• ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับวลีรักคลาสสิกที่ได้ยินกันบ่อยในหลายละครและนิยายจีน

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ความหมายของโคมไฟใบเดียวนี้คือ ขอเพียงคนใจเดียว อีกทั้งยามนี้หิมะตกปกคลุมดูเหมือนศีรษะขาว รวมกันหมายถึง ปรารถนาคนใจเดียว เคียงข้างจนผมขาวมิร้างลา” จื่อจ๊านกล่าวต่อตี้ซวี่...
    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> (Storyฯ แปลเองจ้า)

    วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ (愿得一心人,白头不相离) นี้ยกมาจากบทกวีที่ชื่อว่า ‘ป๋ายโถวอิ๋น’ (白头吟 /ลำนำผมขาว) ซึ่งกล่าวขานว่าเป็นบทประพันธ์ของจั๋วเหวินจวิน แต่มีคนเคยตั้งข้อสังเกตว่าดูจากสไตล์ภาษาแล้วไม่น่าจะใช่ อีกทั้งบทกวีนี้เมื่อแรกปรากฏในบันทึกที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งนั้น ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง

    จั๋วเหวินจวินคือใคร เพื่อนเพจคุ้นชื่อนี้บ้างหรือไม่? เธอถูกยกย่องเป็น “ไฉหนี่ว์” (คือหญิงที่มากด้วยพรสวรรค์) ที่เลื่องชื่อด้านโคลงกลอนและพิณ เป็นผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจของการวาดคิ้วแบบ ‘หย่วนซานเหมย’ ยอดนิยม (ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเกี่ยวกับการเขียนคิ้ว) และเพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นชื่อของเธอจากเรื่องราวของเพลงหงษ์วอนหาคู่ เพราะเธอคือภรรยาของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง)

    ‘ลำนำผมขาว’ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความรักระหว่างจั๋วเหวินจวินและซือหม่าเซียงหรูนั่นเอง

    ตำนานรักของเขามีอยู่ว่า ซือหม่าเซียงหรูสมัยที่ยังเป็นบัณฑิตไส้แห้ง ได้บรรเลงเพลงพิณหงส์วอนหาคู่ เป็นที่ต้องตาต้องใจของจั๋วเหวินจวินซึ่งเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จนเธอหนีตามเขาไป ทั้งสองคนเปิดร้านเหล้าช่วยกันทำมาหากินอย่างยากลำบาก จนในที่สุดจั๋วหวางซุนผู้เป็นพ่อก็ใจอ่อน ยกที่และเงินจำนวนไม่น้อยรับขวัญลูกเขยคนนี้

    ต่อมาซือหม่าเซียงหรูเข้ารับราชการจนเติบใหญ่ได้ดีอยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่จั๋วเหวินจวินยังอยู่ที่บ้านเกิด อยู่มาวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวว่าเขาอยากจะแต่งอนุภรรยา เธอเสียใจมากและยอมรับไม่ได้ เลยแต่งบทกวีนี้ส่งให้เขาเพื่อกล่าวตัดสัมพันธ์

    มีคน ‘ถอดรหัส’บทกวีนี้ Storyฯ เลยเอามาแปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆ... รักของเรานั้นเคยบริสุทธิ์ดุจหิมะขาวบนยอดเขา ดุจดวงจันทร์กลางกลีบเมฆ ครั้นได้ยินว่าท่านมีรักใหม่ ข้าจึงจะจบเรื่องราวของเรา วันนี้เราร่วมดื่มสุราเป็นครั้งสุดท้าย วันพรุ่งก็ทางใครทางมัน แรกเริ่มที่ข้าติดตามท่านนั้น ชีวิตยากลำบาก ทว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ไม่เคยบ่น ขอเพียงมีคนใจเดียวอยู่ด้วยกันจนผมขาวไม่ร้างลา มีรักหวานชื่น อันชายนั้นควรหนักแน่นกับความสัมพันธ์ ความรักเมื่อสูญหายแล้ว เงินทองก็ชดเชยให้ไม่ได้ (บทกวีฉบับจีนดูได้จากในรูป)

    ว่ากันว่า ซือหม่าเซียงหรูเมื่ออ่านบทกวีนี้ก็รำลึกถึงความรักที่เคยมีและวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และเปลี่ยนใจไม่แต่งงานใหม่ จวบจนบั้นปลายชีวิตก็มีจั๋วเหวินจวินเพียงคนเดียว

    บทกวีลำนำผมขาวนี้โด่งดังมาตลอด เพราะมุมมองที่ให้ความสำคัญของผัวเดียวเมียเดียวในยุคสมัยที่มีค่านิยมว่าชายมีเมียได้หลายคน และเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดอันเด็ดเดี่ยวของสตรี

    วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ นี้จึงกลายมาเป็นคำบอกรักยอดนิยมเพื่อสะท้อนถึงรักที่มั่นคงไม่ผันแปร แม้ที่มาจะเศร้าไปหน่อย แต่ก็จบลงด้วยดี

    แต่ปัจจุบันมีคนนำไปเขียนเพี้ยนไปก็มี จุดที่เพี้ยนหลักคือการสลับอักษรจาก ‘คนใจเดียว’( 一心人) ไปเป็น ‘ใจรักจากคนคนหนึ่ง’ (一人心) .... สลับอักษรแล้วความหมายแตกต่างมากเลย เพื่อนเพจว่าไหม?

    สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลังค่ะ

    หมายเหตุ 1: ‘ลำนำผมขาว’ เป็นชื่อที่แปลโดยคุณกนกพร นุ่มทอง จากหนังสือ < 100 ยอดหญิงแห่งประวัติศาสตร์จีน> แต่ Storyฯ แปลฉบับ ‘ถอดรหัส’ ให้ตามข้างต้นเพื่อความง่ายในการเข้าใจ
    หมายเหตุ 2: คำว่า ‘อิ๋น’ ในชื่อของบทกวีนี้ จริงๆ แล้วมีความหมายหลากหลาย รวมถึงเสียงร้องเพรียกของนก หรือการอ่านแบบมีจังหวะจะโคน หรือเสียงถอนหายใจ โดยส่วนตัว Storyฯ คิดว่าจริงๆ แล้วน่าจะหมายถึงเสียงถอนหายใจในบริบทนี้ แต่... ขอใช้ตามที่มีคนเคยแปลไว้ว่า ‘ลำนำผมขาว’ เผื่อเพื่อนเพจที่เคยผ่านตาบทกวีนี้จะได้ไม่สับสน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก: https://www.hk01.com/即時娛樂/705041/斛珠夫人-陳小紜曬素顏樣盡現氣質-曾承認整容將近十次非常痛
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.chinatoday.com.cn/zw2018/bktg/202104/t20210407_800242850.html
    http://www.exam58.com/gushi/4582.html
    https://www.sohu.com/a/402043209_99929216
    https://baike.baidu.com/item/白头吟/6866957

    #ไข่มุกเคียงบัลลังก์ #ป๋ายโถวอิ๋น #ลำนำผมขาว #กวีจีนโบราณ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู
    วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับวลีรักคลาสสิกที่ได้ยินกันบ่อยในหลายละครและนิยายจีน ความมีอยู่ว่า ... “ความหมายของโคมไฟใบเดียวนี้คือ ขอเพียงคนใจเดียว อีกทั้งยามนี้หิมะตกปกคลุมดูเหมือนศีรษะขาว รวมกันหมายถึง ปรารถนาคนใจเดียว เคียงข้างจนผมขาวมิร้างลา” จื่อจ๊านกล่าวต่อตี้ซวี่... - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> (Storyฯ แปลเองจ้า) วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ (愿得一心人,白头不相离) นี้ยกมาจากบทกวีที่ชื่อว่า ‘ป๋ายโถวอิ๋น’ (白头吟 /ลำนำผมขาว) ซึ่งกล่าวขานว่าเป็นบทประพันธ์ของจั๋วเหวินจวิน แต่มีคนเคยตั้งข้อสังเกตว่าดูจากสไตล์ภาษาแล้วไม่น่าจะใช่ อีกทั้งบทกวีนี้เมื่อแรกปรากฏในบันทึกที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งนั้น ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง จั๋วเหวินจวินคือใคร เพื่อนเพจคุ้นชื่อนี้บ้างหรือไม่? เธอถูกยกย่องเป็น “ไฉหนี่ว์” (คือหญิงที่มากด้วยพรสวรรค์) ที่เลื่องชื่อด้านโคลงกลอนและพิณ เป็นผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจของการวาดคิ้วแบบ ‘หย่วนซานเหมย’ ยอดนิยม (ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเกี่ยวกับการเขียนคิ้ว) และเพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นชื่อของเธอจากเรื่องราวของเพลงหงษ์วอนหาคู่ เพราะเธอคือภรรยาของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ‘ลำนำผมขาว’ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความรักระหว่างจั๋วเหวินจวินและซือหม่าเซียงหรูนั่นเอง ตำนานรักของเขามีอยู่ว่า ซือหม่าเซียงหรูสมัยที่ยังเป็นบัณฑิตไส้แห้ง ได้บรรเลงเพลงพิณหงส์วอนหาคู่ เป็นที่ต้องตาต้องใจของจั๋วเหวินจวินซึ่งเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จนเธอหนีตามเขาไป ทั้งสองคนเปิดร้านเหล้าช่วยกันทำมาหากินอย่างยากลำบาก จนในที่สุดจั๋วหวางซุนผู้เป็นพ่อก็ใจอ่อน ยกที่และเงินจำนวนไม่น้อยรับขวัญลูกเขยคนนี้ ต่อมาซือหม่าเซียงหรูเข้ารับราชการจนเติบใหญ่ได้ดีอยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่จั๋วเหวินจวินยังอยู่ที่บ้านเกิด อยู่มาวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวว่าเขาอยากจะแต่งอนุภรรยา เธอเสียใจมากและยอมรับไม่ได้ เลยแต่งบทกวีนี้ส่งให้เขาเพื่อกล่าวตัดสัมพันธ์ มีคน ‘ถอดรหัส’บทกวีนี้ Storyฯ เลยเอามาแปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆ... รักของเรานั้นเคยบริสุทธิ์ดุจหิมะขาวบนยอดเขา ดุจดวงจันทร์กลางกลีบเมฆ ครั้นได้ยินว่าท่านมีรักใหม่ ข้าจึงจะจบเรื่องราวของเรา วันนี้เราร่วมดื่มสุราเป็นครั้งสุดท้าย วันพรุ่งก็ทางใครทางมัน แรกเริ่มที่ข้าติดตามท่านนั้น ชีวิตยากลำบาก ทว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ไม่เคยบ่น ขอเพียงมีคนใจเดียวอยู่ด้วยกันจนผมขาวไม่ร้างลา มีรักหวานชื่น อันชายนั้นควรหนักแน่นกับความสัมพันธ์ ความรักเมื่อสูญหายแล้ว เงินทองก็ชดเชยให้ไม่ได้ (บทกวีฉบับจีนดูได้จากในรูป) ว่ากันว่า ซือหม่าเซียงหรูเมื่ออ่านบทกวีนี้ก็รำลึกถึงความรักที่เคยมีและวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และเปลี่ยนใจไม่แต่งงานใหม่ จวบจนบั้นปลายชีวิตก็มีจั๋วเหวินจวินเพียงคนเดียว บทกวีลำนำผมขาวนี้โด่งดังมาตลอด เพราะมุมมองที่ให้ความสำคัญของผัวเดียวเมียเดียวในยุคสมัยที่มีค่านิยมว่าชายมีเมียได้หลายคน และเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดอันเด็ดเดี่ยวของสตรี วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ นี้จึงกลายมาเป็นคำบอกรักยอดนิยมเพื่อสะท้อนถึงรักที่มั่นคงไม่ผันแปร แม้ที่มาจะเศร้าไปหน่อย แต่ก็จบลงด้วยดี แต่ปัจจุบันมีคนนำไปเขียนเพี้ยนไปก็มี จุดที่เพี้ยนหลักคือการสลับอักษรจาก ‘คนใจเดียว’( 一心人) ไปเป็น ‘ใจรักจากคนคนหนึ่ง’ (一人心) .... สลับอักษรแล้วความหมายแตกต่างมากเลย เพื่อนเพจว่าไหม? สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลังค่ะ หมายเหตุ 1: ‘ลำนำผมขาว’ เป็นชื่อที่แปลโดยคุณกนกพร นุ่มทอง จากหนังสือ < 100 ยอดหญิงแห่งประวัติศาสตร์จีน> แต่ Storyฯ แปลฉบับ ‘ถอดรหัส’ ให้ตามข้างต้นเพื่อความง่ายในการเข้าใจ หมายเหตุ 2: คำว่า ‘อิ๋น’ ในชื่อของบทกวีนี้ จริงๆ แล้วมีความหมายหลากหลาย รวมถึงเสียงร้องเพรียกของนก หรือการอ่านแบบมีจังหวะจะโคน หรือเสียงถอนหายใจ โดยส่วนตัว Storyฯ คิดว่าจริงๆ แล้วน่าจะหมายถึงเสียงถอนหายใจในบริบทนี้ แต่... ขอใช้ตามที่มีคนเคยแปลไว้ว่า ‘ลำนำผมขาว’ เผื่อเพื่อนเพจที่เคยผ่านตาบทกวีนี้จะได้ไม่สับสน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.hk01.com/即時娛樂/705041/斛珠夫人-陳小紜曬素顏樣盡現氣質-曾承認整容將近十次非常痛 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.chinatoday.com.cn/zw2018/bktg/202104/t20210407_800242850.html http://www.exam58.com/gushi/4582.html https://www.sohu.com/a/402043209_99929216 https://baike.baidu.com/item/白头吟/6866957 #ไข่มุกเคียงบัลลังก์ #ป๋ายโถวอิ๋น #ลำนำผมขาว #กวีจีนโบราณ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู
    WWW.HK01.COM
    香港01|hk01.com 倡議型媒體
    香港01是一家互聯網企業,核心業務為倡議型媒體,主要傳播平台是手機應用程式和網站。企業研發各種互動數碼平台,開發由知識與科技帶動的多元化生活。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษากามเป็นเครื่องผูก
    สัทธรรมลำดับที่ : 252
    ชื่อบทธรรม :- กามเป็นเครื่องผูก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=252
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --กามเป็นเครื่องผูก
    --เครื่องผูกอันใด เกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และเกิดแต่หญ้าปัพพชะก็ตาม,
    ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไม่กล่าวเครื่องผูกอันนั้น ว่าเป็นเครื่องผูกอันมั่นคงเลย.
    http://etipitaka.com/read/pali/15/112/?keywords=กามสุขํ
    +--ส่วนความยินดีของบุคคลผู้ยินดีแล้ว
    +--ในตุ้มหูแก้วมณีเป็นต้นด้วย และ
    +--ความเยื่อใยในบุตรและภรรยาด้วย,
    ผู้มีปัญญาทั้งหลายกล่าวความยินดีและเยื่อใยอันนั้น
    ว่าเป็นเครื่องผูกอันมั่นคงที่จะฉุดสัตว์ลงสู่ที่ต่ำได้โดยแท้
    #ซึ่งผูกไว้หย่อน ๆ แต่แก้ได้ยาก
    แล.-

    #ทุกขสมุทัย#อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สคา. สํ. 15/98/353.
    http://etipitaka.com/read/thai/15/98/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สคา. สํ. ๑๕/๑๑๒/๓๕๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/15/112/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%93
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=252
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=252
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17
    ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษากามเป็นเครื่องผูก สัทธรรมลำดับที่ : 252 ชื่อบทธรรม :- กามเป็นเครื่องผูก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=252 เนื้อความทั้งหมด :- --กามเป็นเครื่องผูก --เครื่องผูกอันใด เกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และเกิดแต่หญ้าปัพพชะก็ตาม, ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไม่กล่าวเครื่องผูกอันนั้น ว่าเป็นเครื่องผูกอันมั่นคงเลย. http://etipitaka.com/read/pali/15/112/?keywords=กามสุขํ +--ส่วนความยินดีของบุคคลผู้ยินดีแล้ว +--ในตุ้มหูแก้วมณีเป็นต้นด้วย และ +--ความเยื่อใยในบุตรและภรรยาด้วย, ผู้มีปัญญาทั้งหลายกล่าวความยินดีและเยื่อใยอันนั้น ว่าเป็นเครื่องผูกอันมั่นคงที่จะฉุดสัตว์ลงสู่ที่ต่ำได้โดยแท้ #ซึ่งผูกไว้หย่อน ๆ แต่แก้ได้ยาก แล.- #ทุกขสมุทัย​ #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สคา. สํ. 15/98/353. http://etipitaka.com/read/thai/15/98/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สคา. สํ. ๑๕/๑๑๒/๓๕๓. http://etipitaka.com/read/pali/15/112/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%93 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=252 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17&id=252 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=17 ลำดับสาธยายธรรม : 17 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_17.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - กามเป็นเครื่องผูก
    -กามเป็นเครื่องผูก เครื่องผูกอันใด เกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และเกิดแต่หญ้าปัพพชะก็ตาม, ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไม่กล่าวเครื่องผูกอันนั้น ว่าเป็นเครื่องผูกอันมั่นคงเลย. ส่วนความยินดีของบุคคลผู้ยินดีแล้ว ในตุ้มหูแก้วมณีเป็นต้นด้วย และความเยื่อใยในบุตรและภรรยาด้วย, ผู้มีปัญญาทั้งหลายกล่าวความยินดีและเยื่อใยอันนั้น ว่าเป็นเครื่องผูกอันมั่นคงที่จะฉุดสัตว์ลงสู่ที่ต่ำได้โดยแท้ ซึ่งผูกไว้หย่อน ๆ แต่แก้ได้ยาก แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เพลงฉู่รอบด้าน**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ซึ่งในช่วงต้นมีฉากที่พระนางใส่หน้ากากร่วมทายคำปริศนาในเทศกาลโคมไฟ หนึ่งในปริศนานั้นมีคำใบ้จาก ‘เพลงฉู่’ โดยในซีรีส์แปลไว้ว่า “ฟังเพลงฉู่ปวดใจหนักหนา คิดถึงบ้านแล้วน้ำตาร่วงหล่น ยุทธการที่ไกเซี่ย เพลงฉู่กังวานรอบทิศ กองทัพฉู่คะนึงหาบ้านเกิด” และนางเอกต่อคำว่า “คิดถึงบ้านเกิดย่อมต้องกลับบ้าน” ก่อนจะเฉลยคำตอบว่าคือสมุนไพรจีนตังกุย

    เชื่อว่าต้องมีเพื่อนเพจไม่น้อยที่งงกับคำเฉลยนี้

    ที่มาของคำเฉลยนี้เป็นการเล่นคำ โดย ‘ตังกุย’ ประกอบด้วยสองอักษร ... อักษรแรก ‘ตัง’ แปลว่าแน่นอนหรือย่อมต้องทำ และอักษรที่สอง ‘กุย’ แปลว่ากลับหรือหวนคืน ซึ่งโดยปกติใช้กับการกลับบ้าน

    ที่มาของชื่อสมุนไพรตังกุยนี้ก็หลากหลาย แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเพลงฉู่แต่อย่างใด สรุปที่มาของชื่อตังกุยคือ ก) ในตำรายาโบราณบอกว่ามันช่วยทำให้เลือดไหลเวียนกลับคืนสู่จุดเดิม ข) ชาวบ้านพูดถึงกันทั่วไปว่ายานี้มีสรรพคุณบำรุงเลือดสำหรับสตรี เป็นยาสำคัญสำหรับภรรยา เปรียบได้กับสามีที่เดินทางไปไกลแล้วได้กลับมาบ้านให้ภรรยาได้ชุ่มชื่นหัวใจ โดยแนวคิดนี้ถูกสะท้อนออกมาในบทกวีสมัยถัง และ ค) มันเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของพื้นที่ตังโจวในสมัยถัง และชื่อนี้มีมาแต่สมัยถังโดยก่อนหน้านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฉี’

    แล้ว ‘เพลงฉู่’ ล่ะ?

    เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินถึง ‘เพลงฉู่’ จากสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ (四面楚歌 / ซื่อเมี่ยนฉู่เกอ แปลตรงตัวว่า เพลงฉู่สี่ด้าน) จากเหตุการณ์ตอนที่กองทัพฉู่ของเซี่ยงอวี่ถูกทหารฮั่นของหลิวปังล้อมไว้ในหุบเขาไกเซี่ย โดยฝ่ายฮั่นใช้อุบายให้ทหารฮั่นร้องเพลงฉู่ เมื่อได้ยินเพลงจากบ้านเกิดก็ทำให้ทหารฉู่เกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเวลานาน ความฮึกเหิมถดถอย บ้างก็เข้าใจว่าฝั่งตรงข้ามมีเชลยศึกจำนวนมากจนมองไม่เห็นหนทางชนะและยอมแพ้ จนสุดท้ายเซี่ยงอวี่พาชายาและทหารที่เหลืออยู่น้อยนิดตีฝ่าวงล้อมออกไปแต่ก็ต้องจบชีวิตลงในที่สุด

    ฉาก ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ นี้ถูกจารึกไว้โดยนักประวัติศาสตร์สมัยฮั่นนามว่าซือหม่าเชียนในบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับชีวประวัติเซี่ยงอวี่ (项羽本纪) เพียงแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นอุบายของกุนซือท่านใดฝ่ายฮั่น

    แล้ว ‘เพลงฉู่’ ที่ว่านี้คือเพลงอะไร? เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันเพราะไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด บ้างว่าเป็นเพลงใดเพลงหนึ่ง บ้างว่ามันเป็นการเรียกรวมเพลงพื้นบ้านจากชาวฉู่ ซึ่งในสมัยนั้นเพลงพื้นบ้านเหล่านี้มีเนื้อร้องลักษณะคล้ายบทกลอนสั้นไม่กี่วรรค อาจเป็นวรรคสี่อักษรหรือเจ็ดอักษร ออกเสียงเหมือนร้องเพลง ทวนซ้ำไปมา ง่ายต่อการจำและร้องติดปาก โดยเพลงฉู่มีเอกลักษณ์คือจะใช้คำว่า ‘ซี’ (兮) เป็นคำลงท้ายก่อนเว้นวรรคหรือคำเชื่อม แต่เป็นคำที่ไม่มีความหมายเฉพาะ ก็คล้ายกับ ‘นะ’ ‘แล่ะ’ ฯลฯ ทั้งนี้ เพลงฉู่โดยตัวมันเองไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นเพลงคิดถึงบ้าน เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของอารมณ์เศร้าและถูกนำมาให้ในเหตุการณ์วงล้อมหุบเขาไกเซี่ยข้างต้นเพื่อกระตุ้นให้ทหารคิดถึงบ้านเกิด

    และสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ ได้กลายมาเป็นวลีที่สะท้อนว่ากำลังถูกรายล้อมด้วยศัตรูหรือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หมายถึงสถานการณ์อันคับขันมากจนยากจะเอาตัวรอดได้นั่นเอง

    หมายเหตุ มีการแก้ไขบทความเพิ่มเติมให้ถูกต้อง ณ วันที่ 23/5/2025 เวลา 10.30น.

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://yayusw.com/Article.asp?id=3224
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.cas.cn/kxcb/kpwz/201002/t20100209_2760500.shtml
    https://www.guwendianji.com/wenyanwen/17281.html
    https://baike.baidu.com/item/三国演义/5782
    https://baike.baidu.com/item/项羽本纪 /2115064
    https://www.sohu.com/a/620378890_121448078

    #จิ่วฉงจื่อ #สามก๊ก #เพลงฉู่ #เซี่ยงอวี่ #สาระจีน
    **เพลงฉู่รอบด้าน** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ซึ่งในช่วงต้นมีฉากที่พระนางใส่หน้ากากร่วมทายคำปริศนาในเทศกาลโคมไฟ หนึ่งในปริศนานั้นมีคำใบ้จาก ‘เพลงฉู่’ โดยในซีรีส์แปลไว้ว่า “ฟังเพลงฉู่ปวดใจหนักหนา คิดถึงบ้านแล้วน้ำตาร่วงหล่น ยุทธการที่ไกเซี่ย เพลงฉู่กังวานรอบทิศ กองทัพฉู่คะนึงหาบ้านเกิด” และนางเอกต่อคำว่า “คิดถึงบ้านเกิดย่อมต้องกลับบ้าน” ก่อนจะเฉลยคำตอบว่าคือสมุนไพรจีนตังกุย เชื่อว่าต้องมีเพื่อนเพจไม่น้อยที่งงกับคำเฉลยนี้ ที่มาของคำเฉลยนี้เป็นการเล่นคำ โดย ‘ตังกุย’ ประกอบด้วยสองอักษร ... อักษรแรก ‘ตัง’ แปลว่าแน่นอนหรือย่อมต้องทำ และอักษรที่สอง ‘กุย’ แปลว่ากลับหรือหวนคืน ซึ่งโดยปกติใช้กับการกลับบ้าน ที่มาของชื่อสมุนไพรตังกุยนี้ก็หลากหลาย แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเพลงฉู่แต่อย่างใด สรุปที่มาของชื่อตังกุยคือ ก) ในตำรายาโบราณบอกว่ามันช่วยทำให้เลือดไหลเวียนกลับคืนสู่จุดเดิม ข) ชาวบ้านพูดถึงกันทั่วไปว่ายานี้มีสรรพคุณบำรุงเลือดสำหรับสตรี เป็นยาสำคัญสำหรับภรรยา เปรียบได้กับสามีที่เดินทางไปไกลแล้วได้กลับมาบ้านให้ภรรยาได้ชุ่มชื่นหัวใจ โดยแนวคิดนี้ถูกสะท้อนออกมาในบทกวีสมัยถัง และ ค) มันเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของพื้นที่ตังโจวในสมัยถัง และชื่อนี้มีมาแต่สมัยถังโดยก่อนหน้านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฉี’ แล้ว ‘เพลงฉู่’ ล่ะ? เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินถึง ‘เพลงฉู่’ จากสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ (四面楚歌 / ซื่อเมี่ยนฉู่เกอ แปลตรงตัวว่า เพลงฉู่สี่ด้าน) จากเหตุการณ์ตอนที่กองทัพฉู่ของเซี่ยงอวี่ถูกทหารฮั่นของหลิวปังล้อมไว้ในหุบเขาไกเซี่ย โดยฝ่ายฮั่นใช้อุบายให้ทหารฮั่นร้องเพลงฉู่ เมื่อได้ยินเพลงจากบ้านเกิดก็ทำให้ทหารฉู่เกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเวลานาน ความฮึกเหิมถดถอย บ้างก็เข้าใจว่าฝั่งตรงข้ามมีเชลยศึกจำนวนมากจนมองไม่เห็นหนทางชนะและยอมแพ้ จนสุดท้ายเซี่ยงอวี่พาชายาและทหารที่เหลืออยู่น้อยนิดตีฝ่าวงล้อมออกไปแต่ก็ต้องจบชีวิตลงในที่สุด ฉาก ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ นี้ถูกจารึกไว้โดยนักประวัติศาสตร์สมัยฮั่นนามว่าซือหม่าเชียนในบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับชีวประวัติเซี่ยงอวี่ (项羽本纪) เพียงแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นอุบายของกุนซือท่านใดฝ่ายฮั่น แล้ว ‘เพลงฉู่’ ที่ว่านี้คือเพลงอะไร? เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันเพราะไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด บ้างว่าเป็นเพลงใดเพลงหนึ่ง บ้างว่ามันเป็นการเรียกรวมเพลงพื้นบ้านจากชาวฉู่ ซึ่งในสมัยนั้นเพลงพื้นบ้านเหล่านี้มีเนื้อร้องลักษณะคล้ายบทกลอนสั้นไม่กี่วรรค อาจเป็นวรรคสี่อักษรหรือเจ็ดอักษร ออกเสียงเหมือนร้องเพลง ทวนซ้ำไปมา ง่ายต่อการจำและร้องติดปาก โดยเพลงฉู่มีเอกลักษณ์คือจะใช้คำว่า ‘ซี’ (兮) เป็นคำลงท้ายก่อนเว้นวรรคหรือคำเชื่อม แต่เป็นคำที่ไม่มีความหมายเฉพาะ ก็คล้ายกับ ‘นะ’ ‘แล่ะ’ ฯลฯ ทั้งนี้ เพลงฉู่โดยตัวมันเองไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นเพลงคิดถึงบ้าน เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของอารมณ์เศร้าและถูกนำมาให้ในเหตุการณ์วงล้อมหุบเขาไกเซี่ยข้างต้นเพื่อกระตุ้นให้ทหารคิดถึงบ้านเกิด และสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ ได้กลายมาเป็นวลีที่สะท้อนว่ากำลังถูกรายล้อมด้วยศัตรูหรือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หมายถึงสถานการณ์อันคับขันมากจนยากจะเอาตัวรอดได้นั่นเอง หมายเหตุ มีการแก้ไขบทความเพิ่มเติมให้ถูกต้อง ณ วันที่ 23/5/2025 เวลา 10.30น. (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://yayusw.com/Article.asp?id=3224 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.cas.cn/kxcb/kpwz/201002/t20100209_2760500.shtml https://www.guwendianji.com/wenyanwen/17281.html https://baike.baidu.com/item/三国演义/5782 https://baike.baidu.com/item/项羽本纪 /2115064 https://www.sohu.com/a/620378890_121448078 #จิ่วฉงจื่อ #สามก๊ก #เพลงฉู่ #เซี่ยงอวี่ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท

    วันนี้ (22 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวน "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเส้นทางการเงิน หลังจับกุม "ทิดแย้ม - สีกาเกร็น" แล้ว 7 วัน

    พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า 7 วันที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปยังการหยุดยั้งการกระทำความผิด หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัดฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการจะให้ข่าวอะไร จึงต้องเซฟเพื่อไม่กระทบต่อความศรัทธา

    เริ่มต้นจากการที่มีหนังสือร้องเรียนมายังผู้บังคับการกองปราบปราม ว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวและมีการหยิบยืมเงินพระและฆราวาสเป็นหลักล้านบาท โดยได้ส่งผู้กองทอน พรางตัวไปสืบสวนฯ จนพบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสใช้เงินวัดโอนเงินไปให้ "อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเกร็น"

    โดย บก.ปปป. ตรวจสอบพบว่าขณะนี้พบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส 21 บัญชี , อรัญญาวรรณ 12 บัญชี โดยมุ่งไปที่เงินหมุนเวียนของอรัญญาวรรณ พบว่าตั้งแต่ปี 2569 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 ช่องทางในการรับเงิน 1.ฝากเงินเงินสด 2.รับโอนจากเจ้าอาวาส 3.รับโอนจากอดีตพระมหาเอกพจน์ 4. รับโอนเงินจากนายฉัตรชัย สีเลี้ยง ซึ่งจากพยานหลักฐานพบว่าไม่สอดคล้องกับคำให้การของอดีตเจ้าอาวาส

    พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยว่าวัดไร่ขิง มีรายได้หลายช่องทาง รายได้ตั้งแต่ ต.ค. 66 - ก.ย. 67 เฉลี่ย 400,000 ต่อวัน , 14.7 ล้านบาทต่อเดือน , 176 ล้านบาทต่อปี

    โดย ป.ป.ท. รับทำในส่วนของบัญชีวัดฯ ซึ่งพบความผิดปกติหลายรายการ เช่น การเช่าร้านค้า ปีหนึ่งวัดมีรายได้จากส่วนนี้มากกว่า 30 ล้านบาท โดยเมื่อก่อนมีการนำเงินเข้าบัญชีโดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารับ

    แต่หลังจากปี 2563 - 2567 พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเช่นที่ทำกันมา โดยมีการเอาเงินสดทั้งหมดไปมอบให้เจ้าอาวาส ซึ่งพบว่าจำนวนเงินที่นำไปให้เจ้าอาวาส เกือบ 200 ล้านบาท

    อีกทั้งเรื่องเงินกฐินพบว่ามีการมอบไปให้เจ้าอาวาสกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการขายวัตถุมงคล ก็เป็นลักษณะพฤติกรรมเดียวกัน

    ส่วนร้านค้าสวัสดิการ พบมีเงินไปเกี่ยวโยงกับบัญชีของคู่สามีภรรยา ซึ่งจะต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป

    นอกจากนี้ในการแถลงข่าวยังได้มีการเปิดคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง "ทิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กับ สีกาเกร็น" โดยเป็นการพูดคุยเกียวกับการขอเงินไปส่งค่างวดให้กับเว็บพนัน ซึ่งทิตแย้ม แสดงน้ำเสียงบ่งบอกถึงการหาเงินไม่ทัน

    จากคลิปเสียงดังกล่าว พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า เป็นการสนทนากันช่วงเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นการให้โอนเงินไปยังเว็บพนัน ซึ่งส่วนนี้หลวงพ่อรับรู้

    โดยความสัมพันธ์ของสีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ กับอดีตเจ้าอาวาสขอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ "ช่วงหวาน" กับ "ช่วงขม"

    ช่วงหวานอาจจะเกิดก่อนปี 2563 มีการเริ่มเข้ามายืมเงิน "ทิตแย้ม" 5 ถึง 6 หมื่นบาท และมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้กับ "ทิตแย้ม" ซึ่ง "ทิตแย้ม" ก็ช่วยไป เมื่อยืมเสร็จแล้วก็มีการติดต่อมีการพูดคุยกันเรื่อยมาทุกวัน

    จากนั้นก็เริ่มมีการโอนเงินให้ครั้งละ 1,000 ถึง 10,000 ก่อนที่จะมีการแลก LINE กัน ซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น มีการโชว์หน้ากัน "คุยกันไปก็น้ำหนักมากภาพก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยเรื่อย ๆ"

    โดย สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ เป็นเด็กที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง ช่วง ม.ต้น มาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัดฯ ทำให้ได้เคยพูดคุยและพบกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะจบออกไปทำงานพบว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แล้วกลับมาบ้านคาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนโควิด จึงเข้าไปขอหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าถ้ามีแหวนวัดไร่ขิงถ้าเดือดร้อนให้มาขอความช่วยเหลือได้

    ส่วนช่วงขม คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เพราะจากคลิปการสนทนา หลวงพ่อหมดทางที่จะไป เพราะเงินวัดก็เหลือน้อย ไปยืมมาก็ไม่มีให้ยืมแล้ว ต่อมาซักประมาณเดือน ธ.ค. สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ และแฟนหนุ่มถูกจับกุม ทำให้วันต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมข่มขู่ว่ามีคลิปที่เคยเซ็กซ์โฟน ถูกเจ้าหน้าที่ของ สอท. ยึดไป วันว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเปิดเผยจึงกลับมาข่มขู่หลวงพ่อ เพื่อจะเอาเงินไปดำเนินการหลังถูกจับกุม

    นายคณพศ สตง. 3 ได้ วัดมีสามมูลนิ มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง , มูลนิธิพระอุบาลีฯ , มูลนิธิวัดไร่ขิง , โดยใน 3 มูลนิธินี้มูลนิธิที่มีเงินมากที่สุดคือ "มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง"

    ส่วนมูลนิธิเมตตาประชารัฐ มีอยู่ประมาณ 66 ล้านบาท , มูลนิธิพระอุบาลี 19 ล้านบาท โดยพบว่าเจ้าอาวาสได้มีการยืมเงินกับมูลนิธิวัดไร่ขิงไป 35 ล้านบาทโดยไม่มีรายละเอียดว่ายืมไปทำอะไร ซึ่งเป็นการยืมไปทั้งก้อน โดยมาคืน 5,000,0 บาทในปี 2567 ทำให้ยอดหนี้คงเหลือ 30 ล้านบาท

    นอกจากนี้อดีตเจ้าอาวาสยังได้ยืมเงินในส่วนของมูลนิธิอุบารีไปอีกเก้าล้านบาท โดยมีการชดใช้ไปปีละ 1,100,000 บาท เป็นเวลา 9 ปี รวมเป็นหนี้มูลนิธิทั้งสองมูลนิธิ 38 ล้านบาท

    อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคืบหน้าการสืบสวน ยังคงต้องดำเนินการสืบเส้นทางการเงิน-รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    https://news.ch7.com/detail/804103?fbclid=IwQ0xDSwKbsG5leHRuA2FlbQIxMQABHokl0oAdErnD4pB1keWRJaP2kUkH8-mqlcKVIf1eLNVxzVQbjvvP5Dub3d7w_aem__H3KnIHQ_QuZGpRP3tFxRg#maz1m2gy1zyyhlh1mg4
    แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท วันนี้ (22 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวน "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเส้นทางการเงิน หลังจับกุม "ทิดแย้ม - สีกาเกร็น" แล้ว 7 วัน พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า 7 วันที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปยังการหยุดยั้งการกระทำความผิด หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัดฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการจะให้ข่าวอะไร จึงต้องเซฟเพื่อไม่กระทบต่อความศรัทธา เริ่มต้นจากการที่มีหนังสือร้องเรียนมายังผู้บังคับการกองปราบปราม ว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวและมีการหยิบยืมเงินพระและฆราวาสเป็นหลักล้านบาท โดยได้ส่งผู้กองทอน พรางตัวไปสืบสวนฯ จนพบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสใช้เงินวัดโอนเงินไปให้ "อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเกร็น" โดย บก.ปปป. ตรวจสอบพบว่าขณะนี้พบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส 21 บัญชี , อรัญญาวรรณ 12 บัญชี โดยมุ่งไปที่เงินหมุนเวียนของอรัญญาวรรณ พบว่าตั้งแต่ปี 2569 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 ช่องทางในการรับเงิน 1.ฝากเงินเงินสด 2.รับโอนจากเจ้าอาวาส 3.รับโอนจากอดีตพระมหาเอกพจน์ 4. รับโอนเงินจากนายฉัตรชัย สีเลี้ยง ซึ่งจากพยานหลักฐานพบว่าไม่สอดคล้องกับคำให้การของอดีตเจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยว่าวัดไร่ขิง มีรายได้หลายช่องทาง รายได้ตั้งแต่ ต.ค. 66 - ก.ย. 67 เฉลี่ย 400,000 ต่อวัน , 14.7 ล้านบาทต่อเดือน , 176 ล้านบาทต่อปี โดย ป.ป.ท. รับทำในส่วนของบัญชีวัดฯ ซึ่งพบความผิดปกติหลายรายการ เช่น การเช่าร้านค้า ปีหนึ่งวัดมีรายได้จากส่วนนี้มากกว่า 30 ล้านบาท โดยเมื่อก่อนมีการนำเงินเข้าบัญชีโดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารับ แต่หลังจากปี 2563 - 2567 พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเช่นที่ทำกันมา โดยมีการเอาเงินสดทั้งหมดไปมอบให้เจ้าอาวาส ซึ่งพบว่าจำนวนเงินที่นำไปให้เจ้าอาวาส เกือบ 200 ล้านบาท อีกทั้งเรื่องเงินกฐินพบว่ามีการมอบไปให้เจ้าอาวาสกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการขายวัตถุมงคล ก็เป็นลักษณะพฤติกรรมเดียวกัน ส่วนร้านค้าสวัสดิการ พบมีเงินไปเกี่ยวโยงกับบัญชีของคู่สามีภรรยา ซึ่งจะต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป นอกจากนี้ในการแถลงข่าวยังได้มีการเปิดคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง "ทิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กับ สีกาเกร็น" โดยเป็นการพูดคุยเกียวกับการขอเงินไปส่งค่างวดให้กับเว็บพนัน ซึ่งทิตแย้ม แสดงน้ำเสียงบ่งบอกถึงการหาเงินไม่ทัน จากคลิปเสียงดังกล่าว พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า เป็นการสนทนากันช่วงเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นการให้โอนเงินไปยังเว็บพนัน ซึ่งส่วนนี้หลวงพ่อรับรู้ โดยความสัมพันธ์ของสีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ กับอดีตเจ้าอาวาสขอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ "ช่วงหวาน" กับ "ช่วงขม" ช่วงหวานอาจจะเกิดก่อนปี 2563 มีการเริ่มเข้ามายืมเงิน "ทิตแย้ม" 5 ถึง 6 หมื่นบาท และมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้กับ "ทิตแย้ม" ซึ่ง "ทิตแย้ม" ก็ช่วยไป เมื่อยืมเสร็จแล้วก็มีการติดต่อมีการพูดคุยกันเรื่อยมาทุกวัน จากนั้นก็เริ่มมีการโอนเงินให้ครั้งละ 1,000 ถึง 10,000 ก่อนที่จะมีการแลก LINE กัน ซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น มีการโชว์หน้ากัน "คุยกันไปก็น้ำหนักมากภาพก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยเรื่อย ๆ" โดย สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ เป็นเด็กที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง ช่วง ม.ต้น มาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัดฯ ทำให้ได้เคยพูดคุยและพบกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะจบออกไปทำงานพบว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แล้วกลับมาบ้านคาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนโควิด จึงเข้าไปขอหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าถ้ามีแหวนวัดไร่ขิงถ้าเดือดร้อนให้มาขอความช่วยเหลือได้ ส่วนช่วงขม คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เพราะจากคลิปการสนทนา หลวงพ่อหมดทางที่จะไป เพราะเงินวัดก็เหลือน้อย ไปยืมมาก็ไม่มีให้ยืมแล้ว ต่อมาซักประมาณเดือน ธ.ค. สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ และแฟนหนุ่มถูกจับกุม ทำให้วันต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมข่มขู่ว่ามีคลิปที่เคยเซ็กซ์โฟน ถูกเจ้าหน้าที่ของ สอท. ยึดไป วันว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเปิดเผยจึงกลับมาข่มขู่หลวงพ่อ เพื่อจะเอาเงินไปดำเนินการหลังถูกจับกุม นายคณพศ สตง. 3 ได้ วัดมีสามมูลนิ มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง , มูลนิธิพระอุบาลีฯ , มูลนิธิวัดไร่ขิง , โดยใน 3 มูลนิธินี้มูลนิธิที่มีเงินมากที่สุดคือ "มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนมูลนิธิเมตตาประชารัฐ มีอยู่ประมาณ 66 ล้านบาท , มูลนิธิพระอุบาลี 19 ล้านบาท โดยพบว่าเจ้าอาวาสได้มีการยืมเงินกับมูลนิธิวัดไร่ขิงไป 35 ล้านบาทโดยไม่มีรายละเอียดว่ายืมไปทำอะไร ซึ่งเป็นการยืมไปทั้งก้อน โดยมาคืน 5,000,0 บาทในปี 2567 ทำให้ยอดหนี้คงเหลือ 30 ล้านบาท นอกจากนี้อดีตเจ้าอาวาสยังได้ยืมเงินในส่วนของมูลนิธิอุบารีไปอีกเก้าล้านบาท โดยมีการชดใช้ไปปีละ 1,100,000 บาท เป็นเวลา 9 ปี รวมเป็นหนี้มูลนิธิทั้งสองมูลนิธิ 38 ล้านบาท อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคืบหน้าการสืบสวน ยังคงต้องดำเนินการสืบเส้นทางการเงิน-รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป https://news.ch7.com/detail/804103?fbclid=IwQ0xDSwKbsG5leHRuA2FlbQIxMQABHokl0oAdErnD4pB1keWRJaP2kUkH8-mqlcKVIf1eLNVxzVQbjvvP5Dub3d7w_aem__H3KnIHQ_QuZGpRP3tFxRg#maz1m2gy1zyyhlh1mg4
    NEWS.CH7.COM
    ข่าวอึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง"
    แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเงื่อนจีนหรือ ‘จงกั๋วเจี๋ย’ ซึ่งคำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022

    เพื่อนเพจแฟนละครหรือนิยายจีนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘เจี๋ย’ นี้ถูกนำมาใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับความรักรวมถึงเงื่อนจีนที่ถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความรัก วันนี้เรามาคุยกันถึงวลีจีนเกี่ยวกับ ‘เจี๋ย’ และความหมายของมัน

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ตราบแต่นี้ไป ข้าก็เป็นภรรยาผูกปมผมของท่านแล้ว สองเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามกันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่” เล่อเยียนยิ้มกล่าว...
    - ถอดบทสนทนาจากละคร <สตรีหาญฉางเกอ> (Storyฯ แปลเองจ้า)

    คำแปลข้างบนอาจฟังดูงง คำว่า ‘ผูกปมผม’ (เจี๋ยฟ่า / 结发) หมายถึงอะไร? ในเรื่อง <สตรีหาญฉางเกอ> มีฉากที่ฮ่าวตู (เจ้าบ่าว) คลายเชือกหลากสีที่มัดอยู่ที่มวยผมของเล่อเยียน (เจ้าสาว) แล้วต่างคนต่างตัดปอยผมมารวมกันเอาเชือกนั้นผูกไว้ (ดูภาพประกอบที่ดึงมาจากในละคร) นี่คือการ ‘ผูกปมผม’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีการเข้าหอของคู่บ่าวสาวหลังจากเกี่ยวก้อยกันดื่มสุรามงคลแล้ว

    เริ่มกันที่การปลดเชือก เชือกหลากสีที่เห็นนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘อิง’ สตรีที่ได้รับการหมั้นหมายแล้วจะต้องผูกเชือกนี้ไว้ที่มวยผม ตราบจนวันแต่งงานเข้าหอแล้วมีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถปลดเชือกนี้ได้ การทำอย่างนี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (1047 – 772 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏในบันทึกพิธีการการแต่งงาน (仪礼·土昏礼 ซึ่งเป็นบันทึกเดียวกับที่กล่าวถึง ‘หกพิธีการ’/六礼 ของงานแต่งงานที่เพื่อนเพจอาจเคยผ่านหู) บันทึกนี้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเกี่ยวกับเรื่องประเพณีและพิธีการ แต่... บันทึกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการผูกปมผม

    พิธีการผูกปมผมเริ่มแต่เมื่อใดไม่ปรากฏบันทึกที่ชัดเจน แต่บทกวีในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ประพันธ์โดยซูอู่ (140 - 60 ปีก่อนคริสตกาล) มีวรรคนี้ปรากฏ “ผูกปมผมเป็นสามีภรรยา รักกันไม่เคลือบแคลงใจ” (结发为夫妻,恩爱两不疑) ดังนั้นการเอาปอยผมมามัดเข้ากันนี้มีแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น และวลีนี้เป็นอีกหนึ่งวลีคลาสสิกที่ใช้กล่าวถึงความรักที่มั่นคง

    แต่มันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ

    ในธรรมเนียมจีนโบราณ จะมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่มีการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ ส่วนอนุทั้งหลายจะเพียงแต่รับตัวเข้ามาเข้าห้องเลย ดังนั้นคำว่า ‘ภรรยาผูกปมผม’ ในบางบริบทไม่ใช่หมายถึงรักเดียว แต่อาจหมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นคนแรกก็ได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/366760262
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.epochtimes.com/gb/20/10/19/n12485542.htm
    https://baike.sogou.com/v168462018.htm
    https://www.pinshiwen.com/gsdq/aqsc/20190711144812.html

    #สตรีหาญฉางเกอ #ฮ่าวตูเล่อเยียน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #ผูกปมผม #เจี๋ยฟ่า #เจี๋ยฝ้า
    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงเงื่อนจีนหรือ ‘จงกั๋วเจี๋ย’ ซึ่งคำว่าเงื่อนหรือ ‘เจี๋ย’ นั้น ในความหมายจีนแปลได้อีกว่าความผูกพันหรือความเชื่อมโยงหรือความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 เพื่อนเพจแฟนละครหรือนิยายจีนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘เจี๋ย’ นี้ถูกนำมาใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับความรักรวมถึงเงื่อนจีนที่ถูกใช้เป็นตัวแทนแห่งความรัก วันนี้เรามาคุยกันถึงวลีจีนเกี่ยวกับ ‘เจี๋ย’ และความหมายของมัน ความมีอยู่ว่า ... “ตราบแต่นี้ไป ข้าก็เป็นภรรยาผูกปมผมของท่านแล้ว สองเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามกันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่” เล่อเยียนยิ้มกล่าว... - ถอดบทสนทนาจากละคร <สตรีหาญฉางเกอ> (Storyฯ แปลเองจ้า) คำแปลข้างบนอาจฟังดูงง คำว่า ‘ผูกปมผม’ (เจี๋ยฟ่า / 结发) หมายถึงอะไร? ในเรื่อง <สตรีหาญฉางเกอ> มีฉากที่ฮ่าวตู (เจ้าบ่าว) คลายเชือกหลากสีที่มัดอยู่ที่มวยผมของเล่อเยียน (เจ้าสาว) แล้วต่างคนต่างตัดปอยผมมารวมกันเอาเชือกนั้นผูกไว้ (ดูภาพประกอบที่ดึงมาจากในละคร) นี่คือการ ‘ผูกปมผม’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีการเข้าหอของคู่บ่าวสาวหลังจากเกี่ยวก้อยกันดื่มสุรามงคลแล้ว เริ่มกันที่การปลดเชือก เชือกหลากสีที่เห็นนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘อิง’ สตรีที่ได้รับการหมั้นหมายแล้วจะต้องผูกเชือกนี้ไว้ที่มวยผม ตราบจนวันแต่งงานเข้าหอแล้วมีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถปลดเชือกนี้ได้ การทำอย่างนี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (1047 – 772 ปีก่อนคริสตกาล) ปรากฏในบันทึกพิธีการการแต่งงาน (仪礼·土昏礼 ซึ่งเป็นบันทึกเดียวกับที่กล่าวถึง ‘หกพิธีการ’/六礼 ของงานแต่งงานที่เพื่อนเพจอาจเคยผ่านหู) บันทึกนี้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเกี่ยวกับเรื่องประเพณีและพิธีการ แต่... บันทึกนี้ไม่ได้กล่าวถึงการผูกปมผม พิธีการผูกปมผมเริ่มแต่เมื่อใดไม่ปรากฏบันทึกที่ชัดเจน แต่บทกวีในสมัยราชวงศ์ฮั่นที่ประพันธ์โดยซูอู่ (140 - 60 ปีก่อนคริสตกาล) มีวรรคนี้ปรากฏ “ผูกปมผมเป็นสามีภรรยา รักกันไม่เคลือบแคลงใจ” (结发为夫妻,恩爱两不疑) ดังนั้นการเอาปอยผมมามัดเข้ากันนี้มีแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น และวลีนี้เป็นอีกหนึ่งวลีคลาสสิกที่ใช้กล่าวถึงความรักที่มั่นคง แต่มันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ ในธรรมเนียมจีนโบราณ จะมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่มีการกราบไหว้ฟ้าดินแล้วส่งตัวเข้าห้องหอ ส่วนอนุทั้งหลายจะเพียงแต่รับตัวเข้ามาเข้าห้องเลย ดังนั้นคำว่า ‘ภรรยาผูกปมผม’ ในบางบริบทไม่ใช่หมายถึงรักเดียว แต่อาจหมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นคนแรกก็ได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/366760262 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.epochtimes.com/gb/20/10/19/n12485542.htm https://baike.sogou.com/v168462018.htm https://www.pinshiwen.com/gsdq/aqsc/20190711144812.html #สตรีหาญฉางเกอ #ฮ่าวตูเล่อเยียน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #ผูกปมผม #เจี๋ยฟ่า #เจี๋ยฝ้า
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำพูดตลกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และ “ภรรยาคนที่สอง” ทำให้คนในประเทศเกิดปฏิกิริยาที่หลากหลาย โดยทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเพราะยังคงไว้อาลัยเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หลังจากที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 2014 ระหว่างที่อันวาร์เยือนกรุงมอสโก

    อันวาร์อยู่ระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ 4 วันตามคำเชิญของปูติน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล

    แต่คำพูดที่หลุดจากปากของปูตินเองต่างหากที่ดึงดูดความสนใจ

    ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงมอสโกเมื่อวันพุธที่14 พ.ค. ผู้นำรัสเซียเล่าว่าพาอันวาร์ชมห้องโถงเซนต์แอนดรูว์อันโอ่อ่าในเครมลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์พิธีการ 3 บัลลังก์ที่ราชวงศ์รัสเซียเคยใช้ ผู้นำรัสเซียอธิบายว่าบัลลังก์หนึ่งเป็นของซาร์ และอีกบัลลังก์หนึ่งเป็นของภรรยา จากนั้นจึงถามผู้นำมาเลเซียว่าบัลลังก์ที่สามเป็นของใคร

    “นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวโดยไม่คิดอะไรเลยว่า ‘เพื่อภรรยาคนที่สอง’” ปูตินกล่าว ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ “ฉันหวังว่าเขาจะไม่โกรธฉันที่พูดแบบนั้น แต่นี่คือคำตอบของมุสลิมแท้ ตัวแทนที่แท้จริงของวัฒนธรรมอิสลาม”

    อันวาร์ซึ่งหัวเราะขณะที่ปูตินเล่าเรื่องนี้ตอบกลับว่า “ผมมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น ท่านประธานาธิบดี” และเสริมว่าภายหลังเขาเพิ่งตระหนักว่าบัลลังก์ที่สามนั้นเป็นของพระมารดาของซาร์

    ชาวมาเลเซียรีบล้อเลียนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้บนโซเชียลมีเดีย โดยบางคนเสนอว่าควรมีเพลง “Russia Sayang” เป็นเพลงประกอบการเยือนของอันวาร์ ซึ่งเป็นการเล่นคำกับเพลง “Rasa Sayang” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านยอดนิยมของชาวมาเลย์ที่แปลว่า “ความรู้สึกรัก”

    “จากรัสเซียด้วยความรัก” ผู้ใช้รายหนึ่งชื่ออัซลัน อับดุลลาห์ เขียน พร้อมเพิ่มอีโมจิหัวเราะในความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กของเขา

    อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียบางคนก็ไม่ได้รู้สึกขบขัน นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความตลกโปกฮานี้ขาดความจริงจัง เนื่องจากรัสเซียมีบทบาทในเหตุโศกนาฏกรรม MH17 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 298 ราย รวมถึงชาวมาเลเซีย 43 ราย เมื่อเครื่องบินถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ Buk ที่ผลิตโดยรัสเซียโจมตีเหนือยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม 2557 ระหว่างการสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนมอสโกวและกองกำลังยูเครน

    ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เขาคิดว่าเขาไปมอสโกวเพื่อเรียกร้องคำตอบเกี่ยวกับ MH17 แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับภรรยาคนที่สองกับปูตินแทน” ผู้ใช้อีกรายเขียนว่า “หัวเราะและเล่าเรื่องตลกในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจาก MH17 ร้องไห้” ในโพสต์ที่แชร์คลิปการแถลงข่าวที่กลายเป็นไวรัล

    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตก

    คำตัดสินดังกล่าวระบุว่ารัสเซียละเมิดอนุสัญญาชิคาโก ซึ่งห้ามใช้อาวุธโจมตีเครื่องบินพลเรือนขณะบิน และเปิดโอกาสให้รัฐที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องค่าชดเชยแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตผ่านกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ

    เครมลินปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าวโดยระบุว่า “ลำเอียง” โดยให้เหตุผลว่ามอสโกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน

    ในการแถลงข่าวแยกกับสื่อมาเลเซียในกรุงมอสโก อันวาร์กล่าวว่าปูตินบอกกับเขาว่ารัสเซียเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือในคดีนี้ แต่เฉพาะกับหน่วยงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นกลางเท่านั้น

    “สิ่งที่ฉันยืนยันได้คือเขากล่าวว่าไม่เป็นความจริงที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่พวกเขาไม่สามารถให้ความร่วมมือกับใครก็ตามที่รัสเซียถือว่าไม่เป็นอิสระ” เขากล่าว

    มาเลเซียซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในช่วงยุคโซเวียตในทศวรรษ 1960 นำเข้าธัญพืช น้ำมันกลั่น และอาวุธจากรัสเซีย และล่าสุดหันไปหามอสโกเพื่อขอการสนับสนุนในการพยายามเข้าร่วมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บริกส์

    ที่มา Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia
    https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3310606/putins-second-wife-joke-about-malaysias-anwar-draws-laughs-and-anger-amid-mh17-ruling?share=mYixsqD3Gx74oC2WLCVGDbUSw3YQ5trX%2FyBWyU9E0%2F%2FQDIcV%2Ba96vAUpBw3v%2BoxVR4RAImnq9JxgzHKpT4WMZjU%2BOyv%2BvSxYeWul0pVvbj0%3D&utm_campaign=social_share
    คำพูดตลกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และ “ภรรยาคนที่สอง” ทำให้คนในประเทศเกิดปฏิกิริยาที่หลากหลาย โดยทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเพราะยังคงไว้อาลัยเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หลังจากที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 2014 ระหว่างที่อันวาร์เยือนกรุงมอสโก อันวาร์อยู่ระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ 4 วันตามคำเชิญของปูติน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล แต่คำพูดที่หลุดจากปากของปูตินเองต่างหากที่ดึงดูดความสนใจ ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงมอสโกเมื่อวันพุธที่14 พ.ค. ผู้นำรัสเซียเล่าว่าพาอันวาร์ชมห้องโถงเซนต์แอนดรูว์อันโอ่อ่าในเครมลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์พิธีการ 3 บัลลังก์ที่ราชวงศ์รัสเซียเคยใช้ ผู้นำรัสเซียอธิบายว่าบัลลังก์หนึ่งเป็นของซาร์ และอีกบัลลังก์หนึ่งเป็นของภรรยา จากนั้นจึงถามผู้นำมาเลเซียว่าบัลลังก์ที่สามเป็นของใคร “นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวโดยไม่คิดอะไรเลยว่า ‘เพื่อภรรยาคนที่สอง’” ปูตินกล่าว ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ “ฉันหวังว่าเขาจะไม่โกรธฉันที่พูดแบบนั้น แต่นี่คือคำตอบของมุสลิมแท้ ตัวแทนที่แท้จริงของวัฒนธรรมอิสลาม” อันวาร์ซึ่งหัวเราะขณะที่ปูตินเล่าเรื่องนี้ตอบกลับว่า “ผมมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น ท่านประธานาธิบดี” และเสริมว่าภายหลังเขาเพิ่งตระหนักว่าบัลลังก์ที่สามนั้นเป็นของพระมารดาของซาร์ ชาวมาเลเซียรีบล้อเลียนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้บนโซเชียลมีเดีย โดยบางคนเสนอว่าควรมีเพลง “Russia Sayang” เป็นเพลงประกอบการเยือนของอันวาร์ ซึ่งเป็นการเล่นคำกับเพลง “Rasa Sayang” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านยอดนิยมของชาวมาเลย์ที่แปลว่า “ความรู้สึกรัก” “จากรัสเซียด้วยความรัก” ผู้ใช้รายหนึ่งชื่ออัซลัน อับดุลลาห์ เขียน พร้อมเพิ่มอีโมจิหัวเราะในความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กของเขา อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียบางคนก็ไม่ได้รู้สึกขบขัน นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความตลกโปกฮานี้ขาดความจริงจัง เนื่องจากรัสเซียมีบทบาทในเหตุโศกนาฏกรรม MH17 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 298 ราย รวมถึงชาวมาเลเซีย 43 ราย เมื่อเครื่องบินถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ Buk ที่ผลิตโดยรัสเซียโจมตีเหนือยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม 2557 ระหว่างการสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนมอสโกวและกองกำลังยูเครน ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เขาคิดว่าเขาไปมอสโกวเพื่อเรียกร้องคำตอบเกี่ยวกับ MH17 แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับภรรยาคนที่สองกับปูตินแทน” ผู้ใช้อีกรายเขียนว่า “หัวเราะและเล่าเรื่องตลกในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจาก MH17 ร้องไห้” ในโพสต์ที่แชร์คลิปการแถลงข่าวที่กลายเป็นไวรัล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตก คำตัดสินดังกล่าวระบุว่ารัสเซียละเมิดอนุสัญญาชิคาโก ซึ่งห้ามใช้อาวุธโจมตีเครื่องบินพลเรือนขณะบิน และเปิดโอกาสให้รัฐที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องค่าชดเชยแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตผ่านกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ เครมลินปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าวโดยระบุว่า “ลำเอียง” โดยให้เหตุผลว่ามอสโกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน ในการแถลงข่าวแยกกับสื่อมาเลเซียในกรุงมอสโก อันวาร์กล่าวว่าปูตินบอกกับเขาว่ารัสเซียเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือในคดีนี้ แต่เฉพาะกับหน่วยงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นกลางเท่านั้น “สิ่งที่ฉันยืนยันได้คือเขากล่าวว่าไม่เป็นความจริงที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่พวกเขาไม่สามารถให้ความร่วมมือกับใครก็ตามที่รัสเซียถือว่าไม่เป็นอิสระ” เขากล่าว มาเลเซียซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในช่วงยุคโซเวียตในทศวรรษ 1960 นำเข้าธัญพืช น้ำมันกลั่น และอาวุธจากรัสเซีย และล่าสุดหันไปหามอสโกเพื่อขอการสนับสนุนในการพยายามเข้าร่วมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บริกส์ ที่มา Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3310606/putins-second-wife-joke-about-malaysias-anwar-draws-laughs-and-anger-amid-mh17-ruling?share=mYixsqD3Gx74oC2WLCVGDbUSw3YQ5trX%2FyBWyU9E0%2F%2FQDIcV%2Ba96vAUpBw3v%2BoxVR4RAImnq9JxgzHKpT4WMZjU%2BOyv%2BvSxYeWul0pVvbj0%3D&utm_campaign=social_share
    WWW.SCMP.COM
    Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia
    While some social media users were amused by the leaders’ moment of levity, others felt it was inappropriate in light of the MH17 tragedy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภรรยาฟ้องหย่าหลัง ChatGPT ทำนายว่าสามีมีชู้จากกากกาแฟ

    เรื่องราวสุดแปลกนี้เกิดขึ้นในกรีซ เมื่อหญิงคนหนึ่ง ใช้ ChatGPT วิเคราะห์กากกาแฟของสามี และได้รับคำทำนายว่าเขากำลัง คิดจะมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว E และต่อมา AI ยังทำนายว่า เขาได้เริ่มต้นความสัมพันธ์นี้แล้ว ทำให้เธอตัดสินใจ ฟ้องหย่าโดยไม่บอกสามีล่วงหน้า

    ✅ หญิงชาวกรีซใช้ ChatGPT วิเคราะห์กากกาแฟของสามี
    - เป็นการทดลอง AI tasseography ซึ่งเป็นศาสตร์พยากรณ์ที่ใช้กากกาแฟหรือใบชา

    ✅ ChatGPT ทำนายว่าสามีกำลังคิดถึงหญิงสาวที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย E
    - ต่อมา AI ระบุว่าเขาได้เริ่มต้นความสัมพันธ์แล้ว

    ✅ ภรรยาตัดสินใจฟ้องหย่าโดยไม่บอกสามีล่วงหน้า
    - เธอแจ้งลูก ๆ และส่งเรื่องให้ทนายความทันที

    ✅ สามีปฏิเสธข้อกล่าวหาและพยายามอธิบายว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
    - เขาให้สัมภาษณ์ว่า ภรรยามักเชื่อเรื่องพยากรณ์และเคยไปพบหมอดูมาก่อน

    ✅ ทนายของสามีโต้แย้งว่า AI ไม่มีสถานะทางกฎหมายในการให้คำพยากรณ์
    - ชี้ว่า คำทำนายจาก AI ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้

    https://www.techspot.com/news/107925-woman-divorces-husband-after-chatgpt-reads-coffee-grounds.html
    ภรรยาฟ้องหย่าหลัง ChatGPT ทำนายว่าสามีมีชู้จากกากกาแฟ เรื่องราวสุดแปลกนี้เกิดขึ้นในกรีซ เมื่อหญิงคนหนึ่ง ใช้ ChatGPT วิเคราะห์กากกาแฟของสามี และได้รับคำทำนายว่าเขากำลัง คิดจะมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว E และต่อมา AI ยังทำนายว่า เขาได้เริ่มต้นความสัมพันธ์นี้แล้ว ทำให้เธอตัดสินใจ ฟ้องหย่าโดยไม่บอกสามีล่วงหน้า ✅ หญิงชาวกรีซใช้ ChatGPT วิเคราะห์กากกาแฟของสามี - เป็นการทดลอง AI tasseography ซึ่งเป็นศาสตร์พยากรณ์ที่ใช้กากกาแฟหรือใบชา ✅ ChatGPT ทำนายว่าสามีกำลังคิดถึงหญิงสาวที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย E - ต่อมา AI ระบุว่าเขาได้เริ่มต้นความสัมพันธ์แล้ว ✅ ภรรยาตัดสินใจฟ้องหย่าโดยไม่บอกสามีล่วงหน้า - เธอแจ้งลูก ๆ และส่งเรื่องให้ทนายความทันที ✅ สามีปฏิเสธข้อกล่าวหาและพยายามอธิบายว่าเป็นเรื่องไร้สาระ - เขาให้สัมภาษณ์ว่า ภรรยามักเชื่อเรื่องพยากรณ์และเคยไปพบหมอดูมาก่อน ✅ ทนายของสามีโต้แย้งว่า AI ไม่มีสถานะทางกฎหมายในการให้คำพยากรณ์ - ชี้ว่า คำทำนายจาก AI ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้ https://www.techspot.com/news/107925-woman-divorces-husband-after-chatgpt-reads-coffee-grounds.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Woman divorces husband after ChatGPT reads his coffee grounds and predicts affair
    Rather than using ChatGPT's image skills to create Studio Ghibli-style pictures, a Greek woman decided to experiment with the trend of AI tasseography – a form of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • MGR Online - รองโฆษกราชทัณฑ์ เผย เรือนจำจังหวัดสงขลารับตัว "สจ.กอล์ฟ-ลูกน้อง" ทำประวัติผู้ต้องขัง คืนแรกนอนแดนกักโรค ให้เจ้าหน้าที่คอยดูแลใกล้ชิด

    จากกรณีศาลจังหวัดสงขลาไม่ให้ประกันตัว นายสิรดนัย พลายด้วง หรือ “สจ.กอล์ฟ” ส.อบจ.สงขลา เขต 7 ลูกชายของนายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ หรือ “โกถึก” และลูกน้อง ทั้ง 7 คน สั่งลูกน้องก่อเหตุรุมทำร้าย ด.ต.นิสาธิต คงเทพ ผบ.หมู่ กก.ตชด.43 ซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยเลือกตั้งที่ 7 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา เพราะไม่พอใจที่ถูกห้ามถ่ายรูปในหน่วยเลือกตั้งขณะไปลงคะแนนกับภรรยา ซึ่งตำรวจได้ควบคุม สจ.กอล์ฟ พร้อมลูกน้องรวม 7 คนไปฝากขังที่ศาลจังหวัดสงขลาและไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งหมดเนื่องจากเป็นคดีใหญ่ กลัวจะยุ่งเหยิงกับพยาน และกระทำการอย่างอุกอาจทำร้ายเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ก่อนส่งเรือนจำจังหวัดสงขลา เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (14 พ.ค.)

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000045362

    #MGROnline #สจกอล์ฟ #เลือกตั้งเทศบาล68
    MGR Online - รองโฆษกราชทัณฑ์ เผย เรือนจำจังหวัดสงขลารับตัว "สจ.กอล์ฟ-ลูกน้อง" ทำประวัติผู้ต้องขัง คืนแรกนอนแดนกักโรค ให้เจ้าหน้าที่คอยดูแลใกล้ชิด • จากกรณีศาลจังหวัดสงขลาไม่ให้ประกันตัว นายสิรดนัย พลายด้วง หรือ “สจ.กอล์ฟ” ส.อบจ.สงขลา เขต 7 ลูกชายของนายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ หรือ “โกถึก” และลูกน้อง ทั้ง 7 คน สั่งลูกน้องก่อเหตุรุมทำร้าย ด.ต.นิสาธิต คงเทพ ผบ.หมู่ กก.ตชด.43 ซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยเลือกตั้งที่ 7 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา เพราะไม่พอใจที่ถูกห้ามถ่ายรูปในหน่วยเลือกตั้งขณะไปลงคะแนนกับภรรยา ซึ่งตำรวจได้ควบคุม สจ.กอล์ฟ พร้อมลูกน้องรวม 7 คนไปฝากขังที่ศาลจังหวัดสงขลาและไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งหมดเนื่องจากเป็นคดีใหญ่ กลัวจะยุ่งเหยิงกับพยาน และกระทำการอย่างอุกอาจทำร้ายเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ก่อนส่งเรือนจำจังหวัดสงขลา เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (14 พ.ค.) • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000045362 • #MGROnline #สจกอล์ฟ #เลือกตั้งเทศบาล68
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้นั่งฟังเพลงนางไม้อยู่
    แล้วมีความรำลึกถึงอย่างแรงกล้าต่อแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เมื่อครั้งอดีต.
    .
    ผมเคยเล่าให้หลายคนฟังเกี่ยวกับปูมหลังของผมว่า การเขียนเพลงของผมมีรากฐานยาวไกลมาจากครูสอนภาษาไทยท่านหนึ่งชื่อครูจันทร์เพ็ญ สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สามพราน นครปฐม... และยังเล่าอีกว่ามีกวีเอกรัตนโกสินทร์ท่านหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจด้วย นั่นคือ "ท่านจันทร์" หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (ภายหลังตัดคำ วัฒน์ ออก เหลือ จันทร์จิรายุ). แต่คนส่วนใหญ่ที่มาสัมภาษก็ได้แต่รับฟังและไม่ได้สนใจจะถามไถ่ว่าปูมหลังเหล่านี้ดำเนินไปอย่างไร อย่าว่าแต่ครูจันทร์เพ็ญผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แม้แต่ "ท่านจันทร์" เองก็ไม่ได้เป็นชื่อที่คนรุ่นหลังจะรู้จักและใส่ใจ ทั้งที่ท่านเป็นนักเขียนที่มีผลงานเจิดจ้าอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ท่านเป็นเจ้าของนามปากกา พ.ณ ประมวญมารค เป็นพระโอรสในกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ กวีเอกอีกท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามปากกาว่า น.ม.ส.
    .
    ตอนที่เรียนอยู่ ภปร. ผมอยู่บ้านสาม ตอนเข้าไปใหม่ๆ ครูประจำบ้านชื่อครูสมยศ บ้านพักของท่านอยู่ข้างๆ หอนอนบ้านสาม ครูจันทร์เพ็ญที่สอนภาษาไทยเป็นภรรยาของท่าน และเคยเป็นครูประจำชั้นของผมอยู่ปีหนึ่งในช่วงเรียนชั้นประถม ครูจันทร์เพ็ญสังเกตุเห็นความสนใจในการเขียนโคลงกลอนของผมและมักชวนคุย เป็นเหตุให้ผมเวียนไปคุยที่บ้านพักของท่านเมื่อมีโอกาสว่างจากกิจวัตร ท่านให้กำลังใจผมว่าผมมีโอกาสที่จะเจริญทางการเขียนได้ ท่านให้คำแนะนำอย่างไม่เบื่อหน่ายในเรื่องรูปแบบการเขียนของฉันทลักษณ์ต่างๆ และแนะนำงานหลายชิ้นให้อ่าน เช่นพวกงานเขียนคลาสสิคอย่างนิราศนั่นนี่ของสุนทรภู่เป็นต้น
    .
    ผมสิงสู่ดุจผีร้ายที่ห้องสมุดของโรงเรียนนับแต่นั้น ซ่อนงานที่ชอบไว้อ่านเองเพราะกลัวคนมาตัดหน้ายืมไป (เป็นความประพฤติที่แย่มากและไม่จำเป็นเลย เพื่อนนักเรียนในยุคผมแทบหาคนเป็นนักอ่านไม่ได้) ในจำนวนนั้นมีงานของกวีท่านหนึ่ง ครูบอกว่าครูชอบที่สุด ก็คืองานของท่านจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี เป็นร้อยกรองที่มีแรงดึงดูดใจผมอย่างอธิบายไม่ถูก มีหนังสือเก่าๆ เล่มบางๆ บางเล่มที่เคยอ่านในตอนนั้น แต่ความทรงจำของผมไม่ปะติดปะต่อนักในภายหลังเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วและพยายามจะหาหนังสือเหล่านั้นมาเก็บเป็นของตัวเอง. หนังสือที่อยากได้มากที่สุดเล่มหนึ่งคือ Facets of Thai Poetry (2525) เพราะเป็นงานโคลงที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เคยหามาครอบครองได้สำเร็จ ยังมีหนังสือเก่าอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามหาอยู่ อย่างเช่น โคลงตำรับประมวญมารค (2510), นิราศนายโต๊ะ ณ ท่าช้าง (2511 - นายโต๊ะ เป็นอีกนามปากกาของท่าน), รวมทั้งหนังสือในช่วงหลังเช่น นักกลอนบ่อนเข้าแช่ (2520)... (โดยเฉพาะบทกวีของท่านที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งกระจัดกระจายตีพิมพ์ในนิตยสารสมัยก่อน ยิ่งรวบรวมแสนยาก จริงๆ แล้วอยากได้ฉบับจริงมาเก็บไว้ แต่หากใครมีและเมตตาทำสำเนาให้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง)
    .
    สิ่งที่โดดเด่นและสร้างความหลงไหลให้แก่ผมก็คือท่านจันทร์เป็นกวีสองภาษา รสชาติทางเสียงและอักษรในบทกวีของท่านเป็นสิ่งที่น่าประทับใจเหลือล้ำสำหรับผม ถ้าคุณเป็นคนรักในโคลงกลอนเชื่อว่าคุณจะรู้สึกเหมือนผมเมื่อได้อ่าน และแม้เมื่อผมอายุมากขึ้นมาจนทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยได้ยินบทกวีที่กระทบโสตประสาทแล้วมีรสชาติเทียบได้เช่นนั้น ถ้าคุณเคยอ่านกวีนิพนธ์ในภาษาอังกฤษคุณจะคุ้นเคยกับรสชาติของมันแบบหนึ่ง และขณะที่คุณอ่านกวีนิพนธ์ไทยในภาษาไทยคุณก็จะคุ้นเคยกับรสชาติคุ้นชินนั้นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุณได้อ่านบทกวีภาษาอังกฤษที่วางอยู่บนฉันทลักษณ์ที่สวยงามแบบไทย โดยเฉพาะเมื่อมันโลดแล่นสลับไปมาระหว่างสองภาษา คุณจะรู้สึกอัศจรรย์ยิ่งกว่าความรู้สึกสองแบบที่กล่าวไปหลายเท่า และตลอดชีวิตผมไม่เคยเห็นงานเขียนแบบนี้จากคนอื่น.. ตัวอย่างเช่น ท่านเขียนประวัติท่านบนโคลงสี่ว่า...
    ================================================
    .
    พฤหัสขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนแปด
    จันทร์กระโดดกระเด็นแดด เที่ยงเปรี้ยง
    จอแปดจะแปดแฝด แปดเดี่ยว ก็ดี
    เข้าวษาเสียงเพี้ยง สวดพร้อง คล้องหอน ฯ
    .
    Born : nineteen hundred and ten*
    That was the year when Kings died**
    The stars in heaven did laugh
    On earth people cried when I was born
    .
    [* ค.ศ.1910 / ** พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าและกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดสวรรคตในปีนั้น]
    =================================================
    .
    พี่เนาว์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์อีกท่าน กล่าวไว้ไม่ผิด...
    "ท่านจันทร์ เป็นกวีของกวี"
    แม้วันนี้ความรู้สึกอย่างนี้ของผมก็ยังไม่เปลี่ยน
    แรงบันดาลใจนี้ส่งผลให้ผมตะเกียกตะกายอย่างยิ่งเสมอมาที่จะเขียนเพลงให้ภาษาสวยงามสักเสี้ยวธุลีนึงของท่าน
    .
    =================================================
    อาจารย์ เขียน ยิ้มศิริ ปฏิมากรเอกของไทยเคยปั้นรูปเหมือนศีรษะของท่านจันทร์
    ท่านเขียนกวีว่า....
    .
    ช่างปั้นเขาช่างปั้น รูปเหมือน หัวเฮย
    ยังมิทันจะเลือน หนุ่มฟ้อ
    เดือนปีสักกี่เดือน หาจด จำแฮ
    ดูประดุจรูปล้อ ธาตุน้ำลมไฟ ฯ
    .
    วันหนึ่งกายหยาบนี้ จักสลาย
    เหลือแต่หัวตัวหาย ตกฟ้า
    อักษรจะนอนหงาย ปกเปิด
    หรือว่าคว่ำดำหล้า ธาตุสิ้นดินสูญ ฯ
    .
    - พ ณ.ประมวญมารค (2531) ==============================================
    ท่านสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2534
    แต่อักษรของท่านไม่คว่ำและมีน้ำหนักมั่นคงจารึกลงในแผ่นดินไม่มีวันสิ้นสูญ.
    .
    ด้วยจิตคารวะ
    พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
    2566
    วันนี้นั่งฟังเพลงนางไม้อยู่ แล้วมีความรำลึกถึงอย่างแรงกล้าต่อแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เมื่อครั้งอดีต. . ผมเคยเล่าให้หลายคนฟังเกี่ยวกับปูมหลังของผมว่า การเขียนเพลงของผมมีรากฐานยาวไกลมาจากครูสอนภาษาไทยท่านหนึ่งชื่อครูจันทร์เพ็ญ สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สามพราน นครปฐม... และยังเล่าอีกว่ามีกวีเอกรัตนโกสินทร์ท่านหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจด้วย นั่นคือ "ท่านจันทร์" หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (ภายหลังตัดคำ วัฒน์ ออก เหลือ จันทร์จิรายุ). แต่คนส่วนใหญ่ที่มาสัมภาษก็ได้แต่รับฟังและไม่ได้สนใจจะถามไถ่ว่าปูมหลังเหล่านี้ดำเนินไปอย่างไร อย่าว่าแต่ครูจันทร์เพ็ญผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แม้แต่ "ท่านจันทร์" เองก็ไม่ได้เป็นชื่อที่คนรุ่นหลังจะรู้จักและใส่ใจ ทั้งที่ท่านเป็นนักเขียนที่มีผลงานเจิดจ้าอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ท่านเป็นเจ้าของนามปากกา พ.ณ ประมวญมารค เป็นพระโอรสในกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ กวีเอกอีกท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามปากกาว่า น.ม.ส. . ตอนที่เรียนอยู่ ภปร. ผมอยู่บ้านสาม ตอนเข้าไปใหม่ๆ ครูประจำบ้านชื่อครูสมยศ บ้านพักของท่านอยู่ข้างๆ หอนอนบ้านสาม ครูจันทร์เพ็ญที่สอนภาษาไทยเป็นภรรยาของท่าน และเคยเป็นครูประจำชั้นของผมอยู่ปีหนึ่งในช่วงเรียนชั้นประถม ครูจันทร์เพ็ญสังเกตุเห็นความสนใจในการเขียนโคลงกลอนของผมและมักชวนคุย เป็นเหตุให้ผมเวียนไปคุยที่บ้านพักของท่านเมื่อมีโอกาสว่างจากกิจวัตร ท่านให้กำลังใจผมว่าผมมีโอกาสที่จะเจริญทางการเขียนได้ ท่านให้คำแนะนำอย่างไม่เบื่อหน่ายในเรื่องรูปแบบการเขียนของฉันทลักษณ์ต่างๆ และแนะนำงานหลายชิ้นให้อ่าน เช่นพวกงานเขียนคลาสสิคอย่างนิราศนั่นนี่ของสุนทรภู่เป็นต้น . ผมสิงสู่ดุจผีร้ายที่ห้องสมุดของโรงเรียนนับแต่นั้น ซ่อนงานที่ชอบไว้อ่านเองเพราะกลัวคนมาตัดหน้ายืมไป (เป็นความประพฤติที่แย่มากและไม่จำเป็นเลย เพื่อนนักเรียนในยุคผมแทบหาคนเป็นนักอ่านไม่ได้) ในจำนวนนั้นมีงานของกวีท่านหนึ่ง ครูบอกว่าครูชอบที่สุด ก็คืองานของท่านจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี เป็นร้อยกรองที่มีแรงดึงดูดใจผมอย่างอธิบายไม่ถูก มีหนังสือเก่าๆ เล่มบางๆ บางเล่มที่เคยอ่านในตอนนั้น แต่ความทรงจำของผมไม่ปะติดปะต่อนักในภายหลังเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วและพยายามจะหาหนังสือเหล่านั้นมาเก็บเป็นของตัวเอง. หนังสือที่อยากได้มากที่สุดเล่มหนึ่งคือ Facets of Thai Poetry (2525) เพราะเป็นงานโคลงที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เคยหามาครอบครองได้สำเร็จ ยังมีหนังสือเก่าอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามหาอยู่ อย่างเช่น โคลงตำรับประมวญมารค (2510), นิราศนายโต๊ะ ณ ท่าช้าง (2511 - นายโต๊ะ เป็นอีกนามปากกาของท่าน), รวมทั้งหนังสือในช่วงหลังเช่น นักกลอนบ่อนเข้าแช่ (2520)... (โดยเฉพาะบทกวีของท่านที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งกระจัดกระจายตีพิมพ์ในนิตยสารสมัยก่อน ยิ่งรวบรวมแสนยาก จริงๆ แล้วอยากได้ฉบับจริงมาเก็บไว้ แต่หากใครมีและเมตตาทำสำเนาให้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง) . สิ่งที่โดดเด่นและสร้างความหลงไหลให้แก่ผมก็คือท่านจันทร์เป็นกวีสองภาษา รสชาติทางเสียงและอักษรในบทกวีของท่านเป็นสิ่งที่น่าประทับใจเหลือล้ำสำหรับผม ถ้าคุณเป็นคนรักในโคลงกลอนเชื่อว่าคุณจะรู้สึกเหมือนผมเมื่อได้อ่าน และแม้เมื่อผมอายุมากขึ้นมาจนทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยได้ยินบทกวีที่กระทบโสตประสาทแล้วมีรสชาติเทียบได้เช่นนั้น ถ้าคุณเคยอ่านกวีนิพนธ์ในภาษาอังกฤษคุณจะคุ้นเคยกับรสชาติของมันแบบหนึ่ง และขณะที่คุณอ่านกวีนิพนธ์ไทยในภาษาไทยคุณก็จะคุ้นเคยกับรสชาติคุ้นชินนั้นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุณได้อ่านบทกวีภาษาอังกฤษที่วางอยู่บนฉันทลักษณ์ที่สวยงามแบบไทย โดยเฉพาะเมื่อมันโลดแล่นสลับไปมาระหว่างสองภาษา คุณจะรู้สึกอัศจรรย์ยิ่งกว่าความรู้สึกสองแบบที่กล่าวไปหลายเท่า และตลอดชีวิตผมไม่เคยเห็นงานเขียนแบบนี้จากคนอื่น.. ตัวอย่างเช่น ท่านเขียนประวัติท่านบนโคลงสี่ว่า... ================================================ . พฤหัสขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนแปด จันทร์กระโดดกระเด็นแดด เที่ยงเปรี้ยง จอแปดจะแปดแฝด แปดเดี่ยว ก็ดี เข้าวษาเสียงเพี้ยง สวดพร้อง คล้องหอน ฯ . Born : nineteen hundred and ten* That was the year when Kings died** The stars in heaven did laugh On earth people cried when I was born . [* ค.ศ.1910 / ** พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าและกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดสวรรคตในปีนั้น] ================================================= . พี่เนาว์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์อีกท่าน กล่าวไว้ไม่ผิด... "ท่านจันทร์ เป็นกวีของกวี" แม้วันนี้ความรู้สึกอย่างนี้ของผมก็ยังไม่เปลี่ยน แรงบันดาลใจนี้ส่งผลให้ผมตะเกียกตะกายอย่างยิ่งเสมอมาที่จะเขียนเพลงให้ภาษาสวยงามสักเสี้ยวธุลีนึงของท่าน . ================================================= อาจารย์ เขียน ยิ้มศิริ ปฏิมากรเอกของไทยเคยปั้นรูปเหมือนศีรษะของท่านจันทร์ ท่านเขียนกวีว่า.... . ช่างปั้นเขาช่างปั้น รูปเหมือน หัวเฮย ยังมิทันจะเลือน หนุ่มฟ้อ เดือนปีสักกี่เดือน หาจด จำแฮ ดูประดุจรูปล้อ ธาตุน้ำลมไฟ ฯ . วันหนึ่งกายหยาบนี้ จักสลาย เหลือแต่หัวตัวหาย ตกฟ้า อักษรจะนอนหงาย ปกเปิด หรือว่าคว่ำดำหล้า ธาตุสิ้นดินสูญ ฯ . - พ ณ.ประมวญมารค (2531) ============================================== ท่านสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2534 แต่อักษรของท่านไม่คว่ำและมีน้ำหนักมั่นคงจารึกลงในแผ่นดินไม่มีวันสิ้นสูญ. . ด้วยจิตคารวะ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 2566
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏#อธิษฐานละความผูกพันในการเกิด

    ✴️ #เหมือนคนเกิดมาชาตินึงมาเจอสถานที่ในพระศาสนาดูทรุดโทรม คิดว่าถ้ามีโอกาสจะมาบูรณะ แต่ตายไปซะก่อน พอเกิดมาอีกชาตินึงก็ต้องกลับไปบูรณะอีกจนได้ เพราะมันเป็นสัญญาของใจเรา เพราะเราเปล่งวาจาว่าเราจะมาบูรณะ บุญมันก็พาให้เราต้องมาเจอ แล้วก็ต้องมาบูรณะจนได้

    ✴️ #ถ้าทำสำเร็จก็จบไป ถ้าไม่ได้ทำก็รอชาติต่อไป
    ⚜️เอ้อ มันก็ต้องเกิดชาติต่อไปเห็นไหม

    ✴️ #งั้นตกลงกับใครไว้หยุดซะนะ สัญญาเกี่ยวก้อยไว้ชาติหน้าเกิดเราจะเป็นคู่ครองต่อไปเราไม่.. ทิ้งแล้ว ตัดนิ้วก้อยทิ้งแล้ว ไม่ผูกกับใครแล้วนะ เอ้อ..เราจะไปชาตินี้นะ เธอต้องโละทิ้งให้หมดนะ ไม่รู้เนี่ยมันอยู่ในใจเธอนะ ถึงเวลาตายขึ้นมาเป็นเทวดานางฟ้าไอ้เรื่องนี้ไม่ได้ทำมันจะคาใจเธอ

    ✴️ #อย่างพระนางวิสาขาเห็นไหมล่ะ มันเป็นความปรารถนาของท่านมันก็ยังคาใจท่านอยู่นะ ถึงเวลาท่านก็ยังต้องไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ไปอุปฐากพระศาสนาของพระองค์ต่อไป นี่คือส่วนหนึ่งที่ว่าปฏิปทาของท่าน แต่ว่าไอ้ความตั้งจิตเจตนาอย่างนี้ถ้าเธอไม่มีซะเลยจะดีเสียกว่า

    ✴️ #เอาให้ตรงทางอย่างเดียวว่า ฉันจะไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ไปไหน ไม่ว่าฉันจะเป็นเทวดา นางฟ้า อยู่สวรรค์ชั้นใดเราก็จะไม่ไปที่ไหนอีกต่อไปนอกจากจะไปนิพพานที่เดียว
    ✴️ #แล้วก็จะไม่ผูกพันกับใครในเรื่องใดๆ #เกี่ยวข้องมาในแต่อดีตชาติกาลก่อนว่าเคยสัญญากับใคร #เคยตั้งใจทำอะไรก็ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียเลยนะ ทำเสีย

    ..............................................................

    ✴️ #หาดอกไม้ธูปเทียน มาตั้งไหว้พระในบ้านเราก็ได้ วันไหนก็ได้ ตั้งจิตอธิษฐานเสียให้ดีว่า บัดนี้เป็นต้นไป
    🙏#ถ้าหากว่าลูกเคยมีสัญญากับคนก็ดีกับพระก็ดี #กับในเขตพระศาสนาก็ดีในกาลก่อนที่เคยผูกมัดใจของลูกให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
    🙏บัดนี้ลูกขอหยุดแล้ว หยุดความปรารถนาทั้งสิ้น ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องการกลับมาเกิดอีกต่อไป
    🙏#ไม่ผูกมัดใจกับคนกับสัตว์กับสิ่งของกับวัตถุธาตุทั้งหลายอีกต่อไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น
    🙏 #แล้วก็กราบขอขมาพระรัตนตรัย #ขอขมาคนทั้งหลาย #ขอขมาทุกคนที่เคยผูกมัดสัญญากันไว้นะ ก็โละไปเสีย ทำไว้มันจะได้ไม่คาใจเรา
    🙏 แม้นคนในปัจจุบันว่าจะเกี่ยวข้องในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกเราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันว่าเธอกับฉันก็อยู่กันแค่อนุเคราะห์กันในชาตินี้นะ เราก็ช่วยกันเต็มที่เต็มหน่วยไม่ว่าจะเป็นใคร ดูแลกันสุดกำลังใจที่เราสามารถช่วยกันได้นะในฐานะที่เกิดมามีบุพกรรมร่วมกันมา ทั้งผู้เป็นพ่อก็ดีผู้เป็นแม่ก็ดีเป็นพี่เป็นน้องกันก็ดี เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกกัน เป็นญาติกันก็ตามทีนะ แม้จะเป็นเพื่อนที่รักกัน ช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันมา ....

    ✴️ #บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปรากฏในโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็ตาม เราก็ขอหยุดแล้ว หยุดภาระความผูกพันใดๆทั้งสิ้น เพราะมันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ ในความเกี่ยวเนื่องกันแบบนี้นะ ก็เท่ากับว่าผูกให้ใจเรามันทุกข์กันไปเรื่อยไป เพราะเราก็ช่วยเค้าไม่ได้ เค้าก็ช่วยเราไม่ได้ จริงมั้ย เอ้า ว่าไปตามความจริง ไม่มีใครช่วยเราได้ #นอกจากพระรัตนตรัยแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดเสมอยิ่งกว่าพระองค์ #พระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยะเลย
    ...............................................................
    นอกนั้นก็ทุกคนก็เพียรพยายามที่จะหนีทุกข์ด้วยตัวเองทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาบารมีสะสมกันมานะ มากหรือน้อย เราจึงพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ ใครก็พึ่งพาเราไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเรารู้ได้อย่างนี้แล้วเค้าจะเพิ่งเราได้

    ✴️ #ความจริงมันก็ต่างคนต่างตายเราจะไปยั้งได้ยังไงล่ะ ใครตายก่อนตายหลังก็พยากรณ์กันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เธออาจจะตายก่อนชั้นก็ได้ ชั้นอาจจะตายก่อนเธอก็ได้ มันไม่มีใครรู้หรอกนะ เรื่องนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เราได้แต่สงเคราะห์เมื่อในยามที่มีชีวิตอยู่คือให้กันได้ อะไรที่ให้ได้ก็ให้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอจริงๆเราก็ให้ ก็ให้ทุกอย่าง เราไม่มีอะไรที่ไม่ให้เลย หมด

    📣เสียงธรรมท่านจิตโต
    ⚜️หลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)⚜️
    วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    https://m.youtube.com/watch?si=fb4k7Sr-U7igZesx&fbclid=IwAR3w4dfIJwfSPT2aIgGF20RDi0ylkXUgLW_EN0hd4s-COZ4oyM7XFuSnB6Y&v=9tmWL3QEPPg&feature=youtu.be

    🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
    🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
    🙏#อธิษฐานละความผูกพันในการเกิด ✴️ #เหมือนคนเกิดมาชาตินึงมาเจอสถานที่ในพระศาสนาดูทรุดโทรม คิดว่าถ้ามีโอกาสจะมาบูรณะ แต่ตายไปซะก่อน พอเกิดมาอีกชาตินึงก็ต้องกลับไปบูรณะอีกจนได้ เพราะมันเป็นสัญญาของใจเรา เพราะเราเปล่งวาจาว่าเราจะมาบูรณะ บุญมันก็พาให้เราต้องมาเจอ แล้วก็ต้องมาบูรณะจนได้ ✴️ #ถ้าทำสำเร็จก็จบไป ถ้าไม่ได้ทำก็รอชาติต่อไป ⚜️เอ้อ มันก็ต้องเกิดชาติต่อไปเห็นไหม ✴️ #งั้นตกลงกับใครไว้หยุดซะนะ สัญญาเกี่ยวก้อยไว้ชาติหน้าเกิดเราจะเป็นคู่ครองต่อไปเราไม่.. ทิ้งแล้ว ตัดนิ้วก้อยทิ้งแล้ว ไม่ผูกกับใครแล้วนะ เอ้อ..เราจะไปชาตินี้นะ เธอต้องโละทิ้งให้หมดนะ ไม่รู้เนี่ยมันอยู่ในใจเธอนะ ถึงเวลาตายขึ้นมาเป็นเทวดานางฟ้าไอ้เรื่องนี้ไม่ได้ทำมันจะคาใจเธอ ✴️ #อย่างพระนางวิสาขาเห็นไหมล่ะ มันเป็นความปรารถนาของท่านมันก็ยังคาใจท่านอยู่นะ ถึงเวลาท่านก็ยังต้องไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ไปอุปฐากพระศาสนาของพระองค์ต่อไป นี่คือส่วนหนึ่งที่ว่าปฏิปทาของท่าน แต่ว่าไอ้ความตั้งจิตเจตนาอย่างนี้ถ้าเธอไม่มีซะเลยจะดีเสียกว่า ✴️ #เอาให้ตรงทางอย่างเดียวว่า ฉันจะไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ไปไหน ไม่ว่าฉันจะเป็นเทวดา นางฟ้า อยู่สวรรค์ชั้นใดเราก็จะไม่ไปที่ไหนอีกต่อไปนอกจากจะไปนิพพานที่เดียว ✴️ #แล้วก็จะไม่ผูกพันกับใครในเรื่องใดๆ #เกี่ยวข้องมาในแต่อดีตชาติกาลก่อนว่าเคยสัญญากับใคร #เคยตั้งใจทำอะไรก็ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียเลยนะ ทำเสีย .............................................................. ✴️ #หาดอกไม้ธูปเทียน มาตั้งไหว้พระในบ้านเราก็ได้ วันไหนก็ได้ ตั้งจิตอธิษฐานเสียให้ดีว่า บัดนี้เป็นต้นไป 🙏#ถ้าหากว่าลูกเคยมีสัญญากับคนก็ดีกับพระก็ดี #กับในเขตพระศาสนาก็ดีในกาลก่อนที่เคยผูกมัดใจของลูกให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป 🙏บัดนี้ลูกขอหยุดแล้ว หยุดความปรารถนาทั้งสิ้น ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องการกลับมาเกิดอีกต่อไป 🙏#ไม่ผูกมัดใจกับคนกับสัตว์กับสิ่งของกับวัตถุธาตุทั้งหลายอีกต่อไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น 🙏 #แล้วก็กราบขอขมาพระรัตนตรัย #ขอขมาคนทั้งหลาย #ขอขมาทุกคนที่เคยผูกมัดสัญญากันไว้นะ ก็โละไปเสีย ทำไว้มันจะได้ไม่คาใจเรา 🙏 แม้นคนในปัจจุบันว่าจะเกี่ยวข้องในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกเราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันว่าเธอกับฉันก็อยู่กันแค่อนุเคราะห์กันในชาตินี้นะ เราก็ช่วยกันเต็มที่เต็มหน่วยไม่ว่าจะเป็นใคร ดูแลกันสุดกำลังใจที่เราสามารถช่วยกันได้นะในฐานะที่เกิดมามีบุพกรรมร่วมกันมา ทั้งผู้เป็นพ่อก็ดีผู้เป็นแม่ก็ดีเป็นพี่เป็นน้องกันก็ดี เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกกัน เป็นญาติกันก็ตามทีนะ แม้จะเป็นเพื่อนที่รักกัน ช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันมา .... ✴️ #บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปรากฏในโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็ตาม เราก็ขอหยุดแล้ว หยุดภาระความผูกพันใดๆทั้งสิ้น เพราะมันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ ในความเกี่ยวเนื่องกันแบบนี้นะ ก็เท่ากับว่าผูกให้ใจเรามันทุกข์กันไปเรื่อยไป เพราะเราก็ช่วยเค้าไม่ได้ เค้าก็ช่วยเราไม่ได้ จริงมั้ย เอ้า ว่าไปตามความจริง ไม่มีใครช่วยเราได้ #นอกจากพระรัตนตรัยแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดเสมอยิ่งกว่าพระองค์ #พระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยะเลย ............................................................... นอกนั้นก็ทุกคนก็เพียรพยายามที่จะหนีทุกข์ด้วยตัวเองทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาบารมีสะสมกันมานะ มากหรือน้อย เราจึงพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ ใครก็พึ่งพาเราไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเรารู้ได้อย่างนี้แล้วเค้าจะเพิ่งเราได้ ✴️ #ความจริงมันก็ต่างคนต่างตายเราจะไปยั้งได้ยังไงล่ะ ใครตายก่อนตายหลังก็พยากรณ์กันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เธออาจจะตายก่อนชั้นก็ได้ ชั้นอาจจะตายก่อนเธอก็ได้ มันไม่มีใครรู้หรอกนะ เรื่องนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เราได้แต่สงเคราะห์เมื่อในยามที่มีชีวิตอยู่คือให้กันได้ อะไรที่ให้ได้ก็ให้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอจริงๆเราก็ให้ ก็ให้ทุกอย่าง เราไม่มีอะไรที่ไม่ให้เลย หมด 📣เสียงธรรมท่านจิตโต ⚜️หลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)⚜️ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ https://m.youtube.com/watch?si=fb4k7Sr-U7igZesx&fbclid=IwAR3w4dfIJwfSPT2aIgGF20RDi0ylkXUgLW_EN0hd4s-COZ4oyM7XFuSnB6Y&v=9tmWL3QEPPg&feature=youtu.be 🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️ 🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สมศักดิ์" ชี้จุดอันตรายห้ามนวด หลังพบกรณีศึกษาหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน ด้านอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ แนะผู้มีโรคประจำตัว ควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญ

    วันที่ 10 พ.ค. 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวการนวดคอจนทำให้สมองตายว่า ความจริงแล้วการนวดนั้น มีประโยชน์หลายอย่างทั้งช่วยผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำอย่างถูกวิธี จากข่าวที่เกิดขึ้นในกรณีล่าสุด ที่ภรรยานวดให้กับสามีเพื่อคลายความปวดเมื่อย แต่ว่ากลับกลายเป็นว่าทำให้สมองตาย ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต ที่ผ่านมาอาจจะเคยนวดเล็กๆ น้อย ๆ แล้วไม่มีอันตรายเกิดขึ้น ก็คิดว่าสามารถทำได้ตามปกติ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง แม้การนวดพื้นฐานที่บ้านสามารถทำได้ แต่ควรมีความรู้ประกอบด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/politics/detail/9680000043776

    #MGROnline #หลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน
    "สมศักดิ์" ชี้จุดอันตรายห้ามนวด หลังพบกรณีศึกษาหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน ด้านอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ แนะผู้มีโรคประจำตัว ควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญ • วันที่ 10 พ.ค. 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวการนวดคอจนทำให้สมองตายว่า ความจริงแล้วการนวดนั้น มีประโยชน์หลายอย่างทั้งช่วยผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำอย่างถูกวิธี จากข่าวที่เกิดขึ้นในกรณีล่าสุด ที่ภรรยานวดให้กับสามีเพื่อคลายความปวดเมื่อย แต่ว่ากลับกลายเป็นว่าทำให้สมองตาย ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต ที่ผ่านมาอาจจะเคยนวดเล็กๆ น้อย ๆ แล้วไม่มีอันตรายเกิดขึ้น ก็คิดว่าสามารถทำได้ตามปกติ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง แม้การนวดพื้นฐานที่บ้านสามารถทำได้ แต่ควรมีความรู้ประกอบด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/politics/detail/9680000043776 • #MGROnline #หลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time)

    เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ

    หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳)

    อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม

    เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง

    หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน

    นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง

    เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย

    ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก

    หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml
    https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml
    https://kknews.cc/history/ogan4p.html
    https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726

    #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳) อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml https://kknews.cc/history/ogan4p.html https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726 #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องชีวประวัติ วันนี้เลยมาคุยให้ฟังถึงเรื่องราวของคนในตำนานอีกคู่หนึ่ง

    เพื่อนเพจที่ได้ติดตามละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> คงจำได้ถึงหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทเด่นคือเฟิ่งชีอู๋ ประมุขตระกูลเฟิ่งแห่งยงโจวผู้ดำรงตำแหน่ง ‘ซ่างซู’ (ขุนนางระดับเสนาธิการ) ในฉากที่นางได้เข้าพบกับท่านชายสองเฟิงหลันซี (พระเอก) ได้แสดงการสวามิภักดิ์ผ่านการเปรียบเปรยถึงซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวิน

    ความมีอยู่ว่า...
    ท่านชายสอง: ซือหม่าเซียงหรูต้องกักตัวเพราะป่วย เช่นเดียวกับข้า ตัวอยู่ในที่มืดมิด
    เฟิ่งชีอู๋: แทนที่จะอยู่ในที่มืด มิสู้จุดโคมเดินทาง หากท่านคิดเป็นซือหม่าเซียงหรู ข้ายอมเป็นจั๋วเหวินจวิน (ภรรยาของซือหม่าเซียงหรู) จุดโคมให้ท่าน
    - ถอดบทสนทนาจะละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ตามซับไทย

    หากใครไม่ทราบเรื่องราวของซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวินคงจะไม่เข้าใจความนัยของบทสนทนาข้างต้นนี้ วันนี้เลยนำเรื่องราวของทั้งคู่มาเล่าให้ฟังอย่างย่อ

    ซือหม่าเซียงหรู (179-117 ปีก่อนคริสตกาล สมัยราชวงศ์ฮั่น) เป็นคนพื้นเพเสฉวน สันทัดด้านอักษรและดนตรีจนได้เป็นอาจารย์ ต่อมาเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อหาหนทางเข้ารับราชการ แต่ด้วยพื้นเพครอบครัวยากจนจึงไม่ได้รับความสนใจนัก สุดท้ายถอดใจอำลาเมืองหลวงไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลิงฉยงตามคำชวนของสหายนามว่า ‘หวางจี๋’ เป็นผู้ว่าการเขตหลิงฉยง

    ที่หลิงฉยง ซือหม่าเซียงหรูแสร้งทำเป็นป่วย วันๆ ไม่ยอมพบใคร โดยมีหวางจี๋คอยไปเยี่ยมเยียนทุกวัน จนเกิดเป็นภาพลักษณ์ว่าซือหม่าเซียงหรูเป็นแขกพิเศษของหวางจี๋ ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย

    หนึ่งในนั้นคือคหบดีพ่อค้านามว่า ‘จั๋วหวางซุน’ เขามีลูกสาวคือจั๋วเหวินจวิน นางออกเรือนไปได้ไม่นานก็เป็นหม้ายจึงกลับมาอยู่กับบิดา ยามนั้นนางอายุเพียงสิบเจ็ด เลื่องชื่อด้วยโฉมงามและความสามารถด้านการดนตรีและโคลงกลอน

    อยู่มาวันหนึ่งจั๋วหวางซุนได้จัดงานเลี้ยงขึ้นโดยตั้งใจเชิญหวางจี๋และซือหม่าเซียงหรูมาเป็นแขก หวางจี๋ถึงขนาดไปเชิญซือหม่าเซียงหรูด้วยตนเอง เขาจึงยอมมาร่วมงาน และเพื่อเป็นการสนองการต้อนรับอันอบอุ่น เขาบรรเลงเพลงพิณ ‘หงส์วอนหาคู่’

    การเล่นพิณครั้งนี้ ไม่ว่าเป็นแผนหรือไม่ แต่ผลก็คือจั๋วเหวินจวินที่มาแอบดูเขาที่หลังฉากและได้ยินเพลงพิณขอรักของเขาเข้าก็ตกหลุมรัก คืนนั้นนางหนีตามเขากลับไปเมืองหลวง ที่นั่นจั๋วเหวินจวินค้นพบความจริงแล้วว่าเขายากจนมาก บ้านของเขามีเพียงสี่ผนังที่ว่างเปล่า แต่นางก็ไม่ทิ้งเขา ใช้ชีวิตแบบกัดก้อนเกลือกินอยู่กับเขาโดยอาศัยเงินและเครื่องประดับที่นางพกติดตัวมา ส่วนจั๋วหวางซุนเมื่อได้ข่าวก็ทั้งอับอายทั้งเสียใจถึงกับตัดขาดไม่ยอมให้เงินช่วยเหลือลูกสาวแม้แต่แดงเดียว

    ต่อมาเงินหมด จั๋วเหวินจวินคิดแล้วว่าอยู่เมืองหลวงต่อไปก็ไม่มีหนทาง จึงชวนซือหม่าเซียงหรูกลับมาที่เมืองหลิงฉยง พวกเขาขายรถม้าซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายเพื่อเปิดร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งช่วยกันทำมาหากิน ทั้งสองทำงานหนักแต่ก็ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข สุดท้ายจั๋วหวางซุนใจอ่อนจึงมอบเงินและบ่าวให้จำนวนไม่น้อยเป็นเงินรับขวัญเขยคนนี้ พอที่ทั้งสองจะกลับไปเมืองหลวงซื้อที่ดินและใช้ชีวิตได้อย่างคนมีอันจะกิน

    ในช่วงเวลานั้นเอง บทประพันธ์ ‘จื่อซวีฟู่’ ของซือหม่าเซียงหรูเป็นที่ชื่นชอบขององค์ฮั่นอู่ตี้ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ติดตามใกล้ชิด ต่อมาหน้าที่การงานยิ่งเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นคนเนื้อหอม จึงเกิดความคิดที่จะรับอนุ แต่ต่อมาจั๋วเหวินจวินแต่งกลอนทำให้เขารำลึกถึงความหลังและเปลี่ยนความคิด (Storyฯ เคยคุยถึงเรื่อง ‘ลำนำผมขาว’ นี้ไปแล้ว ไปหาอ่านย้อนหลังนะคะ)

    ดังนั้น บทสนทนาละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ข้างต้น ไม่เพียงแต่แสดงเจตจำนงของเฟิ่งชีอู๋ที่จะยอมเป็นภรรยาของพระเอก หากแต่ยังสะท้อนถึงความนัยว่า นางยอมใช้ทุกสิ่งอย่างที่นางมีเพื่อช่วยสนับสนุนเขา ไม่ทิ้งไม่หนี จะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดโดยไม่แคร์ว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร

    Storyฯ คิดว่านี่เป็นคำสวามิภักดิ์ที่จริงใจที่สุดเท่าที่สตรีนางหนึ่งจะมอบให้ชายใดได้แล้ว เพื่อนเพจคิดเหมือนกันไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://auete.com/Tv/wangju/qieshitianxia/
    https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/6ggbbpm.html
    https://kknews.cc/history/y39v3qk.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/卓文君/823759
    http://history.sina.com.cn/his/zl/2014-09-29/1551102344_2.shtml
    http://www.renwugushi.com/qinhan/a1043.html
    https://www.gugong.net/wenhua/34904.html

    #เทียบท้าปฐพี #เฟิ่งชีอู๋ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู #กวีเอกราชวงศ์ฮั่น
    สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องชีวประวัติ วันนี้เลยมาคุยให้ฟังถึงเรื่องราวของคนในตำนานอีกคู่หนึ่ง เพื่อนเพจที่ได้ติดตามละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> คงจำได้ถึงหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทเด่นคือเฟิ่งชีอู๋ ประมุขตระกูลเฟิ่งแห่งยงโจวผู้ดำรงตำแหน่ง ‘ซ่างซู’ (ขุนนางระดับเสนาธิการ) ในฉากที่นางได้เข้าพบกับท่านชายสองเฟิงหลันซี (พระเอก) ได้แสดงการสวามิภักดิ์ผ่านการเปรียบเปรยถึงซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวิน ความมีอยู่ว่า... ท่านชายสอง: ซือหม่าเซียงหรูต้องกักตัวเพราะป่วย เช่นเดียวกับข้า ตัวอยู่ในที่มืดมิด เฟิ่งชีอู๋: แทนที่จะอยู่ในที่มืด มิสู้จุดโคมเดินทาง หากท่านคิดเป็นซือหม่าเซียงหรู ข้ายอมเป็นจั๋วเหวินจวิน (ภรรยาของซือหม่าเซียงหรู) จุดโคมให้ท่าน - ถอดบทสนทนาจะละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ตามซับไทย หากใครไม่ทราบเรื่องราวของซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวินคงจะไม่เข้าใจความนัยของบทสนทนาข้างต้นนี้ วันนี้เลยนำเรื่องราวของทั้งคู่มาเล่าให้ฟังอย่างย่อ ซือหม่าเซียงหรู (179-117 ปีก่อนคริสตกาล สมัยราชวงศ์ฮั่น) เป็นคนพื้นเพเสฉวน สันทัดด้านอักษรและดนตรีจนได้เป็นอาจารย์ ต่อมาเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อหาหนทางเข้ารับราชการ แต่ด้วยพื้นเพครอบครัวยากจนจึงไม่ได้รับความสนใจนัก สุดท้ายถอดใจอำลาเมืองหลวงไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลิงฉยงตามคำชวนของสหายนามว่า ‘หวางจี๋’ เป็นผู้ว่าการเขตหลิงฉยง ที่หลิงฉยง ซือหม่าเซียงหรูแสร้งทำเป็นป่วย วันๆ ไม่ยอมพบใคร โดยมีหวางจี๋คอยไปเยี่ยมเยียนทุกวัน จนเกิดเป็นภาพลักษณ์ว่าซือหม่าเซียงหรูเป็นแขกพิเศษของหวางจี๋ ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือคหบดีพ่อค้านามว่า ‘จั๋วหวางซุน’ เขามีลูกสาวคือจั๋วเหวินจวิน นางออกเรือนไปได้ไม่นานก็เป็นหม้ายจึงกลับมาอยู่กับบิดา ยามนั้นนางอายุเพียงสิบเจ็ด เลื่องชื่อด้วยโฉมงามและความสามารถด้านการดนตรีและโคลงกลอน อยู่มาวันหนึ่งจั๋วหวางซุนได้จัดงานเลี้ยงขึ้นโดยตั้งใจเชิญหวางจี๋และซือหม่าเซียงหรูมาเป็นแขก หวางจี๋ถึงขนาดไปเชิญซือหม่าเซียงหรูด้วยตนเอง เขาจึงยอมมาร่วมงาน และเพื่อเป็นการสนองการต้อนรับอันอบอุ่น เขาบรรเลงเพลงพิณ ‘หงส์วอนหาคู่’ การเล่นพิณครั้งนี้ ไม่ว่าเป็นแผนหรือไม่ แต่ผลก็คือจั๋วเหวินจวินที่มาแอบดูเขาที่หลังฉากและได้ยินเพลงพิณขอรักของเขาเข้าก็ตกหลุมรัก คืนนั้นนางหนีตามเขากลับไปเมืองหลวง ที่นั่นจั๋วเหวินจวินค้นพบความจริงแล้วว่าเขายากจนมาก บ้านของเขามีเพียงสี่ผนังที่ว่างเปล่า แต่นางก็ไม่ทิ้งเขา ใช้ชีวิตแบบกัดก้อนเกลือกินอยู่กับเขาโดยอาศัยเงินและเครื่องประดับที่นางพกติดตัวมา ส่วนจั๋วหวางซุนเมื่อได้ข่าวก็ทั้งอับอายทั้งเสียใจถึงกับตัดขาดไม่ยอมให้เงินช่วยเหลือลูกสาวแม้แต่แดงเดียว ต่อมาเงินหมด จั๋วเหวินจวินคิดแล้วว่าอยู่เมืองหลวงต่อไปก็ไม่มีหนทาง จึงชวนซือหม่าเซียงหรูกลับมาที่เมืองหลิงฉยง พวกเขาขายรถม้าซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายเพื่อเปิดร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งช่วยกันทำมาหากิน ทั้งสองทำงานหนักแต่ก็ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข สุดท้ายจั๋วหวางซุนใจอ่อนจึงมอบเงินและบ่าวให้จำนวนไม่น้อยเป็นเงินรับขวัญเขยคนนี้ พอที่ทั้งสองจะกลับไปเมืองหลวงซื้อที่ดินและใช้ชีวิตได้อย่างคนมีอันจะกิน ในช่วงเวลานั้นเอง บทประพันธ์ ‘จื่อซวีฟู่’ ของซือหม่าเซียงหรูเป็นที่ชื่นชอบขององค์ฮั่นอู่ตี้ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ติดตามใกล้ชิด ต่อมาหน้าที่การงานยิ่งเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นคนเนื้อหอม จึงเกิดความคิดที่จะรับอนุ แต่ต่อมาจั๋วเหวินจวินแต่งกลอนทำให้เขารำลึกถึงความหลังและเปลี่ยนความคิด (Storyฯ เคยคุยถึงเรื่อง ‘ลำนำผมขาว’ นี้ไปแล้ว ไปหาอ่านย้อนหลังนะคะ) ดังนั้น บทสนทนาละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ข้างต้น ไม่เพียงแต่แสดงเจตจำนงของเฟิ่งชีอู๋ที่จะยอมเป็นภรรยาของพระเอก หากแต่ยังสะท้อนถึงความนัยว่า นางยอมใช้ทุกสิ่งอย่างที่นางมีเพื่อช่วยสนับสนุนเขา ไม่ทิ้งไม่หนี จะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดโดยไม่แคร์ว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร Storyฯ คิดว่านี่เป็นคำสวามิภักดิ์ที่จริงใจที่สุดเท่าที่สตรีนางหนึ่งจะมอบให้ชายใดได้แล้ว เพื่อนเพจคิดเหมือนกันไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://auete.com/Tv/wangju/qieshitianxia/ https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/6ggbbpm.html https://kknews.cc/history/y39v3qk.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/卓文君/823759 http://history.sina.com.cn/his/zl/2014-09-29/1551102344_2.shtml http://www.renwugushi.com/qinhan/a1043.html https://www.gugong.net/wenhua/34904.html #เทียบท้าปฐพี #เฟิ่งชีอู๋ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู #กวีเอกราชวงศ์ฮั่น
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ ความคิดสร้างสรรค์จะถดถอย การแข่งขันจะไม่โปร่งใส การเงินจะมีปัญหาติดขัดไม่คล่องมือ เอกสารสัญญาต่างๆต้องรัดกุมอาจจะผิดพลาด หรือเป็นเพราะปากพาจนเกิดการฟ้องร้องมีคดีความมาสู่ ควรจะอดกลั้นอดทนจึงดี จะเสียหายเพราะเพศหญิง ไม่ดีต่อลูกสาวคนโตเพราะมีโอกาสจะเสียผู้เสียคนได้ง่าย พี่น้อง 2 สาวจะขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งต่อกัน สาวใหญ่จะถูกสาวน้อยหาเรื่อง ภรรยาน้อยจะมีอำนาจต่อรองจนความลับที่เก็บไว้ถูกเปิดเผยให้อับอาย เรื่องของความรักก็ไม่ดีมีหย่าร้าง จักถูกลวงหลอกให้สับสน อีกทั้งต้องใส่ใจอาการเจ็บป่วยที่ ต้นขา สะโพก ขาอ่อน ฟัน และท้อง จะเกิดอุบัติเหตุที่กระดูกจนบาดเจ็บต้องรักษาผ่าตัดเพราะเหตุเนื่องจากเหล็กโลหะ ของมีคม และยานยนต์
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ ความคิดสร้างสรรค์จะถดถอย การแข่งขันจะไม่โปร่งใส การเงินจะมีปัญหาติดขัดไม่คล่องมือ เอกสารสัญญาต่างๆต้องรัดกุมอาจจะผิดพลาด หรือเป็นเพราะปากพาจนเกิดการฟ้องร้องมีคดีความมาสู่ ควรจะอดกลั้นอดทนจึงดี จะเสียหายเพราะเพศหญิง ไม่ดีต่อลูกสาวคนโตเพราะมีโอกาสจะเสียผู้เสียคนได้ง่าย พี่น้อง 2 สาวจะขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งต่อกัน สาวใหญ่จะถูกสาวน้อยหาเรื่อง ภรรยาน้อยจะมีอำนาจต่อรองจนความลับที่เก็บไว้ถูกเปิดเผยให้อับอาย เรื่องของความรักก็ไม่ดีมีหย่าร้าง จักถูกลวงหลอกให้สับสน อีกทั้งต้องใส่ใจอาการเจ็บป่วยที่ ต้นขา สะโพก ขาอ่อน ฟัน และท้อง จะเกิดอุบัติเหตุที่กระดูกจนบาดเจ็บต้องรักษาผ่าตัดเพราะเหตุเนื่องจากเหล็กโลหะ ของมีคม และยานยนต์ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 5-5-2568
    .
    สวัสดี วันจันทร์ในบรรยากาศสบาย ๆ เนื่องในวันหยุดชดเชยวันฉัตรมงคล คุณสนธิมีหลายเรื่องมาเล่าให้ฟังหลังจากที่วานนี้ 4 พ.ค. ไปทำบุญวันคล้ายวันเกิดของ อ.จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล ภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านพระอาทิตย์เช่นทุกปี รวมไปถึงเหตุการณ์บ้านเมืองเรื่องอื่น ๆ ที่คุณสนธิจะนำมาแบ่งปันกับท่านสมาชิก และแฟน ๆ รายการทุกท่าน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=xWv-OtatU_Y
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #วัดบวรนิเวศวิหาร #วัดบวร
    สนธิเล่าเรื่อง 5-5-2568 . สวัสดี วันจันทร์ในบรรยากาศสบาย ๆ เนื่องในวันหยุดชดเชยวันฉัตรมงคล คุณสนธิมีหลายเรื่องมาเล่าให้ฟังหลังจากที่วานนี้ 4 พ.ค. ไปทำบุญวันคล้ายวันเกิดของ อ.จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล ภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านพระอาทิตย์เช่นทุกปี รวมไปถึงเหตุการณ์บ้านเมืองเรื่องอื่น ๆ ที่คุณสนธิจะนำมาแบ่งปันกับท่านสมาชิก และแฟน ๆ รายการทุกท่าน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=xWv-OtatU_Y . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #วัดบวรนิเวศวิหาร #วัดบวร
    Like
    Love
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การแต่งงานภายในช่วงเวลาไว้ทุกข์**

    สวัสดีค่ะ Storyฯ เคยเขียนเรื่องระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณมาแล้ว โดนอิงรายละเอียดตามสมัยหมิง (ย้อนอ่านได้ในลิ้งค์ข้างล่าง) ซึ่งระยะเวลาที่สามีจะไว้ทุกข์ให้ภรรยาโดยทั่วไปคือหนึ่งปีและในช่วงเวลาไว้ทุกข์นั้น ห้ามจัดงานรื่นเริงหรืองานมงคล

    แต่ความ ‘เอ๊ะ’ จากการดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ก็คือ เมื่อแม่ของนางเอกเสีย แม่เลี้ยงก็ถูกพาเข้าเรือนมาเป็นภรรยาเอกภายในช่วงเวลาไม่กี่วันหลังจากแม่ของนางเอกเสีย สาเหตุหลักมาจากว่านางตั้งครรภ์แล้ว คำถามคือ แต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ได้ด้วยหรือ?

    การแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ในหลักการคือต้องทำภายใน 100 วันแรกของการไว้ทุกข์ เรียกว่า ‘ไป่รึฉวี่’ (百日娶) หรือ ‘เฉิงเซี่ยวฉวี่’ (乘孝娶) และจริงๆ แล้วจะจัดทำในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น กล่าวคือมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายเสียไปในขณะที่เขาได้มีการหมั้นหมายไว้และมีแผนจะเข้าพิธีแต่งงานในอนาคตอันใกล้อยู่แล้ว จึงจัดให้แต่งงานกันเลยแทนที่จะรอให้พ้นระยะเวลาไว้ทุกข์ซึ่งอาจยาวนาน 1-3 ปี (ระยะเวลาไว้ทุกข์ขึ้นอยู่กับลำดับความสนิทของญาติผู้ใหญ่คนนั้นและยุคสมัย) และต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย

    เหตุผลของการแต่งงานภายในระยะเวลาไว้ทุกข์ดังกล่าวก็คือเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในชีวิต เช่นสตรีจะได้ไม่เลยวัยแต่งงานอันควร หรือเหตุผลการเกี่ยวดองทางสังคมหรือการเมืองที่ไม่อาจรอช้าได้ นอกจากนี้ ยังเป็นความเชื่อที่ว่า ผู้ใหญ่ที่เสียไปอาจเคยมีความหวังไว้ว่าอยากเห็นลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝา จึงรีบแต่งงานเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูอย่างหนึ่ง

    พิธีแต่งงานภายในระยะไว้ทุกข์นี้จะไม่ได้จัดทำตามพิธีสมรสทั่วไปเพราะต้องลดความเอิกเกริกลง เป็นต้นว่า ไม่เลือกวันมงคล ไม่แต่งบ้านสีแดง ไม่แจกอั่งเปา ไม่จัดเลี้ยง บ่าวสาวไม่ใส่สีแดงและแต่งกายด้วยสีสุภาพหรือแต่งแดงไว้ข้างในแต่คาดผ้ากระสอบทับ เจ้าสาวไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวมาก ฝ่ายชายไม่อาจเข้าบ้านฝ่ายหญิงตอนรับตัวเจ้าสาวได้เพราะตนยังไว้ทุกข์อยู่โดยให้แม่สื่อทำหน้าที่ต่างๆ แทน และญาติฝ่ายหญิงไม่สามารถตามมาส่งตัวเจ้าสาวถึงบ้านฝ่ายชายได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีการคำนับบรรพบุรุษฝ่ายชายเนื่องจากป้ายบรรพบุรุษจะถูกตกแต่งหรือจัดวางไว้สำหรับงานศพ โดยจะส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอเลย และหลังจากนั้นเจ้าสาวสามารถร่วมพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานศพได้ในฐานะสะใภ้ และเจ้าสาวต้องรอพ้นระยะไว้ทุกข์จึงจะกลับไปเยี่ยมบ้านตนเองได้

    การแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ไม่ได้เป็นประเพณีอย่างทางการที่มีการบันทึกไว้สืบทอดมาแต่โบราณ (กล่าวคือไม่เหมือนกับขั้นตอนการแต่งงานหรือไว้ทุกข์ที่มีการบันทึกไว้ในบันทึกโจวหลี่หรือบทกฎหมายใด) หากแต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติท้องถิ่นทางใต้ของจีน มีต้นตอมาอย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่ปรากฏให้เห็นผ่านงานวรรณกรรมหรืออุปรากรในสมัยหมิง และปัจจุบันยังเป็นธรรมเนียมที่พบเห็นได้ทางใต้ของประเทศจีนและไต้หวัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความเก่าว่าด้วยระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณ:
    https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1044627014332257
    https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1050216903773268

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://cyberrevue.com/2025-blossom/#jp-carousel-115105
    https://news.qq.com/rain/a/20241218A09Z5200
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://news.qq.com/rain/a/20200317A0V53X00#
    https://www.ilifepost.com/20210128/【阴宅解码】顺孝娶-婚礼一切从简
    https://www.facebook.com/permalink.php/?story_fbid=399369496884979&id=167326656755932

    #จิ่วฉงจื่อ #การแต่งงานจีนโบราณ #การไว้ทุกข์จีนโบราณ #ไป่รึฉวี่ #สาระจีน
    **การแต่งงานภายในช่วงเวลาไว้ทุกข์** สวัสดีค่ะ Storyฯ เคยเขียนเรื่องระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณมาแล้ว โดนอิงรายละเอียดตามสมัยหมิง (ย้อนอ่านได้ในลิ้งค์ข้างล่าง) ซึ่งระยะเวลาที่สามีจะไว้ทุกข์ให้ภรรยาโดยทั่วไปคือหนึ่งปีและในช่วงเวลาไว้ทุกข์นั้น ห้ามจัดงานรื่นเริงหรืองานมงคล แต่ความ ‘เอ๊ะ’ จากการดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ก็คือ เมื่อแม่ของนางเอกเสีย แม่เลี้ยงก็ถูกพาเข้าเรือนมาเป็นภรรยาเอกภายในช่วงเวลาไม่กี่วันหลังจากแม่ของนางเอกเสีย สาเหตุหลักมาจากว่านางตั้งครรภ์แล้ว คำถามคือ แต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ได้ด้วยหรือ? การแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ในหลักการคือต้องทำภายใน 100 วันแรกของการไว้ทุกข์ เรียกว่า ‘ไป่รึฉวี่’ (百日娶) หรือ ‘เฉิงเซี่ยวฉวี่’ (乘孝娶) และจริงๆ แล้วจะจัดทำในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น กล่าวคือมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายเสียไปในขณะที่เขาได้มีการหมั้นหมายไว้และมีแผนจะเข้าพิธีแต่งงานในอนาคตอันใกล้อยู่แล้ว จึงจัดให้แต่งงานกันเลยแทนที่จะรอให้พ้นระยะเวลาไว้ทุกข์ซึ่งอาจยาวนาน 1-3 ปี (ระยะเวลาไว้ทุกข์ขึ้นอยู่กับลำดับความสนิทของญาติผู้ใหญ่คนนั้นและยุคสมัย) และต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย เหตุผลของการแต่งงานภายในระยะเวลาไว้ทุกข์ดังกล่าวก็คือเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในชีวิต เช่นสตรีจะได้ไม่เลยวัยแต่งงานอันควร หรือเหตุผลการเกี่ยวดองทางสังคมหรือการเมืองที่ไม่อาจรอช้าได้ นอกจากนี้ ยังเป็นความเชื่อที่ว่า ผู้ใหญ่ที่เสียไปอาจเคยมีความหวังไว้ว่าอยากเห็นลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝา จึงรีบแต่งงานเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูอย่างหนึ่ง พิธีแต่งงานภายในระยะไว้ทุกข์นี้จะไม่ได้จัดทำตามพิธีสมรสทั่วไปเพราะต้องลดความเอิกเกริกลง เป็นต้นว่า ไม่เลือกวันมงคล ไม่แต่งบ้านสีแดง ไม่แจกอั่งเปา ไม่จัดเลี้ยง บ่าวสาวไม่ใส่สีแดงและแต่งกายด้วยสีสุภาพหรือแต่งแดงไว้ข้างในแต่คาดผ้ากระสอบทับ เจ้าสาวไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวมาก ฝ่ายชายไม่อาจเข้าบ้านฝ่ายหญิงตอนรับตัวเจ้าสาวได้เพราะตนยังไว้ทุกข์อยู่โดยให้แม่สื่อทำหน้าที่ต่างๆ แทน และญาติฝ่ายหญิงไม่สามารถตามมาส่งตัวเจ้าสาวถึงบ้านฝ่ายชายได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีการคำนับบรรพบุรุษฝ่ายชายเนื่องจากป้ายบรรพบุรุษจะถูกตกแต่งหรือจัดวางไว้สำหรับงานศพ โดยจะส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอเลย และหลังจากนั้นเจ้าสาวสามารถร่วมพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานศพได้ในฐานะสะใภ้ และเจ้าสาวต้องรอพ้นระยะไว้ทุกข์จึงจะกลับไปเยี่ยมบ้านตนเองได้ การแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ไม่ได้เป็นประเพณีอย่างทางการที่มีการบันทึกไว้สืบทอดมาแต่โบราณ (กล่าวคือไม่เหมือนกับขั้นตอนการแต่งงานหรือไว้ทุกข์ที่มีการบันทึกไว้ในบันทึกโจวหลี่หรือบทกฎหมายใด) หากแต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติท้องถิ่นทางใต้ของจีน มีต้นตอมาอย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่ปรากฏให้เห็นผ่านงานวรรณกรรมหรืออุปรากรในสมัยหมิง และปัจจุบันยังเป็นธรรมเนียมที่พบเห็นได้ทางใต้ของประเทศจีนและไต้หวัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความเก่าว่าด้วยระยะเวลาไว้ทุกข์จีนโบราณ: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1044627014332257 https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1050216903773268 Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://cyberrevue.com/2025-blossom/#jp-carousel-115105 https://news.qq.com/rain/a/20241218A09Z5200 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://news.qq.com/rain/a/20200317A0V53X00# https://www.ilifepost.com/20210128/【阴宅解码】顺孝娶-婚礼一切从简 https://www.facebook.com/permalink.php/?story_fbid=399369496884979&id=167326656755932 #จิ่วฉงจื่อ #การแต่งงานจีนโบราณ #การไว้ทุกข์จีนโบราณ #ไป่รึฉวี่ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • ละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> เห็นมีคนถามหาหนังสือนิยายเรื่องนี้กัน วันนี้เลยมาคุยถึงบทประพันธ์ดั้งเดิมที่มีคนเขียนถึงไปแล้วบ้าง แต่หวังว่าจะให้มุมมองได้ในอีกแง่มุม

    จริงๆ แล้วไม่มีนิยายค่ะ ซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทละครโบราณสมัยราชวงศ์หยวน

    เรียกว่า ‘ละคร’ เพื่อนเพจอาจนึกภาพไม่ออก จริงๆ แล้วละครในสมัยนั้นคือสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกว่าอุปรากรจีนหรืองิ้วนั่นเอง ในสมัยราชวงศ์หยวนเรียกบทละครเหล่านี้ว่า ‘หยวนฉวี่’ (元曲 / เพลงงิ้วสมัยหยวน)

    บทงิ้วเรื่องนี้มีชื่อว่า < จ้าวพ่านเอ๋อร์เฟิงเยวี่ยจิ้วเฟิงเฉิน> (赵盼儿风月救风尘 แปลได้ประมาณว่า จ้าวพ่านเอ๋อร์ใช้มารยาสวาทช่วยหญิงคณิกา) หรือเรียกสั้นๆ ว่า <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นผลงานหนึ่งในกว่าหกสิบชิ้นของนักเขียนบทละครนามว่า ‘กวนฮ่านชิง’ (关汉卿 ปีค.ศ. 1222-1300) โดยปัจจุบันยังมีการแสดงอุปรากรจีนเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ (ดูรูปประกอบ)

    กวนฮ่านชิงถูกยกย่องให้เป็นที่หนึ่งของสี่ยอดนักเขียนบทอุปรากรจีนสมัยหยวน (元曲四大家) เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและก่อตั้งโรงเรียนและโรงละครหลายแห่ง เขาไม่ได้มีฐานะดี ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชนชั้นล่าง บทละครของเขาจึงมีความสมจริงและมีหลากหลายอรรถรส ตีแผ่ด้านมืดของสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น กวนฮ่านชิงเก่งเรื่องร้องรำทำเพลงและมีฝีมือด้านการดนตรี ดังนั้นละครของเขาส่วนใหญ่เป็น ‘จ๋าจวี้’ (杂剧 / Mixed Play) เรื่อง ‘จิ้วเฟิงเฉิน’ นี้ก็เช่นกัน

    อะไรคือ ‘จ๋าจวี้’? มันคือการแสดงละครที่มีการเอาบทพูดและบทกลอน การร้องเพลง ดนตรี การเต้นรำ และแม้กระทั่งบทบู๊มารวมกันในละครเรื่องเดียวกัน เป็นรูปแบบที่มีขึ้นตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ถัง และนิยมเป็นอย่างมากในสมัยซ่งและหยวน

    <จิ้วเฟิงเฉิน> มีทั้งหมด 4 องค์ มีฉากหลังเป็นยุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เรื่องราวโดยย่อก็คือนางคณิกา ‘จ้าวพ่านเอ๋อร์’ มีเพื่อนสนิทเป็นนางคณิกานามว่า ‘ซ่งอิ่งจาง’ ซึ่งเดิมมีคนที่ตกลงปลงใจด้วยอยู่แล้วแต่มาหลงคารมชายที่ร่ำรวยแต่เจ้าชู้นามว่า ‘โจวเส่อ’ จึงแต่งงานไปกับเขา แต่ชีวิตหลังแต่งงานขมขื่นนัก ถูกโจวเส่อด่าทอทุบตีเป็นประจำจนเจียนตาย จ้าวพ่านเอ๋อร์จึงมาช่วย นางใช้เสน่ห์และมารยาหญิงหลอกล่อจนโจวเส่อลุ่มหลงยอมเซ็นใบหย่ากับซ่งอิ่งจางเพื่อมาแต่งงานกับนาง แต่เมื่อนางได้หนังสือหย่าก็ช่วยซ่งอิ่งจางหนีไป โจวเส่อไปฟ้องร้องว่าโดนหลอกเลยถูกฟ้องกลับว่าเขาเป็นคนหลอกภรรยาคนอื่นมา สุดท้ายโจวเส่อถูกศาลตัดสินลงโทษ

    ทำไมละคร <จิ้วเฟิงเฉิน> เรื่องนี้จึงเป็นที่นิยมและโด่งดังมาก? Storyฯ จับใจความได้ดังนี้
     หลากหลายอรรถรส: เพราะเป็นละครแบบ ‘จ๋าจวี้’ จึงมีหลากหลายอรรถรส มีความรันทดของชีวิตหญิงคณิกาและชนชั้นล่าง แต่ก็มีการสอดแทรกมุขตลกไปเป็นระยะ อีกทั้งยังมีมุมมองของสังคมที่สมจริงและคนส่วนใหญ่สัมผัสได้
     ชัยชนะของชนชั้นล่าง: เป็นการชิงไหวชิงพริบและอาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของจ้าวพ่านเอ๋อร์ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นล่างและสตรีเพศที่ต่ำต้อย เอาชนะโจวเส่อซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นกดขี่ เป็นเรื่องราวที่สอดแทรกความเป็นฮีโร่เข้าไปในบุคคลธรรมดา
     เป็นบทเรียนต่อชนรุ่นหลัง: ผลงานของเขาเป็นอีกหนึ่งแหล่งความรู้ให้ชนรุ่นหลังเข้าใจถึงวัฒธรรมและสภาพสังคมในสมัยซ่งและหยวนได้ดี

    เท่าที่อ่านเรื่องย่อมา <สามบุปผาลิขิตฝัน> ดัดแปลงจาก <จิ้วเฟิงเฉิน> ไปมาก เช่น นางเอกในเรื่อง <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นนางคณิกาขายตัวจริงๆ และไม่ปรากฏรายละเอียดเรื่องราวความรักกับพระเอกเหมือนที่ดัดแปลงออกมาเป็นซีรีส์ <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่เห็นว่าซีรีส์ลงรายละเอียดวิถีชีวิตสมัยซ่งได้ดี และมีคนเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้มาเขียนเล่ากันไม่น้อย เพื่อนเพจที่เห็นอะไรน่าสนใจมาแบ่งปันกันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    http://culture.qianlong.com/2020/1223/5179821.shtml
    http://www.518yp.com/jitexingzhang/3873.html
    http://www.xinhuanet.com/ent/20220606/a7a1df7f71fb4466a7aa39849e0c513e/c.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.52lishi.com/article/64952.html
    http://www.hwjyw.com/zhwh/ctwh/zgwx/zmzj/ydzj/200709/t20070929_8194.shtml
    https://www.hao86.com/shiren_view_9bb64f43ac9bb64f/
    https://www.toutiao.com/article/6808002291593904654/?&source=m_redirect&wid=1655353365341

    #สามบุปผาลิขิตฝัน #จ้าวพ่านเอ๋อร์ #เจ้าพานเอ๋อร์ #จิ้วเฟิงเฉิน #อุปรากรจีน #จ๋าจวี้ #ราชวงศ์หยวน #กวงฮั่นชิง #หยวนฉวี่
    ละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> เห็นมีคนถามหาหนังสือนิยายเรื่องนี้กัน วันนี้เลยมาคุยถึงบทประพันธ์ดั้งเดิมที่มีคนเขียนถึงไปแล้วบ้าง แต่หวังว่าจะให้มุมมองได้ในอีกแง่มุม จริงๆ แล้วไม่มีนิยายค่ะ ซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทละครโบราณสมัยราชวงศ์หยวน เรียกว่า ‘ละคร’ เพื่อนเพจอาจนึกภาพไม่ออก จริงๆ แล้วละครในสมัยนั้นคือสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกว่าอุปรากรจีนหรืองิ้วนั่นเอง ในสมัยราชวงศ์หยวนเรียกบทละครเหล่านี้ว่า ‘หยวนฉวี่’ (元曲 / เพลงงิ้วสมัยหยวน) บทงิ้วเรื่องนี้มีชื่อว่า < จ้าวพ่านเอ๋อร์เฟิงเยวี่ยจิ้วเฟิงเฉิน> (赵盼儿风月救风尘 แปลได้ประมาณว่า จ้าวพ่านเอ๋อร์ใช้มารยาสวาทช่วยหญิงคณิกา) หรือเรียกสั้นๆ ว่า <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นผลงานหนึ่งในกว่าหกสิบชิ้นของนักเขียนบทละครนามว่า ‘กวนฮ่านชิง’ (关汉卿 ปีค.ศ. 1222-1300) โดยปัจจุบันยังมีการแสดงอุปรากรจีนเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ (ดูรูปประกอบ) กวนฮ่านชิงถูกยกย่องให้เป็นที่หนึ่งของสี่ยอดนักเขียนบทอุปรากรจีนสมัยหยวน (元曲四大家) เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและก่อตั้งโรงเรียนและโรงละครหลายแห่ง เขาไม่ได้มีฐานะดี ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชนชั้นล่าง บทละครของเขาจึงมีความสมจริงและมีหลากหลายอรรถรส ตีแผ่ด้านมืดของสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น กวนฮ่านชิงเก่งเรื่องร้องรำทำเพลงและมีฝีมือด้านการดนตรี ดังนั้นละครของเขาส่วนใหญ่เป็น ‘จ๋าจวี้’ (杂剧 / Mixed Play) เรื่อง ‘จิ้วเฟิงเฉิน’ นี้ก็เช่นกัน อะไรคือ ‘จ๋าจวี้’? มันคือการแสดงละครที่มีการเอาบทพูดและบทกลอน การร้องเพลง ดนตรี การเต้นรำ และแม้กระทั่งบทบู๊มารวมกันในละครเรื่องเดียวกัน เป็นรูปแบบที่มีขึ้นตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ถัง และนิยมเป็นอย่างมากในสมัยซ่งและหยวน <จิ้วเฟิงเฉิน> มีทั้งหมด 4 องค์ มีฉากหลังเป็นยุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เรื่องราวโดยย่อก็คือนางคณิกา ‘จ้าวพ่านเอ๋อร์’ มีเพื่อนสนิทเป็นนางคณิกานามว่า ‘ซ่งอิ่งจาง’ ซึ่งเดิมมีคนที่ตกลงปลงใจด้วยอยู่แล้วแต่มาหลงคารมชายที่ร่ำรวยแต่เจ้าชู้นามว่า ‘โจวเส่อ’ จึงแต่งงานไปกับเขา แต่ชีวิตหลังแต่งงานขมขื่นนัก ถูกโจวเส่อด่าทอทุบตีเป็นประจำจนเจียนตาย จ้าวพ่านเอ๋อร์จึงมาช่วย นางใช้เสน่ห์และมารยาหญิงหลอกล่อจนโจวเส่อลุ่มหลงยอมเซ็นใบหย่ากับซ่งอิ่งจางเพื่อมาแต่งงานกับนาง แต่เมื่อนางได้หนังสือหย่าก็ช่วยซ่งอิ่งจางหนีไป โจวเส่อไปฟ้องร้องว่าโดนหลอกเลยถูกฟ้องกลับว่าเขาเป็นคนหลอกภรรยาคนอื่นมา สุดท้ายโจวเส่อถูกศาลตัดสินลงโทษ ทำไมละคร <จิ้วเฟิงเฉิน> เรื่องนี้จึงเป็นที่นิยมและโด่งดังมาก? Storyฯ จับใจความได้ดังนี้  หลากหลายอรรถรส: เพราะเป็นละครแบบ ‘จ๋าจวี้’ จึงมีหลากหลายอรรถรส มีความรันทดของชีวิตหญิงคณิกาและชนชั้นล่าง แต่ก็มีการสอดแทรกมุขตลกไปเป็นระยะ อีกทั้งยังมีมุมมองของสังคมที่สมจริงและคนส่วนใหญ่สัมผัสได้  ชัยชนะของชนชั้นล่าง: เป็นการชิงไหวชิงพริบและอาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของจ้าวพ่านเอ๋อร์ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นล่างและสตรีเพศที่ต่ำต้อย เอาชนะโจวเส่อซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นกดขี่ เป็นเรื่องราวที่สอดแทรกความเป็นฮีโร่เข้าไปในบุคคลธรรมดา  เป็นบทเรียนต่อชนรุ่นหลัง: ผลงานของเขาเป็นอีกหนึ่งแหล่งความรู้ให้ชนรุ่นหลังเข้าใจถึงวัฒธรรมและสภาพสังคมในสมัยซ่งและหยวนได้ดี เท่าที่อ่านเรื่องย่อมา <สามบุปผาลิขิตฝัน> ดัดแปลงจาก <จิ้วเฟิงเฉิน> ไปมาก เช่น นางเอกในเรื่อง <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นนางคณิกาขายตัวจริงๆ และไม่ปรากฏรายละเอียดเรื่องราวความรักกับพระเอกเหมือนที่ดัดแปลงออกมาเป็นซีรีส์ <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่เห็นว่าซีรีส์ลงรายละเอียดวิถีชีวิตสมัยซ่งได้ดี และมีคนเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้มาเขียนเล่ากันไม่น้อย เพื่อนเพจที่เห็นอะไรน่าสนใจมาแบ่งปันกันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: http://culture.qianlong.com/2020/1223/5179821.shtml http://www.518yp.com/jitexingzhang/3873.html http://www.xinhuanet.com/ent/20220606/a7a1df7f71fb4466a7aa39849e0c513e/c.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.52lishi.com/article/64952.html http://www.hwjyw.com/zhwh/ctwh/zgwx/zmzj/ydzj/200709/t20070929_8194.shtml https://www.hao86.com/shiren_view_9bb64f43ac9bb64f/ https://www.toutiao.com/article/6808002291593904654/?&source=m_redirect&wid=1655353365341 #สามบุปผาลิขิตฝัน #จ้าวพ่านเอ๋อร์ #เจ้าพานเอ๋อร์ #จิ้วเฟิงเฉิน #อุปรากรจีน #จ๋าจวี้ #ราชวงศ์หยวน #กวงฮั่นชิง #หยวนฉวี่
    北昆《救风尘》亮相长安大戏院 且看赵盼儿“雪夜行路”-千龙网·中国首都网
    北昆《救风尘》亮相长安大戏院 且看赵盼儿“雪夜行路”
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 592 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วเปรียบเทียบสิทธิของภรรยาเอกและอนุภรรยาโดยยกตัวอย่างจากละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> วันนี้มาคุยกันต่อว่าจีนโบราณแบ่งแยกเมียหลวงและเมียน้อยเป็นกี่ประเภท

    ก่อนอื่น พูดกันถึงภรรยาเอก ตามที่ Storyฯ เล่าไปสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนสมัยราชวงศ์ชิงนั้น กฎหมายกำหนดให้มีภรรยาเอกได้คนเดียว และจำนวนอนุภรรยานั้นเป็นไปตามบรรดาศักดิ์ของผู้ชาย ภรรยาเอกนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เจิ้งชี (ภรรยาหลัก) เจี๋ยฟ่าชี (ภรรยาผูกปมผม) หยวนเพ่ยชี (ภรรยาดั้งเดิม) เจิ้งฝาง (ห้องหลัก) ฯลฯ หากภรรยาเอกเสียชีวิตไปแล้วจึงจะสามารถแต่งภรรยาเอกเข้ามาใหม่ได้อีกคน ภรรยาทดแทนคนนี้เรียกว่า ‘จี้ซื่อ’ (继室 แปลตรงตัวว่า สืบทอด+ห้อง) ตามธรรมเนียมแล้ว คนที่กราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันมีเพียงภรรยาเอกเท่านั้น

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงมีธรรมเนียมที่ว่า หากบ้านใดไม่มีบุตรชายสืบสกุล สามารถให้หลาน (ลูกของลุงหรือน้า สกุลเดียวกัน) มาเป็นทายาทสืบสกุลตามกฎหมายได้ ดังนั้นเขามีหน้าที่สืบสกุลให้กับสองบ้านและสามารถแต่งภรรยาเอกได้สองคน เรียกว่า ‘เจี๊ยนเที้ยว’ (兼祧) และภรรยาเอกทั้งสองคนจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน

    นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว เมียอื่นๆ จัดเป็นเมียน้อยหมด และจัดกลุ่มได้ตามนี้
    1. กลุ่มที่หนึ่งเป็นญาติพี่น้องของภรรยาเอกที่ถูกเลือกให้ติดตามไปกับเจ้าสาวตอนแต่งเข้าไปเรือนฝ่ายชาย (หมายเหตุ คนที่ตามเจ้าสาวมาอยู่บ้านฝ่ายชายทั้งหมดเรียกว่า เผยเจี้ย /陪嫁 ซึ่งรวมถึงบ่าวไพร่) แต่เป็นกรณีที่เจ้าสาวมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นอนุภรรยากลุ่มนี้จะมีสถานะสูงกว่าอนุภรรยาอื่นๆ สามารถเข้าร่วมรับประทานอาหารหรืองานเลี้ยงกับสามีได้ และอาจถูกบันทึกชื่อเข้าไปในหนังสือตระกูลของฝ่ายชายได้เพราะนางมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์มากเช่นกัน และโดยปกติฝ่ายชายมักยกระดับขึ้นเป็นภรรยาเอกได้เมื่อภรรยาเอกคนเดิมเสียชีวิตไป ในกลุ่มนี้จำแนกได้เป็นอีกสี่แบบ (เรียงจากสูงศักดิ์ที่สุดไปต่ำ) คือ
    a. อิ้ง (媵) หรือ อิ้งเฉี้ย – เป็นพี่สาวหรือน้องสาวที่เกิดจากพ่อคนเดียวกันกับเจ้าสาว แต่เจ้าสาวมีแม่เป็นภรรยาเอกในขณะที่พี่หรือน้องสาวที่แต่งตามไปจะเกิดจากอนุภรรยาของพ่อ
    b. เช่อซึ (侧室 แปลตรงตัวว่าห้องข้าง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เช่อซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของพ่อ (ถือนามสกุลเดียวกันกับเจ้าสาว)
    c. ฟู่ซึ (副室 แปลตรงตัวว่าห้องรอง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า ฟู่ซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของแม่ (ถือนามสกุลเดิมของแม่เจ้าสาว)
    d. เพียนซึ (偏室 แปลตรงตัวว่าห้องเบี่ยง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เพียนซึ เป็นลูกจากอนุภรรยาในตระกูลเดิมของแม่ ใช้นามสกุลเดียวกับแม่ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าสาวแต่จริงๆ แล้วไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเจ้าสาวเลย
    2. กลุ่มที่สองคือ เฉี้ย (妾) หรือ เพียนฝาง (偏房) คืออนุภรรยาทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภรรยาเอก แบ่งเป็นระดับได้อีก คือ
    a. กุ้ยเฉี้ย (贵妾) เป็นอนุที่มาจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนางแต่อาจเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาในตระกูลนั้นๆ หากฝ่ายชายเป็นบุตรจากภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ โดยปกตินางผู้เป็นลูกอนุจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งตำแหน่งภรรยาเอกของเขาได้
    b. เหลียงเฉี้ย (良妾) เป็นอนุที่มาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เช่น ครอบครัวค้าขายหรือชาวไร่ชาวสวน ระดับความรู้การศึกษาก็จะแตกต่างกันไป
    c. เจี้ยนเฉี้ย (贱妾) เป็นอนุที่มีชาติตระกูลหรือสถานะที่ต่ำต้อยมาก เช่น นางรำ นางคณิกา นักแสดงละคร ฯลฯ พวกนี้ส่วนใหญ่อ่านเขียนได้และมีวิชาศิลปะติดตัว
    d. เผยฝาง (陪房) หมายถึงสาวใช้ของภรรยาเอกที่ติดตามมาเป็นเผยเจี้ยและช่วยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงให้ฝ่ายชายตามคำสั่งของภรรยาเอก โดยปกติชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดีเพราะภรรยาเอกจะส่งเสริมเพื่อให้ช่วยมัดใจสามีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีพิษมีภัยเพราะเอกสารสำหรับสัญญาซื้อขายสาวใช้คนนี้จะอยู่ในมือของภรรยาเอกเอง
    e. ซื่อเฉี้ย (侍妾) หมายถึงสาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุ
    f. ปี้เฉี้ย (婢妾) หมายถึงลูกของนักโทษทางการที่ถูกซื้อเข้ามาเป็นทาสในบ้านและยกขึ้นเป็นอนุ
    3. กลุ่มสุดท้ายไม่นับเป็นอนุภรรยา เป็นช่องทางที่ฝ่ายชายใช้ระบายความใคร่ได้อย่างไม่ต้องกลัวผิดกฎหมายว่าด้วยเรื่องจำนวนอนุภรรยา แบ่งได้อีกเป็น
    a. ทงฝาง (通房) คือสาวใช้ในเรือนที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแต่ไม่ได้รับการยกขึ้นเป็นอนุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวใช้ที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อ ‘เปิดประสบการณ์’ ให้แก่คุณชายในตระกูลใหญ่ที่กำลังโตขึ้นเป็นหนุ่ม
    b. ไว่ซึ (外室) หมายถึงเมียเก็บนอกบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่อาจจะดีเพราะฝ่ายชายอาจซื้อบ้านให้อยู่มีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติแม่สามีหรือเมียหลวง และไม่โดนโขกสับ แต่ก็คือไม่ได้ถูกรับรองเป็นอนุภรรยา บุตรที่เกิดมาก็ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นลูกหลานของตระกูลฝ่ายชาย

    เป็นอย่างไรคะ? ซับซ้อนและแบ่งแยกไว้ละเอียดกว่าที่คิดใช่ไหม? ทีนี้เพื่อนเพจคงเข้าใจในบริบทแล้วว่า ทำไมเป็นอนุภรรยาเหมือนกันยังสามารถข่มกันได้ และทำไมการยกอนุภรรยาขึ้นเป็นภรรยาเอกหลังจากคนเดิมเสียไปจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไม่ใช่อนุภรรยาทุกประเภทมีความพร้อมทางชาติตระกูลและการศึกษาที่จะมาปกครองเป็นนายหญิงของบ้านได้

    Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าละครหรือนิยายแปลมีการแบ่งแยกในรายละเอียดหรือไม่ หากมีใครเคยผ่านหูผ่านตาก็บอกกล่าวกันได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามกันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.popdaily.com.tw/forum/entertainment/935802
    https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/x48b2bg.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20200223A0A37000
    http://m.qulishi.com//article/201905/335331.html
    https://www.sohu.com/a/251827031_100152441

    #ร้อยรักปักดวงใจ #อนุภรรยา #ภรรยาเอก #หยวนเพ่ย #ภรรยาผูกปมผม #เจิ้งฝาง #จี้ซื่อ #จี้สื้อ #เชี่ยซื่อ #เชี่ยสื้อ #เฉี้ย #อิ้งเฉี้ย #เช่อซึ #ฟู่ซึ #เพียนซึ #เพียนฝาง #กุ้ยเฉี้ย #เหลียงเฉี้ย #เจี้ยนเฉี้ย #ปี้เฉี้ย #ทงฝาง #ไว่ซึ
    สัปดาห์ที่แล้วเปรียบเทียบสิทธิของภรรยาเอกและอนุภรรยาโดยยกตัวอย่างจากละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> วันนี้มาคุยกันต่อว่าจีนโบราณแบ่งแยกเมียหลวงและเมียน้อยเป็นกี่ประเภท ก่อนอื่น พูดกันถึงภรรยาเอก ตามที่ Storyฯ เล่าไปสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนสมัยราชวงศ์ชิงนั้น กฎหมายกำหนดให้มีภรรยาเอกได้คนเดียว และจำนวนอนุภรรยานั้นเป็นไปตามบรรดาศักดิ์ของผู้ชาย ภรรยาเอกนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เจิ้งชี (ภรรยาหลัก) เจี๋ยฟ่าชี (ภรรยาผูกปมผม) หยวนเพ่ยชี (ภรรยาดั้งเดิม) เจิ้งฝาง (ห้องหลัก) ฯลฯ หากภรรยาเอกเสียชีวิตไปแล้วจึงจะสามารถแต่งภรรยาเอกเข้ามาใหม่ได้อีกคน ภรรยาทดแทนคนนี้เรียกว่า ‘จี้ซื่อ’ (继室 แปลตรงตัวว่า สืบทอด+ห้อง) ตามธรรมเนียมแล้ว คนที่กราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันมีเพียงภรรยาเอกเท่านั้น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงมีธรรมเนียมที่ว่า หากบ้านใดไม่มีบุตรชายสืบสกุล สามารถให้หลาน (ลูกของลุงหรือน้า สกุลเดียวกัน) มาเป็นทายาทสืบสกุลตามกฎหมายได้ ดังนั้นเขามีหน้าที่สืบสกุลให้กับสองบ้านและสามารถแต่งภรรยาเอกได้สองคน เรียกว่า ‘เจี๊ยนเที้ยว’ (兼祧) และภรรยาเอกทั้งสองคนจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว เมียอื่นๆ จัดเป็นเมียน้อยหมด และจัดกลุ่มได้ตามนี้ 1. กลุ่มที่หนึ่งเป็นญาติพี่น้องของภรรยาเอกที่ถูกเลือกให้ติดตามไปกับเจ้าสาวตอนแต่งเข้าไปเรือนฝ่ายชาย (หมายเหตุ คนที่ตามเจ้าสาวมาอยู่บ้านฝ่ายชายทั้งหมดเรียกว่า เผยเจี้ย /陪嫁 ซึ่งรวมถึงบ่าวไพร่) แต่เป็นกรณีที่เจ้าสาวมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นอนุภรรยากลุ่มนี้จะมีสถานะสูงกว่าอนุภรรยาอื่นๆ สามารถเข้าร่วมรับประทานอาหารหรืองานเลี้ยงกับสามีได้ และอาจถูกบันทึกชื่อเข้าไปในหนังสือตระกูลของฝ่ายชายได้เพราะนางมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์มากเช่นกัน และโดยปกติฝ่ายชายมักยกระดับขึ้นเป็นภรรยาเอกได้เมื่อภรรยาเอกคนเดิมเสียชีวิตไป ในกลุ่มนี้จำแนกได้เป็นอีกสี่แบบ (เรียงจากสูงศักดิ์ที่สุดไปต่ำ) คือ a. อิ้ง (媵) หรือ อิ้งเฉี้ย – เป็นพี่สาวหรือน้องสาวที่เกิดจากพ่อคนเดียวกันกับเจ้าสาว แต่เจ้าสาวมีแม่เป็นภรรยาเอกในขณะที่พี่หรือน้องสาวที่แต่งตามไปจะเกิดจากอนุภรรยาของพ่อ b. เช่อซึ (侧室 แปลตรงตัวว่าห้องข้าง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เช่อซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของพ่อ (ถือนามสกุลเดียวกันกับเจ้าสาว) c. ฟู่ซึ (副室 แปลตรงตัวว่าห้องรอง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า ฟู่ซึ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสาว ไม่ใช่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นลูกของพี่น้องของแม่ (ถือนามสกุลเดิมของแม่เจ้าสาว) d. เพียนซึ (偏室 แปลตรงตัวว่าห้องเบี่ยง) แตกต่างจากอิ้งเฉี้ยตรงที่ว่า เพียนซึ เป็นลูกจากอนุภรรยาในตระกูลเดิมของแม่ ใช้นามสกุลเดียวกับแม่ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าสาวแต่จริงๆ แล้วไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเจ้าสาวเลย 2. กลุ่มที่สองคือ เฉี้ย (妾) หรือ เพียนฝาง (偏房) คืออนุภรรยาทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภรรยาเอก แบ่งเป็นระดับได้อีก คือ a. กุ้ยเฉี้ย (贵妾) เป็นอนุที่มาจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนางแต่อาจเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาในตระกูลนั้นๆ หากฝ่ายชายเป็นบุตรจากภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ โดยปกตินางผู้เป็นลูกอนุจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งตำแหน่งภรรยาเอกของเขาได้ b. เหลียงเฉี้ย (良妾) เป็นอนุที่มาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เช่น ครอบครัวค้าขายหรือชาวไร่ชาวสวน ระดับความรู้การศึกษาก็จะแตกต่างกันไป c. เจี้ยนเฉี้ย (贱妾) เป็นอนุที่มีชาติตระกูลหรือสถานะที่ต่ำต้อยมาก เช่น นางรำ นางคณิกา นักแสดงละคร ฯลฯ พวกนี้ส่วนใหญ่อ่านเขียนได้และมีวิชาศิลปะติดตัว d. เผยฝาง (陪房) หมายถึงสาวใช้ของภรรยาเอกที่ติดตามมาเป็นเผยเจี้ยและช่วยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงให้ฝ่ายชายตามคำสั่งของภรรยาเอก โดยปกติชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดีเพราะภรรยาเอกจะส่งเสริมเพื่อให้ช่วยมัดใจสามีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีพิษมีภัยเพราะเอกสารสำหรับสัญญาซื้อขายสาวใช้คนนี้จะอยู่ในมือของภรรยาเอกเอง e. ซื่อเฉี้ย (侍妾) หมายถึงสาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุ f. ปี้เฉี้ย (婢妾) หมายถึงลูกของนักโทษทางการที่ถูกซื้อเข้ามาเป็นทาสในบ้านและยกขึ้นเป็นอนุ 3. กลุ่มสุดท้ายไม่นับเป็นอนุภรรยา เป็นช่องทางที่ฝ่ายชายใช้ระบายความใคร่ได้อย่างไม่ต้องกลัวผิดกฎหมายว่าด้วยเรื่องจำนวนอนุภรรยา แบ่งได้อีกเป็น a. ทงฝาง (通房) คือสาวใช้ในเรือนที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแต่ไม่ได้รับการยกขึ้นเป็นอนุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวใช้ที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อ ‘เปิดประสบการณ์’ ให้แก่คุณชายในตระกูลใหญ่ที่กำลังโตขึ้นเป็นหนุ่ม b. ไว่ซึ (外室) หมายถึงเมียเก็บนอกบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่อาจจะดีเพราะฝ่ายชายอาจซื้อบ้านให้อยู่มีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติแม่สามีหรือเมียหลวง และไม่โดนโขกสับ แต่ก็คือไม่ได้ถูกรับรองเป็นอนุภรรยา บุตรที่เกิดมาก็ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นลูกหลานของตระกูลฝ่ายชาย เป็นอย่างไรคะ? ซับซ้อนและแบ่งแยกไว้ละเอียดกว่าที่คิดใช่ไหม? ทีนี้เพื่อนเพจคงเข้าใจในบริบทแล้วว่า ทำไมเป็นอนุภรรยาเหมือนกันยังสามารถข่มกันได้ และทำไมการยกอนุภรรยาขึ้นเป็นภรรยาเอกหลังจากคนเดิมเสียไปจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไม่ใช่อนุภรรยาทุกประเภทมีความพร้อมทางชาติตระกูลและการศึกษาที่จะมาปกครองเป็นนายหญิงของบ้านได้ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าละครหรือนิยายแปลมีการแบ่งแยกในรายละเอียดหรือไม่ หากมีใครเคยผ่านหูผ่านตาก็บอกกล่าวกันได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามกันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.popdaily.com.tw/forum/entertainment/935802 https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/x48b2bg.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20200223A0A37000 http://m.qulishi.com//article/201905/335331.html https://www.sohu.com/a/251827031_100152441 #ร้อยรักปักดวงใจ #อนุภรรยา #ภรรยาเอก #หยวนเพ่ย #ภรรยาผูกปมผม #เจิ้งฝาง #จี้ซื่อ #จี้สื้อ #เชี่ยซื่อ #เชี่ยสื้อ #เฉี้ย #อิ้งเฉี้ย #เช่อซึ #ฟู่ซึ #เพียนซึ #เพียนฝาง #กุ้ยเฉี้ย #เหลียงเฉี้ย #เจี้ยนเฉี้ย #ปี้เฉี้ย #ทงฝาง #ไว่ซึ
    WWW.POPDAILY.COM.TW
    《錦心似玉》鍾漢良、譚松韵先婚後愛!2021最甜寵的宅鬥古裝劇 | PopDaily 波波黛莉
    受封2021最甜寵宅鬥古裝劇的《錦心似玉》,改編自作者吱吱的原著小說《庶女攻略》,鍾漢良飾演的永平侯徐令宜娶了於徐家有恩的羅家嫡女羅元娘為妻,後因羅元娘死前所託續弦娶了譚松韵飾演的羅家庶女羅十一娘,自此展開一段本不相愛,因被迫成婚而先婚後愛的宅鬥古裝偶像劇。
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 687 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้กลับมาคุยกันต่อกับเรื่องราวที่ Storyฯ เห็นจากละครเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ในตอนที่มีการรับลูกนอกสมรสกลับเข้าตระกูล

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ถึงกาลมงคล พิธีรับเข้าตระกูลของตระกูลสวี อัญเชิญหนังสือตระกูล” เสียงประกาศเริ่มพิธีดังขึ้น สวีลิ่งเซวียนคุกเข่าลงต่อหน้าป้ายบูชาบรรพบุรุษแล้วกล่าว “สวีซื่อเจี้ย เดิมเป็นบุตรที่ร่อนเร่อาศัยอยู่ข้างนอกของตระกูลเรา ตอนนี้รับกลับเข้าตระกูลเป็นบุตรของสวีลิ่งอัน ขอบรรพบุรุษปกป้องลูกหลานสกุลสวี”...
    - ถอดบทสนทนาจากละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> (ตามซับไทยเลยจ้า)

    ในละครข้างต้น ก่อนจะมาถึงพิธีการนี้ เนื้อเรื่องกล่าวถึงความคิดของตัวละครต่างๆ ที่ถกกันว่าจะรับเด็กมาเป็นลูกใครดี? ความเดิมของบทสนทนาในภาษาจีนคือ “จะบันทึกชื่อเด็กคนนี้ใต้ชื่อใคร?” ซึ่งการคุยในลักษณะนี้เป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของหนังสือตระกูล วันนี้เลยมาคุยให้ฟังเกี่ยวกับหนังสือตระกูลหรือที่เรียกว่า ‘เจียผู่’ (家谱) หรือ ‘จู๋ผู่’ (族谱) นี้

    การบันทึกข้อมูลในเจียผู่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เว่ย และเนื่องจากสมัยนั้นมีการแตกสกุลมาจากเชื้อพระวงศ์เป็นจำนวนมาก ทางการจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลและปรับปรุงเจียผู่ของตระกูลเหล่านั้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือบันทึกสายสกุลเพื่อประโยชน์ในการคัดสรรและแต่งตั้งขุนนาง ต่อมาเมื่อผ่านพ้นราชวงศ์ถัง ข้อมูลเหล่านี้สูญหายไปในสงครามเสียเป็นส่วนใหญ่ และการเข้ารับราชการก็ดำเนินการผ่านการสอบราชบัณฑิต อีกทั้งอำนาจของเหล่าสื้อเจียตระกูลขุนนางก็เสื่อมลง ทางการจึงไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องการทำเจียผู่อีก ดังนั้นนับแต่สมัยซ่งมา เจียผู่ส่วนใหญ่ถูกจัดทำขึ้นมาใหม่และอยู่ในการดูแลของคนในตระกูลเอง (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนเกี่ยวกับสื้อเจียไปแล้ว หาอ่านย้อนหลังนะคะ)

    เพื่อนเพจอาจนึกภาพว่าเจียผู่เป็นพงศาวลีหรือผังลำดับญาติ แต่คนที่เคยลองวาดผังแบบนี้จะรู้ว่า หากจะวาดให้ดีต้องรู้ว่าควรเผื่อเนื้อที่ตรงไหนอย่างไร แต่เจียผู่เป็นบันทึกจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นการบันทึกจริงๆ คือเขียนข้อมูลเติมไปแต่ละรุ่น (ดูตัวอย่างตามรูปประกอบ หน้านี้บันทึกการสืบเชื้อสายของบุตรชายคนโต) หากมีการวาดผังลำดับญาติโดยปกติจะวาดเพียง 5 รุ่นแล้วก็ขึ้นผังใหม่

    แล้วเจียผู่บันทึกอะไรบ้าง?

    ก่อนอื่นคือต้องมีการเขียน ‘ขอบเขต’ - ใครเป็นต้นตระกูล? เราเป็นสายใดของตระกูล? ตราสัญลักษณ์ของตระกูล (ถ้ามี) ภูมิลำเนาเดิม ประวัติของสกุล ที่ตั้งและแผนผังของวัดบรรพบุรุษ เป็นต้น

    จากนั้นก็เป็นบันทึกเกี่ยวกับคนในแต่ละรุ่น ซึ่งจะระบุว่าเป็นรุ่นที่เท่าไหร่ ลำดับในรุ่น ชื่อ วันเดือนปีเกิดและตาย สรุปชีวประวัติ ลักษณะเด่นหรือวีรกรรมโดยคร่าว (เช่น เคยไปรบชนะสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลในศึกไหน?) บรรดาศักดิ์หรือรางวัลเกียรติยศที่เคยได้รับ ชื่อคู่สมรสและบุตรชาย ฯลฯ ในบางเจียผู่จะมีการกล่าวถึงสินทรัพย์อันเป็นมรดกตกทอดของตระกูล เช่น ที่ตั้งและขนาดของที่ดินและอาคารบ้านเรือน และการบริหารสินทรัพย์ ฯลฯ

    แต่... ไม่ใช่บุตรและภรรยาทุกคนจะได้รับการบันทึกชื่อลงในเจียผู่ ใครบ้างที่ไม่มีชื่อ?
    1. ลูกสาว – ในวัฒนธรรมจีนโบราณ ลูกสาวเมื่อแต่งงานออกไปก็ถือว่าเป็นคนของครอบครัวอื่น จึงไม่มีการบันทึกชื่อลูกสาวในเจียผู่ของตัวเอง ลูกสาวที่แต่งออกไปก็จะไปมีชื่ออยู่ในเจียผู่ของสามี (แต่จากตัวอย่างที่ Storyฯ เห็น จะบันทึกเพียงสกุลเดิมไม่มีชื่อ เช่น นางสกุลหลี่) ธรรมเนียมนี้มีมาจนถึงสมัยจีนยุคใหม่ (หลังราชวงศ์ชิง) จึงมีการใส่ชื่อลูกสาวเข้าไป
    2. อนุภรรยา – สตรีที่แต่งงานไปจะถูกบันทึกชื่ออยู่ในเจียผู่ของสามีเฉพาะคนที่เป็นภรรยาเอกเท่านั้น คนที่เป็นอนุจะไม่มีการบันทึกถึง ยกเว้นในกรณีที่ต่อมาบุตรชายของนางมีคุณงามความชอบอย่างโดดเด่น สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล จึงจะมีการแก้ไขเอาชื่อของเขาเข้าเจียผู่และจะมีการบันทึกชื่อผู้เป็นมารดาด้วย (ป.ล. หากเพื่อนเพจได้ดูละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> ในฉากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าสตรีที่เข้าร่วมพิธีที่เกี่ยวกับหนังสือตระกูลนั้น มีเพียงสะใภ้ที่เป็นภรรยาเอกเท่านั้น)
    3. ลูกอนุ - สายของอนุทั้งสายจะไม่ได้ลงบันทึกไว้ เว้นแต่กรณีที่กล่าวมาข้างต้นว่ามีการแก้ไขบันทึกย้อนหลัง

    เห็นแล้วก็พอจะเข้าใจถึงหัวอกของบรรดาอนุและลูกอนุ เราจึงเห็นเรื่องราวในนิยายและละครจีนโบราณไม่น้อยที่มีปูมหลังมาจากความน้อยเนื้อต่ำใจหรือความทะเยอทะยานของเหล่าอนุและลูกอนุทั้งหลาย Storyฯ เชื่อว่าเพื่อนเพจเข้าใจในบริบทนี้แล้วจะดูละคร/อ่านนิยายจีนโบราณได้มีอรรถรสยิ่งขึ้นค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามกันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.sohu.com/a/452104168_114988
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/31488773
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.52lishi.com/article/65523.html
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/30411974
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/31488773
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/54546409
    https://www.163.com/dy/article/H14J0MG10552QJB7.html

    #ร้อยรักปักดวงใจ #เจียผู่ #จู๋ผู่ #หนังสือตระกูล #บันทึกตระกูลจีนโบราณ #พงศาวลีจีนโบราณ
    วันนี้กลับมาคุยกันต่อกับเรื่องราวที่ Storyฯ เห็นจากละครเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ในตอนที่มีการรับลูกนอกสมรสกลับเข้าตระกูล ความมีอยู่ว่า ... “ถึงกาลมงคล พิธีรับเข้าตระกูลของตระกูลสวี อัญเชิญหนังสือตระกูล” เสียงประกาศเริ่มพิธีดังขึ้น สวีลิ่งเซวียนคุกเข่าลงต่อหน้าป้ายบูชาบรรพบุรุษแล้วกล่าว “สวีซื่อเจี้ย เดิมเป็นบุตรที่ร่อนเร่อาศัยอยู่ข้างนอกของตระกูลเรา ตอนนี้รับกลับเข้าตระกูลเป็นบุตรของสวีลิ่งอัน ขอบรรพบุรุษปกป้องลูกหลานสกุลสวี”... - ถอดบทสนทนาจากละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> (ตามซับไทยเลยจ้า) ในละครข้างต้น ก่อนจะมาถึงพิธีการนี้ เนื้อเรื่องกล่าวถึงความคิดของตัวละครต่างๆ ที่ถกกันว่าจะรับเด็กมาเป็นลูกใครดี? ความเดิมของบทสนทนาในภาษาจีนคือ “จะบันทึกชื่อเด็กคนนี้ใต้ชื่อใคร?” ซึ่งการคุยในลักษณะนี้เป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของหนังสือตระกูล วันนี้เลยมาคุยให้ฟังเกี่ยวกับหนังสือตระกูลหรือที่เรียกว่า ‘เจียผู่’ (家谱) หรือ ‘จู๋ผู่’ (族谱) นี้ การบันทึกข้อมูลในเจียผู่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เว่ย และเนื่องจากสมัยนั้นมีการแตกสกุลมาจากเชื้อพระวงศ์เป็นจำนวนมาก ทางการจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลและปรับปรุงเจียผู่ของตระกูลเหล่านั้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือบันทึกสายสกุลเพื่อประโยชน์ในการคัดสรรและแต่งตั้งขุนนาง ต่อมาเมื่อผ่านพ้นราชวงศ์ถัง ข้อมูลเหล่านี้สูญหายไปในสงครามเสียเป็นส่วนใหญ่ และการเข้ารับราชการก็ดำเนินการผ่านการสอบราชบัณฑิต อีกทั้งอำนาจของเหล่าสื้อเจียตระกูลขุนนางก็เสื่อมลง ทางการจึงไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องการทำเจียผู่อีก ดังนั้นนับแต่สมัยซ่งมา เจียผู่ส่วนใหญ่ถูกจัดทำขึ้นมาใหม่และอยู่ในการดูแลของคนในตระกูลเอง (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนเกี่ยวกับสื้อเจียไปแล้ว หาอ่านย้อนหลังนะคะ) เพื่อนเพจอาจนึกภาพว่าเจียผู่เป็นพงศาวลีหรือผังลำดับญาติ แต่คนที่เคยลองวาดผังแบบนี้จะรู้ว่า หากจะวาดให้ดีต้องรู้ว่าควรเผื่อเนื้อที่ตรงไหนอย่างไร แต่เจียผู่เป็นบันทึกจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นการบันทึกจริงๆ คือเขียนข้อมูลเติมไปแต่ละรุ่น (ดูตัวอย่างตามรูปประกอบ หน้านี้บันทึกการสืบเชื้อสายของบุตรชายคนโต) หากมีการวาดผังลำดับญาติโดยปกติจะวาดเพียง 5 รุ่นแล้วก็ขึ้นผังใหม่ แล้วเจียผู่บันทึกอะไรบ้าง? ก่อนอื่นคือต้องมีการเขียน ‘ขอบเขต’ - ใครเป็นต้นตระกูล? เราเป็นสายใดของตระกูล? ตราสัญลักษณ์ของตระกูล (ถ้ามี) ภูมิลำเนาเดิม ประวัติของสกุล ที่ตั้งและแผนผังของวัดบรรพบุรุษ เป็นต้น จากนั้นก็เป็นบันทึกเกี่ยวกับคนในแต่ละรุ่น ซึ่งจะระบุว่าเป็นรุ่นที่เท่าไหร่ ลำดับในรุ่น ชื่อ วันเดือนปีเกิดและตาย สรุปชีวประวัติ ลักษณะเด่นหรือวีรกรรมโดยคร่าว (เช่น เคยไปรบชนะสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลในศึกไหน?) บรรดาศักดิ์หรือรางวัลเกียรติยศที่เคยได้รับ ชื่อคู่สมรสและบุตรชาย ฯลฯ ในบางเจียผู่จะมีการกล่าวถึงสินทรัพย์อันเป็นมรดกตกทอดของตระกูล เช่น ที่ตั้งและขนาดของที่ดินและอาคารบ้านเรือน และการบริหารสินทรัพย์ ฯลฯ แต่... ไม่ใช่บุตรและภรรยาทุกคนจะได้รับการบันทึกชื่อลงในเจียผู่ ใครบ้างที่ไม่มีชื่อ? 1. ลูกสาว – ในวัฒนธรรมจีนโบราณ ลูกสาวเมื่อแต่งงานออกไปก็ถือว่าเป็นคนของครอบครัวอื่น จึงไม่มีการบันทึกชื่อลูกสาวในเจียผู่ของตัวเอง ลูกสาวที่แต่งออกไปก็จะไปมีชื่ออยู่ในเจียผู่ของสามี (แต่จากตัวอย่างที่ Storyฯ เห็น จะบันทึกเพียงสกุลเดิมไม่มีชื่อ เช่น นางสกุลหลี่) ธรรมเนียมนี้มีมาจนถึงสมัยจีนยุคใหม่ (หลังราชวงศ์ชิง) จึงมีการใส่ชื่อลูกสาวเข้าไป 2. อนุภรรยา – สตรีที่แต่งงานไปจะถูกบันทึกชื่ออยู่ในเจียผู่ของสามีเฉพาะคนที่เป็นภรรยาเอกเท่านั้น คนที่เป็นอนุจะไม่มีการบันทึกถึง ยกเว้นในกรณีที่ต่อมาบุตรชายของนางมีคุณงามความชอบอย่างโดดเด่น สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล จึงจะมีการแก้ไขเอาชื่อของเขาเข้าเจียผู่และจะมีการบันทึกชื่อผู้เป็นมารดาด้วย (ป.ล. หากเพื่อนเพจได้ดูละคร <ร้อยรักปักดวงใจ> ในฉากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าสตรีที่เข้าร่วมพิธีที่เกี่ยวกับหนังสือตระกูลนั้น มีเพียงสะใภ้ที่เป็นภรรยาเอกเท่านั้น) 3. ลูกอนุ - สายของอนุทั้งสายจะไม่ได้ลงบันทึกไว้ เว้นแต่กรณีที่กล่าวมาข้างต้นว่ามีการแก้ไขบันทึกย้อนหลัง เห็นแล้วก็พอจะเข้าใจถึงหัวอกของบรรดาอนุและลูกอนุ เราจึงเห็นเรื่องราวในนิยายและละครจีนโบราณไม่น้อยที่มีปูมหลังมาจากความน้อยเนื้อต่ำใจหรือความทะเยอทะยานของเหล่าอนุและลูกอนุทั้งหลาย Storyฯ เชื่อว่าเพื่อนเพจเข้าใจในบริบทนี้แล้วจะดูละคร/อ่านนิยายจีนโบราณได้มีอรรถรสยิ่งขึ้นค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กดติดตามกันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/452104168_114988 https://zhuanlan.zhihu.com/p/31488773 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.52lishi.com/article/65523.html https://zhuanlan.zhihu.com/p/30411974 https://zhuanlan.zhihu.com/p/31488773 https://zhuanlan.zhihu.com/p/54546409 https://www.163.com/dy/article/H14J0MG10552QJB7.html #ร้อยรักปักดวงใจ #เจียผู่ #จู๋ผู่ #หนังสือตระกูล #บันทึกตระกูลจีนโบราณ #พงศาวลีจีนโบราณ
    WWW.SOHU.COM
    钟汉良谭松韵领衔主演《锦心似玉》定档2月26日_荻雁
    新京报讯 2月23日,钟汉良、谭松韵领衔主演的电视剧《锦心似玉》宣布定档。该剧将于2月26日起在腾讯视频全网独播,周五至周三连续六天,每日20点更新2集;3月1日起每周一、二、三20点更新2集,会员抢先看。 …
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 522 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล**

    ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด

    ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม**
    วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า:
    "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!"

    สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..."

    นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!"

    แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร

    ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า**
    เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม:

    "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..."

    นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย

    นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน

    ### **การเปลี่ยนแปลง**
    หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน

    สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..."

    นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!"

    ### **บทเรียนที่ได้**
    เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ

    และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน!

    *(จบ)*

    > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล** ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม** วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า: "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!" สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..." นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!" แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า** เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม: "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..." นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน ### **การเปลี่ยนแปลง** หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..." นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!" ### **บทเรียนที่ได้** เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน! *(จบ)* > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28 ปี คดีโหด “ศักดิ์ ปากรอ” ฆ่ายกครัว 5 ศพ ตระกูลบุญทวี นายหน้าค้าที่ดินแห่งสิงหนคร

    เรื่องจริงสุดสยอง คดีฆ่ายกครัว 5 ศพ ตระกูลบุญทวี สะเทือนขวัญสังคมไทยไม่เสื่อมคลาย แม้ผ่านมา 28 ปี! 🔥

    ✨ ย้อนกลับไปในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2540 ณ บ้านเลขที่ 162 หมู่ที่ 8 บ้านบ่อสระ ตำบลชิงโค อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เกิดเหตุสะเทือนขวัญ ที่ทำให้ทั้งประเทศต้องตกตะลึง เมื่อครอบครัวบุญทวี ถูกฆ่ายกครัวถึง 5 ศพ ❗ เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงแต่โหดเหี้ยม แต่ยังเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ที่ทำให้ผู้คนขวัญผวานานนับสิบปี...

    เหตุการณ์สลดที่ไม่มีใครคาดคิด 🧓 นางกิ้มอิ้น บุญทวี อายุ 71 ปี ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ พร้อมกับความหวังว่าจะได้พบหลานๆ ทั้ง 3 คนตามปกติ แต่เช้าวันนั้นกลับผิดสังเกต ไม่มีหลานคนไหนโผล่มาเลย...

    เมื่อเดินไปที่บ้านของนายประภาส บุญทวี ลูกชาย ซึ่งอยู่ห่าง 150 เมตร เธอก็พบว่าประตูบ้านไม่ได้ล็อก ❗ และเมื่อเปิดเข้าไป ภาพที่เห็นทำให้เธอแทบเป็นลม...

    ภายในบ้าน มีศพแขวนเรียงรายอยู่ที่ราวบันได นายประภาส บุญทวี อายุ 42 ปี, ด.ช.กัมปนาท บุญทวี อายุ 13 ปี, ด.ช.ปราบ บุญทวี อายุ 12 ปี และ ด.ช.ชัชวาลย์ บุญทวี อายุ 10 ปี

    ในห้องนอนชั้นสอง ยังพบศพของ นางเจียมจิต บุญทวี ภรรยาของประภาส ถูกมัดมือเท้า ปิดปาก และรัดคอด้วยเนกไท 🧣

    เจ้าหน้าที่ชันสูตรพบว่า เหยื่อทั้ง 5 ราย ถูกทำร้ายร่างกายก่อนเสียชีวิต และ ไม่พบสารพิษหรือยานอนหลับ ในกระเพาะอาหารเลย...

    จุดเริ่มต้นการสืบสวน 🔎 เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งเดินทางมายังที่เกิดเหตุ และพบว่าภายในบ้านมีร่องรอยการรื้อค้น 📦 และทรัพย์สินหลายอย่างหายไป เช่น พระเครื่องจำนวนมาก ทรัพย์สินมีค่า ทองคำ

    จากการสอบปากคำญาติและเพื่อนบ้าน พบว่า นายประภาสเป็นคนมีฐานะดี จากการเป็นนายหน้าค้าที่ดิน มีทรัพย์สินจำนวนมาก 🏡💵 สมมติฐานแรก คือ คดีนี้น่าจะเป็นฆ่าชิงทรัพย์ แต่ทำไมต้องโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้?

    🕵️ หลังจากการสืบสวนกว่า 23 วัน ตำรวจพบเบาะแสสำคัญ จากการขายพระเครื่อง ที่หายไปจากบ้านเหยื่อ ❗ ผู้ขายพระเครื่องให้ข้อมูลว่า ได้รับมาจาก "เรืองศักดิ์ ทองกุล" หรือ "ศักดิ์ ปากรอ" ชายวัย 22 ปี ชาวปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา 🧢

    ต่อมา วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว "ศักดิ์ ปากรอ" ได้ที่จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมของกลาง ได้แก่ พลอยแดง 9 เม็ด นิล 5 เม็ด เข็มกลัดสัญลักษณ์กระทรวงสาธารณสุข

    การสารภาพอันเลือดเย็น 😈 ศักดิ์ให้การรับสารภาพ อย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมกับยิ้มบางๆ 😐 ว่าวางแผนฆ่าครั้งนี้มาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดคือ "สงกรานต์ แก้วอุบล" หรือ "จ้อง" เพื่อนซึ่งทำหน้าที่ดูต้นทาง

    วิธีการก่อเหตุ เย็นวันศุกร์ ศักดิ์ขับรถจักรยานยนต์มาซุ่ม เมื่อเห็นในบ้านมีเฉพาะเด็ก ๆ แค่ 3 คน จึงทำทีขอน้ำดื่ม แล้วใช้ปืนขู่ลูกๆ ของประภาส จับมัดมือ มัดเท้า ขังไว้ในห้อง รอจนพ่อแม่เด็กกลับมา แล้วจับตัวทั้งหมด

    ศักดิ์พยายามใช้ไฟฟ้าช็อตเหยื่อ แต่ไม่สำเร็จเพราะบ้านมีอุปกรณ์ตัดไฟเซฟทีคัท จึงเปลี่ยนแผนมาใช้ เชือกแขวนคอทีละคน บริเวณราวบันได นางเจียมจิตถูกฆ่าอย่างทารุณ หลังจากขัดขืนการล่วงละเมิดทางเพศ สาเหตุที่ต้องฆ่าเหยื่อทั้งหมด เพราะ “จำหน้าได้” ‼️

    คดีความ โทษที่ได้รับ ⚖️ ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตศักดิ์ และจำคุกตลอดชีวิตจ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน แต่ศาลฎีกาลดโทษศักดิ์ เหลือจำคุกตลอดชีวิต เพราะให้การเป็นประโยชน์

    ศักดิ์ติดคุก 13 ปี ก่อนพ้นโทษในปี พ.ศ. 2553 หลังออกจากคุก ศักดิ์ชุบตัวใหม่ เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น "เนติราษฎร์ นพวงศ์" และเข้าไปพัวพันกับซุ้มมือปืนรับจ้าง 🏴‍☠️

    จุดจบของ "ศักดิ์ ปากรอ" 🚫 วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เนติราษฎร์ถูกลอบยิงเสียชีวิต ที่หน้าบ้านพักในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ขณะกำลังจะขึ้นรถจักรยานยนต์ 🏍️ คนร้ายใช้รถเก๋งสีขาวเข้ามาจอด และยิงใส่หลัง 2 นัด ก่อนหลบหนีไป ❗

    แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้

    อาวุธลับที่เชื่อมโยงศักดิ์กับคดีใหญ่ 🌪️ หลังการเสียชีวิตของศักดิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงตามสืบคดีต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึง 🚨

    วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านของ "พิมล ทองกุล" พี่ชายของศักดิ์ ที่ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา และพบอาวุธสงครามจำนวนมาก เช่น ปืนอาก้า 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด 5.56 มม. และ 7.62 มม. ปืนยาวติดกล้อง .22 แม็กกาซีน และซองกระสุน

    🛡️ "เพิ่มศีล" ผู้เป็นพี่ชายให้การว่า อาวุธทั้งหมดเป็นของศักดิ์ ไม่ใช่ของตนเอง

    อาวุธปืนที่เกี่ยวข้องกับอีกหนึ่งคดีฆ่า 🔥 การตรวจสอบพบว่า อาวุธปืนอาก้าที่ยึดมาได้ ตรงกับปืนที่ใช้ยิง "พงศกร หวานแก้ว" รองนายกเทศมนตรีตำบลนาสีทอง เสียชีวิตบนรถจี๊ปเชอโรกี ในปี พ.ศ. 2555 ❗

    ทำให้ตำรวจเริ่มสงสัยว่า ศักดิ์อาจมีเอี่ยวกับคดีฆาตกรรมรายนี้ด้วย แต่จนถึงวันนี้... 🕵️‍♂️ ตัวคนร้ายในคดียิงพงศกร ก็ยังคงลอยนวล

    🧠 หากพูดถึงคดีฆ่ายกครัวที่โหดเหี้ยมที่สุดในไทย คงไม่มีใครลืม "ศักดิ์ ปากรอ" ได้ ❗ ฆ่าเด็ก 3 คน ด้วยการแขวนคอ ฆ่าพ่อแม่ของเด็กอย่างทารุณ จิตใจแข็งกระด้าง ไม่สะทกสะท้านแม้ในวันทำแผน

    แม้จะผ่านไปเกือบ 3 ทศวรรษ ความโหดร้ายในวันนั้น ยังคงเป็นฝันร้ายของผู้ที่ได้ยินข่าวนี้อยู่เสมอ...

    สังคมไทยกับคดี "ฆ่ายกครัว" สะเทือนขวัญ 🩸 นอกจากคดี "ศักดิ์ ปากรอ" ไทยเรายังเคยมีคดีฆ่ายกครัว สะเทือนใจอื่นๆ เช่น

    คดีฆ่ายกครัวอ่าวลึก จ.กระบี่ ปี 2560 ตายหมู่ 8 ศพ

    คดีฆ่าโหด 5 ศพ ร้านอาหารไวท์เฮาส์ จ.สระบุรี ปี 2552

    คดีฆ่ายกครัว "หอมชง" ย่านบางแค กทม. ปี 2557

    แต่คดีของศักดิ์ โหดเหี้ยมแบบที่ใช้ "การแขวนคอ" เป็นวิธีฆ่าอย่างช้าๆ และทรมานที่สุด ซึ่งนับว่าเป็น 1 ในคดีสะเทือนขวัญที่สุดของประเทศไทย 🇹🇭

    🛑 เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า... ความโลภ ความโกรธ ความหลง สามารถผลักดันคนธรรมดา ให้กลายเป็นปีศาจ ในคราบมนุษย์ได้จริงๆ 🩸😈

    แม้ศักดิ์จะจบชีวิตไปแล้ว แต่บาดแผลในใจของผู้ที่สูญเสีย ยังคงอยู่ และเป็นบทเรียนราคาแพง ที่สังคมไทยไม่มีวันลืม...

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260900 เม.ย. 2568

    📢 #ศักดิ์ปากรอ #ฆ่ายกครัว #ตระกูลบุญทวี #คดีฆ่ายกครัว #ฆ่าหมู่5ศพ #สิงหนคร #สงขลา #คดีโหด #ฆ่าแขวนคอ #เรื่องจริงไม่อิงนิยาย
    28 ปี คดีโหด “ศักดิ์ ปากรอ” ฆ่ายกครัว 5 ศพ ตระกูลบุญทวี นายหน้าค้าที่ดินแห่งสิงหนคร เรื่องจริงสุดสยอง คดีฆ่ายกครัว 5 ศพ ตระกูลบุญทวี สะเทือนขวัญสังคมไทยไม่เสื่อมคลาย แม้ผ่านมา 28 ปี! 🔥 ✨ ย้อนกลับไปในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2540 ณ บ้านเลขที่ 162 หมู่ที่ 8 บ้านบ่อสระ ตำบลชิงโค อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เกิดเหตุสะเทือนขวัญ ที่ทำให้ทั้งประเทศต้องตกตะลึง เมื่อครอบครัวบุญทวี ถูกฆ่ายกครัวถึง 5 ศพ ❗ เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงแต่โหดเหี้ยม แต่ยังเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ที่ทำให้ผู้คนขวัญผวานานนับสิบปี... เหตุการณ์สลดที่ไม่มีใครคาดคิด 🧓 นางกิ้มอิ้น บุญทวี อายุ 71 ปี ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ พร้อมกับความหวังว่าจะได้พบหลานๆ ทั้ง 3 คนตามปกติ แต่เช้าวันนั้นกลับผิดสังเกต ไม่มีหลานคนไหนโผล่มาเลย... เมื่อเดินไปที่บ้านของนายประภาส บุญทวี ลูกชาย ซึ่งอยู่ห่าง 150 เมตร เธอก็พบว่าประตูบ้านไม่ได้ล็อก ❗ และเมื่อเปิดเข้าไป ภาพที่เห็นทำให้เธอแทบเป็นลม... ภายในบ้าน มีศพแขวนเรียงรายอยู่ที่ราวบันได นายประภาส บุญทวี อายุ 42 ปี, ด.ช.กัมปนาท บุญทวี อายุ 13 ปี, ด.ช.ปราบ บุญทวี อายุ 12 ปี และ ด.ช.ชัชวาลย์ บุญทวี อายุ 10 ปี ในห้องนอนชั้นสอง ยังพบศพของ นางเจียมจิต บุญทวี ภรรยาของประภาส ถูกมัดมือเท้า ปิดปาก และรัดคอด้วยเนกไท 🧣 เจ้าหน้าที่ชันสูตรพบว่า เหยื่อทั้ง 5 ราย ถูกทำร้ายร่างกายก่อนเสียชีวิต และ ไม่พบสารพิษหรือยานอนหลับ ในกระเพาะอาหารเลย... จุดเริ่มต้นการสืบสวน 🔎 เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งเดินทางมายังที่เกิดเหตุ และพบว่าภายในบ้านมีร่องรอยการรื้อค้น 📦 และทรัพย์สินหลายอย่างหายไป เช่น พระเครื่องจำนวนมาก ทรัพย์สินมีค่า ทองคำ จากการสอบปากคำญาติและเพื่อนบ้าน พบว่า นายประภาสเป็นคนมีฐานะดี จากการเป็นนายหน้าค้าที่ดิน มีทรัพย์สินจำนวนมาก 🏡💵 สมมติฐานแรก คือ คดีนี้น่าจะเป็นฆ่าชิงทรัพย์ แต่ทำไมต้องโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้? 🕵️ หลังจากการสืบสวนกว่า 23 วัน ตำรวจพบเบาะแสสำคัญ จากการขายพระเครื่อง ที่หายไปจากบ้านเหยื่อ ❗ ผู้ขายพระเครื่องให้ข้อมูลว่า ได้รับมาจาก "เรืองศักดิ์ ทองกุล" หรือ "ศักดิ์ ปากรอ" ชายวัย 22 ปี ชาวปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา 🧢 ต่อมา วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว "ศักดิ์ ปากรอ" ได้ที่จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมของกลาง ได้แก่ พลอยแดง 9 เม็ด นิล 5 เม็ด เข็มกลัดสัญลักษณ์กระทรวงสาธารณสุข การสารภาพอันเลือดเย็น 😈 ศักดิ์ให้การรับสารภาพ อย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมกับยิ้มบางๆ 😐 ว่าวางแผนฆ่าครั้งนี้มาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดคือ "สงกรานต์ แก้วอุบล" หรือ "จ้อง" เพื่อนซึ่งทำหน้าที่ดูต้นทาง วิธีการก่อเหตุ เย็นวันศุกร์ ศักดิ์ขับรถจักรยานยนต์มาซุ่ม เมื่อเห็นในบ้านมีเฉพาะเด็ก ๆ แค่ 3 คน จึงทำทีขอน้ำดื่ม แล้วใช้ปืนขู่ลูกๆ ของประภาส จับมัดมือ มัดเท้า ขังไว้ในห้อง รอจนพ่อแม่เด็กกลับมา แล้วจับตัวทั้งหมด ศักดิ์พยายามใช้ไฟฟ้าช็อตเหยื่อ แต่ไม่สำเร็จเพราะบ้านมีอุปกรณ์ตัดไฟเซฟทีคัท จึงเปลี่ยนแผนมาใช้ เชือกแขวนคอทีละคน บริเวณราวบันได นางเจียมจิตถูกฆ่าอย่างทารุณ หลังจากขัดขืนการล่วงละเมิดทางเพศ สาเหตุที่ต้องฆ่าเหยื่อทั้งหมด เพราะ “จำหน้าได้” ‼️ คดีความ โทษที่ได้รับ ⚖️ ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตศักดิ์ และจำคุกตลอดชีวิตจ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน แต่ศาลฎีกาลดโทษศักดิ์ เหลือจำคุกตลอดชีวิต เพราะให้การเป็นประโยชน์ ศักดิ์ติดคุก 13 ปี ก่อนพ้นโทษในปี พ.ศ. 2553 หลังออกจากคุก ศักดิ์ชุบตัวใหม่ เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น "เนติราษฎร์ นพวงศ์" และเข้าไปพัวพันกับซุ้มมือปืนรับจ้าง 🏴‍☠️ จุดจบของ "ศักดิ์ ปากรอ" 🚫 วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เนติราษฎร์ถูกลอบยิงเสียชีวิต ที่หน้าบ้านพักในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ขณะกำลังจะขึ้นรถจักรยานยนต์ 🏍️ คนร้ายใช้รถเก๋งสีขาวเข้ามาจอด และยิงใส่หลัง 2 นัด ก่อนหลบหนีไป ❗ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ อาวุธลับที่เชื่อมโยงศักดิ์กับคดีใหญ่ 🌪️ หลังการเสียชีวิตของศักดิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงตามสืบคดีต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึง 🚨 วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านของ "พิมล ทองกุล" พี่ชายของศักดิ์ ที่ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา และพบอาวุธสงครามจำนวนมาก เช่น ปืนอาก้า 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด 5.56 มม. และ 7.62 มม. ปืนยาวติดกล้อง .22 แม็กกาซีน และซองกระสุน 🛡️ "เพิ่มศีล" ผู้เป็นพี่ชายให้การว่า อาวุธทั้งหมดเป็นของศักดิ์ ไม่ใช่ของตนเอง อาวุธปืนที่เกี่ยวข้องกับอีกหนึ่งคดีฆ่า 🔥 การตรวจสอบพบว่า อาวุธปืนอาก้าที่ยึดมาได้ ตรงกับปืนที่ใช้ยิง "พงศกร หวานแก้ว" รองนายกเทศมนตรีตำบลนาสีทอง เสียชีวิตบนรถจี๊ปเชอโรกี ในปี พ.ศ. 2555 ❗ ทำให้ตำรวจเริ่มสงสัยว่า ศักดิ์อาจมีเอี่ยวกับคดีฆาตกรรมรายนี้ด้วย แต่จนถึงวันนี้... 🕵️‍♂️ ตัวคนร้ายในคดียิงพงศกร ก็ยังคงลอยนวล 🧠 หากพูดถึงคดีฆ่ายกครัวที่โหดเหี้ยมที่สุดในไทย คงไม่มีใครลืม "ศักดิ์ ปากรอ" ได้ ❗ ฆ่าเด็ก 3 คน ด้วยการแขวนคอ ฆ่าพ่อแม่ของเด็กอย่างทารุณ จิตใจแข็งกระด้าง ไม่สะทกสะท้านแม้ในวันทำแผน แม้จะผ่านไปเกือบ 3 ทศวรรษ ความโหดร้ายในวันนั้น ยังคงเป็นฝันร้ายของผู้ที่ได้ยินข่าวนี้อยู่เสมอ... สังคมไทยกับคดี "ฆ่ายกครัว" สะเทือนขวัญ 🩸 นอกจากคดี "ศักดิ์ ปากรอ" ไทยเรายังเคยมีคดีฆ่ายกครัว สะเทือนใจอื่นๆ เช่น คดีฆ่ายกครัวอ่าวลึก จ.กระบี่ ปี 2560 ตายหมู่ 8 ศพ คดีฆ่าโหด 5 ศพ ร้านอาหารไวท์เฮาส์ จ.สระบุรี ปี 2552 คดีฆ่ายกครัว "หอมชง" ย่านบางแค กทม. ปี 2557 แต่คดีของศักดิ์ โหดเหี้ยมแบบที่ใช้ "การแขวนคอ" เป็นวิธีฆ่าอย่างช้าๆ และทรมานที่สุด ซึ่งนับว่าเป็น 1 ในคดีสะเทือนขวัญที่สุดของประเทศไทย 🇹🇭 🛑 เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า... ความโลภ ความโกรธ ความหลง สามารถผลักดันคนธรรมดา ให้กลายเป็นปีศาจ ในคราบมนุษย์ได้จริงๆ 🩸😈 แม้ศักดิ์จะจบชีวิตไปแล้ว แต่บาดแผลในใจของผู้ที่สูญเสีย ยังคงอยู่ และเป็นบทเรียนราคาแพง ที่สังคมไทยไม่มีวันลืม... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260900 เม.ย. 2568 📢 #ศักดิ์ปากรอ #ฆ่ายกครัว #ตระกูลบุญทวี #คดีฆ่ายกครัว #ฆ่าหมู่5ศพ #สิงหนคร #สงขลา #คดีโหด #ฆ่าแขวนคอ #เรื่องจริงไม่อิงนิยาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 858 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจที่ได้ดูละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> จะเห็นว่าส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ของตัวละคร ซ่งอิ่นจาง และความพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานะนี้

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ซึ่งในภาษาจีนอาจเรียกอย่างสุภาพว่า ‘เยวี่ยกง’ (乐工 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + แรงงาน) หรือเรียกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ‘เยวี่ยจี้’ หรือ ‘นางดนตรี’ (乐妓) ซึ่งเป็นคำเรียกรวมของสตรีที่อาศัยร้องรำทำเพลงยังชีพ ในสมัยโบราณจัดเป็นนางคณิกาประเภทหนึ่ง

    แล้วทำไมในละครจึงเรียกเป็น ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’? Storyฯ ไม่อาจคาดเดาความคิดของผู้แปลซับไทยในละคร แต่ในภาษาจีนสถานะนี้ผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เยวี่ยจี๋’ (乐籍 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + ทะเบียน) ซึ่ง Storyฯ ไม่เห็นมีแปลไว้ในซับไทยของละคร

    ‘เยวี่ยจี๋’ หรือทะเบียนนักดนตรีนี้คืออะไร?

    เพื่อนเพจที่เป็นแฟนนิยายและละครจีนโบราณอาจเคยเห็นฉากที่ขุนนางใหญ่ถูกลงทัณฑ์ทั้งบ้าน ทรัพย์สินถูกยึด คนในบ้านถูกจับไปเป็นทาส เยวี่ยจี๋นี้เป็นทะเบียนชื่อของลูกเมียของขุนนางที่ถูกลงทัณฑ์สถานหนัก พวกเขาเหล่านี้ถูกขึ้นชื่อเป็นทาสรับใช้ของหลวง มีหน้าที่ร้องรำทำเพลงปรนนิบัติขุนนางและแขกเหรื่อในงานรื่นเริง โดยได้รับเงินหลวง เขาเหล่านี้เมื่อโดนเรียกตัวต้องไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยมีหน้าที่แตกต่างกันไปและบางคนอาจถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอกาม

    การลงทัณฑ์โดยขึ้นทะเบียนเยวี่ยจี๋นี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ค.ศ. 386-535) ในสมัยถัง-ซ่ง ‘เยวี่ยจี๋’ อยู่ภายใต้การบริหารงานของ ‘เจียวฟาง’/教坊 หรือที่ในละครแปลว่าสำนักการสังคีต

    คนที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋ถือว่ามีโทษติดตัวไม่มีอิสระ มีสถานะในสังคมต่ำต้อยเยี่ยงทาส จัดเป็น ‘ชนชั้นต่ำ’ หรือ ‘เจี้ยนหมิน’(贱民) ประเภทหนึ่ง (หมายเหตุ บ่าว ทาสและนักโทษจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นต่ำนี้) เมื่อมีลูก ลูกก็จะถูกบันทึกชื่อเข้าเยวี่ยจี๋ด้วย เรียกได้ว่าเป็นทาสที่มีโทษติดตัวไปทุกรุ่นเว้นแต่จะได้รับการเปลี่ยนสถานะ

    การเปลี่ยนสถานะทำได้สองแบบ แบบแรกคือการได้รับการอนุมัติจากทางการให้เปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’/良民 (ตัวอย่างเช่นนางเอกในละครนี้) ซึ่งทำได้ไม่ง่าย และแบบที่สองคือมีพ่อค้ารับเป็นภรรยาหรือมีขุนนางรับเป็นอนุภรรยา ซึ่งจะมีการถอดถอนชื่อออกจากเยวี่ยจี๋ เมื่อคนเป็นแม่ได้ปรับสถานะแล้วบุตรจึงจะเป็นไทได้ (แต่อย่างที่ Storyฯ เคยเล่าเกี่ยวกับเรื่องประเภทของอนุภรรยา คนที่เคยมีโทษติดตัวหรือเป็นลูกนักโทษจะมีสถานะเป็นอนุชั้นต่ำ สามารถยกให้กันฟรีๆ หรือขายออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยลูกก็จะได้รับการยกย่องในระดับหนึ่งตามสถานะของบิดา)

    สรุปสั้นๆ ได้ว่า นางดนตรีที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋จัดเป็นชนชั้นต่ำที่เรียกว่า ‘เจี้ยนหมิน’ ไม่มีอิสระและไม่มีสิทธิใดๆ ทางสังคม แต่หากโชคดีก็จะได้เปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นชนชั้นธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’

    ต่อมาในรัชสมัยขององค์ยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1723) ทรงมีพระราชโองการให้ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนเจี้ยนหมินทุกชนิด (รวมถึงเยวี่ยจี๋ด้วย) ได้รับการปรับสถานะเป็นเหลียงหมิน ถือว่าได้เป็นไทแก่ตัว

    ขออภัยที่มีศัพท์จีนหลายคำไปหน่อย แต่ Storyฯ หวังว่าบทความนี้จะให้ความเข้าใจมากขึ้นถึงบริบทของชนชั้นทางสังคมที่เพื่อนเพจมักเห็นในละครและนิยายจีนโบราณหลายเรื่องค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://read01.com/zh-sg/DR3eMEa.html#.YxlwKnZBy5d
    https://min.news/zh-sg/culture/5b42ca6d45e1a79dcddf84da55d9dce2.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/%E4%B9%90%E7%B1%8D/10852116
    https://www.sohu.com/a/222355523_99902358
    https://www.163.com/dy/article/HACKL2VE0514R9P4.html

    #สามบุปผา #นางรับใช้ในวงดนตรี #เยวี่ยจี๋ #เจี้ยนหมิน #เหลียงหมิน
    เพื่อนเพจที่ได้ดูละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> จะเห็นว่าส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ของตัวละคร ซ่งอิ่นจาง และความพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานะนี้ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ซึ่งในภาษาจีนอาจเรียกอย่างสุภาพว่า ‘เยวี่ยกง’ (乐工 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + แรงงาน) หรือเรียกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ‘เยวี่ยจี้’ หรือ ‘นางดนตรี’ (乐妓) ซึ่งเป็นคำเรียกรวมของสตรีที่อาศัยร้องรำทำเพลงยังชีพ ในสมัยโบราณจัดเป็นนางคณิกาประเภทหนึ่ง แล้วทำไมในละครจึงเรียกเป็น ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’? Storyฯ ไม่อาจคาดเดาความคิดของผู้แปลซับไทยในละคร แต่ในภาษาจีนสถานะนี้ผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เยวี่ยจี๋’ (乐籍 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + ทะเบียน) ซึ่ง Storyฯ ไม่เห็นมีแปลไว้ในซับไทยของละคร ‘เยวี่ยจี๋’ หรือทะเบียนนักดนตรีนี้คืออะไร? เพื่อนเพจที่เป็นแฟนนิยายและละครจีนโบราณอาจเคยเห็นฉากที่ขุนนางใหญ่ถูกลงทัณฑ์ทั้งบ้าน ทรัพย์สินถูกยึด คนในบ้านถูกจับไปเป็นทาส เยวี่ยจี๋นี้เป็นทะเบียนชื่อของลูกเมียของขุนนางที่ถูกลงทัณฑ์สถานหนัก พวกเขาเหล่านี้ถูกขึ้นชื่อเป็นทาสรับใช้ของหลวง มีหน้าที่ร้องรำทำเพลงปรนนิบัติขุนนางและแขกเหรื่อในงานรื่นเริง โดยได้รับเงินหลวง เขาเหล่านี้เมื่อโดนเรียกตัวต้องไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยมีหน้าที่แตกต่างกันไปและบางคนอาจถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอกาม การลงทัณฑ์โดยขึ้นทะเบียนเยวี่ยจี๋นี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ค.ศ. 386-535) ในสมัยถัง-ซ่ง ‘เยวี่ยจี๋’ อยู่ภายใต้การบริหารงานของ ‘เจียวฟาง’/教坊 หรือที่ในละครแปลว่าสำนักการสังคีต คนที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋ถือว่ามีโทษติดตัวไม่มีอิสระ มีสถานะในสังคมต่ำต้อยเยี่ยงทาส จัดเป็น ‘ชนชั้นต่ำ’ หรือ ‘เจี้ยนหมิน’(贱民) ประเภทหนึ่ง (หมายเหตุ บ่าว ทาสและนักโทษจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นต่ำนี้) เมื่อมีลูก ลูกก็จะถูกบันทึกชื่อเข้าเยวี่ยจี๋ด้วย เรียกได้ว่าเป็นทาสที่มีโทษติดตัวไปทุกรุ่นเว้นแต่จะได้รับการเปลี่ยนสถานะ การเปลี่ยนสถานะทำได้สองแบบ แบบแรกคือการได้รับการอนุมัติจากทางการให้เปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’/良民 (ตัวอย่างเช่นนางเอกในละครนี้) ซึ่งทำได้ไม่ง่าย และแบบที่สองคือมีพ่อค้ารับเป็นภรรยาหรือมีขุนนางรับเป็นอนุภรรยา ซึ่งจะมีการถอดถอนชื่อออกจากเยวี่ยจี๋ เมื่อคนเป็นแม่ได้ปรับสถานะแล้วบุตรจึงจะเป็นไทได้ (แต่อย่างที่ Storyฯ เคยเล่าเกี่ยวกับเรื่องประเภทของอนุภรรยา คนที่เคยมีโทษติดตัวหรือเป็นลูกนักโทษจะมีสถานะเป็นอนุชั้นต่ำ สามารถยกให้กันฟรีๆ หรือขายออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยลูกก็จะได้รับการยกย่องในระดับหนึ่งตามสถานะของบิดา) สรุปสั้นๆ ได้ว่า นางดนตรีที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋จัดเป็นชนชั้นต่ำที่เรียกว่า ‘เจี้ยนหมิน’ ไม่มีอิสระและไม่มีสิทธิใดๆ ทางสังคม แต่หากโชคดีก็จะได้เปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นชนชั้นธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’ ต่อมาในรัชสมัยขององค์ยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1723) ทรงมีพระราชโองการให้ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนเจี้ยนหมินทุกชนิด (รวมถึงเยวี่ยจี๋ด้วย) ได้รับการปรับสถานะเป็นเหลียงหมิน ถือว่าได้เป็นไทแก่ตัว ขออภัยที่มีศัพท์จีนหลายคำไปหน่อย แต่ Storyฯ หวังว่าบทความนี้จะให้ความเข้าใจมากขึ้นถึงบริบทของชนชั้นทางสังคมที่เพื่อนเพจมักเห็นในละครและนิยายจีนโบราณหลายเรื่องค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://read01.com/zh-sg/DR3eMEa.html#.YxlwKnZBy5d https://min.news/zh-sg/culture/5b42ca6d45e1a79dcddf84da55d9dce2.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/%E4%B9%90%E7%B1%8D/10852116 https://www.sohu.com/a/222355523_99902358 https://www.163.com/dy/article/HACKL2VE0514R9P4.html #สามบุปผา #นางรับใช้ในวงดนตรี #เยวี่ยจี๋ #เจี้ยนหมิน #เหลียงหมิน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อแฉ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แชร์รายละเอียดแผนโจมตีเยเมนซึ่งเป็นข้อมูลเดียวกับที่บังเอิญหลุดถึงบรรณาธิการข่าวสำนักหนึ่งจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อเดือนที่แล้ว ต่างกันที่ครั้งนี้เป็นการจงใจแชร์ในกลุ่มแชตส่วนตัวที่มีภรรยา น้องชาย และทนายความของนายใหญ่เพนตากอนรวมอยู่ด้วย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000037473

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สื่อแฉ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แชร์รายละเอียดแผนโจมตีเยเมนซึ่งเป็นข้อมูลเดียวกับที่บังเอิญหลุดถึงบรรณาธิการข่าวสำนักหนึ่งจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อเดือนที่แล้ว ต่างกันที่ครั้งนี้เป็นการจงใจแชร์ในกลุ่มแชตส่วนตัวที่มีภรรยา น้องชาย และทนายความของนายใหญ่เพนตากอนรวมอยู่ด้วย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000037473 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 853 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เรามาคุยกันถึงบทประพันธ์โบราณบทหนึ่งชื่อว่า ‘ฉางเหมินฟู่’ (长门赋) ซึ่งในละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> กล่าวถึงบ่อยครั้ง โดยหนึ่งในตัวละครเอกหยวนเซิ่นมักกล่าวอ้างอิงเพื่อเป็นคติสอนใจเกี่ยวกับความรักให้กับนางเอก

    ความมีอยู่ว่า...
    หยวนเซิ่นกล่าวอธิบาย “เรื่องเก็บหญิงงามในห้องทองคำกับบทกวีฉางเหมิน...วันนี้ห้องทองคำยังคงอยู่ ทว่าตำหนักฉางเหมินมิมีคนรักแล้ว เห็นได้ว่าสามีภรรยาในโลกหล้า เมื่อคราแรกพบต่างมีใจตรงกัน ยากจะพรากจากจึงมีบุพเพสันนิวาสนี้ แต่สุดท้ายเป็นเพียงรักที่จางหายรักสายเกินไป”
    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> ตามซับไทย

    ‘ฉางเหมินฟู่’ เป็นบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (779 – 117 ปีก่อนคริสตกาล) ศิลปินเอกในยุคสมัยองค์ฮั่นอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่เรียกเขาว่า ‘ศิลปิน’ เพราะเชี่ยวชาญทั้งด้านอักษรและการดนตรี เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยได้ยินชื่อของเขาจากเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงพิณ “หงส์ตามหาคู่” และบทประพันธ์ ‘ซ่างหลินฟู่’ (Storyฯ เคยกล่าวถึงในหลายบทความแล้ว)

    Storyฯ ไม่อยากใช้คำว่า ‘บทกวี’ เพราะ ‘ฟู่’ เป็นวรรณกรรมซึ่งไม่มีรูปแบบตายตัวเหมือนโคลงกลอน ลักษณะเหมือนการเขียนเรื่องสั้น หากแต่ภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆ และซือหม่าเซียงหรูนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญของบทประพันธ์ในรูปแบบ “ฟู่” นี้

    ‘ฉางเหมิน’ ในชื่อของบทประพันธ์นี้เป็นชื่อพระตำหนักของฮองเฮาเฉินอาเจียวในองค์ฮั่นอู่ตี้ (156-87 ปีก่อนคริสตกาล) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองฉางอัน โดยมีที่มาที่ไปสรุปเป็นเรื่องราวของฮองเฮาเฉินที่ไม่เป็นที่ทรงโปรดของฮั่นอู่ตี้ แต่องค์ฮั่นอู่ตี้ทรงจำใจอภิเษกด้วย เมื่ออำนาจทางการเมืองของพระนางอ่อนลงและทรงใช้เล่ห์กลให้ร้ายพระชายาและสนมรายอื่น ฮองเฮาเฉินก็ถูกกักบริเวณไว้ภายในพระตำหนักฉางเหมิน จึงทรงหาทางจ้างซือหม่าเซียงหรูแต่งบทประพันธ์นี้ขึ้น

    เนื้อหาของบทประพันธ์เป็นเรื่องราวความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวของฮองเฮาเฉินในพระตำหนักที่แสนจะเดียวดาย ทรงคอยชะเง้อหาแต่กลับเห็นพระสวามีมีความสุขกับสตรีอื่นทว่าไม่เคยย่างกรายมาเยี่ยมเยียนพระนาง ในยามที่ฝนตกฟ้าร้องก็ไร้ซึ่งผู้ใดเคียงข้าง ในพระตำหนักที่หรูหรากลับไร้ซึ่งเงาของคนรัก

    บทประพันธ์นี้ถูกองค์ฮองเฮาเฉินให้คนขับขานทั้งวัน แต่องค์ฮั่นอู่ตี้ก็ยังไม่เคยทรงเหลียวแลพระนางอีกเลย ด้วยเนื้อหาของบทประพันธ์ทำให้มันถูกเรียกขานว่าเป็นจดหมายรักฉบับแรกในประวัติศาสตร์จีน และในเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> นี้ มันถูกใช้เป็นตัวอย่างของความรักที่ไม่ได้รับรักตอบแทน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    http://m.cyol.com/gb/articles/2022-08/04/content_449M3uWlp.html
    https://k.sina.cn/article_7069952700_1a566eabc00100yzo0.html
    https://baike.sogou.com/PicBooklet.v?imageGroupId=4666607&relateImageGroupIds=4666607&lemmaId=225502&category=#4666607_0
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5452fb360959.aspx
    https://baike.baidu.com/item/长门赋/3075468
    http://m.qulishi.com/news/201708/242962.html

    #ดาราจักรรักลำนำใจ #ฉางเหมินฟู่ #ซือหม่าเซียงหรู #เฉินอาเจียว #ฮ่านอู่ตี้



    วันนี้เรามาคุยกันถึงบทประพันธ์โบราณบทหนึ่งชื่อว่า ‘ฉางเหมินฟู่’ (长门赋) ซึ่งในละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> กล่าวถึงบ่อยครั้ง โดยหนึ่งในตัวละครเอกหยวนเซิ่นมักกล่าวอ้างอิงเพื่อเป็นคติสอนใจเกี่ยวกับความรักให้กับนางเอก ความมีอยู่ว่า... หยวนเซิ่นกล่าวอธิบาย “เรื่องเก็บหญิงงามในห้องทองคำกับบทกวีฉางเหมิน...วันนี้ห้องทองคำยังคงอยู่ ทว่าตำหนักฉางเหมินมิมีคนรักแล้ว เห็นได้ว่าสามีภรรยาในโลกหล้า เมื่อคราแรกพบต่างมีใจตรงกัน ยากจะพรากจากจึงมีบุพเพสันนิวาสนี้ แต่สุดท้ายเป็นเพียงรักที่จางหายรักสายเกินไป” - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> ตามซับไทย ‘ฉางเหมินฟู่’ เป็นบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (779 – 117 ปีก่อนคริสตกาล) ศิลปินเอกในยุคสมัยองค์ฮั่นอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่เรียกเขาว่า ‘ศิลปิน’ เพราะเชี่ยวชาญทั้งด้านอักษรและการดนตรี เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยได้ยินชื่อของเขาจากเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงพิณ “หงส์ตามหาคู่” และบทประพันธ์ ‘ซ่างหลินฟู่’ (Storyฯ เคยกล่าวถึงในหลายบทความแล้ว) Storyฯ ไม่อยากใช้คำว่า ‘บทกวี’ เพราะ ‘ฟู่’ เป็นวรรณกรรมซึ่งไม่มีรูปแบบตายตัวเหมือนโคลงกลอน ลักษณะเหมือนการเขียนเรื่องสั้น หากแต่ภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆ และซือหม่าเซียงหรูนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญของบทประพันธ์ในรูปแบบ “ฟู่” นี้ ‘ฉางเหมิน’ ในชื่อของบทประพันธ์นี้เป็นชื่อพระตำหนักของฮองเฮาเฉินอาเจียวในองค์ฮั่นอู่ตี้ (156-87 ปีก่อนคริสตกาล) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองฉางอัน โดยมีที่มาที่ไปสรุปเป็นเรื่องราวของฮองเฮาเฉินที่ไม่เป็นที่ทรงโปรดของฮั่นอู่ตี้ แต่องค์ฮั่นอู่ตี้ทรงจำใจอภิเษกด้วย เมื่ออำนาจทางการเมืองของพระนางอ่อนลงและทรงใช้เล่ห์กลให้ร้ายพระชายาและสนมรายอื่น ฮองเฮาเฉินก็ถูกกักบริเวณไว้ภายในพระตำหนักฉางเหมิน จึงทรงหาทางจ้างซือหม่าเซียงหรูแต่งบทประพันธ์นี้ขึ้น เนื้อหาของบทประพันธ์เป็นเรื่องราวความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวของฮองเฮาเฉินในพระตำหนักที่แสนจะเดียวดาย ทรงคอยชะเง้อหาแต่กลับเห็นพระสวามีมีความสุขกับสตรีอื่นทว่าไม่เคยย่างกรายมาเยี่ยมเยียนพระนาง ในยามที่ฝนตกฟ้าร้องก็ไร้ซึ่งผู้ใดเคียงข้าง ในพระตำหนักที่หรูหรากลับไร้ซึ่งเงาของคนรัก บทประพันธ์นี้ถูกองค์ฮองเฮาเฉินให้คนขับขานทั้งวัน แต่องค์ฮั่นอู่ตี้ก็ยังไม่เคยทรงเหลียวแลพระนางอีกเลย ด้วยเนื้อหาของบทประพันธ์ทำให้มันถูกเรียกขานว่าเป็นจดหมายรักฉบับแรกในประวัติศาสตร์จีน และในเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> นี้ มันถูกใช้เป็นตัวอย่างของความรักที่ไม่ได้รับรักตอบแทน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: http://m.cyol.com/gb/articles/2022-08/04/content_449M3uWlp.html https://k.sina.cn/article_7069952700_1a566eabc00100yzo0.html https://baike.sogou.com/PicBooklet.v?imageGroupId=4666607&relateImageGroupIds=4666607&lemmaId=225502&category=#4666607_0 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5452fb360959.aspx https://baike.baidu.com/item/长门赋/3075468 http://m.qulishi.com/news/201708/242962.html #ดาราจักรรักลำนำใจ #ฉางเหมินฟู่ #ซือหม่าเซียงหรู #เฉินอาเจียว #ฮ่านอู่ตี้ 
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 603 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts