• ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง

    เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้

    ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้

    เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร

    มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

    ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง

    ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้

    หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl)

    หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง

    พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา

    แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า

    ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง

    เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา

    เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jitapuji.com/5258.html
    https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》
    https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/news/8yly6nl.html
    https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette
    https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394
    https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499
    https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx

    #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้ ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้ เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้ หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl) หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.jitapuji.com/5258.html https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》 https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/news/8yly6nl.html https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394 https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499 https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7 https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨พระผงน้ำมันหลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอัมรินทราราม พิมพ์สี่เหลี่ยมปางสมาธิ จัดสร้างในปีพ.ศ.2481โดยพระครูคำ พุทธคุณเด่นในด้านแคล้วคลาด คุ้มครองภัย คนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีต่างทราบกันดีโดยบอกเล่าสืบต่อกันมาถึงกิตติคุณ บารมี ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อท่านในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่แสดงความมหัศจรรย์ปาฏิหารย์หลายครั้งนั่นเอง
    ✨พระผงน้ำมันหลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอัมรินทราราม พิมพ์สี่เหลี่ยมปางสมาธิ จัดสร้างในปีพ.ศ.2481โดยพระครูคำ พุทธคุณเด่นในด้านแคล้วคลาด คุ้มครองภัย คนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีต่างทราบกันดีโดยบอกเล่าสืบต่อกันมาถึงกิตติคุณ บารมี ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อท่านในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่แสดงความมหัศจรรย์ปาฏิหารย์หลายครั้งนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Elon Musk อัด Volodymyr Zelenskyy ผู้นำยูเครนแบบจุกๆ สามดอกเน้นๆ
    .
    ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X เขียนว่า "Zelenskyy ไม่ต้องการสันติภาพ เขาต้องการเงินและอำนาจ"
    ซึ่ง Musk ตอบกลับด้วยอีโมจิ "100" เพื่อแสดงถึงความเห็นด้วย
    .
    ต่อมาเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแถลงการณ์ของประธานาธิบดี Zelenskyy ยูเครนว่าคะแนนความนิยมของเขาอยู่ที่ 57%
    Musk โพสต์ข้อความตอบกลับว่า "ถ้าอย่างนั้น เขาคงดีใจกับความคิดที่จะมีการเลือกตั้ง ถ้าเขาเป็นที่นิยมขนาดนั้น!"
    .
    ปิดท้ายด้วยการตอบกลับข้อความความของ Rapid Response 47 ที่ว่า
    "ในอเมริกา เราจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก 4 ปี แม้แต่ในยามสงคราม
    เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามกลางเมือง
    เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
    ก่อนที่ประธานาธิบดี Zelenskyy จะมาสั่งสอนประธานาธิบดีอเมริกันอีก เขาควรจัดการเลือกตั้งด้วย"
    Musk สนับสนุนว่า "Zelenskyy ไม่สามารถอ้างว่าเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของประชาชนยูเครนได้ ถ้าไม่ฟื้นฟูเสรีภาพสื่อและยังคงยกเลิกการเลือกตั้ง!"
    พรุ่งนี้ถ้า Elon Musk จะเดินไปปิด Starlink ของยูเครนก็คงไม่แปลกใจแล้วล่ะ
    Elon Musk อัด Volodymyr Zelenskyy ผู้นำยูเครนแบบจุกๆ สามดอกเน้นๆ . ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X เขียนว่า "Zelenskyy ไม่ต้องการสันติภาพ เขาต้องการเงินและอำนาจ" ซึ่ง Musk ตอบกลับด้วยอีโมจิ "100" เพื่อแสดงถึงความเห็นด้วย . ต่อมาเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแถลงการณ์ของประธานาธิบดี Zelenskyy ยูเครนว่าคะแนนความนิยมของเขาอยู่ที่ 57% Musk โพสต์ข้อความตอบกลับว่า "ถ้าอย่างนั้น เขาคงดีใจกับความคิดที่จะมีการเลือกตั้ง ถ้าเขาเป็นที่นิยมขนาดนั้น!" . ปิดท้ายด้วยการตอบกลับข้อความความของ Rapid Response 47 ที่ว่า "ในอเมริกา เราจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก 4 ปี แม้แต่ในยามสงคราม เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามกลางเมือง เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนที่ประธานาธิบดี Zelenskyy จะมาสั่งสอนประธานาธิบดีอเมริกันอีก เขาควรจัดการเลือกตั้งด้วย" Musk สนับสนุนว่า "Zelenskyy ไม่สามารถอ้างว่าเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของประชาชนยูเครนได้ ถ้าไม่ฟื้นฟูเสรีภาพสื่อและยังคงยกเลิกการเลือกตั้ง!" พรุ่งนี้ถ้า Elon Musk จะเดินไปปิด Starlink ของยูเครนก็คงไม่แปลกใจแล้วล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨พระหลวงพ่อเข่ง กรุวัดพระพิเรน ประวัติไม่ทราบแน่ชัดว่าจัดสร้างเมื่อใดโดยเชื่อว่าถูกนำมาไว้ที่วัดก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง จากนั้นทางวัดได้นำพระใส่เข่งจึงมีชื่อเรียกขานกันว่าหลวงพ่อเข่งมาตั้งไว้ที่ศาลาวัดแจกญาติโยมหรือใครผ่านไปผ่านมาสามารถหยิบไปได้เพื่อเอาไว้คุ้มภัยในยามสงคราม ผู้ที่ได้พระไปนั้นต่างได้พบประสบการณ์แคล้วคลาด ปลอดภัยจนเป็นที่โจษขานไปทั่ว
    ✨พระหลวงพ่อเข่ง กรุวัดพระพิเรน ประวัติไม่ทราบแน่ชัดว่าจัดสร้างเมื่อใดโดยเชื่อว่าถูกนำมาไว้ที่วัดก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง จากนั้นทางวัดได้นำพระใส่เข่งจึงมีชื่อเรียกขานกันว่าหลวงพ่อเข่งมาตั้งไว้ที่ศาลาวัดแจกญาติโยมหรือใครผ่านไปผ่านมาสามารถหยิบไปได้เพื่อเอาไว้คุ้มภัยในยามสงคราม ผู้ที่ได้พระไปนั้นต่างได้พบประสบการณ์แคล้วคลาด ปลอดภัยจนเป็นที่โจษขานไปทั่ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox
    18-2-2025
    วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
    บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่
    มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ
    ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น
    มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน
    "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974"
    มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?"
    แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox
    ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง
    ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้
    ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม
    ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย
    หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง
    มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948
    การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
    การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า
    สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น
    อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ
    ที่มา
    https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox 18-2-2025 วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่ มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974" มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?" แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้ ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948 การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ ที่มา https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 503 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว

    🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ

    เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว

    แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น

    รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก

    โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด

    🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย

    ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT

    เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง

    ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ

    และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า

    🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้

    กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่

    กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่

    ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ

    👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์

    แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์

    รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย.

    ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง

    น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23

    👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง

    ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20%

    ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ

    รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้

    จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ

    ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา

    ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด

    🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์

    แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย

    รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend

    เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง

    🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน

    คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ

    ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง

    รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน

    ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี

    🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที

    ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้

    ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่

    วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
    ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว 🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด 🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า 🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้ กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่ กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่ ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ 👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์ รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย. ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23 👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20% ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย 👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด 🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง 🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี 🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้ ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • 35 ปี สัญญาณเริ่มล่มสลาย “สหภาพโซเวียต” เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จุดสิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์

    📅 ย้อนไปเมื่อ 35 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) เป็นวันที่เปรียบเสมือน “ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของสหภาพโซเวียต (USSR) เมื่อคณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การล่มสลาย ของมหาอำนาจยุคสงครามเย็น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

    จากการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เพียงพรรคเดียว มายาวนานกว่า 70 ปี สหภาพโซเวียต ต้องเผชิญกับปัญหาภายใน อย่างหนักหน่วง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่เริ่มไร้เสถียรภาพ และขบวนการชาตินิยม ในสาธารณรัฐต่างๆ ที่ต้องการแยกตัวออก ในที่สุด ระบบที่เคยแข็งแกร่ง ก็ต้องถึงกาลอวสาน

    🔴 จากการปฏิวัติ สู่มหาอำนาจโลก ต้นกำเนิดของ USSR 📌
    สหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม 2465 หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม (1917) ที่พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของ วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และรัฐบาลเฉพาะกาลของรัสเซีย

    USSR ประกอบด้วย 15 สาธารณรัฐย่อย ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน เบลารุส เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย มอลโดวา จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน

    👉 เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตคือ มอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

    📌 สมัยแห่งอำนาจของสหภาพโซเวียต
    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตกลายเป็น หนึ่งในสองมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกา นำไปสู่สงครามเย็น (Cold War) ที่กินเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ

    พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ควบคุมทุกด้านของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญ ในวงการอวกาศ เช่น ส่ง ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) เป็นมนุษย์คนแรก ที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 2504

    🔥 สัญญาณแห่งการล่มสลาย ปัจจัยที่ทำให้ USSR พังทลาย
    แม้ว่าสหภาพโซเวียต จะดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ที่ค่อยๆ ก่อตัวจนถึงจุดแตกหัก

    📉 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ล้มเหลว
    เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต เป็นระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Centralized Economy) ซึ่งรัฐบาลควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่ระบบนี้ เริ่มประสบปัญหาหนักในช่วงปี 2523

    - ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ประชาชนต้องต่อแถวซื้อขนมปัง เป็นชั่วโมง
    - ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้แรงงานทำงานหนัก
    - ค่าใช้จ่ายทางทหารสูงลิ่ว ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการแข่งขันอาวุธกับสหรัฐฯ

    ⚔️ 2. สงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) บาดแผลที่ยากจะสมาน
    การส่งทหาร เข้าไปช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในอัฟกานิสถาน กลายเป็นสงครามเวียดนาม ของโซเวียต เนื่องจากถูกกองกำลังมูจาฮิดีน ต่อต้านอย่างหนัก สงครามนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โซเวียต สูญเสียทหารจำนวนมาก แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจ ของประชาชนอีกด้วย

    🌍 3. ขบวนการแยกตัว ของสาธารณรัฐต่างๆ
    หลายสาธารณรัฐภายใน USSR เริ่มมีความต้องการเป็นอิสระ เช่น
    - กลุ่มบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) ประกาศเอกราชในปี 2533
    - ยูเครนและจอร์เจีย มีการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัว

    เมื่อรัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดการล่มสลายในที่สุด

    🛑 4. การปฏิรูปของกอร์บาชอฟ กลัสนอสต์ & เปเรสตรอยคา
    เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 เขาพยายามปฏิรูปประเทศผ่านนโยบายสำคัญ 2 ข้อ

    - กลัสนอสต์ (Glasnost) การเปิดเผยข้อมูล และให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น
    - เปเรสตรอยคา (Perestroika) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แบบตลาดเสรี

    แม้ว่านโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่ดี แต่กลับทำให้ปัญหาภายในปะทุเร็วขึ้น ประชาชนเริ่มเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สูญเสียการควบคุม

    💥 วันที่พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ จุดจบของ USSR
    📆 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) คณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียตประกาศ ยกเลิกการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

    📆 25 ธันวาคม 2534 (1991) กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และ USSR ยุติการดำรงอยู่ โดยรัสเซียกลายเป็นรัฐเอกราช

    👉 บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของรัสเซีย และอดีตสาธารณรัฐต่างๆ ก็แยกตัวเป็นเอกราช

    🎭 บทเรียนจากการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต
    - การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป อาจเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นจุดแข็ง
    - เศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพ นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน
    - การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน

    📢 35 ปี หลังจากวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง USSR สูญเสียอำนาจ โลกยังคงเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ การล่มสลายของโซเวียต ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกประเทศ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ และอำนาจ 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 071329 ก.พ. 2568

    #สหภาพโซเวียต #USSR #โซเวียตล่มสลาย #สงครามเย็น #คอมมิวนิสต์ #Gorbachev #เยลต์ซิน #ColdWar
    35 ปี สัญญาณเริ่มล่มสลาย “สหภาพโซเวียต” เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จุดสิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์ 📅 ย้อนไปเมื่อ 35 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) เป็นวันที่เปรียบเสมือน “ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของสหภาพโซเวียต (USSR) เมื่อคณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การล่มสลาย ของมหาอำนาจยุคสงครามเย็น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เพียงพรรคเดียว มายาวนานกว่า 70 ปี สหภาพโซเวียต ต้องเผชิญกับปัญหาภายใน อย่างหนักหน่วง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่เริ่มไร้เสถียรภาพ และขบวนการชาตินิยม ในสาธารณรัฐต่างๆ ที่ต้องการแยกตัวออก ในที่สุด ระบบที่เคยแข็งแกร่ง ก็ต้องถึงกาลอวสาน 🔴 จากการปฏิวัติ สู่มหาอำนาจโลก ต้นกำเนิดของ USSR 📌 สหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม 2465 หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม (1917) ที่พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของ วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และรัฐบาลเฉพาะกาลของรัสเซีย USSR ประกอบด้วย 15 สาธารณรัฐย่อย ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน เบลารุส เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย มอลโดวา จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน 👉 เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตคือ มอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 📌 สมัยแห่งอำนาจของสหภาพโซเวียต หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตกลายเป็น หนึ่งในสองมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกา นำไปสู่สงครามเย็น (Cold War) ที่กินเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ควบคุมทุกด้านของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญ ในวงการอวกาศ เช่น ส่ง ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) เป็นมนุษย์คนแรก ที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 2504 🔥 สัญญาณแห่งการล่มสลาย ปัจจัยที่ทำให้ USSR พังทลาย แม้ว่าสหภาพโซเวียต จะดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ที่ค่อยๆ ก่อตัวจนถึงจุดแตกหัก 📉 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ล้มเหลว เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต เป็นระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Centralized Economy) ซึ่งรัฐบาลควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่ระบบนี้ เริ่มประสบปัญหาหนักในช่วงปี 2523 - ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ประชาชนต้องต่อแถวซื้อขนมปัง เป็นชั่วโมง - ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้แรงงานทำงานหนัก - ค่าใช้จ่ายทางทหารสูงลิ่ว ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการแข่งขันอาวุธกับสหรัฐฯ ⚔️ 2. สงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) บาดแผลที่ยากจะสมาน การส่งทหาร เข้าไปช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในอัฟกานิสถาน กลายเป็นสงครามเวียดนาม ของโซเวียต เนื่องจากถูกกองกำลังมูจาฮิดีน ต่อต้านอย่างหนัก สงครามนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โซเวียต สูญเสียทหารจำนวนมาก แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจ ของประชาชนอีกด้วย 🌍 3. ขบวนการแยกตัว ของสาธารณรัฐต่างๆ หลายสาธารณรัฐภายใน USSR เริ่มมีความต้องการเป็นอิสระ เช่น - กลุ่มบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) ประกาศเอกราชในปี 2533 - ยูเครนและจอร์เจีย มีการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัว เมื่อรัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดการล่มสลายในที่สุด 🛑 4. การปฏิรูปของกอร์บาชอฟ กลัสนอสต์ & เปเรสตรอยคา เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 เขาพยายามปฏิรูปประเทศผ่านนโยบายสำคัญ 2 ข้อ - กลัสนอสต์ (Glasnost) การเปิดเผยข้อมูล และให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น - เปเรสตรอยคา (Perestroika) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แบบตลาดเสรี แม้ว่านโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่ดี แต่กลับทำให้ปัญหาภายในปะทุเร็วขึ้น ประชาชนเริ่มเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สูญเสียการควบคุม 💥 วันที่พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ จุดจบของ USSR 📆 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) คณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียตประกาศ ยกเลิกการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ 📆 25 ธันวาคม 2534 (1991) กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และ USSR ยุติการดำรงอยู่ โดยรัสเซียกลายเป็นรัฐเอกราช 👉 บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของรัสเซีย และอดีตสาธารณรัฐต่างๆ ก็แยกตัวเป็นเอกราช 🎭 บทเรียนจากการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต - การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป อาจเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นจุดแข็ง - เศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพ นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน - การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน 📢 35 ปี หลังจากวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง USSR สูญเสียอำนาจ โลกยังคงเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ การล่มสลายของโซเวียต ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกประเทศ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ และอำนาจ 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 071329 ก.พ. 2568 #สหภาพโซเวียต #USSR #โซเวียตล่มสลาย #สงครามเย็น #คอมมิวนิสต์ #Gorbachev #เยลต์ซิน #ColdWar
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨พระปิดตามหาอุดตะกั่วอวนรุ่นแรกจ้าวสมุทรของหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์ ท่านเป็นศิษย์เอกสายตรงของหลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก หนึ่งในพระเกจิชื่อดังสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่สอง จัดสร้างในปีพ.ศ.2527 ถือเป็นพระปิดตาที่มีศิลปะเชิงช่างแปลกตา มีมิติในทุกมุมมอง ขณะเดียวกันก็มีความเข้มขลังทรงพลังไปในตัว
    ✨พระปิดตามหาอุดตะกั่วอวนรุ่นแรกจ้าวสมุทรของหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์ ท่านเป็นศิษย์เอกสายตรงของหลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก หนึ่งในพระเกจิชื่อดังสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่สอง จัดสร้างในปีพ.ศ.2527 ถือเป็นพระปิดตาที่มีศิลปะเชิงช่างแปลกตา มีมิติในทุกมุมมอง ขณะเดียวกันก็มีความเข้มขลังทรงพลังไปในตัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • รัสเซียเปิดตัวสื่อการสอนเล่มใหม่ด้านประวัติศาสตร์การทหาร ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนด้วย

    สื่อการสอนชุดใหม่นี้ จะช่วยให้เด็กนักเรียนเข้าใจอดีตได้ดีขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหารของรัสเซีย ซึ่งประกอบไปด้วยหนังสือ 3 เล่ม เริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 6 จนถึงเกรด 11

    หนังสือ "ประวัติศาสตร์ด้านการทหารของรัสเซีย" ทั้ง 3 เล่มได้รับการแก้ไขโดยวลาดิเมียร์ เมดินสกี (Vladimir Medinsky) ผู้ช่วยของปูติน และยังเป็นผู้ร่วมเขียนตำราประวัติศาสตร์หลักของรัสเซียอีกด้วย

    บางส่วนของหนังสือเรียนทั้งสามเล่มนี้ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนด้วย ซึ่งรัสเซียถูกกดดันให้เข้าสู่ปฏิบัติการครั้งนี้ โดยกล่าวถึงสาเหตุของการต่อสู้ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ความกล้าหาญในสนามรบของทหารรัสเซีย และกลยุทธของกองทัพรัสเซียสมัยใหม่ที่บางครั้งนำวิธีการในยุคกองทัพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาประยุกต์ใช้

    ในหนังสือยังได้อ้างถึงประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย โดยกล่าวว่า สงครามครั้งนี้ซึ่งรัสเซียเรียกอย่างเป็นทางการว่าเป็น "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแต่มีความจำเป็นต้องเปิดศึกกับยูเครน ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต สงครามครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อขยายอิทธิพลของชาติตะวันตกที่กำลังเสื่อมโทรม ซึ่งพยายามทำลายและแบ่งแยกรัสเซียออกเป็นชิ้น

    นอกจากนี้ ในหนังสือยังบรรยายถึงวิธีการโค่นล้มประธานาธิบดีของยูเครนที่เป็นมิตรกับรัสเซียโดยได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกในปี 2557 ซึ่งส่งผลให้ยูเครนกลายเป็นที่มั่นของยุโรปเพื่อต่อต้านรัสเซียอย่างรุนแรง
    รัสเซียเปิดตัวสื่อการสอนเล่มใหม่ด้านประวัติศาสตร์การทหาร ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนด้วย สื่อการสอนชุดใหม่นี้ จะช่วยให้เด็กนักเรียนเข้าใจอดีตได้ดีขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหารของรัสเซีย ซึ่งประกอบไปด้วยหนังสือ 3 เล่ม เริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 6 จนถึงเกรด 11 หนังสือ "ประวัติศาสตร์ด้านการทหารของรัสเซีย" ทั้ง 3 เล่มได้รับการแก้ไขโดยวลาดิเมียร์ เมดินสกี (Vladimir Medinsky) ผู้ช่วยของปูติน และยังเป็นผู้ร่วมเขียนตำราประวัติศาสตร์หลักของรัสเซียอีกด้วย บางส่วนของหนังสือเรียนทั้งสามเล่มนี้ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนด้วย ซึ่งรัสเซียถูกกดดันให้เข้าสู่ปฏิบัติการครั้งนี้ โดยกล่าวถึงสาเหตุของการต่อสู้ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ความกล้าหาญในสนามรบของทหารรัสเซีย และกลยุทธของกองทัพรัสเซียสมัยใหม่ที่บางครั้งนำวิธีการในยุคกองทัพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาประยุกต์ใช้ ในหนังสือยังได้อ้างถึงประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย โดยกล่าวว่า สงครามครั้งนี้ซึ่งรัสเซียเรียกอย่างเป็นทางการว่าเป็น "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแต่มีความจำเป็นต้องเปิดศึกกับยูเครน ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต สงครามครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อขยายอิทธิพลของชาติตะวันตกที่กำลังเสื่อมโทรม ซึ่งพยายามทำลายและแบ่งแยกรัสเซียออกเป็นชิ้น นอกจากนี้ ในหนังสือยังบรรยายถึงวิธีการโค่นล้มประธานาธิบดีของยูเครนที่เป็นมิตรกับรัสเซียโดยได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกในปี 2557 ซึ่งส่งผลให้ยูเครนกลายเป็นที่มั่นของยุโรปเพื่อต่อต้านรัสเซียอย่างรุนแรง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สงครามในใจ”

    แปดธันวา สองสี่แปดสี่ วันที่ลมเปลี่ยนทิศ เมื่อเรือญี่ปุ่นขึ้นฝั่ง ชีวิตต้องไหว ไทยยอมจำนน ปืนใหญ่ก็ไร้แรงใจ เพียงไม่กี่ชั่วโมงต้านไว้ สุดท้ายก็แพ้

    ยี่สิบห้า มกรา สองสี่แปดห้า อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อสงครามเริ่มประกาศ บนแผ่นดินเรา จอมพล ป. ผู้นำแห่งศักดิ์ศรี ประกาศสงครามทั้งที่ ใจคนยังหวั่น

    * โอ้ สงครามนั้นไม่ได้อยู่แค่ในสนามรบ แต่ยังฝังลงลึกในใจผู้คน เลือดไทยหลั่งลงท่ามกลางคำสั่งอันมืดมน ผู้กุมชะตากลับทำเราอ่อนแรง

    เสรีไทย ขบวนการใต้แสงจันทร์ ลุกขึ้นต่อต้านเพื่อฝันของเรา อเมริกาไม่ถือไทยเป็นศัตรู เพราะบางคนพกใบประกาศไว้ในกระเป๋า

    สงครามจบ ความจริงยังคงอยู่ รอยแผลลึกไม่อาจลบล้างหาย อำนาจปกครองไม่อาจกักวิญญาณเสรีไทย เพราะเสรีในใจไทย ไม่มีวันตาย
    ซ้ำ *

    เมื่ออดีตบอกเล่าผ่านบทเพลง เรายังต้องเร่งก้าวผ่านวันพรุ่งนี้ เรียนรู้จากความเจ็บช้ำที่เคยมี เพื่อไม่ให้แผ่นดินนี้ ต้องระทมตรมใจ ในอีกครา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 250808 ม.ค. 2568

    #เพื่อชีวิต #สงครามโลกครั้งที่สอง #ประวัติศาสตร์ไทย #เสรีไทย
    "สงครามในใจ” แปดธันวา สองสี่แปดสี่ วันที่ลมเปลี่ยนทิศ เมื่อเรือญี่ปุ่นขึ้นฝั่ง ชีวิตต้องไหว ไทยยอมจำนน ปืนใหญ่ก็ไร้แรงใจ เพียงไม่กี่ชั่วโมงต้านไว้ สุดท้ายก็แพ้ ยี่สิบห้า มกรา สองสี่แปดห้า อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อสงครามเริ่มประกาศ บนแผ่นดินเรา จอมพล ป. ผู้นำแห่งศักดิ์ศรี ประกาศสงครามทั้งที่ ใจคนยังหวั่น * โอ้ สงครามนั้นไม่ได้อยู่แค่ในสนามรบ แต่ยังฝังลงลึกในใจผู้คน เลือดไทยหลั่งลงท่ามกลางคำสั่งอันมืดมน ผู้กุมชะตากลับทำเราอ่อนแรง เสรีไทย ขบวนการใต้แสงจันทร์ ลุกขึ้นต่อต้านเพื่อฝันของเรา อเมริกาไม่ถือไทยเป็นศัตรู เพราะบางคนพกใบประกาศไว้ในกระเป๋า สงครามจบ ความจริงยังคงอยู่ รอยแผลลึกไม่อาจลบล้างหาย อำนาจปกครองไม่อาจกักวิญญาณเสรีไทย เพราะเสรีในใจไทย ไม่มีวันตาย ซ้ำ * เมื่ออดีตบอกเล่าผ่านบทเพลง เรายังต้องเร่งก้าวผ่านวันพรุ่งนี้ เรียนรู้จากความเจ็บช้ำที่เคยมี เพื่อไม่ให้แผ่นดินนี้ ต้องระทมตรมใจ ในอีกครา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 250808 ม.ค. 2568 #เพื่อชีวิต #สงครามโลกครั้งที่สอง #ประวัติศาสตร์ไทย #เสรีไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • 83 ปี ไทยเข้าร่วมสงครามโลก ครั้งที่สอง ประกาศรบ "อังกฤษ-อเมริกา"

    เมื่อย้อนเวลากลับไป 83 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อรัฐบาลไทยในขณะนั้น นำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศสงครามกับ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ในบริบทของสงครามโลก ครั้งที่สอง เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบ ในช่วงเวลานั้น แต่ยังมีผลต่ออนาคตทางการเมือง และการทูตของประเทศไทย อย่างมหาศาล

    การรุกรานของญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง
    วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นได้เริ่มบุกประเทศไทย โดยยกพลขึ้นบก ในหลายพื้นที่ริมฝั่งอ่าวไทย เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสงขลา การรุกรานครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการรบในแปซิฟิก ของญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายโจมตีพม่า (ขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ) ผ่านเส้นทางประเทศไทย

    รัฐบาลไทยในขณะนั้น ซึ่งนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เลือกที่จะยอมให้ญี่ปุ่น ใช้เส้นทางผ่านประเทศไทย หลังจากกองกำลังทหารไทย ต่อต้านได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง การตัดสินใจครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อ หลีกเลี่ยงการสูญเสียครั้งใหญ่ และปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ในสถานการณ์ที่กำลังเสียเปรียบ

    การร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น
    หลังจากยินยอมให้ญี่ปุ่น ใช้ดินแดนเพื่อเคลื่อนทัพ ไทยได้ลงนามใน สัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น โดยหวังที่จะได้รับผลประโยชน์ เช่น การได้คืนพื้นที่บางส่วนของไทย ที่เคยเสียให้กับอังกฤษ ได้แก่ ไทรบุรี ปะลิส ตรังกานู กลันตัน และพื้นที่ในแคว้นไทยใหญ่ เช่น เชียงตุงและเมืองพาน

    อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกับญี่ปุ่น นำไปสู่ความขัดแย้งภายในรัฐบาล เนื่องจากบุคคลสำคัญบางคน เช่น นายปรีดี พนมยงค์ และ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งทำให้เกิด ขบวนการเสรีไทย ในเวลาต่อมา

    25 มกราคม 2485: ประกาศสงคราม
    รัฐบาลของจอมพล ป. ตัดสินใจประกาศสงครามกับ อังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่า ทั้งสองประเทศ ได้ทำการรุกรานไทย เช่น การโจมตีทางอากาศ และการระดมยิงราษฎร

    ในคำประกาศสงคราม ของรัฐบาลไทย มีข้อความอ้างถึง ความเสียหายที่ไทยได้รับ จากการโจมตีทางอากาศของอังกฤษว่า

    “ไทยถูกโจมตีทางอากาศ 30 ครั้ง และโจมตีทางบกถึง 36 ครั้ง ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม ถึง 20 มกราคม”

    แต่ในทางปฏิบัติ สหรัฐอเมริกาไม่ได้ตอบโต้ ด้วยการประกาศสงครามกับไทย แต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถือว่าไทย เป็นดินแดนที่ถูกญี่ปุ่นครอบครอง

    ขบวนการเสรีไทย ความหวังของชาติ
    หลังจากรัฐบาลไทย ประกาศสงคราม มีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล และก่อตั้ง "ขบวนการเสรีไทย" เพื่อร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในการต่อต้านญี่ปุ่น

    ผู้นำสำคัญ ของขบวนการเสรีไทย ในต่างประเทศ ได้แก่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ในเวลานั้น ได้ปฏิเสธที่จะยื่นคำประกาศสงคราม ของรัฐบาลไทยต่อสหรัฐฯ และประกาศตัดขาด จากรัฐบาลกรุงเทพฯ พร้อมร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างเปิดเผย

    ผลกระทบหลังสงคราม
    หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง สิ้นสุดในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ไทยได้รับผลกระทบ น้อยกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากความพยายาม ของขบวนการเสรีไทย ที่ช่วยให้ประเทศไทย สามารถเจรจาต่อรอง สถานะของตนเอง กับฝ่ายสัมพันธมิตร

    - วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 ไทยเจรจาเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษ
    - วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 ไทยเลิกสถานะสงครามกับฝรั่งเศส

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    การเข้าร่วมสงครามโลก ครั้งที่สอง ของไทย สะท้อนถึงความท้าทาย ทางการเมืองระหว่างประเทศ ในยุคที่ประเทศเล็กๆ ต้องรับมือกับอิทธิพล ของชาติมหาอำนาจ ไทยในยุคนั้น ต้องเลือกหนทางที่ดีที่สุดในสถานการณ์ ที่ไม่มีทางเลือกที่ดี อย่างแท้จริง

    คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับเหตุการณ์สงครามโลก ครั้งที่สอง ของไทย
    1. ทำไมไทยถึงยอมให้ญี่ปุ่น ใช้ดินแดนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง?
    ไทยไม่สามารถต่อต้าน กำลังพลของญี่ปุ่นได้ เนื่องจากมีกำลังพลน้อยกว่าอย่างมาก การยอมรับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่น จึงเป็นทางเลือก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรง

    2. ขบวนการเสรีไทย มีบทบาทสำคัญอย่างไร?
    ขบวนการเสรีไทย ช่วยประสานงานกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในการต่อต้านญี่ปุ่น และยังมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยให้ไทย รอดพ้นจากการถูกลงโทษ หลังสงคราม

    3. สหรัฐอเมริกาถือว่าไทยเป็นศัตรู ในสงครามโลก ครั้งที่สองหรือไม่?
    สหรัฐฯ ไม่ได้ประกาศสงครามกับไทย และมองว่าไทย เป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของญี่ปุ่น

    4. การประกาศสงครามของไทย มีผลกระทบอย่างไรบ้าง?
    การประกาศสงคราม ทำให้ไทยถูกโจมตีทางอากาศ จากฝ่ายสัมพันธมิตร และสร้างความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งภายในและต่างประเทศ

    การประกาศสงคราม ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง การดิ้นรนของไทย ในยุคที่มหาอำนาจ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แม้ว่าประเทศไทย จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่การดำเนินงานของขบวนการเสรีไทย และการเจรจาหลังสงคราม ได้ช่วยฟื้นฟูสถานภาพของไทย ในเวทีโลก

    🎖️ “เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยในอนาคต” 🎖️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 250803 ม.ค. 2568

    #สงครามโลกครั้งที่สอง #ไทยในสงครามโลก #เสรีไทย #จอมพลปพิบูลสงคราม #การประกาศสงคราม #ประวัติศาสตร์ไทย #WWII #ThaiHistory #FreeThai #ThailandWWII









    83 ปี ไทยเข้าร่วมสงครามโลก ครั้งที่สอง ประกาศรบ "อังกฤษ-อเมริกา" เมื่อย้อนเวลากลับไป 83 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อรัฐบาลไทยในขณะนั้น นำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศสงครามกับ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ในบริบทของสงครามโลก ครั้งที่สอง เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบ ในช่วงเวลานั้น แต่ยังมีผลต่ออนาคตทางการเมือง และการทูตของประเทศไทย อย่างมหาศาล การรุกรานของญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นได้เริ่มบุกประเทศไทย โดยยกพลขึ้นบก ในหลายพื้นที่ริมฝั่งอ่าวไทย เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสงขลา การรุกรานครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการรบในแปซิฟิก ของญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายโจมตีพม่า (ขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ) ผ่านเส้นทางประเทศไทย รัฐบาลไทยในขณะนั้น ซึ่งนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เลือกที่จะยอมให้ญี่ปุ่น ใช้เส้นทางผ่านประเทศไทย หลังจากกองกำลังทหารไทย ต่อต้านได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง การตัดสินใจครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อ หลีกเลี่ยงการสูญเสียครั้งใหญ่ และปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ในสถานการณ์ที่กำลังเสียเปรียบ การร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น หลังจากยินยอมให้ญี่ปุ่น ใช้ดินแดนเพื่อเคลื่อนทัพ ไทยได้ลงนามใน สัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น โดยหวังที่จะได้รับผลประโยชน์ เช่น การได้คืนพื้นที่บางส่วนของไทย ที่เคยเสียให้กับอังกฤษ ได้แก่ ไทรบุรี ปะลิส ตรังกานู กลันตัน และพื้นที่ในแคว้นไทยใหญ่ เช่น เชียงตุงและเมืองพาน อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกับญี่ปุ่น นำไปสู่ความขัดแย้งภายในรัฐบาล เนื่องจากบุคคลสำคัญบางคน เช่น นายปรีดี พนมยงค์ และ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งทำให้เกิด ขบวนการเสรีไทย ในเวลาต่อมา 25 มกราคม 2485: ประกาศสงคราม รัฐบาลของจอมพล ป. ตัดสินใจประกาศสงครามกับ อังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่า ทั้งสองประเทศ ได้ทำการรุกรานไทย เช่น การโจมตีทางอากาศ และการระดมยิงราษฎร ในคำประกาศสงคราม ของรัฐบาลไทย มีข้อความอ้างถึง ความเสียหายที่ไทยได้รับ จากการโจมตีทางอากาศของอังกฤษว่า “ไทยถูกโจมตีทางอากาศ 30 ครั้ง และโจมตีทางบกถึง 36 ครั้ง ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม ถึง 20 มกราคม” แต่ในทางปฏิบัติ สหรัฐอเมริกาไม่ได้ตอบโต้ ด้วยการประกาศสงครามกับไทย แต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถือว่าไทย เป็นดินแดนที่ถูกญี่ปุ่นครอบครอง ขบวนการเสรีไทย ความหวังของชาติ หลังจากรัฐบาลไทย ประกาศสงคราม มีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล และก่อตั้ง "ขบวนการเสรีไทย" เพื่อร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในการต่อต้านญี่ปุ่น ผู้นำสำคัญ ของขบวนการเสรีไทย ในต่างประเทศ ได้แก่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ในเวลานั้น ได้ปฏิเสธที่จะยื่นคำประกาศสงคราม ของรัฐบาลไทยต่อสหรัฐฯ และประกาศตัดขาด จากรัฐบาลกรุงเทพฯ พร้อมร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างเปิดเผย ผลกระทบหลังสงคราม หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง สิ้นสุดในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ไทยได้รับผลกระทบ น้อยกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากความพยายาม ของขบวนการเสรีไทย ที่ช่วยให้ประเทศไทย สามารถเจรจาต่อรอง สถานะของตนเอง กับฝ่ายสัมพันธมิตร - วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 ไทยเจรจาเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษ - วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 ไทยเลิกสถานะสงครามกับฝรั่งเศส บทเรียนจากประวัติศาสตร์ การเข้าร่วมสงครามโลก ครั้งที่สอง ของไทย สะท้อนถึงความท้าทาย ทางการเมืองระหว่างประเทศ ในยุคที่ประเทศเล็กๆ ต้องรับมือกับอิทธิพล ของชาติมหาอำนาจ ไทยในยุคนั้น ต้องเลือกหนทางที่ดีที่สุดในสถานการณ์ ที่ไม่มีทางเลือกที่ดี อย่างแท้จริง คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับเหตุการณ์สงครามโลก ครั้งที่สอง ของไทย 1. ทำไมไทยถึงยอมให้ญี่ปุ่น ใช้ดินแดนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง? ไทยไม่สามารถต่อต้าน กำลังพลของญี่ปุ่นได้ เนื่องจากมีกำลังพลน้อยกว่าอย่างมาก การยอมรับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่น จึงเป็นทางเลือก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรง 2. ขบวนการเสรีไทย มีบทบาทสำคัญอย่างไร? ขบวนการเสรีไทย ช่วยประสานงานกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในการต่อต้านญี่ปุ่น และยังมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยให้ไทย รอดพ้นจากการถูกลงโทษ หลังสงคราม 3. สหรัฐอเมริกาถือว่าไทยเป็นศัตรู ในสงครามโลก ครั้งที่สองหรือไม่? สหรัฐฯ ไม่ได้ประกาศสงครามกับไทย และมองว่าไทย เป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของญี่ปุ่น 4. การประกาศสงครามของไทย มีผลกระทบอย่างไรบ้าง? การประกาศสงคราม ทำให้ไทยถูกโจมตีทางอากาศ จากฝ่ายสัมพันธมิตร และสร้างความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งภายในและต่างประเทศ การประกาศสงคราม ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง การดิ้นรนของไทย ในยุคที่มหาอำนาจ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แม้ว่าประเทศไทย จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่การดำเนินงานของขบวนการเสรีไทย และการเจรจาหลังสงคราม ได้ช่วยฟื้นฟูสถานภาพของไทย ในเวทีโลก 🎖️ “เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยในอนาคต” 🎖️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 250803 ม.ค. 2568 #สงครามโลกครั้งที่สอง #ไทยในสงครามโลก #เสรีไทย #จอมพลปพิบูลสงคราม #การประกาศสงคราม #ประวัติศาสตร์ไทย #WWII #ThaiHistory #FreeThai #ThailandWWII
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 743 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สหภาพโซเวียต้องเสียสละอย่างมากในสงครามโลกครั้งที่สอง'

    เปสคอฟ โฆษกเครมลิน ตอบโต้คำกล่าวอ้างของทรัมป์เกี่ยวกับชัยชนะที่ "รัสเซียช่วยเหลือ" จนทำให้ "สหรัฐชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2

    เปสคอฟยังเน้นย้ำอีกว่า อเมริกาเป็นเพียงประเทศที่กอบโกยเงินทองเท่านั้น
    'สหภาพโซเวียต้องเสียสละอย่างมากในสงครามโลกครั้งที่สอง' เปสคอฟ โฆษกเครมลิน ตอบโต้คำกล่าวอ้างของทรัมป์เกี่ยวกับชัยชนะที่ "รัสเซียช่วยเหลือ" จนทำให้ "สหรัฐชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เปสคอฟยังเน้นย้ำอีกว่า อเมริกาเป็นเพียงประเทศที่กอบโกยเงินทองเท่านั้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 530 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • จากการโพสต์ของประธานาธีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับกรณีสงครามโลกครั้งที่สอง "รัสเซียไม่ได้แค่ช่วย แต่พวกเขาคือผู้ชนะ"

    สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะนาซีเยอรมนีในแนวรบด้านตะวันออกของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการสูญเสียทหารไปมากกว่า 20 ล้านคน แยกเป็นทหารที่เสียชีวิต 8.7 ล้านคน

    ในขณะที่สหภาพโซเวียตทำให้เยอรมนีสูญเสียทหารไปมากถึง 80% ของจำนวนทหารทั้งหมด (ประมาณ 7.4 ล้านคน)

    สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 หลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ โดยที่ก่อนหน้านั้นสหภาพโซเวียตต่อสู้กับเยอรมนีมาเป็นเวลาหกเดือนแล้ว

    สหภาพโซเวียตบุกเข้ายึดครองกองกำลังของเยอรมนีได้เกือบทั้งหมด ได้รับชัยชนะในการสู้รบที่สำคัญๆ เช่น สตาลินกราด (1942-43) และเบอร์ลิน (1945) ซึ่งนำไปสู่การยอมแพ้ของนาซี

    สหรัฐอเมริกามีบทบาทให้ความช่วยเหลือโดยผ่านกฎหมายยืม-เช่า(Lend-Lease Act) แต่เป็นกองทัพแดงต่างหากที่ทำหน้าที่หนักในการบุกตะลุยยึดครองเบอร์ลินและยุติสงครามในยุโรป

    ที่มา : Sputnik
    จากการโพสต์ของประธานาธีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับกรณีสงครามโลกครั้งที่สอง "รัสเซียไม่ได้แค่ช่วย แต่พวกเขาคือผู้ชนะ" สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะนาซีเยอรมนีในแนวรบด้านตะวันออกของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการสูญเสียทหารไปมากกว่า 20 ล้านคน แยกเป็นทหารที่เสียชีวิต 8.7 ล้านคน ในขณะที่สหภาพโซเวียตทำให้เยอรมนีสูญเสียทหารไปมากถึง 80% ของจำนวนทหารทั้งหมด (ประมาณ 7.4 ล้านคน) สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 หลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ โดยที่ก่อนหน้านั้นสหภาพโซเวียตต่อสู้กับเยอรมนีมาเป็นเวลาหกเดือนแล้ว สหภาพโซเวียตบุกเข้ายึดครองกองกำลังของเยอรมนีได้เกือบทั้งหมด ได้รับชัยชนะในการสู้รบที่สำคัญๆ เช่น สตาลินกราด (1942-43) และเบอร์ลิน (1945) ซึ่งนำไปสู่การยอมแพ้ของนาซี สหรัฐอเมริกามีบทบาทให้ความช่วยเหลือโดยผ่านกฎหมายยืม-เช่า(Lend-Lease Act) แต่เป็นกองทัพแดงต่างหากที่ทำหน้าที่หนักในการบุกตะลุยยึดครองเบอร์ลินและยุติสงครามในยุโรป ที่มา : Sputnik
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • 83 ปี แห่งการประชุมวันเซ จุดเริ่มไอน์ซัทซ์กรุพเพิน นาซีเยอรมนี ปฏิบัติการล้างบางชาวยิว


    ย้อนไปเมื่อ 83 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2485 การประชุมวันเซ (Wannsee Conference) ณ คฤหาสน์โกเบน วันเซ ชานกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้า ประวัติศาสตร์โลก ไปตลอดกาล ที่นี่ ผู้นำนาซีเยอรมัน รวมถึงสมาชิกระดับสูง ของหน่วยเอสเอส (SS) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูง ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อดำเนิน "การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย" หรือ “Final Solution” ซึ่งเป็นโครงการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทั่วทวีปยุโรป

    การประชุมวันเซ จุดเริ่มต้นการล้างบาง
    การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) ผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงหลักไรช์ (Reich Security Main Office) โดยมีเป้าหมายเพื่อวางแผน และสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ของเยอรมนี ในปฏิบัติการกำจัดชาวยิว ทั่วทั้งทวีปยุโรป ไฮดริชต้องการความแน่ใจว่า หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิบัติตามแผนการ ที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน

    นอกจากการสร้างความร่วมมือ ไฮดริชยังได้ใช้การประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแผนการ ส่งชาวยิวในยุโรปตะวันตก ไปยังค่ายมรณะในโปแลนด์ เช่น ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) และเทรบลินกา (Treblinka) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย”

    ผู้เข้าร่วมการประชุม มีทั้งหมด 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนระดับสูง จากหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้นำจากหน่วยเอสเอส ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อัดอล์ฟ ไอช์มันน์ (Adolf Eichmann) ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการประสานงาน และดำเนินการขนส่งชาวยิว ไปยังค่ายมรณะ

    ในบันทึกการประชุม ที่หลงเหลือมาจากสงคราม แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ต่อแผนการนี้ แต่กลับสนับสนุน และมีการพูดคุย ถึงวิธีการอย่างละเอียด

    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กองกำลังสังหาร ที่ปฏิบัติการในแนวรบตะวันออก
    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน (Einsatzgruppen) หรือ "หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ" เป็นกลุ่มกองกำลัง ของหน่วยเอสเอส ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารหมู่ ในพื้นที่ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก หลังการรุกรานโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต หน่วยเหล่านี้ มีหน้าที่กำจัดกลุ่มคน ที่ถูกระบุว่า เป็นภัยต่อระบอบนาซี เช่น ชาวยิว ชาวโรมานี (ยิปซี) ปัญญาชน และสมาชิกฝ่ายตรงข้าม ทางการเมือง

    ปฏิบัติการไอน์ซัทซ์กรุพเพิน
    การสังหารหมู่ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นผ่านการยิงเป้า ในพื้นที่ชนบทหรือป่าลึก ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ การสังหารหมู่ที่บาบี ยาร์ (Babi Yar) ในยูเครน เมื่อเดือนกันยายน 2484 ซึ่งมีชาวยิวมากกว่า 33,000 คน ถูกสังหารภายในเวลาเพียง 2 วัน

    ในช่วงแรก เหยื่อถูกบังคับ ให้ขุดหลุมศพของตนเอง ก่อนจะถูกยิงเป้า ต่อมานาซีเริ่มใช้วิธีการที่ "มีประสิทธิภาพมากขึ้น" เช่น การส่งเหยื่อไปยังค่ายมรณะ และสังหารในห้องรมแก๊ส

    ตามการประเมิน ของนักประวัติศาสตร์ หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการสังหารผู้คนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชาวยิวประมาณ 1.3 ล้านคน

    มาตรการสุดท้าย การล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ
    บังคับใช้กฎหมาย แบ่งแยกชาวยิว
    ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเริ่มจากการบังคับใช้ กฎหมายเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Laws) ในปี 1935 ซึ่งแยกชาวยิว ออกจากสังคมเยอรมัน อย่างเป็นทางการ

    ตั้งเกตโต
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกบังคับ ให้ย้ายไปอาศัยในเขตเกตโต (Ghetto) เช่น เกตโตวอร์ซอ (Warsaw Ghetto) ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไร้มนุษยธรรม

    การเนรเทศและสังหารหมู่
    ชาวยิวถูกขนส่งใน "รถไฟมรณะ" ไปยังค่ายมรณะ เช่น เอาชวิทซ์ เพื่อถูกสังหาร ในห้องรมแก๊ส

    มาตรการสุดท้ายของนาซี นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสาม ของประชากรยิวในยุโรป ในขณะนั้น

    เอกสารที่หลงเหลือ
    หลังสงครามสิ้นสุดลง สำเนาพิธีสารการประชุมวันเซ ถูกค้นพบโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญ ในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดี กับผู้นำนาซี

    สำนึกผิดและสร้างอนุสรณ์
    ปัจจุบัน อาคารที่เคยใช้จัดการประชุมวันเซ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อ ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. การประชุมวันเซ มีผลกระทบอย่างไรต่อชาวยิว?
    การประชุมวันเซ เป็นการกำหนดแผนปฏิบัติการ สังหารหมู่ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ของชาวยิวกว่า 6 ล้านคน

    2. หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ทำหน้าที่อะไร?
    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน เป็นหน่วยกองกำลังของเอสเอส ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการสังหารหมู่ ในยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีการยิงเป้า และการสังหารหมู่ในระดับใหญ่

    3. มีชาวยิวกี่คนที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์?
    ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน ถูกสังหาร รวมถึงผู้เสียชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกกว่า 11 ล้านคน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200908 ม.ค. 2568

    #Holocaust #WannseeConference #Einsatzgruppen #FinalSolution #NaziGermany #JewishHistory #WorldWarII #Genocide #NeverAgain #HistoryMatters
    83 ปี แห่งการประชุมวันเซ จุดเริ่มไอน์ซัทซ์กรุพเพิน นาซีเยอรมนี ปฏิบัติการล้างบางชาวยิว ย้อนไปเมื่อ 83 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2485 การประชุมวันเซ (Wannsee Conference) ณ คฤหาสน์โกเบน วันเซ ชานกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้า ประวัติศาสตร์โลก ไปตลอดกาล ที่นี่ ผู้นำนาซีเยอรมัน รวมถึงสมาชิกระดับสูง ของหน่วยเอสเอส (SS) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูง ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อดำเนิน "การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย" หรือ “Final Solution” ซึ่งเป็นโครงการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทั่วทวีปยุโรป การประชุมวันเซ จุดเริ่มต้นการล้างบาง การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) ผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงหลักไรช์ (Reich Security Main Office) โดยมีเป้าหมายเพื่อวางแผน และสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ของเยอรมนี ในปฏิบัติการกำจัดชาวยิว ทั่วทั้งทวีปยุโรป ไฮดริชต้องการความแน่ใจว่า หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิบัติตามแผนการ ที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน นอกจากการสร้างความร่วมมือ ไฮดริชยังได้ใช้การประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแผนการ ส่งชาวยิวในยุโรปตะวันตก ไปยังค่ายมรณะในโปแลนด์ เช่น ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) และเทรบลินกา (Treblinka) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย” ผู้เข้าร่วมการประชุม มีทั้งหมด 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนระดับสูง จากหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้นำจากหน่วยเอสเอส ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อัดอล์ฟ ไอช์มันน์ (Adolf Eichmann) ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการประสานงาน และดำเนินการขนส่งชาวยิว ไปยังค่ายมรณะ ในบันทึกการประชุม ที่หลงเหลือมาจากสงคราม แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ต่อแผนการนี้ แต่กลับสนับสนุน และมีการพูดคุย ถึงวิธีการอย่างละเอียด ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กองกำลังสังหาร ที่ปฏิบัติการในแนวรบตะวันออก ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน (Einsatzgruppen) หรือ "หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ" เป็นกลุ่มกองกำลัง ของหน่วยเอสเอส ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารหมู่ ในพื้นที่ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก หลังการรุกรานโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต หน่วยเหล่านี้ มีหน้าที่กำจัดกลุ่มคน ที่ถูกระบุว่า เป็นภัยต่อระบอบนาซี เช่น ชาวยิว ชาวโรมานี (ยิปซี) ปัญญาชน และสมาชิกฝ่ายตรงข้าม ทางการเมือง ปฏิบัติการไอน์ซัทซ์กรุพเพิน การสังหารหมู่ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นผ่านการยิงเป้า ในพื้นที่ชนบทหรือป่าลึก ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ การสังหารหมู่ที่บาบี ยาร์ (Babi Yar) ในยูเครน เมื่อเดือนกันยายน 2484 ซึ่งมีชาวยิวมากกว่า 33,000 คน ถูกสังหารภายในเวลาเพียง 2 วัน ในช่วงแรก เหยื่อถูกบังคับ ให้ขุดหลุมศพของตนเอง ก่อนจะถูกยิงเป้า ต่อมานาซีเริ่มใช้วิธีการที่ "มีประสิทธิภาพมากขึ้น" เช่น การส่งเหยื่อไปยังค่ายมรณะ และสังหารในห้องรมแก๊ส ตามการประเมิน ของนักประวัติศาสตร์ หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการสังหารผู้คนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชาวยิวประมาณ 1.3 ล้านคน มาตรการสุดท้าย การล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ บังคับใช้กฎหมาย แบ่งแยกชาวยิว ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเริ่มจากการบังคับใช้ กฎหมายเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Laws) ในปี 1935 ซึ่งแยกชาวยิว ออกจากสังคมเยอรมัน อย่างเป็นทางการ ตั้งเกตโต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกบังคับ ให้ย้ายไปอาศัยในเขตเกตโต (Ghetto) เช่น เกตโตวอร์ซอ (Warsaw Ghetto) ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไร้มนุษยธรรม การเนรเทศและสังหารหมู่ ชาวยิวถูกขนส่งใน "รถไฟมรณะ" ไปยังค่ายมรณะ เช่น เอาชวิทซ์ เพื่อถูกสังหาร ในห้องรมแก๊ส มาตรการสุดท้ายของนาซี นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสาม ของประชากรยิวในยุโรป ในขณะนั้น เอกสารที่หลงเหลือ หลังสงครามสิ้นสุดลง สำเนาพิธีสารการประชุมวันเซ ถูกค้นพบโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญ ในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดี กับผู้นำนาซี สำนึกผิดและสร้างอนุสรณ์ ปัจจุบัน อาคารที่เคยใช้จัดการประชุมวันเซ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อ ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. การประชุมวันเซ มีผลกระทบอย่างไรต่อชาวยิว? การประชุมวันเซ เป็นการกำหนดแผนปฏิบัติการ สังหารหมู่ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ของชาวยิวกว่า 6 ล้านคน 2. หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ทำหน้าที่อะไร? ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน เป็นหน่วยกองกำลังของเอสเอส ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการสังหารหมู่ ในยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีการยิงเป้า และการสังหารหมู่ในระดับใหญ่ 3. มีชาวยิวกี่คนที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์? ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน ถูกสังหาร รวมถึงผู้เสียชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกกว่า 11 ล้านคน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200908 ม.ค. 2568 #Holocaust #WannseeConference #Einsatzgruppen #FinalSolution #NaziGermany #JewishHistory #WorldWarII #Genocide #NeverAgain #HistoryMatters
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 758 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพ รถจักรไอน้ำกาแรตต์ ถูกตู้รถไฟที่โดนแรงระเบิดอัดจนลอยขึ้นไปเกยค้างบนตัวรถจักร เข้าใจว่าน่าจะเป็นย่านสถานีรถไฟในทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ
    .............................................
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะเห็นได้ว่ารถจักรไอน้ำกาแรตต์ ก็เกือบตกเป็นเหยื่อของลูกระเบิดโดยฝ่ายสัมพันธมิตร อันมีอเมริกากับอังกฤษเป็นหัวหอก ตั้งหน้าตั้งตาทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์เป็นการใหญ่ ต่อเป้าหมายโดยเฉพาะย่านสถานีรถไฟ ทางรถไฟ และสะพานรถไฟสำคัญๆ
    ภาพ รถจักรไอน้ำกาแรตต์ ถูกตู้รถไฟที่โดนแรงระเบิดอัดจนลอยขึ้นไปเกยค้างบนตัวรถจักร เข้าใจว่าน่าจะเป็นย่านสถานีรถไฟในทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ ............................................. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะเห็นได้ว่ารถจักรไอน้ำกาแรตต์ ก็เกือบตกเป็นเหยื่อของลูกระเบิดโดยฝ่ายสัมพันธมิตร อันมีอเมริกากับอังกฤษเป็นหัวหอก ตั้งหน้าตั้งตาทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์เป็นการใหญ่ ต่อเป้าหมายโดยเฉพาะย่านสถานีรถไฟ ทางรถไฟ และสะพานรถไฟสำคัญๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อกระเทียมพริกไทย ยุคใหม่แบรนด์เกียกกาย

    สินค้ายอดนิยมที่จำหน่ายในงานกาชาด ของสภากาชาดไทย เป็นประจำทุกปี คือ เนื้อกระเทียมพริกไทย ของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก โดยปกติจะใช้สนับสนุนให้กับหน่วยงานของกองทัพบกในการปฏิบัติภารกิจเท่านั้น ไม่ได้ผลิตเพื่อจำหน่าย ฉลากเป็นกระดาษมันสีเหลืองเข้มและเขียว มาถึงปี 2567 จำหน่ายในรูปโฉมใหม่ สกรีนกระป๋องอย่างดีสีแดง ภายใต้แบรนด์เกียกกาย SINCE 1943 พร้อมข้อความ "สูตรดั้งเดิม เสบียงทหาร" ผลิตโดย บริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ของกลุ่มไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป โรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร

    แม้จะมีน้ำหนักสุทธิ 120 กรัมต่อกระป๋องเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก กับแบรนด์เกียกกาย ที่ผลิตโดยโรงงานไทยรวมสิน ก็คือราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม 55 บาทเป็น 70 บาท และปริมาณลดลงจากเดิมเนื้อ 85 กรัม เครื่องปรุงรสและน้ำ 35 กรัม ประกอบด้วย กระเทียม พริกไทย น้ำมันถั่วเหลือง และเกลือ กลายเป็นน้ำหนักเนื้อ 72 กรัม ส่วนประกอบโดยประมาณ เนื้อวัว 60% ซอสกระเทียมพริกไทย 40% (น้ำ กระเทียม น้ำมันถั่วเหลือง ผงพริกไทยขาว เกลือบริโภคไม่เสริมไอโอดีน และผงกระเทียม) ส่วนอายุการเก็บรักษา 2 ปีเช่นเดิม

    สิ่งที่เพิ่มเติมบนกระป๋องก็คือ ข้อมูลโภชนาการ 1 กระป๋องให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี่ ไขมันทั้งหมด 2 กรัม (3%) ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม (5%) คอเลสเตอรอล 60 มิลลิกรัม (20%) โปรตีน 26 กรัม คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม (0%) น้ำตาลทั้งหมด 0 กรัม โซเดียม 480 มิลลิกรัม (24%) และโพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม (7%) สำหรับตัวเลข 1943 หรือ พ.ศ.2486 คาดว่าเป็นเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทหารไทยบริโภคเนื้อกระเทียมพริกไทย ในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา

    เมื่อเปิดกระป๋องจะพบกับเนื้อวัวในน้ำปรุงรสกระเทียมพริกไทย หากใครไม่ชอบไขมันที่ลอยมา สามารถนำไปใส่ภาชนะแล้วอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟก่อนรับประทานได้ รสชาติเค็มๆ มันๆ สามารถเติมพริกและกระเทียมซอยเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัดกะเพราเนื้อ หรือเติมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้เช่นกัน

    สำหรับกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก มีโรงงานผลิตเสบียง ผลิตอาหารออกมาได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัดอเมริกัน เนื้อวัวทากระเทียมพริกไทย เนื้อนกกระจอกเทศทากระเทียมพริกไทย เนื้อไก่งวงทากระเทียมพริกไทย และไก่ทากระเทียมพริกไทย เป็นต้น ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 สามารถผลิตเสบียงกระป๋องภายใต้เครื่องหมายฮาลาลถึง 40 รายการ (61 ผลิตภัณฑ์) ปัจจุบันโรงงานตั้งอยู่ที่ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    #Newskit
    เนื้อกระเทียมพริกไทย ยุคใหม่แบรนด์เกียกกาย สินค้ายอดนิยมที่จำหน่ายในงานกาชาด ของสภากาชาดไทย เป็นประจำทุกปี คือ เนื้อกระเทียมพริกไทย ของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก โดยปกติจะใช้สนับสนุนให้กับหน่วยงานของกองทัพบกในการปฏิบัติภารกิจเท่านั้น ไม่ได้ผลิตเพื่อจำหน่าย ฉลากเป็นกระดาษมันสีเหลืองเข้มและเขียว มาถึงปี 2567 จำหน่ายในรูปโฉมใหม่ สกรีนกระป๋องอย่างดีสีแดง ภายใต้แบรนด์เกียกกาย SINCE 1943 พร้อมข้อความ "สูตรดั้งเดิม เสบียงทหาร" ผลิตโดย บริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ของกลุ่มไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป โรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร แม้จะมีน้ำหนักสุทธิ 120 กรัมต่อกระป๋องเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก กับแบรนด์เกียกกาย ที่ผลิตโดยโรงงานไทยรวมสิน ก็คือราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม 55 บาทเป็น 70 บาท และปริมาณลดลงจากเดิมเนื้อ 85 กรัม เครื่องปรุงรสและน้ำ 35 กรัม ประกอบด้วย กระเทียม พริกไทย น้ำมันถั่วเหลือง และเกลือ กลายเป็นน้ำหนักเนื้อ 72 กรัม ส่วนประกอบโดยประมาณ เนื้อวัว 60% ซอสกระเทียมพริกไทย 40% (น้ำ กระเทียม น้ำมันถั่วเหลือง ผงพริกไทยขาว เกลือบริโภคไม่เสริมไอโอดีน และผงกระเทียม) ส่วนอายุการเก็บรักษา 2 ปีเช่นเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมบนกระป๋องก็คือ ข้อมูลโภชนาการ 1 กระป๋องให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี่ ไขมันทั้งหมด 2 กรัม (3%) ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม (5%) คอเลสเตอรอล 60 มิลลิกรัม (20%) โปรตีน 26 กรัม คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม (0%) น้ำตาลทั้งหมด 0 กรัม โซเดียม 480 มิลลิกรัม (24%) และโพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม (7%) สำหรับตัวเลข 1943 หรือ พ.ศ.2486 คาดว่าเป็นเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทหารไทยบริโภคเนื้อกระเทียมพริกไทย ในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อเปิดกระป๋องจะพบกับเนื้อวัวในน้ำปรุงรสกระเทียมพริกไทย หากใครไม่ชอบไขมันที่ลอยมา สามารถนำไปใส่ภาชนะแล้วอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟก่อนรับประทานได้ รสชาติเค็มๆ มันๆ สามารถเติมพริกและกระเทียมซอยเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัดกะเพราเนื้อ หรือเติมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้เช่นกัน สำหรับกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก มีโรงงานผลิตเสบียง ผลิตอาหารออกมาได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัดอเมริกัน เนื้อวัวทากระเทียมพริกไทย เนื้อนกกระจอกเทศทากระเทียมพริกไทย เนื้อไก่งวงทากระเทียมพริกไทย และไก่ทากระเทียมพริกไทย เป็นต้น ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 สามารถผลิตเสบียงกระป๋องภายใต้เครื่องหมายฮาลาลถึง 40 รายการ (61 ผลิตภัณฑ์) ปัจจุบันโรงงานตั้งอยู่ที่ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 783 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางส่วนของคำปราศรัย อายาตอลเลาะห์ คาเมเนอี ที่กล่าวถึงซีเรีย:

    'เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรียถูกวางแผนร่วมกันระหว่างอเมริกาและไซออนิ รวมถึงรัฐเพื่อนบ้านของซีเรียมีบทบาทชัดเจนในเรื่องนี้ [เขาอาจหมายถึงตุรกี] ผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดวางแผนการกันในห้องบัญชาการกลางหลักตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาเรามีหลักฐาน และข้อบ่งชี้เหล่านี้ทำให้ไม่ต้องสงสัยใดๆ'

    'พวกเขามีความคิดที่โง่เขลาที่ไม่รู้ความหมายของขบวนการต่อต้าน คิดว่าหากทำให้กลุ่มพันธมิตรที่ต่อต้านอ่อนแอลง จะทำให้อิหร่านอ่อนแอลงไปด้วย และเราจะบอกพวกเขาว่า ด้วยพระคุณของพระเจ้าและการอนุญาตจากพระเจ้า อิหร่านยังคงแข็งแกร่ง ทรงพลัง และจะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เราเตรียมการมานานแล้ว”

    'การต่อต้านจะแพร่กระจายไปไกลกว่าเดิมและปิดล้อมทั้งภูมิภาค'

    'หน่วยข่าวกรองของเราเตือนเจ้าหน้าที่ซีเรียเมื่อหลายเดือนก่อนเกี่ยวกับแผนการของศัตรู แต่ข้อมูลนี้ถูกละเลย'

    'กองทัพซีเรียไม่ได้ต่อต้านศัตรู เช่นเดียวกับกองทัพจักรวรรดิของชาห์ในสงครามโลกครั้งที่สอง'

    'ในช่วงที่สงครามรุนแรงที่สุด เมื่อทุกคนหนุนหลังซัดดัมต่อต้านเรา มีเพียงซีเรียที่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องเรา หลังจากนั้นอิหร่านได้ตอบแทนพวกเขาอย่างเต็มที่สำหรับการสนับสนุนครั้งนั้น'

    แน่นอนว่าผู้รทำลายซีเรียแต่ละคนมีเป้าหมายของตนเอง เป้าหมายของพวกเขาแตกต่างกัน บางคนพยายามยึดครองซีเรียทางตอนเหนือหรือตอนใต้ ในขณะที่สหรัฐฯ มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างฐานทัพในภูมิภาค นี่คือเป้าหมายของพวกเขา แต่เวลาจะพิสูจน์ว่าพวกเขาจะไม่บรรลุเป้าหมายเหล่านี้

    พื้นที่ยึดครองของซีเรียจะได้รับการปลดปล่อยโดยเยาวชนซีเรียผู้กล้าหาญ รับรองได้เลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น!

    บางส่วนของคำปราศรัย อายาตอลเลาะห์ คาเมเนอี ที่กล่าวถึงซีเรีย: 'เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรียถูกวางแผนร่วมกันระหว่างอเมริกาและไซออนิ รวมถึงรัฐเพื่อนบ้านของซีเรียมีบทบาทชัดเจนในเรื่องนี้ [เขาอาจหมายถึงตุรกี] ผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดวางแผนการกันในห้องบัญชาการกลางหลักตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาเรามีหลักฐาน และข้อบ่งชี้เหล่านี้ทำให้ไม่ต้องสงสัยใดๆ' 'พวกเขามีความคิดที่โง่เขลาที่ไม่รู้ความหมายของขบวนการต่อต้าน คิดว่าหากทำให้กลุ่มพันธมิตรที่ต่อต้านอ่อนแอลง จะทำให้อิหร่านอ่อนแอลงไปด้วย และเราจะบอกพวกเขาว่า ด้วยพระคุณของพระเจ้าและการอนุญาตจากพระเจ้า อิหร่านยังคงแข็งแกร่ง ทรงพลัง และจะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เราเตรียมการมานานแล้ว” 'การต่อต้านจะแพร่กระจายไปไกลกว่าเดิมและปิดล้อมทั้งภูมิภาค' 'หน่วยข่าวกรองของเราเตือนเจ้าหน้าที่ซีเรียเมื่อหลายเดือนก่อนเกี่ยวกับแผนการของศัตรู แต่ข้อมูลนี้ถูกละเลย' 'กองทัพซีเรียไม่ได้ต่อต้านศัตรู เช่นเดียวกับกองทัพจักรวรรดิของชาห์ในสงครามโลกครั้งที่สอง' 'ในช่วงที่สงครามรุนแรงที่สุด เมื่อทุกคนหนุนหลังซัดดัมต่อต้านเรา มีเพียงซีเรียที่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องเรา หลังจากนั้นอิหร่านได้ตอบแทนพวกเขาอย่างเต็มที่สำหรับการสนับสนุนครั้งนั้น' แน่นอนว่าผู้รทำลายซีเรียแต่ละคนมีเป้าหมายของตนเอง เป้าหมายของพวกเขาแตกต่างกัน บางคนพยายามยึดครองซีเรียทางตอนเหนือหรือตอนใต้ ในขณะที่สหรัฐฯ มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างฐานทัพในภูมิภาค นี่คือเป้าหมายของพวกเขา แต่เวลาจะพิสูจน์ว่าพวกเขาจะไม่บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ พื้นที่ยึดครองของซีเรียจะได้รับการปลดปล่อยโดยเยาวชนซีเรียผู้กล้าหาญ รับรองได้เลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💬สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรกำลังทำสงครามกับสหภาพยุโรปด้วยการคว่ำบาตรรัสเซีย – นักข่าวอิตาลี

    การคว่ำบาตรที่วอชิงตันกดดันให้ประเทศในยุโรปบังคับใช้กับรัสเซียนั้น แท้จริงแล้วกลับส่งผลเสียต่อสหภาพยุโรป (EU) มากกว่า, นักข่าวอิตาลี จอร์โจ เบียนคี กล่าวกับสปุตนิก

    🗨️“ผมรู้สึกว่า นี่คือสงครามของสหรัฐฯไม่ใช่แค่กับรัสเซียเท่านั้น, แต่ยังรวมถึงอิตาลี, เยอรมนี, และฝรั่งเศสด้วย เพราะมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯบังคับให้ประเทศของเราใช้, ผมเรียกว่ามาตรการคว่ำบาตรอัตโนมัติ, มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่เราเองมากกว่ารัสเซีย,” เขากล่าว

    เบียนคีเชื่อว่า จริงๆแล้วสหรัฐฯและสหราชอาณาจักรได้รับประโยชน์จากการคว่ำบาตรเหล่านี้มากกว่าการทิ้งระเบิดเขตอุตสาหกรรมของยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    🗨️“บริษัทขนาดใหญ่จะย้ายออกจากประเทศ [EU] ไป “บางบริษัทได้ย้ายไปยังเอเชียแล้ว, และตอนนี้พวกเขาจะย้ายไปอเมริกาเพราะมีเงื่อนไขทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยมากกว่า,” นักข่าวกล่าวเสริม
    .
    💬US AND UK ARE WAGING WAR AGAINST EU WITH ANTI-RUSSIAN SANCTIONS – Italian journalist

    The sanctions that Washington is pressuring European countries to impose against Russia are actually hurting the European Union (EU) more, Italian journalist Giorgio Bianchi told Sputnik.

    🗨️“I have the impression that this is a US war not only against Russia, but also against Italy, Germany, and France. Because the sanctions that the US has forced our countries to apply, I call them auto-sanctions, these sanctions are directed more against us than against Russia,” he pointed out.

    Bianchi believes that the US and UK have actually benefited far more from these sanctions than from the bombing of Europe’s industrial districts during World War II.

    🗨️“Large companies will simply move out of [EU] countries. Some of them have already moved to Asia, and now they will move to America because of more favorable business conditions,” the journalist added.
    .
    4:14 PM · Nov 23, 2024 · 859 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1860250584944681019
    💬สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรกำลังทำสงครามกับสหภาพยุโรปด้วยการคว่ำบาตรรัสเซีย – นักข่าวอิตาลี การคว่ำบาตรที่วอชิงตันกดดันให้ประเทศในยุโรปบังคับใช้กับรัสเซียนั้น แท้จริงแล้วกลับส่งผลเสียต่อสหภาพยุโรป (EU) มากกว่า, นักข่าวอิตาลี จอร์โจ เบียนคี กล่าวกับสปุตนิก 🗨️“ผมรู้สึกว่า นี่คือสงครามของสหรัฐฯไม่ใช่แค่กับรัสเซียเท่านั้น, แต่ยังรวมถึงอิตาลี, เยอรมนี, และฝรั่งเศสด้วย เพราะมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯบังคับให้ประเทศของเราใช้, ผมเรียกว่ามาตรการคว่ำบาตรอัตโนมัติ, มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่เราเองมากกว่ารัสเซีย,” เขากล่าว เบียนคีเชื่อว่า จริงๆแล้วสหรัฐฯและสหราชอาณาจักรได้รับประโยชน์จากการคว่ำบาตรเหล่านี้มากกว่าการทิ้งระเบิดเขตอุตสาหกรรมของยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 🗨️“บริษัทขนาดใหญ่จะย้ายออกจากประเทศ [EU] ไป “บางบริษัทได้ย้ายไปยังเอเชียแล้ว, และตอนนี้พวกเขาจะย้ายไปอเมริกาเพราะมีเงื่อนไขทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยมากกว่า,” นักข่าวกล่าวเสริม . 💬US AND UK ARE WAGING WAR AGAINST EU WITH ANTI-RUSSIAN SANCTIONS – Italian journalist The sanctions that Washington is pressuring European countries to impose against Russia are actually hurting the European Union (EU) more, Italian journalist Giorgio Bianchi told Sputnik. 🗨️“I have the impression that this is a US war not only against Russia, but also against Italy, Germany, and France. Because the sanctions that the US has forced our countries to apply, I call them auto-sanctions, these sanctions are directed more against us than against Russia,” he pointed out. Bianchi believes that the US and UK have actually benefited far more from these sanctions than from the bombing of Europe’s industrial districts during World War II. 🗨️“Large companies will simply move out of [EU] countries. Some of them have already moved to Asia, and now they will move to America because of more favorable business conditions,” the journalist added. . 4:14 PM · Nov 23, 2024 · 859 Views https://x.com/SputnikInt/status/1860250584944681019
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แต่งตั้งจอห์น แรตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (former Director of National Intelligence) เป็นผู้อำนวยการซีไอเอ (CIA) คนใหม่

    จอห์น แรตคลิฟฟ์ (John Ratcliffe) "สายเหยี่ยวสุดโต่งผู้ต่อต้านจีนและอิหร่าน" กลายเป็นบุคคลแรกของอเมริกาที่เป็นผู้นำหน่วยข่าวกรองชั้นนำของประเทศทั้งสองแห่ง!

    จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการซีไอเอของทรัมป์ คือคนที่กล่าวหาอิหร่านอย่างตรงไปตรงมาว่า "ก่อสงคราม" ต่อสหรัฐฯ และวางแผนลอบสังหารทรัมป์ แรตคลิฟฟ์ยังกล่าวอีกว่าควรเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่านให้สิ้นซาก

    เขายังกล่าวโจมตีว่าจีนเป็น "ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และต้องการให้ทรัมป์ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกับจีน โดยกำหนดภาษีสินค้าจีนในระดับสูงสุด

    นอกจากนี้ แรตคลิฟฟ์ ยังเป็นผู้สนับสนุนตัวยงให้ใช้กฎหมาย FISA หรือ Foreign Intelligence Surveillance Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเฝ้าติดตามข่าวกรองต่างประเทศ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล กฎหมายฉบับนี้ถูกต่อต้านจากประชาชนชาวสหรัฐ เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองอเมริกันจากการถูกเฝ้าติดตามโดยหน่วยงานรัฐ



    ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แต่งตั้งจอห์น แรตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (former Director of National Intelligence) เป็นผู้อำนวยการซีไอเอ (CIA) คนใหม่ จอห์น แรตคลิฟฟ์ (John Ratcliffe) "สายเหยี่ยวสุดโต่งผู้ต่อต้านจีนและอิหร่าน" กลายเป็นบุคคลแรกของอเมริกาที่เป็นผู้นำหน่วยข่าวกรองชั้นนำของประเทศทั้งสองแห่ง! จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการซีไอเอของทรัมป์ คือคนที่กล่าวหาอิหร่านอย่างตรงไปตรงมาว่า "ก่อสงคราม" ต่อสหรัฐฯ และวางแผนลอบสังหารทรัมป์ แรตคลิฟฟ์ยังกล่าวอีกว่าควรเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่านให้สิ้นซาก เขายังกล่าวโจมตีว่าจีนเป็น "ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และต้องการให้ทรัมป์ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกับจีน โดยกำหนดภาษีสินค้าจีนในระดับสูงสุด นอกจากนี้ แรตคลิฟฟ์ ยังเป็นผู้สนับสนุนตัวยงให้ใช้กฎหมาย FISA หรือ Foreign Intelligence Surveillance Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเฝ้าติดตามข่าวกรองต่างประเทศ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล กฎหมายฉบับนี้ถูกต่อต้านจากประชาชนชาวสหรัฐ เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองอเมริกันจากการถูกเฝ้าติดตามโดยหน่วยงานรัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปูตินปลุกเร้าสร้าง “ระเบียบโลกแบบมีหลายขั้วอำนาจ” ในงานประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ที่มีผู้นำจากนานาประเทศเข้าร่วมหารือ และประมุขทำเนียบเครมลินมุ่งใช้เป็นบทพิสูจน์ว่า ความพยายามโดดเดี่ยวมอสโกของฝ่ายตะวันตกล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สี จิ้นผิง พันธมิตรสำคัญซึ่งเข้าประชุมครั้งนี้ด้วย เรียกร้องบริกส์กระชับความร่วมมือด้านการเงินและเศรษฐกิจ ชี้จำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น
    .
    การประชุมสุดยอดคราวนี้ที่จัดขึ้นที่เมืองคาซาน ทางด้านตะวันตกกลางของแดนหมีขาว ถือเป็นการประชุมทางการทูตใหญ่ที่สุดซึ่งรัสเซียเป็นเจ้าภาพ นับจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สั่งยกทัพบุกยูเครนในปี 2022 ส่งผลให้รัสเซียถูกตะวันตกรุมประณามและแซงก์ชัน
    .
    มีผู้นำราว 20 คนจากนานาชาติ รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่อย่าง จีน อินเดีย ตุรกี และอิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าร่วมการประชุมที่เมืองคาซานครั้งนี้ ในหัวข้อต่างๆ เช่น การพัฒนาระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนของบริกส์ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
    .
    มอสโกมองว่า ที่ประชุมนี้เป็นทางเลือกซึ่งกำลังทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับพวกองค์การระหว่างประเทศรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็นที่นำโดยฝ่ายตะวันตก เช่น กลุ่มจี7 และนี่ก็เป็นจุดยืนที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ผู้เป็นพันธมิตรสำคัญของปูติน
    .
    ปูตินกล่าวเปิดประชุมอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธ (23 ต.ค.) ว่า การสร้างระเบียบโลกแบบที่ยอมรับให้มีหลายขั้วอำนาจนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และเป็นขั้นตอนที่มีพลวัตและไม่อาจย้อนกลับได้ พร้อมกับเรียกร้องให้เหล่าชาติสมาชิกของบริกส์ พิจารณาว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดได้อย่างไร ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงระดับภูมิภาค
    .
    ก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันอังคาร (22) ปูตินยังได้ประชุมข้างเคียงกับพวกผู้นำของหลายประเทศที่มารวมการประชุมซัมมิตบริกส์ รวมทั้ง สี และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย ซึ่งผู้นำรัสเซียได้กล่าวยกย่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดและการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
    .
    ขณะที่ สี ก็กล่าวยกย่องความสัมพันธ์แนบแน่นที่จีนมีอยู่กับรัสเซีย ในโลกที่ “วุ่นวาย” และเสริมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนา การฟื้นฟู และการปรับปรุงให้ทันสมัยสำหรับทั้งสองประเทศ
    .
    ด้านปูตินขานรับว่า ความสัมพันธ์กับปักกิ่งเป็นรากฐานเสถียรภาพของโลก
    .
    ในวันพุธ ระหว่างกล่าวปราศรัยกับที่ประชุมซัมมิตกลุ่มบริกส์ สี ได้กล่าวเรียกร้องให้สมาชิกบริกส์กระชับความร่วมมือด้านการเงินและเศรษฐกิจ พร้อมชี้ว่าจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเรียกร้องให้ปลดชนวนความขัดแย้งในวิกฤตยูเครน และให้มีการหยุดยิงในเลบานอนและกาซา
    .
    กลุ่มบริกส์ (BRICS) ตอนแรกใช้ชื่อว่า บริก (BRIC) ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดยมีสมาชิกเพียง 4 ประเทศ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน จากนั้นจึงขยายเป็นบริกส์ เมื่อรับแอฟริกาใต้เข้าเป็นสมาชิกรายที่ 5 และในปีที่แล้ว ก็ได้เปิดกว้างรับพวกประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่อีกหลายราย เป็นต้นว่า อียิปต์ เอธิโอเปีย เวเนซุเอลา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิหร่าน ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียก็ได้สมัครและได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกแล้ว ทว่ายังไม่ได้ทำกระบวนการรับรองให้สัตยาบัน ขณะที่อาร์เจนตินา ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม หลังจากมีการเลือกตั้งและประธานาธิบดีคนใหม่เป็นพวกโปรตะวันตกเข้มข้น
    .
    เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการท้าทายตะวันตก ในวันพุธปูตินยังมีนัดหมายหารือแบบประชุมข้างเคียงกับประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนของอิหร่าน และประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโรของเวเนซุเอลา รวมทั้งจะพบกับประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ซึ่งกำลังแสดงความสนใจขอสมัครเป็นสมาชิกของบริกส์ ตลอดจนหารือกับอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ในวันพฤหัสฯ (24 ต.ค.) ในประเด็นความขัดแย้งในยูเครน
    .
    รายงานระบุว่า กูเตอร์เรสเดินทางถึงรัสเซียในวันพุธ ซึ่งเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี และสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้แก่ยูเครน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศยูเครนโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ต่อว่ากูเตอร์เรสว่า ปฏิเสธคำเชิญร่วมงานประชุมสุดยอดสันติภาพโลกครั้งแรกของเคียฟที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อหลายเดือนก่อน แต่กลับรับคำเชิญจากอาชญากรอย่างปูติน
    .
    ทางด้านโฆษกกูเตอร์เรสอธิบายว่า ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมงานประชุมในองค์กรที่มีชาติสมาชิกจำนวนมากที่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติปกติของกูเตอร์เรส อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีในการย้ำจุดยืนเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนและเงื่อนไขสำหรับสันติภาพที่เป็นธรรม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102300
    ..............
    Sondhi X
    ปูตินปลุกเร้าสร้าง “ระเบียบโลกแบบมีหลายขั้วอำนาจ” ในงานประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ที่มีผู้นำจากนานาประเทศเข้าร่วมหารือ และประมุขทำเนียบเครมลินมุ่งใช้เป็นบทพิสูจน์ว่า ความพยายามโดดเดี่ยวมอสโกของฝ่ายตะวันตกล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สี จิ้นผิง พันธมิตรสำคัญซึ่งเข้าประชุมครั้งนี้ด้วย เรียกร้องบริกส์กระชับความร่วมมือด้านการเงินและเศรษฐกิจ ชี้จำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น . การประชุมสุดยอดคราวนี้ที่จัดขึ้นที่เมืองคาซาน ทางด้านตะวันตกกลางของแดนหมีขาว ถือเป็นการประชุมทางการทูตใหญ่ที่สุดซึ่งรัสเซียเป็นเจ้าภาพ นับจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สั่งยกทัพบุกยูเครนในปี 2022 ส่งผลให้รัสเซียถูกตะวันตกรุมประณามและแซงก์ชัน . มีผู้นำราว 20 คนจากนานาชาติ รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่อย่าง จีน อินเดีย ตุรกี และอิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าร่วมการประชุมที่เมืองคาซานครั้งนี้ ในหัวข้อต่างๆ เช่น การพัฒนาระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนของบริกส์ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง . มอสโกมองว่า ที่ประชุมนี้เป็นทางเลือกซึ่งกำลังทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับพวกองค์การระหว่างประเทศรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็นที่นำโดยฝ่ายตะวันตก เช่น กลุ่มจี7 และนี่ก็เป็นจุดยืนที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ผู้เป็นพันธมิตรสำคัญของปูติน . ปูตินกล่าวเปิดประชุมอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธ (23 ต.ค.) ว่า การสร้างระเบียบโลกแบบที่ยอมรับให้มีหลายขั้วอำนาจนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และเป็นขั้นตอนที่มีพลวัตและไม่อาจย้อนกลับได้ พร้อมกับเรียกร้องให้เหล่าชาติสมาชิกของบริกส์ พิจารณาว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดได้อย่างไร ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงระดับภูมิภาค . ก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันอังคาร (22) ปูตินยังได้ประชุมข้างเคียงกับพวกผู้นำของหลายประเทศที่มารวมการประชุมซัมมิตบริกส์ รวมทั้ง สี และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย ซึ่งผู้นำรัสเซียได้กล่าวยกย่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดและการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน . ขณะที่ สี ก็กล่าวยกย่องความสัมพันธ์แนบแน่นที่จีนมีอยู่กับรัสเซีย ในโลกที่ “วุ่นวาย” และเสริมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนา การฟื้นฟู และการปรับปรุงให้ทันสมัยสำหรับทั้งสองประเทศ . ด้านปูตินขานรับว่า ความสัมพันธ์กับปักกิ่งเป็นรากฐานเสถียรภาพของโลก . ในวันพุธ ระหว่างกล่าวปราศรัยกับที่ประชุมซัมมิตกลุ่มบริกส์ สี ได้กล่าวเรียกร้องให้สมาชิกบริกส์กระชับความร่วมมือด้านการเงินและเศรษฐกิจ พร้อมชี้ว่าจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเรียกร้องให้ปลดชนวนความขัดแย้งในวิกฤตยูเครน และให้มีการหยุดยิงในเลบานอนและกาซา . กลุ่มบริกส์ (BRICS) ตอนแรกใช้ชื่อว่า บริก (BRIC) ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดยมีสมาชิกเพียง 4 ประเทศ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน จากนั้นจึงขยายเป็นบริกส์ เมื่อรับแอฟริกาใต้เข้าเป็นสมาชิกรายที่ 5 และในปีที่แล้ว ก็ได้เปิดกว้างรับพวกประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่อีกหลายราย เป็นต้นว่า อียิปต์ เอธิโอเปีย เวเนซุเอลา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิหร่าน ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียก็ได้สมัครและได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกแล้ว ทว่ายังไม่ได้ทำกระบวนการรับรองให้สัตยาบัน ขณะที่อาร์เจนตินา ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม หลังจากมีการเลือกตั้งและประธานาธิบดีคนใหม่เป็นพวกโปรตะวันตกเข้มข้น . เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการท้าทายตะวันตก ในวันพุธปูตินยังมีนัดหมายหารือแบบประชุมข้างเคียงกับประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนของอิหร่าน และประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโรของเวเนซุเอลา รวมทั้งจะพบกับประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ซึ่งกำลังแสดงความสนใจขอสมัครเป็นสมาชิกของบริกส์ ตลอดจนหารือกับอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ในวันพฤหัสฯ (24 ต.ค.) ในประเด็นความขัดแย้งในยูเครน . รายงานระบุว่า กูเตอร์เรสเดินทางถึงรัสเซียในวันพุธ ซึ่งเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี และสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้แก่ยูเครน . กระทรวงการต่างประเทศยูเครนโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ต่อว่ากูเตอร์เรสว่า ปฏิเสธคำเชิญร่วมงานประชุมสุดยอดสันติภาพโลกครั้งแรกของเคียฟที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อหลายเดือนก่อน แต่กลับรับคำเชิญจากอาชญากรอย่างปูติน . ทางด้านโฆษกกูเตอร์เรสอธิบายว่า ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมงานประชุมในองค์กรที่มีชาติสมาชิกจำนวนมากที่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติปกติของกูเตอร์เรส อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีในการย้ำจุดยืนเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนและเงื่อนไขสำหรับสันติภาพที่เป็นธรรม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102300 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2229 มุมมอง 1 รีวิว
  • รัสเซียและจีนจัดการเจรจาด้านกลาโหมอย่างจริงจัง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในขณะที่ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรแบบ "ไร้ขีดจำกัด" และร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ที่พยายามขยายอิทธิพลในเอเชีย
    .
    "อังเดรย์ เบลูซอฟ" รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียพบหารือกับ "จาง โหย่วเสีย" รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางของจีน โดยกระทรวงกลาโหมของรัสเซียและจีนมีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อรับมือสถานการณ์เหล่านี้
    .
    กระทรวงกลาโหมจีนกล่าวหลังการประชุมว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการขยายความสัมพันธ์ทางทหารและรักษาการติดต่อในระดับสูง
    .
    การเยือนจีนของเบลูซอฟเกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมหากจำเป็น หลังจากได้จัดการซ้อมรบที่เป็นการเตือนต่อ "การแบ่งแยกดินแดน"
    .
    จีนและรัสเซียประกาศพันธมิตร "ไร้ขีดจำกัด" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เยือนจีน ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนครั้งใหญ่ จนนำไปสู่สงครามที่รุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
    .
    ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ปูตินและสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ให้คำมั่นว่าจะสร้าง "ยุคใหม่" ของความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศ โดยมองว่าสหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกที่ก้าวร้าวและสร้างความวุ่นวายไปทั่วโลก
    .
    เบลูซอฟกล่าวเสริมว่า ผู้นำทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะกระชับ "พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์" และเขามั่นใจว่าการทำงานร่วมกันในอนาคตจะนำไปสู่การตัดสินใจที่สำคัญและเป็นประโยชน์
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียยังประกาศว่า จะยืนเคียงข้างจีนในประเด็นต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงการวิพากษ์ความพยายามของสหรัฐฯ ที่ต้องการขยายอิทธิพลและสร้างความตึงเครียดรอบไต้หวัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000100035
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซียและจีนจัดการเจรจาด้านกลาโหมอย่างจริงจัง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในขณะที่ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรแบบ "ไร้ขีดจำกัด" และร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ที่พยายามขยายอิทธิพลในเอเชีย . "อังเดรย์ เบลูซอฟ" รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียพบหารือกับ "จาง โหย่วเสีย" รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางของจีน โดยกระทรวงกลาโหมของรัสเซียและจีนมีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อรับมือสถานการณ์เหล่านี้ . กระทรวงกลาโหมจีนกล่าวหลังการประชุมว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการขยายความสัมพันธ์ทางทหารและรักษาการติดต่อในระดับสูง . การเยือนจีนของเบลูซอฟเกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมหากจำเป็น หลังจากได้จัดการซ้อมรบที่เป็นการเตือนต่อ "การแบ่งแยกดินแดน" . จีนและรัสเซียประกาศพันธมิตร "ไร้ขีดจำกัด" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เยือนจีน ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนครั้งใหญ่ จนนำไปสู่สงครามที่รุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง . ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ปูตินและสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ให้คำมั่นว่าจะสร้าง "ยุคใหม่" ของความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศ โดยมองว่าสหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกที่ก้าวร้าวและสร้างความวุ่นวายไปทั่วโลก . เบลูซอฟกล่าวเสริมว่า ผู้นำทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะกระชับ "พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์" และเขามั่นใจว่าการทำงานร่วมกันในอนาคตจะนำไปสู่การตัดสินใจที่สำคัญและเป็นประโยชน์ . เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียยังประกาศว่า จะยืนเคียงข้างจีนในประเด็นต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงการวิพากษ์ความพยายามของสหรัฐฯ ที่ต้องการขยายอิทธิพลและสร้างความตึงเครียดรอบไต้หวัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000100035 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Wow
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1545 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇮🇷 การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ 🇮🇷

    การปฏิวัติที่เป็นแบบอย่างให้กับแกนต่อต้านการกดขี่ทั่วโลก

    ผลของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อการเมืองระดับโลก......

    เหตุใดการปฏิวัติอิสลามจึงมีความสำคัญ ?

    และส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกอย่างไร ?

    เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวต่อโลก เนื่องมาจากมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากเกินไป บางอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และความอดอยาก ในขณะที่บางอย่างเกิดจากฝีมือมนุษย์

    สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ความตาย การทำลายล้าง การอพยพผู้คน และความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสังคม

    การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างเหมาะสม สาเหตุมาจากการต่อต้านและการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่เกิดขึ้นในหมู่จักรวรรดินิยมและไซออนิสต์

    การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน แตกต่างจากขบวนการเสรีภาพในช่วงก่อนๆ ที่เพียงแค่โอนอำนาจจากนักล่าอาณานิคมยุโรปไปยังหุ่นเชิดของพวกเขาในสังคมท้องถิ่น การปฏิวัติอิสลามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในสังคม

    ระเบียบโลกในยุคปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอันเลวร้ายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน โดยที่สหภาพโซเวียตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุด

    สงครามดังกล่าวได้ทำลายล้างยุโรปไปเป็นจำนวนมาก มหาอำนาจอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และแม้แต่เบลเยียมซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ต่างก็หมดอำนาจไป มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงดำรงอยู่คือสหรัฐอเมริกา

    มหาอำนาจยุโรปจำเป็นต้องสละการครอบครองอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆก็คือ พวกเขาถูกเปลี่ยนมือจากการควบคุมของนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปไปอยู่ในมือของลุงแซม ซึ่งกลายเป็นผู้โหดร้ายยิ่งกว่าในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา

    ฐานทัพทหารสหรัฐฯ จำนวนมากรอบอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหลักฐานที่เพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่โลภมากของอเมริกา

    สหภาพโซเวียตได้ดำเนินตามแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของตะวันตกโดยรวมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่แนวคิดคอมมิวนิสต์ก็เป็นผลผลิตของความคิดทางการเมืองของตะวันตกเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดขั้วตรงข้ามสองขั้วจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศต่างๆ ต่างมาบรรจบกัน

    สิ่งที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านก็คือการหลุดพ้นจากการควบคุมของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในโลกตะวันตก นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าร่วมโดยทันทีกับกลุ่มที่นำโดยสหภาพโซเวียตเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ

    อิหร่านหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองนั่นคืออิสลาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมากระหว่างมหาอำนาจทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก

    ไม่นานหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ) ได้ออกคำประกาศสองประการที่สั่นสะเทือนโลก

    ประการแรก มุสลิมต้องสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มัสยิดอัลอักซอและเป็นกิบลัตแรกของมุสลิม ซึ่งประการแรกนี้ถูกมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่อกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นอาณานิคมไซออนิสต์

    ประการที่สอง การส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบอบการปกครองบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย

    แนวคิดในการส่งออกการปฏิวัติถูกเข้าใจผิดโดยระบอบการปกครองเหล่านี้ พวกเขาคิดว่ากองกำลังปฏิวัติของอิหร่านจะไหลบ่าข้ามพรมแดนและเข้ายึดครองอาณาจักรที่สั่นคลอนของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ในหลายสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกการปฏิวัติหมายถึงการส่งออกแนวคิดและได้รับการนำไปใช้โดยผู้คนในสังคมนั้นๆ

    รัฐบาลอาหรับซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ได้เปิดฉากสงครามอันเลวร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามโดยระบอบ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก เป้าหมายของมันคือการทำลายสาธารณรัฐอิสลาม !!!

    หลังจากนั้นไม่นาน สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของชาติตะวันตก และด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อทำลายสาธารณรัฐอิสลามผ่านสงครามเศรษฐกิจ

    แปดปีที่สาธารณรัฐอิสลาม ผู้นำการปฏิวัติและประชาชนของสาธารณรัฐอิสลามสามารถต้านทานการโจมตีจากนานาชาติได้เพียงลำพัง พวกเขาได้ปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วและป้องกันการปฏิวัติด้วยการเสียสละอย่างมากมาย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับศัตรูจนไม่กล้าที่จะรุกรานสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยกองกำลังภาคพื้นดินอีกเลย

    ประเด็นการส่งออกของการปฏิวัติอิสลาม การเคลื่อนไหวแรกๆเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเลบานอน ซึ่งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ยึดครองไซออนิสต์และสร้างความอัปยศให้กับไซออนิสต์อิสราเอลจนถึงทุกวันนี้

    แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านถูกส่งออกไปยังปาเลสไตน์ ซึ่งการต่อต้านในฉนวนกาซาก็เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติจากอิหร่าน แม้แต่นักวิจารณ์ชาวอิสราเอลหลายคนก็ยอมรับว่าอิสราเอลพ่ายแพ้ทางทหารต่อฮามาสและญิฮาดอิสลาม อิสราเอลได้สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนอย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนที่สุด

    พื้นที่ที่แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านแพร่หลายออกไป ได้แก่ อิรักและเยเมน ในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน (IRGC)มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้รัฐบาลในกรุงดามัสกัสล่มสลาย ซึ่งเผชิญกับแผนการสมคบคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไซออนิสต์ของสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมานานกว่าสิบปี

    แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านได้แพร่กระจายไปถึงอเมริกาใต้ ไปถึงบริเวณหลังบ้านของสหรัฐฯ

    นับเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่สหรัฐฯ ได้รักษาอเมริกาใต้ไว้เป็นเขตอิทธิพลเฉพาะของตนในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร

    ทุกวันนี้ หลายๆประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิการากัว และโบลิเวีย ได้หลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ และกำลังกำหนดเส้นทางอิสระ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอิหร่าน

    การล่มสลายของระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติของอิหร่าน

    "สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เมื่อมีผู้นำที่ จริงใจ ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่นที่ยึดหลักความยุติธรรมและความเป็นธรรมของศาสนาเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนจำนวนน้อยจะสามารถเอาชนะอำนาจแห่งการกดขี่ที่แม้จะติดอาวุธหนักเพียงใดได้"
    🇮🇷 การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ 🇮🇷 การปฏิวัติที่เป็นแบบอย่างให้กับแกนต่อต้านการกดขี่ทั่วโลก ผลของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อการเมืองระดับโลก...... เหตุใดการปฏิวัติอิสลามจึงมีความสำคัญ ? และส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกอย่างไร ? เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงชั่วครู่ชั่วคราวต่อโลก เนื่องมาจากมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากเกินไป บางอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และความอดอยาก ในขณะที่บางอย่างเกิดจากฝีมือมนุษย์ สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ความตาย การทำลายล้าง การอพยพผู้คน และความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสังคม การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างเหมาะสม สาเหตุมาจากการต่อต้านและการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่เกิดขึ้นในหมู่จักรวรรดินิยมและไซออนิสต์ การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน แตกต่างจากขบวนการเสรีภาพในช่วงก่อนๆ ที่เพียงแค่โอนอำนาจจากนักล่าอาณานิคมยุโรปไปยังหุ่นเชิดของพวกเขาในสังคมท้องถิ่น การปฏิวัติอิสลามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในสังคม ระเบียบโลกในยุคปัจจุบันถูกกำหนดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอันเลวร้ายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน โดยที่สหภาพโซเวียตมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุด สงครามดังกล่าวได้ทำลายล้างยุโรปไปเป็นจำนวนมาก มหาอำนาจอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และแม้แต่เบลเยียมซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ต่างก็หมดอำนาจไป มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงดำรงอยู่คือสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจยุโรปจำเป็นต้องสละการครอบครองอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆก็คือ พวกเขาถูกเปลี่ยนมือจากการควบคุมของนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปไปอยู่ในมือของลุงแซม ซึ่งกลายเป็นผู้โหดร้ายยิ่งกว่าในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา ฐานทัพทหารสหรัฐฯ จำนวนมากรอบอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหลักฐานที่เพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่โลภมากของอเมริกา สหภาพโซเวียตได้ดำเนินตามแนวทางที่แตกต่างจากแนวทางของตะวันตกโดยรวมที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่แนวคิดคอมมิวนิสต์ก็เป็นผลผลิตของความคิดทางการเมืองของตะวันตกเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดขั้วตรงข้ามสองขั้วจากรากฐานเดียวกัน ซึ่งประเทศต่างๆ ต่างมาบรรจบกัน สิ่งที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านก็คือการหลุดพ้นจากการควบคุมของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจในโลกตะวันตก นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าร่วมโดยทันทีกับกลุ่มที่นำโดยสหภาพโซเวียตเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ อิหร่านหวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองนั่นคืออิสลาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมากระหว่างมหาอำนาจทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ไม่นานหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ) ได้ออกคำประกาศสองประการที่สั่นสะเทือนโลก ประการแรก มุสลิมต้องสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มัสยิดอัลอักซอและเป็นกิบลัตแรกของมุสลิม ซึ่งประการแรกนี้ถูกมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่อกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานที่เป็นอาณานิคมไซออนิสต์ ประการที่สอง การส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบอบการปกครองบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเปอร์เซีย แนวคิดในการส่งออกการปฏิวัติถูกเข้าใจผิดโดยระบอบการปกครองเหล่านี้ พวกเขาคิดว่ากองกำลังปฏิวัติของอิหร่านจะไหลบ่าข้ามพรมแดนและเข้ายึดครองอาณาจักรที่สั่นคลอนของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในหลายสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกการปฏิวัติหมายถึงการส่งออกแนวคิดและได้รับการนำไปใช้โดยผู้คนในสังคมนั้นๆ รัฐบาลอาหรับซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม ได้เปิดฉากสงครามอันเลวร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามโดยระบอบ ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก เป้าหมายของมันคือการทำลายสาธารณรัฐอิสลาม !!! หลังจากนั้นไม่นาน สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ก็ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งของชาติตะวันตก และด้วยจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อทำลายสาธารณรัฐอิสลามผ่านสงครามเศรษฐกิจ แปดปีที่สาธารณรัฐอิสลาม ผู้นำการปฏิวัติและประชาชนของสาธารณรัฐอิสลามสามารถต้านทานการโจมตีจากนานาชาติได้เพียงลำพัง พวกเขาได้ปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วและป้องกันการปฏิวัติด้วยการเสียสละอย่างมากมาย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับศัตรูจนไม่กล้าที่จะรุกรานสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยกองกำลังภาคพื้นดินอีกเลย ประเด็นการส่งออกของการปฏิวัติอิสลาม การเคลื่อนไหวแรกๆเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเลบานอน ซึ่งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ยึดครองไซออนิสต์และสร้างความอัปยศให้กับไซออนิสต์อิสราเอลจนถึงทุกวันนี้ แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านถูกส่งออกไปยังปาเลสไตน์ ซึ่งการต่อต้านในฉนวนกาซาก็เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติจากอิหร่าน แม้แต่นักวิจารณ์ชาวอิสราเอลหลายคนก็ยอมรับว่าอิสราเอลพ่ายแพ้ทางทหารต่อฮามาสและญิฮาดอิสลาม อิสราเอลได้สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนอย่างโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนที่สุด พื้นที่ที่แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านแพร่หลายออกไป ได้แก่ อิรักและเยเมน ในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน (IRGC)มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้รัฐบาลในกรุงดามัสกัสล่มสลาย ซึ่งเผชิญกับแผนการสมคบคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มไซออนิสต์ของสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมานานกว่าสิบปี แนวคิดปฏิวัติของอิหร่านได้แพร่กระจายไปถึงอเมริกาใต้ ไปถึงบริเวณหลังบ้านของสหรัฐฯ นับเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่สหรัฐฯ ได้รักษาอเมริกาใต้ไว้เป็นเขตอิทธิพลเฉพาะของตนในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร ทุกวันนี้ หลายๆประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิการากัว และโบลิเวีย ได้หลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ และกำลังกำหนดเส้นทางอิสระ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของอิหร่าน การล่มสลายของระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผลโดยตรงจากการแพร่กระจายแนวคิดปฏิวัติของอิหร่าน "สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เมื่อมีผู้นำที่ จริงใจ ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่นที่ยึดหลักความยุติธรรมและความเป็นธรรมของศาสนาเป็นตัวตั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนจำนวนน้อยจะสามารถเอาชนะอำนาจแห่งการกดขี่ที่แม้จะติดอาวุธหนักเพียงใดได้"
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • 8/10/67

    หิวยิ่งสุขภาพแข็งแรง

    สำนวนจีนโบราณว่าไว้...กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าปล่อยให้เหล่าทหารหิวโหย จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้รบ ความคิดนี้ถือว่าเก่าไปแล้ว เพราะมีการค้นพบใหม่ว่า "ความหิว" ส่งผลดีต่อร่างกายมนุษย์ แค่ปล่อยให้ท้องหิวมากกว่าอิ่ม สุขภาพก็จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

    เมื่อรู้สึกหิว ยีนบางตัวจะเริ่มเคลื่อนไหว!!"โยะชิโนะริ นะงุโมะ" ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกของญี่ปุ่น ค้นพบความลับนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว ถามว่าทำไมการไม่กินอาหารตลอดเวลา และปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆถึงดีต่อสุขภาพ คำตอบอยู่ที่ "ยืนช่วยให้รอดชีวิต"การกระตุ้น "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" ฟื้นคืนชีพ จะช่วยให้มนุษย์เรามีอายุยืนและมีสุขภาพดี ซึ่ง

    "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" จะปรากฏขึ้นเฉพาะตอนอดอยากเท่านั้น ยิ่งเราหิวเท่าไหร่ ความสามารถในการอยู่รอดก็จะยิ่งทำงานและทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้งในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้เผชิญกับภาวะอดอยาก หรือความเหน็บหนาว "ยีนช่วยให้รอดชีวิต" ก็จะไม่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นการกินอย่างอิ่มหนำสำราญตลอดเวลาของมนุษย์ยุคนี้กลับทำให้ร่างกายแก่ชรา อัตราการเกิดลดลง และภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ตลอด 170,000 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามนุษย์เพิงเริมได้กินอิ่มครบ 3 มื้อ เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

    ซึ่งอย่างมากก็ไม่น่าจะถึง 100 ปี ประเทศญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะเริ่มกินอาหารวันละ 3 มื้อ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันที่จริงมนุษย์เราเริ่ม กินอาหารตามเวลา มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็นก็หลังเกิดวัฒนธรรมการปลูกข้าวในจีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้านั้นเป็นยุคของวัฒนธรรมการล่าสัตว์ ถ้าล่าสัตว์ไม่ได้ก็จะไม่มีอาหารกินไปหลายวัน

    ร่างกายของคนยุคปัจจุบันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความอิ่มได้ เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเราได้รับยืนที่ช่วยให้รอดชีวิตจากการเผชิญกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ต้องทนกับความอดอยากและเหน็บหนาว ทำให้มนุษย์เรามีโครงสร้างร่างกายที่สามารถปรับตัวเข้ากับความอดอยากและความเหน็บหนาวได้ แต่ไม่เหมาะกับความอิ่มเลย!!

    "โรคเบาหวาน" ถือเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเพื่อปรับตัวให้รอดชีวิตในยุคสมัยนี้ ยุคของการกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งขัดกับธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ความลับของการปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆ และการกินอาหารวันละมื้อ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกสุดเมื่อเริ่มกินอาหารวันละมื้อคือ อาการรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ตรงปากทางเข้าของลำไส้เล็กในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดจะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่

    ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมา ลำไส้เล็กจะรีบหลั่งฮอร์โมนโมติลินสำหรับย่อยอาหาร ซึ่งทำให้กระเพาะอาหาร บีบตัว เพื่อส่งของกินที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เป็นการบีบตัวเมื่อหิวและทำให้เกิดอาการท้องร้องจ๊อกๆ

    ถ้าเราปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆอยู่อย่างนั้น โดยไม่กินอะไรเลย กระเพาะอาหารจะหลั่งฮอร์โมนเกรลินออกมา ซึ่งจะออกฤทธิ์ที่สมองทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ซึ่งก็คือฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว นี่เองคือความลับของการปล่อยให้ท้องร้อง จ๊อกๆเพราะความหิว


    ถึงท้องจะร้องดังแค่ไหนก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินกับโกรทฮอร์โมนสักครู่ เพื่อทำให้เรากลับไปเป็นหนุ่มสาว ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆนี่ล่ะ ความสามารถในการอยู่รอดจะพุ่งพล่านขึ้นมา บ่งบอกว่าได้เวลาทำงานของ "ยืนต่ออายุขัย" (ยืนเซอร์ทูอิน) ที่ขึ้นชื่อว่าจะทำให้อายุยืน จากการทดลองกับสัตว์ทุกชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่าตัว

    การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองมาทำให้ท้องร้องจ๊อกๆด้วยการกินอาหารวันละมื้อ โดยเลือกตามไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม แล้ว ยืนต่ออายุขัยจะช่วยสแกนยืนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูส่วนที่เสียหายความแก่ชราและโรคมะเร็งล้วนเกิดจากความผิดปกติของยืน เราสามารถกลับไปเป็นหนุ่มนุ่มสาวได้และป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็ง ด้วยการกินอาหารวันละมื้อ

    cr:www.thairath.co.th

    8/10/67 หิวยิ่งสุขภาพแข็งแรง สำนวนจีนโบราณว่าไว้...กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าปล่อยให้เหล่าทหารหิวโหย จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้รบ ความคิดนี้ถือว่าเก่าไปแล้ว เพราะมีการค้นพบใหม่ว่า "ความหิว" ส่งผลดีต่อร่างกายมนุษย์ แค่ปล่อยให้ท้องหิวมากกว่าอิ่ม สุขภาพก็จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อรู้สึกหิว ยีนบางตัวจะเริ่มเคลื่อนไหว!!"โยะชิโนะริ นะงุโมะ" ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกของญี่ปุ่น ค้นพบความลับนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว ถามว่าทำไมการไม่กินอาหารตลอดเวลา และปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆถึงดีต่อสุขภาพ คำตอบอยู่ที่ "ยืนช่วยให้รอดชีวิต"การกระตุ้น "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" ฟื้นคืนชีพ จะช่วยให้มนุษย์เรามีอายุยืนและมีสุขภาพดี ซึ่ง "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" จะปรากฏขึ้นเฉพาะตอนอดอยากเท่านั้น ยิ่งเราหิวเท่าไหร่ ความสามารถในการอยู่รอดก็จะยิ่งทำงานและทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้งในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้เผชิญกับภาวะอดอยาก หรือความเหน็บหนาว "ยีนช่วยให้รอดชีวิต" ก็จะไม่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นการกินอย่างอิ่มหนำสำราญตลอดเวลาของมนุษย์ยุคนี้กลับทำให้ร่างกายแก่ชรา อัตราการเกิดลดลง และภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ตลอด 170,000 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามนุษย์เพิงเริมได้กินอิ่มครบ 3 มื้อ เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอย่างมากก็ไม่น่าจะถึง 100 ปี ประเทศญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะเริ่มกินอาหารวันละ 3 มื้อ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันที่จริงมนุษย์เราเริ่ม กินอาหารตามเวลา มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็นก็หลังเกิดวัฒนธรรมการปลูกข้าวในจีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้านั้นเป็นยุคของวัฒนธรรมการล่าสัตว์ ถ้าล่าสัตว์ไม่ได้ก็จะไม่มีอาหารกินไปหลายวัน ร่างกายของคนยุคปัจจุบันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความอิ่มได้ เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเราได้รับยืนที่ช่วยให้รอดชีวิตจากการเผชิญกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ต้องทนกับความอดอยากและเหน็บหนาว ทำให้มนุษย์เรามีโครงสร้างร่างกายที่สามารถปรับตัวเข้ากับความอดอยากและความเหน็บหนาวได้ แต่ไม่เหมาะกับความอิ่มเลย!! "โรคเบาหวาน" ถือเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเพื่อปรับตัวให้รอดชีวิตในยุคสมัยนี้ ยุคของการกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งขัดกับธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ความลับของการปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆ และการกินอาหารวันละมื้อ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกสุดเมื่อเริ่มกินอาหารวันละมื้อคือ อาการรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ตรงปากทางเข้าของลำไส้เล็กในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดจะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมา ลำไส้เล็กจะรีบหลั่งฮอร์โมนโมติลินสำหรับย่อยอาหาร ซึ่งทำให้กระเพาะอาหาร บีบตัว เพื่อส่งของกินที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เป็นการบีบตัวเมื่อหิวและทำให้เกิดอาการท้องร้องจ๊อกๆ ถ้าเราปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆอยู่อย่างนั้น โดยไม่กินอะไรเลย กระเพาะอาหารจะหลั่งฮอร์โมนเกรลินออกมา ซึ่งจะออกฤทธิ์ที่สมองทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ซึ่งก็คือฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว นี่เองคือความลับของการปล่อยให้ท้องร้อง จ๊อกๆเพราะความหิว ถึงท้องจะร้องดังแค่ไหนก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินกับโกรทฮอร์โมนสักครู่ เพื่อทำให้เรากลับไปเป็นหนุ่มสาว ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆนี่ล่ะ ความสามารถในการอยู่รอดจะพุ่งพล่านขึ้นมา บ่งบอกว่าได้เวลาทำงานของ "ยืนต่ออายุขัย" (ยืนเซอร์ทูอิน) ที่ขึ้นชื่อว่าจะทำให้อายุยืน จากการทดลองกับสัตว์ทุกชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่าตัว การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองมาทำให้ท้องร้องจ๊อกๆด้วยการกินอาหารวันละมื้อ โดยเลือกตามไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม แล้ว ยืนต่ออายุขัยจะช่วยสแกนยืนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูส่วนที่เสียหายความแก่ชราและโรคมะเร็งล้วนเกิดจากความผิดปกติของยืน เราสามารถกลับไปเป็นหนุ่มนุ่มสาวได้และป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็ง ด้วยการกินอาหารวันละมื้อ cr:www.thairath.co.th
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.79 : วอร์เกม 2002

    ในปี 2002 กองทัพสหรัฐเกิดความคิดขึ้นว่า อยากจะสมมติสถานการณ์การรบ หรือ ”วอร์เกม“ ว่าถ้าเกิดกองทัพสหรัฐต้องรบกับอิหร่านแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผลการรบจะออกมาเป็นอย่างไร ใครจะสูญเสียเท่าไร

    กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ “เพนตากอน” จึงทุ่มงบประมาณไป 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเล่นวอร์เกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งการใช้เรือรบและเครื่องบินรบ ทหารจริงกว่า 13,000 คนเข้าร่วม และผสมกับการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการรบหรือซิมูเลเตอร์ด้วยครับ

    เป็นวอร์เกมที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเพนตากอน

    การฝึกนี้ชื่อว่า “มิลเลนเนียม ชาเล้นจ์ 2002“ ครับ เพนตากอนกำหนดไว้ว่าเขาจะเล่นวอร์เกมส์นี้กัน 14 วันถ้วน

    ในการฝึกนี้เขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงินซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐ นำโดยกองทัพเรือ

    ส่วนฝ่ายแดง คือ ฝ่ายอิหร่าน เพนตากอนเขาได้ตั้งพลเรือโทพอล แวน ริพเพอร์ มาเป็นแม่ทัพฝ่ายแดง ซึ่งนายพลผู้นี้ท่านเป็นทหารนาวิกโยธินอเมริกันที่เกษียณอายุแล้วครับ

    เงื่อนไขในการรบก็คือ ”อยู่ดีๆก็เกิดสงครามขึ้นซะยังงั้นแหละ“ นั่นหมายความว่า ในท้องทะเลก็ยังมีเรือสินค้า เรือเดินสมุทรแล่นไปแล่นมาอยู่ ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว

    และไฮไลท์ซึ่งเป็นมูลเหตุของวอร์เกมนี้คือ ให้ฝ่ายแดง(อิหร่าน)ใช้อาวุธและยุทธวิธีโลว์เทคในการรบ

    เพราะเพนตากอนอยากรู้ว่า ถ้ากองทัพสหรัฐต้องมาเจอกองทัพศัตรูที่ใช้อาวุธแสวงเครื่องและยุทโธปกรณ์ที่โลว์เทค หรือ Asymmetric warfare แล้ว กองทัพสหรัฐจะเป็นอย่างไร

    โดยเพนตากอนบอกท่านนายพลริพเพอร์ หรือ แม่ทัพฝ่ายแดงว่า “เล่นได้เต็มที่แบบ Free play เลย”

    ผลที่ได้คือ…
    .
    .
    .
    เปิดฉากมาวันแรกปุ๊บ ฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐก็ส่งสาส์นมายังฝ่ายแดงตามธรรมเนียมว่า “พลานุภาพกำลังรบและรี้พลของฝ่ายข้าพเจ้านั้นเหนือกว่าท่านมากมายนัก ขอให้ท่านจงยอมแพ้แต่โดยดีเถิด หาไม่แล้วอาณาประชาราษฎร์จะได้ยาก”

    ท่านนายพลริพเพอร์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และเริ่มเล่นยุทธวิธีที่เตรียมไว้คือ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการนำสาร ไม่มีการใช้วิทยุใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้กองทัพสหรัฐดักฟังหรือแจมระบบสื่อสารได้

    บรรดาฝูงรถมอเตอร์ไซค์พวกนี้นำคำสั่งของนายพลริพเพอร์วิ่งไปยังกองเรือเร็วขนาดเล็กที่บรรทุกมิสไซล์จอดเทียบอยู่ตามท่าเรือต่างๆ

    เมื่อรับคำสั่งปุ๊บบรรดาเรือสปีดโบ๊ทเหล่านี้ก็พร้อมใจกันแล่นมุ่งหน้าไปยังกองเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งอิหร่าน

    ด้วยความที่วอร์เกมนี้ระบุว่า “อยู่ดีๆสงครามก็ปะทุ” ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องแล่นเรือเข้ามาลอยลำใกล้ชายฝั่งอิหร่านมากกว่าปกติ เพราะต้องเว้นระยะห่างจากเส้นทางเรือสินค้าครับ

    เมื่อฝูงเรือสปีดโบ๊ทฝ่ายแดงแล่นเข้ามาได้ระยะยิงปุ๊บ ก็พร้อมใจกันระดมยิงขีปนาวุธห่าใหญ่ใส่กองเรือสหรัฐ จำนวนขีปนาวุธนี้มากมายท่วมท้นเสียจนระบบเรด้าร์และระบบป้องกันของเรือรบสหรัฐเอาไม่อยู่

    นอกจากนี้ยังมีเรือสปีดโบ๊ทบางลำใช้วิธีกามิกาเซ่ คือ บรรทุกระเบิดแล้วพุ่งเข้าชนเรือรบสหรัฐเพื่อให้ระเบิดไปด้วยกัน

    ผลที่ได้คือ เรือรบสหรัฐจมไป 16 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 5 ลำ และเรือลาดตระเวนอีก 10 ลำ

    จากนั้นท่านนายพลริพเพอร์ก็ใช้กระจกสะท้อนแสง เพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องบินรบฝ่ายแดงขึ้นบิน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ

    คีย์สำคัญคือ ฝ่ายแดงไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือเรด้าร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่สามารถแจมหรือสแกนหาที่ตั้งสถานีเรด้าร์ได้

    ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของวอร์เกม เรือของกองทัพเรือฝ่ายสหรัฐจมไป 16 ลำ ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์จริงๆแล้ว จะหมายถึงชีวิตของทหาร 20,000 คนเลยเชียว
    .
    .
    .
    เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพน้ำเงินหรือฝ่ายสหรัฐก็เต้นผาง โวยกับแม่ทัพฝ่ายแดงว่า “ยูฆ่าไอตายตั้งแต่วันแรก แล้วเวลาที่เหลืออีก 13 วันไอจะทำอะไรล่ะ เอางี้ละกันเรามารีสตาร์ทเริ่มเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน“

    แล้วก็มีการแก้บทในวอร์เกมใหม่ว่า ให้ฝ่ายแดงเปิดใช้สถานีเรด้าร์ เพื่อที่ฝ่ายสหรัฐจะได้สแกนหาเจอและส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มได้สะดวก ตามด้วยส่งทหารกองพลพลร่มที่ 82 กระโดดร่มลงไปยังที่หมาย

    ในระหว่างนี้ คนคุมวอร์เกมได้บอกแม่ทัพฝ่ายแดงว่าห้ามยิงเครื่องบินสหรัฐที่บินเข้ามา แม่ทัพฝ่ายแดงหรือนายพลริพเพอร์จึงไม่พอใจอย่างมากที่วอร์เกมนี้ไม่สมจริงและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ต้น

    เมื่อสคริปท์ได้เปลี่ยนไปเพื่อการันตีว่าฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น นายพลริพเพอร์จึงประท้วงด้วยการขอถอนตัวออกจากวอร์เกมกลางคัน เพราะท่านบอกว่า “เปลืองเงิน”

    ตามมาด้วยวิวาทะของแม่ทัพทั้งสองฝ่ายในวอร์เกมนี้ ต่างฝ่ายต่างด่ากันคนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ

    ส่วนเพนตากอนนั้นก็ออกมาแถลงว่า บทเรียนที่ได้จากวอร์เกมนี้จะถูกส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อพัฒนาหลักนิยมในการรบต่อไปในอนาคต
    .
    .
    .
    ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากจะเล่าว่า ในเวลานี้ก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกับในวอร์เกมดังกล่าวขึ้นจริงๆที่แถวเยเมนครับ

    อย่างที่เราทราบว่า เยเมนนั้นเป็นที่มั่นของพวกกองโจรฮูติ ซึ่งพวกฮูตินี้ได้ยึดครองชายฝั่งทะเลตรงปากทางเข้าทะเลแดง

    ทะเลแดงนี้เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของเรือสินค้าจำนวนมหาศาลครับ พวกฮูตินี้เริ่มมีอิทธิพลตรงปากทางเข้าทะเลแดงและยิงจรวดไปจมเรือสินค้าหลายๆลำตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา

    กองทัพเรือสหรัฐส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปคุ้มครองความปลอดภัยของเรือสินค้า ส่วนทางยุโรปก็ส่งกองทัพเรือผสมหลายๆชาติเข้าไปเช่นกัน

    แต่ฝ่ายฮูติก็ไม่ได้สนใจใยดี ยังคงยิงจรวดใส่เรือสินค้าเล่นไปอย่างนั้นมาได้ 6 เดือนแล้ว เกิดเหตุร้ายกับเรือสินค้านับได้ 100 กว่าเหตุการณ์

    แม้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะพร้อมรบเต็มที่ แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดฉากถล่มฮูติเต็มเหนี่ยว เพราะมันจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน

    ด้วยเหตุว่าอาวุธของฮูตินั้นเป็นอาวุธราคาประหยัดแต่มีประสิทธิภาพ เช่น ขีปนาวุธที่ยิงได้เป็นระยะ 200-300 กิโลเมตรและโดรนติดอาวุธราคาไม่เกินลำละ 2,000 ดอลล่าร์ ทั้งหมดนี้ได้รับสปอนเซอร์จากอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการก๊อปปี้และสร้างอาวุธราคาถูกได้ทีละมากๆ

    ส่วนอาวุธของฝ่ายสหรัฐนั้นราคาแพง เช่น ขีปนาวุธครูซลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 1-4 ล้านดอลล่าร์

    เรือพิฆาตของสหรัฐลำหนึ่ง ราคา 2 พันล้านดอลล่าร์ และค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้มันแล่นเป็นเรือรบอยู่ได้ก็ตกเดือนละ 7 ล้านเหรียญ

    การรบระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองโจรฮูติ จึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เพราะเผลอๆเรือรบแพงๆอาจโดนขีปนาวุธราคาถูกยิงจมเอาได้ง่ายๆ

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…..


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.79 : วอร์เกม 2002 ในปี 2002 กองทัพสหรัฐเกิดความคิดขึ้นว่า อยากจะสมมติสถานการณ์การรบ หรือ ”วอร์เกม“ ว่าถ้าเกิดกองทัพสหรัฐต้องรบกับอิหร่านแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผลการรบจะออกมาเป็นอย่างไร ใครจะสูญเสียเท่าไร กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ “เพนตากอน” จึงทุ่มงบประมาณไป 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเล่นวอร์เกมนี้ ซึ่งก็มีทั้งการใช้เรือรบและเครื่องบินรบ ทหารจริงกว่า 13,000 คนเข้าร่วม และผสมกับการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการรบหรือซิมูเลเตอร์ด้วยครับ เป็นวอร์เกมที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเพนตากอน การฝึกนี้ชื่อว่า “มิลเลนเนียม ชาเล้นจ์ 2002“ ครับ เพนตากอนกำหนดไว้ว่าเขาจะเล่นวอร์เกมส์นี้กัน 14 วันถ้วน ในการฝึกนี้เขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงินซึ่งหมายถึงกองทัพสหรัฐ นำโดยกองทัพเรือ ส่วนฝ่ายแดง คือ ฝ่ายอิหร่าน เพนตากอนเขาได้ตั้งพลเรือโทพอล แวน ริพเพอร์ มาเป็นแม่ทัพฝ่ายแดง ซึ่งนายพลผู้นี้ท่านเป็นทหารนาวิกโยธินอเมริกันที่เกษียณอายุแล้วครับ เงื่อนไขในการรบก็คือ ”อยู่ดีๆก็เกิดสงครามขึ้นซะยังงั้นแหละ“ นั่นหมายความว่า ในท้องทะเลก็ยังมีเรือสินค้า เรือเดินสมุทรแล่นไปแล่นมาอยู่ ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว และไฮไลท์ซึ่งเป็นมูลเหตุของวอร์เกมนี้คือ ให้ฝ่ายแดง(อิหร่าน)ใช้อาวุธและยุทธวิธีโลว์เทคในการรบ เพราะเพนตากอนอยากรู้ว่า ถ้ากองทัพสหรัฐต้องมาเจอกองทัพศัตรูที่ใช้อาวุธแสวงเครื่องและยุทโธปกรณ์ที่โลว์เทค หรือ Asymmetric warfare แล้ว กองทัพสหรัฐจะเป็นอย่างไร โดยเพนตากอนบอกท่านนายพลริพเพอร์ หรือ แม่ทัพฝ่ายแดงว่า “เล่นได้เต็มที่แบบ Free play เลย” ผลที่ได้คือ… . . . เปิดฉากมาวันแรกปุ๊บ ฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐก็ส่งสาส์นมายังฝ่ายแดงตามธรรมเนียมว่า “พลานุภาพกำลังรบและรี้พลของฝ่ายข้าพเจ้านั้นเหนือกว่าท่านมากมายนัก ขอให้ท่านจงยอมแพ้แต่โดยดีเถิด หาไม่แล้วอาณาประชาราษฎร์จะได้ยาก” ท่านนายพลริพเพอร์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และเริ่มเล่นยุทธวิธีที่เตรียมไว้คือ ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการนำสาร ไม่มีการใช้วิทยุใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้กองทัพสหรัฐดักฟังหรือแจมระบบสื่อสารได้ บรรดาฝูงรถมอเตอร์ไซค์พวกนี้นำคำสั่งของนายพลริพเพอร์วิ่งไปยังกองเรือเร็วขนาดเล็กที่บรรทุกมิสไซล์จอดเทียบอยู่ตามท่าเรือต่างๆ เมื่อรับคำสั่งปุ๊บบรรดาเรือสปีดโบ๊ทเหล่านี้ก็พร้อมใจกันแล่นมุ่งหน้าไปยังกองเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งอิหร่าน ด้วยความที่วอร์เกมนี้ระบุว่า “อยู่ดีๆสงครามก็ปะทุ” ทำให้กองทัพเรือสหรัฐต้องแล่นเรือเข้ามาลอยลำใกล้ชายฝั่งอิหร่านมากกว่าปกติ เพราะต้องเว้นระยะห่างจากเส้นทางเรือสินค้าครับ เมื่อฝูงเรือสปีดโบ๊ทฝ่ายแดงแล่นเข้ามาได้ระยะยิงปุ๊บ ก็พร้อมใจกันระดมยิงขีปนาวุธห่าใหญ่ใส่กองเรือสหรัฐ จำนวนขีปนาวุธนี้มากมายท่วมท้นเสียจนระบบเรด้าร์และระบบป้องกันของเรือรบสหรัฐเอาไม่อยู่ นอกจากนี้ยังมีเรือสปีดโบ๊ทบางลำใช้วิธีกามิกาเซ่ คือ บรรทุกระเบิดแล้วพุ่งเข้าชนเรือรบสหรัฐเพื่อให้ระเบิดไปด้วยกัน ผลที่ได้คือ เรือรบสหรัฐจมไป 16 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือยกพลขึ้นบก 5 ลำ และเรือลาดตระเวนอีก 10 ลำ จากนั้นท่านนายพลริพเพอร์ก็ใช้กระจกสะท้อนแสง เพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องบินรบฝ่ายแดงขึ้นบิน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ คีย์สำคัญคือ ฝ่ายแดงไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลยไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือเรด้าร์ ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่สามารถแจมหรือสแกนหาที่ตั้งสถานีเรด้าร์ได้ ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของวอร์เกม เรือของกองทัพเรือฝ่ายสหรัฐจมไป 16 ลำ ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์จริงๆแล้ว จะหมายถึงชีวิตของทหาร 20,000 คนเลยเชียว . . . เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพน้ำเงินหรือฝ่ายสหรัฐก็เต้นผาง โวยกับแม่ทัพฝ่ายแดงว่า “ยูฆ่าไอตายตั้งแต่วันแรก แล้วเวลาที่เหลืออีก 13 วันไอจะทำอะไรล่ะ เอางี้ละกันเรามารีสตาร์ทเริ่มเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน“ แล้วก็มีการแก้บทในวอร์เกมใหม่ว่า ให้ฝ่ายแดงเปิดใช้สถานีเรด้าร์ เพื่อที่ฝ่ายสหรัฐจะได้สแกนหาเจอและส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มได้สะดวก ตามด้วยส่งทหารกองพลพลร่มที่ 82 กระโดดร่มลงไปยังที่หมาย ในระหว่างนี้ คนคุมวอร์เกมได้บอกแม่ทัพฝ่ายแดงว่าห้ามยิงเครื่องบินสหรัฐที่บินเข้ามา แม่ทัพฝ่ายแดงหรือนายพลริพเพอร์จึงไม่พอใจอย่างมากที่วอร์เกมนี้ไม่สมจริงและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ต้น เมื่อสคริปท์ได้เปลี่ยนไปเพื่อการันตีว่าฝ่ายน้ำเงินหรือสหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น นายพลริพเพอร์จึงประท้วงด้วยการขอถอนตัวออกจากวอร์เกมกลางคัน เพราะท่านบอกว่า “เปลืองเงิน” ตามมาด้วยวิวาทะของแม่ทัพทั้งสองฝ่ายในวอร์เกมนี้ ต่างฝ่ายต่างด่ากันคนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ ส่วนเพนตากอนนั้นก็ออกมาแถลงว่า บทเรียนที่ได้จากวอร์เกมนี้จะถูกส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพื่อพัฒนาหลักนิยมในการรบต่อไปในอนาคต . . . ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากจะเล่าว่า ในเวลานี้ก็เกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกับในวอร์เกมดังกล่าวขึ้นจริงๆที่แถวเยเมนครับ อย่างที่เราทราบว่า เยเมนนั้นเป็นที่มั่นของพวกกองโจรฮูติ ซึ่งพวกฮูตินี้ได้ยึดครองชายฝั่งทะเลตรงปากทางเข้าทะเลแดง ทะเลแดงนี้เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของเรือสินค้าจำนวนมหาศาลครับ พวกฮูตินี้เริ่มมีอิทธิพลตรงปากทางเข้าทะเลแดงและยิงจรวดไปจมเรือสินค้าหลายๆลำตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา กองทัพเรือสหรัฐส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปคุ้มครองความปลอดภัยของเรือสินค้า ส่วนทางยุโรปก็ส่งกองทัพเรือผสมหลายๆชาติเข้าไปเช่นกัน แต่ฝ่ายฮูติก็ไม่ได้สนใจใยดี ยังคงยิงจรวดใส่เรือสินค้าเล่นไปอย่างนั้นมาได้ 6 เดือนแล้ว เกิดเหตุร้ายกับเรือสินค้านับได้ 100 กว่าเหตุการณ์ แม้กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะพร้อมรบเต็มที่ แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดฉากถล่มฮูติเต็มเหนี่ยว เพราะมันจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ด้วยเหตุว่าอาวุธของฮูตินั้นเป็นอาวุธราคาประหยัดแต่มีประสิทธิภาพ เช่น ขีปนาวุธที่ยิงได้เป็นระยะ 200-300 กิโลเมตรและโดรนติดอาวุธราคาไม่เกินลำละ 2,000 ดอลล่าร์ ทั้งหมดนี้ได้รับสปอนเซอร์จากอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งการก๊อปปี้และสร้างอาวุธราคาถูกได้ทีละมากๆ ส่วนอาวุธของฝ่ายสหรัฐนั้นราคาแพง เช่น ขีปนาวุธครูซลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 1-4 ล้านดอลล่าร์ เรือพิฆาตของสหรัฐลำหนึ่ง ราคา 2 พันล้านดอลล่าร์ และค่าใช้จ่ายในการที่จะทำให้มันแล่นเป็นเรือรบอยู่ได้ก็ตกเดือนละ 7 ล้านเหรียญ การรบระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองโจรฮูติ จึงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง เพราะเผลอๆเรือรบแพงๆอาจโดนขีปนาวุธราคาถูกยิงจมเอาได้ง่ายๆ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ….. นัทแนะ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠

    😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎

    นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

    ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย

    แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ

    ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่

    เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม

    หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า:

    “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล”

    มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ

    สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา

    หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า:

    “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้”

    ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน

    ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน

    เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้

    ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี!

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

    😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎

    นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว

    ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา

    ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน

    ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก

    เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย

    ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก

    ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น

    นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม

    ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน

    ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้

    นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม

    ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี

    นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ

    ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น

    หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด

    ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม

    ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด

    เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก?

    แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

    ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ

    แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง

    เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง

    สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป

    ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น

    ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠 😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า: “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล” มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า: “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้” ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้ ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี! นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ 😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎 นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก? แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 677 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts