• จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging Choawalit Chotwattanaphong หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ Choawalit Chotwattanaphong https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging [1] หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ [1] https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • 02-05-68/01 : หมี CNN / "3 แยกปากหมา" EP.32(สิ้นเสียงระฆัง..ก็ใส่กันยับสิจ๊ะ)

    ถามจริง? มรึงล่อกูฮาแต่เช้าเลยน่ะเนี่ย? อะไรน่ะ NATO วางแผนลับยึดคาลินินกราด จริงดิ? ว๊ายๆ กูต้องวิ่งไปไหนเนี่ย? ปูติน ลูคาเชนโก กวักมือเรียก "มาให้ไวเลย ดีออก" ISKANDER ล้นทะลักคลังแสงอยู่ ต้องปล่อยออกบ้าง กำลังหาเหยื่อพอดี จุดที่เล็กที่สุด นั่นคือเหยื่อล่อที่ดีที่สุด มรึงรู้มั้ยว่า คาลินินกราด ที่อยู่ท่ามกลางชาตินาโต้ EU ซ่อนเหี้ยอะไรไว้บ้าง รู้แล้วจะหนาวขี้? มินิคุ๊กกี้ รสชาเขียวเพี๊ยบ อยากลองชิมก่อนซักลูกมั้ยล่ะ? อีโปลโดนก่อนเพื่อน ใครหนุนโดนตามทีหลัง? ข่าวปล่อยทั้งนั้น เพื่อดึงความสนใจออกห่างเยรูซาเล็ม และเคียฟ มุกโคตรเก่า?

    มาล่ะ! สายปั่น กระแสมาเต็ม เขี่ยอีลูกสาวร่านหน้าเหลี่ยมกระเด็นเก้าอี้ แคนดิเดท ยังเหมือนเดิม ลุงตู่ ลุงป้อม ลุงพี ใครเขียนสคริปต์ให้ฟ่ะเนี่ย? ความในใจเพ่หย่าย ขอกูซัก 90 วันก็ยังดี ไอ้น้อง เพื่อประดับเป็นบารมีตระกูล ชงคนเป็นนายกมาเยอะแล้ว แต่ตัวเองได้แต่เหลียวหลังมอง ส่วนอีแดง อีส้มเน่า อีน้ำเงิน กำลังจะโดนพิษกรรมเก่าล่ออยู่ ศาลกระดิกตรีนรอเชือด ไม่เห็นเหรอ? เจ้าสัวยังติดคุก 24 ปี ได้ ยุคนี้ อย่ามองข้ามความปลอดภัย เพราะสัญญานตรงจากเหนือใต้หล้าไฟเขียวล้างบางสิ่งสกปรกโสมมแล้วจ๊ะ DSI คิดการณ์ใหญ่ ล้างบางปทุมวันแม่งซะเลย จริงดิ?

    มรึงรู้มั้ยว่า? "คดีออกโฉนดที่ดินสนามกอล์ฟทับที่ป่าสงวน" ที่โดนกันวันนี้ เค้าชงเพื่อปูทางให้ใครกันล่ะ? มองออกยัง? เก้าอี้ อีนายกฯเถื่อน มันปลิวตั้งแต่ตราศาลประทับรับฟ้องแล้ว อะไรที่เคยยึดไป ต้องคืนแผ่นดินทั้งหมด ไม่ได้ขอ แต่เป็นคำสั่งจ๊ะ? ใช่ มันถึงเวลาสะสางความอัปรีย์จัญไรแผ่นดินออกไปให้พ้นได้แล้ว เชือดเหี้ยให้เหี้ยดูก่อน เพื่อส่งสัญญานให้มรึงเตรียมเผ่นไงล่ะ ก็บอกแล้วว่า จ่ายครบ จบจริง ไสหัวไปซะ มันจะมาช่วงเวลาเดียวกับที่ศาลไต่สวนอีเหลี่ยมชาติหมานั่นแหละ ชั้น 14 ไม่รอด มันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรซะอีก พ่วง "เท็จทูล" อันนี้ อาญาตรง ใครจะโง่อยู่รอโดนเชือดกันล่ะ มันถึงไปคุยเตรียมบ้านใหม่อยู่ในพนมเปญไง อีขะแมร์รับอุ้ม แต่อีกไม่นาน อีฮุนเซน ก็จะไม่รอดเช่นกัน มรึงเตรียมคิดหาทางหนีไว้ก่อนเลย?

    "ทหารไทย"ดัดนิสัย" ทหารกัมพูชา ปิดด่านช่องอานม้า หลังพยายามรุกล้ำดินแดน พาดหัวข่าวแบบนี้ เห็นชัดว่าอะไร? สินค้าไทยเป็นที่นิยมใช้กันทั่งประเทศอีขะแมร์ ปิดด่าน สิ่งที่มรึงโดนก่อน 3 เด้งคือ 1.นักพนัน 2.พ่อค้าขาจร 3.สินค้าไทย รู้มั้ยว่า ตามพรมแดน เงินบาทเรามันที่เป็นหอมหวล เป็นที่ต้องการของชาติอาเซียนทั้งหมด อีฮุนเซนนับงานใครมา เพื่อปั่นกระแสพรมแดนไทย-ขะแมร์ ทั้งหมด เพื่อเบี่ยงเบนชั้น 14 และคดีสนามกอล์ฟ ที่จะทำเก้าอี้นายกฯเถื่อนลูกสาวร่านหักคาจอ มันเตรียมเผ่นเข้าไปหาอีฮุนเซนชัวร์ แล้วใครบอกมรึงล่ะว่า ทหารเค้าไม่รู้ อาจมีการหักหลังตามมา อยู่ขะแมร์ เท่ากับเข้าถ้ำเสือ หากทรยศปุ๊บ อีเหลี่ยมตายทั้งเป็น ดิ้นไม่หลุด เอาเป็นตัวประกัน รีดทรัพย์เท่าไหร่ก็ได้ เหี้ยกินเหี้ยไม่ใช่เรื่องใหม่ กรรมมันทันตาเห็น ไมต้องรอนาน อีเหลี่ยมระแวงหนัก ปราสาทจะแดร๊กแล้วจ๊ะ กลัวไปหมด?

    เบื้องหลังศาลฎีกา ไต่สวนเอง ท้าพิสูจน์ความจริงเอง ชั้น 14 ใครตอแหล 3 กระทงมาแน่มรึง? ชาญชัย..นั่นแค่ตัวชง ตัวตบอยู่ที่เสรีจ๊ะ ขึ้นศาลปุ๊บ แถต่อไม่ได้ กล้องวงจรปิดต้องเปิดหมด ลายเซ้นต์ใคร รับผิดไปตามวาระ ต่างกรรม ต่างเวลา นี่ต่างหากคือหมัดน็อค ใครฟ้อง..เหี้ยมันแถได้หมด แต่หากศาลของดูเอง พิสูจน์เอง ว่าไม่มีการบังคับใช้กฎหมายตามคำพิพากษา รู้มั้ยว่า อะไรจะเกิดขึ้น ตายยกกรมคุก ตายยกปทุมวัน ตายยกสภาแพทย์ ตายยกคนเสนอยื่นถวายอภัยลดโทษ หรือทั้งหมด เค้าจัดฉากเตรียมรอไว้อยู่นานแล้ว เพื่อรอวันนี้ จะล่อเหี้ย มรึงต้องเอาให้ตายคาตรีน ยึดทรัพย์ทั้งหมดในแผ่นดินนี้ และค่อยตามไปยึดในเกาะแคริบเบี้ยน สืบไม่ยากดอก เค้ารู้หมดแล้ว ว่ามรึงเอาไปแปรรูปเป็นอะไรบ้าง?

    เมื่ออีทรัมปป์ ตั้งใจพลาดให้จีน เมื่อชงให้มรึงตบ สิ่งที่ตามมาคือ ดิสเครดิตอเมริโกย เป็นไปตามแผน TRUMP LAND ไม่ทุบให้แตกสลายก่อน มันจะแยกดินแดนได้มั้ยล่ะ? เพราะอีกไม่นาน หน่วยความมั่นคงรัฐ จะปะทะ กับกองทัพของรัฐบาลกลางสหรัฐ ผลคือ CIVIL WAR แบบในหนังนั่นแหละ อีทรัมปป์ไม่ตายภายในวันที่ 12 เมษายน ตามที่อีการ์ตูนซิมป์สันกาหัวไว้ ส่งสัญญาน พลิกเกมส์นรก จีนเล่นบทพระเอก อีทรัมปป์เล่นบทผู้ร้าย ส่วนอีโง่ยุโรป เล่นบทตัวอิจฉา ส่วนศรีธนญชัย เล่นบทตีกิน ตีเนียน เผลอเป็นล้าง เมาเป็นเสียบ ทั้งหม่อง และอีขะแมร์ เป็นแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจ เป้าหมายแท้จริงคือ "อโยธยา" ที่เหี้ยยิวอยากจะแดร๊กจนคลั่ง อียิวแห่ทะลักกันเข้ามา นีโอนาซี เหี้ยไอซิสทั้งนั้น หน่วยข่าวกรองเค้ารู้ ยิ่งจัดการง่ายขึ้น เพราะที่นี่อำนาจเป็นของเราเอง ใช้ต่อรองเจรจาไงล่ะ? อยากให้ส่งตัวมั้ย?

    นับ 1 เศรษฐกิจพอเพียง "โมเดลโลกใหม่จ๊ะ" ภูฎาน นำสิ่งที่พ่อร.9 สร้างไปต่อยอด ผู้มีปัญญา ย่อมรู้เห็น เพื่อนบ้าน นานาชาติต่างคิด เราทำอะไรอยู่เนี่ย? ปากท้อง ปัจจัย 4 คือเรื่องสำคัญที่สุด ที่ชีวิตต้องมี ต้องการ แล้วไอ้สิ่งปลอมปนที่เข้ามา ทำให้เราห่างจากสิ่งที่เป็นปัจจัยหลัก ไทยโมเดล จะนำโลกสู่ยุคใหม่ ไทยจะเป็นผู้นำโลกเหรอ? มรึงอย่าได้ดูถูกเชียว วัฒนธรรมไทย น้ำใจคนไทย เมตตาธรรม รากเหง้าไทย มันโดนใจคนทั้งโลก มรึงเห็นได้จาก SOFT POWER THAI ที่แรงสุดลิ่มทิ่มประตู ชุดไทยใส่แล้วสวย ชุดนักเรียนใส่แล้วเท่ห์ อาหาร ขนมไทย ยกนิ้วให้ทั้งโลก

    ปล.หลายเดือนก่อน เคยเห็นแล้ว ข่าวเรื่องชุดล่องหนกองทัพจีน มันล่องหนได้จริง เหมือนมรึงมองไม่เห็นใครเลย ทั้งๆ ที่กองทัพนับร้อย ยืนอยู่หน้ามรึงเนี่ยน่ะ? แล้วจีนต่อยอด เอาไปคลุมเครื่องบิน รถถัง หรือฐานบัญชาการลับอะไรก็ได้ มันคือแผ่นสะท้อนให้ตาเราเข้าใจว่ามันไม่มีอยู่ตรงนั้น ใช้ในสมรภูมิล่ะ มันแน่ ปืนจ่อหัวอยู่นับ 100 กระบอก ศัตรูยังแดร๊กเบียร์ เต้นรำอยู่เลย เหี้ยมะกัน กรี๊ดสนั่น มรึงจะทะลุอวกาศไปถึงไหน ไอ้สัส! ข้ามวิกแป๊บ : ปัญหาชายแดนใต้ แก้ไม่ยาก แค่เจ้ามือ กับคนแทง ให้มันวินวินทั้งคู่ คือจบทันที นัยยะคือ ท่อน้ำเลี้ยงคือรายได้หลัก เมื่อไม่ให้ทำต่อ คนพวกนั้นจะไปไหนได้อีก? ตัดวงจรน้ำเลี้ยงแล้วเปลี่ยนขาจร มาเป็นหน่วยลับแทน ใช้ศัตรูสืบจับศัตรูอีกที และภัยแผ่นดิน แม่งซะเลย มีให้แค่ 2 ทางเลือก จะเข้ากับกู หรือจะให้กูยิงทิ้ง มรึงจะเลือกอะไร? เครือข่ายใคร เค้ารู้หมดแล้ว แค่จะทำตอนไหน ยังไง เท่านั้นเอง? ไม่ต้องไปแตะเหี้ยอะไรมากดอก แค่จัดระเบียบให้เหมือนเดิมก็รอดแล้ว ปัญหาเกิดจากคนใน ย้ายคนชั่วออกไป ทุกอย่างก็จะปกติเอง

    หมี CNN(กูเคยบอกแล้วชิมิ? อะไรที่มรึงไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็น จะได้เจอ ได้เห็นหมด เพราะกลียุค อะไรก็เกิดขึ้นได้ ครั้งแรก ที่ศาลฎีกาประกาศไต่สวนเอง ไปถามนักกฎหมายดูสิ แล้วมรึงจะช็อค "แปลว่าอะไร" ขนาดศาลท่าน ยังเอือมระอากับความบัดซบข้าราชการไทยเองเลย ทั้งอีกรมคุก อีอัยกวย อีสภาแพทย์ อีคนยื่นประทานอภัยลดโทษ ทั้งหมดเป็นขบวนการ วังรู้ วังเห็น ถึงได้ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นไงล่ะ เพื่อตามเช็คบิลย้อนหลัง หากไม่เล่นตามน้ำ แล้วมรึงจะเอาหลักฐานไหน มาระบุว่ามันผิดจริง และโทษรุนแรงกันล่ะ? เห็นเต็มตายัง? ตอนแรก ดิ้นทุรนทุรายกันหย่าย อีเหลี่ยมไม่มีใครทำอะไรมันได้ แล้วมรึงมาดูตอนนี้สิ สภาพมันวันนี้สิ เตรียมเผ่น แต่จะเผ่นได้หรือไม่ ต้องจ่ายครบ จบจริงเท่านั้น เค้าล็อคคอมันอยู่ตอนนี้ คุกถึงตายน่ะมรึง เผ่นชัวร์ แต่ต้องจ่ายขนาดไหนกันล่ะ คืนเงินแผ่นดินที่มรึงโกงมาให้หมดซะ)
    02 พฤษภาคม 68
    12.25 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    02-05-68/01 : หมี CNN / "3 แยกปากหมา" EP.32(สิ้นเสียงระฆัง..ก็ใส่กันยับสิจ๊ะ) ถามจริง? มรึงล่อกูฮาแต่เช้าเลยน่ะเนี่ย? อะไรน่ะ NATO วางแผนลับยึดคาลินินกราด จริงดิ? ว๊ายๆ กูต้องวิ่งไปไหนเนี่ย? ปูติน ลูคาเชนโก กวักมือเรียก "มาให้ไวเลย ดีออก" ISKANDER ล้นทะลักคลังแสงอยู่ ต้องปล่อยออกบ้าง กำลังหาเหยื่อพอดี จุดที่เล็กที่สุด นั่นคือเหยื่อล่อที่ดีที่สุด มรึงรู้มั้ยว่า คาลินินกราด ที่อยู่ท่ามกลางชาตินาโต้ EU ซ่อนเหี้ยอะไรไว้บ้าง รู้แล้วจะหนาวขี้? มินิคุ๊กกี้ รสชาเขียวเพี๊ยบ อยากลองชิมก่อนซักลูกมั้ยล่ะ? อีโปลโดนก่อนเพื่อน ใครหนุนโดนตามทีหลัง? ข่าวปล่อยทั้งนั้น เพื่อดึงความสนใจออกห่างเยรูซาเล็ม และเคียฟ มุกโคตรเก่า? มาล่ะ! สายปั่น กระแสมาเต็ม เขี่ยอีลูกสาวร่านหน้าเหลี่ยมกระเด็นเก้าอี้ แคนดิเดท ยังเหมือนเดิม ลุงตู่ ลุงป้อม ลุงพี ใครเขียนสคริปต์ให้ฟ่ะเนี่ย? ความในใจเพ่หย่าย ขอกูซัก 90 วันก็ยังดี ไอ้น้อง เพื่อประดับเป็นบารมีตระกูล ชงคนเป็นนายกมาเยอะแล้ว แต่ตัวเองได้แต่เหลียวหลังมอง ส่วนอีแดง อีส้มเน่า อีน้ำเงิน กำลังจะโดนพิษกรรมเก่าล่ออยู่ ศาลกระดิกตรีนรอเชือด ไม่เห็นเหรอ? เจ้าสัวยังติดคุก 24 ปี ได้ ยุคนี้ อย่ามองข้ามความปลอดภัย เพราะสัญญานตรงจากเหนือใต้หล้าไฟเขียวล้างบางสิ่งสกปรกโสมมแล้วจ๊ะ DSI คิดการณ์ใหญ่ ล้างบางปทุมวันแม่งซะเลย จริงดิ? มรึงรู้มั้ยว่า? "คดีออกโฉนดที่ดินสนามกอล์ฟทับที่ป่าสงวน" ที่โดนกันวันนี้ เค้าชงเพื่อปูทางให้ใครกันล่ะ? มองออกยัง? เก้าอี้ อีนายกฯเถื่อน มันปลิวตั้งแต่ตราศาลประทับรับฟ้องแล้ว อะไรที่เคยยึดไป ต้องคืนแผ่นดินทั้งหมด ไม่ได้ขอ แต่เป็นคำสั่งจ๊ะ? ใช่ มันถึงเวลาสะสางความอัปรีย์จัญไรแผ่นดินออกไปให้พ้นได้แล้ว เชือดเหี้ยให้เหี้ยดูก่อน เพื่อส่งสัญญานให้มรึงเตรียมเผ่นไงล่ะ ก็บอกแล้วว่า จ่ายครบ จบจริง ไสหัวไปซะ มันจะมาช่วงเวลาเดียวกับที่ศาลไต่สวนอีเหลี่ยมชาติหมานั่นแหละ ชั้น 14 ไม่รอด มันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรซะอีก พ่วง "เท็จทูล" อันนี้ อาญาตรง ใครจะโง่อยู่รอโดนเชือดกันล่ะ มันถึงไปคุยเตรียมบ้านใหม่อยู่ในพนมเปญไง อีขะแมร์รับอุ้ม แต่อีกไม่นาน อีฮุนเซน ก็จะไม่รอดเช่นกัน มรึงเตรียมคิดหาทางหนีไว้ก่อนเลย? "ทหารไทย"ดัดนิสัย" ทหารกัมพูชา ปิดด่านช่องอานม้า หลังพยายามรุกล้ำดินแดน พาดหัวข่าวแบบนี้ เห็นชัดว่าอะไร? สินค้าไทยเป็นที่นิยมใช้กันทั่งประเทศอีขะแมร์ ปิดด่าน สิ่งที่มรึงโดนก่อน 3 เด้งคือ 1.นักพนัน 2.พ่อค้าขาจร 3.สินค้าไทย รู้มั้ยว่า ตามพรมแดน เงินบาทเรามันที่เป็นหอมหวล เป็นที่ต้องการของชาติอาเซียนทั้งหมด อีฮุนเซนนับงานใครมา เพื่อปั่นกระแสพรมแดนไทย-ขะแมร์ ทั้งหมด เพื่อเบี่ยงเบนชั้น 14 และคดีสนามกอล์ฟ ที่จะทำเก้าอี้นายกฯเถื่อนลูกสาวร่านหักคาจอ มันเตรียมเผ่นเข้าไปหาอีฮุนเซนชัวร์ แล้วใครบอกมรึงล่ะว่า ทหารเค้าไม่รู้ อาจมีการหักหลังตามมา อยู่ขะแมร์ เท่ากับเข้าถ้ำเสือ หากทรยศปุ๊บ อีเหลี่ยมตายทั้งเป็น ดิ้นไม่หลุด เอาเป็นตัวประกัน รีดทรัพย์เท่าไหร่ก็ได้ เหี้ยกินเหี้ยไม่ใช่เรื่องใหม่ กรรมมันทันตาเห็น ไมต้องรอนาน อีเหลี่ยมระแวงหนัก ปราสาทจะแดร๊กแล้วจ๊ะ กลัวไปหมด? เบื้องหลังศาลฎีกา ไต่สวนเอง ท้าพิสูจน์ความจริงเอง ชั้น 14 ใครตอแหล 3 กระทงมาแน่มรึง? ชาญชัย..นั่นแค่ตัวชง ตัวตบอยู่ที่เสรีจ๊ะ ขึ้นศาลปุ๊บ แถต่อไม่ได้ กล้องวงจรปิดต้องเปิดหมด ลายเซ้นต์ใคร รับผิดไปตามวาระ ต่างกรรม ต่างเวลา นี่ต่างหากคือหมัดน็อค ใครฟ้อง..เหี้ยมันแถได้หมด แต่หากศาลของดูเอง พิสูจน์เอง ว่าไม่มีการบังคับใช้กฎหมายตามคำพิพากษา รู้มั้ยว่า อะไรจะเกิดขึ้น ตายยกกรมคุก ตายยกปทุมวัน ตายยกสภาแพทย์ ตายยกคนเสนอยื่นถวายอภัยลดโทษ หรือทั้งหมด เค้าจัดฉากเตรียมรอไว้อยู่นานแล้ว เพื่อรอวันนี้ จะล่อเหี้ย มรึงต้องเอาให้ตายคาตรีน ยึดทรัพย์ทั้งหมดในแผ่นดินนี้ และค่อยตามไปยึดในเกาะแคริบเบี้ยน สืบไม่ยากดอก เค้ารู้หมดแล้ว ว่ามรึงเอาไปแปรรูปเป็นอะไรบ้าง? เมื่ออีทรัมปป์ ตั้งใจพลาดให้จีน เมื่อชงให้มรึงตบ สิ่งที่ตามมาคือ ดิสเครดิตอเมริโกย เป็นไปตามแผน TRUMP LAND ไม่ทุบให้แตกสลายก่อน มันจะแยกดินแดนได้มั้ยล่ะ? เพราะอีกไม่นาน หน่วยความมั่นคงรัฐ จะปะทะ กับกองทัพของรัฐบาลกลางสหรัฐ ผลคือ CIVIL WAR แบบในหนังนั่นแหละ อีทรัมปป์ไม่ตายภายในวันที่ 12 เมษายน ตามที่อีการ์ตูนซิมป์สันกาหัวไว้ ส่งสัญญาน พลิกเกมส์นรก จีนเล่นบทพระเอก อีทรัมปป์เล่นบทผู้ร้าย ส่วนอีโง่ยุโรป เล่นบทตัวอิจฉา ส่วนศรีธนญชัย เล่นบทตีกิน ตีเนียน เผลอเป็นล้าง เมาเป็นเสียบ ทั้งหม่อง และอีขะแมร์ เป็นแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจ เป้าหมายแท้จริงคือ "อโยธยา" ที่เหี้ยยิวอยากจะแดร๊กจนคลั่ง อียิวแห่ทะลักกันเข้ามา นีโอนาซี เหี้ยไอซิสทั้งนั้น หน่วยข่าวกรองเค้ารู้ ยิ่งจัดการง่ายขึ้น เพราะที่นี่อำนาจเป็นของเราเอง ใช้ต่อรองเจรจาไงล่ะ? อยากให้ส่งตัวมั้ย? นับ 1 เศรษฐกิจพอเพียง "โมเดลโลกใหม่จ๊ะ" ภูฎาน นำสิ่งที่พ่อร.9 สร้างไปต่อยอด ผู้มีปัญญา ย่อมรู้เห็น เพื่อนบ้าน นานาชาติต่างคิด เราทำอะไรอยู่เนี่ย? ปากท้อง ปัจจัย 4 คือเรื่องสำคัญที่สุด ที่ชีวิตต้องมี ต้องการ แล้วไอ้สิ่งปลอมปนที่เข้ามา ทำให้เราห่างจากสิ่งที่เป็นปัจจัยหลัก ไทยโมเดล จะนำโลกสู่ยุคใหม่ ไทยจะเป็นผู้นำโลกเหรอ? มรึงอย่าได้ดูถูกเชียว วัฒนธรรมไทย น้ำใจคนไทย เมตตาธรรม รากเหง้าไทย มันโดนใจคนทั้งโลก มรึงเห็นได้จาก SOFT POWER THAI ที่แรงสุดลิ่มทิ่มประตู ชุดไทยใส่แล้วสวย ชุดนักเรียนใส่แล้วเท่ห์ อาหาร ขนมไทย ยกนิ้วให้ทั้งโลก ปล.หลายเดือนก่อน เคยเห็นแล้ว ข่าวเรื่องชุดล่องหนกองทัพจีน มันล่องหนได้จริง เหมือนมรึงมองไม่เห็นใครเลย ทั้งๆ ที่กองทัพนับร้อย ยืนอยู่หน้ามรึงเนี่ยน่ะ? แล้วจีนต่อยอด เอาไปคลุมเครื่องบิน รถถัง หรือฐานบัญชาการลับอะไรก็ได้ มันคือแผ่นสะท้อนให้ตาเราเข้าใจว่ามันไม่มีอยู่ตรงนั้น ใช้ในสมรภูมิล่ะ มันแน่ ปืนจ่อหัวอยู่นับ 100 กระบอก ศัตรูยังแดร๊กเบียร์ เต้นรำอยู่เลย เหี้ยมะกัน กรี๊ดสนั่น มรึงจะทะลุอวกาศไปถึงไหน ไอ้สัส! ข้ามวิกแป๊บ : ปัญหาชายแดนใต้ แก้ไม่ยาก แค่เจ้ามือ กับคนแทง ให้มันวินวินทั้งคู่ คือจบทันที นัยยะคือ ท่อน้ำเลี้ยงคือรายได้หลัก เมื่อไม่ให้ทำต่อ คนพวกนั้นจะไปไหนได้อีก? ตัดวงจรน้ำเลี้ยงแล้วเปลี่ยนขาจร มาเป็นหน่วยลับแทน ใช้ศัตรูสืบจับศัตรูอีกที และภัยแผ่นดิน แม่งซะเลย มีให้แค่ 2 ทางเลือก จะเข้ากับกู หรือจะให้กูยิงทิ้ง มรึงจะเลือกอะไร? เครือข่ายใคร เค้ารู้หมดแล้ว แค่จะทำตอนไหน ยังไง เท่านั้นเอง? ไม่ต้องไปแตะเหี้ยอะไรมากดอก แค่จัดระเบียบให้เหมือนเดิมก็รอดแล้ว ปัญหาเกิดจากคนใน ย้ายคนชั่วออกไป ทุกอย่างก็จะปกติเอง หมี CNN(กูเคยบอกแล้วชิมิ? อะไรที่มรึงไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็น จะได้เจอ ได้เห็นหมด เพราะกลียุค อะไรก็เกิดขึ้นได้ ครั้งแรก ที่ศาลฎีกาประกาศไต่สวนเอง ไปถามนักกฎหมายดูสิ แล้วมรึงจะช็อค "แปลว่าอะไร" ขนาดศาลท่าน ยังเอือมระอากับความบัดซบข้าราชการไทยเองเลย ทั้งอีกรมคุก อีอัยกวย อีสภาแพทย์ อีคนยื่นประทานอภัยลดโทษ ทั้งหมดเป็นขบวนการ วังรู้ วังเห็น ถึงได้ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นไงล่ะ เพื่อตามเช็คบิลย้อนหลัง หากไม่เล่นตามน้ำ แล้วมรึงจะเอาหลักฐานไหน มาระบุว่ามันผิดจริง และโทษรุนแรงกันล่ะ? เห็นเต็มตายัง? ตอนแรก ดิ้นทุรนทุรายกันหย่าย อีเหลี่ยมไม่มีใครทำอะไรมันได้ แล้วมรึงมาดูตอนนี้สิ สภาพมันวันนี้สิ เตรียมเผ่น แต่จะเผ่นได้หรือไม่ ต้องจ่ายครบ จบจริงเท่านั้น เค้าล็อคคอมันอยู่ตอนนี้ คุกถึงตายน่ะมรึง เผ่นชัวร์ แต่ต้องจ่ายขนาดไหนกันล่ะ คืนเงินแผ่นดินที่มรึงโกงมาให้หมดซะ) 02 พฤษภาคม 68 12.25 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงกรานต์ชุมชนคนไทยในนิวยอร์ก ถูกยกระดับจัดขึ้นในอาคารของวุฒิสมาชิกในรัฐนิวยอร์ก
    .
    หลังจากทางรัฐนิวยอร์กได้ประกาศให้ประเพณีสงกรานต์ เป็นเทศกาลที่สำคัญของประชากรที่อยู่ในรัฐนิวยอร์ก และจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในสถานที่ราชการสำคัญในอาคารวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นเรื่องที่สำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่สากล และยังเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีระหว่างชุมชนคนเอเชียในต่างแดน

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สงกรานต์ชุมชนคนไทยในนิวยอร์ก ถูกยกระดับจัดขึ้นในอาคารของวุฒิสมาชิกในรัฐนิวยอร์ก . หลังจากทางรัฐนิวยอร์กได้ประกาศให้ประเพณีสงกรานต์ เป็นเทศกาลที่สำคัญของประชากรที่อยู่ในรัฐนิวยอร์ก และจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในสถานที่ราชการสำคัญในอาคารวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นเรื่องที่สำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่สากล และยังเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีระหว่างชุมชนคนเอเชียในต่างแดน #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
  • 16-04-68/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.50 ชื่อตอนว่า "NO CHOICE OR WANNA DIE?" กลยุทธ์การศึกหลายชั้น WWIII ที่ DEEP STATE ต้องการ มันต้องทำลายความมั่นคง ความอุ่นใจ ความสุขใจ ก่อน งาน เงิน ความปลอดภัย หากถูกทำลายสิ้น ความวิตกกังวลจะตามมา ความกลัวจะก่อเกิด ส่งผลถึงโกลาหลทั้งแผ่นดิน ง่ายต่อการปั่นให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ นี่คือสูตรหาแดร๊กที่ใช้กันมานับ 1000 ปี สิ่งนี้แหละ ที่อีทรัมปป์เผาอเมริกาและโลกอยู่ ขั้วใหม่มองออกนานแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวเข้าทางตรีนขั้วใหม่หมด เพราะเค้าวางหมากให้มรึงเดิน ไม่ใช่มรึงมีทางเลือกอื่น? ขั้วใหม่ใช้ BRICS นำ แก้ทุกปัญหาที่เหี้ยก่อไว้ ส่วนเหี้ยใช้คว่ำบาตร กำแพงภาษี ทุบค่าเงิน ปั่นตลาดหุ้น ปล่อยไวรัส ใช้กองกำลังข่มขู่ไปทั่ว สิ่งที่จะเกิด เดาไม่ยาก ชาติน้อยใหญ่ ย่อมเข้าหาผู้ที่แข็งแกร่งปกป้องได้ นั่นคือโลกกำลังจะรวมตัวต่อกันติดไงล่ะ? โดยมีศัตรูของโลกที่ชื่อว่า "ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ ผ่านตัวแทนอย่าง อเมริกา อังกฤษ นาโต้" แยกน้ำ แยกปลาเสร็จ ก็จะได้ถึงวัน D-DAY ซะที

    คำถามคือ? เกมส์จะไปจบที่จุดไหน? ขั้วใหม่บีบ และสร้างขุมกำลังเพิ่มไปเรื่อยๆ ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ โลจิสติค ขณะที่ขั้วเก่าจมปลักอยู่กับแต่สงคราม ปากท้องไม่อิ่ม หลับไม่ลง เยรูซาเล็ม ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค โดนพิษสงคราม เศรษฐกิจ ล่อจนพังยับ ผู้คนลงถนนแน่ การผลัดเปลี่ยนถึงจะเกิด กว่า 100 ปี ที่บรรดาพรรคอนุรักษ์นิยมในสังกัด DEEP STATE ทั่วยุโรป กดหัว กดขี่ พรรคขวาจัดมาช้านาน ถึงคราวเปลี่ยน จึงได้เห็นว่าทำไม วันนี้ พรรคขวาจัดทั่วยุโรป มาแรงแซงทางโค้ง เพราะเค้าเบื่อจะเป็นขี้ข้ายิวเหี้ยกันหมดแล้ว อะไรก็ยิว ประชาชนแค่หาเงินมาจ่ายภาษีอุ้มยิวไปวันวัน แล้วมรึงจะมีผู้นำประเทศไปทำไม หากจะเป็นขี้ข้าไปตลอดชาติ ยิ่งติดบ่วงสงคราม เป้าหมายแท้จริงของขั้วใหม่ ไม่ใช่ก่อสงครามในสมรภูมิ แต่เล่นตรง โจมตีปากท้องประชาชนก่อน ทั่วโลกจะปฎิเสธรัฐบาลหุ่นเชิดยิวกันหมดแล้ว นี่คือจุดอ่อนของปชต.ตอแหล ที่รับใช้นายใหญ่ตัวเดียว BRICS มาเพื่อตอบโจทย์

    WWIII จะไม่เกิดขึ้น หากเหี้ยไม่จนตรอกขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรจะเสีย ต้องล่อมินินุ๊กคุ๊กกี้ เท่านั้น และนั่นคือจุดจบของขั้วอำนาจเก่า ที่ขั้วใหม่รอคอยอยู่ ตั้งต้นศักราชใหม่ โลกที่ปราศจากนายใหญ่เพียงตัวเดียว ระบบการเงินทั้งยุโรป อเมริกา จะพังพินาศ ด้วยบล็อคเชนใหม่ ระบบชำระเงินแบบใหม่ รูปแบบเงินตราใหม่ โลกการเงินดิจิตอลเข้ามาเต็มตัว แต่ก็ยังต้องใช้ทองคำค้ำประกันอยู่ดี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยดอลล่าร์ อีกไม่นาน BRICS จะมีสมาชิกมากกว่า 50 ประเทศ ประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งโลก และนั่นจะก่อเกิดสกุลเงินใหม่ ที่ทั้งโลกต้องใช้ นั่นคือ BRICS DIGITAL CURRENCY การชำระเงินจะง่ายดาย ไม่ว่าจะจ่ายด้วยอะไรมันจะแปรเป็นสกุลเงินหลักโลกทันที แต่ไม่รับดอลล่าร์ ปอนด์ ยูโร บีบให้ขั้วเก่าที่หมดสภาพ ต้องยอมรับกติกาใหม่โลกนั่นเอง แม้แต่ในอาเซียน ในอนาคต มรึงอาจจะได้เห็น ASEAN DIGITAL CURRENCY โดยมี ไทยบาท(THB) เป็นสกุลเงินหลัก เพราะเสถียรที่สุด และนิยมใช้กันแพร่หลายในหมู่ชาติอาเซียนด้วยกัน มันง่ายแค่เปลี่ยนวิธีคำนวณใหม่ กติกาที่ทั้งอาเซียนต่างยอมรับ และมั่นใจ ที่มาของโลกหลายขั้วไงล่ะ?

    อาเซียนต่อไป ไม่ใช่แค่อาเซียนอีกต่อไปแล้ว แต่จะขึ้นมาเป็นกลุ่มอำนาจเงิน การค้า เศรษฐกิจ ที่ทรงพลังที่สุด เพราะอาหารโลกอยู่ที่นี่ และยังเป็นฮับพลังงานในอนาคต กระจายสินค้าอาเซียนสู่โลกแบบเต็มอัตราศึก มาแบบเต็มคาราเบล กันไปเลย ดังนั้น ไทยคือความหวังของอาเซียน ในการจะยืนหยัดสู้กับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ เพราะจีน รัสเซีย ได้ทุ่มสุดตัว เพื่อให้ไทย เป็นศูนย์กลางอาเซียนอย่างแท้จริง เหตุผลคือ จากนี้ไป ระบบกษัตริย์จะกลับมาใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในอาเซียน แต่ทั้งโลก และระบบกษัตริย์ไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และมั่นคง เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ตั้งแต่ในรัชสมัยพ่อร.5 มาจนถึงพ่อร.9 ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของมหากษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ แล้วไทยจะเป็นโมเดลกษัตริย์ให้ทั้งโลกได้นำไปเป็นแบบอย่าง พ่อปกครองลูก จะกลายเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคใหม่

    หากมองภาพใหญ่เข้าไว้ มองป่าทั้งป่า มรึงจะเห็นยุทธศาสตร์ของขั้วใหม่ ที่เลือกจับเฉพาะแหล่งทรัพยากรโลกทั้งนั้น ทั้งเอเซีย แอฟริกา ลาติน แม้แต่ในอาร์คติค ไม่แปลกที่รัสเซีย-จีน จับมือปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่อาร์คติค จนกลายเป็นแหล่งธรรมชาติที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในเวลานี้ จากน้ำแข็งจะกลายเป็นพื้นดินในไม่ช้า หลังละลายไปเยอะ แหล่งวิจัย ทั้งธรณีวิทยา โลกใต้น้ำ แหล่งแร่หายาก แม้แต่อากาศชั้นบริสุทธิ์ ทุกอย่างเล่นแร่แปรวิญญานเป็นอุตสาหกรรมใหม่โลกได้ไม่ยากเย็นเลย เพราะจีน รัสเซีย จับมือกัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แม้เหี้ยและชาตินาโต้ จะเข้าไปพื้นที่บางส่วนในอาร์คติค แต่ไม่สามารถทำได้ไกลและดีไปกว่ารัสเซีย เพราะนั่นเค้าคือเจ้าพ่อดินแดนน้ำแข็งแต่ยุคโบราณ อุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือ แม้แต่อาวุธ ทุกชนิด ก็มีไว้เพื่อโลกน้ำแข็งโดยเฉพาะ ใครมันจะพัฒนาได้ไกลเท่ารัสเซียไม่มี มรึงมารบกันแถวนี้ คือ "ตายโหงอย่างเดียว" มาดงหมีขาว ไม่มีใครรอดดอกน่ะ?

    สงครามมีหรือไม่ ยาวนานแค่ไหน ไม่ใช่สาระ คำถามอยู่ที่ ใครจะเสี่ยงเอาแผ่นดินไปแลกมา? เพราะนาทีนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทั้งรัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง มีแสนยานุภาพที่เหี้ยไอ้อีทุกตัวต้องกลัวจนเยี่ยวแตก เพราะเทคโนโลยีมันห่างชั้นกันมากเกินไป จนป่านนี้ แค่ไม่มีรัสเซีย โครงการอวกาศยุโรป และสหรัฐ ยังต้องคอยส่งนักบินพ่วงไปกับกระส่วยอวกาศรัสเซียครั้งล่าสุด อายหมาแค่ไหน? แล้วจีนมีสถานีอวกาศของตัวเอง นอกจากรัสเซีย เค้าไปไกลกันถึงไหนแล้ว มอปักกิ่ง มอมอสโคว์ คือแหล่งผลิตอัจฉริยะโลกยุคใหม่ ไม่ใช่อ็อกซ์ฟอร์ด เครมบริดจ์ เยล ฮาร์วาร์ด อีกต่อไปแล้ว ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียน ยิ่งกลายเป็นควาย โดนฝังชิปอะเป่า? ขั้วใหม่ไม่ได้กลัวสงคราม แถมพร้อมรบเต็มอัตราศึกนานแล้ว มีพร้อม เตรียมการมาพร้อม แต่ขั้วเก่า ไม่มีเหี้ยอะไรเลย ไม่ต้องถามต่อ ว่าใครกดหัวใครอยู่เวลานี้? การจะดึงโลกทั้งใบให้ย้ายขั้วมาได้ มรึงต้องให้ขี้ข้าแลเห็นก่อนว่า นายเก่ามรึงหมดน้ำยา กระจอก และสิ้นสภาพไปแล้ว มันถึงจะย้ายข้ามขั้วมากัน ที่มาว่าทำไม ไม่ฆ่าให้ตายในดาบเดียว เซียนกระบี่ จะไม่ฆ่าดาบเดียวกับศัตรูที่ยังไม่ถึงขั้น พูดง่ายๆ กระจอกเกิน เล่นตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ชนะอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสูญเสียกำลังแต่อย่างใด

    ปล.จีนจะออก ก็ต่อเมื่อ ถึงเวลาผนวกไต้หวันแล้ว ดอกเดียว ครั้งเดียวจบ เจ็บครั้งเดียว รวมชาติเสร็จ ต่อไปก็กลืนศัตรูของชาติ สงครามฝิ่นฆ่าชาวจีนไปเป็นล้าน เวลาเอาคืน ง่ายนิดเดียว ยึดแผ่นดินพวกมรึงด้วยการค้า เอาลูกหลานมรึงมาเป็นทาสรับใช้ จากนี้ไป จะไม่มีใครกล้ามารุกรานจีนได้อีกตลอดกาล เพราะตะวันตกได้ตายห่าสิ้นชื่อไปนานแล้วนั่นเอง ส่วนอีกขั้วที่มองข้ามไม่ได้ โลกอาหรับ จะมีอิทธิพลขึ้นมาแทนยุโรป ด้วยอำนาจเงิน และพลังงาน ด้านอาเซียนจะกลายเป็นมหาอำนาจอู่ข้าว อู่น้ำโลก จะรบยังไง ปากท้องต้องมี น้ำบริสุทธิ์ต้องมาก เอเซียมีทุกอย่าง และอาเซียนคือหัวใจแท้ของเอเซีย แหล่งรวมวัฒนธรรมจากสรวงสวรรค์ไงล่ะ ในรัชสมัยพ่อร.5 แผ่นดินพ่อกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จากนี้ไป อีกไม่ถึง 2 รัชกาล ไทยเราจะได้แผ่นดินคืนทั้งหมดแต่เก่าก่อน ผนวกรวมของใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม นอกดินแดนอธิปไตยไทย คิดนอกกรอบซะบ้าง ใครล่ะ ว่าเราจะมีแผ่นดินแค่ในอาเซียน SOFT POWER THAI มันขจรกระจายไปทั่วโลก มรึงอาจได้เห็น THAI TOWN ทั่วทุกมุมโลกในไม่ข้านี้ เฉกเช่นเดียวกับ CHINA TOWN ทั่วโลก นั่นแหละ อย่าคิดว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง บทแสงสีทองผ่องอำไพ สาดส่องไปที่ไหน วัฒนธรรมไทยไปถึงได้ทั่วในใต้หล้าและทั่วสากลโลก ก็บอกแล้วว่า "ไทยโมเดล" ยังจะมีอะไรให้ฝรั่งช็อคอีกเยอะ สิ้นสุดภารกิจโลกของศรีธนญชัย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสิ้นแล้ว!

    หมี CNN(หมากตาที่อันตรายที่สุดคือ "อาเซียน" แปซิฟิคแค่เบี่ยงเบนประเด็น เป้าหมายเหี้ยยิวไซออนนิสต์คืออาเซียน เพราะมันคือหัวใจ แก่นแท้ ของพลังเอเซีย จับมือกันให้ดีดี ใครจะแตกแถวปล่อยไป ถีบออก อย่าเสียดาย ยังมีอีกหลายชาติอยากจะเข้าร่วม ฟังสัญญานให้ดีดี อีทรัมปป์มันหลุดปากมาแล้ว แบบตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตามที มันพูดว่า จิงโจ้ กีวี โสมขาว อียุ่นปี่ คืออาเซียนจ๊ะ แกล้งโง่ หรือชี้เป้ากันแน่)
    16 เมษายน 68
    11.57 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    16-04-68/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.50 ชื่อตอนว่า "NO CHOICE OR WANNA DIE?" กลยุทธ์การศึกหลายชั้น WWIII ที่ DEEP STATE ต้องการ มันต้องทำลายความมั่นคง ความอุ่นใจ ความสุขใจ ก่อน งาน เงิน ความปลอดภัย หากถูกทำลายสิ้น ความวิตกกังวลจะตามมา ความกลัวจะก่อเกิด ส่งผลถึงโกลาหลทั้งแผ่นดิน ง่ายต่อการปั่นให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ นี่คือสูตรหาแดร๊กที่ใช้กันมานับ 1000 ปี สิ่งนี้แหละ ที่อีทรัมปป์เผาอเมริกาและโลกอยู่ ขั้วใหม่มองออกนานแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวเข้าทางตรีนขั้วใหม่หมด เพราะเค้าวางหมากให้มรึงเดิน ไม่ใช่มรึงมีทางเลือกอื่น? ขั้วใหม่ใช้ BRICS นำ แก้ทุกปัญหาที่เหี้ยก่อไว้ ส่วนเหี้ยใช้คว่ำบาตร กำแพงภาษี ทุบค่าเงิน ปั่นตลาดหุ้น ปล่อยไวรัส ใช้กองกำลังข่มขู่ไปทั่ว สิ่งที่จะเกิด เดาไม่ยาก ชาติน้อยใหญ่ ย่อมเข้าหาผู้ที่แข็งแกร่งปกป้องได้ นั่นคือโลกกำลังจะรวมตัวต่อกันติดไงล่ะ? โดยมีศัตรูของโลกที่ชื่อว่า "ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ ผ่านตัวแทนอย่าง อเมริกา อังกฤษ นาโต้" แยกน้ำ แยกปลาเสร็จ ก็จะได้ถึงวัน D-DAY ซะที คำถามคือ? เกมส์จะไปจบที่จุดไหน? ขั้วใหม่บีบ และสร้างขุมกำลังเพิ่มไปเรื่อยๆ ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ โลจิสติค ขณะที่ขั้วเก่าจมปลักอยู่กับแต่สงคราม ปากท้องไม่อิ่ม หลับไม่ลง เยรูซาเล็ม ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค โดนพิษสงคราม เศรษฐกิจ ล่อจนพังยับ ผู้คนลงถนนแน่ การผลัดเปลี่ยนถึงจะเกิด กว่า 100 ปี ที่บรรดาพรรคอนุรักษ์นิยมในสังกัด DEEP STATE ทั่วยุโรป กดหัว กดขี่ พรรคขวาจัดมาช้านาน ถึงคราวเปลี่ยน จึงได้เห็นว่าทำไม วันนี้ พรรคขวาจัดทั่วยุโรป มาแรงแซงทางโค้ง เพราะเค้าเบื่อจะเป็นขี้ข้ายิวเหี้ยกันหมดแล้ว อะไรก็ยิว ประชาชนแค่หาเงินมาจ่ายภาษีอุ้มยิวไปวันวัน แล้วมรึงจะมีผู้นำประเทศไปทำไม หากจะเป็นขี้ข้าไปตลอดชาติ ยิ่งติดบ่วงสงคราม เป้าหมายแท้จริงของขั้วใหม่ ไม่ใช่ก่อสงครามในสมรภูมิ แต่เล่นตรง โจมตีปากท้องประชาชนก่อน ทั่วโลกจะปฎิเสธรัฐบาลหุ่นเชิดยิวกันหมดแล้ว นี่คือจุดอ่อนของปชต.ตอแหล ที่รับใช้นายใหญ่ตัวเดียว BRICS มาเพื่อตอบโจทย์ WWIII จะไม่เกิดขึ้น หากเหี้ยไม่จนตรอกขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรจะเสีย ต้องล่อมินินุ๊กคุ๊กกี้ เท่านั้น และนั่นคือจุดจบของขั้วอำนาจเก่า ที่ขั้วใหม่รอคอยอยู่ ตั้งต้นศักราชใหม่ โลกที่ปราศจากนายใหญ่เพียงตัวเดียว ระบบการเงินทั้งยุโรป อเมริกา จะพังพินาศ ด้วยบล็อคเชนใหม่ ระบบชำระเงินแบบใหม่ รูปแบบเงินตราใหม่ โลกการเงินดิจิตอลเข้ามาเต็มตัว แต่ก็ยังต้องใช้ทองคำค้ำประกันอยู่ดี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยดอลล่าร์ อีกไม่นาน BRICS จะมีสมาชิกมากกว่า 50 ประเทศ ประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งโลก และนั่นจะก่อเกิดสกุลเงินใหม่ ที่ทั้งโลกต้องใช้ นั่นคือ BRICS DIGITAL CURRENCY การชำระเงินจะง่ายดาย ไม่ว่าจะจ่ายด้วยอะไรมันจะแปรเป็นสกุลเงินหลักโลกทันที แต่ไม่รับดอลล่าร์ ปอนด์ ยูโร บีบให้ขั้วเก่าที่หมดสภาพ ต้องยอมรับกติกาใหม่โลกนั่นเอง แม้แต่ในอาเซียน ในอนาคต มรึงอาจจะได้เห็น ASEAN DIGITAL CURRENCY โดยมี ไทยบาท(THB) เป็นสกุลเงินหลัก เพราะเสถียรที่สุด และนิยมใช้กันแพร่หลายในหมู่ชาติอาเซียนด้วยกัน มันง่ายแค่เปลี่ยนวิธีคำนวณใหม่ กติกาที่ทั้งอาเซียนต่างยอมรับ และมั่นใจ ที่มาของโลกหลายขั้วไงล่ะ? อาเซียนต่อไป ไม่ใช่แค่อาเซียนอีกต่อไปแล้ว แต่จะขึ้นมาเป็นกลุ่มอำนาจเงิน การค้า เศรษฐกิจ ที่ทรงพลังที่สุด เพราะอาหารโลกอยู่ที่นี่ และยังเป็นฮับพลังงานในอนาคต กระจายสินค้าอาเซียนสู่โลกแบบเต็มอัตราศึก มาแบบเต็มคาราเบล กันไปเลย ดังนั้น ไทยคือความหวังของอาเซียน ในการจะยืนหยัดสู้กับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ เพราะจีน รัสเซีย ได้ทุ่มสุดตัว เพื่อให้ไทย เป็นศูนย์กลางอาเซียนอย่างแท้จริง เหตุผลคือ จากนี้ไป ระบบกษัตริย์จะกลับมาใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในอาเซียน แต่ทั้งโลก และระบบกษัตริย์ไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และมั่นคง เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ตั้งแต่ในรัชสมัยพ่อร.5 มาจนถึงพ่อร.9 ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของมหากษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ แล้วไทยจะเป็นโมเดลกษัตริย์ให้ทั้งโลกได้นำไปเป็นแบบอย่าง พ่อปกครองลูก จะกลายเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคใหม่ หากมองภาพใหญ่เข้าไว้ มองป่าทั้งป่า มรึงจะเห็นยุทธศาสตร์ของขั้วใหม่ ที่เลือกจับเฉพาะแหล่งทรัพยากรโลกทั้งนั้น ทั้งเอเซีย แอฟริกา ลาติน แม้แต่ในอาร์คติค ไม่แปลกที่รัสเซีย-จีน จับมือปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่อาร์คติค จนกลายเป็นแหล่งธรรมชาติที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในเวลานี้ จากน้ำแข็งจะกลายเป็นพื้นดินในไม่ช้า หลังละลายไปเยอะ แหล่งวิจัย ทั้งธรณีวิทยา โลกใต้น้ำ แหล่งแร่หายาก แม้แต่อากาศชั้นบริสุทธิ์ ทุกอย่างเล่นแร่แปรวิญญานเป็นอุตสาหกรรมใหม่โลกได้ไม่ยากเย็นเลย เพราะจีน รัสเซีย จับมือกัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แม้เหี้ยและชาตินาโต้ จะเข้าไปพื้นที่บางส่วนในอาร์คติค แต่ไม่สามารถทำได้ไกลและดีไปกว่ารัสเซีย เพราะนั่นเค้าคือเจ้าพ่อดินแดนน้ำแข็งแต่ยุคโบราณ อุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือ แม้แต่อาวุธ ทุกชนิด ก็มีไว้เพื่อโลกน้ำแข็งโดยเฉพาะ ใครมันจะพัฒนาได้ไกลเท่ารัสเซียไม่มี มรึงมารบกันแถวนี้ คือ "ตายโหงอย่างเดียว" มาดงหมีขาว ไม่มีใครรอดดอกน่ะ? สงครามมีหรือไม่ ยาวนานแค่ไหน ไม่ใช่สาระ คำถามอยู่ที่ ใครจะเสี่ยงเอาแผ่นดินไปแลกมา? เพราะนาทีนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทั้งรัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง มีแสนยานุภาพที่เหี้ยไอ้อีทุกตัวต้องกลัวจนเยี่ยวแตก เพราะเทคโนโลยีมันห่างชั้นกันมากเกินไป จนป่านนี้ แค่ไม่มีรัสเซีย โครงการอวกาศยุโรป และสหรัฐ ยังต้องคอยส่งนักบินพ่วงไปกับกระส่วยอวกาศรัสเซียครั้งล่าสุด อายหมาแค่ไหน? แล้วจีนมีสถานีอวกาศของตัวเอง นอกจากรัสเซีย เค้าไปไกลกันถึงไหนแล้ว มอปักกิ่ง มอมอสโคว์ คือแหล่งผลิตอัจฉริยะโลกยุคใหม่ ไม่ใช่อ็อกซ์ฟอร์ด เครมบริดจ์ เยล ฮาร์วาร์ด อีกต่อไปแล้ว ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียน ยิ่งกลายเป็นควาย โดนฝังชิปอะเป่า? ขั้วใหม่ไม่ได้กลัวสงคราม แถมพร้อมรบเต็มอัตราศึกนานแล้ว มีพร้อม เตรียมการมาพร้อม แต่ขั้วเก่า ไม่มีเหี้ยอะไรเลย ไม่ต้องถามต่อ ว่าใครกดหัวใครอยู่เวลานี้? การจะดึงโลกทั้งใบให้ย้ายขั้วมาได้ มรึงต้องให้ขี้ข้าแลเห็นก่อนว่า นายเก่ามรึงหมดน้ำยา กระจอก และสิ้นสภาพไปแล้ว มันถึงจะย้ายข้ามขั้วมากัน ที่มาว่าทำไม ไม่ฆ่าให้ตายในดาบเดียว เซียนกระบี่ จะไม่ฆ่าดาบเดียวกับศัตรูที่ยังไม่ถึงขั้น พูดง่ายๆ กระจอกเกิน เล่นตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ชนะอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสูญเสียกำลังแต่อย่างใด ปล.จีนจะออก ก็ต่อเมื่อ ถึงเวลาผนวกไต้หวันแล้ว ดอกเดียว ครั้งเดียวจบ เจ็บครั้งเดียว รวมชาติเสร็จ ต่อไปก็กลืนศัตรูของชาติ สงครามฝิ่นฆ่าชาวจีนไปเป็นล้าน เวลาเอาคืน ง่ายนิดเดียว ยึดแผ่นดินพวกมรึงด้วยการค้า เอาลูกหลานมรึงมาเป็นทาสรับใช้ จากนี้ไป จะไม่มีใครกล้ามารุกรานจีนได้อีกตลอดกาล เพราะตะวันตกได้ตายห่าสิ้นชื่อไปนานแล้วนั่นเอง ส่วนอีกขั้วที่มองข้ามไม่ได้ โลกอาหรับ จะมีอิทธิพลขึ้นมาแทนยุโรป ด้วยอำนาจเงิน และพลังงาน ด้านอาเซียนจะกลายเป็นมหาอำนาจอู่ข้าว อู่น้ำโลก จะรบยังไง ปากท้องต้องมี น้ำบริสุทธิ์ต้องมาก เอเซียมีทุกอย่าง และอาเซียนคือหัวใจแท้ของเอเซีย แหล่งรวมวัฒนธรรมจากสรวงสวรรค์ไงล่ะ ในรัชสมัยพ่อร.5 แผ่นดินพ่อกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จากนี้ไป อีกไม่ถึง 2 รัชกาล ไทยเราจะได้แผ่นดินคืนทั้งหมดแต่เก่าก่อน ผนวกรวมของใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม นอกดินแดนอธิปไตยไทย คิดนอกกรอบซะบ้าง ใครล่ะ ว่าเราจะมีแผ่นดินแค่ในอาเซียน SOFT POWER THAI มันขจรกระจายไปทั่วโลก มรึงอาจได้เห็น THAI TOWN ทั่วทุกมุมโลกในไม่ข้านี้ เฉกเช่นเดียวกับ CHINA TOWN ทั่วโลก นั่นแหละ อย่าคิดว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง บทแสงสีทองผ่องอำไพ สาดส่องไปที่ไหน วัฒนธรรมไทยไปถึงได้ทั่วในใต้หล้าและทั่วสากลโลก ก็บอกแล้วว่า "ไทยโมเดล" ยังจะมีอะไรให้ฝรั่งช็อคอีกเยอะ สิ้นสุดภารกิจโลกของศรีธนญชัย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสิ้นแล้ว! หมี CNN(หมากตาที่อันตรายที่สุดคือ "อาเซียน" แปซิฟิคแค่เบี่ยงเบนประเด็น เป้าหมายเหี้ยยิวไซออนนิสต์คืออาเซียน เพราะมันคือหัวใจ แก่นแท้ ของพลังเอเซีย จับมือกันให้ดีดี ใครจะแตกแถวปล่อยไป ถีบออก อย่าเสียดาย ยังมีอีกหลายชาติอยากจะเข้าร่วม ฟังสัญญานให้ดีดี อีทรัมปป์มันหลุดปากมาแล้ว แบบตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตามที มันพูดว่า จิงโจ้ กีวี โสมขาว อียุ่นปี่ คืออาเซียนจ๊ะ แกล้งโง่ หรือชี้เป้ากันแน่) 16 เมษายน 68 11.57 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌸 14 เมษายน “วันเนา” วันอยู่บ้าน วันว่างสงกรานต์ ตำนานความเชื่อ… ห้ามทะเลาะ! เผลอด่าใคร ซวยไปทั้งปี!

    ✍️ "วันเนา" มีความหมายลึกซึ้งกว่าเป็นเพียงวันว่าง กลางเทศกาลสงกรานต์ เพราะวันนี้คือวันแห่งการทำสิ่งดีงาม งดด่าทอ งดทะเลาะ และตระเตรียมทำบุญ เพื่อสิริมงคลตลอดปี เจาะลึกตำนานวันที่ห้ามด่า ห้ามทะเลาะ หากฝ่าฝืนจะพบเคราะห์ทั้งปี พร้อมเล่าความเชื่อ วิถีชีวิต และกิจกรรมจาก 4 ภาค ทั่วไทย 🌈

    🧘‍♀️ วันเนา… ไม่ใช่แค่วันว่าง แต่คือ “วันสำคัญที่ต้องสำรวมใจ” 🕊️ ทุกๆ วันที่ 14 เมษายนของทุกปี คนไทยจำนวนมาก รู้จักกันว่าเป็น "วันว่าง" กลางเทศกาลสงกรานต์ แต่ทราบหรือไม่ว่า วันนี้เรียกว่า "วันเนา" และซ่อนความหมาย ความเชื่อ และพิธีกรรมที่ลึกซึ้งไว้มากมาย ตั้งแต่ความเชื่อโบราณ โหราศาสตร์ ไปจนถึงวิถีชีวิตคนไทย ที่แสดงความรักต่อครอบครัว 💖

    📚 คำว่า “เนา” เป็นภาษาเขมร แปลว่า “อยู่” หรือ “ตั้งอยู่” ดังนั้น "วันเนา" จึงหมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์ “อยู่ประจำที่” ภายหลังย้ายจากราศีมีน เข้าสู่ราศีเมษตามคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายนพอดี 🔍

    โดยในทางโหราศาสตร์ วันเนาคือวันที่ “พระอาทิตย์ยังไม่เปลี่ยนศักราชใหม่ อย่างสมบูรณ์” เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจุลศักราช ที่คนโบราณให้ความสำคัญอย่างมาก 🌓

    💡 “วันเนา” ถือว่าเป็นวันมงคล ต้องงดเว้นสิ่งอัปมงคล เช่น การด่าทอ การทะเลาะวิวาท และการพูดคำหยาบ

    🔮 ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับวันเนา ห้ามทะเลาะ ห้ามด่า ไม่งั้น...ปากเน่า! 😷

    ❗ ห้ามด่าทอ หรือทะเลาะกับใคร ในวันนี้ ความเชื่อหนึ่งที่โด่งดังมากในวันเนา คือ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามทะเลาะวิวาท เพราะเชื่อกันว่า หากฝ่าฝืนจะพบเคราะห์ร้ายตลอดทั้งปี และบางตำนานถึงกับบอกว่า “ปากจะเน่า” จริงๆ! 🧟

    🌱 ทำบุญให้มากในวันเนา จะได้เก็บบุญไว้ใช้ตลอดปี ในช่วงบ่ายของวันเนา ชาวบ้านจะร่วมกันขนทรายเข้าวัด เพื่อก่อ “เจดีย์ทราย” สื่อถึงการนำสิ่งไม่ดีออกจากบ้าน และทดแทนทรายที่ติดเท้าออกมาจากวัด ซึ่งถือว่าเป็นการ “คืนของ” ด้วยความเคารพ

    🧘‍♂️ วันเนากับการเตรียมทำบุญ ความเชื่อในชีวิตประจำวัน กิจกรรมหลักที่ควรทำในวันเนา ทำความสะอาดบ้าน งดการใช้คำหยาบมเตรียมอาหาร ขนม และเครื่องไทยธรรม ขนทรายเข้าวัด สร้างเจดีย์ทราย ตระเตรียมของเพื่อทำบุญในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเถลิงศก

    🌟 เคล็ดความเชื่อเสริมมงคล ผู้ที่ต้องการปลูกบ้านด้วยไม้ไผ่ ให้ตัดไม้ในวันเนา เพราะเชื่อว่า “ไม้จะไม่เน่า และปลวกไม่กิน” ถือเป็น “วันเตรียมของทำบุญ” หรือ “วันดา” ชาวบ้านจะ “ดา” หรือ “จัดเตรียม” ของเพื่อความพร้อมในวันพญาวัน

    👨‍👩‍👧‍👦 “วันครอบครัว” สร้างความอบอุ่น เริ่มต้นปีใหม่ด้วยใจที่มั่นคง ในปี พ.ศ.2532 รัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 14 เมษายนของทุกปีเป็น “วันครอบครัว” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สนับสนุนความสัมพันธ์ในครอบครัว 👪 ให้คนไทยใช้วันหยุดเทศกาลรวมญาติ กลับบ้าน และอยู่พร้อมหน้ากัน ส่งเสริมการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การกราบขอพร และการทำกิจกรรมร่วมกัน

    🌸 ความรัก ความเคารพ และความผูกพันในครอบครัว จึงถูกยกระดับให้เป็นคุณค่าหลักในวันเนา

    📆 ปฏิทินสงกรานต์ จากมหาสงกรานต์ สู่วันเนา และวันเถลิงศก

    13 เมษายน วันมหาสงกรานต์ ดวงอาทิตย์เริ่มเข้าสู่ราศีเมษ
    14 เมษายน วันเนา ดวงอาทิตย์ตั้งอยู่ในราศีเมษ
    15 เมษายน วันเถลิงศก วันขึ้นปีใหม่ไทยแบบจุลศักราช

    บางปี วันเถลิงศกอาจเลื่อนเป็น 16 เมษายน ขึ้นกับการคำนวณทางโหราศาสตร์

    🌍 สงกรานต์ 4 ภาค กับความเชื่อเกี่ยวกับ “วันเนา”

    🏔️ ภาคเหนือเรียกว่า “วันดา” มีพิธีขนทรายเข้าวัด และทำตุงสีสันสวยงาม ห้ามทะเลาะหรือมีปากเสียง เตรียมตัวทำบุญในวันพญาวัน

    🛕 ภาคอีสานเรียกว่า “มื้อเนา” ชาวบ้านจะแต่งกายงดงาม ออกไปทำบุญ รดน้ำพระ ฟังธรรมตอนกลางคืน มีการบายศรีสู่ขวัญผู้ใหญ่

    🏙️ ภาคกลางเรียกวันเนา เตรียมของทำบุญ ตักบาตร สรงน้ำพระ กิจกรรมดัง เช่น สงกรานต์มอญ และสงกรานต์พระประแดง มีขบวนแห่นางสงกรานต์ สวยงามตระการตา 💃

    🌴 ภาคใต้เรียกว่า “วันว่าง” ห้ามทำงาน ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามตัดผม วันสำหรับทำบุญใหญ่ เรียกว่า “ทำขวัญข้าวใหญ่” ถือเป็นวันสำคัญของการอุทิศส่วนกุศล ให้บรรพบุรุษ

    🚿 ถนนสายสงกรานต์ ความสนุกที่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม 🎉 "ถนนข้าวสาร" กรุงเทพฯ ถือเป็นถนนสายสงกรานต์แห่งแรกของไทย ที่จัดงานสงกรานต์ในรูปแบบใหม่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว 🎈 และต่อมาจังหวัดต่าง ๆ ได้พัฒนาแนวคิด ถนนสายสงกรานต์ของตนเอง เช่น ถนนข้าวเหนียวขอนแก่น ถนนข้าวแช่ปทุมธานี ถนนข้าวกล่ำกาฬสินธุ์ ถนนข้าวหมากนราธิวาส

    🧠 วันเนา วันว่าง หรือวันศักดิ์สิทธิ์? อยู่ที่จะเลือก “อยู่” อย่างไร?

    📌 สิ่งที่ควรทำในวันเนา
    ✅ พูดจาไพเราะ
    ✅ ทำบุญ ขนทรายเข้าวัด
    ✅ อยู่กับครอบครัว
    ✅ เตรียมของทำบุญ
    ✅ ขอพรผู้ใหญ่

    ❌ สิ่งที่ควรเลี่ยงในวันเนา
    🚫 ด่าทอคนอื่น
    🚫 ทะเลาะวิวาท
    🚫 ใช้คำพูดไม่สุภาพ
    🚫 ทำร้ายสัตว์
    🚫 ตัดเล็บ ตัดผม

    วันเนาไม่ใช่แค่วันหยุดธรรมดา แต่คือวันแห่งการ “พักใจ” และ “ทำดี” เพื่อสะสมสิ่งมงคลรับปีใหม่แบบไทยๆ 🧡

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141313 เม.ย. 2568

    📌 #วันเนา #สงกรานต์ #วันครอบครัว #วันว่าง #ไม่ทะเลาะวันเนา #เจดีย์ทราย #รดน้ำดำหัว #ปีใหม่ไทย #วัฒนธรรมไทย #ประเพณีสงกรานต์

    🌸 14 เมษายน “วันเนา” วันอยู่บ้าน วันว่างสงกรานต์ ตำนานความเชื่อ… ห้ามทะเลาะ! เผลอด่าใคร ซวยไปทั้งปี! ✍️ "วันเนา" มีความหมายลึกซึ้งกว่าเป็นเพียงวันว่าง กลางเทศกาลสงกรานต์ เพราะวันนี้คือวันแห่งการทำสิ่งดีงาม งดด่าทอ งดทะเลาะ และตระเตรียมทำบุญ เพื่อสิริมงคลตลอดปี เจาะลึกตำนานวันที่ห้ามด่า ห้ามทะเลาะ หากฝ่าฝืนจะพบเคราะห์ทั้งปี พร้อมเล่าความเชื่อ วิถีชีวิต และกิจกรรมจาก 4 ภาค ทั่วไทย 🌈 🧘‍♀️ วันเนา… ไม่ใช่แค่วันว่าง แต่คือ “วันสำคัญที่ต้องสำรวมใจ” 🕊️ ทุกๆ วันที่ 14 เมษายนของทุกปี คนไทยจำนวนมาก รู้จักกันว่าเป็น "วันว่าง" กลางเทศกาลสงกรานต์ แต่ทราบหรือไม่ว่า วันนี้เรียกว่า "วันเนา" และซ่อนความหมาย ความเชื่อ และพิธีกรรมที่ลึกซึ้งไว้มากมาย ตั้งแต่ความเชื่อโบราณ โหราศาสตร์ ไปจนถึงวิถีชีวิตคนไทย ที่แสดงความรักต่อครอบครัว 💖 📚 คำว่า “เนา” เป็นภาษาเขมร แปลว่า “อยู่” หรือ “ตั้งอยู่” ดังนั้น "วันเนา" จึงหมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์ “อยู่ประจำที่” ภายหลังย้ายจากราศีมีน เข้าสู่ราศีเมษตามคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายนพอดี 🔍 โดยในทางโหราศาสตร์ วันเนาคือวันที่ “พระอาทิตย์ยังไม่เปลี่ยนศักราชใหม่ อย่างสมบูรณ์” เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจุลศักราช ที่คนโบราณให้ความสำคัญอย่างมาก 🌓 💡 “วันเนา” ถือว่าเป็นวันมงคล ต้องงดเว้นสิ่งอัปมงคล เช่น การด่าทอ การทะเลาะวิวาท และการพูดคำหยาบ 🔮 ความเชื่อโบราณเกี่ยวกับวันเนา ห้ามทะเลาะ ห้ามด่า ไม่งั้น...ปากเน่า! 😷 ❗ ห้ามด่าทอ หรือทะเลาะกับใคร ในวันนี้ ความเชื่อหนึ่งที่โด่งดังมากในวันเนา คือ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามทะเลาะวิวาท เพราะเชื่อกันว่า หากฝ่าฝืนจะพบเคราะห์ร้ายตลอดทั้งปี และบางตำนานถึงกับบอกว่า “ปากจะเน่า” จริงๆ! 🧟 🌱 ทำบุญให้มากในวันเนา จะได้เก็บบุญไว้ใช้ตลอดปี ในช่วงบ่ายของวันเนา ชาวบ้านจะร่วมกันขนทรายเข้าวัด เพื่อก่อ “เจดีย์ทราย” สื่อถึงการนำสิ่งไม่ดีออกจากบ้าน และทดแทนทรายที่ติดเท้าออกมาจากวัด ซึ่งถือว่าเป็นการ “คืนของ” ด้วยความเคารพ 🧘‍♂️ วันเนากับการเตรียมทำบุญ ความเชื่อในชีวิตประจำวัน กิจกรรมหลักที่ควรทำในวันเนา ทำความสะอาดบ้าน งดการใช้คำหยาบมเตรียมอาหาร ขนม และเครื่องไทยธรรม ขนทรายเข้าวัด สร้างเจดีย์ทราย ตระเตรียมของเพื่อทำบุญในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเถลิงศก 🌟 เคล็ดความเชื่อเสริมมงคล ผู้ที่ต้องการปลูกบ้านด้วยไม้ไผ่ ให้ตัดไม้ในวันเนา เพราะเชื่อว่า “ไม้จะไม่เน่า และปลวกไม่กิน” ถือเป็น “วันเตรียมของทำบุญ” หรือ “วันดา” ชาวบ้านจะ “ดา” หรือ “จัดเตรียม” ของเพื่อความพร้อมในวันพญาวัน 👨‍👩‍👧‍👦 “วันครอบครัว” สร้างความอบอุ่น เริ่มต้นปีใหม่ด้วยใจที่มั่นคง ในปี พ.ศ.2532 รัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 14 เมษายนของทุกปีเป็น “วันครอบครัว” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สนับสนุนความสัมพันธ์ในครอบครัว 👪 ให้คนไทยใช้วันหยุดเทศกาลรวมญาติ กลับบ้าน และอยู่พร้อมหน้ากัน ส่งเสริมการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การกราบขอพร และการทำกิจกรรมร่วมกัน 🌸 ความรัก ความเคารพ และความผูกพันในครอบครัว จึงถูกยกระดับให้เป็นคุณค่าหลักในวันเนา 📆 ปฏิทินสงกรานต์ จากมหาสงกรานต์ สู่วันเนา และวันเถลิงศก 13 เมษายน วันมหาสงกรานต์ ดวงอาทิตย์เริ่มเข้าสู่ราศีเมษ 14 เมษายน วันเนา ดวงอาทิตย์ตั้งอยู่ในราศีเมษ 15 เมษายน วันเถลิงศก วันขึ้นปีใหม่ไทยแบบจุลศักราช บางปี วันเถลิงศกอาจเลื่อนเป็น 16 เมษายน ขึ้นกับการคำนวณทางโหราศาสตร์ 🌍 สงกรานต์ 4 ภาค กับความเชื่อเกี่ยวกับ “วันเนา” 🏔️ ภาคเหนือเรียกว่า “วันดา” มีพิธีขนทรายเข้าวัด และทำตุงสีสันสวยงาม ห้ามทะเลาะหรือมีปากเสียง เตรียมตัวทำบุญในวันพญาวัน 🛕 ภาคอีสานเรียกว่า “มื้อเนา” ชาวบ้านจะแต่งกายงดงาม ออกไปทำบุญ รดน้ำพระ ฟังธรรมตอนกลางคืน มีการบายศรีสู่ขวัญผู้ใหญ่ 🏙️ ภาคกลางเรียกวันเนา เตรียมของทำบุญ ตักบาตร สรงน้ำพระ กิจกรรมดัง เช่น สงกรานต์มอญ และสงกรานต์พระประแดง มีขบวนแห่นางสงกรานต์ สวยงามตระการตา 💃 🌴 ภาคใต้เรียกว่า “วันว่าง” ห้ามทำงาน ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามตัดผม วันสำหรับทำบุญใหญ่ เรียกว่า “ทำขวัญข้าวใหญ่” ถือเป็นวันสำคัญของการอุทิศส่วนกุศล ให้บรรพบุรุษ 🚿 ถนนสายสงกรานต์ ความสนุกที่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม 🎉 "ถนนข้าวสาร" กรุงเทพฯ ถือเป็นถนนสายสงกรานต์แห่งแรกของไทย ที่จัดงานสงกรานต์ในรูปแบบใหม่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว 🎈 และต่อมาจังหวัดต่าง ๆ ได้พัฒนาแนวคิด ถนนสายสงกรานต์ของตนเอง เช่น ถนนข้าวเหนียวขอนแก่น ถนนข้าวแช่ปทุมธานี ถนนข้าวกล่ำกาฬสินธุ์ ถนนข้าวหมากนราธิวาส 🧠 วันเนา วันว่าง หรือวันศักดิ์สิทธิ์? อยู่ที่จะเลือก “อยู่” อย่างไร? 📌 สิ่งที่ควรทำในวันเนา ✅ พูดจาไพเราะ ✅ ทำบุญ ขนทรายเข้าวัด ✅ อยู่กับครอบครัว ✅ เตรียมของทำบุญ ✅ ขอพรผู้ใหญ่ ❌ สิ่งที่ควรเลี่ยงในวันเนา 🚫 ด่าทอคนอื่น 🚫 ทะเลาะวิวาท 🚫 ใช้คำพูดไม่สุภาพ 🚫 ทำร้ายสัตว์ 🚫 ตัดเล็บ ตัดผม วันเนาไม่ใช่แค่วันหยุดธรรมดา แต่คือวันแห่งการ “พักใจ” และ “ทำดี” เพื่อสะสมสิ่งมงคลรับปีใหม่แบบไทยๆ 🧡 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141313 เม.ย. 2568 📌 #วันเนา #สงกรานต์ #วันครอบครัว #วันว่าง #ไม่ทะเลาะวันเนา #เจดีย์ทราย #รดน้ำดำหัว #ปีใหม่ไทย #วัฒนธรรมไทย #ประเพณีสงกรานต์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 690 มุมมอง 0 รีวิว
  • 120 ปี สิ้น “ฮัปมาสเตน” กัปตันบุช จากนายทหารเรือรบอังกฤษ สู่พลเรือเอกพระยาวิสูตรสาครดิฐ ข้าราชการต้นแบบแห่งสยาม

    📌 จากนายทหารเรือชาวอังกฤษผู้บังคับการเรือรบ สู่ข้าราชการไทยผู้จงรักภักดี "กัปตันจอห์น บุช" หรือ พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สยาม ทั้งในราชสำนักและกิจการท่าเรือ ครบร 120 ปี แห่งการจากไป ย้อนรอยชีวิตของ “กัปตันบุช” ที่กลายเป็นตำนานแห่งเจริญกรุง

    🧭 เมื่อกัปตันฝรั่ง กลายเป็นข้าราชการไทย หากเอ่ยถึง “ตรอกกัปตันบุช” หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ชื่อซอยเล็ก ๆ นี้ แท้จริงแล้วตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่อุทิศชีวิตกว่า 40 ปี ให้กับราชสำนักไทย และราชการกรมเจ้าท่า "พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ" หรือที่รู้จักกันในนาม "กัปตันบุช" (Captain John Bush) หรือ “ฮัปมาสเตน” ในเสียงคนไทยสมัยก่อน 🕊️

    ⚓ กัปตัน จอห์น บุช (John Bush) คือทหารเรือชาวอังกฤษ ที่เข้ารับราชการในราชสำนักไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มต้นจากการเป็นกัปตันเรือรบอังกฤษ ที่เทียบท่าในกรุงเทพฯ ก่อนจะได้รับการชักชวนจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้มาเป็นข้าราชการกรมเจ้าท่า

    ต่อมาได้รับตำแหน่ง "ฮัปมาสเตน" (Harbour Master) หรือนายท่าเรือ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญ ในยุคที่สยามเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริง (Bowring Treaty) ปี พ.ศ. 2398 โดยมีภารกิจจัดระเบียบเรือพาณิชย์ต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้าสยาม

    กัปตันบุชมีชื่อเสียงอย่างมากในยุคนั้น และในที่สุด ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาวิสูตรสาครดิฐ" พร้อมยศ "พลเรือเอก" ถือเป็นชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติสูงเช่นนี้จากสยาม

    🇹🇭 กัปตันฝรั่งผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของกัปตันบุช คือการทำหน้าที่ บังคับการเรือพระที่นั่ง ในการเสด็จประพาสของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🌍 อาทิ เสด็จสิงคโปร์และอินเดีย พ.ศ. 2413–2414 🚢 เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ และเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชวังบางปะอิน

    📜 เรื่องราวเหล่านี้ ไม่เพียงสะท้อนความไว้วางพระราชหฤทัย ที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัปตันบุช แต่ยังแสดงถึงการบุกเบิกยุคใหม่ของการเดินเรือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในยุคนั้น

    🚢 อู่เรือบางกอกด็อค Bangkok Dock จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเดินเรือไทย นอกจากบทบาทราชการแล้ว กัปตันบุชยังเป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์ โดยในปี พ.ศ. 2408 ได้ก่อตั้ง อู่เรือบางกอกด็อค (Bangkok Dock) ขึ้น ซึ่งกลายเป็นอู่ซ่อมเรือที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดในกรุงเทพฯ ยุคนั้น

    อู่แห่งนี้สามารถรองรับการซ่อมเรือ จากทั้งงานหลวงและเอกชน ไม่ต้องส่งเรือไปซ่อมถึงสิงคโปร์อีกต่อไป! 🤝💼

    ✨ “กัปตันบุชคือผู้วางรากฐาน ด้านพาณิชย์นาวีของไทยในยุคใหม่” คำกล่าวจากพิธีเปิดอนุสาวรีย์ที่กรมเจ้าท่า

    📚 ตำนานฮัปมาสเตน และการอ่านชื่อแบบไทย กัปตันบุชได้รับสมญานามว่า “ฮัปมาสเตน” จากคำว่า Harbour Master ที่คนไทยเรียกเพี้ยนตามสำเนียงโบราณ เช่นเดียวกับชื่อ “กัปตันบุด” ที่คนไทยใช้เรียกแทน “Captain Bush” ซึ่งสะท้อนถึงความกลมกลืนในวัฒนธรรมไทย 🎭

    💬 “กับตันบุด” คำนี้ติดปากชาวบ้านจนปัจจุบัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครโดยละเอียด

    🕯️ จุดเปลี่ยนชีวิต...จากวีรบุรุษสู่บทเรียนราคาแพง ถึงแม้กัปตันบุชจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในราชสำนัก แต่ก็ประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้บทบาทลดลง นั่นคือเหตุการณ์ เรือพระที่นั่งเวสาตรี เกยหินที่ปากแม่น้ำกลัง พ.ศ. 2433

    เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงไม่โปรด ให้กัปตันบุชบังคับเรืออีกต่อไป แม้กัปตันบุชจะเขียนรายงานชี้แจงว่า ไม่ใช่ความผิดของตนก็ตาม 📄

    แม้จะกลายเป็นความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ลบล้างคุณูปการอันใหญ่หลวงในอดีต 🙏

    🏠 ชีวิตช่วงบั้นปลาย การจากไปในสยาม หลังเกษียณ กัปตันบุชใช้ชีวิตอย่างสงบ ที่บ้านริมทะเลในอ่างศิลา จังหวัดชลบุรีต้อนรับนักเรียนและแขกต่างชาติอย่างอบอุ่น จนกลายเป็นที่รักของชาวบ้านท้องถิ่น 🏖️

    📅 กัปตันบุชเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ขณะมีอายุ 86 ปี หลังจากใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิต ในราชอาณาจักรสยาม โดยมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนต์ ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ

    🏛️ อนุสรณ์และเกียรติประวัติที่คงอยู่ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557 กรมเจ้าท่าได้จัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พระยาวิสูตรสาครดิฐ อย่างเป็นทางการ เพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ 🕯️

    ✨ “ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่เป็นรากฐานของอนาคต” คำกล่าวของอธิบดีกรมเจ้าท่า

    📚 "กัปตันบุช" ตำนานที่ไม่ควรถูกลืม ไม่ใช่เพียงแค่กัปตันฝรั่งที่มีตรอกตั้งชื่อตาม แต่คือผู้บุกเบิกท่าเรือ พัฒนาอุตสาหกรรมเดินเรือ และรับราชการอย่างภักดีต่อราชวงศ์ไทย เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และการผสานวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน

    🎖️ คุณูปการของกัปตันบุช ควรค่าแก่การเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อจดจำ แต่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนไทยทุกยุคทุกสมัย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031057 เม.ย. 2568

    📲#กัปตันบุช #ประวัติศาสตร์ไทย #บุคคลสำคัญสยาม #อู่กรุงเทพ #เจ้าท่า #เรือพระที่นั่ง #ข้าราชการอังกฤษในไทย #ฮัปมาสเตน #ตรอกกัปตันบุช #CaptainBush
    120 ปี สิ้น “ฮัปมาสเตน” กัปตันบุช จากนายทหารเรือรบอังกฤษ สู่พลเรือเอกพระยาวิสูตรสาครดิฐ ข้าราชการต้นแบบแห่งสยาม 📌 จากนายทหารเรือชาวอังกฤษผู้บังคับการเรือรบ สู่ข้าราชการไทยผู้จงรักภักดี "กัปตันจอห์น บุช" หรือ พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ มีบทบาทสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สยาม ทั้งในราชสำนักและกิจการท่าเรือ ครบร 120 ปี แห่งการจากไป ย้อนรอยชีวิตของ “กัปตันบุช” ที่กลายเป็นตำนานแห่งเจริญกรุง 🧭 เมื่อกัปตันฝรั่ง กลายเป็นข้าราชการไทย หากเอ่ยถึง “ตรอกกัปตันบุช” หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ชื่อซอยเล็ก ๆ นี้ แท้จริงแล้วตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่อุทิศชีวิตกว่า 40 ปี ให้กับราชสำนักไทย และราชการกรมเจ้าท่า "พลเรือเอก พระยาวิสูตรสาครดิฐ" หรือที่รู้จักกันในนาม "กัปตันบุช" (Captain John Bush) หรือ “ฮัปมาสเตน” ในเสียงคนไทยสมัยก่อน 🕊️ ⚓ กัปตัน จอห์น บุช (John Bush) คือทหารเรือชาวอังกฤษ ที่เข้ารับราชการในราชสำนักไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มต้นจากการเป็นกัปตันเรือรบอังกฤษ ที่เทียบท่าในกรุงเทพฯ ก่อนจะได้รับการชักชวนจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้มาเป็นข้าราชการกรมเจ้าท่า ต่อมาได้รับตำแหน่ง "ฮัปมาสเตน" (Harbour Master) หรือนายท่าเรือ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญ ในยุคที่สยามเปิดประเทศตามสนธิสัญญาเบาว์ริง (Bowring Treaty) ปี พ.ศ. 2398 โดยมีภารกิจจัดระเบียบเรือพาณิชย์ต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้าสยาม กัปตันบุชมีชื่อเสียงอย่างมากในยุคนั้น และในที่สุด ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาวิสูตรสาครดิฐ" พร้อมยศ "พลเรือเอก" ถือเป็นชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติสูงเช่นนี้จากสยาม 🇹🇭 กัปตันฝรั่งผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของกัปตันบุช คือการทำหน้าที่ บังคับการเรือพระที่นั่ง ในการเสด็จประพาสของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🌍 อาทิ เสด็จสิงคโปร์และอินเดีย พ.ศ. 2413–2414 🚢 เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ และเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชวังบางปะอิน 📜 เรื่องราวเหล่านี้ ไม่เพียงสะท้อนความไว้วางพระราชหฤทัย ที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัปตันบุช แต่ยังแสดงถึงการบุกเบิกยุคใหม่ของการเดินเรือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในยุคนั้น 🚢 อู่เรือบางกอกด็อค Bangkok Dock จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเดินเรือไทย นอกจากบทบาทราชการแล้ว กัปตันบุชยังเป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์ โดยในปี พ.ศ. 2408 ได้ก่อตั้ง อู่เรือบางกอกด็อค (Bangkok Dock) ขึ้น ซึ่งกลายเป็นอู่ซ่อมเรือที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดในกรุงเทพฯ ยุคนั้น อู่แห่งนี้สามารถรองรับการซ่อมเรือ จากทั้งงานหลวงและเอกชน ไม่ต้องส่งเรือไปซ่อมถึงสิงคโปร์อีกต่อไป! 🤝💼 ✨ “กัปตันบุชคือผู้วางรากฐาน ด้านพาณิชย์นาวีของไทยในยุคใหม่” คำกล่าวจากพิธีเปิดอนุสาวรีย์ที่กรมเจ้าท่า 📚 ตำนานฮัปมาสเตน และการอ่านชื่อแบบไทย กัปตันบุชได้รับสมญานามว่า “ฮัปมาสเตน” จากคำว่า Harbour Master ที่คนไทยเรียกเพี้ยนตามสำเนียงโบราณ เช่นเดียวกับชื่อ “กัปตันบุด” ที่คนไทยใช้เรียกแทน “Captain Bush” ซึ่งสะท้อนถึงความกลมกลืนในวัฒนธรรมไทย 🎭 💬 “กับตันบุด” คำนี้ติดปากชาวบ้านจนปัจจุบัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครโดยละเอียด 🕯️ จุดเปลี่ยนชีวิต...จากวีรบุรุษสู่บทเรียนราคาแพง ถึงแม้กัปตันบุชจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในราชสำนัก แต่ก็ประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้บทบาทลดลง นั่นคือเหตุการณ์ เรือพระที่นั่งเวสาตรี เกยหินที่ปากแม่น้ำกลัง พ.ศ. 2433 เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงไม่โปรด ให้กัปตันบุชบังคับเรืออีกต่อไป แม้กัปตันบุชจะเขียนรายงานชี้แจงว่า ไม่ใช่ความผิดของตนก็ตาม 📄 แม้จะกลายเป็นความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ลบล้างคุณูปการอันใหญ่หลวงในอดีต 🙏 🏠 ชีวิตช่วงบั้นปลาย การจากไปในสยาม หลังเกษียณ กัปตันบุชใช้ชีวิตอย่างสงบ ที่บ้านริมทะเลในอ่างศิลา จังหวัดชลบุรีต้อนรับนักเรียนและแขกต่างชาติอย่างอบอุ่น จนกลายเป็นที่รักของชาวบ้านท้องถิ่น 🏖️ 📅 กัปตันบุชเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ขณะมีอายุ 86 ปี หลังจากใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิต ในราชอาณาจักรสยาม โดยมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนต์ ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ 🏛️ อนุสรณ์และเกียรติประวัติที่คงอยู่ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557 กรมเจ้าท่าได้จัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พระยาวิสูตรสาครดิฐ อย่างเป็นทางการ เพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ 🕯️ ✨ “ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่เป็นรากฐานของอนาคต” คำกล่าวของอธิบดีกรมเจ้าท่า 📚 "กัปตันบุช" ตำนานที่ไม่ควรถูกลืม ไม่ใช่เพียงแค่กัปตันฝรั่งที่มีตรอกตั้งชื่อตาม แต่คือผู้บุกเบิกท่าเรือ พัฒนาอุตสาหกรรมเดินเรือ และรับราชการอย่างภักดีต่อราชวงศ์ไทย เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และการผสานวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน 🎖️ คุณูปการของกัปตันบุช ควรค่าแก่การเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อจดจำ แต่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนไทยทุกยุคทุกสมัย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031057 เม.ย. 2568 📲#กัปตันบุช #ประวัติศาสตร์ไทย #บุคคลสำคัญสยาม #อู่กรุงเทพ #เจ้าท่า #เรือพระที่นั่ง #ข้าราชการอังกฤษในไทย #ฮัปมาสเตน #ตรอกกัปตันบุช #CaptainBush
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 768 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1236 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

    🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว

    แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน

    วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️

    🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜
    วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ

    แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ

    💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก
    ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน

    แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏

    💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก
    แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่

    🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น

    - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่
    - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด
    - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์

    🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น

    - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่
    - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก
    - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย

    💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย
    📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล
    ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ
    💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท
    📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก
    🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ

    💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์
    ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว

    ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
    💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม?
    ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้

    🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์?
    - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก
    - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์
    - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก

    🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี?
    ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น
    จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰

    🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ
    ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖

    🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568

    🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน 🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️ 🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜 วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ 💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏 💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ 🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่ - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์ 🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย 💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย 📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ 💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท 📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก 🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ 💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์ ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ 💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม? ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้ 🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์? - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์ - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก 🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี? ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰 🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖 🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568 🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1480 มุมมอง 0 รีวิว
  • สลามเมืองไทย EP07 | โจอี้ กาน่า ตลกมุสลิม สัญชาติกานา ภูมิใจอยู่ไทยเสรี

    เสียงหัวเราะไม่มีพรมแดน! โจอี้ กาน่า ตลกมุสลิมจากกานา กับเส้นทางชีวิตและความภูมิใจในประเทศไทย

    โจอี้ กาน่า ศิลปินตลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความสามารถ ไม่เพียงสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผู้ชม แต่ยังเป็นตัวแทนของมุสลิมจากต่างแดนที่หลอมรวมศรัทธาเข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่างลงตัว

    #สลามเมืองไทย #EP07 #โจอี้กาน่า #ตลกมุสลิม #เสียงหัวเราะไร้พรมแดน #MuslimComedian #ProudToBeInThailand #ศรัทธาและอารมณ์ขัน #CulturalDiversity #MuslimInThailand #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP07 | โจอี้ กาน่า ตลกมุสลิม สัญชาติกานา ภูมิใจอยู่ไทยเสรี เสียงหัวเราะไม่มีพรมแดน! โจอี้ กาน่า ตลกมุสลิมจากกานา กับเส้นทางชีวิตและความภูมิใจในประเทศไทย โจอี้ กาน่า ศิลปินตลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความสามารถ ไม่เพียงสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผู้ชม แต่ยังเป็นตัวแทนของมุสลิมจากต่างแดนที่หลอมรวมศรัทธาเข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่างลงตัว #สลามเมืองไทย #EP07 #โจอี้กาน่า #ตลกมุสลิม #เสียงหัวเราะไร้พรมแดน #MuslimComedian #ProudToBeInThailand #ศรัทธาและอารมณ์ขัน #CulturalDiversity #MuslimInThailand #ThaiTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 826 มุมมอง 46 0 รีวิว
  • 82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย

    ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย

    ความหมายของ “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่
    “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม"
    “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี"

    เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง”

    ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย

    จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย

    หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา

    ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น
    ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น

    “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน
    “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่

    คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ

    การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน
    แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น

    “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า
    “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน
    “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น
    “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน

    อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง

    การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย
    การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น

    ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ
    ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง
    ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น

    นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น
    ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์
    ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า
    ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน

    “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล
    แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น

    - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต
    - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล
    - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย

    การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น

    “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย
    การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน

    “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568

    #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย ความหมายของ “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่ “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม" “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี" เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง” ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่ คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์ ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568 #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 972 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลไกแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสู่การพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศเศรษฐกิจผสมผสาน (Integrated Economy) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการผสานความแข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม บริการ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายด้านทรัพยากรและวัฒนธรรม สามารถใช้ประโยชน์จากกลไกแรงขับเคลื่อนเหล่านี้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนานี้ได้---1. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันการวิจัยและพัฒนา (R&D): สนับสนุนการวิจัยในสถาบันการศึกษาและเอกชนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้: ส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI), IoT และ Big Data ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการการพัฒนาสตาร์ทอัพ: ส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถสร้างแนวคิดธุรกิจที่เชื่อมโยงทรัพยากรในประเทศเข้ากับตลาดโลก---2. การสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Economy)เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่สามารถมองข้ามความสำคัญของสิ่งแวดล้อมได้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน: สนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลการจัดการขยะและทรัพยากรหมุนเวียน: ส่งเสริมการรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว: พัฒนาสินค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก---3. การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)เศรษฐกิจสร้างสรรค์ช่วยเพิ่มมูลค่าผ่านความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรมศิลปะและวัฒนธรรม: นำมรดกวัฒนธรรมไทย เช่น ผ้าไหม งานหัตถกรรม และอาหาร มาปรับใช้ในตลาดสมัยใหม่การออกแบบและสื่อดิจิทัล: ส่งเสริมการพัฒนาภาพยนตร์ ดนตรี และเกมที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: พัฒนาผลิตภัณฑ์จากชุมชนเพื่อการส่งออก---4. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจผสมผสานประสบความสำเร็จการศึกษาและการฝึกอบรม: ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21การส่งเสริมทักษะที่หลากหลาย: เช่น ทักษะด้านดิจิทัล การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์การสนับสนุนแรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม: เพิ่มโอกาสให้แรงงานได้รับความรู้ใหม่และเทคโนโลยี---5. การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนการผสานความร่วมมือระหว่างเกษตร อุตสาหกรรม และบริการช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมเกษตรกรรมอัจฉริยะ: ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเพิ่มผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป: พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่การท่องเที่ยวแบบครบวงจร: ผสมผสานวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสุขภาพในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว---6. การสนับสนุนนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานการสนับสนุนจากรัฐบาลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นการจัดทำนโยบายที่ยั่งยืน: เช่น การลดภาษีสำหรับธุรกิจสีเขียวและสร้างสรรค์การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์: สร้างเครือข่ายการขนส่งที่ช่วยลดต้นทุนและเวลาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: สนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพผ่านกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจ---สรุปการพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชน หากประเทศไทยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็จะสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งได้ในระยะยาว
    กลไกแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสู่การพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศเศรษฐกิจผสมผสาน (Integrated Economy) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการผสานความแข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม บริการ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายด้านทรัพยากรและวัฒนธรรม สามารถใช้ประโยชน์จากกลไกแรงขับเคลื่อนเหล่านี้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนานี้ได้---1. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันการวิจัยและพัฒนา (R&D): สนับสนุนการวิจัยในสถาบันการศึกษาและเอกชนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้: ส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI), IoT และ Big Data ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการการพัฒนาสตาร์ทอัพ: ส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สามารถสร้างแนวคิดธุรกิจที่เชื่อมโยงทรัพยากรในประเทศเข้ากับตลาดโลก---2. การสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Economy)เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่สามารถมองข้ามความสำคัญของสิ่งแวดล้อมได้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน: สนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลการจัดการขยะและทรัพยากรหมุนเวียน: ส่งเสริมการรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว: พัฒนาสินค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก---3. การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)เศรษฐกิจสร้างสรรค์ช่วยเพิ่มมูลค่าผ่านความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรมศิลปะและวัฒนธรรม: นำมรดกวัฒนธรรมไทย เช่น ผ้าไหม งานหัตถกรรม และอาหาร มาปรับใช้ในตลาดสมัยใหม่การออกแบบและสื่อดิจิทัล: ส่งเสริมการพัฒนาภาพยนตร์ ดนตรี และเกมที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: พัฒนาผลิตภัณฑ์จากชุมชนเพื่อการส่งออก---4. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจผสมผสานประสบความสำเร็จการศึกษาและการฝึกอบรม: ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21การส่งเสริมทักษะที่หลากหลาย: เช่น ทักษะด้านดิจิทัล การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์การสนับสนุนแรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม: เพิ่มโอกาสให้แรงงานได้รับความรู้ใหม่และเทคโนโลยี---5. การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนการผสานความร่วมมือระหว่างเกษตร อุตสาหกรรม และบริการช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมเกษตรกรรมอัจฉริยะ: ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเพิ่มผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป: พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่การท่องเที่ยวแบบครบวงจร: ผสมผสานวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสุขภาพในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว---6. การสนับสนุนนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานการสนับสนุนจากรัฐบาลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นการจัดทำนโยบายที่ยั่งยืน: เช่น การลดภาษีสำหรับธุรกิจสีเขียวและสร้างสรรค์การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์: สร้างเครือข่ายการขนส่งที่ช่วยลดต้นทุนและเวลาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: สนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพผ่านกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจ---สรุปการพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจผสมผสานในประเทศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชน หากประเทศไทยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็จะสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งได้ในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 902 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1076 มุมมอง 0 รีวิว
  • (เกร็ดความรู้เรื่องไทยศึกษา) แหวนพิรอด แหวนพิรอด เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ทำด้วยผ้าหรือกระดาษว่าว ลงยันต์และอักขระอาคม แล้วม้วนฟั่นเป็นเส้นนำมาถักเป็นวงแหวน ลงรักปิดทอง ดูภายนอกคล้ายทำด้วยโลหะ ใช้สวมใส่นิ้ว เพื่อความคงกระพันชาตรีและเพื่อผลในทางชกด้วยหมัดมือ เพราะมีหัวใหญ่และแข็งจึงใช้เหมือนสนับมือได้ ที่ใช้กระดาษว่าวเพราะมีความเหนียวพิเศษ แหวนพิรอดนี้บางทีทำด้วยเชือกหรือด้ายถัก หัวแหวนพิรอดมีหลายแบบ บางแบบทำเป็นรูปนูนอย่างที่เรียกว่า ถันพระอุมา อาจารย์บางองค์นิยมถักแบน ๆ เรียกกันว่า ถักแบบลายจระเข้ขบฟันเป็นลายแน่นสับกันไปมา ในการทำแหวนพิรอดนั้น หัวแหวนนิยมลงยันต์รูปพระภควัม เมื่อลงยันต์เสกคาถาแล้ว หลังจากนั้นทดลองนำไปเผาไฟดู ถ้าไม่ไหม้ก็ถือว่าใช้ได้ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แหวนพิรอดที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ แหวนพิรอดของหลวงพ่อม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถักด้วยกระดาษ ลงรัก และแหวนพิรอดของเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งถักด้วยด้าย เครื่องรางของขลังชนิดนี้หากทำขนาดใหญ่ใช้สวมแขน เรียกว่า “สนับแขนพิรอด” มักนิยมทำด้วยโลหะผสม ทำหัวเหมือนหัวแหวนพิรอด (เรียบเรียงโดย ประคอง นิมมานเหมินท์ ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคกลาง เล่ม15)(ภาพจาก คมชัดลึก ออนไลน์)
    (เกร็ดความรู้เรื่องไทยศึกษา) แหวนพิรอด แหวนพิรอด เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ทำด้วยผ้าหรือกระดาษว่าว ลงยันต์และอักขระอาคม แล้วม้วนฟั่นเป็นเส้นนำมาถักเป็นวงแหวน ลงรักปิดทอง ดูภายนอกคล้ายทำด้วยโลหะ ใช้สวมใส่นิ้ว เพื่อความคงกระพันชาตรีและเพื่อผลในทางชกด้วยหมัดมือ เพราะมีหัวใหญ่และแข็งจึงใช้เหมือนสนับมือได้ ที่ใช้กระดาษว่าวเพราะมีความเหนียวพิเศษ แหวนพิรอดนี้บางทีทำด้วยเชือกหรือด้ายถัก หัวแหวนพิรอดมีหลายแบบ บางแบบทำเป็นรูปนูนอย่างที่เรียกว่า ถันพระอุมา อาจารย์บางองค์นิยมถักแบน ๆ เรียกกันว่า ถักแบบลายจระเข้ขบฟันเป็นลายแน่นสับกันไปมา ในการทำแหวนพิรอดนั้น หัวแหวนนิยมลงยันต์รูปพระภควัม เมื่อลงยันต์เสกคาถาแล้ว หลังจากนั้นทดลองนำไปเผาไฟดู ถ้าไม่ไหม้ก็ถือว่าใช้ได้ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แหวนพิรอดที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ แหวนพิรอดของหลวงพ่อม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถักด้วยกระดาษ ลงรัก และแหวนพิรอดของเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งถักด้วยด้าย เครื่องรางของขลังชนิดนี้หากทำขนาดใหญ่ใช้สวมแขน เรียกว่า “สนับแขนพิรอด” มักนิยมทำด้วยโลหะผสม ทำหัวเหมือนหัวแหวนพิรอด (เรียบเรียงโดย ประคอง นิมมานเหมินท์ ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคกลาง เล่ม15)(ภาพจาก คมชัดลึก ออนไลน์)
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 587 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเชิญร่วมงาน
    "ลอยกระทง คลองสาน สำราญใจ"
    สืบสาน ความเป็นไทย ใส่ใจ สิ่งแวดล้อม
    ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 - 20.00 น.
    ณ สวนสารพัด (สวน 15 นาที) ถนนเชียงใหม่ เขตคลองสาน

    พิกัด https://maps.app.goo.gl/H6y1zUdbUDSQF25n6

    > ร่วมชม การแสดงนาฏศิลป์ไทยและเพลงพื้นบ้าน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย
    โดยนักเรียน โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม
    > ร่วมกิจกรรม กระทงประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ (มีจำนวนจำกัด)
    > ร่วมลอยกระทง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ในพื้นที่จัดเตรียม)
    > เลือกช้อป ชิม อาหาร จากร้านค้าชาวคลองสาน

    มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรม ของชาวคลองสาน ด้วยกัน
    สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 083 889 9996

    จัดโดย
    #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
    #สภาวัฒนธรรมเขตคลองสาน
    #สำนักงานเขตคลองสาน
    #โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม
    #สยามโสภา
    ขอเชิญร่วมงาน "ลอยกระทง คลองสาน สำราญใจ" สืบสาน ความเป็นไทย ใส่ใจ สิ่งแวดล้อม ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 - 20.00 น. ณ สวนสารพัด (สวน 15 นาที) ถนนเชียงใหม่ เขตคลองสาน พิกัด https://maps.app.goo.gl/H6y1zUdbUDSQF25n6 > ร่วมชม การแสดงนาฏศิลป์ไทยและเพลงพื้นบ้าน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย โดยนักเรียน โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม > ร่วมกิจกรรม กระทงประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ (มีจำนวนจำกัด) > ร่วมลอยกระทง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ในพื้นที่จัดเตรียม) > เลือกช้อป ชิม อาหาร จากร้านค้าชาวคลองสาน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรม ของชาวคลองสาน ด้วยกัน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 083 889 9996 จัดโดย #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #สภาวัฒนธรรมเขตคลองสาน #สำนักงานเขตคลองสาน #โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม #สยามโสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว
  • จริงครับ คนไทยควรภาคภูมิใจ
    ในวัฒนธรรมไทยของเราถึงจะถูกต้อง
    จริงครับ คนไทยควรภาคภูมิใจ ในวัฒนธรรมไทยของเราถึงจะถูกต้อง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • แดงตัดทอง เทคนิคการเขียนลายบนทองคำเปลว ภูมิปัญญาโบราณของไทย ถ้าชอบคลิปดีๆงานสวยๆมีความรู้ ฝากติดตามด้วยนะคะ #จิตรกรรมไทย#งามอย่างไทย #Thaicraftstudio #ช่างหัตถศิลป์ไทย #คนไทย #ช่างปิดทอง #ช่างลายรดน้ำ #ภูมิปัญญาไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย @Thai craft studio
    แดงตัดทอง เทคนิคการเขียนลายบนทองคำเปลว ภูมิปัญญาโบราณของไทย ถ้าชอบคลิปดีๆงานสวยๆมีความรู้ ฝากติดตามด้วยนะคะ #จิตรกรรมไทย#งามอย่างไทย #Thaicraftstudio #ช่างหัตถศิลป์ไทย #คนไทย #ช่างปิดทอง #ช่างลายรดน้ำ #ภูมิปัญญาไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย @Thai craft studio
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 903 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม

    วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 07.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงร่วมพิธีบวงสรวงในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา มีการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของบวงสรวงอย่างเป็นระเบียบ

    ในการเริ่มต้นพิธีในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขอพรให้กระทรวงและบุคลากรมีความเจริญก้าวหน้า ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การบวงสรวงยังได้รับการประกอบพิธีโดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อระลึกถึงบทบาทที่สำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามให้คงอยู่สืบไป

    ต่อมาในเวลา 09.20 น. ได้มีพิธีสวดพุทธชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงวัฒนธรรม การสวดพุทธชัยมงคลคาถาเป็นพิธีที่สำคัญและเป็นมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในวาระพิเศษเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสบายใจและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรที่ร่วมกันสร้างสรรค์และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในพิธีทางศาสนายังได้มีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับอีกด้วย

    นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันทอดผ้าบังสกุล จำนวน 10 ผืน และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดอุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและความเอื้อเฟื้อของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่กระทรวงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำบุญให้กับเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาแล้ว นางสาวสุดาวรรณ และคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางมาแสดงความยินดีและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งกระทรวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการร่วมมือกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การถ่ายรูปร่วมกันและการมอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน สื่อถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแสดงความยินดีต่อการครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของงานที่กระทรวงวัฒนธรรมทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง

    กระทรวงวัฒนธรรมก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและโลก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมงานศิลปะและการแสดงต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ กระทรวงยังทำหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวด การอบรม และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม

    ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้สร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้ กระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมที่ดีในสังคมไทย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

    ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีบทบาทในการนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโลกยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ กระทรวงได้มีการจัดทำเนื้อหาด้านวัฒนธรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ การจัดทำฐานข้อมูลวัฒนธรรม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมด้านวัฒนธรรม

    กระทรวงวัฒนธรรมมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย กิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์โบราณสถานทั่วประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านและศิลปินแห่งชาติ รวมถึงการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย

    อีกทั้งกระทรวงยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมในกลุ่มเยาวชน โดยการนำวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรากฐาน

    ภาพ/ข่าว​ โย​ ประเด็นรัฐ
    รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 07.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงร่วมพิธีบวงสรวงในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา มีการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของบวงสรวงอย่างเป็นระเบียบ ในการเริ่มต้นพิธีในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขอพรให้กระทรวงและบุคลากรมีความเจริญก้าวหน้า ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การบวงสรวงยังได้รับการประกอบพิธีโดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อระลึกถึงบทบาทที่สำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามให้คงอยู่สืบไป ต่อมาในเวลา 09.20 น. ได้มีพิธีสวดพุทธชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงวัฒนธรรม การสวดพุทธชัยมงคลคาถาเป็นพิธีที่สำคัญและเป็นมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในวาระพิเศษเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสบายใจและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรที่ร่วมกันสร้างสรรค์และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในพิธีทางศาสนายังได้มีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับอีกด้วย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันทอดผ้าบังสกุล จำนวน 10 ผืน และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดอุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและความเอื้อเฟื้อของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่กระทรวงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำบุญให้กับเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาแล้ว นางสาวสุดาวรรณ และคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางมาแสดงความยินดีและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งกระทรวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการร่วมมือกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การถ่ายรูปร่วมกันและการมอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน สื่อถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแสดงความยินดีต่อการครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของงานที่กระทรวงวัฒนธรรมทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง กระทรวงวัฒนธรรมก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและโลก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมงานศิลปะและการแสดงต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ กระทรวงยังทำหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวด การอบรม และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้สร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้ กระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมที่ดีในสังคมไทย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีบทบาทในการนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโลกยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ กระทรวงได้มีการจัดทำเนื้อหาด้านวัฒนธรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ การจัดทำฐานข้อมูลวัฒนธรรม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมด้านวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย กิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์โบราณสถานทั่วประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านและศิลปินแห่งชาติ รวมถึงการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย อีกทั้งกระทรวงยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมในกลุ่มเยาวชน โดยการนำวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรากฐาน ภาพ/ข่าว​ โย​ ประเด็นรัฐ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1021 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


    อาณาจักรสุโขทัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์โดยมีหลักฐานชัดเจนในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์(พ่อขุนบางกลางหาว พ.ศ.1781 - 1822) ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อำนาจของอาณาจักรสุโขทัยในช่วงรัชสมัยของพระองค์มีความมั่นคงจาก ทรงแผ่อาณาเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยได้เจริญขึ้นทุกสาขา ดังปรากฎในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งเจริญ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การสงคราม ภูมิศาสตร์ กฎหมาย ประเพณี การปกครอง การเศรษฐกิจ การสังคม ปรัชญา พระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย ราชวงศ์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พระร่วง หรือ สุโขทัย) ได้ปกครองอาณาจักรสุโขทัยสืบต่อมาเป็นเวลา 200 ปี ก็ถูกรวมเข้ากับ อาณาจักรอยุธยา

    ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวัง และวัดมากถึง 26 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ ได้รับการบูรรปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากร ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้า นั่งรถราง หรือ ขี่จักรยาน เที่ยวชมได้อย่างสะดวกปลอดภัย

    ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลก ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร และ อุทยานประวัติศาตร์ศรีสัชนาลัย ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร” (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฎแสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นนับเป็น ตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศไทย


    นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ ๓ วิธี คือ เดินเท้า ปั่นจักรยาน และ การนั่งรถรางไฟฟ้า โดยทางอุทยานฯ มีรถจักรยานให้เช่าด้วย นอกจากนี้ หน้าโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแต่ละแห่งยังมีป้าย OR Code สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถสแกนเข้าไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ มีให้เลือก ๔ ภาษา ได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส

    เมืองสุโขทัย ก่อตั้งขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สันนิษฐานว่าสุโขทัยในยุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบขอมจากละโว้หรือลพบุรี ต่อมายกฐานะเป็นราชธานี โดยมีพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์ เป็นจุดเริ่มต้นอาณาจักรแห่งแรกของไทย ราวปี ๑๗๙๒ อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์ที่ ๓ บันทึกในศิลาจารึกบอกถึงเขตอาณาจักรอันกว้างขวาง ทิศเหนือจดเมืองแพร่ น่าน หลวงพระบาง ทิศใต้จดเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออกจดเมืองเวียงจันทน์ และทิศตะวันตกจดเมืองหงสาวดี การปกครองเป็นระบบ พ่อปกครองลูก เอื้อสิทธิเสรีภาพให้ประชาชน

    จุดเด่นของผังเมืองสุโขทัยคือระบบชลประทาน เป็นระบบที่กระจายน้ำเพื่อการทำเกษตรกรรม อุปโภค บริโภคให้ชาวเมืองได้อย่างทั่วถึง และยังสามารถช่วยระบายน้ำเอ่อล้นช่วงหน้าน้ำหลากได้ดีเช่นกัน ในช่วงการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงชาวเมืองสุโขทัยมีความเป็นอยู่อย่างสงบร่มเย็น ด้วยพระองค์ทรงมีความเอาใจใส่ทำนุบำรุงศาสนาอย่างเต็มที่ สังเกตจากลักษณะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น ส่วนใหญ่จะมีพระโอษฐ์ยิ้ม สะท้อนเอกลักษณ์ของยุคสมัย และจำนวนวัดวาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมาย เมื่อปี ๒๕๓๔ องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอีก ๒ แห่ง ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร”
    อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์โดยมีหลักฐานชัดเจนในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์(พ่อขุนบางกลางหาว พ.ศ.1781 - 1822) ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อำนาจของอาณาจักรสุโขทัยในช่วงรัชสมัยของพระองค์มีความมั่นคงจาก ทรงแผ่อาณาเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยได้เจริญขึ้นทุกสาขา ดังปรากฎในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งเจริญ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การสงคราม ภูมิศาสตร์ กฎหมาย ประเพณี การปกครอง การเศรษฐกิจ การสังคม ปรัชญา พระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย ราชวงศ์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พระร่วง หรือ สุโขทัย) ได้ปกครองอาณาจักรสุโขทัยสืบต่อมาเป็นเวลา 200 ปี ก็ถูกรวมเข้ากับ อาณาจักรอยุธยา ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวัง และวัดมากถึง 26 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ ได้รับการบูรรปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากร ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้า นั่งรถราง หรือ ขี่จักรยาน เที่ยวชมได้อย่างสะดวกปลอดภัย ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลก ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร และ อุทยานประวัติศาตร์ศรีสัชนาลัย ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร” (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฎแสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นนับเป็น ตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ ๓ วิธี คือ เดินเท้า ปั่นจักรยาน และ การนั่งรถรางไฟฟ้า โดยทางอุทยานฯ มีรถจักรยานให้เช่าด้วย นอกจากนี้ หน้าโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแต่ละแห่งยังมีป้าย OR Code สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน สามารถสแกนเข้าไปอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ มีให้เลือก ๔ ภาษา ได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส เมืองสุโขทัย ก่อตั้งขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สันนิษฐานว่าสุโขทัยในยุคแรกได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบขอมจากละโว้หรือลพบุรี ต่อมายกฐานะเป็นราชธานี โดยมีพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์ เป็นจุดเริ่มต้นอาณาจักรแห่งแรกของไทย ราวปี ๑๗๙๒ อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์ที่ ๓ บันทึกในศิลาจารึกบอกถึงเขตอาณาจักรอันกว้างขวาง ทิศเหนือจดเมืองแพร่ น่าน หลวงพระบาง ทิศใต้จดเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออกจดเมืองเวียงจันทน์ และทิศตะวันตกจดเมืองหงสาวดี การปกครองเป็นระบบ พ่อปกครองลูก เอื้อสิทธิเสรีภาพให้ประชาชน จุดเด่นของผังเมืองสุโขทัยคือระบบชลประทาน เป็นระบบที่กระจายน้ำเพื่อการทำเกษตรกรรม อุปโภค บริโภคให้ชาวเมืองได้อย่างทั่วถึง และยังสามารถช่วยระบายน้ำเอ่อล้นช่วงหน้าน้ำหลากได้ดีเช่นกัน ในช่วงการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงชาวเมืองสุโขทัยมีความเป็นอยู่อย่างสงบร่มเย็น ด้วยพระองค์ทรงมีความเอาใจใส่ทำนุบำรุงศาสนาอย่างเต็มที่ สังเกตจากลักษณะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น ส่วนใหญ่จะมีพระโอษฐ์ยิ้ม สะท้อนเอกลักษณ์ของยุคสมัย และจำนวนวัดวาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมาย เมื่อปี ๒๕๓๔ องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอีก ๒ แห่ง ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร”
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 909 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวันคล้ายวันสถาปนา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔

    กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นองค์กรส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนมีค่านิยมและพฤติกรรมที่เหมาะสม มีความภาคภูมิใจ และสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของตนเองและชุมชน สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการพัฒนาที่ยั่งยืน

    วิสัยทัศน์
    "เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

    พันธกิจ
    - เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    - ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในค่านิยมและวัฒนธรรมความเป็นไทย
    - ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทุนทางวัฒนธรรม
    - ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมทุกภาคส่วนให้มีความเข้มแข็ง
    - ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์เพื่อการให้บริการประชาชน
    - ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้มีศักยภาพ
    - สงวนรักษา พัฒนาต่อยอด และเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ
    - ยกย่องเชิดชูเกียรติ และสนับสนุนการดำเนินงานของศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม และศิลปินพื้นบ้าน
    - ส่งเสริมและพัฒนางานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย

    #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร #วัฒนธรรม #thaitimes #thaitimesวัฒนธรรม
    งานวันคล้ายวันสถาปนา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นองค์กรส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนมีค่านิยมและพฤติกรรมที่เหมาะสม มีความภาคภูมิใจ และสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของตนเองและชุมชน สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการพัฒนาที่ยั่งยืน วิสัยทัศน์ "เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” พันธกิจ - เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ - ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในค่านิยมและวัฒนธรรมความเป็นไทย - ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทุนทางวัฒนธรรม - ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมทุกภาคส่วนให้มีความเข้มแข็ง - ส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์เพื่อการให้บริการประชาชน - ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้มีศักยภาพ - สงวนรักษา พัฒนาต่อยอด และเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ - ยกย่องเชิดชูเกียรติ และสนับสนุนการดำเนินงานของศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม และศิลปินพื้นบ้าน - ส่งเสริมและพัฒนางานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย #กรมส่งเสริมวัฒนธรรม #สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร #วัฒนธรรม #thaitimes #thaitimesวัฒนธรรม
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1123 มุมมอง 159 0 รีวิว
  • ขอแสดงความยินดีกับน้อง ธนกฤต จุฑาสมควร จาก โรงเรียนวัดแสมดำ เขตบางขุนเทียน ที่ได้เป็นตัวแทนระดับภูมิภาค "ภาคกลางและภาคตะวันออก" เข้าไปแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ ต่อไป

    #ดนตรีไทยสร้างสรรค์ #วัดแสมดำ #สยามเด็กเล่น #ครอบครัว #บิ๊กซีดนตรีไทย #บิ๊กซีพระนครศรีอยุธยา #BigC
    #thaitimes #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    ขอแสดงความยินดีกับน้อง ธนกฤต จุฑาสมควร จาก โรงเรียนวัดแสมดำ เขตบางขุนเทียน ที่ได้เป็นตัวแทนระดับภูมิภาค "ภาคกลางและภาคตะวันออก" เข้าไปแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ ต่อไป #ดนตรีไทยสร้างสรรค์ #วัดแสมดำ #สยามเด็กเล่น #ครอบครัว #บิ๊กซีดนตรีไทย #บิ๊กซีพระนครศรีอยุธยา #BigC #thaitimes #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2632 มุมมอง 780 0 รีวิว
  • สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประธานทุนจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์
    ซึ่งประกอบด้วย 16 ราชสกุล และสมาชิกสายสัมพันธ์กับมเหสีและเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    จัดงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
    ในวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์
    และพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส

    #thaitimes #สมเด็จพระสังฆราช #วัดราชบพิธ #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประธานทุนจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ ซึ่งประกอบด้วย 16 ราชสกุล และสมาชิกสายสัมพันธ์กับมเหสีและเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส #thaitimes #สมเด็จพระสังฆราช #วัดราชบพิธ #ศรีวัฒนธรรม #Thaitimesวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2385 มุมมอง 633 0 รีวิว
  • สิ้นแล้ว “อาจารย์ทองแถม นาถจำนง” เจ้าของนามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก นักแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ “สามก๊ก” สิริอายุ 69 ปี

    2 สิงหาคม 2567 - เพจเฟซบุ๊ก “สามก๊ก 1994 三国演义” โพสต์อาลัย “อาจารย์ทองแถม” นักแปลชื่อดัง อดีตบรรณาธิการสยามรัฐ เสียชีวิตแล้ว สิริอายุ 69 ปี โดยระบุข้อความว่า

    “อำลาอาลัย อาจารย์ทองแถม นาถจำนง

    ทองแถม นาถจำนง (๒๔๙๘-๒๕๖๗)

    滚滚长江东逝水,
    น้ำแยงซี รี่ไหล ไปบูรพา

    浪花淘尽英雄。
    คลื่นซัดกวาดพา วีรชน หล่นลับหาย

    是非成败转头空。
    ถูกผิดแพ้ชนะ วัฏจักร เวียนว่างดาย

    青山依旧在,几度夕阳红。
    สิงขรยังคง ตาวันยังฉาย นานเท่านาน

    บทกวีนำวรรณกรรมสามก๊กและบทเพลงเปิดภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 แปลโดย อ.ทองเเถม นาถจำนง

    อาจารย์ทองแถม นาถจำนง นามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก ผลงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งสำหรับวงการสามก๊กในประเทศไทย คือการแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 三国演义 เป็นภาษาไทย ซึ่งนับเป็นงานใหญ่และยากยิ่ง แต่ท่านสามารถแปลและใช้คำได้อย่างไพเราะสละสลวยอย่างที่สุด ไม่สามารถพบได้ในสื่อหรือบทแปลภาพยนตร์และภาพยนตร์โทรทัศน์ใดในสมัยนี้ ทางผมเองได้เคยพูดคุยกับอาจารย์ทาง Messenger หลายครั้ง และเคยร่วมงานพิธีลงนามและแถลงข่าวการลงนามความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทย-จีน

    ในการเผยแพร่ภาพยนตร์โทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์จีนชุด “สามก๊ก” 《三国演义》1994 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ วันนั้นได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับอาจารย์ทองแถมอย่างใกล้ชิด ได้สนทนาพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานแปลสามก๊ก 1994 ได้รับความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ จากท่าน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีการจดบันทึก เป็นข้อมูลที่เกิดจากประสบการณ์และได้รับการถ่ายทอดด้วยการพูดคุยกับท่านโดยตรง นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และประทับใจจนทุกวันนี้“

    กราบคารวะอาจารย์ทองแถมสู่สุคติในสัมปรายภพ

    บทสัมภาษณ์พิเศษ อ.ทองแถมที่ผู้จัดการออนไลน์บันทึกไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว 10 ก.ค.2558 https://mgronline.com/china/detail/9580000078184#lzcmbn1540ec6hyp8mj บ่งบอกความลึกซึ้งในวิถีศรัทธาของอาจารย์ทองแถมในปรัชญาเต๋า เถายวนหมิง และแปลปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อ ที่ถือเป็นสุดยอดมรดกทางปัญญาของจีน

    หลักคิดของอาจารย์บนเส้นทางที่ยากลำบากของนักแปลปรัชญาวรรณกรรมจีนที่ให้ไว้กับคนรุ่นหลัง

    หนึ่ง-การเป็นนักเขียนอาชีพที่จะพึ่งรายได้ จากการแปลภาษาจีน มันยากมาก เราต้องมีความสามารถในเชิงวรรณศิลป์มาก ๆ สำนักพิมพ์จึงจะกล้าพิมพ์หนังสือให้เรา

    สอง-ต้องเข้าใจตลาดด้วย ต้องวิเคราะห์ให้เป็นว่า แนวเรื่องแบบใดจะขายได้ในตลาด เพื่อให้มีรายได้พอเลี้ยงชีพ

    สาม-เราควรมี “กล่อง” ไว้บ้าง คือมีงานมาสเตอร์พีซที่จะทำให้เราได้รับการยอมรับ แล้วสร้างแนวเรื่องของตนเองได้สำเร็จ เช่นว่าถ้าเรื่องกลยุทธ์บริหารโดยพิชัยสงครามจีนแล้ว อ่านงานของเราแล้วไม่ผิดหวัง

    สี่-ควรมีทั้งงานแปลและงานค้นคว้าเขียนเอง

    “ “ผมปรารถนาชีวิตสมถะ สงบสุข แบบเถายวนหมิง แม้จะรู้ว่าบางช่วงก็ต้องมีปัญหาด้านเศรษฐกิจบ้าง”อาจารยทองแถมกล่าว

    พิธีศพจัดที่ ศาลา 4 วัดภคินีนาถวรวิหาร ซอยราชวิถี 21 พิธีสวดอภิธรรมบำเพ็ญกุศล2-6 ส.ค.และพิธีฌาปนกิจในวันที่ 7 ส.ค.2567

    #Thaitimes
    สิ้นแล้ว “อาจารย์ทองแถม นาถจำนง” เจ้าของนามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก นักแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ “สามก๊ก” สิริอายุ 69 ปี 2 สิงหาคม 2567 - เพจเฟซบุ๊ก “สามก๊ก 1994 三国演义” โพสต์อาลัย “อาจารย์ทองแถม” นักแปลชื่อดัง อดีตบรรณาธิการสยามรัฐ เสียชีวิตแล้ว สิริอายุ 69 ปี โดยระบุข้อความว่า “อำลาอาลัย อาจารย์ทองแถม นาถจำนง ทองแถม นาถจำนง (๒๔๙๘-๒๕๖๗) 滚滚长江东逝水, น้ำแยงซี รี่ไหล ไปบูรพา 浪花淘尽英雄。 คลื่นซัดกวาดพา วีรชน หล่นลับหาย 是非成败转头空。 ถูกผิดแพ้ชนะ วัฏจักร เวียนว่างดาย 青山依旧在,几度夕阳红。 สิงขรยังคง ตาวันยังฉาย นานเท่านาน บทกวีนำวรรณกรรมสามก๊กและบทเพลงเปิดภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 แปลโดย อ.ทองเเถม นาถจำนง อาจารย์ทองแถม นาถจำนง นามปากกา “โชติช่วง นาดอน” มีผลงานด้านจีนศึกษา ประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีนจำนวนมาก ผลงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งสำหรับวงการสามก๊กในประเทศไทย คือการแปลบทภาพยนตร์โทรทัศน์ สามก๊ก 1994 三国演义 เป็นภาษาไทย ซึ่งนับเป็นงานใหญ่และยากยิ่ง แต่ท่านสามารถแปลและใช้คำได้อย่างไพเราะสละสลวยอย่างที่สุด ไม่สามารถพบได้ในสื่อหรือบทแปลภาพยนตร์และภาพยนตร์โทรทัศน์ใดในสมัยนี้ ทางผมเองได้เคยพูดคุยกับอาจารย์ทาง Messenger หลายครั้ง และเคยร่วมงานพิธีลงนามและแถลงข่าวการลงนามความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทย-จีน ในการเผยแพร่ภาพยนตร์โทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์จีนชุด “สามก๊ก” 《三国演义》1994 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ วันนั้นได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับอาจารย์ทองแถมอย่างใกล้ชิด ได้สนทนาพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานแปลสามก๊ก 1994 ได้รับความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ จากท่าน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีการจดบันทึก เป็นข้อมูลที่เกิดจากประสบการณ์และได้รับการถ่ายทอดด้วยการพูดคุยกับท่านโดยตรง นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และประทับใจจนทุกวันนี้“ กราบคารวะอาจารย์ทองแถมสู่สุคติในสัมปรายภพ บทสัมภาษณ์พิเศษ อ.ทองแถมที่ผู้จัดการออนไลน์บันทึกไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว 10 ก.ค.2558 https://mgronline.com/china/detail/9580000078184#lzcmbn1540ec6hyp8mj บ่งบอกความลึกซึ้งในวิถีศรัทธาของอาจารย์ทองแถมในปรัชญาเต๋า เถายวนหมิง และแปลปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อ ที่ถือเป็นสุดยอดมรดกทางปัญญาของจีน หลักคิดของอาจารย์บนเส้นทางที่ยากลำบากของนักแปลปรัชญาวรรณกรรมจีนที่ให้ไว้กับคนรุ่นหลัง หนึ่ง-การเป็นนักเขียนอาชีพที่จะพึ่งรายได้ จากการแปลภาษาจีน มันยากมาก เราต้องมีความสามารถในเชิงวรรณศิลป์มาก ๆ สำนักพิมพ์จึงจะกล้าพิมพ์หนังสือให้เรา สอง-ต้องเข้าใจตลาดด้วย ต้องวิเคราะห์ให้เป็นว่า แนวเรื่องแบบใดจะขายได้ในตลาด เพื่อให้มีรายได้พอเลี้ยงชีพ สาม-เราควรมี “กล่อง” ไว้บ้าง คือมีงานมาสเตอร์พีซที่จะทำให้เราได้รับการยอมรับ แล้วสร้างแนวเรื่องของตนเองได้สำเร็จ เช่นว่าถ้าเรื่องกลยุทธ์บริหารโดยพิชัยสงครามจีนแล้ว อ่านงานของเราแล้วไม่ผิดหวัง สี่-ควรมีทั้งงานแปลและงานค้นคว้าเขียนเอง “ “ผมปรารถนาชีวิตสมถะ สงบสุข แบบเถายวนหมิง แม้จะรู้ว่าบางช่วงก็ต้องมีปัญหาด้านเศรษฐกิจบ้าง”อาจารยทองแถมกล่าว พิธีศพจัดที่ ศาลา 4 วัดภคินีนาถวรวิหาร ซอยราชวิถี 21 พิธีสวดอภิธรรมบำเพ็ญกุศล2-6 ส.ค.และพิธีฌาปนกิจในวันที่ 7 ส.ค.2567 #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1061 มุมมอง 0 รีวิว