการเมืองเลวชั่วจะใช้ต่างด้าวมาปั่นป่วนใดๆก็จบเกมส์ด้วย,ความสงบสุขมากมายที่ผิดปกติไปเพราะต่างชาติต่างด้าวนี้ล่ะคือตัวปัญหาซึ่งคนชั่วสามารถวางสนุ็คใช้ในแผนการต่างๆมันได้,กิจการที่อาศัยทาสแรงงานต่างด้าวค้ากำไรจะตายลงไป,คนกิจการจริงจะอาศัยสัมมาครอบครัวใครมันทำการค้าขายแต่พอดีตามกำลังแรงตนใครมันไม่เอาเปรียบกันก็ว่า,สัมมาอาชีพมากมายจะค้าขายกันพอดีกำลังไม่กอบโกยรวบเอามากองแต่หน้าตักตนเอง,แรงตนกับคนในครอบครัวปกติทำรายได้10-100ล้าน โลภอยากได้มากๆตัดสัมมาอาชีพคนอื่นที่สามารถทำได้ไปยึดผูกขาดทำเองหมดจนตังกว่าแสนล้านหรือล้านล้านบาทจากแรงงานต่างด้าวนำเข้าหรือใครคนอื่นแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้,ตนครอบครัวใครมันทำได้เท่าไรก็เอาแต่พอดี ปล่อยคนอื่นๆร่ำรวยมีสุขบ้างในแต่ละท้องที่ จรรโจงชุมชนสังคมทั่วไทย ยืนร่วมกันด้วยขาตนเองร่วมกันในสัมมาอาชีพต่างๆบนแผ่นดินไทยตน,ซึ่งปัจจุบันเหี้ยภายในไม่พอ ไปเชิญชวนต่างชาติมายึดครองแผ่นดินไทยตนด้วย,แล้วฉลาดอวดโง่ว่านำพานักลงทุนมาลงแดกเต็มประเทศไทยได้.,วิถีปกครองนี้เลวชั่วและคือภัยความมั่นคงของประเทศไทยเราอย่างชัดเจน.

    https://m.youtube.com/watch?v=9krnTyEP7pQ
    ..คนยุคน้ำหมากเราก็เหนื่อยเป็นนะ,จะมั่วแต่มาออกมาไล่มาชุมนุมประกาศความชั่วเลวเป็นตัวแทนความดีเหี้ยนี้ไม่นานหรอก,มันบ่งบอกถึงระบบมันชั่วเลวชัดเจนจึงควบคุมคนชั่วเลวไม่ได้จริง,ระบบปกครองล้มเหลวจนเดือดร้อนประชาชนตนดำๆทั่วประเทศต้องมาทวงคืนความเป็นธรรมแทนคนไทยร่วมกันแทน,ในขณะตัวแทนพวกกาเลทอกตั้งอวดอวยตนกราบไหว้ก่อนกาเลือกบอกว่าจะเป็นตัวแทนที่ดีเสือกกระทำชั่ว,คนในระบบแบบคนข้าราชการก็ไม่ทำอะไรสร้างดุลความยุติธรรม,มองตาปริบๆในวงราชการตนเองนั่งคาตำแหน่งอำนาจกระจายเต็มแผ่นดินไทยตั้งแต่ระดับผู้ว่า,นายอำเภอคนราชการท้องถิ่นซึ่งชัดเจนว่าอยุติธรรมเต็มแผ่นดินเพียงใดในปัญหาประจำท้องถิ่นตนแต่ล่ะที่ พบเจอค่าจริงมากมาย แต่หดเป็นเต่าไม่บอกความจริงประชาชนเลยก็คนราชการนี้ล่ะ,บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายเต็มประเทศระดับผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.รับรู้หมดล่ะ,อะไรไม่ดีก็ไม่คิดอ่านส่งเสริมให้ดี,อะไรดีก็ตัดตอนทำให้แย่,มันคือการปกครองแบบใด,บ่อนพนันเลวๆรู้ว่าชั่ว มีผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.กี่คนออกมาประกาศจุดยืนปกป้องประเทศให้พ้นอบายมุขในสิ่งชั่ว,นึกเล่นๆสิผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.ร่วมกันตีแผ่บอกค่าจริงที่เลวชั่วสาระพัดร่วมกัน ใครประชาชนที่ไหนจะมืดบอดอีก ตนในฐานะพ่อเมืองพ่อบ้านที่อวดอวยอ้างนักกลับไม่ออกมาสู้ อ้างผิดวิถีคนใต้ปกครองพะนะ ถ้าวิถีปกครองเหี้ยๆนี้ปิดปากให้อบายมุขสิ่งเลวชั่วเจริญรุ่งเรืองก็อย่ามีวิถีปกครองแบบนำพาประชาชนให้มืดบอดเลย บรรลุรู้เองพะนะ คงไม่จำเป็นต้องมีผู้ว่านายเภออบต.อบจ.ประดับแผ่นดินไทยสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศที่แม้ความชั่วเลวก็ออกมาสู้รบกับข้าศึกชั่วเลวนี้แบบเปิดเผยชี้บอกเลวชั่วต่อทหารตนไม่ได้ว่ารบกับข้าศึกทำไม สู้เพื่ออะไรในนานแม่ทัพนำหน้ารบ,เสือกหลบมืดใต้ดินที่เกรงกลัวข้าศึกศัตรูแต่พอเงินเดือนออกสวัสดิโบนัสมารีบเร่งเบิกเร่งรับโอนเต็มๆ มันใช้ไม่ได้นะ,เราต้องล้างทุบทำลายวิถีปกครองที่ส่งเสริมความชั่วเลวเถอะ,ตนถูกปล้นก็ไม่สู้กลับเอาคืน,ตนถูกหลอกก็ไม่บอกความจริงให้หายโง่ไม่พาคนตามโง่ไปด้วย ฉีกความโง่ทิ้ง,แบบฉีกสัญญาทาสฉีกกฎหมายเลวชั่วที่ปล้นบ่อน้ำมันเราไปแบบฉีกรัฐธรรมนูญที่ทหารยึดอำนาจแล้วทำเสียของมาก,ไม่เป็นประโยชน์จริงอะไรต่อการสร้างชาติ นึกว่าจะเอาวัตถุดิบสร้างชาติคืนทั้งหมดได้เช่นสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายทีีเอกชนต่างชาติผูกขาดไปและคนทรยศเอกชนไทยเองยึดเอาผูกขาดเอาไปก็ด้วยให้ตกเป็นของกลางสร้างชาติจริงในอนาคตต่อยอดสิ่งต่างๆมากมายต่อไป,กาก&กระจอกมาก,ฝีมือไม่ถึง,เสียเวลาและเสียของจนก่อปัญหาไม่จบสิ้นถึงปัจจุบัน,ปัญหาทั้งหมดคือพวกปกครองพวกได้อำนาจไปปกครองที่ไร้ฝีมือ นำพาประเทศสู่ความฉิบหายทั่วประเทศ เจริญแบบเป็นทาสขี้ข้าวัตถุต่างชาติ เขาทุบทำลายตนเมื่อใดก็ไร้ความเจริญเพราะเจริญแบบปลอมๆ,ไม่สร้างรากฐานความเจริญที่แท้จริงจากคนของแผ่นดินไทยตนก่อน,ทุกๆคนไทยเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ ยืนด้วยขาตนเองจริง ร่ำรวยทางวัตถุแม้ไม่มากแต่ความว่าสิ้นชาติไทยจะไม่มีบนแผ่นดินไทยต่อคนไทยเราทุกๆคนและพลิกสู่เจริญวัตถุธาตุร่ำรวยทั้งทางกายและจิตวิญญาณที่ดีงามฝ่ายเดียวด้วยคู่ขนานโลกยุคล้ำๆต่างๆปรับเข้าลงตัวต่อโลกได้อย่างสบาย. ..ปัจจุบันสมควรจบจริง ภาคนักการเมืองแบบนี้และแบบภาคก่อนคณะกบฎ2475ก็คงรับการปกครองแบบนั้นไม่ได้ในสไตล์ศักดินาขี้ข้าทาสไพร่รับใช้แบบนั้น,วิถีปกครองเราต้องธรรมาธิปไตยสไตล์ธรรมะฝ่ายกุศลธรรมนำหน้าจริงๆจึงพอก้าวต่อไปได้,ทุกๆคนไทยจะมีธรรมดีปกครองในใจใครมันบนจริตสันดานปรับปรุงตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆร่วมกันได้,ตรงข้ามทุกๆคนไทยขาดธรรมดี วุ่นวายทั้งชุมชนสังคมแบบในปัจจุบันนี้แน่นอน ทำร้ายกันแบบไร้สติคิดอ่านล่ะ,จึงต้องเคลียร์พื้นที่อย่างรวดเร็ว,ใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยต้องถีบออกจากประเทศไทยทั้งหมดทันที ความโกลาหลจากคนต่างบ้านต่างเมืองจะหมดไปจะเหลือแค่จัดการกันเองภายในล้วนๆ, นโยบายเร่งด่วนคือใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยกรุณาบินกลับประเทศตนเองทั้งหมดทันที,สนับสนุนส่งไปเกาะใดๆพักคนพวกนี้ได้,หรือติดต่อประเทศที่สามรับไปดูแลแทนแบบพวกสงครามพม่า,ไม่ใช่ภาระเราต้องแบกรับปัญหาที่บ้านเมืองมันเองก่อการกันเอง.แล้วมาสร้างความไม่สงบสุขแก่คนของแผ่นดินไทยในบ้านเมืองไทยเราด้วย,กิจการไหนเสียดายต่างด้าวกรุณาย้ายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานที่ประเทศต่างด้าวนั้นเลยบวกตัดเครดิตในภาครัฐทั้งหมดที่รัฐส่งเสริมสนับสนุนทิ้งทั้งหมด ข้อหาส่งเสริมต่างด้าวสร้างภัยความมั่นคงไม่สงบต่อชุมชนสังคมรอบกิจการโรงงานและคนไทยร่วมทั้งประเทศ, ..แม้ฝรั่งหรือคนต่างชาติใดๆจะอาศัยต่างด้าวสร้างเป็นมือที่สามหรือใดๆจะก่อการลำบากหรือยากหรือไม่ได้เป็นเพียงอาศัยคนทรยศคนไทยอย่างเดียวแล้วแค่นั้นหรือมันก่อการเองของต่างชาตินั้นๆ.ตัดตอนปัญหาสาระพัดเลยล่ะหรือหมอพยาบาลที่ดูแลต่างด้าวมากกว่าคนไทย งบมากมาย ทรัพยากรจำกัดหลากหลายที่ต่างชาติต่างด้าวนี้มาแย่งชิงการใช้ขณะดำรงชีวิตไม่ให้ตายในไทยจะลดลงมหาศาลเป็นจำนวนมากทันที,ฝ่ายการเมืองเลวชั่วจะใช้ต่างด้าวมาปั่นป่วนใดๆก็จบเกมส์ด้วย,ความสงบสุขมากมายที่ผิดปกติไปเพราะต่างชาติต่างด้าวนี้ล่ะคือตัวปัญหาซึ่งคนชั่วสามารถวางสนุ็คใช้ในแผนการต่างๆมันได้,กิจการที่อาศัยทาสแรงงานต่างด้าวค้ากำไรจะตายลงไป,คนกิจการจริงจะอาศัยสัมมาครอบครัวใครมันทำการค้าขายแต่พอดีตามกำลังแรงตนใครมันไม่เอาเปรียบกันก็ว่า,สัมมาอาชีพมากมายจะค้าขายกันพอดีกำลังไม่กอบโกยรวบเอามากองแต่หน้าตักตนเอง,แรงตนกับคนในครอบครัวปกติทำรายได้10-100ล้าน โลภอยากได้มากๆตัดสัมมาอาชีพคนอื่นที่สามารถทำได้ไปยึดผูกขาดทำเองหมดจนตังกว่าแสนล้านหรือล้านล้านบาทจากแรงงานต่างด้าวนำเข้าหรือใครคนอื่นแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้,ตนครอบครัวใครมันทำได้เท่าไรก็เอาแต่พอดี ปล่อยคนอื่นๆร่ำรวยมีสุขบ้างในแต่ละท้องที่ จรรโจงชุมชนสังคมทั่วไทย ยืนร่วมกันด้วยขาตนเองร่วมกันในสัมมาอาชีพต่างๆบนแผ่นดินไทยตน,ซึ่งปัจจุบันเหี้ยภายในไม่พอ ไปเชิญชวนต่างชาติมายึดครองแผ่นดินไทยตนด้วย,แล้วฉลาดอวดโง่ว่านำพานักลงทุนมาลงแดกเต็มประเทศไทยได้.,วิถีปกครองนี้เลวชั่วและคือภัยความมั่นคงของประเทศไทยเราอย่างชัดเจน. https://m.youtube.com/watch?v=9krnTyEP7pQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์

    ---

    1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง

    > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

    ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ”

    ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง"

    ---

    2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี”

    ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน

    ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก

    ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม

    การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง"

    ---

    3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น

    > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน”

    เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา

    จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา

    และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที"

    ---

    4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา

    > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน"

    คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม

    แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง

    เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้"

    ---

    สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้

    แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่

    ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง

    การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า

    เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์

    ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน

    "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด"

    "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง"

    "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง"

    "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม"

    "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ"

    ---
    “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์ --- 1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ” ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง" --- 2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี” ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง" --- 3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน” เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง > ธรรมะสำคัญ: "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที" --- 4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน" คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้" --- สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้ แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่ ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์ ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ --- ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด" "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง" "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง" "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม" "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ" ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ส่วนเกินของความเครียด” ซึ่งเป็นตัวถ่วงสำคัญที่ทำให้ปัญหาเล็กกลายเป็นภูเขา และทำให้ชีวิตหมุนวนในทุกข์โดยไม่จำเป็น

    ---

    1. จุดเริ่มของทุกข์คือ “เครียดก่อนคิด”

    > “ยังไม่ทันแก้ปัญหา แต่ใจด่วนตกอยู่ในความเครียด นี่คือทุกข์ส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์”

    ธรรมะประโยคนี้พาเรารู้ว่า

    เครียดไม่ใช่สิ่งผิดเสมอไป

    แต่ เครียดก่อนคิด = เครียดฟรี และสร้าง “ภาพหลอน” ให้ปัญหาดูหนักกว่าความเป็นจริง

    > ธรรมะสำคัญ:
    “คิดหนึ่ง แต่เครียดเก้า” = ใช้พลังงานจิตไปกับความฟุ้งซ่านแทนการแก้ไข

    ---

    2. ส่วนเกินอยู่ที่ไหน? เริ่มหาจากกายก่อนใจ

    > “ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หัวคิ้ว คือจุดสังเกต ‘กายสะท้อนใจ’ อย่างชัดเจน”

    หลักเจริญสติ:

    สังเกตอาการทางกาย เช่น ขมวดคิ้ว กำมือ เกร็งเท้า

    คือร่องรอยของ อารมณ์ที่ยังไม่รู้ตัว

    > การ “รู้” แล้ว “คลาย” คือการ ตัดตอนพลังลบทางกายและใจ
    เหมือนปลดเบรกมือออกก่อนจะออกรถ

    ---

    3. ฝึกเฝ้าสังเกต = ฝึกใจให้กลับสู่ความสงบ

    วิธีปฏิบัติที่แนะนำ:

    1. สังเกตจุดเครียดประจำกาย เช่น หัวคิ้ว – ฝ่ามือ – ไหล่

    2. รู้ทันและคลายทันที – ไม่ดึงยาว

    3. ดูผลกระทบ ว่าเมื่อคลายกาย ใจเบาขึ้นไหม

    4. ดูต่อว่าใจเบาเพราะหนีปัญหา หรือพร้อมเผชิญด้วยสติ

    > นี่คือสติที่ “ละเอียด” และ “ใช้งานจริง” ได้ในทุกวัน

    ---

    4. ผลลัพธ์: เย็นก่อน จึงเห็นก่อน และจึงแก้ได้จริง

    เมื่อเย็น → จิตไม่ถูกผลักด้วยโทสะ

    เมื่อไม่รีบโกรธ → ใจยังกล้าเผชิญโดยไม่สั่นไหว

    เมื่อใจยังสงบแม้อยู่ในความวุ่นวาย → ชีวิตจะค่อยๆ เป็นระเบียบจากภายใน

    > ธรรมะสั้น:
    “จิตที่สงบในปัญหา = จิตที่ปลอดภัยจากการหลงทาง”

    ---

    5. สรุปใจกลางธรรมะในบทความนี้

    ทุกข์ส่วนเกินมาจาก “ความคิดปนเครียดก่อนมีสติ”

    “กาย” คือกระจกสะท้อนความฟุ้งซ่านที่ไวที่สุด

    การฝึกคลายกาย คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูใจ

    ความสงบไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ “ลืมใช้มานาน”

    ความเย็นคือภาวะพื้นฐานเดิมแท้ของจิตที่ยังไม่ถูกครอบด้วยกิเลส

    ---

    คำคมธรรมะจากบทความ (พร้อมใช้ในโพสต์หรือหนังสือ)

    “เครียดก่อนคิด คือทุกข์ที่เกิดโดยไม่จำเป็น”

    “ขมวดคิ้วแน่นเท่าไร ใจก็มัวเท่านั้น”

    “ปล่อยส่วนเกิน คือคืนพื้นที่ใจให้ปัญญาได้ทำงาน”

    “เมื่อคลายกาย ใจจึงพร้อมจะกล้าเผชิญ”

    “ความเย็นเคยอยู่ในใจคุณ เพียงแต่ไม่ได้ใช้มานาน”
    “ส่วนเกินของความเครียด” ซึ่งเป็นตัวถ่วงสำคัญที่ทำให้ปัญหาเล็กกลายเป็นภูเขา และทำให้ชีวิตหมุนวนในทุกข์โดยไม่จำเป็น --- 1. จุดเริ่มของทุกข์คือ “เครียดก่อนคิด” > “ยังไม่ทันแก้ปัญหา แต่ใจด่วนตกอยู่ในความเครียด นี่คือทุกข์ส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์” ธรรมะประโยคนี้พาเรารู้ว่า เครียดไม่ใช่สิ่งผิดเสมอไป แต่ เครียดก่อนคิด = เครียดฟรี และสร้าง “ภาพหลอน” ให้ปัญหาดูหนักกว่าความเป็นจริง > ธรรมะสำคัญ: “คิดหนึ่ง แต่เครียดเก้า” = ใช้พลังงานจิตไปกับความฟุ้งซ่านแทนการแก้ไข --- 2. ส่วนเกินอยู่ที่ไหน? เริ่มหาจากกายก่อนใจ > “ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หัวคิ้ว คือจุดสังเกต ‘กายสะท้อนใจ’ อย่างชัดเจน” หลักเจริญสติ: สังเกตอาการทางกาย เช่น ขมวดคิ้ว กำมือ เกร็งเท้า คือร่องรอยของ อารมณ์ที่ยังไม่รู้ตัว > การ “รู้” แล้ว “คลาย” คือการ ตัดตอนพลังลบทางกายและใจ เหมือนปลดเบรกมือออกก่อนจะออกรถ --- 3. ฝึกเฝ้าสังเกต = ฝึกใจให้กลับสู่ความสงบ วิธีปฏิบัติที่แนะนำ: 1. สังเกตจุดเครียดประจำกาย เช่น หัวคิ้ว – ฝ่ามือ – ไหล่ 2. รู้ทันและคลายทันที – ไม่ดึงยาว 3. ดูผลกระทบ ว่าเมื่อคลายกาย ใจเบาขึ้นไหม 4. ดูต่อว่าใจเบาเพราะหนีปัญหา หรือพร้อมเผชิญด้วยสติ > นี่คือสติที่ “ละเอียด” และ “ใช้งานจริง” ได้ในทุกวัน --- 4. ผลลัพธ์: เย็นก่อน จึงเห็นก่อน และจึงแก้ได้จริง เมื่อเย็น → จิตไม่ถูกผลักด้วยโทสะ เมื่อไม่รีบโกรธ → ใจยังกล้าเผชิญโดยไม่สั่นไหว เมื่อใจยังสงบแม้อยู่ในความวุ่นวาย → ชีวิตจะค่อยๆ เป็นระเบียบจากภายใน > ธรรมะสั้น: “จิตที่สงบในปัญหา = จิตที่ปลอดภัยจากการหลงทาง” --- 5. สรุปใจกลางธรรมะในบทความนี้ ทุกข์ส่วนเกินมาจาก “ความคิดปนเครียดก่อนมีสติ” “กาย” คือกระจกสะท้อนความฟุ้งซ่านที่ไวที่สุด การฝึกคลายกาย คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูใจ ความสงบไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ “ลืมใช้มานาน” ความเย็นคือภาวะพื้นฐานเดิมแท้ของจิตที่ยังไม่ถูกครอบด้วยกิเลส --- คำคมธรรมะจากบทความ (พร้อมใช้ในโพสต์หรือหนังสือ) “เครียดก่อนคิด คือทุกข์ที่เกิดโดยไม่จำเป็น” “ขมวดคิ้วแน่นเท่าไร ใจก็มัวเท่านั้น” “ปล่อยส่วนเกิน คือคืนพื้นที่ใจให้ปัญญาได้ทำงาน” “เมื่อคลายกาย ใจจึงพร้อมจะกล้าเผชิญ” “ความเย็นเคยอยู่ในใจคุณ เพียงแต่ไม่ได้ใช้มานาน”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช
    พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี ( ตอกโค้ดดอกจัน ) มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช // พระดีพิธีใหญ๋ ที่ระลึกวันสถาปนาศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 //พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ เมตตา มหานิยม โชคลาภ โภคทรัพย์ มหาอำนาจ คลาดแคล้ว คงกระพัน คุ้มครองป้องกันภัย เป็นสิริมงคล >>

    ** พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี ( ตอกโค้ดดอกจัน ) มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช // พระดีพิธีใหญ๋ ที่ระลึกวันสถาปนาศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 //พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ เมตตา มหานิยม โชคลาภ โภคทรัพย์ มหาอำนาจ คลาดแคล้ว คงกระพัน คุ้มครองป้องกันภัย เป็นสิริมงคล >> ** พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรมะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติทางด้านจิตใจล้วนๆ
    ธรรมะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติทางด้านจิตใจล้วนๆ
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 15 0 รีวิว
Pages Boosts