• อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
    สัทธรรมลำดับที่ : 723
    ชื่อบทธรรม :- ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
    --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง;
    เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง;
    เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง;
    เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง*-๑;
    --ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
    “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌานบ้าง”
    ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
    ภิกษุสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง
    ปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
    ในปฐมฌานนั้นมีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่);
    เธอนั้นตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
    เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
    เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
    เธอดำรงจิตด้วยธรรม(คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น

    (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)

    แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
    “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติ
    เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
    เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย
    เป็นความดับ
    เป็นนิพพาน”
    ดังนี้.
    เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ;
    ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพาน ในภพนั้น
    มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และ
    เพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆ นั่นเอง.

    *-๑. บาลีฉบับมอญ กล่าวลงเลยไปถึงว่า “เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง”
    ฉบับไทยเราหยุดเสียเพียงแค่เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เท่านั้น.
    +--
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา
    ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
    สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
    +--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
    เข้าถึงปฐมฌาณอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่

    (เธอนั้นกำหนดเบญจขันธ์โดยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น
    แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ
    มีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี
    เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
    )

    ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
    “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะ อาศัยปฐมฌานบ้าง”
    ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
    +--

    (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
    เพราะอาศัย ทุติยฌาน บ้าง
    เพราะอาศัย ตติยฌาน บ้าง
    เพราะอาศัย จตุตถฌาน บ้าง
    ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐมณานข้างบนนี้
    ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌานเท่านั้น
    ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวแล้วข้างบนนี้
    จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
    จึงเว้นเสียสำหรับ ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน;
    ต่อไปจะข้ามไปกล่าวถึงอรูปสัญญาในลำดับต่อไป :-
    ).

    --ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
    +--“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง”
    ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
    เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา
    จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    (ที่กำลัง ทำหน้าที่อยู่)*--๑
    เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
    เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
    เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
    เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น

    (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)

    แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
    “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติ
    เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
    เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย
    เป็นความดับ
    เป็นนิพพาน”
    ดังนี้.
    เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อมถึง
    ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ;
    ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ
    อนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง
    ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากความพอใจและความเพลินที่ยังละไม่ได้) นั้นๆ นั่นเอง
    *--๑ ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวก รูปฌาน มีขันธ์ครบห้า;
    ส่วนใน อรูปฺฌาน มีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป.
    +--.
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
    สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
    +--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุ
    เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
    เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
    เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา
    จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการไม่ทำในใจว่า
    “อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้แล้วแลอยู่.

    (เธอนั้นกำหนดขันธ์เพียงสี่*--๒ ว่าขันธ์แต่ละขันธ์ประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ
    มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน
    ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น
    หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
    )

    ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
    “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง”
    ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
    *--๒. เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ที่ประกอบอยู่ในอากาสานัญจายตนะ.

    (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
    เพราะอาศัย วิญญาณัญจายตนะ บ้าง
    เพราะอาศัย อากิญจัญญายตนะ บ้าง
    ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งสมาบัติเท่านั้น
    ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวข้างบนนี้
    จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
    จึงเว้นเสียสำหรับวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ
    จนกระทั่งถึงคำว่า .... เราอาศัยข้อความนี้กล่าวแล้ว
    อันเป็นคำสุดท้ายของข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ.
    ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบแล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปว่า : -
    ).

    --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล เป็นอันกล่าวได้ว่า
    สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การแทงตลอดอรหัตตผล)**-๑
    ก็มีประมาณเท่านั้น.
    --ภิกษุ ท. ! ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ
    เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ
    สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติ (๗ประการ) เหล่านั้น**-๒
    นั้นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฌายีภิกษุผู้ฉลาดในการเข้าอาศัยสมาบัติ ๗ อย่าง”.
    +--สมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ สมาบัติ
    แล้วกล่าวว่าเป็นอะไรได้เองโดยชอบ**-๓
    ดังนี้.-

    **-๑. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติเจ็ด คือ
    รูปฌานสี่ อรูปฌานาสาม ข้างต้น รวมเป็นเจ็ดเรียกว่า สัญญาสมาบัติ
    เพราะเป็นสมาบัติที่ยังมีสัญญา เมื่อสัญญาสมาบัติ มีเจ็ด อัญญาปฏิเวธก็มีเจ็ดเท่ากัน
    คือการแทงตลอดอรหัตตผลในกรณีของรูปฌานสี่ อรูปฌานสาม นั่นเอง
    จึงตรัสว่า “สัญญาสมาบัติมีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธก็มีประมาณเท่านั้น”.
    **-๒. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ประการ เกิดก่อนแล้ว ตั้งอยู่แล้ว
    จึงอาจจะเกิดสมาบัติที่ไม่มีสัญญาสองประการนี้
    กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ
    ดังนั้นจึงตรัสว่า “อายตนะสองอย่าง "

    (สำหรับหัวข้อเรื่องที่ว่า “ฌานที่มีสัญญานั้น ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง”
    ดังนี้ นั้น หมายความว่า ในฌานที่ยังมีสัญญาอยู่นั้น มีทางที่จะกำหนดขันธ์
    ตามที่ปรากฏอยู่ในฌาน นั้นว่ามีลักษณะ เช่นอนิจจลักษณะ เป็นต้น
    ซึ่งเมื่อกำหนดเข้าแล้ว ก็ย่อมเกิดวิปัสสนา.
    ส่วนฌานที่ไร้สัญญา คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น
    ไม่มีทางที่จะกำหนดขันธ์โดยลักษณะใด ๆ เพราะความไม่มีสัญญานั่นเอง
    แต่อาจจะรู้จักผลสุดท้ายแห่งฌานนั้น ๆ ได้ ว่ามีอาสวะเหลืออยู่หรือหาไม่).

    **-๓. ฌายีภิกษุ คือภิกษุผู้บำเพ็ญฌานอยู่
    ครั้นเขาเข้าหรือออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
    และสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ก็มีความรู้ประจักษ์แก่ตนเอง
    ว่าเมื่ออาศัยสมาบัติทั้งสองนี้แล้ว จะมีการสิ้นอาสวะหรือไม่.
    ถ้าเป็นสมาบัติทั้งเจ็ดข้างต้น ทรงยืนยันว่ามีความสิ้นอาสวะ
    ส่วนในสมาบัติสุดท้ายทั้งสองนี้ ทรงปล่อยไว้ให้ผู้ที่ได้เข้าแล้ว ออกแล้ว
    เป็นผู้กล่าวเอง ว่ามีการสิ้นอาสวะหรือไม่
    เพื่อให้ได้ใช้ความเป็นปัจจัตตังของธรรมะให้ถึงที่สุด
    เป็นคำตรัสที่แยบยลเหลือประมาณ ควรแก่การสังเกตอย่างยิ่ง.

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/341-346/240.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/341/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/438/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=723
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53
    ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง สัทธรรมลำดับที่ : 723 ชื่อบทธรรม :- ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723 เนื้อความทั้งหมด :- --ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง; เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง; เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง*-๑; --ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌานบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง ปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่. ในปฐมฌานนั้นมีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่); เธอนั้นตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม(คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติ เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพาน ในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และ เพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆ นั่นเอง. *-๑. บาลีฉบับมอญ กล่าวลงเลยไปถึงว่า “เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง” ฉบับไทยเราหยุดเสียเพียงแค่เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เท่านั้น. +-- --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง; สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้. +--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาณอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ (เธอนั้นกำหนดเบญจขันธ์โดยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น ) ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะ อาศัยปฐมฌานบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว. +-- (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ เพราะอาศัย ทุติยฌาน บ้าง เพราะอาศัย ตติยฌาน บ้าง เพราะอาศัย จตุตถฌาน บ้าง ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐมณานข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌานเท่านั้น ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวแล้วข้างบนนี้ จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป จึงเว้นเสียสำหรับ ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน; ต่อไปจะข้ามไปกล่าวถึงอรูปสัญญาในลำดับต่อไป :- ). --ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า +--“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่. ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลัง ทำหน้าที่อยู่)*--๑ เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติ เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากความพอใจและความเพลินที่ยังละไม่ได้) นั้นๆ นั่นเอง *--๑ ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวก รูปฌาน มีขันธ์ครบห้า; ส่วนใน อรูปฺฌาน มีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป. +--. --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง; สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้. +--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุ เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการไม่ทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้แล้วแลอยู่. (เธอนั้นกำหนดขันธ์เพียงสี่*--๒ ว่าขันธ์แต่ละขันธ์ประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น ) ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว. *--๒. เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ประกอบอยู่ในอากาสานัญจายตนะ. (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ เพราะอาศัย วิญญาณัญจายตนะ บ้าง เพราะอาศัย อากิญจัญญายตนะ บ้าง ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งสมาบัติเท่านั้น ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวข้างบนนี้ จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป จึงเว้นเสียสำหรับวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ จนกระทั่งถึงคำว่า .... เราอาศัยข้อความนี้กล่าวแล้ว อันเป็นคำสุดท้ายของข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ. ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบแล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปว่า : - ). --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล เป็นอันกล่าวได้ว่า สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การแทงตลอดอรหัตตผล)**-๑ ก็มีประมาณเท่านั้น. --ภิกษุ ท. ! ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติ (๗ประการ) เหล่านั้น**-๒ นั้นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฌายีภิกษุผู้ฉลาดในการเข้าอาศัยสมาบัติ ๗ อย่าง”. +--สมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ สมาบัติ แล้วกล่าวว่าเป็นอะไรได้เองโดยชอบ**-๓ ดังนี้.- **-๑. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติเจ็ด คือ รูปฌานสี่ อรูปฌานาสาม ข้างต้น รวมเป็นเจ็ดเรียกว่า สัญญาสมาบัติ เพราะเป็นสมาบัติที่ยังมีสัญญา เมื่อสัญญาสมาบัติ มีเจ็ด อัญญาปฏิเวธก็มีเจ็ดเท่ากัน คือการแทงตลอดอรหัตตผลในกรณีของรูปฌานสี่ อรูปฌานสาม นั่นเอง จึงตรัสว่า “สัญญาสมาบัติมีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธก็มีประมาณเท่านั้น”. **-๒. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ประการ เกิดก่อนแล้ว ตั้งอยู่แล้ว จึงอาจจะเกิดสมาบัติที่ไม่มีสัญญาสองประการนี้ กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ ดังนั้นจึงตรัสว่า “อายตนะสองอย่าง " (สำหรับหัวข้อเรื่องที่ว่า “ฌานที่มีสัญญานั้น ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง” ดังนี้ นั้น หมายความว่า ในฌานที่ยังมีสัญญาอยู่นั้น มีทางที่จะกำหนดขันธ์ ตามที่ปรากฏอยู่ในฌาน นั้นว่ามีลักษณะ เช่นอนิจจลักษณะ เป็นต้น ซึ่งเมื่อกำหนดเข้าแล้ว ก็ย่อมเกิดวิปัสสนา. ส่วนฌานที่ไร้สัญญา คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น ไม่มีทางที่จะกำหนดขันธ์โดยลักษณะใด ๆ เพราะความไม่มีสัญญานั่นเอง แต่อาจจะรู้จักผลสุดท้ายแห่งฌานนั้น ๆ ได้ ว่ามีอาสวะเหลืออยู่หรือหาไม่). **-๓. ฌายีภิกษุ คือภิกษุผู้บำเพ็ญฌานอยู่ ครั้นเขาเข้าหรือออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ก็มีความรู้ประจักษ์แก่ตนเอง ว่าเมื่ออาศัยสมาบัติทั้งสองนี้แล้ว จะมีการสิ้นอาสวะหรือไม่. ถ้าเป็นสมาบัติทั้งเจ็ดข้างต้น ทรงยืนยันว่ามีความสิ้นอาสวะ ส่วนในสมาบัติสุดท้ายทั้งสองนี้ ทรงปล่อยไว้ให้ผู้ที่ได้เข้าแล้ว ออกแล้ว เป็นผู้กล่าวเอง ว่ามีการสิ้นอาสวะหรือไม่ เพื่อให้ได้ใช้ความเป็นปัจจัตตังของธรรมะให้ถึงที่สุด เป็นคำตรัสที่แยบยลเหลือประมาณ ควรแก่การสังเกตอย่างยิ่ง. #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/341-346/240. http://etipitaka.com/read/thai/23/341/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐. http://etipitaka.com/read/pali/23/438/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=723 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53 ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
    -ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง; เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง; เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง๑; ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌานบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง ปฐมฌาน ๑. บาลีฉบับมอญ กล่าวลงเลยไปถึงว่า “เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง” ฉบับไทยเราหยุดเสียเพียงแค่เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เท่านั้น. อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่. ในปฐมฌานนั้นมีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่); เธอนั้นตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม(คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพาน ในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆ นั่นเอง. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง; สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้. ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาณอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ (เธอนั้นกำหนดเบญจขันธ์โดยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น) ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะ อาศัยปฐมฌานบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว. (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ เพราะอาศัย ทุติยฌาน บ้าง เพราะอาศัย ตติยฌาน บ้าง เพราะอาศัย จตุตถฌาน บ้าง ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐมณานข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌานเท่านั้น ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวแล้วข้างบนนี้ จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป จึงเว้นเสียสำหรับ ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน; ต่อไปจะข้ามไปกล่าวถึงอรูปสัญญาในลำดับต่อไป :- ). ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่. ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลัง ทำหน้าที่อยู่)๑ เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับ ๑ ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวก รูปฌาน มีขันธ์ครบห้า; ส่วนใน อรูปฺฌาน มีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป. แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากความพอใจและความเพลินที่ยังละไม่ได้) นั้นๆ นั่นเอง. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง; สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้. ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุ เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการไม่ทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้แล้วแลอยู่. (เธอนั้นกำหนดขันธ์เพียงสี่๒ ว่าขันธ์แต่ละขันธ์ประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น) ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า “ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง” ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว. ๒. เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ประกอบอยู่ในอากาสานัญจายตนะ. (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ เพราะอาศัย วิญญาณัญจายตนะ บ้าง เพราะอาศัย อากิญจัญญายตนะ บ้าง ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งสมาบัติเท่านั้น ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวข้างบนนี้ จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป จึงเว้นเสียสำหรับวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ จนกระทั่งถึงคำว่า .... เราอาศัยข้อความนี้กล่าวแล้ว อันเป็นคำสุดท้ายของข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ. ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบแล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปว่า : -). ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล เป็นอันกล่าวได้ว่า สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การแทงตลอดอรหัตตผล)๑ ก็มีประมาณเท่านั้น. ภิกษุ ท. ! ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติ (๗ประการ) เหล่านั้น๒ นั้นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฌายีภิกษุผู้ฉลาดในการเข้า ๑. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติเจ็ด คือ รูปฌานสี่ อรูปฌานาสามข้างต้น รวมเป็นเจ็ดเรียกว่า สัญญาสมาบัติ เพราะเป็นสมาบัติที่ยังมีสัญญา เมื่อสัญญาสมาบัติ มีเจ็ด อัญญาปฏิเวธก็มีเจ็ดเท่ากัน คือการแทงตลอดอรหัตตผลในกรณีของรูปฌานสี่ อรูปฌานสามนั่นเอง จึงตรัสว่า “สัญญาสมาบัติมีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธก็มีประมาณเท่านั้น”. ๒. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ประการ เกิดก่อนแล้ว ตั้งอยู่แล้ว จึงอาจจะเกิดสมาบัติที่ไม่มีสัญญาสองประการนี้ กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ ดังนั้นจึงตรัสว่า “อายตนะสองอย่าง อาศัยสมาบัติ ๗ อย่าง”. สมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ สมาบัติ แล้วกล่าวว่าเป็นอะไรได้เองโดยชอบ๓ ดังนี้.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • เข้าร่วมฟังธรรมะ1วัน
    เข้าร่วมฟังธรรมะ1วัน
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • “คู่บาป – คู่บุญ”
    เปลี่ยนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ‘ใจที่รู้ทัน’ ของทั้งสองฝ่าย

    ‘บาป’ ไม่ใช่คำที่อยู่แต่ในหนังสือธรรมะ
    แต่คือสภาวะของใจที่ถูกปรุงแต่งให้มัวหมอง
    เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด
    คล้ายถูกเสียดแทงอยู่ข้างใน… แม้ไม่มีใครลงโทษ

    ที่น่ากลัวคือ…
    ตอนก่อบาป บางครั้งมันกลับ “สุข”
    สุขจากการได้ทำร้ายใคร
    สุขจากการเอาชนะคนที่เคยขัดใจ
    สุขจากความสะใจที่เหนือกว่า

    นี่แหละคือกับดักของบาป
    ที่มันปลอมตัวมาในรูป “ความฟินชั่วคราว”
    แต่ผลสุดท้ายคือการผลักให้เราตกต่ำ
    ไปสู่ทุกข์ที่สะสมลึกในใจ

    แล้ว “คู่บาป” คือใคร?

    คือคนที่เรา เคยมีสายใยดี
    แต่วันหนึ่งค่อยๆกลายเป็น
    คนที่ “ตั้งใจทำร้ายกัน” เป็นนิสัย

    ไม่ว่าจะด้วยคำพูดกัด
    สีหน้าปึงปัง
    การกระแทกอารมณ์
    หรือแม้แต่การใช้ความเฉยชาที่เจ็บยิ่งกว่า…

    คนเราจะไม่เป็นคู่บาปกัน
    ถ้าไม่มีช่วงเวลาดีๆร่วมกันมาก่อน
    เพราะความรักปะปนกับความเจ็บ
    เลยทำให้ “ไปไหนไม่รอด”
    เพราะเสียดาย และยังผูกใจ

    แล้วเราจะเปลี่ยน ‘คู่บาป’ ให้เป็น ‘คู่บุญ’ ได้หรือไม่?

    คู่บาป ใช้เพียง “ความตั้งใจร้ายข้างเดียว”
    ก็สร้างความเสียหายได้แล้ว

    แต่คู่บุญ
    ต้องใช้ “ความตั้งใจดีจากทั้งสองฝ่าย”
    จึงจะเยียวยา สร้างใหม่ และประคองใจให้เติบโตได้

    หากวันใดมีสติร่วมกัน
    เห็นทันอารมณ์ร้ายที่กำลังผุด
    แล้วช่วยกันหันหลังให้ความเคยชินเดิม
    หันหน้าเข้าหานิสัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเมตตา

    นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจาก “คู่เวร”
    เป็น “คู่ฟื้นใจ”

    บทสรุปจากใจธรรมะ

    คู่บาปนึกถึงแล้วเจ็บจริง

    คู่บุญนึกถึงแล้วอุ่นจริง

    คู่บาปเกิดขึ้นได้ง่าย

    คู่บุญต้องร่วมกันสร้าง!

    “จะกลายเป็นคู่บุญได้ไหม
    ไม่ขึ้นอยู่กับใครคนเดียว…
    แต่อยู่ที่ ‘ทั้งคู่’
    มีใจจริงแค่ไหน
    ที่จะตั้งต้นใหม่ด้วยความเข้าใจและสติ”

    #คู่บาปคู่บุญ #ธรรมะเปลี่ยนชีวิต #ก้าวพ้นเวร #รักอย่างมีสติ
    🌿 “คู่บาป – คู่บุญ” เปลี่ยนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ‘ใจที่รู้ทัน’ ของทั้งสองฝ่าย ‘บาป’ ไม่ใช่คำที่อยู่แต่ในหนังสือธรรมะ แต่คือสภาวะของใจที่ถูกปรุงแต่งให้มัวหมอง เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด คล้ายถูกเสียดแทงอยู่ข้างใน… แม้ไม่มีใครลงโทษ ที่น่ากลัวคือ… ตอนก่อบาป บางครั้งมันกลับ “สุข” สุขจากการได้ทำร้ายใคร สุขจากการเอาชนะคนที่เคยขัดใจ สุขจากความสะใจที่เหนือกว่า นี่แหละคือกับดักของบาป ที่มันปลอมตัวมาในรูป “ความฟินชั่วคราว” แต่ผลสุดท้ายคือการผลักให้เราตกต่ำ ไปสู่ทุกข์ที่สะสมลึกในใจ 👥 แล้ว “คู่บาป” คือใคร? คือคนที่เรา เคยมีสายใยดี แต่วันหนึ่งค่อยๆกลายเป็น คนที่ “ตั้งใจทำร้ายกัน” เป็นนิสัย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดกัด สีหน้าปึงปัง การกระแทกอารมณ์ หรือแม้แต่การใช้ความเฉยชาที่เจ็บยิ่งกว่า… คนเราจะไม่เป็นคู่บาปกัน ถ้าไม่มีช่วงเวลาดีๆร่วมกันมาก่อน เพราะความรักปะปนกับความเจ็บ เลยทำให้ “ไปไหนไม่รอด” เพราะเสียดาย และยังผูกใจ 💡 แล้วเราจะเปลี่ยน ‘คู่บาป’ ให้เป็น ‘คู่บุญ’ ได้หรือไม่? คู่บาป ใช้เพียง “ความตั้งใจร้ายข้างเดียว” ก็สร้างความเสียหายได้แล้ว แต่คู่บุญ ต้องใช้ “ความตั้งใจดีจากทั้งสองฝ่าย” จึงจะเยียวยา สร้างใหม่ และประคองใจให้เติบโตได้ หากวันใดมีสติร่วมกัน เห็นทันอารมณ์ร้ายที่กำลังผุด แล้วช่วยกันหันหลังให้ความเคยชินเดิม หันหน้าเข้าหานิสัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเมตตา นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจาก “คู่เวร” เป็น “คู่ฟื้นใจ” 🕊️ บทสรุปจากใจธรรมะ คู่บาปนึกถึงแล้วเจ็บจริง คู่บุญนึกถึงแล้วอุ่นจริง คู่บาปเกิดขึ้นได้ง่าย คู่บุญต้องร่วมกันสร้าง! “จะกลายเป็นคู่บุญได้ไหม ไม่ขึ้นอยู่กับใครคนเดียว… แต่อยู่ที่ ‘ทั้งคู่’ มีใจจริงแค่ไหน ที่จะตั้งต้นใหม่ด้วยความเข้าใจและสติ” 🌱 #คู่บาปคู่บุญ #ธรรมะเปลี่ยนชีวิต #ก้าวพ้นเวร #รักอย่างมีสติ
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า

    “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี

    สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า

    ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ
    อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ.

    แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้

    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ. แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้ ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า

    “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี

    สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า

    ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ
    อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ.

    แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้

    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพร ความว่า “อภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตร่วมกับปวงชนชาวไทย สำแดงน้ำจิตมุทิตาปราโมทย์ และถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติไทยมานับแต่โบราณกาล การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ย่อมหมายถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรด้วย ธรรมะแห่งพระศาสนานี้ได้หยั่งรากลึกลงเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เป็นหลักชัย และหลักใจของอาณาประชาชน ใต้พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ เหตุฉะนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงพระราชธรรมไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งพระราชทานอารักขาและพระบรมราชูปถัมภ์แก่การคณะสงฆ์ให้พ้นภยันตรายและให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเนติแบบแผนแห่งอาณาราษฎร เป็นเครื่องเสริมส่งกำลังพระบารมีอันแกล้วกล้า ในอันที่จะทรงพิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ให้สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านเมืองไทยสืบไปได้โดยสวัสดี สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงตั้งพระบรมราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริ พระราชจริยวัตร ตลอดจนพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระบรมราชบุพการี เพื่อให้บ้านเมืองไทยประสบความสุขสวัสดิ์ อำนวยผลให้ทรงสำเร็จประโยชน์ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาราษฎร จึงทรงสงบพระราชหฤทัยได้ แม้ในยามที่ต้องเผชิญโลกธรรม ทรงเพียรละเว้นบาปธรรม และทรงเจริญในทางพระราชกุศล อันเป็นหนทางควรดำเนินเป็นเนืองนิตย์ สมด้วยโพธิสัตวภาษิต ที่ว่า ธมฺโม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อุปฺปโถ อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ. แปลความว่า “มหาราช ! ธรรมเป็นทางที่ควรดำเนินตาม ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทางย่อมไม่ควรดำเนินตาม อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสวรรค์.” ด้วยประการฉะนี้ ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และเดชะแห่งสัจจวาจา ตลอดจนพระราชกุศลธรรมจริยา ที่ทรงสั่งสมมาด้วยดี โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นมิ่งขวัญหลักชัยแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนาน เทอญ.”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • "ปฏิบัติธรรมให้ถูก ต้องเริ่มจากปฏิบัติตัวให้ถูกก่อน"

    ในหมู่ผู้คิดจะปฏิบัติธรรม
    เรามักพูดกันว่า "แบบไหนถูก แบบไหนผิด"
    แต่กลับไม่ค่อยถามว่า
    "แล้วเราปฏิบัติตัวอย่างไรในชีวิตจริง?"

    ถ้ายังปฏิบัติตัวผิด
    ก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมถูก
    เพราะที่แท้...ยังปฏิบัติ “อธรรม” อยู่

    ถ้ายังจงใจให้ร้าย ทำลาย หรือโยนทุกข์ใส่ผู้อื่น
    นั่นคือเครื่องชี้ว่าเรายังปฏิบัติตัวผิด
    และโอกาสที่ธรรมจะปรากฏในใจก็เป็นศูนย์

    จงใจให้ทุกข์ใคร ไม่มีทางหลุดพ้นทุกข์เองได้

    หากตั้งใจจะ “เจริญสติ” จริง
    ต้องเริ่มที่ “ถือศีล” ให้ได้สติ
    เพื่อหยุดการโยนทุกข์ให้คนอื่น
    และหยุดการโยนไฟเผาตัวเอง

    ศีลที่แท้ ไม่ใช่แค่ข้อห้าม แต่คือใจที่ไม่อยากสร้างทุกข์

    ศีลคือจิตที่ผ่อง ไม่อยากให้โทษแก่ใคร

    ศีลคือใจเย็น ไม่อยากใส่ความร้อนใส่ตัว

    ศีลคือความชัด ไม่ปล่อยให้เมฆอารมณ์บดบังสติ

    เมื่อรักษาศีลได้จริง… ใจก็เย็น
    เมื่อใจเย็น… ก็ดูลมหายใจได้ยาว
    เมื่อเห็นลมหายใจไม่เที่ยง ก็เห็นสุขทุกข์ไม่เที่ยง
    เมื่อรู้ทุกข์ได้ชัด ก็ไม่ต้องโกรธตอบ
    เมื่อรู้สุขได้ชัด ก็ไม่ต้องหวงจนกลัวเสีย

    ศีลที่แท้จึงคือการสำรวจใจ…

    เรายังให้ทุกข์ใครอยู่หรือเปล่า?

    เรายังผูกเวรกับใครอยู่หรือเปล่า?

    เรากำลังปฏิบัติตัวถูกหรือไม่?

    เมื่อปฏิบัติตัวถูก
    ธรรมจะปรากฏ
    และการปฏิบัติธรรม…
    ก็จะตรงเสียที

    > เริ่มปฏิบัติตัวให้ถูก
    แล้วธรรมะจะตอบกลับเองว่า “ถูกทางแล้ว”

    #ธรรมะวันนี้ #ปฏิบัติตัว #ศีลที่แท้ #เจริญสติ
    🌿 "ปฏิบัติธรรมให้ถูก ต้องเริ่มจากปฏิบัติตัวให้ถูกก่อน" ในหมู่ผู้คิดจะปฏิบัติธรรม เรามักพูดกันว่า "แบบไหนถูก แบบไหนผิด" แต่กลับไม่ค่อยถามว่า "แล้วเราปฏิบัติตัวอย่างไรในชีวิตจริง?" ถ้ายังปฏิบัติตัวผิด ก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมถูก เพราะที่แท้...ยังปฏิบัติ “อธรรม” อยู่ ถ้ายังจงใจให้ร้าย ทำลาย หรือโยนทุกข์ใส่ผู้อื่น นั่นคือเครื่องชี้ว่าเรายังปฏิบัติตัวผิด และโอกาสที่ธรรมจะปรากฏในใจก็เป็นศูนย์ 🙏 จงใจให้ทุกข์ใคร ไม่มีทางหลุดพ้นทุกข์เองได้ หากตั้งใจจะ “เจริญสติ” จริง ต้องเริ่มที่ “ถือศีล” ให้ได้สติ เพื่อหยุดการโยนทุกข์ให้คนอื่น และหยุดการโยนไฟเผาตัวเอง 🕊️ ศีลที่แท้ ไม่ใช่แค่ข้อห้าม แต่คือใจที่ไม่อยากสร้างทุกข์ ศีลคือจิตที่ผ่อง ไม่อยากให้โทษแก่ใคร ศีลคือใจเย็น ไม่อยากใส่ความร้อนใส่ตัว ศีลคือความชัด ไม่ปล่อยให้เมฆอารมณ์บดบังสติ เมื่อรักษาศีลได้จริง… ใจก็เย็น เมื่อใจเย็น… ก็ดูลมหายใจได้ยาว เมื่อเห็นลมหายใจไม่เที่ยง ก็เห็นสุขทุกข์ไม่เที่ยง เมื่อรู้ทุกข์ได้ชัด ก็ไม่ต้องโกรธตอบ เมื่อรู้สุขได้ชัด ก็ไม่ต้องหวงจนกลัวเสีย 🔍 ศีลที่แท้จึงคือการสำรวจใจ… เรายังให้ทุกข์ใครอยู่หรือเปล่า? เรายังผูกเวรกับใครอยู่หรือเปล่า? เรากำลังปฏิบัติตัวถูกหรือไม่? เมื่อปฏิบัติตัวถูก ธรรมจะปรากฏ และการปฏิบัติธรรม… ก็จะตรงเสียที >🌼 เริ่มปฏิบัติตัวให้ถูก แล้วธรรมะจะตอบกลับเองว่า “ถูกทางแล้ว” #ธรรมะวันนี้ #ปฏิบัติตัว #ศีลที่แท้ #เจริญสติ
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • “ทุกข์ไปก่อน…สุดท้ายไม่เกิดขึ้นจริง”
    แล้วเราทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไร?

    หนึ่งชีวิตของคนขี้กังวล
    คือการสะสม “ความทุกข์ล่วงหน้า” แบบไม่รู้ตัว

    กี่ครั้งที่เราเครียดจนปวดหัว…แต่เรื่องนั้นไม่เกิด
    กี่คืนที่นอนไม่หลับ…กับปัญหาที่ไม่มาถึง
    กี่ปีที่เสียดาย…ในสิ่งที่ต่อมารู้ว่า “ดีแล้วที่พลาด”

    เมื่อมองย้อนกลับ…
    เราจะพบว่า “ความทุกข์ส่วนใหญ่” คือ
    การด่วนสรุปอนาคตในแง่ร้าย
    ทั้งที่อนาคตนั้น…
    ยังไม่เกิดขึ้นเลย

    “ทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง”
    มักทำร้ายเรามากกว่า “ทุกข์ที่เกิดขึ้นจริง”

    แล้วทำไมเราต้องเสียเวลากับมัน?

    ธรรมะมุมลึก

    > แม้เราไม่มีญาณหยั่งรู้
    แต่เราสามารถหยั่งรู้ “ความจริงของใจตัวเอง” ได้

    และความจริงนั้นก็คือ—
    ความกังวลล่วงหน้า
    ความกลัวล่วงหน้า
    ความเสียใจล่วงหน้า

    ล้วน เป็นความสูญเปล่าของชีวิต

    🪷 ข้อคิดปิดท้าย

    ❝ เมื่อใจเริ่มทุกข์…ให้เตือนตัวเองว่า
    “นี่อาจเป็นความทุกข์ที่สูญเปล่าของวันพรุ่งนี้”

    แล้วค่อยๆ หายใจเข้า
    แล้วปล่อย…ความคิดที่ยังมาไม่ถึงนั้นไป ❞

    "ทุกข์ล่วงหน้า คือความสูญเปล่าที่เราเลือกเอง"
    – ธรรมะจากการรู้ทันความคิด –
    ✨ “ทุกข์ไปก่อน…สุดท้ายไม่เกิดขึ้นจริง” แล้วเราทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไร? 📝 หนึ่งชีวิตของคนขี้กังวล คือการสะสม “ความทุกข์ล่วงหน้า” แบบไม่รู้ตัว ❓ กี่ครั้งที่เราเครียดจนปวดหัว…แต่เรื่องนั้นไม่เกิด ❓ กี่คืนที่นอนไม่หลับ…กับปัญหาที่ไม่มาถึง ❓ กี่ปีที่เสียดาย…ในสิ่งที่ต่อมารู้ว่า “ดีแล้วที่พลาด” เมื่อมองย้อนกลับ… เราจะพบว่า “ความทุกข์ส่วนใหญ่” คือ การด่วนสรุปอนาคตในแง่ร้าย ทั้งที่อนาคตนั้น… ยังไม่เกิดขึ้นเลย “ทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง” มักทำร้ายเรามากกว่า “ทุกข์ที่เกิดขึ้นจริง” แล้วทำไมเราต้องเสียเวลากับมัน? 🔎 ธรรมะมุมลึก > แม้เราไม่มีญาณหยั่งรู้ แต่เราสามารถหยั่งรู้ “ความจริงของใจตัวเอง” ได้ และความจริงนั้นก็คือ— ความกังวลล่วงหน้า ความกลัวล่วงหน้า ความเสียใจล่วงหน้า ล้วน เป็นความสูญเปล่าของชีวิต 🪷 ข้อคิดปิดท้าย ❝ เมื่อใจเริ่มทุกข์…ให้เตือนตัวเองว่า “นี่อาจเป็นความทุกข์ที่สูญเปล่าของวันพรุ่งนี้” แล้วค่อยๆ หายใจเข้า แล้วปล่อย…ความคิดที่ยังมาไม่ถึงนั้นไป ❞ 🎨 "ทุกข์ล่วงหน้า คือความสูญเปล่าที่เราเลือกเอง" – ธรรมะจากการรู้ทันความคิด –
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคเป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่
    สัทธรรมลำดับที่ : 696
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=696
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หมวด จ. ว่าด้วย อานิสงส์ของมรรค
    --อัฏฐังคิกมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุทั้งหลาย ย่อมประพฤติ พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนา (อันเป็นอิทธิวิธีประการต่าง ๆ)
    เหล่านั้นเสียละกระมัง ?”
    --มหาลิ ! ภิกษุทั้งหลาย ย่อมประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนาเหล่านั้น ก็หามิได้ ;
    แต่ธรรมะเหล่าอื่นที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่า กว่าสมาธิภาวนาเหล่านั้น ก็มีอยู่ ;
    และ ภิกษุทั้งหลายพากันประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้ง
    ซึ่งธรรมทั้งหลายอันยิ่งกว่าประณีตกว่าเหล่านั้น.
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมทั้งหลาย อันยิ่งกว่าประณีตกว่า เหล่านั้น
    เป็นอย่างไรเล่า ?”
    --มหาลิ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม #เป็นโสดาบัน
    http://etipitaka.com/read/pali/9/199/?keywords=โสตาปนฺโน
    เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า.
    --มหาลิ ! นี้แล ธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า.
    --มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม
    และเพราะความที่ราคะโทสะโมหะก็เบาบาง #เป็นสกทาคามี
    http://etipitaka.com/read/pali/9/199/?keywords=สกทาคามี
    มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
    --มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า.
    --มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งห้า
    #เป็นโอปปาติกะ (อนาคามี)
    http://etipitaka.com/read/pali/9/200/?keywords=โอปปาติโก
    มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.
    --มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า.
    --มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่ง
    #เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    http://etipitaka.com/read/pali/9/200/?keywords=เจโตวิมุตฺตึ+ปญฺญาวิมุตฺตึ
    ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงแล้วแลอยู่.
    --มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า.
    --มหาลิ ! ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล เป็นธรรมยิ่งกว่าประณีตกว่า
    ที่ภิกษุทั้งหลายพากันประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อกระทำให้แจ้ง.
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มรรคมีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ
    เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น ?”
    --มหาลิ ! มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น.
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มรรคเป็นอย่างไร ปฏิปทาเป็นอย่างไร
    เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น ?”
    #อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้นั่นแหละ ได้แก่
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
    --มหาลิ ! นี้แล มรรค นี้แล ปฏิปทา
    เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/191-192/250-254.
    http://etipitaka.com/read/thai/9/191/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๑๙๙-๒๐๐/๒๕๐-๒๕๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/199/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=696
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=696
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50
    ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคเป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่ สัทธรรมลำดับที่ : 696 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=696 เนื้อความทั้งหมด :- --หมวด จ. ว่าด้วย อานิสงส์ของมรรค --อัฏฐังคิกมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่ --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุทั้งหลาย ย่อมประพฤติ พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนา (อันเป็นอิทธิวิธีประการต่าง ๆ) เหล่านั้นเสียละกระมัง ?” --มหาลิ ! ภิกษุทั้งหลาย ย่อมประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนาเหล่านั้น ก็หามิได้ ; แต่ธรรมะเหล่าอื่นที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่า กว่าสมาธิภาวนาเหล่านั้น ก็มีอยู่ ; และ ภิกษุทั้งหลายพากันประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันยิ่งกว่าประณีตกว่าเหล่านั้น. --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมทั้งหลาย อันยิ่งกว่าประณีตกว่า เหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า ?” --มหาลิ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม #เป็นโสดาบัน http://etipitaka.com/read/pali/9/199/?keywords=โสตาปนฺโน เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. --มหาลิ ! นี้แล ธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. --มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความที่ราคะโทสะโมหะก็เบาบาง #เป็นสกทาคามี http://etipitaka.com/read/pali/9/199/?keywords=สกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. --มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. --มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งห้า #เป็นโอปปาติกะ (อนาคามี) http://etipitaka.com/read/pali/9/200/?keywords=โอปปาติโก มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. --มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. --มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่ง #เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย http://etipitaka.com/read/pali/9/200/?keywords=เจโตวิมุตฺตึ+ปญฺญาวิมุตฺตึ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงแล้วแลอยู่. --มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. --มหาลิ ! ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล เป็นธรรมยิ่งกว่าประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลายพากันประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อกระทำให้แจ้ง. --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มรรคมีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น ?” --มหาลิ ! มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น. --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มรรคเป็นอย่างไร ปฏิปทาเป็นอย่างไร เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น ?” #อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้นั่นแหละ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. --มหาลิ ! นี้แล มรรค นี้แล ปฏิปทา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/191-192/250-254. http://etipitaka.com/read/thai/9/191/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๑๙๙-๒๐๐/๒๕๐-๒๕๔. http://etipitaka.com/read/pali/9/199/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=696 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=696 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50 ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ๑. อริยอัฏฐังคิกมรรคมี ๔ รูปแบบ คือ ชนิดที่อาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธ และเป็นโวสสัคคปริณามี ๑ ; ชนิดที่มีการนำออกซึ่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ๑ ; ชนิดที่มีการหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นปริโยสาน ๑ ; และชนิดที่ลาดเอียงเงื้อมไปสู่นิพพาน ๑.
    -๑. อริยอัฏฐังคิกมรรคมี ๔ รูปแบบ คือ ชนิดที่อาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธ และเป็นโวสสัคคปริณามี ๑ ; ชนิดที่มีการนำออกซึ่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ๑ ; ชนิดที่มีการหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นปริโยสาน ๑ ; และชนิดที่ลาดเอียงเงื้อมไปสู่นิพพาน ๑. หมวด จ. ว่าด้วย อานิสงส์ของมรรค อัฏฐังคิกมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นอริยบุคคลสี่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุทั้งหลาย ย่อมประพฤติ พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนา (อันเป็นอิทธิวิธีประการต่าง ๆ) เหล่านั้นเสียละกระมัง ?” มหาลิ ! ภิกษุทั้งหลาย ย่อมประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งสมาธิภาวนาเหล่านั้น ก็หามิได้ ; แต่ธรรมะเหล่าอื่นที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่า กว่าสมาธิภาวนาเหล่านั้น ก็มีอยู่ ; และ ภิกษุทั้งหลายพากันประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุเพื่อจะทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันยิ่งกว่าประณีตกว่าเหล่านั้น. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรมทั้งหลาย อันยิ่งกว่าประณีตกว่า เหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า ?” มหาลิ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็นโสดาบัน เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. มหาลิ ! นี้แล ธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความที่ราคะโทสะโมหะก็เบาบาง เป็น สกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งห้า เป็น โอปปาติกะ (อนาคามี) มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. มหาลิ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงแล้วแลอยู่. มหาลิ ! แม้นี้แล ก็เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า. มหาลิ ! ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล เป็นธรรมยิ่งกว่าประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลายพากันประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพื่อกระทำให้แจ้ง. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มรรคมีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น ?” มหาลิ ! มรรคมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มรรคเป็นอย่างไร ปฏิปทาเป็นอย่างไร เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น ?” อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นแหละ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. มหาลิ ! นี้แล มรรค นี้แล ปฏิปทา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่านั้น.
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​อัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม​
    สัทธรรมลำดับที่ : 695
    ชื่อบทธรรม : - กัล๎ยาณมิตตตาในฐานะเป็นรุ่งอรุณแห่งอัฏฐังคิกมรรคนั้น และอัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=695
    เนื้อความทั้งหมด :-
    [ในตำแหน่งแห่ง #กัล๎ยาณมิตตตาในฐานะเป็นรุ่งอรุณแห่งอัฏฐังคิกมรรคนั้น
    ในสูตรอื่น ทรงแสดงไว้ด้วยธรรมะชื่ออื่นอีกหลายชื่อคือ:-
    +--ศีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
    +--เป็นรุ่งอรุณฉันทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยฉันทะ ความพอใจ)
    +--เป็นรุ่งอรุณอัตตสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความเหมาะสมแห่งตน)
    +--เป็นรุ่งอรุณทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ)
    +--เป็นรุ่งอรุณอัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท)
    +--เป็นรุ่งอรุณโยนิโสมนสิการสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย)
    +--เป็นรุ่งอรุณ (รวมเป็นเจ็ดอย่างทั้งกัลยาณมิตตา)
    และต่อท้ายด้วยคำว่าผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น
    ย่อมเจริญกระทำให้มากซึ่งองค์แห่งมรรคชนิด
    อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ เป็นต้น ด้วยกันทั้งนั้น.
    --ในสูตรอื่น ผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น นอกจากจะเจริญกระทำให้มาก
    ซึ่งองค์แห่งมรรค ชนิดที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสลัดลง
    ได้แล้ว,
    ยังสามารถเจริญองค์มรรค ชนิดที่มีการนำออกซึ่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ได้, ดังนี้ก็มี.
    สำหรับคำว่า ธรรมที่เป็นรุ่งอรุณแห่งการเกิดขึ้นของอัฏฐังคิกมรรค
    เจ็ดประการข้างบนนั้น ในสูตรอื่นๆ
    ไม่เรียกว่า รุ่งอรุณ แต่เรียกว่า เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก (พหุปการธมฺม)
    เพื่อการเกิดขึ้นแห่งอัฏฐังคิกมรรค (๑๙/๔๐-๔๒/๑๔๗ - ๑๖๔) ก็มี ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/40/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%97
    และในสูตรอื่นๆ เรียกว่า เป็นธรรมะที่ทำอัฏฐังคิกมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
    ทำอัฏฐังคิกมรรคที่เกิดอยู่แล้วให้ถึงความเจริญบริบูรณ์ (๑๙/๔๔-๔๗/๑๖๕-๑๘๒) ก็มี;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/44/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95
    และตอนท้ายสูตร ก็มีต่อท้ายด้วยคำว่า ผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น
    ย่อมเจริญกระทำให้มากซึ่งองค์แห่งมรรค ชนิดอาศัยวิเวกเป็นต้น
    และชนิดที่มีการนำออกซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ด้วยกันทั้งนั้น
    ].

    #อัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม
    --ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีเท้า มีสองเท้า มีสี่เท้า มีมากเท้าก็ดี
    มีรูป ไม่มีรูป มีสัญญา ไม่มีสัญญา มีสัญญาก็หามิได้ ไม่มีสัญญาก็หามิได้ก็ดี,
    มีประมาณเท่าใด ;
    ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ย่อมปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดาสัตว์เหล่านั้น.
    --ภิกษุ ท. ! กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามีกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น
    มีความไม่ประมาทเป็นมูล มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง.
    ความไม่ประมาท ย่อมปรากฏว่าเป็นเลิศกว่าบรรดากุศลธรรมเหล่านั้น ;
    ฉันใดก็ฉันนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นสิ่งที่ภิกษุ #ผู้ไม่ประมาทพึงหวังได้
    คือ เธอจักเจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค.

    --[ การที่ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งปวง ในสูตรนี้ทรงอุปมาด้วยพระตถาคตเป็นสัตว์เลิศกว่าสัตว์ทั้งปวง. ส่วนในสูตรอื่นอีกมากแห่ง :-
    --ทรงอุปมาด้วย รอยเท้าช้าง เลิศคือใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย ยอดเรือน เลิศคืออยู่เหนือไม้โครงเรือนทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย รากไม้โกฏฐานุสาริยะ (กลัมพัก ?) เลิศกว่ารากไม้หอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย แก่นจันทร์แดง เลิศกว่าไม้แก่นหอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย ดอกวัสสิกะ (มะลิ ?) เลิศกว่าดอกไม้หอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย ราชาจักรพรรดิ เลิศกว่าพระราชาเมืองขึ้นเมืองออกทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย แสงจันทร์ เลิศคือรุ่งเรืองกว่าแสงดาวทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย แสงอาทิตย์ ภายหลังฝนตกไม่มีเมฆในฤดูสารท แจ่มใสกว่าความแจ่มใสทั้งปวงในอากาศ ดังนี้ก็มี ;
    --ทรงอุปมาด้วย ผ้ากาสี เลิศกว่าบรรดาผ้าทอด้วยเส้นด้ายทั้งหลาย ดังนี้ก็มี
    ].-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/65-70/254-263.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/65/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๒-๖๗/๒๕๔-๒๖๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/65/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=695
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=695
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50
    ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​อัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม​ สัทธรรมลำดับที่ : 695 ชื่อบทธรรม : - กัล๎ยาณมิตตตาในฐานะเป็นรุ่งอรุณแห่งอัฏฐังคิกมรรคนั้น และอัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=695 เนื้อความทั้งหมด :- [ในตำแหน่งแห่ง #กัล๎ยาณมิตตตาในฐานะเป็นรุ่งอรุณแห่งอัฏฐังคิกมรรคนั้น ในสูตรอื่น ทรงแสดงไว้ด้วยธรรมะชื่ออื่นอีกหลายชื่อคือ:- +--ศีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) +--เป็นรุ่งอรุณฉันทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยฉันทะ ความพอใจ) +--เป็นรุ่งอรุณอัตตสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความเหมาะสมแห่งตน) +--เป็นรุ่งอรุณทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ) +--เป็นรุ่งอรุณอัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท) +--เป็นรุ่งอรุณโยนิโสมนสิการสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย) +--เป็นรุ่งอรุณ (รวมเป็นเจ็ดอย่างทั้งกัลยาณมิตตา) และต่อท้ายด้วยคำว่าผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น ย่อมเจริญกระทำให้มากซึ่งองค์แห่งมรรคชนิด อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ เป็นต้น ด้วยกันทั้งนั้น. --ในสูตรอื่น ผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น นอกจากจะเจริญกระทำให้มาก ซึ่งองค์แห่งมรรค ชนิดที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสลัดลง ได้แล้ว, ยังสามารถเจริญองค์มรรค ชนิดที่มีการนำออกซึ่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ได้, ดังนี้ก็มี. สำหรับคำว่า ธรรมที่เป็นรุ่งอรุณแห่งการเกิดขึ้นของอัฏฐังคิกมรรค เจ็ดประการข้างบนนั้น ในสูตรอื่นๆ ไม่เรียกว่า รุ่งอรุณ แต่เรียกว่า เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก (พหุปการธมฺม) เพื่อการเกิดขึ้นแห่งอัฏฐังคิกมรรค (๑๙/๔๐-๔๒/๑๔๗ - ๑๖๔) ก็มี ; http://etipitaka.com/read/pali/19/40/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%97 และในสูตรอื่นๆ เรียกว่า เป็นธรรมะที่ทำอัฏฐังคิกมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำอัฏฐังคิกมรรคที่เกิดอยู่แล้วให้ถึงความเจริญบริบูรณ์ (๑๙/๔๔-๔๗/๑๖๕-๑๘๒) ก็มี; http://etipitaka.com/read/pali/19/44/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95 และตอนท้ายสูตร ก็มีต่อท้ายด้วยคำว่า ผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น ย่อมเจริญกระทำให้มากซึ่งองค์แห่งมรรค ชนิดอาศัยวิเวกเป็นต้น และชนิดที่มีการนำออกซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ด้วยกันทั้งนั้น ]. #อัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม --ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีเท้า มีสองเท้า มีสี่เท้า มีมากเท้าก็ดี มีรูป ไม่มีรูป มีสัญญา ไม่มีสัญญา มีสัญญาก็หามิได้ ไม่มีสัญญาก็หามิได้ก็ดี, มีประมาณเท่าใด ; ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ย่อมปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดาสัตว์เหล่านั้น. --ภิกษุ ท. ! กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามีกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูล มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง. ความไม่ประมาท ย่อมปรากฏว่าเป็นเลิศกว่าบรรดากุศลธรรมเหล่านั้น ; ฉันใดก็ฉันนั้น. --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นสิ่งที่ภิกษุ #ผู้ไม่ประมาทพึงหวังได้ คือ เธอจักเจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค. --[ การที่ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งปวง ในสูตรนี้ทรงอุปมาด้วยพระตถาคตเป็นสัตว์เลิศกว่าสัตว์ทั้งปวง. ส่วนในสูตรอื่นอีกมากแห่ง :- --ทรงอุปมาด้วย รอยเท้าช้าง เลิศคือใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย ยอดเรือน เลิศคืออยู่เหนือไม้โครงเรือนทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย รากไม้โกฏฐานุสาริยะ (กลัมพัก ?) เลิศกว่ารากไม้หอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย แก่นจันทร์แดง เลิศกว่าไม้แก่นหอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย ดอกวัสสิกะ (มะลิ ?) เลิศกว่าดอกไม้หอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย ราชาจักรพรรดิ เลิศกว่าพระราชาเมืองขึ้นเมืองออกทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย แสงจันทร์ เลิศคือรุ่งเรืองกว่าแสงดาวทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย แสงอาทิตย์ ภายหลังฝนตกไม่มีเมฆในฤดูสารท แจ่มใสกว่าความแจ่มใสทั้งปวงในอากาศ ดังนี้ก็มี ; --ทรงอุปมาด้วย ผ้ากาสี เลิศกว่าบรรดาผ้าทอด้วยเส้นด้ายทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ].- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/65-70/254-263. http://etipitaka.com/read/thai/19/65/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๒-๖๗/๒๕๔-๒๖๓. http://etipitaka.com/read/pali/19/65/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=695 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50&id=695 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=50 ลำดับสาธยายธรรม : 50​ ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_50.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ในตำแหน่งแห่ง กัล๎ยาณมิตตตา ในฐานะเป็นรุ่งอรุณแห่งอัฏฐังคิกมรรคนั้น ในสูตรอื่น ทรงแสดงไว้ด้วยธรรมะชื่ออื่นอีกหลายชื่อคือ:
    -[ในตำแหน่งแห่ง กัล๎ยาณมิตตตา ในฐานะเป็นรุ่งอรุณแห่งอัฏฐังคิกมรรคนั้น ในสูตรอื่น ทรงแสดงไว้ด้วยธรรมะชื่ออื่นอีกหลายชื่อคือ: ศีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) เป็นรุ่งอรุณ ฉันทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยฉันทะ ความพอใจ) เป็นรุ่งอรุณ อัตตสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความเหมาะสมแห่งตน) เป็นรุ่งอรุณ ทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ) เป็นรุ่งอรุณ อัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท) เป็นรุ่งอรุณ โยนิโสมนสิการสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย) เป็นรุ่งอรุณ (รวมเป็นเจ็ดอย่างทั้งกัลยาณมิตตา) และต่อท้ายด้วยคำว่าผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น ย่อมเจริญกระทำให้มากซึ่งองค์แห่งมรรคชนิดอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะเป็นต้น ด้วยกันทั้งนั้น. ในสูตรอื่น ผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น นอกจากจะเจริญกระทำให้มาก ซึ่งองค์แห่งมรรค ชนิดที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสลัดลง ได้แล้ว, ยังสามารถเจริญองค์มรรค ชนิดที่มีการนำออกซึ่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ได้, ดังนี้ก็มี. สำหรับคำว่า ธรรมที่เป็นรุ่งอรุณแห่งการเกิดขึ้นของอัฏฐังคิกมรรค เจ็ดประการข้างบนนั้น ในสูตรอื่นๆ ไม่เรียกว่า รุ่งอรุณ แต่เรียกว่า เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก (พหุปการธมฺม) เพื่อการเกิดขึ้นแห่งอัฏฐังคิกมรรค (๑๙/๔๐-๔๒/๑๔๗ - ๑๖๔) ก็มี ; และในสูตรอื่นๆ เรียกว่า เป็นธรรมะที่ทำอัฏฐังคิกมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำอัฏฐังคิกมรรคที่เกิดอยู่แล้วให้ถึงความเจริญบริบูรณ์ (๑๙/๔๔-๔๗/๑๖๕-๑๘๒) ก็มี; และตอนท้ายสูตร ก็มีต่อท้ายด้วยคำว่า ผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น ย่อมเจริญกระทำให้มากซึ่งองค์แห่งมรรค ชนิดอาศัยวิเวกเป็นต้น และชนิดที่มีการนำออกซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นปริโยสาน ด้วยกันทั้งนั้น]. อัฏฐังคิกมรรคสำเร็จได้ด้วยอัปปมาทยอดแห่งกุศลธรรม ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีเท้า มีสองเท้า มีสี่เท้า มีมากเท้าก็ดี มีรูป ไม่มีรูป มีสัญญา ไม่มีสัญญา มีสัญญาก็หามิได้ ไม่มีสัญญาก็หามิได้ก็ดี, มีประมาณเท่าใด ; ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ย่อมปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดาสัตว์เหล่านั้น. ภิกษุ ท. ! กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามี กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูล มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง. ความไม่ประมาท ย่อมปรากฏว่าเป็นเลิศกว่าบรรดากุศลธรรมเหล่านั้น ; ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นสิ่งที่ภิกษุ ผู้ไม่ประมาทพึงหวังได้ คือ เธอจัก เจริญกระทำให้มากซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค๑. [ การที่ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งปวง ในสูตรนี้ทรงอุปมาด้วยพระตถาคตเป็นสัตว์เลิศกว่าสัตว์ทั้งปวง. ส่วนในสูตรอื่นอีกมากแห่ง : ทรงอุปมาด้วย รอยเท้าช้าง เลิศคือใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย ยอดเรือน เลิศคืออยู่เหนือไม้โครงเรือนทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย รากไม้โกฏฐานุสาริยะ (กลัมพัก ?) เลิศกว่ารากไม้หอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย แก่นจันทร์แดง เลิศกว่าไม้แก่นหอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย ดอกวัสสิกะ (มะลิ ?) เลิศกว่าดอกไม้หอมทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย ราชาจักรพรรดิ เลิศกว่าพระราชาเมืองขึ้นเมืองออกทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย แสงจันทร์ เลิศคือรุ่งเรืองกว่าแสงดาวทั้งหลาย ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย แสงอาทิตย์ ภายหลังฝนตกไม่มีเมฆในฤดูสารท แจ่มใสกว่าความแจ่มใสทั้งปวงในอากาศ ดังนี้ก็มี ; ทรงอุปมาด้วย ผ้ากาสี เลิศกว่าบรรดาผ้าทอด้วยเส้นด้ายทั้งหลาย ดังนี้ก็มี].
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • ..ก้าวกระโดดแน่นอน,สิ่งที่ไม่เคยเห็นในหลายพันปีก่อนจะกลับมา,แต่ละอีกสไตล์ใหม่ของแต่ละยุค ละอารยะธรรมของช่วงสมัยใครมัน,แต่เทคโนโลยีอาจล้ำกว่าสมัยอดีตตามการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาที่แต่ละดวงดาวมิริอัพเรเวลตนเองใครมันนานแล้วและประสานแลกเปลี่ยนเรเวลกัน,
    ..ชาติไทยเราต้องจบความขัดแย้งทั้งหมดทันที เช่นเขมร ซึ่งผิดปกติมากที่อยู่ดีๆแต่ผีบ้าแสวงหาความขัดแย้งกับไทยให้ได้,หมายสร้างโกลาหลขัดขวางการมาของยุคสมัยใหม่นั้นเอง,เพื่อให้ย้อนกลับไปมีภาวะสู้รบสงครามทั่วโลกให้ได้นั้น แบบที่เกิดๆแล้วในยูเครนในอิสราเอล ,ฝ่ายไม่ดีสั่งการสร้างขัดขวางมิให้มีบรรยากาศสู้นวัตกรรมยุคสมัยใหม่นั้นเอง,ต้องการควบคุมมนุษย์บนพื้นฐานความหวาดกลัวแบบกฎหมายระเบียบข้อบังคับมาข่มขู่นั้นล่ะก็เสมือนตนชนะสามารถจัดการมนุษย์แบบที่เคยเป็นมาเหมือนในอดีต,ดูเขมรตัดน้ำมันตัดไฟฟ้าตัดใดๆในไทย ชิงตัดบังหน้าก่อนก็ได้เพื่อควบคุมมนุษย์เขมรให้โง่ตามแต่ตนจะให้รู้นั้นล่ะ,เน็ตไม่มี มีเน็ตก็สั่งการโดยรัฐบาลเขมรใช้ไปทางที่ผิด ยั่งยุคนเขมรมากระทำต่อไทยก็ด้วย.,และในรัฐบาลไทยเราก็มีแรปทีเลี่ยนกระหายสงครามกระหายความโกลาหลกระหายความแตกแยกไม่สงบสุขแบบพม่านั้นมีอยู่จริงในไทย รุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมก็ว่า,ใครมีตังฐานะดี ร่ำรวย หน้าตารูปร่างไปทางแรปทีเลี่ยน แสดงบริบทบทบาทชุดมนุษย์นั้นล่ะใช่เลยและปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยตลอดฝังรากฐานบนอำนาจปกครองชนชั้นนำตรึมแน่นอน,อาจสแกนหาด้วยเครื่องมือพิเศษต่างดาวความถี่ล้ำด้วยกันจะพบเจอไม่ยากเย็นอะไร,ผู้นำผู้ปกครองประเทศไทยจึงต้องเป็นฝ่ายดีฝ่ายแสงฝ่ายสภาจักรวาลกาแล็กติกจึงสำคัญ,นายพลทหารนาซีมากมายยังคือพวกแรปทีเลี่ยนจึงไม่แปลงอะไรที่มองว่ามนุษย์ไร้ค่าหรืออะไรทางปากทางพลังงานลบพลังงานบวกเพื่อผลประโยชน์มันในสถานะต่างๆตลอดค้าขายต่างมิติต่างดวงดาวก็ได้.
    ..ประเทศไทยจริงๆต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดจริงๆกฎหมายมากมายที่กดขี่ประชาชนต้องฉีกทิ้งมิใช่สร้างขึ้นเพิ่มมากเช่นลักษณะกฎหมายไม่สวมหมวกกันน็อคปรับ2,00บาทเป็นต้น,มีกฎหมายแรปทีเลี่ยนอีลิทที่ออกที่เขียนที่ตีตราออกมามากมายเพื่อควบคุมมนุษย์คนไทยออกมาใช้บังคับควบคุมคนไทยแบบปรับ2,000นี้เป็นอันมาก,เกาหลีญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดี ปัญญาอ่อนมากมายไม่น้อย,เผด็จการบนตรายางอ้างประชาธิปไตยนั้นเอง,ผู้นำไทยเราฝ่ายดีจะมองเห็นทางแก้ไม่ยากอะไรหรอกเพื่อบริหารจัดการให้ลงตัวกับอนาคตยุคล้ำๆนำสมัยอัพเรเวลประเทศไทยเป็นระดับสากลเทียบชั้นโลกเจริญของสมาชิกสภากาแล็กติกจักรวาลนั้น,อนาคตไทยคือฮับของจักรวาลก็ว่า,เป็นสถานีชุมทางของทั่วจักรวาลมาเยือนโลกที่ต้องมาประตูทางเข้าที่ไทยเราก่อนนั้นเอง,แต่แรปทีเลียนรับไม่ได้ในฝ่ายไม่ดีและหมายกอบโกยจะเอาจะเอาเป็นของตนเองฝ่ายเดียวนั้นล่ะ,จึงพยายามทุกๆรูปแบบขัดขวางประเทศมิให้เจริญ ปล้นชิงทุกๆอย่างยึดทุกๆอย่างให้ได้ อย่างให้ไทยมีวัตถุดิบเป็นของตนเองในการพัฒนาชาติไทย ทำก็ทำให้ลำบากให้แพงให้ยากไว้,บ่อน้ำมันไทยจึงยึดไว้ บ่อทองคำก็ทำเอง อะไรๆมากมายอยู่ในมือต่างชาติฝ่ายไม่ดีหมดนั้นเอง,
    ..ถ้าฝ่ายแสงปกครองฝ่ายดีขึ้นปกครองประเทศหรือยึดทันทีจริง ถ้าฝ่ายไม่ดียึดปกครองไทยจริงตลอดอดีตถึงปัจจุบันก็ต้องสมควรถูกยึดเพื่อให้ฝ่ายดีขึ้นปกครองจริงๆเพราะประชาชนก็ย่อมดีขึ้นแน่นอน,เราจะก้าวกระโดดทันทีทั้งทางวัตถุธาตุและจิตวิญญาณที่ดีในการยกระดับจิตในทางที่ถูกต้องไม่มีอะไรมาขัดขวางกิจกรรมผู้หมายอัพเรเวลตนทางดีอีก,ใครเป็นมิติชั่วเลวทางจิตจริงก็ต้องถูกดูดพาย้ายไปดวงดาวอื่นทันทีที่มิติเดียวกันเรเวลชั่วเลวเดียวกันบนดวงดาวเดียวกันนั้นเอง.
    ..เชื่อว่ายานพ่อยานแม่เหล่านี้มาดูดบีอิ้งที่ว่าของจริงแน่นอน,และมีแบบตัวคนเป็นๆย้ายไปดวงดาวอื่นที่เรเวลจิตใจต่ำเลวระดับเดียวกันด้วย,ที่คนฝ่ายแสงมักอวยว่าคนมิติ5Dขึ้นไปก็ย่อมเหมาะสมแก่สิ่งดีๆตามระดับเรเวลดีนั้นเอง,เทคโนโลยีก็อัพเรเวลตามสถานะคนมิตินั้นๆด้วย,AIเองก็ถูกเองมาเพื่อคนมิตินั้นๆด้วย,มันจะไม่เหมือนเดิมแบบยุคแรปทีเลี่ยนก่อนๆแบบก่อนยุคไดโนเสาร์หรือในอดีตๆแน่นอน,ดวงอังคารอะไรดวงดาวอะไรอนาคตโลกจะล้ำสมัยที่สุดนำหน้าทุกๆดวงดาวที่ว่าเลิศก็ว่า,เพราะเผ่าพันธ์มนุษย์แบบมนุษย์คนไทยประเทศเรานี้อัจฉริยะทางจิตวิญญาณมากที่สุดบนโลก,แต่ไม่แสดงตัวเท่านั้น,และทั่วจักรวาลลงใจยอมรับด้วยจิตด้วยใจสนิทใจนั้นเอง.,แรปทีเลี่ยนที่ดีๆฝ่ายดีกลับใจก็มีไม่น้อยบนแผ่นดินไทยหรือใต้แผ่นดินไทยเรา,คือแรปทีเลี่ยนดีต่อสู้กับแรปทีเลี่ยนไม่ดีนั้นล่ะ,
    ..ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้ต้องมีผู้นำทางจิตวิญญาณฝ่ายแสงนำทัพจริงๆ การพัฒนานวัตกรรมใดๆจะเป็นไปลักษณะฝ่ายดีทันทีและเชื่อมประสานกับฝ่ายแสงใต้โลกฝ่ายแสงนอกโลกในการรับเทคโนโลยีล้ำๆมาอัพเรเวลประเทศไทยคงไม่ยากอะไร,ไม่จำเป็นไปพบปะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับชาติอื่นทั่วโลกก็ได้,อยากได้อะไรเพื่อนฝ่ายแสงต่างมิติดวงดาวจะจัดให้แน่นอน,เพราะที่เขาเลือกอเมริกาเลือกรัสเชียเลือกจีนหรือเลือกประเทศใดๆเพียงทดลองงานเท่านั้น,ตัวแทนก็ว่า,แต่ของจริงเป้าหมายตรงจุดคือประเทศไทย เขารอความพร้อมจากประเทศไทยแค่นั้นและเขา..จักรวาลวางประเทศไทยเป็นเอกของโลกอยู่แล้ว,เขาดูเราเหมือนเด็กทารกที่กำลังเติบโตแค่นั่น มีตีกันกับเพื่อนบ้านในแต่ล่ะยุคเรื่อยมานั่นล่ะพะสาเด็กๆ,เรากำลังอยู่ในขั้นจบ ปวส.ประมาณนั้น .,พร้อมก้าวสู่ค่าจริงของชุมชนสังคมจักรวาลแล้ว.
    ..ยานแม่ลงจอดลอยลำทั่วชั้นบรรยาศโลกแน่นอน ยานใต้โลกก็พวกใต้โลก ยานมาจากนอกโดมก็นอกทวีปนอกโดมหรือนอกโลก,มีการเคลื่อนย้ายคนแน่นอน ส่วนคนดีหรือคนชั่วเข้าคงลงมติตัดสินใจในสภาฯเข้าแต่ละหน้างานเนื้องานล่ะ,เราต้องพัฒนาทางจิตวิญญาณโดยรวดเร็วในประเทศไทยนอกจากพัฒนาทางวัตถุเทคโนโลยีAIและนวัตกรรมต่างๆ,คู่ขนานสแกนกำจัดฝ่ายมืดฝ่ายไม่ดีที่อยู่ภายในชาติไทยเราเองด้วย,ชาติอื่นก็เป็นของชาติอื่นๆ,พ้นนั้น เขาจะลงมาเก็บกวาดที่เราไม่สามารถลงมือจัดการได้หรือเรเวลบนโลกต่อกรไม่ได้ เขาจะกำจัดเองอาจสิ้นซากด้วย ผู้นำใด ยิ่งใหญ่แค่ไหน ขุดหลุมลงรูลึกขนาดไหนก็ไม่รอด,เพราะเขาลงมติร่วมกันแล้วว่าโลกใบนี้ต้องทำความสะอาดจริงจัง.,ฝ่ายมืดและสมุนขี้ข้ารับใช้ลูกน้องทั้งหมดต้องไม่มีในโลก,หลายคนอาจฝันผีบ้าไปเจอเองผ่านความฝันมากมายมาแล้ว,และนั้นอาจเป็นข้อความที่เขาส่งผ่านคลื่นความถี่มาถึงคุณท่านเธอทั้งหลายขณะนอนหลับสบายๆในบ้านของใครมัน.
    ..เราชาวโลกทุกๆคนสมควรแก่เวลาเช่นกันที่ต้องรับรู้ค่าจริงของจักรวาลนี้จริงๆ.เจตจำนงเสรีเราจะมีวิถีที่พึ่งที่อยู่อันเป็นสรณะอันสมควรของใครของมันชัดเจนทันทีแน่นอน.,กลับบ้านของใครของมันถูกก็ด้วย.มาเล่นเสียนานก็ใช่ หลงทางถูกลักพาตัวถูกกักตัวก็ใช่ โลกสมมุตินี้ธรรมดาที่ไหน,หรืออัพเรเวลใครมันสมปราถนาตามเจตจำนงใครมันก็ใช่.,สะดวกอำนวยแต่การปฏิบัติให้ถึงความสมบูรณ์บริบูรณ์อุดมสมบูรณ์ทุกๆประการที่จิตปราถนานั้นเอง.,สายธรรมะจักรวาลอาจว่าที่สุดคือบรรลุธรรมจักรวาลหรือสายพุทธคือนิพพานนั้นเอง,ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มาเกิดไม่มาตายอีกในสมมุตินี้.


    https://youtube.com/watch?v=Gwbrjy8yR3s&feature=shared
    ..ก้าวกระโดดแน่นอน,สิ่งที่ไม่เคยเห็นในหลายพันปีก่อนจะกลับมา,แต่ละอีกสไตล์ใหม่ของแต่ละยุค ละอารยะธรรมของช่วงสมัยใครมัน,แต่เทคโนโลยีอาจล้ำกว่าสมัยอดีตตามการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาที่แต่ละดวงดาวมิริอัพเรเวลตนเองใครมันนานแล้วและประสานแลกเปลี่ยนเรเวลกัน, ..ชาติไทยเราต้องจบความขัดแย้งทั้งหมดทันที เช่นเขมร ซึ่งผิดปกติมากที่อยู่ดีๆแต่ผีบ้าแสวงหาความขัดแย้งกับไทยให้ได้,หมายสร้างโกลาหลขัดขวางการมาของยุคสมัยใหม่นั้นเอง,เพื่อให้ย้อนกลับไปมีภาวะสู้รบสงครามทั่วโลกให้ได้นั้น แบบที่เกิดๆแล้วในยูเครนในอิสราเอล ,ฝ่ายไม่ดีสั่งการสร้างขัดขวางมิให้มีบรรยากาศสู้นวัตกรรมยุคสมัยใหม่นั้นเอง,ต้องการควบคุมมนุษย์บนพื้นฐานความหวาดกลัวแบบกฎหมายระเบียบข้อบังคับมาข่มขู่นั้นล่ะก็เสมือนตนชนะสามารถจัดการมนุษย์แบบที่เคยเป็นมาเหมือนในอดีต,ดูเขมรตัดน้ำมันตัดไฟฟ้าตัดใดๆในไทย ชิงตัดบังหน้าก่อนก็ได้เพื่อควบคุมมนุษย์เขมรให้โง่ตามแต่ตนจะให้รู้นั้นล่ะ,เน็ตไม่มี มีเน็ตก็สั่งการโดยรัฐบาลเขมรใช้ไปทางที่ผิด ยั่งยุคนเขมรมากระทำต่อไทยก็ด้วย.,และในรัฐบาลไทยเราก็มีแรปทีเลี่ยนกระหายสงครามกระหายความโกลาหลกระหายความแตกแยกไม่สงบสุขแบบพม่านั้นมีอยู่จริงในไทย รุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมก็ว่า,ใครมีตังฐานะดี ร่ำรวย หน้าตารูปร่างไปทางแรปทีเลี่ยน แสดงบริบทบทบาทชุดมนุษย์นั้นล่ะใช่เลยและปะปนในทุกๆวงการทั่วไทยตลอดฝังรากฐานบนอำนาจปกครองชนชั้นนำตรึมแน่นอน,อาจสแกนหาด้วยเครื่องมือพิเศษต่างดาวความถี่ล้ำด้วยกันจะพบเจอไม่ยากเย็นอะไร,ผู้นำผู้ปกครองประเทศไทยจึงต้องเป็นฝ่ายดีฝ่ายแสงฝ่ายสภาจักรวาลกาแล็กติกจึงสำคัญ,นายพลทหารนาซีมากมายยังคือพวกแรปทีเลี่ยนจึงไม่แปลงอะไรที่มองว่ามนุษย์ไร้ค่าหรืออะไรทางปากทางพลังงานลบพลังงานบวกเพื่อผลประโยชน์มันในสถานะต่างๆตลอดค้าขายต่างมิติต่างดวงดาวก็ได้. ..ประเทศไทยจริงๆต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดจริงๆกฎหมายมากมายที่กดขี่ประชาชนต้องฉีกทิ้งมิใช่สร้างขึ้นเพิ่มมากเช่นลักษณะกฎหมายไม่สวมหมวกกันน็อคปรับ2,00บาทเป็นต้น,มีกฎหมายแรปทีเลี่ยนอีลิทที่ออกที่เขียนที่ตีตราออกมามากมายเพื่อควบคุมมนุษย์คนไทยออกมาใช้บังคับควบคุมคนไทยแบบปรับ2,000นี้เป็นอันมาก,เกาหลีญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดี ปัญญาอ่อนมากมายไม่น้อย,เผด็จการบนตรายางอ้างประชาธิปไตยนั้นเอง,ผู้นำไทยเราฝ่ายดีจะมองเห็นทางแก้ไม่ยากอะไรหรอกเพื่อบริหารจัดการให้ลงตัวกับอนาคตยุคล้ำๆนำสมัยอัพเรเวลประเทศไทยเป็นระดับสากลเทียบชั้นโลกเจริญของสมาชิกสภากาแล็กติกจักรวาลนั้น,อนาคตไทยคือฮับของจักรวาลก็ว่า,เป็นสถานีชุมทางของทั่วจักรวาลมาเยือนโลกที่ต้องมาประตูทางเข้าที่ไทยเราก่อนนั้นเอง,แต่แรปทีเลียนรับไม่ได้ในฝ่ายไม่ดีและหมายกอบโกยจะเอาจะเอาเป็นของตนเองฝ่ายเดียวนั้นล่ะ,จึงพยายามทุกๆรูปแบบขัดขวางประเทศมิให้เจริญ ปล้นชิงทุกๆอย่างยึดทุกๆอย่างให้ได้ อย่างให้ไทยมีวัตถุดิบเป็นของตนเองในการพัฒนาชาติไทย ทำก็ทำให้ลำบากให้แพงให้ยากไว้,บ่อน้ำมันไทยจึงยึดไว้ บ่อทองคำก็ทำเอง อะไรๆมากมายอยู่ในมือต่างชาติฝ่ายไม่ดีหมดนั้นเอง, ..ถ้าฝ่ายแสงปกครองฝ่ายดีขึ้นปกครองประเทศหรือยึดทันทีจริง ถ้าฝ่ายไม่ดียึดปกครองไทยจริงตลอดอดีตถึงปัจจุบันก็ต้องสมควรถูกยึดเพื่อให้ฝ่ายดีขึ้นปกครองจริงๆเพราะประชาชนก็ย่อมดีขึ้นแน่นอน,เราจะก้าวกระโดดทันทีทั้งทางวัตถุธาตุและจิตวิญญาณที่ดีในการยกระดับจิตในทางที่ถูกต้องไม่มีอะไรมาขัดขวางกิจกรรมผู้หมายอัพเรเวลตนทางดีอีก,ใครเป็นมิติชั่วเลวทางจิตจริงก็ต้องถูกดูดพาย้ายไปดวงดาวอื่นทันทีที่มิติเดียวกันเรเวลชั่วเลวเดียวกันบนดวงดาวเดียวกันนั้นเอง. ..เชื่อว่ายานพ่อยานแม่เหล่านี้มาดูดบีอิ้งที่ว่าของจริงแน่นอน,และมีแบบตัวคนเป็นๆย้ายไปดวงดาวอื่นที่เรเวลจิตใจต่ำเลวระดับเดียวกันด้วย,ที่คนฝ่ายแสงมักอวยว่าคนมิติ5Dขึ้นไปก็ย่อมเหมาะสมแก่สิ่งดีๆตามระดับเรเวลดีนั้นเอง,เทคโนโลยีก็อัพเรเวลตามสถานะคนมิตินั้นๆด้วย,AIเองก็ถูกเองมาเพื่อคนมิตินั้นๆด้วย,มันจะไม่เหมือนเดิมแบบยุคแรปทีเลี่ยนก่อนๆแบบก่อนยุคไดโนเสาร์หรือในอดีตๆแน่นอน,ดวงอังคารอะไรดวงดาวอะไรอนาคตโลกจะล้ำสมัยที่สุดนำหน้าทุกๆดวงดาวที่ว่าเลิศก็ว่า,เพราะเผ่าพันธ์มนุษย์แบบมนุษย์คนไทยประเทศเรานี้อัจฉริยะทางจิตวิญญาณมากที่สุดบนโลก,แต่ไม่แสดงตัวเท่านั้น,และทั่วจักรวาลลงใจยอมรับด้วยจิตด้วยใจสนิทใจนั้นเอง.,แรปทีเลี่ยนที่ดีๆฝ่ายดีกลับใจก็มีไม่น้อยบนแผ่นดินไทยหรือใต้แผ่นดินไทยเรา,คือแรปทีเลี่ยนดีต่อสู้กับแรปทีเลี่ยนไม่ดีนั้นล่ะ, ..ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้ต้องมีผู้นำทางจิตวิญญาณฝ่ายแสงนำทัพจริงๆ การพัฒนานวัตกรรมใดๆจะเป็นไปลักษณะฝ่ายดีทันทีและเชื่อมประสานกับฝ่ายแสงใต้โลกฝ่ายแสงนอกโลกในการรับเทคโนโลยีล้ำๆมาอัพเรเวลประเทศไทยคงไม่ยากอะไร,ไม่จำเป็นไปพบปะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับชาติอื่นทั่วโลกก็ได้,อยากได้อะไรเพื่อนฝ่ายแสงต่างมิติดวงดาวจะจัดให้แน่นอน,เพราะที่เขาเลือกอเมริกาเลือกรัสเชียเลือกจีนหรือเลือกประเทศใดๆเพียงทดลองงานเท่านั้น,ตัวแทนก็ว่า,แต่ของจริงเป้าหมายตรงจุดคือประเทศไทย เขารอความพร้อมจากประเทศไทยแค่นั้นและเขา..จักรวาลวางประเทศไทยเป็นเอกของโลกอยู่แล้ว,เขาดูเราเหมือนเด็กทารกที่กำลังเติบโตแค่นั่น มีตีกันกับเพื่อนบ้านในแต่ล่ะยุคเรื่อยมานั่นล่ะพะสาเด็กๆ,เรากำลังอยู่ในขั้นจบ ปวส.ประมาณนั้น .,พร้อมก้าวสู่ค่าจริงของชุมชนสังคมจักรวาลแล้ว. ..ยานแม่ลงจอดลอยลำทั่วชั้นบรรยาศโลกแน่นอน ยานใต้โลกก็พวกใต้โลก ยานมาจากนอกโดมก็นอกทวีปนอกโดมหรือนอกโลก,มีการเคลื่อนย้ายคนแน่นอน ส่วนคนดีหรือคนชั่วเข้าคงลงมติตัดสินใจในสภาฯเข้าแต่ละหน้างานเนื้องานล่ะ,เราต้องพัฒนาทางจิตวิญญาณโดยรวดเร็วในประเทศไทยนอกจากพัฒนาทางวัตถุเทคโนโลยีAIและนวัตกรรมต่างๆ,คู่ขนานสแกนกำจัดฝ่ายมืดฝ่ายไม่ดีที่อยู่ภายในชาติไทยเราเองด้วย,ชาติอื่นก็เป็นของชาติอื่นๆ,พ้นนั้น เขาจะลงมาเก็บกวาดที่เราไม่สามารถลงมือจัดการได้หรือเรเวลบนโลกต่อกรไม่ได้ เขาจะกำจัดเองอาจสิ้นซากด้วย ผู้นำใด ยิ่งใหญ่แค่ไหน ขุดหลุมลงรูลึกขนาดไหนก็ไม่รอด,เพราะเขาลงมติร่วมกันแล้วว่าโลกใบนี้ต้องทำความสะอาดจริงจัง.,ฝ่ายมืดและสมุนขี้ข้ารับใช้ลูกน้องทั้งหมดต้องไม่มีในโลก,หลายคนอาจฝันผีบ้าไปเจอเองผ่านความฝันมากมายมาแล้ว,และนั้นอาจเป็นข้อความที่เขาส่งผ่านคลื่นความถี่มาถึงคุณท่านเธอทั้งหลายขณะนอนหลับสบายๆในบ้านของใครมัน. ..เราชาวโลกทุกๆคนสมควรแก่เวลาเช่นกันที่ต้องรับรู้ค่าจริงของจักรวาลนี้จริงๆ.เจตจำนงเสรีเราจะมีวิถีที่พึ่งที่อยู่อันเป็นสรณะอันสมควรของใครของมันชัดเจนทันทีแน่นอน.,กลับบ้านของใครของมันถูกก็ด้วย.มาเล่นเสียนานก็ใช่ หลงทางถูกลักพาตัวถูกกักตัวก็ใช่ โลกสมมุตินี้ธรรมดาที่ไหน,หรืออัพเรเวลใครมันสมปราถนาตามเจตจำนงใครมันก็ใช่.,สะดวกอำนวยแต่การปฏิบัติให้ถึงความสมบูรณ์บริบูรณ์อุดมสมบูรณ์ทุกๆประการที่จิตปราถนานั้นเอง.,สายธรรมะจักรวาลอาจว่าที่สุดคือบรรลุธรรมจักรวาลหรือสายพุทธคือนิพพานนั้นเอง,ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มาเกิดไม่มาตายอีกในสมมุตินี้. https://youtube.com/watch?v=Gwbrjy8yR3s&feature=shared
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • เหรียญเมตตาธรรม ค้ำจุนโลก อาจารย์ซุ่งเฮง วัดทองย้อย จ.นครนายก
    เหรียญเมตตาธรรม ค้ำจุนโลก (หลังตอกโค็ด) อาจารย์ซุ่งเฮง วัดทองย้อย อำเภอบ้านนา จ.นครนายก //พระปลัดซุ่งเฮง อาจารสมฺปนฺโน เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วยังมีความเชี่ยวชาญ ด้านการสอนธรรมะ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณด้านแคล้วคลาด มหาอุตน์ บันดาลโชคลาภ อุดมโภคทรัพย์ เจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา เสริมโชคเสริมลาภ ช่วยปกป้องคุ้มครอง จากสิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ มนตร์ดําต่างๆ >>

    ** พระปลัดซุ่งเฮง อาจารสมฺปนฺโน นอกจากเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วยังมีความเชี่ยวชาญ ด้านการสอนธรรมะ การเป็นวิทยากรแก่ โรงเรียนต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาแล้ว พระปลัดซุ่งเฮง อาจารสมฺปนฺโน ยังเป็นเครือข่ายทางด้านวัฒนธรรมด้วย >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญเมตตาธรรม ค้ำจุนโลก อาจารย์ซุ่งเฮง วัดทองย้อย จ.นครนายก เหรียญเมตตาธรรม ค้ำจุนโลก (หลังตอกโค็ด) อาจารย์ซุ่งเฮง วัดทองย้อย อำเภอบ้านนา จ.นครนายก //พระปลัดซุ่งเฮง อาจารสมฺปนฺโน เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วยังมีความเชี่ยวชาญ ด้านการสอนธรรมะ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณด้านแคล้วคลาด มหาอุตน์ บันดาลโชคลาภ อุดมโภคทรัพย์ เจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา เสริมโชคเสริมลาภ ช่วยปกป้องคุ้มครอง จากสิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ มนตร์ดําต่างๆ >> ** พระปลัดซุ่งเฮง อาจารสมฺปนฺโน นอกจากเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วยังมีความเชี่ยวชาญ ด้านการสอนธรรมะ การเป็นวิทยากรแก่ โรงเรียนต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาแล้ว พระปลัดซุ่งเฮง อาจารสมฺปนฺโน ยังเป็นเครือข่ายทางด้านวัฒนธรรมด้วย >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร วัดถ้ำสุมะโน จ.พัทลุง
    เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร วัดถ้ำสุมะโน จ.พัทลุง // พระดีพิธีใหญ่ !! “วัดถ้ำสุมะโน” เป็นสำนักปฏิบัติธรรมของจังหวัดพัทลุง เป็นแหล่งวิปัสสนา ของผู้ที่แสวงหาธรรมะ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณอานุภาพครอบจักรวาล เด่นด้านเมตตามหาลาภ โภคทรัพย์ แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เสนียดจัญไร เลื่อนยศเลื่อนตําแหน่ง มีความเจริญรุ่งเรือง มหาอุตย์ คงกระพัน และเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง >>

    ** วัดถ้ำสุมะโน ภูเขาที่เป็นถ้ำสองลูกนี้ เดิมเป็นสถานที่ว่างเป็นป่าปกคลุม มีดินกลบอยู่ จนไม่มีใครสงสัยว่าเป็นถ้ำ แต่เนื่องด้วยได้ถูกค้นพบโดย พระอาจารย์เดช สุมโน คณะญาติธรรมจึงได้ตั้งชื่อว่า " ถ้ำสุมะโน " โดยตั้งชื่อตามฉายาของผู้ค้นพบถ้ำเป็นคนแรก คณะชาวภูเก็ต ๒o คน โดยการนำของ คุณ ณรงค์ นพดารา พระอาจารย์เดช สุมโน ค้นพบถ้ำแห่งนี้ครั้งแรก ต่อมาคุณบัญชา นำศรีรัตน์ ถวายที่ดินรอบภูเขา ๘ ไร่ที่มีเอกสาร น.ส.๓ ก. ให้สร้างวัดมีนามว่า วัดถ้ำสุมะโน และมีผู้ศรัทธาซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติมรอบภูเขาสองลูก ๗๘ ไร่ รวมทั้งภูเขาด้วยประมาณ ๕oo ไร่.


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร วัดถ้ำสุมะโน จ.พัทลุง เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดร วัดถ้ำสุมะโน จ.พัทลุง // พระดีพิธีใหญ่ !! “วัดถ้ำสุมะโน” เป็นสำนักปฏิบัติธรรมของจังหวัดพัทลุง เป็นแหล่งวิปัสสนา ของผู้ที่แสวงหาธรรมะ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณอานุภาพครอบจักรวาล เด่นด้านเมตตามหาลาภ โภคทรัพย์ แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เสนียดจัญไร เลื่อนยศเลื่อนตําแหน่ง มีความเจริญรุ่งเรือง มหาอุตย์ คงกระพัน และเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง >> ** วัดถ้ำสุมะโน ภูเขาที่เป็นถ้ำสองลูกนี้ เดิมเป็นสถานที่ว่างเป็นป่าปกคลุม มีดินกลบอยู่ จนไม่มีใครสงสัยว่าเป็นถ้ำ แต่เนื่องด้วยได้ถูกค้นพบโดย พระอาจารย์เดช สุมโน คณะญาติธรรมจึงได้ตั้งชื่อว่า " ถ้ำสุมะโน " โดยตั้งชื่อตามฉายาของผู้ค้นพบถ้ำเป็นคนแรก คณะชาวภูเก็ต ๒o คน โดยการนำของ คุณ ณรงค์ นพดารา พระอาจารย์เดช สุมโน ค้นพบถ้ำแห่งนี้ครั้งแรก ต่อมาคุณบัญชา นำศรีรัตน์ ถวายที่ดินรอบภูเขา ๘ ไร่ที่มีเอกสาร น.ส.๓ ก. ให้สร้างวัดมีนามว่า วัดถ้ำสุมะโน และมีผู้ศรัทธาซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติมรอบภูเขาสองลูก ๗๘ ไร่ รวมทั้งภูเขาด้วยประมาณ ๕oo ไร่. ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • ศาสนาไม่เคยฝากไว้ที่วัด...

    แต่ฝากไว้ในใจ "ชาวบ้าน"

    ไม่มีใครเกิดมาเป็นพระ
    ทุกคนเริ่มจาก “ฆราวาส”
    และ “พระจะเป็นอย่างไร”
    ก็ขึ้นอยู่กับ “ฆราวาสแบบไหน” ที่เขาเคยเป็นมา

    ในยุคที่ เราฝากความดีไว้กับพระไม่ได้
    เพราะมีชาวบ้านใจร้ายไปบวชเป็นพระ
    เราจึงต้องเริ่มฝากความดีไว้กับฆราวาส...ก่อน

    อยากให้พระมีวินัย
    อย่าถวายกิเลสให้ท่าน

    อยากให้พระสอนธรรม
    จงเลิกไถ่ถามเลขเด็ด

    อยากให้วัดร่มเย็น
    จงอย่าหอบเรื่องโลกไปวางในวัด

    อยากให้พระมีธรรม
    จงเป็นฆราวาสที่ฝึกธรรมไว้ในใจ

    เพราะพระพุทธเจ้าฝากพระศาสนา
    ไว้กับคนทั้งสี่ประเภท — ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
    ไม่ใช่แค่ “ผ้าเหลือง”

    ถ้าอยากเห็นพระในอนาคต
    เป็นพระที่ดี...
    เราต้องเป็นฆราวาสที่ดี วันนี้

    ธรรมะไม่ใช่ของสูงบนหิ้ง
    แต่คือเครื่องมือประจำบ้าน
    ไว้แก้ทุกข์ เติมสุข
    ให้ชีวิตทุกวัน...ดีขึ้นเรื่อย ๆ

    วันนี้…คุณเลือกอยู่ใน “บริษัทพุทธ”

    เพื่อ “สร้างศาสนา” หรือ “ทำลายศาสนา”?
    หลักฐานมีอยู่ในมือถือคุณแล้วทั้งหมด...

    🪷 เพราะถ้าคุณไม่ดูแลศาสนา
    อย่าแปลกใจ…
    ถ้าต้องเผชิญวันตาย
    โดยไม่มี “หลัก” ให้ยึด
    ไม่มี “ธรรม” ให้เกาะ
    ไม่มีแม้แต่ “ฟางเส้นสุดท้าย” ให้ใจจับ!

    #ศาสนาในมือฆราวาส
    #ธรรมะในบ้าน
    #สร้างไม่ใช่แค่ด่า
    #ธรรมะไม่ใช่แค่ผ้าเหลือง
    #ชาวพุทธต้องมีส่วนร่วม
    🌿 ศาสนาไม่เคยฝากไว้ที่วัด... แต่ฝากไว้ในใจ "ชาวบ้าน" ไม่มีใครเกิดมาเป็นพระ ทุกคนเริ่มจาก “ฆราวาส” และ “พระจะเป็นอย่างไร” ก็ขึ้นอยู่กับ “ฆราวาสแบบไหน” ที่เขาเคยเป็นมา ในยุคที่ เราฝากความดีไว้กับพระไม่ได้ เพราะมีชาวบ้านใจร้ายไปบวชเป็นพระ เราจึงต้องเริ่มฝากความดีไว้กับฆราวาส...ก่อน อยากให้พระมีวินัย อย่าถวายกิเลสให้ท่าน อยากให้พระสอนธรรม จงเลิกไถ่ถามเลขเด็ด อยากให้วัดร่มเย็น จงอย่าหอบเรื่องโลกไปวางในวัด อยากให้พระมีธรรม จงเป็นฆราวาสที่ฝึกธรรมไว้ในใจ เพราะพระพุทธเจ้าฝากพระศาสนา ไว้กับคนทั้งสี่ประเภท — ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่แค่ “ผ้าเหลือง” ✨ ถ้าอยากเห็นพระในอนาคต เป็นพระที่ดี... เราต้องเป็นฆราวาสที่ดี วันนี้ ธรรมะไม่ใช่ของสูงบนหิ้ง แต่คือเครื่องมือประจำบ้าน ไว้แก้ทุกข์ เติมสุข ให้ชีวิตทุกวัน...ดีขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้…คุณเลือกอยู่ใน “บริษัทพุทธ” เพื่อ “สร้างศาสนา” หรือ “ทำลายศาสนา”? หลักฐานมีอยู่ในมือถือคุณแล้วทั้งหมด... 🪷 เพราะถ้าคุณไม่ดูแลศาสนา อย่าแปลกใจ… ถ้าต้องเผชิญวันตาย โดยไม่มี “หลัก” ให้ยึด ไม่มี “ธรรม” ให้เกาะ ไม่มีแม้แต่ “ฟางเส้นสุดท้าย” ให้ใจจับ! #ศาสนาในมือฆราวาส #ธรรมะในบ้าน #สร้างไม่ใช่แค่ด่า #ธรรมะไม่ใช่แค่ผ้าเหลือง #ชาวพุทธต้องมีส่วนร่วม
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • เมื่อศรัทธาสั่นคลอน… จงเป็นแสงเทียนเองเสียเถิด
    แม้ข่าวพระแย่ ๆ จะเต็มฟีด
    แม้ใจเราจะตั้งคำถามว่า “ศาสนาเสื่อมแล้วหรือ”
    แต่ก่อนจะพยักหน้า ลองมองประวัติศาสตร์อินเดีย
    แผ่นดินเกิดของพระพุทธเจ้า… ก็เคยเสื่อมเพราะ "คนใน"

    วัดกลายเป็นองค์กรมั่งคั่ง
    พระบวชเพื่อ "รวย" มากกว่า "รู้"
    จีวรถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เครื่องหมายของการหลุดพ้น
    และไม่มีใครกล้าท้วง…

    แต่ในขณะเดียวกัน
    พระผู้เงียบงามในป่า
    พระที่เดินบิณฑบาตในอีสาน
    พระที่สอนเด็กๆ ในโรงเรียนวัด
    ก็ยังมีอยู่ — แต่อยู่ “นอกสปอตไลต์”

    อย่าลืมว่า
    พระศาสนาไม่ได้ขึ้นกับคนมีอำนาจ
    แต่ขึ้นกับคนธรรมดา ที่ไม่ยอมละความดี

    วันนี้… อย่ารอให้ข่าวดีเกิดก่อนศรัทธาจะกลับมา
    เพราะคุณเองก็ “จุดเทียน” ให้ศาสนาได้

    • อ่านหนังสือธรรมะแทนการแชร์ด่า
    • สอนลูกหลานไหว้พระ สวดมนต์เข้าใจความหมาย
    • ไปกราบพระดี ๆ ที่ไม่เคยเป็นข่าว
    • ถือศีลแบบตั้งใจ ไม่ใช่แค่ทอดผ้าป่า
    • เจริญภาวนา แม้วันละ 3 นาที

    🕯 ธรรมะไม่เคยริบหรี่ — แม้โลกจะมืดมนเพียงใด
    เพราะธรรมะอยู่ในใจ
    ไม่ใช่ที่จีวร
    ไม่ใช่ในคลิป
    ไม่ใช่ในข่าว
    แต่ใน "เจตนาดี" ที่เราตั้งไว้ทุกเช้า

    และผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
    คือ “สมณะที่แท้”
    ไม่ว่าจะห่มอะไร หรืออยู่ที่ใดในโลก

    ถึงเวลาที่ศรัทธาจะไม่ต้องรอใครฟื้นศาสนา
    แต่เริ่มต้นจากเรา… ผู้เป็นชาวพุทธตัวจริง
    ไม่ใช่แค่ในบัตรประชาชน
    แต่ใน “ความคิด คำพูด และการกระทำ” ในแต่ละวัน

    #แสงเทียนแห่งธรรมะ
    #ศรัทธาไม่ต้องรอใคร
    #ธรรมะอยู่ที่ใจ
    #พุทธแท้ไม่หวั่นข่าวปลอม
    #ชาวพุทธยุคใหม่
    🌘 เมื่อศรัทธาสั่นคลอน… จงเป็นแสงเทียนเองเสียเถิด แม้ข่าวพระแย่ ๆ จะเต็มฟีด แม้ใจเราจะตั้งคำถามว่า “ศาสนาเสื่อมแล้วหรือ” แต่ก่อนจะพยักหน้า ลองมองประวัติศาสตร์อินเดีย แผ่นดินเกิดของพระพุทธเจ้า… ก็เคยเสื่อมเพราะ "คนใน" วัดกลายเป็นองค์กรมั่งคั่ง พระบวชเพื่อ "รวย" มากกว่า "รู้" จีวรถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เครื่องหมายของการหลุดพ้น และไม่มีใครกล้าท้วง… 📜 แต่ในขณะเดียวกัน พระผู้เงียบงามในป่า พระที่เดินบิณฑบาตในอีสาน พระที่สอนเด็กๆ ในโรงเรียนวัด ก็ยังมีอยู่ — แต่อยู่ “นอกสปอตไลต์” อย่าลืมว่า พระศาสนาไม่ได้ขึ้นกับคนมีอำนาจ แต่ขึ้นกับคนธรรมดา ที่ไม่ยอมละความดี 🔥 วันนี้… อย่ารอให้ข่าวดีเกิดก่อนศรัทธาจะกลับมา เพราะคุณเองก็ “จุดเทียน” ให้ศาสนาได้ • อ่านหนังสือธรรมะแทนการแชร์ด่า • สอนลูกหลานไหว้พระ สวดมนต์เข้าใจความหมาย • ไปกราบพระดี ๆ ที่ไม่เคยเป็นข่าว • ถือศีลแบบตั้งใจ ไม่ใช่แค่ทอดผ้าป่า • เจริญภาวนา แม้วันละ 3 นาที 🕯 ธรรมะไม่เคยริบหรี่ — แม้โลกจะมืดมนเพียงใด เพราะธรรมะอยู่ในใจ ไม่ใช่ที่จีวร ไม่ใช่ในคลิป ไม่ใช่ในข่าว แต่ใน "เจตนาดี" ที่เราตั้งไว้ทุกเช้า และผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือ “สมณะที่แท้” ไม่ว่าจะห่มอะไร หรืออยู่ที่ใดในโลก 💬 ถึงเวลาที่ศรัทธาจะไม่ต้องรอใครฟื้นศาสนา แต่เริ่มต้นจากเรา… ผู้เป็นชาวพุทธตัวจริง ไม่ใช่แค่ในบัตรประชาชน แต่ใน “ความคิด คำพูด และการกระทำ” ในแต่ละวัน #แสงเทียนแห่งธรรมะ #ศรัทธาไม่ต้องรอใคร #ธรรมะอยู่ที่ใจ #พุทธแท้ไม่หวั่นข่าวปลอม #ชาวพุทธยุคใหม่
    0 Comments 0 Shares 297 Views 0 Reviews
  • กิเลสในชาตินี้ภพนี้แรงนะ ใครแพ้มันตายทั้งเป็น ป้องกันภัยจากกิเลสก็มีแต่ธรรมะ ศิล ภาวนา
    กิเลสในชาตินี้ภพนี้แรงนะ ใครแพ้มันตายทั้งเป็น ป้องกันภัยจากกิเลสก็มีแต่ธรรมะ ศิล ภาวนา
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • ธรรมะของพระพุทธเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ 2,600 ปีล่วงมาก็ไม่เคยล้าสมัย..ยุคนี้ยุคขายธรรมะผีบุญเยอะ
    ธรรมะของพระพุทธเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ 2,600 ปีล่วงมาก็ไม่เคยล้าสมัย..ยุคนี้ยุคขายธรรมะผีบุญเยอะ
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • คำพูดของคุณ อาจเป็นประตูนรกให้คนอื่น... และตัวคุณเอง

    คุณอาจไม่รู้ว่า...
    • แค่ประโยคเดียว
    • แค่เสียงกระแทกเดียว
    • แค่การแดกดันอย่างจงใจ

    อาจทำให้ใครบางคน "ตายทั้งเป็น"
    และอาจเปลี่ยนตัวคุณ ให้กลายเป็น
    “ประตูนรกทางใจให้คนอื่น”
    และ “ประตูนรกทางภพภูมิให้ตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว

    กรรมเริ่มต้นจาก ‘ใจ’
    • ใจประทุษร้าย → กรรมหนัก
    • ใจปรารถนาดี → กรรมเบา
    แล้วค่อยต่อยอดผ่านคำพูด การเขียน การกระทำ
    ที่สะท้อน "ความตั้งใจจริง" ออกมา

    คำพูดที่ทำร้ายคนอื่น
    แม้พูดเก่ง พูดฉลาด พูดคม
    แต่ถ้ามาด้วยเจตนา ‘ฆ่าใจ’ คน
    นั่นคือการฆ่าที่ทิ้งร่องรอยในโลก และในตน

    ด่ามาก → ใจมืดมาก
    ด่าน้อย → ใจหม่นน้อย
    ติเพื่อก่อ → ใจสว่างอย่างมีสติ
    ติเพื่อเติม → ใจอิ่มสุขด้วยเมตตา

    วันใดที่คุณบูลลี่คนอื่น
    โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นผู้ปฏิบัติดี
    กรรมไม่ใช่แค่ย้อนกลับมาธรรมดา
    แต่จะตามทันแบบ ‘ด่วนพิเศษ’
    หนักหนาสาหัสเกินคาดคิด

    นิยามตัวคุณเองด้วยจิตที่คุณฝึกใช้ประจำวัน
    • คนที่ก่อความวุ่นวาย = ใจวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน
    • คนที่ก่อกระแสเยือกเย็น = ใจสงบ หนักแน่น มีเหตุผล

    “พูดจาแบบไหน = ใจแบบนั้น”
    ถ้ารักษาใจได้... คำพูดก็เป็นพลังบวกได้ทุกคำ

    จงเลือกเป็น “ประตูแห่งความสว่าง”
    ให้คำของคุณ คือความสบายใจ
    ให้คำของคุณ คือแรงใจให้คนลุกขึ้นมาใหม่
    และให้คำของคุณ คือคำที่คุณภูมิใจจะรับผลกรรมจากมันในภายหน้า

    #ธรรมะเตือนใจ
    #วาจาสร้างกรรม
    #คำพูดมีพลัง
    #เตือนก่อนสาย
    #ฝึกใจทุกวันเพื่อคำที่มีฤทธิ์เยียวยา
    💥 คำพูดของคุณ อาจเป็นประตูนรกให้คนอื่น... และตัวคุณเอง คุณอาจไม่รู้ว่า... • แค่ประโยคเดียว • แค่เสียงกระแทกเดียว • แค่การแดกดันอย่างจงใจ อาจทำให้ใครบางคน "ตายทั้งเป็น" และอาจเปลี่ยนตัวคุณ ให้กลายเป็น “ประตูนรกทางใจให้คนอื่น” และ “ประตูนรกทางภพภูมิให้ตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว 🔥 กรรมเริ่มต้นจาก ‘ใจ’ • ใจประทุษร้าย → กรรมหนัก • ใจปรารถนาดี → กรรมเบา แล้วค่อยต่อยอดผ่านคำพูด การเขียน การกระทำ ที่สะท้อน "ความตั้งใจจริง" ออกมา คำพูดที่ทำร้ายคนอื่น แม้พูดเก่ง พูดฉลาด พูดคม แต่ถ้ามาด้วยเจตนา ‘ฆ่าใจ’ คน นั่นคือการฆ่าที่ทิ้งร่องรอยในโลก และในตน 🌀 ด่ามาก → ใจมืดมาก 🌀 ด่าน้อย → ใจหม่นน้อย 🌱 ติเพื่อก่อ → ใจสว่างอย่างมีสติ 🌼 ติเพื่อเติม → ใจอิ่มสุขด้วยเมตตา 📍 วันใดที่คุณบูลลี่คนอื่น โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นผู้ปฏิบัติดี กรรมไม่ใช่แค่ย้อนกลับมาธรรมดา แต่จะตามทันแบบ ‘ด่วนพิเศษ’ หนักหนาสาหัสเกินคาดคิด 🧠 นิยามตัวคุณเองด้วยจิตที่คุณฝึกใช้ประจำวัน • คนที่ก่อความวุ่นวาย = ใจวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน • คนที่ก่อกระแสเยือกเย็น = ใจสงบ หนักแน่น มีเหตุผล 💬 “พูดจาแบบไหน = ใจแบบนั้น” ถ้ารักษาใจได้... คำพูดก็เป็นพลังบวกได้ทุกคำ ✨ จงเลือกเป็น “ประตูแห่งความสว่าง” ให้คำของคุณ คือความสบายใจ ให้คำของคุณ คือแรงใจให้คนลุกขึ้นมาใหม่ และให้คำของคุณ คือคำที่คุณภูมิใจจะรับผลกรรมจากมันในภายหน้า #ธรรมะเตือนใจ #วาจาสร้างกรรม #คำพูดมีพลัง #เตือนก่อนสาย #ฝึกใจทุกวันเพื่อคำที่มีฤทธิ์เยียวยา
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • อิทธิบาท 4 = พลังลับของคนที่ทำอะไรแล้ว "มีฤทธิ์" จริงๆ
    พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า
    ใครมีอิทธิบาทครบ 4 ข้อ จิตจะตั้งมั่นได้
    มีฤทธิ์ทางใจ ไม่แพ้ฤทธิ์ทางโลก
    ทำให้ “เอาชนะตัวเอง” ได้อย่างมั่นคง

    1. ฉันทะ – พอใจ สนุก ใคร่รู้ อยากทำ
    2. วิริยะ – ทุ่มเท ใส่ใจ สม่ำเสมอ
    3. จิตตะ – ใจจดใจจ่อ จดจ่อไม่วอกแวก
    4. วิมังสา – ทดลอง ประเมิน ปรับให้ดีขึ้น

    เวลาคนมี “ฉันทะ” กับอะไรบางอย่าง
    เขาจะทุ่มแรงกายแรงใจโดยไม่ต้องฝืน
    เหมือนนักกีฬา นักดนตรี นักภาวนา
    ที่ดูเหมือนมีพลังวิเศษในสิ่งที่ตนทำ
    จริงๆ คือพลังจากอิทธิบาท 4 นั่นเอง

    สำหรับผู้ภาวนา...
    สิ่งแรกที่ควรมีก่อนสมาธิ ไม่ใช่ความเก่ง
    แต่คือ "ฉันทะ" – ความสุขเล็กๆที่ได้รู้สึกตัว
    เจริญสติแล้ว “ไม่ย่อหย่อน” แบบเหม่อลอย
    และ “ไม่ตึง” แบบเคร่งเครียดเกินไป
    แต่ สบายๆ มีปีติ อิ่มใจ กับการฝึก

    ให้ลองถามใจดูบ่อยๆว่า
    วันนี้เรากำลังภาวนาแบบไหน?

    • เหนื่อยเกินไปไหม?
    • เครียดเกินไปหรือเปล่า?
    • หรือเรากำลังเพลินในความรู้ตัวอยู่จริงๆ?

    ถ้าอยู่ตรงกลางได้
    สมาธิจะเกิดขึ้นเอง
    พร้อมนำทางสู่ความรู้แจ้ง
    เห็นธรรมชัด
    ว่า...สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง
    และจิตก็ปล่อยวางได้!

    #อิทธิบาท4
    #พลังแห่งสมาธิ
    #ฉันทะสมาธิ
    #ธรรมะเข้าใจง่าย
    #รู้สึกตัวเบาๆแต่ลึกซึ้ง
    🌟 อิทธิบาท 4 = พลังลับของคนที่ทำอะไรแล้ว "มีฤทธิ์" จริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า ใครมีอิทธิบาทครบ 4 ข้อ จิตจะตั้งมั่นได้ มีฤทธิ์ทางใจ ไม่แพ้ฤทธิ์ทางโลก ทำให้ “เอาชนะตัวเอง” ได้อย่างมั่นคง 🔹 1. ฉันทะ – พอใจ สนุก ใคร่รู้ อยากทำ 🔹 2. วิริยะ – ทุ่มเท ใส่ใจ สม่ำเสมอ 🔹 3. จิตตะ – ใจจดใจจ่อ จดจ่อไม่วอกแวก 🔹 4. วิมังสา – ทดลอง ประเมิน ปรับให้ดีขึ้น ✨ เวลาคนมี “ฉันทะ” กับอะไรบางอย่าง เขาจะทุ่มแรงกายแรงใจโดยไม่ต้องฝืน เหมือนนักกีฬา นักดนตรี นักภาวนา ที่ดูเหมือนมีพลังวิเศษในสิ่งที่ตนทำ จริงๆ คือพลังจากอิทธิบาท 4 นั่นเอง 🙏 สำหรับผู้ภาวนา... สิ่งแรกที่ควรมีก่อนสมาธิ ไม่ใช่ความเก่ง แต่คือ "ฉันทะ" – ความสุขเล็กๆที่ได้รู้สึกตัว เจริญสติแล้ว “ไม่ย่อหย่อน” แบบเหม่อลอย และ “ไม่ตึง” แบบเคร่งเครียดเกินไป แต่ สบายๆ มีปีติ อิ่มใจ กับการฝึก 🌿 ให้ลองถามใจดูบ่อยๆว่า วันนี้เรากำลังภาวนาแบบไหน? • เหนื่อยเกินไปไหม? • เครียดเกินไปหรือเปล่า? • หรือเรากำลังเพลินในความรู้ตัวอยู่จริงๆ? ถ้าอยู่ตรงกลางได้ สมาธิจะเกิดขึ้นเอง พร้อมนำทางสู่ความรู้แจ้ง เห็นธรรมชัด ว่า...สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง และจิตก็ปล่อยวางได้! #อิทธิบาท4 #พลังแห่งสมาธิ #ฉันทะสมาธิ #ธรรมะเข้าใจง่าย #รู้สึกตัวเบาๆแต่ลึกซึ้ง
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • เรื่องไม่ดี ไม่ได้มีไว้ให้เราทุกข์เสมอไป
    บางเรื่อง...มีไว้ให้ “แก้”
    บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ฝึก”
    บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ปล่อย”

    ถ้าคุณเคยพลาด
    แสดงว่าคุณ “มีพลัง” พอจะแก้
    ถ้าคุณอยากสำเร็จ
    แสดงว่าคุณ “มีศักยภาพ” ที่จะฝึก
    ถ้าคุณรู้สึกขัดใจ
    แต่เรื่องนั้นอยู่นอกอำนาจคุณ
    แสดงว่าคุณ “มีหน้าที่” ต้องวาง

    หลายครั้ง
    เราทุกข์เพราะ “แบกทุกเรื่องไว้บนหัว”
    โดยไม่เคยแยกแยะว่า...

    เรื่องนี้คือ ภาระของเรา — ต้องลงมือ
    เรื่องนี้คือ ของคนอื่น — ต้องปล่อยมือ
    เรื่องนี้คือ ความฝันของเรา — ต้องไม่ทิ้ง
    เรื่องนี้คือ ความฝืนของเรา — ต้องรู้จักพอ

    ถ้าคุณแยกแยะออก
    หัวจะเบา ใจจะสบาย
    ชีวิตจะโล่งเหมือนบ้านที่จัดของได้ถูกที่

    บางทีความทุกข์
    ไม่ได้มาจากเรื่องที่เกิดขึ้น
    แต่มาจาก เราไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับมัน มากกว่า

    เริ่มต้นจากการ “แยกแยะ”
    แล้วคุณจะพบว่า…
    ความวุ่นวายที่เคยครองใจ
    ค่อยๆ มลายหายไปเหมือนหมอกในแดดเช้า

    #เรื่องไหนเรื่องของเราให้ทำ
    #เรื่องไหนเรื่องของเขาให้วาง
    #ธรรมะเข้าใจง่าย
    #จัดระเบียบใจ
    🌀 เรื่องไม่ดี ไม่ได้มีไว้ให้เราทุกข์เสมอไป บางเรื่อง...มีไว้ให้ “แก้” บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ฝึก” บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ปล่อย” 📍ถ้าคุณเคยพลาด แสดงว่าคุณ “มีพลัง” พอจะแก้ 📍ถ้าคุณอยากสำเร็จ แสดงว่าคุณ “มีศักยภาพ” ที่จะฝึก 📍ถ้าคุณรู้สึกขัดใจ แต่เรื่องนั้นอยู่นอกอำนาจคุณ แสดงว่าคุณ “มีหน้าที่” ต้องวาง หลายครั้ง เราทุกข์เพราะ “แบกทุกเรื่องไว้บนหัว” โดยไม่เคยแยกแยะว่า... 🔹 เรื่องนี้คือ ภาระของเรา — ต้องลงมือ 🔹 เรื่องนี้คือ ของคนอื่น — ต้องปล่อยมือ 🔹 เรื่องนี้คือ ความฝันของเรา — ต้องไม่ทิ้ง 🔹 เรื่องนี้คือ ความฝืนของเรา — ต้องรู้จักพอ 🌿 ถ้าคุณแยกแยะออก หัวจะเบา ใจจะสบาย ชีวิตจะโล่งเหมือนบ้านที่จัดของได้ถูกที่ บางทีความทุกข์ ไม่ได้มาจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่มาจาก เราไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับมัน มากกว่า เริ่มต้นจากการ “แยกแยะ” แล้วคุณจะพบว่า… ความวุ่นวายที่เคยครองใจ ค่อยๆ มลายหายไปเหมือนหมอกในแดดเช้า ☀️ #เรื่องไหนเรื่องของเราให้ทำ #เรื่องไหนเรื่องของเขาให้วาง #ธรรมะเข้าใจง่าย #จัดระเบียบใจ
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • 👁️‍🗨️ พุทธิจักษุ — ดวงตาที่เห็นความจริง
    ไม่ได้หมายถึง “เห็นอะไรพิเศษ”
    แต่หมายถึง “เห็นสิ่งธรรมดาอย่างถูกต้อง”

    ในขณะที่
    ทิพยจักษุ อาจทำให้เห็นสิ่งแปลกประหลาด
    อย่างนรก สวรรค์ วิญญาณ
    แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังอยู่ภายใต้กฎของ "ความไม่เที่ยง"
    และยังไม่อาจพาใครพ้นทุกข์ได้ถาวร

    พุทธิจักษุ ต่างออกไป

    เพราะคือ
    🪷 ดวงตาที่เห็นว่า สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง
    🪷 ดวงตาที่เห็นว่าตัวตนคือความปรุงแต่ง
    🪷 ดวงตาที่เห็นว่าแม้แต่ความรู้สึกว่า "ฉัน" ก็เปลี่ยนไปได้ทุกวัน

    และเมื่อเห็นจริงซ้ำๆ จนกระทั่งเข้าใจหมดจด
    ก็จะเกิดการ “ปล่อย” ไม่ยึด ไม่แบก
    และนั่นแหละ…คือ “ทางออกจากสังสารวัฏ”

    ใน ธาตุวิภังคสูตร
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา คือผู้ที่รู้ว่า สุขและทุกข์ล้วนไม่เที่ยง
    และเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ย่อมไม่ยึด
    เมื่อไม่ยึด ย่อมถึงความพ้นทุกข์ คือ นิพพาน"

    ลองถามตัวเอง...

    คุณเห็นลมหายใจเข้าออก
    แล้วคิดว่า "ฉันหายใจ" หรือเปล่า?

    แต่หากมองลึกลงไปอีก
    คุณอาจพบว่า
    ไม่ได้มี “ใคร” หายใจเลย
    มีเพียงลมหายใจที่เกิดขึ้น และดับไป
    สภาพหนึ่งที่เคลื่อนไหวของ “ธาตุลม”
    ไม่ได้เป็นของใคร
    ไม่ได้เป็น "ฉัน" หรือ "ของฉัน"

    ถ้าคุณเห็นอย่างนั้นได้...แม้เพียงชั่วขณะ
    คุณกำลังมีแววตาของ พุทธิจักษุ
    ดวงตาที่เห็นสัจธรรม
    ไม่ใช่ดวงตาที่เห็นสิ่งอัศจรรย์
    แต่คือดวงตาที่มองทะลุ “มายา” ของโลกและตัวตน

    ❝เห็นความไม่เที่ยงได้ = เห็นของจริง
    เห็นของจริง = เห็นทางพ้นทุกข์❞

    อย่าหลงใหลในสิ่งที่พิเศษจนลืมมองสิ่งธรรมดาให้ลึกซึ้ง
    เพราะบางที สิ่งที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้
    อาจไม่ใช่สิ่งที่ "อลังการ"
    แต่คือสิ่งที่ "ไม่เที่ยง" ซึ่งเรามองข้ามไปทุกวัน

    #พุทธิจักษุ
    #ดวงตาเห็นธรรม
    #ปัญญาไม่ใช่ปาฏิหาริย์
    #ทิพย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์
    #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึกมาก
    👁️‍🗨️ พุทธิจักษุ — ดวงตาที่เห็นความจริง ไม่ได้หมายถึง “เห็นอะไรพิเศษ” แต่หมายถึง “เห็นสิ่งธรรมดาอย่างถูกต้อง” ในขณะที่ ทิพยจักษุ อาจทำให้เห็นสิ่งแปลกประหลาด อย่างนรก สวรรค์ วิญญาณ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังอยู่ภายใต้กฎของ "ความไม่เที่ยง" และยังไม่อาจพาใครพ้นทุกข์ได้ถาวร พุทธิจักษุ ต่างออกไป เพราะคือ 🪷 ดวงตาที่เห็นว่า สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง 🪷 ดวงตาที่เห็นว่าตัวตนคือความปรุงแต่ง 🪷 ดวงตาที่เห็นว่าแม้แต่ความรู้สึกว่า "ฉัน" ก็เปลี่ยนไปได้ทุกวัน และเมื่อเห็นจริงซ้ำๆ จนกระทั่งเข้าใจหมดจด ก็จะเกิดการ “ปล่อย” ไม่ยึด ไม่แบก และนั่นแหละ…คือ “ทางออกจากสังสารวัฏ” ใน ธาตุวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา คือผู้ที่รู้ว่า สุขและทุกข์ล้วนไม่เที่ยง และเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ย่อมไม่ยึด เมื่อไม่ยึด ย่อมถึงความพ้นทุกข์ คือ นิพพาน" ลองถามตัวเอง... คุณเห็นลมหายใจเข้าออก แล้วคิดว่า "ฉันหายใจ" หรือเปล่า? แต่หากมองลึกลงไปอีก คุณอาจพบว่า ไม่ได้มี “ใคร” หายใจเลย มีเพียงลมหายใจที่เกิดขึ้น และดับไป สภาพหนึ่งที่เคลื่อนไหวของ “ธาตุลม” ไม่ได้เป็นของใคร ไม่ได้เป็น "ฉัน" หรือ "ของฉัน" ถ้าคุณเห็นอย่างนั้นได้...แม้เพียงชั่วขณะ คุณกำลังมีแววตาของ พุทธิจักษุ ดวงตาที่เห็นสัจธรรม ไม่ใช่ดวงตาที่เห็นสิ่งอัศจรรย์ แต่คือดวงตาที่มองทะลุ “มายา” ของโลกและตัวตน ❝เห็นความไม่เที่ยงได้ = เห็นของจริง เห็นของจริง = เห็นทางพ้นทุกข์❞ 📍 อย่าหลงใหลในสิ่งที่พิเศษจนลืมมองสิ่งธรรมดาให้ลึกซึ้ง เพราะบางที สิ่งที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ "อลังการ" แต่คือสิ่งที่ "ไม่เที่ยง" ซึ่งเรามองข้ามไปทุกวัน #พุทธิจักษุ #ดวงตาเห็นธรรม #ปัญญาไม่ใช่ปาฏิหาริย์ #ทิพย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์ #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึกมาก
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • ทำไมบางเพลงถึงติดอยู่ในหัวคุณไม่ยอมไปไหน?
    แม้จะพยายามเลิกนึก…แต่ก็วนซ้ำซากอยู่ในนั้น

    บางท่อน บางเสียง
    แค่ได้ยินแว่วผ่านหู
    กลับม้วนเข้าไป "เล่นซ้ำ" ในใจคุณได้
    เหมือนตั้งโปรแกรมไว้โดยไม่รู้ตัว!

    ทำไมเป็นแบบนั้น?

    ไม่ใช่เพราะคุณอยากจำ
    ไม่ใช่เพราะคุณเปิดฟังซ้ำ
    แต่เพราะ "จิตปรุงแต่งเอง" ตามเหตุปัจจัยที่ไม่มีใครบังคับได้

    และนั่นแหละ...
    คือหนึ่งใน “หลักฐานแห่งอนัตตา” อย่างชัดเจนที่สุดในชีวิตประจำวัน!

    เสียงวนในหัวไม่ใช่สิ่งคงที่

    ลองสังเกตดีๆ
    เสียงที่ติดอยู่ในหัวกับเสียงจริงที่คุณฟังจากเพลง
    ไม่เคยเหมือนกันเป๊ะ
    – ความยาวของโน้ต
    – น้ำหนักของเสียง
    – ความรู้สึกที่กระทบจิต
    – อารมณ์แฝงหลังเสียง

    เมื่อคุณฟังท่อนฮุกนั้น "อย่างตั้งใจ" อีกครั้ง
    คุณจะเริ่มเห็นว่า...สิ่งที่วนอยู่ในหัว
    ไม่ได้เหมือนเดิม และมัน "เปลี่ยนไป" ทุกครั้งที่รู้ตัว

    และนั่นคือ ธรรมะที่เล่นอยู่ในหัวคุณ

    เพลงติดหัว ≠ ศัตรูของสมาธิ
    แต่มันอาจเป็นครูที่แสดงธรรมเรื่อง “อนัตตา” ให้คุณเห็น

    ❝ไม่มีสิ่งใดควบคุมได้แน่แท้
    ไม่มีเสียงใดอยู่คงเดิม
    ไม่มีอารมณ์ใดตายตัว
    ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย...และเปลี่ยนแปลงเสมอ❞

    ถ้ามีเสียงติดหัว
    อย่ารำคาญ
    แต่อาจลองตั้งใจฟังมันอีกครั้ง…
    เพื่อ “เรียนรู้ธรรม” ที่ซ่อนอยู่ในหัวของคุณเอง

    #ธรรมะจากเพลง
    #อนัตตาแบบใกล้ตัว
    #เสียงที่ติดหัว
    #ฝึกใจด้วยของธรรมดา
    🎵 ทำไมบางเพลงถึงติดอยู่ในหัวคุณไม่ยอมไปไหน? แม้จะพยายามเลิกนึก…แต่ก็วนซ้ำซากอยู่ในนั้น บางท่อน บางเสียง แค่ได้ยินแว่วผ่านหู กลับม้วนเข้าไป "เล่นซ้ำ" ในใจคุณได้ เหมือนตั้งโปรแกรมไว้โดยไม่รู้ตัว! 🧠 ทำไมเป็นแบบนั้น? ไม่ใช่เพราะคุณอยากจำ ไม่ใช่เพราะคุณเปิดฟังซ้ำ แต่เพราะ "จิตปรุงแต่งเอง" ตามเหตุปัจจัยที่ไม่มีใครบังคับได้ และนั่นแหละ... คือหนึ่งใน “หลักฐานแห่งอนัตตา” อย่างชัดเจนที่สุดในชีวิตประจำวัน! 🔄 เสียงวนในหัวไม่ใช่สิ่งคงที่ ลองสังเกตดีๆ เสียงที่ติดอยู่ในหัวกับเสียงจริงที่คุณฟังจากเพลง ไม่เคยเหมือนกันเป๊ะ – ความยาวของโน้ต – น้ำหนักของเสียง – ความรู้สึกที่กระทบจิต – อารมณ์แฝงหลังเสียง 🧘 เมื่อคุณฟังท่อนฮุกนั้น "อย่างตั้งใจ" อีกครั้ง คุณจะเริ่มเห็นว่า...สิ่งที่วนอยู่ในหัว ไม่ได้เหมือนเดิม และมัน "เปลี่ยนไป" ทุกครั้งที่รู้ตัว ✨ และนั่นคือ ธรรมะที่เล่นอยู่ในหัวคุณ เพลงติดหัว ≠ ศัตรูของสมาธิ แต่มันอาจเป็นครูที่แสดงธรรมเรื่อง “อนัตตา” ให้คุณเห็น ❝ไม่มีสิ่งใดควบคุมได้แน่แท้ ไม่มีเสียงใดอยู่คงเดิม ไม่มีอารมณ์ใดตายตัว ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย...และเปลี่ยนแปลงเสมอ❞ 🧭 ถ้ามีเสียงติดหัว อย่ารำคาญ แต่อาจลองตั้งใจฟังมันอีกครั้ง… เพื่อ “เรียนรู้ธรรม” ที่ซ่อนอยู่ในหัวของคุณเอง #ธรรมะจากเพลง #อนัตตาแบบใกล้ตัว #เสียงที่ติดหัว #ฝึกใจด้วยของธรรมดา
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • กรรมหมู่: พลังเงียบที่กำหนดชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว

    เคยไหม? ตอนแรก เฉยๆ กับใครอยู่
    แต่พอเห็นคนรอบข้างแขวะ เหน็บ ด่า
    เราก็พลอยอยากด่าตาม
    ทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรให้เลย...

    แล้วเคยไหม? ตอนแรก ขี้เกียจๆ อยากนอนยาว
    แต่พออยู่ในทีมที่ใครๆ ก็ขยัน
    เรากลับคึกคักตาม เหมือนได้พลังงานบางอย่าง
    มาสะกิดให้ฮึดขึ้นมาจริงๆ

    สิ่งเหล่านี้แหละ...เรียกว่า
    “กระแสกรรมหมู่”

    คิดพร้อมกัน → มโนกรรมหมู่
    พูดพร้อมกัน → วจีกรรมหมู่
    ทำพร้อมกัน → กายกรรมหมู่

    ไม่ว่าเราจะเข้าร่วมโดยตั้งใจ
    หรือเผลอไหลไปกับกระแส
    ผลกรรมก็จะตามมาแน่นอน
    แม้จะไม่พร้อมกัน
    แต่ก็ไม่หนีหาย

    ถ้าเจอกันบ่อย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
    จะถักทอเป็นเครือข่ายกรรม
    จนสุดท้ายกลายเป็นพันธะ
    → เป็นครอบครัวเดียวกัน
    → เป็นเมืองเดียวกัน
    → หรือแม้แต่ “โลกเดียวกัน”
    เพื่อรอรับผลกรรมร่วมกัน

    ผู้ไม่ประมาทในชีวิต
    จะรู้เท่าทันว่า
    “นี่คือกระแสของคนหมู่มาก หรือคือกรรมของเราแท้จริง?”

    ใครรู้ตัวไว
    ตั้งหลักเร็ว
    เลือกทำเฉพาะกรรมขาวกรรมดี
    เขาคือผู้มีสิทธิ์ “หลุดพ้น”
    จากกระแสทุกข์ของโลกอย่างแท้จริง

    ถูกกระแสปั่นหัวง่าย → ทำมาก รับผลมาก
    ถูกกระแสปั่นหัวยาก → ทำน้อย รับผลน้อย

    อยู่กับสติเสมอ
    เลือกเส้นทางกรรมด้วยใจที่ตื่นรู้
    คือทางเดียว...ที่ชีวิตจะไม่เสียของ

    #กรรมหมู่มีจริง
    #ธรรมะวันนี้
    #คิดพิจารณาก่อนคล้อยตาม
    #โพสต์เพื่อเตือนใจ
    🌪️ กรรมหมู่: พลังเงียบที่กำหนดชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว เคยไหม? ตอนแรก เฉยๆ กับใครอยู่ แต่พอเห็นคนรอบข้างแขวะ เหน็บ ด่า เราก็พลอยอยากด่าตาม ทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรให้เลย... แล้วเคยไหม? ตอนแรก ขี้เกียจๆ อยากนอนยาว แต่พออยู่ในทีมที่ใครๆ ก็ขยัน เรากลับคึกคักตาม เหมือนได้พลังงานบางอย่าง มาสะกิดให้ฮึดขึ้นมาจริงๆ สิ่งเหล่านี้แหละ...เรียกว่า “กระแสกรรมหมู่” ✅ คิดพร้อมกัน → มโนกรรมหมู่ ✅ พูดพร้อมกัน → วจีกรรมหมู่ ✅ ทำพร้อมกัน → กายกรรมหมู่ ไม่ว่าเราจะเข้าร่วมโดยตั้งใจ หรือเผลอไหลไปกับกระแส ผลกรรมก็จะตามมาแน่นอน แม้จะไม่พร้อมกัน แต่ก็ไม่หนีหาย 📌 ถ้าเจอกันบ่อย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ จะถักทอเป็นเครือข่ายกรรม จนสุดท้ายกลายเป็นพันธะ → เป็นครอบครัวเดียวกัน → เป็นเมืองเดียวกัน → หรือแม้แต่ “โลกเดียวกัน” เพื่อรอรับผลกรรมร่วมกัน 👁️ ผู้ไม่ประมาทในชีวิต จะรู้เท่าทันว่า “นี่คือกระแสของคนหมู่มาก หรือคือกรรมของเราแท้จริง?” ใครรู้ตัวไว ตั้งหลักเร็ว เลือกทำเฉพาะกรรมขาวกรรมดี เขาคือผู้มีสิทธิ์ “หลุดพ้น” จากกระแสทุกข์ของโลกอย่างแท้จริง 🌀 ถูกกระแสปั่นหัวง่าย → ทำมาก รับผลมาก 🧘‍♀️ ถูกกระแสปั่นหัวยาก → ทำน้อย รับผลน้อย อยู่กับสติเสมอ เลือกเส้นทางกรรมด้วยใจที่ตื่นรู้ คือทางเดียว...ที่ชีวิตจะไม่เสียของ #กรรมหมู่มีจริง #ธรรมะวันนี้ #คิดพิจารณาก่อนคล้อยตาม #โพสต์เพื่อเตือนใจ
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป
    สัทธรรมลำดับที่ : 1049
    ชื่อบทธรรม :- หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1049
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป

    ตัวอย่าง ก. เกี่ยวกับอกุศลศีล
    --ถปติ ! อกุศลศีลเหล่านี้
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! อกุศลศีลมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! อกุศลศีลดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ๆ
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งอกุศลศีล
    : นั่น เรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.

    ตัวอย่าง ข. เกี่ยวกับกุศลศีล
    --ถปติ ! กุศลศีลเหล่านี้
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! กุศลศีลมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! กุศลศีลดับไม่เหลือ ในที่นี้ ๆ
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งกุศลศีล
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.

    ตัวอย่าง ค. เกี่ยวกับอกุศลสังกัปปะ
    --ถปติ ! อกุศลสังกัปปะเหล่านี้
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! อกุศลสังกัปปะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็น สิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! อกุศลสังกัปปะดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ๆ
    : นั่นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งอกุศลสังกัปปะ
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.

    ตัวอย่าง ง. เกี่ยวกับกุศลสังกัปปะ
    --ถปติ ! กุศลสังกัปปะเหล่านี้
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! กุศลสังกัปปะมีสิ่งนี้ๆ เป็นสมุฏฐาน
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! กุศลสังกัปปะดับไม่เหลือ ในที่นี้ๆ
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งกุศลสังกัปปะ
    : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.-
    ...
    (ผู้ศึกษาจะสังเกตเห็นได้เองว่า
    หลักการศึกษาตามแบบของอริยสัจสี่ซึ่งแยกออกไป
    ได้ว่า คืออะไร? จากอะไร ? เพื่ออะไร ? โดยวิธีใด ?
    ดังนี้นั้น ใช้เป็นหลักศึกษาธรรมะ
    อะไรก็ได้ ดังในตัวอย่างเหล่านี้
    ).
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/265/361.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/265/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๓๔๖/๓๖๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/346/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1049
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92&id=1049
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92
    ลำดับสาธยายธรรม : 92 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_92.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป สัทธรรมลำดับที่ : 1049 ชื่อบทธรรม :- หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1049 เนื้อความทั้งหมด :- --หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป ตัวอย่าง ก. เกี่ยวกับอกุศลศีล --ถปติ ! อกุศลศีลเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! อกุศลศีลมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! อกุศลศีลดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ๆ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งอกุศลศีล : นั่น เรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ตัวอย่าง ข. เกี่ยวกับกุศลศีล --ถปติ ! กุศลศีลเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! กุศลศีลมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! กุศลศีลดับไม่เหลือ ในที่นี้ ๆ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งกุศลศีล : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ตัวอย่าง ค. เกี่ยวกับอกุศลสังกัปปะ --ถปติ ! อกุศลสังกัปปะเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! อกุศลสังกัปปะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็น สิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! อกุศลสังกัปปะดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ๆ : นั่นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งอกุศลสังกัปปะ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ตัวอย่าง ง. เกี่ยวกับกุศลสังกัปปะ --ถปติ ! กุศลสังกัปปะเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! กุศลสังกัปปะมีสิ่งนี้ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! กุศลสังกัปปะดับไม่เหลือ ในที่นี้ๆ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. --ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งกุศลสังกัปปะ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.- ... (ผู้ศึกษาจะสังเกตเห็นได้เองว่า หลักการศึกษาตามแบบของอริยสัจสี่ซึ่งแยกออกไป ได้ว่า คืออะไร? จากอะไร ? เพื่ออะไร ? โดยวิธีใด ? ดังนี้นั้น ใช้เป็นหลักศึกษาธรรมะ อะไรก็ได้ ดังในตัวอย่างเหล่านี้ ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/265/361. http://etipitaka.com/read/thai/13/265/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๓๔๖/๓๖๑. http://etipitaka.com/read/pali/13/346/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%96%E0%B9%91 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1049 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92&id=1049 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92 ลำดับสาธยายธรรม : 92 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_92.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป
    -หลักวิธีการศึกษาอริยสัจสี่ ใช้ได้กับหลักทั่วไป ตัวอย่าง ก. เกี่ยวกับอกุศลศีล ถปติ ! อกุศลศีลเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! อกุศลศีลมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! อกุศลศีลดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ๆ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งอกุศลศีล : นั่น เรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ตัวอย่าง ข. เกี่ยวกับกุศลศีล ถปติ ! กุศลศีลเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! กุศลศีลมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! กุศลศีลดับไม่เหลือ ในที่นี้ ๆ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งกุศลศีล : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ตัวอย่าง ค. เกี่ยวกับอกุศลสังกัปปะ ถปติ ! อกุศลสังกัปปะเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! อกุศลสังกัปปะมีสิ่งนี้ ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็น สิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! อกุศลสังกัปปะดับไปไม่มีเหลือ ในที่นี้ ๆ : นั่นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งอกุศลสังกัปปะ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ตัวอย่าง ง. เกี่ยวกับกุศลสังกัปปะ ถปติ ! กุศลสังกัปปะเหล่านี้ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! กุศลสังกัปปะมีสิ่งนี้ๆ เป็นสมุฏฐาน : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! กุศลสังกัปปะดับไม่เหลือ ในที่นี้ๆ : นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้. ถปติ ! ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อดับไม่เหลือแห่งกุศลสังกัปปะ นั่นเรากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้.
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • วันนี้ไม่มีอะไรทำ เลยพิมพ์ข้อสอบไว้ใช้ทำข้อสอบ กฤหมาย ก.พ. (อันนี้พิมพ์จากข้อสอบเก่าที่มีการขีดฆ่าชอยส์ในแผ่นกระดาษ) ผ่านไฟล์ PDF ออกหน้าจอเอาครับ
    ถ้าจะศึกษาธรรมะ ศึกษาพุทธวจน - ศึกษาธรรมพระวัดป่า - ศึกษาธรรมจากวัดธรรมกาย - ศึกษาธรรมจากคนตื่นธรรม แล้วนำมาสังเคราะห์ให้เป็นธรรมโดยแก่นแท้ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และพยายามใช้ชีวิตตามมรรคมีองค์แปด เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ที่ไม่พึงประสงค์อันทำให้การกระทำอย่างตั้งมั่นนั้นต้องเชื่องช้าหรือหยุดชะงักลง
    วันนี้ไม่มีอะไรทำ เลยพิมพ์ข้อสอบไว้ใช้ทำข้อสอบ กฤหมาย ก.พ. (อันนี้พิมพ์จากข้อสอบเก่าที่มีการขีดฆ่าชอยส์ในแผ่นกระดาษ) ผ่านไฟล์ PDF ออกหน้าจอเอาครับ ถ้าจะศึกษาธรรมะ ศึกษาพุทธวจน - ศึกษาธรรมพระวัดป่า - ศึกษาธรรมจากวัดธรรมกาย - ศึกษาธรรมจากคนตื่นธรรม แล้วนำมาสังเคราะห์ให้เป็นธรรมโดยแก่นแท้ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และพยายามใช้ชีวิตตามมรรคมีองค์แปด เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ที่ไม่พึงประสงค์อันทำให้การกระทำอย่างตั้งมั่นนั้นต้องเชื่องช้าหรือหยุดชะงักลง
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • บุญไม่ใช่สิ่งลอยๆ — แต่คือ ‘เหตุ’ ของความสุขที่แท้จริง

    พระพุทธเจ้าสอนว่า
    ความสุขไม่ได้เกิดจากโชคดี
    ไม่ได้มาจากฟ้าโปรยพร
    แต่มาจากการที่เราค่อยๆ “สั่งสมกุศล”
    คือ กรรมที่เป็นฝ่ายสว่าง ฝ่ายเจริญ

    ถ้าเคยทำบุญไว้จริง
    ใจจะสุขได้เอง
    แม้ไม่มีเหตุการณ์ดีๆ มากระตุ้น
    แม้ไม่มีใครมายิ้มให้
    แม้ไม่มีทรัพย์สินตำแหน่งมารองรับ

    สุขเพราะใจเป็นบุญ
    สุขเพราะรู้ว่าบุญคือธรรมชาติของความสว่าง
    สุขเพราะเข้าใจแล้วว่า “ธรรมะ” ไม่ได้อยู่ไกลตัว

    สูตรของความสุขในพุทธศาสนา คือ
    ให้ทาน + รักษาศีล + เจริญสติ
    → ตกผลึกในใจ → เกิดสุขจากข้างใน
    ไม่ใช่สุขชั่วแล่นตามวัตถุ
    แต่เป็นสุขยาวนานจากความเข้าใจชีวิต

    สัญญาณว่าเรามาถูกทางแล้วคืออะไร?
    ทำอะไรก็ตาม… แล้ว สบายใจ
    เลือกทางไหน… แล้ว ใจรู้สึกเบา โล่ง สว่าง

    เพราะ…

    “บุญ เป็นเหตุให้เกิด ความสุข
    บาป เป็นเหตุให้เกิด ความทุกข์”

    ใครมองเห็นเหตุแห่งความสุขได้
    ใครอ่านเกมชีวิตได้ขาด
    คนนั้น...จะมีความสุขได้ตลอดชีวิต

    #ธรรมะใช้ได้จริง
    #เข้าใจบุญอย่างถูกต้อง
    #สุขแท้ไม่ใช่แค่สุขแวบๆ
    #โพสต์นี้เพื่อเตือนใจทุกเช้า
    🌱 บุญไม่ใช่สิ่งลอยๆ — แต่คือ ‘เหตุ’ ของความสุขที่แท้จริง พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากโชคดี ไม่ได้มาจากฟ้าโปรยพร แต่มาจากการที่เราค่อยๆ “สั่งสมกุศล” คือ กรรมที่เป็นฝ่ายสว่าง ฝ่ายเจริญ ถ้าเคยทำบุญไว้จริง ใจจะสุขได้เอง แม้ไม่มีเหตุการณ์ดีๆ มากระตุ้น แม้ไม่มีใครมายิ้มให้ แม้ไม่มีทรัพย์สินตำแหน่งมารองรับ ✨ สุขเพราะใจเป็นบุญ ✨ สุขเพราะรู้ว่าบุญคือธรรมชาติของความสว่าง ✨ สุขเพราะเข้าใจแล้วว่า “ธรรมะ” ไม่ได้อยู่ไกลตัว สูตรของความสุขในพุทธศาสนา คือ ให้ทาน + รักษาศีล + เจริญสติ → ตกผลึกในใจ → เกิดสุขจากข้างใน ไม่ใช่สุขชั่วแล่นตามวัตถุ แต่เป็นสุขยาวนานจากความเข้าใจชีวิต สัญญาณว่าเรามาถูกทางแล้วคืออะไร? ✅ ทำอะไรก็ตาม… แล้ว สบายใจ ✅ เลือกทางไหน… แล้ว ใจรู้สึกเบา โล่ง สว่าง เพราะ… 🌟 “บุญ เป็นเหตุให้เกิด ความสุข บาป เป็นเหตุให้เกิด ความทุกข์” ใครมองเห็นเหตุแห่งความสุขได้ ใครอ่านเกมชีวิตได้ขาด คนนั้น...จะมีความสุขได้ตลอดชีวิต #ธรรมะใช้ได้จริง #เข้าใจบุญอย่างถูกต้อง #สุขแท้ไม่ใช่แค่สุขแวบๆ #โพสต์นี้เพื่อเตือนใจทุกเช้า
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
More Results