• จินนี่ ตอนที่ 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่”
    ตอน 4
    อเมริกากำลังคิดอะไรอยู่ หรืออเมริกา รออะไร
    อเมริกาน่าจะกำลัง “ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จัก” กับศักยภาพกองทัพของรัสเซียของจริง จากการรบของรัสเซียในตะวันออกกลาง ไม่ใช่จากกระดาษรายงาน ของเหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือถังความคิด รายใดรายหนึ่ง
    เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ประมาณ 2 เดือนหลังจากเฝ้าดูลีลาของรัสเซียในตะวันออกกลาง นาย Richard N Haass ประธานถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา The Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะที่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นผู้กำกับฝูงนกอินทรีตัวจริง ก็ลงมือเขียนรายงาน ชื่อ “Testing Putin in Syria ”
    ท่านประธานถังขยะ สรุปว่า ชัดเจนว่าการเข้าไปในตะวันออกกลางของปูติน เหมือนไปต่อท่อหายใจให้กับอัสสาดของซีเรีย แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ใช้โอกาสนี้ บอกให้โลกรู้ว่า รัสเซียยังอยู่นะ และอยู่แบบแข็งแรงด้วย เป็นการเบี่ยงเบน จากความจริงว่า เศรษฐกิจในบ้านรัสเซียกำลังหดเหี่ยว และเพื่อให้ผู้คนลืมเรื่องยูเครนไปด้วย ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองในรัสเซียนั่นแหละ
    มีหลายคนเป็นห่วงว่า การที่รัสเซียเข้าไปในซีเรีย ไม่ใช่จะทำให้ อัสสาดเผด็จการจอมโหดแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกไอซิสโตขึ้นอีกด้วย เพราะการที่รัสเซียมุ่งหน้าแต่จะทำลายศัตรูของอัสสาด เท่ากับเปิดโอกาส ให้ไอซิสขยายพันธ์ง่ายขึ้นอีกด้วย
    นอกจากนี้ยังมีผู้ห่วงว่า รัสเซีย จะเป็นคนเริ่มสงครามเย็นในตะวันออกกลาง ด้วยการปิดล้อม ประเทศที่อยู่คนละฝ่ายกับอัสสาด แต่ท่านประธานถังขยะ บอกว่า ลืมไปได้เลย รัสเซียไม่มีปัญญารับมือกับการเปิดศึกหลายด้านหรอก เพราะนโยบายต่างประเทศแบบนั้น มันมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสภาพทางเศรษฐกิจ กับสภาพกองทัพของรัสเซีย ไม่เอื้อให้รัสเซียเล่นได้ขนาดนั้น และก็ไม่แน่ว่า ชาวรัสเซียจะสนับสนุนปูติน ให้ทำเช่นนั้นด้วย
    ก็เหลือแต่ว่าปูติน ยังอยากจะเพลินกับการปกครอง แบบรวบอำนาจของตน ไปอีกนานไหมล่ะ ทุกอย่างมันมีขอบเขต และมีราคาทั้งสิ้น และปูตินอย่าลืมว่า เมื่อไอซิสแข็งแรงขึ้น ไม่นานเกินรอ คงได้เห็นนักรบพลีชีพ ไปก่อระเบิดในมอสโคว์แน่นอน (ขณะที่เขียนนี่ มอสโคว์ยังไม่มีระเบิดพลีชีพ แต่เครื่องบินโดยสารของรัสเซียโดนมือมืดสอยร่วงไปแล้ว นับว่าท่านประธานถังขยะ อ่านเกมขาด.!?)
    ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ปูตินคิดเรื่องซีเรีย ถึงขนาดไหน ถึงขนาดจะเอาอัสสาดไว้ ไม่ว่าต้วเองจะฉิบหายแค่ไหนอย่างนั้นหรือ หรือเอาแค่ว่า รัสเซียก็สามารถมีส่วน ในการจัดการตะวันออกกลางด้วย โดยไม่ต้องเอาเรื่องอัสสาดมาเกี่ยว
    ประธานถังขยะ แนะนำว่า ระหว่างที่ท่าทีของรัสเซียยังไม่ชัดเจน อเมริกาเอง ควรเลือกดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ จัดการดุลยอำนาจในบริเวณซีเรียเสียใหม่ ด้วยการสนับสนุนชาวเคิร์ด กับพวกสุนนี่บางกลุ่มเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็เดินหน้าถล่มไอซิสจากทางอากาศต่อไป เหมือนเดิมอีกเหมือนกัน
    ขณะเดียวกัน ก็พยายามดำเนินการทางการทูต เพื่อนำไปสู่ “การแบ่งซีเรีย” !!!!
    โดยแบ่งซีเรียออกเป็นส่วนๆ และแยกการปกครอง ของแต่ละส่วนออกจากกัน น่าจะเป็นสูตรที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าอเมริกา หรือใคร ก็คงไม่ได้สนใจจริงจังใช่ไหม ที่จะรักษารัฐบาลของซีเรีย ที่มีอำนาจควบคุมซีเรียทั้งหมดหรอก
    และด้วยการดำเนินการอย่างนี้ อเมริกาก็สามารถที่จะให้รัสเซีย และแม้แต่ อิหร่าน ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่ง (เค๊ก) ซีเรียด้วยกัน แบบนี้ ปูตินก็น่าจะพอใจ เพราะได้หน้ากำลังดี คุ้มกับราคาที่เสียไปในการเข้ามาในซีเรีย
    …ดูเหมือน บทความนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง ระหว่างที่ท่านหัวหน้าใบตองแห้งกำลังนั่งกัดเล็บ อยู่ในมุมมืดของห้องทำงานที่ทำเนียบขาว รอผลสรุปจากพวกลูกกระเป๋ง ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ หาทางเดินให้ตัวเอง….
    แต่ผมขอเพิ่มสักหน่อยว่า บทความของท่านประธานถังขยะ นี่มันยั่วยวน กวนส้นจริงๆ ส่อสันดานอเมริกาของแท้อย่างชัดเจน ทั้งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่มีใครเก่งวิเศษเท่ามึง ที่ดีแต่ปาก แต่ จริงๆก็ขี้ขลาดเอาตัวรอด งก และยังหน้าด้าน เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งลางแพ้รออยู่ข้างหน้า … มึงคิดได้ยังไง อยู่ดีๆจะเสนอแบ่งประเทศเขา….. เราต้องจำวิธีคิดแบบนี้ของไอ้ใบตองแห้งให้ดีๆ นะครับ
    เห็นการวิเคราะห์ของฝั่งวอชิงตันแล้ว คราวนี้ลองไปฟัง การวิเคราะห์ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้างครับ
    2 วัน ก่อนหน้าที่เรื่อง คุณจีนนี่ จะออกมาเป็นข่าว ถังขยะความคิดของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ Chatham House คู่แฝดของ CFR ก็ออกบทความเหมือนกัน ชื่อ Putin’s Gamble in Syria เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2015
    สรุปว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมัยสหภาพโซเวียต หรือเป็นรัสเซียใหม่ ยังไม่เคยมีก้าวไหนของรัสเซียที่ท้าทาย เท่ากับการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนใหญ่ เวลาที่รัสเซียมีกิจกรรมนอกพื้นที่ตัวเอง ก็มักจะเกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องของรัสเซียเอง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น
    เมื่อวันที่นายปูติน บินไปนิวยอร์ค เพื่อพบหน้ากับนายโอบามา ในการประชุมใหญ่ของสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูติน พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น ในวันนั้น กองทัพของรัสเซีย เครื่องบินรบ รวมทั้งนาวิกโยธินของรัสเซีย และเรือบรรทุกครื่องบิน Moskva ทั้งหมด ได้ไปประจำการณ์อยู่ที่ท่าเรือ Latakia/Tartous ที่อยู่ทางเหนือของซีเรีย เรียบร้อยหมดแล้ว และเมื่อปูติน
    พบกับโอบามา เขาก็คงจะบอกกับโอบามา ว่ารัสเซียจะใช้ของที่เอาไปอยู่ตรงนั้นอย่างไร และจริงๆ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝูงบิน Sukhoi ของรัสเซีย ก็เริ่มโจมตีกลุ่มไอซิส ที่ al-Rakaa แล้ว รวมทั้งโจมตีกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ที่อเมริกาและพวก ที่นำโดยซาอุดิอารเบีย และตุรกี เป็นผู้สนับสนุนอีกด้วย
    การจู่โจมของรัสเซีย นับเป็นปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นอย่างมากในตะวันออกกลาง แม้ว่าจะปูตินจะพารัสเซียเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปูตินยังมียุทธศาสตร์ ในขณะที่โอบามาเอง กำลังนั่งมึนหาทางไปไม่เจอ แต่ปูตินเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนั้น เมื่อวันตัดสินชะตาของซีเรียเกิดขึ้น แต่โอบามา ยังคงนั่งเงียบอยู่
    ผลกระทบในตะวันออกกลาง จากการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของรัสเซีย มีสูงยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายสุนนี่ที่ต่อต้านอัสสาด (ซาอุดิอารเบีย การ์ตา ตุรกี) กับฝ่ายรัสเซีย ที่สนับสนุน อัสสาด รวมทั้งความไม่เด็ดขาดของโอบามา เมื่อเทียบกับปูติน
    ถังขยะของชาวเกาะบอกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 รายการ คือ สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอียิปต์ ที่ดูเหมือนนับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของอเมริกา ที่มีต่ออียิปต์ดูเหมือนจะจางลง (มิน่า เครื่องบินรัสเซีย ถึงต้องถูกสอยร่วงที่อียิปต์ เดี๋ยวจะใกล้ชิดกันมากไป..)
    แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู บินไปหา ปูติน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมง
    หนังสือพิมพ์ Haaretz ซึ่งเป็นสื่อมีเสียงดังมากในอิสราเอล สรุปการเดินทางไปมอสโคว์ของเนทันยาฮูว่า “เป็นการแสดงให้เห็นว่า อำนาจของอเมริกาในตะวันออกกลาง เป็นอดีตไปเสียแล้ว…”
    ถังของชาวเกาะ สรุปส่งท้ายว่า โอกาสที่อเมริกา จะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม มีแค่ทางเดียว คือ อเมริกาต้องเคลื่อนตัวเองเข้ามาในตะวันออกกลางเสียใหม่ และอย่างรวดเร็ว และจัดการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในซีเรีย
    เป็นถังขยะแฝดกันก็จริง และทุกทีก็มักจะวิเคราะห์แบบประสานเสียงกัน โดยเฉพาะเวลาร้องเพลงด่ารัสเซีย เอ แต่ทำไมเรื่องรัสเซียอุ้มซีเรียคราวนี้ คู่แฝดเหมือนแตกเสียงกัน แต่จะถึงกับแตกคอกันหรือไม่… ดูไปก่อนนะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ย. 2558
    จินนี่ ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่” ตอน 4 อเมริกากำลังคิดอะไรอยู่ หรืออเมริกา รออะไร อเมริกาน่าจะกำลัง “ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จัก” กับศักยภาพกองทัพของรัสเซียของจริง จากการรบของรัสเซียในตะวันออกกลาง ไม่ใช่จากกระดาษรายงาน ของเหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือถังความคิด รายใดรายหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ประมาณ 2 เดือนหลังจากเฝ้าดูลีลาของรัสเซียในตะวันออกกลาง นาย Richard N Haass ประธานถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา The Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะที่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นผู้กำกับฝูงนกอินทรีตัวจริง ก็ลงมือเขียนรายงาน ชื่อ “Testing Putin in Syria ” ท่านประธานถังขยะ สรุปว่า ชัดเจนว่าการเข้าไปในตะวันออกกลางของปูติน เหมือนไปต่อท่อหายใจให้กับอัสสาดของซีเรีย แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ใช้โอกาสนี้ บอกให้โลกรู้ว่า รัสเซียยังอยู่นะ และอยู่แบบแข็งแรงด้วย เป็นการเบี่ยงเบน จากความจริงว่า เศรษฐกิจในบ้านรัสเซียกำลังหดเหี่ยว และเพื่อให้ผู้คนลืมเรื่องยูเครนไปด้วย ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองในรัสเซียนั่นแหละ มีหลายคนเป็นห่วงว่า การที่รัสเซียเข้าไปในซีเรีย ไม่ใช่จะทำให้ อัสสาดเผด็จการจอมโหดแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกไอซิสโตขึ้นอีกด้วย เพราะการที่รัสเซียมุ่งหน้าแต่จะทำลายศัตรูของอัสสาด เท่ากับเปิดโอกาส ให้ไอซิสขยายพันธ์ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ห่วงว่า รัสเซีย จะเป็นคนเริ่มสงครามเย็นในตะวันออกกลาง ด้วยการปิดล้อม ประเทศที่อยู่คนละฝ่ายกับอัสสาด แต่ท่านประธานถังขยะ บอกว่า ลืมไปได้เลย รัสเซียไม่มีปัญญารับมือกับการเปิดศึกหลายด้านหรอก เพราะนโยบายต่างประเทศแบบนั้น มันมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสภาพทางเศรษฐกิจ กับสภาพกองทัพของรัสเซีย ไม่เอื้อให้รัสเซียเล่นได้ขนาดนั้น และก็ไม่แน่ว่า ชาวรัสเซียจะสนับสนุนปูติน ให้ทำเช่นนั้นด้วย ก็เหลือแต่ว่าปูติน ยังอยากจะเพลินกับการปกครอง แบบรวบอำนาจของตน ไปอีกนานไหมล่ะ ทุกอย่างมันมีขอบเขต และมีราคาทั้งสิ้น และปูตินอย่าลืมว่า เมื่อไอซิสแข็งแรงขึ้น ไม่นานเกินรอ คงได้เห็นนักรบพลีชีพ ไปก่อระเบิดในมอสโคว์แน่นอน (ขณะที่เขียนนี่ มอสโคว์ยังไม่มีระเบิดพลีชีพ แต่เครื่องบินโดยสารของรัสเซียโดนมือมืดสอยร่วงไปแล้ว นับว่าท่านประธานถังขยะ อ่านเกมขาด.!?) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ปูตินคิดเรื่องซีเรีย ถึงขนาดไหน ถึงขนาดจะเอาอัสสาดไว้ ไม่ว่าต้วเองจะฉิบหายแค่ไหนอย่างนั้นหรือ หรือเอาแค่ว่า รัสเซียก็สามารถมีส่วน ในการจัดการตะวันออกกลางด้วย โดยไม่ต้องเอาเรื่องอัสสาดมาเกี่ยว ประธานถังขยะ แนะนำว่า ระหว่างที่ท่าทีของรัสเซียยังไม่ชัดเจน อเมริกาเอง ควรเลือกดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ จัดการดุลยอำนาจในบริเวณซีเรียเสียใหม่ ด้วยการสนับสนุนชาวเคิร์ด กับพวกสุนนี่บางกลุ่มเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็เดินหน้าถล่มไอซิสจากทางอากาศต่อไป เหมือนเดิมอีกเหมือนกัน ขณะเดียวกัน ก็พยายามดำเนินการทางการทูต เพื่อนำไปสู่ “การแบ่งซีเรีย” !!!! โดยแบ่งซีเรียออกเป็นส่วนๆ และแยกการปกครอง ของแต่ละส่วนออกจากกัน น่าจะเป็นสูตรที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าอเมริกา หรือใคร ก็คงไม่ได้สนใจจริงจังใช่ไหม ที่จะรักษารัฐบาลของซีเรีย ที่มีอำนาจควบคุมซีเรียทั้งหมดหรอก และด้วยการดำเนินการอย่างนี้ อเมริกาก็สามารถที่จะให้รัสเซีย และแม้แต่ อิหร่าน ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่ง (เค๊ก) ซีเรียด้วยกัน แบบนี้ ปูตินก็น่าจะพอใจ เพราะได้หน้ากำลังดี คุ้มกับราคาที่เสียไปในการเข้ามาในซีเรีย …ดูเหมือน บทความนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง ระหว่างที่ท่านหัวหน้าใบตองแห้งกำลังนั่งกัดเล็บ อยู่ในมุมมืดของห้องทำงานที่ทำเนียบขาว รอผลสรุปจากพวกลูกกระเป๋ง ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ หาทางเดินให้ตัวเอง…. แต่ผมขอเพิ่มสักหน่อยว่า บทความของท่านประธานถังขยะ นี่มันยั่วยวน กวนส้นจริงๆ ส่อสันดานอเมริกาของแท้อย่างชัดเจน ทั้งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่มีใครเก่งวิเศษเท่ามึง ที่ดีแต่ปาก แต่ จริงๆก็ขี้ขลาดเอาตัวรอด งก และยังหน้าด้าน เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งลางแพ้รออยู่ข้างหน้า … มึงคิดได้ยังไง อยู่ดีๆจะเสนอแบ่งประเทศเขา….. เราต้องจำวิธีคิดแบบนี้ของไอ้ใบตองแห้งให้ดีๆ นะครับ เห็นการวิเคราะห์ของฝั่งวอชิงตันแล้ว คราวนี้ลองไปฟัง การวิเคราะห์ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้างครับ 2 วัน ก่อนหน้าที่เรื่อง คุณจีนนี่ จะออกมาเป็นข่าว ถังขยะความคิดของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ Chatham House คู่แฝดของ CFR ก็ออกบทความเหมือนกัน ชื่อ Putin’s Gamble in Syria เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2015 สรุปว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมัยสหภาพโซเวียต หรือเป็นรัสเซียใหม่ ยังไม่เคยมีก้าวไหนของรัสเซียที่ท้าทาย เท่ากับการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนใหญ่ เวลาที่รัสเซียมีกิจกรรมนอกพื้นที่ตัวเอง ก็มักจะเกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องของรัสเซียเอง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อวันที่นายปูติน บินไปนิวยอร์ค เพื่อพบหน้ากับนายโอบามา ในการประชุมใหญ่ของสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูติน พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น ในวันนั้น กองทัพของรัสเซีย เครื่องบินรบ รวมทั้งนาวิกโยธินของรัสเซีย และเรือบรรทุกครื่องบิน Moskva ทั้งหมด ได้ไปประจำการณ์อยู่ที่ท่าเรือ Latakia/Tartous ที่อยู่ทางเหนือของซีเรีย เรียบร้อยหมดแล้ว และเมื่อปูติน พบกับโอบามา เขาก็คงจะบอกกับโอบามา ว่ารัสเซียจะใช้ของที่เอาไปอยู่ตรงนั้นอย่างไร และจริงๆ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝูงบิน Sukhoi ของรัสเซีย ก็เริ่มโจมตีกลุ่มไอซิส ที่ al-Rakaa แล้ว รวมทั้งโจมตีกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ที่อเมริกาและพวก ที่นำโดยซาอุดิอารเบีย และตุรกี เป็นผู้สนับสนุนอีกด้วย การจู่โจมของรัสเซีย นับเป็นปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นอย่างมากในตะวันออกกลาง แม้ว่าจะปูตินจะพารัสเซียเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปูตินยังมียุทธศาสตร์ ในขณะที่โอบามาเอง กำลังนั่งมึนหาทางไปไม่เจอ แต่ปูตินเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนั้น เมื่อวันตัดสินชะตาของซีเรียเกิดขึ้น แต่โอบามา ยังคงนั่งเงียบอยู่ ผลกระทบในตะวันออกกลาง จากการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของรัสเซีย มีสูงยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายสุนนี่ที่ต่อต้านอัสสาด (ซาอุดิอารเบีย การ์ตา ตุรกี) กับฝ่ายรัสเซีย ที่สนับสนุน อัสสาด รวมทั้งความไม่เด็ดขาดของโอบามา เมื่อเทียบกับปูติน ถังขยะของชาวเกาะบอกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 รายการ คือ สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอียิปต์ ที่ดูเหมือนนับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของอเมริกา ที่มีต่ออียิปต์ดูเหมือนจะจางลง (มิน่า เครื่องบินรัสเซีย ถึงต้องถูกสอยร่วงที่อียิปต์ เดี๋ยวจะใกล้ชิดกันมากไป..) แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู บินไปหา ปูติน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมง หนังสือพิมพ์ Haaretz ซึ่งเป็นสื่อมีเสียงดังมากในอิสราเอล สรุปการเดินทางไปมอสโคว์ของเนทันยาฮูว่า “เป็นการแสดงให้เห็นว่า อำนาจของอเมริกาในตะวันออกกลาง เป็นอดีตไปเสียแล้ว…” ถังของชาวเกาะ สรุปส่งท้ายว่า โอกาสที่อเมริกา จะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม มีแค่ทางเดียว คือ อเมริกาต้องเคลื่อนตัวเองเข้ามาในตะวันออกกลางเสียใหม่ และอย่างรวดเร็ว และจัดการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในซีเรีย เป็นถังขยะแฝดกันก็จริง และทุกทีก็มักจะวิเคราะห์แบบประสานเสียงกัน โดยเฉพาะเวลาร้องเพลงด่ารัสเซีย เอ แต่ทำไมเรื่องรัสเซียอุ้มซีเรียคราวนี้ คู่แฝดเหมือนแตกเสียงกัน แต่จะถึงกับแตกคอกันหรือไม่… ดูไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 3

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 3
    ในปี ค.ศ.1979 ราชวงศ์ซาอูดถูกท้าทาย จากการบุกยึดมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลก ที่นครเมกกะ โดยกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ที่เชื่อว่าวันสุดท้ายของความชั่วร้ายมาถึงแล้ว การต่อสู้เพื่อยึดเอามัสยิดกลับ ดำเนินอยู่หลายสัปดาห์ โดยฝ่ายราชวงศ์ใช้กองทัพ ที่อำนวยการโดยกระทรวงมหาดไทย และมีหน่วยคอมมานโดของฝรั่งเศส ที่ราชวงศ์จ้างไว้เป็นพิเศษคอยช่วยเหลือ รวมทั้งมีการใช้อาวุธเคมีด้วย ฝ่ายราชวงศ์จึงยึดมัสยิดใหญ่กลับคืนมาได้
    รายการท้าทายนี้ ทำให้ราชวงศ์และรัฐบาลซาอุเสียหน้าอย่างมาก และที่ทำให้อึกอักหนักขึ้น เมื่อผลการสอบสวนตัวการท้าทายทั้งหลาย กลายเป็นว่า หลายคนรู้จักดี กับรัฐมนตรีมหาดไทย the Black Prince และหลังจากการสอบสวน แม้ว่าหลายคนจะถูกกักขัง แต่ในที่สุด ด้วยคำแนะนำของฝ่ายศาสนาที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีมหาดไทย พวกยึดมัสยิดก็ได้รับการปล่อยตัว
    The Black Prince ไม่หมองมัวจากเรื่องการบุกยึดมัสยิด คนที่ต้องรับผิดชอบกลับเป็นเจ้าชายอีกคน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการนครเมกกะ อเมริกาปากยาวตามเคย บอกว่า เรื่องนี้ฝ่ายราชวงศ์แสดงความอ่อนแอ ยอมตามความต้องการของฝ่ายศาสนามากเกินไป และทำให้การปฏิรูปประเทศของซาอุดิอารเบีย ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือจะเดินถอยหลังเอาด้วยซ้ำ
    และเมื่อราชวงศ์เริ่มให้การสนับสนุนกับกลุ่มกองทัพอิสลามหัวรุนแรง ที่เริ่มปฏิบัติการณ์ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ เมื่อซาอุดิอารเบียร่วมมือกับอเมริกา สนับสนุนกองกำลังอาฟกัน มูจาฮีดีน ต่อสู้กับกองกำลังของสหภาพโซเวียตที่อาฟกานิสถาน ในช่วงปี ค.ศ.1979 – 1989 อเมริกาก็วิจารณ์อีกว่า ฝ่ายราชวงศ์นับวันจะยิ่งขยับไปใกล้กับฝ่ายศาสนามากขึ้นทุกที
    ….เออ อันนี้เอ็งไม่น่าพูดมากเลยนะ ก็จับมือเล่นด้วยกันไม่ใช่หรือ เขารู้กันทั้งนั้น….
    ในช่วงนั้น กษัตริย์ซาลมาน (ผู้ที่ปกครองซาอุดิ อารเบียในปัจจุบัน) รับหน้าที่เป็นผู้จัดหาทุนเป็นการภายใน ระหว่างราชวงศ์และพวกเศรษฐีซาอุทั้งหลาย ได้เงินเป็นหลายๆ สิบล้านเหรียญ เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังมูจาฮิดีน ในการรบที่อาฟกานิสถาน รวมทั้งการรบของกองกำลังมุสลิมในบอสเนีย และปาเลสไตน์ด้วย
    …. การที่อเมริกาเอาเรื่องนี้ของราชวงศ์ซาอูดมาแฉ แสดงว่าอเมริกาน่าจะกำลังอาการหนัก เลยรีบประทับตราราชวงศ์ซาอูด ให้โลกเห็นพฤติกรรม จะได้หนีไปใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออื่นยาก….
    และเมื่อ อุซามะ บิน ลาเดน ก่อตั้งกลุ่มอัลไคดา เจ้าชายนาเยฟเอง ก็นับเป็นมิตรที่ดีกับ บิน ลาเดน และเห็นว่า การที่โซเวียตพ่ายแพ้ถอยออกไปจากอาฟกานิสถานนั้น เป็นผลงานของ บิน ลาเดน ทีเดียว นาเยฟ มีความเห็นว่า ในตอนหลังที่มีการกล่าวหาว่า บิน ลาเดน เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น มาจากการป้ายสีของอเมริกาทั้งสิ้น และ บิน ลาเดน ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อซาอุดิอารเบีย หรือราชวงศ์ซาอูดแต่อย่างใด และก็เป็นความเห็น ที่ไม่ต่างกับความเห็นของราชวงศ์ซาอูด เองด้วย
    เมื่อ George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ และเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านข่าวกรอง เตือนเจ้าชายนาเยฟว่า กลุ่มอัลไคดาสร้างอุโมงค์เครือข่ายใต้ดินอยู่เต็มซาอุดิ อารเบีย นาเยฟไม่เชื่อ เพราะนาเยฟ ไม่เคยวางใจการเข้ามาในซาอุดิอารเบีย ของอเมริกาเลยจนนิดเดียว นาเยฟ สุภาพกับเจ้าหน้าที่อเมริกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ให้ความร่วมมือกับอเมริกา
    เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายชีอะ วางระเบิดฐานทัพอเมริกาที่ Khobar Tower ที่เมือง Dhahran ในปี ค.ศ.1996 ทำให้มีเจ้าหน้าที่การบินตายไป 19 คน นาเยฟ ไม่ยอมบอกข้อมูลกับฝ่ายอเมริกันว่า ผู้ก่อการร้ายอาจมีส่วนเกี่ยวพัน กับอิหร่าน เขาอ้างว่า ทางวอชิงตันอาจนำข้อมูลนี้มาใช้อ้างในการกล่าวหาอิหร่าน และลากเอาซาอุดิอารเบีย เข้าสู่สงครามกับอิหร่านไปด้วย แต่ฝ่ายอเมริกันบอกว่า นาเยฟ คงเกลียดอเมริกันมากกว่า เกลียดอิหร่านเสียอีก
    ….นี่ก็เป็นการเขียนบทความ “ดักคอ” ซาอุดิอารเบีย ของซีไอเอเก๋าอีกรายการ ที่น่าสนใจ….
    อเมริกาบอกว่า นาเยฟ ยังไม่สนใจคำเตือนของฝ่ายอเมริกัน เกี่ยวกับเรื่อง
    อัลไคดาต่อไปอีกหลายปี แต่ในที่สุด จะไม่สนใจอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว และคนที่ต้องมาจัดการเรื่องอัลไคดา ก็คือ บิน นาเยฟ หรือ MBN ลูกชายของ นาเยฟ นั่นเอง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 3 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 3 ในปี ค.ศ.1979 ราชวงศ์ซาอูดถูกท้าทาย จากการบุกยึดมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลก ที่นครเมกกะ โดยกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ที่เชื่อว่าวันสุดท้ายของความชั่วร้ายมาถึงแล้ว การต่อสู้เพื่อยึดเอามัสยิดกลับ ดำเนินอยู่หลายสัปดาห์ โดยฝ่ายราชวงศ์ใช้กองทัพ ที่อำนวยการโดยกระทรวงมหาดไทย และมีหน่วยคอมมานโดของฝรั่งเศส ที่ราชวงศ์จ้างไว้เป็นพิเศษคอยช่วยเหลือ รวมทั้งมีการใช้อาวุธเคมีด้วย ฝ่ายราชวงศ์จึงยึดมัสยิดใหญ่กลับคืนมาได้ รายการท้าทายนี้ ทำให้ราชวงศ์และรัฐบาลซาอุเสียหน้าอย่างมาก และที่ทำให้อึกอักหนักขึ้น เมื่อผลการสอบสวนตัวการท้าทายทั้งหลาย กลายเป็นว่า หลายคนรู้จักดี กับรัฐมนตรีมหาดไทย the Black Prince และหลังจากการสอบสวน แม้ว่าหลายคนจะถูกกักขัง แต่ในที่สุด ด้วยคำแนะนำของฝ่ายศาสนาที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีมหาดไทย พวกยึดมัสยิดก็ได้รับการปล่อยตัว The Black Prince ไม่หมองมัวจากเรื่องการบุกยึดมัสยิด คนที่ต้องรับผิดชอบกลับเป็นเจ้าชายอีกคน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการนครเมกกะ อเมริกาปากยาวตามเคย บอกว่า เรื่องนี้ฝ่ายราชวงศ์แสดงความอ่อนแอ ยอมตามความต้องการของฝ่ายศาสนามากเกินไป และทำให้การปฏิรูปประเทศของซาอุดิอารเบีย ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือจะเดินถอยหลังเอาด้วยซ้ำ และเมื่อราชวงศ์เริ่มให้การสนับสนุนกับกลุ่มกองทัพอิสลามหัวรุนแรง ที่เริ่มปฏิบัติการณ์ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ เมื่อซาอุดิอารเบียร่วมมือกับอเมริกา สนับสนุนกองกำลังอาฟกัน มูจาฮีดีน ต่อสู้กับกองกำลังของสหภาพโซเวียตที่อาฟกานิสถาน ในช่วงปี ค.ศ.1979 – 1989 อเมริกาก็วิจารณ์อีกว่า ฝ่ายราชวงศ์นับวันจะยิ่งขยับไปใกล้กับฝ่ายศาสนามากขึ้นทุกที ….เออ อันนี้เอ็งไม่น่าพูดมากเลยนะ ก็จับมือเล่นด้วยกันไม่ใช่หรือ เขารู้กันทั้งนั้น…. ในช่วงนั้น กษัตริย์ซาลมาน (ผู้ที่ปกครองซาอุดิ อารเบียในปัจจุบัน) รับหน้าที่เป็นผู้จัดหาทุนเป็นการภายใน ระหว่างราชวงศ์และพวกเศรษฐีซาอุทั้งหลาย ได้เงินเป็นหลายๆ สิบล้านเหรียญ เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังมูจาฮิดีน ในการรบที่อาฟกานิสถาน รวมทั้งการรบของกองกำลังมุสลิมในบอสเนีย และปาเลสไตน์ด้วย …. การที่อเมริกาเอาเรื่องนี้ของราชวงศ์ซาอูดมาแฉ แสดงว่าอเมริกาน่าจะกำลังอาการหนัก เลยรีบประทับตราราชวงศ์ซาอูด ให้โลกเห็นพฤติกรรม จะได้หนีไปใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออื่นยาก…. และเมื่อ อุซามะ บิน ลาเดน ก่อตั้งกลุ่มอัลไคดา เจ้าชายนาเยฟเอง ก็นับเป็นมิตรที่ดีกับ บิน ลาเดน และเห็นว่า การที่โซเวียตพ่ายแพ้ถอยออกไปจากอาฟกานิสถานนั้น เป็นผลงานของ บิน ลาเดน ทีเดียว นาเยฟ มีความเห็นว่า ในตอนหลังที่มีการกล่าวหาว่า บิน ลาเดน เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น มาจากการป้ายสีของอเมริกาทั้งสิ้น และ บิน ลาเดน ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อซาอุดิอารเบีย หรือราชวงศ์ซาอูดแต่อย่างใด และก็เป็นความเห็น ที่ไม่ต่างกับความเห็นของราชวงศ์ซาอูด เองด้วย เมื่อ George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ และเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านข่าวกรอง เตือนเจ้าชายนาเยฟว่า กลุ่มอัลไคดาสร้างอุโมงค์เครือข่ายใต้ดินอยู่เต็มซาอุดิ อารเบีย นาเยฟไม่เชื่อ เพราะนาเยฟ ไม่เคยวางใจการเข้ามาในซาอุดิอารเบีย ของอเมริกาเลยจนนิดเดียว นาเยฟ สุภาพกับเจ้าหน้าที่อเมริกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ให้ความร่วมมือกับอเมริกา เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายชีอะ วางระเบิดฐานทัพอเมริกาที่ Khobar Tower ที่เมือง Dhahran ในปี ค.ศ.1996 ทำให้มีเจ้าหน้าที่การบินตายไป 19 คน นาเยฟ ไม่ยอมบอกข้อมูลกับฝ่ายอเมริกันว่า ผู้ก่อการร้ายอาจมีส่วนเกี่ยวพัน กับอิหร่าน เขาอ้างว่า ทางวอชิงตันอาจนำข้อมูลนี้มาใช้อ้างในการกล่าวหาอิหร่าน และลากเอาซาอุดิอารเบีย เข้าสู่สงครามกับอิหร่านไปด้วย แต่ฝ่ายอเมริกันบอกว่า นาเยฟ คงเกลียดอเมริกันมากกว่า เกลียดอิหร่านเสียอีก ….นี่ก็เป็นการเขียนบทความ “ดักคอ” ซาอุดิอารเบีย ของซีไอเอเก๋าอีกรายการ ที่น่าสนใจ…. อเมริกาบอกว่า นาเยฟ ยังไม่สนใจคำเตือนของฝ่ายอเมริกัน เกี่ยวกับเรื่อง อัลไคดาต่อไปอีกหลายปี แต่ในที่สุด จะไม่สนใจอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว และคนที่ต้องมาจัดการเรื่องอัลไคดา ก็คือ บิน นาเยฟ หรือ MBN ลูกชายของ นาเยฟ นั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • ลองเชิง ตอนที่ 12

    “ลองเชิง”
    ตอน 12 (จบ)
    ผมเขียนเล่าเรื่อง ที่มาของฉากซีเรียในมิติใหญ่ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายของอเมริกา ที่จะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการครอบครองยูเรเซีย ที่มีรัสเซียและจีน ยืนตัวใหญ่อยู่ในยูเรเซีย และอเมริกาจะครอบครองยูเรเซียได้ อเมริกาจะต้องครอบครอง (พลังงานใน) ตะวันออกกลางเสียก่อน เพื่อไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงพลังงานในตะวันออกกลาง มันเป็นแผน ที่อเมริกาวางไว้ ก่อนเข้าทำสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก
    อเมริกา อมตะวันออกกลางไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว โดยการเข้าไปครอบงำ และชักใยค่าย ซาอุดิอารเบียเสี่ยปั้มใหญ่ กับพวกเสี่ยปั๊มเล็ก สิงห์สำอางค์ทั้งหลาย แต่นั่น ยังไม่ทำให้อเมริกาได้ตะวันออกกลางทั้งหมด เพราะยังมีก้างขวางคออันใหญ่และแหลมคมคือ ค่ายของอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์และพวก และหมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ค่ายนี้กระเทือนคือ การอยู่ หรือการไปของซีเรีย หรือชัดๆ ก็คือ อัสซาด ผู้นำซีเรีย จะอยู่รอดหรือไม่
    และขณะเดียวกัน ซีเรีย ก็เป็นหมากตัวสำคัญ ของสงครามท่อส่งแก๊ส ซึ่ง เป็นการชิงเส้นทางท่อส่งแก๊สไปยุโรป ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ในตะวันออกกลาง และเรื่องท่อส่งแก๊สนี้ จึงเกี่ยวพันกับรัสเซีย ยุโรป และเอเซีย
    ซีเรีย จึงเป็นจุดชี้เป็น ชี้ตายในหลายมิติ และผลสรุปของการลองเชิง ที่ซีเรียน่าจะบอกอะไรเราได้หลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลก
    ในสมัยก่อน การค้าขายหลายประเทศใช้เรือปืนนำหน้า ไปจอดตามอ่าวหน้าบ้านเขา เพื่อบังคับให้เจ้าของบ้านเปิดประตูมาค้าขายกัน และร้อยทั้งร้อย คนเปิดประตูก็เสียเปรียบ เพราะ (ยัง) ไม่มี ปืนใหญ่ไปต่อรองกับเขา ไอ้พวกใช้เรือปืนมาทำการค้านี่ ก็เลยติดสันดานเดิม เริ่มด้วยการข่มขู่ตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังใช้สันดานนี้อยู่ เว้นแต่ประเทศไหนจะมีอำนาจ หรือมีสิ่งต่อรอง
    สหภาพโซเวียต ซึ่งอเมริกามองว่า เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกอเมริกาล๊อกเป้าทำลายไว้แล้ว และอเมริกาก็ทำสำเร็จด้วยการใช้ ทฤษฏีสงครามเย็น ปิดล้อมโซเวียต จะกระดิกแทบไม่ออก ค้าขายไม่ได้ บวกกับการเสี้ยมให้รัฐเล็ก รัฐน้อย ทะยอยกันต้านแม่ใหญ่ ร่วมกับการสร้างหนอนในประเทศ ในที่สุด สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายในปี ค.ศ.1991
    สหภาพโซเสียตล่มสลาย แต่ไม่ตายสนิท รัสเซียฟื้นขึ้นมาได้ และฟื้นเร็วเกินกว่าที่อเมริกาคาด เพราะรัสเซียเรียนรู้จากการถูกปิดล้อมว่า เพื่อความอยู่รอดของรัสเซียใหม่ รัสเซียจะต้องเดินยุทธศาสตร์ประเทศ ที่จะไม่ให้ถูกปิดล้อมง่ายๆ และต้องมีอำนาจต่อรอง
    ด้วยยุทธศาสตร์ท่อส่งของรัสเซีย ที่กระจายไปทั่วยุโรป เอเซีย และกำลังจะมาถึงตะวันออกกลางนี้ ทำให้โอกาสที่อเมริกาจะปิดล้อมรัสเซียทำยากขึ้น เพราะการเดินท่อส่งแก๊สไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งต่อไปเลี้ยงยุโรป แต่ละจุดนั้น เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรอง รัสเซียส่งแก๊สให้ถึงหน้าบ้านยุโรป โดยไม่ต้องเสียเวลาขนส่ง ไม่ต้องเสียเวลาสร้างเรือบรรทุก เอาเวลาไปสร้างเรือรบและอาวุธไว้ป้องกันประเทศดีกว่า และที่สำคัญ ท่อส่งผ่านที่ไหน ก็ลงทุนด้วยกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน ใครจะอยากทุบหม้อข้าวตัวเอง
    ด้วยยุทธศาสตร์นี้ ถึงคนยุโรปจะยังไม่สะดวกใจ ที่จะแหกคอกอเมริกามาคบกับรัสเซีย ขณะเดียวกัน ก็ไม่สะดวกใจ ที่จะรังเกียจแก๊สรัสเซียเหมือนกัน
    และตอนนี้ จีน เพื่อนกันไม่ทิ้งกันของรัสเซีย ก็ใช้ยุทธศาสตร์ท่อส่ง จากอาฟริกา ยาวมาถึงเอเซีย เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน
    ยุทธศาสตร์นี้ทำให้ยุโรปต้องคิดหนัก ถ้าจะเดินตามการชักใยของอเมริกาไปตลอด ถ้ารัสเซียเกิดปิดท่อแก็สที่จะมายุโรป อย่างน้อย ยุโรปจะขาดแก๊สไปถึง 60% ส่วนอเมริกาก็จะยอมให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองอย่างนี้ไม่ได้ ยูเครน ซึ่งอยู่ปลายท่อส่งแก๊สรัสเซียมาออกยุโรป จึงเกิดความไม่สงบอย่างไม่มีวันเลิก และตัวเลือกของอเมริกาจึงถูกส่งเข้ามาเป็นผู้นำยูเครน
    แต่การแก้เกมแบบนี้ของอเมริกา กระเทือนทั้ง 2 ทาง ถ้ายูเครนปิดทางไม่ให้แก๊สออก รัสเซียก็เหนื่อย ขาดรายได้สำคัญ แต่ยุโรปก็อาจแข็งตายไปด้วย ถ้าไม่มีแก๊สจากรัสเซีย ส่วนอเมริกาลอยตัวไม่กระทบกระเทือนอะไรด้วย ยุโรปถูกหลอกใช้ ไม่รู้ตัวเสียที
    รัสเซียจึงสร้างท่อส่งแก๊สอีกเส้น ลอดทะเลไปให้เยอรมัน และท่อส่งนี่ก็เสร็จแล้ว ถ้าแก็สส่งออกไปทางยูเครนไม่ได้ ก็มาออกเยอรมันได้ แล้วน่าคิดไหมครับ ทำไมตอนนี้ ผู้ลี้ภัยถึงมาทะลักกันเต็มอยู่ในเยอรมัน มันเป็นเรื่องการบีบคอเยอรมันหรือไม่ ป้าเข็มขัดเหล็ก คงกำลังเครียดหนัก จนตดแตกอีกแล้ว
    อเมริกา พยายามแก้อำนาจต่อรองของรัสเซียเรื่องท่อส่งแก๊สในยุโรป ด้วยการพยายามเดินท่อส่งสายใหม่ ซึ่งอเมริกาพยายามแก้เกมมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เมื่อเห็นรัสเซีย และจีนเริ่มโต แต่ทั้ง 2 ประเทศ ก็เดินหมากของตัวเองอย่างระวัง
    ท่านผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องราว มองเห็นภาพต่อเนื่อง ถ้าได้อ่านนิทานเรื่อง “หักหน้าหักหลัง” https://www.dropbox.com/s/uvpcetgi2xf2rzo/faceback.pdf ซึ่งแสดงถึงวืธีการเดินแผน ฝั่งรัสเซีย กับการเดินแผนของฝั่งอเมริกาต่อจีน ในนิทานเรื่อง ” แผนชั่ว ” https://www.dropbox.com/s/mzu294f5rhhrkyr/20150914.pdf
    ดังนั้น การสู้รบในซีเรีย จึงมีความหมายเกี่ยวกับการรักษาตำแหน่งพี่เบิ้มของอเมริกา และเป็นความอยู่รอดของฝั่งรัสเซีย จีน ด้วย
    การที่รัสเซีย เข้าไปเล่นในซีเรียใน “ตอนนี้ ” ภายใต้เรื่องราว และสถานการณ์ในซีเรีย ที่ดำเนินอยู่อย่างที่เล่ามาแล้วนั้น รวมทั้งการเลือกเวลาเล่น ให้สอดคล้องกับช่วงการประชุมของสหประชาชาติ รวมทั้งคำแถลง ของรัสเซียจีนและอิหร่านในช่วง นั้น มองอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมกัน มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะแปลว่า รัสเซีย จีน อิหร่าน ซีเรีย ได้แสดงตัวต่ออเมริกาแล้วว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้อง ฟัง หรือ จัดการกับปัญหาที่กระทบกับพวกเขา หรือที่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหา ตามวิธีการของอเมริกาและพวก อีกต่อไปแล้ว
    สรุปสั้นๆ เป็นภาษาแถวบ้านผม ก็คงจะทำนอง “กูไม่ชอบวิธีการของมึง และกูไม่จำเป็นต้องฟังมึงอีกต่อไป เพราะกูไม่กลัวมึง (แล้ว)”
    คำพูดแบบนี้ เป็นลุงนิทานพูด มันก็คงปิดเพจผม รวนเพจผม อย่างที่มันทำกับผมมาตลอด แต่ถ้าคำพูดแบบนี้ ตามความเข้าใจผม เป็นของประเทศใหญ่อย่างรัสเซีย จีน อิหร่าน และวันนี้ เกาหลีเหนือของน้องคิม ก็พูดทำนองนี้ เรื่องซีเรียนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงได้ดิ้นกันเหมือนโดนน้ำร้อนลวกหลังกันเป็นแถวๆ
    และถ้าดูจากปฏิบัติการของกองทัพรัสเซีย ตั้งแต่เข้าไปในซีเรียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้ รวมทั้งข่าวเรื่องการขนทั้งอาวุธหนัก อาวุธเบา และกำลังพลมากมาย ที่ไม่ใช่มาจากข่าวของกระป๋องสีฝั่งตะวันตกแล้ว จะเห็นว่า คุณพี่ปูติน แสดงออกอย่างที่ผมสรุปนั่นแหละ เพราะแกจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ
    และเมื่อรัสเซียกับพวก แสดงออกแบบนี้ อเมริกาและพวก จะแสดงอะไรล่ะ
    แรกๆ ก็คงทำอย่างที่กำลังทำอยู่นี่ คือดาหน้ากันออกมา ด่ารัสเซีย เหน็บแนมการปฎิบัติการของรัสเซีย ทำไมมึงไม่ไปถล่มไอซิส ทำไมมึงไปถล่มแต่พวกกบฏ โธ่เว้ย ถล่มกลุ่มไหน มันก็กลุ่มที่พวกมึงสร้างมาทั้งนั้น เพียงแต่ข้อตกลงภายในมันต่างกัน สุดท้ายคุณพี่ปูตินเขาคงถล่มหมดละน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก
    หลังจากตั้งหลักได้ อเมริกากับพวก มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ เจรจากันให้รู้เรื่องกับฝ่ายรัสเซียและพวก นั่นเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสม และโลกจะสะเทือนน้อยที่สุด แต่อเมริกาจะรู้สึกเสียหน้า แต่จะเจรจาอย่างไร ผมคาดว่า รัสเซียคงยังเดินหน้าเรื่องของซีเรียอยู่ดี
    ถ้าอเมริกาเลือกวิธีนี้ ไม่ได้หมายความว่า อเมริกา “ยอมรับ” ว่าฝ่ายรัสเซียเท่าเทียมตัวแล้ว แต่มันเป็นการ “ซื้อเวลา” ของอเมริกามากกว่า และปฏิบัติการหลากหลายเพื่อตอบโต้ฝ่ายรัสเซีย จะตามมาเป็นชุดและชุดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
    ทางเลือกที่ 2 สำหรับอเมริกาคือ ไม่มีเจรจา ไม่ซื้อเวลา และปฏิบัติการตอบโต้จะตามมารวดเร็ว
    ความต่างของ 2 ทางเลือกคือ ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกายังไม่พร้อม และแปลว่าฝ่ายรัสเซีย เลือกจังหวะเดินหมากถูก ไม่ให้เวลาอเมริกาตั้งตัว แต่ถ้าอเมริกาไม่ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกาพร้อมอยู่แล้ว และทางรัสเซียก็คงต้องรู้อยู่แล้ว จึงเดินหมากบังคับไปก่อน
    อเมริกาจะเลือกทางไหนก็ตาม โลกเราจะไม่มีวันถอยกลับไปที่เดิมอีกแล้ว
    ขั้วอำนาจโลก ไม่ได้มีเพียงขั้วเดียว ที่มีอเมริกาเป็นผู้นำเท่านั้นอีกแล้ว แต่มีอีกขั้วอำนาจใหม่
    ที่มีรัสเซียจีนอิหร่าน จับมือกันเกิดขึ้นแล้ว และการเผชิญหน้ากัน ของ 2 ขั้ว ก็จะรุนแรงขึ้น
    ขั้วไหนจะได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องอะไรบ้าง มีโอกาสจะมาประเมินให้ฟังครับ
    วันนี้ ขอจบนิทานเรื่องลองเชิง ใครลองเชิง ใครเสียเชิง คงพอมองเห็นกัน
    คนเล่านิทาน
    11 ต.ค. 2558
    ลองเชิง ตอนที่ 12 “ลองเชิง” ตอน 12 (จบ) ผมเขียนเล่าเรื่อง ที่มาของฉากซีเรียในมิติใหญ่ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายของอเมริกา ที่จะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการครอบครองยูเรเซีย ที่มีรัสเซียและจีน ยืนตัวใหญ่อยู่ในยูเรเซีย และอเมริกาจะครอบครองยูเรเซียได้ อเมริกาจะต้องครอบครอง (พลังงานใน) ตะวันออกกลางเสียก่อน เพื่อไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงพลังงานในตะวันออกกลาง มันเป็นแผน ที่อเมริกาวางไว้ ก่อนเข้าทำสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก อเมริกา อมตะวันออกกลางไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว โดยการเข้าไปครอบงำ และชักใยค่าย ซาอุดิอารเบียเสี่ยปั้มใหญ่ กับพวกเสี่ยปั๊มเล็ก สิงห์สำอางค์ทั้งหลาย แต่นั่น ยังไม่ทำให้อเมริกาได้ตะวันออกกลางทั้งหมด เพราะยังมีก้างขวางคออันใหญ่และแหลมคมคือ ค่ายของอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์และพวก และหมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ค่ายนี้กระเทือนคือ การอยู่ หรือการไปของซีเรีย หรือชัดๆ ก็คือ อัสซาด ผู้นำซีเรีย จะอยู่รอดหรือไม่ และขณะเดียวกัน ซีเรีย ก็เป็นหมากตัวสำคัญ ของสงครามท่อส่งแก๊ส ซึ่ง เป็นการชิงเส้นทางท่อส่งแก๊สไปยุโรป ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ในตะวันออกกลาง และเรื่องท่อส่งแก๊สนี้ จึงเกี่ยวพันกับรัสเซีย ยุโรป และเอเซีย ซีเรีย จึงเป็นจุดชี้เป็น ชี้ตายในหลายมิติ และผลสรุปของการลองเชิง ที่ซีเรียน่าจะบอกอะไรเราได้หลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลก ในสมัยก่อน การค้าขายหลายประเทศใช้เรือปืนนำหน้า ไปจอดตามอ่าวหน้าบ้านเขา เพื่อบังคับให้เจ้าของบ้านเปิดประตูมาค้าขายกัน และร้อยทั้งร้อย คนเปิดประตูก็เสียเปรียบ เพราะ (ยัง) ไม่มี ปืนใหญ่ไปต่อรองกับเขา ไอ้พวกใช้เรือปืนมาทำการค้านี่ ก็เลยติดสันดานเดิม เริ่มด้วยการข่มขู่ตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังใช้สันดานนี้อยู่ เว้นแต่ประเทศไหนจะมีอำนาจ หรือมีสิ่งต่อรอง สหภาพโซเวียต ซึ่งอเมริกามองว่า เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกอเมริกาล๊อกเป้าทำลายไว้แล้ว และอเมริกาก็ทำสำเร็จด้วยการใช้ ทฤษฏีสงครามเย็น ปิดล้อมโซเวียต จะกระดิกแทบไม่ออก ค้าขายไม่ได้ บวกกับการเสี้ยมให้รัฐเล็ก รัฐน้อย ทะยอยกันต้านแม่ใหญ่ ร่วมกับการสร้างหนอนในประเทศ ในที่สุด สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายในปี ค.ศ.1991 สหภาพโซเสียตล่มสลาย แต่ไม่ตายสนิท รัสเซียฟื้นขึ้นมาได้ และฟื้นเร็วเกินกว่าที่อเมริกาคาด เพราะรัสเซียเรียนรู้จากการถูกปิดล้อมว่า เพื่อความอยู่รอดของรัสเซียใหม่ รัสเซียจะต้องเดินยุทธศาสตร์ประเทศ ที่จะไม่ให้ถูกปิดล้อมง่ายๆ และต้องมีอำนาจต่อรอง ด้วยยุทธศาสตร์ท่อส่งของรัสเซีย ที่กระจายไปทั่วยุโรป เอเซีย และกำลังจะมาถึงตะวันออกกลางนี้ ทำให้โอกาสที่อเมริกาจะปิดล้อมรัสเซียทำยากขึ้น เพราะการเดินท่อส่งแก๊สไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งต่อไปเลี้ยงยุโรป แต่ละจุดนั้น เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรอง รัสเซียส่งแก๊สให้ถึงหน้าบ้านยุโรป โดยไม่ต้องเสียเวลาขนส่ง ไม่ต้องเสียเวลาสร้างเรือบรรทุก เอาเวลาไปสร้างเรือรบและอาวุธไว้ป้องกันประเทศดีกว่า และที่สำคัญ ท่อส่งผ่านที่ไหน ก็ลงทุนด้วยกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน ใครจะอยากทุบหม้อข้าวตัวเอง ด้วยยุทธศาสตร์นี้ ถึงคนยุโรปจะยังไม่สะดวกใจ ที่จะแหกคอกอเมริกามาคบกับรัสเซีย ขณะเดียวกัน ก็ไม่สะดวกใจ ที่จะรังเกียจแก๊สรัสเซียเหมือนกัน และตอนนี้ จีน เพื่อนกันไม่ทิ้งกันของรัสเซีย ก็ใช้ยุทธศาสตร์ท่อส่ง จากอาฟริกา ยาวมาถึงเอเซีย เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน ยุทธศาสตร์นี้ทำให้ยุโรปต้องคิดหนัก ถ้าจะเดินตามการชักใยของอเมริกาไปตลอด ถ้ารัสเซียเกิดปิดท่อแก็สที่จะมายุโรป อย่างน้อย ยุโรปจะขาดแก๊สไปถึง 60% ส่วนอเมริกาก็จะยอมให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองอย่างนี้ไม่ได้ ยูเครน ซึ่งอยู่ปลายท่อส่งแก๊สรัสเซียมาออกยุโรป จึงเกิดความไม่สงบอย่างไม่มีวันเลิก และตัวเลือกของอเมริกาจึงถูกส่งเข้ามาเป็นผู้นำยูเครน แต่การแก้เกมแบบนี้ของอเมริกา กระเทือนทั้ง 2 ทาง ถ้ายูเครนปิดทางไม่ให้แก๊สออก รัสเซียก็เหนื่อย ขาดรายได้สำคัญ แต่ยุโรปก็อาจแข็งตายไปด้วย ถ้าไม่มีแก๊สจากรัสเซีย ส่วนอเมริกาลอยตัวไม่กระทบกระเทือนอะไรด้วย ยุโรปถูกหลอกใช้ ไม่รู้ตัวเสียที รัสเซียจึงสร้างท่อส่งแก๊สอีกเส้น ลอดทะเลไปให้เยอรมัน และท่อส่งนี่ก็เสร็จแล้ว ถ้าแก็สส่งออกไปทางยูเครนไม่ได้ ก็มาออกเยอรมันได้ แล้วน่าคิดไหมครับ ทำไมตอนนี้ ผู้ลี้ภัยถึงมาทะลักกันเต็มอยู่ในเยอรมัน มันเป็นเรื่องการบีบคอเยอรมันหรือไม่ ป้าเข็มขัดเหล็ก คงกำลังเครียดหนัก จนตดแตกอีกแล้ว อเมริกา พยายามแก้อำนาจต่อรองของรัสเซียเรื่องท่อส่งแก๊สในยุโรป ด้วยการพยายามเดินท่อส่งสายใหม่ ซึ่งอเมริกาพยายามแก้เกมมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เมื่อเห็นรัสเซีย และจีนเริ่มโต แต่ทั้ง 2 ประเทศ ก็เดินหมากของตัวเองอย่างระวัง ท่านผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องราว มองเห็นภาพต่อเนื่อง ถ้าได้อ่านนิทานเรื่อง “หักหน้าหักหลัง” https://www.dropbox.com/s/uvpcetgi2xf2rzo/faceback.pdf ซึ่งแสดงถึงวืธีการเดินแผน ฝั่งรัสเซีย กับการเดินแผนของฝั่งอเมริกาต่อจีน ในนิทานเรื่อง ” แผนชั่ว ” https://www.dropbox.com/s/mzu294f5rhhrkyr/20150914.pdf ดังนั้น การสู้รบในซีเรีย จึงมีความหมายเกี่ยวกับการรักษาตำแหน่งพี่เบิ้มของอเมริกา และเป็นความอยู่รอดของฝั่งรัสเซีย จีน ด้วย การที่รัสเซีย เข้าไปเล่นในซีเรียใน “ตอนนี้ ” ภายใต้เรื่องราว และสถานการณ์ในซีเรีย ที่ดำเนินอยู่อย่างที่เล่ามาแล้วนั้น รวมทั้งการเลือกเวลาเล่น ให้สอดคล้องกับช่วงการประชุมของสหประชาชาติ รวมทั้งคำแถลง ของรัสเซียจีนและอิหร่านในช่วง นั้น มองอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมกัน มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะแปลว่า รัสเซีย จีน อิหร่าน ซีเรีย ได้แสดงตัวต่ออเมริกาแล้วว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้อง ฟัง หรือ จัดการกับปัญหาที่กระทบกับพวกเขา หรือที่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหา ตามวิธีการของอเมริกาและพวก อีกต่อไปแล้ว สรุปสั้นๆ เป็นภาษาแถวบ้านผม ก็คงจะทำนอง “กูไม่ชอบวิธีการของมึง และกูไม่จำเป็นต้องฟังมึงอีกต่อไป เพราะกูไม่กลัวมึง (แล้ว)” คำพูดแบบนี้ เป็นลุงนิทานพูด มันก็คงปิดเพจผม รวนเพจผม อย่างที่มันทำกับผมมาตลอด แต่ถ้าคำพูดแบบนี้ ตามความเข้าใจผม เป็นของประเทศใหญ่อย่างรัสเซีย จีน อิหร่าน และวันนี้ เกาหลีเหนือของน้องคิม ก็พูดทำนองนี้ เรื่องซีเรียนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงได้ดิ้นกันเหมือนโดนน้ำร้อนลวกหลังกันเป็นแถวๆ และถ้าดูจากปฏิบัติการของกองทัพรัสเซีย ตั้งแต่เข้าไปในซีเรียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้ รวมทั้งข่าวเรื่องการขนทั้งอาวุธหนัก อาวุธเบา และกำลังพลมากมาย ที่ไม่ใช่มาจากข่าวของกระป๋องสีฝั่งตะวันตกแล้ว จะเห็นว่า คุณพี่ปูติน แสดงออกอย่างที่ผมสรุปนั่นแหละ เพราะแกจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ และเมื่อรัสเซียกับพวก แสดงออกแบบนี้ อเมริกาและพวก จะแสดงอะไรล่ะ แรกๆ ก็คงทำอย่างที่กำลังทำอยู่นี่ คือดาหน้ากันออกมา ด่ารัสเซีย เหน็บแนมการปฎิบัติการของรัสเซีย ทำไมมึงไม่ไปถล่มไอซิส ทำไมมึงไปถล่มแต่พวกกบฏ โธ่เว้ย ถล่มกลุ่มไหน มันก็กลุ่มที่พวกมึงสร้างมาทั้งนั้น เพียงแต่ข้อตกลงภายในมันต่างกัน สุดท้ายคุณพี่ปูตินเขาคงถล่มหมดละน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก หลังจากตั้งหลักได้ อเมริกากับพวก มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ เจรจากันให้รู้เรื่องกับฝ่ายรัสเซียและพวก นั่นเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสม และโลกจะสะเทือนน้อยที่สุด แต่อเมริกาจะรู้สึกเสียหน้า แต่จะเจรจาอย่างไร ผมคาดว่า รัสเซียคงยังเดินหน้าเรื่องของซีเรียอยู่ดี ถ้าอเมริกาเลือกวิธีนี้ ไม่ได้หมายความว่า อเมริกา “ยอมรับ” ว่าฝ่ายรัสเซียเท่าเทียมตัวแล้ว แต่มันเป็นการ “ซื้อเวลา” ของอเมริกามากกว่า และปฏิบัติการหลากหลายเพื่อตอบโต้ฝ่ายรัสเซีย จะตามมาเป็นชุดและชุดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเลือกที่ 2 สำหรับอเมริกาคือ ไม่มีเจรจา ไม่ซื้อเวลา และปฏิบัติการตอบโต้จะตามมารวดเร็ว ความต่างของ 2 ทางเลือกคือ ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกายังไม่พร้อม และแปลว่าฝ่ายรัสเซีย เลือกจังหวะเดินหมากถูก ไม่ให้เวลาอเมริกาตั้งตัว แต่ถ้าอเมริกาไม่ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกาพร้อมอยู่แล้ว และทางรัสเซียก็คงต้องรู้อยู่แล้ว จึงเดินหมากบังคับไปก่อน อเมริกาจะเลือกทางไหนก็ตาม โลกเราจะไม่มีวันถอยกลับไปที่เดิมอีกแล้ว ขั้วอำนาจโลก ไม่ได้มีเพียงขั้วเดียว ที่มีอเมริกาเป็นผู้นำเท่านั้นอีกแล้ว แต่มีอีกขั้วอำนาจใหม่ ที่มีรัสเซียจีนอิหร่าน จับมือกันเกิดขึ้นแล้ว และการเผชิญหน้ากัน ของ 2 ขั้ว ก็จะรุนแรงขึ้น ขั้วไหนจะได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องอะไรบ้าง มีโอกาสจะมาประเมินให้ฟังครับ วันนี้ ขอจบนิทานเรื่องลองเชิง ใครลองเชิง ใครเสียเชิง คงพอมองเห็นกัน คนเล่านิทาน 11 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • ลองเชิง ตอนที่ 8

    “ลองเชิง”
    ตอน 8
    เขาว่ากันว่า สิ่งที่อเมริกาสนใจ และใส่ใจที่สุดในตะวันออกกลางคือ น้ำมัน กับอิสราเอลเท่านั้น ที่เถียงกันคือ ใน 2 สิ่ง อเมริกาห่วงสิ่งไหนมากกว่ากัน
    ที่เขาว่ากันแบบนั้น ก็คงไม่ผิดในเชิงการเมือง แต่ ในเชิงยุทธศาสตร์ ผมว่าอเมริกาคงสนใจแค่ 1 สิ่ง ในตะวันออกกลาง คืออเมริกา “จะต้องได้” ตะวันออกกลางทั้งหมดต่างหาก อย่างที่ผมเกริ่นมาในตอนก่อนๆ แต่อเมริกาจะกินตะวันออกกลางทั้งหมด อเมริกาก็ต้องวางแผนให้ดี เพราะห่วงว่าจะมีใครย้อนศร ส่วจรวดมาใส่ไข่แดงของอเมริกา ที่อยู่ในตะวันออกกลางคือ อิสราเอล จนเละทั้งใบ
    ไม่ใช่อเมริการักอิสราเอลมากนักหรอก แต่ยิวที่ขี่คอรัฐบาลอเมริกานั่นสิ ที่อเมริกาต้องห่วง และยิวในอเมริกาก็มีมากเสียด้วย เรียกดาราดังๆเชื้อสายยิวๆ มาเข้าฉากทั้งหมด รัฐบาลอเมริกันอาจพังง่ายๆ ตั้งแต่ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ ดาราตุ๊กตาทอง สื่อทุกรูปแบบ อยู่ในมือยิวเกือบทั้งนั้น อาวุธที่ทำให้อเมริกาเซได้ โดยไม่ต้องถล่มตลาดหุ้น หรือใช้จรวดยิง ก็คือ ใช้ดารากับสื่อนี่แหละครับ เอาหน้าเด่นๆ ผลัดกันมาออกรายการ ตีข่าวเข้าไปทุกวัน คนบ้าดารา เคลิ้มตาม เดี๋ยวก็ได้มีการลาออก หรือเปลี่ยนนโยบายกันให้เห็น
    แต่ไม่ได้หมายความว่า อเมริกาจะไม่มีวันทิ้งยิว …
    อัสซาด คนพ่อ Hafez Assad นั้น เป็นนักยุทธศาสตร์ตัวยง เหลี่ยมลึก มองไกล เขาดูแล้วว่า อิสราเอลเป็นจุดสำคัญที่สุดของตะวันออกกลาง ผมจึงชื่นชมอังกฤษ ไอ้ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายนักว่า มันสุดยอด(ชั่ว)จริงๆ ที่เอายิวไปอยู่ในตะวันออกกลางได้ และให้อยู่ในจุดนั้น
    ลองกลับไปดูแผนที่นะครับ และนึกถึงข้อตกลงของอังกฤษกับผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยว่า สมัยนั้น เขาตกลงแบ่งสมบัติกันอย่างไร สรุปว่า ประเทศที่มีทางออกสู่เมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมดคือ ตุรกี ซีเรีย เลบานอน และอิสราเอล ยาวมาจนถึงอียิปต์ ตกอยู่ในความดูแลของอังกฤษกับพวก เพื่ออังกฤษและพวกจะได้คุมทางออกไปทะเล จำไว้นะครับ เรื่องการคุมทางออกทะเล เป็นยุทธศาสตร์สำคัญอันหนึ่ง
    แต่มาภายหลัง เมื่อตุรกี ซีเรีย เลบานอน ได้รับเอกราช สามารถปกครองบ้านเมืองตัวเองได้ โดยไม่ต้องฟังอังกฤษกับพวกแล้ว อเมริกาที่รับไม้ดูแลตะวันออกกลางต่อจากอังกฤษ จึงต้องทุ่มสร้างความมั่นคงให้กับอิสราเอล ไข่แดงของตัว และสร้างความมั่นคงให้อิยิปต์ด้วยในช่วงแรก เพื่อเป็นกำแพงพิงหลังให้อิสราเอล ขณะเดียวกัน อเมริกาก็พยายามซื้อเลบานอนอยู่หลายรอบ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง
    อัสซาด คนพ่อ เห็นอย่างนั้นก็รู้ว่า อิสราเอล แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ถ้าอเมริกาเสริมเหล็กใ้ห้จนแข็งขนาดนั้น ต่อไปซีเรียจะเหนื่อย เขาจึงสนับสนุนให้มีการสร้างกลุ่มเฮสบอลเลาะห์ในเลบานอน ที่อยู่ติดหลังบ้านอิสราเอลขึ้นมา ไว้เป็นด่านกั้นให้ซีเรียชั้นหนึ่งก่อน ส่วนเลบานอนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะตัวเองยิ่งแย่ใหญ่ หน้าเกือบจะชนก้นอิสราเอลอยู่แล้ว และนี่ ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อิสราเอลเกลียดซีเรีย อย่างไม่มีวันเลิก
    กลับมาที่แผนชั่วของอเมริกาใน ตะวันออกกลาง ตัวละครใหญ่สำคัญที่สุด 3 รายคือ อิหร่าน อิสราเอล และซาอุดิอารเบีย นั้น อเมริกาจับมาอยู่ในมือแล้ว คือ 2 รายหลัง เหลือรายแรกคือ อิหร่าน ที่อเมริกาเพียรจับ แต่จับๆ หลุดๆ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1950 กว่าๆ แต่ไม่เคยอยู่หมัดอยู่มือถาวร อเมริกาจึงต้องวางแผนใหม่อยู่เรื่อย
    จะครองโลก ไม่ใช่คิดวันนี้ ครองพรุ่งนี้ เขาวางแผนกันมาหลายสิบปี บางทีร้อยปี ก็มี จะต่อสู้หรือต่อต้าน ก็เช่นเดียวกัน เขาก็ต้องวางแผนนาน สนามซีเรีย ช่วงนี้จะนั่งดูรายวัน ก็ควรทำความเข้าใจก่อนว่า ใครเล่นอะไร ที่ไหน เพราะอะไร ไม่อย่างนั้น ก็แค่รู้ แต่ไม่เข้าใจ
    อเมริกาวางแผนที่จะกินอิหร่านหลายรูปแบบ รูปแบบสุดท้าย คือ เรื่องนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นละครซื้อเวลา แผนจริงรุ่นแรก ที่อเมริกาเดินเพื่อกินอิหร่าน คือ แผนบุกอิรัค ของเหยี่ยวกระหายเลือด คาวบอยบุช กับดิกเชนีย์ เมื่อ ปี ค.ศ.2003 ซึ่งเป็นไปตามแผนการจัดระเบียบโลกใหม่ New World Order ที่บุชตัวพ่อ ประกาศ ในปี ค.ศ.1991 เมื่อคิดว่า สหภาพโซเวียตล่มสลายตายสนิท
    แต่ภายหลัง ในช่วงประมาณปี ค.ศ.2000 ไอ้ที่คิดว่าตายสนิท ดันฟื้นเป็นรัสเซีย ที่ทำท่าจะเฟื่องต่อเสียด้วยซ้ำ และไอ้ที่คิดว่าดีแต่ค้าขายอย่างจีน ก็ทำท่าจะโตเร็วเกินไป แผนจัดการอิหร่าน เพื่อยึดตะวันออกกลาง และผ่ากลาง รัสเซียกับจีน จึงต้องรีบดำเนินการ
    แต่อยู่ดีๆ จะไปยึดอิหร่าน ที่ใหญ่เอาเรื่อง และก็ผูกสัมพันธ์กับรัสเซียมาตลอด คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเซ่อซ่าวิ่งลุยเข้าไปง่ายๆ อเมริกาจึงคิดทุบรอบนอกอิหร่านก่อน และยุทธศาสตร์ทุบรอบนอก หรือทุบข้างในให้น่วมก่อนกิน นี่ ดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์ยอดนิยมของค่ายตะวันตก
    อิรัคและซัดดัม จึงถูกเลือกเป็นทั้งเป้าหมายจริง และเป็นเป้าหมายหลอกในขณะเดียวกัน อเมริกาไม่เคยกินเด้งเดียว อเมริกาต้องการครอบครองอิรัค เพื่อเอาน้ำมัน และใช้เป็นสะพานเพื่อเข้าไปบุกซีเรียและอิหร่านอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็เป็นการตัดเส้นทางเลี้ยงกลุ่มเฮสบอลเลาะห์ ของเลบานอน ที่อยู่ติดกับประตูหลังบ้านของอิสราเอล ที่ทั้งอิหร่านและซีเรียส่งเสียเลี้ยงดู เพื่ออิสราเอลจะได้ปลอดภัย เห็นความแสบ ซับซ้อนของอเมริกาไหมครับ
    แผนนี้ ถ้าสำเร็จ มันจะเป็นการทลายค่ายต่อต้านอเมริกาอย่างถาวร ได้ดูแลยิว และผ่ารัสเซียจากจีน เป็นการตัดตอน 2 ประเทศใหญ่ เตรียมก้าวไปครองโลก คิดแล้วน่าเคลิ้มใจ
    อเมริกา ยังฝันเฟื่องต่อไปอีกว่า เมื่อยึดอิรัค กำจัดซัดดัมแล้ว จะจัดให้อิรัคมีการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้อิรัค เป็นมิตรที่ดีของอิสราเอล คอยช่วยเหลืออิสราเอล และช่วยด่าซีเรีย กับด่าอิหร่าน เป็นการปูพื้น เตรียมการให้อเมริกาบุก 2 ประเทศนั้นต่อ ระหว่างที่อ่านย่อหน้านี้ จะได้อารมณ์มาก ถ้านึกถึงหน้าคาวบอยบุซ ไปด้วยนะครับ จะได้ซึ้งถึงฝันเฟื่องของคาวบอย ว่ามัน
    เห่ย ขนาดไหน
    อเมริกา ไม่ได้เพียงประเมินตัวเองผิด อเมริกายังประเมินคู่ต่อสู้ของตัวผิดอีกด้วย การบุกอิรัค จึงกลายเป็นเรื่องหายนะของอเม ริกา และเป็นหายนะของอิรัคด้วย เพราะตามสูตรของอเมริกา เมื่อครอบครองไม่ได้ ก็ทำลายเสีย แล้วอิรัค ก็กลายเป็นรัฐล้มเหลว เช่นเดียวกับลิเบีย และอื่นๆ
    สำหรับอเมริกา ในการจะบุกซีเรีย อเมริกาต้องใช้สูตรสำเร็จ เอาปูนป้ายหน้า
    อัสซาดก่อนว่า ไอ้หมอนี่เป็นผู้นำที่เลว เผด็จการ ขี้โกง ไร้มนุษยธรรม ฯลฯ เหมือนอย่างที้ป้ายหน้า ซัดดัม กัดดาฟี ทำนองนั้น สูตรสำเร็จนี้ คนอ่านนิทานท่องได้ จำขึ้นใจกันแล้วทั้งนั้น
    แต่สำหรับซีเรีย สูตรสำเร็จแค่นั้นคงไม่พอ เพราะซีเรียก็แหลมคม และมีเพื่อน
    แล้วในปี ค.ศ.2005 จึงเกิดเรื่องการวางระเบิดคาร์บอม ใส่ขบวนรถของนายราฟิค ฮาริริ Rafiq Hariri อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน ข่าวบอกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มเฮสบอลเลาะห์กองกำลังติดอาวุธของเลบานอน ที่อยู่คนละข้างกับกลุ่มของฮาริริ
    บังเอิญ ฮาริริ ดันเป็นคนที่ (มีคนสั่งให้) ซาอุ (จ่าย) สนับสนุนให้เป็นใหญ่ในเลบานอน เอาไว้เป็นหนาม อยู่กลางกลุ่มพวกอิหร่านและซีเรียในเลบานอน เรื่องมันจึงไม่ใช่การวางระเบิดระดับธรรมดา สื่อฟอกย้อม ลงข่าวว่า ซีเรียต้องรับผิดชอบ เพราะตอนนั้นซีเรีย ดูแลด้านความมั่นคงให้แก่เลบานอน ตามสัญญา Taif Accord
    แม้จะดมกลิ่นระเบิดไม่ได้จากมือไหน แต่คาร์บอมรายการนี้ ก็ค่อนข้างชัดว่า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้ายสีให้อัสซาด นอกจากนี้ หัวหน้าอาหรับสายสุนนี่ โดยเฉพาะสุนนี่ในเลบานอน ต่างออกมาประสานเสียงกันว่า ซีเรียต้องรับผิดชอบในการลอบฆ่านี้ ผลสุดท้าย กองทัพซีเรียก็ต้องถอนกำลังออกไปจากเลบานอน และเลบานอนก็อยู่ในความดูแลของ กลุ่มเฮสบอลเลาะห์ กับกองกำลังที่เรียกว่า “กองกำลังร่วม 14 มีนา” ที่ตั้งขึ้นทันที ที่ ฮาริริ ถูกฆ่าตาย และไม่ถูกกับกลุ่มเฮสบอลเลาะห์
    เลบานอน ก็เริ่มมีความวุ่นวาย
    หลังจากนั้น เสียงไม่เอาซีเรีย ไม่เอาอัสซาด ก็เริ่มระบาดดังขึ้นในเลบานอน สื่อในเลบานอน ตีข่าวด่าซีเรียทุกวัน กองกำลังร่วม 14 มีนา ก็แข็งกร้าวขึ้นทุกวัน และกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ปนกลิ่นแพะ ก็ปลิวว่อนในเลบานอน
    นี่คือจุดเริ่มต้นของการรวมกำลังโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด ที่มาจากสาระพัดพันธ์ุและสาระพัด เป้าหมาย
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 ต.ค. 2558
    ลองเชิง ตอนที่ 8 “ลองเชิง” ตอน 8 เขาว่ากันว่า สิ่งที่อเมริกาสนใจ และใส่ใจที่สุดในตะวันออกกลางคือ น้ำมัน กับอิสราเอลเท่านั้น ที่เถียงกันคือ ใน 2 สิ่ง อเมริกาห่วงสิ่งไหนมากกว่ากัน ที่เขาว่ากันแบบนั้น ก็คงไม่ผิดในเชิงการเมือง แต่ ในเชิงยุทธศาสตร์ ผมว่าอเมริกาคงสนใจแค่ 1 สิ่ง ในตะวันออกกลาง คืออเมริกา “จะต้องได้” ตะวันออกกลางทั้งหมดต่างหาก อย่างที่ผมเกริ่นมาในตอนก่อนๆ แต่อเมริกาจะกินตะวันออกกลางทั้งหมด อเมริกาก็ต้องวางแผนให้ดี เพราะห่วงว่าจะมีใครย้อนศร ส่วจรวดมาใส่ไข่แดงของอเมริกา ที่อยู่ในตะวันออกกลางคือ อิสราเอล จนเละทั้งใบ ไม่ใช่อเมริการักอิสราเอลมากนักหรอก แต่ยิวที่ขี่คอรัฐบาลอเมริกานั่นสิ ที่อเมริกาต้องห่วง และยิวในอเมริกาก็มีมากเสียด้วย เรียกดาราดังๆเชื้อสายยิวๆ มาเข้าฉากทั้งหมด รัฐบาลอเมริกันอาจพังง่ายๆ ตั้งแต่ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ ดาราตุ๊กตาทอง สื่อทุกรูปแบบ อยู่ในมือยิวเกือบทั้งนั้น อาวุธที่ทำให้อเมริกาเซได้ โดยไม่ต้องถล่มตลาดหุ้น หรือใช้จรวดยิง ก็คือ ใช้ดารากับสื่อนี่แหละครับ เอาหน้าเด่นๆ ผลัดกันมาออกรายการ ตีข่าวเข้าไปทุกวัน คนบ้าดารา เคลิ้มตาม เดี๋ยวก็ได้มีการลาออก หรือเปลี่ยนนโยบายกันให้เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่า อเมริกาจะไม่มีวันทิ้งยิว … อัสซาด คนพ่อ Hafez Assad นั้น เป็นนักยุทธศาสตร์ตัวยง เหลี่ยมลึก มองไกล เขาดูแล้วว่า อิสราเอลเป็นจุดสำคัญที่สุดของตะวันออกกลาง ผมจึงชื่นชมอังกฤษ ไอ้ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายนักว่า มันสุดยอด(ชั่ว)จริงๆ ที่เอายิวไปอยู่ในตะวันออกกลางได้ และให้อยู่ในจุดนั้น ลองกลับไปดูแผนที่นะครับ และนึกถึงข้อตกลงของอังกฤษกับผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยว่า สมัยนั้น เขาตกลงแบ่งสมบัติกันอย่างไร สรุปว่า ประเทศที่มีทางออกสู่เมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมดคือ ตุรกี ซีเรีย เลบานอน และอิสราเอล ยาวมาจนถึงอียิปต์ ตกอยู่ในความดูแลของอังกฤษกับพวก เพื่ออังกฤษและพวกจะได้คุมทางออกไปทะเล จำไว้นะครับ เรื่องการคุมทางออกทะเล เป็นยุทธศาสตร์สำคัญอันหนึ่ง แต่มาภายหลัง เมื่อตุรกี ซีเรีย เลบานอน ได้รับเอกราช สามารถปกครองบ้านเมืองตัวเองได้ โดยไม่ต้องฟังอังกฤษกับพวกแล้ว อเมริกาที่รับไม้ดูแลตะวันออกกลางต่อจากอังกฤษ จึงต้องทุ่มสร้างความมั่นคงให้กับอิสราเอล ไข่แดงของตัว และสร้างความมั่นคงให้อิยิปต์ด้วยในช่วงแรก เพื่อเป็นกำแพงพิงหลังให้อิสราเอล ขณะเดียวกัน อเมริกาก็พยายามซื้อเลบานอนอยู่หลายรอบ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง อัสซาด คนพ่อ เห็นอย่างนั้นก็รู้ว่า อิสราเอล แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ถ้าอเมริกาเสริมเหล็กใ้ห้จนแข็งขนาดนั้น ต่อไปซีเรียจะเหนื่อย เขาจึงสนับสนุนให้มีการสร้างกลุ่มเฮสบอลเลาะห์ในเลบานอน ที่อยู่ติดหลังบ้านอิสราเอลขึ้นมา ไว้เป็นด่านกั้นให้ซีเรียชั้นหนึ่งก่อน ส่วนเลบานอนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะตัวเองยิ่งแย่ใหญ่ หน้าเกือบจะชนก้นอิสราเอลอยู่แล้ว และนี่ ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อิสราเอลเกลียดซีเรีย อย่างไม่มีวันเลิก กลับมาที่แผนชั่วของอเมริกาใน ตะวันออกกลาง ตัวละครใหญ่สำคัญที่สุด 3 รายคือ อิหร่าน อิสราเอล และซาอุดิอารเบีย นั้น อเมริกาจับมาอยู่ในมือแล้ว คือ 2 รายหลัง เหลือรายแรกคือ อิหร่าน ที่อเมริกาเพียรจับ แต่จับๆ หลุดๆ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1950 กว่าๆ แต่ไม่เคยอยู่หมัดอยู่มือถาวร อเมริกาจึงต้องวางแผนใหม่อยู่เรื่อย จะครองโลก ไม่ใช่คิดวันนี้ ครองพรุ่งนี้ เขาวางแผนกันมาหลายสิบปี บางทีร้อยปี ก็มี จะต่อสู้หรือต่อต้าน ก็เช่นเดียวกัน เขาก็ต้องวางแผนนาน สนามซีเรีย ช่วงนี้จะนั่งดูรายวัน ก็ควรทำความเข้าใจก่อนว่า ใครเล่นอะไร ที่ไหน เพราะอะไร ไม่อย่างนั้น ก็แค่รู้ แต่ไม่เข้าใจ อเมริกาวางแผนที่จะกินอิหร่านหลายรูปแบบ รูปแบบสุดท้าย คือ เรื่องนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นละครซื้อเวลา แผนจริงรุ่นแรก ที่อเมริกาเดินเพื่อกินอิหร่าน คือ แผนบุกอิรัค ของเหยี่ยวกระหายเลือด คาวบอยบุช กับดิกเชนีย์ เมื่อ ปี ค.ศ.2003 ซึ่งเป็นไปตามแผนการจัดระเบียบโลกใหม่ New World Order ที่บุชตัวพ่อ ประกาศ ในปี ค.ศ.1991 เมื่อคิดว่า สหภาพโซเวียตล่มสลายตายสนิท แต่ภายหลัง ในช่วงประมาณปี ค.ศ.2000 ไอ้ที่คิดว่าตายสนิท ดันฟื้นเป็นรัสเซีย ที่ทำท่าจะเฟื่องต่อเสียด้วยซ้ำ และไอ้ที่คิดว่าดีแต่ค้าขายอย่างจีน ก็ทำท่าจะโตเร็วเกินไป แผนจัดการอิหร่าน เพื่อยึดตะวันออกกลาง และผ่ากลาง รัสเซียกับจีน จึงต้องรีบดำเนินการ แต่อยู่ดีๆ จะไปยึดอิหร่าน ที่ใหญ่เอาเรื่อง และก็ผูกสัมพันธ์กับรัสเซียมาตลอด คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเซ่อซ่าวิ่งลุยเข้าไปง่ายๆ อเมริกาจึงคิดทุบรอบนอกอิหร่านก่อน และยุทธศาสตร์ทุบรอบนอก หรือทุบข้างในให้น่วมก่อนกิน นี่ ดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์ยอดนิยมของค่ายตะวันตก อิรัคและซัดดัม จึงถูกเลือกเป็นทั้งเป้าหมายจริง และเป็นเป้าหมายหลอกในขณะเดียวกัน อเมริกาไม่เคยกินเด้งเดียว อเมริกาต้องการครอบครองอิรัค เพื่อเอาน้ำมัน และใช้เป็นสะพานเพื่อเข้าไปบุกซีเรียและอิหร่านอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็เป็นการตัดเส้นทางเลี้ยงกลุ่มเฮสบอลเลาะห์ ของเลบานอน ที่อยู่ติดกับประตูหลังบ้านของอิสราเอล ที่ทั้งอิหร่านและซีเรียส่งเสียเลี้ยงดู เพื่ออิสราเอลจะได้ปลอดภัย เห็นความแสบ ซับซ้อนของอเมริกาไหมครับ แผนนี้ ถ้าสำเร็จ มันจะเป็นการทลายค่ายต่อต้านอเมริกาอย่างถาวร ได้ดูแลยิว และผ่ารัสเซียจากจีน เป็นการตัดตอน 2 ประเทศใหญ่ เตรียมก้าวไปครองโลก คิดแล้วน่าเคลิ้มใจ อเมริกา ยังฝันเฟื่องต่อไปอีกว่า เมื่อยึดอิรัค กำจัดซัดดัมแล้ว จะจัดให้อิรัคมีการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้อิรัค เป็นมิตรที่ดีของอิสราเอล คอยช่วยเหลืออิสราเอล และช่วยด่าซีเรีย กับด่าอิหร่าน เป็นการปูพื้น เตรียมการให้อเมริกาบุก 2 ประเทศนั้นต่อ ระหว่างที่อ่านย่อหน้านี้ จะได้อารมณ์มาก ถ้านึกถึงหน้าคาวบอยบุซ ไปด้วยนะครับ จะได้ซึ้งถึงฝันเฟื่องของคาวบอย ว่ามัน เห่ย ขนาดไหน อเมริกา ไม่ได้เพียงประเมินตัวเองผิด อเมริกายังประเมินคู่ต่อสู้ของตัวผิดอีกด้วย การบุกอิรัค จึงกลายเป็นเรื่องหายนะของอเม ริกา และเป็นหายนะของอิรัคด้วย เพราะตามสูตรของอเมริกา เมื่อครอบครองไม่ได้ ก็ทำลายเสีย แล้วอิรัค ก็กลายเป็นรัฐล้มเหลว เช่นเดียวกับลิเบีย และอื่นๆ สำหรับอเมริกา ในการจะบุกซีเรีย อเมริกาต้องใช้สูตรสำเร็จ เอาปูนป้ายหน้า อัสซาดก่อนว่า ไอ้หมอนี่เป็นผู้นำที่เลว เผด็จการ ขี้โกง ไร้มนุษยธรรม ฯลฯ เหมือนอย่างที้ป้ายหน้า ซัดดัม กัดดาฟี ทำนองนั้น สูตรสำเร็จนี้ คนอ่านนิทานท่องได้ จำขึ้นใจกันแล้วทั้งนั้น แต่สำหรับซีเรีย สูตรสำเร็จแค่นั้นคงไม่พอ เพราะซีเรียก็แหลมคม และมีเพื่อน แล้วในปี ค.ศ.2005 จึงเกิดเรื่องการวางระเบิดคาร์บอม ใส่ขบวนรถของนายราฟิค ฮาริริ Rafiq Hariri อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน ข่าวบอกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มเฮสบอลเลาะห์กองกำลังติดอาวุธของเลบานอน ที่อยู่คนละข้างกับกลุ่มของฮาริริ บังเอิญ ฮาริริ ดันเป็นคนที่ (มีคนสั่งให้) ซาอุ (จ่าย) สนับสนุนให้เป็นใหญ่ในเลบานอน เอาไว้เป็นหนาม อยู่กลางกลุ่มพวกอิหร่านและซีเรียในเลบานอน เรื่องมันจึงไม่ใช่การวางระเบิดระดับธรรมดา สื่อฟอกย้อม ลงข่าวว่า ซีเรียต้องรับผิดชอบ เพราะตอนนั้นซีเรีย ดูแลด้านความมั่นคงให้แก่เลบานอน ตามสัญญา Taif Accord แม้จะดมกลิ่นระเบิดไม่ได้จากมือไหน แต่คาร์บอมรายการนี้ ก็ค่อนข้างชัดว่า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้ายสีให้อัสซาด นอกจากนี้ หัวหน้าอาหรับสายสุนนี่ โดยเฉพาะสุนนี่ในเลบานอน ต่างออกมาประสานเสียงกันว่า ซีเรียต้องรับผิดชอบในการลอบฆ่านี้ ผลสุดท้าย กองทัพซีเรียก็ต้องถอนกำลังออกไปจากเลบานอน และเลบานอนก็อยู่ในความดูแลของ กลุ่มเฮสบอลเลาะห์ กับกองกำลังที่เรียกว่า “กองกำลังร่วม 14 มีนา” ที่ตั้งขึ้นทันที ที่ ฮาริริ ถูกฆ่าตาย และไม่ถูกกับกลุ่มเฮสบอลเลาะห์ เลบานอน ก็เริ่มมีความวุ่นวาย หลังจากนั้น เสียงไม่เอาซีเรีย ไม่เอาอัสซาด ก็เริ่มระบาดดังขึ้นในเลบานอน สื่อในเลบานอน ตีข่าวด่าซีเรียทุกวัน กองกำลังร่วม 14 มีนา ก็แข็งกร้าวขึ้นทุกวัน และกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ปนกลิ่นแพะ ก็ปลิวว่อนในเลบานอน นี่คือจุดเริ่มต้นของการรวมกำลังโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด ที่มาจากสาระพัดพันธ์ุและสาระพัด เป้าหมาย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 540 Views 0 Reviews
  • แผนชั่ว ตอนที่ 8

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 8
    แผนการขั้นต่อไปของอเมริกา คือ ใช้กำลังทหารคุมบริเวณเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมัน จากอาฟริกาไปถึงจีน โดยเฉพาะช่วงที่เป็นช่องแคบ ที่สามารถจะบีบให้ช่องทางนั้นตันได้ เขาเรียกกันว่า “choke points” จุดรัดคอ
    จุดรัดคอที่สำคัญจุดหนึ่งอยู่ที่เยเมน Republic of Yemen ประเทศเล็กๆ ที่ไม่ร่ำรวยเหมือนเพื่อนบ้านที่ อยู่ติดกันคือ ซาอุดิ อารเบีย ที่อยู่ทางเหนือของเยเมน มีทะเลแดงอยู่ทางตะวันตก และอ่าวเอเดน Gulf of Aden อยู่ทางใต้ เป็นปากทางออกไปสู่ทะเลอารเบียน Arabian Sea มองจากเยเมนข้ามไปอีกฝั่งทางอาฟริกา จะเห็นแผ่นดินที่ดูรกร้าง แต่ระยะหลังนี้ กลับโด่งดัง มีชื่อพาดหัวข่าวบ่อยคือ โซมาเลีย Somalia
    วันนี้ใครไม่รู้จัก เยเมนและโซมาเลีย ออกจะเชยนะครับ
    อเมริกาและเพนตากอน เริ่มจัดกองกำลังไปอยู่ที่ Bab el-Mandab ที่อยู่ตรงส่วนแคบที่สุด ของอ่าวเอเดน ด้วยการโหมข่าวเรื่องสลัดโซมาเลีย และเรื่อง อัลไคด้า หรืออัลกออิดะ Al Qaeda ที่คืนชีพ และ “บังเอิญ” เลือกที่ตั้งฐานใหม่อยู่ที่เยเมน ในช่วงปี ค.ศ.2009
    มันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของอเมริกา ที่ต้องการเป็นผู้ควบคุม (และปิดกั้น เมื่อต้องการ) การใช้เส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมัน ที่แน่นขนัด เส้นสำคัญของในโลก
    นอกจากนี้ มีข่าวว่า ยังมีแหล่งน้ำมันที่ยังไม่ได้พัฒนา หลบซ่อนอยู่ในบริเวณระหว่างเยเมนกับซาอุดิอารเบีย ที่อาจมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกแหล่งหนึ่ง เหลืออยู่ เยเมน จึงกลายเป็นเป้าสำคัญอย่างน่าสงสาร
    การเขย่าเยเมนยกแรก เริ่มจากการเป็นข่าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.2009 เกี่ยวกับการจับกุม นาย Abdullah ชาวไนจีเรีย ที่เป็นพนักงานทำงานในหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกาว่า เขาลอบนำวัตถุระเบิดซ่อนไว้ในกางเกงใน (ช่างเลือกที่ซ่อนจริงวุ้ย) แล้วขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Northwest Airlines ที่เมืองอัมสเตอร์ดัม เนเธอรฺ์แลนด์ เพื่อบินไปยังเมืองดีทรอยท์ในอเมริกา เขาถูกจับได้และถูกนำตัวมาดำเนินคดีฐานพยายามนำวัตถุระเบิดขึ้นเครื่องบิน และพยายามระเบิดเครื่องบิน
    หลังจากนั้นกระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ก็ทำหน้าที่โหมข่าวว่า นาย Abdullah นี้ ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ได้รับการฝึกอบรมมาจากเยเมน เพื่อมาปฏิบัติภาระกิจนี้ เขาได้รับการฝึกจากองค์กรที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่คือ Al Qaeda in the Arabian Peninsula (AQAP) ที่มีฐานอยู่ที่เยเมน ซึ่งน่าจะเป็นศูนย์กลางใหม่ของพวกอัลไคด้า หรืออัลกออิดะ
    คนดูข่าวโลกกว้าง ทำหน้างงเป็นไก่ถูกตีหัว อะไรนะ เยเมน อยู่ตรงไหนนะ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน เรียนภูมิศาสตร์ในโรงเรียนบ้านเรา โลกแคบนิดเดียว ไม่เห็นมีชื่อประเทศนี้เลย และด้วยข่าวชิ้นนี้ เยเมน ประเทศเล็กๆ ก็ได้ขึ้นชั้น เป็นเป้าใหม่เอี่ยมอยู่ในกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่สำคัญของอเมริกา สำคัญพอที่อเมริกา จะยกกองกำลังไปปักหลักเฝ้าอยู่ที่เยเมนเลยทีเดียว
    จริงๆ มันมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเยเมน ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.2009 แล้ว อยู่ดีๆ นาย Tariq al-Fadhli อดีตหัวหน้ากลุ่มระเบิดพลีชีพ jihadist ที่มาจากเยเมนใต้ ที่เคยเป็นคอหอยลูกกระเดือก สนับสนุน Ali Abdullah Saleh ประธานาธิบดีของเยเมน ก็ดันประกาศตัดสัมพันธ์ 15 ปี กับประธานาธิบดี Saleh อย่างไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย บอกว่าจะไปละนะ ไปรวมตัวกับพวกเคลื่อนไหวทางเยเมนใต้ Southern Movement (SM) ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เอะ จะไปทำอะไรที่เยเมนใต้
    Al-Fadhli นี่ไม่ธรรมดา นับว่าเขาเป็นศิษย์เก่าสถาบันซี ไอเอของอเมริกาทีเดียว เพราะเขาเคยเป็นสมาชิก ของพวกมูจาฮิดีน Mujahideen ในอาฟกานิสถานอยู่หลายปี ในช่วงตั้งแต่ ค.ศ.1980 พวกมูจาฮิดีนนี้ มีซีไอเอ เป็นผู้ฝึกให้ เพื่อเอาไว้ให้ รบกับสหภาพโซเวียต al- Fadhli ได้รับการฝึกจากซีไอเอ รุ่นเดียวกับเพื่อนอีกคน ที่เป็นลูกเศรษฐีชาวซาอุ เชื้อสายเยเมน ชื่อ โอซามา บิน ลาเดน Osama bin Laden คนนั้นแหล่ะ สำนักงานใหญ่ของ อัลไคดาของจริง เขาก็ว่าอยู่ที่แลงลี่ Langley Virginia ในอเมริกา ก็สำนักงานใหญ่ของซีไอเอนั่นเอง มันเป็นรายการต้มตุ๋นทั้งโลกจริงๆ
    เรื่องของเยเมน นี่ มีหลายมิติ เยเมนนั้นมารวมตัวเป็นรัฐเดียวกัน ในปี ค.ศ.1990 หลังจากสหภาพโซเวียตแตกสลาย เดิมเยเมนใต้ หรือชื่อเต็มว่า สาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยเยเมน Peoples’s Democratic Republic of Yemen (PDRY) เคยเป็นรัฐที่มีความผูกพันกับสหภาพ โซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตแตก เยเมนใต้ก็ขาดลอย ขาดลูกพี่ จึงมารวมตัวกับเยเมนเหนือ Yemen Arab Republic คงมองเห็นภาพอะไรรางๆนะครับ
    แต่ก็ดูเหมือนจะรวมกันอยู่อย่าง ไม่ค่อยราบรื่น ตั้งแต่รวมกัน ก็มีเรื่องขบกันมาตลอด จนปี ค.ศ.1994 เกิดสงครามกลางเมือง เยเมนใต้ทนเห็นความขี้โกง ของรัฐบาล ที่นำโดยประธานาธิบดี Saleh ของเยเมนเหนือไม่ไหว เลยลุกขึ้นมาไล่ Saleh ซึ่งปกครองเยเมนเหนือมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 พอมีการรวมเยเมนเหนือใต้เข้าด้วยกัน ก็เลยเป็นประธานาธิบดีของเยเมนที่รวมตัวกันต่อไปด้วย แต่เยเมนใต้รบไม่ชนะในสงครามกลางเมืองครั้งนั้น ทั้ง 2 เยเมน ก็เลยยังต้องผูกติดกันอยู่ต่อไป และรักกันน้อยลงไปอีก
    ก่อนปี ค.ศ.1990 อเมริกาและซาอุดิอารเบีย ให้การสนับสนุน Saleh และนโยบายรัฐอิสลามของ Saleh อย่างเต็มที่ เพื่อกันไม่ให้เยเมนใต้ ซึ่งมีเชื้อคอมมิวนิสต์สายโซเวียต มาร่วมด้วย Saleh จึงปกครองโดยมีกลุ่ม นักรบพลีชีพ ซาลาฟิส Salafist-jihadi ซึ่งใครไม่รู้ส่งมาสนับสนุน เมื่อ al-Fadhli ซึ่งเป็นจีฮาด อยู่ดีๆ ก็ประกาศแยกตัวจาก Saleh กลับไปปักหลักที่เยเมนใต้ Saleh ก็น่าจะเหนื่อย
    หลังจาก al-Fadhli มารวมกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางเยเมนใต้ ในเดือนเมษายน ค.ศ.2009 การประท้วงรัฐบาลในเมืองต่างๆ ทางเยเมนใต้ ก็ลามเพิ่มขี้นไปตามเมืองต่างๆ และเงื่อนไขข้อเรียกร้องก็เพิ่มขึ้นไปด้วย
    แค่เรื่องเยเมนใต้ Saleh ก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว ทางเหนือก็เกิดมีการลุกฮือขึ้นโดยพวก ฮูตติ ชิอะห์ Shi’ite al Houthi Zaydi ซึ่ง Saleh บอกว่า พวกฮูตติ นี่ มีทั้งอิรัคและอิหร่านสนับสนุน เจ้าหน้าที่เยเมนยีดอาวุธที่ทำในอิหร่าน ได้จากพวกฮูตติ ส่วนฮูตติ ก็อ้างว่าอาวุธที่พวกเขายึดได้จากพวกเยเมนเหนือ เป็นอาวุธที่มีเครื่องหมายของซาอุดิอารเบียทั้งนั้น เมืองซานะ (เมืองหลวงของเยเมน) น่ะ กลายเป็น ขี้ข้าของซาอุดิอารเบีย แล้วซินะ
    เรื่องในเยเมน ชักยุ่งรุงรังไปหมด ลากมาเกี่ยวมันทุกเรื่อง กลัวคนไม่รู้ว่าใครวางแผน และไม่รู้ว่าจะมีแผนซ้อนอีกต่อหรือเปล่า….
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 8 แผนการขั้นต่อไปของอเมริกา คือ ใช้กำลังทหารคุมบริเวณเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมัน จากอาฟริกาไปถึงจีน โดยเฉพาะช่วงที่เป็นช่องแคบ ที่สามารถจะบีบให้ช่องทางนั้นตันได้ เขาเรียกกันว่า “choke points” จุดรัดคอ จุดรัดคอที่สำคัญจุดหนึ่งอยู่ที่เยเมน Republic of Yemen ประเทศเล็กๆ ที่ไม่ร่ำรวยเหมือนเพื่อนบ้านที่ อยู่ติดกันคือ ซาอุดิ อารเบีย ที่อยู่ทางเหนือของเยเมน มีทะเลแดงอยู่ทางตะวันตก และอ่าวเอเดน Gulf of Aden อยู่ทางใต้ เป็นปากทางออกไปสู่ทะเลอารเบียน Arabian Sea มองจากเยเมนข้ามไปอีกฝั่งทางอาฟริกา จะเห็นแผ่นดินที่ดูรกร้าง แต่ระยะหลังนี้ กลับโด่งดัง มีชื่อพาดหัวข่าวบ่อยคือ โซมาเลีย Somalia วันนี้ใครไม่รู้จัก เยเมนและโซมาเลีย ออกจะเชยนะครับ อเมริกาและเพนตากอน เริ่มจัดกองกำลังไปอยู่ที่ Bab el-Mandab ที่อยู่ตรงส่วนแคบที่สุด ของอ่าวเอเดน ด้วยการโหมข่าวเรื่องสลัดโซมาเลีย และเรื่อง อัลไคด้า หรืออัลกออิดะ Al Qaeda ที่คืนชีพ และ “บังเอิญ” เลือกที่ตั้งฐานใหม่อยู่ที่เยเมน ในช่วงปี ค.ศ.2009 มันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของอเมริกา ที่ต้องการเป็นผู้ควบคุม (และปิดกั้น เมื่อต้องการ) การใช้เส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมัน ที่แน่นขนัด เส้นสำคัญของในโลก นอกจากนี้ มีข่าวว่า ยังมีแหล่งน้ำมันที่ยังไม่ได้พัฒนา หลบซ่อนอยู่ในบริเวณระหว่างเยเมนกับซาอุดิอารเบีย ที่อาจมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกแหล่งหนึ่ง เหลืออยู่ เยเมน จึงกลายเป็นเป้าสำคัญอย่างน่าสงสาร การเขย่าเยเมนยกแรก เริ่มจากการเป็นข่าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.2009 เกี่ยวกับการจับกุม นาย Abdullah ชาวไนจีเรีย ที่เป็นพนักงานทำงานในหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกาว่า เขาลอบนำวัตถุระเบิดซ่อนไว้ในกางเกงใน (ช่างเลือกที่ซ่อนจริงวุ้ย) แล้วขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Northwest Airlines ที่เมืองอัมสเตอร์ดัม เนเธอรฺ์แลนด์ เพื่อบินไปยังเมืองดีทรอยท์ในอเมริกา เขาถูกจับได้และถูกนำตัวมาดำเนินคดีฐานพยายามนำวัตถุระเบิดขึ้นเครื่องบิน และพยายามระเบิดเครื่องบิน หลังจากนั้นกระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ก็ทำหน้าที่โหมข่าวว่า นาย Abdullah นี้ ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ได้รับการฝึกอบรมมาจากเยเมน เพื่อมาปฏิบัติภาระกิจนี้ เขาได้รับการฝึกจากองค์กรที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่คือ Al Qaeda in the Arabian Peninsula (AQAP) ที่มีฐานอยู่ที่เยเมน ซึ่งน่าจะเป็นศูนย์กลางใหม่ของพวกอัลไคด้า หรืออัลกออิดะ คนดูข่าวโลกกว้าง ทำหน้างงเป็นไก่ถูกตีหัว อะไรนะ เยเมน อยู่ตรงไหนนะ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน เรียนภูมิศาสตร์ในโรงเรียนบ้านเรา โลกแคบนิดเดียว ไม่เห็นมีชื่อประเทศนี้เลย และด้วยข่าวชิ้นนี้ เยเมน ประเทศเล็กๆ ก็ได้ขึ้นชั้น เป็นเป้าใหม่เอี่ยมอยู่ในกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่สำคัญของอเมริกา สำคัญพอที่อเมริกา จะยกกองกำลังไปปักหลักเฝ้าอยู่ที่เยเมนเลยทีเดียว จริงๆ มันมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเยเมน ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.2009 แล้ว อยู่ดีๆ นาย Tariq al-Fadhli อดีตหัวหน้ากลุ่มระเบิดพลีชีพ jihadist ที่มาจากเยเมนใต้ ที่เคยเป็นคอหอยลูกกระเดือก สนับสนุน Ali Abdullah Saleh ประธานาธิบดีของเยเมน ก็ดันประกาศตัดสัมพันธ์ 15 ปี กับประธานาธิบดี Saleh อย่างไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย บอกว่าจะไปละนะ ไปรวมตัวกับพวกเคลื่อนไหวทางเยเมนใต้ Southern Movement (SM) ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เอะ จะไปทำอะไรที่เยเมนใต้ Al-Fadhli นี่ไม่ธรรมดา นับว่าเขาเป็นศิษย์เก่าสถาบันซี ไอเอของอเมริกาทีเดียว เพราะเขาเคยเป็นสมาชิก ของพวกมูจาฮิดีน Mujahideen ในอาฟกานิสถานอยู่หลายปี ในช่วงตั้งแต่ ค.ศ.1980 พวกมูจาฮิดีนนี้ มีซีไอเอ เป็นผู้ฝึกให้ เพื่อเอาไว้ให้ รบกับสหภาพโซเวียต al- Fadhli ได้รับการฝึกจากซีไอเอ รุ่นเดียวกับเพื่อนอีกคน ที่เป็นลูกเศรษฐีชาวซาอุ เชื้อสายเยเมน ชื่อ โอซามา บิน ลาเดน Osama bin Laden คนนั้นแหล่ะ สำนักงานใหญ่ของ อัลไคดาของจริง เขาก็ว่าอยู่ที่แลงลี่ Langley Virginia ในอเมริกา ก็สำนักงานใหญ่ของซีไอเอนั่นเอง มันเป็นรายการต้มตุ๋นทั้งโลกจริงๆ เรื่องของเยเมน นี่ มีหลายมิติ เยเมนนั้นมารวมตัวเป็นรัฐเดียวกัน ในปี ค.ศ.1990 หลังจากสหภาพโซเวียตแตกสลาย เดิมเยเมนใต้ หรือชื่อเต็มว่า สาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยเยเมน Peoples’s Democratic Republic of Yemen (PDRY) เคยเป็นรัฐที่มีความผูกพันกับสหภาพ โซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตแตก เยเมนใต้ก็ขาดลอย ขาดลูกพี่ จึงมารวมตัวกับเยเมนเหนือ Yemen Arab Republic คงมองเห็นภาพอะไรรางๆนะครับ แต่ก็ดูเหมือนจะรวมกันอยู่อย่าง ไม่ค่อยราบรื่น ตั้งแต่รวมกัน ก็มีเรื่องขบกันมาตลอด จนปี ค.ศ.1994 เกิดสงครามกลางเมือง เยเมนใต้ทนเห็นความขี้โกง ของรัฐบาล ที่นำโดยประธานาธิบดี Saleh ของเยเมนเหนือไม่ไหว เลยลุกขึ้นมาไล่ Saleh ซึ่งปกครองเยเมนเหนือมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 พอมีการรวมเยเมนเหนือใต้เข้าด้วยกัน ก็เลยเป็นประธานาธิบดีของเยเมนที่รวมตัวกันต่อไปด้วย แต่เยเมนใต้รบไม่ชนะในสงครามกลางเมืองครั้งนั้น ทั้ง 2 เยเมน ก็เลยยังต้องผูกติดกันอยู่ต่อไป และรักกันน้อยลงไปอีก ก่อนปี ค.ศ.1990 อเมริกาและซาอุดิอารเบีย ให้การสนับสนุน Saleh และนโยบายรัฐอิสลามของ Saleh อย่างเต็มที่ เพื่อกันไม่ให้เยเมนใต้ ซึ่งมีเชื้อคอมมิวนิสต์สายโซเวียต มาร่วมด้วย Saleh จึงปกครองโดยมีกลุ่ม นักรบพลีชีพ ซาลาฟิส Salafist-jihadi ซึ่งใครไม่รู้ส่งมาสนับสนุน เมื่อ al-Fadhli ซึ่งเป็นจีฮาด อยู่ดีๆ ก็ประกาศแยกตัวจาก Saleh กลับไปปักหลักที่เยเมนใต้ Saleh ก็น่าจะเหนื่อย หลังจาก al-Fadhli มารวมกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางเยเมนใต้ ในเดือนเมษายน ค.ศ.2009 การประท้วงรัฐบาลในเมืองต่างๆ ทางเยเมนใต้ ก็ลามเพิ่มขี้นไปตามเมืองต่างๆ และเงื่อนไขข้อเรียกร้องก็เพิ่มขึ้นไปด้วย แค่เรื่องเยเมนใต้ Saleh ก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว ทางเหนือก็เกิดมีการลุกฮือขึ้นโดยพวก ฮูตติ ชิอะห์ Shi’ite al Houthi Zaydi ซึ่ง Saleh บอกว่า พวกฮูตติ นี่ มีทั้งอิรัคและอิหร่านสนับสนุน เจ้าหน้าที่เยเมนยีดอาวุธที่ทำในอิหร่าน ได้จากพวกฮูตติ ส่วนฮูตติ ก็อ้างว่าอาวุธที่พวกเขายึดได้จากพวกเยเมนเหนือ เป็นอาวุธที่มีเครื่องหมายของซาอุดิอารเบียทั้งนั้น เมืองซานะ (เมืองหลวงของเยเมน) น่ะ กลายเป็น ขี้ข้าของซาอุดิอารเบีย แล้วซินะ เรื่องในเยเมน ชักยุ่งรุงรังไปหมด ลากมาเกี่ยวมันทุกเรื่อง กลัวคนไม่รู้ว่าใครวางแผน และไม่รู้ว่าจะมีแผนซ้อนอีกต่อหรือเปล่า…. สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 549 Views 0 Reviews
  • แผนชั่ว ตอนที่ 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 4
    ปฏิบัติการต่างๆ ของอเมริกาหลังจากนั้น จึงเป็นปฏิบัติการพรางตัว จะอ้างว่าเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่แท้จริงเป็นความพยายามที่จะ “กัน” ไม่ให้จีนมีโอกาสแทรกตัว แหย่ขา เข้ามาในอาฟริกาได้ง่ายๆ หรือไม่ได้เลยยิ่งดี เพราะอเมริการู้ดีว่า อาฟริกานั้นเต็มไปด้วยแร่มีค่าสาระพัด อเมริกานึกไม่ถึงว่า อาเฮียจากแดนมังกรจะหาญกล้า ข้ามน้ำข้ามภูเขา มาฉกของดีตัดหน้าอเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกได้ นึกว่าอาเฮียทำเป็น แค่ดีดลูกคิด….
    สาธารณารัฐคองโก หรือที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสาธารณรัฐแซร์ Republic of Zaire ในปี คศ 1997 เมื่อกองกำลังของ โลรอง-เดซิเร คาบิล่า Laurent-Desire Kabila โค่นประธานาธิบดีตลอดกาล เซเซ เซกู หรือ โจเซฟ- โลรอง โมบูตู Sese Seku Joseph-Laurent Mobutu ที่ปกครองคองโก มาถึง 32 ปี ร่วงหล่นลงไปได้ ชาวอาฟริกาเรียกประเทศใหม่นี้ว่า คองโก-คินชาซา Congo-Kinshasa หรือคองโกใหญ่ ให้ต่างกับ คองโก-บราซาวิล Congo-Brazzaville ที่เล็กกว่า
    คองโกเคยอยู่ในอิทธิพลของเบลเยี่ยมมานาน ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1885 จนในที่สุด ก็ตกเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยมใน ปี ค.ศ.1908 มาได้รับการปลดปล่อยเป็นไท เอาเมื่อปี ค.ศ.1960 นี้เอง
    เบลเยี่ยมเป็นแหล่งศูนย์กลางเจียรนัยเพชร ค้าเพชร กำหนดราคาเพชร และปริมาณเพชร ที่จะให้กระจายในตลาดเพชรแต่ละปี เพื่อควบคุมราคาเพชรในโลก และเป็นศูนย์กลางค้าเพชรใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งตลาดสว่าง และตลาดมืด ทำให้เบลเยี่ยมเป็นหนึ่งในประเทศร่ำรวยของยุโรป
    คองโกมีแหล่งเพชรเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของโลก คงไม่ต้องบอกว่า เบลเยี่ยมเอาเพชรมาจากไหน
    นอกจากมีแหล่งเพชรมากมายแล้ว แถบบริเวณ คิวู Kivu ในคองโก ที่มีเขตแดนยาวต่อกับรวันดาRwanda และ ยูกันดา Uganda นั้น นักธรณีวิทยา เชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรแร่มีค่า ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะใน บริเวณที่เรียกว่า Great African Rift Valley
    นอกจากนี้ คองโกยังมีแหล่งทรัพยากรโคบอลท์ cobalt มากกว่าครึ่งหนึ่ง ของแร่โคบอลท์ที่มีทั้งหมดในโลก และที่สำคัญ คองโกมีแร่แทนทาไลท์ หรือโคลแทน ถึง 3 ใน 4 ของโลก โคลแทน เป็นโลหะสำคัญที่นำมาใช้ในการสร้างคอมพิวเตอร์ชิพ และแผงวงจรไฟฟ้า ที่จำเป็นมากสำหรับอุปกรณ์มือถือ เครื่องคอม และเครื่องมืออีเลคโทรนิคทั้งปวง และเชื่อกันว่า คองโกก็มีแหล่งน้ำมันแยะมากด้วย
    แต่มันเหลือเชื่อ และน่าเศร้าใจว่า จนถึงปัจจุบันชาวคองโกส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตที่ลำบาก และประเทศยังยากจน
    ช่วงแรกๆ ที่โมบูตูปกครองคองโก เป็นช่วงสงครามเย็น อเมริกาจึงทำหวานเชื่อมกับโมบูตู เขาเป็นชาวอาฟริกันคนแรก ที่เป็นแขกเชิญของทำเนียบขาว โมบูตู เป็นนักการเมืองจอมแสบ เขาคบทั้งสหภาพโซเวียตและจีน เพื่อไว้ต่อรองกับอเมริกา ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับโมบูตู จึงทั้งหวานทั้งขมปนกัน อเมริกาคงยอมไม่ได้ ถ้าคองโกประเทศใหญ่ในอาฟริกา จะกลายเป็นพรรคพวกของคอมมิวนิสต์ เสียหน้าพี่เบิ้มใหญ่ แห่งค่ายประชาธิปไตยโรเนียวหมด
    โมบูตูจึงฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและพรรคพวก เขารวยอย่างมหาศาล และเป็นเผด็จการอย่างเข้มข้น หลายครั้งที่เขาถูกรัฐประหาร แต่ก็รอดมาได้ ด้วยอาวุธที่อเมริกาจัดส่งให้ เพื่อเอาไว้ขู่ ไม่ให้โซเวียตกับจีนเข้ามาในคองโก แต่หลังจากสงครามเย็นใกล้จบ ความต้องการที่จะง้อโมบูตู ก็คงหมดตามไปด้วย
    และก็มีคนช่างคิด ช่างสงสัย ว่าโรคเอดส์นั้น ทำไมไปเกิดอยู่ที่คองโกเป็นแห่งแรก ก่อนจะระบาดเป็นไฟลามทุ่งไปทั่วโลก และก็น่าแปลกใจว่า ลูกชาย 2 คน ในจำนวนลูก 14 คนของโมบูตู ก็เสียชิวิตด้วยโรคเอดส์ และ 1 ใน 2 นั้น เป็นที่มุ่งหวังของโมบูตู ที่จะให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองคองโกต่อจากเขา
    American Minerals Fields, Inc บริษัทอเมริกันที่เป็นผู้ลงทุน และสนับสนุนให้ คาบิลาโค่นโมบูตู มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐอาร์แคนซอร์ ฐานใหญ่ของอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน บิล คลินตัน คนนิยมเด็กฝึกงาน ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทนี้เป็นคนใกล้ชิดของคนนิยมเด็กฝึกงาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้ว่าการรัฐ อาแคนซอร์ แหม ใครเขาจะเอาชื่อตัวเองมาใส่
    ก่อนการโค่น มูบูตู ลงจากแท่นไม่กี่เดือน คาบิลา เริ่มทบทวนสัญญาสัมปทานขุดแร่ และทำการเจรจาเงื่อนไขกับพวกบริษัท อเมริกัน อังกฤษ ที่มาลงทุนทำเหมืองในคองโกเสียใหม่ รวมทั้งเจรจากับ American Minerals ด้วย คาบิลาคงเข้าใจอะไรผิด หรือประเมินผู้สนับสนุนตัวเองผิด อย่างไม่น่าเป็นไปได้
    แบบนี้ วอชิงตันคงไม่เลี้ยงเขาไว้นาน แล้วในปี ค.ศ.2001 คาบิลาก็ถูกฆ่าตาย ใครฆ่าเขา ผมไม่รู้
    มีรายงานออกมาในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1997 ว่า หลังจากโมบูตูถูกโค่นไปไม่กี่เดือน IMF ก็แนะนำให้รัฐบาลคองโกหยุดการพิมพ์ธนบัตรอย่างกระทันหัน และสิ้นเชิง ตามนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจคองโกของ IMF และเมื่อ คาบิลา ขึ้นมาปกครอง IMF แนะนำให้คาบิลาระงับการจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (ไม่รู้แปลว่าอะไร !) ซ้ำเข้าไปอีก หลังจากนั้นก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักในคองโก ค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยของชาวคองโกตกประมาณเดือนละ 3 หมื่นแซร์ หรือประมาณเดือนละ 1 เหรียญสหรัฐ …
    นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดา นาย Michael Chossudovsky บอกว่า เงื่อนไขที่ IMF กำหนดให้รัฐบาลคองโกปฏิบัติมีผลเป็นการรักษาระดับความยากจนของประชาชนชาวคองโก ให้คงทนถาวรตลอดไป คองโกเป็นประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอย่างมาก แต่ชาวคองโกถูกแผนชั่วกำหนด ไม่ให้พวกเขามีโอกาสพัฒนาประเทศตนเอง และต้องวนเวียนอยู่กับการสู้รบฆ่าฟันกันเอง จนมีคนตายไปเกือบ 2 ล้านคน
    เมื่อคาบิลา คนพ่อถูกเก็บ โจเซฟ ลูกชายเขาก็ถูกเอามาขึ้นแท่นแทนพ่อ เขาเป็นประธานาธิบดีของคองโกคนแรก ที่มาจากการ (สั่งให้มี) เลือกตั้ง และดูเหมือนจะไม่ (กล้า) สนใจที่จะพัฒนาประเทศตนเอง แต่อย่างใด
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    17 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 4 ปฏิบัติการต่างๆ ของอเมริกาหลังจากนั้น จึงเป็นปฏิบัติการพรางตัว จะอ้างว่าเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่แท้จริงเป็นความพยายามที่จะ “กัน” ไม่ให้จีนมีโอกาสแทรกตัว แหย่ขา เข้ามาในอาฟริกาได้ง่ายๆ หรือไม่ได้เลยยิ่งดี เพราะอเมริการู้ดีว่า อาฟริกานั้นเต็มไปด้วยแร่มีค่าสาระพัด อเมริกานึกไม่ถึงว่า อาเฮียจากแดนมังกรจะหาญกล้า ข้ามน้ำข้ามภูเขา มาฉกของดีตัดหน้าอเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกได้ นึกว่าอาเฮียทำเป็น แค่ดีดลูกคิด…. สาธารณารัฐคองโก หรือที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสาธารณรัฐแซร์ Republic of Zaire ในปี คศ 1997 เมื่อกองกำลังของ โลรอง-เดซิเร คาบิล่า Laurent-Desire Kabila โค่นประธานาธิบดีตลอดกาล เซเซ เซกู หรือ โจเซฟ- โลรอง โมบูตู Sese Seku Joseph-Laurent Mobutu ที่ปกครองคองโก มาถึง 32 ปี ร่วงหล่นลงไปได้ ชาวอาฟริกาเรียกประเทศใหม่นี้ว่า คองโก-คินชาซา Congo-Kinshasa หรือคองโกใหญ่ ให้ต่างกับ คองโก-บราซาวิล Congo-Brazzaville ที่เล็กกว่า คองโกเคยอยู่ในอิทธิพลของเบลเยี่ยมมานาน ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1885 จนในที่สุด ก็ตกเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยมใน ปี ค.ศ.1908 มาได้รับการปลดปล่อยเป็นไท เอาเมื่อปี ค.ศ.1960 นี้เอง เบลเยี่ยมเป็นแหล่งศูนย์กลางเจียรนัยเพชร ค้าเพชร กำหนดราคาเพชร และปริมาณเพชร ที่จะให้กระจายในตลาดเพชรแต่ละปี เพื่อควบคุมราคาเพชรในโลก และเป็นศูนย์กลางค้าเพชรใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งตลาดสว่าง และตลาดมืด ทำให้เบลเยี่ยมเป็นหนึ่งในประเทศร่ำรวยของยุโรป คองโกมีแหล่งเพชรเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของโลก คงไม่ต้องบอกว่า เบลเยี่ยมเอาเพชรมาจากไหน นอกจากมีแหล่งเพชรมากมายแล้ว แถบบริเวณ คิวู Kivu ในคองโก ที่มีเขตแดนยาวต่อกับรวันดาRwanda และ ยูกันดา Uganda นั้น นักธรณีวิทยา เชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรแร่มีค่า ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะใน บริเวณที่เรียกว่า Great African Rift Valley นอกจากนี้ คองโกยังมีแหล่งทรัพยากรโคบอลท์ cobalt มากกว่าครึ่งหนึ่ง ของแร่โคบอลท์ที่มีทั้งหมดในโลก และที่สำคัญ คองโกมีแร่แทนทาไลท์ หรือโคลแทน ถึง 3 ใน 4 ของโลก โคลแทน เป็นโลหะสำคัญที่นำมาใช้ในการสร้างคอมพิวเตอร์ชิพ และแผงวงจรไฟฟ้า ที่จำเป็นมากสำหรับอุปกรณ์มือถือ เครื่องคอม และเครื่องมืออีเลคโทรนิคทั้งปวง และเชื่อกันว่า คองโกก็มีแหล่งน้ำมันแยะมากด้วย แต่มันเหลือเชื่อ และน่าเศร้าใจว่า จนถึงปัจจุบันชาวคองโกส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตที่ลำบาก และประเทศยังยากจน ช่วงแรกๆ ที่โมบูตูปกครองคองโก เป็นช่วงสงครามเย็น อเมริกาจึงทำหวานเชื่อมกับโมบูตู เขาเป็นชาวอาฟริกันคนแรก ที่เป็นแขกเชิญของทำเนียบขาว โมบูตู เป็นนักการเมืองจอมแสบ เขาคบทั้งสหภาพโซเวียตและจีน เพื่อไว้ต่อรองกับอเมริกา ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับโมบูตู จึงทั้งหวานทั้งขมปนกัน อเมริกาคงยอมไม่ได้ ถ้าคองโกประเทศใหญ่ในอาฟริกา จะกลายเป็นพรรคพวกของคอมมิวนิสต์ เสียหน้าพี่เบิ้มใหญ่ แห่งค่ายประชาธิปไตยโรเนียวหมด โมบูตูจึงฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและพรรคพวก เขารวยอย่างมหาศาล และเป็นเผด็จการอย่างเข้มข้น หลายครั้งที่เขาถูกรัฐประหาร แต่ก็รอดมาได้ ด้วยอาวุธที่อเมริกาจัดส่งให้ เพื่อเอาไว้ขู่ ไม่ให้โซเวียตกับจีนเข้ามาในคองโก แต่หลังจากสงครามเย็นใกล้จบ ความต้องการที่จะง้อโมบูตู ก็คงหมดตามไปด้วย และก็มีคนช่างคิด ช่างสงสัย ว่าโรคเอดส์นั้น ทำไมไปเกิดอยู่ที่คองโกเป็นแห่งแรก ก่อนจะระบาดเป็นไฟลามทุ่งไปทั่วโลก และก็น่าแปลกใจว่า ลูกชาย 2 คน ในจำนวนลูก 14 คนของโมบูตู ก็เสียชิวิตด้วยโรคเอดส์ และ 1 ใน 2 นั้น เป็นที่มุ่งหวังของโมบูตู ที่จะให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองคองโกต่อจากเขา American Minerals Fields, Inc บริษัทอเมริกันที่เป็นผู้ลงทุน และสนับสนุนให้ คาบิลาโค่นโมบูตู มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐอาร์แคนซอร์ ฐานใหญ่ของอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน บิล คลินตัน คนนิยมเด็กฝึกงาน ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทนี้เป็นคนใกล้ชิดของคนนิยมเด็กฝึกงาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้ว่าการรัฐ อาแคนซอร์ แหม ใครเขาจะเอาชื่อตัวเองมาใส่ ก่อนการโค่น มูบูตู ลงจากแท่นไม่กี่เดือน คาบิลา เริ่มทบทวนสัญญาสัมปทานขุดแร่ และทำการเจรจาเงื่อนไขกับพวกบริษัท อเมริกัน อังกฤษ ที่มาลงทุนทำเหมืองในคองโกเสียใหม่ รวมทั้งเจรจากับ American Minerals ด้วย คาบิลาคงเข้าใจอะไรผิด หรือประเมินผู้สนับสนุนตัวเองผิด อย่างไม่น่าเป็นไปได้ แบบนี้ วอชิงตันคงไม่เลี้ยงเขาไว้นาน แล้วในปี ค.ศ.2001 คาบิลาก็ถูกฆ่าตาย ใครฆ่าเขา ผมไม่รู้ มีรายงานออกมาในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1997 ว่า หลังจากโมบูตูถูกโค่นไปไม่กี่เดือน IMF ก็แนะนำให้รัฐบาลคองโกหยุดการพิมพ์ธนบัตรอย่างกระทันหัน และสิ้นเชิง ตามนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจคองโกของ IMF และเมื่อ คาบิลา ขึ้นมาปกครอง IMF แนะนำให้คาบิลาระงับการจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (ไม่รู้แปลว่าอะไร !) ซ้ำเข้าไปอีก หลังจากนั้นก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักในคองโก ค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยของชาวคองโกตกประมาณเดือนละ 3 หมื่นแซร์ หรือประมาณเดือนละ 1 เหรียญสหรัฐ … นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดา นาย Michael Chossudovsky บอกว่า เงื่อนไขที่ IMF กำหนดให้รัฐบาลคองโกปฏิบัติมีผลเป็นการรักษาระดับความยากจนของประชาชนชาวคองโก ให้คงทนถาวรตลอดไป คองโกเป็นประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอย่างมาก แต่ชาวคองโกถูกแผนชั่วกำหนด ไม่ให้พวกเขามีโอกาสพัฒนาประเทศตนเอง และต้องวนเวียนอยู่กับการสู้รบฆ่าฟันกันเอง จนมีคนตายไปเกือบ 2 ล้านคน เมื่อคาบิลา คนพ่อถูกเก็บ โจเซฟ ลูกชายเขาก็ถูกเอามาขึ้นแท่นแทนพ่อ เขาเป็นประธานาธิบดีของคองโกคนแรก ที่มาจากการ (สั่งให้มี) เลือกตั้ง และดูเหมือนจะไม่ (กล้า) สนใจที่จะพัฒนาประเทศตนเอง แต่อย่างใด สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 17 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 605 Views 0 Reviews
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 5 – 6

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”
    ตอน 5
    เป็นไปได้หรือว่า อเมริกาแสนจะชาญฉลาดกำโลกอยู่ในมือจนกระดิกไม่ออกมาตั้ง 70 ปี จะมาเสียทีให้กับอิหร่าน คงมีคนคิดกัน ตกลงอิหร่านต้มอเมริกา หรืออเมริกาต้มอิหร่านกันแน่ ก่อนจะลงความเห็น ลองฟังความเห็นอีกสักชิ้น เอามาจากบทความที่ลงในวารสาร Foreign Affairs วารสารที่ออกเป็นประจำของ CFR เมื่อปี ค.ศ.2012 ก่อนที่อเมริกาคิดจะเจรจากับอิหร่านไม่นาน
    คงมีคนสงสัย ทำไมลุงนิทานอ้างแต่ CFR ก็เขาเป็นผู้กำกับรัฐบาลอเมริกา ผมไม่ตามผู้กำกับ ผมก็ไม่รู้ว่าดาราคนไหน เล่นบทอะไร แล้วเล่นได้สมบทบาทแค่ไหน
    บทความนี้ชื่อ ” Time to Attack Iran” โดย Matthew Kroenig
    นายโคร เขาบอกว่า บรรดานักคิด และผู้วางนโยบายของอเมริกา ต่างโต้เถียงกันว่า อเมริกาควรจะจัดการเรื่องอิหร่านอย่างไรดี
    ความเห็นหนึ่ง บอกว่า เราควรบุกอิหร่าน และทำลายอุปกรณ์ทั้งปวงที่อิหร่านใช้ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้เหี้ยนเลย
    ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการบุก บอกว่า การใช้กำลังทหารกับอิหร่านเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า และจะไม่เข้าท่าหนักขึ้น ถ้าเราไปเจออาวุธนิวเคลียร์ของ จริงของอิหร่าน นอกจากนี้ การบุกอิหร่าน โอกาสไม่สำเร็จมีสูง และถึงจะทำสำเร็จ มันอาจจะเป็นการจุดไม้ขีด ให้เรื่องบานปลาย กลายเป็นสงคราม และอาจสร้างวิกฤติทางเศรษฐกืจ ให้กับอเมริกา และอาจลามไปทั้งโลกด้วยก็ได้
    นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายที่แนะนำให้อเมริกาใช้วิธีการที่ไม่ใช่ทางทหาร เช่นใช้การเจรจาทางการทูต การคว่ำบาตร หรือการปฏิบัติการณ์ลับ เพราะการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ มีค่าใช้จ่ายและต้นทุนด้านต่างๆสูง จนใจไม่ถึงที่จะควักกระเป๋าให้ (ตอนนั้น)
    ยังมีพวกนักวิเคราะห์ ที่บอกว่า พวกไม่เห็นด้วยกับการบุกอิหร่าน มองไม่เห็นอันตรายที่แท้จริง ที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์ของอเมริกา ที่อยู่ในและนอกตะวันออกกลาง จากการปล่อยให้อิหร่านที่มีนิวเคลียร์ ลอยนวลอยู่ตามสบาย มันเป็นการคุกคามผลประโยชน์ของอเมริกาโดยตรง
    ส่วนนายโครเอง มีชื่อเสียงว่า สนับสนุนการบุกอิหร่าน เขาบอกว่า โดยการใช้กำลังทหาร และใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง ล๊อคเป้าจ่อไปที่โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แค่นั้นเรื่องก็จบ อเมริกาและตะวันออกกลาง ก็จะได้อยู่อย่างสงบจากเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านเสียที
    โลกฝ่ายตะวันตก หรือฝ่ายอเมริกานั่นแหละ พยายามกดดันที่โครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านมานานแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ ขนาดปล่อยไวรัส Stuxnet เข้าไปในระบบของอิหร่าน ไม่นาน อิหร่านก็แก้ไขฟื้นขึ้นมาใหม่ Institute of Science and International Security บอกว่า นอกจากอิหร่านฟื้นเร็วแล้ว ระยะเวลาการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ละครั้งยังเร็วขึ้นอีกด้วย น่าจะใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น และอิหร่านมีแผนที่จะย้ายโครงการผลิตนิวเคลียร์นี้ ไปไว้ในสถานที่ ที่ยากแก่เข้าถึง ทำให้โอกาสที่จะการใช้กำลังทหารแคบลงไปอีก ขณะเดียวกัน หลายประเทศในภูมิภาคเริ่มสงสัยในสมรรถภาพ ของอเมริกาว่า อเมริกาทำอะไรอยู่ ปล่อยอิหร่านผลิตนิวเคลียร์ยังกับผลิตของเล่น
    อเมริกาไม่ได้อยู่เฉย อเมริกาคิด แต่ยังคิดไม่ตก อเมริกาคิดจะใช้ cold war model เหมือนตอนสงครามเย็นปิดล้อมสหภาพโซเวียต แต่สภาพประเทศในตะวันออกกลาง ต่างกับประเทศในยุโรป อย่างหน้ามือกับหลังมือเลย อย่าว่าจะไปปิดล้อมใครเลย แค่พร้อมพอที่จะป้องกันตัวเองยัง ทำไม่ได้ เพราะฉนั้น ถ้าคิดจะปิดล้อมอิหร่าน ต้องใช้งบบาน เพราะโดยสภาพภูมิประเทศ และทำเลที่ตั้งของอิหร่าน อเมริกาต้องส่งทั้ง กองทัพเรือ กองทัพบก รวมทั้งอาจจะต้องจัดส่งนิวเคลียร์ ไปให้ทั้งตะวันออกกลาง คอยจ่อคอหอยอิหร่าน แล้วทั้งหมด ไม่ใช่ไปอยู่วันสองวัน แล้วกลับบ้านนอน แต่ต้องอยู่ถาวรเป็นหลาย 10 ปี ไม่คุ้มค่าน้ำมันที่ไปต้มพวกเสี่ยปั้มมา ไหนจะลาดตระเวน ไหนจะป้องกัน ไหนจะตามเฝ้าอิหร่าน ไหนจะตรวจสอบอิหร่าน ฯลฯ
    พอเห็นแล้วนะครับ ว่า อเมริการู้ว่า อิหร่านกำลังทำอะไร คิดอะไร และอเมริกาน่าจะทำอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วทำไมอเมริกาถึงเลือกทำ อย่างที่กำลังโดนพวกตัวเองด่า และถ้า วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ยังเจรจากันไม่เสร็จ อเมริกาจะทำอย่างไรต่อไป และผลมันจะเป็นอย่างไร
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 6 (จบ)
    ก่อนไปถึงอเมริกา ขอย้อนกลับมาที่อิหร่าน ที่เขี้ยวลากดินหน่อย สมันน้อยแดนสยามจะได้เข้าใจว่า การจะออกจากคอกนั้นทำได้ ถ้าใช้สติปัญญา มีความตั้งใจทำจริง มีความอดทน ยอมลำบาก ไม่เห็นแก่ตัว และที่สำคัญต้องสามัคคี พร้อมใจกันทั้งชาติ
    อิหร่านโดนนักล่า ทั้งที่มาจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จนถึงนักล่าใบตองแห้ง ร่วมมือกัน แย่งชิงกัน เพื่อหลอกเอาทรัพยากรมีค่ามหา ศาลของอิหร่าน ด้วยการต้มเปื่อย ยุแยง แทรกแซง ปั่นหัว ฟอกย้อม ชาวอิหร่านทุกระดับ จนอิหร่านเสียทรัพยากร เสียพลเมือง เสียผู้นำประเทศ อย่างน่าเสียดายไปมากมาย ตั้งแต่ปี 1900 ต้นๆ โดนต้มมา 100 กว่าปี ไม่คิดปีนขึ้นมาจากหม้อ ก็.. คงต้องปล่อยไปตามกรรม
    แต่อิหร่าน ฮึดสู้ แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างหนักหนาสา หัส การฮึดสู้ อาจมีความลำบากยากเข็ญ ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และการทำธุกิจ ฯลฯ แต่ เพื่อรักษาประเทศ มีชาวอิหร่านที่คิดทำ และอดทน พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป แต่ถ้าไม่ฮึดสู้ ก็มีแต่ถูกเขาจูงกลับเข้าคอก แล้วปอกลอกเอาสมบัติของประเทศไป….. เหมือนเดิม
    อิหร่านเชื่อว่า ทางออกจากกำมือของตะวันตกมีทางเดียวคือ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ อิหร่านวางยุทธศาสตร์ สร้างชาติใหม่ที่พึ่งตัวเองได้ หนึ่งในกระบวนการสร้างชาติคือ การหาพลังงานใช้ในประเทศด้วยวิธีอื่นด้วย ไม่ใช่จากการขุดน้ำมันมาใช้อย่างเดียว น้ำมันของประเทศเอาไว้ขายเป็นรายได้ อิหร่านจึงคิดพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ คิดได้ 1 ก็ไป ถึง 2 แล้วก็เลยไปถึงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านบอก ไม่ใช่มีไว้เพื่อเป็นการรุกราน แต่ไว้ใช้เป็นการป้องกันตัว และเป็นเครื่องต่อรอง ประเทศที่มองการณ์ไกล ไม่อยากถูกครอบงำชักจูง อยู่ในกำมือผู้อื่นตลอดกาล ก็ย่อมคิดอย่างนี้
    เมื่อแรกๆ ไม่มีใครเชื่อว่า อิหร่านจะพัฒนาได้ แต่จากการเมืองของอิหร่านเอง ทำให้คนใน เอาความมาบอกคนนอก แล้วอเมริกาก็เลยรู้ แต่รู้ช้าไปนิด เมื่ออิหร่านเดินหน้าไปไกลพอสมควร อเมริกาคิดหนัก อย่างที่นายโคร เอามาเขียนนั่นแหละ่
    อเมริกาคิดว่า ยังไม่ใช่เวลาทำสงครามกับอิหร่าน อเมริกาเพิ่งขูดเนื้ออิรัคเสร็จ จะมาขูดเนื้ออิหร่านต่อ เหนื่อยตายชัก ทหารก็ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนการปิดล้อม ก็ค่าใช้จ่ายสูงสะบั้น อเมริกาจึงใช้วิธีทางการเมือง แยงให้ตะวันออกกลางวุ่นวาย บวกกับ การคว่ำบาตร น่าจะทำให้อิหร่าน เหนื่อยและสยบ แต่อเมริกา คงลืมคิดไป โลกตอนนี้ กับโลก เมื่อ 50 ปีก่อน ต่างกันแยะ
    และยิ่งต่างกันแยะมากขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา โลกไม่ได้มีขั้วเดียว ที่มีอเมริกาและพวก เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโลกเท่านั้น จากการบีบคั้น แสดงอำนาจ เอาเปรียบ และความไม่เป็นธรรมของอเมริกาเอง จึงค่อยๆมีแยกตัว และจับมือ สร้างกลุ่มใหม่กันขึ้น มาถึงวันนี้ ขั้วอำนาจดูเหมือนจะเริ่มแบ่งชัดขึ้น ระหว่างแองโกลอเมริกัน บวกยุโรป และสมุนค่ายหนึ่ง และ มี รัสเซีย จีน กับพวกอยู่อีกค่ายหนึ่ง
    ดอลล่าร์กำลังถูกท้าทาย เหมือนที่เงินปอนด์เคยถูกชิงตำแหน่ง จากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกก็แบ่งเป็น 2 ค่าย นี่เรากำลังเดินเข้าไปสู่วัฏฏะ เดิมอีกหรือ โดยมีเรื่องของอิหร่าน เป็นตัวแปร หรือเป็นชนวน…
    อิหร่านยอมที่จะเจรจากับอเมริกา เรื่องลดการพัฒนานิวเคลียร์ เพราะเป็นการเจรจาที่อิหร่าน มีแต่ได้ กับเสมอตัว อิหร่านต้องการให้ฝ่ายตะวันตก ปลดการคว่ำบาตรทั้งหมด ที่เกี่ยวกับอิหร่าน ถ้าได้ตามต้องการ อิหร่านจะกลายเป็นเสี่ยใหญ่แห่ง ตะวันออกกลาง เขาว่าเป็นเงินมากมาย ประเมินกันไม่ถูก เพราะอิหร่านอุบเงียบ แถมใช้ตัวแทน ทำหลายซับหลายซ้อน ขณะเดียวกัน ในระหว่างเจรจา อิหร่านก็เดินหน้าโครงการต่อ แถมโยกย้าย แยกแยะ จนยากแก่การติดตาม ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ อิหร่านก็กลับมาอยู่สภาพ เดินหน้าพัฒนาต่ออย่างที่ทำอยู่ ชีวิตก็เหมือนเดิม เคยลำบากมาแล้ว ก็ลำบากต่ออีกนิด แต่เมื่อมีนิวเคลียร์ครบ เสียงของอิหร่านที่จะเจรจา หรือ พูดอะไรต่อไป ก็คงต่างไปบ้าง อเมริกาก็คิดเองแล้วกัน จะเป็นเสียงอย่างไหน อเมริกาก็เคยใช้มาสาระพัดเสียงแล้วนี่
    วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ถ้า ฝ่าย P5+1 ตกลงกับอิหร่านได้ครบถ้วน ตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย บทที่แสดงหน้าจอ ก็คงชนิดได้ตุ๊กตาทอง มีการจับมือ เอาบุญเอาคุญ ตามธรรมเนียม และมันคงเป็นแค่ “การซื้อเวลา” เมื่อไหร่ที่อิหร่านพร้อม เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลางอย่างเห็นชัด เสี่ยปั้มทั้งหลาย ก็เฝ้าปั้มไว้ให้ดีก็แล้วกัน
    สำหรับอเมริกา อเมริกายอมเล่นบทคว่ำบาตร เพราะอเมริกา “ยังไม่พร้อม” เล่นบทอื่น ไม่ใช่อเมริกา ประเมินผิด ไอ้ถังขยะต่างๆ ที่ออกมาทำเสียงเขียว มันเป็นการเล่นละคร กันทั้งนั้น ต่างก็รู้คิวกัน เจรจาให้ยาว ทำเป็นตกลง ให้อิหร่านถลาเข้ามา แล้วก็ตวัดกลับ เพราะอเมริกา ไม่มีทางยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านอย่างจริงจัง แม้จะทำเป็นตกลง ท้ายที่สุดอิหร่านก็จะได้แต่กินแห้ว อเมริกาแค่ซื้อเวลา รอให้มีความพร้อมทางฝั่งของตนเองมากที่สุด
    อเมริกา โดยไอ้ถังขยะ CFR (อีกแล้ว) ลงทุนติวเข้มให้แก่ อิสราเอล และซาอุดิ 2 มิตรชิดใกล้ของอเมริกาในตะวันออกกลาง เกี่ยวกับเรื่องอิหร่าน ตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุด ประชุมติวกัน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ข่าวหลุดมาจาก นาย Anwar Eshski อดีตนายพล และทูตซาอุดิ ประจำอเมริกา อีกฝ่ายคือ นาย Dore Gold อดีตทูตอิสราเอล ประจำสหประชาชาติ มีการประชุมเช่นนี้ มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 อเมริกา ไม่ได้หลุดคิวเลย
    นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่าน เช่นเดียวกัน อเมริกายังส่งนาย John Brennan ผอ CIA บินตรงไปสรุปข้อมูลลับเกี่ยวกับอิหร่าน ให้กับหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอล Mossad
    แปลว่า อเมริกาน่าจะคิดขยับหมากแล้ว เรื่องการเจรจาก็ปล่อยไป เจรจาสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรต่างกัน เพราะอเมริกาน่าจะมีโผอยู่ในใจแล้ว เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน เป็นเหมือนหนังฮอลลีวู้ดสร้าง ซี่รี่ส์ยาว ให้เราดูติดต่อกันมา 2 ปี เท่านั้นเอง
    อเมริกาไม่มีวันจะปล่อยมือที่บีบคออิหร่าน แม้อเมริกาจะนับรัสเซีย เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งตลอดกาล และนับจีนเป็นคู่แข่งหมายเลขหนี่ง ซี่งแข่งมากๆ ก็จะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นศัตรูไปด้วย แต่กรณีของรัสเซีย เป็นเรื่องของ “ความอยากได้ ” ทรัพยากรของรัสเซีย บวกกับความแหยงสภาพการฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็วของรัสเซีย อเมริกาไม่มีผลประโยชน์โดยตรง มากมายในภูมิภาคของรัสเซีย มันเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์การเมืองมากกว่า กรณีของจีน ก็ใกล้เคียงกับกรณีรัสเซีย แต่หนักไปในแง่ที่อเมริกาถือว่า แปซิฟิกและเอเซีย เป็นเหมือนบ้านที่ 2 ของอเมริกา มีแต่เด็กๆ ในความปกครองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แค่คิดว่าจีนจะมาใหญ่กว่า หรือแค่เป็นคู่แข็ง อเมริกาก็ทนไม่ได้อยู่แล้ว
    แต่กรณีอิหร่าน ขณะที่อเมริกาอยากได้ ทรัพยากรของอิหร่าน แต่อิหร่านวันนี้ เป็นอิหร่านที่มีพิษ และอเมริกายังคิดเซรุ่มกันพิษรอบใหม่ของอิหร่านยังไม่ได้ ถ้าอเมริกาขยับผิด ผลประโยชน์มหาศาลของอเมริกา ในตะวันออกกลางจะฉิบหายเกลี้ยงไปด้วย ไม่ใช่แค่ไม่ได้สมบัติของอิหร่านอย่างเดียว เรื่องอิหร่าน เป็นเรื่องกระทบตรงกับผลประโยชน์ของอเมริกา เป็นเรื่องที่อเมริการู้อยู่แก่ใจ กำลังทำใจ และกำลังหาทางขจัดปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ เมื่ออเมริกาพร้อม โลกคงสะเทือน
    แต่การขยับหมากของอเมริกา ไล่มาตั้งแต่ ยูเครน ตะวันออกกลาง มาถึงหมากญี่ปุ่น (จะสำเร็จหรือไม่ ไม่รู้ แต่ผมว่า ร่อแร่ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อไปแบกถาดให้เขานี่ คนญี่ปุ่นน่าจะคิดออกนะ ว่าถูกเขาหลอกใช้ขนาดไหน) เหมือนความพร้อมของอเมริกา จะใกล้เข้ามาทุกที จะพร้อมลุยอิหร่านประเทศเล็กแต่มีพิษ หรือแค่พร้อมตั้งรับ เพราะรู้ว่า พิษคงจะเริ่มออกฤทธิ์อีกไม่ช้า และแพร่กระจายไปหลายทิศ ในอีกไม่นาน ก็ต้องดูกันต่อไป
    กลับมาที่อิหร่านอีกที ถ้า วันที่ 7 กรกฏาคมนี่ อิหร่านต้องฟังเพลง I will walk away … อิหร่านจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะหงิมๆ เก็บของ กลับบ้านไหม อิหร่านก็คงทำอย่างนั้น แต่กลับบ้านไปทำอะไร ผมไม่รู้ด้วย แต่ผมตั้งใจว่า ถ้าต้องฟัง พณฯใบตองแห้งครวญเพลง หลังจากวันที่ 7 กรกฏาคม ผมคง ตั้งสติให้นิ่ง ตามข่าวถี่หน่อย กินให้อร่อย นอนให้อิ่ม เก็บสะสมไว้ยามจำเป็นครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 5 เป็นไปได้หรือว่า อเมริกาแสนจะชาญฉลาดกำโลกอยู่ในมือจนกระดิกไม่ออกมาตั้ง 70 ปี จะมาเสียทีให้กับอิหร่าน คงมีคนคิดกัน ตกลงอิหร่านต้มอเมริกา หรืออเมริกาต้มอิหร่านกันแน่ ก่อนจะลงความเห็น ลองฟังความเห็นอีกสักชิ้น เอามาจากบทความที่ลงในวารสาร Foreign Affairs วารสารที่ออกเป็นประจำของ CFR เมื่อปี ค.ศ.2012 ก่อนที่อเมริกาคิดจะเจรจากับอิหร่านไม่นาน คงมีคนสงสัย ทำไมลุงนิทานอ้างแต่ CFR ก็เขาเป็นผู้กำกับรัฐบาลอเมริกา ผมไม่ตามผู้กำกับ ผมก็ไม่รู้ว่าดาราคนไหน เล่นบทอะไร แล้วเล่นได้สมบทบาทแค่ไหน บทความนี้ชื่อ ” Time to Attack Iran” โดย Matthew Kroenig นายโคร เขาบอกว่า บรรดานักคิด และผู้วางนโยบายของอเมริกา ต่างโต้เถียงกันว่า อเมริกาควรจะจัดการเรื่องอิหร่านอย่างไรดี ความเห็นหนึ่ง บอกว่า เราควรบุกอิหร่าน และทำลายอุปกรณ์ทั้งปวงที่อิหร่านใช้ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้เหี้ยนเลย ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการบุก บอกว่า การใช้กำลังทหารกับอิหร่านเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า และจะไม่เข้าท่าหนักขึ้น ถ้าเราไปเจออาวุธนิวเคลียร์ของ จริงของอิหร่าน นอกจากนี้ การบุกอิหร่าน โอกาสไม่สำเร็จมีสูง และถึงจะทำสำเร็จ มันอาจจะเป็นการจุดไม้ขีด ให้เรื่องบานปลาย กลายเป็นสงคราม และอาจสร้างวิกฤติทางเศรษฐกืจ ให้กับอเมริกา และอาจลามไปทั้งโลกด้วยก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายที่แนะนำให้อเมริกาใช้วิธีการที่ไม่ใช่ทางทหาร เช่นใช้การเจรจาทางการทูต การคว่ำบาตร หรือการปฏิบัติการณ์ลับ เพราะการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ มีค่าใช้จ่ายและต้นทุนด้านต่างๆสูง จนใจไม่ถึงที่จะควักกระเป๋าให้ (ตอนนั้น) ยังมีพวกนักวิเคราะห์ ที่บอกว่า พวกไม่เห็นด้วยกับการบุกอิหร่าน มองไม่เห็นอันตรายที่แท้จริง ที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์ของอเมริกา ที่อยู่ในและนอกตะวันออกกลาง จากการปล่อยให้อิหร่านที่มีนิวเคลียร์ ลอยนวลอยู่ตามสบาย มันเป็นการคุกคามผลประโยชน์ของอเมริกาโดยตรง ส่วนนายโครเอง มีชื่อเสียงว่า สนับสนุนการบุกอิหร่าน เขาบอกว่า โดยการใช้กำลังทหาร และใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง ล๊อคเป้าจ่อไปที่โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แค่นั้นเรื่องก็จบ อเมริกาและตะวันออกกลาง ก็จะได้อยู่อย่างสงบจากเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านเสียที โลกฝ่ายตะวันตก หรือฝ่ายอเมริกานั่นแหละ พยายามกดดันที่โครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านมานานแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ ขนาดปล่อยไวรัส Stuxnet เข้าไปในระบบของอิหร่าน ไม่นาน อิหร่านก็แก้ไขฟื้นขึ้นมาใหม่ Institute of Science and International Security บอกว่า นอกจากอิหร่านฟื้นเร็วแล้ว ระยะเวลาการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ละครั้งยังเร็วขึ้นอีกด้วย น่าจะใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น และอิหร่านมีแผนที่จะย้ายโครงการผลิตนิวเคลียร์นี้ ไปไว้ในสถานที่ ที่ยากแก่เข้าถึง ทำให้โอกาสที่จะการใช้กำลังทหารแคบลงไปอีก ขณะเดียวกัน หลายประเทศในภูมิภาคเริ่มสงสัยในสมรรถภาพ ของอเมริกาว่า อเมริกาทำอะไรอยู่ ปล่อยอิหร่านผลิตนิวเคลียร์ยังกับผลิตของเล่น อเมริกาไม่ได้อยู่เฉย อเมริกาคิด แต่ยังคิดไม่ตก อเมริกาคิดจะใช้ cold war model เหมือนตอนสงครามเย็นปิดล้อมสหภาพโซเวียต แต่สภาพประเทศในตะวันออกกลาง ต่างกับประเทศในยุโรป อย่างหน้ามือกับหลังมือเลย อย่าว่าจะไปปิดล้อมใครเลย แค่พร้อมพอที่จะป้องกันตัวเองยัง ทำไม่ได้ เพราะฉนั้น ถ้าคิดจะปิดล้อมอิหร่าน ต้องใช้งบบาน เพราะโดยสภาพภูมิประเทศ และทำเลที่ตั้งของอิหร่าน อเมริกาต้องส่งทั้ง กองทัพเรือ กองทัพบก รวมทั้งอาจจะต้องจัดส่งนิวเคลียร์ ไปให้ทั้งตะวันออกกลาง คอยจ่อคอหอยอิหร่าน แล้วทั้งหมด ไม่ใช่ไปอยู่วันสองวัน แล้วกลับบ้านนอน แต่ต้องอยู่ถาวรเป็นหลาย 10 ปี ไม่คุ้มค่าน้ำมันที่ไปต้มพวกเสี่ยปั้มมา ไหนจะลาดตระเวน ไหนจะป้องกัน ไหนจะตามเฝ้าอิหร่าน ไหนจะตรวจสอบอิหร่าน ฯลฯ พอเห็นแล้วนะครับ ว่า อเมริการู้ว่า อิหร่านกำลังทำอะไร คิดอะไร และอเมริกาน่าจะทำอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วทำไมอเมริกาถึงเลือกทำ อย่างที่กำลังโดนพวกตัวเองด่า และถ้า วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ยังเจรจากันไม่เสร็จ อเมริกาจะทำอย่างไรต่อไป และผลมันจะเป็นอย่างไร ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 6 (จบ) ก่อนไปถึงอเมริกา ขอย้อนกลับมาที่อิหร่าน ที่เขี้ยวลากดินหน่อย สมันน้อยแดนสยามจะได้เข้าใจว่า การจะออกจากคอกนั้นทำได้ ถ้าใช้สติปัญญา มีความตั้งใจทำจริง มีความอดทน ยอมลำบาก ไม่เห็นแก่ตัว และที่สำคัญต้องสามัคคี พร้อมใจกันทั้งชาติ อิหร่านโดนนักล่า ทั้งที่มาจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จนถึงนักล่าใบตองแห้ง ร่วมมือกัน แย่งชิงกัน เพื่อหลอกเอาทรัพยากรมีค่ามหา ศาลของอิหร่าน ด้วยการต้มเปื่อย ยุแยง แทรกแซง ปั่นหัว ฟอกย้อม ชาวอิหร่านทุกระดับ จนอิหร่านเสียทรัพยากร เสียพลเมือง เสียผู้นำประเทศ อย่างน่าเสียดายไปมากมาย ตั้งแต่ปี 1900 ต้นๆ โดนต้มมา 100 กว่าปี ไม่คิดปีนขึ้นมาจากหม้อ ก็.. คงต้องปล่อยไปตามกรรม แต่อิหร่าน ฮึดสู้ แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างหนักหนาสา หัส การฮึดสู้ อาจมีความลำบากยากเข็ญ ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และการทำธุกิจ ฯลฯ แต่ เพื่อรักษาประเทศ มีชาวอิหร่านที่คิดทำ และอดทน พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป แต่ถ้าไม่ฮึดสู้ ก็มีแต่ถูกเขาจูงกลับเข้าคอก แล้วปอกลอกเอาสมบัติของประเทศไป….. เหมือนเดิม อิหร่านเชื่อว่า ทางออกจากกำมือของตะวันตกมีทางเดียวคือ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ อิหร่านวางยุทธศาสตร์ สร้างชาติใหม่ที่พึ่งตัวเองได้ หนึ่งในกระบวนการสร้างชาติคือ การหาพลังงานใช้ในประเทศด้วยวิธีอื่นด้วย ไม่ใช่จากการขุดน้ำมันมาใช้อย่างเดียว น้ำมันของประเทศเอาไว้ขายเป็นรายได้ อิหร่านจึงคิดพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ คิดได้ 1 ก็ไป ถึง 2 แล้วก็เลยไปถึงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านบอก ไม่ใช่มีไว้เพื่อเป็นการรุกราน แต่ไว้ใช้เป็นการป้องกันตัว และเป็นเครื่องต่อรอง ประเทศที่มองการณ์ไกล ไม่อยากถูกครอบงำชักจูง อยู่ในกำมือผู้อื่นตลอดกาล ก็ย่อมคิดอย่างนี้ เมื่อแรกๆ ไม่มีใครเชื่อว่า อิหร่านจะพัฒนาได้ แต่จากการเมืองของอิหร่านเอง ทำให้คนใน เอาความมาบอกคนนอก แล้วอเมริกาก็เลยรู้ แต่รู้ช้าไปนิด เมื่ออิหร่านเดินหน้าไปไกลพอสมควร อเมริกาคิดหนัก อย่างที่นายโคร เอามาเขียนนั่นแหละ่ อเมริกาคิดว่า ยังไม่ใช่เวลาทำสงครามกับอิหร่าน อเมริกาเพิ่งขูดเนื้ออิรัคเสร็จ จะมาขูดเนื้ออิหร่านต่อ เหนื่อยตายชัก ทหารก็ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนการปิดล้อม ก็ค่าใช้จ่ายสูงสะบั้น อเมริกาจึงใช้วิธีทางการเมือง แยงให้ตะวันออกกลางวุ่นวาย บวกกับ การคว่ำบาตร น่าจะทำให้อิหร่าน เหนื่อยและสยบ แต่อเมริกา คงลืมคิดไป โลกตอนนี้ กับโลก เมื่อ 50 ปีก่อน ต่างกันแยะ และยิ่งต่างกันแยะมากขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา โลกไม่ได้มีขั้วเดียว ที่มีอเมริกาและพวก เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโลกเท่านั้น จากการบีบคั้น แสดงอำนาจ เอาเปรียบ และความไม่เป็นธรรมของอเมริกาเอง จึงค่อยๆมีแยกตัว และจับมือ สร้างกลุ่มใหม่กันขึ้น มาถึงวันนี้ ขั้วอำนาจดูเหมือนจะเริ่มแบ่งชัดขึ้น ระหว่างแองโกลอเมริกัน บวกยุโรป และสมุนค่ายหนึ่ง และ มี รัสเซีย จีน กับพวกอยู่อีกค่ายหนึ่ง ดอลล่าร์กำลังถูกท้าทาย เหมือนที่เงินปอนด์เคยถูกชิงตำแหน่ง จากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกก็แบ่งเป็น 2 ค่าย นี่เรากำลังเดินเข้าไปสู่วัฏฏะ เดิมอีกหรือ โดยมีเรื่องของอิหร่าน เป็นตัวแปร หรือเป็นชนวน… อิหร่านยอมที่จะเจรจากับอเมริกา เรื่องลดการพัฒนานิวเคลียร์ เพราะเป็นการเจรจาที่อิหร่าน มีแต่ได้ กับเสมอตัว อิหร่านต้องการให้ฝ่ายตะวันตก ปลดการคว่ำบาตรทั้งหมด ที่เกี่ยวกับอิหร่าน ถ้าได้ตามต้องการ อิหร่านจะกลายเป็นเสี่ยใหญ่แห่ง ตะวันออกกลาง เขาว่าเป็นเงินมากมาย ประเมินกันไม่ถูก เพราะอิหร่านอุบเงียบ แถมใช้ตัวแทน ทำหลายซับหลายซ้อน ขณะเดียวกัน ในระหว่างเจรจา อิหร่านก็เดินหน้าโครงการต่อ แถมโยกย้าย แยกแยะ จนยากแก่การติดตาม ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ อิหร่านก็กลับมาอยู่สภาพ เดินหน้าพัฒนาต่ออย่างที่ทำอยู่ ชีวิตก็เหมือนเดิม เคยลำบากมาแล้ว ก็ลำบากต่ออีกนิด แต่เมื่อมีนิวเคลียร์ครบ เสียงของอิหร่านที่จะเจรจา หรือ พูดอะไรต่อไป ก็คงต่างไปบ้าง อเมริกาก็คิดเองแล้วกัน จะเป็นเสียงอย่างไหน อเมริกาก็เคยใช้มาสาระพัดเสียงแล้วนี่ วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ถ้า ฝ่าย P5+1 ตกลงกับอิหร่านได้ครบถ้วน ตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย บทที่แสดงหน้าจอ ก็คงชนิดได้ตุ๊กตาทอง มีการจับมือ เอาบุญเอาคุญ ตามธรรมเนียม และมันคงเป็นแค่ “การซื้อเวลา” เมื่อไหร่ที่อิหร่านพร้อม เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลางอย่างเห็นชัด เสี่ยปั้มทั้งหลาย ก็เฝ้าปั้มไว้ให้ดีก็แล้วกัน สำหรับอเมริกา อเมริกายอมเล่นบทคว่ำบาตร เพราะอเมริกา “ยังไม่พร้อม” เล่นบทอื่น ไม่ใช่อเมริกา ประเมินผิด ไอ้ถังขยะต่างๆ ที่ออกมาทำเสียงเขียว มันเป็นการเล่นละคร กันทั้งนั้น ต่างก็รู้คิวกัน เจรจาให้ยาว ทำเป็นตกลง ให้อิหร่านถลาเข้ามา แล้วก็ตวัดกลับ เพราะอเมริกา ไม่มีทางยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านอย่างจริงจัง แม้จะทำเป็นตกลง ท้ายที่สุดอิหร่านก็จะได้แต่กินแห้ว อเมริกาแค่ซื้อเวลา รอให้มีความพร้อมทางฝั่งของตนเองมากที่สุด อเมริกา โดยไอ้ถังขยะ CFR (อีกแล้ว) ลงทุนติวเข้มให้แก่ อิสราเอล และซาอุดิ 2 มิตรชิดใกล้ของอเมริกาในตะวันออกกลาง เกี่ยวกับเรื่องอิหร่าน ตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุด ประชุมติวกัน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ข่าวหลุดมาจาก นาย Anwar Eshski อดีตนายพล และทูตซาอุดิ ประจำอเมริกา อีกฝ่ายคือ นาย Dore Gold อดีตทูตอิสราเอล ประจำสหประชาชาติ มีการประชุมเช่นนี้ มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 อเมริกา ไม่ได้หลุดคิวเลย นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่าน เช่นเดียวกัน อเมริกายังส่งนาย John Brennan ผอ CIA บินตรงไปสรุปข้อมูลลับเกี่ยวกับอิหร่าน ให้กับหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอล Mossad แปลว่า อเมริกาน่าจะคิดขยับหมากแล้ว เรื่องการเจรจาก็ปล่อยไป เจรจาสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรต่างกัน เพราะอเมริกาน่าจะมีโผอยู่ในใจแล้ว เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน เป็นเหมือนหนังฮอลลีวู้ดสร้าง ซี่รี่ส์ยาว ให้เราดูติดต่อกันมา 2 ปี เท่านั้นเอง อเมริกาไม่มีวันจะปล่อยมือที่บีบคออิหร่าน แม้อเมริกาจะนับรัสเซีย เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งตลอดกาล และนับจีนเป็นคู่แข่งหมายเลขหนี่ง ซี่งแข่งมากๆ ก็จะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นศัตรูไปด้วย แต่กรณีของรัสเซีย เป็นเรื่องของ “ความอยากได้ ” ทรัพยากรของรัสเซีย บวกกับความแหยงสภาพการฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็วของรัสเซีย อเมริกาไม่มีผลประโยชน์โดยตรง มากมายในภูมิภาคของรัสเซีย มันเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์การเมืองมากกว่า กรณีของจีน ก็ใกล้เคียงกับกรณีรัสเซีย แต่หนักไปในแง่ที่อเมริกาถือว่า แปซิฟิกและเอเซีย เป็นเหมือนบ้านที่ 2 ของอเมริกา มีแต่เด็กๆ ในความปกครองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แค่คิดว่าจีนจะมาใหญ่กว่า หรือแค่เป็นคู่แข็ง อเมริกาก็ทนไม่ได้อยู่แล้ว แต่กรณีอิหร่าน ขณะที่อเมริกาอยากได้ ทรัพยากรของอิหร่าน แต่อิหร่านวันนี้ เป็นอิหร่านที่มีพิษ และอเมริกายังคิดเซรุ่มกันพิษรอบใหม่ของอิหร่านยังไม่ได้ ถ้าอเมริกาขยับผิด ผลประโยชน์มหาศาลของอเมริกา ในตะวันออกกลางจะฉิบหายเกลี้ยงไปด้วย ไม่ใช่แค่ไม่ได้สมบัติของอิหร่านอย่างเดียว เรื่องอิหร่าน เป็นเรื่องกระทบตรงกับผลประโยชน์ของอเมริกา เป็นเรื่องที่อเมริการู้อยู่แก่ใจ กำลังทำใจ และกำลังหาทางขจัดปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ เมื่ออเมริกาพร้อม โลกคงสะเทือน แต่การขยับหมากของอเมริกา ไล่มาตั้งแต่ ยูเครน ตะวันออกกลาง มาถึงหมากญี่ปุ่น (จะสำเร็จหรือไม่ ไม่รู้ แต่ผมว่า ร่อแร่ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อไปแบกถาดให้เขานี่ คนญี่ปุ่นน่าจะคิดออกนะ ว่าถูกเขาหลอกใช้ขนาดไหน) เหมือนความพร้อมของอเมริกา จะใกล้เข้ามาทุกที จะพร้อมลุยอิหร่านประเทศเล็กแต่มีพิษ หรือแค่พร้อมตั้งรับ เพราะรู้ว่า พิษคงจะเริ่มออกฤทธิ์อีกไม่ช้า และแพร่กระจายไปหลายทิศ ในอีกไม่นาน ก็ต้องดูกันต่อไป กลับมาที่อิหร่านอีกที ถ้า วันที่ 7 กรกฏาคมนี่ อิหร่านต้องฟังเพลง I will walk away … อิหร่านจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะหงิมๆ เก็บของ กลับบ้านไหม อิหร่านก็คงทำอย่างนั้น แต่กลับบ้านไปทำอะไร ผมไม่รู้ด้วย แต่ผมตั้งใจว่า ถ้าต้องฟัง พณฯใบตองแห้งครวญเพลง หลังจากวันที่ 7 กรกฏาคม ผมคง ตั้งสติให้นิ่ง ตามข่าวถี่หน่อย กินให้อร่อย นอนให้อิ่ม เก็บสะสมไว้ยามจำเป็นครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 1129 Views 0 Reviews
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 5 – 6

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 5
    ไม่รู้ยังจำกันได้ไหม หลังจากสหภาพโซเวียตถูกทุบจนแหลกละเอียด ตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 อเมริกาและพวก ตีปีกกันใหญ่ ว่ากำจัดขู่แข่งตัวสำคัญไปเรี ยบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปเพียง 15 ปี ส่วนหัวและหัวใจ ของสหภาพโซเวียตคือ รัสเซีย ดันไม่ตายตามต้องการ แถมฟื้นขึ้นมาแบบมาดใหม่ ด้วยการสู้ด้วยท่อส่งแก๊ส ที่รัสเซียวางไปตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นเรื่องที่อเมริกาและพวก คิดไม่ถึง ยิ่งท่อส่งแก๊สของรัสเซียวิ่งตรงมายุโรป และยุโรปกลายเป็นฝ่ายพึ่งแก๊สของรัสเซียถึง 60% อเมริกายิ่งหายใจแรง ด้วยความขัดใจ กระบวนการขัดขารัสเซีย ไปจนถึงแซงช้่นจึงค่อยๆทยอยปล่อยออกมาใส่รัสเซีย
    เดือนธันวาคม ค.ศ.2014 รัสเซีย ประกาศยกเลิกเส้นทางท่อส่งแก๊ส South Sream ของ Gazprom บริษัทผลิตและส่งแก๊สของรัฐบาลรัสเซีย เพราะถูกอียูกั้ก ตามคำสั่งของอเมริกา รัสเซียหวังจะส่งแก๊สให้ชาวยุโรปด้วยเส้นทางใหม่ ที่ไม่ต้องผ่านยูเครน ที่กำลังมีปัญหากันอยู่ แต่ให้ไปโผล่ที่บุลกาเรีย เพิ่มอีกจุด เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างยุโรป และรัสเซีย แต่อเมริกา บีบให้อียูบอกว่า แบบนี้เป็นการรังแกยูเครน แล้วอียู ก็ไปบีบบุลกาเรียอีกต่อ ไม่ให้ตกลงกับรัสเซีย แล้วอียู รัสเซีย ก็เดือดร้อน แต่อเมริกาสบาย ฉลาดฉิบหายเลย
    คุณพี่ปูตินบอก ตามใจ ถ้าคนยุโรปไม่ต้องการ เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ งั้นรัสเซียส่งมาทางตุรกีแทนก็ได้ แทบไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าตุรกีไม่กล้าแหกคอกจากอเมริกา มาต่อท่อกับรัสเซีย ก็อเมริกาเพิ่งสั่งให้ลูกกระเป๋งแซงชั่นรัสเซียอยู่หยกๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง 6 เดือน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2015 นี้เอง ตุรกีกับ Gasprom ก็ยืนประกาศคู่กัน ว่า เส้นท่อส่งแก๊ส Turkish Stream เดินหน้าไปอย่างดียิ่ง และพร้อมจะส่งแก๊สจากรัสเซีย เข้ามาที่สถานีในตุรกีและไปโผล่ตรงเขตแดนตุรกี ที่ติดกับ”กรีซ “ได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ.2016 เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าในยุโรป….. มาแล้ว ฝีมือเดินหมากรุกระดับแชมป์
    ในวันที่รัสเซียตัดสินใจ ไม่เดินหน้าไปทางบุลกาเรีย แต่เปลี่ยนมาเป็นตุรกีนั้น ทันทีที่ตกลงกับตุรกีได้ในต้นเดือนเมษายน ค.ศ.2015 คุณพี่ปูตินยกโทรศัพท์คุยกับคุณน้องอเล็กซิสด้วยตัวเอง หลังจากนั้น สำนักงานท่านประธานาธิบดีของรัสเซียก็ออกข่าวเงียบๆ ว่า รัสเซียพร้อมให้เงินกู้กับกรีซ เพื่อเป็นการตอบแทนที่กรีซเข้าร่วมโครงการ Turkish Stream เข้าไปในอียู …
    แต่เมื่อสื่อเยอรมัน Der Spiegel รายงานข่าวว่า มอสโคว์พร้อมให้เงินกู้กับรัฐบาลกรีซทันที จำนวน 5 พันล้านยูโร ที่ประมาณว่า จะเท่ากับส่วนแบ่งกำไร ที่จะได้จากเชื่อมท่อส่งแก๊ส Turkish Stream แต่เครมลินออกมาปฏิเสธข่าวนี้ ….มันก็ควรปฏิเสธ เรื่องแบบนี้มันต้อง เปิดๆ ปิดๆ ถึงจะน่าตื่นเต้น
    ในขณะที่กรีซและเจ้าหนี้ กำลังเจรจาเครียด เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ถึงเรื่องหนี้ ที่ต้องจ่ายให้แก่ IMF จำนวน 1.6 พันล้านยูโรในวันสิ้นเดือนมิถุนายน นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ยังไม่มีคำตอบให้กับเจ้าหนี้ ว่าเขาจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้หนี้ แต่วันรุ่งขึ้น เขาบินไปร่วมงาน St. Petersburg Economic Forum ที่รัสเซีย อย่างไม่มีอาการเครียด…
    ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัสเซียพยายามไม่ยุ่งกับเรื่องวิกฤติทางการเงินของยุโรป แต่ปัญหาของกรีซ มันอาจจะทำให้รัสเซียเห็นทาง… ที่อาจจะคุ้ม กับค่ายุ่งก็เป็นได้
    และถ้ารัสเซียเห็นว่าคุ้ม แล้วโดดมาเล่นด้วย หนี้กรีซคงไม่ได้เป็นเรื่องวิกฤติทางการเงินเรื้อรัง แต่เปลี่ยนเป็นวิกฤติ ทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองทันที นี่อาจจะเป็น ซึนามิ ที่จะมาหลังแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์
    CFR (Council on Foreign Relations ) หน่วยงานที่เป็นผู้กำกับบทบาทของ รัฐบาลอเมริกัน เริ่มใช้ไมค์ตัวเล็ก นาย Sebastian Mallaby นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส นำร่อง ออกมาให้ความเห็นว่า คุณคงไม่อยากเห็นยุโรปต้องเจรจากับกรีซ ซึ่งเป็นสมาชิกของนาโต้ แต่ปุบปับก็ดันจะไปซบกับรัสเซีย ” You don’t want Europe to have to deal with Greece, who is a member of NATO, all of a sudden cozying up to Russia”
    แม้เป็นแค่ไมค์ตัวเล็ก แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ได้ยินเสียงแบบนี้ ก็ลนลานแล้ว เดิมรัฐบาลเยอรมัน คนเยอรมัน แบงค์เยอรมัน เห็นพ้องกันว่า เยอรมันจะยุติการให้เงินกู้กับกรีซเพิ่มเติม ถ้ากรีซ ยังเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีวินัย มันต้องให้ใส่ทั้งโซ่เหล็ก และเข้มขัดเหล็ก เข้าใจไหม
    เหมือนจะรู้ว่า ป้าเข็มขัดเหล็กกำลังคิดอะไร ไมค์ตัวเล็กจาก CFR เลยแถมท้าย…ป้าก็คงไม่ชอบใช่มั้ย ที่จะให้ปูติน ให้ของขวัญกับกรีซ ถ้ากรีซจะแหกคอก ออกไปจากพวกตะวันตกน่ะ …
    แล้วก็เหมือนกลัว ป้าจะตัดสินใจยาก นายอเล็กซิส ก็เขียนตอบโต้ คำกล่าวของคนเยอรมันที่บอกว่า คนเยอรมันต้องทำงานหนัก เพื่อเอาเงินไปเลี้ยงคนกรีซที่เลิกทำงาน อเล็กซิส เขียนส่งไปลงในหนังสือพิมพ์เยอรมันว่า… ใครที่อ้างว่า คนเยอรมันต้องเสียภาษีเพื่อเอาจ่ายเป็นค่าจ้าง และเงินบำนาญ เป็นคนโกหก…อันนี้ ฮอร์โมนคนหนุ่มพุ่งแรงจริงๆ
    กรีซและเจ้าหนี้ กำลังขยับการเผชิญหน้าใกล้เข้ามา จนแทบจะหายใจใส่หน้ากันอยู่แล้ว แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ทำปากแข็งบอก ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ ฉันยังรอรับฟังข้อเสนอของกรีซอยู่ ว่าแล้วก็หัวร่อร่ากับหนุ่มกรีก ทำเหมือนไม่มีรอยร้าวระหว่างป้า กับหลาน CFR คงไม่แน่ใจว่า ป้าหัวร่อกับหนุ่มกรีก เพราะเครียด หรือ ขากรรไกรค้าง รีบสำทับ อียูต้องจัดการให้ดีนะ ไม่งั้นเรื่องนี้คงจบยาก หรือจบไม่สวย และจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ให้สเปนและปอร์ตุเกส เอาอย่าง
    ไมค์ตัวเล็ก ยี่ห้อ CFR สำทับแบบนี้ อียูคงต้องคิดหนัก
    ###############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 6 (จบ)
    ดูเหมือนกรีซจะมีทางเลือก ขึ้นอยู่กับว่า กรีซคิดอะไร
    ทางเลือกที่หนึ่ง : ถ้าเจ้าหนี้ยินยอมปรับปรุงโครง สร้างหนี้ ในเงื่อนไขตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับได้ และกรีซ ไม่คิดออกจากอียู เรื่องก็คงจบด้วยดี จบแบบ ยังพอรักษาหน้า รักษาไมตรี ต่อกัน
    กรีซก็ได้อย่างที่ต้องการ ได้เอาโซ่ออกจากคอ ส่วนเจ้าหนี้ก็คงขาดโอกาส ที่จะใช้โซ่รัดคอกรีซต่อไป แต่ไม่เป็นไร เชื่อสายอัศวินนักล่าใบตองแห้ง ปลิ้นปล้อนต่อไปได้ว่า เห็นแก่มนุษยธรรม พูดเอาบุญเอาคุณไปได้อีกนาน คนที่จะช้ำหน่อย น่าจะเป็นป้าเข็มขัดเหล็ก เพราะลั่นปากออกสื่อไปแล้ว ว่าจะไม่ให้กู้เพิ่มแล้วถ้าไม่รัดโซ่ให้แน่นกว่านี้ นี่โซ่ก็ถูกตัดแต่ยังต้องอุ้มเขาต่อ ป้าก็คงต้องหุบปากบ้าง ไม่งั้นเรื่องเงินกู้กรีซ รอบแรก ที่แบงค์เยอรมันได้ไปก่อน คราวนี้ รับรองมีคนเอามาแฉใหม่แน่
    แต่มันแสนจะคุ้ม ที่สะกัดทางคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้าอียูผ่านกรีก
    แล้วคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้ามาเดินเล่นแถวกรีซล่ะ คุณพี่เขาก็เปลี่ยนวิธีเดินหมากได้ไหม่แน่นอน แชมป์หมากรุก ยอมมองทางออกทั้งกระดาน จะเดินตาไหนต่อ ก็คอยดูกันไป แต่คิดให้ดี ถ้าไม่มีข่าวคุณพี่ปูตินโทรหาคุณน้องอเล็กซิส รับรอง ทางเลือกที่หนึ่งนี่ ไม่มีทางเกิดขึ้น
    ทางเลือกที่สอง : กรีซเหม็นเบื่ออียูเต็มที ถึงเจ้าหนี้จะตกลง ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่กรีซบอกไม่เอาแล้ว เดี๋ยวให้ เดี๋ยวไม่ให้ เราจบกันแค่นี้ดีกว่า เอะ แล้วกรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ IMF สิ้นเดือนนี้ 1.6 พันล้าน ยูโร อย่านึกว่าคุณพี่ปูตินจะตกลงด้วยง่ายๆ นะครับ ให้ยืมน่ะเรื่องนึง ถ้าคุณพี่ตกปาก แล้วคงไม่เบี้ยว แต่ยืมเอาไปใช้หนี้เต็มราคา ไม่มีลดค่าหน้าตั๋ว ไม่มี ตัดผม haircut ผมเป็นคุณพี่ปูติน ผมไม่ให้ยืมหรอก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าลูกหนี้ล้มละลาย ก็พวกไอ้หมาไนของมันบอกเอง เจ้าหนี้หวังให้ใช้หนี้เต็มร้อย ก็ฝันไปหน่อย
    ตอน ปี ค.ศ.2012 เมื่อเห็นกันชัดๆ เต็มลูกตา ว่าวิธีเอาเงินกู้มาจ่ายเจ้าหนี้ทั้งก้อน วนไปวนมา หนี้กรีซก็ไม่มีวันลด คุณป้าเข็มขัดเหล็ก เลยเสียงเขียวให้เจ้าหนี้เอกชน ลดหนี้ ตัดผม haircut กันบ้าง มีต้ังแต่ ลด 50% ไปถึงลด 80 % เหลือ 20 ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ให้ไปแลกกับตั๋วใหม่ เขาว่า มีกองทุนแร้งลง ซื้อตั๋วใหม่พวกนี้อีกต่อ ราคาถูกลงไปอีก ไปเก็งกำไรอีกต่อ แล้วคิดว่าแบบนี้คุณพี่ปูติน จะจ่ายให้ IMF เต็มร้อยไหม เผลอๆ เรื่อง รัสเซีย จะให้เงินกู้กรีซ เป็นเรื่องสมต้มกัน
    ตกลงวิธีนี้จะไปได้ ก็ต่อเมื่อ IMF ลดหนี้ให้ แล้วถ้า IMF ก็เดาอยู่แล้ว ว่าเงินอาจจะมาจากไหน คิดว่า IMF จะลดหนี้ให้ไหม คุณนายหน้าเค็มไม่ยอมหน้าจืดหรอกครับ ลืมไปได้เลย
    ทางเลือกที่สาม : เหมือนทางเลือกที่สอง แต่ยังไม่ใช้หนี้ IMF เรียกว่า ตัดโซ่คล้องคอของเจ้าหนี้ ตัดเชือกผูกกับ อียู ยอมให้เขาว่าเป็นประเทศล้มละลาย ต้ังหน้าต้ังตา สร้างบ้านเมืองใหม่ แบบนี้ อาจจะมีเจ้าหนี้จูงกันมาให้กู้แบบดอกต่ำ เงื่อนไขไม่โหด แต่กรีซใจถึงไหม ที่จะเล่นบทนี้ บทนี้มันต้องใจถึงกันทั้งประเทศ
    ทางเลือกของกรีซ ก็คงมีเท่านี้
    ส่วนทางเลือกของเจ้าหนี้ มีแค่ 2 ทาง
    ทางเลือกที่หนึ่ง : ก็เหมือนทางเลือกที่หนึ่งของกรีซนั่นแหละ แค่เสียหน้า แต่ระบบแบงค์ยังปลอดภัย ที่สำคัญ ทางภูมิศาสตร์การเมือง ปิดทางเข้าอียูของรัสเซียผ่านกรีซ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แผ่นดินไหวไม่มี ซึนามิการเมืองไม่เกิดขึ้น แต่รายการนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้ข้างเดียว ต้องถามใจกรีซด้วย
    ทางเลือกที่สอง : เจ้าหนี้ไม่ขยับ ไม่ปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ให้ ไม่ผ่อนเวลาให้ ยึดแน่นกับเงื่อนไขโหด แถมจะเพิ่ม ให้โซ่คล้องคอกรีซรัดแน่นกว่าเดิม ทำไมหรือ ก็ยังกินไม่อิ่ม ไม่มีอะไรมาก ยิ่งท่อแก๊สรัสเซียจะมา ยิ่งอร่อย ยึดมาใช้หนี้เสียเลยดีไหม และเชื่อว่ารัสเซียไม่มีปัญญา ที่จะเข้ามาชำระหนี้ก้อนใหญ่ให้กรีซ
    ถ้าเจ้าหนี้เลือกทางนี้ ไม่ต้องวิเคราะห์มากครับ รับรอง มีทั้งแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อก ซึนามิทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองครบถ้วน อาจจะเลยเป็นชนวนสงครามโลกแทนยูเครน ที่นางเหยี่ยวรับหน้าที่มาจุดให้ไอ้นักล่าใบตองแห้งด้วยก็ได้
    ใครมันจะยอมให้หยามหน้า รังแกกันมากขนาดนั้น แล้วกลับบ้านนอนสบาย
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิ.ย. 2558
    หมายเหตุ: เขียนนิทานจบไปแล้ว ต้ังเวลาโพสต์ล่วงหน้า เตรียมเข้านอน เช็คข่าวล่าสุด ทำเอานอนไม่ได้ ต้องกลับมานั่งเขียนต่อ
    ล่าสุด วันที่ 27 มิถุนายน มีข่าวออกมาตอนค่ำบ้านเรา บอกว่า นายกรัฐมนตรีกรีซ พูดว่า เราคงเดินหน้าโดยมีโซ่คล้องคอแบบนี้ไม่ไหว เขาจึงออกทีวี ประกาศว่า เขาจะจัดให้มีการทำประชามติ ในวันที่ 5 กรกฏาคม นี้ ว่า ประะชาชนจะเอายังไง yes หรือ no กับ การกู้เงินต่อไป คำพูดของนายกรัฐมนตรีกรีซ อาจเป็นประโยคประวัติศาสตร์ ที่ต้องจดจำ หรือมีการอ้างถึงต่อไป
    ” กระผมขอให้ท่านตัดสินใจ ด้วยสำนึกในประวัติศาสตร์ แห่งความเป็นประเทศเอกราชและมีศักดิ์ศรีของกรีซ ว่าเราจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องรับการยื่นคำขาด ที่เสมือนเป็นการเหยียดหยามเรา ที่บีบคั้นเราอย่างรุนแรงและไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีแนวทางให้เราเห็นแม้แต่น้อย ว่าเรา จะมีโอกาสยืนด้วยสองเท้าของเราเองได้อีกหรือไม่ ทั้งในด้านสังคมและทางด้านการเงิน
    ประชาชนจะต้องตัดสินใจ โดยปราศจากความกดดัน จากการยื่นคำขาดดังกล่าว”
    “I call uopn you to decide – with sovereignty and dignity as Greek history demands-
    whether we should accept the extortionate ultimatum that calls for strict and humiliating austerity without end, and without the prospect of ever standing on our own two feet, socially and financially.
    The people must decide free of any blackmail..”
    เป็นคำประกาศของคนหนุ่ม ที่ “แรง” เกือบจะเป็นการประกาศสงครามเชียวนะ
    ขณะเดียวกัน ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยนายเจริญ Jeroen Dijsselbloem รัฐมนตรีคลังของดัชท์ ที่เป็นประธานที่ประชุมเจ้าหนี้ เมื่อได้รับถุงมือขาวของหนุ่มกรีก ก็รีบออกข่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีกรีซประกาศเช่นนี้ ก็ น่าจะแปลว่ากรีซ ไม่รับข้อเสนอของฝ่ายเจ้าหนี้ และการเจรจาก็น่าจะสดุดหยุดลง เมื่อไม่มีข้อตกลง กรีก ก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ จำนวน 1.6 พันล้านยูโร ให้กับ IMF ทีจะถึงชำระในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
    ก่อนหน้านั้น เล็กน้อย คุณน้องยานิสของผม ก็แจ้งในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของอียู ว่า กรีซ ขอ เลื่อนกำหนด วันตัดสินประหารขีวิตออกไปสัก 2 สัปดาห์ได้ไหม เพราะ เขาจะทำประชามติ กัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตพวกเขา ให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงตามประชาธิปไตยบ้าง ที่ประชุมอียู ตอบสั้นๆ ว่าไม่ได้ คุณน้องยานิส ก็เก็บของ เดินออกจากห้องประชุม
    ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยรัฐมนตรีคลังของฟินแลนด์ ออกมาบอกว่า ตอนนี้ แปลว่า ต้องเปลี่ยนเอา แผนสำรอง มาเป็นแผนจริงแล้ว
    แปลว่าอะไรครับ ช่วยกลับไปอ่านนิทานข้างต้นอีกที แปลว่า แผ่นดินเริ่มไหว จะขนาดไหน วันจันทร์ก็คงรู้ ที่กุมๆกันไว้ในกระเป๋า ก็คงเริ่มทยอยเอาออกมาใช้กัน แต่เกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ ดูกันต่อครับ จะกินบ้าน กู้เมืองกัน มันไม่ใช่เล่นเกมกด เกมชิงเมืองนี้ อาจลามไปไกล…จะกลายเป็นเกทับบลั้ฟแหลกกันขนาดไหน หรือ ของจริงแอบแจม ได้ทั้งสิ้น
    แต่อย่างน้อย วันนี้ ผมขอคารวะหนุ่มกรีก สำหรับประโยคเดินนำออกจากคอก ที่ คนรักบ้านรักเมือง รักศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ก็ต้องซึ้งใจ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิ.ย 58
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 5 ไม่รู้ยังจำกันได้ไหม หลังจากสหภาพโซเวียตถูกทุบจนแหลกละเอียด ตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 อเมริกาและพวก ตีปีกกันใหญ่ ว่ากำจัดขู่แข่งตัวสำคัญไปเรี ยบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปเพียง 15 ปี ส่วนหัวและหัวใจ ของสหภาพโซเวียตคือ รัสเซีย ดันไม่ตายตามต้องการ แถมฟื้นขึ้นมาแบบมาดใหม่ ด้วยการสู้ด้วยท่อส่งแก๊ส ที่รัสเซียวางไปตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นเรื่องที่อเมริกาและพวก คิดไม่ถึง ยิ่งท่อส่งแก๊สของรัสเซียวิ่งตรงมายุโรป และยุโรปกลายเป็นฝ่ายพึ่งแก๊สของรัสเซียถึง 60% อเมริกายิ่งหายใจแรง ด้วยความขัดใจ กระบวนการขัดขารัสเซีย ไปจนถึงแซงช้่นจึงค่อยๆทยอยปล่อยออกมาใส่รัสเซีย เดือนธันวาคม ค.ศ.2014 รัสเซีย ประกาศยกเลิกเส้นทางท่อส่งแก๊ส South Sream ของ Gazprom บริษัทผลิตและส่งแก๊สของรัฐบาลรัสเซีย เพราะถูกอียูกั้ก ตามคำสั่งของอเมริกา รัสเซียหวังจะส่งแก๊สให้ชาวยุโรปด้วยเส้นทางใหม่ ที่ไม่ต้องผ่านยูเครน ที่กำลังมีปัญหากันอยู่ แต่ให้ไปโผล่ที่บุลกาเรีย เพิ่มอีกจุด เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างยุโรป และรัสเซีย แต่อเมริกา บีบให้อียูบอกว่า แบบนี้เป็นการรังแกยูเครน แล้วอียู ก็ไปบีบบุลกาเรียอีกต่อ ไม่ให้ตกลงกับรัสเซีย แล้วอียู รัสเซีย ก็เดือดร้อน แต่อเมริกาสบาย ฉลาดฉิบหายเลย คุณพี่ปูตินบอก ตามใจ ถ้าคนยุโรปไม่ต้องการ เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ งั้นรัสเซียส่งมาทางตุรกีแทนก็ได้ แทบไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าตุรกีไม่กล้าแหกคอกจากอเมริกา มาต่อท่อกับรัสเซีย ก็อเมริกาเพิ่งสั่งให้ลูกกระเป๋งแซงชั่นรัสเซียอยู่หยกๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง 6 เดือน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2015 นี้เอง ตุรกีกับ Gasprom ก็ยืนประกาศคู่กัน ว่า เส้นท่อส่งแก๊ส Turkish Stream เดินหน้าไปอย่างดียิ่ง และพร้อมจะส่งแก๊สจากรัสเซีย เข้ามาที่สถานีในตุรกีและไปโผล่ตรงเขตแดนตุรกี ที่ติดกับ”กรีซ “ได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ.2016 เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าในยุโรป….. มาแล้ว ฝีมือเดินหมากรุกระดับแชมป์ ในวันที่รัสเซียตัดสินใจ ไม่เดินหน้าไปทางบุลกาเรีย แต่เปลี่ยนมาเป็นตุรกีนั้น ทันทีที่ตกลงกับตุรกีได้ในต้นเดือนเมษายน ค.ศ.2015 คุณพี่ปูตินยกโทรศัพท์คุยกับคุณน้องอเล็กซิสด้วยตัวเอง หลังจากนั้น สำนักงานท่านประธานาธิบดีของรัสเซียก็ออกข่าวเงียบๆ ว่า รัสเซียพร้อมให้เงินกู้กับกรีซ เพื่อเป็นการตอบแทนที่กรีซเข้าร่วมโครงการ Turkish Stream เข้าไปในอียู … แต่เมื่อสื่อเยอรมัน Der Spiegel รายงานข่าวว่า มอสโคว์พร้อมให้เงินกู้กับรัฐบาลกรีซทันที จำนวน 5 พันล้านยูโร ที่ประมาณว่า จะเท่ากับส่วนแบ่งกำไร ที่จะได้จากเชื่อมท่อส่งแก๊ส Turkish Stream แต่เครมลินออกมาปฏิเสธข่าวนี้ ….มันก็ควรปฏิเสธ เรื่องแบบนี้มันต้อง เปิดๆ ปิดๆ ถึงจะน่าตื่นเต้น ในขณะที่กรีซและเจ้าหนี้ กำลังเจรจาเครียด เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ถึงเรื่องหนี้ ที่ต้องจ่ายให้แก่ IMF จำนวน 1.6 พันล้านยูโรในวันสิ้นเดือนมิถุนายน นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ยังไม่มีคำตอบให้กับเจ้าหนี้ ว่าเขาจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้หนี้ แต่วันรุ่งขึ้น เขาบินไปร่วมงาน St. Petersburg Economic Forum ที่รัสเซีย อย่างไม่มีอาการเครียด… ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัสเซียพยายามไม่ยุ่งกับเรื่องวิกฤติทางการเงินของยุโรป แต่ปัญหาของกรีซ มันอาจจะทำให้รัสเซียเห็นทาง… ที่อาจจะคุ้ม กับค่ายุ่งก็เป็นได้ และถ้ารัสเซียเห็นว่าคุ้ม แล้วโดดมาเล่นด้วย หนี้กรีซคงไม่ได้เป็นเรื่องวิกฤติทางการเงินเรื้อรัง แต่เปลี่ยนเป็นวิกฤติ ทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองทันที นี่อาจจะเป็น ซึนามิ ที่จะมาหลังแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ CFR (Council on Foreign Relations ) หน่วยงานที่เป็นผู้กำกับบทบาทของ รัฐบาลอเมริกัน เริ่มใช้ไมค์ตัวเล็ก นาย Sebastian Mallaby นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส นำร่อง ออกมาให้ความเห็นว่า คุณคงไม่อยากเห็นยุโรปต้องเจรจากับกรีซ ซึ่งเป็นสมาชิกของนาโต้ แต่ปุบปับก็ดันจะไปซบกับรัสเซีย ” You don’t want Europe to have to deal with Greece, who is a member of NATO, all of a sudden cozying up to Russia” แม้เป็นแค่ไมค์ตัวเล็ก แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ได้ยินเสียงแบบนี้ ก็ลนลานแล้ว เดิมรัฐบาลเยอรมัน คนเยอรมัน แบงค์เยอรมัน เห็นพ้องกันว่า เยอรมันจะยุติการให้เงินกู้กับกรีซเพิ่มเติม ถ้ากรีซ ยังเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีวินัย มันต้องให้ใส่ทั้งโซ่เหล็ก และเข้มขัดเหล็ก เข้าใจไหม เหมือนจะรู้ว่า ป้าเข็มขัดเหล็กกำลังคิดอะไร ไมค์ตัวเล็กจาก CFR เลยแถมท้าย…ป้าก็คงไม่ชอบใช่มั้ย ที่จะให้ปูติน ให้ของขวัญกับกรีซ ถ้ากรีซจะแหกคอก ออกไปจากพวกตะวันตกน่ะ … แล้วก็เหมือนกลัว ป้าจะตัดสินใจยาก นายอเล็กซิส ก็เขียนตอบโต้ คำกล่าวของคนเยอรมันที่บอกว่า คนเยอรมันต้องทำงานหนัก เพื่อเอาเงินไปเลี้ยงคนกรีซที่เลิกทำงาน อเล็กซิส เขียนส่งไปลงในหนังสือพิมพ์เยอรมันว่า… ใครที่อ้างว่า คนเยอรมันต้องเสียภาษีเพื่อเอาจ่ายเป็นค่าจ้าง และเงินบำนาญ เป็นคนโกหก…อันนี้ ฮอร์โมนคนหนุ่มพุ่งแรงจริงๆ กรีซและเจ้าหนี้ กำลังขยับการเผชิญหน้าใกล้เข้ามา จนแทบจะหายใจใส่หน้ากันอยู่แล้ว แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ทำปากแข็งบอก ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ ฉันยังรอรับฟังข้อเสนอของกรีซอยู่ ว่าแล้วก็หัวร่อร่ากับหนุ่มกรีก ทำเหมือนไม่มีรอยร้าวระหว่างป้า กับหลาน CFR คงไม่แน่ใจว่า ป้าหัวร่อกับหนุ่มกรีก เพราะเครียด หรือ ขากรรไกรค้าง รีบสำทับ อียูต้องจัดการให้ดีนะ ไม่งั้นเรื่องนี้คงจบยาก หรือจบไม่สวย และจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ให้สเปนและปอร์ตุเกส เอาอย่าง ไมค์ตัวเล็ก ยี่ห้อ CFR สำทับแบบนี้ อียูคงต้องคิดหนัก ############### “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 6 (จบ) ดูเหมือนกรีซจะมีทางเลือก ขึ้นอยู่กับว่า กรีซคิดอะไร ทางเลือกที่หนึ่ง : ถ้าเจ้าหนี้ยินยอมปรับปรุงโครง สร้างหนี้ ในเงื่อนไขตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับได้ และกรีซ ไม่คิดออกจากอียู เรื่องก็คงจบด้วยดี จบแบบ ยังพอรักษาหน้า รักษาไมตรี ต่อกัน กรีซก็ได้อย่างที่ต้องการ ได้เอาโซ่ออกจากคอ ส่วนเจ้าหนี้ก็คงขาดโอกาส ที่จะใช้โซ่รัดคอกรีซต่อไป แต่ไม่เป็นไร เชื่อสายอัศวินนักล่าใบตองแห้ง ปลิ้นปล้อนต่อไปได้ว่า เห็นแก่มนุษยธรรม พูดเอาบุญเอาคุณไปได้อีกนาน คนที่จะช้ำหน่อย น่าจะเป็นป้าเข็มขัดเหล็ก เพราะลั่นปากออกสื่อไปแล้ว ว่าจะไม่ให้กู้เพิ่มแล้วถ้าไม่รัดโซ่ให้แน่นกว่านี้ นี่โซ่ก็ถูกตัดแต่ยังต้องอุ้มเขาต่อ ป้าก็คงต้องหุบปากบ้าง ไม่งั้นเรื่องเงินกู้กรีซ รอบแรก ที่แบงค์เยอรมันได้ไปก่อน คราวนี้ รับรองมีคนเอามาแฉใหม่แน่ แต่มันแสนจะคุ้ม ที่สะกัดทางคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้าอียูผ่านกรีก แล้วคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้ามาเดินเล่นแถวกรีซล่ะ คุณพี่เขาก็เปลี่ยนวิธีเดินหมากได้ไหม่แน่นอน แชมป์หมากรุก ยอมมองทางออกทั้งกระดาน จะเดินตาไหนต่อ ก็คอยดูกันไป แต่คิดให้ดี ถ้าไม่มีข่าวคุณพี่ปูตินโทรหาคุณน้องอเล็กซิส รับรอง ทางเลือกที่หนึ่งนี่ ไม่มีทางเกิดขึ้น ทางเลือกที่สอง : กรีซเหม็นเบื่ออียูเต็มที ถึงเจ้าหนี้จะตกลง ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่กรีซบอกไม่เอาแล้ว เดี๋ยวให้ เดี๋ยวไม่ให้ เราจบกันแค่นี้ดีกว่า เอะ แล้วกรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ IMF สิ้นเดือนนี้ 1.6 พันล้าน ยูโร อย่านึกว่าคุณพี่ปูตินจะตกลงด้วยง่ายๆ นะครับ ให้ยืมน่ะเรื่องนึง ถ้าคุณพี่ตกปาก แล้วคงไม่เบี้ยว แต่ยืมเอาไปใช้หนี้เต็มราคา ไม่มีลดค่าหน้าตั๋ว ไม่มี ตัดผม haircut ผมเป็นคุณพี่ปูติน ผมไม่ให้ยืมหรอก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าลูกหนี้ล้มละลาย ก็พวกไอ้หมาไนของมันบอกเอง เจ้าหนี้หวังให้ใช้หนี้เต็มร้อย ก็ฝันไปหน่อย ตอน ปี ค.ศ.2012 เมื่อเห็นกันชัดๆ เต็มลูกตา ว่าวิธีเอาเงินกู้มาจ่ายเจ้าหนี้ทั้งก้อน วนไปวนมา หนี้กรีซก็ไม่มีวันลด คุณป้าเข็มขัดเหล็ก เลยเสียงเขียวให้เจ้าหนี้เอกชน ลดหนี้ ตัดผม haircut กันบ้าง มีต้ังแต่ ลด 50% ไปถึงลด 80 % เหลือ 20 ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ให้ไปแลกกับตั๋วใหม่ เขาว่า มีกองทุนแร้งลง ซื้อตั๋วใหม่พวกนี้อีกต่อ ราคาถูกลงไปอีก ไปเก็งกำไรอีกต่อ แล้วคิดว่าแบบนี้คุณพี่ปูติน จะจ่ายให้ IMF เต็มร้อยไหม เผลอๆ เรื่อง รัสเซีย จะให้เงินกู้กรีซ เป็นเรื่องสมต้มกัน ตกลงวิธีนี้จะไปได้ ก็ต่อเมื่อ IMF ลดหนี้ให้ แล้วถ้า IMF ก็เดาอยู่แล้ว ว่าเงินอาจจะมาจากไหน คิดว่า IMF จะลดหนี้ให้ไหม คุณนายหน้าเค็มไม่ยอมหน้าจืดหรอกครับ ลืมไปได้เลย ทางเลือกที่สาม : เหมือนทางเลือกที่สอง แต่ยังไม่ใช้หนี้ IMF เรียกว่า ตัดโซ่คล้องคอของเจ้าหนี้ ตัดเชือกผูกกับ อียู ยอมให้เขาว่าเป็นประเทศล้มละลาย ต้ังหน้าต้ังตา สร้างบ้านเมืองใหม่ แบบนี้ อาจจะมีเจ้าหนี้จูงกันมาให้กู้แบบดอกต่ำ เงื่อนไขไม่โหด แต่กรีซใจถึงไหม ที่จะเล่นบทนี้ บทนี้มันต้องใจถึงกันทั้งประเทศ ทางเลือกของกรีซ ก็คงมีเท่านี้ ส่วนทางเลือกของเจ้าหนี้ มีแค่ 2 ทาง ทางเลือกที่หนึ่ง : ก็เหมือนทางเลือกที่หนึ่งของกรีซนั่นแหละ แค่เสียหน้า แต่ระบบแบงค์ยังปลอดภัย ที่สำคัญ ทางภูมิศาสตร์การเมือง ปิดทางเข้าอียูของรัสเซียผ่านกรีซ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แผ่นดินไหวไม่มี ซึนามิการเมืองไม่เกิดขึ้น แต่รายการนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้ข้างเดียว ต้องถามใจกรีซด้วย ทางเลือกที่สอง : เจ้าหนี้ไม่ขยับ ไม่ปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ให้ ไม่ผ่อนเวลาให้ ยึดแน่นกับเงื่อนไขโหด แถมจะเพิ่ม ให้โซ่คล้องคอกรีซรัดแน่นกว่าเดิม ทำไมหรือ ก็ยังกินไม่อิ่ม ไม่มีอะไรมาก ยิ่งท่อแก๊สรัสเซียจะมา ยิ่งอร่อย ยึดมาใช้หนี้เสียเลยดีไหม และเชื่อว่ารัสเซียไม่มีปัญญา ที่จะเข้ามาชำระหนี้ก้อนใหญ่ให้กรีซ ถ้าเจ้าหนี้เลือกทางนี้ ไม่ต้องวิเคราะห์มากครับ รับรอง มีทั้งแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อก ซึนามิทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองครบถ้วน อาจจะเลยเป็นชนวนสงครามโลกแทนยูเครน ที่นางเหยี่ยวรับหน้าที่มาจุดให้ไอ้นักล่าใบตองแห้งด้วยก็ได้ ใครมันจะยอมให้หยามหน้า รังแกกันมากขนาดนั้น แล้วกลับบ้านนอนสบาย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิ.ย. 2558 หมายเหตุ: เขียนนิทานจบไปแล้ว ต้ังเวลาโพสต์ล่วงหน้า เตรียมเข้านอน เช็คข่าวล่าสุด ทำเอานอนไม่ได้ ต้องกลับมานั่งเขียนต่อ ล่าสุด วันที่ 27 มิถุนายน มีข่าวออกมาตอนค่ำบ้านเรา บอกว่า นายกรัฐมนตรีกรีซ พูดว่า เราคงเดินหน้าโดยมีโซ่คล้องคอแบบนี้ไม่ไหว เขาจึงออกทีวี ประกาศว่า เขาจะจัดให้มีการทำประชามติ ในวันที่ 5 กรกฏาคม นี้ ว่า ประะชาชนจะเอายังไง yes หรือ no กับ การกู้เงินต่อไป คำพูดของนายกรัฐมนตรีกรีซ อาจเป็นประโยคประวัติศาสตร์ ที่ต้องจดจำ หรือมีการอ้างถึงต่อไป ” กระผมขอให้ท่านตัดสินใจ ด้วยสำนึกในประวัติศาสตร์ แห่งความเป็นประเทศเอกราชและมีศักดิ์ศรีของกรีซ ว่าเราจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องรับการยื่นคำขาด ที่เสมือนเป็นการเหยียดหยามเรา ที่บีบคั้นเราอย่างรุนแรงและไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีแนวทางให้เราเห็นแม้แต่น้อย ว่าเรา จะมีโอกาสยืนด้วยสองเท้าของเราเองได้อีกหรือไม่ ทั้งในด้านสังคมและทางด้านการเงิน ประชาชนจะต้องตัดสินใจ โดยปราศจากความกดดัน จากการยื่นคำขาดดังกล่าว” “I call uopn you to decide – with sovereignty and dignity as Greek history demands- whether we should accept the extortionate ultimatum that calls for strict and humiliating austerity without end, and without the prospect of ever standing on our own two feet, socially and financially. The people must decide free of any blackmail..” เป็นคำประกาศของคนหนุ่ม ที่ “แรง” เกือบจะเป็นการประกาศสงครามเชียวนะ ขณะเดียวกัน ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยนายเจริญ Jeroen Dijsselbloem รัฐมนตรีคลังของดัชท์ ที่เป็นประธานที่ประชุมเจ้าหนี้ เมื่อได้รับถุงมือขาวของหนุ่มกรีก ก็รีบออกข่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีกรีซประกาศเช่นนี้ ก็ น่าจะแปลว่ากรีซ ไม่รับข้อเสนอของฝ่ายเจ้าหนี้ และการเจรจาก็น่าจะสดุดหยุดลง เมื่อไม่มีข้อตกลง กรีก ก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ จำนวน 1.6 พันล้านยูโร ให้กับ IMF ทีจะถึงชำระในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ก่อนหน้านั้น เล็กน้อย คุณน้องยานิสของผม ก็แจ้งในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของอียู ว่า กรีซ ขอ เลื่อนกำหนด วันตัดสินประหารขีวิตออกไปสัก 2 สัปดาห์ได้ไหม เพราะ เขาจะทำประชามติ กัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตพวกเขา ให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงตามประชาธิปไตยบ้าง ที่ประชุมอียู ตอบสั้นๆ ว่าไม่ได้ คุณน้องยานิส ก็เก็บของ เดินออกจากห้องประชุม ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยรัฐมนตรีคลังของฟินแลนด์ ออกมาบอกว่า ตอนนี้ แปลว่า ต้องเปลี่ยนเอา แผนสำรอง มาเป็นแผนจริงแล้ว แปลว่าอะไรครับ ช่วยกลับไปอ่านนิทานข้างต้นอีกที แปลว่า แผ่นดินเริ่มไหว จะขนาดไหน วันจันทร์ก็คงรู้ ที่กุมๆกันไว้ในกระเป๋า ก็คงเริ่มทยอยเอาออกมาใช้กัน แต่เกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ ดูกันต่อครับ จะกินบ้าน กู้เมืองกัน มันไม่ใช่เล่นเกมกด เกมชิงเมืองนี้ อาจลามไปไกล…จะกลายเป็นเกทับบลั้ฟแหลกกันขนาดไหน หรือ ของจริงแอบแจม ได้ทั้งสิ้น แต่อย่างน้อย วันนี้ ผมขอคารวะหนุ่มกรีก สำหรับประโยคเดินนำออกจากคอก ที่ คนรักบ้านรักเมือง รักศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ก็ต้องซึ้งใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิ.ย 58
    0 Comments 0 Shares 1302 Views 0 Reviews
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 3
    แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ
    ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา
    สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน
    ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม
    เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ
    เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง
    กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ
    เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน
    ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015
    ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน
    ##############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 4
    นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก
    ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ
    แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น …
    …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น…
    ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม
    พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ
    ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน
    ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์
    แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก
    สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก
    สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง
    มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า
    ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่
    ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า
    เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่
    จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 3 แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015 ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน ############## “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 4 นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น … …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น… ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่ ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่ จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 1141 Views 0 Reviews
  • หลุม ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 5 (จบ)

    รายการขุดหลุมของฝั่งยูเครน นอกจากใช้ยาโด๊ป เกรด 2 เกรด 3 ที่วางขายกันอย่างโจ๊งครึ่มแล้ว รายนาย Saak ที่ไปเอามาเป็น ผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ดูเหมือนจะไม่ได้มาตัวเปล่า และภาระกิจของเขา น่าจะอยู่ตำแหน่งหัวไม้ขีดจุดชนวนได้

    ตั้งแต่ตอน นาย Saak รับใบสั่งให้เป็นประธานาธิบดีจอร์เจีย คนออกใบสั่งมีของขวัญแถมมาให้อุ่นใจ เป็นหน่วยรบปฏิบัติการพิเศษมอสสาด จากอิสราเอล จำนวนหนึ่งพันคน เอามาฝึกทหารจอร์เจีย ข่าวว่าฝึกเสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับอิสราเอล ยังนั่งล้อมวงจั่วไพ่อยู่ในจอร์เจียต่อ… เอะ ทำไมมันเหมือนกันหมด พวกที่เข้ามาฝึกๆๆๆ แล้วไม่ออกไป หรือออกไปน้อยกว่าตอนเข้ามานี่ คุ้นๆครับ

    คราวนี้ เมื่อนาย Saak มารับตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา แกคงจะเป็นห่วงของแถมจากอิสราเอล กลัวจะเหงาจับเจ่าอยู่ในจอร์เจีย เลยขนติดตัวมาที่โอเดสสาด้วยทั้งกองพันนั่นแหละ เรื่องนี้จึงเป็นที่จับตามอง เอามาทำไมกัน เอาไว้เตรียมสู้กับทหารรัสเซียพันกว่าคน ที่ประจำอยู่ทรานนิสเตรีย เผื่อเป็นเด็กดื้อ เดินผ่านเข้ามาในยูเครนอย่างนั้นหรือ

    สื่อทั้งเล็กทั้งใหญ่ต่างวิเคราะห์ว่า ยูเครนเดินหมากแบบนี้ น่าจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ เป็นการบีบไข่รัสเซียให้หน้าเขียวได้ ถ้ารัสเซียไม่ช่วย สาวร่างบางทรานนิสเตรีย ก็เสียชื่อลูกพี่ใหญ่ตายชัก แต่ถ้าตัดสินใจลุย ก็ไม่แคล้ว ต้องมีเรื่องกับยูเครน ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ ยังมีมอนโดวา คอยแยงอีก โฮ้ย คราวนี้ คุณพี่ปูของผม คงหน้าเหี่ยวหล่อลดลงไปนิดหน่อย

    แม้จะมีทั้งยาโด๊ป ของแถม แต่ผมว่า นายช๊อกโกแลต ยังไงก็ไม่น่าจะทะเล่อทะล่า คิดวางแผนขุดหลุม ขุดบ่อล่อให้คุณพี่ปูตินเดินตกหลุมง่ายๆ อย่างนั้นนะ เสียชื่อมาถึงแฟนคลับหมด ยูเครนมีกำลังอะไรไปสู้รัสเซีย กระดูกเบอร์ห่างเป็นคืบ ยูเครนถูกต้มซ้ำซาก ดักดานไม่เข็ด เดือดร้อนมาถึงประชาชนของตน เจ็บตาย จากแรงยุ ดูจากยาโด๊ปแต่ละรายการมาจากไหน ก็แหล่งเดียวกันทั้งนั้น
    อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง พยายามจะฮุบเอายูเครน ที่พลเมืองแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากไปอยู่กับรัสเสีย อีกฝ่ายอยากไปอยู่กับอียู ให้มาอยู่กับอียูทั้งหมด หรือจริงๆ ก็คือ อยู่ฝ่ายอเมริกานั่นแหละ เพราะรู้ว่ายูเครนเป็นจุดสำคัญกับรัสเซียทางด้านยุทธสาศตร์ อเมริกาพยายามมาหลายรอบ รอบสุดท้ายก็คือต้นปีที่แล้ว 2014 ก็ยังไม่สำเร็จ ยังค้างคาไม่รู้หมู่รู้จ่าเหมือนเดิม อเมริกาใช้วิธียุให้มีการประท้วงเผาเมือง โดยส่งคนไปวางแผน ก็นางเหยี่ยว Nuland นั่นแหละ รวมทั้งส่งคนไปร่วมปฏิบัติการ แล้วก็ไม่สำเร็จ (มีรายละเอียดที่น่าจะทำให้เข้าใจเรื่องมากขึ้น อยู่ในนิทานเรื่อง รุกคืบ หรือรุกฆาต และนิทานเรื่อง แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ครับ )

    ใช้วิธียุให้เขาตีกัน ยังไม่ได้เรื่องตามต้องการ อเมริกาเปลี่ยนมาใช้วิธีหาเรื่องคว่ำบาตรรัสเซียไปเรื่อยๆก่อน แต่ที่อเมริกายังไม่มีที่ท่าว่าจะใช้ ไม่ว่าแบบเบาหรือหนัก คือ กดดันรัสเซียด้วยกองกำลังของนาโต้ เสือฟันหรอ จะว่า อเมริกาเกิดรักสงบ มันก็ผิดสันดานนักล่าใบตองแห้งมากไปหน่อย ก็น่าสงสัยว่า คงใช้นาโต้ไปไล่งับแล้ว แต่คงงับคุณพี่ปูเขาไม่เข้า ก็เสือมันฟันหรอ จะไปทำอะไรได้ เอะ … แล้วกองกำลังของอเมริกาเองล่ะ พร้อมหรือเปล่า ไม่เห็นออกข่าวมาบ้างเลย อุบไต๋เงียบเลยนะพี่

    แผนใช้เด็กๆไปขุดหลุม กะให้คุณพี่ปูเลือดขึ้นหน้า ยกทัพกรีฑามาบดขยี้ยูเครน เปิดโอกาสให้อเมริกาและชาวโลกชี้ หน้าประณามรัสเซียว่า เห็นมั้ย รัสเซียนักเลงโต แสดงความก้าวร้าวอีกแล้ว ยึดไครเมียไม่พอ จะต้องยึดยูเครนให้ได้ เรื่องแบบนี้สื่อใส่สี น่าจะเตรียมพาดหัวข่าวรอไว้ด้วยซ้ำ

    การใช้วิธีขุดหลุมล่อแบบนี้ กองกำลังของอเมริกาเอง “ควร” จะต้องพร้อม เพราะถ้ารัสเซียเกิดเลือดฝาดขึ้นหน้า ไม่สนใจหลุมลึก หลุมตื้น เดินลุยใส่ อเมริกาจะทำอย่างไร ลำพังกองทัพของนาโต้ เสือฟันหรอ ผมว่า เอารัสเซียยามนี้ไม่อยู่หรอก ต้องใช้กองกำลังของอเมริกามาร่วมด้วย

    กองเรือของอเมริกาขณะนี้ ที่ใกล้ยูเครนที่สุด น่าจะเป็นที่ไปแอบซุ่มไว้แถวสวีเดน กับแถวแคนาดา ทางทะเลบอลติกเหนือนู่น กว่าจะยุรยาตรมายูเครน ไม่ทันแกงกินแน่ อเมริกาจึงน่าจะใช้การสกัดที่มา ทางอากาศมากกว่า เล่นแบบนั้น แปลว่า อเมริกา ” พร้อม” ก่อสงคราม.. ไม่ใช่แค่สงครามยูเครน แต่อาจลามเป็นสงครามโลกได้ อเมริกา “พร้อม” ไหม
    เพราะรัสเซียกับพวก คงไม่ยอมถูกเจาะกระบาลหัวฟรีๆ มันคงต้องมีการแลกของกันหน่อย

    ส่วนรัสเซีย น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เขากำลังขุดหลุมล่อ และน่าจะรู้นานแล้วด้วย อย่าลืมว่า ยูเครนก็แดนเก่าของสหภาพโซเวียต ครึ่งหนึ่งของชาวยูเครน ก็ยังผูกพันกับรัสเซีย รัสเซียน่าจะนั่งรอด้วยซ้ำว่า เมื่อไหร่หลุมนี้ จะขุดเสร็จ และถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า รัสเซีย “พร้อม” รับมือกับหลุมล่อของอเมริกา
    ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย พร้อม ที่จะเล่นยาวจนเป็นสงคราม เหตุการณ์ อาจจะทยอยเกิดในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเซีย เพราะอเมริกา จะไม่ปล่อยให้ฝั่งรัสเซีย มีการรวมตัวเพื่อส่งกำลังช่วยกัน โดยเฉพาะ ระหว่าง รัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือแน่นอน อเมริกาจึงน่าจะเลือกใช้วิธี แยกจุดชนวนในภูมิภาคต่างๆ นั้น ให้เดือด ในเวลาใกล้เคียงกัน ให้แต่ละคนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องในบ้าน หรือใกล้บ้านตัวเอง

    และก็เป็นไปได้ว่า หลุมที่ขุดล่อนี้ อาจจะ “ฝ่อ” ไม่เป็นท่า ไม่ได้ผลทั้งฝ่ายอเมริกา ที่ไม่ “พร้อม” รบ เพราะเห็นว่า รัสเซีย ดัน “พร้อม” รับ และอาจจะรุกกลับ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องของสาวร่างบางทรานนิสเตรีย จะค่อยๆเงียบไปเอง และการตีปีบ น่าจะมีเริ่มใหม่ แต่เปลี่ยนสถานที่ ไล่ตีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพวกนักข่าวใส่สีจะตกงาน ของจริงคงต้องรอให้เรื่องอิหร่าน ญี่ปุ่น ลงตัวเสียก่อน เดือนมิถุนายนไปแล้วค่อยว่ากัน ส่วนบรรดาเสี่ยปั้มน้ำมันของผม ไม่ว่า ปั้มใหญ่ ปั้มเล็ก น่าจะต้องเตรียมอาชีพอื่นไว้รองรับบ้างนะครับเสี่ย

    ส่วนตัวผม เอนไปทางฝ่อนะ อเมริกา ณ ตอนนี้ น่าจะยังไม่พร้อมลุยกับคุณพี่ปูของผมหรอก คนเราถ้าพร้อม ไม่น่าตีปีบเอะอะ มาเงียบๆ มันกว่า

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 5 (จบ) รายการขุดหลุมของฝั่งยูเครน นอกจากใช้ยาโด๊ป เกรด 2 เกรด 3 ที่วางขายกันอย่างโจ๊งครึ่มแล้ว รายนาย Saak ที่ไปเอามาเป็น ผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ดูเหมือนจะไม่ได้มาตัวเปล่า และภาระกิจของเขา น่าจะอยู่ตำแหน่งหัวไม้ขีดจุดชนวนได้ ตั้งแต่ตอน นาย Saak รับใบสั่งให้เป็นประธานาธิบดีจอร์เจีย คนออกใบสั่งมีของขวัญแถมมาให้อุ่นใจ เป็นหน่วยรบปฏิบัติการพิเศษมอสสาด จากอิสราเอล จำนวนหนึ่งพันคน เอามาฝึกทหารจอร์เจีย ข่าวว่าฝึกเสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับอิสราเอล ยังนั่งล้อมวงจั่วไพ่อยู่ในจอร์เจียต่อ… เอะ ทำไมมันเหมือนกันหมด พวกที่เข้ามาฝึกๆๆๆ แล้วไม่ออกไป หรือออกไปน้อยกว่าตอนเข้ามานี่ คุ้นๆครับ คราวนี้ เมื่อนาย Saak มารับตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา แกคงจะเป็นห่วงของแถมจากอิสราเอล กลัวจะเหงาจับเจ่าอยู่ในจอร์เจีย เลยขนติดตัวมาที่โอเดสสาด้วยทั้งกองพันนั่นแหละ เรื่องนี้จึงเป็นที่จับตามอง เอามาทำไมกัน เอาไว้เตรียมสู้กับทหารรัสเซียพันกว่าคน ที่ประจำอยู่ทรานนิสเตรีย เผื่อเป็นเด็กดื้อ เดินผ่านเข้ามาในยูเครนอย่างนั้นหรือ สื่อทั้งเล็กทั้งใหญ่ต่างวิเคราะห์ว่า ยูเครนเดินหมากแบบนี้ น่าจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ เป็นการบีบไข่รัสเซียให้หน้าเขียวได้ ถ้ารัสเซียไม่ช่วย สาวร่างบางทรานนิสเตรีย ก็เสียชื่อลูกพี่ใหญ่ตายชัก แต่ถ้าตัดสินใจลุย ก็ไม่แคล้ว ต้องมีเรื่องกับยูเครน ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ ยังมีมอนโดวา คอยแยงอีก โฮ้ย คราวนี้ คุณพี่ปูของผม คงหน้าเหี่ยวหล่อลดลงไปนิดหน่อย แม้จะมีทั้งยาโด๊ป ของแถม แต่ผมว่า นายช๊อกโกแลต ยังไงก็ไม่น่าจะทะเล่อทะล่า คิดวางแผนขุดหลุม ขุดบ่อล่อให้คุณพี่ปูตินเดินตกหลุมง่ายๆ อย่างนั้นนะ เสียชื่อมาถึงแฟนคลับหมด ยูเครนมีกำลังอะไรไปสู้รัสเซีย กระดูกเบอร์ห่างเป็นคืบ ยูเครนถูกต้มซ้ำซาก ดักดานไม่เข็ด เดือดร้อนมาถึงประชาชนของตน เจ็บตาย จากแรงยุ ดูจากยาโด๊ปแต่ละรายการมาจากไหน ก็แหล่งเดียวกันทั้งนั้น อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง พยายามจะฮุบเอายูเครน ที่พลเมืองแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากไปอยู่กับรัสเสีย อีกฝ่ายอยากไปอยู่กับอียู ให้มาอยู่กับอียูทั้งหมด หรือจริงๆ ก็คือ อยู่ฝ่ายอเมริกานั่นแหละ เพราะรู้ว่ายูเครนเป็นจุดสำคัญกับรัสเซียทางด้านยุทธสาศตร์ อเมริกาพยายามมาหลายรอบ รอบสุดท้ายก็คือต้นปีที่แล้ว 2014 ก็ยังไม่สำเร็จ ยังค้างคาไม่รู้หมู่รู้จ่าเหมือนเดิม อเมริกาใช้วิธียุให้มีการประท้วงเผาเมือง โดยส่งคนไปวางแผน ก็นางเหยี่ยว Nuland นั่นแหละ รวมทั้งส่งคนไปร่วมปฏิบัติการ แล้วก็ไม่สำเร็จ (มีรายละเอียดที่น่าจะทำให้เข้าใจเรื่องมากขึ้น อยู่ในนิทานเรื่อง รุกคืบ หรือรุกฆาต และนิทานเรื่อง แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ครับ ) ใช้วิธียุให้เขาตีกัน ยังไม่ได้เรื่องตามต้องการ อเมริกาเปลี่ยนมาใช้วิธีหาเรื่องคว่ำบาตรรัสเซียไปเรื่อยๆก่อน แต่ที่อเมริกายังไม่มีที่ท่าว่าจะใช้ ไม่ว่าแบบเบาหรือหนัก คือ กดดันรัสเซียด้วยกองกำลังของนาโต้ เสือฟันหรอ จะว่า อเมริกาเกิดรักสงบ มันก็ผิดสันดานนักล่าใบตองแห้งมากไปหน่อย ก็น่าสงสัยว่า คงใช้นาโต้ไปไล่งับแล้ว แต่คงงับคุณพี่ปูเขาไม่เข้า ก็เสือมันฟันหรอ จะไปทำอะไรได้ เอะ … แล้วกองกำลังของอเมริกาเองล่ะ พร้อมหรือเปล่า ไม่เห็นออกข่าวมาบ้างเลย อุบไต๋เงียบเลยนะพี่ แผนใช้เด็กๆไปขุดหลุม กะให้คุณพี่ปูเลือดขึ้นหน้า ยกทัพกรีฑามาบดขยี้ยูเครน เปิดโอกาสให้อเมริกาและชาวโลกชี้ หน้าประณามรัสเซียว่า เห็นมั้ย รัสเซียนักเลงโต แสดงความก้าวร้าวอีกแล้ว ยึดไครเมียไม่พอ จะต้องยึดยูเครนให้ได้ เรื่องแบบนี้สื่อใส่สี น่าจะเตรียมพาดหัวข่าวรอไว้ด้วยซ้ำ การใช้วิธีขุดหลุมล่อแบบนี้ กองกำลังของอเมริกาเอง “ควร” จะต้องพร้อม เพราะถ้ารัสเซียเกิดเลือดฝาดขึ้นหน้า ไม่สนใจหลุมลึก หลุมตื้น เดินลุยใส่ อเมริกาจะทำอย่างไร ลำพังกองทัพของนาโต้ เสือฟันหรอ ผมว่า เอารัสเซียยามนี้ไม่อยู่หรอก ต้องใช้กองกำลังของอเมริกามาร่วมด้วย กองเรือของอเมริกาขณะนี้ ที่ใกล้ยูเครนที่สุด น่าจะเป็นที่ไปแอบซุ่มไว้แถวสวีเดน กับแถวแคนาดา ทางทะเลบอลติกเหนือนู่น กว่าจะยุรยาตรมายูเครน ไม่ทันแกงกินแน่ อเมริกาจึงน่าจะใช้การสกัดที่มา ทางอากาศมากกว่า เล่นแบบนั้น แปลว่า อเมริกา ” พร้อม” ก่อสงคราม.. ไม่ใช่แค่สงครามยูเครน แต่อาจลามเป็นสงครามโลกได้ อเมริกา “พร้อม” ไหม เพราะรัสเซียกับพวก คงไม่ยอมถูกเจาะกระบาลหัวฟรีๆ มันคงต้องมีการแลกของกันหน่อย ส่วนรัสเซีย น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เขากำลังขุดหลุมล่อ และน่าจะรู้นานแล้วด้วย อย่าลืมว่า ยูเครนก็แดนเก่าของสหภาพโซเวียต ครึ่งหนึ่งของชาวยูเครน ก็ยังผูกพันกับรัสเซีย รัสเซียน่าจะนั่งรอด้วยซ้ำว่า เมื่อไหร่หลุมนี้ จะขุดเสร็จ และถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า รัสเซีย “พร้อม” รับมือกับหลุมล่อของอเมริกา ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย พร้อม ที่จะเล่นยาวจนเป็นสงคราม เหตุการณ์ อาจจะทยอยเกิดในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเซีย เพราะอเมริกา จะไม่ปล่อยให้ฝั่งรัสเซีย มีการรวมตัวเพื่อส่งกำลังช่วยกัน โดยเฉพาะ ระหว่าง รัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือแน่นอน อเมริกาจึงน่าจะเลือกใช้วิธี แยกจุดชนวนในภูมิภาคต่างๆ นั้น ให้เดือด ในเวลาใกล้เคียงกัน ให้แต่ละคนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องในบ้าน หรือใกล้บ้านตัวเอง และก็เป็นไปได้ว่า หลุมที่ขุดล่อนี้ อาจจะ “ฝ่อ” ไม่เป็นท่า ไม่ได้ผลทั้งฝ่ายอเมริกา ที่ไม่ “พร้อม” รบ เพราะเห็นว่า รัสเซีย ดัน “พร้อม” รับ และอาจจะรุกกลับ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องของสาวร่างบางทรานนิสเตรีย จะค่อยๆเงียบไปเอง และการตีปีบ น่าจะมีเริ่มใหม่ แต่เปลี่ยนสถานที่ ไล่ตีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพวกนักข่าวใส่สีจะตกงาน ของจริงคงต้องรอให้เรื่องอิหร่าน ญี่ปุ่น ลงตัวเสียก่อน เดือนมิถุนายนไปแล้วค่อยว่ากัน ส่วนบรรดาเสี่ยปั้มน้ำมันของผม ไม่ว่า ปั้มใหญ่ ปั้มเล็ก น่าจะต้องเตรียมอาชีพอื่นไว้รองรับบ้างนะครับเสี่ย ส่วนตัวผม เอนไปทางฝ่อนะ อเมริกา ณ ตอนนี้ น่าจะยังไม่พร้อมลุยกับคุณพี่ปูของผมหรอก คนเราถ้าพร้อม ไม่น่าตีปีบเอะอะ มาเงียบๆ มันกว่า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
  • หลุม ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 1

    เมื่อราวช่วงต้นสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์ที่ติดตามการเมืองระดับโลก เริ่มมีอาการตื่นเต้นกับชื่อ ทรานนิสเตรีย (Transnistria) ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็ตื่นเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นชื่อของอะไร ที่แน่ๆ ยังงงว่าทำไมเขาตื่นเต้นกัน

    ทรานนิสเตรีย หรือชื่อเต็มว่า Transnistria Moldov Republic (TMR) เป็นรัฐเล็กๆน่าเอ็นดู รูปร่างยาวบาง อยู่ระหว่างกลาง มอนโดวา ( Moldova) ด้านหนึ่ง กับยูเครน (Ukraine) อีกด้านหนึ่ง เหมือนเป็นแผ่นแฮม ถูกขนมปัง 2 แผ่นประกบไว้ มันก็น่าเสียวว่าจะถูกงับ ทั้งยูเครน มอนโดวา และทรานนิสเตรีย ต่างเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตทั้งสิ้น ก่อนฝ่ายตะวันตก ที่นำโดยอเมริกาและอังกฤษ วางแผนทุบเสียจนสหภาพโซเวียตแตกกระจายในปีช่วง ค.ศ.1989-1991 เพื่อตัดตอนสหภาพโซเวียต ให้เหลือเป็นเพียงประเทศรัสเซีย โดยหวังว่า วันหนึ่ง ประเทศรัสเซียก็จะต้องไม่มีเหลือด้วย

    แม้จะแทบไม่มีใครรู้จัก หรือเคยได้ยินชื่อ แต่อย่าหมิ่นเขาเชียว ทรานนิสเตรีย เขาหาญกล้านัก ปี ค.ศ.1990 มอนโดวาซึ่งตอนนั้นยังมีทรานนิสเตรียรวมอยู่ด้วย เกิดเคลิ้ม คิดอยากจะไปรวมกับรูมาเนีย ซึ่งฝั่งทรานนิสเตรียรังเกียจ เนื่องจาก รูมาเนียคิดจะเปลี่ยนรากภาษา และวัฒนธรรมของมอนโดวาและทรานนิสเตรีย ให้เป็นแบบของตัว ทรานนิสเตรียหวงแหนรากเหง้าของตัวเอง ไม่เอาด้วย จึงประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับใคร แถมแสดงท่าทีว่า ที่แท้ใจยังผูกพันธ์กับพี่ใหญ่รัสเซียมากกว่า

    ทรานนิสเตรีย มีพลเมืองแค่ประมาณไม่เกิน 6 แสนคน แบ่งเป็น 3 เชื้อสาย ในอัตราใกล้เคียงกัน คือ เป็นชาวมอนโดเวียน ชาวยูเครน และเป็นรัสเซียแท้ ที่เหลือเป็นชาวยิว และอื่นๆ
    ในปี ค.ศ.1992 คงจะเป็นจากส่วนผสมของพลเมืองที่ มีเชื้อสาย และความผูกพันต่างกัน ชาวทรานนิสเตรีย เจอลูกยุจากภายนอก ก็เกิดรบกันเอง รัสเซียในฐานะพี่ใหญ่ ก็ส่งกำลังทหารประมาณพันห้าร้อยคนเข้ามาเป็นกรรมการห้ามมวย หรือ peace keeper แล้วทรานนิสเตรียก็สงบเรียบร้อย ไม่มีการขว้างขวดปาอิฐใส่กันอีก ส่วนกรรมการห้ามมวยที่เข้ามาตั้ง แต่ตอนนั้น ก็ยังอยู่มาถึงตอนนี้ ไม่ได้กลับออกไป น่าจะมีตัวเล็กตัวน้อย งอกขึ้นมาเดินตามเป็นพรวน ยิ่งทำให้ทิ้งไปยาก และก็ทำให้รัสเซียกลายเป็นผู้เลี้ยงดู ส่งเสีย สาวร่างบางทรานนิสเตรียจนทุกวันนี้ สาวร่างบางก็ไม่ได้รังเกียจบ่นว่าอะไร พวกเขาก็ดูจะอยู่กันอย่างอบอุ่นดี

    คงเพราะดูอบอุ่นดีนี่แหละ เพื่อนบ้านที่เคยเป็นบ้านเดียวกันมาก่อน ก็ชักหมั่นไส้ มอนโดวา ซึ่งแม้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ตอนหลังคิดว่าหญ้าฝั่งอียูเขียวกว่า เพราะถูกอเมริกาหลอกไว้แยะ แถมมีโรมาเนีย ลูกหาบชั้นปลายแถวของอเมริกาในแถบยุโรปตะวันออกกลาง คอยหนุน เลยประกาศเสียงดัง ให้รัสเซียได้ยินว่า ฉันจะไปอยู่กับทางนู้นแล้วนะ รัสเซียฟังแล้วก็แสดงอาการทองไม่รู้ร้อน อาการอย่างนี้ สร้างความเสียหน้าให้มอนโดวาเอาเรื่องอยู่ และมอนโดวาก็รอโอกาสที่จะเอาหน้าคืน

    มอนโดวา เปลี่ยนบทใหม่ หันไปชวนเพื่อนสาวร่างบาง ทรานนิสเตรีย ซึ่งก็ฉีกสัมพันธ์สะบั้นกันไปแล้ว กลับมาทำปากหวาน นี่เธอ เรากลับมารวมประเทศกันใหม่ดีมั้ย เธอไม่ควรไว้ใจรัสเซียมากกว่าฉันนะ ไม่งั้น เธอก็ควรไล่รัสเซียออกไปจากบ้านเธอ เพราะฉันไม่พอใจให้เขามาอยู่ใกล้บ้านฉันแบบนี้ เดียวมาจะผนวก บวกเอาฉันเข้าไปด้วย บทนี้เข้าใจว่า ไอ้นักล่าใบตองแห้งกับนาโต้ ไอ้เสือฟันหลอ คงเป็นคนเขียนโพยให้

    ทรานนิสเตรียถึงจะจิ๋วแต่เจ๋ง ไม่เชื่อขี้หน้ามอนโดวา ตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ พลเมืองทรานนิสเตรีย แม้จะต่างสายต่างเชื้อ แต่มาบัดนี้เข้าใจเล่ห์ลูกยุดี จึงยังเชื่อใจรัสเซียมากกว่า ทรานสนิสเตรีย ตอกกลับมอนโดวา นี่เธอมาจุ้นอะไร รัสเซียเขามาอยู่ในบ้านฉันนะ ไม่ใช่บ้านเธอ ฉันจะไปไล่เขาทำไม ก็ฉันชอบของฉัน ว่าแล้วก็ด่าไปอีก 2 คำ ข่าวที่ผมอ่าน เขาบอกว่า ทรานนิสเตรีย ถึงกับให้นิ้วกลางกับจอมจุ้นมอนโดวา พริกขี้หนูเม็ดจิ๋ว แต่เผ็ดถึงใจ
    อเมริกาและนาโต้ ที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของรัสเซียในแถบนั้นอย่างใกล้ชิด ชนิดกันชนกระแทกกันหลายที ตั้งแต่อเมริกาเข้าไปอุ้มยูเครน ในปี ค.ศ.2004 มาถึงตอนนี้ คงแอบคิดอะไรอยู่ จึงเริ่มขยับ เดินหมากรอบใหม่ เหมือนอยากจะรุกรัสเซีย โดยใช้หมากตัวเดิม ชื่อ ยูเครน ที่มีข่าวว่า อาจจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของบางกลุ่มชน พอจะเดาออกไหมครับ

    ###############
    ตอน 2

    หมากยูเครน ซี่งเงื้อเก้อมานานจนเมื่อย เพราะคิดว่ารัสเซียจะมาออกกำลังใกล้ๆ แต่รัสเซียเพียงแค่ขยับขาแก้เหน็บกิน หลอกให้คุณช๊อกโกแลต วิ่งพล่านพุงกระเพื่อมเหงื่อแตกเล่นเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ขยับจริงสักหน่อย แค่นั้น ก็เล่นเอาคุณช๊อกโกแลต ประธานาธิบดี Poroshenko ที่รวยมาจากการผลิตช๊อกโกแลต ชวดโอกาสแสดงผลงานเอาใจนายใหญ่ไปหลายที แต่คราวนี้ สงสัยนายใหญ่สั่งลุย

    ยูเครนมีการประชุมสภา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สภายูเครน มีมติไม่ให้ความร่วมมือกับรัสเซีย ทางการทหารและอื่นๆทั้งหมด เรื่องไม่ร่วมมือการทหารนี่ ไม่เกินความคาดหมายของรัสเซีย ทะเลาะกันมาขนาดนี้จะไปร่วมมือ กันลงยังไง แต่ไอ้ที่นายใหญ่เน้นมาคือ ให้หยุดความร่วมมือ ตามสัญญาที่ยูเครน ทำกับรัสเซีย เมื่อปี ค.ศ.1995 ที่ตกลงให้กองทัพรัสเซีย สามารถเคลื่อนพลผ่านยูเครน ทางด้านแคว้นโอเดสสา (Odessa) ไปยังทรานนิสตรียด้วย นี่เรียกว่าเป็นการลงมติ แบบเฉพาะเจาะจง จนออกนอกหน้า

    คุณช๊อกโกแลต คราวนี้มามาดใหม่ เหมือนอยากจะรบกับรัสเซียเต็มแก่ ถ้าการห้ามไม่ให้กองกำลังรักษาความสงบของรัสเซีย ผ่านยูเครน เข้าไปถึงทรานนิสเตรีย ยังไม่ทำให้คุณพี่ปูตินเลือดฝาดขึ้นจนหน้าเข้ม คุณช๊อกโกแลตก็มีอีกแผน เตรียมคนขุดหลุม ล่อฝาดรัสเซียแถมให้อีก

    เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายนนี้ คุณช็อกโกแลต เพิ่งลงชื่อแต่งตั้ง นาย Mikheil Saakashvili อดีตประธานาธิบดีจอร์เจีย (Georgia) คู้แค้นของคุณพี่ปูติน ให้มาเป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา นี่เป็นการเจาะจง ทั้งเลือกคน และ เลือกสถานที่เลยนะ คุณ Saak นี่แกเคยจัดการงานนอกสั่ง เอาใจเจ้านาย ลงทุนยกทัพมายึดเมือง South Ossetia ในปี ค.ศ.2008 ยึดถูกที่ แต่ผิดเวลา คุณพี่ปูตินจึงซัดกลับ เล่นเอาคุณ Saak วิ่งกลับบ้านกางเกงเปียก แถมถูกคุณพี่ปูตินขู่เอาไว้ คราวนี้ จึงพร้อมที่จะมารับบทคนขุดหลุม ล่อฝาดรัสเซีย แม้จะอยู่กันคนประเทศ นับเป็นเรื่องที่แสดงความเห่ยที่สุด ของผู้จัดรายการ
    ส่วนรัสเซีย ในการดูแลทรานนิสเตรีย จำเป็นต้องขนกองกำลัง และอาวุธ เข้าไปสับเปลี่ยนหน่วยที่ประจำการ ที่ทรานนิสเตรียเป็นครั้งคราว ถ้าไม่ได้ผ่านเข้าทางเขตพื้นดินของยูเครนทางแคว้นโอเดสสา รัสเซียก็ต้องไปใช้ผ่านเข้าทางอากาศ โดยต้องผ่านเข้าไปที่ Chisinau เมืองหลวงของมอนโดวาแทน เมื่อข่าวเรื่องใบสั่งห้ามผ่าน ยูเครนลือกันทั่ว รัสเซียทดสอบสถานการณ์ ด้วยการไปเจรจากับมอนโดวา แหม ลูกบอลวิ่งเข้าตีน มอนโดวาบอก มาได้เลย แต่แล้วกลับกักตัวทหารรัสเซียไว้ บ้าง ส่งกลับออกไปบ้าง แต่ไม่กล้าเก็บไว้หมด กลัวได้ไม่คุ้มเสีย… แต่สำหรับรัสเซีย ถ้าใช้เส้นทางมอนโดวา ทหารรัสเซียคงไปไม่ถึงทรานนิสเตรีย หรือไปถึงช้าหน่อย ลูกเมียรอกันขี้มูกโป่ง

    คราวนี้ ถึงคิวที่ชาวทรานนิสเตรีย ขยับบ้าง พวกเขาออกมาเรียกร้องต่อคุณพี่ปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอ ย่างไม่ต้องรอใบสั่งว่า อย่าทิ้งเรายามยากนะ อื้อฮือ แบบนี้ใครจะทิ้งน้องลง คุณพี่ปูตินเลยให้ นาย Dmitry Rogozin รองนายกรัฐมนตรีมาดนุ่ม ออกมายืนยัน ปลอบใจกับชาวทรานนิสเตรียว่า รัสเซียจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เพื่อรักษาความมั่นคงของภูมิภาค บทนี้สมเป็นพระเอกจริงๆ

    เออ.. มันก็น่าสงสัย ยูเครน กับรัสเซีย เล่นเอากันชน กระแทกใส่กันมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.2013 ให้ชาวบ้านตกใจ นึกว่าเขาจะปะทะกันจริงๆ เสร็จแล้ว ก็เหมือนมวยล้ม เลิกชกกันง่ายๆ แล้วนี่อยู่ๆ คุณช๊อกโกแลตก็ลุกขึ้นเต้นก๋า ท้าทายเขา เหมือนไปได้ยาโด๊ปช้ันดีมา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 1 เมื่อราวช่วงต้นสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์ที่ติดตามการเมืองระดับโลก เริ่มมีอาการตื่นเต้นกับชื่อ ทรานนิสเตรีย (Transnistria) ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็ตื่นเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นชื่อของอะไร ที่แน่ๆ ยังงงว่าทำไมเขาตื่นเต้นกัน ทรานนิสเตรีย หรือชื่อเต็มว่า Transnistria Moldov Republic (TMR) เป็นรัฐเล็กๆน่าเอ็นดู รูปร่างยาวบาง อยู่ระหว่างกลาง มอนโดวา ( Moldova) ด้านหนึ่ง กับยูเครน (Ukraine) อีกด้านหนึ่ง เหมือนเป็นแผ่นแฮม ถูกขนมปัง 2 แผ่นประกบไว้ มันก็น่าเสียวว่าจะถูกงับ ทั้งยูเครน มอนโดวา และทรานนิสเตรีย ต่างเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตทั้งสิ้น ก่อนฝ่ายตะวันตก ที่นำโดยอเมริกาและอังกฤษ วางแผนทุบเสียจนสหภาพโซเวียตแตกกระจายในปีช่วง ค.ศ.1989-1991 เพื่อตัดตอนสหภาพโซเวียต ให้เหลือเป็นเพียงประเทศรัสเซีย โดยหวังว่า วันหนึ่ง ประเทศรัสเซียก็จะต้องไม่มีเหลือด้วย แม้จะแทบไม่มีใครรู้จัก หรือเคยได้ยินชื่อ แต่อย่าหมิ่นเขาเชียว ทรานนิสเตรีย เขาหาญกล้านัก ปี ค.ศ.1990 มอนโดวาซึ่งตอนนั้นยังมีทรานนิสเตรียรวมอยู่ด้วย เกิดเคลิ้ม คิดอยากจะไปรวมกับรูมาเนีย ซึ่งฝั่งทรานนิสเตรียรังเกียจ เนื่องจาก รูมาเนียคิดจะเปลี่ยนรากภาษา และวัฒนธรรมของมอนโดวาและทรานนิสเตรีย ให้เป็นแบบของตัว ทรานนิสเตรียหวงแหนรากเหง้าของตัวเอง ไม่เอาด้วย จึงประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับใคร แถมแสดงท่าทีว่า ที่แท้ใจยังผูกพันธ์กับพี่ใหญ่รัสเซียมากกว่า ทรานนิสเตรีย มีพลเมืองแค่ประมาณไม่เกิน 6 แสนคน แบ่งเป็น 3 เชื้อสาย ในอัตราใกล้เคียงกัน คือ เป็นชาวมอนโดเวียน ชาวยูเครน และเป็นรัสเซียแท้ ที่เหลือเป็นชาวยิว และอื่นๆ ในปี ค.ศ.1992 คงจะเป็นจากส่วนผสมของพลเมืองที่ มีเชื้อสาย และความผูกพันต่างกัน ชาวทรานนิสเตรีย เจอลูกยุจากภายนอก ก็เกิดรบกันเอง รัสเซียในฐานะพี่ใหญ่ ก็ส่งกำลังทหารประมาณพันห้าร้อยคนเข้ามาเป็นกรรมการห้ามมวย หรือ peace keeper แล้วทรานนิสเตรียก็สงบเรียบร้อย ไม่มีการขว้างขวดปาอิฐใส่กันอีก ส่วนกรรมการห้ามมวยที่เข้ามาตั้ง แต่ตอนนั้น ก็ยังอยู่มาถึงตอนนี้ ไม่ได้กลับออกไป น่าจะมีตัวเล็กตัวน้อย งอกขึ้นมาเดินตามเป็นพรวน ยิ่งทำให้ทิ้งไปยาก และก็ทำให้รัสเซียกลายเป็นผู้เลี้ยงดู ส่งเสีย สาวร่างบางทรานนิสเตรียจนทุกวันนี้ สาวร่างบางก็ไม่ได้รังเกียจบ่นว่าอะไร พวกเขาก็ดูจะอยู่กันอย่างอบอุ่นดี คงเพราะดูอบอุ่นดีนี่แหละ เพื่อนบ้านที่เคยเป็นบ้านเดียวกันมาก่อน ก็ชักหมั่นไส้ มอนโดวา ซึ่งแม้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ตอนหลังคิดว่าหญ้าฝั่งอียูเขียวกว่า เพราะถูกอเมริกาหลอกไว้แยะ แถมมีโรมาเนีย ลูกหาบชั้นปลายแถวของอเมริกาในแถบยุโรปตะวันออกกลาง คอยหนุน เลยประกาศเสียงดัง ให้รัสเซียได้ยินว่า ฉันจะไปอยู่กับทางนู้นแล้วนะ รัสเซียฟังแล้วก็แสดงอาการทองไม่รู้ร้อน อาการอย่างนี้ สร้างความเสียหน้าให้มอนโดวาเอาเรื่องอยู่ และมอนโดวาก็รอโอกาสที่จะเอาหน้าคืน มอนโดวา เปลี่ยนบทใหม่ หันไปชวนเพื่อนสาวร่างบาง ทรานนิสเตรีย ซึ่งก็ฉีกสัมพันธ์สะบั้นกันไปแล้ว กลับมาทำปากหวาน นี่เธอ เรากลับมารวมประเทศกันใหม่ดีมั้ย เธอไม่ควรไว้ใจรัสเซียมากกว่าฉันนะ ไม่งั้น เธอก็ควรไล่รัสเซียออกไปจากบ้านเธอ เพราะฉันไม่พอใจให้เขามาอยู่ใกล้บ้านฉันแบบนี้ เดียวมาจะผนวก บวกเอาฉันเข้าไปด้วย บทนี้เข้าใจว่า ไอ้นักล่าใบตองแห้งกับนาโต้ ไอ้เสือฟันหลอ คงเป็นคนเขียนโพยให้ ทรานนิสเตรียถึงจะจิ๋วแต่เจ๋ง ไม่เชื่อขี้หน้ามอนโดวา ตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ พลเมืองทรานนิสเตรีย แม้จะต่างสายต่างเชื้อ แต่มาบัดนี้เข้าใจเล่ห์ลูกยุดี จึงยังเชื่อใจรัสเซียมากกว่า ทรานสนิสเตรีย ตอกกลับมอนโดวา นี่เธอมาจุ้นอะไร รัสเซียเขามาอยู่ในบ้านฉันนะ ไม่ใช่บ้านเธอ ฉันจะไปไล่เขาทำไม ก็ฉันชอบของฉัน ว่าแล้วก็ด่าไปอีก 2 คำ ข่าวที่ผมอ่าน เขาบอกว่า ทรานนิสเตรีย ถึงกับให้นิ้วกลางกับจอมจุ้นมอนโดวา พริกขี้หนูเม็ดจิ๋ว แต่เผ็ดถึงใจ อเมริกาและนาโต้ ที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของรัสเซียในแถบนั้นอย่างใกล้ชิด ชนิดกันชนกระแทกกันหลายที ตั้งแต่อเมริกาเข้าไปอุ้มยูเครน ในปี ค.ศ.2004 มาถึงตอนนี้ คงแอบคิดอะไรอยู่ จึงเริ่มขยับ เดินหมากรอบใหม่ เหมือนอยากจะรุกรัสเซีย โดยใช้หมากตัวเดิม ชื่อ ยูเครน ที่มีข่าวว่า อาจจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของบางกลุ่มชน พอจะเดาออกไหมครับ ############### ตอน 2 หมากยูเครน ซี่งเงื้อเก้อมานานจนเมื่อย เพราะคิดว่ารัสเซียจะมาออกกำลังใกล้ๆ แต่รัสเซียเพียงแค่ขยับขาแก้เหน็บกิน หลอกให้คุณช๊อกโกแลต วิ่งพล่านพุงกระเพื่อมเหงื่อแตกเล่นเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ขยับจริงสักหน่อย แค่นั้น ก็เล่นเอาคุณช๊อกโกแลต ประธานาธิบดี Poroshenko ที่รวยมาจากการผลิตช๊อกโกแลต ชวดโอกาสแสดงผลงานเอาใจนายใหญ่ไปหลายที แต่คราวนี้ สงสัยนายใหญ่สั่งลุย ยูเครนมีการประชุมสภา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สภายูเครน มีมติไม่ให้ความร่วมมือกับรัสเซีย ทางการทหารและอื่นๆทั้งหมด เรื่องไม่ร่วมมือการทหารนี่ ไม่เกินความคาดหมายของรัสเซีย ทะเลาะกันมาขนาดนี้จะไปร่วมมือ กันลงยังไง แต่ไอ้ที่นายใหญ่เน้นมาคือ ให้หยุดความร่วมมือ ตามสัญญาที่ยูเครน ทำกับรัสเซีย เมื่อปี ค.ศ.1995 ที่ตกลงให้กองทัพรัสเซีย สามารถเคลื่อนพลผ่านยูเครน ทางด้านแคว้นโอเดสสา (Odessa) ไปยังทรานนิสตรียด้วย นี่เรียกว่าเป็นการลงมติ แบบเฉพาะเจาะจง จนออกนอกหน้า คุณช๊อกโกแลต คราวนี้มามาดใหม่ เหมือนอยากจะรบกับรัสเซียเต็มแก่ ถ้าการห้ามไม่ให้กองกำลังรักษาความสงบของรัสเซีย ผ่านยูเครน เข้าไปถึงทรานนิสเตรีย ยังไม่ทำให้คุณพี่ปูตินเลือดฝาดขึ้นจนหน้าเข้ม คุณช๊อกโกแลตก็มีอีกแผน เตรียมคนขุดหลุม ล่อฝาดรัสเซียแถมให้อีก เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายนนี้ คุณช็อกโกแลต เพิ่งลงชื่อแต่งตั้ง นาย Mikheil Saakashvili อดีตประธานาธิบดีจอร์เจีย (Georgia) คู้แค้นของคุณพี่ปูติน ให้มาเป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา นี่เป็นการเจาะจง ทั้งเลือกคน และ เลือกสถานที่เลยนะ คุณ Saak นี่แกเคยจัดการงานนอกสั่ง เอาใจเจ้านาย ลงทุนยกทัพมายึดเมือง South Ossetia ในปี ค.ศ.2008 ยึดถูกที่ แต่ผิดเวลา คุณพี่ปูตินจึงซัดกลับ เล่นเอาคุณ Saak วิ่งกลับบ้านกางเกงเปียก แถมถูกคุณพี่ปูตินขู่เอาไว้ คราวนี้ จึงพร้อมที่จะมารับบทคนขุดหลุม ล่อฝาดรัสเซีย แม้จะอยู่กันคนประเทศ นับเป็นเรื่องที่แสดงความเห่ยที่สุด ของผู้จัดรายการ ส่วนรัสเซีย ในการดูแลทรานนิสเตรีย จำเป็นต้องขนกองกำลัง และอาวุธ เข้าไปสับเปลี่ยนหน่วยที่ประจำการ ที่ทรานนิสเตรียเป็นครั้งคราว ถ้าไม่ได้ผ่านเข้าทางเขตพื้นดินของยูเครนทางแคว้นโอเดสสา รัสเซียก็ต้องไปใช้ผ่านเข้าทางอากาศ โดยต้องผ่านเข้าไปที่ Chisinau เมืองหลวงของมอนโดวาแทน เมื่อข่าวเรื่องใบสั่งห้ามผ่าน ยูเครนลือกันทั่ว รัสเซียทดสอบสถานการณ์ ด้วยการไปเจรจากับมอนโดวา แหม ลูกบอลวิ่งเข้าตีน มอนโดวาบอก มาได้เลย แต่แล้วกลับกักตัวทหารรัสเซียไว้ บ้าง ส่งกลับออกไปบ้าง แต่ไม่กล้าเก็บไว้หมด กลัวได้ไม่คุ้มเสีย… แต่สำหรับรัสเซีย ถ้าใช้เส้นทางมอนโดวา ทหารรัสเซียคงไปไม่ถึงทรานนิสเตรีย หรือไปถึงช้าหน่อย ลูกเมียรอกันขี้มูกโป่ง คราวนี้ ถึงคิวที่ชาวทรานนิสเตรีย ขยับบ้าง พวกเขาออกมาเรียกร้องต่อคุณพี่ปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอ ย่างไม่ต้องรอใบสั่งว่า อย่าทิ้งเรายามยากนะ อื้อฮือ แบบนี้ใครจะทิ้งน้องลง คุณพี่ปูตินเลยให้ นาย Dmitry Rogozin รองนายกรัฐมนตรีมาดนุ่ม ออกมายืนยัน ปลอบใจกับชาวทรานนิสเตรียว่า รัสเซียจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เพื่อรักษาความมั่นคงของภูมิภาค บทนี้สมเป็นพระเอกจริงๆ เออ.. มันก็น่าสงสัย ยูเครน กับรัสเซีย เล่นเอากันชน กระแทกใส่กันมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.2013 ให้ชาวบ้านตกใจ นึกว่าเขาจะปะทะกันจริงๆ เสร็จแล้ว ก็เหมือนมวยล้ม เลิกชกกันง่ายๆ แล้วนี่อยู่ๆ คุณช๊อกโกแลตก็ลุกขึ้นเต้นก๋า ท้าทายเขา เหมือนไปได้ยาโด๊ปช้ันดีมา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 937 Views 0 Reviews
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 5

    A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน

    เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง

    เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่
    ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน

    ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ”

    ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก

    เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย !

    ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง
    อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้

    แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน

    สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้

    สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
    แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย

    #####
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 6 (จบ)
    (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)

    ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy

    แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy

    อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ

    ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน

    อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น

    อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร

    และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ

    นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม

    สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ

    อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร

    Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
    จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว

    ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ)

    ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ

    อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว

    ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร

    Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้
    และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก

    แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น

    อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้

    อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ
    ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ

    แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่
    หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน

    ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 5 A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่ ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ” ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย ! ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้ แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้ สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ##### นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 6 (จบ) (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน) ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ) ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้ และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้ อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่ หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 1251 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 5

    คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา

    ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย

    แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ

    Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค
    Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ

    เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน

    เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 6

    เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน

    เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย

    นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust

    ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง

    เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส

    ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย

    ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ

    มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ
    Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin”

    Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust

    ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว

    สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต

    อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 5 คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 6 เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin” Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 899 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 3

    นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร

    แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร

    ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้

    ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้
    ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

    ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน !

    หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง

    แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ :

    “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย”
    หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต

    สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก”

    ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank

    แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต

    ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 4

    นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ
    แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้

    ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin

    รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน

    เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ

    – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน

    Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน
    – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ

    – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ

    เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก

    Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้”

    Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ

    Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ

    เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 3 นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้ ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน ! หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ : “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย” หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก” ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 4 นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้ ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้” Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 782 Views 0 Reviews
  • ดิ้นพล่าน ตอนที่ 2

    “ดิ้นพล่าน”
    ตอนที่ 2
    ตุรกี นักไต่ลวดชอบเล่นเกมเสียว ตัดสินใจไม่ขาดเสียที เหยียบเรือสองแคมมานานแล้ว มีฐานทัพของนักล่าใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ในบ้านตัว แต่ดันจะเลือกระบบสกัดจรวดวิถีไกลของจีน เปิดประมูลหาคนมารับจ้างทำมาปีกว่า ประกาศผลรอบแรก ว่าจีนเข้าข่าย แต่ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ฝรั่งเศสเจรจาต่อ แล้วว่าจะตัดสินใจอีกที ไอ้อีกทีนี่ เลื่อนมา 5 ทีแล้ว ล่าสุด บอกจะประกาศว่าเลือกใช้ระบบของใครแน่ใน วันส่งท้ายปี วันที่ 31 ธันวาคม ช่างเล่นจริงนะนักไต่ลวด
    แค่นี้ ลูกพี่เจ้าของฐานทัพก็หมั่นเขี้ยวเต็มแก่อยู่แล้ว อยู่ดีๆเมื่อต้นเดือนธันวาคม คุณพี่ปูติน ก็แวะไปเยี่ยมเยียนจับมือคุยกันหนุงหนิง ตามประสาคนเคยมีจักรวรรดิใหญ่เหมือนกัน พร้อมเจรจาเรื่องท่อส่งแก๊สสายใหม่ ตุรกีบอกได้เลยครับพี่ปู แบบนี้นักล่าจะไม่แสบหลังได้ยังไง
    หลังจาก นั้น ประมาณ 2 อาทิตย์ (14 ธันวาคม) CNN ก็ออกข่าวซ้ำอยู่ทั้งวัน ว่านักข่าวตุรกีที่ไม่เชียร์รัฐบาล ชวนกันออกมาประท้วงเต็มถนนพร้อมกองเชียร์ ช่วยกันด่าว่ารัฐบาลโกงกิน การยั่วยวนได้ผล รัฐบาลสั่งจับหมด บอกเป็นแผนล้มรัฐบาลของคู่ปรับ เก่า Fetullah Gulen เด็กเลี้ยงของ CIA สื่อย้อม CNN ตีข่าวได้แค่วันกว่า ประธานาธิบดี Erdogan ทำหนังสือขอให้อเมริกา ส่งตัวนาย Gulen ที่ไปซุกอกอเมริกากลับมาให้ตุรกี ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างรัฐบาล ก็ต้องดูกันต่อว่า ไอ้นักล่าจะแก้อาการแสบหลังต่อไปอย่างไร (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนาย Fetullah Gulen อยู่ในนืทาน เรื่อง ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว)
    นี่ถ้า ตุรกีเกิดเบื่อไต่ลวดเล่นเสียว จับยามแล้วเลือกข้างชัดเจน ใช้ระบบของจีน บอกได้เลยว่า ไอ้นักล่า คงยิ่งกว่าแสบหลัง
    คืวบา เป็นคู่แค้นของไอ้นักล่ามาตั้งแต่สมัย Kennedy ขวัญใจสาวๆเป็นประธานาธิบดี อเมริกาแอบรู้ว่า คิวบาเปิดบ้านให้สหภาพโซเวียต มาตั้งฐานจรวดจ่อหลังบ้านอเมริกา ห่าง Florida ไม่ถึงอึดใจ จึงตัดสัมพันธ์ คว่ำขัน คว่ำบาตรกันมาถึงเดี๋ยวนี้ แล้วไง พอเมื่อกลางปี (กรกฎาคม 2014) คุณพี่ปูติน หิ้วกระติกน้ำร้อนเดินสายไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่คิวบา กอดคอกันแล้วกอดกันอีก
    เขาว่า แถววอชิงตันถึงกับมีคนสำลัก นึกไม่ถึง กระติกน้ำร้อนจะมาวางใกล้ตัวถึงขนาดน้ัน
    เรื่องนี้ นักล่ายอมไม่ได้ จะปล่อยให้มีจรวดของรัสเซียมาจ่ออยู่หลังบ้านอีกหนไม่ไหวแน่ หมดท่านักล่าหมายเลขหนึ่งกันพ อดี รายการนี้มันแสบหลังมาก นักล่าถึงขนาดยอม อมเลือด ส่งมือประสาน ที่นายโอบามาบอกเองว่า ระดับวาติกันไปกล่อมคิวบา เรามาเริ่มศักราชใหม่แห่งความเข้าใจอันดี และปรารถนาดีต่อกันดีกว่านะ เป็นการโชว์ให้รัสเซียเห็นว่า กระติกน้ำร้อนที่วางไว้ไม่ได้ผลนะคราวนี้
    คุณพี่ปูตินดูข่าวนายโอบามาแถลงเรื่องอเมริกากำลัง normalizing สัมพันธ์กับคิวบา แล้วหัวร่อ หึ หึ ผ่านไปเกือบ 50 ปี จะถล่มอเมริกา ไม่ต้องไปวางฐานจ่ออยู่ที่คิวบา ก็ได้นะคร้าบ แล้วกระติกที่เอาไปใส่น้ำหวานนะคร้าบ ไม่ใช่น้ำร้อน ฮา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 ธค. 2557
    ดิ้นพล่าน ตอนที่ 2 “ดิ้นพล่าน” ตอนที่ 2 ตุรกี นักไต่ลวดชอบเล่นเกมเสียว ตัดสินใจไม่ขาดเสียที เหยียบเรือสองแคมมานานแล้ว มีฐานทัพของนักล่าใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ในบ้านตัว แต่ดันจะเลือกระบบสกัดจรวดวิถีไกลของจีน เปิดประมูลหาคนมารับจ้างทำมาปีกว่า ประกาศผลรอบแรก ว่าจีนเข้าข่าย แต่ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ฝรั่งเศสเจรจาต่อ แล้วว่าจะตัดสินใจอีกที ไอ้อีกทีนี่ เลื่อนมา 5 ทีแล้ว ล่าสุด บอกจะประกาศว่าเลือกใช้ระบบของใครแน่ใน วันส่งท้ายปี วันที่ 31 ธันวาคม ช่างเล่นจริงนะนักไต่ลวด แค่นี้ ลูกพี่เจ้าของฐานทัพก็หมั่นเขี้ยวเต็มแก่อยู่แล้ว อยู่ดีๆเมื่อต้นเดือนธันวาคม คุณพี่ปูติน ก็แวะไปเยี่ยมเยียนจับมือคุยกันหนุงหนิง ตามประสาคนเคยมีจักรวรรดิใหญ่เหมือนกัน พร้อมเจรจาเรื่องท่อส่งแก๊สสายใหม่ ตุรกีบอกได้เลยครับพี่ปู แบบนี้นักล่าจะไม่แสบหลังได้ยังไง หลังจาก นั้น ประมาณ 2 อาทิตย์ (14 ธันวาคม) CNN ก็ออกข่าวซ้ำอยู่ทั้งวัน ว่านักข่าวตุรกีที่ไม่เชียร์รัฐบาล ชวนกันออกมาประท้วงเต็มถนนพร้อมกองเชียร์ ช่วยกันด่าว่ารัฐบาลโกงกิน การยั่วยวนได้ผล รัฐบาลสั่งจับหมด บอกเป็นแผนล้มรัฐบาลของคู่ปรับ เก่า Fetullah Gulen เด็กเลี้ยงของ CIA สื่อย้อม CNN ตีข่าวได้แค่วันกว่า ประธานาธิบดี Erdogan ทำหนังสือขอให้อเมริกา ส่งตัวนาย Gulen ที่ไปซุกอกอเมริกากลับมาให้ตุรกี ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างรัฐบาล ก็ต้องดูกันต่อว่า ไอ้นักล่าจะแก้อาการแสบหลังต่อไปอย่างไร (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนาย Fetullah Gulen อยู่ในนืทาน เรื่อง ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว) นี่ถ้า ตุรกีเกิดเบื่อไต่ลวดเล่นเสียว จับยามแล้วเลือกข้างชัดเจน ใช้ระบบของจีน บอกได้เลยว่า ไอ้นักล่า คงยิ่งกว่าแสบหลัง คืวบา เป็นคู่แค้นของไอ้นักล่ามาตั้งแต่สมัย Kennedy ขวัญใจสาวๆเป็นประธานาธิบดี อเมริกาแอบรู้ว่า คิวบาเปิดบ้านให้สหภาพโซเวียต มาตั้งฐานจรวดจ่อหลังบ้านอเมริกา ห่าง Florida ไม่ถึงอึดใจ จึงตัดสัมพันธ์ คว่ำขัน คว่ำบาตรกันมาถึงเดี๋ยวนี้ แล้วไง พอเมื่อกลางปี (กรกฎาคม 2014) คุณพี่ปูติน หิ้วกระติกน้ำร้อนเดินสายไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่คิวบา กอดคอกันแล้วกอดกันอีก เขาว่า แถววอชิงตันถึงกับมีคนสำลัก นึกไม่ถึง กระติกน้ำร้อนจะมาวางใกล้ตัวถึงขนาดน้ัน เรื่องนี้ นักล่ายอมไม่ได้ จะปล่อยให้มีจรวดของรัสเซียมาจ่ออยู่หลังบ้านอีกหนไม่ไหวแน่ หมดท่านักล่าหมายเลขหนึ่งกันพ อดี รายการนี้มันแสบหลังมาก นักล่าถึงขนาดยอม อมเลือด ส่งมือประสาน ที่นายโอบามาบอกเองว่า ระดับวาติกันไปกล่อมคิวบา เรามาเริ่มศักราชใหม่แห่งความเข้าใจอันดี และปรารถนาดีต่อกันดีกว่านะ เป็นการโชว์ให้รัสเซียเห็นว่า กระติกน้ำร้อนที่วางไว้ไม่ได้ผลนะคราวนี้ คุณพี่ปูตินดูข่าวนายโอบามาแถลงเรื่องอเมริกากำลัง normalizing สัมพันธ์กับคิวบา แล้วหัวร่อ หึ หึ ผ่านไปเกือบ 50 ปี จะถล่มอเมริกา ไม่ต้องไปวางฐานจ่ออยู่ที่คิวบา ก็ได้นะคร้าบ แล้วกระติกที่เอาไปใส่น้ำหวานนะคร้าบ ไม่ใช่น้ำร้อน ฮา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 625 Views 0 Reviews
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 3
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 3

    บรรดาลูกพี่ของพรรค Republican ต่างหงุดหงิด กับหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration ฉายมา 2 ปีแล้ว เอาออกจากโรงไม่ได้เสียที แต่โอกาสกำลังมารำไร ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาสูงของอเมริกา มีการเลือกตั้งสมาชิก ที่เรียกว่า mid term election และ พรรค Republican ได้จำนวนที่นั่งเป็นเสียงข้างมากครั้งแรก ตั้งแต่เสียตำแหน่งไปในปี 2006 คราวนี้น่าจะตีแตก เปลี่ยนเอาหนังเรื่องใหม่มาฉายตามใจพวกเหยี่ยว

    สภาสูงที่มี Republican ฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมาก จะเปิดประชุมสมัยที่ 114 ประมาณต้นเดือน มกราคม 2015 คาดว่าจะมีนาย John McCain วุฒิสมาชิกตัวแสบ ผู้ทรงอืทธิพลของ Republican มาเป็นประธานกรรมาธิการ Armed Services Commitee และ วุฒิสมาชิก Thad Cochran เป็นหัวหน้า Senate Appropriation Committee-Defense Subcommittee ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมยึดอำนาจ งาบการคุมงบกองทัพไปจากรัฐบาล…

    ดูเหมือนรัฐบาลนายโอบามา กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ แม้แต่เรื่องภายในบ้านหลายเรื่องยังค้างคาอยู่ นี่ยังมาเสียทีฝ่ายค้านเพิ่ม เป็นรัฐบาลแต่คุมเสียงสภาสูงไม่ได้ สงสัยจะเอาตัวไม่รอด อย่าว่าแต่จะคิดทำสงครามชิงแชมป์โลกเล้ย!

    อย่าเพิ่งสรุปใส่นักล่าใบตองแห้ง ผู้กำลังท้าชิงแชมป์โลกเช่นนั้น…

    ถ้าย้อนกลับไป ดูจังหวะการออกมาร้องเพลงประสานเสียงของฝ่ายกลาโหม เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียง กับที่รัฐบาลโอบามาประกาศส่งกำลังทางอากาศไปกวาดหน่อ ISIS ที่ กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวอืรัค ซีเรีย ก็น่าคิดว่า นายโอบามา กำลังวางแผน หาทางตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากมึนหัว หลงทิศอยู่หลายเดือนเมื่อได้รับสัญญาณส่ง ของคุณพี่ปูติน กรณียึด Crimea เมื่อเดือนมีนาคม

    นายโอบามาจะกลับลำ เรื่องตัดเหี้ยน มาเตรียมความพร้อมของกองทัพ เพื่อเดินหมากกลับเข้าไปอยู่ใน เส้นเขตเข้าชิงแชมป์ ตามแผนที่วางมาร้อยปี มันต้องยอมเดินหมาก แบบถอยหลังมาสัก สอง สาม จังหวะก่อน ค่อยเดินรุกใหม่ แต่จะเดินเองเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันก็เหมือนฟ้องว่าเสียเชิงคุณพี่ปูตินเขาไปเรียบร้อยแล้ว นักล่าหน้าไม่เหลือให้เชื่อถือ ลูกหาบรวนเรแตกแถวแน่ คณะประสานเสียงกลาโหม จึงต้องมารับบทร้องนำ การเดินหมาก ถอยหลังจังหวะที่หนึ่งก่อน หลังจากส่งคณะ อีโบลา และ ไอซิส ไปเล่นละครสลับฉาก ระหว่างซื้อเวลา เพื่อจัดการปรุงยาแก้การมึนหัว หลงทิศให้ได้ก่อน

    หมากจังหวะที่สองคือ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม จากนาย Chuck Hagel ซึ่งนายโอบามาเลือกมา ให้รับภาระกิจ ถอนกองทัพออกมาจากอาฟกานิสถาน แต่เมื่อปรับแผนเตรียมจะเล่นจังหวะรุก นาย Hagel ย่อมไม่เหมาะ รายชื่อที่เป็นตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง คือนาง Flournoy ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ นายโอบามาไม่เลือก และนาง Flournoy ก็รีบออกมาปฏิเสธ ไม่ขออยู่ในรายชื่อตัวเก็งตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีชื่อออกมา
    ล่าสุดมีข่าวว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่านายโอบามาจะเลือกนาย Ashton Carter ผู้ชำนาญด้านระบบ IT ที่เคยรับผิดชอบนโยบายด้านความมั่นคง เกี่ยวกับรัฐที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และนโยบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ และการจัดซื้ออาวุธของกลาโหม มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการเลือกแม่ทัพ ของนายโอบามา ที่ทำให้เห็นชัดว่าอเมริกา กำลังรีบตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากออกอ่าวไปจริงๆ

    ผู้รับหน้าที่เดินหมากจังหวะที่สาม กลายเป็นฝ่ายค้าน เข้าไปกวาดเสียงข้างมากในสภาสูง เตรียมทำหน้าที่ ปลดหนังเรื่องตัดเหี้ยน Sequestration ออกจากโรง แต่ถ้าเล่นหมากนี้โดดๆ มันเสียทั้งหน้า เสียทั้งงบ จะทำยังไงให้มันมีแต่ได้ กับได้

    วันที่ 4 ธันวาคม 2014 จึงมีฉากการลงมติประณามรัสเซียอย่างรุนแรง ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ปูทางสำหรับการเดินหมาก จังหวะใหม่ของอเมริกา จะเป็นจังหวะรุกเข้าไปใหม่ หรือจะเป็นจังหวะรับแบบหมดท่า หลงทิศซ้ำซาก เช่นเมื่อกลางปี ก็แล้วแต่ว่า นายโอบามา จะจับมือเล่นกับสภาสูงแบบไหน การเมืองอเมริกานั้น เวลาปรกติ ก็คัดค้านกันเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาล รัฐบาลและฝ่ายค้านก็พร้อมจับมือกันเสมอ

    หมากนี้ ต้องขอปรบมือให้กับผู้กำกับฝ่ายตัดต่อหนังของวอชิงตัน

    นอกจากนี้ ช่วงที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้า ไปแทรกแซง Ukraine ยาวไปถึงการผนวก Crimea เข้ามานั้น สายเหยี่ยวกระหายเลือดของ Republican ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจมาก ที่นายโอบามาแค่คว่ำบาตรรัสเซีย แทนที่จะเปิดเกมรุก วุฒิสมาชิกกลุ่มนาย John McCain เจ้าเก่า จึงยื่นร่างกฏหมาย Russian Aggression Prevention Act (RAPA) เข้าสภาสูงเมื่อประมาณเดื่อนพฤษภาคม 2014 เรียกร้องให้ มีการย้ายกองกำลัง ทั้งของอเมริกาเอง และของ NATO ไปจ่อประตูหลังบ้านรัสเซีย และให้อเมริกาจัดส่งอาวุธให้ Poland เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอาไว้รับมือกับรัสเซียเป็น ด่านแรก และที่น่าสนใจ ร่างนี้ ให้ ถือว่า Ukraine, Maldova และ Georgia เป็นพันธมิตร นอก NATO ร่างนี้ ยังอยู้ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาสูง

    เมื่อเอามาวางต่อกับหมากสาม ที่สภาล่างเพิ่งลงมติประณามรัสเซียไป 2 ฉากนี้ เหมือนเป็นละครเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการใช้ฝ่ายค้านมาเข้าฉาก ออกแรงตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง ที่แนบเนียน และน่าสนใจทีเดียว

    คุณพี่ ปูตินยาตราทัพเข้าไปยึด Crimea ตั้งแต่เดือนมีนาคม อเมริกาได้แต่เล่นบทสั่ง ให้พรรคพวกช่วยกันขัดบาตร เอามาคว่ำใส่รัสเสีย พร้อมกับส่งเสียงขู่สไตล์นักล่าใบตองแห้ง เป็นเวลารวมทั้งสิ้นเกือบ 9 เดือน นี่ถ้าพร้อมจริง ไม่ออกอ่าวไปตั้งแต่ปี 2011 ที่ จะวิ่งมาดักตีหัวแถวแปซิฟิก คงไม่ต้องรอลมเบ่งนาน 9 เดือน วางหมากถอยหลังก่อนเดินหน้าขนาดนี้กระมัง

    เอาละ หลังสภาสูงเปิดในต้นเดือนมกราคม 2015 อเมริกาน่าจะตีกรรเชียงเข้าฝั่งเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชิงโลกของตน อเมริกาจะเลือกเดินหมากต่อไปอย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 3 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 3 บรรดาลูกพี่ของพรรค Republican ต่างหงุดหงิด กับหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration ฉายมา 2 ปีแล้ว เอาออกจากโรงไม่ได้เสียที แต่โอกาสกำลังมารำไร ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาสูงของอเมริกา มีการเลือกตั้งสมาชิก ที่เรียกว่า mid term election และ พรรค Republican ได้จำนวนที่นั่งเป็นเสียงข้างมากครั้งแรก ตั้งแต่เสียตำแหน่งไปในปี 2006 คราวนี้น่าจะตีแตก เปลี่ยนเอาหนังเรื่องใหม่มาฉายตามใจพวกเหยี่ยว สภาสูงที่มี Republican ฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมาก จะเปิดประชุมสมัยที่ 114 ประมาณต้นเดือน มกราคม 2015 คาดว่าจะมีนาย John McCain วุฒิสมาชิกตัวแสบ ผู้ทรงอืทธิพลของ Republican มาเป็นประธานกรรมาธิการ Armed Services Commitee และ วุฒิสมาชิก Thad Cochran เป็นหัวหน้า Senate Appropriation Committee-Defense Subcommittee ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมยึดอำนาจ งาบการคุมงบกองทัพไปจากรัฐบาล… ดูเหมือนรัฐบาลนายโอบามา กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ แม้แต่เรื่องภายในบ้านหลายเรื่องยังค้างคาอยู่ นี่ยังมาเสียทีฝ่ายค้านเพิ่ม เป็นรัฐบาลแต่คุมเสียงสภาสูงไม่ได้ สงสัยจะเอาตัวไม่รอด อย่าว่าแต่จะคิดทำสงครามชิงแชมป์โลกเล้ย! อย่าเพิ่งสรุปใส่นักล่าใบตองแห้ง ผู้กำลังท้าชิงแชมป์โลกเช่นนั้น… ถ้าย้อนกลับไป ดูจังหวะการออกมาร้องเพลงประสานเสียงของฝ่ายกลาโหม เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียง กับที่รัฐบาลโอบามาประกาศส่งกำลังทางอากาศไปกวาดหน่อ ISIS ที่ กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวอืรัค ซีเรีย ก็น่าคิดว่า นายโอบามา กำลังวางแผน หาทางตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากมึนหัว หลงทิศอยู่หลายเดือนเมื่อได้รับสัญญาณส่ง ของคุณพี่ปูติน กรณียึด Crimea เมื่อเดือนมีนาคม นายโอบามาจะกลับลำ เรื่องตัดเหี้ยน มาเตรียมความพร้อมของกองทัพ เพื่อเดินหมากกลับเข้าไปอยู่ใน เส้นเขตเข้าชิงแชมป์ ตามแผนที่วางมาร้อยปี มันต้องยอมเดินหมาก แบบถอยหลังมาสัก สอง สาม จังหวะก่อน ค่อยเดินรุกใหม่ แต่จะเดินเองเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันก็เหมือนฟ้องว่าเสียเชิงคุณพี่ปูตินเขาไปเรียบร้อยแล้ว นักล่าหน้าไม่เหลือให้เชื่อถือ ลูกหาบรวนเรแตกแถวแน่ คณะประสานเสียงกลาโหม จึงต้องมารับบทร้องนำ การเดินหมาก ถอยหลังจังหวะที่หนึ่งก่อน หลังจากส่งคณะ อีโบลา และ ไอซิส ไปเล่นละครสลับฉาก ระหว่างซื้อเวลา เพื่อจัดการปรุงยาแก้การมึนหัว หลงทิศให้ได้ก่อน หมากจังหวะที่สองคือ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม จากนาย Chuck Hagel ซึ่งนายโอบามาเลือกมา ให้รับภาระกิจ ถอนกองทัพออกมาจากอาฟกานิสถาน แต่เมื่อปรับแผนเตรียมจะเล่นจังหวะรุก นาย Hagel ย่อมไม่เหมาะ รายชื่อที่เป็นตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง คือนาง Flournoy ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ นายโอบามาไม่เลือก และนาง Flournoy ก็รีบออกมาปฏิเสธ ไม่ขออยู่ในรายชื่อตัวเก็งตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีชื่อออกมา ล่าสุดมีข่าวว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่านายโอบามาจะเลือกนาย Ashton Carter ผู้ชำนาญด้านระบบ IT ที่เคยรับผิดชอบนโยบายด้านความมั่นคง เกี่ยวกับรัฐที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และนโยบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ และการจัดซื้ออาวุธของกลาโหม มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการเลือกแม่ทัพ ของนายโอบามา ที่ทำให้เห็นชัดว่าอเมริกา กำลังรีบตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากออกอ่าวไปจริงๆ ผู้รับหน้าที่เดินหมากจังหวะที่สาม กลายเป็นฝ่ายค้าน เข้าไปกวาดเสียงข้างมากในสภาสูง เตรียมทำหน้าที่ ปลดหนังเรื่องตัดเหี้ยน Sequestration ออกจากโรง แต่ถ้าเล่นหมากนี้โดดๆ มันเสียทั้งหน้า เสียทั้งงบ จะทำยังไงให้มันมีแต่ได้ กับได้ วันที่ 4 ธันวาคม 2014 จึงมีฉากการลงมติประณามรัสเซียอย่างรุนแรง ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ปูทางสำหรับการเดินหมาก จังหวะใหม่ของอเมริกา จะเป็นจังหวะรุกเข้าไปใหม่ หรือจะเป็นจังหวะรับแบบหมดท่า หลงทิศซ้ำซาก เช่นเมื่อกลางปี ก็แล้วแต่ว่า นายโอบามา จะจับมือเล่นกับสภาสูงแบบไหน การเมืองอเมริกานั้น เวลาปรกติ ก็คัดค้านกันเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาล รัฐบาลและฝ่ายค้านก็พร้อมจับมือกันเสมอ หมากนี้ ต้องขอปรบมือให้กับผู้กำกับฝ่ายตัดต่อหนังของวอชิงตัน นอกจากนี้ ช่วงที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้า ไปแทรกแซง Ukraine ยาวไปถึงการผนวก Crimea เข้ามานั้น สายเหยี่ยวกระหายเลือดของ Republican ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจมาก ที่นายโอบามาแค่คว่ำบาตรรัสเซีย แทนที่จะเปิดเกมรุก วุฒิสมาชิกกลุ่มนาย John McCain เจ้าเก่า จึงยื่นร่างกฏหมาย Russian Aggression Prevention Act (RAPA) เข้าสภาสูงเมื่อประมาณเดื่อนพฤษภาคม 2014 เรียกร้องให้ มีการย้ายกองกำลัง ทั้งของอเมริกาเอง และของ NATO ไปจ่อประตูหลังบ้านรัสเซีย และให้อเมริกาจัดส่งอาวุธให้ Poland เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอาไว้รับมือกับรัสเซียเป็น ด่านแรก และที่น่าสนใจ ร่างนี้ ให้ ถือว่า Ukraine, Maldova และ Georgia เป็นพันธมิตร นอก NATO ร่างนี้ ยังอยู้ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาสูง เมื่อเอามาวางต่อกับหมากสาม ที่สภาล่างเพิ่งลงมติประณามรัสเซียไป 2 ฉากนี้ เหมือนเป็นละครเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการใช้ฝ่ายค้านมาเข้าฉาก ออกแรงตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง ที่แนบเนียน และน่าสนใจทีเดียว คุณพี่ ปูตินยาตราทัพเข้าไปยึด Crimea ตั้งแต่เดือนมีนาคม อเมริกาได้แต่เล่นบทสั่ง ให้พรรคพวกช่วยกันขัดบาตร เอามาคว่ำใส่รัสเสีย พร้อมกับส่งเสียงขู่สไตล์นักล่าใบตองแห้ง เป็นเวลารวมทั้งสิ้นเกือบ 9 เดือน นี่ถ้าพร้อมจริง ไม่ออกอ่าวไปตั้งแต่ปี 2011 ที่ จะวิ่งมาดักตีหัวแถวแปซิฟิก คงไม่ต้องรอลมเบ่งนาน 9 เดือน วางหมากถอยหลังก่อนเดินหน้าขนาดนี้กระมัง เอาละ หลังสภาสูงเปิดในต้นเดือนมกราคม 2015 อเมริกาน่าจะตีกรรเชียงเข้าฝั่งเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชิงโลกของตน อเมริกาจะเลือกเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 885 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 13

    ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม

    หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC)

    สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง

    อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ

    อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก !
    ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย

    Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา

    Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater !

    ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย

    Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี

    ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi

    แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา
    หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ !

    ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ

    Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร

    ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง !

    เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ

    และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา !

    ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย

    สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว

    และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 13 ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC) สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก ! ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater ! ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ ! ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ! เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา ! ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 941 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 6

    ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป

    Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ

    – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป

    – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017

    – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย

    สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ

    – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ !

    – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา
    นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan

    ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

    – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว

    เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน

    เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย

    แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช
    ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา

    เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน

    สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า

    ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง !

    Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด

    สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย
    ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2
    แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร

    ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย

    มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO

    รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว

    เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน

    ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 6 ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ ! – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง ! Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2 แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 1064 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 5

    ยุทธศาสตร์ สู้ด้วยพลังงานและท่อส่งของปูติน ซึ่งเริ่มเห็นผลชัด เมื่อปี ค.ศ.2003 มั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อเมริกากำลังขย้ำเหยื่อชื่อ อิรัก อย่างเมามัน โดยไม่สนใจว่าโลกใบนี้จะมองอเมริกาอย่างไร ก็โลกใบนี้กำลังจะเป็นของอเมริกาอย่างเบ็ดเสร็จแล้วนี่ จะต้องไปเสียเวลาสนใจทำไม ว่าใครคิดอะไร

    เดือนตุลาคม ค.ศ.2003 สื่อทั่วโลกออกข่าวว่า ทางการรัสเซียสั่งจับตัวนาย Mikhail Khodorkovsky ข้อหาหนีภาษีและอายัดหุ้นที่นาย Kho ถืออยู่ในบริษัทน้ำมันกลุ่ม Yukos !

    สำหรับคนทั่วไป อ่านข่าวนี้จบแล้วก็คงลืม เพราะไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไร นาย Kho เป็นใครกัน แต่ความแรงของข่าวนี้สำหรับวอชิงตัน มันเหมือนแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ !

    การจับตัวนาย Kho เกิดขึ้นเพียง 4 สัปดาห์ ก่อนการประชุมสภาล่างของรัสเซีย ที่นาย Kho ได้ จ่ายเงินซื้อเสียงไว้ล่วงหน้า เพื่อผ่านกฏหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา ในการที่เขาจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับปูตินในปีถัดไป และเพื่อจะได้แก้กฏหมายเกี่ยวกับพลังงานของรัสเซีย ที่เปิดทางให้ต่างชาติ เข้ามามีส่วนในการควบคุมพลังงาน และสร้างท่อส่งได้เอง แทนที่จะจำกัดให้ทำโดยรัฐอย่างเช่นที่เป็นอยู่

    นอกจากนี้การจับตัวนาย Kho เกิดขึ้นไม่กี่เดือนหลังจากมีข่าวว่า เขาไปพบกับนาย **** Cheney !

    นาย Kho มีแผนจะร่วมมือกับ Exxon Mobil และ Chevron Texaco เพื่อขายหุ้นใน Yukos ให้ แก่บริษัทน้ำมันอเมริกัน ซึ่งจะมีผลให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน เข้าไปมีส่วนควบคุมพลังงานของรัสเซีย มันเหมือนเป็นการทำกบฏต่อประเทศ ของตน ทางด้านพลังงาน เป็นแผนการที่คาวบอย Bush รู้ดี และปูตินก็รู้ แต่เมื่อปูตินรู้ ปูตินไม่หยุดอยู่แค่รู้ ปูตินจัดการคนที่โกงชาติทันที การจับและดำเนินคดีนาย Kho จึงเกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ชนิดที่คนถูกจับหนีออกนอกประเทศไม่ทัน และพวกต่างชาติที่สนับสนุนนาย Kho ก็ไม่ทันไหวตัวด้วย ปูตินไม่เสียชื่อเป็นอดีตหัวหน้า KGB แดนสมันน้อยจะมีโอกาสได้เห็นเรื่องการจับคนโกงชาติแบบนี้บ้างไหมหนอ (รายละเอียดเกี่ยวกับการขายชาติของนาย Kho อยู่ในนิทานเรื่อง “หักหน้า หักหลัง”)
    การตัดสินใจดำเนินการต่อนาย Kho ของ ปูติน เป็นการส่งสัญญาณของรัสเซียถึงอเมริกาอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกว่า รัสเซียรู้แผนของอเมริกา และรัสเซียไม่คิดจะยอมให้อเมริกาและพวก รุมกินโต๊ะรัสเซียอย่างง่ายดายแน่นอน โปรดจำวิธีส่งสัญญานแบบนี้กันไว้บ้าง เผื่อจะฟลุ๊ก มีวันได้ส่งให้ไอ้พวกนักล่ากันบ้าง ผมคงจะฝันไปน่ะนี่

    เมื่อเจอการส่งสัญญาณตรงไปตรงมาของรัสเซีย ปลายปี ค.ศ.2004 อเมริกาจึงรีบปรับแผน จากการค่อยๆปิดล้อมรัสเซีย เป็นปฏิบัติการเร่งรุมกินโต๊ะรัสเซียตามคาด โดยสร้าง Cold War รอบใหม่ ไม่ต่างกับสมัยสหภาพโซเวียต แต่รุนแรงกว่า เพราะอเมริกา “ตั้งใจ” ที่จะกำจัดรัสเซียให้พ้นจาก Eurasia อย่างเร็ว ไม่ใช่ 40, 50 ปี อย่างสมัยถล่มสหภาพโซเวียต

    ส่วนปูตินเองพยายามเดินหมากที่เป็นการป้องกันตัวเอง จากการตกเป็นเป้าทำลาย ของอเมริกาและพวก โดยใช้ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานเป็นเครื่องมือ ที่ได้ผลอย่างที่อเมริกานึกไม่ถึง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 5 ยุทธศาสตร์ สู้ด้วยพลังงานและท่อส่งของปูติน ซึ่งเริ่มเห็นผลชัด เมื่อปี ค.ศ.2003 มั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อเมริกากำลังขย้ำเหยื่อชื่อ อิรัก อย่างเมามัน โดยไม่สนใจว่าโลกใบนี้จะมองอเมริกาอย่างไร ก็โลกใบนี้กำลังจะเป็นของอเมริกาอย่างเบ็ดเสร็จแล้วนี่ จะต้องไปเสียเวลาสนใจทำไม ว่าใครคิดอะไร เดือนตุลาคม ค.ศ.2003 สื่อทั่วโลกออกข่าวว่า ทางการรัสเซียสั่งจับตัวนาย Mikhail Khodorkovsky ข้อหาหนีภาษีและอายัดหุ้นที่นาย Kho ถืออยู่ในบริษัทน้ำมันกลุ่ม Yukos ! สำหรับคนทั่วไป อ่านข่าวนี้จบแล้วก็คงลืม เพราะไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไร นาย Kho เป็นใครกัน แต่ความแรงของข่าวนี้สำหรับวอชิงตัน มันเหมือนแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ ! การจับตัวนาย Kho เกิดขึ้นเพียง 4 สัปดาห์ ก่อนการประชุมสภาล่างของรัสเซีย ที่นาย Kho ได้ จ่ายเงินซื้อเสียงไว้ล่วงหน้า เพื่อผ่านกฏหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา ในการที่เขาจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับปูตินในปีถัดไป และเพื่อจะได้แก้กฏหมายเกี่ยวกับพลังงานของรัสเซีย ที่เปิดทางให้ต่างชาติ เข้ามามีส่วนในการควบคุมพลังงาน และสร้างท่อส่งได้เอง แทนที่จะจำกัดให้ทำโดยรัฐอย่างเช่นที่เป็นอยู่ นอกจากนี้การจับตัวนาย Kho เกิดขึ้นไม่กี่เดือนหลังจากมีข่าวว่า เขาไปพบกับนาย Dick Cheney ! นาย Kho มีแผนจะร่วมมือกับ Exxon Mobil และ Chevron Texaco เพื่อขายหุ้นใน Yukos ให้ แก่บริษัทน้ำมันอเมริกัน ซึ่งจะมีผลให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน เข้าไปมีส่วนควบคุมพลังงานของรัสเซีย มันเหมือนเป็นการทำกบฏต่อประเทศ ของตน ทางด้านพลังงาน เป็นแผนการที่คาวบอย Bush รู้ดี และปูตินก็รู้ แต่เมื่อปูตินรู้ ปูตินไม่หยุดอยู่แค่รู้ ปูตินจัดการคนที่โกงชาติทันที การจับและดำเนินคดีนาย Kho จึงเกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ชนิดที่คนถูกจับหนีออกนอกประเทศไม่ทัน และพวกต่างชาติที่สนับสนุนนาย Kho ก็ไม่ทันไหวตัวด้วย ปูตินไม่เสียชื่อเป็นอดีตหัวหน้า KGB แดนสมันน้อยจะมีโอกาสได้เห็นเรื่องการจับคนโกงชาติแบบนี้บ้างไหมหนอ (รายละเอียดเกี่ยวกับการขายชาติของนาย Kho อยู่ในนิทานเรื่อง “หักหน้า หักหลัง”) การตัดสินใจดำเนินการต่อนาย Kho ของ ปูติน เป็นการส่งสัญญาณของรัสเซียถึงอเมริกาอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกว่า รัสเซียรู้แผนของอเมริกา และรัสเซียไม่คิดจะยอมให้อเมริกาและพวก รุมกินโต๊ะรัสเซียอย่างง่ายดายแน่นอน โปรดจำวิธีส่งสัญญานแบบนี้กันไว้บ้าง เผื่อจะฟลุ๊ก มีวันได้ส่งให้ไอ้พวกนักล่ากันบ้าง ผมคงจะฝันไปน่ะนี่ เมื่อเจอการส่งสัญญาณตรงไปตรงมาของรัสเซีย ปลายปี ค.ศ.2004 อเมริกาจึงรีบปรับแผน จากการค่อยๆปิดล้อมรัสเซีย เป็นปฏิบัติการเร่งรุมกินโต๊ะรัสเซียตามคาด โดยสร้าง Cold War รอบใหม่ ไม่ต่างกับสมัยสหภาพโซเวียต แต่รุนแรงกว่า เพราะอเมริกา “ตั้งใจ” ที่จะกำจัดรัสเซียให้พ้นจาก Eurasia อย่างเร็ว ไม่ใช่ 40, 50 ปี อย่างสมัยถล่มสหภาพโซเวียต ส่วนปูตินเองพยายามเดินหมากที่เป็นการป้องกันตัวเอง จากการตกเป็นเป้าทำลาย ของอเมริกาและพวก โดยใช้ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานเป็นเครื่องมือ ที่ได้ผลอย่างที่อเมริกานึกไม่ถึง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 463 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 4

    สหภาพโซเวียตแม้จะล่มสลาย แต่กองกำลังของโซเวียตที่เคยเกรียงไกรและเข้มแข็งยังอยู่ เลือดนักสู้ไม่ได้จางจากไปหมด แม้จะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ที่สำคัญยังมีนิวเคลียร์ เป็นเขี้ยวเล็บที่แอบซ่อน พอให้อเมริกาเห็นลางๆ

    แผนการของอเมริกาในช่วงปี ค.ศ.1990 กว่า จึงเป็นขบวนการหลอกล่อเอาอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตให้เข้ามาอยู่ในคอกของ NATO ซึ่งควบคุมชักใยและถือไม้กำกับโดยอเมริกา เป็นแผนที่เล่นตามสไตล์ที่อเมริกาถนัดจริงๆ เล่นรอบนอก ก่อนเจาะกล่องดวงใจ

    ถึงปี ค.ศ.2004 Poland, Czech Republic, Hungary, Estonia, Latvia, Lithuania, Bulgaria, Romania, Slovakia และSlovenia ก็จูงมือกันเดินเชื่องๆ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของอเมริกา ส่วน Georgia และ Ukraine กำลังขัดสีฉวีวรรณ เพื่อเตรียมตัวเดินตามเข้าคอก ทุกจังหวะก้าวของอเมริกาในช่วง นี้ เป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน Project of the New America Century (PNAC) ยุทธศาสตร์ของครู Mac ภายใต้เสื้อคลุมอเมริกา เขียนบทและกำกับการแสดงโดย CFR

    ผู้ที่รับบทหนักในการเดินแผน PNAC นอกเหนือจากกลุ่มเหยี่ยวพันธุ์ หนังหนากระหายเลือด **** Cheney, Donald Rumsfeld, Paul Wolfowitz, Richard Perle, Stephen Hadley และ Robert Kagan (ผัวของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของคำขวัญ “**** the EU”) ผู้ที่รับบทสำคัญ อีกคนหนึ่งคือ Bruce Jackson นายใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตอาวุธ Lockheed Martin ซึ่งรับหน้าที่เป็นตัวแทนของอเมริกา ในการกำกับการขยายสมาชิก NATO โดยเฉพาะพวกที่เป็นอดีตสมาชิกสหภาพ โซเวียต ซึ่งนาย Bruce Jackson เรียกกลุ่มพวกนี้ว่า Vilnius Group of NATO (Vilnius เป็นชื่อเมืองหลวงของ Lituania) เนื่องจาก วันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ 2000 ที่เมือง Vilnius 9 ประเทศของกลุ่มประเทศในยุโรปได้ตกลงกันว่า แต่ละประเทศจะเดินหน้าเป็นประชาธิปไตย ปกครองตนเอง ว่าง่าย เชื่องดีจัง สมันน้อยมีเพื่อนแยะนะ

    เมื่อจัดการเรื่องสมาชิก NATO ได้ผลตามเป้าหมาย Bruce Jackson ก็เดินหน้าต่อตามใบสั่งใหม่ คือโครงการ Project on Transitional Democracies เพื่อนำประเทศเกิดใหม่พวกนี้เข้าสู่ขบวนการเป็นประชาธิปไตย โดยผ่านการปฏิบัติการ ที่พวกสื่อย้อมสีเรียกเสียสวยงามว่า การปฏิวัติหลากสี Color Revolutions เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองประเทศแถบ Russia Eurasia เป็นบุคคลที่วอชิงตันส่งเข้าประกวด หรือเห็นชอบ ผู้ที่เป็นตัวจักรสำคัญ ในการดำเนินการตามโครงการนี้ นอกเหนือจากนาย Jackson แล้ว ยังมีนาย Scheunemann ซึ่งเกี่ยวพันใกล้ชิดกันแน่นหนากับ Boeing บริษัทค้าอาวุธใหญ่อีกบริษัทหนึ่งของอเมริกา
    น่าสนใจการทำงานของอเมริกา ที่เอาพ่อค้าขายอาวุธ มากำกับการปกครองแบบประชาธิปไตย มันเป็นการผสมพันธ์ ที่แสดงถึงความจอมปลอมได้อย่างสุดยอด แต่เรื่องแบบนี้ แม้เกิดขึ้นในแดนสมันน้อย ก็มองไม่เห็นดูไม่ออกกันหรอก

    การเอา NATO ปิดล้อมรัสเซีย การทำปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ในแถบ Russia Eurasia และ การบุกขยี้อิรัก ดูเหมือนเป็นคนละเรื่องกัน แต่ความจริง มันคือยุทธศาสตร์ในกระดานเดียวกันของอเมริกา ที่นำไปสู่ปฏิบัติการแยกธาตุสลายรัสเซีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในสายตาของอเมริกา (ในขณะนั้นและอาจจะในขณะนี้ด้วย) ที่มีศักยภาพพอที่จะเป็นคู่แข่งของอเมริกา ในการชิงความเป็นที่หนึ่งของโลก รัสเซียเท่านั้นคือเป้าหมายที่สำคัญของอเมริกา ในยุทธศาสตร์ของเกมชิงโลก

    การสิ้นสุดของการปกครองสหภาพโซเวียตโดย Yeltsin ทำ ให้แผนการของอเมริกาชะงักไปเล็กน้อยในความคิดของอเมริกา ขณะเดียวกัน ปูตินเริ่มไหวตัวและคิดสร้างรัสเซียใหม่อย่างระมัดระวัง หลังจากที่ถูก IMF และ ธนาคารของพวกฝรั่งตะวันตกกับผู้มีอิทธิพลชาวรัสเซีย ร่วมมือกันต้มและลอกคราบรัสเซียไปจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ในสมัยที่ Gorbachev และ Yeltsin เปิดประตูเมืองให้ตะวันตกยกทีมกันเข้ามาเถือรัสเซีย

    การผลิตน้ำมันของรัสเซียค่อยๆเพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ.2003 ช่วงที่อเมริกากำลังเพลินกับการยิงเป้าเคลื่อนที่ในอิรัก การผลิตน้ำมันของรัสเซียขยับเป็นที่สองของโลก รองจากซาอุดิอารเบียเท่านั้นเอง ตกใจหรืออเมริกา ?!

    อเมริกา วางแผนสลายสหภาพโซเวียต ต่อด้วยขยี้รัสเซีย แผนการยาวนานต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.1947 ไม่มีการหยุดพักเหนื่อย พักร้อน หรือทิ้งแผนเลย มีแต่เดินหน้า มีหรือรัสเซียจะไม่รู้ตัว รัสเซียไม่ใช่ประเทศเกิดใหม่ หรือเป็นสมันน้อยในทุ่งใหญ่ของนักล่า เลือดนักสู้ และความเขี้ยวของสหภาพโซเวียตยังอยู่ครบ แต่รัสเซียก็เหมือนคนเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยปางตาย จะให้ลุกขึ้นฟิตวิ่งแข่งกีฬาโอลิมปิกคงไม่ไหว แต่รัสเซียภายใต้การนำของปูติน ก็เดินหน้าอย่างช้าๆแต่มั่นคง เต็มไปด้วยเหลี่ยมคม และทนทานต่อการเสียดสี เพื่อจะไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอเมริกาและพวกซ้ำซาก ความช้ำชอกจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ยังอยู่ครบในใจของชาวรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    1 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 4 สหภาพโซเวียตแม้จะล่มสลาย แต่กองกำลังของโซเวียตที่เคยเกรียงไกรและเข้มแข็งยังอยู่ เลือดนักสู้ไม่ได้จางจากไปหมด แม้จะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ที่สำคัญยังมีนิวเคลียร์ เป็นเขี้ยวเล็บที่แอบซ่อน พอให้อเมริกาเห็นลางๆ แผนการของอเมริกาในช่วงปี ค.ศ.1990 กว่า จึงเป็นขบวนการหลอกล่อเอาอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตให้เข้ามาอยู่ในคอกของ NATO ซึ่งควบคุมชักใยและถือไม้กำกับโดยอเมริกา เป็นแผนที่เล่นตามสไตล์ที่อเมริกาถนัดจริงๆ เล่นรอบนอก ก่อนเจาะกล่องดวงใจ ถึงปี ค.ศ.2004 Poland, Czech Republic, Hungary, Estonia, Latvia, Lithuania, Bulgaria, Romania, Slovakia และSlovenia ก็จูงมือกันเดินเชื่องๆ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของอเมริกา ส่วน Georgia และ Ukraine กำลังขัดสีฉวีวรรณ เพื่อเตรียมตัวเดินตามเข้าคอก ทุกจังหวะก้าวของอเมริกาในช่วง นี้ เป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน Project of the New America Century (PNAC) ยุทธศาสตร์ของครู Mac ภายใต้เสื้อคลุมอเมริกา เขียนบทและกำกับการแสดงโดย CFR ผู้ที่รับบทหนักในการเดินแผน PNAC นอกเหนือจากกลุ่มเหยี่ยวพันธุ์ หนังหนากระหายเลือด Dick Cheney, Donald Rumsfeld, Paul Wolfowitz, Richard Perle, Stephen Hadley และ Robert Kagan (ผัวของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของคำขวัญ “Fuck the EU”) ผู้ที่รับบทสำคัญ อีกคนหนึ่งคือ Bruce Jackson นายใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตอาวุธ Lockheed Martin ซึ่งรับหน้าที่เป็นตัวแทนของอเมริกา ในการกำกับการขยายสมาชิก NATO โดยเฉพาะพวกที่เป็นอดีตสมาชิกสหภาพ โซเวียต ซึ่งนาย Bruce Jackson เรียกกลุ่มพวกนี้ว่า Vilnius Group of NATO (Vilnius เป็นชื่อเมืองหลวงของ Lituania) เนื่องจาก วันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ 2000 ที่เมือง Vilnius 9 ประเทศของกลุ่มประเทศในยุโรปได้ตกลงกันว่า แต่ละประเทศจะเดินหน้าเป็นประชาธิปไตย ปกครองตนเอง ว่าง่าย เชื่องดีจัง สมันน้อยมีเพื่อนแยะนะ เมื่อจัดการเรื่องสมาชิก NATO ได้ผลตามเป้าหมาย Bruce Jackson ก็เดินหน้าต่อตามใบสั่งใหม่ คือโครงการ Project on Transitional Democracies เพื่อนำประเทศเกิดใหม่พวกนี้เข้าสู่ขบวนการเป็นประชาธิปไตย โดยผ่านการปฏิบัติการ ที่พวกสื่อย้อมสีเรียกเสียสวยงามว่า การปฏิวัติหลากสี Color Revolutions เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองประเทศแถบ Russia Eurasia เป็นบุคคลที่วอชิงตันส่งเข้าประกวด หรือเห็นชอบ ผู้ที่เป็นตัวจักรสำคัญ ในการดำเนินการตามโครงการนี้ นอกเหนือจากนาย Jackson แล้ว ยังมีนาย Scheunemann ซึ่งเกี่ยวพันใกล้ชิดกันแน่นหนากับ Boeing บริษัทค้าอาวุธใหญ่อีกบริษัทหนึ่งของอเมริกา น่าสนใจการทำงานของอเมริกา ที่เอาพ่อค้าขายอาวุธ มากำกับการปกครองแบบประชาธิปไตย มันเป็นการผสมพันธ์ ที่แสดงถึงความจอมปลอมได้อย่างสุดยอด แต่เรื่องแบบนี้ แม้เกิดขึ้นในแดนสมันน้อย ก็มองไม่เห็นดูไม่ออกกันหรอก การเอา NATO ปิดล้อมรัสเซีย การทำปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ในแถบ Russia Eurasia และ การบุกขยี้อิรัก ดูเหมือนเป็นคนละเรื่องกัน แต่ความจริง มันคือยุทธศาสตร์ในกระดานเดียวกันของอเมริกา ที่นำไปสู่ปฏิบัติการแยกธาตุสลายรัสเซีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในสายตาของอเมริกา (ในขณะนั้นและอาจจะในขณะนี้ด้วย) ที่มีศักยภาพพอที่จะเป็นคู่แข่งของอเมริกา ในการชิงความเป็นที่หนึ่งของโลก รัสเซียเท่านั้นคือเป้าหมายที่สำคัญของอเมริกา ในยุทธศาสตร์ของเกมชิงโลก การสิ้นสุดของการปกครองสหภาพโซเวียตโดย Yeltsin ทำ ให้แผนการของอเมริกาชะงักไปเล็กน้อยในความคิดของอเมริกา ขณะเดียวกัน ปูตินเริ่มไหวตัวและคิดสร้างรัสเซียใหม่อย่างระมัดระวัง หลังจากที่ถูก IMF และ ธนาคารของพวกฝรั่งตะวันตกกับผู้มีอิทธิพลชาวรัสเซีย ร่วมมือกันต้มและลอกคราบรัสเซียไปจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ในสมัยที่ Gorbachev และ Yeltsin เปิดประตูเมืองให้ตะวันตกยกทีมกันเข้ามาเถือรัสเซีย การผลิตน้ำมันของรัสเซียค่อยๆเพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ.2003 ช่วงที่อเมริกากำลังเพลินกับการยิงเป้าเคลื่อนที่ในอิรัก การผลิตน้ำมันของรัสเซียขยับเป็นที่สองของโลก รองจากซาอุดิอารเบียเท่านั้นเอง ตกใจหรืออเมริกา ?! อเมริกา วางแผนสลายสหภาพโซเวียต ต่อด้วยขยี้รัสเซีย แผนการยาวนานต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.1947 ไม่มีการหยุดพักเหนื่อย พักร้อน หรือทิ้งแผนเลย มีแต่เดินหน้า มีหรือรัสเซียจะไม่รู้ตัว รัสเซียไม่ใช่ประเทศเกิดใหม่ หรือเป็นสมันน้อยในทุ่งใหญ่ของนักล่า เลือดนักสู้ และความเขี้ยวของสหภาพโซเวียตยังอยู่ครบ แต่รัสเซียก็เหมือนคนเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยปางตาย จะให้ลุกขึ้นฟิตวิ่งแข่งกีฬาโอลิมปิกคงไม่ไหว แต่รัสเซียภายใต้การนำของปูติน ก็เดินหน้าอย่างช้าๆแต่มั่นคง เต็มไปด้วยเหลี่ยมคม และทนทานต่อการเสียดสี เพื่อจะไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอเมริกาและพวกซ้ำซาก ความช้ำชอกจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ยังอยู่ครบในใจของชาวรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 1 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 990 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 3

    เมื่อสหภาพโซเวียตพ้นไปจากเส้นทางครองโลก อเมริกาจึงเดินหน้าเต็มตัวเพื่อปฏิบัติการชิงโลก โดยมุ่งหน้าสู่การครอบครอง Eurasia ตามยุทธศาสตร์ครู Mac

    ปี ค.ศ.1999 หนึ่งปี ก่อนที่คาวบอย Bush จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ คาวบอย Bush ได้จัดทัพสำหรับปฎิบัติการชิงโลก ไว้เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพชื่อ **** Cheney เป็นผู้นำ Cheney ได้วางยุทธศาสตร์ ที่มีคนช่างนินทาเรียกว่า “Cheney Strategy” ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศ ที่เน้นเรื่องการจัดการ การขโมย และควบคุมแหล่งพลังงานของโลก ผ่านเครือข่ายและการดำเนินงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หรือบริษัทที่เกี่ยวพันกัน ที่เรียกว่า the Big Four คือ Chevron, Texaco, Exxon Mobil, BP หรือ Royal Dutch Shell

    นอกเหนือจากอาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้ว น้ำมันที่อุดมสบูรณ์ และกองทัพที่แข็งแกร่ง เป็นอีก 2 ปัจจัยสำคัญ ที่อเมริกาต้องมี ในการชิงโลกใบนี้มาครอง ดังนั้นในช่วงรัฐบาลคาวบอย Bush โดยการนำทัพ ของ Cheney จึงเกิดการร่วมมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ ใหญ่ และบริษัทผลิตอาวุธ เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากบริษัท Halliburton Inc ซึ่งเป็นบริษัทของ **** Cheney เอง ใน ช่วงนั้นประกอบกิจการเป็นทั้งบริษัทขุดน้ำมัน บริษัทสำรวจ และบริษัทรับเหมาก่อสร้างฐานทัพให้กับกองทัพ มันเอาทุกท่าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สูตรนี้มีคนทำตามแยะ

    ในช่วงระหว่างการจัดทัพเตรียม ชิงน้ำมัน Cheney ได้ไปพูดที่ London Institute of Petroleum เมื่อ เดือนกันยายน ค.ศ.1999 สรุปความว่า โลกจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากและรวดเร็ว ของประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ เขาประมาณว่าในปี ค.ศ.2010 อย่างน้อยโลกต้องมีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนอย่างน้อย 50% ต่อ วัน จากจำนวนที่มีอยู่ต่อวันในปี ค.ศ.1999 มันหมายถึงอย่างน้อยต้องได้แหล่งน้ำมันขนาดเดียวกันกับของซาอุดิอารเบีย อีก 5 แหล่ง ! จะไปหาจากที่ไหน?

    ขณะนั้น ตะวันออกกลางเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันถึง 2 ใน 3 ของแหล่งน้ำมันโลก และเป็นน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำ และที่นั่นคือบริเวณที่อเมริกาจะต้องเข้าไปยึดครอง แต่แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางขณะนั้นเป็นของรัฐ หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่มีที่สำหรับคนนอกอย่างอเมริกาและพวก แน่นอนเป็นภาระของ Cheney และพวกที่จะต้องหาทางส่งให้ Exxon Mobil หรือ Chevron หรือ Shell หรือ BP เข้าไปมีที่ยืนในดินแดนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
    การสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ในกรณีที่มีน้ำมันเพียงพอ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี กว่าจะได้ผลผลิตน้ำมัน คาวบอย Bush และ Cheney รอไม่ไหวแน่

    ขณะเดียวกัน อิรัก ซึ่งขณะนั้น มีแหล่งน้ำมันมากเป็นที่สองในตะวันออกกลาง รองจากซาอุดิอารเบีย มี Saddam Hussein เป็น ผู้ครอบครอง ส่วนอิหร่านมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นที่สองของโลก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันใหญ่มหึมาอีกด้วย อิหร่านในตอนนั้นปกครองโดยผู้นำทางศาสนา ซึ่งไม่เปิดประตูให้บริษัทน้ำมันอเมริกันเข้าไปทำมาหากิน

    ปี ค.ศ.2000 เมื่อคาวบอย Bush ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายแรกของคาวบอย คือการเสริมสร้างด้านความมั่นคง ให้อเมริกาเสียใหม่ Re-building America’s Defense ซึ่งออกมาภายใต้ชื่อ Project of the New American Century (PNAC) อินทรีย์สยายปีก เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยึด Eurasia

    PNAC เป็น การปูพื้น วางเส้นทางเข้าชิงน้ำมันในอิรัก อเมริกาจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เกรียงไกรเพื่อเข้าใปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลาง และจัดการปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอิรัก เล่นกันดื้อๆแบบนั้น Saddam ดี เลว เป็นเผด็จการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นการตอแหล หาเรื่องอ้างของอเมริกาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อเข้าไปในอิรัก เพื่อไปยึดแหล่งน้ำมันเขา ไปเอารางวัลใหญ่ ที่คอยอยู่ตรงนั้นต่างหาก

    Cheney ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานด้านพลังงาน President of Energy Task Force Project หรือ ตำแหน่งหัวหน้าโครงการขโมยน้ำมัน แต่แผนขโมยปิดไม่มิด ใน ปี ค.ศ.2003 กระทรวงพาณิชย์ของอเมริกา เกิดทำเอกสารหล่นมาถึงสื่อ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดของบ่อน้ำมันในอิรักทั้งหมด รวมทั้งท่อส่ง โรงกลั่น และคลังน้ำมัน รวมทั้งเอกสารที่แสดงรายละเอียด ของโครงการน้ำมันและก๊าซในอนาคตของอิรัก และผู้ที่ขอเข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่คัดค้านสหประชาชาติที่อนุมัติ ให้อเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก อืม.. น่าให้รางวัลคนทำหล่นจริงๆ

    แน่นอน หลังจากอเมริกายึดครองอิรักได้ สิ่งแรกที่อเมริการีบทำคือ ยกเลิกสัญญาที่อิรักทำกับรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส น้ำมันของอิรักจะต้องดูแลและจัดการโดยบริษัทน้ำมันของอเมริกาและอังกฤษเท่า นั้น แผนการชิงโลกของอเมริกาสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

    แต่ ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการชิงโลก ตั้งแต่การทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1991 คือ การทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้รัสเซียสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้ และทำให้อดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้อีก เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่มหึมาในแถบ Eurasia แถบที่มีรางวัลใหญ่กว่าคอยอยู่…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    1 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 3 เมื่อสหภาพโซเวียตพ้นไปจากเส้นทางครองโลก อเมริกาจึงเดินหน้าเต็มตัวเพื่อปฏิบัติการชิงโลก โดยมุ่งหน้าสู่การครอบครอง Eurasia ตามยุทธศาสตร์ครู Mac ปี ค.ศ.1999 หนึ่งปี ก่อนที่คาวบอย Bush จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ คาวบอย Bush ได้จัดทัพสำหรับปฎิบัติการชิงโลก ไว้เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพชื่อ Dick Cheney เป็นผู้นำ Cheney ได้วางยุทธศาสตร์ ที่มีคนช่างนินทาเรียกว่า “Cheney Strategy” ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศ ที่เน้นเรื่องการจัดการ การขโมย และควบคุมแหล่งพลังงานของโลก ผ่านเครือข่ายและการดำเนินงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หรือบริษัทที่เกี่ยวพันกัน ที่เรียกว่า the Big Four คือ Chevron, Texaco, Exxon Mobil, BP หรือ Royal Dutch Shell นอกเหนือจากอาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้ว น้ำมันที่อุดมสบูรณ์ และกองทัพที่แข็งแกร่ง เป็นอีก 2 ปัจจัยสำคัญ ที่อเมริกาต้องมี ในการชิงโลกใบนี้มาครอง ดังนั้นในช่วงรัฐบาลคาวบอย Bush โดยการนำทัพ ของ Cheney จึงเกิดการร่วมมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ ใหญ่ และบริษัทผลิตอาวุธ เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากบริษัท Halliburton Inc ซึ่งเป็นบริษัทของ Dick Cheney เอง ใน ช่วงนั้นประกอบกิจการเป็นทั้งบริษัทขุดน้ำมัน บริษัทสำรวจ และบริษัทรับเหมาก่อสร้างฐานทัพให้กับกองทัพ มันเอาทุกท่าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สูตรนี้มีคนทำตามแยะ ในช่วงระหว่างการจัดทัพเตรียม ชิงน้ำมัน Cheney ได้ไปพูดที่ London Institute of Petroleum เมื่อ เดือนกันยายน ค.ศ.1999 สรุปความว่า โลกจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากและรวดเร็ว ของประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ เขาประมาณว่าในปี ค.ศ.2010 อย่างน้อยโลกต้องมีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนอย่างน้อย 50% ต่อ วัน จากจำนวนที่มีอยู่ต่อวันในปี ค.ศ.1999 มันหมายถึงอย่างน้อยต้องได้แหล่งน้ำมันขนาดเดียวกันกับของซาอุดิอารเบีย อีก 5 แหล่ง ! จะไปหาจากที่ไหน? ขณะนั้น ตะวันออกกลางเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันถึง 2 ใน 3 ของแหล่งน้ำมันโลก และเป็นน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำ และที่นั่นคือบริเวณที่อเมริกาจะต้องเข้าไปยึดครอง แต่แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางขณะนั้นเป็นของรัฐ หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่มีที่สำหรับคนนอกอย่างอเมริกาและพวก แน่นอนเป็นภาระของ Cheney และพวกที่จะต้องหาทางส่งให้ Exxon Mobil หรือ Chevron หรือ Shell หรือ BP เข้าไปมีที่ยืนในดินแดนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว การสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ในกรณีที่มีน้ำมันเพียงพอ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี กว่าจะได้ผลผลิตน้ำมัน คาวบอย Bush และ Cheney รอไม่ไหวแน่ ขณะเดียวกัน อิรัก ซึ่งขณะนั้น มีแหล่งน้ำมันมากเป็นที่สองในตะวันออกกลาง รองจากซาอุดิอารเบีย มี Saddam Hussein เป็น ผู้ครอบครอง ส่วนอิหร่านมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นที่สองของโลก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันใหญ่มหึมาอีกด้วย อิหร่านในตอนนั้นปกครองโดยผู้นำทางศาสนา ซึ่งไม่เปิดประตูให้บริษัทน้ำมันอเมริกันเข้าไปทำมาหากิน ปี ค.ศ.2000 เมื่อคาวบอย Bush ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายแรกของคาวบอย คือการเสริมสร้างด้านความมั่นคง ให้อเมริกาเสียใหม่ Re-building America’s Defense ซึ่งออกมาภายใต้ชื่อ Project of the New American Century (PNAC) อินทรีย์สยายปีก เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยึด Eurasia PNAC เป็น การปูพื้น วางเส้นทางเข้าชิงน้ำมันในอิรัก อเมริกาจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เกรียงไกรเพื่อเข้าใปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลาง และจัดการปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอิรัก เล่นกันดื้อๆแบบนั้น Saddam ดี เลว เป็นเผด็จการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นการตอแหล หาเรื่องอ้างของอเมริกาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อเข้าไปในอิรัก เพื่อไปยึดแหล่งน้ำมันเขา ไปเอารางวัลใหญ่ ที่คอยอยู่ตรงนั้นต่างหาก Cheney ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานด้านพลังงาน President of Energy Task Force Project หรือ ตำแหน่งหัวหน้าโครงการขโมยน้ำมัน แต่แผนขโมยปิดไม่มิด ใน ปี ค.ศ.2003 กระทรวงพาณิชย์ของอเมริกา เกิดทำเอกสารหล่นมาถึงสื่อ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดของบ่อน้ำมันในอิรักทั้งหมด รวมทั้งท่อส่ง โรงกลั่น และคลังน้ำมัน รวมทั้งเอกสารที่แสดงรายละเอียด ของโครงการน้ำมันและก๊าซในอนาคตของอิรัก และผู้ที่ขอเข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่คัดค้านสหประชาชาติที่อนุมัติ ให้อเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก อืม.. น่าให้รางวัลคนทำหล่นจริงๆ แน่นอน หลังจากอเมริกายึดครองอิรักได้ สิ่งแรกที่อเมริการีบทำคือ ยกเลิกสัญญาที่อิรักทำกับรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส น้ำมันของอิรักจะต้องดูแลและจัดการโดยบริษัทน้ำมันของอเมริกาและอังกฤษเท่า นั้น แผนการชิงโลกของอเมริกาสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการชิงโลก ตั้งแต่การทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1991 คือ การทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้รัสเซียสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้ และทำให้อดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้อีก เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่มหึมาในแถบ Eurasia แถบที่มีรางวัลใหญ่กว่าคอยอยู่… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 1 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 635 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 2

    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมองอเมริกาเหมือนเป็นเด็กอ่อน เขี้ยวยังไม่งอก ดังนั้นอังกฤษจึงตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า เป็นผู้ควบคุมเกมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 อังกฤษอยากทำสงคราม แต่กำลังถังแตก! ไม่มีทุน แต่คิดการใหญ่ จึงมีการวางแผนหลอกล่อ ให้อเมริกาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษเข้าทำสงคราม แผนการหลอกล่ออเมริกานี้ เกิด ขึ้นจากการ ร่วมมือของเหล่าอิลีต นักการเมือง นักธุรกิจข้ามชาติ และนักการเงิน ของทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่คิดร่ำรวย จากการยุให้ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เข้าทำสงครามโลก โดยให้ Think Tank ถังความคิด Chatham House ของฝั่งอังกฤษและ Council on Foreign Relations (CFR) ของฝั่งอเมริกา ร่วมกันวางแผนดำเนินการ

    นักธุรกิจ ไม่ว่าสมัยไหน และเชื้อชาติไหน ส่วนใหญ่ก็คิดเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งสิ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ช่างมัน

    แต่แท้จริงแล้ว อเมริกา ที่อังกฤษคิดว่าเป็นเด็กอ่อนเขี้ยวยังไม่งอก แอบเอาเขี้ยวหลบใน อเมริกามองข้ามซ๊อตไกลไปกว่าพวกชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดเสียอีก! อเมริกาเห็นว่า ไม่ใช่จะมีแต่อังกฤษเท่านั้น ที่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้ครองโลกหมายเลขหนึ่ง อเมริกาเองก็มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งเหมือนกัน อเมริกาจึงวางแผน ที่มีทั้งความลึก และใช้เวลายาวนานอย่างเหลือเขื่อ !

    อเมริกา วางแผนล่วงหน้าที่จะให้มีทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 รวมทั้งวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับอเมริกา ที่จะเข้าสู่สงครามโลกแต่ละครั้ง และสุดท้ายจะเป็นรายเดียวของผู้ชนะสงครามโลก ที่ไม่บอบช้ำ วางแผนสมกับจะเป็นผู้นำโลกจริงๆ

    อเมริกาเล่นบทเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย การลงทุนให้การสนับสนุนอังกฤษ ทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษนำการรบ ให้อังกฤษจัดการคว่ำเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในยุโรป โดยมีฝรั่งเศษ อิตาลีและ รัสเซีย เป็นกองเชียร์สนับสนุนและรุมทุบ โดยอเมริกาไม่ต้องออกแรง หลังจากนั้นอเมริกาวางแผนหนุนรัสเซีย ให้ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นเขี้ยวอเมริกาหรือยัง

    อเมริกาวางแผนการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน จังหวะที่จะส่งผลให้อังกฤษและยุโรปบอบซ้ำ ฉิบหาย กระเป๋าฉีก บ้านเมืองพังพินาศ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจะเหลืออเมริกาประเทศใหญ่ ประเทศเดียวที่ไม่มีการบอบซ้ำ และผงาดเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่อังกฤษ ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ (รายละเอียดของตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง”มายากลยุทธ”) อเมริกาไม่ใช่มีเขี้ยวธรรมดา แต่เป็นเขี้ยวที่แหลมคมยิ่ง
    มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอเมริกาก็ไม่ได้ถูกอังกฤษหลอกต้ม แต่อเมริกาปล่อยให้คิดว่า อเมริกาถูกหลอก จริงๆแล้วอเมริกาเอง ก็มีความคิดที่จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก โดยการครอบครอง Eurasia เช่น เดียวกับอังกฤษ เพราะกลุ่มผู้วางแผนให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งเดินแผนครองโลกก็คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นลูกศิษย์ครู Mac ใน ด้านภูมิศาสตร์การเมืองเหมือนกัน หรือมีความเห็นไม่ต่างกับครู Mac อิทธิพลครูMac นี่ไม่เบาเลย

    ผู้วางแผนปฏิบัติการของอเมริกาก็คือ ถังความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา Council of Foreign Relations หรือ CFR ตัวแสบนี่แหละ ที่ซ้อนแผนของอังกฤษอีกต่อหนึ่ง CFR โดยการชักใยของพวกอีลิต ที่อยากจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลอเมริกัน นำโดยตระกูล Rockefeller ทำหน้าที่ คัดสรร จัดหา วางตัว และผลักดันบุคคล ที่พวกตนเลือก เข้าไปอยู่ในตำแหน่ง และองค์กรสำคัญๆ ของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อมาดำเนินการตามแผน อย่างต่อเนื่อง

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินแผนครองโลกของอเมริกา เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ที่ CFR เป็นผู้จัดทำให้รัฐบาลอเมริกาปฏิบัติ ตามโครงการนี้ อเมริกาต้องมุ่งหน้า แผ่อิทธิพลเข้าไป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และประเทศต่างๆที่หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งกับอีกหลายประเทศในยุโรป ที่พังยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการ War and Peace เรียกบริเวณต่างๆ เหล่านั้นว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับการล่า เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นหมายเลขหนึ่ง ผู้ครองโลกใบนี้

    เป็นการวางแผน เพื่อชิงโลกคนละเส้นทางกับครูMac แต่สอดคล้องกัน โดย เป็นการค่อยๆล้อม Eurasia มาจากอีกฝั่งหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์กระชับวงล้อมแบบที่อเมริกาชอบใช้

    จังหวะและการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่โครงการ War and Peace กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง “แหกคอก”)

    โดยการวางแผนของ CFR หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล อเมริกันเริ่มแผน โดยมุ่งหน้ามาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ด้วยการสร้างผีคอมมิวนิสต์และทฤษฎีโดมิโน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมทั้งแดนสมันน้อย ก็ตกอยู่ในกำมือ ไม่ต่างกับเป็นเมืองขึ้นกลายๆของอเมริกา รวมกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโลก และอยู่ในกระเป๋าของอเมริกาไปก่อนแล้ว อเมริกา จึงเหมือนได้เอเซียไปเกือบหมด ยกเว้น จีน อินเดีย และเกาหลีเหนือ
    พร้อมกับการรวบเอเซีย อเมริกาก็จัดการกวาดประเทศแถบลาตินอเมริกามาได้เกือบหมดด้วย ยกเว้นคิวบา หนามยอกอกของอเมริกา ซึ่งเอียงไปทางฝั่งสหภาพโซเวียตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย และมายากลยุทธ)

    หมากต่อไปที่อเมริกาต้องรีบเดิน ตามอิทธิพลของยุทธศาสตร์ครู Mac คือ การชิง Heartland ของ Eurasia ทฤษฎีการปิดล้อม หรือ Containment สหภาพโซเวียต ที่นำไปสู่สงครามเย็น จึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1947 เป็นต้นมา

    ด้วยการ Containment ของอเมริกาและพวก เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจึงอาการสาหัส แต่โซเวียตก็ยังไม่ล้มอย่างที่อเมริกาคาด ทุบจากข้างนอกไม่ล้ม อเมริกาจึงเปลี่ยนเป็นแผนทุบจากข้างใน ค.ศ.1985 Mikhail Gorbachev เป็น ผู้คุมบังเหียนสหภาพโซเวียต เห็นคนนอกดีกว่าคนในเพราะอะไรคงเดากันออก ได้ตัดเชือกที่ผูกสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกันขาดสะบั้น ตามต่อด้วย Boris Yelsin ใน ปี ค.ศ.1990 ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในที่สุด ค.ศ.1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายสมใจอเมริกา (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง” มายากลยุทธ”)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 2 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมองอเมริกาเหมือนเป็นเด็กอ่อน เขี้ยวยังไม่งอก ดังนั้นอังกฤษจึงตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า เป็นผู้ควบคุมเกมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 อังกฤษอยากทำสงคราม แต่กำลังถังแตก! ไม่มีทุน แต่คิดการใหญ่ จึงมีการวางแผนหลอกล่อ ให้อเมริกาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษเข้าทำสงคราม แผนการหลอกล่ออเมริกานี้ เกิด ขึ้นจากการ ร่วมมือของเหล่าอิลีต นักการเมือง นักธุรกิจข้ามชาติ และนักการเงิน ของทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่คิดร่ำรวย จากการยุให้ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เข้าทำสงครามโลก โดยให้ Think Tank ถังความคิด Chatham House ของฝั่งอังกฤษและ Council on Foreign Relations (CFR) ของฝั่งอเมริกา ร่วมกันวางแผนดำเนินการ นักธุรกิจ ไม่ว่าสมัยไหน และเชื้อชาติไหน ส่วนใหญ่ก็คิดเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งสิ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ช่างมัน แต่แท้จริงแล้ว อเมริกา ที่อังกฤษคิดว่าเป็นเด็กอ่อนเขี้ยวยังไม่งอก แอบเอาเขี้ยวหลบใน อเมริกามองข้ามซ๊อตไกลไปกว่าพวกชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดเสียอีก! อเมริกาเห็นว่า ไม่ใช่จะมีแต่อังกฤษเท่านั้น ที่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้ครองโลกหมายเลขหนึ่ง อเมริกาเองก็มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งเหมือนกัน อเมริกาจึงวางแผน ที่มีทั้งความลึก และใช้เวลายาวนานอย่างเหลือเขื่อ ! อเมริกา วางแผนล่วงหน้าที่จะให้มีทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 รวมทั้งวางแผน จังหวะเวลาที่เหมาะสม สำหรับอเมริกา ที่จะเข้าสู่สงครามโลกแต่ละครั้ง และสุดท้ายจะเป็นรายเดียวของผู้ชนะสงครามโลก ที่ไม่บอบช้ำ วางแผนสมกับจะเป็นผู้นำโลกจริงๆ อเมริกาเล่นบทเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย การลงทุนให้การสนับสนุนอังกฤษ ทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ให้อังกฤษนำการรบ ให้อังกฤษจัดการคว่ำเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในยุโรป โดยมีฝรั่งเศษ อิตาลีและ รัสเซีย เป็นกองเชียร์สนับสนุนและรุมทุบ โดยอเมริกาไม่ต้องออกแรง หลังจากนั้นอเมริกาวางแผนหนุนรัสเซีย ให้ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เกิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เห็นเขี้ยวอเมริกาหรือยัง อเมริกาวางแผนการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน จังหวะที่จะส่งผลให้อังกฤษและยุโรปบอบซ้ำ ฉิบหาย กระเป๋าฉีก บ้านเมืองพังพินาศ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงจะเหลืออเมริกาประเทศใหญ่ ประเทศเดียวที่ไม่มีการบอบซ้ำ และผงาดเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่อังกฤษ ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ (รายละเอียดของตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง”มายากลยุทธ”) อเมริกาไม่ใช่มีเขี้ยวธรรมดา แต่เป็นเขี้ยวที่แหลมคมยิ่ง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และอเมริกาก็ไม่ได้ถูกอังกฤษหลอกต้ม แต่อเมริกาปล่อยให้คิดว่า อเมริกาถูกหลอก จริงๆแล้วอเมริกาเอง ก็มีความคิดที่จะเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก โดยการครอบครอง Eurasia เช่น เดียวกับอังกฤษ เพราะกลุ่มผู้วางแผนให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งเดินแผนครองโลกก็คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นลูกศิษย์ครู Mac ใน ด้านภูมิศาสตร์การเมืองเหมือนกัน หรือมีความเห็นไม่ต่างกับครู Mac อิทธิพลครูMac นี่ไม่เบาเลย ผู้วางแผนปฏิบัติการของอเมริกาก็คือ ถังความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา Council of Foreign Relations หรือ CFR ตัวแสบนี่แหละ ที่ซ้อนแผนของอังกฤษอีกต่อหนึ่ง CFR โดยการชักใยของพวกอีลิต ที่อยากจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลอเมริกัน นำโดยตระกูล Rockefeller ทำหน้าที่ คัดสรร จัดหา วางตัว และผลักดันบุคคล ที่พวกตนเลือก เข้าไปอยู่ในตำแหน่ง และองค์กรสำคัญๆ ของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อมาดำเนินการตามแผน อย่างต่อเนื่อง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินแผนครองโลกของอเมริกา เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ที่ CFR เป็นผู้จัดทำให้รัฐบาลอเมริกาปฏิบัติ ตามโครงการนี้ อเมริกาต้องมุ่งหน้า แผ่อิทธิพลเข้าไป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกา และประเทศต่างๆที่หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งกับอีกหลายประเทศในยุโรป ที่พังยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการ War and Peace เรียกบริเวณต่างๆ เหล่านั้นว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับการล่า เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การเป็นหมายเลขหนึ่ง ผู้ครองโลกใบนี้ เป็นการวางแผน เพื่อชิงโลกคนละเส้นทางกับครูMac แต่สอดคล้องกัน โดย เป็นการค่อยๆล้อม Eurasia มาจากอีกฝั่งหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นยุทธศาสตร์กระชับวงล้อมแบบที่อเมริกาชอบใช้ จังหวะและการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่โครงการ War and Peace กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง “แหกคอก”) โดยการวางแผนของ CFR หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล อเมริกันเริ่มแผน โดยมุ่งหน้ามาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ด้วยการสร้างผีคอมมิวนิสต์และทฤษฎีโดมิโน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมทั้งแดนสมันน้อย ก็ตกอยู่ในกำมือ ไม่ต่างกับเป็นเมืองขึ้นกลายๆของอเมริกา รวมกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโลก และอยู่ในกระเป๋าของอเมริกาไปก่อนแล้ว อเมริกา จึงเหมือนได้เอเซียไปเกือบหมด ยกเว้น จีน อินเดีย และเกาหลีเหนือ พร้อมกับการรวบเอเซีย อเมริกาก็จัดการกวาดประเทศแถบลาตินอเมริกามาได้เกือบหมดด้วย ยกเว้นคิวบา หนามยอกอกของอเมริกา ซึ่งเอียงไปทางฝั่งสหภาพโซเวียตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย และมายากลยุทธ) หมากต่อไปที่อเมริกาต้องรีบเดิน ตามอิทธิพลของยุทธศาสตร์ครู Mac คือ การชิง Heartland ของ Eurasia ทฤษฎีการปิดล้อม หรือ Containment สหภาพโซเวียต ที่นำไปสู่สงครามเย็น จึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1947 เป็นต้นมา ด้วยการ Containment ของอเมริกาและพวก เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตจึงอาการสาหัส แต่โซเวียตก็ยังไม่ล้มอย่างที่อเมริกาคาด ทุบจากข้างนอกไม่ล้ม อเมริกาจึงเปลี่ยนเป็นแผนทุบจากข้างใน ค.ศ.1985 Mikhail Gorbachev เป็น ผู้คุมบังเหียนสหภาพโซเวียต เห็นคนนอกดีกว่าคนในเพราะอะไรคงเดากันออก ได้ตัดเชือกที่ผูกสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกันขาดสะบั้น ตามต่อด้วย Boris Yelsin ใน ปี ค.ศ.1990 ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในที่สุด ค.ศ.1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายสมใจอเมริกา (รายละเอียดตอนนี้อยู่ในนิทานเรื่อง” มายากลยุทธ”) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 Comments 0 Shares 642 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 1

    กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง

    อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 !

    รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ

    ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

    คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์

    Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ)

    ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน !
    รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่

    แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู!

    ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก

    บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ

    Who rules East Europe commands the Heartland
    Who rules the Heartland commands the World Island
    Who rules the World Island commands the World

    นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia

    แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ)

    คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 1 กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 ! รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ) ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน ! รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่ แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู! ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ Who rules East Europe commands the Heartland Who rules the Heartland commands the World Island Who rules the World Island commands the World นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ) คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 Comments 0 Shares 797 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 6

    สงครามอิรักอิหร่าน ที่ถูกชักใยโดยอเมริกา ทำให้ชาวอิหร่านตายไปไม่น้อยกว่า 300,000 คน และชีวิตชาวอิรักอีกประมาณ 100,000 คน มีคนเจ็บประเทศละไม่น้อยกว่า 700,000 คน ส่วนการรบในอาฟกานิสถาน ระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ชีวิตของคนอาฟกันต้องเสียไปประมาณ 1 ล้านคน (รวมทั้งทหารของสหภาพโซเวียตอีก 15,000 นาย) 1 ใน 3 ของชาวอาฟกันกลายเป็นผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามเต้นท์ และมันกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการต่อต้านการล่าอาณานิคม คราวนี้ไม่ใช่นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่เป็นอเมริกา นักล่าหน้าใหม่ ใจเหี้ยมโหด จากแผ่นดินใหญ่ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง เป็นวีรกรรมที่ต้องบันทึกไว้

    เมื่อสหภาพโซเวียตล้มครืนในปี ค.ศ.1991 อเมริกากระหยิ่ม คิดว่าเส้นทางก้าวสู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกสะดวกโล่ง เมื่อคู่แข่งคนสำคัญถูกเขี่ยตกไปจากลู่แข่ง มันอาจจะเป็นการตกจากลู่แข่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้คิดอย่างนั้น ความเกลียด ความสะใจคงจะทำให้มองภาพไม่ชัด อเมริกาคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่จะสยายปีกมาทางตะวันออกกลาง และยิ่งเมื่อ Khomeini ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว อิหร่านคงไม่แกร่งอย่างเดิม อเมริกาไม่จำเป็นต้อง “เลี้ยง” อิหร่านอีกต่อไป ยักษ์ล้มไปแล้ว ยันต์กันยักษ์ไม่มีความหมายเหมือนเก่า

    แต่ดูเหมือนอเมริกาจะอ่านไม่ขาด สงครามอิรัก อิหร่าน กลับทำให้การปกครองของ Khomeini เข้มแข็งขึ้น ชาวตะวันออกเห็นความอึดและเด็ดขาดของ Khomeini ชัดเจน มีการรวมตัวกันมากขึ้น เพราะเห็นเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อสหภาพโซเวียตที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งคนเดียว ที่พอจะต่อกรกับอเมริกาได้ถูกน๊อคนับ 10 กลุ่มอิสลามกลับคิดรวมตัวกัน เพื่อป้องกันการครอบครองของอเมริกา และเริ่มเข้าไปมีส่วนในการเมืองในภูมิภาคของตนเอง

    นอกจากนั้น การที่อเมริกาอุดหนุนให้อาวุธ และทำการฝึกให้กลุ่มอาฟกันและ Mujahadeen เพื่อให้ไปโซ้ยกับรัสเซียแทนตนนั้น ทำให้กลุ่มอิสลามติดอาวุธพวกนี้ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาเชื่อว่า เมื่อล้มยักษ์ได้ตัวหนึ่ง (สหภาพโซเวียต) ทำไมจะล้มยักษ์ตัวอื่นๆอีกไม่ได้ และเมื่อเริ่ม ค.ศ.1990 เป็นต้นมา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงก็ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหยื่อที่มีก้าง ติดเสียบค้างอยู่กลางคอของอเมริกา

    การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไม่ได้นำความสะใจมาให้อเมริกาแต่อย่างเดียว น่าจะนำความวุ่นวายใจมาให้ด้วย หลังสหภาพโซเวียตล่ม กลับมีการเกิดใหม่ของรัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของสหภาพโซเวียต ทยอยออกมาตั้งเป็นรัฐอิสระ รัฐเล็กๆเหล่านี้เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากร จิ้มไปตรงไหน ไม่น้ำมันผุดก็แก๊สพุ่ง แบบนี้นักล่าต่างๆจะอดใจไหวอย่างไร แต่คราวนี้พวกที่จ้องกันน้ำลายไหลไม่ได้มีแต่นักล่าตะวันตก ประเทศที่เพิ่งโตเช่น จีน และแม้แต่เจ้าของเก่าเช่นรัสเซีย ก็ออกอาการ

    นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่ ออกมากระตุกแขนอเมริกา อย่าลืมนะ รางวัลใหญ่คือ Eurasia ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้

    อิหร่านที่มีเขตแดนติดอยู่กับสหภาพโซเวียตเดิม ยาวพันกว่ากิโลเมตร เป็นเพื่อนบ้านกันมากับรัฐเล็ก รัฐน้อยแถบนั้น ผูกพันกันทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าต่างถิ่น เดินเข้าไปชิงตัดหน้าอย่างนั้นหรือ อิหร่านเริ่มเสนอโครงการท่อส่งสามัคคี ยาวตั้งแต่ Caspian Sea จากทางเหนือลงใต้ไปถึงอ่าว Persia ถ้าข้อเสนอของอิหร่านเกิดขึ้น ความฝันที่จะชิงรางวัลใหญ่ของอเมริกาก็คงริบหรี่ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร
    อเมริกาพยายามคิดวิธีการที่จะจัดการกับอิหร่าน สมัยรัฐบาล Clinton เขาบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปขยี้อิหร่านหรอก อิหร่านไม่ใช่คู่แข่งของเรา เราเอาการค้านำหน้า เป็นการค้าเสรีให้มันทั่วโลก พวกเขาไม่ฉลาดเท่าเราหรอก เราเปิดให้ทุนเข้าไปไม่เท่าไร เดี๋ยวเราก็กินเขาได้หมดเองน่า เออ! มันก็ได้ผลหลายที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะคี้ยวได้ง่าย แต่สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าอิหร่านเป็นเป้าสำคัญในตะวันออกกลาง ถ้าเราปล่อยให้อิหร่านโตไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อไปอิหร่านจะหันหน้าไปซบใคร สู้ตัดตอนมันไปเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ

    เมื่อ George Bush ได้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2000 หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สายเหยี่ยวได้โอกาส (หรือสร้างโอกาส..!?) ประกาศว่า เราต้องจัดระเบียบโลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย แล้วอิหร่านและอิรักก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่อเมริกาจะต้อง “จัดการ” รุ่นแรก

    รัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld และผู้ช่วยตัวแสบ Paul Wolfowitz บอกว่าเราต้องสูบพวกนี้ออกมาให้หมดจากบริเวณตะวันออกกลาง “draining the swamp” แล้วพ่วงเอาผู้ปกครองอิรัก อิหร่าน และซีเรียไปด้วย เพราะพวกนี้แหละที่เป็นตัวขวางไม่ให้อเมริกาสยายปีกการล่าเหยื่อในตะวันออกกลาง

    การสูบน้ำออกจากหนอง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เมื่ออเมริกาทิ้งบอมบ์อาฟกานิสถาน และล้มรัฐบาลตาลีบัน (ซึ่งสร้างมากับมือ) อิรักเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ Saddam จะไม่เป็นอิสลาม และไม่ได้เป็นพวกอัลกออิดะห์ แต่การอยู่ของ Saddam ทำให้อเมริการำคาญใจ เพราะเกะกะขวางทางการไปเอาน้ำมันในอิรัก ขั้นตอนสุดท้ายคืออิหร่าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับรายการ 11 กันยา แถมยังยอมให้อเมริกาเข้ามาในเขตแดนของอิหร่าน ตอนกวาดพวกตาลีบันด้วย

    แต่อิหร่านเป็นแม่พิมพ์ของพวกอิสลามเคร่งครัด ถ้าแม่พิมพ์ยังอยู่ดี เดี๋ยวก็มีการถ่ายแบบกันไปทั่วตะวันออกกลาง อเมริการับไม่ได้ แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นข่าวที่เริ่มกระจายออกไปว่า อิหร่านก็คิดมีเพื่อน และเพื่อนที่อิหร่านอยากคบคือรัสเซียและจีน ซึ่งยืนตรงกันข้ามกับอเมริกา โดยเฉพาะรัสเซีย และจากสาเหตุสุดท้ายนี้ อิหร่านก็ได้ถูกเลื่อนอันดับอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาล Bush เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่จะต้องถูกจัดการสังเวยความกระหายน้ำมันและอำนาจ บวกความหมั่นไส้ที่ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองข้ามหัวอเมริกาอย่างท้าท้าย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 6 สงครามอิรักอิหร่าน ที่ถูกชักใยโดยอเมริกา ทำให้ชาวอิหร่านตายไปไม่น้อยกว่า 300,000 คน และชีวิตชาวอิรักอีกประมาณ 100,000 คน มีคนเจ็บประเทศละไม่น้อยกว่า 700,000 คน ส่วนการรบในอาฟกานิสถาน ระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ชีวิตของคนอาฟกันต้องเสียไปประมาณ 1 ล้านคน (รวมทั้งทหารของสหภาพโซเวียตอีก 15,000 นาย) 1 ใน 3 ของชาวอาฟกันกลายเป็นผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามเต้นท์ และมันกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการต่อต้านการล่าอาณานิคม คราวนี้ไม่ใช่นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่เป็นอเมริกา นักล่าหน้าใหม่ ใจเหี้ยมโหด จากแผ่นดินใหญ่ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง เป็นวีรกรรมที่ต้องบันทึกไว้ เมื่อสหภาพโซเวียตล้มครืนในปี ค.ศ.1991 อเมริกากระหยิ่ม คิดว่าเส้นทางก้าวสู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกสะดวกโล่ง เมื่อคู่แข่งคนสำคัญถูกเขี่ยตกไปจากลู่แข่ง มันอาจจะเป็นการตกจากลู่แข่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้คิดอย่างนั้น ความเกลียด ความสะใจคงจะทำให้มองภาพไม่ชัด อเมริกาคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่จะสยายปีกมาทางตะวันออกกลาง และยิ่งเมื่อ Khomeini ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว อิหร่านคงไม่แกร่งอย่างเดิม อเมริกาไม่จำเป็นต้อง “เลี้ยง” อิหร่านอีกต่อไป ยักษ์ล้มไปแล้ว ยันต์กันยักษ์ไม่มีความหมายเหมือนเก่า แต่ดูเหมือนอเมริกาจะอ่านไม่ขาด สงครามอิรัก อิหร่าน กลับทำให้การปกครองของ Khomeini เข้มแข็งขึ้น ชาวตะวันออกเห็นความอึดและเด็ดขาดของ Khomeini ชัดเจน มีการรวมตัวกันมากขึ้น เพราะเห็นเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อสหภาพโซเวียตที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งคนเดียว ที่พอจะต่อกรกับอเมริกาได้ถูกน๊อคนับ 10 กลุ่มอิสลามกลับคิดรวมตัวกัน เพื่อป้องกันการครอบครองของอเมริกา และเริ่มเข้าไปมีส่วนในการเมืองในภูมิภาคของตนเอง นอกจากนั้น การที่อเมริกาอุดหนุนให้อาวุธ และทำการฝึกให้กลุ่มอาฟกันและ Mujahadeen เพื่อให้ไปโซ้ยกับรัสเซียแทนตนนั้น ทำให้กลุ่มอิสลามติดอาวุธพวกนี้ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาเชื่อว่า เมื่อล้มยักษ์ได้ตัวหนึ่ง (สหภาพโซเวียต) ทำไมจะล้มยักษ์ตัวอื่นๆอีกไม่ได้ และเมื่อเริ่ม ค.ศ.1990 เป็นต้นมา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงก็ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหยื่อที่มีก้าง ติดเสียบค้างอยู่กลางคอของอเมริกา การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไม่ได้นำความสะใจมาให้อเมริกาแต่อย่างเดียว น่าจะนำความวุ่นวายใจมาให้ด้วย หลังสหภาพโซเวียตล่ม กลับมีการเกิดใหม่ของรัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของสหภาพโซเวียต ทยอยออกมาตั้งเป็นรัฐอิสระ รัฐเล็กๆเหล่านี้เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากร จิ้มไปตรงไหน ไม่น้ำมันผุดก็แก๊สพุ่ง แบบนี้นักล่าต่างๆจะอดใจไหวอย่างไร แต่คราวนี้พวกที่จ้องกันน้ำลายไหลไม่ได้มีแต่นักล่าตะวันตก ประเทศที่เพิ่งโตเช่น จีน และแม้แต่เจ้าของเก่าเช่นรัสเซีย ก็ออกอาการ นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่ ออกมากระตุกแขนอเมริกา อย่าลืมนะ รางวัลใหญ่คือ Eurasia ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้ อิหร่านที่มีเขตแดนติดอยู่กับสหภาพโซเวียตเดิม ยาวพันกว่ากิโลเมตร เป็นเพื่อนบ้านกันมากับรัฐเล็ก รัฐน้อยแถบนั้น ผูกพันกันทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าต่างถิ่น เดินเข้าไปชิงตัดหน้าอย่างนั้นหรือ อิหร่านเริ่มเสนอโครงการท่อส่งสามัคคี ยาวตั้งแต่ Caspian Sea จากทางเหนือลงใต้ไปถึงอ่าว Persia ถ้าข้อเสนอของอิหร่านเกิดขึ้น ความฝันที่จะชิงรางวัลใหญ่ของอเมริกาก็คงริบหรี่ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร อเมริกาพยายามคิดวิธีการที่จะจัดการกับอิหร่าน สมัยรัฐบาล Clinton เขาบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปขยี้อิหร่านหรอก อิหร่านไม่ใช่คู่แข่งของเรา เราเอาการค้านำหน้า เป็นการค้าเสรีให้มันทั่วโลก พวกเขาไม่ฉลาดเท่าเราหรอก เราเปิดให้ทุนเข้าไปไม่เท่าไร เดี๋ยวเราก็กินเขาได้หมดเองน่า เออ! มันก็ได้ผลหลายที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะคี้ยวได้ง่าย แต่สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าอิหร่านเป็นเป้าสำคัญในตะวันออกกลาง ถ้าเราปล่อยให้อิหร่านโตไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อไปอิหร่านจะหันหน้าไปซบใคร สู้ตัดตอนมันไปเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ เมื่อ George Bush ได้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2000 หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สายเหยี่ยวได้โอกาส (หรือสร้างโอกาส..!?) ประกาศว่า เราต้องจัดระเบียบโลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย แล้วอิหร่านและอิรักก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่อเมริกาจะต้อง “จัดการ” รุ่นแรก รัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld และผู้ช่วยตัวแสบ Paul Wolfowitz บอกว่าเราต้องสูบพวกนี้ออกมาให้หมดจากบริเวณตะวันออกกลาง “draining the swamp” แล้วพ่วงเอาผู้ปกครองอิรัก อิหร่าน และซีเรียไปด้วย เพราะพวกนี้แหละที่เป็นตัวขวางไม่ให้อเมริกาสยายปีกการล่าเหยื่อในตะวันออกกลาง การสูบน้ำออกจากหนอง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เมื่ออเมริกาทิ้งบอมบ์อาฟกานิสถาน และล้มรัฐบาลตาลีบัน (ซึ่งสร้างมากับมือ) อิรักเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ Saddam จะไม่เป็นอิสลาม และไม่ได้เป็นพวกอัลกออิดะห์ แต่การอยู่ของ Saddam ทำให้อเมริการำคาญใจ เพราะเกะกะขวางทางการไปเอาน้ำมันในอิรัก ขั้นตอนสุดท้ายคืออิหร่าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับรายการ 11 กันยา แถมยังยอมให้อเมริกาเข้ามาในเขตแดนของอิหร่าน ตอนกวาดพวกตาลีบันด้วย แต่อิหร่านเป็นแม่พิมพ์ของพวกอิสลามเคร่งครัด ถ้าแม่พิมพ์ยังอยู่ดี เดี๋ยวก็มีการถ่ายแบบกันไปทั่วตะวันออกกลาง อเมริการับไม่ได้ แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นข่าวที่เริ่มกระจายออกไปว่า อิหร่านก็คิดมีเพื่อน และเพื่อนที่อิหร่านอยากคบคือรัสเซียและจีน ซึ่งยืนตรงกันข้ามกับอเมริกา โดยเฉพาะรัสเซีย และจากสาเหตุสุดท้ายนี้ อิหร่านก็ได้ถูกเลื่อนอันดับอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาล Bush เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่จะต้องถูกจัดการสังเวยความกระหายน้ำมันและอำนาจ บวกความหมั่นไส้ที่ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองข้ามหัวอเมริกาอย่างท้าท้าย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 633 Views 0 Reviews
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 5

    ในขณะนั้นการกีดกั้นสหภาพโซเวียต เป็นสุดยอดนโยบายของอเมริกา นักยุทธศาสตร์ชั้นเซียนของอเมริกา ต่างเชื่อกันว่าขบวนการ Khomeini จะเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านระบอบคอมมิวนิตส์ ไม่ให้เข้ามาในอิหร่าน และคิดไกลไปถึงว่า เนื่องจากเป็นพวกกลุ่มศาสนา อาจจะไม่สนใจหรือไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจดีพอ ก็อาจจะยอมให้พวกอิหร่านที่นิยมอเมริกาและชำนาญด้านเศรษฐกิจเป็นผู้ชี้นำประเทศในภายหลัง แต่จริงๆแล้วในรัฐบาล Carter ไม่มีใครรู้จัก Khomeini จริง และไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของขบวนการ Khomeini มุ่งหน้าไปถึงไหน พวก CIA ที่อเมริกายกโขยงมาอยู่ที่อิหร่าน กลุ่มใหญ่มัวแต่จับตาดูไปที่สห ภาพโซเวียต เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ CIA ได้บันทึกไว้ตอนหลังว่า “….จริงๆแล้วรัฐบาล Carter ไม่รู้เลยว่า Khomeini เป็นใคร กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว…..”

    วันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1979 อเมริกันก็ถูกปลุกอีกครั้งหนึ่ง จากข่าวด่วนว่านักศึกษาที่เป็นอิสลามบุกยึดสถานฑูตอเมริกาที่กรุงเตหะราน โดยมีไฟเขียวของ Khomeini นำหน้า และยึดเจ้าหน้าที่สถานฑูตเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้อเมริกาส่ง Shah กลับมาขึ้นศาลในอิหร่าน

    ชนวนการบุกสถานฑูต มาจากการที่อเมริกาตกลงให้ Shah ซึ่งป่วยหนักในขณะนั้น ไปรักษาตัวที่อเมริกา และจากการที่มีข่าวว่า ได้มีการนัดพบกันที่อัลจีเรีย ระหว่างที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Carter คือนาย Zbigniew Brzezinski กับนายกรัฐมนตรีอิหร่าน รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับ Khomeini แต่สนับสนุนอเมริกา ถึงพวกเดียวกันแต่อุดมการณ์ต่างกันไกล อเมริกาคงยังนึกไม่ถึง

    ไม่นานหลังจากที่สถานฑูตอเมริกาโดนยึดในเดือนธันวาคม ค.ศ.1979 สหภาพโซเวียก็ฉวยโอกาสลองของ บุกเข้าไปในอาฟกานิสถาน

    อาฟกานิสถาน ถือว่าเป็นกันชนสำคัญ กั้นเส้นทางเดินของสหภาพโซเวียต ที่จะเดินผ่านปากีสถานเข้ามายังอิหร่านและอ่าวเปอร์เซีย การลองของครั้งนี้ของสหภาพโซเวียต ทำให้อเมริกาสะดุ้งเหมือนถูกไฟซ๊อต สหภาพโซเวียตคงไม่ได้คิดแค่เข้ามานั่งเล่นที่อาฟกานิสถานแน่ แผนของโซเวียตน่าจะลึกกว่านั้น มันเหมือนเป็นการท้าทายในการแข่งขันช่วงชิงอำนาจในบริเวณทั้งหมดของตะวันออกกลาง มหาสมุทรอินเดีย อาฟริกา คาบสมุทรอารเบียน ถึงบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาคิดเช่นนั้น และอเมริกายอมไม่ได้

    23 มกราคม ค.ศ.1980 อเมริการวบรวมลูกหาบเจ้าของบ่อน้ำมันแถวทะเลทราย บุกเข้าไปยึดอาฟกานิสถานคืน สหภาพโซเวียตรู้แล้วว่ากล่องดวงใจของอเมริกาอยู่ที่ไหน ถอยทัพกลับไปหน้าตาเฉย
    นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่รีบประกาศว่า เราต้องปรับยุทธศาสตร์การครองโลกของอเมริกาเสียใหม่ การควบคุมอ่าวเปอร์เซีย ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญอันดับแรก ที่อเมริกาต้องรีบดำเนินการ พร้อมกับการประกาศ ที่ปรึกษาใหญ่ทำบันทึกถึงประธานาธิบดี Carter (สั่ง) ประธานาธิบดีว่า “เราจะต้องรีบดำเนินการ ขวางการแทรกเข้ามาในบริเวณนี้ของสหภาพโซเวียต เราน่าจะต้องให้ของขวัญแบบ “สงครามเวียตนาม” ให้แก่สหภาพโซเวียตบ้าง” ขิงแก่ของจริง รสเผ็ดจัด

    ตลอดเวลากว่า 10 ปี รัฐบาลอเมริกัน ส่งอาวุธและความช่วยเหลือเป็นเงินกว่า 3 พันล้านเหรียญ ให้แก่กลุ่มอิสลาม Mujahadeen เพื่อให้สร้างเครือข่ายนักรบอิสลาม และพวกนี้ก็ได้เป็นต้นกำเนิดขวัญใจคาวบอย Bush กลุ่มอัลกออิดะห์ของ Osama Bin Laden เพื่อเอาไว้แหย่ให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายอยู่ที่อาฟกานิสถาน จะได้ไม่มีเวลาข้ามมาเดินเล่นแถวทะเลทรายในตะวันออกกลาง บ่อน้ำมันมีเยอะ ตกลงไปจะลำบาก

    หมากล่อให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายแถวอาฟกานิสถานหมากเดียว คงกลัวเอาไม่อยู่ ต้องแถมให้อิหร่านอีกสักหน่อย เป็นการทำโทษที่บังอาจมายึดสถานฑูตที่เตหะราน นี่มันเป็นการหยามน้ำหน้ากันมากนะ ใหญ่ขนาดนี้ โดนลูบคมซะทื่อไปหมด พี่เบิ้มสมควรจะลาออกจากตำแหน่ง แต่พี่เบิ้มหน้าด้านอยู่แล้ว เก็บความอายไว้ก่อน ยังต้องใช้อิหร่าน จึงยังไม่ทลาย ขอแค่บี้ซ้ายขยี้ขวา ให้อยู่สุขไม่ได้แล้วกัน

    ในขณะนั้น อเมริกามีกองกำลังจำนวนจำกัดอยู่ในแถบทะเลทราย ดังนั้นหมากที่ใช้คือเสี้ยมให้มันรบกันเอง เราอย่าขนคนของเราไปให้เสียเวลาเลยนะ อิรักมีประชากรเป็นชีอ่ะ 60% ซึ่ง Saddam ไม่พอใจและกดขี่อยู่เสมอ แล้วนี่ถ้าอิหร่านซึ่งเป็นชีอ่ะบุกเข้ามาที่อิรัก พากันเปลี่ยนประเทศอิรักป็นรัฐอิสลามที่เคร่งครัดทั้งหมดจะเป็นยังไงนะ แค่เปรยเท่านี้ Saddam ก็เต้น เพราะไม่ชอบชีอ่ะ และไม่อยากเปลี่ยนเป็นอิสลามเคร่งครัด อเมริกาบอก งั้นก็ต้องกันก่อนแก้ซิ Saddam เอ๋ย

    ในปี ค.ศ.1980 ดอกไม้กำลังบานไสวไนฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน อิรักก็บุกอิหร่านตามคำยุของอเมริกา แหม! ทำไมยุขึ้นง่ายอย่างนี้นะ อ้อ! พี่เบิ้มเขาส่งอาวุธให้แบบไม่อั้น กันยายน ค.ศ.1980 อิรักเคลื่อนพลขยับไปจนเกือบเหยียบจมูกอิหร่าน เข้าไปถึงชานเมืองตะวันตกเฉียง ใต้ แล้วกัน Saddam กำลังจัดการงานนอกสั่ง เราสั่งแค่ให้แหย่ ไม่ใช่ให้ยึด ฟังภาษาไม่รู้เรื่องหรือไง Saddam ฟังออก แต่โอกาสมันมาถึงจะให้ถอยก็คงยาก

    ในที่สุดไอ้คนยุก็เลยต้องรีบปรับแผน “แลกกันเอาไหม ยูปล่อยตัวประกันอเมริกันให้หมด ไอส่งอาวุธให้ยู 300-500 ล้านเหรียญ เอาไปถล่ม Saddam กลับ” มันเป็นการแอบเจรจากันระหว่างกลุ่มหนุนหลังของ Reagan (ซึ่งกำลังท้าชิงตำแหน่งกับ Carter ) และทีมงานของ Khomeini แต่ยูปล่อยตัวประกันเมื่อ Reagan ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีนะ
    มันเป็นกลุ่มหนุน Reagan ที่มีแผนลึกซ่อนอยู่ Ayatollah ตกลงกับข้อเสนอ เพราะก็มีแผนลึกซ่อนอยู่เช่นกัน

    มกราคม 21 ค.ศ.1981 Reagan ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในวันที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง อิหร่านก็ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่สถานฑูตที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกันอาบน้ำแต่งตัวกลับบ้านไป

    อเมริกาคิดว่าแผนรุกของตนได้ผล สงครามอิรักอิหร่านดำเนินอยู่ถึง 8 ปี ไม่มีฝ่ายใดชนะหรือแพ้ (เพราะกรรมการเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย) ส่วนที่อาฟกานิสถาน ในที่สุดสหภาพโซเวียตก็แตกพ่าย ถอยทัพหน้าตกกลับประเทศในปี ค.ศ.1989 เป็นการพ่ายแพ้ที่ยับเยินของสหภาพโซเวียต และเป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย อเมริกาผงาดเป็นผู้ชนะ ขึ้นแท่นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก และเป็นการเริ่มต้นของ “สงครามเย็น”

    เรื่องราวของอเมริกากับอิหร่านและตะวันออกกลางกับสหภสาพโซเวียตดูเหมือนจะจบ แต่แค่ดูเหมือน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 5 ในขณะนั้นการกีดกั้นสหภาพโซเวียต เป็นสุดยอดนโยบายของอเมริกา นักยุทธศาสตร์ชั้นเซียนของอเมริกา ต่างเชื่อกันว่าขบวนการ Khomeini จะเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านระบอบคอมมิวนิตส์ ไม่ให้เข้ามาในอิหร่าน และคิดไกลไปถึงว่า เนื่องจากเป็นพวกกลุ่มศาสนา อาจจะไม่สนใจหรือไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจดีพอ ก็อาจจะยอมให้พวกอิหร่านที่นิยมอเมริกาและชำนาญด้านเศรษฐกิจเป็นผู้ชี้นำประเทศในภายหลัง แต่จริงๆแล้วในรัฐบาล Carter ไม่มีใครรู้จัก Khomeini จริง และไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของขบวนการ Khomeini มุ่งหน้าไปถึงไหน พวก CIA ที่อเมริกายกโขยงมาอยู่ที่อิหร่าน กลุ่มใหญ่มัวแต่จับตาดูไปที่สห ภาพโซเวียต เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ CIA ได้บันทึกไว้ตอนหลังว่า “….จริงๆแล้วรัฐบาล Carter ไม่รู้เลยว่า Khomeini เป็นใคร กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว…..” วันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1979 อเมริกันก็ถูกปลุกอีกครั้งหนึ่ง จากข่าวด่วนว่านักศึกษาที่เป็นอิสลามบุกยึดสถานฑูตอเมริกาที่กรุงเตหะราน โดยมีไฟเขียวของ Khomeini นำหน้า และยึดเจ้าหน้าที่สถานฑูตเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้อเมริกาส่ง Shah กลับมาขึ้นศาลในอิหร่าน ชนวนการบุกสถานฑูต มาจากการที่อเมริกาตกลงให้ Shah ซึ่งป่วยหนักในขณะนั้น ไปรักษาตัวที่อเมริกา และจากการที่มีข่าวว่า ได้มีการนัดพบกันที่อัลจีเรีย ระหว่างที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของประธานาธิบดี Carter คือนาย Zbigniew Brzezinski กับนายกรัฐมนตรีอิหร่าน รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับ Khomeini แต่สนับสนุนอเมริกา ถึงพวกเดียวกันแต่อุดมการณ์ต่างกันไกล อเมริกาคงยังนึกไม่ถึง ไม่นานหลังจากที่สถานฑูตอเมริกาโดนยึดในเดือนธันวาคม ค.ศ.1979 สหภาพโซเวียก็ฉวยโอกาสลองของ บุกเข้าไปในอาฟกานิสถาน อาฟกานิสถาน ถือว่าเป็นกันชนสำคัญ กั้นเส้นทางเดินของสหภาพโซเวียต ที่จะเดินผ่านปากีสถานเข้ามายังอิหร่านและอ่าวเปอร์เซีย การลองของครั้งนี้ของสหภาพโซเวียต ทำให้อเมริกาสะดุ้งเหมือนถูกไฟซ๊อต สหภาพโซเวียตคงไม่ได้คิดแค่เข้ามานั่งเล่นที่อาฟกานิสถานแน่ แผนของโซเวียตน่าจะลึกกว่านั้น มันเหมือนเป็นการท้าทายในการแข่งขันช่วงชิงอำนาจในบริเวณทั้งหมดของตะวันออกกลาง มหาสมุทรอินเดีย อาฟริกา คาบสมุทรอารเบียน ถึงบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาคิดเช่นนั้น และอเมริกายอมไม่ได้ 23 มกราคม ค.ศ.1980 อเมริการวบรวมลูกหาบเจ้าของบ่อน้ำมันแถวทะเลทราย บุกเข้าไปยึดอาฟกานิสถานคืน สหภาพโซเวียตรู้แล้วว่ากล่องดวงใจของอเมริกาอยู่ที่ไหน ถอยทัพกลับไปหน้าตาเฉย นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่รีบประกาศว่า เราต้องปรับยุทธศาสตร์การครองโลกของอเมริกาเสียใหม่ การควบคุมอ่าวเปอร์เซีย ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญอันดับแรก ที่อเมริกาต้องรีบดำเนินการ พร้อมกับการประกาศ ที่ปรึกษาใหญ่ทำบันทึกถึงประธานาธิบดี Carter (สั่ง) ประธานาธิบดีว่า “เราจะต้องรีบดำเนินการ ขวางการแทรกเข้ามาในบริเวณนี้ของสหภาพโซเวียต เราน่าจะต้องให้ของขวัญแบบ “สงครามเวียตนาม” ให้แก่สหภาพโซเวียตบ้าง” ขิงแก่ของจริง รสเผ็ดจัด ตลอดเวลากว่า 10 ปี รัฐบาลอเมริกัน ส่งอาวุธและความช่วยเหลือเป็นเงินกว่า 3 พันล้านเหรียญ ให้แก่กลุ่มอิสลาม Mujahadeen เพื่อให้สร้างเครือข่ายนักรบอิสลาม และพวกนี้ก็ได้เป็นต้นกำเนิดขวัญใจคาวบอย Bush กลุ่มอัลกออิดะห์ของ Osama Bin Laden เพื่อเอาไว้แหย่ให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายอยู่ที่อาฟกานิสถาน จะได้ไม่มีเวลาข้ามมาเดินเล่นแถวทะเลทรายในตะวันออกกลาง บ่อน้ำมันมีเยอะ ตกลงไปจะลำบาก หมากล่อให้สหภาพโซเวียตวุ่นวายแถวอาฟกานิสถานหมากเดียว คงกลัวเอาไม่อยู่ ต้องแถมให้อิหร่านอีกสักหน่อย เป็นการทำโทษที่บังอาจมายึดสถานฑูตที่เตหะราน นี่มันเป็นการหยามน้ำหน้ากันมากนะ ใหญ่ขนาดนี้ โดนลูบคมซะทื่อไปหมด พี่เบิ้มสมควรจะลาออกจากตำแหน่ง แต่พี่เบิ้มหน้าด้านอยู่แล้ว เก็บความอายไว้ก่อน ยังต้องใช้อิหร่าน จึงยังไม่ทลาย ขอแค่บี้ซ้ายขยี้ขวา ให้อยู่สุขไม่ได้แล้วกัน ในขณะนั้น อเมริกามีกองกำลังจำนวนจำกัดอยู่ในแถบทะเลทราย ดังนั้นหมากที่ใช้คือเสี้ยมให้มันรบกันเอง เราอย่าขนคนของเราไปให้เสียเวลาเลยนะ อิรักมีประชากรเป็นชีอ่ะ 60% ซึ่ง Saddam ไม่พอใจและกดขี่อยู่เสมอ แล้วนี่ถ้าอิหร่านซึ่งเป็นชีอ่ะบุกเข้ามาที่อิรัก พากันเปลี่ยนประเทศอิรักป็นรัฐอิสลามที่เคร่งครัดทั้งหมดจะเป็นยังไงนะ แค่เปรยเท่านี้ Saddam ก็เต้น เพราะไม่ชอบชีอ่ะ และไม่อยากเปลี่ยนเป็นอิสลามเคร่งครัด อเมริกาบอก งั้นก็ต้องกันก่อนแก้ซิ Saddam เอ๋ย ในปี ค.ศ.1980 ดอกไม้กำลังบานไสวไนฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน อิรักก็บุกอิหร่านตามคำยุของอเมริกา แหม! ทำไมยุขึ้นง่ายอย่างนี้นะ อ้อ! พี่เบิ้มเขาส่งอาวุธให้แบบไม่อั้น กันยายน ค.ศ.1980 อิรักเคลื่อนพลขยับไปจนเกือบเหยียบจมูกอิหร่าน เข้าไปถึงชานเมืองตะวันตกเฉียง ใต้ แล้วกัน Saddam กำลังจัดการงานนอกสั่ง เราสั่งแค่ให้แหย่ ไม่ใช่ให้ยึด ฟังภาษาไม่รู้เรื่องหรือไง Saddam ฟังออก แต่โอกาสมันมาถึงจะให้ถอยก็คงยาก ในที่สุดไอ้คนยุก็เลยต้องรีบปรับแผน “แลกกันเอาไหม ยูปล่อยตัวประกันอเมริกันให้หมด ไอส่งอาวุธให้ยู 300-500 ล้านเหรียญ เอาไปถล่ม Saddam กลับ” มันเป็นการแอบเจรจากันระหว่างกลุ่มหนุนหลังของ Reagan (ซึ่งกำลังท้าชิงตำแหน่งกับ Carter ) และทีมงานของ Khomeini แต่ยูปล่อยตัวประกันเมื่อ Reagan ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีนะ มันเป็นกลุ่มหนุน Reagan ที่มีแผนลึกซ่อนอยู่ Ayatollah ตกลงกับข้อเสนอ เพราะก็มีแผนลึกซ่อนอยู่เช่นกัน มกราคม 21 ค.ศ.1981 Reagan ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในวันที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง อิหร่านก็ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่สถานฑูตที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกันอาบน้ำแต่งตัวกลับบ้านไป อเมริกาคิดว่าแผนรุกของตนได้ผล สงครามอิรักอิหร่านดำเนินอยู่ถึง 8 ปี ไม่มีฝ่ายใดชนะหรือแพ้ (เพราะกรรมการเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย) ส่วนที่อาฟกานิสถาน ในที่สุดสหภาพโซเวียตก็แตกพ่าย ถอยทัพหน้าตกกลับประเทศในปี ค.ศ.1989 เป็นการพ่ายแพ้ที่ยับเยินของสหภาพโซเวียต และเป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย อเมริกาผงาดเป็นผู้ชนะ ขึ้นแท่นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก และเป็นการเริ่มต้นของ “สงครามเย็น” เรื่องราวของอเมริกากับอิหร่านและตะวันออกกลางกับสหภสาพโซเวียตดูเหมือนจะจบ แต่แค่ดูเหมือน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 กันยายน 2557
    0 Comments 0 Shares 773 Views 0 Reviews
More Results