• “ใจเสียที่สุด คือใจที่ไร้สติ”

    “รักษาใจดีไว้ คือการรักษาชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า”

    “สติฉายแสงเมื่อไร อเวจีในอกก็ดับลงทันที”

    “แม้ไม่เหลืออะไร แต่ถ้ายังมีใจดีอยู่ นั่นคือทรัพย์แท้ของชีวิต”

    “ใจดีคือบ้านของธรรมะ และธรรมะคือเกราะป้องกันใจจากความพังทลาย”
    “ใจเสียที่สุด คือใจที่ไร้สติ” “รักษาใจดีไว้ คือการรักษาชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า” “สติฉายแสงเมื่อไร อเวจีในอกก็ดับลงทันที” “แม้ไม่เหลืออะไร แต่ถ้ายังมีใจดีอยู่ นั่นคือทรัพย์แท้ของชีวิต” “ใจดีคือบ้านของธรรมะ และธรรมะคือเกราะป้องกันใจจากความพังทลาย”
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน

    1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง

    > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ

    เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ

    และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง”

    ---

    2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง

    > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย

    เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว

    เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง”

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที

    “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง”

    “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา”

    “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่”

    “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก”

    ---
    ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน 1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร > ธรรมะสำคัญ: “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง” --- 2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน > ธรรมะสำคัญ: “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง” --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง” “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา” “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่” “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก” ---
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต"

    ---

    1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ

    > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต"

    บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น

    แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น"

    ---

    2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน

    ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ:

    สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง

    มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง

    เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด

    ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”:

    อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง

    และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต

    > ธรรมะสำคัญ:
    "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข"

    ---

    3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ?

    ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน"

    บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น"

    ---

    4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต

    ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง

    ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด

    ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว"

    ---

    5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้

    บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ

    การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว

    ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ

    ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที

    "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น"

    "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน"

    "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด"

    "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ"

    "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ"

    ---
    นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต" --- 1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต" บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ > ธรรมะสำคัญ: "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น" --- 2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ: สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”: อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต > ธรรมะสำคัญ: "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข" --- 3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ? ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน" บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง > ธรรมะสำคัญ: "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น" --- 4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง > ธรรมะสำคัญ: "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว" --- 5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้ บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต --- ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น" "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน" "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด" "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ" "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ" ---
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล**

    ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด

    ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม**
    วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า:
    "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!"

    สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..."

    นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!"

    แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร

    ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า**
    เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม:

    "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..."

    นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย

    นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน

    ### **การเปลี่ยนแปลง**
    หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน

    สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..."

    นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!"

    ### **บทเรียนที่ได้**
    เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ

    และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน!

    *(จบ)*

    > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล** ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม** วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า: "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!" สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..." นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!" แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า** เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม: "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..." นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน ### **การเปลี่ยนแปลง** หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..." นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!" ### **บทเรียนที่ได้** เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน! *(จบ)* > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • เรื่อง “การชอบคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน” ซึ่งเป็นหัวข้อที่ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกธรรมดาในใจคน กับการเสี่ยงต่อการก่อกรรมที่ร้ายแรงหากไม่รู้เท่าทัน

    ---

    1. คำถาม "ผิดไหม" อาจไม่ใช่คำถามที่ดีที่สุด

    > "การตั้งโจทย์ที่ถูกต้อง คือถามว่า ‘มันล่อแหลมต่อการผิดหรือเปล่า?’"

    เพราะบางอย่าง แม้ยังไม่ผิดตอนนี้ แต่ เปิดทางให้กิเลสโต และนำไปสู่การผิดศีลได้ในที่สุด

    ที่สำคัญมากคือ กิเลสโดยเฉพาะ ราคะ มีลักษณะไหลลึก ลื่นไถล และตบตาจิตใจให้ประมาทง่ายกว่ากิเลสอื่นๆ

    > ธรรมะสำคัญ:
    "อย่าใช้แค่กฎเกณฑ์ภายนอกตัดสิน ให้ดูแรงไหลของใจด้วย"

    ---

    2. รักหรือชอบที่ยังไม่ผิด แต่ "ล่อแหลม" คือภัยเงียบ

    ความชอบในใจแม้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากปล่อยให้ พูดบ่อย คุยบ่อย คิดบ่อย จิตจะตกลงไปในห้วงหลงโดยไม่รู้ตัว

    จุดที่หลายคนพลาดคือ การอนุโลมเล็กๆ ที่สะสมเป็นไฟเผาใจในที่สุด

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ต้นทางที่คิดว่าไม่ผิด คือกับดักที่เปิดทางสู่ความผิดในอนาคต"

    ---

    3. วิธีปฏิบัติที่ชัดเจน: ห้ามกาย ห้ามวาจา แม้ใจยังไม่ห้ามได้

    > “แม้ห้ามใจไม่ได้ ก็ต้องห้ามกายกับปากให้ได้ก่อน”

    ทางกาย: ไม่แตะต้อง ไม่หาข้ออ้างไปพบปะ

    ทางวาจา: ไม่พูด หรือไม่สื่อสารด้วยถ้อยคำที่เหนี่ยวนำให้ผูกพัน

    การห้ามกายห้ามวาจาคือ การถือศีลเบื้องต้น ที่หยุดไม่ให้กิเลสระบาดออกนอก

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ห้ามกายวาจาได้ คือป้องกันจิตจากการแตกพ่ายหนักขึ้น"

    ---

    4. วิธีทำให้จิตฉลาดขึ้น: หมั่นถามตัวเองด้วยคำถามสั้นๆ

    > “ความรู้สึกผิด เป็นสุขหรือเป็นทุกข์?”

    การถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เช่น

    ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ใจโปร่งเบา หรือหน่วงหนัก?

    ถ้าเดินต่อ จะได้บุญหรือได้บาป?

    จิตจะค่อยๆ คิดเป็นเองได้ และรู้ทันตัวเองเร็วขึ้น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ตั้งคำถามถูก จิตจะตอบตัวเองได้โดยไม่ต้องบังคับ"

    ---

    5. เคล็ดสำคัญ: ต้อง “หักดิบ” ตั้งแต่ต้นลม

    > “ศีลข้อ ๓ ต้องหักดิบตั้งแต่ยังไม่สาย”

    ถ้าปล่อยให้มีเยื่อใยแม้นิดเดียว จิตจะสร้างเรื่องขยายกิเลสให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ที่รอดปลอดภัยจากกรรมหนัก คือผู้ที่ “ใจเด็ด” ไม่ปล่อยให้กิเลสมีโอกาสโตตั้งแต่ต้น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ปล่อยต้นลมไม่ได้ ถ้าไม่อยากตกเหวตอนปลายทาง"

    ---

    สรุปใจกลางธรรมะ

    อย่าแค่ถามว่า "ผิดไหม" แต่ถามว่า "ล่อแหลมหรือไม่?"

    ความชอบที่ไม่ดูแล จะกลายเป็นไฟเผาตัว

    แม้ห้ามใจไม่ได้ แต่ต้องห้ามกายกับวาจาให้ได้

    ฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ด้วยการถามหาความสุขแท้จริงในใจ

    การหักดิบตั้งแต่ต้น คือเกราะป้องกันกรรมหนักได้ดีที่สุด

    ---

    ธรรมะสั้นใช้ต่อยอดได้ทันที

    "รักเขาไม่ผิด แต่หลงเขาเกินขอบเขต คือทางสู่กรรม"

    "ต้นลมที่ไม่ห้าม คือพายุใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า"

    "ห้ามกาย วาจา คือป้องกันใจได้ในวันข้างหน้า"

    "ถามใจเสมอ: สิ่งนี้พาใจไปเบาหรือไปหนัก?"

    "หักดิบความล่อแหลมวันนี้ เพื่อไม่ต้องร้องไห้ในวันพรุ่งนี้"

    ---
    เรื่อง “การชอบคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน” ซึ่งเป็นหัวข้อที่ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกธรรมดาในใจคน กับการเสี่ยงต่อการก่อกรรมที่ร้ายแรงหากไม่รู้เท่าทัน --- 1. คำถาม "ผิดไหม" อาจไม่ใช่คำถามที่ดีที่สุด > "การตั้งโจทย์ที่ถูกต้อง คือถามว่า ‘มันล่อแหลมต่อการผิดหรือเปล่า?’" เพราะบางอย่าง แม้ยังไม่ผิดตอนนี้ แต่ เปิดทางให้กิเลสโต และนำไปสู่การผิดศีลได้ในที่สุด ที่สำคัญมากคือ กิเลสโดยเฉพาะ ราคะ มีลักษณะไหลลึก ลื่นไถล และตบตาจิตใจให้ประมาทง่ายกว่ากิเลสอื่นๆ > ธรรมะสำคัญ: "อย่าใช้แค่กฎเกณฑ์ภายนอกตัดสิน ให้ดูแรงไหลของใจด้วย" --- 2. รักหรือชอบที่ยังไม่ผิด แต่ "ล่อแหลม" คือภัยเงียบ ความชอบในใจแม้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากปล่อยให้ พูดบ่อย คุยบ่อย คิดบ่อย จิตจะตกลงไปในห้วงหลงโดยไม่รู้ตัว จุดที่หลายคนพลาดคือ การอนุโลมเล็กๆ ที่สะสมเป็นไฟเผาใจในที่สุด > ธรรมะสำคัญ: "ต้นทางที่คิดว่าไม่ผิด คือกับดักที่เปิดทางสู่ความผิดในอนาคต" --- 3. วิธีปฏิบัติที่ชัดเจน: ห้ามกาย ห้ามวาจา แม้ใจยังไม่ห้ามได้ > “แม้ห้ามใจไม่ได้ ก็ต้องห้ามกายกับปากให้ได้ก่อน” ทางกาย: ไม่แตะต้อง ไม่หาข้ออ้างไปพบปะ ทางวาจา: ไม่พูด หรือไม่สื่อสารด้วยถ้อยคำที่เหนี่ยวนำให้ผูกพัน การห้ามกายห้ามวาจาคือ การถือศีลเบื้องต้น ที่หยุดไม่ให้กิเลสระบาดออกนอก > ธรรมะสำคัญ: "ห้ามกายวาจาได้ คือป้องกันจิตจากการแตกพ่ายหนักขึ้น" --- 4. วิธีทำให้จิตฉลาดขึ้น: หมั่นถามตัวเองด้วยคำถามสั้นๆ > “ความรู้สึกผิด เป็นสุขหรือเป็นทุกข์?” การถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เช่น ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ใจโปร่งเบา หรือหน่วงหนัก? ถ้าเดินต่อ จะได้บุญหรือได้บาป? จิตจะค่อยๆ คิดเป็นเองได้ และรู้ทันตัวเองเร็วขึ้น > ธรรมะสำคัญ: "ตั้งคำถามถูก จิตจะตอบตัวเองได้โดยไม่ต้องบังคับ" --- 5. เคล็ดสำคัญ: ต้อง “หักดิบ” ตั้งแต่ต้นลม > “ศีลข้อ ๓ ต้องหักดิบตั้งแต่ยังไม่สาย” ถ้าปล่อยให้มีเยื่อใยแม้นิดเดียว จิตจะสร้างเรื่องขยายกิเลสให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่รอดปลอดภัยจากกรรมหนัก คือผู้ที่ “ใจเด็ด” ไม่ปล่อยให้กิเลสมีโอกาสโตตั้งแต่ต้น > ธรรมะสำคัญ: "ปล่อยต้นลมไม่ได้ ถ้าไม่อยากตกเหวตอนปลายทาง" --- สรุปใจกลางธรรมะ อย่าแค่ถามว่า "ผิดไหม" แต่ถามว่า "ล่อแหลมหรือไม่?" ความชอบที่ไม่ดูแล จะกลายเป็นไฟเผาตัว แม้ห้ามใจไม่ได้ แต่ต้องห้ามกายกับวาจาให้ได้ ฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ด้วยการถามหาความสุขแท้จริงในใจ การหักดิบตั้งแต่ต้น คือเกราะป้องกันกรรมหนักได้ดีที่สุด --- ธรรมะสั้นใช้ต่อยอดได้ทันที "รักเขาไม่ผิด แต่หลงเขาเกินขอบเขต คือทางสู่กรรม" "ต้นลมที่ไม่ห้าม คือพายุใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า" "ห้ามกาย วาจา คือป้องกันใจได้ในวันข้างหน้า" "ถามใจเสมอ: สิ่งนี้พาใจไปเบาหรือไปหนัก?" "หักดิบความล่อแหลมวันนี้ เพื่อไม่ต้องร้องไห้ในวันพรุ่งนี้" ---
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • ..คนยุคน้ำหมากเราก็เหนื่อยเป็นนะ,จะมั่วแต่มาออกมาไล่มาชุมนุมประกาศความชั่วเลวเป็นตัวแทนความดีเหี้ยนี้ไม่นานหรอก,มันบ่งบอกถึงระบบมันชั่วเลวชัดเจนจึงควบคุมคนชั่วเลวไม่ได้จริง,ระบบปกครองล้มเหลวจนเดือดร้อนประชาชนตนดำๆทั่วประเทศต้องมาทวงคืนความเป็นธรรมแทนคนไทยร่วมกันแทน,ในขณะตัวแทนพวกกาเลทอกตั้งอวดอวยตนกราบไหว้ก่อนกาเลือกบอกว่าจะเป็นตัวแทนที่ดีเสือกกระทำชั่ว,คนในระบบแบบคนข้าราชการก็ไม่ทำอะไรสร้างดุลความยุติธรรม,มองตาปริบๆในวงราชการตนเองนั่งคาตำแหน่งอำนาจกระจายเต็มแผ่นดินไทยตั้งแต่ระดับผู้ว่า,นายอำเภอคนราชการท้องถิ่นซึ่งชัดเจนว่าอยุติธรรมเต็มแผ่นดินเพียงใดในปัญหาประจำท้องถิ่นตนแต่ล่ะที่ พบเจอค่าจริงมากมาย แต่หดเป็นเต่าไม่บอกความจริงประชาชนเลยก็คนราชการนี้ล่ะ,บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายเต็มประเทศระดับผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.รับรู้หมดล่ะ,อะไรไม่ดีก็ไม่คิดอ่านส่งเสริมให้ดี,อะไรดีก็ตัดตอนทำให้แย่,มันคือการปกครองแบบใด,บ่อนพนันเลวๆรู้ว่าชั่ว มีผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.กี่คนออกมาประกาศจุดยืนปกป้องประเทศให้พ้นอบายมุขในสิ่งชั่ว,นึกเล่นๆสิผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.ร่วมกันตีแผ่บอกค่าจริงที่เลวชั่วสาระพัดร่วมกัน ใครประชาชนที่ไหนจะมืดบอดอีก ตนในฐานะพ่อเมืองพ่อบ้านที่อวดอวยอ้างนักกลับไม่ออกมาสู้ อ้างผิดวิถีคนใต้ปกครองพะนะ ถ้าวิถีปกครองเหี้ยๆนี้ปิดปากให้อบายมุขสิ่งเลวชั่วเจริญรุ่งเรืองก็อย่ามีวิถีปกครองแบบนำพาประชาชนให้มืดบอดเลย บรรลุรู้เองพะนะ คงไม่จำเป็นต้องมีผู้ว่านายเภออบต.อบจ.ประดับแผ่นดินไทยสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศที่แม้ความชั่วเลวก็ออกมาสู้รบกับข้าศึกชั่วเลวนี้แบบเปิดเผยชี้บอกเลวชั่วต่อทหารตนไม่ได้ว่ารบกับข้าศึกทำไม สู้เพื่ออะไรในนานแม่ทัพนำหน้ารบ,เสือกหลบมืดใต้ดินที่เกรงกลัวข้าศึกศัตรูแต่พอเงินเดือนออกสวัสดิโบนัสมารีบเร่งเบิกเร่งรับโอนเต็มๆ มันใช้ไม่ได้นะ,เราต้องล้างทุบทำลายวิถีปกครองที่ส่งเสริมความชั่วเลวเถอะ,ตนถูกปล้นก็ไม่สู้กลับเอาคืน,ตนถูกหลอกก็ไม่บอกความจริงให้หายโง่ไม่พาคนตามโง่ไปด้วย ฉีกความโง่ทิ้ง,แบบฉีกสัญญาทาสฉีกกฎหมายเลวชั่วที่ปล้นบ่อน้ำมันเราไปแบบฉีกรัฐธรรมนูญที่ทหารยึดอำนาจแล้วทำเสียของมาก,ไม่เป็นประโยชน์จริงอะไรต่อการสร้างชาติ นึกว่าจะเอาวัตถุดิบสร้างชาติคืนทั้งหมดได้เช่นสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายทีีเอกชนต่างชาติผูกขาดไปและคนทรยศเอกชนไทยเองยึดเอาผูกขาดเอาไปก็ด้วยให้ตกเป็นของกลางสร้างชาติจริงในอนาคตต่อยอดสิ่งต่างๆมากมายต่อไป,กาก&กระจอกมาก,ฝีมือไม่ถึง,เสียเวลาและเสียของจนก่อปัญหาไม่จบสิ้นถึงปัจจุบัน,ปัญหาทั้งหมดคือพวกปกครองพวกได้อำนาจไปปกครองที่ไร้ฝีมือ นำพาประเทศสู่ความฉิบหายทั่วประเทศ เจริญแบบเป็นทาสขี้ข้าวัตถุต่างชาติ เขาทุบทำลายตนเมื่อใดก็ไร้ความเจริญเพราะเจริญแบบปลอมๆ,ไม่สร้างรากฐานความเจริญที่แท้จริงจากคนของแผ่นดินไทยตนก่อน,ทุกๆคนไทยเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ ยืนด้วยขาตนเองจริง ร่ำรวยทางวัตถุแม้ไม่มากแต่ความว่าสิ้นชาติไทยจะไม่มีบนแผ่นดินไทยต่อคนไทยเราทุกๆคนและพลิกสู่เจริญวัตถุธาตุร่ำรวยทั้งทางกายและจิตวิญญาณที่ดีงามฝ่ายเดียวด้วยคู่ขนานโลกยุคล้ำๆต่างๆปรับเข้าลงตัวต่อโลกได้อย่างสบาย.
    ..ปัจจุบันสมควรจบจริง ภาคนักการเมืองแบบนี้และแบบภาคก่อนคณะกบฎ2475ก็คงรับการปกครองแบบนั้นไม่ได้ในสไตล์ศักดินาขี้ข้าทาสไพร่รับใช้แบบนั้น,วิถีปกครองเราต้องธรรมาธิปไตยสไตล์ธรรมะฝ่ายกุศลธรรมนำหน้าจริงๆจึงพอก้าวต่อไปได้,ทุกๆคนไทยจะมีธรรมดีปกครองในใจใครมันบนจริตสันดานปรับปรุงตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆร่วมกันได้,ตรงข้ามทุกๆคนไทยขาดธรรมดี วุ่นวายทั้งชุมชนสังคมแบบในปัจจุบันนี้แน่นอน ทำร้ายกันแบบไร้สติคิดอ่านล่ะ,จึงต้องเคลียร์พื้นที่อย่างรวดเร็ว,ใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยต้องถีบออกจากประเทศไทยทั้งหมดทันที ความโกลาหลจากคนต่างบ้านต่างเมืองจะหมดไปจะเหลือแค่จัดการกันเองภายในล้วนๆ, นโยบายเร่งด่วนคือใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยกรุณาบินกลับประเทศตนเองทั้งหมดทันที,สนับสนุนส่งไปเกาะใดๆพักคนพวกนี้ได้,หรือติดต่อประเทศที่สามรับไปดูแลแทนแบบพวกสงครามพม่า,ไม่ใช่ภาระเราต้องแบกรับปัญหาที่บ้านเมืองมันเองก่อการกันเอง.แล้วมาสร้างความไม่สงบสุขแก่คนของแผ่นดินไทยในบ้านเมืองไทยเราด้วย,กิจการไหนเสียดายต่างด้าวกรุณาย้ายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานที่ประเทศต่างด้าวนั้นเลยบวกตัดเครดิตในภาครัฐทั้งหมดที่รัฐส่งเสริมสนับสนุนทิ้งทั้งหมด ข้อหาส่งเสริมต่างด้าวสร้างภัยความมั่นคงไม่สงบต่อชุมชนสังคมรอบกิจการโรงงานและคนไทยร่วมทั้งประเทศ,
    ..แม้ฝรั่งหรือคนต่างชาติใดๆจะอาศัยต่างด้าวสร้างเป็นมือที่สามหรือใดๆจะก่อการลำบากหรือยากหรือไม่ได้เป็นเพียงอาศัยคนทรยศคนไทยอย่างเดียวแล้วแค่นั้นหรือมันก่อการเองของต่างชาตินั้นๆ.ตัดตอนปัญหาสาระพัดเลยล่ะหรือหมอพยาบาลที่ดูแลต่างด้าวมากกว่าคนไทย งบมากมาย ทรัพยากรจำกัดหลากหลายที่ต่างชาติต่างด้าวนี้มาแย่งชิงการใช้ขณะดำรงชีวิตไม่ให้ตายในไทยจะลดลงมหาศาลเป็นจำนวนมากทันที,ฝ่ายการเมืองเลวชั่วจะใช้ต่างด้าวมาปั่นป่วนใดๆก็จบเกมส์ด้วย,ความสงบสุขมากมายที่ผิดปกติไปเพราะต่างชาติต่างด้าวนี้ล่ะคือตัวปัญหาซึ่งคนชั่วสามารถวางสนุ็คใช้ในแผนการต่างๆมันได้,กิจการที่อาศัยทาสแรงงานต่างด้าวค้ากำไรจะตายลงไป,คนกิจการจริงจะอาศัยสัมมาครอบครัวใครมันทำการค้าขายแต่พอดีตามกำลังแรงตนใครมันไม่เอาเปรียบกันก็ว่า,สัมมาอาชีพมากมายจะค้าขายกันพอดีกำลังไม่กอบโกยรวบเอามากองแต่หน้าตักตนเอง,แรงตนกับคนในครอบครัวปกติทำรายได้10-100ล้าน โลภอยากได้มากๆตัดสัมมาอาชีพคนอื่นที่สามารถทำได้ไปยึดผูกขาดทำเองหมดจนตังกว่าแสนล้านหรือล้านล้านบาทจากแรงงานต่างด้าวนำเข้าหรือใครคนอื่นแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้,ตนครอบครัวใครมันทำได้เท่าไรก็เอาแต่พอดี ปล่อยคนอื่นๆร่ำรวยมีสุขบ้างในแต่ละท้องที่ จรรโจงชุมชนสังคมทั่วไทย ยืนร่วมกันด้วยขาตนเองร่วมกันในสัมมาอาชีพต่างๆบนแผ่นดินไทยตน,ซึ่งปัจจุบันเหี้ยภายในไม่พอ ไปเชิญชวนต่างชาติมายึดครองแผ่นดินไทยตนด้วย,แล้วฉลาดอวดโง่ว่านำพานักลงทุนมาลงแดกเต็มประเทศไทยได้.,วิถีปกครองนี้เลวชั่วและคือภัยความมั่นคงของประเทศไทยเราอย่างชัดเจน.

    https://m.youtube.com/watch?v=9krnTyEP7pQ
    ..คนยุคน้ำหมากเราก็เหนื่อยเป็นนะ,จะมั่วแต่มาออกมาไล่มาชุมนุมประกาศความชั่วเลวเป็นตัวแทนความดีเหี้ยนี้ไม่นานหรอก,มันบ่งบอกถึงระบบมันชั่วเลวชัดเจนจึงควบคุมคนชั่วเลวไม่ได้จริง,ระบบปกครองล้มเหลวจนเดือดร้อนประชาชนตนดำๆทั่วประเทศต้องมาทวงคืนความเป็นธรรมแทนคนไทยร่วมกันแทน,ในขณะตัวแทนพวกกาเลทอกตั้งอวดอวยตนกราบไหว้ก่อนกาเลือกบอกว่าจะเป็นตัวแทนที่ดีเสือกกระทำชั่ว,คนในระบบแบบคนข้าราชการก็ไม่ทำอะไรสร้างดุลความยุติธรรม,มองตาปริบๆในวงราชการตนเองนั่งคาตำแหน่งอำนาจกระจายเต็มแผ่นดินไทยตั้งแต่ระดับผู้ว่า,นายอำเภอคนราชการท้องถิ่นซึ่งชัดเจนว่าอยุติธรรมเต็มแผ่นดินเพียงใดในปัญหาประจำท้องถิ่นตนแต่ล่ะที่ พบเจอค่าจริงมากมาย แต่หดเป็นเต่าไม่บอกความจริงประชาชนเลยก็คนราชการนี้ล่ะ,บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายเต็มประเทศระดับผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.รับรู้หมดล่ะ,อะไรไม่ดีก็ไม่คิดอ่านส่งเสริมให้ดี,อะไรดีก็ตัดตอนทำให้แย่,มันคือการปกครองแบบใด,บ่อนพนันเลวๆรู้ว่าชั่ว มีผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.กี่คนออกมาประกาศจุดยืนปกป้องประเทศให้พ้นอบายมุขในสิ่งชั่ว,นึกเล่นๆสิผู้ว่านายอำเภออบต.อบจ.ร่วมกันตีแผ่บอกค่าจริงที่เลวชั่วสาระพัดร่วมกัน ใครประชาชนที่ไหนจะมืดบอดอีก ตนในฐานะพ่อเมืองพ่อบ้านที่อวดอวยอ้างนักกลับไม่ออกมาสู้ อ้างผิดวิถีคนใต้ปกครองพะนะ ถ้าวิถีปกครองเหี้ยๆนี้ปิดปากให้อบายมุขสิ่งเลวชั่วเจริญรุ่งเรืองก็อย่ามีวิถีปกครองแบบนำพาประชาชนให้มืดบอดเลย บรรลุรู้เองพะนะ คงไม่จำเป็นต้องมีผู้ว่านายเภออบต.อบจ.ประดับแผ่นดินไทยสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศที่แม้ความชั่วเลวก็ออกมาสู้รบกับข้าศึกชั่วเลวนี้แบบเปิดเผยชี้บอกเลวชั่วต่อทหารตนไม่ได้ว่ารบกับข้าศึกทำไม สู้เพื่ออะไรในนานแม่ทัพนำหน้ารบ,เสือกหลบมืดใต้ดินที่เกรงกลัวข้าศึกศัตรูแต่พอเงินเดือนออกสวัสดิโบนัสมารีบเร่งเบิกเร่งรับโอนเต็มๆ มันใช้ไม่ได้นะ,เราต้องล้างทุบทำลายวิถีปกครองที่ส่งเสริมความชั่วเลวเถอะ,ตนถูกปล้นก็ไม่สู้กลับเอาคืน,ตนถูกหลอกก็ไม่บอกความจริงให้หายโง่ไม่พาคนตามโง่ไปด้วย ฉีกความโง่ทิ้ง,แบบฉีกสัญญาทาสฉีกกฎหมายเลวชั่วที่ปล้นบ่อน้ำมันเราไปแบบฉีกรัฐธรรมนูญที่ทหารยึดอำนาจแล้วทำเสียของมาก,ไม่เป็นประโยชน์จริงอะไรต่อการสร้างชาติ นึกว่าจะเอาวัตถุดิบสร้างชาติคืนทั้งหมดได้เช่นสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายทีีเอกชนต่างชาติผูกขาดไปและคนทรยศเอกชนไทยเองยึดเอาผูกขาดเอาไปก็ด้วยให้ตกเป็นของกลางสร้างชาติจริงในอนาคตต่อยอดสิ่งต่างๆมากมายต่อไป,กาก&กระจอกมาก,ฝีมือไม่ถึง,เสียเวลาและเสียของจนก่อปัญหาไม่จบสิ้นถึงปัจจุบัน,ปัญหาทั้งหมดคือพวกปกครองพวกได้อำนาจไปปกครองที่ไร้ฝีมือ นำพาประเทศสู่ความฉิบหายทั่วประเทศ เจริญแบบเป็นทาสขี้ข้าวัตถุต่างชาติ เขาทุบทำลายตนเมื่อใดก็ไร้ความเจริญเพราะเจริญแบบปลอมๆ,ไม่สร้างรากฐานความเจริญที่แท้จริงจากคนของแผ่นดินไทยตนก่อน,ทุกๆคนไทยเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ ยืนด้วยขาตนเองจริง ร่ำรวยทางวัตถุแม้ไม่มากแต่ความว่าสิ้นชาติไทยจะไม่มีบนแผ่นดินไทยต่อคนไทยเราทุกๆคนและพลิกสู่เจริญวัตถุธาตุร่ำรวยทั้งทางกายและจิตวิญญาณที่ดีงามฝ่ายเดียวด้วยคู่ขนานโลกยุคล้ำๆต่างๆปรับเข้าลงตัวต่อโลกได้อย่างสบาย. ..ปัจจุบันสมควรจบจริง ภาคนักการเมืองแบบนี้และแบบภาคก่อนคณะกบฎ2475ก็คงรับการปกครองแบบนั้นไม่ได้ในสไตล์ศักดินาขี้ข้าทาสไพร่รับใช้แบบนั้น,วิถีปกครองเราต้องธรรมาธิปไตยสไตล์ธรรมะฝ่ายกุศลธรรมนำหน้าจริงๆจึงพอก้าวต่อไปได้,ทุกๆคนไทยจะมีธรรมดีปกครองในใจใครมันบนจริตสันดานปรับปรุงตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆร่วมกันได้,ตรงข้ามทุกๆคนไทยขาดธรรมดี วุ่นวายทั้งชุมชนสังคมแบบในปัจจุบันนี้แน่นอน ทำร้ายกันแบบไร้สติคิดอ่านล่ะ,จึงต้องเคลียร์พื้นที่อย่างรวดเร็ว,ใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยต้องถีบออกจากประเทศไทยทั้งหมดทันที ความโกลาหลจากคนต่างบ้านต่างเมืองจะหมดไปจะเหลือแค่จัดการกันเองภายในล้วนๆ, นโยบายเร่งด่วนคือใครที่ไม่ใช่คนไทยสัญชาติไทยกรุณาบินกลับประเทศตนเองทั้งหมดทันที,สนับสนุนส่งไปเกาะใดๆพักคนพวกนี้ได้,หรือติดต่อประเทศที่สามรับไปดูแลแทนแบบพวกสงครามพม่า,ไม่ใช่ภาระเราต้องแบกรับปัญหาที่บ้านเมืองมันเองก่อการกันเอง.แล้วมาสร้างความไม่สงบสุขแก่คนของแผ่นดินไทยในบ้านเมืองไทยเราด้วย,กิจการไหนเสียดายต่างด้าวกรุณาย้ายฐานการผลิตไปตั้งโรงงานที่ประเทศต่างด้าวนั้นเลยบวกตัดเครดิตในภาครัฐทั้งหมดที่รัฐส่งเสริมสนับสนุนทิ้งทั้งหมด ข้อหาส่งเสริมต่างด้าวสร้างภัยความมั่นคงไม่สงบต่อชุมชนสังคมรอบกิจการโรงงานและคนไทยร่วมทั้งประเทศ, ..แม้ฝรั่งหรือคนต่างชาติใดๆจะอาศัยต่างด้าวสร้างเป็นมือที่สามหรือใดๆจะก่อการลำบากหรือยากหรือไม่ได้เป็นเพียงอาศัยคนทรยศคนไทยอย่างเดียวแล้วแค่นั้นหรือมันก่อการเองของต่างชาตินั้นๆ.ตัดตอนปัญหาสาระพัดเลยล่ะหรือหมอพยาบาลที่ดูแลต่างด้าวมากกว่าคนไทย งบมากมาย ทรัพยากรจำกัดหลากหลายที่ต่างชาติต่างด้าวนี้มาแย่งชิงการใช้ขณะดำรงชีวิตไม่ให้ตายในไทยจะลดลงมหาศาลเป็นจำนวนมากทันที,ฝ่ายการเมืองเลวชั่วจะใช้ต่างด้าวมาปั่นป่วนใดๆก็จบเกมส์ด้วย,ความสงบสุขมากมายที่ผิดปกติไปเพราะต่างชาติต่างด้าวนี้ล่ะคือตัวปัญหาซึ่งคนชั่วสามารถวางสนุ็คใช้ในแผนการต่างๆมันได้,กิจการที่อาศัยทาสแรงงานต่างด้าวค้ากำไรจะตายลงไป,คนกิจการจริงจะอาศัยสัมมาครอบครัวใครมันทำการค้าขายแต่พอดีตามกำลังแรงตนใครมันไม่เอาเปรียบกันก็ว่า,สัมมาอาชีพมากมายจะค้าขายกันพอดีกำลังไม่กอบโกยรวบเอามากองแต่หน้าตักตนเอง,แรงตนกับคนในครอบครัวปกติทำรายได้10-100ล้าน โลภอยากได้มากๆตัดสัมมาอาชีพคนอื่นที่สามารถทำได้ไปยึดผูกขาดทำเองหมดจนตังกว่าแสนล้านหรือล้านล้านบาทจากแรงงานต่างด้าวนำเข้าหรือใครคนอื่นแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้,ตนครอบครัวใครมันทำได้เท่าไรก็เอาแต่พอดี ปล่อยคนอื่นๆร่ำรวยมีสุขบ้างในแต่ละท้องที่ จรรโจงชุมชนสังคมทั่วไทย ยืนร่วมกันด้วยขาตนเองร่วมกันในสัมมาอาชีพต่างๆบนแผ่นดินไทยตน,ซึ่งปัจจุบันเหี้ยภายในไม่พอ ไปเชิญชวนต่างชาติมายึดครองแผ่นดินไทยตนด้วย,แล้วฉลาดอวดโง่ว่านำพานักลงทุนมาลงแดกเต็มประเทศไทยได้.,วิถีปกครองนี้เลวชั่วและคือภัยความมั่นคงของประเทศไทยเราอย่างชัดเจน. https://m.youtube.com/watch?v=9krnTyEP7pQ
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์

    ---

    1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง

    > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

    ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ”

    ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง"

    ---

    2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี”

    ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน

    ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก

    ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม

    การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง"

    ---

    3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น

    > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน”

    เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา

    จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา

    และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที"

    ---

    4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา

    > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน"

    คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม

    แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง

    เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้"

    ---

    สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้

    แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่

    ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง

    การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า

    เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์

    ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน

    "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด"

    "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง"

    "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง"

    "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม"

    "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ"

    ---
    “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์ --- 1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ” ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง" --- 2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี” ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง" --- 3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน” เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง > ธรรมะสำคัญ: "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที" --- 4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน" คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้" --- สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้ แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่ ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์ ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ --- ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด" "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง" "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง" "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม" "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ" ---
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • “ส่วนเกินของความเครียด” ซึ่งเป็นตัวถ่วงสำคัญที่ทำให้ปัญหาเล็กกลายเป็นภูเขา และทำให้ชีวิตหมุนวนในทุกข์โดยไม่จำเป็น

    ---

    1. จุดเริ่มของทุกข์คือ “เครียดก่อนคิด”

    > “ยังไม่ทันแก้ปัญหา แต่ใจด่วนตกอยู่ในความเครียด นี่คือทุกข์ส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์”

    ธรรมะประโยคนี้พาเรารู้ว่า

    เครียดไม่ใช่สิ่งผิดเสมอไป

    แต่ เครียดก่อนคิด = เครียดฟรี และสร้าง “ภาพหลอน” ให้ปัญหาดูหนักกว่าความเป็นจริง

    > ธรรมะสำคัญ:
    “คิดหนึ่ง แต่เครียดเก้า” = ใช้พลังงานจิตไปกับความฟุ้งซ่านแทนการแก้ไข

    ---

    2. ส่วนเกินอยู่ที่ไหน? เริ่มหาจากกายก่อนใจ

    > “ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หัวคิ้ว คือจุดสังเกต ‘กายสะท้อนใจ’ อย่างชัดเจน”

    หลักเจริญสติ:

    สังเกตอาการทางกาย เช่น ขมวดคิ้ว กำมือ เกร็งเท้า

    คือร่องรอยของ อารมณ์ที่ยังไม่รู้ตัว

    > การ “รู้” แล้ว “คลาย” คือการ ตัดตอนพลังลบทางกายและใจ
    เหมือนปลดเบรกมือออกก่อนจะออกรถ

    ---

    3. ฝึกเฝ้าสังเกต = ฝึกใจให้กลับสู่ความสงบ

    วิธีปฏิบัติที่แนะนำ:

    1. สังเกตจุดเครียดประจำกาย เช่น หัวคิ้ว – ฝ่ามือ – ไหล่

    2. รู้ทันและคลายทันที – ไม่ดึงยาว

    3. ดูผลกระทบ ว่าเมื่อคลายกาย ใจเบาขึ้นไหม

    4. ดูต่อว่าใจเบาเพราะหนีปัญหา หรือพร้อมเผชิญด้วยสติ

    > นี่คือสติที่ “ละเอียด” และ “ใช้งานจริง” ได้ในทุกวัน

    ---

    4. ผลลัพธ์: เย็นก่อน จึงเห็นก่อน และจึงแก้ได้จริง

    เมื่อเย็น → จิตไม่ถูกผลักด้วยโทสะ

    เมื่อไม่รีบโกรธ → ใจยังกล้าเผชิญโดยไม่สั่นไหว

    เมื่อใจยังสงบแม้อยู่ในความวุ่นวาย → ชีวิตจะค่อยๆ เป็นระเบียบจากภายใน

    > ธรรมะสั้น:
    “จิตที่สงบในปัญหา = จิตที่ปลอดภัยจากการหลงทาง”

    ---

    5. สรุปใจกลางธรรมะในบทความนี้

    ทุกข์ส่วนเกินมาจาก “ความคิดปนเครียดก่อนมีสติ”

    “กาย” คือกระจกสะท้อนความฟุ้งซ่านที่ไวที่สุด

    การฝึกคลายกาย คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูใจ

    ความสงบไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ “ลืมใช้มานาน”

    ความเย็นคือภาวะพื้นฐานเดิมแท้ของจิตที่ยังไม่ถูกครอบด้วยกิเลส

    ---

    คำคมธรรมะจากบทความ (พร้อมใช้ในโพสต์หรือหนังสือ)

    “เครียดก่อนคิด คือทุกข์ที่เกิดโดยไม่จำเป็น”

    “ขมวดคิ้วแน่นเท่าไร ใจก็มัวเท่านั้น”

    “ปล่อยส่วนเกิน คือคืนพื้นที่ใจให้ปัญญาได้ทำงาน”

    “เมื่อคลายกาย ใจจึงพร้อมจะกล้าเผชิญ”

    “ความเย็นเคยอยู่ในใจคุณ เพียงแต่ไม่ได้ใช้มานาน”
    “ส่วนเกินของความเครียด” ซึ่งเป็นตัวถ่วงสำคัญที่ทำให้ปัญหาเล็กกลายเป็นภูเขา และทำให้ชีวิตหมุนวนในทุกข์โดยไม่จำเป็น --- 1. จุดเริ่มของทุกข์คือ “เครียดก่อนคิด” > “ยังไม่ทันแก้ปัญหา แต่ใจด่วนตกอยู่ในความเครียด นี่คือทุกข์ส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์” ธรรมะประโยคนี้พาเรารู้ว่า เครียดไม่ใช่สิ่งผิดเสมอไป แต่ เครียดก่อนคิด = เครียดฟรี และสร้าง “ภาพหลอน” ให้ปัญหาดูหนักกว่าความเป็นจริง > ธรรมะสำคัญ: “คิดหนึ่ง แต่เครียดเก้า” = ใช้พลังงานจิตไปกับความฟุ้งซ่านแทนการแก้ไข --- 2. ส่วนเกินอยู่ที่ไหน? เริ่มหาจากกายก่อนใจ > “ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หัวคิ้ว คือจุดสังเกต ‘กายสะท้อนใจ’ อย่างชัดเจน” หลักเจริญสติ: สังเกตอาการทางกาย เช่น ขมวดคิ้ว กำมือ เกร็งเท้า คือร่องรอยของ อารมณ์ที่ยังไม่รู้ตัว > การ “รู้” แล้ว “คลาย” คือการ ตัดตอนพลังลบทางกายและใจ เหมือนปลดเบรกมือออกก่อนจะออกรถ --- 3. ฝึกเฝ้าสังเกต = ฝึกใจให้กลับสู่ความสงบ วิธีปฏิบัติที่แนะนำ: 1. สังเกตจุดเครียดประจำกาย เช่น หัวคิ้ว – ฝ่ามือ – ไหล่ 2. รู้ทันและคลายทันที – ไม่ดึงยาว 3. ดูผลกระทบ ว่าเมื่อคลายกาย ใจเบาขึ้นไหม 4. ดูต่อว่าใจเบาเพราะหนีปัญหา หรือพร้อมเผชิญด้วยสติ > นี่คือสติที่ “ละเอียด” และ “ใช้งานจริง” ได้ในทุกวัน --- 4. ผลลัพธ์: เย็นก่อน จึงเห็นก่อน และจึงแก้ได้จริง เมื่อเย็น → จิตไม่ถูกผลักด้วยโทสะ เมื่อไม่รีบโกรธ → ใจยังกล้าเผชิญโดยไม่สั่นไหว เมื่อใจยังสงบแม้อยู่ในความวุ่นวาย → ชีวิตจะค่อยๆ เป็นระเบียบจากภายใน > ธรรมะสั้น: “จิตที่สงบในปัญหา = จิตที่ปลอดภัยจากการหลงทาง” --- 5. สรุปใจกลางธรรมะในบทความนี้ ทุกข์ส่วนเกินมาจาก “ความคิดปนเครียดก่อนมีสติ” “กาย” คือกระจกสะท้อนความฟุ้งซ่านที่ไวที่สุด การฝึกคลายกาย คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูใจ ความสงบไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ “ลืมใช้มานาน” ความเย็นคือภาวะพื้นฐานเดิมแท้ของจิตที่ยังไม่ถูกครอบด้วยกิเลส --- คำคมธรรมะจากบทความ (พร้อมใช้ในโพสต์หรือหนังสือ) “เครียดก่อนคิด คือทุกข์ที่เกิดโดยไม่จำเป็น” “ขมวดคิ้วแน่นเท่าไร ใจก็มัวเท่านั้น” “ปล่อยส่วนเกิน คือคืนพื้นที่ใจให้ปัญญาได้ทำงาน” “เมื่อคลายกาย ใจจึงพร้อมจะกล้าเผชิญ” “ความเย็นเคยอยู่ในใจคุณ เพียงแต่ไม่ได้ใช้มานาน”
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช
    พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี ( ตอกโค้ดดอกจัน ) มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช // พระดีพิธีใหญ๋ ที่ระลึกวันสถาปนาศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 //พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ เมตตา มหานิยม โชคลาภ โภคทรัพย์ มหาอำนาจ คลาดแคล้ว คงกระพัน คุ้มครองป้องกันภัย เป็นสิริมงคล >>

    ** พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช พระนารายณ์คลึงจักร รุ่นธรรมะเศรษฐี ( ตอกโค้ดดอกจัน ) มณฑลทหารบกที่41 จ.นครศรีธรรมราช // พระดีพิธีใหญ๋ ที่ระลึกวันสถาปนาศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 //พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ เมตตา มหานิยม โชคลาภ โภคทรัพย์ มหาอำนาจ คลาดแคล้ว คงกระพัน คุ้มครองป้องกันภัย เป็นสิริมงคล >> ** พระสถาพสวย พระสถาพเดิมๆ ผิวหิ้ง หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • ธรรมะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติทางด้านจิตใจล้วนๆ
    ธรรมะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติทางด้านจิตใจล้วนๆ
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 113 Views 13 0 Reviews
  • “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม”

    1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม”

    > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง”
    นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ

    ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม

    ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม

    ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน”

    ---

    2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต

    > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง”
    ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ

    ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง

    ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น”

    ---

    3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต

    บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง:

    ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน

    ไม่อาฆาตพยาบาท

    ไม่ใจดำตอบโต้

    ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด”

    ---

    4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต

    > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว”

    นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม

    ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่

    ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก”

    ---

    5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต

    บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา:
    "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด

    ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร

    เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์

    > ธรรมะสั้น:
    “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน”

    ---

    สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที

    ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม

    ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ

    ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม

    การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ

    ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม” 1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม” > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง” นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่ > ธรรมะสั้น: “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน” --- 2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง” ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน > ธรรมะสั้น: “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น” --- 3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง: ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่ใจดำตอบโต้ ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด” --- 4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว” นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้ > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก” --- 5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา: "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์ > ธรรมะสั้น: “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน” --- สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 Reviews

  • 🙏✨เหรียญรุ่นแรกท่านพ่อมหาปิ่น ชลิโต วัดป่าพระธาตุเขาน้อย จังหวัดราชบุรี หลังพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสิบแปด

    ท่านพ่อมหาปิ่น เป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น พื้นเพเป็นชาวนครปฐม ถือเป็นกำลังสำคัญของกองทัพธรรมสายพระป่าอีกรูปหนึ่ง

    ว่ากันว่า การแสดงธรรมะเทศะนาของท่านนัันเฟ้นหาเนื้อหาสาระเป็นที่จับใจแก่ผู้ฟังธรรมเป็นอย่างยิ่ง.
    🙏✨เหรียญรุ่นแรกท่านพ่อมหาปิ่น ชลิโต วัดป่าพระธาตุเขาน้อย จังหวัดราชบุรี หลังพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสิบแปด ท่านพ่อมหาปิ่น เป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น พื้นเพเป็นชาวนครปฐม ถือเป็นกำลังสำคัญของกองทัพธรรมสายพระป่าอีกรูปหนึ่ง ว่ากันว่า การแสดงธรรมะเทศะนาของท่านนัันเฟ้นหาเนื้อหาสาระเป็นที่จับใจแก่ผู้ฟังธรรมเป็นอย่างยิ่ง.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​--นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 957
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=957
    ชื่อบทธรรม : -นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หมวด ฉ. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาสมาธิ
    --นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ
    --วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้ มีน้ำเต็มเปี่ยม กายืนดื่มได้.
    ครั้งนั้น มีบุรุษคนหนึ่งมาถึงเข้า เขามีประโยชน์ที่ฝั่งโน้น
    แสวงหาฝั่งโน้น มีการไปสู่ฝั่งโน้น ประสงค์จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้น
    แต่เขานอนคลุมศีรษะของตนอยู่ที่ริมฝั่งนี้.
    --วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : บุรุษนั้นจะไปจากฝั่งในสู่ฝั่งนอกแห่งแม่น้ำอจิรวดีได้หรือหนอ ?
    “ไม่ได้แน่ ท่านพระโคดม !”
    --วาเสฏฐะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    : นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้เรียกกันในอริยวินัย
    http://etipitaka.com/read/pali/9/306/?keywords=นีวรณา+ปญฺจ
    ว่า “เครื่องปิด” บ้าง ว่า “เครื่องกั้น” บ้าง ว่า “เครื่องคลุม” บ้าง ว่า “เครื่องร้อยรัด” บ้าง.
    ห้าอย่าง อย่างไรเล่า ? ห้าอย่างคือ
    กามฉันทนิวรณ์
    พ๎ยาปาทนิวรณ์
    ถีนมิทธนิวรณ์
    อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
    วิจิกิจฉานิวรณ์.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/306/?keywords=วิจิกิจฺฉานีวรณํ
    --วาเสฏฐะ ! นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้แล ซึ่งเรียกกันในอริยวินัย
    ว่า “เครื่องปิด” บ้าง
    ว่า “เครื่องกั้น” บ้าง
    ว่า “เครื่องคลุม” บ้าง
    ว่า “เครื่องร้อยรัด” บ้าง.
    --วาเสฏฐะ ! พราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ถูกนิวรณ์ ๕ อย่างเหล่านี้
    ปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว.
    --วาเสฏฐะ ! พราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น
    ละธรรมะที่ทำความเป็นพราหมณ์เสีย
    สมาทานธรรมะที่ไม่ทำความเป็นพราหมณ์ดำรงชีวิตให้เป็นไปอยู่
    อัน นิวรณ์ทั้ง ๕ อย่างเปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว
    จักเป็นผู้เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม
    ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้.-

    #สัมมาสมาธิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/366-367/378-379.
    http://etipitaka.com/read/thai/9/366/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๓๐๖-๓๐๗/๓๗๘-๓๗๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/306/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=957
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=957
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82
    ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​--นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ สัทธรรมลำดับที่ : 957 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=957 ชื่อบทธรรม : -นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ เนื้อความทั้งหมด :- --หมวด ฉ. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาสมาธิ --นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ --วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้ มีน้ำเต็มเปี่ยม กายืนดื่มได้. ครั้งนั้น มีบุรุษคนหนึ่งมาถึงเข้า เขามีประโยชน์ที่ฝั่งโน้น แสวงหาฝั่งโน้น มีการไปสู่ฝั่งโน้น ประสงค์จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้น แต่เขานอนคลุมศีรษะของตนอยู่ที่ริมฝั่งนี้. --วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : บุรุษนั้นจะไปจากฝั่งในสู่ฝั่งนอกแห่งแม่น้ำอจิรวดีได้หรือหนอ ? “ไม่ได้แน่ ท่านพระโคดม !” --วาเสฏฐะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้เรียกกันในอริยวินัย http://etipitaka.com/read/pali/9/306/?keywords=นีวรณา+ปญฺจ ว่า “เครื่องปิด” บ้าง ว่า “เครื่องกั้น” บ้าง ว่า “เครื่องคลุม” บ้าง ว่า “เครื่องร้อยรัด” บ้าง. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า ? ห้าอย่างคือ กามฉันทนิวรณ์ พ๎ยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์. http://etipitaka.com/read/pali/9/306/?keywords=วิจิกิจฺฉานีวรณํ --วาเสฏฐะ ! นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้แล ซึ่งเรียกกันในอริยวินัย ว่า “เครื่องปิด” บ้าง ว่า “เครื่องกั้น” บ้าง ว่า “เครื่องคลุม” บ้าง ว่า “เครื่องร้อยรัด” บ้าง. --วาเสฏฐะ ! พราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ถูกนิวรณ์ ๕ อย่างเหล่านี้ ปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว. --วาเสฏฐะ ! พราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ละธรรมะที่ทำความเป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมะที่ไม่ทำความเป็นพราหมณ์ดำรงชีวิตให้เป็นไปอยู่ อัน นิวรณ์ทั้ง ๕ อย่างเปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว จักเป็นผู้เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้.- #สัมมาสมาธิ​ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/366-367/378-379. http://etipitaka.com/read/thai/9/366/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๓๐๖-๓๐๗/๓๗๘-๓๗๙. http://etipitaka.com/read/pali/9/306/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=957 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=957 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82 ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด ฉ. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาสมาธิ--นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ
    -(บาลีพระสูตรนี้ ได้ทำให้เกิดประเพณีสวดคิริมานนทสูตร ให้คนเจ็บฟัง เพื่อจะได้หายเจ็บไข้ เช่นเดียวกับโพชฌงคสูตร. บางคนอาจจะสงสัยว่า มิเป็นการผิดหลักกรรมหรือเหตุปัจจัยไปหรือ ที่ความทุกข์ดับไปโดยไม่มีการดับเหตุแห่งทุกข์ ตามหลักแห่งจตุราริยสัจ. ข้อนี้ขอให้เข้าใจว่า การฟังธรรมของพระคิริมานนท์ ทำให้มีธรรมปีติอย่างแรงกล้า อำนาจของธรรมปีตินั้นสามารถระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนา ทุกขเวทนาจึงระงับไป ดุจดังว่าหายจากอาพาธ; กล่าวได้ว่ามีปัจจัยเพื่อการดับแห่งทุกข์อริยสัจ; ไม่ผิดไปจากกฎเกณฑ์แห่งกรรมหรือกฎเกณฑ์แห่งเหตุปัจจัยเลย; เป็นการดับทุกข์ได้วิธีหนึ่ง จึงนำข้อความนี้ มาใส่ไว้ในหมวดนี้). หมวด ฉ. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาสมาธิ นิวรณ์ - ข้าศึกแห่งสมาธิ วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้ มีน้ำเต็มเปี่ยม กายืนดื่มได้. ครั้งนั้น มีบุรุษคนหนึ่งมาถึงเข้า เขามีประโยชน์ที่ฝั่งโน้น แสวงหาฝั่งโน้น มีการไปสู่ฝั่งโน้น ประสงค์จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้น แต่เขานอนคลุมศีรษะของตนอยู่ที่ริมฝั่งนี้. วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : บุรุษนั้นจะไปจากฝั่งในสู่ฝั่งนอกแห่งแม่น้ำอจิรวดีได้หรือหนอ ? “ไม่ได้แน่ ท่านพระโคดม !” วาเสฏฐะ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้เรียกกันในอริยวินัย ว่า “เครื่องปิด” บ้าง ว่า “เครื่องกั้น” บ้าง ว่า “เครื่องคลุม” บ้าง ว่า “เครื่องร้อยรัด” บ้าง. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า ? ห้าอย่างคือ กามฉันทนิวรณ์ พ๎ยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์. วาเสฏฐะ ! นิวรณ์ ๕ อย่าง เหล่านี้แล ซึ่งเรียกกันในอริยวินัย ว่า “เครื่องปิด” บ้าง ว่า “เครื่องกั้น” บ้าง ว่า “เครื่องคลุม” บ้าง ว่า “เครื่องร้อยรัด” บ้าง. วาเสฏฐะ ! พราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ถูกนิวรณ์ ๕ อย่างเหล่านี้ ปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว. วาเสฏฐะ ! พราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ละธรรมะที่ทำความเป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมะที่ไม่ทำความเป็นพราหมณ์ดำรงชีวิตให้เป็นไปอยู่ อัน นิวรณ์ทั้ง ๕ อย่างเปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว จักเป็นผู้เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

    เดือนนี้ หากเปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้จะมีโจรขโมยขึ้นบ้านเป็นผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองโดยไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน หรืออาจจะถูกอิทธิพลมืดกลั่นแกล้งให้ร้าย หรืออาจจะถูกนินทาใส่ร้ายป้ายสี หรือจะเกิดการแข่งขันแย่งชิงอำนาจกันตลอดเวลา จึงควรงดการจัดงานประชุมเพื่อหาผลมติหรือจัดงานพบปะงานเลี้ยงสังสรรค์เพราะมีโอกาสจะเกิดความขัดแย้งแตกแยกไม่ลงรอยต่อกันเป็นสาเหตุให้กระทำผิดกฎหมายจนถูกลงโทษจับกุมคุมขังเกิดคดีความต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแก้ต่างวุ่นวายโดยมีอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันทำให้จิตใจไม่สงบจนขาดสติยั้งคิดเกิดอารมณ์ฉุนเฉียววู่วามอย่างรุนแรง ควรนำธรรมะเข้าข่มสกดกิเลสต้นเหตุแห่งอารมณ์ชีวิตถึงจะผ่อนคลายสงบร่มเย็น

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เดือนนี้ หากเปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้จะมีโจรขโมยขึ้นบ้านเป็นผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองโดยไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน หรืออาจจะถูกอิทธิพลมืดกลั่นแกล้งให้ร้าย หรืออาจจะถูกนินทาใส่ร้ายป้ายสี หรือจะเกิดการแข่งขันแย่งชิงอำนาจกันตลอดเวลา จึงควรงดการจัดงานประชุมเพื่อหาผลมติหรือจัดงานพบปะงานเลี้ยงสังสรรค์เพราะมีโอกาสจะเกิดความขัดแย้งแตกแยกไม่ลงรอยต่อกันเป็นสาเหตุให้กระทำผิดกฎหมายจนถูกลงโทษจับกุมคุมขังเกิดคดีความต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแก้ต่างวุ่นวายโดยมีอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันทำให้จิตใจไม่สงบจนขาดสติยั้งคิดเกิดอารมณ์ฉุนเฉียววู่วามอย่างรุนแรง ควรนำธรรมะเข้าข่มสกดกิเลสต้นเหตุแห่งอารมณ์ชีวิตถึงจะผ่อนคลายสงบร่มเย็น ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews

  • ..ไม่ใช่เลื่อน ต้องฉีกทิ้งทั้งหมด,จับบ่อนเถื่อน หวยใต้ดิน หวยเกินราคาของคนเดินขายหวยที่ลงทะเบียนเปิดเผยชัดเจนก่อนเถอะ,และยาบ้าที่คนขายคนผลิตใครโรงงานไหนผลิตออกมาขายยาบ้าจับมาลงทะเบียนให้ได้ก่อนเถอะ,เจ้าหน้าที่พื้นที่ทั้งหมดตลอดคนข้าราชการรู้กันหมดล่ะ,
    ..การเด็ดขาดกับคนต้นเหตุของปัญหา เรรไม่เด็ดขาดเลย ไม่เปิดโปง ปกปิดให้ด้วย แฉก็ไม่แฉชี้ชัดก็ด้วย,จับเพียงพวกสมุน.
    ..ง่ายมากจะจัดการพวกเถื่อนๆบนแผ่นดินไทย สิ่งแรกคือผลักดันคนที่ไม่ใช่คนไทยออกไปทั้งหมดทุกๆกรณี ใครมีไว้ให้อาศัยหรือใช้แรงงานถือว่ามีความผิด,ชุมชนสังคมนั้นๆจะการข่าวดีเยี่ยมหมด,ต่างชาติต่าวด้าวที่ไม่ใช่คนไทยออกไปหมด จะเหลือคนไทยล้วนๆยิ่งระมัดระวังภัยที่ผิดปกติมันง่ายแสนง่ายเลยล่ะ,ตรวจสอบสืบสวนติดตามจับกุมการกระทำไม่ดีก็แยกแยะชัดเจนรวดเร็วมาลงโทษได้ทันกาล,ไร้มือปั่นป่วนที่สร้างความผิดปกติมากมายลงได้หลายมิติของชุมชนสังคมไทยเราทันที เจ้าหน้าที่เราก็ไม่เหนื่อย กลับบ้านใครมันสร้างสุขในครอบครัวตามปกติ,นี้อะไรมั่วไปหมดเลอะเทอะไปหมด,ปกครองให้คนไทยยากจน ดิ้นรนจนบ้าคลั่ง ยากจนคือตังใช้จ่ายในชีวิตมีปัญหา ที่ระบบรัฐมุ่งใช้ระบบตังแลกเปลี่ยนกันและควบคุมกลไกสังคมด้วยตังด้วย,กฎหมายต่างๆก็ออกมาเพื่อแย่งชิงตังจากประชาชน เสียค่าปรับนั้นนี้ตรึม ขึ้นศาลก็เสียตัง สร้างแค่ความยุติธรรมยังคือภาระคนเรียกร้องหาความเป็นธรรมเสียตังใช้ตังนั่นล่ะ
    ..ปรับใบขับขี่ปรับขนส่งสมัยก่อนๆตรึม ประชาชนมีหน้าที่เสียค่าปรับตามกฎหมาย นี้ไง กฎหมายที่ดูดตังประชาชน ระบบใช้ตัง .ลองไม่เสียตังดูสิจะลดภาระประชาชนมากแค่ไหน,เอาตังไปเลี้ยงครอบครัวเขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากมายแค่ไหน,ภาษีต่างๆอีก,สาระพัดกฎหมายมากสาระพัดมุกดูดตังประชาชน,พอประชาชนจะมีชีวิตดีหน่อยกลับไปบริหารปกครองเป็นไปเพื่ออย่างดีมีสุขแก่ประชาชน บ่อน้ำมันอีกล่ะคือตัวอย่างที่ดี,เสือกรัฐบาลในอดีตยกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมบ่อน้ำมันให้เจ้าอื่น,ปกติรัฐบาลต้องแสดงสมองปัญญาความสามารถทำกิจการน้ำมันเองได้,แม้หมดอายุสัมปทานก็ไร้ปัญญาความสามารถคิดสมองหมาปัญญาควายสรรพสัตว์ไร้สมองไม่ตั้งใจก่อการทำเองเพื่อประชาชนคนไทยต้นทุนพลังงานน้ำมันราคาลดลง,ทำเองกลั่นเองขายเองลดต้นทุนค่าครองชีพประชาชนมันขาดทุนชาติเสียจะล้มสะลายตรงไหน,น้ำมันลิตรละ1-2บาทแบบอิหร่านคนไทยต้นทุนต่ำทันทีภายในชาติไทย ขนส่งขนส่งสินค้าไม่แพง ราคาสินค้าทั่วไทยจะลดลงทันที ทุกๆอย่างจะไม่แพง การพึ่งพาตนเองจะสูงสุดในคนไทยเรา,ส่งขายในตลาดราคาโลกจะไร้ปัญญาคิดอ่านไม่ได้เหรอ,เรามีผู้ปกครองที่กากขี้ขลาดไม่กล้าหาญเผชิญหน้าอะไรกับชาติมหาอำนาจหรือต่างชาติเลยเป็นบ๋อยสถุนมากในอดีตเรื่อยมา.
    ..ทหารประชาชนสมควรยึดอำนาจพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินจริง,มีแต่ทหารฝ่ายการเมืองยึดอำนาจมากว่า10ครั้งชาติมีแต่จะพังพินาศขายชาติขายที่ดินไร่ละ40ล้านบาทพะนะแก่ต่างชาติ เช่าที่ดินได้99ปีอีก,ฉีกรัฐธรรมนูญโคตรเก่งสามารถและเหี้ยกับประชาชน,ฉีกกฎหมายปล้นชาติไทยปล้นชิงธิปไตยไทยเสือกไม่ฉีก อาทิฉีกกฎหมายสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมด ฉีกmouทั้งลับๆแบะแจ้งที่ทรยศแผ่นดินเป็นทาสถูกเขาต่างชาติเอาเปรียบทิ้งไปและโมฆะทั้งหมด,เราจะได้คืนวัตถุดิบพัฒนาชาติไทยคืนมา100%ทันที.

    ..ระบบปกครองไทยสไตล์ไทยเราเขียนเองสร้างกันเองได้ เหี้ยไปใช้ระบบปกครองคณะกบฎ2475ส่งออกสุมหัวกับฝรั่งทำไม.,เมื่อพิจารณาแล้วว่าสมบูรณญาสิทธิราชย์ไม่ดีและของคณะกบฎ2475สอบตกไม่ผ่านสู่ยุคสมัยล้ำๆก็สร้างระบบใหม่เองเลย
    ..คือระบบจักรวาลที่สากลใช้ปกครองทั่วจักรวาลเป็นส่วนใหญ่ของทางสายกลาง มิติสูงๆก็ยอมรับ คนเลวชั่วคนสัตว์นรกรับไม่ได้เป็นปกติแน่นอนคือ #ระบบธรรมาธิปไตย ธรรมะฝ่ายดีเป็นเครื่องครองใจในสัมมาชีวิตชอบของทุกๆคนไทยก็ว่า.,ภัยใดๆจะละเว้นซึ่งกระทำไม่ดีต่อกันและกันทันที,เจริญทัังกายวัตถุธาตุและเจริญทั้งทางจิตวิญญาณจะเติบโตเบ่งบานในชนเผ่าไทยเราทุกๆคนแน่นอน.สงครามใดๆเราจะชนะสิ้น,มิตรดีสหายดีทั่วมหาจักรวาลเอายานบินมาช่วยรบตรึมล่ะ.
    ..นายกฯพระราชทานภาคมหาชนน่าจะเหมาะสมที่สุด.
    ..
    #นายกฯพระราชทาน
    ..
    https://m.youtube.com/watch?v=B_IzmPwSQ9I&pp=0gcJCX4JAYcqIYzv
    ..ไม่ใช่เลื่อน ต้องฉีกทิ้งทั้งหมด,จับบ่อนเถื่อน หวยใต้ดิน หวยเกินราคาของคนเดินขายหวยที่ลงทะเบียนเปิดเผยชัดเจนก่อนเถอะ,และยาบ้าที่คนขายคนผลิตใครโรงงานไหนผลิตออกมาขายยาบ้าจับมาลงทะเบียนให้ได้ก่อนเถอะ,เจ้าหน้าที่พื้นที่ทั้งหมดตลอดคนข้าราชการรู้กันหมดล่ะ, ..การเด็ดขาดกับคนต้นเหตุของปัญหา เรรไม่เด็ดขาดเลย ไม่เปิดโปง ปกปิดให้ด้วย แฉก็ไม่แฉชี้ชัดก็ด้วย,จับเพียงพวกสมุน. ..ง่ายมากจะจัดการพวกเถื่อนๆบนแผ่นดินไทย สิ่งแรกคือผลักดันคนที่ไม่ใช่คนไทยออกไปทั้งหมดทุกๆกรณี ใครมีไว้ให้อาศัยหรือใช้แรงงานถือว่ามีความผิด,ชุมชนสังคมนั้นๆจะการข่าวดีเยี่ยมหมด,ต่างชาติต่าวด้าวที่ไม่ใช่คนไทยออกไปหมด จะเหลือคนไทยล้วนๆยิ่งระมัดระวังภัยที่ผิดปกติมันง่ายแสนง่ายเลยล่ะ,ตรวจสอบสืบสวนติดตามจับกุมการกระทำไม่ดีก็แยกแยะชัดเจนรวดเร็วมาลงโทษได้ทันกาล,ไร้มือปั่นป่วนที่สร้างความผิดปกติมากมายลงได้หลายมิติของชุมชนสังคมไทยเราทันที เจ้าหน้าที่เราก็ไม่เหนื่อย กลับบ้านใครมันสร้างสุขในครอบครัวตามปกติ,นี้อะไรมั่วไปหมดเลอะเทอะไปหมด,ปกครองให้คนไทยยากจน ดิ้นรนจนบ้าคลั่ง ยากจนคือตังใช้จ่ายในชีวิตมีปัญหา ที่ระบบรัฐมุ่งใช้ระบบตังแลกเปลี่ยนกันและควบคุมกลไกสังคมด้วยตังด้วย,กฎหมายต่างๆก็ออกมาเพื่อแย่งชิงตังจากประชาชน เสียค่าปรับนั้นนี้ตรึม ขึ้นศาลก็เสียตัง สร้างแค่ความยุติธรรมยังคือภาระคนเรียกร้องหาความเป็นธรรมเสียตังใช้ตังนั่นล่ะ ..ปรับใบขับขี่ปรับขนส่งสมัยก่อนๆตรึม ประชาชนมีหน้าที่เสียค่าปรับตามกฎหมาย นี้ไง กฎหมายที่ดูดตังประชาชน ระบบใช้ตัง .ลองไม่เสียตังดูสิจะลดภาระประชาชนมากแค่ไหน,เอาตังไปเลี้ยงครอบครัวเขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากมายแค่ไหน,ภาษีต่างๆอีก,สาระพัดกฎหมายมากสาระพัดมุกดูดตังประชาชน,พอประชาชนจะมีชีวิตดีหน่อยกลับไปบริหารปกครองเป็นไปเพื่ออย่างดีมีสุขแก่ประชาชน บ่อน้ำมันอีกล่ะคือตัวอย่างที่ดี,เสือกรัฐบาลในอดีตยกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมบ่อน้ำมันให้เจ้าอื่น,ปกติรัฐบาลต้องแสดงสมองปัญญาความสามารถทำกิจการน้ำมันเองได้,แม้หมดอายุสัมปทานก็ไร้ปัญญาความสามารถคิดสมองหมาปัญญาควายสรรพสัตว์ไร้สมองไม่ตั้งใจก่อการทำเองเพื่อประชาชนคนไทยต้นทุนพลังงานน้ำมันราคาลดลง,ทำเองกลั่นเองขายเองลดต้นทุนค่าครองชีพประชาชนมันขาดทุนชาติเสียจะล้มสะลายตรงไหน,น้ำมันลิตรละ1-2บาทแบบอิหร่านคนไทยต้นทุนต่ำทันทีภายในชาติไทย ขนส่งขนส่งสินค้าไม่แพง ราคาสินค้าทั่วไทยจะลดลงทันที ทุกๆอย่างจะไม่แพง การพึ่งพาตนเองจะสูงสุดในคนไทยเรา,ส่งขายในตลาดราคาโลกจะไร้ปัญญาคิดอ่านไม่ได้เหรอ,เรามีผู้ปกครองที่กากขี้ขลาดไม่กล้าหาญเผชิญหน้าอะไรกับชาติมหาอำนาจหรือต่างชาติเลยเป็นบ๋อยสถุนมากในอดีตเรื่อยมา. ..ทหารประชาชนสมควรยึดอำนาจพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินจริง,มีแต่ทหารฝ่ายการเมืองยึดอำนาจมากว่า10ครั้งชาติมีแต่จะพังพินาศขายชาติขายที่ดินไร่ละ40ล้านบาทพะนะแก่ต่างชาติ เช่าที่ดินได้99ปีอีก,ฉีกรัฐธรรมนูญโคตรเก่งสามารถและเหี้ยกับประชาชน,ฉีกกฎหมายปล้นชาติไทยปล้นชิงธิปไตยไทยเสือกไม่ฉีก อาทิฉีกกฎหมายสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมด ฉีกmouทั้งลับๆแบะแจ้งที่ทรยศแผ่นดินเป็นทาสถูกเขาต่างชาติเอาเปรียบทิ้งไปและโมฆะทั้งหมด,เราจะได้คืนวัตถุดิบพัฒนาชาติไทยคืนมา100%ทันที. ..ระบบปกครองไทยสไตล์ไทยเราเขียนเองสร้างกันเองได้ เหี้ยไปใช้ระบบปกครองคณะกบฎ2475ส่งออกสุมหัวกับฝรั่งทำไม.,เมื่อพิจารณาแล้วว่าสมบูรณญาสิทธิราชย์ไม่ดีและของคณะกบฎ2475สอบตกไม่ผ่านสู่ยุคสมัยล้ำๆก็สร้างระบบใหม่เองเลย ..คือระบบจักรวาลที่สากลใช้ปกครองทั่วจักรวาลเป็นส่วนใหญ่ของทางสายกลาง มิติสูงๆก็ยอมรับ คนเลวชั่วคนสัตว์นรกรับไม่ได้เป็นปกติแน่นอนคือ #ระบบธรรมาธิปไตย ธรรมะฝ่ายดีเป็นเครื่องครองใจในสัมมาชีวิตชอบของทุกๆคนไทยก็ว่า.,ภัยใดๆจะละเว้นซึ่งกระทำไม่ดีต่อกันและกันทันที,เจริญทัังกายวัตถุธาตุและเจริญทั้งทางจิตวิญญาณจะเติบโตเบ่งบานในชนเผ่าไทยเราทุกๆคนแน่นอน.สงครามใดๆเราจะชนะสิ้น,มิตรดีสหายดีทั่วมหาจักรวาลเอายานบินมาช่วยรบตรึมล่ะ. ..นายกฯพระราชทานภาคมหาชนน่าจะเหมาะสมที่สุด. .. #นายกฯพระราชทาน .. https://m.youtube.com/watch?v=B_IzmPwSQ9I&pp=0gcJCX4JAYcqIYzv
    0 Comments 0 Shares 537 Views 0 Reviews
  • มีเกร็ดเล็กๆ น้อยที่เคยได้ยินท่านหลวงตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องโชคเรื่องลาภ จึงขอนำมาเล่าให้ฟังกันครับ

    หลวงตาม้าท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ท่านหนึ่งว่า เวลาถูกหวยหรือล็อตเตอรรี่ ให้แบ่ง 1ใน 3 ของส่วนที่ได้ไปทำบุญ แล้วครั้งต่อไปจะถูกอีก! เป็นบุญต่อบุญไง

    และอีกครั้งหนึ่ง ท่านเคยบอกได้ใจความว่า...บางทีเวลาเราไปขอหวยหรือขอเรื่องทรัพย์กับเทวดาเนี่ย เขาก็อยากให้เราเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้นะ แต่คนบางคนเนี่ย มันไม่เคยให้ทานมาก่อนเลย เทวดาเขาก็มองไม่เห็นบุญ เลยไม่รู้จะให้ยังไง ดังนั้นเวลาไปขอเรื่องทรัพย์หรือเรื่องหวยกับเทวดาเนี่ย ก่อนจะขอนั้น ให้เรานึกถึง บุญที่เราเคยทำทานมาก่อน เอาทานที่มันใหญ่ๆที่เราเคยทำมา นั่นแหละ เทวดาเขาจะมองเห็นบุญเรา แล้วเขาจะให้ได้

    จากที่หลวงตาม้าท่านกล่าวนั้น ที่ท่านบอกว่า ให้นึกถึงทานที่มันใหญ่ๆ ที่เราเคยทำมา บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าอย่างไหนที่เรียกว่าทานอย่างใหญ่

    ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เช่น ร่วมสร้างวิหาร ร่วมสร้างวัด ร่วมสร้างพระแล้วแจกฟรี หรือให้ธรรมะเป็นทาน อย่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุญใหญ่ทั้งนั้น ที่เป็นบุญใหญ่เพราะ อย่างการสร้างวัดนี้ ใครก็ตามที่เข้าไปทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนี้ เราก็มีส่วนได้บุญด้วยทั้งหมด เพราะเราเป็นเหตุให้เขาได้บุญ เอาแค่ว่ามีคนไปกวาดลานวัด เราก็ได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หรือการให้ธรรมะเป็นทานนั้น เช่น ถ้าเราไปสอนใครสวดมนต์ แล้วเขาคนนั้นนำไปสวด ทุกครั้งที่เขาสวด เราก็มีส่วนได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หลวงตาม้าท่านเคยบอกว่า..... หลวงปู่(ดู่) ท่านสอนว่า... เวลาจะทำอะไรให้เลือกทำที่มันยาวๆ จะดีกว่า อย่างการสร้างพระพุทธรูปเนี่ย
    พระพุทธรูปบางองค์อยู่ได้เป็นหลายร้อยปีเลยนะ ภายในระยะเวลาหลายร้อยปีนั้น ผู้ใดก็ตามที่มากราบพระพุทธรูปองค์นี้หรือมาทำบุญกับพระพุทธรูปองค์นี้ คนที่สร้างจะมีส่วนได้บุญทั้งหมด เพราะเป็นเหตุให้เขาได้กราบหรือได้ทำบุญ

    อย่างครูบา(ศรีวิชัย) เนี่ย ท่านไปสร้างวัดใช่ไหม ใครก็ตามที่ทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนั้น
    ท่านครูบาได้ด้วยหมดเลย(หัวเราะ)

    หรืออย่างหลวงตาสร้างพระเนี่ย ใครก็ตามที่เอาพระของหลวงตาไปกำทำสมาธิ หลวงตาก็ได้บุญด้วยหมดเลยนะ ตอนนี้หลวงตาใจสบายตลอดเวลาเลยเนี่ย เพราะมีคนสวดให้ตลอดเวลา(หัวเราะ)

    เมื่อหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ผมจึงได้เข้าใจ การทำบุญใดๆ ที่ทำแล้วส่งผลเป็นระยะยาว อานิสงส์ย่อมได้มากกว่าบุญที่ทำแล้วจบลงตรงนั้นเลย

    ขอบคุณและ เครดิตที่มา

    น้อมกราบ 
    #หลวงตาม้า
    #หลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะ
    #พระวรงคตวิริยธโร
    #วัดถ้ำเมืองนะ
    #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
    #พระพรหมปัญโญ
    #สวดคาถามหาจักรพรรดิ
    #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ
    #คาถามหาจักรพรรดิ108
    #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง
    #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ

    ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ
    @แฟนตัวยง
    มีเกร็ดเล็กๆ น้อยที่เคยได้ยินท่านหลวงตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องโชคเรื่องลาภ จึงขอนำมาเล่าให้ฟังกันครับ หลวงตาม้าท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ท่านหนึ่งว่า เวลาถูกหวยหรือล็อตเตอรรี่ ให้แบ่ง 1ใน 3 ของส่วนที่ได้ไปทำบุญ แล้วครั้งต่อไปจะถูกอีก! เป็นบุญต่อบุญไง และอีกครั้งหนึ่ง ท่านเคยบอกได้ใจความว่า...บางทีเวลาเราไปขอหวยหรือขอเรื่องทรัพย์กับเทวดาเนี่ย เขาก็อยากให้เราเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้นะ แต่คนบางคนเนี่ย มันไม่เคยให้ทานมาก่อนเลย เทวดาเขาก็มองไม่เห็นบุญ เลยไม่รู้จะให้ยังไง ดังนั้นเวลาไปขอเรื่องทรัพย์หรือเรื่องหวยกับเทวดาเนี่ย ก่อนจะขอนั้น ให้เรานึกถึง บุญที่เราเคยทำทานมาก่อน เอาทานที่มันใหญ่ๆที่เราเคยทำมา นั่นแหละ เทวดาเขาจะมองเห็นบุญเรา แล้วเขาจะให้ได้ จากที่หลวงตาม้าท่านกล่าวนั้น ที่ท่านบอกว่า ให้นึกถึงทานที่มันใหญ่ๆ ที่เราเคยทำมา บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าอย่างไหนที่เรียกว่าทานอย่างใหญ่ ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เช่น ร่วมสร้างวิหาร ร่วมสร้างวัด ร่วมสร้างพระแล้วแจกฟรี หรือให้ธรรมะเป็นทาน อย่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุญใหญ่ทั้งนั้น ที่เป็นบุญใหญ่เพราะ อย่างการสร้างวัดนี้ ใครก็ตามที่เข้าไปทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนี้ เราก็มีส่วนได้บุญด้วยทั้งหมด เพราะเราเป็นเหตุให้เขาได้บุญ เอาแค่ว่ามีคนไปกวาดลานวัด เราก็ได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หรือการให้ธรรมะเป็นทานนั้น เช่น ถ้าเราไปสอนใครสวดมนต์ แล้วเขาคนนั้นนำไปสวด ทุกครั้งที่เขาสวด เราก็มีส่วนได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หลวงตาม้าท่านเคยบอกว่า..... หลวงปู่(ดู่) ท่านสอนว่า... เวลาจะทำอะไรให้เลือกทำที่มันยาวๆ จะดีกว่า อย่างการสร้างพระพุทธรูปเนี่ย พระพุทธรูปบางองค์อยู่ได้เป็นหลายร้อยปีเลยนะ ภายในระยะเวลาหลายร้อยปีนั้น ผู้ใดก็ตามที่มากราบพระพุทธรูปองค์นี้หรือมาทำบุญกับพระพุทธรูปองค์นี้ คนที่สร้างจะมีส่วนได้บุญทั้งหมด เพราะเป็นเหตุให้เขาได้กราบหรือได้ทำบุญ อย่างครูบา(ศรีวิชัย) เนี่ย ท่านไปสร้างวัดใช่ไหม ใครก็ตามที่ทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนั้น ท่านครูบาได้ด้วยหมดเลย(หัวเราะ) หรืออย่างหลวงตาสร้างพระเนี่ย ใครก็ตามที่เอาพระของหลวงตาไปกำทำสมาธิ หลวงตาก็ได้บุญด้วยหมดเลยนะ ตอนนี้หลวงตาใจสบายตลอดเวลาเลยเนี่ย เพราะมีคนสวดให้ตลอดเวลา(หัวเราะ) เมื่อหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ผมจึงได้เข้าใจ การทำบุญใดๆ ที่ทำแล้วส่งผลเป็นระยะยาว อานิสงส์ย่อมได้มากกว่าบุญที่ทำแล้วจบลงตรงนั้นเลย ขอบคุณและ เครดิตที่มา น้อมกราบ  #หลวงตาม้า #หลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะ #พระวรงคตวิริยธโร #วัดถ้ำเมืองนะ #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ #พระพรหมปัญโญ #สวดคาถามหาจักรพรรดิ #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ #คาถามหาจักรพรรดิ108 #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ @แฟนตัวยง
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 346 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคาย
    สัทธรรมลำดับที่ : 950
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=950
    ชื่อบทธรรม :- แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคายใจได้
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคายใจได้
    (ในตอนต้นแห่งพระบาลีสูตรนี้
    ตรัสเล่าถึงช้างจ่าโขลงรำคาญอยู่ด้วยการรบกวนของช้างพลาย ช้างพัง ช้างรุ่น
    และลูกช้าง ที่ติดตามห้อมล้อม โดยกินหญ้าอ่อนเสียก่อนบ้าง
    กินยอดไม้ที่หักลงมาได้เสียก่อนบ้าง ลงไปทำน้ำให้ขุ่นเสียก่อนบ้าง
    ถูกเดินเบียดเสียดเมื่อขึ้นมาจากน้ำบ้าง
    จึงตัดสินใจหลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ต้องทนความรำคาญอีกต่อไป
    หักกิ่งไม้ฟาดตัวระงับความคันทั่วตัวอยู่อย่างสบาย เป็นอุปมาดังนี้แล้ว
    ได้ตรัสถึงภิกษุในกรณีนี้ ดังต่อไปนี้ :-
    )
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น
    : ในสมัยใด ภิกษุ*--๑ เป็นผู้เกลื่อนกล่นอยู่ด้วย
    ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ราชา มหาอำมาตย์ของราชา เดียรถีย์
    และสาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย;
    --ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นได้มีความคิดว่า
    “เดี๋ยวนี้เราเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
    ราชา มหาอำมาตย์ของราชา เดียรถีร์ และสาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย.
    ถ้าไฉน, เราพึง หลีกออกจากหมู่คณะ ไปอยู่ผู้เดียวเถิด”
    ดังนี้.
    --ภิกษุนั้น เสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าละเมาะ โคนไม้
    ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง.
    เธอนั้น ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม
    นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า,
    เธอ
    ๑--ละอภิชฌา ในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา ชำระจิตจากอภิชฌาอยู่;
    ๒--ละพยาบาท อันเป็นเครื่องประทุษร้าย มีจิตปราศจากพยาบาท เป็นผู้กรุณามีจิตหวังความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ชำระจิตจากพยาบาทอันเป็นเครื่องประทุษร้าย อยู่;
    ๓--ละถีนมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว ชำระจิตจากถีนมิทธะ อยู่;
    ๔--ละอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ในภายใน ชำระจิตจากอุทธัจจะกุกกุจจะ อยู่;
    ๕--ละวิจิกิจฉา ข้ามล่วงวิจิกิจฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าวว่า “นี่อะไร นี่อย่างไร” ในกุศลธรรม ทั้งหลาย ชำระจิตจากวิจิกิจฉา อยู่.
    --ภิกษุนั้น ละนิวรณ์ทั้งห้าอย่าง
    อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทำปัญญาให้ถอยกำลังเหล่านี้ ได้แล้ว
    สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม #เข้าถึงปฐมฌาน
    http://etipitaka.com/read/pali/23/453/?keywords=ปฐมชฺฌานํ
    อันมีวิตกมีวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
    ภิกษุนั้น #บำบัดกิเลสเป็นเครื่องระคายใจได้ อย่างเป็นที่พอใจของตน.

    *--๑. คำว่า “ภิกษุ” ในที่นี้ มีความหมายกว้าง
    รวมทั้งพระองค์เอง และผู้ปฏิบัติธรรมะอยู่เพราะความเห็นภัยในวัฏฏสงสารทุกท่าน,
    ในที่นี้แปลตามบาลี ซึ่งมีอยู่แต่เพียงคำว่า ภิกษุคำเดียว.

    (ในกรณีแห่งการบรรลุ
    &ทุติยฌาน...
    &ตติยฌาน...
    &จตุตถฌาน...
    &อากาสานัญจายตนะ... กระทั่งถึง
    &เนวสัญญานาสัญญายตนะ...
    ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งการบรรลุปฐมฌานข้างบนนี้
    ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อฌาน.
    ส่วนในกรณีแห่งการบรรลุ
    สัญญาเวทยิตนิโรธ...นั้น
    ตรัสว่า :-
    )
    --ภิกษุนั้น เพราะก้าวล่วง ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เสียได้โดยประการทั้งปวง
    จึง เข้าถึง &​สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่.
    เพราะเห็นด้วยปัญญาอาสวะของเธอนั้น ก็สูญสิ้นไป.
    เธอนั้น บำบัดกิเลสเป็นเครื่องระคายใจได้ อย่างเป็นที่พอใจของตน
    แล.

    #สัมมาสมาธิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก.อํ. 23/351 - 354/244.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/351/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก.อํ. ๒๓/๔๕๓ - ๔๕๖/๒๔๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/453/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=579
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81&id=950
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81
    ลำดับสาธยายธรรม : 81 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_81.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคาย สัทธรรมลำดับที่ : 950 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=950 ชื่อบทธรรม :- แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคายใจได้ เนื้อความทั้งหมด :- --แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคายใจได้ (ในตอนต้นแห่งพระบาลีสูตรนี้ ตรัสเล่าถึงช้างจ่าโขลงรำคาญอยู่ด้วยการรบกวนของช้างพลาย ช้างพัง ช้างรุ่น และลูกช้าง ที่ติดตามห้อมล้อม โดยกินหญ้าอ่อนเสียก่อนบ้าง กินยอดไม้ที่หักลงมาได้เสียก่อนบ้าง ลงไปทำน้ำให้ขุ่นเสียก่อนบ้าง ถูกเดินเบียดเสียดเมื่อขึ้นมาจากน้ำบ้าง จึงตัดสินใจหลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ต้องทนความรำคาญอีกต่อไป หักกิ่งไม้ฟาดตัวระงับความคันทั่วตัวอยู่อย่างสบาย เป็นอุปมาดังนี้แล้ว ได้ตรัสถึงภิกษุในกรณีนี้ ดังต่อไปนี้ :- ) --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น : ในสมัยใด ภิกษุ*--๑ เป็นผู้เกลื่อนกล่นอยู่ด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ราชา มหาอำมาตย์ของราชา เดียรถีย์ และสาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย; --ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นได้มีความคิดว่า “เดี๋ยวนี้เราเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ราชา มหาอำมาตย์ของราชา เดียรถีร์ และสาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย. ถ้าไฉน, เราพึง หลีกออกจากหมู่คณะ ไปอยู่ผู้เดียวเถิด” ดังนี้. --ภิกษุนั้น เสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าละเมาะ โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง. เธอนั้น ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า, เธอ ๑--ละอภิชฌา ในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา ชำระจิตจากอภิชฌาอยู่; ๒--ละพยาบาท อันเป็นเครื่องประทุษร้าย มีจิตปราศจากพยาบาท เป็นผู้กรุณามีจิตหวังความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ชำระจิตจากพยาบาทอันเป็นเครื่องประทุษร้าย อยู่; ๓--ละถีนมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว ชำระจิตจากถีนมิทธะ อยู่; ๔--ละอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ในภายใน ชำระจิตจากอุทธัจจะกุกกุจจะ อยู่; ๕--ละวิจิกิจฉา ข้ามล่วงวิจิกิจฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าวว่า “นี่อะไร นี่อย่างไร” ในกุศลธรรม ทั้งหลาย ชำระจิตจากวิจิกิจฉา อยู่. --ภิกษุนั้น ละนิวรณ์ทั้งห้าอย่าง อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทำปัญญาให้ถอยกำลังเหล่านี้ ได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม #เข้าถึงปฐมฌาน http://etipitaka.com/read/pali/23/453/?keywords=ปฐมชฺฌานํ อันมีวิตกมีวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่. ภิกษุนั้น #บำบัดกิเลสเป็นเครื่องระคายใจได้ อย่างเป็นที่พอใจของตน. *--๑. คำว่า “ภิกษุ” ในที่นี้ มีความหมายกว้าง รวมทั้งพระองค์เอง และผู้ปฏิบัติธรรมะอยู่เพราะความเห็นภัยในวัฏฏสงสารทุกท่าน, ในที่นี้แปลตามบาลี ซึ่งมีอยู่แต่เพียงคำว่า ภิกษุคำเดียว. (ในกรณีแห่งการบรรลุ &ทุติยฌาน... &ตติยฌาน... &จตุตถฌาน... &อากาสานัญจายตนะ... กระทั่งถึง &เนวสัญญานาสัญญายตนะ... ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งการบรรลุปฐมฌานข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อฌาน. ส่วนในกรณีแห่งการบรรลุ สัญญาเวทยิตนิโรธ...นั้น ตรัสว่า :- ) --ภิกษุนั้น เพราะก้าวล่วง ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เสียได้โดยประการทั้งปวง จึง เข้าถึง &​สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่. เพราะเห็นด้วยปัญญาอาสวะของเธอนั้น ก็สูญสิ้นไป. เธอนั้น บำบัดกิเลสเป็นเครื่องระคายใจได้ อย่างเป็นที่พอใจของตน แล. #สัมมาสมาธิ​ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก.อํ. 23/351 - 354/244. http://etipitaka.com/read/thai/23/351/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก.อํ. ๒๓/๔๕๓ - ๔๕๖/๒๔๔. http://etipitaka.com/read/pali/23/453/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=579 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81&id=950 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=81 ลำดับสาธยายธรรม : 81 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_81.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า เมื่อจิตอยู่ในปฐมฌาน, เพียงเท่านั้นจิตก็จะพ้นจากการรบกวนทำร้ายของมาร คือนิวรณ์ กิเลส และความรู้สึกอันเป็นทุกข์อื่นๆ เพราะอำนาจของปฐมฌานมีมากพอที่จะระงับความรู้สึกอันเป็นทุกข์นั้นเสียได้ แม้ไม่ตลอดไปก็ต้องได้ในระยะหนึ่งๆ เพื่อเป็นโอกาสให้ได้ปฏิบัติสูงขึ้นไป จนถึงที่สุด. ดังนั้น เราควรฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดในปฐมฌาน สำหรับ เป็นที่หลบภัยจากมารเมื่อไรก็ได้ ดังกล่าวแล้ว).
    -(ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า เมื่อจิตอยู่ในปฐมฌาน, เพียงเท่านั้นจิตก็จะพ้นจากการรบกวนทำร้ายของมาร คือนิวรณ์ กิเลส และความรู้สึกอันเป็นทุกข์อื่นๆ เพราะอำนาจของปฐมฌานมีมากพอที่จะระงับความรู้สึกอันเป็นทุกข์นั้นเสียได้ แม้ไม่ตลอดไปก็ต้องได้ในระยะหนึ่งๆ เพื่อเป็นโอกาสให้ได้ปฏิบัติสูงขึ้นไป จนถึงที่สุด. ดังนั้น เราควรฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดในปฐมฌาน สำหรับ เป็นที่หลบภัยจากมารเมื่อไรก็ได้ ดังกล่าวแล้ว). แม้เพียงปฐมฌาน ก็บำบัดกิเลสอันเป็นเครื่องระคายใจได้ (ในตอนต้นแห่งพระบาลีสูตรนี้ ตรัสเล่าถึงช้างจ่าโขลงรำคาญอยู่ด้วยการรบกวนของช้างพลาย ช้างพัง ช้างรุ่น และลูกช้าง ที่ติดตามห้อมล้อม โดยกินหญ้าอ่อนเสียก่อนบ้าง กินยอดไม้ที่หักลงมาได้เสียก่อนบ้าง ลงไปทำน้ำให้ขุ่นเสียก่อนบ้าง ถูกเดินเบียดเสียดเมื่อขึ้นมา จากน้ำบ้าง จึงตัดสินใจหลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ต้องทนความรำคาญอีกต่อไป หักกิ่งไม้ฟาดตัวระงับความคันทั่วตัวอยู่อย่างสบาย เป็นอุปมาดังนี้แล้ว ได้ตรัสถึงภิกษุในกรณีนี้ ดังต่อไปนี้ :- ) ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น : ในสมัยใด ภิกษุ๑ เป็นผู้เกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ราชา มหาอำมาตย์ของราชา เดียรถีย์ และสาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย; ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นได้มีความคิดว่า “เดี๋ยวนี้เราเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ราชา มหาอำมาตย์ของราชา เดียรถีร์ และสาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย. ถ้าไฉน, เราพึง หลีกออกจากหมู่คณะ ไปอยู่ผู้เดียวเถิด” ดังนี้. ภิกษุนั้น เสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าละเมาะ โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง. เธอนั้น ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า, เธอ ละอภิชฌา ในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา ชำระจิตจากอภิชฌาอยู่; ละพยาบาท อันเป็นเครื่องประทุษร้าย มีจิตปราศจากพยาบาท เป็นผู้กรุณามีจิตหวังความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ชำระจิตจากพยาบาทอันเป็นเครื่องประทุษร้าย อยู่; ละถีนมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว ชำระจิตจากถีนมิทธะ อยู่; ละอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ในภายใน ชำระจิตจากอุทธัจจะกุกกุจจะ อยู่; ละวิจิกิจฉา ข้ามล่วงวิจิกิจฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าวว่า “นี่อะไร นี่อย่างไร” ในกุศลธรรม ทั้งหลาย ชำระจิตจากวิจิกิจฉา อยู่. ๑. คำว่า “ภิกษุ” ในที่นี้ มีความหมายกว้าง รวมทั้งพระองค์เอง และผู้ปฏิบัติธรรมะอยู่เพราะความเห็นภัยในวัฏฏสงสารทุกท่าน, ในที่นี้แปลตามบาลี ซึ่งมีอยู่แต่เพียงคำว่า ภิกษุคำเดียว. ภิกษุนั้น ละนิวรณ์ทั้งห้าอย่าง อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทำปัญญาให้ถอยกำลังเหล่านี้ ได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง ปฐมฌานอันมีวิตกมีวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่. ภิกษุนั้น บำบัดกิเลสเป็นเครื่องระคายใจได้ อย่างเป็นที่พอใจของตน. (ในกรณีแห่งการบรรลุ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ กระทั่งถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งการบรรลุปฐมฌานข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อฌาน. ส่วนในกรณีแห่งการบรรลุ สัญญาเวทยิตนิโรธ นั้น ตรัสว่า :- ) ภิกษุนั้น เพราะก้าวล่วง ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เสียได้โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่. เพราะเห็นด้วยปัญญาอาสวะของเธอนั้น ก็สูญสิ้นไป. เธอนั้น บำบัดกิเลสเป็นเครื่องระคายใจได้ อย่างเป็นที่พอใจของตน แล.
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • "โชคที่แท้: มั่นคงด้วยธรรมในโลกแห่งความปั่นป่วน"

    1. ความหมายของโชคแท้
    • โชคไม่ใช่แค่ได้สิ่งดีโดยไม่คาดหมาย
    • แต่คือ จิตที่มั่นคง เย็นได้ท่ามกลางความวุ่นวาย
    • และการที่ "มีธรรม" อยู่กลางใจแล้ว

    2. สถานการณ์โลกปัจจุบัน
    • ความโกลาหลในโลกสร้างความกลัว กังวล คลุ้มคลั่ง
    • คนทั่วไปห่วงแต่อนาคต หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีเป้าหมาย
    • แต่ผู้มีธรรม จะไม่วุ่นไปตามโลก

    3. การตอบสนองอย่างมีสติ
    • ผู้มีปัญญา ใช้ธรรมะเป็นเครื่องตรวจสอบใจตน
    • วุ่นหรือว่าง?
    • กลัวตายหรือเตรียมพร้อมแล้ว?
    • กลัวอนาคต หรือมีแสงสว่างในใจแล้ว?

    4. ธรรมะที่ควรมี
    • มรณสติ: ทำให้กลัวตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เหตุให้ตระหนก
    • อริยมรรค: ทำให้มั่นคงแม้โลกภายนอกมืดมน
    • สติและสมาธิ: ทำให้แยกแยะใจร้อน vs ใจเย็นได้ทัน

    5. บทสรุปเพื่อปฏิบัติ
    • โชคที่แท้คือ การได้ธรรมประดิษฐานอยู่กลางใจ
    • หากยังไม่มี ต้องเร่งหา
    • หากมีแล้ว ให้อุ่นใจและเดินหน้าด้วยความมั่นคง

    Essence
    "ผู้มีโชคไม่ใช่ผู้ที่ได้อะไรมาง่าย ๆ แต่คือผู้ที่มีธรรมประจำใจท่ามกลางโลกที่กำลังคลุ้มคลั่ง!"
    "โชคที่แท้: มั่นคงด้วยธรรมในโลกแห่งความปั่นป่วน" 1. ความหมายของโชคแท้ • โชคไม่ใช่แค่ได้สิ่งดีโดยไม่คาดหมาย • แต่คือ จิตที่มั่นคง เย็นได้ท่ามกลางความวุ่นวาย • และการที่ "มีธรรม" อยู่กลางใจแล้ว 2. สถานการณ์โลกปัจจุบัน • ความโกลาหลในโลกสร้างความกลัว กังวล คลุ้มคลั่ง • คนทั่วไปห่วงแต่อนาคต หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีเป้าหมาย • แต่ผู้มีธรรม จะไม่วุ่นไปตามโลก 3. การตอบสนองอย่างมีสติ • ผู้มีปัญญา ใช้ธรรมะเป็นเครื่องตรวจสอบใจตน • วุ่นหรือว่าง? • กลัวตายหรือเตรียมพร้อมแล้ว? • กลัวอนาคต หรือมีแสงสว่างในใจแล้ว? 4. ธรรมะที่ควรมี • มรณสติ: ทำให้กลัวตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เหตุให้ตระหนก • อริยมรรค: ทำให้มั่นคงแม้โลกภายนอกมืดมน • สติและสมาธิ: ทำให้แยกแยะใจร้อน vs ใจเย็นได้ทัน 5. บทสรุปเพื่อปฏิบัติ • โชคที่แท้คือ การได้ธรรมประดิษฐานอยู่กลางใจ • หากยังไม่มี ต้องเร่งหา • หากมีแล้ว ให้อุ่นใจและเดินหน้าด้วยความมั่นคง Essence "ผู้มีโชคไม่ใช่ผู้ที่ได้อะไรมาง่าย ๆ แต่คือผู้ที่มีธรรมประจำใจท่ามกลางโลกที่กำลังคลุ้มคลั่ง!"
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ

    สรุป ไม่ออกมาถก เพราะครูนัทไม่ได้มาคุยกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร (คงคิดว่ามาทำไม สุดท้ายก็ฟ้องเขาเหมือนเดิม) ไม่มาอย่ามา ก็อยู่กันไปแบบนั้แหละจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงเนาะ

    1. อะไรที่ติงมาว่าสอนผิดเขาบอกเขาแก้แล้ว
    ผิดกี่เรื่อง แก้กี่เรื่องล่ะ เรื่องพระปิณโฑละ นานแล้วยังไม่แก้ อีกหลายเรื่องแกล้งลืม

    2. เขายอมรับว่า เรื่องโกณฑัญญะพราหมณ์ใช้ฌานพยากรณ์ไม่มีในตำรา เขาเข้าใจเอาเอง และยังคงตีมั่วระหว่างฌานกับญาน โอเค อันนี้จบ ในเมื่อยอมรับแล้วว่าเข้าใจเอาเอง ไม่เอาความเห็นตนมาแปดเปื้อนคัมภีร์ ดังนั่นนับแต่นี้ต่อไป อะไรที่เข้าใจเอาเอง ช่วยกรุณาบอกชาวบ้านด้วยว่า อันนี้เข้าใจเอง

    3. เรื่องเดรัจฉานวิชา ยังเชื่อว่าตัวเองสอนถูก อ้างครูบาอาจารย์ยืนยันด้วย ครูบาอาจารย์ท่านไหนเหรอยืนยัน บอกชื่อท่านมาเลย ครูนัทจะเข้าไปคุย มายืนยันได้ยังไง เอาอาจารย์ที่ยืนยันนั่นแหละมาเปิดคัมภีร์ยันกันกับคำพูดของเขาทีละคำ

    4. เขาบอกว่าพระสัทธรรมไม่หาย เพราะมีคนสอนธรรมอยู่ แต่พระสัทธรรมจะหายเมื่อคนสอนให้เชื่อหมอดู ซัดแกรบ ซัดรำบูชาไฟ ฟังแล้วงง ใครสอนให้บูชาไฟวะคะ แน่จริงเอ่ยชื่อมาเลย อย่าตีกินชาวบ้านด้วยสันดานแบบนี้

    เถียงพระพุทธเจ้าอีกว่าพระสัทธรรมไม่หาย ก็เธอสอนผิดๆ ตลอด หนังสือก็ผิด สัทธรรมจะปฏิรูป สัทธรรมจะไม่หายได้ไง ถ้าสอนผิดขนาดนี้ ไม่สอนซะดีกว่านะ ไปสอนอย่างอื่นเถอะ อย่าเอาธรรมะมาทำคอนเท้นท์อีกเลย

    https://vt.tiktok.com/ZSr6ARENp/
    Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ สรุป ไม่ออกมาถก เพราะครูนัทไม่ได้มาคุยกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร (คงคิดว่ามาทำไม สุดท้ายก็ฟ้องเขาเหมือนเดิม) ไม่มาอย่ามา ก็อยู่กันไปแบบนั้แหละจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงเนาะ 1. อะไรที่ติงมาว่าสอนผิดเขาบอกเขาแก้แล้ว ผิดกี่เรื่อง แก้กี่เรื่องล่ะ เรื่องพระปิณโฑละ นานแล้วยังไม่แก้ อีกหลายเรื่องแกล้งลืม 2. เขายอมรับว่า เรื่องโกณฑัญญะพราหมณ์ใช้ฌานพยากรณ์ไม่มีในตำรา เขาเข้าใจเอาเอง และยังคงตีมั่วระหว่างฌานกับญาน โอเค อันนี้จบ ในเมื่อยอมรับแล้วว่าเข้าใจเอาเอง ไม่เอาความเห็นตนมาแปดเปื้อนคัมภีร์ ดังนั่นนับแต่นี้ต่อไป อะไรที่เข้าใจเอาเอง ช่วยกรุณาบอกชาวบ้านด้วยว่า อันนี้เข้าใจเอง 3. เรื่องเดรัจฉานวิชา ยังเชื่อว่าตัวเองสอนถูก อ้างครูบาอาจารย์ยืนยันด้วย ครูบาอาจารย์ท่านไหนเหรอยืนยัน บอกชื่อท่านมาเลย ครูนัทจะเข้าไปคุย มายืนยันได้ยังไง เอาอาจารย์ที่ยืนยันนั่นแหละมาเปิดคัมภีร์ยันกันกับคำพูดของเขาทีละคำ 4. เขาบอกว่าพระสัทธรรมไม่หาย เพราะมีคนสอนธรรมอยู่ แต่พระสัทธรรมจะหายเมื่อคนสอนให้เชื่อหมอดู ซัดแกรบ ซัดรำบูชาไฟ ฟังแล้วงง ใครสอนให้บูชาไฟวะคะ แน่จริงเอ่ยชื่อมาเลย อย่าตีกินชาวบ้านด้วยสันดานแบบนี้ เถียงพระพุทธเจ้าอีกว่าพระสัทธรรมไม่หาย ก็เธอสอนผิดๆ ตลอด หนังสือก็ผิด สัทธรรมจะปฏิรูป สัทธรรมจะไม่หายได้ไง ถ้าสอนผิดขนาดนี้ ไม่สอนซะดีกว่านะ ไปสอนอย่างอื่นเถอะ อย่าเอาธรรมะมาทำคอนเท้นท์อีกเลย https://vt.tiktok.com/ZSr6ARENp/
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • ธรรมะในโลกมีมากมาย เลือกเอาธรรมะประดับจิตประดับใจ
    ธรรมะในโลกมีมากมาย เลือกเอาธรรมะประดับจิตประดับใจ
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • 🌿 ศาสนาพุทธ : เปลือกและแก่นของการทำบุญ 🌿


    ---

    🔵 1️⃣ เปลือกแรกของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจเป็นสุข

    ✅ เป้าหมาย → ทำบุญเพื่อให้ใจเบา สบาย และเป็นสุข
    ✅ วิธีการ

    ให้ทาน → สละออกเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น

    รักษาศีล → ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

    ฝึกสมาธิ → ทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
    ✅ ผลลัพธ์

    ใจที่สละออก = ใจที่เบาขึ้น

    ใจที่ห้ามความชั่ว = ใจที่สะอาดขึ้น
    📌 "การทำบุญเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่แค่พิธีกรรม"



    ---

    🟢 2️⃣ แก่นแท้ของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจพ้นทุกข์

    ✅ เป้าหมาย → สละความเห็นผิด สละความยึดมั่นในตัวตน
    ✅ วิธีการ

    สละ ‘ความยึดมั่นถือมั่น’ → เห็นว่าทุกสิ่งเป็น ‘อนัตตา’

    รู้ทันจิต → เห็นการเปลี่ยนแปลงของกายและใจอย่างเป็นกลาง

    ใช้ชีวิตด้วยสติ → ไม่เบียดเบียนใคร และอยู่กับธรรมชาติของชีวิต
    ✅ ผลลัพธ์

    จิตโปร่ง โล่ง เบา → ไม่ยึดติดความคิดว่า ‘เรา’ เป็นสิ่งใด

    ไม่มีตัวตนที่แท้จริง → ทุกสิ่งเป็นเพียง ‘การเปลี่ยนแปลง’ เท่านั้น
    📌 "พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้แค่ ‘ดี’ แต่สอนให้ ‘พ้นทุกข์’"



    ---

    🔶 3️⃣ ทำไมบางคนเรียนธรรมะแต่ยังทุกข์?

    📌 ปัญหา

    รู้หลักธรรมะ แต่ ‘ยังมีอัตตา’ → คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

    รู้ว่า ‘กายใจเป็นอนัตตา’ แต่ ‘ยังยึดติดความรู้’

    เข้าใจทฤษฎี แต่ยัง ‘โลภ โกรธ หลง’ อยู่


    📌 แนวทางแก้ไข

    เจริญสติในปัจจุบัน → รู้ลมหายใจ รู้กาย รู้จิตของตัวเอง

    ไม่ยึดติดความเป็นผู้รู้ → ไม่หลงคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

    ใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติ → ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดดันตัวเอง


    📌 "การศึกษาธรรมะไม่ใช่การสะสมความรู้ แต่คือการลดอัตตา จนเหลือแต่จิตที่ว่างและเบาสบาย"


    ---

    🌅 4️⃣ การเจริญสติแบบพุทธ : ฝึก ‘รู้’ อย่างไรให้พ้นทุกข์

    ✅ ฝึกมองกายใจแบบแยกส่วน

    หายใจเข้า → รู้สึกโล่ง หรืออึดอัด?

    หายใจออก → รู้สึกสบาย หรือกดดัน?

    จิตฟุ้งซ่าน → แค่รู้ว่าฟุ้ง ไม่ต้องไปแก้

    จิตสงบ → แค่รู้ว่าสงบ ไม่ต้องไปยึด


    ✅ ฝึกเห็นว่า ‘ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง’

    อารมณ์ดี → เดี๋ยวก็หายไป

    อารมณ์ร้าย → เดี๋ยวก็หายไป

    ความสุข ความทุกข์ → ไม่เที่ยงทั้งคู่


    📌 "เห็นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกลาง ใจก็เบาและพ้นทุกข์"


    ---

    🔄 5️⃣ สรุป : พุทธศาสนาสอนอะไร?

    ✅ เปลือกแรก → ทำบุญให้ใจเป็นสุข
    ✅ แก่นแท้ → สละตัวตนเพื่อให้ใจพ้นทุกข์
    ✅ ทางปฏิบัติ → เจริญสติ ฝึกเห็นกายใจเป็น ‘อนัตตา’
    ✅ เป้าหมายสูงสุด → จิตโปร่ง โล่ง เบา ไม่ยึดติดอะไร

    📌 "พระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการให้เราพ้นทุกข์อย่างแท้จริง" 🏔️

    🌿 ศาสนาพุทธ : เปลือกและแก่นของการทำบุญ 🌿 --- 🔵 1️⃣ เปลือกแรกของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจเป็นสุข ✅ เป้าหมาย → ทำบุญเพื่อให้ใจเบา สบาย และเป็นสุข ✅ วิธีการ ให้ทาน → สละออกเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น รักษาศีล → ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ฝึกสมาธิ → ทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ✅ ผลลัพธ์ ใจที่สละออก = ใจที่เบาขึ้น ใจที่ห้ามความชั่ว = ใจที่สะอาดขึ้น 📌 "การทำบุญเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่แค่พิธีกรรม" --- 🟢 2️⃣ แก่นแท้ของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจพ้นทุกข์ ✅ เป้าหมาย → สละความเห็นผิด สละความยึดมั่นในตัวตน ✅ วิธีการ สละ ‘ความยึดมั่นถือมั่น’ → เห็นว่าทุกสิ่งเป็น ‘อนัตตา’ รู้ทันจิต → เห็นการเปลี่ยนแปลงของกายและใจอย่างเป็นกลาง ใช้ชีวิตด้วยสติ → ไม่เบียดเบียนใคร และอยู่กับธรรมชาติของชีวิต ✅ ผลลัพธ์ จิตโปร่ง โล่ง เบา → ไม่ยึดติดความคิดว่า ‘เรา’ เป็นสิ่งใด ไม่มีตัวตนที่แท้จริง → ทุกสิ่งเป็นเพียง ‘การเปลี่ยนแปลง’ เท่านั้น 📌 "พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้แค่ ‘ดี’ แต่สอนให้ ‘พ้นทุกข์’" --- 🔶 3️⃣ ทำไมบางคนเรียนธรรมะแต่ยังทุกข์? 📌 ปัญหา รู้หลักธรรมะ แต่ ‘ยังมีอัตตา’ → คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น รู้ว่า ‘กายใจเป็นอนัตตา’ แต่ ‘ยังยึดติดความรู้’ เข้าใจทฤษฎี แต่ยัง ‘โลภ โกรธ หลง’ อยู่ 📌 แนวทางแก้ไข เจริญสติในปัจจุบัน → รู้ลมหายใจ รู้กาย รู้จิตของตัวเอง ไม่ยึดติดความเป็นผู้รู้ → ไม่หลงคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติ → ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดดันตัวเอง 📌 "การศึกษาธรรมะไม่ใช่การสะสมความรู้ แต่คือการลดอัตตา จนเหลือแต่จิตที่ว่างและเบาสบาย" --- 🌅 4️⃣ การเจริญสติแบบพุทธ : ฝึก ‘รู้’ อย่างไรให้พ้นทุกข์ ✅ ฝึกมองกายใจแบบแยกส่วน หายใจเข้า → รู้สึกโล่ง หรืออึดอัด? หายใจออก → รู้สึกสบาย หรือกดดัน? จิตฟุ้งซ่าน → แค่รู้ว่าฟุ้ง ไม่ต้องไปแก้ จิตสงบ → แค่รู้ว่าสงบ ไม่ต้องไปยึด ✅ ฝึกเห็นว่า ‘ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง’ อารมณ์ดี → เดี๋ยวก็หายไป อารมณ์ร้าย → เดี๋ยวก็หายไป ความสุข ความทุกข์ → ไม่เที่ยงทั้งคู่ 📌 "เห็นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกลาง ใจก็เบาและพ้นทุกข์" --- 🔄 5️⃣ สรุป : พุทธศาสนาสอนอะไร? ✅ เปลือกแรก → ทำบุญให้ใจเป็นสุข ✅ แก่นแท้ → สละตัวตนเพื่อให้ใจพ้นทุกข์ ✅ ทางปฏิบัติ → เจริญสติ ฝึกเห็นกายใจเป็น ‘อนัตตา’ ✅ เป้าหมายสูงสุด → จิตโปร่ง โล่ง เบา ไม่ยึดติดอะไร 📌 "พระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการให้เราพ้นทุกข์อย่างแท้จริง" 🏔️
    0 Comments 0 Shares 566 Views 0 Reviews
  • เขย่าวงการศาสนา! วัดป่าถูกแฉเป็นเครือข่ายธุรกิจแฝง พระสงฆ์ใช้ศรัทธาชักชวนศิษย์ลงทุน ก่อนกลายเป็นขบวนการฉ้อโกงกว่า 200 ล้านบาท

    #sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #sondhix #เปิดโปงเครือข่ายวัดป่า #เครือข่ายธุรกิจวัดป่า #ศรัทธาถูกใช้บังหน้า #ธรรมะกลายเป็นธุรกิจ
    เขย่าวงการศาสนา! วัดป่าถูกแฉเป็นเครือข่ายธุรกิจแฝง พระสงฆ์ใช้ศรัทธาชักชวนศิษย์ลงทุน ก่อนกลายเป็นขบวนการฉ้อโกงกว่า 200 ล้านบาท #sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #sondhix #เปิดโปงเครือข่ายวัดป่า #เครือข่ายธุรกิจวัดป่า #ศรัทธาถูกใช้บังหน้า #ธรรมะกลายเป็นธุรกิจ
    Like
    Angry
    Love
    21
    0 Comments 0 Shares 2359 Views 46 0 Reviews
  • #ธรรมะก่อนนอน
    วันเวลามันผ่านไปเร็ว ที่น่าเสียใจ น่าเสียดายก็คือ มันไม่ได้ผ่านไปเปล่า.... ผ่านแล้วผ่านเลย แล้วเอาความแก่ให้เรา เอาความพลัดพรากให้เรา พาความตายใกล้เราเข้ามา ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น
    โอวาทธรรม #พระอาจารย์รารี จารุธัมโม #วัดป่าโนนกุดหล่ม
    #NanthapatWongyai
    #ธรรมะก่อนนอน วันเวลามันผ่านไปเร็ว ที่น่าเสียใจ น่าเสียดายก็คือ มันไม่ได้ผ่านไปเปล่า.... ผ่านแล้วผ่านเลย แล้วเอาความแก่ให้เรา เอาความพลัดพรากให้เรา พาความตายใกล้เราเข้ามา ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น โอวาทธรรม #พระอาจารย์รารี จารุธัมโม #วัดป่าโนนกุดหล่ม #NanthapatWongyai
    0 Comments 0 Shares 561 Views 0 0 Reviews
More Results