• "แซนด์ ชยิกา" หลานอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โร่แจ้งความตำรวจ ถูกกล่าวหาเป็นไส้ศึกเขมร ยันไม่เคยมีสามีชาวกัมพูชา ส่วน "เชอรี่ ชยาภา" ลูกพี่ลูกน้องหย่าขาดกับสามีชาวเขมรแล้วกว่า 5 ปี ย้ำเป็นคนไทยรักสถาบัน ไม่ควรถูกกีดกันเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อเดือนก่อน แพทองธารยังเรียกประธานวุฒิสภากัมพูชา ฮุน เซน ว่า "อังเคิล" อยู่เลย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000073851

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    "แซนด์ ชยิกา" หลานอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โร่แจ้งความตำรวจ ถูกกล่าวหาเป็นไส้ศึกเขมร ยันไม่เคยมีสามีชาวกัมพูชา ส่วน "เชอรี่ ชยาภา" ลูกพี่ลูกน้องหย่าขาดกับสามีชาวเขมรแล้วกว่า 5 ปี ย้ำเป็นคนไทยรักสถาบัน ไม่ควรถูกกีดกันเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อเดือนก่อน แพทองธารยังเรียกประธานวุฒิสภากัมพูชา ฮุน เซน ว่า "อังเคิล" อยู่เลย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000073851 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    สัทธรรมลำดับที่ : 1064
    ชื่อบทธรรม :- ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1064
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    กำเนิดห้าปรากฏ(นรก เดรัจฉาน เปรต​วิสัย มนุษย์ เทพ)​

    ก.ความไม่สะอาด
    --จุนทะ !
    ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง
    ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง
    ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง.
    --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง
    หยาบช้ามีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ,
    ๒--เป็นผู้ มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้
    คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ,
    ๓--เป็นผู้ มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด) ในหญิง
    ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง
    หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา
    เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม
    โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย)
    เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น :
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ มีปกติกล่าวเท็จ
    ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี
    ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน
    ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น”
    ดังนี้ ,
    บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวรู้ เมื่อรู้ก็กล่าวไม่รู้
    เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น,
    เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ,
    ๒--เป็นผู้ มีวาจาส่อเสียด
    คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้
    หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น
    เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน
    หรือ ทำคนที่แตกกันแล้วแตกกันยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก
    เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก ,
    ๓--เป็นผู้ มีวาจาหยาบ
    อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ต่อผู้อื่น
    กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ
    ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น ,
    ๔--เป็นผู้ มีวาจาเพ้อเจ้อ
    คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล ไม่กล่าวตามจริง
    กล่าวไม่อิงอรรถไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย
    เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ :
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง)
    เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น
    ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ,
    ๒--เป็นผู้ มีจิตพยาบาท
    มีความดำริในใจเป็นไปในทางประทุษร้าย
    ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้เป็นต้น ,
    ๓--เป็นผู้ มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริต ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล) ,
    ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) ,
    การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) ,
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี ,
    โลกนี้ ไม่มี , โลกอื่น ไม่มี , มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ
    ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง
    แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้ :
    +--จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ.
    --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วย อกุศลกรรมบถสิบเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว
    +--แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้;
    +--แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
    แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้
    เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่องกระทำความไม่สะอาด.
    --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้
    เป็นเหตุ
    #นรกย่อมปรากฏ
    #กำหนดเดรัจฉานย่อมปรากฏ
    #เปรตวิสัยย่อมปรากฏ
    หรือว่า ทุคคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.

    (การปฏิบัติมีการจับแผ่นดิน จับของเขียว ในเวลาตื่นนอน เป็นต้น
    เพื่อเป็นผู้มีความบริสุทธิ์สะอาดนั้น
    เป็นลัทธิคำสอนของพราหมณ์ชาวบ้านปัจฉาภูมิ ผู้ถือกมัณฑลุ (ภาชนะใส่น้ำมีพวย)
    สวมพวงมาลัยเสวาล (กรองด้วยหญ้ามอสและพืชในน้ำ)
    บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตรอันเป็นลัทธิที่นายจุนทกัมมารบุตรเคยชอบใจมาก่อน
    ครั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า,
    ได้ตรัสว่า นั่นมิใช่ความสะอาดในอริยวินัย,
    ครั้นนายจุนทะทูลขอให้ตรัสความสะอาดในอริยวินัย
    ก็ได้ตรัสข้อความดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องความไม่สะอาด;
    แล้วได้ตรัสเรื่องของความสะอาดอีกดังต่อไปนี้ :-
    )

    ข. ความสะอาด
    --จุนทะ !
    ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง
    ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง
    ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง.
    --จุนทะ ! ความสะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ๑--ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต
    วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ;
    ๒--ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
    เว้นขาดจาจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
    ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้
    ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย;
    ๓--ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม,
    (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา
    พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา
    เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม
    โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย)
    ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ๑--ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท
    ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี
    ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี
    อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น”
    ดังนี้,
    บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้
    เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น,
    เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น
    หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไร ๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่;
    ๒--ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด
    ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้
    หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น
    แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน
    อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้นเป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง
    กล่าวแต่วาจาที่ทำให้ให้พร้อมเพรียงกัน ;
    ๓--ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากกล่าวคำหยาบ
    กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตให้เกิดความรัก
    เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน
    เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ ;
    ๔--ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ
    กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์
    เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง
    มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา.
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.

    --จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ๑--เป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ
    เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น
    ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ;
    ๒--เป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท
    มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้าย
    ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร
    ไม่มีความเบียดเบียนไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด”
    ดังนี้ เป็นต้น;
    ๓--เป็นผู้ มีความเห็นถูกต้อง
    มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล),
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี,
    โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี,
    โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ
    ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง
    แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้.
    --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง.

    --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ.
    --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถสิบประการเหล่านี้
    ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด,
    แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด,
    แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด;
    แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด ;
    แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด
    และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด.
    --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ
    #พวกเทพจึงปรากฏ
    #พวกมนุษย์จึงปรากฏ
    หรือว่าสุคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/238 – 242/165.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓ – ๒๙๐/๑๖๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/283/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95&id=1064
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95
    ลำดับสาธยายธรรม : 95 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_95.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย สัทธรรมลำดับที่ : 1064 ชื่อบทธรรม :- ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1064 เนื้อความทั้งหมด :- --ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย กำเนิดห้าปรากฏ(นรก เดรัจฉาน เปรต​วิสัย มนุษย์ เทพ)​ ก.ความไม่สะอาด --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง หยาบช้ามีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต , ๒--เป็นผู้ มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้ คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย , ๓--เป็นผู้ มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น : --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ มีปกติกล่าวเท็จ ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้ , บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวรู้ เมื่อรู้ก็กล่าวไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ , ๒--เป็นผู้ มีวาจาส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกัน หรือ ทำคนที่แตกกันแล้วแตกกันยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก , ๓--เป็นผู้ มีวาจาหยาบ อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น , ๔--เป็นผู้ มีวาจาเพ้อเจ้อ คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล ไม่กล่าวตามจริง กล่าวไม่อิงอรรถไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ : --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. --จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ , ๒--เป็นผู้ มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจเป็นไปในทางประทุษร้าย ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้เป็นต้น , ๓--เป็นผู้ มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล) , ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี , โลกนี้ ไม่มี , โลกอื่น ไม่มี , มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้ : +--จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง. --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ. --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วย อกุศลกรรมบถสิบเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว +--แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; +--แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่องกระทำความไม่สะอาด. --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้ เป็นเหตุ #นรกย่อมปรากฏ #กำหนดเดรัจฉานย่อมปรากฏ #เปรตวิสัยย่อมปรากฏ หรือว่า ทุคคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี. (การปฏิบัติมีการจับแผ่นดิน จับของเขียว ในเวลาตื่นนอน เป็นต้น เพื่อเป็นผู้มีความบริสุทธิ์สะอาดนั้น เป็นลัทธิคำสอนของพราหมณ์ชาวบ้านปัจฉาภูมิ ผู้ถือกมัณฑลุ (ภาชนะใส่น้ำมีพวย) สวมพวงมาลัยเสวาล (กรองด้วยหญ้ามอสและพืชในน้ำ) บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตรอันเป็นลัทธิที่นายจุนทกัมมารบุตรเคยชอบใจมาก่อน ครั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า, ได้ตรัสว่า นั่นมิใช่ความสะอาดในอริยวินัย, ครั้นนายจุนทะทูลขอให้ตรัสความสะอาดในอริยวินัย ก็ได้ตรัสข้อความดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องความไม่สะอาด; แล้วได้ตรัสเรื่องของความสะอาดอีกดังต่อไปนี้ :- ) ข. ความสะอาด --จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความสะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ๑--ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ; ๒--ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นขาดจาจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย; ๓--ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม, (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น. --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง. --จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ๑--ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไร ๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่; ๒--ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้นเป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้ให้พร้อมเพรียงกัน ; ๓--ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ ; ๔--ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา. --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. --จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ๑--เป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ; ๒--เป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้าย ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้ เป็นต้น; ๓--เป็นผู้ มีความเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. --จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. --จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ. --จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถสิบประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด ; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? --จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด. --จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ #พวกเทพจึงปรากฏ #พวกมนุษย์จึงปรากฏ หรือว่าสุคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/238 – 242/165. http://etipitaka.com/read/thai/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓ – ๒๙๐/๑๖๕. http://etipitaka.com/read/pali/24/283/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95&id=1064 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95 ลำดับสาธยายธรรม : 95 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_95.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย
    -ลักษณะความสะอาด - ไม่สะอาด ในอริยวินัย ก.ความไม่สะอาด จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง หยาบช้ามีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ๑ เป็นผู้ มีปกติถือเอาสิ่งของที่มีเจ้าของมิได้ให้ คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ๑ เป็นผู้ มีปกติประพฤติผิดในกาม (คือประพฤติผิด) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น ๑ : จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มีปกติกล่าวเท็จ ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้ , บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวรู้ เมื่อรู้ก็กล่าวไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็กล่าวไม่เห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่นหรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ๑ เป็นผู้ มีวาจาส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้วมาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำคนที่สามัคคีกันให้แตกกันหรือ ทำคนที่แตกกันแล้วแตกกันยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำให้แตกกันเป็นพวก ๑ เป็นผู้ มีวาจาหยาบ อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ต่อผู้อื่น กระทบกระเทียบผู้อื่น แวด ล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็นผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น ๑ เป็นผู้ มีวาจาเพ้อเจ้อ คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูกกาล ไม่กล่าวตามจริง กล่าวไม่อิงอรรถไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีที่ตั้งอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ : จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ๑ เป็นผู้ มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจเป็นไปในทางประทุษร้าย ว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จงเดือดร้อน จงแตกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้เป็นต้น ๑ เป็นผู้ มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริตว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล) , ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) ,การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี , โลกนี้ ไม่มี , โลกอื่น ไม่มี , มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้ ๑ : จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ. จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยอกุศลกรรมบถสิบเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด ไปไม่ได้; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะจับหญ้าเขียวก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่องกระทำความไม่สะอาด. จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ นรกย่อมปรากฏ กำหนดเดรัจฉานย่อมปรากฏ เปรตวิสัยย่อมปรากฏ หรือว่า ทุคคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี. (การปฏิบัติมีการจับแผ่นดิน จับของเขียว ในเวลาตื่นนอน เป็นต้น เพื่อเป็นผู้มีความบริสุทธิ์สะอาดนั้น เป็นลัทธิคำสอนของพราหมณ์ชาวบ้านปัจฉาภูมิ ผู้ถือกมัณฑลุ (ภาชนะใส่น้ำมีพวย) สวมพวงมาลัยเสวาล (กรองด้วยหญ้ามอสและพืชในน้ำ) บำเรอไฟ ลงน้ำเป็นวัตรอันเป็นลัทธิที่นายจุนทกัมมารบุตรเคยชอบใจมาก่อน ครั้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า, ได้ตรัสว่า นั่นมิใช่ความสะอาดในอริยวินัย, ครั้นนายจุนทะทูลขอให้ตรัสความสะอาดในอริยวินัย ก็ได้ตรัสข้อความดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องความไม่สะอาด; แล้วได้ตรัสเรื่องของความสะอาดอีกดังต่อไปนี้ : -) ข. ความสะอาด จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ; ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นขาดจาจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย; ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม, (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไร ๆ ก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่; ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้ให้พร้อมเพรียงกัน ; ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่ ; ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? จุนทะ ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้ ; เป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้ายว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้ เป็นต้น; เป็นผู้ มีความเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ. จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถสิบประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด ; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถสิบ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด. จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้งสิบประการเหล่านี้เป็นเหตุ พวกเทพจึงปรากฏ พวกมนุษย์จึงปรากฏ หรือว่าสุคติใด ๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม
    ความมีอยู่ว่า

    ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ”
    เวยเวยตะลึงไป
    ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน
    “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ...

    - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน

    ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้?

    “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว

    องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี

    มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง

    จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่

    ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ

    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com
    https://www.sohu.com/a/350631198_120260771

    #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม ความมีอยู่ว่า ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ” เวยเวยตะลึงไป ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ... - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้? “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่ ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: https://baike.baidu.com https://www.sohu.com/a/350631198_120260771 #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    百度百科_全球领先的中文百科全书
    百度百科是一部内容开放、自由的网络百科全书,旨在创造一个涵盖所有领域知识,服务所有互联网用户的中文知识性百科全书。在这里你可以参与词条编辑,分享贡献你的知识。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่
    สัทธรรมลำดับที่ : 1061
    ชื่อบทธรรม : -พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1061
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่
    --อานนท์ ! บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว
    หมดความสงสัย ในทุกข์
    หมดความสงสัย ในทุกขสมุทัย
    หมดความสงสัย ในทุกขนิโรธ
    หมดความสงสัย ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา;
    การที่จะทำปฏิการคุณแก่บุคคลนั้น
    ด้วยการ อภิวาท
    ด้วยการ ลุกรับ
    ด้วยการ ทำอัญชลี
    ด้วยการ ทำสามีจิกรรม
    http://etipitaka.com/read/pali/14/458/?keywords=สามีจิกมฺมํ
    ด้วยการให้ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชชบริขาร
    นั้น
    เราไม่กล่าวว่าเป็นการกระทำปฏิการคุณที่สมกัน (สุปฏิการ).
    http://etipitaka.com/read/pali/14/458/?keywords=ปฏิการ

    (เพราะว่าการทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่นั้น เป็นการให้ทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ.
    ส่วน
    การตอบแทนด้วยกิริยาอาการและวัตถุสิ่งของนี้ เป็นการให้ฝ่ายวัตถุ
    จึงไม่เป็นการตอบแทนที่ สมควรแก่กัน. มีทางที่จะตอบแทนให้สมควรแก่กันก็คือ
    #การช่วยให้ผู้อื่นรู้อริยสัจเช่นนั้นต่อๆ กันไปอีก
    ).-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/343/709.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/343/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%90%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๔๕๘/๗๐๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/458/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%90%E0%B9%99
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1061
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92&id=1061
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92
    ลำดับสาธยายธรรม : 92 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_92.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่ สัทธรรมลำดับที่ : 1061 ชื่อบทธรรม : -พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1061 เนื้อความทั้งหมด :- --พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่ --อานนท์ ! บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว หมดความสงสัย ในทุกข์ หมดความสงสัย ในทุกขสมุทัย หมดความสงสัย ในทุกขนิโรธ หมดความสงสัย ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา; การที่จะทำปฏิการคุณแก่บุคคลนั้น ด้วยการ อภิวาท ด้วยการ ลุกรับ ด้วยการ ทำอัญชลี ด้วยการ ทำสามีจิกรรม http://etipitaka.com/read/pali/14/458/?keywords=สามีจิกมฺมํ ด้วยการให้ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชชบริขาร นั้น เราไม่กล่าวว่าเป็นการกระทำปฏิการคุณที่สมกัน (สุปฏิการ). http://etipitaka.com/read/pali/14/458/?keywords=ปฏิการ (เพราะว่าการทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่นั้น เป็นการให้ทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ. ส่วน การตอบแทนด้วยกิริยาอาการและวัตถุสิ่งของนี้ เป็นการให้ฝ่ายวัตถุ จึงไม่เป็นการตอบแทนที่ สมควรแก่กัน. มีทางที่จะตอบแทนให้สมควรแก่กันก็คือ #การช่วยให้ผู้อื่นรู้อริยสัจเช่นนั้นต่อๆ กันไปอีก ).- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/343/709. http://etipitaka.com/read/thai/14/343/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%90%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๔๕๘/๗๐๙. http://etipitaka.com/read/pali/14/458/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%90%E0%B9%99 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1061 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92&id=1061 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92 ลำดับสาธยายธรรม : 92 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_92.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่
    -พระคุณของผู้ที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่ อานนท์ ! บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว หมดความสงสัยในทุกข์ หมดความสงสัยในทุกขสมุทัย หมดความสงสัยในทุกขนิโรธ หมดความสงสัย ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา; การที่จะทำปฏิการคุณแก่บุคคลนั้น ด้วยการ อภิวาท ด้วยการลุกรับ ด้วยการทำอัญชลี ด้วยการทำสามีจิกรรม ด้วยการให้ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชชบริขาร นั้น เราไม่กล่าวว่าเป็นการกระทำปฏิการคุณที่สมกัน (สุปฏิการ). (เพราะว่าการทำให้รู้แจ้งอริยสัจสี่นั้น เป็นการให้ทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ. ส่วน การตอบแทนด้วยกิริยาอาการและวัตถุสิ่งของนี้ เป็นการให้ฝ่ายวัตถุ จึงไม่เป็นการตอบแทนที่ สมควรแก่กัน. มีทางที่จะตอบแทนให้สมควรแก่กันก็คือ การช่วยให้ผู้อื่นรู้อริยสัจเช่นนั้นต่อๆ กันไปอีก).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..น่าอนาถสถานะสัมมาอาชีพของคนไทยเราที่ตกเป็นเหยื่อเจ้าสัวนายทุนผู้ละโมบโลภผลประโยชน์ต่อผู้ต่อสู้ต่อผู้บุกเบิกในแบบคนบ้านๆประชาชนคนไทยน้อยต้นทุนน้อยเงินลงทุนสนับสนุนเพื่อแสวงหาความอยู่รอดหรืออิสระทางการดำเนินชีวิตบนสังคมชุมชนไทยเราและชุมชนโลกเราจริง.
    ..ประชาชนคนไทยเราไม่สมควรเป็นผู้ร้องขอ,แต่เป็นผู้ได้รับโอกาสจริงเมื่อแจ้งความประสงค์มา.
    ..ธนาคารกลางของภาคประชาชนไทยเราจึงสมควรถือกำเนิดขึ้นจริงอย่างจริงจัง,แยกออกต่างหากชัดเจนจากธนาคารกลางของเอกชนที่กำกับดูแลเอกชน ปกป้องผลประโยชน์กำไรของธนาคารเอกชนโดยมาก เอื้อทำให้ธนาคารเอกชนมีผลประกอบการกำไรผิดปกติในขณะที่ภาคกิจการธุรกิจอื่นต่างล้มหายตายจากในวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนพิสูจน์ชัดเจนว่าธนาคารกลางกำลังทำเพื่อใคร อ้างประชาชนบังหน้าโดยความจริงคือกำไรของธนาคารเพิ่มขึ้นจากเงื่อนไขกติกากฎระเบียบที่ตนควบคุมประกาศใช้เพื่อเอื้ออำนวยรายได้สาระพัพทางแก่ธนาคารเอกชน ง่ายๆเช่น ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นิดหน่อยตามข่าวปลายปีหรือต้นปีนี้ สะท้อนถึงกำไรรายได้ผลประกอบการธนาคารอย่างมีนัยยะชัดเจนทันที ข้อมูลบริษัทในตลาดหุ้นโชว์ผลประกอบการชัดเจนเป็นหลักฐานว่าเขียวเกือบทุกๆแบงค์ในกระดานก็ว่า,สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมอื่นอย่างมีนัยยะผิดปกติชัดเจน,และธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจริงๆต้องถูกสั่งการโดยรัฐบาลได้ควบคุมได้ทางตรงสั่งดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ให้เป็นไปทิศทางเดียวกันกับประชาชนของประเทศ เจริญก็เจริญด้วยกัน พังพินาศก็พังด้วยกัน,รัฐบาลสั่งคุ้มครองทางเงินควบคุมทางการเงินได้ทั้งประเทศ,กำหนดมูลค่าเงินและทิศทางการเงินได้จริง,จะมามุกอ้างบริหารงานอิสระตัดตอนมิให้รัฐบาลมาสร้างความเสียหายทางระบบเงินของประเทศไม่ได้ จะอ้างแบบนั้นไม่ได้ ส่วนรัฐบาลใดชั่วเลวนั่นอีกปัญหาหนึ่งคนละส่วนละประเด็นมิติของปัญหาใหญ่,เช่นรัฐบาลสามารถประกาศหยุดลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนได้,คงที่ที่1฿:25$ก็ได้หรือ1฿:35$เป็นอัตราคงที่ก็ได้,หรือกำหนดคงที่เทียบอัตราทองคำพื้นฐานได้ที่ไม่ปั่นราคาทองคำแบบปัจจุบัน,ไม่ต้องมาพยุงอัตราแลกเปลี่ยนใดๆอีก,ล็อกการปั่นราคาเก็งกำไรก็ได้ในสายตาพวกเล่นกำไรค่าเงินนั้นๆ1บาทล็อกเงินหยวนที่1หยวนก็ได้คือ1:1 , 1บาทต่อ1หยวนเลย,1บาทต่อ1เหรียญดอลล่าร์จะเป็นอะไรเพราะเหี้ยเงินกระดาษไร้ทองคำค้ำประกันเงินดอลล่าร์อะไรเลยแค่เครดิตชื่อว่าประเทศอเมริกานำหน้าเท่านั้น,เสือกพิมพ์ตัวเองเสรีเป็นว่าตามใจตนใช้ไม่ได้ ตังQEคือหลักฐานชัดเจน,จดอลล่าร์ไร้ค่าเป็นเศษกระดาษในปัจจุบัน ผีบ้าอะไรชาติอื่นถ้าเป็นแบบนี้ค่าเงินถูกลดค่าแล้ว เงินดอลล่าร์จริงๆสมควรถูกลดค่าลดเครดิตไปนานแล้ว อาจ1บาทต่อ0.0001ดอลล่าร์โน้น.
    ..ธนาคารกลางถือกำเนิดจากแนวคิดตระกูลอีลิทdeep stateซาตานฝ่ายมืดก็ด้วย เพื่อควบคุมประเทศต่างๆทั่วโลกผ่านระบบตัง,มิให้อำนาจปกครองในแต่ละประเทศมาทำให้เครือข่ายสำนักงานมันขัดจังหวะสั่งการได้เพื่อดำเนินนโยบายใดๆของพวกมันประสานงานกันอย่างราบรื่น,จึงห้ามอำนาจฝ่ายการเมืองการปกครองใดๆย่อมาไทยคือห้ามมาแทรกแซงสำนักงานdeep stateกูนะจะเสียกระบวนควบคุมมนุษย์ในแต่ละประเทศนั้นๆผ่านกลไกระบบตังกูที่ควบคุมครอบงำไว้,และหน้าที่ของทุกๆธนาคารทั่วโลกทำกำไรให้มากๆจากนั้นส่งส่วยส่งตังโอนมาให้สำนักงานdeep stateโลกสากลทันทีที่ต่างประเทศ,ยิ่งตอนนี้ตังขาดมือพวกมรึงธนาคารกลางและลูกน้องธนาคารทั้งหมดต้องทำยอดทำตังส่งตังมาให้กูมากๆมันว่า,กล่องดวงใจมันคือธนาคารกลางในไทยหรือธนาคารกลางทั่วโลกก็ว่า,
    ..เมื่อเรามีนายกฯดีๆเข้ามาจึงต้องเด็ดขาดทิังธนาคารกลางของdeep stateไป ตั้งธนาคารกลางของคนไทยจริงของภาคมหาประชาชนคนไทยจริงขึ้นมาแทนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนสัมมาอาชีพคนไทยทุกๆคนเป็นตัวเชื่อมเงินทุนจริง มิใช่เหี้ยมาออกรายการขอทานแบบนี้,เหยียบหยามประชาชนประชาชนคนไทยเราชัดเจน,และจริงๆคนไทยเราทุกๆคนร่ำรวยมาก มีปัจจัยซื้อหาวัตถุดิบสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยเราและชาวโลกได้สบาย รวมกลุ่มระดมทุนก็ได้อีก,เพราะเฉลี่ยคนไทยเราทุกๆคน มีมูลค่ากว่า400-1,000ล้านบาทต่อคนในบัญชีทางการเงินได้สบายๆเมื่อประเมินมูลค่าทรัพยากรมีค่ามากมายเต็มแผ่นดินไทย,ไม่นับรวมผลงานสร้างสรรคสร้างรายได้ต่อยอดนวัตกรรมและฝีมือด้านอื่นสาระพัดตรึมอีก,อาจรวมกันจริงๆขั้นต่ำกว่า2,000ล้านบาทต่อคนไทยสบายๆ,
    ..เราสามารถสร้างฮับเงินทุนสัมมาอาชีพเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเริ่มกิจการแต่ละคนของคนไทยเราทุกๆคนได้,ที่ไม่สร้างทำเพราะต้องการไม่ให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ต้องไปพึ่งพาพวกมัน ไปขอตังมาลงทุนกิจการจากพวกมันหรือยึดกิจการมรึงเสียเลยขาดตัวก็ว่า,แล้วเหยียบไว้แบบพลังงานเทสล่า พลังงานไฮโดรเจนใช้แค่พลังงานน้ำก็ขับขี่รถยนต์ไปมาได้ พลังงานแม่เหล็กที่บินขึ้นลงทางแนวดิ่งสบายและไร้ขีดจำกัด,ทั้งโลกสร้างพลังงานฟรีได้แต่มันปกปิดไว้ อยากทำขายให้คนเอาตังจึงเป็นที่มาของdeep stateในมุมมองที่ไปที่มาอีกแง่หนึ่งของมันก็ว่า,คนร่ำรวยเกือบทั้งหมดบนโลกล้วนขี้ข้าdeep stateเข้ารีตกับลัทธิตาเดียว ตังมากมายมันจะโอนมาเต็มบัญชีเลยล่ะ และต้องทำตามคำสั่งตลอดเวลาด้วย,ธนาคารกลางเราก็ไม่เว้น,มีธนาคารกลางตั้งนานทำไมประชาชนยังยากจนมากมาย บัตรคนจนเพิ่มขึ้น อยู่แต่ธนาคารเอกชนทำไมกำไรกันสบายดี,ร่ำรวยรายได้กันจริงๆ,แก๊งดูดตังมันไม่สามารถดูดตังประชาชนได้หรอกถ้าธนาคารไม่อำนวยสร้าง จะมีข้อมูลจนดูดตังได้โน้น,ดูดได้จริง,ก่อนโอนออกนอกประเทศธนาคารต้องตรวจสอบก่อนด้วยมีหลักฐานบัญชีปลายทางบัญชีต้นทางหมด ใครอยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นแบบใดดึงออกมาดูได้หมด,ตลอดสามารถระบุชัดเจนเงื่อนไขการมีบัญชีธนาคารก็ได้ ว่า1บัตรประชาชนคนไทย สามารถมีได้แค่1บัญชีธนาคารได้แค่นั้นมีแค่1เบอร์มือถือด้วย,จะตัดตอนเปิดบัญชีหลายบัญชีทันที,ตัดตอนเบอร์มิจฉาชีพด้วยสแกนตรวจจับพบตัวในไทยได้ง่าย ตัดตอนมีซิมหลายเบอร์นั้นเอง,ฟอกเงินก็ตรวจสอบง่าย ใครมีตังมากน้อยจะกลัวอะไร มี10ล้ายล้านบาทในบัญชีเดียวจะกลัวอะไร กลัวหนีภาษีไม่ได้ฟอกเงินสลับเปลี่ยนบัญชีไม่ได้,คือเริ่มต้นทำก็ไม่สุจริตซื่อสัตย์นั้นเอง,กสทช.ก็อัพเรเวลระบบเสีย ผูกระบบโชว์ชื่อนามสกุลคนโทรเข้าเครื่องปลายทางอัตโนมัติด้วยแม้เครื่องปลายทางไม่ได้บันทึกชื่อสกุลนั่นไว้ในเครื่องเข้า,ใครโทรมานะบบตรวจจับโชว์ชื่อสกุลทันที นี้อะไรแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาก็ไม่รู้ ใครโทรมาก็โชว์ผีบ้าแต่เบอร์แต่ตัวเลข,ซื้อซิมก็ใช้บัตรประชาชนชื่อนามสกุลจริงซื้อ,กสทช.ต้องอัพระบบใหม่หมด,มือถือต้องเปลี่ยนให้รองรับก็ต้องเปลี่ยน,แจกแลกฟรีก็ได้เพื่อมือถือเครื่องนั้นรันกับระบบได้ ทำโปรแกรมได้ดั่งที่ว่า,ใช้ซิมกดฉนวนระเบิดภาคใต้ก็จะจบไปซิมห่าเหวอะไรเลอะเทอะล้นตลาดหมด,
    ..จึงต้องมีธนาคารกลางของภาคประชาชนจริงๆมิใช่ของธนาคารเอกชน มิใช่ของdeep state,
    ..ธนาคารภาคประชาชนจะเป็นอนาคตที่สดใสทันทีแิดตั้งแต่ต้นก่ประชาชน,มิใช่สดใสแก่ธนาคารเอกชนนายทุนสมคบคิดกับธนาคารเอกชนนั้นๆมันก็ช่วยเหลือเจ้าสัวอาเสี่ยอาเหี้ยมันกันเองนั้นล่ะเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการก็แค่พบหมาตายเท่านั้นไร้ค่าไร้ความหมายราคาแก่พวกๆมัน,อ้างประชาชนรับใบอนุญาตประกอบการหาแดกแค่นั้นล่ะ,ประชาชนคือเหยื่อให้มัน,หนีัคือสิ่งที่มันมอบให้.จากนั้นความโกลาหลดิ้นรนบ้าคลั่งขาดสติจะตามมา,แล้วก็ไม่นาน สส.สว.ข้าราชการทั้งระบบมันจะซื้อด้วยเงินในระบบมันสิ้น,ขาดตังลงแดงขาดใจทันทีก็ว่า.ครอบครัวทั้งหมดพังพินาศทันทีเมื่อขาดตัง,สามีภรรยาทะเลาะกันสิ้น,ญาติพี่น้องทะเลาะกันก็เพราะมันคือตัง,ค่าใช้จ่ายสาระพัดต้องกำจัดปัญหาด้วยตังนั้นเอง,เด็กๆไปโรงเรียนต้องใช้ตัง,ค่ารักษายามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องใช้ตัง,นี้คือผลของการที่ให้มีธนาคารกลางของdeep stateในประเทศไทยเรา,แต่ไม่มีธนาคารกลางจริงๆของภาคประชาชนไทยตนเอง,เราปกครองจากการเขียนแม่พิมพ์จากการเขียนแบบแปลงที่ผิดพลาดตั้งแต่ต้น,จึงต้องฉีกทิ้งมันทั้งหมดทันที,แล้วทำการเขียนใหม่ให้เป็นคุณแก่ภาคประชาชนเราจริงๆ.


    ..https://youtube.com/watch?v=M2USTwH-07k&si=40fTL6CmVqQ2GYHm
    ..น่าอนาถสถานะสัมมาอาชีพของคนไทยเราที่ตกเป็นเหยื่อเจ้าสัวนายทุนผู้ละโมบโลภผลประโยชน์ต่อผู้ต่อสู้ต่อผู้บุกเบิกในแบบคนบ้านๆประชาชนคนไทยน้อยต้นทุนน้อยเงินลงทุนสนับสนุนเพื่อแสวงหาความอยู่รอดหรืออิสระทางการดำเนินชีวิตบนสังคมชุมชนไทยเราและชุมชนโลกเราจริง. ..ประชาชนคนไทยเราไม่สมควรเป็นผู้ร้องขอ,แต่เป็นผู้ได้รับโอกาสจริงเมื่อแจ้งความประสงค์มา. ..ธนาคารกลางของภาคประชาชนไทยเราจึงสมควรถือกำเนิดขึ้นจริงอย่างจริงจัง,แยกออกต่างหากชัดเจนจากธนาคารกลางของเอกชนที่กำกับดูแลเอกชน ปกป้องผลประโยชน์กำไรของธนาคารเอกชนโดยมาก เอื้อทำให้ธนาคารเอกชนมีผลประกอบการกำไรผิดปกติในขณะที่ภาคกิจการธุรกิจอื่นต่างล้มหายตายจากในวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนพิสูจน์ชัดเจนว่าธนาคารกลางกำลังทำเพื่อใคร อ้างประชาชนบังหน้าโดยความจริงคือกำไรของธนาคารเพิ่มขึ้นจากเงื่อนไขกติกากฎระเบียบที่ตนควบคุมประกาศใช้เพื่อเอื้ออำนวยรายได้สาระพัพทางแก่ธนาคารเอกชน ง่ายๆเช่น ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นิดหน่อยตามข่าวปลายปีหรือต้นปีนี้ สะท้อนถึงกำไรรายได้ผลประกอบการธนาคารอย่างมีนัยยะชัดเจนทันที ข้อมูลบริษัทในตลาดหุ้นโชว์ผลประกอบการชัดเจนเป็นหลักฐานว่าเขียวเกือบทุกๆแบงค์ในกระดานก็ว่า,สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมอื่นอย่างมีนัยยะผิดปกติชัดเจน,และธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจริงๆต้องถูกสั่งการโดยรัฐบาลได้ควบคุมได้ทางตรงสั่งดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ให้เป็นไปทิศทางเดียวกันกับประชาชนของประเทศ เจริญก็เจริญด้วยกัน พังพินาศก็พังด้วยกัน,รัฐบาลสั่งคุ้มครองทางเงินควบคุมทางการเงินได้ทั้งประเทศ,กำหนดมูลค่าเงินและทิศทางการเงินได้จริง,จะมามุกอ้างบริหารงานอิสระตัดตอนมิให้รัฐบาลมาสร้างความเสียหายทางระบบเงินของประเทศไม่ได้ จะอ้างแบบนั้นไม่ได้ ส่วนรัฐบาลใดชั่วเลวนั่นอีกปัญหาหนึ่งคนละส่วนละประเด็นมิติของปัญหาใหญ่,เช่นรัฐบาลสามารถประกาศหยุดลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนได้,คงที่ที่1฿:25$ก็ได้หรือ1฿:35$เป็นอัตราคงที่ก็ได้,หรือกำหนดคงที่เทียบอัตราทองคำพื้นฐานได้ที่ไม่ปั่นราคาทองคำแบบปัจจุบัน,ไม่ต้องมาพยุงอัตราแลกเปลี่ยนใดๆอีก,ล็อกการปั่นราคาเก็งกำไรก็ได้ในสายตาพวกเล่นกำไรค่าเงินนั้นๆ1บาทล็อกเงินหยวนที่1หยวนก็ได้คือ1:1 , 1บาทต่อ1หยวนเลย,1บาทต่อ1เหรียญดอลล่าร์จะเป็นอะไรเพราะเหี้ยเงินกระดาษไร้ทองคำค้ำประกันเงินดอลล่าร์อะไรเลยแค่เครดิตชื่อว่าประเทศอเมริกานำหน้าเท่านั้น,เสือกพิมพ์ตัวเองเสรีเป็นว่าตามใจตนใช้ไม่ได้ ตังQEคือหลักฐานชัดเจน,จดอลล่าร์ไร้ค่าเป็นเศษกระดาษในปัจจุบัน ผีบ้าอะไรชาติอื่นถ้าเป็นแบบนี้ค่าเงินถูกลดค่าแล้ว เงินดอลล่าร์จริงๆสมควรถูกลดค่าลดเครดิตไปนานแล้ว อาจ1บาทต่อ0.0001ดอลล่าร์โน้น. ..ธนาคารกลางถือกำเนิดจากแนวคิดตระกูลอีลิทdeep stateซาตานฝ่ายมืดก็ด้วย เพื่อควบคุมประเทศต่างๆทั่วโลกผ่านระบบตัง,มิให้อำนาจปกครองในแต่ละประเทศมาทำให้เครือข่ายสำนักงานมันขัดจังหวะสั่งการได้เพื่อดำเนินนโยบายใดๆของพวกมันประสานงานกันอย่างราบรื่น,จึงห้ามอำนาจฝ่ายการเมืองการปกครองใดๆย่อมาไทยคือห้ามมาแทรกแซงสำนักงานdeep stateกูนะจะเสียกระบวนควบคุมมนุษย์ในแต่ละประเทศนั้นๆผ่านกลไกระบบตังกูที่ควบคุมครอบงำไว้,และหน้าที่ของทุกๆธนาคารทั่วโลกทำกำไรให้มากๆจากนั้นส่งส่วยส่งตังโอนมาให้สำนักงานdeep stateโลกสากลทันทีที่ต่างประเทศ,ยิ่งตอนนี้ตังขาดมือพวกมรึงธนาคารกลางและลูกน้องธนาคารทั้งหมดต้องทำยอดทำตังส่งตังมาให้กูมากๆมันว่า,กล่องดวงใจมันคือธนาคารกลางในไทยหรือธนาคารกลางทั่วโลกก็ว่า, ..เมื่อเรามีนายกฯดีๆเข้ามาจึงต้องเด็ดขาดทิังธนาคารกลางของdeep stateไป ตั้งธนาคารกลางของคนไทยจริงของภาคมหาประชาชนคนไทยจริงขึ้นมาแทนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนสัมมาอาชีพคนไทยทุกๆคนเป็นตัวเชื่อมเงินทุนจริง มิใช่เหี้ยมาออกรายการขอทานแบบนี้,เหยียบหยามประชาชนประชาชนคนไทยเราชัดเจน,และจริงๆคนไทยเราทุกๆคนร่ำรวยมาก มีปัจจัยซื้อหาวัตถุดิบสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยเราและชาวโลกได้สบาย รวมกลุ่มระดมทุนก็ได้อีก,เพราะเฉลี่ยคนไทยเราทุกๆคน มีมูลค่ากว่า400-1,000ล้านบาทต่อคนในบัญชีทางการเงินได้สบายๆเมื่อประเมินมูลค่าทรัพยากรมีค่ามากมายเต็มแผ่นดินไทย,ไม่นับรวมผลงานสร้างสรรคสร้างรายได้ต่อยอดนวัตกรรมและฝีมือด้านอื่นสาระพัดตรึมอีก,อาจรวมกันจริงๆขั้นต่ำกว่า2,000ล้านบาทต่อคนไทยสบายๆ, ..เราสามารถสร้างฮับเงินทุนสัมมาอาชีพเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเริ่มกิจการแต่ละคนของคนไทยเราทุกๆคนได้,ที่ไม่สร้างทำเพราะต้องการไม่ให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ต้องไปพึ่งพาพวกมัน ไปขอตังมาลงทุนกิจการจากพวกมันหรือยึดกิจการมรึงเสียเลยขาดตัวก็ว่า,แล้วเหยียบไว้แบบพลังงานเทสล่า พลังงานไฮโดรเจนใช้แค่พลังงานน้ำก็ขับขี่รถยนต์ไปมาได้ พลังงานแม่เหล็กที่บินขึ้นลงทางแนวดิ่งสบายและไร้ขีดจำกัด,ทั้งโลกสร้างพลังงานฟรีได้แต่มันปกปิดไว้ อยากทำขายให้คนเอาตังจึงเป็นที่มาของdeep stateในมุมมองที่ไปที่มาอีกแง่หนึ่งของมันก็ว่า,คนร่ำรวยเกือบทั้งหมดบนโลกล้วนขี้ข้าdeep stateเข้ารีตกับลัทธิตาเดียว ตังมากมายมันจะโอนมาเต็มบัญชีเลยล่ะ และต้องทำตามคำสั่งตลอดเวลาด้วย,ธนาคารกลางเราก็ไม่เว้น,มีธนาคารกลางตั้งนานทำไมประชาชนยังยากจนมากมาย บัตรคนจนเพิ่มขึ้น อยู่แต่ธนาคารเอกชนทำไมกำไรกันสบายดี,ร่ำรวยรายได้กันจริงๆ,แก๊งดูดตังมันไม่สามารถดูดตังประชาชนได้หรอกถ้าธนาคารไม่อำนวยสร้าง จะมีข้อมูลจนดูดตังได้โน้น,ดูดได้จริง,ก่อนโอนออกนอกประเทศธนาคารต้องตรวจสอบก่อนด้วยมีหลักฐานบัญชีปลายทางบัญชีต้นทางหมด ใครอยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นแบบใดดึงออกมาดูได้หมด,ตลอดสามารถระบุชัดเจนเงื่อนไขการมีบัญชีธนาคารก็ได้ ว่า1บัตรประชาชนคนไทย สามารถมีได้แค่1บัญชีธนาคารได้แค่นั้นมีแค่1เบอร์มือถือด้วย,จะตัดตอนเปิดบัญชีหลายบัญชีทันที,ตัดตอนเบอร์มิจฉาชีพด้วยสแกนตรวจจับพบตัวในไทยได้ง่าย ตัดตอนมีซิมหลายเบอร์นั้นเอง,ฟอกเงินก็ตรวจสอบง่าย ใครมีตังมากน้อยจะกลัวอะไร มี10ล้ายล้านบาทในบัญชีเดียวจะกลัวอะไร กลัวหนีภาษีไม่ได้ฟอกเงินสลับเปลี่ยนบัญชีไม่ได้,คือเริ่มต้นทำก็ไม่สุจริตซื่อสัตย์นั้นเอง,กสทช.ก็อัพเรเวลระบบเสีย ผูกระบบโชว์ชื่อนามสกุลคนโทรเข้าเครื่องปลายทางอัตโนมัติด้วยแม้เครื่องปลายทางไม่ได้บันทึกชื่อสกุลนั่นไว้ในเครื่องเข้า,ใครโทรมานะบบตรวจจับโชว์ชื่อสกุลทันที นี้อะไรแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาก็ไม่รู้ ใครโทรมาก็โชว์ผีบ้าแต่เบอร์แต่ตัวเลข,ซื้อซิมก็ใช้บัตรประชาชนชื่อนามสกุลจริงซื้อ,กสทช.ต้องอัพระบบใหม่หมด,มือถือต้องเปลี่ยนให้รองรับก็ต้องเปลี่ยน,แจกแลกฟรีก็ได้เพื่อมือถือเครื่องนั้นรันกับระบบได้ ทำโปรแกรมได้ดั่งที่ว่า,ใช้ซิมกดฉนวนระเบิดภาคใต้ก็จะจบไปซิมห่าเหวอะไรเลอะเทอะล้นตลาดหมด, ..จึงต้องมีธนาคารกลางของภาคประชาชนจริงๆมิใช่ของธนาคารเอกชน มิใช่ของdeep state, ..ธนาคารภาคประชาชนจะเป็นอนาคตที่สดใสทันทีแิดตั้งแต่ต้นก่ประชาชน,มิใช่สดใสแก่ธนาคารเอกชนนายทุนสมคบคิดกับธนาคารเอกชนนั้นๆมันก็ช่วยเหลือเจ้าสัวอาเสี่ยอาเหี้ยมันกันเองนั้นล่ะเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการก็แค่พบหมาตายเท่านั้นไร้ค่าไร้ความหมายราคาแก่พวกๆมัน,อ้างประชาชนรับใบอนุญาตประกอบการหาแดกแค่นั้นล่ะ,ประชาชนคือเหยื่อให้มัน,หนีัคือสิ่งที่มันมอบให้.จากนั้นความโกลาหลดิ้นรนบ้าคลั่งขาดสติจะตามมา,แล้วก็ไม่นาน สส.สว.ข้าราชการทั้งระบบมันจะซื้อด้วยเงินในระบบมันสิ้น,ขาดตังลงแดงขาดใจทันทีก็ว่า.ครอบครัวทั้งหมดพังพินาศทันทีเมื่อขาดตัง,สามีภรรยาทะเลาะกันสิ้น,ญาติพี่น้องทะเลาะกันก็เพราะมันคือตัง,ค่าใช้จ่ายสาระพัดต้องกำจัดปัญหาด้วยตังนั้นเอง,เด็กๆไปโรงเรียนต้องใช้ตัง,ค่ารักษายามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องใช้ตัง,นี้คือผลของการที่ให้มีธนาคารกลางของdeep stateในประเทศไทยเรา,แต่ไม่มีธนาคารกลางจริงๆของภาคประชาชนไทยตนเอง,เราปกครองจากการเขียนแม่พิมพ์จากการเขียนแบบแปลงที่ผิดพลาดตั้งแต่ต้น,จึงต้องฉีกทิ้งมันทั้งหมดทันที,แล้วทำการเขียนใหม่ให้เป็นคุณแก่ภาคประชาชนเราจริงๆ. ..https://youtube.com/watch?v=M2USTwH-07k&si=40fTL6CmVqQ2GYHm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • น่าจะเป็นวันที่หนักหนาเอามากๆ สำหรับอดีตนักร้อง-นักแสดงสาว “นาตาลี เดวิส” ที่ถึงกับออกมาโพสต์ร่ายยาว บอกว่าผิดเองที่ไว้ใจแม่บ้าน อยู่ด้วยกันมา 1 ปี ให้เกียรติเสมือนคนในครอบครัว แต่กลับโดนขโมยเงินสด 1 ล้านกว่าบาท ที่สามีอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ไปจนเกลี้ยง

    “วันนี้เป็น 1 วันที่หนักหนามากที่สุดในชีวิต เจ็บ จุก จนพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องเอาคนเข้าคุก… แม่บ้านที่เรารักและให้เกียรติเขา ดูแลเสมือนคนในครอบครัว อยู่กันมา 1 ปี ไม่เคยแบ่งแยก กินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แม่สอนมาแต่เด็กว่าห้ามเรียกแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงว่าคนใช้ เขามาดูแลบ้าน มาช่วยเราเลี้ยงลูก มาเป็นลูกมือเรา เราต้องดูแลเขาดีๆ จนวันนี้ล่ะ ได้รู้ว่า มนุษย์บางคนมันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ… เงินสด 1 ล้านกว่าบาทที่หายไป เงินเก็บก้อนสำคัญที่สามีนาตาลีทำงานเก็บหอมรอมริบมาด้วยความสุจริต กลับถูกคนโลภขโมยไป ทั้งช็อก ผิดหวัง และ เสียใจ ไม่คิดว่าจะทำกันได้ลงคอ ผิดที่ไว้ใจจริงๆ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000067496

    #Thaitimes #MGROnline #นาตาลีเดวิส
    น่าจะเป็นวันที่หนักหนาเอามากๆ สำหรับอดีตนักร้อง-นักแสดงสาว “นาตาลี เดวิส” ที่ถึงกับออกมาโพสต์ร่ายยาว บอกว่าผิดเองที่ไว้ใจแม่บ้าน อยู่ด้วยกันมา 1 ปี ให้เกียรติเสมือนคนในครอบครัว แต่กลับโดนขโมยเงินสด 1 ล้านกว่าบาท ที่สามีอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ไปจนเกลี้ยง • “วันนี้เป็น 1 วันที่หนักหนามากที่สุดในชีวิต เจ็บ จุก จนพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องเอาคนเข้าคุก… แม่บ้านที่เรารักและให้เกียรติเขา ดูแลเสมือนคนในครอบครัว อยู่กันมา 1 ปี ไม่เคยแบ่งแยก กินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แม่สอนมาแต่เด็กว่าห้ามเรียกแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงว่าคนใช้ เขามาดูแลบ้าน มาช่วยเราเลี้ยงลูก มาเป็นลูกมือเรา เราต้องดูแลเขาดีๆ จนวันนี้ล่ะ ได้รู้ว่า มนุษย์บางคนมันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ… เงินสด 1 ล้านกว่าบาทที่หายไป เงินเก็บก้อนสำคัญที่สามีนาตาลีทำงานเก็บหอมรอมริบมาด้วยความสุจริต กลับถูกคนโลภขโมยไป ทั้งช็อก ผิดหวัง และ เสียใจ ไม่คิดว่าจะทำกันได้ลงคอ ผิดที่ไว้ใจจริงๆ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000067496 • #Thaitimes #MGROnline #นาตาลีเดวิส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง,
    ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า.

    https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง, ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า. https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • หวานปานน้ำเชื่อมไปเลย สำหรับภาพและข้อความอวยพรวันเกิดสุดสวีตที่คุณสามี "แดน วรเวช ดานุวงศ์" มอบให้คุณภรรยา "แพทตี้ อังศุมาลิน" ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 34 ปี

    โดย "แดน วรเวช" ได้โพสต์คลิปภาพคู่ภรรยาลงอินสตาแกรมทั้งหอมแก้มสุดหวาน และนำพวงมาลัยมามองให้ พร้อมเขียนข้อความว่า "ตลอดไปของความรัก อาจยาวนานเป็นร้อยพันหมื่นล้านคืนวัน หรือจะสั้นแค่เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะรู้ รู้แค่จะรักเธอให้มากกว่ารักของเมื่อวาน.. ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะที่รัก @pattieung"

    งานนี้ทำเอาแฟนๆ เขินตัวบิดไปกับความรักหวานๆ ของทั้งคู่ พร้อมเข้ามากดไลก์และร่วมอวยพรวันเกิดสาวแพตตี้กันเป็นจำนวนมาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000066064

    #Thaitimes #MGROnline #แดนวรเวช #แพทตี้อังศุมาลิน
    หวานปานน้ำเชื่อมไปเลย สำหรับภาพและข้อความอวยพรวันเกิดสุดสวีตที่คุณสามี "แดน วรเวช ดานุวงศ์" มอบให้คุณภรรยา "แพทตี้ อังศุมาลิน" ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 34 ปี • โดย "แดน วรเวช" ได้โพสต์คลิปภาพคู่ภรรยาลงอินสตาแกรมทั้งหอมแก้มสุดหวาน และนำพวงมาลัยมามองให้ พร้อมเขียนข้อความว่า "ตลอดไปของความรัก อาจยาวนานเป็นร้อยพันหมื่นล้านคืนวัน หรือจะสั้นแค่เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะรู้ รู้แค่จะรักเธอให้มากกว่ารักของเมื่อวาน.. ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะที่รัก @pattieung" • งานนี้ทำเอาแฟนๆ เขินตัวบิดไปกับความรักหวานๆ ของทั้งคู่ พร้อมเข้ามากดไลก์และร่วมอวยพรวันเกิดสาวแพตตี้กันเป็นจำนวนมาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000066064 • #Thaitimes #MGROnline #แดนวรเวช #แพทตี้อังศุมาลิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังคงมีเรื่องมาคุยกันจากละคร <สามีข้าเป็นฮีโร่> ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว สืบเนื่องจากเคยมีเพื่อนเพจอยากให้พูดคุยเกี่ยวกับอาคารบ้านเรือนจีนโบราณ และในละครเรื่องนี้นางเอกพยายามเผาห้องของพระเอกที่อยู่ติดกันซึ่งเรียกว่า “เอ่อร์ฝาง” (耳房) เนื้อหาตอนนี้ในหนังสือเรื่องนี้ไม่มี เราลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอ่อร์ฝางและเรือนจีนโบราณจากนิยายเรื่องอื่นกัน

    ความมีอยู่ว่า
    ... จิ้งหยวนแม้เป็นเรือนในชั้นรอง แต่ขนาดไม่ใหญ่ อาคารหลักที่เขาทั้งสองพักอาศัยเป็นอาคารสามห้อง ซ้ายขวามีเรือนห้อย (เอ่อร์ฝาง) ถัดไปเบื้องหน้าด้านซ้ายขวาเป็นอาคารตะวันตกและตะวันออก ห้องในอาคารหลักนี้ ประกอบด้วยห้องโถงรับรองตรงกลาง ห้องฟากตะวันตกเป็นห้องหนังสือ ส่วนห้องฟากตะวันออกเป็นห้องนอน มีตีผนังทะลุไปยังเรือนห้อยที่ติดกันกั้นไว้ด้วยผนังฉาก จัดเป็นห้องชำระ...
    - จากเรื่อง <เกิดใหม่อีกที ไม่ขอมีสามีสกุลหลี่> ผู้แต่ง ฉางโกวลั่วเยวี่ย
    (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    บทบรรยายข้างต้นเป็นการกล่าวถึงลักษณะเรือนซื่อเหอเยวี่ยน หรือเรือนสี่ประสานอันเป็นรูปทรงทั่วไปของเรือนจีนโบราณ (หาอ่านเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง)

    เอ่อร์ฝาง หรือเรือนห้อย (ดูภาพที่วงไว้ในแผนผังรูปอาคาร และรูปที่เอามาจากในละคร) วิธีจำง่ายๆ คือ “เอ่อร์” แปลว่าหู ก็นึกภาพว่าอาคารหลักมีหูสองข้างเป็นเรือนห้อยนี่แล่ะ เอกลักษณ์ของมันคือมันต้องเป็นห้องที่มีขนาดเล็กและหลังคาเตี้ยกว่าอาคารหลัก

    แล้วมันมีไว้เพื่อ? ในองค์ประกอบของเรือนสี่ประสานนั้น ใครอยู่ห้องไหนจะมีลำดับความสำคัญ เช่นเจ้าบ้านจะอยู่ในอาคารหลัก ในอาคารหลักแบ่งให้ผู้อาวุโสพำนักในห้องฝั่งตะวันออก อาวุโสรองลงมาก็อยู่ห้องฝั่งตะวันตก เป็นต้น และสำหรับคฤหาสน์ของคหบดีหรือข้าราชการที่มีฐานะ จะประกอบด้วยหมู่เรือนสี่ประสานหลายชั้น ลูกแต่ละคนก็มีเรือนส่วนตัวแยกเป็นของตนเอง

    เนื่องจากเอ่อร์ฝางเป็นเพียงห้องที่ห้อยติดกับอาคารหลัก จึงใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้ที่ด้อยศักดิ์ของครอบครัว หรืออนุ สำหรับบ้านที่ไม่ได้มีหลายหมู่เรือน หรือไว้ใช้อเนกประสงค์สำหรับบ้านที่ใหญ่และมีหมู่เรือนหลายชั้น (อย่างเช่นตัวอย่างตามบทความจากนิยายข้างต้น)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/450812871_100288750
    https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/
    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    http://m.52shijing.com/lsjm/81120.html
    https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%80%B3%E6%88%BF

    เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะเรือนสี่ประสาน อ่านเพิ่มเติม (ภาษาไทย) ได้ที่ https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/

    #สามีข้าคือฮีโร่ #เกิดใหม่อีกทีไม่ขอมีสามีสกุลหลี่ #บ้านจีนโบราณ #เรือนสี่ประสาน #ซื่อเหอย่วน #เรือนห้อย #เอ่อร์ฝาง #StoryfromStory
    วันนี้ยังคงมีเรื่องมาคุยกันจากละคร <สามีข้าเป็นฮีโร่> ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว สืบเนื่องจากเคยมีเพื่อนเพจอยากให้พูดคุยเกี่ยวกับอาคารบ้านเรือนจีนโบราณ และในละครเรื่องนี้นางเอกพยายามเผาห้องของพระเอกที่อยู่ติดกันซึ่งเรียกว่า “เอ่อร์ฝาง” (耳房) เนื้อหาตอนนี้ในหนังสือเรื่องนี้ไม่มี เราลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอ่อร์ฝางและเรือนจีนโบราณจากนิยายเรื่องอื่นกัน ความมีอยู่ว่า ... จิ้งหยวนแม้เป็นเรือนในชั้นรอง แต่ขนาดไม่ใหญ่ อาคารหลักที่เขาทั้งสองพักอาศัยเป็นอาคารสามห้อง ซ้ายขวามีเรือนห้อย (เอ่อร์ฝาง) ถัดไปเบื้องหน้าด้านซ้ายขวาเป็นอาคารตะวันตกและตะวันออก ห้องในอาคารหลักนี้ ประกอบด้วยห้องโถงรับรองตรงกลาง ห้องฟากตะวันตกเป็นห้องหนังสือ ส่วนห้องฟากตะวันออกเป็นห้องนอน มีตีผนังทะลุไปยังเรือนห้อยที่ติดกันกั้นไว้ด้วยผนังฉาก จัดเป็นห้องชำระ... - จากเรื่อง <เกิดใหม่อีกที ไม่ขอมีสามีสกุลหลี่> ผู้แต่ง ฉางโกวลั่วเยวี่ย (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) บทบรรยายข้างต้นเป็นการกล่าวถึงลักษณะเรือนซื่อเหอเยวี่ยน หรือเรือนสี่ประสานอันเป็นรูปทรงทั่วไปของเรือนจีนโบราณ (หาอ่านเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) เอ่อร์ฝาง หรือเรือนห้อย (ดูภาพที่วงไว้ในแผนผังรูปอาคาร และรูปที่เอามาจากในละคร) วิธีจำง่ายๆ คือ “เอ่อร์” แปลว่าหู ก็นึกภาพว่าอาคารหลักมีหูสองข้างเป็นเรือนห้อยนี่แล่ะ เอกลักษณ์ของมันคือมันต้องเป็นห้องที่มีขนาดเล็กและหลังคาเตี้ยกว่าอาคารหลัก แล้วมันมีไว้เพื่อ? ในองค์ประกอบของเรือนสี่ประสานนั้น ใครอยู่ห้องไหนจะมีลำดับความสำคัญ เช่นเจ้าบ้านจะอยู่ในอาคารหลัก ในอาคารหลักแบ่งให้ผู้อาวุโสพำนักในห้องฝั่งตะวันออก อาวุโสรองลงมาก็อยู่ห้องฝั่งตะวันตก เป็นต้น และสำหรับคฤหาสน์ของคหบดีหรือข้าราชการที่มีฐานะ จะประกอบด้วยหมู่เรือนสี่ประสานหลายชั้น ลูกแต่ละคนก็มีเรือนส่วนตัวแยกเป็นของตนเอง เนื่องจากเอ่อร์ฝางเป็นเพียงห้องที่ห้อยติดกับอาคารหลัก จึงใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้ที่ด้อยศักดิ์ของครอบครัว หรืออนุ สำหรับบ้านที่ไม่ได้มีหลายหมู่เรือน หรือไว้ใช้อเนกประสงค์สำหรับบ้านที่ใหญ่และมีหมู่เรือนหลายชั้น (อย่างเช่นตัวอย่างตามบทความจากนิยายข้างต้น) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: http://m.52shijing.com/lsjm/81120.html https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%80%B3%E6%88%BF เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะเรือนสี่ประสาน อ่านเพิ่มเติม (ภาษาไทย) ได้ที่ https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/ #สามีข้าคือฮีโร่ #เกิดใหม่อีกทีไม่ขอมีสามีสกุลหลี่ #บ้านจีนโบราณ #เรือนสี่ประสาน #ซื่อเหอย่วน #เรือนห้อย #เอ่อร์ฝาง #StoryfromStory
    WWW.SOHU.COM
    《赘婿》首播:剧情搞笑,宋轶获赞,郭麒麟槽点较为集中_宁毅
    而郭麒麟从脸上讲就有点不合适,大家可以看一下这个镜头他和张若昀的对比,年龄和气质的差异一下子就能看出来,而且郭麒麟看起来特别的黑。 大家其实对郭麒麟这个演员没有什么意见,甚至也承认郭麒麟在平常生活中…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราทุกคนเห็นแล้ว ว่า รมต. ที่มาจากโควต้า นั้น ประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตราฐาน กลาโหม เกษตร ศึกษาธิการ ไปรษณีย์ เป็นต้น
    มาช่วยกันฝัน และออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยดำรงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงแห่งชาติ

    ไม่ต้องมีพรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตยแบบไทย

    หมวดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง:
    ----------------------------------
    1) เป็นผู้มี หรือเคยมีประวัติการเสียภาษี หรือมียอดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม ปีละสามหมื่นบาทขึ้นไป
    2) มีอายุครบหรือเกิน 18 ปีบริบูรณ์
    3) เป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติอื่น


    หมวดผู้สมัคร สส. เลือกตั้ง:
    -----------------------------------------
    1) มีอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70ปีบริบูรณ์
    2) มีประวัติสร้างชื่อเสียง ระดับชาติ, ปราชญ์ชาวบ้าน, บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นหลักฐาน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5ปีภาษี หรือสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาที่ กพ. รับรอง
    3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้


    หมวดผู้สมัคร นายกฯ รมต. เลือกตั้ง:
    ------------------------------------------------------
    1) มีคุณสมบัติเหมือน ผู้สมัคร สส.
    2) เป็นตำแหน่งหน้าที่แยกสมัครต่างจาก ผู้สมัคร สส. โดยผู้สมัครเลือกตั้ง หน้าที่ นายกฯ หรือ รมต. จะต้องเลือกสมัครในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเท่านั้น
    3) ผู้สมัคร มีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10ข้อ ลงสื่อสารให้สามารถตรวจสอบ
    4) คะแนนมาจากทั่วประเทศ


    หมวด สว. ส่วนโควตา:
    1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปลัดกระทรวง, ตัวแทนศิลปินแห่งชาติทุกสาขา, อาจารย์ผู้มีผลงานวิจัยระดับชาติหรือระดับโลก, อดีตนักเรียนนักศึกษาที่เคยเข้าชิงแข่งขันทางการศึกษาระดับโลก เช่น แข่งขันคณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยมี เกมส์, อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ผ่านสนามเอเชี่ยนเกมส์ขึ้นไป หลายๆ ประเภท
    2) มีอายุไม่เกิน 76ปีบริบูรณ์
    3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้
    4) ไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ สส. นายกฯ หรือ รมต. เช่น เป็นคนในครอบครัว สามีภรรยา พ่อแม่ พี่น้องในสายเลือด, ไม่เป็นหุ้นส่วน


    ทุกผู้ที่ได้การคัดเลือก จะต้องมีความละอายชั่ว ศีลธรรม หากพบว่ากระทำผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทันทีไม่สามารถยืดเยื้อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

    ผู้ช่วย สส. รมต. จะมีได้ไม่เกินกี่คน รายชื่อผู้ช่วย ต้องประกาศ ให้สาธารณะตรวจสอบได้โดยสะดวก

    เราทุกคนเห็นแล้ว ว่า รมต. ที่มาจากโควต้า นั้น ประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตราฐาน กลาโหม เกษตร ศึกษาธิการ ไปรษณีย์ เป็นต้น มาช่วยกันฝัน และออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยดำรงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ต้องมีพรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตยแบบไทย หมวดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง: ---------------------------------- 1) เป็นผู้มี หรือเคยมีประวัติการเสียภาษี หรือมียอดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม ปีละสามหมื่นบาทขึ้นไป 2) มีอายุครบหรือเกิน 18 ปีบริบูรณ์ 3) เป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติอื่น หมวดผู้สมัคร สส. เลือกตั้ง: ----------------------------------------- 1) มีอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70ปีบริบูรณ์ 2) มีประวัติสร้างชื่อเสียง ระดับชาติ, ปราชญ์ชาวบ้าน, บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นหลักฐาน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5ปีภาษี หรือสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาที่ กพ. รับรอง 3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้ หมวดผู้สมัคร นายกฯ รมต. เลือกตั้ง: ------------------------------------------------------ 1) มีคุณสมบัติเหมือน ผู้สมัคร สส. 2) เป็นตำแหน่งหน้าที่แยกสมัครต่างจาก ผู้สมัคร สส. โดยผู้สมัครเลือกตั้ง หน้าที่ นายกฯ หรือ รมต. จะต้องเลือกสมัครในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเท่านั้น 3) ผู้สมัคร มีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10ข้อ ลงสื่อสารให้สามารถตรวจสอบ 4) คะแนนมาจากทั่วประเทศ หมวด สว. ส่วนโควตา: 1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปลัดกระทรวง, ตัวแทนศิลปินแห่งชาติทุกสาขา, อาจารย์ผู้มีผลงานวิจัยระดับชาติหรือระดับโลก, อดีตนักเรียนนักศึกษาที่เคยเข้าชิงแข่งขันทางการศึกษาระดับโลก เช่น แข่งขันคณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยมี เกมส์, อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ผ่านสนามเอเชี่ยนเกมส์ขึ้นไป หลายๆ ประเภท 2) มีอายุไม่เกิน 76ปีบริบูรณ์ 3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้ 4) ไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ สส. นายกฯ หรือ รมต. เช่น เป็นคนในครอบครัว สามีภรรยา พ่อแม่ พี่น้องในสายเลือด, ไม่เป็นหุ้นส่วน ทุกผู้ที่ได้การคัดเลือก จะต้องมีความละอายชั่ว ศีลธรรม หากพบว่ากระทำผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทันทีไม่สามารถยืดเยื้อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ผู้ช่วย สส. รมต. จะมีได้ไม่เกินกี่คน รายชื่อผู้ช่วย ต้องประกาศ ให้สาธารณะตรวจสอบได้โดยสะดวก
    9 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมแต่งงานอีกแบบ ที่มาคือชื่อภาษาจีนของละครและนิยายจีนเรื่อง “จุ้ยซวี่” (赘婿 ชื่อละครภาษาไทยแปลตามชื่อภาษาอังกฤษว่า <สามีข้าคือฮีโร่>)

    ขอเริ่มเรื่องจากบทสนทนาจากในละครของเจ้าบ่าวหนิงอี้กับพ่อบ้านแห่งสกุลซู เพื่อให้เห็นภาพ
    ...หนิงอี้: “นี่คืออันใด?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “นี้คือเกี้ยวเจ้าสาว”
    หนิงอี้: “ของคุณหนู?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “ของท่าน”
    หนิงอี้: “เพราะเหตุใด?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “เพราะท่านเป็นจุ้ยซวี่”
    หนิงอี้: “เป็นจุ้ยซวี่ก็ต้องนั่งเกี้ยวรึ?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “เป็นจุ้ยซวี่ต้องนั่งเกี้ยว”...

    ในละครเรื่องนี้ หนิงอี้ผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องนั่งเกี้ยวถูกส่งตัวไปยังบ้านของฝ่ายหญิง (ตามรูปประกอบ) อีกทั้งระหว่างทางยังโดนคนชี้นิ้ววิพากย์วิจารณ์มากมายราวกับว่าเป็นเรื่องน่าดูแคลน เหตุเพราะเขาเป็น “จุ้ยซวี่”

    “จุ้ยซวี่” คือการเรียกเขยที่แต่งเข้าไปในสกุลของฝ่ายเจ้าสาว พำนักอยู่ในเรือนของฝ่ายหญิง และหากมีลูก ลูกก็จะใช้แซ่หรือนามสกุลตามฝ่ายหญิง ซึ่งเพื่อนเพจที่พอคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนจะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมปกติที่ผู้หญิงจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกก็จะใช้นามสกุลของฝ่ายชาย

    ทำไมถึงมีจุ้ยซวี่? การแต่งชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายเจ้าสาวมาจากตระกูลคหบดีหรือมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ขาดบุตรชายที่จะสืบสกุล ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมักเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อย

    แล้วธรรมเนียมแต่งจุ้ยซวี่เข้าเรือนเกิดขึ้นในยุคสมัยใด? ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงจุ้ยซวี่มาตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แต่ในวัฒนธรรมจีนนั้นการสืบสกุลเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของชายชาตรี ดังนั้นการละทิ้งสกุลของตนเพื่อไปสืบเชื้อสายให้สกุลอื่นจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในสมัยนั้นจุ้ยซวี่จึงมีฐานะต่ำต้อยมาก มีการเปรียบเสมือนเป็นทาสในเรือน ในสมัยนั้นยังมีกฎห้ามจุ้ยซวี่แยกเรือนออกไปอยู่เอง ห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และลูกหลานจะเข้ารับราชการได้นั้นต้องผ่านไปแล้วสามรุ่นด้วยกัน (โอ้โห!)

    ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง จุ้ยซวี่ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ว่ากันว่า เป็นเพราะว่าบิดาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง (องค์ซ่งไท่จู่) ก็เป็นจุ้ยซวี่ สังคมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นถึงขนาดที่ว่ามีชายบางคนที่ฐานะครอบครัวไม่เลว ยังขวนขวายแต่งเข้าสกุลของฝ่ายหญิงที่เรืองอำนาจเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนเลยทีเดียว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ กดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ)

    เครดิตรูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 และจากละคร
    เครดิตข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.sohu.com/a/451219092_588218
    https://www.52shijing.com/kjxs/113551.html

    #สามีข้าคือฮีโร่ #ประเพณีจีนโบราณ #จุ้ยซวี่ #เกี้ยวเจ้าสาว #StoryfromStory
    วันนี้เราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมแต่งงานอีกแบบ ที่มาคือชื่อภาษาจีนของละครและนิยายจีนเรื่อง “จุ้ยซวี่” (赘婿 ชื่อละครภาษาไทยแปลตามชื่อภาษาอังกฤษว่า <สามีข้าคือฮีโร่>) ขอเริ่มเรื่องจากบทสนทนาจากในละครของเจ้าบ่าวหนิงอี้กับพ่อบ้านแห่งสกุลซู เพื่อให้เห็นภาพ ...หนิงอี้: “นี่คืออันใด?” พ่อบ้านเกิ่ง: “นี้คือเกี้ยวเจ้าสาว” หนิงอี้: “ของคุณหนู?” พ่อบ้านเกิ่ง: “ของท่าน” หนิงอี้: “เพราะเหตุใด?” พ่อบ้านเกิ่ง: “เพราะท่านเป็นจุ้ยซวี่” หนิงอี้: “เป็นจุ้ยซวี่ก็ต้องนั่งเกี้ยวรึ?” พ่อบ้านเกิ่ง: “เป็นจุ้ยซวี่ต้องนั่งเกี้ยว”... ในละครเรื่องนี้ หนิงอี้ผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องนั่งเกี้ยวถูกส่งตัวไปยังบ้านของฝ่ายหญิง (ตามรูปประกอบ) อีกทั้งระหว่างทางยังโดนคนชี้นิ้ววิพากย์วิจารณ์มากมายราวกับว่าเป็นเรื่องน่าดูแคลน เหตุเพราะเขาเป็น “จุ้ยซวี่” “จุ้ยซวี่” คือการเรียกเขยที่แต่งเข้าไปในสกุลของฝ่ายเจ้าสาว พำนักอยู่ในเรือนของฝ่ายหญิง และหากมีลูก ลูกก็จะใช้แซ่หรือนามสกุลตามฝ่ายหญิง ซึ่งเพื่อนเพจที่พอคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนจะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมปกติที่ผู้หญิงจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกก็จะใช้นามสกุลของฝ่ายชาย ทำไมถึงมีจุ้ยซวี่? การแต่งชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายเจ้าสาวมาจากตระกูลคหบดีหรือมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ขาดบุตรชายที่จะสืบสกุล ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมักเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อย แล้วธรรมเนียมแต่งจุ้ยซวี่เข้าเรือนเกิดขึ้นในยุคสมัยใด? ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงจุ้ยซวี่มาตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แต่ในวัฒนธรรมจีนนั้นการสืบสกุลเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของชายชาตรี ดังนั้นการละทิ้งสกุลของตนเพื่อไปสืบเชื้อสายให้สกุลอื่นจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในสมัยนั้นจุ้ยซวี่จึงมีฐานะต่ำต้อยมาก มีการเปรียบเสมือนเป็นทาสในเรือน ในสมัยนั้นยังมีกฎห้ามจุ้ยซวี่แยกเรือนออกไปอยู่เอง ห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และลูกหลานจะเข้ารับราชการได้นั้นต้องผ่านไปแล้วสามรุ่นด้วยกัน (โอ้โห!) ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง จุ้ยซวี่ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ว่ากันว่า เป็นเพราะว่าบิดาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง (องค์ซ่งไท่จู่) ก็เป็นจุ้ยซวี่ สังคมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นถึงขนาดที่ว่ามีชายบางคนที่ฐานะครอบครัวไม่เลว ยังขวนขวายแต่งเข้าสกุลของฝ่ายหญิงที่เรืองอำนาจเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนเลยทีเดียว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ กดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ) เครดิตรูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 และจากละคร เครดิตข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.sohu.com/a/451219092_588218 https://www.52shijing.com/kjxs/113551.html #สามีข้าคือฮีโร่ #ประเพณีจีนโบราณ #จุ้ยซวี่ #เกี้ยวเจ้าสาว #StoryfromStory
    WWW.SOHU.COM
    《赘婿》首播:剧情搞笑,宋轶获赞,郭麒麟槽点较为集中_宁毅
    而郭麒麟从脸上讲就有点不合适,大家可以看一下这个镜头他和张若昀的对比,年龄和气质的差异一下子就能看出来,而且郭麒麟看起来特别的黑。 大家其实对郭麒麟这个演员没有什么意见,甚至也承认郭麒麟在平常生活中…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเป็นคนสาธารณะ แล้วทำผิดซ้ำซาก ในทุกๆ เรื่อง แล้วเพื่อนหิ้วกระเป๋ามันก็ไม่กล้าเตือน หรือมันรู้เราทำผิดร้ายแรงมันยังร่วมงานด้วย แล้วสามี ก็ไม่ขอร้องให้ยุติ

    คุณรู้ไว้ด้วย คนเหล่านี้มันรักเงินของคุณ มันไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่สามี มันเอาแต่ประโยชน์ จากคุณ รู้ตัวหรือเปล่า
    ถ้าคุณเป็นคนสาธารณะ แล้วทำผิดซ้ำซาก ในทุกๆ เรื่อง แล้วเพื่อนหิ้วกระเป๋ามันก็ไม่กล้าเตือน หรือมันรู้เราทำผิดร้ายแรงมันยังร่วมงานด้วย แล้วสามี ก็ไม่ขอร้องให้ยุติ คุณรู้ไว้ด้วย คนเหล่านี้มันรักเงินของคุณ มันไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่สามี มันเอาแต่ประโยชน์ จากคุณ รู้ตัวหรือเปล่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอร์เอเชียช่วยเหลือเด็กน้อย แพ้ความสูงกะทันหัน

    เรื่องราวประทับใจของเที่ยวบินแอร์เอเชีย ที่มีชาวเน็ตแชร์กว่า 2 หมื่นครั้ง เกิดขึ้นเมื่อผู้โดยสารที่ใช้นามว่า จาซินธา ฟลอเรนติอุส (Jacyntha Florentius) ผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ AK115 เส้นทางกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ชื่นชมนักบินและลูกเรือทุกคนในเที่ยวบินดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

    เธอระบุว่า เด็กที่นั่งมาด้วยคือ นาตาชยา (Natashya) ลูกสาววัย 1 ขวบ 7 เดือน เมื่อเครื่องเทกออฟเวลา 05.55 น. ลูกได้หลับลง จากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งต่อมาลูกตื่นขึ้น เธอจึงให้นมลูก หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ ทันใดนั้นลูกดูกระสับกระส่าย ร้องไห้สักพัก แล้วก็เงียบไป จากนั้นใบหน้าและริมฝีปากลูกซีดลง และดูเหมือนว่าลูกกำลังดิ้นรนที่จะหายใจ อ่อนแอ และไม่ค่อยตอบสนอง

    ตนพยายามอุ้มลูก ตบหลัง ถูมือและเท้า พยายามทำให้ส่งเสียงร้องออกมา เพื่อดูว่าร่างกายตอบสนองหรือไม่ ในเวลาเดียวกัน จาซินธาร้องขอหน้ากากออกซิเจนจากลูกเรือ ซึ่งลูกเรือได้ประสานปล่อยหน้ากากออกซิเจนลงมา ก่อนที่จะให้ออกซิเจนแก่ลูก จากนั้นอาการเริ่มดีขึ้น ริมฝีปากเริ่มเป็นสีชมพูอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ลูกเรือประกาศบนเที่ยวบินตามหาผู้โดยสารที่เป็นแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือ โชคดีที่มีแพทย์รายหนึ่งบนเที่ยวบินช่วยดูอาการให้

    ขณะที่ลูกเรือได้คุยกับนักบินเพื่อขอลดระดับความสูงลงมาเล็กน้อย ซึ่งนักบินก็ลดระดับความสูงให้ ไม่นานหลังจากนั้นอาการลูกดูคงที่ นักบินประกาศว่าเที่ยวบินนี้จะเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินที่ใกล้ที่สุด คือ สนามบินโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เพื่อรับการรักษาพยาบาล ระหว่างการรอลงจอด 30 นาที ลูกเรือก็เข้ามาตรวจดูลูกอยู่เรื่อยๆ นวดมือ เท้า และตรวจชีพจร ทันทีที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบินโฮจิมินห์ ทีมแพทย์ที่เตรียมพร้อมได้ขึ้นเครื่องบินเพื่อประเมินอาการ และตัดสินใจว่าควรลงจากเครื่องเพื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลในนครโฮจิมินห์

    ตนและลูกสาวพร้อมสามีลงจากเครื่องบิน สัมภาระถูกขนลงจากเครื่องอย่างรวดเร็ว และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินก็พาไปที่รถพยาบาลทันที พร้อมอยู่ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกสาวได้รับการรักษาแบบเร่งด่วน ภายในหนึ่งชั่วโมง ก็มีการตรวจร่างกายทั้งหมด รวมทั้งการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ และการเอกซเรย์ นอกจากนี้ เมื่อทำการรักษาจนอาการดีขึ้น แอร์เอเชีย ยังให้เที่ยวบินฟรีแก่ตน ลูกสาว และสามีเพื่อเดินทางกลับกรุงกัวลาลัมเปอร์อีกด้วย สำหรับสาเหตุ คาดว่าลูกสาวน่าจะป่วยด้วยอาการแพ้ความสูงอย่างกะทันหันขณะอยู่บนเครื่องบิน

    #Newskit
    แอร์เอเชียช่วยเหลือเด็กน้อย แพ้ความสูงกะทันหัน เรื่องราวประทับใจของเที่ยวบินแอร์เอเชีย ที่มีชาวเน็ตแชร์กว่า 2 หมื่นครั้ง เกิดขึ้นเมื่อผู้โดยสารที่ใช้นามว่า จาซินธา ฟลอเรนติอุส (Jacyntha Florentius) ผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ AK115 เส้นทางกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ชื่นชมนักบินและลูกเรือทุกคนในเที่ยวบินดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา เธอระบุว่า เด็กที่นั่งมาด้วยคือ นาตาชยา (Natashya) ลูกสาววัย 1 ขวบ 7 เดือน เมื่อเครื่องเทกออฟเวลา 05.55 น. ลูกได้หลับลง จากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งต่อมาลูกตื่นขึ้น เธอจึงให้นมลูก หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ ทันใดนั้นลูกดูกระสับกระส่าย ร้องไห้สักพัก แล้วก็เงียบไป จากนั้นใบหน้าและริมฝีปากลูกซีดลง และดูเหมือนว่าลูกกำลังดิ้นรนที่จะหายใจ อ่อนแอ และไม่ค่อยตอบสนอง ตนพยายามอุ้มลูก ตบหลัง ถูมือและเท้า พยายามทำให้ส่งเสียงร้องออกมา เพื่อดูว่าร่างกายตอบสนองหรือไม่ ในเวลาเดียวกัน จาซินธาร้องขอหน้ากากออกซิเจนจากลูกเรือ ซึ่งลูกเรือได้ประสานปล่อยหน้ากากออกซิเจนลงมา ก่อนที่จะให้ออกซิเจนแก่ลูก จากนั้นอาการเริ่มดีขึ้น ริมฝีปากเริ่มเป็นสีชมพูอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ลูกเรือประกาศบนเที่ยวบินตามหาผู้โดยสารที่เป็นแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือ โชคดีที่มีแพทย์รายหนึ่งบนเที่ยวบินช่วยดูอาการให้ ขณะที่ลูกเรือได้คุยกับนักบินเพื่อขอลดระดับความสูงลงมาเล็กน้อย ซึ่งนักบินก็ลดระดับความสูงให้ ไม่นานหลังจากนั้นอาการลูกดูคงที่ นักบินประกาศว่าเที่ยวบินนี้จะเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินที่ใกล้ที่สุด คือ สนามบินโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เพื่อรับการรักษาพยาบาล ระหว่างการรอลงจอด 30 นาที ลูกเรือก็เข้ามาตรวจดูลูกอยู่เรื่อยๆ นวดมือ เท้า และตรวจชีพจร ทันทีที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบินโฮจิมินห์ ทีมแพทย์ที่เตรียมพร้อมได้ขึ้นเครื่องบินเพื่อประเมินอาการ และตัดสินใจว่าควรลงจากเครื่องเพื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลในนครโฮจิมินห์ ตนและลูกสาวพร้อมสามีลงจากเครื่องบิน สัมภาระถูกขนลงจากเครื่องอย่างรวดเร็ว และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินก็พาไปที่รถพยาบาลทันที พร้อมอยู่ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกสาวได้รับการรักษาแบบเร่งด่วน ภายในหนึ่งชั่วโมง ก็มีการตรวจร่างกายทั้งหมด รวมทั้งการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ และการเอกซเรย์ นอกจากนี้ เมื่อทำการรักษาจนอาการดีขึ้น แอร์เอเชีย ยังให้เที่ยวบินฟรีแก่ตน ลูกสาว และสามีเพื่อเดินทางกลับกรุงกัวลาลัมเปอร์อีกด้วย สำหรับสาเหตุ คาดว่าลูกสาวน่าจะป่วยด้วยอาการแพ้ความสูงอย่างกะทันหันขณะอยู่บนเครื่องบิน #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะมาพูดคุยประเด็น การรับเงินและทอง

    ของพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ตามพระธรรมวินัย ที่พระศาสดา ทรงบัญญัติไว้ 

    มีเรื่องเล่ามาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้ โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่

    ณ พระเวฬุวัน ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น.

    เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง

    แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง

    อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร

    สามารถอ่านเพิ่มเติมที่เว็บพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2025/07/07/%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a0%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%86%e0%b9%8c/
    จะมาพูดคุยประเด็น การรับเงินและทอง ของพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ตามพระธรรมวินัย ที่พระศาสดา ทรงบัญญัติไว้  มีเรื่องเล่ามาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้ โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น. เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร สามารถอ่านเพิ่มเติมที่เว็บพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2025/07/07/%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a0%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%86%e0%b9%8c/
    WWW.THENIRVANALIVE.COM
    ไขข้อสงสัย พระภิกษุสงฆ์ รับ “เงินทอง” ได้หรือไม่ตามพระไตรปิฎก - thenirvanalive.com
    การรับเงินและทองเอง แต่ทว่าจงอย่ายินดีในเงินและทองนั้นว่าเป็นทรัพย์สินของเราโดยเฉพาะ พึงทำใจของเราให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเวลานี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • วลีรักจาก <จันทราอัสดง>

    สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก

    วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl)

    แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร?

    ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน

    “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้

    เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น

    หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง

    เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี

    วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx
    https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804
    https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502
    http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html
    https://www.621seo.cn/a/83.html

    #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    วลีรักจาก <จันทราอัสดง> สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl) แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร? ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้ เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00 https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804 https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502 http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html https://www.621seo.cn/a/83.html #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 570 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่าวสมชื่อ ว่าวตั้งแต่เป็นสามี เป็นนายกฯ ขายหนังสือสร้างภาพ ก็ยังได้แค่เกือบ คนเกือบจะซื้อกันล้นหลาม สุดท้ายซื้อจริง 25 เล่ม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #พิธา
    #นายกว่าว
    ว่าวสมชื่อ ว่าวตั้งแต่เป็นสามี เป็นนายกฯ ขายหนังสือสร้างภาพ ก็ยังได้แค่เกือบ คนเกือบจะซื้อกันล้นหลาม สุดท้ายซื้อจริง 25 เล่ม #คิงส์โพธิ์แดง #พิธา #นายกว่าว
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไฮโซน้ำหวาน" ร่ายยาว กรณีลูกเสียงดังในร้านกาแฟ จนมีคนมองแรง งานนี้คุณแม่เลยเข้าไปเคลียร์จนกลายเป็นดราม่าของคนเป็นแม่ กับคนที่ไม่ได้เป็นแม่ ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน

    ทำเอาคุณแม่ลูกสาม อย่าง “ไฮโซน้ำหวาน” ภรรยาของ “นาวิน ต้าร์” ต้องขอออกมาโพสต์ร่ายยาว หลังวันหยุดที่ควรจะได้พักผ่อนกับครอบครัวในร้านกาแฟเจ้าประจำ กลับต้องอวสาน เพราะลูกๆ เจอสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทำให้เธอต้องปกป้องลูกๆ ด้วยความอดทนสูงสุด โดย ไฮโซน้ำหวาน ได้โพสต์คลิปลูกกับสามี พร้อมใส่แคปชั่นเล่าเหตุการณ์ไว้ บอกว่าหากรู้สึกไม่พอใจเด็กๆ ก็ให้มาโทษที่ผู้ปกครอง ไม่ใช่ส่งสายตาสั่งหรือค้อนให้เด็กตกใจกลัว

    อย่างไรก็ตามก็มีคอมเม้นท์บางเพจที่เห็นต่างว่า ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000063584

    #Thaitimes #MGROnline #ไฮโซน้ำหวาน #นาวินต้าร์
    "ไฮโซน้ำหวาน" ร่ายยาว กรณีลูกเสียงดังในร้านกาแฟ จนมีคนมองแรง งานนี้คุณแม่เลยเข้าไปเคลียร์จนกลายเป็นดราม่าของคนเป็นแม่ กับคนที่ไม่ได้เป็นแม่ ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน • ทำเอาคุณแม่ลูกสาม อย่าง “ไฮโซน้ำหวาน” ภรรยาของ “นาวิน ต้าร์” ต้องขอออกมาโพสต์ร่ายยาว หลังวันหยุดที่ควรจะได้พักผ่อนกับครอบครัวในร้านกาแฟเจ้าประจำ กลับต้องอวสาน เพราะลูกๆ เจอสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทำให้เธอต้องปกป้องลูกๆ ด้วยความอดทนสูงสุด โดย ไฮโซน้ำหวาน ได้โพสต์คลิปลูกกับสามี พร้อมใส่แคปชั่นเล่าเหตุการณ์ไว้ บอกว่าหากรู้สึกไม่พอใจเด็กๆ ก็ให้มาโทษที่ผู้ปกครอง ไม่ใช่ส่งสายตาสั่งหรือค้อนให้เด็กตกใจกลัว • อย่างไรก็ตามก็มีคอมเม้นท์บางเพจที่เห็นต่างว่า ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000063584 • #Thaitimes #MGROnline #ไฮโซน้ำหวาน #นาวินต้าร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • **<ปรปักษ์จำนน> กับพิธีแต่งงานสมัยฮั่น**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงสินสอดในเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> วันนี้เลยมาคุยต่อถึงพิธีแต่งงานที่คู่บ่าวสาวนั่งกินอาหารด้วยกันกลางโถง ซึ่งเป็นพิธีการที่เราไม่ค่อยเห็นกันบ่อยในซีรีส์ โดยขั้นตอนตามที่เห็นในซีรีส์คือ “...ชำระมือและหน้า ... รับประทานเนื้อสัตว์อย่างเดียวกัน ... ข้าวชามเดียวกัน ... ดื่มน้ำแกง ... จิ้มน้ำจิ้ม ... ดื่มสุราจากภาชนะน้ำเต้าอันเดียวกัน” (หมายเหตุ อิงตามซับไทย)

    ดูแล้วนึกว่ามันคือพิธีการเดียว แต่จริงๆ แล้วมันประกอบด้วยพิธีการสามส่วนค่ะ และเป็นพิธีการแต่งงานจากในสมัยฮั่น

    ส่วนแรกเรียกว่าพิธี ‘เฟิ่งอี๋ว่อก้วน’ (奉匜沃盥) ซึ่งก็คือการล้างมือก่อนการทำพิธีสักการะบูชาหรือก่อนเข้าร่วมงานพิธีการหรืองานเลี้ยงสำคัญ ปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกพิธีการหลี่จี้และ คัมภีร์ชุนชิวฉบับจั่วจ้วน (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงคัมภีร์ชุนชิวแล้ว ย้อนอ่านดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) โดยเป็นลักษณะใช้เหยือกเทน้ำรดมือให้น้ำไหลทิ้งลงบนอ่างที่มีคนถือรองไว้

    ส่วนที่สองเรียกว่าพิธี ‘ถงเหลา’ (同牢) คือบ่าวสาวนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งเป็นพิธีการเชิงสัญลักษณ์ว่าสองคนสามีภรรยารวมกันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ทั้งนี้ เพราะว่าปกติในสมัยนั้นสตรีและบุรุษจะนั่งแยกโต๊ะกัน

    ในส่วนของพิธีถงเหลานี้ ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้คือบ่าวสาวจะกินเนื้อสัตว์ที่ตักจากชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวกัน (นึกภาพว่าปกติเสิร์ฟเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวหรือทั้งตัวแล้วแล่แต่พอคำ เพราะ ‘เหลา’ ในที่นี้หมายถึงสัตว์สี่เท้าที่ในสมัยนั้นนิยมใช้เซ่นไหว้ เช่น วัว หมู หรือแกะ) นอกจากนี้ ในเอกสารอื่นระบุว่าบ่าวสาวจะร่วมกินอาหารสามครั้งหรือ ‘ซานฟ่าน’ (三饭) กล่าวคือ กินข้าว กินน้ำแกงต้มจากเนื้อ และใช้นิ้วจิ้มน้ำจิ้มกิน (เช่น เต้าเจี้ยว) แต่จนใจ Storyฯ หาไม่พบว่าสามรายการนี้แฝงความหมายอะไรไว้หรือไม่ แน่นอนว่ากินกันเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น

    ส่วนที่สามเรียกว่าพิธี ‘เหอจิ่น’ (合卺) แปลตรงตัวว่านำมาประกบกัน ซึ่งก็คือการร่วมดื่มสุรามงคล ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้นั้น จะใช้ภาชนะทำจากน้ำเต้าผ่าครึ่งใส่เหล้าดื่ม เป็นการ ‘ล้างปาก’ หลังจากร่วมกินอาหารเสร็จ แต่ในเอกสารโบราณที่กล่าวถึงการกินอาหารสามครั้งก็ระบุว่าให้ดื่มเหล้าสามครั้งเช่นกัน โดยสองครั้งแรกใช้จอกเหล้า ครั้งที่สามคือใช้น้ำเต้าผ่าครึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสามีภรรยารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นที่มาของการแลกกันดื่มหรือ ‘เจียวเปย’ (交杯) ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพเกี่ยวแขนดื่มสุรามงคลที่เราเห็นในหลายซีรีส์

    และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของพิธีการแต่งงานสมัยฮั่นซึ่งไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินหรือโค้งคารวะพ่อแม่แบบที่เราเห็นในยุคสมัยหลังจากนั้น

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊กด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความเก่า:
    คัมภีร์ชุนชิว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1248905993904357
    ผูกปมผม: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/368606858600946
    สีชุดเจ้าสาว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/116299537122708

    Credit รูปภาพจาก: https://tidenews.com.cn/news.html?id=3130023
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.sohu.com/a/800556927_120808812
    https://www.sxgp.gov.cn/zjgp/gpgs_427/202101/t20210120_1341716.shtml
    https://k.sina.cn/article_7142104121_1a9b3dc3900100jj2k.html
    https://liji.5000yan.com/hunyi/348.html
    https://www.jiemian.com/article/1057773.html

    #ปรปักษ์จำนน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #สุรามงคล #บันทึกพิธีการหลี่จี้ #สาระจีน
    **<ปรปักษ์จำนน> กับพิธีแต่งงานสมัยฮั่น** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงสินสอดในเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> วันนี้เลยมาคุยต่อถึงพิธีแต่งงานที่คู่บ่าวสาวนั่งกินอาหารด้วยกันกลางโถง ซึ่งเป็นพิธีการที่เราไม่ค่อยเห็นกันบ่อยในซีรีส์ โดยขั้นตอนตามที่เห็นในซีรีส์คือ “...ชำระมือและหน้า ... รับประทานเนื้อสัตว์อย่างเดียวกัน ... ข้าวชามเดียวกัน ... ดื่มน้ำแกง ... จิ้มน้ำจิ้ม ... ดื่มสุราจากภาชนะน้ำเต้าอันเดียวกัน” (หมายเหตุ อิงตามซับไทย) ดูแล้วนึกว่ามันคือพิธีการเดียว แต่จริงๆ แล้วมันประกอบด้วยพิธีการสามส่วนค่ะ และเป็นพิธีการแต่งงานจากในสมัยฮั่น ส่วนแรกเรียกว่าพิธี ‘เฟิ่งอี๋ว่อก้วน’ (奉匜沃盥) ซึ่งก็คือการล้างมือก่อนการทำพิธีสักการะบูชาหรือก่อนเข้าร่วมงานพิธีการหรืองานเลี้ยงสำคัญ ปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกพิธีการหลี่จี้และ คัมภีร์ชุนชิวฉบับจั่วจ้วน (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงคัมภีร์ชุนชิวแล้ว ย้อนอ่านดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) โดยเป็นลักษณะใช้เหยือกเทน้ำรดมือให้น้ำไหลทิ้งลงบนอ่างที่มีคนถือรองไว้ ส่วนที่สองเรียกว่าพิธี ‘ถงเหลา’ (同牢) คือบ่าวสาวนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งเป็นพิธีการเชิงสัญลักษณ์ว่าสองคนสามีภรรยารวมกันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ทั้งนี้ เพราะว่าปกติในสมัยนั้นสตรีและบุรุษจะนั่งแยกโต๊ะกัน ในส่วนของพิธีถงเหลานี้ ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้คือบ่าวสาวจะกินเนื้อสัตว์ที่ตักจากชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวกัน (นึกภาพว่าปกติเสิร์ฟเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวหรือทั้งตัวแล้วแล่แต่พอคำ เพราะ ‘เหลา’ ในที่นี้หมายถึงสัตว์สี่เท้าที่ในสมัยนั้นนิยมใช้เซ่นไหว้ เช่น วัว หมู หรือแกะ) นอกจากนี้ ในเอกสารอื่นระบุว่าบ่าวสาวจะร่วมกินอาหารสามครั้งหรือ ‘ซานฟ่าน’ (三饭) กล่าวคือ กินข้าว กินน้ำแกงต้มจากเนื้อ และใช้นิ้วจิ้มน้ำจิ้มกิน (เช่น เต้าเจี้ยว) แต่จนใจ Storyฯ หาไม่พบว่าสามรายการนี้แฝงความหมายอะไรไว้หรือไม่ แน่นอนว่ากินกันเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนที่สามเรียกว่าพิธี ‘เหอจิ่น’ (合卺) แปลตรงตัวว่านำมาประกบกัน ซึ่งก็คือการร่วมดื่มสุรามงคล ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้นั้น จะใช้ภาชนะทำจากน้ำเต้าผ่าครึ่งใส่เหล้าดื่ม เป็นการ ‘ล้างปาก’ หลังจากร่วมกินอาหารเสร็จ แต่ในเอกสารโบราณที่กล่าวถึงการกินอาหารสามครั้งก็ระบุว่าให้ดื่มเหล้าสามครั้งเช่นกัน โดยสองครั้งแรกใช้จอกเหล้า ครั้งที่สามคือใช้น้ำเต้าผ่าครึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสามีภรรยารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นที่มาของการแลกกันดื่มหรือ ‘เจียวเปย’ (交杯) ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพเกี่ยวแขนดื่มสุรามงคลที่เราเห็นในหลายซีรีส์ และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของพิธีการแต่งงานสมัยฮั่นซึ่งไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินหรือโค้งคารวะพ่อแม่แบบที่เราเห็นในยุคสมัยหลังจากนั้น (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊กด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความเก่า: คัมภีร์ชุนชิว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1248905993904357 ผูกปมผม: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/368606858600946 สีชุดเจ้าสาว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/116299537122708 Credit รูปภาพจาก: https://tidenews.com.cn/news.html?id=3130023 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.sohu.com/a/800556927_120808812 https://www.sxgp.gov.cn/zjgp/gpgs_427/202101/t20210120_1341716.shtml https://k.sina.cn/article_7142104121_1a9b3dc3900100jj2k.html https://liji.5000yan.com/hunyi/348.html https://www.jiemian.com/article/1057773.html #ปรปักษ์จำนน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #สุรามงคล #บันทึกพิธีการหลี่จี้ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ความอีกด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา,การต่อสู้กับภาครัฐที่บัดสบมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่นำเข้าวัคซีนโควิดที่ไร้งานวิจัยรับรองความปลอดภัยใดๆ,คนเหล่านี้กอดกองเงินกองทองกอดตังอย่างมีความสุขนักโดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับการค้่ยาค้าวัคซีนโควิดหรือตัววัคซีนmRNAทุกๆคนที่นำเข้ามาในไทยตลอดสร้างพวกโรงงานเพื่อผลิตวัคซีนที่เป็นmRNAเหมือนกันมาฉีดคนไทยด้วย,คณะแพทย์หมอที่สมคบคิดไม่สำนึกต่อการกระทำชั่วตั้งแต่ต้นต้องถูกกำจัดทันที,ซึ่งปัจจุบันลอยหน้าลอยตาเชิดหน้ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก,ไม่ถูกจัดการลงโทษสั่งสอนห่าเหวใดๆเลย.

    ..หมอจุฬา นำทีมผู้ได้รับผลกระทบ วัคซีนโควิด ร้องสภาฯตั้งคณะสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน
    วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 - 11:47 น.
    “หมอจุฬา” พร้อมผู้ได้รับผลกระทบวัคซีนโควิด ร้องสภาฯเปิดเวทีสาธารณะ-ตั้งคณะทำงานสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน โดยไม่รู้สาเหตุ ชี้ จากผลตรวจAnti spike ค่าสูงกว่า25,000 จาก 0.8 ขณะยุโรป-สหรัฐฯ สอบเรื่องนี้แล้ว ขอ “สธ.” เปิดสัญญาซื้อวัคซีน จี้ “สปสช.” ทบทวนขยายเวลาเยียวยา

    เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมคณะแพทย์และผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19  ในนามกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านตัวแทนเพื่อให้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้มีข้อมูลในการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด

    โดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี มีผู้ไปฉีดวัคซีนได้รับผลกระทบตามร่างกาย เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุจำนวนไม่น้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสะท้อนความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยอยากให้มีการหามาตรการป้องกันผลกระทบจากการฉีดวัคซีน ซึ่งมีการรวมตัวของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ช่วงแรกหลังฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยแต่ต่อมามีผลทางวิชาการ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดสร้างปัญหาจริง

    ขณะที่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีการสอบสวนกันมากขึ้น ส่วนประเทศไทย มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากถูกมองข้ามว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้หลายคนพยายามร้องขอความเป็นธรรม แต่ถูกปิดปากซึ่งข่าวนี้เกิดขึ้นจริงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีการยอมรับจากทำเนียบข่าวว่ามีการปิดข่าวเรื่องนี้ ในช่วงประธานาธิบดีโจไบเดน และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่

    ด้านพ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์ชื่อดัง กล่าวว่า มีญาติผู้ป่วย มาขอให้สะกดจิตเนื่องจากภรรยาไม่รู้เป็นอะไรต้องถูกตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง เมื่อดูภาพเห็นเท้าแขนขาดำทั้งสองข้าง แล้ววันนี้ถูกตัดขาด 2 ข้าง ตัดแขน 1 ข้าง และตัดมืออีกข้างหนึ่งออก โดยยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร

    ซึ่งเมื่อตรวจค่าเลือดภูมิต้านทานต่อต้านโควิด สูงถึง 14,500 จึงน่าจะเกี่ยวข้อง และเมื่อมาถามหมอหลายคน ได้ข้อสรุปว่าตัวAnti spike ไปอุดที่ไหนก็จะมีปัญหาที่นั่น ยกตัวอย่างมีหมอรุ่นน้องที่เชียงใหม่ล้มเสียชีวิต รวมถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของอินโดนีเซีย ที่กำลังยืนปราศรัยก็ล้มตึงจากเวที และรองผู้ว่าฯพังงา ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ

    “เป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ฉีดวัคซีนถึง 8 เข็มแล้วเป็นสโตรก และยังมีเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการฉีดวัคซีนโควิดมาให้หมอรักษา 600 คน ทั้งนี้เห็นว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน เพราะจากการตรวจคนไข้ที่คลินิก 70 กว่าคน พบค่า Anti spike ระดับกว่า 1,000 สูงสุดถึง 25,000 จากค่าปกติต้อง 0.8 ขณะที่ส่วนตัวเป็นโควิด 2 ครั้ง ไม่เคยฉีดวัคซีน รักษาด้วยสมุนไพร ตรวจพบค่าเพียง 137” พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว

    พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร ถ้าสามารถนำมาใช้รักษาน่าจะช่วยรักษาคนทั้งโลกได้ และจะยังเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยไม่ต้องตั้งเป้าทำวิจัย

    ขณะที่ สามีของผู้ป่วยที่ถูกตัดขาตัดแขน กล่าวว่า ได้ไปขอค่าชดเชย จาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)แต่ไม่ได้รับการชดเชยเพราะเกินเวลา 2 ปีแล้ว

    ด้านแม่ที่ลูกอายุ 23 ปีได้รับผลกระทบ เล่าพร้อมน้ำตาคลอว่า ลูกฉีดวัคซีนโควิด 3 เข็ม จากเคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียงเดินไม่ได้ หมอบอกว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ไม่รู้สาเหตุ รักษาตามอาการ ทั้งที่ก่อนหน้า เล่นกีฬาปกติ ขณะนี้ป่วยมา 2 ปีแล้ว จิตใจไม่ปกติ ต้องหาหมอจิตเวชร่วมด้วย เงินที่เก็บไว้ให้เรียนก็หมดไปกับการรักษาตัว จึงอยากฝากภาครัฐช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย

    ขณะที่ผู้ป่วยอีกราย บอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก และคันในศีรษะ อย่างรุนแรง ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่หาย แค่บรรเทาเวลากินยา คาดว่ามาจากวัคซันโควิด

    ด้านนายแทนคุณ กล่าวเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข เปิดสัญญาทุกฉบับที่ทำกับเอกชนในการซื้อวัคซีนโควิด และให้ สปสช.ทบทวนการขยายเวลาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิดได้รับการเยียวยา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5194414
    ..ความอีกด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา,การต่อสู้กับภาครัฐที่บัดสบมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่นำเข้าวัคซีนโควิดที่ไร้งานวิจัยรับรองความปลอดภัยใดๆ,คนเหล่านี้กอดกองเงินกองทองกอดตังอย่างมีความสุขนักโดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับการค้่ยาค้าวัคซีนโควิดหรือตัววัคซีนmRNAทุกๆคนที่นำเข้ามาในไทยตลอดสร้างพวกโรงงานเพื่อผลิตวัคซีนที่เป็นmRNAเหมือนกันมาฉีดคนไทยด้วย,คณะแพทย์หมอที่สมคบคิดไม่สำนึกต่อการกระทำชั่วตั้งแต่ต้นต้องถูกกำจัดทันที,ซึ่งปัจจุบันลอยหน้าลอยตาเชิดหน้ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก,ไม่ถูกจัดการลงโทษสั่งสอนห่าเหวใดๆเลย. ..หมอจุฬา นำทีมผู้ได้รับผลกระทบ วัคซีนโควิด ร้องสภาฯตั้งคณะสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 - 11:47 น. “หมอจุฬา” พร้อมผู้ได้รับผลกระทบวัคซีนโควิด ร้องสภาฯเปิดเวทีสาธารณะ-ตั้งคณะทำงานสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน โดยไม่รู้สาเหตุ ชี้ จากผลตรวจAnti spike ค่าสูงกว่า25,000 จาก 0.8 ขณะยุโรป-สหรัฐฯ สอบเรื่องนี้แล้ว ขอ “สธ.” เปิดสัญญาซื้อวัคซีน จี้ “สปสช.” ทบทวนขยายเวลาเยียวยา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมคณะแพทย์และผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19  ในนามกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านตัวแทนเพื่อให้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้มีข้อมูลในการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด โดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี มีผู้ไปฉีดวัคซีนได้รับผลกระทบตามร่างกาย เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุจำนวนไม่น้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสะท้อนความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยอยากให้มีการหามาตรการป้องกันผลกระทบจากการฉีดวัคซีน ซึ่งมีการรวมตัวของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ช่วงแรกหลังฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยแต่ต่อมามีผลทางวิชาการ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดสร้างปัญหาจริง ขณะที่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีการสอบสวนกันมากขึ้น ส่วนประเทศไทย มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากถูกมองข้ามว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้หลายคนพยายามร้องขอความเป็นธรรม แต่ถูกปิดปากซึ่งข่าวนี้เกิดขึ้นจริงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีการยอมรับจากทำเนียบข่าวว่ามีการปิดข่าวเรื่องนี้ ในช่วงประธานาธิบดีโจไบเดน และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่ ด้านพ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์ชื่อดัง กล่าวว่า มีญาติผู้ป่วย มาขอให้สะกดจิตเนื่องจากภรรยาไม่รู้เป็นอะไรต้องถูกตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง เมื่อดูภาพเห็นเท้าแขนขาดำทั้งสองข้าง แล้ววันนี้ถูกตัดขาด 2 ข้าง ตัดแขน 1 ข้าง และตัดมืออีกข้างหนึ่งออก โดยยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ซึ่งเมื่อตรวจค่าเลือดภูมิต้านทานต่อต้านโควิด สูงถึง 14,500 จึงน่าจะเกี่ยวข้อง และเมื่อมาถามหมอหลายคน ได้ข้อสรุปว่าตัวAnti spike ไปอุดที่ไหนก็จะมีปัญหาที่นั่น ยกตัวอย่างมีหมอรุ่นน้องที่เชียงใหม่ล้มเสียชีวิต รวมถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของอินโดนีเซีย ที่กำลังยืนปราศรัยก็ล้มตึงจากเวที และรองผู้ว่าฯพังงา ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ “เป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ฉีดวัคซีนถึง 8 เข็มแล้วเป็นสโตรก และยังมีเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการฉีดวัคซีนโควิดมาให้หมอรักษา 600 คน ทั้งนี้เห็นว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน เพราะจากการตรวจคนไข้ที่คลินิก 70 กว่าคน พบค่า Anti spike ระดับกว่า 1,000 สูงสุดถึง 25,000 จากค่าปกติต้อง 0.8 ขณะที่ส่วนตัวเป็นโควิด 2 ครั้ง ไม่เคยฉีดวัคซีน รักษาด้วยสมุนไพร ตรวจพบค่าเพียง 137” พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร ถ้าสามารถนำมาใช้รักษาน่าจะช่วยรักษาคนทั้งโลกได้ และจะยังเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยไม่ต้องตั้งเป้าทำวิจัย ขณะที่ สามีของผู้ป่วยที่ถูกตัดขาตัดแขน กล่าวว่า ได้ไปขอค่าชดเชย จาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)แต่ไม่ได้รับการชดเชยเพราะเกินเวลา 2 ปีแล้ว ด้านแม่ที่ลูกอายุ 23 ปีได้รับผลกระทบ เล่าพร้อมน้ำตาคลอว่า ลูกฉีดวัคซีนโควิด 3 เข็ม จากเคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียงเดินไม่ได้ หมอบอกว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ไม่รู้สาเหตุ รักษาตามอาการ ทั้งที่ก่อนหน้า เล่นกีฬาปกติ ขณะนี้ป่วยมา 2 ปีแล้ว จิตใจไม่ปกติ ต้องหาหมอจิตเวชร่วมด้วย เงินที่เก็บไว้ให้เรียนก็หมดไปกับการรักษาตัว จึงอยากฝากภาครัฐช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย ขณะที่ผู้ป่วยอีกราย บอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก และคันในศีรษะ อย่างรุนแรง ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่หาย แค่บรรเทาเวลากินยา คาดว่ามาจากวัคซันโควิด ด้านนายแทนคุณ กล่าวเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข เปิดสัญญาทุกฉบับที่ทำกับเอกชนในการซื้อวัคซีนโควิด และให้ สปสช.ทบทวนการขยายเวลาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิดได้รับการเยียวยา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5194414
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจเคยสงสัยหรือไม่ ทำไมในนิยาย/หนังจีนโบราณหลายเรื่องยกให้ฉากพระเอกวาดคิ้วให้นางเอกเป็นหนึ่งในฉากโรแมนติกสุดซึ้ง?

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ชู่ว์.. ใกล้เสร็จแล้ว อย่าขยับ” เขามองเทียบซ้ายขวาอยู่พักใหญ่ วาดเติมอีกหลายครา
    เสวียนจีเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าไปหาท่านพ่อท่านแม่แต่เช้า เห็นท่านพ่อกำลังวาดคิ้วให้ท่านแม่อยู่! แต่พ่อไม่ช่ำชองเท่าท่าน”
    การวาดคิ้วแต่ไหนแต่ไรเป็นเรื่องในห้องหอของสามีภรรยา มิพึงเล่าให้ใครฟัง แต่เสวียนจีไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงเล่าอย่างไร้เดียงสา...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ในสมัยโบราณเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องปรนนิบัติสามี การที่สามี ‘ปรนนิบัติ’ ภรรยาด้วยการวาดคิ้วจึงเป็นการทำด้วยใจรักและไม่ใช่หน้าที่ ก็พอจะนึกออกว่ามันเป็นเรื่องน่าประทับใจ

    แต่ก่อนจะไปคุยกันลงลึกเรื่องวัฒนธรรมการเขียนคิ้ว มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ Storyฯ รู้สึกว่า ‘อย่างนี้ก็มีด้วย’ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเหตุการณ์เรื่องราวของสามีที่วาดคิ้วให้ภรรยาที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จริง

    เป็นเรื่องราวของจางฉ่าง ผู้ว่าราชการเมืองฉางอันผู้มีผลงานมากมายในยุคสมัยของจักรพรรดิเซวียนแห่งราชวงศ์ฮั่น (ปี 91-48 ก่อนคริสตกาล) เขาไม่ค่อยวางตนอยู่ในกรอบเหมือนขุนนางอื่น หนึ่งในตัวอย่างก็คือเขาวาดคิ้วให้ภรรยาทุกวัน จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วเมืองว่าภรรยาของเขาคิ้วงามสะดุดตาสะดุดใจ อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่ถึงกับมีขุนนางเข้าชื่อกันเอาเรื่องนี้กราบบังคมทูลร้องเรียนฮ่องเต้! ประมาณว่าเป็นข้าราชการที่วางตนไม่เหมาะสม (Storyฯ แอบคิดว่าพวกขุนนางเหล่านี้คงว่างมากเกินไป)

    เมื่อโดนฮ่องเต้ทรงซักถาม เขาก็ทูลตอบว่า “พฤติกรรมอันแนบชิดระหว่างสามีภรรยาในห้องหอ เกรงว่ามีมากกว่าการวาดคิ้วเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ” เป็นคำตอบที่ฟังดูช่างมันฉันไม่แคร์ ว่ากันว่าองค์ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสามารถของจางฉ่างจึงมิได้ทำโทษวาจาสามหาวนั้น

    จึงเป็นที่เล่าขานกันต่อมาว่าการวาดคิ้วให้สตรีนั้นเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรักความใกล้ชิดอย่างลึกซึ้งของบุรุษต่อสตรี

    สัปดาห์นี้พอหอมปากหอมคอ สัปดาห์หน้าเรามาคุยเรื่องวัฒนธรรมการวาดคิ้วกันต่อ อย่าลืมติดตามนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://daydaynews.cc/zh-hans/entertainment/805334.html
    https://xw.qq.com/cmsid/20200806A07DNK00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhidao.baidu.com

    #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #จางฉ่าง #StoryfromStory
    เพื่อนเพจเคยสงสัยหรือไม่ ทำไมในนิยาย/หนังจีนโบราณหลายเรื่องยกให้ฉากพระเอกวาดคิ้วให้นางเอกเป็นหนึ่งในฉากโรแมนติกสุดซึ้ง? ความมีอยู่ว่า ... “ชู่ว์.. ใกล้เสร็จแล้ว อย่าขยับ” เขามองเทียบซ้ายขวาอยู่พักใหญ่ วาดเติมอีกหลายครา เสวียนจีเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าไปหาท่านพ่อท่านแม่แต่เช้า เห็นท่านพ่อกำลังวาดคิ้วให้ท่านแม่อยู่! แต่พ่อไม่ช่ำชองเท่าท่าน” การวาดคิ้วแต่ไหนแต่ไรเป็นเรื่องในห้องหอของสามีภรรยา มิพึงเล่าให้ใครฟัง แต่เสวียนจีไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงเล่าอย่างไร้เดียงสา... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ในสมัยโบราณเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องปรนนิบัติสามี การที่สามี ‘ปรนนิบัติ’ ภรรยาด้วยการวาดคิ้วจึงเป็นการทำด้วยใจรักและไม่ใช่หน้าที่ ก็พอจะนึกออกว่ามันเป็นเรื่องน่าประทับใจ แต่ก่อนจะไปคุยกันลงลึกเรื่องวัฒนธรรมการเขียนคิ้ว มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ Storyฯ รู้สึกว่า ‘อย่างนี้ก็มีด้วย’ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเหตุการณ์เรื่องราวของสามีที่วาดคิ้วให้ภรรยาที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จริง เป็นเรื่องราวของจางฉ่าง ผู้ว่าราชการเมืองฉางอันผู้มีผลงานมากมายในยุคสมัยของจักรพรรดิเซวียนแห่งราชวงศ์ฮั่น (ปี 91-48 ก่อนคริสตกาล) เขาไม่ค่อยวางตนอยู่ในกรอบเหมือนขุนนางอื่น หนึ่งในตัวอย่างก็คือเขาวาดคิ้วให้ภรรยาทุกวัน จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วเมืองว่าภรรยาของเขาคิ้วงามสะดุดตาสะดุดใจ อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่ถึงกับมีขุนนางเข้าชื่อกันเอาเรื่องนี้กราบบังคมทูลร้องเรียนฮ่องเต้! ประมาณว่าเป็นข้าราชการที่วางตนไม่เหมาะสม (Storyฯ แอบคิดว่าพวกขุนนางเหล่านี้คงว่างมากเกินไป) เมื่อโดนฮ่องเต้ทรงซักถาม เขาก็ทูลตอบว่า “พฤติกรรมอันแนบชิดระหว่างสามีภรรยาในห้องหอ เกรงว่ามีมากกว่าการวาดคิ้วเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ” เป็นคำตอบที่ฟังดูช่างมันฉันไม่แคร์ ว่ากันว่าองค์ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสามารถของจางฉ่างจึงมิได้ทำโทษวาจาสามหาวนั้น จึงเป็นที่เล่าขานกันต่อมาว่าการวาดคิ้วให้สตรีนั้นเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรักความใกล้ชิดอย่างลึกซึ้งของบุรุษต่อสตรี สัปดาห์นี้พอหอมปากหอมคอ สัปดาห์หน้าเรามาคุยเรื่องวัฒนธรรมการวาดคิ้วกันต่อ อย่าลืมติดตามนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://daydaynews.cc/zh-hans/entertainment/805334.html https://xw.qq.com/cmsid/20200806A07DNK00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhidao.baidu.com #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #จางฉ่าง #StoryfromStory
    DAYDAYNEWS.CC
    琉璃:司凤给璇玑画眉只画左边,不是编剧要求,而是暗示了他们的结局 - 天天要闻
    相信大多数小伙伴们最喜欢的就是司凤与璇玑之间的爱情了,不知道大家有没有发现司凤每次给璇玑画眉都是只画左边
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว

  • คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร>

    ความมีอยู่ว่า
    ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”...
    (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว)

    เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค

    แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน

    แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555)

    ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650
    https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html
    https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html

    #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร> ความมีอยู่ว่า ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”... (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว) เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555) ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097 Credit ข้อมูลจาก: https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650 https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    WWW.SOHU.COM
    《仙剑奇侠传》将被翻拍,网友:谁能超越刘亦菲版啊!_年胡歌
    随着新消息的公开,该剧与2005年胡歌、刘亦菲主演的《仙剑奇侠传》角色所吻合,确认为第一部的翻拍。另外那时候电视剧也没后来出的那么频繁,玄幻剧占比也不多,《仙剑奇侠传》则凭借着强悍的演员阵容征服了大家的心。 …
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าจะพูดเรื่องประเพณีแต่งงานจีนโบราณ แน่นอนมีหลายเรื่องให้คุยกันได้ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ ที่แฟนละคร <ตำนานหยุนซี> อาจเคยผ่านหูผ่านตา ลองมาดูกันจากบทสนทนาที่ถอดคำพูดมาจากละครเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ฉินอ๋องเล่า? ฉินอ๋องอยู่ที่ใด? ธรรมเนียมแต่โบราณมา ไม่มีสะใภ้ใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับมาเพียงลำพัง หากมิใช่โดนปลดจากตำแหน่งชายาอ๋องแล้ว ยังมีเหตุผลใด? โอ้ว... ข้ากล่าวผิดไป มีแต่งจึงมีปลด ท่านฉินอ๋องมิเคยแม้แต่จะเตะเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า คงมิอาจนับได้ว่าแต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องไปแล้วกระมัง?” หานรั่วเสวี่ยกล่าว

    บทสนทนาจากในละครข้างต้น เห็นได้ว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในประเพณีแต่งงานคือการ ‘เตะเกี้ยวเจ้าสาว’ ทำไมจึงมีธรรมเนียมนี้และมันมีความหมายอย่างใด?

    จริงแล้วการเตะคานเกี้ยวเจ้าสาวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวใน ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) ซึ่งเป็นพิธีการว่าด้วยงานแต่งงานที่สืบทอดมาจากยุคสมัยราชวงศ์โจว (1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แต่ในบทความภาษาไทยเกี่ยวกับพิธีการนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงการเตะคานเกี้ยว
    แต่พิธีการรับเจ้าสาวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามธรรมเนียมท้องถิ่น ในเรื่องการเตะคานเกี้ยวนี้ บางที่เตะคานเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่เตะสามครั้ง

    พิธีการเต็มๆ เท่าที่ Storyฯ เรียบเรียงข้อมูลมาได้ก็คือ... เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะเตะคานประตูเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวก็จะเตะคานประตูตอบจากภายในหนึ่งครั้ง มีความหมายว่าชายมิกลัวภรรยาและสตรีมิอ่อนแอ (男不惧内,女不示弱) จากนั้นเจ้าสาวก็จะโยนกุญแจหีบสมบัติ (สินสมรสที่ฝ่ายเจ้าสาวนำติดตัวมาด้วย) ออกมา เจ้าบ่าวรับมาแล้วก็ต้องชูกุญแจขึ้น นัยว่าให้ฟ้าเป็นสักขีพยาน เป็นเคล็ดขอให้ได้ลูกชายหลายๆ คน

    พอได้ฤกษ์ก็จะมีการหามเกี้ยวเข้าไปที่หน้าโถงพิธีการ จากนั้นเจ้าบ่าวใช้พัดเคาะหลังคาเกี้ยวสามครั้งและเตะคานเกี้ยวสามครั้ง เป็นการแสดงอำนาจ เพื่อว่าต่อไปภรรยาจะได้เชื่อฟังผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดิน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก: https://www.jintjint.com/series/legend-of-yun-xi-%E8%8A%B8%E6%B1%90%E4%BC%A0-ep-1-48-end-eng-sub/
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://www.xiaozhishi.net/zhishi/1042699.html
    https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%BF%87%E9%97%A8_(%E4%B8%AD%E5%BC%8F%E5%A9%9A%E7%A4%BC)

    (หมายเหตุ บทความภาษาไทยเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ อ่านได้ที่ http://www.ue-wedding.com/culture/)

    #ตำนานหยุนซี #ประเพณีแต่งงานจีน #ประเพณีจีน #เกี้ยวเจ้าสาว
    ถ้าจะพูดเรื่องประเพณีแต่งงานจีนโบราณ แน่นอนมีหลายเรื่องให้คุยกันได้ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ ที่แฟนละคร <ตำนานหยุนซี> อาจเคยผ่านหูผ่านตา ลองมาดูกันจากบทสนทนาที่ถอดคำพูดมาจากละครเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ... “ฉินอ๋องเล่า? ฉินอ๋องอยู่ที่ใด? ธรรมเนียมแต่โบราณมา ไม่มีสะใภ้ใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับมาเพียงลำพัง หากมิใช่โดนปลดจากตำแหน่งชายาอ๋องแล้ว ยังมีเหตุผลใด? โอ้ว... ข้ากล่าวผิดไป มีแต่งจึงมีปลด ท่านฉินอ๋องมิเคยแม้แต่จะเตะเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า คงมิอาจนับได้ว่าแต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องไปแล้วกระมัง?” หานรั่วเสวี่ยกล่าว บทสนทนาจากในละครข้างต้น เห็นได้ว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในประเพณีแต่งงานคือการ ‘เตะเกี้ยวเจ้าสาว’ ทำไมจึงมีธรรมเนียมนี้และมันมีความหมายอย่างใด? จริงแล้วการเตะคานเกี้ยวเจ้าสาวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวใน ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) ซึ่งเป็นพิธีการว่าด้วยงานแต่งงานที่สืบทอดมาจากยุคสมัยราชวงศ์โจว (1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แต่ในบทความภาษาไทยเกี่ยวกับพิธีการนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงการเตะคานเกี้ยว แต่พิธีการรับเจ้าสาวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามธรรมเนียมท้องถิ่น ในเรื่องการเตะคานเกี้ยวนี้ บางที่เตะคานเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่เตะสามครั้ง พิธีการเต็มๆ เท่าที่ Storyฯ เรียบเรียงข้อมูลมาได้ก็คือ... เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะเตะคานประตูเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวก็จะเตะคานประตูตอบจากภายในหนึ่งครั้ง มีความหมายว่าชายมิกลัวภรรยาและสตรีมิอ่อนแอ (男不惧内,女不示弱) จากนั้นเจ้าสาวก็จะโยนกุญแจหีบสมบัติ (สินสมรสที่ฝ่ายเจ้าสาวนำติดตัวมาด้วย) ออกมา เจ้าบ่าวรับมาแล้วก็ต้องชูกุญแจขึ้น นัยว่าให้ฟ้าเป็นสักขีพยาน เป็นเคล็ดขอให้ได้ลูกชายหลายๆ คน พอได้ฤกษ์ก็จะมีการหามเกี้ยวเข้าไปที่หน้าโถงพิธีการ จากนั้นเจ้าบ่าวใช้พัดเคาะหลังคาเกี้ยวสามครั้งและเตะคานเกี้ยวสามครั้ง เป็นการแสดงอำนาจ เพื่อว่าต่อไปภรรยาจะได้เชื่อฟังผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดิน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.jintjint.com/series/legend-of-yun-xi-%E8%8A%B8%E6%B1%90%E4%BC%A0-ep-1-48-end-eng-sub/ Credit ข้อมูลจาก: https://www.xiaozhishi.net/zhishi/1042699.html https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%BF%87%E9%97%A8_(%E4%B8%AD%E5%BC%8F%E5%A9%9A%E7%A4%BC) (หมายเหตุ บทความภาษาไทยเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ อ่านได้ที่ http://www.ue-wedding.com/culture/) #ตำนานหยุนซี #ประเพณีแต่งงานจีน #ประเพณีจีน #เกี้ยวเจ้าสาว
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮุนเซนช่วยไล่ แฉภาพนังทรยศ พร้อมสามี ไปเยี่ยมถึงบ้าน ทานอาหารพร้อมชมห้องนอนที่ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ เคยใช้
    ช่วงหลบหนี แต่นังทรยศคงไม่มีโอกาสได้ใช้เหมือนพ่อกับอาแล้ว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #นายกไทยใจเขมร
    ฮุนเซนช่วยไล่ แฉภาพนังทรยศ พร้อมสามี ไปเยี่ยมถึงบ้าน ทานอาหารพร้อมชมห้องนอนที่ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ เคยใช้ ช่วงหลบหนี แต่นังทรยศคงไม่มีโอกาสได้ใช้เหมือนพ่อกับอาแล้ว #คิงส์โพธิ์แดง #นายกไทยใจเขมร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อิ๊งค์' ควง 'สามี-บุตรชาย' ไหว้ศาลหลักเมือง ทำบุญวันคล้ายวันเกิด 'ปอ ปิฎก' ก่อนเข้าทำเนียบฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/19585/
    'อิ๊งค์' ควง 'สามี-บุตรชาย' ไหว้ศาลหลักเมือง ทำบุญวันคล้ายวันเกิด 'ปอ ปิฎก' ก่อนเข้าทำเนียบฯ https://www.thai-tai.tv/news/19585/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม

    เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้
    ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”...

    เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ?

    ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน

    ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต

    การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง)

    Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748
    http://www.naradafoundation.org/content/6526
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้ ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”... เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ? ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง) Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748 http://www.naradafoundation.org/content/6526 https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts