• ร่มโพธิ์แห่งป่าพง
    โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล

    สามสิบสามปีผ่านพ้นไป เสียงธรรมยังใกล้ดังไม่สิ้น หลวงปู่ชาผู้ทรงศีล ศูนย์รวมจิตศรัทธา

    จำได้ไหมวันนั้นเมื่อครั้งก่อน หลวงปู่ท่านละร่างไปอย่างสงบ น้ำตาไหล รดผืนดินไม่จบ ใจยังพบธรรมะที่ท่านให้ไว้

    * โอ้หลวงปู่ชา พระป่าแห่งหนองพง คำสอนยังดำรง ข้ามโลกไม่จางหาย น้ำร้อน น้ำฮ้อน ชี้ถึงความจริงใจ สอนทั้งโลกได้ ด้วยใจอันบริสุทธิ์

    เกิดมาจากดินคืนสู่ดิน แต่ธรรมท่านสิ้น ไม่เคยสูญหาย โยมทุกชาติ ทุกภาษา ไม่ต่างใด เมื่อรู้ใจ จะพบทางเดียวกัน

    ซ้ำ *

    จากบ้านก่อสู่หนองป่าพงใหญ่ สร้างทางธรรมไกลไปทุกแห่งหน สาขาวัด สะพานใจเชื่อมคน ท่านมอบให้พ้นทุกข์ตามคำพุทธองค์

    สามสิบสามปี ลาลับหลวงปู่ชา แต่วัตรยังนำพา ดั่งร่มโพธิ์ป่าใหญ่ คำสอนท่าน คือธงชัยนำใจ ร่มธรรมในใจพุทธศาสนิกชน

    โอ้หลวงปู่ชา ผู้เป็นพระป่าแท้ คำสอนยังแน่วแน่ สืบต่อทุกคืนวัน จากหลวงปู่ชา สู่หัวใจของทุกคน ร่มโพธิ์คงอยู่มั่น ตราบนิรันดร์กาล

    160919 ม.ค. 2568
    ร่มโพธิ์แห่งป่าพง โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล สามสิบสามปีผ่านพ้นไป เสียงธรรมยังใกล้ดังไม่สิ้น หลวงปู่ชาผู้ทรงศีล ศูนย์รวมจิตศรัทธา จำได้ไหมวันนั้นเมื่อครั้งก่อน หลวงปู่ท่านละร่างไปอย่างสงบ น้ำตาไหล รดผืนดินไม่จบ ใจยังพบธรรมะที่ท่านให้ไว้ * โอ้หลวงปู่ชา พระป่าแห่งหนองพง คำสอนยังดำรง ข้ามโลกไม่จางหาย น้ำร้อน น้ำฮ้อน ชี้ถึงความจริงใจ สอนทั้งโลกได้ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ เกิดมาจากดินคืนสู่ดิน แต่ธรรมท่านสิ้น ไม่เคยสูญหาย โยมทุกชาติ ทุกภาษา ไม่ต่างใด เมื่อรู้ใจ จะพบทางเดียวกัน ซ้ำ * จากบ้านก่อสู่หนองป่าพงใหญ่ สร้างทางธรรมไกลไปทุกแห่งหน สาขาวัด สะพานใจเชื่อมคน ท่านมอบให้พ้นทุกข์ตามคำพุทธองค์ สามสิบสามปี ลาลับหลวงปู่ชา แต่วัตรยังนำพา ดั่งร่มโพธิ์ป่าใหญ่ คำสอนท่าน คือธงชัยนำใจ ร่มธรรมในใจพุทธศาสนิกชน โอ้หลวงปู่ชา ผู้เป็นพระป่าแท้ คำสอนยังแน่วแน่ สืบต่อทุกคืนวัน จากหลวงปู่ชา สู่หัวใจของทุกคน ร่มโพธิ์คงอยู่มั่น ตราบนิรันดร์กาล 160919 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 56 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วิธีทำบุญให้ได้บุญในชาตินี้ โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    ขอขอบพระคุณคลิปเสียงจาก ธรรมะสอนใจ
    #วิธีทำบุญให้ได้บุญในชาตินี้ โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ขอขอบพระคุณคลิปเสียงจาก ธรรมะสอนใจ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สายธรรมแห่งล้านนา
    โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล

    ฮื้อฮือ...
เสียงลมจางพัดผ่านห้วยหนอง
บนฟากฟ้าแมกไม้หมอกหม่น
ดุจดังธรรมะพร่ำพรอดเอ่ย
ให้จิตใจเราเงียบสงบ

    โอ้หลวงพ่อผู้เป็นดั่งแสง
นำพาธรรมแห่งล้านนา
รอยธุดงค์ผ่านป่าเขา
ใจสละสิ้นโลกีย์สุขา
    
เจ้าเกษม ณ ลำปาง
ผู้เดินทางสายธรรมะ
แสงจันทร์เดือนยี่แว่ววังเวง
เรือนใจใสห่มด้วยเมตตา

    แรมสิบเอ็ดค่ำ เดือนสองปีกุน
นับจากวันที่ท่านนิพพาน
พุทธศาสน์ยังคงแสงเรืองรอง
จากคำสอนที่ท่านสืบไว้

    เจ้าเกษม เรืองชื่อลือนาม

    ธุดงค์วิปัสสนาสายวิเวกเอย
ลำปางสะท้านพลิ้วสำนึกใน
แม้ล่วงลับธรรมยังยืนยง
ชื่อท่านดำรงเป็นปณิธาน

    สุสานไตรลักษณ์นี้ยังตราตรึง
หลวงพ่อเกษม ผู้ย่ำใจ
โอ้ล้านนา... ธรรมแห่งท่าน
จะส่งแสงชั่วกาลนาน…

    150931 ม.ค. 2568
    สายธรรมแห่งล้านนา โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล ฮื้อฮือ...
เสียงลมจางพัดผ่านห้วยหนอง
บนฟากฟ้าแมกไม้หมอกหม่น
ดุจดังธรรมะพร่ำพรอดเอ่ย
ให้จิตใจเราเงียบสงบ โอ้หลวงพ่อผู้เป็นดั่งแสง
นำพาธรรมแห่งล้านนา
รอยธุดงค์ผ่านป่าเขา
ใจสละสิ้นโลกีย์สุขา 
เจ้าเกษม ณ ลำปาง
ผู้เดินทางสายธรรมะ
แสงจันทร์เดือนยี่แว่ววังเวง
เรือนใจใสห่มด้วยเมตตา แรมสิบเอ็ดค่ำ เดือนสองปีกุน
นับจากวันที่ท่านนิพพาน
พุทธศาสน์ยังคงแสงเรืองรอง
จากคำสอนที่ท่านสืบไว้ เจ้าเกษม เรืองชื่อลือนาม ธุดงค์วิปัสสนาสายวิเวกเอย
ลำปางสะท้านพลิ้วสำนึกใน
แม้ล่วงลับธรรมยังยืนยง
ชื่อท่านดำรงเป็นปณิธาน สุสานไตรลักษณ์นี้ยังตราตรึง
หลวงพ่อเกษม ผู้ย่ำใจ
โอ้ล้านนา... ธรรมแห่งท่าน
จะส่งแสงชั่วกาลนาน… 150931 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 33 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ความว่า

    “เด็กๆ คงเคยได้ยินคำว่า “อิทธิฤทธิ์” และใฝ่ฝันจะมีอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลสรรพสิ่งให้สำเร็จได้ดังใจปรารถนากันมาแล้วทุกคน อันที่จริงแล้วคำว่า “อิทธิ” กับ “ฤทธิ” นั้นเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกัน แปลว่า ความสำเร็จ ถ้าจะกล่าวในทางพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์จะประสบความสำเร็จในกิจใด ตั้งแต่ในชั้นต้นทางโลก เช่น เรียนเก่ง ร่ำรวย เฉลียวฉลาด มีตำแหน่งหน้าที่การงานตามที่ปรารถนา กระทั่งถึงชั้นที่ยากยิ่งขึ้นไปในทางธรรมะ เช่น การมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ได้มรรคผลเป็นพระอริยบุคคลไปตามลำดับ จำเป็นต้องอบรมเจริญคุณธรรมที่เรียกว่า “อิทธิบาท ๔” ด้วยกันทั้งสิ้น อิทธิบาททั้ง ๔ ข้อนั้นประกอบด้วย ฉันทะ คือความพอใจรักที่จะทำสิ่งนั้น, วิริยะ คือความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่ท้อถอย, จิตตะ คือการตั้งจิตจดจ่อในสิ่งที่ทำ และ วิมังสา คือปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล รู้เท่าทัน เห็นข้อยิ่งข้อหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น รู้จักวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุงเสมอ

    ขอจงสังเกตให้เห็นชัดว่าในอิทธิบาท ๔ นั้น ไม่มีคำว่าร้องขอ อ้อนวอน เบื่อหน่าย เกียจคร้าน ท้อถอย เลื่อนลอย ไม่มีสมาธิ สะเพร่า และไม่รอบคอบ เพราะฉะนั้น ขอให้เด็ก ๆ จงพัฒนาตนให้เป็นผู้ประกอบฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อย่างสมดุลในทุกการคิด การพูด และการกระทำ อย่าเป็นคนมักง่าย ใจเร็ว ด่วนได้ อย่ามุ่งคว้าเอาแต่ผลได้ โดยไม่คำนึงถึงการสร้างเหตุดีที่ชอบธรรม ขอให้มั่นในอิทธิบาท อันมีพลังอานุภาพวิเศษ ช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในสิ่งดีงามได้สมดังใจปรารถนา

    ขออำนวยพรให้เด็กและเยาวชนทุกคน เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ในสุจริตธรรม เพราะการครองอิทธิบาท ๔ โดยครบถ้วนสมบูรณ์ ขอจงรักษาเพิ่มพูนคุณลักษณะความเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม เพื่ออนาคตของตน และของสังคมไทยที่รักของเราทุกคน.”
    เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ความว่า “เด็กๆ คงเคยได้ยินคำว่า “อิทธิฤทธิ์” และใฝ่ฝันจะมีอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลสรรพสิ่งให้สำเร็จได้ดังใจปรารถนากันมาแล้วทุกคน อันที่จริงแล้วคำว่า “อิทธิ” กับ “ฤทธิ” นั้นเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกัน แปลว่า ความสำเร็จ ถ้าจะกล่าวในทางพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์จะประสบความสำเร็จในกิจใด ตั้งแต่ในชั้นต้นทางโลก เช่น เรียนเก่ง ร่ำรวย เฉลียวฉลาด มีตำแหน่งหน้าที่การงานตามที่ปรารถนา กระทั่งถึงชั้นที่ยากยิ่งขึ้นไปในทางธรรมะ เช่น การมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ได้มรรคผลเป็นพระอริยบุคคลไปตามลำดับ จำเป็นต้องอบรมเจริญคุณธรรมที่เรียกว่า “อิทธิบาท ๔” ด้วยกันทั้งสิ้น อิทธิบาททั้ง ๔ ข้อนั้นประกอบด้วย ฉันทะ คือความพอใจรักที่จะทำสิ่งนั้น, วิริยะ คือความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่ท้อถอย, จิตตะ คือการตั้งจิตจดจ่อในสิ่งที่ทำ และ วิมังสา คือปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล รู้เท่าทัน เห็นข้อยิ่งข้อหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น รู้จักวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุงเสมอ ขอจงสังเกตให้เห็นชัดว่าในอิทธิบาท ๔ นั้น ไม่มีคำว่าร้องขอ อ้อนวอน เบื่อหน่าย เกียจคร้าน ท้อถอย เลื่อนลอย ไม่มีสมาธิ สะเพร่า และไม่รอบคอบ เพราะฉะนั้น ขอให้เด็ก ๆ จงพัฒนาตนให้เป็นผู้ประกอบฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อย่างสมดุลในทุกการคิด การพูด และการกระทำ อย่าเป็นคนมักง่าย ใจเร็ว ด่วนได้ อย่ามุ่งคว้าเอาแต่ผลได้ โดยไม่คำนึงถึงการสร้างเหตุดีที่ชอบธรรม ขอให้มั่นในอิทธิบาท อันมีพลังอานุภาพวิเศษ ช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในสิ่งดีงามได้สมดังใจปรารถนา ขออำนวยพรให้เด็กและเยาวชนทุกคน เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ในสุจริตธรรม เพราะการครองอิทธิบาท ๔ โดยครบถ้วนสมบูรณ์ ขอจงรักษาเพิ่มพูนคุณลักษณะความเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม เพื่ออนาคตของตน และของสังคมไทยที่รักของเราทุกคน.”
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มหามุนี" เย้ยคนที่ติดตาม "อ.เบียร์ คนตื่นธรรม" ไม่มีธรรมะในใจ แถมทำให้ระบบเสีย (10/01/68) #news1 #อ.เบียร์คนตื่นธรรม
    "มหามุนี" เย้ยคนที่ติดตาม "อ.เบียร์ คนตื่นธรรม" ไม่มีธรรมะในใจ แถมทำให้ระบบเสีย (10/01/68) #news1 #อ.เบียร์คนตื่นธรรม
    Like
    Haha
    Sad
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1551 มุมมอง 50 0 รีวิว

  • ศาลหลวงตาทอง กระทุ่มแบน

    ในอดีตบริเวณนี้เป็นป่าให้มีความสงบ หลวงตาทอง เมื่ออายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ ได้เดินทางมาถึงกระทุ่มแบนและเห็นว่าเหมาะสมสำหรับการตั้งกุฎินั่งวิปัสสนา เพราะบริเวณนี้เป็นป่าที่สงบเงียบเปลี่ยว วังเวง มีแต่หลุมฝังศพของคนตาย ปราศจากผู้คน หลวงตาทองจึงสร้างกุฏิขึ้น และจำพรรษาอยู่ที่นี้
    หลวงตาทองเป็นพระที่สูญเสียการมองเห็น แต่ก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องแคล่ว ท่านยังเคร่งครัดในธรรมะ มีความสามารถในการสวดพระปาฏิโมกข์ มีความรู้ในเวทมนตร์คาถาที่ช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน และเรื่องเมตตามหานิยม
    ชาวบ้านในตลาดกระทุ่มแบนจึงเลื่อมใสศรัทธาและเคารพนับถือมาก เมื่อมีคนเจ็บป่วยก็จะมาหาหลวงตาทองเพื่อให้ช่วยรักษาโรค ชาวบ้านที่เคารพท่านมักจะสร้างศาลเล็กๆไว้ในบ้านของตัวเองและกราบไหว้บูชาเพื่อให้หลวงตาทองช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง
    ศาลหลวงตาทองสร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 2499

    ช้างเรื่องเยอะ!
    ศาลหลวงตาทอง กระทุ่มแบน ในอดีตบริเวณนี้เป็นป่าให้มีความสงบ หลวงตาทอง เมื่ออายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ ได้เดินทางมาถึงกระทุ่มแบนและเห็นว่าเหมาะสมสำหรับการตั้งกุฎินั่งวิปัสสนา เพราะบริเวณนี้เป็นป่าที่สงบเงียบเปลี่ยว วังเวง มีแต่หลุมฝังศพของคนตาย ปราศจากผู้คน หลวงตาทองจึงสร้างกุฏิขึ้น และจำพรรษาอยู่ที่นี้ หลวงตาทองเป็นพระที่สูญเสียการมองเห็น แต่ก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องแคล่ว ท่านยังเคร่งครัดในธรรมะ มีความสามารถในการสวดพระปาฏิโมกข์ มีความรู้ในเวทมนตร์คาถาที่ช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน และเรื่องเมตตามหานิยม ชาวบ้านในตลาดกระทุ่มแบนจึงเลื่อมใสศรัทธาและเคารพนับถือมาก เมื่อมีคนเจ็บป่วยก็จะมาหาหลวงตาทองเพื่อให้ช่วยรักษาโรค ชาวบ้านที่เคารพท่านมักจะสร้างศาลเล็กๆไว้ในบ้านของตัวเองและกราบไหว้บูชาเพื่อให้หลวงตาทองช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง ศาลหลวงตาทองสร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 2499 ช้างเรื่องเยอะ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • การหลุดพ้นจากบ่วงกรรมในครอบครัว

    1. รู้คุณท่าน (กตัญญู)

    เริ่มต้นจากการพิจารณาความจริง:

    พ่อแม่ให้ชีวิต ให้ร่างกายนี้แก่เรา ซึ่งเป็นพื้นฐานของโอกาสทั้งหมดในชีวิต

    หากขาดบุญคุณนี้ คุณจะไม่มีโอกาสรับรู้หรือสัมผัสความสว่างทางธรรม

    ให้อภัยในความผิดพลาดของพ่อแม่:

    เห็นว่าท่านก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อาจผิดพลาดได้

    เลิกผูกพยาบาท เพราะการให้อภัยคือการปลดล็อกใจของตัวเอง

    ---

    2. สนองคุณท่าน (กตเวที)

    ทำให้พ่อแม่มีความสุข:

    ทั้งด้วยคำพูด การดูแลเอาใจใส่ และการกระทำที่แสดงถึงความรักและเคารพ

    นำพาท่านสู่ความดี:

    สนับสนุนให้พ่อแม่มีศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น พระพุทธเจ้า กรรมวิบาก

    ช่วยให้พวกท่านรักษาศีล และละเว้นจากการกระทำที่ผิด

    ทำให้พ่อแม่พ้นจากความมืดบอดทางจิตใจ ไปสู่ปัญญาและความสว่าง

    ---

    3. วิธีปฏิบัติในทางธรรม

    เริ่มจากสิ่งเล็กๆ:

    ช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน

    แผ่เมตตาให้พ่อแม่ มีความปรารถนาดีต่อพวกท่านเสมอ

    สื่อสารผ่านธรรมะ:

    วางหนังสือธรรมะ หรือสื่อที่พวกท่านสนใจ เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อแม่เข้าถึงธรรมะ

    ใช้คำพูดที่อ่อนโยนและสร้างแรงบันดาลใจ

    ---

    4. ผลลัพธ์ของการปฏิบัติ

    เกิดความเบาสบายในจิตใจ:

    เมื่อรู้คุณและตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ จะรู้สึกเหมือนปลดบ่วงบางอย่างออกไป

    ปลูกแนวโน้มแห่งความสว่างในชีวิต:

    การทำกรรมดีต่อพ่อแม่ คือการสร้างเหตุให้ชีวิตพบเจอสิ่งดีๆ

    พ้นจากแรงดึงดูดของกรรมเดิม:

    เมื่อเราทำดีต่อพ่อแม่อย่างจริงใจ กรรมที่เป็นบ่วงรัดกับพวกท่านจะค่อยๆ คลายลง

    ---

    สรุป

    การหลุดพ้นจากแรงกรรมในครอบครัว ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนแปลงพ่อแม่โดยทันที แต่คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการรู้คุณ และตอบแทนคุณอย่างเต็มที่ การให้อภัยและการพยายามนำพาท่านสู่สิ่งที่ดี คือหนทางที่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากบ่วงกรรมได้ทั้งในชาตินี้และภายภาคหน้า.
    การหลุดพ้นจากบ่วงกรรมในครอบครัว 1. รู้คุณท่าน (กตัญญู) เริ่มต้นจากการพิจารณาความจริง: พ่อแม่ให้ชีวิต ให้ร่างกายนี้แก่เรา ซึ่งเป็นพื้นฐานของโอกาสทั้งหมดในชีวิต หากขาดบุญคุณนี้ คุณจะไม่มีโอกาสรับรู้หรือสัมผัสความสว่างทางธรรม ให้อภัยในความผิดพลาดของพ่อแม่: เห็นว่าท่านก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อาจผิดพลาดได้ เลิกผูกพยาบาท เพราะการให้อภัยคือการปลดล็อกใจของตัวเอง --- 2. สนองคุณท่าน (กตเวที) ทำให้พ่อแม่มีความสุข: ทั้งด้วยคำพูด การดูแลเอาใจใส่ และการกระทำที่แสดงถึงความรักและเคารพ นำพาท่านสู่ความดี: สนับสนุนให้พ่อแม่มีศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น พระพุทธเจ้า กรรมวิบาก ช่วยให้พวกท่านรักษาศีล และละเว้นจากการกระทำที่ผิด ทำให้พ่อแม่พ้นจากความมืดบอดทางจิตใจ ไปสู่ปัญญาและความสว่าง --- 3. วิธีปฏิบัติในทางธรรม เริ่มจากสิ่งเล็กๆ: ช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน แผ่เมตตาให้พ่อแม่ มีความปรารถนาดีต่อพวกท่านเสมอ สื่อสารผ่านธรรมะ: วางหนังสือธรรมะ หรือสื่อที่พวกท่านสนใจ เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อแม่เข้าถึงธรรมะ ใช้คำพูดที่อ่อนโยนและสร้างแรงบันดาลใจ --- 4. ผลลัพธ์ของการปฏิบัติ เกิดความเบาสบายในจิตใจ: เมื่อรู้คุณและตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ จะรู้สึกเหมือนปลดบ่วงบางอย่างออกไป ปลูกแนวโน้มแห่งความสว่างในชีวิต: การทำกรรมดีต่อพ่อแม่ คือการสร้างเหตุให้ชีวิตพบเจอสิ่งดีๆ พ้นจากแรงดึงดูดของกรรมเดิม: เมื่อเราทำดีต่อพ่อแม่อย่างจริงใจ กรรมที่เป็นบ่วงรัดกับพวกท่านจะค่อยๆ คลายลง --- สรุป การหลุดพ้นจากแรงกรรมในครอบครัว ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนแปลงพ่อแม่โดยทันที แต่คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการรู้คุณ และตอบแทนคุณอย่างเต็มที่ การให้อภัยและการพยายามนำพาท่านสู่สิ่งที่ดี คือหนทางที่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากบ่วงกรรมได้ทั้งในชาตินี้และภายภาคหน้า.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอาล่ะแจกได้....นี่คือหนังสือธรรมะทั้งหมดที่ lit nit ใช้ในการศึกษาเพื่อพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องนำหนังสือเหล่านี้มาแจกต่อไป บอกเลยว่าทุกเล่มดีมาก แล้วแต่ว่าจริตใครจะตรงกับพระอาจารย์รูปไหน....ยกตัวอย่าง ถ้าชอบแบบอ่านง่ายก็หนังสือชุด5เล่มของสมเด็จพระญาณสังวรณ์ ชอบสายป่ามีเล่มดีมากคือประวัติพระอาจารย์มั่นและประวัติหลวงตามหาบัว ชอบอิทธิปาฎิหาริย์ก็หนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชอบแบบถามตอบปัญหาก็หลวงปู่หล้าและหลวงพ่อพุธ ชอบเรื่องกรรมหลวงพ่อจรัญ ชอบปัญญาก็หลวงพ่อพุทธทาสหลวงพ่อปัญญา ชอบพระถังซัมจั๋งก็มีประวัติ ฯลฯ#เอาล่ะใครอยากได้เล่มไหนก็บอกมา หนังสือน่ะฟรีแต่คุณออกค่าจัดส่งเองนะ
    เอาล่ะแจกได้....นี่คือหนังสือธรรมะทั้งหมดที่ lit nit ใช้ในการศึกษาเพื่อพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องนำหนังสือเหล่านี้มาแจกต่อไป บอกเลยว่าทุกเล่มดีมาก แล้วแต่ว่าจริตใครจะตรงกับพระอาจารย์รูปไหน....ยกตัวอย่าง ถ้าชอบแบบอ่านง่ายก็หนังสือชุด5เล่มของสมเด็จพระญาณสังวรณ์ ชอบสายป่ามีเล่มดีมากคือประวัติพระอาจารย์มั่นและประวัติหลวงตามหาบัว ชอบอิทธิปาฎิหาริย์ก็หนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชอบแบบถามตอบปัญหาก็หลวงปู่หล้าและหลวงพ่อพุธ ชอบเรื่องกรรมหลวงพ่อจรัญ ชอบปัญญาก็หลวงพ่อพุทธทาสหลวงพ่อปัญญา ชอบพระถังซัมจั๋งก็มีประวัติ ฯลฯ#เอาล่ะใครอยากได้เล่มไหนก็บอกมา หนังสือน่ะฟรีแต่คุณออกค่าจัดส่งเองนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนตื่นธรรมปากแซ่บ พระผู้ใหญ่ติง ระวังจะจบไม่สวย
    อาจารย์เบียร์คนตื่นทํา นักสอนธรรมะคนดังได้เวลาฝ่าด่านดราม่าสําคัญ เมื่ออาจารย์เบียร์ดันไปตอบคําถามเรื่องสังขารสรีระไม่เน่าเปื่อย ของเกจิอาจารย์บางรูป อาจารย์เบียร์ชี้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์
    ขนาดหมาแมวก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าซากไม่เน่าเปื่อยเหมือนกัน ทําเอาชาวพุทธลุกฮือด้วยความไม่พอใจทัวร์ลงอาจารย์เบียร์ทันที ต้องบอกว่าคําพูดนั้นเป็นสไตล์ปกติของอาจารย์เบียร์ เขาสร้างตัวตนขึ้นมาจากการสอนธรรมะแบบฮาร์ดคอร์พูดจาโผงผาง ดุดัน วางตําแหน่งตัวเองเหมือนเป็นคนคอยจับผิดความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่บิดเบี้ยวไปจากเดิม
    มีคนชอบมากก็มี ไม่ชอบมากเช่นกันคราวนี้ถือว่าปากของอาจารย์เบียร์พาตัวเองให้ลําบากดันเปรียบเปรยเกจิอาจารย์กับหมาแมว จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าอาจารย์เบียร์จาบจ้วงเกินไปแล้ว มีพระผู้ใหญ่ออกโรงมาปราบอาจารย์เบียร์โดยเจ้าคุณประสาน กล่าวว่าในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อรวย ปาสาทิโกซึ่งสรีระสังขารไม่เน่าเปื่อยรู้สึกว่าอาจารย์เบียร์ขาดสิ่งที่เรียกว่าคารวะตาหรือความเคารพ
    เจ้าคุณประสานแนะนําอาจารย์เบียร์ ว่าคนจะเป็นอาจารย์สอนธรรมะคนอื่น ต้องสอนตัวเองในหลักคารวะตา6 ให้ได้เสียก่อนตามคําสอนของพระพุทธเจ้าการพูดเอามันส์ สนุกแสวงหาคอนเทนต์โดยขาดคารวะตาอาจทําให้เป็นคนก้าวร้าวเกรี้ยวกราดแข็งกระด้าง
    ต้องบอกว่าแรงแบบไม่มีผ่อนคันเร่ง อาจารย์เบียร์เย้ยบรรดาชาวเน็ตที่มาทัวร์ลงว่ามีแต่คนแก่เป็นทัวร์ฟันปลอม ทัวร์ไม้เท้าพร้อมยืนยันคําเดิมซากที่ไม่เน่าเปื่อย ไม่ใช่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด ส่วนเรื่องล้มละลายอาจารย์เบียร์ก็ไม่ปฏิเสธว่าเคยถูกฟ้องล้มละลายจริง แต่เป็นธนาคารฟ้องไม่ใช่แฟนเก่าอย่างที่มีการปล่อยข่าว
    มีการตั้งข้อสังเกตว่าการล้มละลายสงสัยจะเป็นการล้มบนฟูก มีเงินแต่ไม่ใช้หนี้อย่างไรก็ตามใช่ว่าอาจารย์เบียร์จะไม่มีพวกที่เป็นเซเลบสายพุทธ อย่างอดีตพุทธอิสระก็ชูว่าอาจารย์เบียร์นี่แหละของแทร้ หรือแพรี่ไพรวัลย์ก็เตือนอาจารย์เบียร์อย่างหวังดีว่าต้องระวังจุดสลบในเรื่องเงินบริจาค ถ้าจัดการไม่ดีล่ะก็อาจารย์เบียร์จะบานเอาได้
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    คนตื่นธรรมปากแซ่บ พระผู้ใหญ่ติง ระวังจะจบไม่สวย อาจารย์เบียร์คนตื่นทํา นักสอนธรรมะคนดังได้เวลาฝ่าด่านดราม่าสําคัญ เมื่ออาจารย์เบียร์ดันไปตอบคําถามเรื่องสังขารสรีระไม่เน่าเปื่อย ของเกจิอาจารย์บางรูป อาจารย์เบียร์ชี้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ขนาดหมาแมวก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าซากไม่เน่าเปื่อยเหมือนกัน ทําเอาชาวพุทธลุกฮือด้วยความไม่พอใจทัวร์ลงอาจารย์เบียร์ทันที ต้องบอกว่าคําพูดนั้นเป็นสไตล์ปกติของอาจารย์เบียร์ เขาสร้างตัวตนขึ้นมาจากการสอนธรรมะแบบฮาร์ดคอร์พูดจาโผงผาง ดุดัน วางตําแหน่งตัวเองเหมือนเป็นคนคอยจับผิดความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่บิดเบี้ยวไปจากเดิม มีคนชอบมากก็มี ไม่ชอบมากเช่นกันคราวนี้ถือว่าปากของอาจารย์เบียร์พาตัวเองให้ลําบากดันเปรียบเปรยเกจิอาจารย์กับหมาแมว จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าอาจารย์เบียร์จาบจ้วงเกินไปแล้ว มีพระผู้ใหญ่ออกโรงมาปราบอาจารย์เบียร์โดยเจ้าคุณประสาน กล่าวว่าในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อรวย ปาสาทิโกซึ่งสรีระสังขารไม่เน่าเปื่อยรู้สึกว่าอาจารย์เบียร์ขาดสิ่งที่เรียกว่าคารวะตาหรือความเคารพ เจ้าคุณประสานแนะนําอาจารย์เบียร์ ว่าคนจะเป็นอาจารย์สอนธรรมะคนอื่น ต้องสอนตัวเองในหลักคารวะตา6 ให้ได้เสียก่อนตามคําสอนของพระพุทธเจ้าการพูดเอามันส์ สนุกแสวงหาคอนเทนต์โดยขาดคารวะตาอาจทําให้เป็นคนก้าวร้าวเกรี้ยวกราดแข็งกระด้าง ต้องบอกว่าแรงแบบไม่มีผ่อนคันเร่ง อาจารย์เบียร์เย้ยบรรดาชาวเน็ตที่มาทัวร์ลงว่ามีแต่คนแก่เป็นทัวร์ฟันปลอม ทัวร์ไม้เท้าพร้อมยืนยันคําเดิมซากที่ไม่เน่าเปื่อย ไม่ใช่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด ส่วนเรื่องล้มละลายอาจารย์เบียร์ก็ไม่ปฏิเสธว่าเคยถูกฟ้องล้มละลายจริง แต่เป็นธนาคารฟ้องไม่ใช่แฟนเก่าอย่างที่มีการปล่อยข่าว มีการตั้งข้อสังเกตว่าการล้มละลายสงสัยจะเป็นการล้มบนฟูก มีเงินแต่ไม่ใช้หนี้อย่างไรก็ตามใช่ว่าอาจารย์เบียร์จะไม่มีพวกที่เป็นเซเลบสายพุทธ อย่างอดีตพุทธอิสระก็ชูว่าอาจารย์เบียร์นี่แหละของแทร้ หรือแพรี่ไพรวัลย์ก็เตือนอาจารย์เบียร์อย่างหวังดีว่าต้องระวังจุดสลบในเรื่องเงินบริจาค ถ้าจัดการไม่ดีล่ะก็อาจารย์เบียร์จะบานเอาได้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • อยู่กับความดี
    มีสุขทุกข์คลาย
    ธรรมจริงมุ่งหมาย
    ให้ไกลทุกข์ได้

    ชีวีดำรง
    ทรงคุณอาศัย
    ภาวนาไว้
    ให้ได้ปัญญา

    รู้ควรเหมาะสม
    กลมกลืนนำพา
    ธรรมะรักษา
    เยียวยาใจดี

    ตื่นหลับเป็นสุข
    ทุกข์อย่าได้มี
    ให้คุุณความดี
    มีอยู่ครองใจ
    อยู่กับความดี มีสุขทุกข์คลาย ธรรมจริงมุ่งหมาย ให้ไกลทุกข์ได้ ชีวีดำรง ทรงคุณอาศัย ภาวนาไว้ ให้ได้ปัญญา รู้ควรเหมาะสม กลมกลืนนำพา ธรรมะรักษา เยียวยาใจดี ตื่นหลับเป็นสุข ทุกข์อย่าได้มี ให้คุุณความดี มีอยู่ครองใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep 18.1 ) "พุทโธของเราหาย" (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) . สนธิทอล์คธรรม . เครดิตเพจ . ธรรมะไทย . สำนักข่าวมติชน. ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย . ปีนี้มีชัย สว่างไสว คล่องตัวไม่ติดขัด ใช้สติที่ฝึกมา ป้องกันภัยด้วยตัวเอง
    Ep 18.1 ) "พุทโธของเราหาย" (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) . สนธิทอล์คธรรม . เครดิตเพจ . ธรรมะไทย . สำนักข่าวมติชน. ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย . ปีนี้มีชัย สว่างไสว คล่องตัวไม่ติดขัด ใช้สติที่ฝึกมา ป้องกันภัยด้วยตัวเอง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 740 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • ไทยเราเสียหาย
    และเสียโอกาส
    ที่จะเป็นฐานการผลิต ซิบ
    เพราะ พ่อมันเรียกรับ %
    จากนักธุรกิจ ต่างชาติ
    จริงหรือไม่ คนไม่ไร้ปัญญา
    ฟังก็จะบรรลุ ธรรม ที่ต้อง ทำ ครับ
    https://www.youtube.com/live/4I_8MEbdnsM?si=iUjfAXSyPLznZOn9
    เมื่อเราหยุดความเหี้ยของมันไม่ได้ ขนาด มันโกงที่ พระมหากษัตริย์
    ลดอภัยโทษให้เหลือ 1 ปี
    มันยังโดงได้ลงคอ
    พวกเราได้แต่ยืนดูการโกง เพราะคนส่วนใหญ่ที่โง่ ยังยอมให้มันโกง ด้วยการยืนยันแสดงออกให้มันโกงต่อไป
    ด้วยการเลือก คนของพรรคของมันที่ส่งลงสมัคร
    เราก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่

    จึงขอเชิญเพื่อน ๆ
    ื หันมาดูแลสุขภาพ
    แบบคนจนก้น ด้วยการ
    รักษาสุขภาพ แบบคนจน เอาไว้
    เพื่อรอธรรมะเวลาที่จะจัดเวลามาถึง ว่าไอ้คนที่ขายแผ่นดิน โกงสัมปทาน เอาหุ้นของรัฐไปขาย

    มันจะพบกับความ วิบัติ หรือไม่

    มารอดูกรรม ที่มัน ทำ กำหนดกัน

    https://www.facebook.com/share/v/18g2utqCKq/
    ไทยเราเสียหาย และเสียโอกาส ที่จะเป็นฐานการผลิต ซิบ เพราะ พ่อมันเรียกรับ % จากนักธุรกิจ ต่างชาติ จริงหรือไม่ คนไม่ไร้ปัญญา ฟังก็จะบรรลุ ธรรม ที่ต้อง ทำ ครับ https://www.youtube.com/live/4I_8MEbdnsM?si=iUjfAXSyPLznZOn9 เมื่อเราหยุดความเหี้ยของมันไม่ได้ ขนาด มันโกงที่ พระมหากษัตริย์ ลดอภัยโทษให้เหลือ 1 ปี มันยังโดงได้ลงคอ พวกเราได้แต่ยืนดูการโกง เพราะคนส่วนใหญ่ที่โง่ ยังยอมให้มันโกง ด้วยการยืนยันแสดงออกให้มันโกงต่อไป ด้วยการเลือก คนของพรรคของมันที่ส่งลงสมัคร เราก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่ จึงขอเชิญเพื่อน ๆ ื หันมาดูแลสุขภาพ แบบคนจนก้น ด้วยการ รักษาสุขภาพ แบบคนจน เอาไว้ เพื่อรอธรรมะเวลาที่จะจัดเวลามาถึง ว่าไอ้คนที่ขายแผ่นดิน โกงสัมปทาน เอาหุ้นของรัฐไปขาย มันจะพบกับความ วิบัติ หรือไม่ มารอดูกรรม ที่มัน ทำ กำหนดกัน https://www.facebook.com/share/v/18g2utqCKq/
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตพระพุทธะอิสระโพสต์สั่งสอนแฟนคลับ อ.เบียร์ คนตื่นธรรม หลังไม่พอใจที่บอกว่าปากพล่อย ย้อนถาม เปรียบเทียบพระเถระที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยกับหมาแมววที่ตาย ถือว่าปากพล่อยไหม อุตส่าห์ชื่นชมว่าเผยแพร่ธรรมะได้ดีกว่า 2 มหาวิทยาลัยสงฆ์ แต่กลับไม่อ่าน มาสำเหนียกแค่คำว่าปากพล่อย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000946

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    อดีตพระพุทธะอิสระโพสต์สั่งสอนแฟนคลับ อ.เบียร์ คนตื่นธรรม หลังไม่พอใจที่บอกว่าปากพล่อย ย้อนถาม เปรียบเทียบพระเถระที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยกับหมาแมววที่ตาย ถือว่าปากพล่อยไหม อุตส่าห์ชื่นชมว่าเผยแพร่ธรรมะได้ดีกว่า 2 มหาวิทยาลัยสงฆ์ แต่กลับไม่อ่าน มาสำเหนียกแค่คำว่าปากพล่อย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000946 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1272 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีผู้ตอบคำถามธรรมะท่านหนึ่ง ตอบผู้ถาม
    ผู้ถาม พระสงฆ์ที่ท่านสังขารไม่เน่า ท่านศักดิ์สิทธิใช่ไหมคะ
    ผู้ตอบ ศักดิ์สิทธิ์ห่าอะไร หมาก็มีนะที่ไม่เน่าเปื่อยอ่ะ

    คือ ผู้ตอบไม่ได้ตอบแบบวิภัชชวาท และไม่ควรเอาหมามาเปรียบเทียบกับสังขารครูบาอาจารย์ ควรให้เกียรติสังขารและศิษยานุศิษย์ของท่าน ควรคิดถึงใจเขาใจเรา

    ควรตอบแบบนี้

    ท่านจะศักดิ์สิทธิหรือไม่เราไม่รู้หรอก ท่านจะมีอภิญญา มีฤทธิ์อะไรเรารู้ไม่ได้ ดังนั้น ถ้าจะบูชาท่าน ก็บูชากราบไหว้ในฐานะที่ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์มาได้จนสิ้นลมหายใจดีกว่า เคารพท่านระลึกในคุณงามความดีของท่านดีกว่า อย่าไปคิดปรุงแต่งเอาว่าท่านจะศักดิ์สิทธิอย่างนั้นอย่างนี้ไหม แล้วทำตัวเราให้ดีอย่างท่านดีกว่า

    สังคมถาม ครูนัทตอบ แบบวิภัชชวาท ตอบโดยรอบ ไม่กระทบใคร

    #ครูนัท
    #หนอนพระไตรปิฎก
    มีผู้ตอบคำถามธรรมะท่านหนึ่ง ตอบผู้ถาม ผู้ถาม พระสงฆ์ที่ท่านสังขารไม่เน่า ท่านศักดิ์สิทธิใช่ไหมคะ ผู้ตอบ ศักดิ์สิทธิ์ห่าอะไร หมาก็มีนะที่ไม่เน่าเปื่อยอ่ะ คือ ผู้ตอบไม่ได้ตอบแบบวิภัชชวาท และไม่ควรเอาหมามาเปรียบเทียบกับสังขารครูบาอาจารย์ ควรให้เกียรติสังขารและศิษยานุศิษย์ของท่าน ควรคิดถึงใจเขาใจเรา ควรตอบแบบนี้ ท่านจะศักดิ์สิทธิหรือไม่เราไม่รู้หรอก ท่านจะมีอภิญญา มีฤทธิ์อะไรเรารู้ไม่ได้ ดังนั้น ถ้าจะบูชาท่าน ก็บูชากราบไหว้ในฐานะที่ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์มาได้จนสิ้นลมหายใจดีกว่า เคารพท่านระลึกในคุณงามความดีของท่านดีกว่า อย่าไปคิดปรุงแต่งเอาว่าท่านจะศักดิ์สิทธิอย่างนั้นอย่างนี้ไหม แล้วทำตัวเราให้ดีอย่างท่านดีกว่า สังคมถาม ครูนัทตอบ แบบวิภัชชวาท ตอบโดยรอบ ไม่กระทบใคร #ครูนัท #หนอนพระไตรปิฎก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ศีลสมบัติเป็นรุ่งอรุณแห่งอริยมรรค

    เมื่ออาทิตย์อุทัยขึ้น
    การขึ้นมาแห่งอรุณ (แสงเงินแสงทอง)
    ย่อมเป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตที่แลเห็นก่อน
    ฉันใดก็ฉันนั้น เพื่อ ความเกิดขึ้น
    แห่ง #อริยมรรคมีองค์๘
    ศีลสมบัติ (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
    ย่อมเป็นหลักเบื้องต้น เป็นนิมิตเบื้องต้น
    .
    จากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์หน้า 224
    .
    .
    .
    #happynewyear2025
    #สวัสดีปีใหม่2568
    #ThewordoftheBuddha
    #thewordofbuddha
    #dharmaofbuddha
    #คำสอนของพระพุทธเจ้า
    #ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    #พระสูตร #พระไตรปิฎก
    #walkontheways
    #orgabotaessence
    #orgabotaessenceproducts
    #ศีลสมบัติเป็นรุ่งอรุณแห่งอริยมรรค เมื่ออาทิตย์อุทัยขึ้น การขึ้นมาแห่งอรุณ (แสงเงินแสงทอง) ย่อมเป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตที่แลเห็นก่อน ฉันใดก็ฉันนั้น เพื่อ ความเกิดขึ้น แห่ง #อริยมรรคมีองค์๘ ศีลสมบัติ (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ย่อมเป็นหลักเบื้องต้น เป็นนิมิตเบื้องต้น . จากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์หน้า 224 . . . #happynewyear2025 #สวัสดีปีใหม่2568 #ThewordoftheBuddha #thewordofbuddha #dharmaofbuddha #คำสอนของพระพุทธเจ้า #ธรรมะของพระพุทธเจ้า #พระสูตร #พระไตรปิฎก #walkontheways #orgabotaessence #orgabotaessenceproducts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏🏻✨🪷💞 ขอบคุณพี่#7 ดอกจิกนะคะ คลิปนี้ได้ธรรมะค่ะ https://youtu.be/tS0i-_3mN3c?si=1rBV1Lqj1eUYeoLr
    🙏🏻✨🪷💞 ขอบคุณพี่#7 ดอกจิกนะคะ คลิปนี้ได้ธรรมะค่ะ https://youtu.be/tS0i-_3mN3c?si=1rBV1Lqj1eUYeoLr
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันเดือนปีก็ผ่านไปเร็วไปตามกาลของมัน เรารีบตักตวงเอาบุญกุศล เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ในจิต เจ้าพระกาฬก็จองมองดูเรา เก็บเกี่ยวไปเมื่อไรไม่รู้
    วันเดือนปีก็ผ่านไปเร็วไปตามกาลของมัน เรารีบตักตวงเอาบุญกุศล เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ในจิต เจ้าพระกาฬก็จองมองดูเรา เก็บเกี่ยวไปเมื่อไรไม่รู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • บนทุกเส้นสายรายทาง
    ต้องมีอุปสรรคครับ เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมะได้จัดให้
    บนทุกเส้นสายรายทาง ต้องมีอุปสรรคครับ เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมะได้จัดให้
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • ภิกษุทั้งหลาย !
    กรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    นิทานสัมภวะแห่งกรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    เวมัตตตาแห่งกรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    วิบากแห่งกรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    กัมมนิโรธ
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ....

    คำที่เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม
    เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำาซึ่งกรรม
    ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.
    .
    บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔
    .
    .
    #ธรรมะคำสอนจากพระพุทธเจ้า
    #ศิษย์ตถาคต
    #พึ่งตนพึ่งธรรม
    ภิกษุทั้งหลาย ! กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ.... คำที่เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำาซึ่งกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ. . บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔ . . #ธรรมะคำสอนจากพระพุทธเจ้า #ศิษย์ตถาคต #พึ่งตนพึ่งธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Love
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 730 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิมฺมโลตอบโจทย์#เริ่มต้นรู้ที่กาย#ถาม: ปกติจะทำกรรมฐานโดยการดูร่างกายหายใจ ช่วงแรกหายใจยาวก็รู้หายใจยาว ทำไปสักพักการหายใจจะสั้นลงและเบามากๆ แต่หลังจากนั้น จิตจะเข้าไปแทรกแซงการหายใจ แล้วทำให้การหายใจสะดุด ไม่ทราบควรปฏิบัติอย่างไรดีครับ?#ตอบ: ถ้าเข้าไปแทรกแซงการหายใจเนี่ยนะ มันจะประมาณใช้คำว่า “หายใจไม่ทั่วท้อง” จังหวะการหายใจผิดธรรมชาติไป ใช่ไหม? แสดงว่า เราแทรกแซง, ใจมันแทรกแซงเข้าไป, จิตเข้าไปแทรกแซง ให้รู้ทัน ว่ามันเข้าไปแทรกแซงแล้ว ทีนี้ มันแทรกแซงไปแล้วเนี่ยนะ อยู่ๆ จะให้มันรู้ลมหายใจแบบปกติเลยเนี่ยนะ มันเริ่มทำยาก ก็ขยับตัวสักหน่อย ให้มันเห็นกายขยับ แล้วก็ขยับตัว หันเหลียวซ้ายแลขวา ประมาณนี้นะ!แล้วค่อยรู้สึกที่กายใหม่ “เริ่มต้นรู้ที่กาย” นี่เป็นเทคนิคนะ ให้รู้ที่กายก่อน .. ว่ากายมีอยู่ พอเห็นกายปุ๊บ กายนี้ยังไม่ตายมันก็หายใจไป เป็นการเห็นกาย แล้วกายมันหายใจ ก็คือ เห็นกายหายใจ ทำใหม่!ทำโดยการเริ่มมา รู้สึกรับรู้อยู่ว่า “กายมีอยู่” ก่อน อย่าเพิ่งไปจ้องหรือไปเริ่มที่ลมหายใจ เห็นกาย แล้วกายหายใจอยู่ กายนั่งอยู่ เห็นกายนั่งแล้วมันหายใจ ประมาณนี้นะ!พระอาจารย์กฤช นิมฺมโลเรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจออกอากาศวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ลิงก์: https://www.youtube.com/watch?v=-5drIhhE7O4&t=2165s(นาทีที่ 00:36:05 - 00:38:08)
    #นิมฺมโลตอบโจทย์#เริ่มต้นรู้ที่กาย#ถาม: ปกติจะทำกรรมฐานโดยการดูร่างกายหายใจ ช่วงแรกหายใจยาวก็รู้หายใจยาว ทำไปสักพักการหายใจจะสั้นลงและเบามากๆ แต่หลังจากนั้น จิตจะเข้าไปแทรกแซงการหายใจ แล้วทำให้การหายใจสะดุด ไม่ทราบควรปฏิบัติอย่างไรดีครับ?#ตอบ: ถ้าเข้าไปแทรกแซงการหายใจเนี่ยนะ มันจะประมาณใช้คำว่า “หายใจไม่ทั่วท้อง” จังหวะการหายใจผิดธรรมชาติไป ใช่ไหม? แสดงว่า เราแทรกแซง, ใจมันแทรกแซงเข้าไป, จิตเข้าไปแทรกแซง ให้รู้ทัน ว่ามันเข้าไปแทรกแซงแล้ว ทีนี้ มันแทรกแซงไปแล้วเนี่ยนะ อยู่ๆ จะให้มันรู้ลมหายใจแบบปกติเลยเนี่ยนะ มันเริ่มทำยาก ก็ขยับตัวสักหน่อย ให้มันเห็นกายขยับ แล้วก็ขยับตัว หันเหลียวซ้ายแลขวา ประมาณนี้นะ!แล้วค่อยรู้สึกที่กายใหม่ “เริ่มต้นรู้ที่กาย” นี่เป็นเทคนิคนะ ให้รู้ที่กายก่อน .. ว่ากายมีอยู่ พอเห็นกายปุ๊บ กายนี้ยังไม่ตายมันก็หายใจไป เป็นการเห็นกาย แล้วกายมันหายใจ ก็คือ เห็นกายหายใจ ทำใหม่!ทำโดยการเริ่มมา รู้สึกรับรู้อยู่ว่า “กายมีอยู่” ก่อน อย่าเพิ่งไปจ้องหรือไปเริ่มที่ลมหายใจ เห็นกาย แล้วกายหายใจอยู่ กายนั่งอยู่ เห็นกายนั่งแล้วมันหายใจ ประมาณนี้นะ!พระอาจารย์กฤช นิมฺมโลเรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจออกอากาศวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ลิงก์: https://www.youtube.com/watch?v=-5drIhhE7O4&t=2165s(นาทีที่ 00:36:05 - 00:38:08)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พระอาจารย์สันติ ฐานิสฺสโร” ผู้ดูแลสำนักวิปัสสนาสันติสถิตธรรม เผย คลิปท้าต่อยอาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม ผ่านการตัดต่อ ตนเองแค่อยากท้าดีเบตธรรมะ ระบุที่ไหนก็ได้สนามมวย หรือ วัด แต่ขอให้เป็นกลาง

    จากกรณี ก่อนหน้านี้ปรากฎคลิปวิดีโอในโลกโซเชียลเผยให้เห็น “พระอาจารย์สันติ ฐานิสฺสโร” ผู้ดูแลสำนักวิปัสสนาสันติสถิตธรรม ไม่รู้หัวร้อนมาจากไหน อัดคลิปท้า อ.เบียร์ คนตื่นธรรม ต่อยระบุได้ทุกเวทียกเว้นโหนกระแส

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000118787

    #MGROnline #อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม #พระอาจารย์สันติฐานิสฺสโร
    “พระอาจารย์สันติ ฐานิสฺสโร” ผู้ดูแลสำนักวิปัสสนาสันติสถิตธรรม เผย คลิปท้าต่อยอาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม ผ่านการตัดต่อ ตนเองแค่อยากท้าดีเบตธรรมะ ระบุที่ไหนก็ได้สนามมวย หรือ วัด แต่ขอให้เป็นกลาง • จากกรณี ก่อนหน้านี้ปรากฎคลิปวิดีโอในโลกโซเชียลเผยให้เห็น “พระอาจารย์สันติ ฐานิสฺสโร” ผู้ดูแลสำนักวิปัสสนาสันติสถิตธรรม ไม่รู้หัวร้อนมาจากไหน อัดคลิปท้า อ.เบียร์ คนตื่นธรรม ต่อยระบุได้ทุกเวทียกเว้นโหนกระแส • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000118787 • #MGROnline #อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม #พระอาจารย์สันติฐานิสฺสโร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขันธมาร คือ ขันธ์ ซึ่งบกพร่องแล้วเป็นมารผลาญตัวเอง ในแง่ของมารหมายถึง ขันธ์ที่คอยกีดขวางการทำความดี เช่น ต้องการฟังธรรมะ แต่หูหนวก ไม่สามารถฟังธรรมได้ เป็นต้น อภิสังขารมาร คือ ความคิดนึกอันประกอบกับอารมณ์ เป็นมารเพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม ทำให้เกิดชาติชรา เป็นต้น ขัดขวางไม่ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ
    ขันธมาร คือ ขันธ์ ซึ่งบกพร่องแล้วเป็นมารผลาญตัวเอง ในแง่ของมารหมายถึง ขันธ์ที่คอยกีดขวางการทำความดี เช่น ต้องการฟังธรรมะ แต่หูหนวก ไม่สามารถฟังธรรมได้ เป็นต้น อภิสังขารมาร คือ ความคิดนึกอันประกอบกับอารมณ์ เป็นมารเพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม ทำให้เกิดชาติชรา เป็นต้น ขัดขวางไม่ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts