• แล้วไง ปรากฏว่าการปิดกั้นของอเมริกาไม่ได้ผล (หรือได้ผลอีกแบบ) การสู้รบขยายวงกว้างไปทั่ว และยืดเยื้อ เกิดเป็นสงครามอินโดจีนของจริง อเมริกา (ปล่อยข่าวว่า) ทำท่าจะเอาไม่อยู่
    ปี พ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) อเมริกาจึงปรับการให้ความช่วยเหลือแก่ไทยใหม่ คราวนี้ขุดหลุมลึกซึ้งเหลือ เชื่อขึ้นไปอีก โดยผ่านกลไกของ CIA ซึ่งสมัยนู้น ยังเรียก OSS อยู่ (ชื่อเต็มคือ Office of the Strategic Services) คงพอเดาออกนะครับ ว่าหน่วยงานนี้เขาทำหน้าที่อะไร
    โดยกลไกของพี่ซี (CIA) อเมริกาตั้งบริษัทซีซัพ พลาย (Sea Supply) ขึ้นในไทย มาทำหน้าที่ซื้อ ขายอาวุธ จัดตั้งกองกำลัง ให้การฝึก และวิทยาการฯลฯ (ทำกิจกรรมตรงตามชื่อเลย ไม่มีปิดบัง เหนียมอาย)
    ผู้ที่มาทำหน้าที่ดูแลซีซัพพลาย เป็นทีมใหญ่ซึ่งถูกฝึกมาจากมือเก๋าของ OSS คือคุณวิลเลี่ยม โดโนแวน (William Donovan) คนเก่ง ซีตัวพ่อของจริง (สมญา “Wild Bill Donovan”) เขาว่า แกเก่งแบบพระ เอกหนังเลยนะคุณโดคนนี้
    คุณโดโนแวน (Donovan) วางแผนรูปแบบขบวนการกระชับวงล้อมคอมมี่อินโดจีน อย่างจัดเต็ม วางแผนเสร็จแล้ว ก็มอบให้แก๊งคุณเบิร์ด (Bird) คนพี่ และคุณเบิร์ด (Bird) คนน้อง เป็นชุดปฏิบัติการ แว่วว่า เดี๋ยวนี้ลูกหลานคุณเบิร์ด ก็ยังสืบถอดงานบางประการของคุณป๊ะป๋าอยู่แถวเชียงใหม่ เพชรบูรณ์ ไปทำอะไร ตามหากันเองแล้วกัน
    อ้อ ลืมเล่า คุณเบิร์ด อยู่เมืองไทยนานๆ ก็แน่นอน ย่อมมีภรรยาเป็นสาวไทย อย่าให้พูดเลยนะ ว่าเป็นใคร ญาติใคร รู้แล้วจะหนาว ก๊วนคุณเบิร์ดนี่ยังกะหนังฮอลลีวู้ด (Hollywood) หนึ่งในก๊วนก็คือคุณจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ราชาผ้าไหมไทย ชีวิตคุณจิมนี่ สนุก โลดโผน น่าเอาไปทำหนัง ว่างๆ ไปหาหนังสือชีวประวัติแกอ่านดูนะครับ
    ผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากซีซัพพลายคือ กรมตำรวจ ภายใต้การดูแลของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์… หวังว่ายังคงจำชื่อนี้กันได้ และถ้าไม่บอกชื่อผู้ประสานงานระหว่าง พล.ต.อ.เผ่า กับซีซัพพลาย เรื่องก็จะไม่ครบรสชาติ ฟังแล้วรับรอง ร้องซี้ด เขาผู้นั้นเป็นนายทหารอากาศ หนุ่มลูกครึ่ง รูปหล่อ มาดขรึม ชื่อ สิทธิ เศวตศิลา ครับผม…

    ซีซัพพลาย ช่วยกรมตำรวจ จัดตั้งและทำการฝึก ตำรวจพลร่ม ตำรวจตระเวนชายแดน และสร้างศูนย์ฝึกชื่อ ค่ายนเรศวรอยู่แถวบ่อฝ้าย หัวหิน เพื่อใช้เป็นศูนย์ฝึก ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยครบเครื่อง มีตำรวจอะไรอีกมั้ย ที่ยังไม่ได้ตั้ง อ้อ ตำรวจแก๊สน้ำตา อันนี้มาตั้งตอนหลัง เดี๋ยวก็มาเอง ไม่ต้องรอนาน
    ทุกวันนี้ค่ายนเรศวร ยังใช้การอยู่ สภาพเป็นอย่างไร คงต้องไปถาม วีระ ตู่ เต้น ฯลฯ ช่วงหลังกระชับวงล้อมที่ราชประสงค์ เขาว่าเหมือนกับอยู่รีสอร์ทหรูชายทะเล นี่ขนาดตั้งมากว่า 50 ปีแล้วนะ
    แต่โปรดอย่าลืมชื่อค่ายนี้ …มีของดีเล่าตอนหลัง หลังจากฝึกกันจนเข้าฝัก ตชด. บวกคนของซีซัพพลาย ก็เริ่มปฏิบัติการ ตามคำสั่งของคุณพี่ซี งานหลักของกองกำลังซีซัพพลายกับ ตชด. คือ ร่วมมือกับกองพลก๊กมินตั๋ง (จีนไต้หวัน ภายใต้การนำของนายพลเจียงไคเช็ค เด็กสร้างของอเมริกา ที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เขาสร้างมาให้สู้…) สู้กับจีนคอมมิวนิสต์
    ขณะเดียวกัน ก็รับฝิ่นจากกองพลก๊กมินตั๋งส่งขายทั่วโลก เอาเงินเข้ากระเป๋าไว้เป็นเงินทุนสู้รบกับคอมมี่ เขาอ้างว่าอย่างนั้น เพราะปฏิบัติการซีซัพพลาย (operation sea supply) มันอยู่ off book (นอกระบบ) มันส์จริงๆ ! นี่เอามาจากรายงานของคุณพี่มหามิตรเองนะ ไม่ได้มั่ว คงพอนึกออกแล้วนะ คำว่า “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” มาจากไหน
    เอ๊ะ! แล้วรูปแบบกองกำลังตำรวจของ พวกตำรวจ ประเภทมีวันนี้เพราะพี่ให้ วันสอยม็อบเสธอ้าย กับวันสยบม็อบลุงเอี่ยม นี่มาจากไหนนะ คลับคล้ายคลับคลาจริงมาแล้วไง ตำรวจแก๊สน้ำตา รูปแบบเหมือน Homeland Security ของใครนะ
    สงครามอินโดจีน เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) จบสิ้นเอาปี พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979)
    ระหว่างนั้นรัฐบาลไทยเปลี่ยนไปหลายยุค แต่ไม่ว่ายุคไหน ก็อยู่ในความดูแลของพี่เบิ้ม มหามิตรอเมริกาทั้งสิ้น
    อเมริกาไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว จำตรงนี้ให้ดีๆ เมื่อให้ซีซัพพลายกับ คุณป๋าเผ่า มือขวาของจอมพลแปลกอเมริกาก็ต้องมีอะไรให้มือซ้าย คือ คุณป๋าสฤษดิ์ด้วย
    ช่วงปี พ.ศ.2490 ถึงพ.ศ.2499 แม้จอมพล ป จะเป็นนายกฯ แต่ไม่มีกองกำลังจริงๆอยู่ในมือ กำลังตำรวจซึ่งแข็งปึกอยู่กับ คุณป๋าเผ่า ส่วนกำลังทหารขึ้นอยู่กันคุณป๋าสฤษดิ์ ทั้ง 2ฝ่ายก็ต่างกินก๋วยเตี๋ยวไม่เส้นด้วยกัน

    การเมืองไทยช่วงนั้นสนุกจริงๆ แต่ต้องนับถือสายตาพญาอินทรี มองการณ์ไกลรู้ว่าจะเลี้ยงใคร ใช้ใคร
    อเมริกาก็ใช้ทั้ง 2 คน สนับสนุนทั้ง 2 คนนั่นแหละ เพราะหวยยังไม่ออกว่า เมื่อจอมพล ป. หมดอำนาจแล้ว ใครจะขึ้นมาแทน ระหว่างนั้น อเมริกาก็จะประเมิน ผลได้ผลเสียของอเมริกาที่จะเกิดขึ้น ภายใต้การบริหารของไพ่ทุกใบที่อเมริกาเล่น จนถึงจุดหนึ่งที่เห็นชัดพอว่า ตัวเลือกหรือไพ่ใบไหน เป็นประโยชน์หรือเป็นภาระอเมริกาก็จะมีวิธีจัดการกับไพ่ที่อเมริกาไม่เล่นต่อ  อืม… น่าสนใจ หัดสังเกตกันไว้นะครับ
    แล้วตอนนี้ละจ๊ะ อเมริกาเขาเล่นทั้งหน้าเหลี่ยมและหน้าหล่อ สีเหลือง สีแดง สีฟ้า กีฬาสีหรือเปล่านะ
    และยังมีพี่ทหารอีกด้วย โปรดอย่าลืมเรื่องนี้สำมคัญ อ่านๆ ไปแล้วจะรู้ว่าพี่ทหารนี้ยอดดวงใจของอเมริกาขนาดไหน!

    คนเล่านิทาน
     แล้วไง ปรากฏว่าการปิดกั้นของอเมริกาไม่ได้ผล (หรือได้ผลอีกแบบ) การสู้รบขยายวงกว้างไปทั่ว และยืดเยื้อ เกิดเป็นสงครามอินโดจีนของจริง อเมริกา (ปล่อยข่าวว่า) ทำท่าจะเอาไม่อยู่ ปี พ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) อเมริกาจึงปรับการให้ความช่วยเหลือแก่ไทยใหม่ คราวนี้ขุดหลุมลึกซึ้งเหลือ เชื่อขึ้นไปอีก โดยผ่านกลไกของ CIA ซึ่งสมัยนู้น ยังเรียก OSS อยู่ (ชื่อเต็มคือ Office of the Strategic Services) คงพอเดาออกนะครับ ว่าหน่วยงานนี้เขาทำหน้าที่อะไร โดยกลไกของพี่ซี (CIA) อเมริกาตั้งบริษัทซีซัพ พลาย (Sea Supply) ขึ้นในไทย มาทำหน้าที่ซื้อ ขายอาวุธ จัดตั้งกองกำลัง ให้การฝึก และวิทยาการฯลฯ (ทำกิจกรรมตรงตามชื่อเลย ไม่มีปิดบัง เหนียมอาย) ผู้ที่มาทำหน้าที่ดูแลซีซัพพลาย เป็นทีมใหญ่ซึ่งถูกฝึกมาจากมือเก๋าของ OSS คือคุณวิลเลี่ยม โดโนแวน (William Donovan) คนเก่ง ซีตัวพ่อของจริง (สมญา “Wild Bill Donovan”) เขาว่า แกเก่งแบบพระ เอกหนังเลยนะคุณโดคนนี้ คุณโดโนแวน (Donovan) วางแผนรูปแบบขบวนการกระชับวงล้อมคอมมี่อินโดจีน อย่างจัดเต็ม วางแผนเสร็จแล้ว ก็มอบให้แก๊งคุณเบิร์ด (Bird) คนพี่ และคุณเบิร์ด (Bird) คนน้อง เป็นชุดปฏิบัติการ แว่วว่า เดี๋ยวนี้ลูกหลานคุณเบิร์ด ก็ยังสืบถอดงานบางประการของคุณป๊ะป๋าอยู่แถวเชียงใหม่ เพชรบูรณ์ ไปทำอะไร ตามหากันเองแล้วกัน อ้อ ลืมเล่า คุณเบิร์ด อยู่เมืองไทยนานๆ ก็แน่นอน ย่อมมีภรรยาเป็นสาวไทย อย่าให้พูดเลยนะ ว่าเป็นใคร ญาติใคร รู้แล้วจะหนาว ก๊วนคุณเบิร์ดนี่ยังกะหนังฮอลลีวู้ด (Hollywood) หนึ่งในก๊วนก็คือคุณจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ราชาผ้าไหมไทย ชีวิตคุณจิมนี่ สนุก โลดโผน น่าเอาไปทำหนัง ว่างๆ ไปหาหนังสือชีวประวัติแกอ่านดูนะครับ ผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากซีซัพพลายคือ กรมตำรวจ ภายใต้การดูแลของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์… หวังว่ายังคงจำชื่อนี้กันได้ และถ้าไม่บอกชื่อผู้ประสานงานระหว่าง พล.ต.อ.เผ่า กับซีซัพพลาย เรื่องก็จะไม่ครบรสชาติ ฟังแล้วรับรอง ร้องซี้ด เขาผู้นั้นเป็นนายทหารอากาศ หนุ่มลูกครึ่ง รูปหล่อ มาดขรึม ชื่อ สิทธิ เศวตศิลา ครับผม… ซีซัพพลาย ช่วยกรมตำรวจ จัดตั้งและทำการฝึก ตำรวจพลร่ม ตำรวจตระเวนชายแดน และสร้างศูนย์ฝึกชื่อ ค่ายนเรศวรอยู่แถวบ่อฝ้าย หัวหิน เพื่อใช้เป็นศูนย์ฝึก ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยครบเครื่อง มีตำรวจอะไรอีกมั้ย ที่ยังไม่ได้ตั้ง อ้อ ตำรวจแก๊สน้ำตา อันนี้มาตั้งตอนหลัง เดี๋ยวก็มาเอง ไม่ต้องรอนาน ทุกวันนี้ค่ายนเรศวร ยังใช้การอยู่ สภาพเป็นอย่างไร คงต้องไปถาม วีระ ตู่ เต้น ฯลฯ ช่วงหลังกระชับวงล้อมที่ราชประสงค์ เขาว่าเหมือนกับอยู่รีสอร์ทหรูชายทะเล นี่ขนาดตั้งมากว่า 50 ปีแล้วนะ แต่โปรดอย่าลืมชื่อค่ายนี้ …มีของดีเล่าตอนหลัง หลังจากฝึกกันจนเข้าฝัก ตชด. บวกคนของซีซัพพลาย ก็เริ่มปฏิบัติการ ตามคำสั่งของคุณพี่ซี งานหลักของกองกำลังซีซัพพลายกับ ตชด. คือ ร่วมมือกับกองพลก๊กมินตั๋ง (จีนไต้หวัน ภายใต้การนำของนายพลเจียงไคเช็ค เด็กสร้างของอเมริกา ที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เขาสร้างมาให้สู้…) สู้กับจีนคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกัน ก็รับฝิ่นจากกองพลก๊กมินตั๋งส่งขายทั่วโลก เอาเงินเข้ากระเป๋าไว้เป็นเงินทุนสู้รบกับคอมมี่ เขาอ้างว่าอย่างนั้น เพราะปฏิบัติการซีซัพพลาย (operation sea supply) มันอยู่ off book (นอกระบบ) มันส์จริงๆ ! นี่เอามาจากรายงานของคุณพี่มหามิตรเองนะ ไม่ได้มั่ว คงพอนึกออกแล้วนะ คำว่า “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” มาจากไหน เอ๊ะ! แล้วรูปแบบกองกำลังตำรวจของ พวกตำรวจ ประเภทมีวันนี้เพราะพี่ให้ วันสอยม็อบเสธอ้าย กับวันสยบม็อบลุงเอี่ยม นี่มาจากไหนนะ คลับคล้ายคลับคลาจริงมาแล้วไง ตำรวจแก๊สน้ำตา รูปแบบเหมือน Homeland Security ของใครนะ สงครามอินโดจีน เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) จบสิ้นเอาปี พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) ระหว่างนั้นรัฐบาลไทยเปลี่ยนไปหลายยุค แต่ไม่ว่ายุคไหน ก็อยู่ในความดูแลของพี่เบิ้ม มหามิตรอเมริกาทั้งสิ้น อเมริกาไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว จำตรงนี้ให้ดีๆ เมื่อให้ซีซัพพลายกับ คุณป๋าเผ่า มือขวาของจอมพลแปลกอเมริกาก็ต้องมีอะไรให้มือซ้าย คือ คุณป๋าสฤษดิ์ด้วย ช่วงปี พ.ศ.2490 ถึงพ.ศ.2499 แม้จอมพล ป จะเป็นนายกฯ แต่ไม่มีกองกำลังจริงๆอยู่ในมือ กำลังตำรวจซึ่งแข็งปึกอยู่กับ คุณป๋าเผ่า ส่วนกำลังทหารขึ้นอยู่กันคุณป๋าสฤษดิ์ ทั้ง 2ฝ่ายก็ต่างกินก๋วยเตี๋ยวไม่เส้นด้วยกัน การเมืองไทยช่วงนั้นสนุกจริงๆ แต่ต้องนับถือสายตาพญาอินทรี มองการณ์ไกลรู้ว่าจะเลี้ยงใคร ใช้ใคร อเมริกาก็ใช้ทั้ง 2 คน สนับสนุนทั้ง 2 คนนั่นแหละ เพราะหวยยังไม่ออกว่า เมื่อจอมพล ป. หมดอำนาจแล้ว ใครจะขึ้นมาแทน ระหว่างนั้น อเมริกาก็จะประเมิน ผลได้ผลเสียของอเมริกาที่จะเกิดขึ้น ภายใต้การบริหารของไพ่ทุกใบที่อเมริกาเล่น จนถึงจุดหนึ่งที่เห็นชัดพอว่า ตัวเลือกหรือไพ่ใบไหน เป็นประโยชน์หรือเป็นภาระอเมริกาก็จะมีวิธีจัดการกับไพ่ที่อเมริกาไม่เล่นต่อ  อืม… น่าสนใจ หัดสังเกตกันไว้นะครับ แล้วตอนนี้ละจ๊ะ อเมริกาเขาเล่นทั้งหน้าเหลี่ยมและหน้าหล่อ สีเหลือง สีแดง สีฟ้า กีฬาสีหรือเปล่านะ และยังมีพี่ทหารอีกด้วย โปรดอย่าลืมเรื่องนี้สำมคัญ อ่านๆ ไปแล้วจะรู้ว่าพี่ทหารนี้ยอดดวงใจของอเมริกาขนาดไหน! คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก “วิรัช-ภรรยา” คดีสนามฟุตซอล เสียหายรวมกว่า 4.4 พันล้าน ยื่น 4 เเสน ศาลอนุญาตให้ประกัน
    https://www.thai-tai.tv/news/20678/
    .
    #ไทยไทด้วย #วิรัชรัตนเศรษฐ #คดีทุจริต #สนามฟุตซอล #ศาลฎีกานักการเมือง #จำคุก #ปปช #การเมืองไทย #คอร์รัปชัน #นักการเมือง
    ศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก “วิรัช-ภรรยา” คดีสนามฟุตซอล เสียหายรวมกว่า 4.4 พันล้าน ยื่น 4 เเสน ศาลอนุญาตให้ประกัน https://www.thai-tai.tv/news/20678/ . #ไทยไทด้วย #วิรัชรัตนเศรษฐ #คดีทุจริต #สนามฟุตซอล #ศาลฎีกานักการเมือง #จำคุก #ปปช #การเมืองไทย #คอร์รัปชัน #นักการเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอแสดงการคาระวะ ทหารผู้เสียสละ ตะลุยตีไล่ศัตรูก่อนข้ามคืนวันนั้น และแสดงความเสียใจกับคุณพ่อคุณแม่ ของพวกท่าน ด้วยครับ ขอให้คุณความดีคุ้มครอง คุณพ่อคุณแม่ และคุณภรรยา ให้ผ่านมรสุมชีวิตนี้ไปให้ได้ด้วยเทริญ สาธุ
    ขอแสดงการคาระวะ ทหารผู้เสียสละ ตะลุยตีไล่ศัตรูก่อนข้ามคืนวันนั้น และแสดงความเสียใจกับคุณพ่อคุณแม่ ของพวกท่าน ด้วยครับ ขอให้คุณความดีคุ้มครอง คุณพ่อคุณแม่ และคุณภรรยา ให้ผ่านมรสุมชีวิตนี้ไปให้ได้ด้วยเทริญ สาธุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบัญชีที่ถูกปิด: เมื่อนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูก Microsoft ตัดขาดจากระบบโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง

    Mike Kaganski นักพัฒนาหลักของ LibreOffice ถูก Microsoft บล็อกบัญชี Outlook และบริการอื่นๆ โดยอ้างว่า “มีพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงการใช้งาน” ทั้งที่เขาเพียงส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ผ่าน Thunderbird ตามปกติ

    เมื่อพยายามส่งอีเมลอีกครั้ง เขาพบว่าบัญชีถูกล็อกทันที และไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย แม้จะพยายามอุทธรณ์ผ่านระบบอัตโนมัติของ Microsoft ก็พบกับข้อความ “ลองวิธีอื่น” โดยไม่มีวิธีอื่นให้เลือก

    เขาต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องอุทธรณ์ แต่สุดท้าย Microsoft กลับปิดเคสโดยไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าอีเมลของเขาผิดเงื่อนไขใด

    กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก—ผู้ใช้รายอื่น เช่น u/deus03690 บน Reddit ก็เคยถูกล็อกบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญกว่า 30 ปี และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก Microsoft เช่นกัน

    Microsoft บล็อกบัญชีของ Mike Kaganski นักพัฒนา LibreOffice โดยอ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน
    เกิดขึ้นหลังจากเขาส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice
    Thunderbird แจ้งว่าอีเมลไม่สามารถส่งได้ และบัญชีถูกล็อกทันที

    ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft เป็นแบบอัตโนมัติและไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อบัญชีถูกล็อก
    ต้อง “ลงชื่อเข้าใช้” เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้
    Kaganski ต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องแทน

    คำร้องอุทธรณ์ถูกปิดโดยไม่มีการดำเนินการหรือคำอธิบายจาก Microsoft
    Microsoft เพิกเฉยต่อข้อมูลหลักฐานที่ Kaganski ส่งไป
    เขายังไม่สามารถกู้คืนบัญชีได้จนถึงปัจจุบัน

    กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว—ผู้ใช้รายอื่นก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน
    ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสูญเสียข้อมูลกว่า 30 ปีใน OneDrive
    แม้จะส่งแบบฟอร์มกู้คืนและได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ

    LibreOffice เคยกล่าวหา Microsoft ว่าใช้รูปแบบไฟล์ XML ที่ซับซ้อนเพื่อกีดกันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
    เป็นกลยุทธ์ “ล็อกอิน” ที่ทำให้ผู้ใช้ย้ายออกจาก Microsoft Office ได้ยาก
    Kaganski เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์แนวทางนี้อย่างเปิดเผย

    ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft ไม่รองรับผู้ใช้ที่ถูกล็อกบัญชีอย่างสมบูรณ์
    ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่บัญชีถูกบล็อก
    ไม่มีช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงในกรณีฉุกเฉิน

    การบล็อกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือเหตุผลชัดเจนอาจละเมิดสิทธิผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถทราบว่าเนื้อหาใดละเมิดข้อตกลง
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบบริการดิจิทัล

    การสูญเสียบัญชี Microsoft อาจหมายถึงการสูญเสียข้อมูลสำคัญใน OneDrive, Outlook และบริการอื่นๆ
    ไม่มีระบบสำรองหรือการเข้าถึงข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน
    อาจกระทบต่องาน, ความทรงจำ, หรือเอกสารทางกฎหมาย

    ผู้ใช้ที่มีบทบาทในชุมชนโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือบล็อกโดยอัลกอริธึม
    อีเมลเทคนิคหรือการวิจารณ์เชิงระบบอาจถูกตีความผิด
    ไม่มีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนดำเนินการบล็อกบัญชี

    https://www.neowin.net/news/microsoft-bans-libreoffice-developers-account-without-warning-rejects-appeal/
    📧 เรื่องเล่าจากบัญชีที่ถูกปิด: เมื่อนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูก Microsoft ตัดขาดจากระบบโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง Mike Kaganski นักพัฒนาหลักของ LibreOffice ถูก Microsoft บล็อกบัญชี Outlook และบริการอื่นๆ โดยอ้างว่า “มีพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงการใช้งาน” ทั้งที่เขาเพียงส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ผ่าน Thunderbird ตามปกติ เมื่อพยายามส่งอีเมลอีกครั้ง เขาพบว่าบัญชีถูกล็อกทันที และไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย แม้จะพยายามอุทธรณ์ผ่านระบบอัตโนมัติของ Microsoft ก็พบกับข้อความ “ลองวิธีอื่น” โดยไม่มีวิธีอื่นให้เลือก เขาต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องอุทธรณ์ แต่สุดท้าย Microsoft กลับปิดเคสโดยไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าอีเมลของเขาผิดเงื่อนไขใด กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก—ผู้ใช้รายอื่น เช่น u/deus03690 บน Reddit ก็เคยถูกล็อกบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญกว่า 30 ปี และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก Microsoft เช่นกัน ✅ Microsoft บล็อกบัญชีของ Mike Kaganski นักพัฒนา LibreOffice โดยอ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน ➡️ เกิดขึ้นหลังจากเขาส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ➡️ Thunderbird แจ้งว่าอีเมลไม่สามารถส่งได้ และบัญชีถูกล็อกทันที ✅ ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft เป็นแบบอัตโนมัติและไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อบัญชีถูกล็อก ➡️ ต้อง “ลงชื่อเข้าใช้” เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ➡️ Kaganski ต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องแทน ✅ คำร้องอุทธรณ์ถูกปิดโดยไม่มีการดำเนินการหรือคำอธิบายจาก Microsoft ➡️ Microsoft เพิกเฉยต่อข้อมูลหลักฐานที่ Kaganski ส่งไป ➡️ เขายังไม่สามารถกู้คืนบัญชีได้จนถึงปัจจุบัน ✅ กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว—ผู้ใช้รายอื่นก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน ➡️ ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสูญเสียข้อมูลกว่า 30 ปีใน OneDrive ➡️ แม้จะส่งแบบฟอร์มกู้คืนและได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ ✅ LibreOffice เคยกล่าวหา Microsoft ว่าใช้รูปแบบไฟล์ XML ที่ซับซ้อนเพื่อกีดกันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ➡️ เป็นกลยุทธ์ “ล็อกอิน” ที่ทำให้ผู้ใช้ย้ายออกจาก Microsoft Office ได้ยาก ➡️ Kaganski เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์แนวทางนี้อย่างเปิดเผย ‼️ ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft ไม่รองรับผู้ใช้ที่ถูกล็อกบัญชีอย่างสมบูรณ์ ⛔ ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่บัญชีถูกบล็อก ⛔ ไม่มีช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงในกรณีฉุกเฉิน ‼️ การบล็อกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือเหตุผลชัดเจนอาจละเมิดสิทธิผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถทราบว่าเนื้อหาใดละเมิดข้อตกลง ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบบริการดิจิทัล ‼️ การสูญเสียบัญชี Microsoft อาจหมายถึงการสูญเสียข้อมูลสำคัญใน OneDrive, Outlook และบริการอื่นๆ ⛔ ไม่มีระบบสำรองหรือการเข้าถึงข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน ⛔ อาจกระทบต่องาน, ความทรงจำ, หรือเอกสารทางกฎหมาย ‼️ ผู้ใช้ที่มีบทบาทในชุมชนโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือบล็อกโดยอัลกอริธึม ⛔ อีเมลเทคนิคหรือการวิจารณ์เชิงระบบอาจถูกตีความผิด ⛔ ไม่มีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนดำเนินการบล็อกบัญชี https://www.neowin.net/news/microsoft-bans-libreoffice-developers-account-without-warning-rejects-appeal/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft bans LibreOffice developer's account without warning, rejects appeal
    A LibreOffice developer has shared his experience of having his Microsoft account banned, and how the company has been uncooperative in helping him recover it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม
    ความมีอยู่ว่า

    ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ”
    เวยเวยตะลึงไป
    ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน
    “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ...

    - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน

    ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้?

    “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว

    องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี

    มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง

    จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่

    ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ

    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com
    https://www.sohu.com/a/350631198_120260771

    #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม ความมีอยู่ว่า ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ” เวยเวยตะลึงไป ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ... - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้? “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่ ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: https://baike.baidu.com https://www.sohu.com/a/350631198_120260771 #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    百度百科_全球领先的中文百科全书
    百度百科是一部内容开放、自由的网络百科全书,旨在创造一个涵盖所有领域知识,服务所有互联网用户的中文知识性百科全书。在这里你可以参与词条编辑,分享贡献你的知识。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 21-7-68
    .
    เช้าวันจันทร์ คุณสนธิมาพบกับสมาชิก และแฟน ๆ รายการ หลังจากนั่งประชุมกับทีมงาน พร้อมรับประทานอาหารเช้าเป็น "ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น" วันนี้มีหลายเรื่องที่คุณสนธิอยากพูดถึงไม่ว่าจะเป็นกรณีสืบเนื่องเป็นผลกระทบจากกรณี "สีกากอล์ฟ" ที่สั่นสะเทือนไปทั้งวงการสงฆ์และสังคมไทย, การที่ อดีตรอง ผบ.ตร. ห่มผ้าเหลืองเข้าไปลักทรัพย์ในบริษัทของอดีตภรรยา รวมถึง เรื่องปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูาด้วย ... จะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=YkjzLV7EjkA
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk
    สนธิเล่าเรื่อง 21-7-68 . เช้าวันจันทร์ คุณสนธิมาพบกับสมาชิก และแฟน ๆ รายการ หลังจากนั่งประชุมกับทีมงาน พร้อมรับประทานอาหารเช้าเป็น "ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น" วันนี้มีหลายเรื่องที่คุณสนธิอยากพูดถึงไม่ว่าจะเป็นกรณีสืบเนื่องเป็นผลกระทบจากกรณี "สีกากอล์ฟ" ที่สั่นสะเทือนไปทั้งวงการสงฆ์และสังคมไทย, การที่ อดีตรอง ผบ.ตร. ห่มผ้าเหลืองเข้าไปลักทรัพย์ในบริษัทของอดีตภรรยา รวมถึง เรื่องปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูาด้วย ... จะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=YkjzLV7EjkA . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลาสิกขาทันควัน หลังถูกแจ้งความลักทรัพย์ระหว่างบวช ตัดสินใจแจ้งความกลับภรรยาและพวก ปมโฉนดที่ดิน 217 แปลงหายจากห้องนิรภัย เผยพฤติกรรมพิรุธไม่สามารถติดต่อได้ คาดมีเบื้องลึกซับซ้อน เตรียมขยายผลสอบสวนทุกมิติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068256

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลาสิกขาทันควัน หลังถูกแจ้งความลักทรัพย์ระหว่างบวช ตัดสินใจแจ้งความกลับภรรยาและพวก ปมโฉนดที่ดิน 217 แปลงหายจากห้องนิรภัย เผยพฤติกรรมพิรุธไม่สามารถติดต่อได้ คาดมีเบื้องลึกซับซ้อน เตรียมขยายผลสอบสวนทุกมิติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068256 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตรอง ผบ.ตร. วิระชัย ห่มเหลืองก่อเหตุฉาว! บุกขโมยเอกสารบริษัทหมื่นล้านขณะบวช คาดชิงอำนาจธุรกิจครอบครัว อดีตภรรยา-ลูกยืนข้างเดียวกัน สุดท้ายโดนจับโป๊ะ แจ้งความเอาผิด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068186

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    อดีตรอง ผบ.ตร. วิระชัย ห่มเหลืองก่อเหตุฉาว! บุกขโมยเอกสารบริษัทหมื่นล้านขณะบวช คาดชิงอำนาจธุรกิจครอบครัว อดีตภรรยา-ลูกยืนข้างเดียวกัน สุดท้ายโดนจับโป๊ะ แจ้งความเอาผิด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000068186 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..น่าอนาถสถานะสัมมาอาชีพของคนไทยเราที่ตกเป็นเหยื่อเจ้าสัวนายทุนผู้ละโมบโลภผลประโยชน์ต่อผู้ต่อสู้ต่อผู้บุกเบิกในแบบคนบ้านๆประชาชนคนไทยน้อยต้นทุนน้อยเงินลงทุนสนับสนุนเพื่อแสวงหาความอยู่รอดหรืออิสระทางการดำเนินชีวิตบนสังคมชุมชนไทยเราและชุมชนโลกเราจริง.
    ..ประชาชนคนไทยเราไม่สมควรเป็นผู้ร้องขอ,แต่เป็นผู้ได้รับโอกาสจริงเมื่อแจ้งความประสงค์มา.
    ..ธนาคารกลางของภาคประชาชนไทยเราจึงสมควรถือกำเนิดขึ้นจริงอย่างจริงจัง,แยกออกต่างหากชัดเจนจากธนาคารกลางของเอกชนที่กำกับดูแลเอกชน ปกป้องผลประโยชน์กำไรของธนาคารเอกชนโดยมาก เอื้อทำให้ธนาคารเอกชนมีผลประกอบการกำไรผิดปกติในขณะที่ภาคกิจการธุรกิจอื่นต่างล้มหายตายจากในวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนพิสูจน์ชัดเจนว่าธนาคารกลางกำลังทำเพื่อใคร อ้างประชาชนบังหน้าโดยความจริงคือกำไรของธนาคารเพิ่มขึ้นจากเงื่อนไขกติกากฎระเบียบที่ตนควบคุมประกาศใช้เพื่อเอื้ออำนวยรายได้สาระพัพทางแก่ธนาคารเอกชน ง่ายๆเช่น ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นิดหน่อยตามข่าวปลายปีหรือต้นปีนี้ สะท้อนถึงกำไรรายได้ผลประกอบการธนาคารอย่างมีนัยยะชัดเจนทันที ข้อมูลบริษัทในตลาดหุ้นโชว์ผลประกอบการชัดเจนเป็นหลักฐานว่าเขียวเกือบทุกๆแบงค์ในกระดานก็ว่า,สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมอื่นอย่างมีนัยยะผิดปกติชัดเจน,และธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจริงๆต้องถูกสั่งการโดยรัฐบาลได้ควบคุมได้ทางตรงสั่งดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ให้เป็นไปทิศทางเดียวกันกับประชาชนของประเทศ เจริญก็เจริญด้วยกัน พังพินาศก็พังด้วยกัน,รัฐบาลสั่งคุ้มครองทางเงินควบคุมทางการเงินได้ทั้งประเทศ,กำหนดมูลค่าเงินและทิศทางการเงินได้จริง,จะมามุกอ้างบริหารงานอิสระตัดตอนมิให้รัฐบาลมาสร้างความเสียหายทางระบบเงินของประเทศไม่ได้ จะอ้างแบบนั้นไม่ได้ ส่วนรัฐบาลใดชั่วเลวนั่นอีกปัญหาหนึ่งคนละส่วนละประเด็นมิติของปัญหาใหญ่,เช่นรัฐบาลสามารถประกาศหยุดลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนได้,คงที่ที่1฿:25$ก็ได้หรือ1฿:35$เป็นอัตราคงที่ก็ได้,หรือกำหนดคงที่เทียบอัตราทองคำพื้นฐานได้ที่ไม่ปั่นราคาทองคำแบบปัจจุบัน,ไม่ต้องมาพยุงอัตราแลกเปลี่ยนใดๆอีก,ล็อกการปั่นราคาเก็งกำไรก็ได้ในสายตาพวกเล่นกำไรค่าเงินนั้นๆ1บาทล็อกเงินหยวนที่1หยวนก็ได้คือ1:1 , 1บาทต่อ1หยวนเลย,1บาทต่อ1เหรียญดอลล่าร์จะเป็นอะไรเพราะเหี้ยเงินกระดาษไร้ทองคำค้ำประกันเงินดอลล่าร์อะไรเลยแค่เครดิตชื่อว่าประเทศอเมริกานำหน้าเท่านั้น,เสือกพิมพ์ตัวเองเสรีเป็นว่าตามใจตนใช้ไม่ได้ ตังQEคือหลักฐานชัดเจน,จดอลล่าร์ไร้ค่าเป็นเศษกระดาษในปัจจุบัน ผีบ้าอะไรชาติอื่นถ้าเป็นแบบนี้ค่าเงินถูกลดค่าแล้ว เงินดอลล่าร์จริงๆสมควรถูกลดค่าลดเครดิตไปนานแล้ว อาจ1บาทต่อ0.0001ดอลล่าร์โน้น.
    ..ธนาคารกลางถือกำเนิดจากแนวคิดตระกูลอีลิทdeep stateซาตานฝ่ายมืดก็ด้วย เพื่อควบคุมประเทศต่างๆทั่วโลกผ่านระบบตัง,มิให้อำนาจปกครองในแต่ละประเทศมาทำให้เครือข่ายสำนักงานมันขัดจังหวะสั่งการได้เพื่อดำเนินนโยบายใดๆของพวกมันประสานงานกันอย่างราบรื่น,จึงห้ามอำนาจฝ่ายการเมืองการปกครองใดๆย่อมาไทยคือห้ามมาแทรกแซงสำนักงานdeep stateกูนะจะเสียกระบวนควบคุมมนุษย์ในแต่ละประเทศนั้นๆผ่านกลไกระบบตังกูที่ควบคุมครอบงำไว้,และหน้าที่ของทุกๆธนาคารทั่วโลกทำกำไรให้มากๆจากนั้นส่งส่วยส่งตังโอนมาให้สำนักงานdeep stateโลกสากลทันทีที่ต่างประเทศ,ยิ่งตอนนี้ตังขาดมือพวกมรึงธนาคารกลางและลูกน้องธนาคารทั้งหมดต้องทำยอดทำตังส่งตังมาให้กูมากๆมันว่า,กล่องดวงใจมันคือธนาคารกลางในไทยหรือธนาคารกลางทั่วโลกก็ว่า,
    ..เมื่อเรามีนายกฯดีๆเข้ามาจึงต้องเด็ดขาดทิังธนาคารกลางของdeep stateไป ตั้งธนาคารกลางของคนไทยจริงของภาคมหาประชาชนคนไทยจริงขึ้นมาแทนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนสัมมาอาชีพคนไทยทุกๆคนเป็นตัวเชื่อมเงินทุนจริง มิใช่เหี้ยมาออกรายการขอทานแบบนี้,เหยียบหยามประชาชนประชาชนคนไทยเราชัดเจน,และจริงๆคนไทยเราทุกๆคนร่ำรวยมาก มีปัจจัยซื้อหาวัตถุดิบสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยเราและชาวโลกได้สบาย รวมกลุ่มระดมทุนก็ได้อีก,เพราะเฉลี่ยคนไทยเราทุกๆคน มีมูลค่ากว่า400-1,000ล้านบาทต่อคนในบัญชีทางการเงินได้สบายๆเมื่อประเมินมูลค่าทรัพยากรมีค่ามากมายเต็มแผ่นดินไทย,ไม่นับรวมผลงานสร้างสรรคสร้างรายได้ต่อยอดนวัตกรรมและฝีมือด้านอื่นสาระพัดตรึมอีก,อาจรวมกันจริงๆขั้นต่ำกว่า2,000ล้านบาทต่อคนไทยสบายๆ,
    ..เราสามารถสร้างฮับเงินทุนสัมมาอาชีพเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเริ่มกิจการแต่ละคนของคนไทยเราทุกๆคนได้,ที่ไม่สร้างทำเพราะต้องการไม่ให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ต้องไปพึ่งพาพวกมัน ไปขอตังมาลงทุนกิจการจากพวกมันหรือยึดกิจการมรึงเสียเลยขาดตัวก็ว่า,แล้วเหยียบไว้แบบพลังงานเทสล่า พลังงานไฮโดรเจนใช้แค่พลังงานน้ำก็ขับขี่รถยนต์ไปมาได้ พลังงานแม่เหล็กที่บินขึ้นลงทางแนวดิ่งสบายและไร้ขีดจำกัด,ทั้งโลกสร้างพลังงานฟรีได้แต่มันปกปิดไว้ อยากทำขายให้คนเอาตังจึงเป็นที่มาของdeep stateในมุมมองที่ไปที่มาอีกแง่หนึ่งของมันก็ว่า,คนร่ำรวยเกือบทั้งหมดบนโลกล้วนขี้ข้าdeep stateเข้ารีตกับลัทธิตาเดียว ตังมากมายมันจะโอนมาเต็มบัญชีเลยล่ะ และต้องทำตามคำสั่งตลอดเวลาด้วย,ธนาคารกลางเราก็ไม่เว้น,มีธนาคารกลางตั้งนานทำไมประชาชนยังยากจนมากมาย บัตรคนจนเพิ่มขึ้น อยู่แต่ธนาคารเอกชนทำไมกำไรกันสบายดี,ร่ำรวยรายได้กันจริงๆ,แก๊งดูดตังมันไม่สามารถดูดตังประชาชนได้หรอกถ้าธนาคารไม่อำนวยสร้าง จะมีข้อมูลจนดูดตังได้โน้น,ดูดได้จริง,ก่อนโอนออกนอกประเทศธนาคารต้องตรวจสอบก่อนด้วยมีหลักฐานบัญชีปลายทางบัญชีต้นทางหมด ใครอยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นแบบใดดึงออกมาดูได้หมด,ตลอดสามารถระบุชัดเจนเงื่อนไขการมีบัญชีธนาคารก็ได้ ว่า1บัตรประชาชนคนไทย สามารถมีได้แค่1บัญชีธนาคารได้แค่นั้นมีแค่1เบอร์มือถือด้วย,จะตัดตอนเปิดบัญชีหลายบัญชีทันที,ตัดตอนเบอร์มิจฉาชีพด้วยสแกนตรวจจับพบตัวในไทยได้ง่าย ตัดตอนมีซิมหลายเบอร์นั้นเอง,ฟอกเงินก็ตรวจสอบง่าย ใครมีตังมากน้อยจะกลัวอะไร มี10ล้ายล้านบาทในบัญชีเดียวจะกลัวอะไร กลัวหนีภาษีไม่ได้ฟอกเงินสลับเปลี่ยนบัญชีไม่ได้,คือเริ่มต้นทำก็ไม่สุจริตซื่อสัตย์นั้นเอง,กสทช.ก็อัพเรเวลระบบเสีย ผูกระบบโชว์ชื่อนามสกุลคนโทรเข้าเครื่องปลายทางอัตโนมัติด้วยแม้เครื่องปลายทางไม่ได้บันทึกชื่อสกุลนั่นไว้ในเครื่องเข้า,ใครโทรมานะบบตรวจจับโชว์ชื่อสกุลทันที นี้อะไรแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาก็ไม่รู้ ใครโทรมาก็โชว์ผีบ้าแต่เบอร์แต่ตัวเลข,ซื้อซิมก็ใช้บัตรประชาชนชื่อนามสกุลจริงซื้อ,กสทช.ต้องอัพระบบใหม่หมด,มือถือต้องเปลี่ยนให้รองรับก็ต้องเปลี่ยน,แจกแลกฟรีก็ได้เพื่อมือถือเครื่องนั้นรันกับระบบได้ ทำโปรแกรมได้ดั่งที่ว่า,ใช้ซิมกดฉนวนระเบิดภาคใต้ก็จะจบไปซิมห่าเหวอะไรเลอะเทอะล้นตลาดหมด,
    ..จึงต้องมีธนาคารกลางของภาคประชาชนจริงๆมิใช่ของธนาคารเอกชน มิใช่ของdeep state,
    ..ธนาคารภาคประชาชนจะเป็นอนาคตที่สดใสทันทีแิดตั้งแต่ต้นก่ประชาชน,มิใช่สดใสแก่ธนาคารเอกชนนายทุนสมคบคิดกับธนาคารเอกชนนั้นๆมันก็ช่วยเหลือเจ้าสัวอาเสี่ยอาเหี้ยมันกันเองนั้นล่ะเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการก็แค่พบหมาตายเท่านั้นไร้ค่าไร้ความหมายราคาแก่พวกๆมัน,อ้างประชาชนรับใบอนุญาตประกอบการหาแดกแค่นั้นล่ะ,ประชาชนคือเหยื่อให้มัน,หนีัคือสิ่งที่มันมอบให้.จากนั้นความโกลาหลดิ้นรนบ้าคลั่งขาดสติจะตามมา,แล้วก็ไม่นาน สส.สว.ข้าราชการทั้งระบบมันจะซื้อด้วยเงินในระบบมันสิ้น,ขาดตังลงแดงขาดใจทันทีก็ว่า.ครอบครัวทั้งหมดพังพินาศทันทีเมื่อขาดตัง,สามีภรรยาทะเลาะกันสิ้น,ญาติพี่น้องทะเลาะกันก็เพราะมันคือตัง,ค่าใช้จ่ายสาระพัดต้องกำจัดปัญหาด้วยตังนั้นเอง,เด็กๆไปโรงเรียนต้องใช้ตัง,ค่ารักษายามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องใช้ตัง,นี้คือผลของการที่ให้มีธนาคารกลางของdeep stateในประเทศไทยเรา,แต่ไม่มีธนาคารกลางจริงๆของภาคประชาชนไทยตนเอง,เราปกครองจากการเขียนแม่พิมพ์จากการเขียนแบบแปลงที่ผิดพลาดตั้งแต่ต้น,จึงต้องฉีกทิ้งมันทั้งหมดทันที,แล้วทำการเขียนใหม่ให้เป็นคุณแก่ภาคประชาชนเราจริงๆ.


    ..https://youtube.com/watch?v=M2USTwH-07k&si=40fTL6CmVqQ2GYHm
    ..น่าอนาถสถานะสัมมาอาชีพของคนไทยเราที่ตกเป็นเหยื่อเจ้าสัวนายทุนผู้ละโมบโลภผลประโยชน์ต่อผู้ต่อสู้ต่อผู้บุกเบิกในแบบคนบ้านๆประชาชนคนไทยน้อยต้นทุนน้อยเงินลงทุนสนับสนุนเพื่อแสวงหาความอยู่รอดหรืออิสระทางการดำเนินชีวิตบนสังคมชุมชนไทยเราและชุมชนโลกเราจริง. ..ประชาชนคนไทยเราไม่สมควรเป็นผู้ร้องขอ,แต่เป็นผู้ได้รับโอกาสจริงเมื่อแจ้งความประสงค์มา. ..ธนาคารกลางของภาคประชาชนไทยเราจึงสมควรถือกำเนิดขึ้นจริงอย่างจริงจัง,แยกออกต่างหากชัดเจนจากธนาคารกลางของเอกชนที่กำกับดูแลเอกชน ปกป้องผลประโยชน์กำไรของธนาคารเอกชนโดยมาก เอื้อทำให้ธนาคารเอกชนมีผลประกอบการกำไรผิดปกติในขณะที่ภาคกิจการธุรกิจอื่นต่างล้มหายตายจากในวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนพิสูจน์ชัดเจนว่าธนาคารกลางกำลังทำเพื่อใคร อ้างประชาชนบังหน้าโดยความจริงคือกำไรของธนาคารเพิ่มขึ้นจากเงื่อนไขกติกากฎระเบียบที่ตนควบคุมประกาศใช้เพื่อเอื้ออำนวยรายได้สาระพัพทางแก่ธนาคารเอกชน ง่ายๆเช่น ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นิดหน่อยตามข่าวปลายปีหรือต้นปีนี้ สะท้อนถึงกำไรรายได้ผลประกอบการธนาคารอย่างมีนัยยะชัดเจนทันที ข้อมูลบริษัทในตลาดหุ้นโชว์ผลประกอบการชัดเจนเป็นหลักฐานว่าเขียวเกือบทุกๆแบงค์ในกระดานก็ว่า,สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมอื่นอย่างมีนัยยะผิดปกติชัดเจน,และธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจริงๆต้องถูกสั่งการโดยรัฐบาลได้ควบคุมได้ทางตรงสั่งดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ให้เป็นไปทิศทางเดียวกันกับประชาชนของประเทศ เจริญก็เจริญด้วยกัน พังพินาศก็พังด้วยกัน,รัฐบาลสั่งคุ้มครองทางเงินควบคุมทางการเงินได้ทั้งประเทศ,กำหนดมูลค่าเงินและทิศทางการเงินได้จริง,จะมามุกอ้างบริหารงานอิสระตัดตอนมิให้รัฐบาลมาสร้างความเสียหายทางระบบเงินของประเทศไม่ได้ จะอ้างแบบนั้นไม่ได้ ส่วนรัฐบาลใดชั่วเลวนั่นอีกปัญหาหนึ่งคนละส่วนละประเด็นมิติของปัญหาใหญ่,เช่นรัฐบาลสามารถประกาศหยุดลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนได้,คงที่ที่1฿:25$ก็ได้หรือ1฿:35$เป็นอัตราคงที่ก็ได้,หรือกำหนดคงที่เทียบอัตราทองคำพื้นฐานได้ที่ไม่ปั่นราคาทองคำแบบปัจจุบัน,ไม่ต้องมาพยุงอัตราแลกเปลี่ยนใดๆอีก,ล็อกการปั่นราคาเก็งกำไรก็ได้ในสายตาพวกเล่นกำไรค่าเงินนั้นๆ1บาทล็อกเงินหยวนที่1หยวนก็ได้คือ1:1 , 1บาทต่อ1หยวนเลย,1บาทต่อ1เหรียญดอลล่าร์จะเป็นอะไรเพราะเหี้ยเงินกระดาษไร้ทองคำค้ำประกันเงินดอลล่าร์อะไรเลยแค่เครดิตชื่อว่าประเทศอเมริกานำหน้าเท่านั้น,เสือกพิมพ์ตัวเองเสรีเป็นว่าตามใจตนใช้ไม่ได้ ตังQEคือหลักฐานชัดเจน,จดอลล่าร์ไร้ค่าเป็นเศษกระดาษในปัจจุบัน ผีบ้าอะไรชาติอื่นถ้าเป็นแบบนี้ค่าเงินถูกลดค่าแล้ว เงินดอลล่าร์จริงๆสมควรถูกลดค่าลดเครดิตไปนานแล้ว อาจ1บาทต่อ0.0001ดอลล่าร์โน้น. ..ธนาคารกลางถือกำเนิดจากแนวคิดตระกูลอีลิทdeep stateซาตานฝ่ายมืดก็ด้วย เพื่อควบคุมประเทศต่างๆทั่วโลกผ่านระบบตัง,มิให้อำนาจปกครองในแต่ละประเทศมาทำให้เครือข่ายสำนักงานมันขัดจังหวะสั่งการได้เพื่อดำเนินนโยบายใดๆของพวกมันประสานงานกันอย่างราบรื่น,จึงห้ามอำนาจฝ่ายการเมืองการปกครองใดๆย่อมาไทยคือห้ามมาแทรกแซงสำนักงานdeep stateกูนะจะเสียกระบวนควบคุมมนุษย์ในแต่ละประเทศนั้นๆผ่านกลไกระบบตังกูที่ควบคุมครอบงำไว้,และหน้าที่ของทุกๆธนาคารทั่วโลกทำกำไรให้มากๆจากนั้นส่งส่วยส่งตังโอนมาให้สำนักงานdeep stateโลกสากลทันทีที่ต่างประเทศ,ยิ่งตอนนี้ตังขาดมือพวกมรึงธนาคารกลางและลูกน้องธนาคารทั้งหมดต้องทำยอดทำตังส่งตังมาให้กูมากๆมันว่า,กล่องดวงใจมันคือธนาคารกลางในไทยหรือธนาคารกลางทั่วโลกก็ว่า, ..เมื่อเรามีนายกฯดีๆเข้ามาจึงต้องเด็ดขาดทิังธนาคารกลางของdeep stateไป ตั้งธนาคารกลางของคนไทยจริงของภาคมหาประชาชนคนไทยจริงขึ้นมาแทนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนสัมมาอาชีพคนไทยทุกๆคนเป็นตัวเชื่อมเงินทุนจริง มิใช่เหี้ยมาออกรายการขอทานแบบนี้,เหยียบหยามประชาชนประชาชนคนไทยเราชัดเจน,และจริงๆคนไทยเราทุกๆคนร่ำรวยมาก มีปัจจัยซื้อหาวัตถุดิบสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยเราและชาวโลกได้สบาย รวมกลุ่มระดมทุนก็ได้อีก,เพราะเฉลี่ยคนไทยเราทุกๆคน มีมูลค่ากว่า400-1,000ล้านบาทต่อคนในบัญชีทางการเงินได้สบายๆเมื่อประเมินมูลค่าทรัพยากรมีค่ามากมายเต็มแผ่นดินไทย,ไม่นับรวมผลงานสร้างสรรคสร้างรายได้ต่อยอดนวัตกรรมและฝีมือด้านอื่นสาระพัดตรึมอีก,อาจรวมกันจริงๆขั้นต่ำกว่า2,000ล้านบาทต่อคนไทยสบายๆ, ..เราสามารถสร้างฮับเงินทุนสัมมาอาชีพเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเริ่มกิจการแต่ละคนของคนไทยเราทุกๆคนได้,ที่ไม่สร้างทำเพราะต้องการไม่ให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ต้องไปพึ่งพาพวกมัน ไปขอตังมาลงทุนกิจการจากพวกมันหรือยึดกิจการมรึงเสียเลยขาดตัวก็ว่า,แล้วเหยียบไว้แบบพลังงานเทสล่า พลังงานไฮโดรเจนใช้แค่พลังงานน้ำก็ขับขี่รถยนต์ไปมาได้ พลังงานแม่เหล็กที่บินขึ้นลงทางแนวดิ่งสบายและไร้ขีดจำกัด,ทั้งโลกสร้างพลังงานฟรีได้แต่มันปกปิดไว้ อยากทำขายให้คนเอาตังจึงเป็นที่มาของdeep stateในมุมมองที่ไปที่มาอีกแง่หนึ่งของมันก็ว่า,คนร่ำรวยเกือบทั้งหมดบนโลกล้วนขี้ข้าdeep stateเข้ารีตกับลัทธิตาเดียว ตังมากมายมันจะโอนมาเต็มบัญชีเลยล่ะ และต้องทำตามคำสั่งตลอดเวลาด้วย,ธนาคารกลางเราก็ไม่เว้น,มีธนาคารกลางตั้งนานทำไมประชาชนยังยากจนมากมาย บัตรคนจนเพิ่มขึ้น อยู่แต่ธนาคารเอกชนทำไมกำไรกันสบายดี,ร่ำรวยรายได้กันจริงๆ,แก๊งดูดตังมันไม่สามารถดูดตังประชาชนได้หรอกถ้าธนาคารไม่อำนวยสร้าง จะมีข้อมูลจนดูดตังได้โน้น,ดูดได้จริง,ก่อนโอนออกนอกประเทศธนาคารต้องตรวจสอบก่อนด้วยมีหลักฐานบัญชีปลายทางบัญชีต้นทางหมด ใครอยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นแบบใดดึงออกมาดูได้หมด,ตลอดสามารถระบุชัดเจนเงื่อนไขการมีบัญชีธนาคารก็ได้ ว่า1บัตรประชาชนคนไทย สามารถมีได้แค่1บัญชีธนาคารได้แค่นั้นมีแค่1เบอร์มือถือด้วย,จะตัดตอนเปิดบัญชีหลายบัญชีทันที,ตัดตอนเบอร์มิจฉาชีพด้วยสแกนตรวจจับพบตัวในไทยได้ง่าย ตัดตอนมีซิมหลายเบอร์นั้นเอง,ฟอกเงินก็ตรวจสอบง่าย ใครมีตังมากน้อยจะกลัวอะไร มี10ล้ายล้านบาทในบัญชีเดียวจะกลัวอะไร กลัวหนีภาษีไม่ได้ฟอกเงินสลับเปลี่ยนบัญชีไม่ได้,คือเริ่มต้นทำก็ไม่สุจริตซื่อสัตย์นั้นเอง,กสทช.ก็อัพเรเวลระบบเสีย ผูกระบบโชว์ชื่อนามสกุลคนโทรเข้าเครื่องปลายทางอัตโนมัติด้วยแม้เครื่องปลายทางไม่ได้บันทึกชื่อสกุลนั่นไว้ในเครื่องเข้า,ใครโทรมานะบบตรวจจับโชว์ชื่อสกุลทันที นี้อะไรแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาก็ไม่รู้ ใครโทรมาก็โชว์ผีบ้าแต่เบอร์แต่ตัวเลข,ซื้อซิมก็ใช้บัตรประชาชนชื่อนามสกุลจริงซื้อ,กสทช.ต้องอัพระบบใหม่หมด,มือถือต้องเปลี่ยนให้รองรับก็ต้องเปลี่ยน,แจกแลกฟรีก็ได้เพื่อมือถือเครื่องนั้นรันกับระบบได้ ทำโปรแกรมได้ดั่งที่ว่า,ใช้ซิมกดฉนวนระเบิดภาคใต้ก็จะจบไปซิมห่าเหวอะไรเลอะเทอะล้นตลาดหมด, ..จึงต้องมีธนาคารกลางของภาคประชาชนจริงๆมิใช่ของธนาคารเอกชน มิใช่ของdeep state, ..ธนาคารภาคประชาชนจะเป็นอนาคตที่สดใสทันทีแิดตั้งแต่ต้นก่ประชาชน,มิใช่สดใสแก่ธนาคารเอกชนนายทุนสมคบคิดกับธนาคารเอกชนนั้นๆมันก็ช่วยเหลือเจ้าสัวอาเสี่ยอาเหี้ยมันกันเองนั้นล่ะเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการก็แค่พบหมาตายเท่านั้นไร้ค่าไร้ความหมายราคาแก่พวกๆมัน,อ้างประชาชนรับใบอนุญาตประกอบการหาแดกแค่นั้นล่ะ,ประชาชนคือเหยื่อให้มัน,หนีัคือสิ่งที่มันมอบให้.จากนั้นความโกลาหลดิ้นรนบ้าคลั่งขาดสติจะตามมา,แล้วก็ไม่นาน สส.สว.ข้าราชการทั้งระบบมันจะซื้อด้วยเงินในระบบมันสิ้น,ขาดตังลงแดงขาดใจทันทีก็ว่า.ครอบครัวทั้งหมดพังพินาศทันทีเมื่อขาดตัง,สามีภรรยาทะเลาะกันสิ้น,ญาติพี่น้องทะเลาะกันก็เพราะมันคือตัง,ค่าใช้จ่ายสาระพัดต้องกำจัดปัญหาด้วยตังนั้นเอง,เด็กๆไปโรงเรียนต้องใช้ตัง,ค่ารักษายามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องใช้ตัง,นี้คือผลของการที่ให้มีธนาคารกลางของdeep stateในประเทศไทยเรา,แต่ไม่มีธนาคารกลางจริงๆของภาคประชาชนไทยตนเอง,เราปกครองจากการเขียนแม่พิมพ์จากการเขียนแบบแปลงที่ผิดพลาดตั้งแต่ต้น,จึงต้องฉีกทิ้งมันทั้งหมดทันที,แล้วทำการเขียนใหม่ให้เป็นคุณแก่ภาคประชาชนเราจริงๆ. ..https://youtube.com/watch?v=M2USTwH-07k&si=40fTL6CmVqQ2GYHm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วได้มีการคุยถึงเรื่องประเพณีงานแต่งงานจีนในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยยกตัวอย่างจากละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน>

    เพื่อนเพจบางคนอาจสังเกตเห็นว่าชุดแต่งงานของหมิงหลันเป็นสีเขียว และเพื่อนเพจที่เป็นแฟนละครจีนอาจเคยผ่านตาจากเรื่องอื่นๆ ที่ชุดเจ้าสาวเป็นสีอื่นนอกจากสีแดง (ดูรูปประกอบ)

    ต้องบอกว่าสีของชุดเจ้าสาวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยค่ะ

    แต่เดิมเลยชุดบ่าวสาวจีนเป็นสีดำโดยมีลวดลายสีแดงเพียงเล็กน้อย เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์โจว (ปี 1046-256 ก่อนคริสตกาล) เนื่องจากสมัยนั้นการแต่งงานไม่ได้เป็นงานครึกครื้น และมองว่าสีดำคือสีที่บริสุทธิ์และมีความหนักแน่นน่าเคารพ ในสมัยนั้นการจะย้อมผ้าให้ได้สีดำสนิทยากมาก เสื้อผ้าสีดำจึงถือว่าสูงส่งและมีไว้ใช้ในงานพิเศษเท่านั้น

    ต่อมาพอถึงราชวงศ์เหนือใต้ (ปีค.ศ. 420-589) แม้ว่ายังคงมีการใช้ชุดดำแซมแดงอยู่ แต่ได้มีการเริ่มใช้ชุดบ่าวสาวสีขาว โดยมีความหมายถึงความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นปรัชญาในการใช้ชีวิตที่นิยมในยุคนั้น แต่พอพ้นยุคสมัยนั้นก็กลับมาใช้สีดำแซมสีแดงกันต่อ

    สีของชุดเจ้าสาวเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ปีค.ศ. 618-907) เนื่องจากงานแต่งงานกลายเป็นงานรื่นเริง ชุดบ่าวสาวจึงมีสีสันสดใสขึ้น โดยเจ้าบ่าวใส่สีแดง และเจ้าสาวใส่ชุดสีเขียว ที่มาก็คือว่า ในสมัยนั้นข้าราชการจะสวมกางเกงสีแดง สีแดงจึงเป็นสีที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชายที่มีเกียรติ ในขณะเดียวกันสีเขียวเป็นสีที่ถูกนำมาใช้บรรยายความงามของสตรีด้วยวลีที่ว่า “อาภรณ์เขียวคิ้วดำ” (青衣黛眉) อีกทั้งยังเป็นสีที่สื่อถึงความมีฐานะและความสูงส่ง

    ยุคสมัยของราชวงศ์ซ่งสืบทอดประเพณีหลายอย่างมาจากราชวงศ์ถัง สีของชุดบ่าวสาวก็เช่นกัน เพียงแต่การแต่งกายของสตรีจะมิดชิดขึ้น โดยเจ้าสาวที่จะแต่งชุดสีเขียวได้นั้นต้องเป็นภรรยาเอกและเป็นเจ้าสาวในตระกูลที่สูงส่ง และเจ้าสาวอื่นทั่วไปจะใส่เป็นชุดสีแดงกัน

    จวบจนราชวงศ์หมิง ชุดเจ้าสาวจึงเป็นสีแดงทั้งหมด ในขณะที่สีของชุดเจ้าบ่าวแปรเปลี่ยนไป โดยอิงตามสีของชุดตำแหน่งราชการ โดยเจ้าบ่าวที่มียศสูงจะแต่งสีแดง ที่เป็นข้าราชการชั้นกลางจะแต่งสีฟ้า และที่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยหรือบุคคลธรรมดาจะแต่งสีเขียว

    เนื่องจาก <ตำนานหมิงหลัน> เป็นเรื่องราวในสมัยราชวงศ์ซ่ง หมิงหลันจึงสวมใส่ชุดเจ้าสาวสีเขียวค่ะ

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.hotpot.tv/news/yang-mis-top-5-costume-wedding-looks
    https://k.sina.com.cn/article_6599425410_1895b3d8200100e9bz.html
    https://dramapanda.com/2019/01/the-story-of-minglan-wedding-between.html
    https://dramapanda.com/2018/06/first-impressions-legend-of-yun-xi.html

    Credit ข้อมูลจาก:
    https://m.sohu.com/a/425269196_120634025/?pvid=000115_3w_a
    https://www.qlchat.com/hot/html/50832115.html
    https://zhidao.baidu.com/question/1639433090386155700.html

    #หมิงหลัน #ฝูเหยา #ประเพณีจีนโบราณ #ชุดเจ้าสาวจีน #StoryfromStory
    สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วได้มีการคุยถึงเรื่องประเพณีงานแต่งงานจีนในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยยกตัวอย่างจากละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจบางคนอาจสังเกตเห็นว่าชุดแต่งงานของหมิงหลันเป็นสีเขียว และเพื่อนเพจที่เป็นแฟนละครจีนอาจเคยผ่านตาจากเรื่องอื่นๆ ที่ชุดเจ้าสาวเป็นสีอื่นนอกจากสีแดง (ดูรูปประกอบ) ต้องบอกว่าสีของชุดเจ้าสาวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยค่ะ แต่เดิมเลยชุดบ่าวสาวจีนเป็นสีดำโดยมีลวดลายสีแดงเพียงเล็กน้อย เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์โจว (ปี 1046-256 ก่อนคริสตกาล) เนื่องจากสมัยนั้นการแต่งงานไม่ได้เป็นงานครึกครื้น และมองว่าสีดำคือสีที่บริสุทธิ์และมีความหนักแน่นน่าเคารพ ในสมัยนั้นการจะย้อมผ้าให้ได้สีดำสนิทยากมาก เสื้อผ้าสีดำจึงถือว่าสูงส่งและมีไว้ใช้ในงานพิเศษเท่านั้น ต่อมาพอถึงราชวงศ์เหนือใต้ (ปีค.ศ. 420-589) แม้ว่ายังคงมีการใช้ชุดดำแซมแดงอยู่ แต่ได้มีการเริ่มใช้ชุดบ่าวสาวสีขาว โดยมีความหมายถึงความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นปรัชญาในการใช้ชีวิตที่นิยมในยุคนั้น แต่พอพ้นยุคสมัยนั้นก็กลับมาใช้สีดำแซมสีแดงกันต่อ สีของชุดเจ้าสาวเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ปีค.ศ. 618-907) เนื่องจากงานแต่งงานกลายเป็นงานรื่นเริง ชุดบ่าวสาวจึงมีสีสันสดใสขึ้น โดยเจ้าบ่าวใส่สีแดง และเจ้าสาวใส่ชุดสีเขียว ที่มาก็คือว่า ในสมัยนั้นข้าราชการจะสวมกางเกงสีแดง สีแดงจึงเป็นสีที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชายที่มีเกียรติ ในขณะเดียวกันสีเขียวเป็นสีที่ถูกนำมาใช้บรรยายความงามของสตรีด้วยวลีที่ว่า “อาภรณ์เขียวคิ้วดำ” (青衣黛眉) อีกทั้งยังเป็นสีที่สื่อถึงความมีฐานะและความสูงส่ง ยุคสมัยของราชวงศ์ซ่งสืบทอดประเพณีหลายอย่างมาจากราชวงศ์ถัง สีของชุดบ่าวสาวก็เช่นกัน เพียงแต่การแต่งกายของสตรีจะมิดชิดขึ้น โดยเจ้าสาวที่จะแต่งชุดสีเขียวได้นั้นต้องเป็นภรรยาเอกและเป็นเจ้าสาวในตระกูลที่สูงส่ง และเจ้าสาวอื่นทั่วไปจะใส่เป็นชุดสีแดงกัน จวบจนราชวงศ์หมิง ชุดเจ้าสาวจึงเป็นสีแดงทั้งหมด ในขณะที่สีของชุดเจ้าบ่าวแปรเปลี่ยนไป โดยอิงตามสีของชุดตำแหน่งราชการ โดยเจ้าบ่าวที่มียศสูงจะแต่งสีแดง ที่เป็นข้าราชการชั้นกลางจะแต่งสีฟ้า และที่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยหรือบุคคลธรรมดาจะแต่งสีเขียว เนื่องจาก <ตำนานหมิงหลัน> เป็นเรื่องราวในสมัยราชวงศ์ซ่ง หมิงหลันจึงสวมใส่ชุดเจ้าสาวสีเขียวค่ะ Credit รูปภาพจาก: https://www.hotpot.tv/news/yang-mis-top-5-costume-wedding-looks https://k.sina.com.cn/article_6599425410_1895b3d8200100e9bz.html https://dramapanda.com/2019/01/the-story-of-minglan-wedding-between.html https://dramapanda.com/2018/06/first-impressions-legend-of-yun-xi.html Credit ข้อมูลจาก: https://m.sohu.com/a/425269196_120634025/?pvid=000115_3w_a https://www.qlchat.com/hot/html/50832115.html https://zhidao.baidu.com/question/1639433090386155700.html #หมิงหลัน #ฝูเหยา #ประเพณีจีนโบราณ #ชุดเจ้าสาวจีน #StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • หวานปานน้ำเชื่อมไปเลย สำหรับภาพและข้อความอวยพรวันเกิดสุดสวีตที่คุณสามี "แดน วรเวช ดานุวงศ์" มอบให้คุณภรรยา "แพทตี้ อังศุมาลิน" ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 34 ปี

    โดย "แดน วรเวช" ได้โพสต์คลิปภาพคู่ภรรยาลงอินสตาแกรมทั้งหอมแก้มสุดหวาน และนำพวงมาลัยมามองให้ พร้อมเขียนข้อความว่า "ตลอดไปของความรัก อาจยาวนานเป็นร้อยพันหมื่นล้านคืนวัน หรือจะสั้นแค่เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะรู้ รู้แค่จะรักเธอให้มากกว่ารักของเมื่อวาน.. ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะที่รัก @pattieung"

    งานนี้ทำเอาแฟนๆ เขินตัวบิดไปกับความรักหวานๆ ของทั้งคู่ พร้อมเข้ามากดไลก์และร่วมอวยพรวันเกิดสาวแพตตี้กันเป็นจำนวนมาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000066064

    #Thaitimes #MGROnline #แดนวรเวช #แพทตี้อังศุมาลิน
    หวานปานน้ำเชื่อมไปเลย สำหรับภาพและข้อความอวยพรวันเกิดสุดสวีตที่คุณสามี "แดน วรเวช ดานุวงศ์" มอบให้คุณภรรยา "แพทตี้ อังศุมาลิน" ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 34 ปี • โดย "แดน วรเวช" ได้โพสต์คลิปภาพคู่ภรรยาลงอินสตาแกรมทั้งหอมแก้มสุดหวาน และนำพวงมาลัยมามองให้ พร้อมเขียนข้อความว่า "ตลอดไปของความรัก อาจยาวนานเป็นร้อยพันหมื่นล้านคืนวัน หรือจะสั้นแค่เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะรู้ รู้แค่จะรักเธอให้มากกว่ารักของเมื่อวาน.. ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะที่รัก @pattieung" • งานนี้ทำเอาแฟนๆ เขินตัวบิดไปกับความรักหวานๆ ของทั้งคู่ พร้อมเข้ามากดไลก์และร่วมอวยพรวันเกิดสาวแพตตี้กันเป็นจำนวนมาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000066064 • #Thaitimes #MGROnline #แดนวรเวช #แพทตี้อังศุมาลิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราทุกคนเห็นแล้ว ว่า รมต. ที่มาจากโควต้า นั้น ประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตราฐาน กลาโหม เกษตร ศึกษาธิการ ไปรษณีย์ เป็นต้น
    มาช่วยกันฝัน และออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยดำรงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงแห่งชาติ

    ไม่ต้องมีพรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตยแบบไทย

    หมวดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง:
    ----------------------------------
    1) เป็นผู้มี หรือเคยมีประวัติการเสียภาษี หรือมียอดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม ปีละสามหมื่นบาทขึ้นไป
    2) มีอายุครบหรือเกิน 18 ปีบริบูรณ์
    3) เป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติอื่น


    หมวดผู้สมัคร สส. เลือกตั้ง:
    -----------------------------------------
    1) มีอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70ปีบริบูรณ์
    2) มีประวัติสร้างชื่อเสียง ระดับชาติ, ปราชญ์ชาวบ้าน, บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นหลักฐาน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5ปีภาษี หรือสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาที่ กพ. รับรอง
    3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้


    หมวดผู้สมัคร นายกฯ รมต. เลือกตั้ง:
    ------------------------------------------------------
    1) มีคุณสมบัติเหมือน ผู้สมัคร สส.
    2) เป็นตำแหน่งหน้าที่แยกสมัครต่างจาก ผู้สมัคร สส. โดยผู้สมัครเลือกตั้ง หน้าที่ นายกฯ หรือ รมต. จะต้องเลือกสมัครในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเท่านั้น
    3) ผู้สมัคร มีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10ข้อ ลงสื่อสารให้สามารถตรวจสอบ
    4) คะแนนมาจากทั่วประเทศ


    หมวด สว. ส่วนโควตา:
    1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปลัดกระทรวง, ตัวแทนศิลปินแห่งชาติทุกสาขา, อาจารย์ผู้มีผลงานวิจัยระดับชาติหรือระดับโลก, อดีตนักเรียนนักศึกษาที่เคยเข้าชิงแข่งขันทางการศึกษาระดับโลก เช่น แข่งขันคณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยมี เกมส์, อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ผ่านสนามเอเชี่ยนเกมส์ขึ้นไป หลายๆ ประเภท
    2) มีอายุไม่เกิน 76ปีบริบูรณ์
    3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้
    4) ไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ สส. นายกฯ หรือ รมต. เช่น เป็นคนในครอบครัว สามีภรรยา พ่อแม่ พี่น้องในสายเลือด, ไม่เป็นหุ้นส่วน


    ทุกผู้ที่ได้การคัดเลือก จะต้องมีความละอายชั่ว ศีลธรรม หากพบว่ากระทำผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทันทีไม่สามารถยืดเยื้อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

    ผู้ช่วย สส. รมต. จะมีได้ไม่เกินกี่คน รายชื่อผู้ช่วย ต้องประกาศ ให้สาธารณะตรวจสอบได้โดยสะดวก

    เราทุกคนเห็นแล้ว ว่า รมต. ที่มาจากโควต้า นั้น ประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตราฐาน กลาโหม เกษตร ศึกษาธิการ ไปรษณีย์ เป็นต้น มาช่วยกันฝัน และออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยดำรงไว้ซึ่งหมวดพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ต้องมีพรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตยแบบไทย หมวดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง: ---------------------------------- 1) เป็นผู้มี หรือเคยมีประวัติการเสียภาษี หรือมียอดรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม ปีละสามหมื่นบาทขึ้นไป 2) มีอายุครบหรือเกิน 18 ปีบริบูรณ์ 3) เป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติอื่น หมวดผู้สมัคร สส. เลือกตั้ง: ----------------------------------------- 1) มีอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70ปีบริบูรณ์ 2) มีประวัติสร้างชื่อเสียง ระดับชาติ, ปราชญ์ชาวบ้าน, บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นหลักฐาน ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5ปีภาษี หรือสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี จากสถาบันการศึกษาที่ กพ. รับรอง 3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้ หมวดผู้สมัคร นายกฯ รมต. เลือกตั้ง: ------------------------------------------------------ 1) มีคุณสมบัติเหมือน ผู้สมัคร สส. 2) เป็นตำแหน่งหน้าที่แยกสมัครต่างจาก ผู้สมัคร สส. โดยผู้สมัครเลือกตั้ง หน้าที่ นายกฯ หรือ รมต. จะต้องเลือกสมัครในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งเท่านั้น 3) ผู้สมัคร มีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 10ข้อ ลงสื่อสารให้สามารถตรวจสอบ 4) คะแนนมาจากทั่วประเทศ หมวด สว. ส่วนโควตา: 1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ปลัดกระทรวง, ตัวแทนศิลปินแห่งชาติทุกสาขา, อาจารย์ผู้มีผลงานวิจัยระดับชาติหรือระดับโลก, อดีตนักเรียนนักศึกษาที่เคยเข้าชิงแข่งขันทางการศึกษาระดับโลก เช่น แข่งขันคณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมี สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยมี เกมส์, อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยที่ผ่านสนามเอเชี่ยนเกมส์ขึ้นไป หลายๆ ประเภท 2) มีอายุไม่เกิน 76ปีบริบูรณ์ 3) เป็นผู้ไม่มีประวัติประพฤติผิดจริยธรรม ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะตัดสินหรือไม่ แต่วิญญูชนประจักษ์ได้ 4) ไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน กับ สส. นายกฯ หรือ รมต. เช่น เป็นคนในครอบครัว สามีภรรยา พ่อแม่ พี่น้องในสายเลือด, ไม่เป็นหุ้นส่วน ทุกผู้ที่ได้การคัดเลือก จะต้องมีความละอายชั่ว ศีลธรรม หากพบว่ากระทำผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทันทีไม่สามารถยืดเยื้อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ผู้ช่วย สส. รมต. จะมีได้ไม่เกินกี่คน รายชื่อผู้ช่วย ต้องประกาศ ให้สาธารณะตรวจสอบได้โดยสะดวก
    9 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษาว่าทุกข์โทษที่เกิดจากกาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 311
    ชื่อบทธรรม :- ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม
    --ภิกษุ ท. ! โทษของกามทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพศิลปะใด ๆ เช่น
    ศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ,
    ศิลปะแห่งการคำนวณ,
    ศิลปะแห่งการพยากรณ์,
    การทำกสิกรรม พาณิชยกรรม และโครักขกรรม,
    ศิลปะแห่งศัสตราวุธ,
    และการทำราชการ และศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ;
    เพราะการประกอบอาชีพนั้น ๆ เขาต้องเผชิญหน้าต่อความหนาว ความร้อน
    เผชิญหน้าด้วย เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสด้วยสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
    ซูบผอมอยู่ หิวระหายอยู่ เพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา.
    --ภิกษุ ท. ! นี้ เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายามอยู่อย่างนี้,
    โภคทรัพย์ ก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา,
    เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ ถึงความมืดมัวอยู่ ว่า
    “ความขยันของเรา เป็นหมันหนอ,
    ความพยายามของเราไร้ผลหนอ”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายาม อยู่อย่างนี้,
    โภคทรัพย์ ก็สำเร็จแก่เขาด้วย เขา ก็จะต้องเสวยทุกข์ โทมนัส
    เพราะการอารักขาโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ ด้วยหวังอยู่ ว่า
    “พระราชาจะไม่ริบทรัพย์เหล่านั้นไป,
    โจร จะไม่ปล้นทรัพย์เหล่านั้นไป,
    ไฟ จะไม่ไหม้ทรัพย์เหล่านั้น,
    น้ำ จะไม่ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้น ;
    ทายาทที่ไม่พอใจ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์เหล่านั้นไป”
    ดังนี้.
    เมื่อกุลบุตรนั้น ทำการอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้
    พระราชา ริบเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม,
    โจร ปล้นเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม,
    ไฟ ไหม้ทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม,
    น้ำ ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม,
    หรือทายาทที่ไม่พอใจ ยื้อแย่งเอาทรัพย์เหล่านั้นไปได้ก็ตาม,
    เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ถึงความมืดมัวรำพันอยู่ ว่า
    “ ทรัพย์ใดได้มีแล้วแก่เรา ทรัพย์นั้นไม่มีเสียแล้ว”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย
    เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    :พระราชา ย่อมวิวาทกับพระราชาบ้าง,
    กษัตริย์ย่อมวิวาทกับกษัตริย์บ้าง,
    พราหมณ์ย่อมวิวาทกับพราหมณ์บ้าง,
    คฤหบดีย่อมวิวาทกับคฤหบดีบ้าง,
    มารดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง,
    บุตรย่อมวิวาทกับมารดาบ้าง,
    บิดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง,
    บุตรย่อมวิวาทกับบิดาบ้าง,
    พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง,
    พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องหญิงบ้าง,
    พี่น้องหญิงย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง,
    สหายย่อมวิวาทกับสหายบ้าง ;
    คนเหล่านั้น ทำการทะเลาะ วิวาท บาดหมางกันแล้ว
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยมือบ้าง,
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยก้อนดินบ้าง,
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยท่อนไม้บ้าง,
    ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยศัสตราบ้าง, อยู่ในที่นั้นๆ.
    เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุ เพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร แบ่งกันเป็นสองกองทัพ
    พุ่งเข้าทำสงครามกัน.
    เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่,
    คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง,
    ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษ ของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร วิ่งขึ้นปีนเชิงเทิน (เพื่อปล้นเอาเมือง), เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่,
    คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง,
    ราดกันด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง.
    ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง,
    ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้นย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.
    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว

    : คนทั้งหลาย ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว
    คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น.
    พระราชา จับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้ลงกรรมกรณ์หลายวิธีด้วยกัน
    เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง, หวดด้วยเชือกหนังบ้าง, ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง, ตัดมือเสียบ้าง,
    ตัดเท้าเสียบ้าง, ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง, ตัดหูบ้าง, ตัดจมูกบ้าง, ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง,
    ยอมทำโทษโดยวิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม-๑ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ขอดสังข์๒ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ปากราหู-๓ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี มาลัยไฟ-๔ บ้าง.
    ย่อมทำโทษ โดยวิธี คบมือ-๕ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ริ้วส่าย-๖ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี นุ่งเปลือกไม้-๗ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ยืนกวาง-๘ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด-๙ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี เหรียญกษปณ์-๑๐ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ทาเกลือบ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี แปรงแสบ-๑๑ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี กางเกวียน-๑๒ บ้าง,
    ย่อมทำโทษโดยวิธี ตั่งฟาง๑๓ บ้าง,
    ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง,
    ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง-๑๔ บ้าง,
    ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง,
    ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง.
    เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย
    เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ
    เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว
    : คนทั้งหลาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ.
    ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว,
    เขาเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย
    เพราะการแตกสลายแห่งกาย.
    --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย
    เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองมีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ
    +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว,.
    ดังนี้แล.-

    ! --
    ©หมายเหตุ ตามนัยอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต.
    -๑. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้น เหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.-
    -๒. ขอดสังข์ คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุ ยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกระโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.-
    -๓. ปากราหู คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.-
    -๔. มาลัยไฟ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ-
    -๕. คบมือ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั่วสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.-
    -๖. ริ้วส่าย คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวล้มลุกคลุกคลานไปกว่าจะตาย-
    -๗. นุ่งเปลือกไม้ คือเชือดหนังเป็นริ้ว ๆ อย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้-
    -๘. ยืนกวาง คือใช้ห่วงเหล็กรัดศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนไปกว่าจะตาย.-
    -๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.-
    -๑๐. เหรียญกษาปณ์ คือใช้มีดคมเชือดเนื้อออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.-
    -๑๑. แปรงแสบ คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้หนังเนื้อเอ็น ขาดหลุดออกมาหมด เหลือแต่กระดูก.-
    -๑๒. กางเกวียน คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองยกเดินเวียน.-
    -๑๓. ตั่งฟาง คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนดั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.-
    -๑๔. ให้สุนัขทึ้ง คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก.
    ---!

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/116/198.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/116/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๖๙/๑๙๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/169/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21&id=311
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21
    ลำดับสาธยายธรรม : 21 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_21.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษาว่าทุกข์โทษที่เกิดจากกาม สัทธรรมลำดับที่ : 311 ชื่อบทธรรม :- ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311 เนื้อความทั้งหมด :- --ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม --ภิกษุ ท. ! โทษของกามทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพศิลปะใด ๆ เช่น ศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ, ศิลปะแห่งการคำนวณ, ศิลปะแห่งการพยากรณ์, การทำกสิกรรม พาณิชยกรรม และโครักขกรรม, ศิลปะแห่งศัสตราวุธ, และการทำราชการ และศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ; เพราะการประกอบอาชีพนั้น ๆ เขาต้องเผชิญหน้าต่อความหนาว ความร้อน เผชิญหน้าด้วย เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสด้วยสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ซูบผอมอยู่ หิวระหายอยู่ เพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. --ภิกษุ ท. ! นี้ เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายามอยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ ถึงความมืดมัวอยู่ ว่า “ความขยันของเรา เป็นหมันหนอ, ความพยายามของเราไร้ผลหนอ” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายาม อยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็สำเร็จแก่เขาด้วย เขา ก็จะต้องเสวยทุกข์ โทมนัส เพราะการอารักขาโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ ด้วยหวังอยู่ ว่า “พระราชาจะไม่ริบทรัพย์เหล่านั้นไป, โจร จะไม่ปล้นทรัพย์เหล่านั้นไป, ไฟ จะไม่ไหม้ทรัพย์เหล่านั้น, น้ำ จะไม่ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้น ; ทายาทที่ไม่พอใจ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์เหล่านั้นไป” ดังนี้. เมื่อกุลบุตรนั้น ทำการอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชา ริบเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, โจร ปล้นเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, ไฟ ไหม้ทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, น้ำ ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, หรือทายาทที่ไม่พอใจ ยื้อแย่งเอาทรัพย์เหล่านั้นไปได้ก็ตาม, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ถึงความมืดมัวรำพันอยู่ ว่า “ ทรัพย์ใดได้มีแล้วแก่เรา ทรัพย์นั้นไม่มีเสียแล้ว” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว :พระราชา ย่อมวิวาทกับพระราชาบ้าง, กษัตริย์ย่อมวิวาทกับกษัตริย์บ้าง, พราหมณ์ย่อมวิวาทกับพราหมณ์บ้าง, คฤหบดีย่อมวิวาทกับคฤหบดีบ้าง, มารดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง, บุตรย่อมวิวาทกับมารดาบ้าง, บิดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง, บุตรย่อมวิวาทกับบิดาบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องหญิงบ้าง, พี่น้องหญิงย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, สหายย่อมวิวาทกับสหายบ้าง ; คนเหล่านั้น ทำการทะเลาะ วิวาท บาดหมางกันแล้ว ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยมือบ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยก้อนดินบ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยท่อนไม้บ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยศัสตราบ้าง, อยู่ในที่นั้นๆ. เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุ เพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร แบ่งกันเป็นสองกองทัพ พุ่งเข้าทำสงครามกัน. เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษ ของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร วิ่งขึ้นปีนเชิงเทิน (เพื่อปล้นเอาเมือง), เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ราดกันด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง. ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้นย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. พระราชา จับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้ลงกรรมกรณ์หลายวิธีด้วยกัน เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง, หวดด้วยเชือกหนังบ้าง, ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง, ตัดมือเสียบ้าง, ตัดเท้าเสียบ้าง, ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง, ตัดหูบ้าง, ตัดจมูกบ้าง, ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง, ยอมทำโทษโดยวิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม-๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ขอดสังข์๒ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ปากราหู-๓ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี มาลัยไฟ-๔ บ้าง. ย่อมทำโทษ โดยวิธี คบมือ-๕ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ริ้วส่าย-๖ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี นุ่งเปลือกไม้-๗ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ยืนกวาง-๘ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด-๙ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี เหรียญกษปณ์-๑๐ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ทาเกลือบ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี แปรงแสบ-๑๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี กางเกวียน-๑๒ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ตั่งฟาง๑๓ บ้าง, ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง, ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง-๑๔ บ้าง, ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง, ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง. เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ. ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, เขาเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย. --ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองมีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ +--เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว,. ดังนี้แล.- ! -- ©หมายเหตุ ตามนัยอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต. -๑. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้น เหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.- -๒. ขอดสังข์ คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุ ยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกระโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.- -๓. ปากราหู คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.- -๔. มาลัยไฟ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ- -๕. คบมือ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั่วสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.- -๖. ริ้วส่าย คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวล้มลุกคลุกคลานไปกว่าจะตาย- -๗. นุ่งเปลือกไม้ คือเชือดหนังเป็นริ้ว ๆ อย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้- -๘. ยืนกวาง คือใช้ห่วงเหล็กรัดศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนไปกว่าจะตาย.- -๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.- -๑๐. เหรียญกษาปณ์ คือใช้มีดคมเชือดเนื้อออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.- -๑๑. แปรงแสบ คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้หนังเนื้อเอ็น ขาดหลุดออกมาหมด เหลือแต่กระดูก.- -๑๒. กางเกวียน คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองยกเดินเวียน.- -๑๓. ตั่งฟาง คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนดั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.- -๑๔. ให้สุนัขทึ้ง คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก. ---! #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/116/198. http://etipitaka.com/read/thai/12/116/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๖๙/๑๙๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/169/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=311 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21&id=311 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21 ลำดับสาธยายธรรม : 21 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_21.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (เรื่องนี้ควรจะอยู่ในหมวดนิโรธ แต่นำมาใส่ไว้ต่อท้ายเรื่องนี้ซึ่งเป็นหมวดสมุทัยก็เพื่อความสะดวกแก่การศึกษา คือศึกษาพร้อมกัน อันจะเป็นการง่าย ได้ผลดีกว่าที่จะแยกกัน.
    -(เรื่องนี้ควรจะอยู่ในหมวดนิโรธ แต่นำมาใส่ไว้ต่อท้ายเรื่องนี้ซึ่งเป็นหมวดสมุทัยก็เพื่อความสะดวกแก่การศึกษา คือศึกษาพร้อมกัน อันจะเป็นการง่าย ได้ผลดีกว่าที่จะแยกกัน. แต่ยังมีลักษณะแห่งจิตของผู้ที่เรียกว่าอยู่คนเดียวที่ลึกซึ้งกว่า ประณีตกว่าเรื่องนี้ในหมวดนิโรธ หรือภาค ๓ ขอให้ดูจากที่นั้น ที่หน้า ๖๙๕ โดยหัวข้อว่า “ผู้อยู่คนเดียวคือผู้ไม่ข้องติดอยู่ในธรรมทั้งปวง”). ทุกข์โทษที่เกิดจากกาม ภิกษุ ท. ! โทษของกามทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพศิลปะใด ๆ เช่นศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ, ศิลปะแห่งการคำนวณ, ศิลปะแห่งการพยากรณ์, การทำกสิกรรม พาณิชยกรรม และโครักขกรรม, ศิลปะแห่งศัสตราวุธ, และการทำราชการ และศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ; เพราะการประกอบอาชีพนั้น ๆ เขาต้องเผชิญหน้าต่อความหนาว ความร้อน เผชิญหน้าด้วย เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสด้วยสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ซูบผอมอยู่ หิวระหายอยู่ เพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. ภิกษุ ท. ! นี้ เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายามอยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ ถึงความมืดมัวอยู่ ว่า “ความขยันของเรา เป็นหมันหนอ, ความพยายามของเราไร้ผลหนอ” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! เมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียร ขวนขวาย พยายาม อยู่อย่างนี้, โภคทรัพย์ ก็สำเร็จแก่เขาด้วย เขา ก็จะต้องเสวยทุกข์ โทมนัสเพราะการอารักขาโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ ด้วยหวังอยู่ ว่า “พระราชาจะไม่ริบทรัพย์เหล่านั้นไป, โจร จะไม่ปล้นทรัพย์เหล่านั้นไป, ไฟ จะไม่ไหม้ทรัพย์เหล่านั้น, น้ำ จะไม่ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้น ; ทายาทที่ไม่พอใจ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์เหล่านั้นไป” ดังนี้. เมื่อกุลบุตรนั้น ทำการอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชา ริบเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, โจร ปล้นเอาทรัพย์เหล่านั้นไปเสียก็ตาม, ไฟ ไหม้ทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, น้ำ ท่วมทำลายทรัพย์เหล่านั้นเสียก็ตาม, หรือทายาทที่ไม่พอใจ ยื้อแย่งเอาทรัพย์เหล่านั้นไปได้ก็ตาม, เขา ย่อมโศกเศร้า ระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ถึงความมืดมัวรำพันอยู่ ว่า “ ทรัพย์ใดได้มีแล้วแก่เรา ทรัพย์นั้นไม่มีเสียแล้ว” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : พระราชา ย่อมวิวาทกับพระราชาบ้าง, กษัตริย์ย่อมวิวาทกับกษัตริย์บ้าง, พราหมณ์ย่อมวิวาทกับพราหมณ์บ้าง, คฤหบดีย่อมวิวาทกับคฤหบดีบ้าง, มารดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง, บุตรย่อมวิวาทกับมารดาบ้าง, บิดาย่อมวิวาทกับบุตรบ้าง. บุตรย่อมวิวาทกับบิดาบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, พี่น้องชายย่อมวิวาทกับพี่น้องหญิงบ้าง, พี่น้องหญิงย่อมวิวาทกับพี่น้องชายบ้าง, สหายย่อมวิวาทกับสหายบ้าง ; คนเหล่านั้น ทำการทะเลาะ วิวาท บาดหมางกันแล้ว ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยมือบ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยก้อนดินบ้าง ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยท่อนไม้บ้าง, ย่อมต่อสู้กันและกันด้วยศัสตราบ้าง, อยู่ในที่นั้นๆ. เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุ เพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร แบ่งกันเป็นสองกองทัพ พุ่งเข้าทำสงครามกัน. เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษ ของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ถือดาบและโล่ ผูกสอดธนูและแล่งศร วิ่งขึ้นปีนเชิงเทิน (เพื่อปล้นเอาเมือง), เมื่อลูกศรถูกปล่อยไป, เมื่อหอกถูกซัดไป, เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งอยู่, คนเหล่านั้น ยิงกันด้วยลูกศรบ้าง, แทงกันด้วยหอกบ้าง, ราดกันด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง. ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง, ตัดศีรษะกันด้วยดาบบ้าง, ในสงครามนั้น ๆ, เขาเหล่านั้นย่อมถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. พระราชา จับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้ลงกรรมกรณ์หลายวิธีด้วยกัน เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง, หวดด้วยเชือกหนังบ้าง, ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง, ตัดมือเสียบ้าง, ตัดเท้าเสียบ้าง, ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง, ตัดหูบ้าง, ตัดจมูกบ้าง, ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง, ยอมทำโทษโดยวิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ขอดสังข์๒ บ้าง. ย่อมทำโทษ ๑. หม้อเคี่ยวน้ำส้ม คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้น เหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ. ๒. ขอดสังข์ คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุ ยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกระโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์. โดยวิธี ปากราหู๓ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี มาลัยไฟ๔ บ้าง. ย่อมทำโทษ โดยวิธีคบมือ๕ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ริ้วส่าย๖ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี นุ่งเปลือกไม้๗ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ยืนกวาง๘ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธีเกี่ยวเหยื่อเบ็ด๙ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี เหรียญกษปณ์๑๐ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ทาเกลือบ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี แปรงแสบ๑๑ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี กางเกวียน๑๒ บ้าง, ย่อมทำโทษโดยวิธี ตั่งฟาง๑๓ บ้าง, ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง, ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง๑๔ บ้าง, ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง, ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง. เขาเหล่านั้น ย่อม ๓. ปากราหู คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู. ๔. มาลัยไฟ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ ๕. คบมือ คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั่วสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ. ๖. ริ้วส่าย คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบริ้วหนังของตัวล้มลุกคลุกคลานไปกว่าจะตาย ๗. นุ่งเปลือกไม้ คือเชือดหนังเป็นริ้ว ๆ อย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้ ๘. ยืนกวาง คือใช้ห่วงเหล็กรัดศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนไปกว่าจะตาย. ๙. เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด. ๑๐. เหรียญกษาปณ์ คือใช้มีดคมเชือดเนื้อออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย. ๑๑. แปรงแสบ คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้หนังเนื้อเอ็น ขาดหลุดออกมาหมด เหลือแต่กระดูก. ๑๒. างเกวียน คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองยกเดินเวียน. ๑๓. ตั่งฟาง คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนดั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า. ๑๔. ให้สุนัขทึ้ง คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก, -นัยอรรถกถา และพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต. ถึงซึ่งความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เอง มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : เพราะกามเป็นเหตุ เพราะกามเป็นเครื่องก่อ เพราะกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว : คนทั้งหลาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ. ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, เขาเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย. ภิกษุ ท. ! แม้นี้ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองมีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นเครื่องก่อ มีกามเป็นเครื่องให้กระทำ เป็นเหตุเพราะกามนั่นเทียว, ดังนี้แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
    สัทธรรมลำดับที่ : 1046
    ชื่อบทธรรม :- การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม นี้
    แสดงวาทะอันเป็นลัทธิแห่งตน
    กล่าวบริภาษข่มขี่ครอบงำย่ำยีวาทะอันเป็นลัทธิอันเป็นของ สมณพราหมณ์เหล่าอื่น
    แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นมาอีก ก็ยกย่องลัทธิของตน ข่มขี่ลัทธิ
    ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเช่นเดียวกันอีก.
    พวกข้าพระองค์มีความข้องใจ มีความสงสัย ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น
    พวกไหนพูดจริง พวกไหนพูดเท็จ พระเจ้าข้า !”
    --กาลามเอ๋ย ! ควรแล้วที่ท่านจะข้องใจ ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย,
    ความสงสัยของท่านเกิดแล้ว ในฐานะที่ควรข้องใจ.

    (ก. ฝ่ายอกุศล)
    --กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
    ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
    ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
    ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
    ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
    ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ;
    ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ;
    ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
    ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
    ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
    ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
    --กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
    “ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล,
    ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,
    ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
    ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
    เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล,”
    ดังนี้แล้ว;
    เมื่อนั้น ท่านพึงละธรรมเหล่านั้นเสีย.
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
    : ความโลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
    “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
    บุคคลนั้นโลภแล้ว ความโลภครอบงำแล้ว ความโลภกลุ้มรุมจิตแล้ว
    ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง
    ย่อมลักทรัพย์บ้าง
    ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง
    พูดเท็จบ้าง
    ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
    ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
    : โทสะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
    “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
    บุคคลนั้นมีโทสะแล้ว โทสะครอบงำแล้ว โทสะกลุ้มรุมจิตแล้ว
    ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง
    ย่อมลักทรัพย์บ้าง
    ย่อมล่วงเกินบุตร,ภรรยาผู้อื่นบ้าง
    พูดเท็จบ้าง
    ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
    ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
    : โมหะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
    “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
    บุคคลนั้นมีโมหะแล้ว โมหะครอบงำแล้ว โมหะกลุ้มรุมจิตแล้ว
    ย่อมฆ่าสัตย์บ้าง
    ย่อมลักทรัพย์บ้าง
    ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง
    พูดเท็จบ้าง
    ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
    ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
    : ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ?
    “เป็นอกุศล พระเจ้าข้า !”
    --มีโทษหรือไม่มีโทษ ?
    “มีโทษ พระเจ้าข้า !”
    วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ?
    “วิญญูชนติเตียน พระเจ้าข้า !”
    เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐาน ของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์
    ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ?
    หรือว่าในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ?
    “เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์
    ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องนี้พวกข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า !”

    --กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น)
    จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า
    “กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
    ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
    ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
    ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
    ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
    ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ;
    ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ;
    ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ(อาการปริวิตกฺก) ;
    ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
    ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
    ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน(สมโณโน ครุ).
    --กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
    “ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล,
    ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,
    ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
    ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
    เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล” ดังนี้แล้ว ;
    เมื่อนั้น ท่านถึงละธรรมเหล่านั้นเสีย”
    ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น.

    ( ข. ฝ่ายกุศล)
    --กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
    ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
    ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
    ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
    ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
    ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ;
    ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ;
    ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
    ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
    ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
    ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
    --กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
    “ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,
    ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ,
    ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ,
    ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
    เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว;
    เมื่อนั้น ท่าน พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด.
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
    : ความไม่โลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
    “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
    บุคคลนั้นไม่โลภแล้ว ความโลภไม่ครอบงำแล้ว ความโลภไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
    เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
    ไม่ลักทรัพย์
    ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
    ไม่พูดเท็จ
    ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
    ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
    : อโทสะ เกิดขึ้น ในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
    “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
    บุคคลนั้นไม่มีโทสะแล้ว โทสะไม่ครอบงำแล้ว โทสะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
    เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
    ไม่ลักทรัพย์
    ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
    ไม่พูดเท็จ
    ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
    ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
    : อโมหะ เกิดขึ้น ในบุคคแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
    “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
    บุคคลนั้นไม่มีโมหะแล้ว โมหะไม่ครอบงำแล้ว โมหะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
    เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
    ไม่ลักทรัพย์
    ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
    ไม่พูดเท็จ
    ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
    ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ?
    “เป็นกุศล พระเจ้าข้า !”
    มี โทษหรือไม่มีโทษ ?
    “ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า !”
    วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ?
    “วิญญูชนสรรเสริญ พระเจ้าข้า !”
    เมื่อประพฤติกระทำเต็มตาม มาตรฐานของมันแล้ว
    เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ?
    หรือว่า ในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ?
    “เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามาตรฐานของมันแล้ว
    เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล
    ในเรื่องพวกนี้ข้าพระองค์มีความเห็น อย่างนี้ พระเจ้าข้า !”
    --กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น)
    จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า
    “กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
    ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
    ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
    ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
    ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
    ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ;
    ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ;
    ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
    ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
    ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
    ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
    --กาลาม ท. ! เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
    ‘ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,
    ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ,
    ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญธรรมเหล่านี้
    กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
    เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล’
    ดังนี้แล้ว ;
    เมื่อนั้น ท่านพึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด”
    ดังนี้
    ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น.
    ----
    --กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น
    ปราศจากอภิชฌาอย่างนี้ ปราศจากพยาบาทอย่างนี้
    ไม่มีโมหะ มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า

    +--มีจิตสหรคตด้วย เมตตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
    และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
    เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้อต่ำและเบื้องขวาง
    ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา
    เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
    ประกอบด้วย คุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่;

    +--มีจิตสหรคตด้วย กรุณา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
    และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
    เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้อบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
    ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยกรุณา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
    ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่;

    +--มีจิตสหรคตด้วย มุทิตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
    และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
    เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
    ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยมุทิตา
    เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
    ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวง ไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่ ;

    +--มีจิตสหรคตด้วย อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
    และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
    เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
    ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา
    เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
    ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่.

    --กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น
    มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้
    มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว
    ความเบาใจ ๔ ประการ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว ว่า
    “๑. ถ้าปรโลก มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี.
    ฐานะที่จะมีได้ก็คือ
    เราจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตาย
    เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะเหตุนั้น
    ดังนี้
    : นี้เป็นความเบาใจประการที่หนึ่ง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
    ๒. ถ้าปรโลก ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี,
    เรา ที่นี่ในทิฏฐธรรมนี้แหละ
    ก็บริหารตนอยู่เป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีทุกข์
    ดังนี้
    : นี้เป็นความเบาใจประการที่สอง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
    ๓. ถ้าบาปเป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ,
    ส่วนเราไม่ได้คิดจะทำบาปไรๆ
    ทุกข์จักถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปอยู่ แต่ที่ไหน
    ดังนี้
    : นี้เป็นความเบาใจประการที่สาม ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
    ๔. ถ้าบาปไม่เป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ อยู่แล้วไซร้,
    ที่นี่ เราก็มองเห็นตนว่าบริสุทธิ์หมดจดอยู่ โดยโลกทั้งสอง
    ดังนี้
    : นี้เป็นความเบาใจประการที่สี่ ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.

    --กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
    มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว
    ความเบาใจ ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว.
    http://etipitaka.com/read/pali/20/248/?keywords=อริยสาวโก
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น.
    ข้าแต่พระสุคต ! ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น.
    ”(ชาวกาลามเหล่านั้น
    รับสนองพระพุทธดำรัสกล่าวย้ำข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยตน เอง,
    แล้วทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสก).-

    (ผู้ศึกษาอาจจะสังเกตเห็นได้เองว่า
    การศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยสัจสี่ประการนั้น
    จะไม่เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกาลามสูตรทั้งสิบประการแต่อย่างใด
    เพราะมีเหตุผลที่แสดงชัดอยู่ในตัวเองว่า
    ทุกข์เป็นอย่างไร
    เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร
    ความดับทุกข์เป็นอย่างไร
    มรรคอาจจะดับทุกข์ได้แท้จริงอย่างไร
    โดยไม่ต้อเชื่อคำบอกตามๆ กันมา ไม่ต้องดูการประพฤติตามๆ กันมา
    หรือเชื่อตามคำเล่าลือ หรืออ้างว่ามีอยู่ในตำรา หรือใช้เหตุผลตามทางตรรก
    หรือตามทางนัยะคือปรัชญา หรือตรึกตามสามัญสำนึก
    หรือเพราะเข้ากันได้กับเหตุผลของตน หรือผู้พูดอยู่ในฐานะน่าเชื่อ
    หรือผู้พูดเป็นครูของตน ซึ่งพระองค์เองก็ได้ตรัสย้ำในข้อนี้อยู่เสมอ.
    เป็นอัน กล่าวได้ว่า
    ความรู้และการปฏิบัติในอริยสัจทั้งสี่นี้
    ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องงมงาย หรือสีลัพพัตตปรามาส
    อันขัดต่อหลักกาลามสูตร แต่อย่างใด).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. 20/179-187/505.
    http://etipitaka.com/read/thai/20/179/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. ๒๐/๒๔๑-๒๔๘/๕๐๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/20/241/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91&id=1046
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91
    ลำดับสาธยายธรรม : 91 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_91.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร สัทธรรมลำดับที่ : 1046 ชื่อบทธรรม :- การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046 เนื้อความทั้งหมด :- --การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม นี้ แสดงวาทะอันเป็นลัทธิแห่งตน กล่าวบริภาษข่มขี่ครอบงำย่ำยีวาทะอันเป็นลัทธิอันเป็นของ สมณพราหมณ์เหล่าอื่น แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นมาอีก ก็ยกย่องลัทธิของตน ข่มขี่ลัทธิ ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเช่นเดียวกันอีก. พวกข้าพระองค์มีความข้องใจ มีความสงสัย ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกไหนพูดจริง พวกไหนพูดเท็จ พระเจ้าข้า !” --กาลามเอ๋ย ! ควรแล้วที่ท่านจะข้องใจ ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย, ความสงสัยของท่านเกิดแล้ว ในฐานะที่ควรข้องใจ. (ก. ฝ่ายอกุศล) --กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :- ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ; ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ; ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ; ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ). --กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า “ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล, ธรรมเหล่านี้ มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน, ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว; เมื่อนั้น ท่านพึงละธรรมเหล่านั้นเสีย. --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร? : ความโลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นโลภแล้ว ความโลภครอบงำแล้ว ความโลภกลุ้มรุมจิตแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร? : โทสะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นมีโทสะแล้ว โทสะครอบงำแล้ว โทสะกลุ้มรุมจิตแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมล่วงเกินบุตร,ภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร? : โมหะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นมีโมหะแล้ว โมหะครอบงำแล้ว โมหะกลุ้มรุมจิตแล้ว ย่อมฆ่าสัตย์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร? : ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ? “เป็นอกุศล พระเจ้าข้า !” --มีโทษหรือไม่มีโทษ ? “มีโทษ พระเจ้าข้า !” วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ? “วิญญูชนติเตียน พระเจ้าข้า !” เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐาน ของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ? หรือว่าในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ? “เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องนี้พวกข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น) จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า “กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :- ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ; ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ; ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ(อาการปริวิตกฺก) ; ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน(สมโณโน ครุ). --กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า “ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล, ธรรมเหล่านี้ มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน, ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล” ดังนี้แล้ว ; เมื่อนั้น ท่านถึงละธรรมเหล่านั้นเสีย” ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น. ( ข. ฝ่ายกุศล) --กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :- ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ; ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ; ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ; ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ). --กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า “ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล, ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ, ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว; เมื่อนั้น ท่าน พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด. --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร? : ความไม่โลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นไม่โลภแล้ว ความโลภไม่ครอบงำแล้ว ความโลภไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? : อโทสะ เกิดขึ้น ในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นไม่มีโทสะแล้ว โทสะไม่ครอบงำแล้ว โทสะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ? : อโมหะ เกิดขึ้น ในบุคคแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นไม่มีโมหะแล้ว โมหะไม่ครอบงำแล้ว โมหะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ? “เป็นกุศล พระเจ้าข้า !” มี โทษหรือไม่มีโทษ ? “ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า !” วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ? “วิญญูชนสรรเสริญ พระเจ้าข้า !” เมื่อประพฤติกระทำเต็มตาม มาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ? หรือว่า ในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ? “เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องพวกนี้ข้าพระองค์มีความเห็น อย่างนี้ พระเจ้าข้า !” --กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น) จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า “กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :- ๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; ๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; ๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; ๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; ๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ; ๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ; ๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ; ๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; ๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; ๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ). --กาลาม ท. ! เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ‘ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล, ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล’ ดังนี้แล้ว ; เมื่อนั้น ท่านพึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น. ---- --กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น ปราศจากอภิชฌาอย่างนี้ ปราศจากพยาบาทอย่างนี้ ไม่มีโมหะ มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า +--มีจิตสหรคตด้วย เมตตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้อต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วย คุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่; +--มีจิตสหรคตด้วย กรุณา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้อบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยกรุณา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่; +--มีจิตสหรคตด้วย มุทิตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยมุทิตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวง ไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่ ; +--มีจิตสหรคตด้วย อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่. --กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว ความเบาใจ ๔ ประการ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว ว่า “๑. ถ้าปรโลก มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี. ฐานะที่จะมีได้ก็คือ เราจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตาย เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะเหตุนั้น ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่หนึ่ง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. ๒. ถ้าปรโลก ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี, เรา ที่นี่ในทิฏฐธรรมนี้แหละ ก็บริหารตนอยู่เป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีทุกข์ ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่สอง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. ๓. ถ้าบาปเป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ, ส่วนเราไม่ได้คิดจะทำบาปไรๆ ทุกข์จักถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปอยู่ แต่ที่ไหน ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่สาม ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. ๔. ถ้าบาปไม่เป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ อยู่แล้วไซร้, ที่นี่ เราก็มองเห็นตนว่าบริสุทธิ์หมดจดอยู่ โดยโลกทั้งสอง ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่สี่ ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. --กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว ความเบาใจ ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว. http://etipitaka.com/read/pali/20/248/?keywords=อริยสาวโก “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น. ข้าแต่พระสุคต ! ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น. ”(ชาวกาลามเหล่านั้น รับสนองพระพุทธดำรัสกล่าวย้ำข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยตน เอง, แล้วทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสก).- (ผู้ศึกษาอาจจะสังเกตเห็นได้เองว่า การศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยสัจสี่ประการนั้น จะไม่เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกาลามสูตรทั้งสิบประการแต่อย่างใด เพราะมีเหตุผลที่แสดงชัดอยู่ในตัวเองว่า ทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับทุกข์เป็นอย่างไร มรรคอาจจะดับทุกข์ได้แท้จริงอย่างไร โดยไม่ต้อเชื่อคำบอกตามๆ กันมา ไม่ต้องดูการประพฤติตามๆ กันมา หรือเชื่อตามคำเล่าลือ หรืออ้างว่ามีอยู่ในตำรา หรือใช้เหตุผลตามทางตรรก หรือตามทางนัยะคือปรัชญา หรือตรึกตามสามัญสำนึก หรือเพราะเข้ากันได้กับเหตุผลของตน หรือผู้พูดอยู่ในฐานะน่าเชื่อ หรือผู้พูดเป็นครูของตน ซึ่งพระองค์เองก็ได้ตรัสย้ำในข้อนี้อยู่เสมอ. เป็นอัน กล่าวได้ว่า ความรู้และการปฏิบัติในอริยสัจทั้งสี่นี้ ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องงมงาย หรือสีลัพพัตตปรามาส อันขัดต่อหลักกาลามสูตร แต่อย่างใด). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. 20/179-187/505. http://etipitaka.com/read/thai/20/179/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. ๒๐/๒๔๑-๒๔๘/๕๐๕. http://etipitaka.com/read/pali/20/241/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91&id=1046 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91 ลำดับสาธยายธรรม : 91 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_91.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
    -การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคมนี้ แสดงวาทะอันเป็นลัทธิแห่งตน กล่าวบริภาษข่มขี่ครอบงำย่ำยีวาทะอันเป็นลัทธิอันเป็นของ สมณพราหมณ์เหล่าอื่น แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นมาอีก ก็ยกย่องลัทธิของตน ข่มขี่ลัทธิ ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเช่นเดียวกันอีก. พวกข้าพระองค์มีความข้องใจ มีความสงสัย ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกไหนพูดจริง พวกไหนพูดเท็จ พระเจ้าข้า !” กาลามเอ๋ย ! ควรแล้วที่ท่านจะข้องใจ ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย, ความสงสัยของท่านเกิดแล้ว ในฐานะที่ควรข้องใจ. (ก. ฝ่ายอกุศล) กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย : อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ากระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าเล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ามีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าสมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ). กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า “ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล, ธรรมเหล่านี้ มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน, ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว; เมื่อนั้น ท่าน พึงละธรรมเหล่านั้นเสีย. กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ความโลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นโลภแล้ว ความโลภครอบงำแล้ว ความโลภกลุ้มรุมจิตแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมล่วงเกินภรรยา ผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : โทสะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นมีโทสะแล้ว โทสะครอบงำแล้ว โทสะกลุ้มรุมจิตแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมล่วงเกินภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : โมหะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นมีโมหะแล้ว โมหะครอบงำแล้ว โมหะกลุ้มรุมจิตแล้ว ย่อมฆ่าสัตย์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมล่วงเกินภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ? “เป็นอกุศล พระเจ้าข้า !” มีโทษหรือไม่มีโทษ ? “มีโทษ พระเจ้าข้า !” วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ? “วิญญูชนติเตียน พระเจ้าข้า !” เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐาน ของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ? หรือว่าในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ? “เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องนี้พวกข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น) จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า “กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย : อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ากระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าเล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ามีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการตรึกตามอาการ(อาการปริวิตกฺก) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าสมณะผู้พูดเป็นครูของตน(สมโณโน ครุ). กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า “ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล, ธรรมเหล่านี้ มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน, ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล” ดังนี้แล้ว ; เมื่อนั้น ท่านถึงละธรรมเหล่านั้นเสีย” ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น. ( ข. ฝ่ายกุศล) กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย : อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ากระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าเล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ามีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าสมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ). กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า “ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล, ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ, ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว; เมื่อนั้น ท่าน พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด. กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ความไม่โลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นไม่โลภแล้ว ความโลภไม่ครอบงำแล้ว ความโลภไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : อโทสะ เกิดขึ้น ในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นไม่มีโทสะแล้ว โทสะไม่ครอบงำแล้ว โทสะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : อโมหะ เกิดขึ้น ในบุคคแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ? “เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !” บุคคลนั้นไม่มีโมหะแล้ว โมหะไม่ครอบงำแล้ว โมหะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ? “เป็นกุศล พระเจ้าข้า !” มี โทษหรือไม่มีโทษ ? “ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า !” วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ? “วิญญูชนสรรเสริญ พระเจ้าข้า !” เมื่อประพฤติกระทำเต็มตาม มาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ? หรือว่า ในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ? “เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องพวกนี้ข้าพระองค์มีความเห็น อย่างนี้ พระเจ้าข้า !” กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น) จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า “กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย : อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ากระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าเล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่ามีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าการตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ; อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่าสมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ). กาลาม ท. ! เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ‘ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล, ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล’ ดังนี้แล้ว ; เมื่อนั้น ท่านพึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด” ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น. กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น ปราศจากอภิชฌาอย่างนี้ ปราศจากพยาบาทอย่างนี้ ไม่มีโมหะ มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า มีจิตสหรคตด้วยเมตตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้อต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วย คุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่; มีจิตสหรคตด้วยกรุณา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้อบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยกรุณา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอัน ใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่; มีจิตสหรคตด้วยมุทิตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยมุทิตา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวง ไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่ ; มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น, เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่. กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว ความเบาใจ ๔ ประการ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว ว่า “๑. ถ้าปรโลกมี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี. ฐานะที่จะมีได้ก็คือ เราจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตาย เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะเหตุนั้น ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่หนึ่ง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. ๒. ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี, เรา ที่นี่ในทิฏฐธรรมนี้แหละ ก็บริหารตนอยู่เป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีทุกข์ ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่สอง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. ๓. ถ้าบาปเป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ, ส่วนเราไม่ได้คิดจะทำบาปไรๆ ทุกข์จักถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปอยู่ แต่ที่ไหนดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่สาม ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. ๔. ถ้าบาปไม่เป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ อยู่แล้วไซร้, ที่นี่ เราก็มองเห็นตนว่าบริสุทธิ์หมดจดอยู่ โดยโลกทั้งสอง ดังนี้ : นี้เป็นความเบาใจประการที่สี่ ที่ เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น. กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว ความเบาใจ ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว. “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น. ข้าแต่พระสุคต ! ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น . . . .”(ชาวกาลามเหล่านั้น รับสนองพระพุทธดำรัสกล่าวย้ำข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยตน เอง, แล้วทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสก).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..

    #ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์

    ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

    #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์

    #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
    เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
    มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

    #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

    #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

    #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
    ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
    ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
    ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี
    และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
    คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
    การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

    #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
    ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
    ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
    การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
    ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้

    #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

    #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
    หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก
    #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
    (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

    #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก
    #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน
    นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

    #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์

    #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ
    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​
    คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย
    จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    ⚜️ #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..⚜️ 🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱 ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11 ✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี ✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ ✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์ ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน ✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้ ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้ ✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก ✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก" หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ) ✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก ✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ ⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​⚜️ 🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะมาพูดคุยประเด็น การรับเงินและทอง

    ของพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ตามพระธรรมวินัย ที่พระศาสดา ทรงบัญญัติไว้ 

    มีเรื่องเล่ามาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้ โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่

    ณ พระเวฬุวัน ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น.

    เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง

    แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง

    อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร

    สามารถอ่านเพิ่มเติมที่เว็บพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2025/07/07/%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a0%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%86%e0%b9%8c/
    จะมาพูดคุยประเด็น การรับเงินและทอง ของพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ตามพระธรรมวินัย ที่พระศาสดา ทรงบัญญัติไว้  มีเรื่องเล่ามาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้ โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น. เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร สามารถอ่านเพิ่มเติมที่เว็บพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2025/07/07/%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a0%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b8%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%86%e0%b9%8c/
    WWW.THENIRVANALIVE.COM
    ไขข้อสงสัย พระภิกษุสงฆ์ รับ “เงินทอง” ได้หรือไม่ตามพระไตรปิฎก - thenirvanalive.com
    การรับเงินและทองเอง แต่ทว่าจงอย่ายินดีในเงินและทองนั้นว่าเป็นทรัพย์สินของเราโดยเฉพาะ พึงทำใจของเราให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเวลานี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • วลีรักจาก <จันทราอัสดง>

    สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก

    วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl)

    แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร?

    ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน

    “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้

    เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น

    หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง

    เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี

    วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx
    https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804
    https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502
    http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html
    https://www.621seo.cn/a/83.html

    #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    วลีรักจาก <จันทราอัสดง> สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl) แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร? ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้ เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00 https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804 https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502 http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html https://www.621seo.cn/a/83.html #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไฮโซน้ำหวาน" ร่ายยาว กรณีลูกเสียงดังในร้านกาแฟ จนมีคนมองแรง งานนี้คุณแม่เลยเข้าไปเคลียร์จนกลายเป็นดราม่าของคนเป็นแม่ กับคนที่ไม่ได้เป็นแม่ ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน

    ทำเอาคุณแม่ลูกสาม อย่าง “ไฮโซน้ำหวาน” ภรรยาของ “นาวิน ต้าร์” ต้องขอออกมาโพสต์ร่ายยาว หลังวันหยุดที่ควรจะได้พักผ่อนกับครอบครัวในร้านกาแฟเจ้าประจำ กลับต้องอวสาน เพราะลูกๆ เจอสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทำให้เธอต้องปกป้องลูกๆ ด้วยความอดทนสูงสุด โดย ไฮโซน้ำหวาน ได้โพสต์คลิปลูกกับสามี พร้อมใส่แคปชั่นเล่าเหตุการณ์ไว้ บอกว่าหากรู้สึกไม่พอใจเด็กๆ ก็ให้มาโทษที่ผู้ปกครอง ไม่ใช่ส่งสายตาสั่งหรือค้อนให้เด็กตกใจกลัว

    อย่างไรก็ตามก็มีคอมเม้นท์บางเพจที่เห็นต่างว่า ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000063584

    #Thaitimes #MGROnline #ไฮโซน้ำหวาน #นาวินต้าร์
    "ไฮโซน้ำหวาน" ร่ายยาว กรณีลูกเสียงดังในร้านกาแฟ จนมีคนมองแรง งานนี้คุณแม่เลยเข้าไปเคลียร์จนกลายเป็นดราม่าของคนเป็นแม่ กับคนที่ไม่ได้เป็นแม่ ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน • ทำเอาคุณแม่ลูกสาม อย่าง “ไฮโซน้ำหวาน” ภรรยาของ “นาวิน ต้าร์” ต้องขอออกมาโพสต์ร่ายยาว หลังวันหยุดที่ควรจะได้พักผ่อนกับครอบครัวในร้านกาแฟเจ้าประจำ กลับต้องอวสาน เพราะลูกๆ เจอสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทำให้เธอต้องปกป้องลูกๆ ด้วยความอดทนสูงสุด โดย ไฮโซน้ำหวาน ได้โพสต์คลิปลูกกับสามี พร้อมใส่แคปชั่นเล่าเหตุการณ์ไว้ บอกว่าหากรู้สึกไม่พอใจเด็กๆ ก็ให้มาโทษที่ผู้ปกครอง ไม่ใช่ส่งสายตาสั่งหรือค้อนให้เด็กตกใจกลัว • อย่างไรก็ตามก็มีคอมเม้นท์บางเพจที่เห็นต่างว่า ลูกของเราอาจไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000063584 • #Thaitimes #MGROnline #ไฮโซน้ำหวาน #นาวินต้าร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • **<ปรปักษ์จำนน> กับพิธีแต่งงานสมัยฮั่น**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงสินสอดในเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> วันนี้เลยมาคุยต่อถึงพิธีแต่งงานที่คู่บ่าวสาวนั่งกินอาหารด้วยกันกลางโถง ซึ่งเป็นพิธีการที่เราไม่ค่อยเห็นกันบ่อยในซีรีส์ โดยขั้นตอนตามที่เห็นในซีรีส์คือ “...ชำระมือและหน้า ... รับประทานเนื้อสัตว์อย่างเดียวกัน ... ข้าวชามเดียวกัน ... ดื่มน้ำแกง ... จิ้มน้ำจิ้ม ... ดื่มสุราจากภาชนะน้ำเต้าอันเดียวกัน” (หมายเหตุ อิงตามซับไทย)

    ดูแล้วนึกว่ามันคือพิธีการเดียว แต่จริงๆ แล้วมันประกอบด้วยพิธีการสามส่วนค่ะ และเป็นพิธีการแต่งงานจากในสมัยฮั่น

    ส่วนแรกเรียกว่าพิธี ‘เฟิ่งอี๋ว่อก้วน’ (奉匜沃盥) ซึ่งก็คือการล้างมือก่อนการทำพิธีสักการะบูชาหรือก่อนเข้าร่วมงานพิธีการหรืองานเลี้ยงสำคัญ ปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกพิธีการหลี่จี้และ คัมภีร์ชุนชิวฉบับจั่วจ้วน (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงคัมภีร์ชุนชิวแล้ว ย้อนอ่านดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) โดยเป็นลักษณะใช้เหยือกเทน้ำรดมือให้น้ำไหลทิ้งลงบนอ่างที่มีคนถือรองไว้

    ส่วนที่สองเรียกว่าพิธี ‘ถงเหลา’ (同牢) คือบ่าวสาวนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งเป็นพิธีการเชิงสัญลักษณ์ว่าสองคนสามีภรรยารวมกันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ทั้งนี้ เพราะว่าปกติในสมัยนั้นสตรีและบุรุษจะนั่งแยกโต๊ะกัน

    ในส่วนของพิธีถงเหลานี้ ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้คือบ่าวสาวจะกินเนื้อสัตว์ที่ตักจากชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวกัน (นึกภาพว่าปกติเสิร์ฟเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวหรือทั้งตัวแล้วแล่แต่พอคำ เพราะ ‘เหลา’ ในที่นี้หมายถึงสัตว์สี่เท้าที่ในสมัยนั้นนิยมใช้เซ่นไหว้ เช่น วัว หมู หรือแกะ) นอกจากนี้ ในเอกสารอื่นระบุว่าบ่าวสาวจะร่วมกินอาหารสามครั้งหรือ ‘ซานฟ่าน’ (三饭) กล่าวคือ กินข้าว กินน้ำแกงต้มจากเนื้อ และใช้นิ้วจิ้มน้ำจิ้มกิน (เช่น เต้าเจี้ยว) แต่จนใจ Storyฯ หาไม่พบว่าสามรายการนี้แฝงความหมายอะไรไว้หรือไม่ แน่นอนว่ากินกันเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น

    ส่วนที่สามเรียกว่าพิธี ‘เหอจิ่น’ (合卺) แปลตรงตัวว่านำมาประกบกัน ซึ่งก็คือการร่วมดื่มสุรามงคล ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้นั้น จะใช้ภาชนะทำจากน้ำเต้าผ่าครึ่งใส่เหล้าดื่ม เป็นการ ‘ล้างปาก’ หลังจากร่วมกินอาหารเสร็จ แต่ในเอกสารโบราณที่กล่าวถึงการกินอาหารสามครั้งก็ระบุว่าให้ดื่มเหล้าสามครั้งเช่นกัน โดยสองครั้งแรกใช้จอกเหล้า ครั้งที่สามคือใช้น้ำเต้าผ่าครึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสามีภรรยารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นที่มาของการแลกกันดื่มหรือ ‘เจียวเปย’ (交杯) ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพเกี่ยวแขนดื่มสุรามงคลที่เราเห็นในหลายซีรีส์

    และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของพิธีการแต่งงานสมัยฮั่นซึ่งไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินหรือโค้งคารวะพ่อแม่แบบที่เราเห็นในยุคสมัยหลังจากนั้น

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊กด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความเก่า:
    คัมภีร์ชุนชิว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1248905993904357
    ผูกปมผม: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/368606858600946
    สีชุดเจ้าสาว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/116299537122708

    Credit รูปภาพจาก: https://tidenews.com.cn/news.html?id=3130023
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.sohu.com/a/800556927_120808812
    https://www.sxgp.gov.cn/zjgp/gpgs_427/202101/t20210120_1341716.shtml
    https://k.sina.cn/article_7142104121_1a9b3dc3900100jj2k.html
    https://liji.5000yan.com/hunyi/348.html
    https://www.jiemian.com/article/1057773.html

    #ปรปักษ์จำนน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #สุรามงคล #บันทึกพิธีการหลี่จี้ #สาระจีน
    **<ปรปักษ์จำนน> กับพิธีแต่งงานสมัยฮั่น** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงสินสอดในเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> วันนี้เลยมาคุยต่อถึงพิธีแต่งงานที่คู่บ่าวสาวนั่งกินอาหารด้วยกันกลางโถง ซึ่งเป็นพิธีการที่เราไม่ค่อยเห็นกันบ่อยในซีรีส์ โดยขั้นตอนตามที่เห็นในซีรีส์คือ “...ชำระมือและหน้า ... รับประทานเนื้อสัตว์อย่างเดียวกัน ... ข้าวชามเดียวกัน ... ดื่มน้ำแกง ... จิ้มน้ำจิ้ม ... ดื่มสุราจากภาชนะน้ำเต้าอันเดียวกัน” (หมายเหตุ อิงตามซับไทย) ดูแล้วนึกว่ามันคือพิธีการเดียว แต่จริงๆ แล้วมันประกอบด้วยพิธีการสามส่วนค่ะ และเป็นพิธีการแต่งงานจากในสมัยฮั่น ส่วนแรกเรียกว่าพิธี ‘เฟิ่งอี๋ว่อก้วน’ (奉匜沃盥) ซึ่งก็คือการล้างมือก่อนการทำพิธีสักการะบูชาหรือก่อนเข้าร่วมงานพิธีการหรืองานเลี้ยงสำคัญ ปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกพิธีการหลี่จี้และ คัมภีร์ชุนชิวฉบับจั่วจ้วน (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงคัมภีร์ชุนชิวแล้ว ย้อนอ่านดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) โดยเป็นลักษณะใช้เหยือกเทน้ำรดมือให้น้ำไหลทิ้งลงบนอ่างที่มีคนถือรองไว้ ส่วนที่สองเรียกว่าพิธี ‘ถงเหลา’ (同牢) คือบ่าวสาวนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งเป็นพิธีการเชิงสัญลักษณ์ว่าสองคนสามีภรรยารวมกันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ทั้งนี้ เพราะว่าปกติในสมัยนั้นสตรีและบุรุษจะนั่งแยกโต๊ะกัน ในส่วนของพิธีถงเหลานี้ ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้คือบ่าวสาวจะกินเนื้อสัตว์ที่ตักจากชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวกัน (นึกภาพว่าปกติเสิร์ฟเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวหรือทั้งตัวแล้วแล่แต่พอคำ เพราะ ‘เหลา’ ในที่นี้หมายถึงสัตว์สี่เท้าที่ในสมัยนั้นนิยมใช้เซ่นไหว้ เช่น วัว หมู หรือแกะ) นอกจากนี้ ในเอกสารอื่นระบุว่าบ่าวสาวจะร่วมกินอาหารสามครั้งหรือ ‘ซานฟ่าน’ (三饭) กล่าวคือ กินข้าว กินน้ำแกงต้มจากเนื้อ และใช้นิ้วจิ้มน้ำจิ้มกิน (เช่น เต้าเจี้ยว) แต่จนใจ Storyฯ หาไม่พบว่าสามรายการนี้แฝงความหมายอะไรไว้หรือไม่ แน่นอนว่ากินกันเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนที่สามเรียกว่าพิธี ‘เหอจิ่น’ (合卺) แปลตรงตัวว่านำมาประกบกัน ซึ่งก็คือการร่วมดื่มสุรามงคล ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกพิธีการหลี่จี้นั้น จะใช้ภาชนะทำจากน้ำเต้าผ่าครึ่งใส่เหล้าดื่ม เป็นการ ‘ล้างปาก’ หลังจากร่วมกินอาหารเสร็จ แต่ในเอกสารโบราณที่กล่าวถึงการกินอาหารสามครั้งก็ระบุว่าให้ดื่มเหล้าสามครั้งเช่นกัน โดยสองครั้งแรกใช้จอกเหล้า ครั้งที่สามคือใช้น้ำเต้าผ่าครึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสามีภรรยารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นที่มาของการแลกกันดื่มหรือ ‘เจียวเปย’ (交杯) ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพเกี่ยวแขนดื่มสุรามงคลที่เราเห็นในหลายซีรีส์ และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของพิธีการแต่งงานสมัยฮั่นซึ่งไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินหรือโค้งคารวะพ่อแม่แบบที่เราเห็นในยุคสมัยหลังจากนั้น (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊กด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความเก่า: คัมภีร์ชุนชิว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/1248905993904357 ผูกปมผม: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/368606858600946 สีชุดเจ้าสาว: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/116299537122708 Credit รูปภาพจาก: https://tidenews.com.cn/news.html?id=3130023 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.sohu.com/a/800556927_120808812 https://www.sxgp.gov.cn/zjgp/gpgs_427/202101/t20210120_1341716.shtml https://k.sina.cn/article_7142104121_1a9b3dc3900100jj2k.html https://liji.5000yan.com/hunyi/348.html https://www.jiemian.com/article/1057773.html #ปรปักษ์จำนน #พิธีแต่งงานจีนโบราณ #สุรามงคล #บันทึกพิธีการหลี่จี้ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 441 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีปูติน เน้นย้ำเรื่องการจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวทหารที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการพิเศษทางทหาร ต้องตรงต่อเวลา:

    “สำหรับภรรยาม่ายของทหารที่เสียชีวิตและสหายร่วมรบของเรา เราจำเป็นต้องพิจารณาปัญหานี้ในวงกว้างมากขึ้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าจะต้องจ่ายเงินทั้งหมดตรงตามกำหนด และต้องดูเพิ่มเติมว่าเราจะทำอะไรได้อีกเพื่อช่วยเหลือพวกเขา”
    ประธานาธิบดีปูติน เน้นย้ำเรื่องการจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวทหารที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการพิเศษทางทหาร ต้องตรงต่อเวลา: “สำหรับภรรยาม่ายของทหารที่เสียชีวิตและสหายร่วมรบของเรา เราจำเป็นต้องพิจารณาปัญหานี้ในวงกว้างมากขึ้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าจะต้องจ่ายเงินทั้งหมดตรงตามกำหนด และต้องดูเพิ่มเติมว่าเราจะทำอะไรได้อีกเพื่อช่วยเหลือพวกเขา”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 689 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ความอีกด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา,การต่อสู้กับภาครัฐที่บัดสบมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่นำเข้าวัคซีนโควิดที่ไร้งานวิจัยรับรองความปลอดภัยใดๆ,คนเหล่านี้กอดกองเงินกองทองกอดตังอย่างมีความสุขนักโดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับการค้่ยาค้าวัคซีนโควิดหรือตัววัคซีนmRNAทุกๆคนที่นำเข้ามาในไทยตลอดสร้างพวกโรงงานเพื่อผลิตวัคซีนที่เป็นmRNAเหมือนกันมาฉีดคนไทยด้วย,คณะแพทย์หมอที่สมคบคิดไม่สำนึกต่อการกระทำชั่วตั้งแต่ต้นต้องถูกกำจัดทันที,ซึ่งปัจจุบันลอยหน้าลอยตาเชิดหน้ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก,ไม่ถูกจัดการลงโทษสั่งสอนห่าเหวใดๆเลย.

    ..หมอจุฬา นำทีมผู้ได้รับผลกระทบ วัคซีนโควิด ร้องสภาฯตั้งคณะสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน
    วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 - 11:47 น.
    “หมอจุฬา” พร้อมผู้ได้รับผลกระทบวัคซีนโควิด ร้องสภาฯเปิดเวทีสาธารณะ-ตั้งคณะทำงานสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน โดยไม่รู้สาเหตุ ชี้ จากผลตรวจAnti spike ค่าสูงกว่า25,000 จาก 0.8 ขณะยุโรป-สหรัฐฯ สอบเรื่องนี้แล้ว ขอ “สธ.” เปิดสัญญาซื้อวัคซีน จี้ “สปสช.” ทบทวนขยายเวลาเยียวยา

    เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมคณะแพทย์และผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19  ในนามกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านตัวแทนเพื่อให้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้มีข้อมูลในการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด

    โดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี มีผู้ไปฉีดวัคซีนได้รับผลกระทบตามร่างกาย เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุจำนวนไม่น้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสะท้อนความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยอยากให้มีการหามาตรการป้องกันผลกระทบจากการฉีดวัคซีน ซึ่งมีการรวมตัวของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ช่วงแรกหลังฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยแต่ต่อมามีผลทางวิชาการ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดสร้างปัญหาจริง

    ขณะที่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีการสอบสวนกันมากขึ้น ส่วนประเทศไทย มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากถูกมองข้ามว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้หลายคนพยายามร้องขอความเป็นธรรม แต่ถูกปิดปากซึ่งข่าวนี้เกิดขึ้นจริงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีการยอมรับจากทำเนียบข่าวว่ามีการปิดข่าวเรื่องนี้ ในช่วงประธานาธิบดีโจไบเดน และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่

    ด้านพ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์ชื่อดัง กล่าวว่า มีญาติผู้ป่วย มาขอให้สะกดจิตเนื่องจากภรรยาไม่รู้เป็นอะไรต้องถูกตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง เมื่อดูภาพเห็นเท้าแขนขาดำทั้งสองข้าง แล้ววันนี้ถูกตัดขาด 2 ข้าง ตัดแขน 1 ข้าง และตัดมืออีกข้างหนึ่งออก โดยยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร

    ซึ่งเมื่อตรวจค่าเลือดภูมิต้านทานต่อต้านโควิด สูงถึง 14,500 จึงน่าจะเกี่ยวข้อง และเมื่อมาถามหมอหลายคน ได้ข้อสรุปว่าตัวAnti spike ไปอุดที่ไหนก็จะมีปัญหาที่นั่น ยกตัวอย่างมีหมอรุ่นน้องที่เชียงใหม่ล้มเสียชีวิต รวมถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของอินโดนีเซีย ที่กำลังยืนปราศรัยก็ล้มตึงจากเวที และรองผู้ว่าฯพังงา ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ

    “เป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ฉีดวัคซีนถึง 8 เข็มแล้วเป็นสโตรก และยังมีเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการฉีดวัคซีนโควิดมาให้หมอรักษา 600 คน ทั้งนี้เห็นว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน เพราะจากการตรวจคนไข้ที่คลินิก 70 กว่าคน พบค่า Anti spike ระดับกว่า 1,000 สูงสุดถึง 25,000 จากค่าปกติต้อง 0.8 ขณะที่ส่วนตัวเป็นโควิด 2 ครั้ง ไม่เคยฉีดวัคซีน รักษาด้วยสมุนไพร ตรวจพบค่าเพียง 137” พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว

    พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร ถ้าสามารถนำมาใช้รักษาน่าจะช่วยรักษาคนทั้งโลกได้ และจะยังเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยไม่ต้องตั้งเป้าทำวิจัย

    ขณะที่ สามีของผู้ป่วยที่ถูกตัดขาตัดแขน กล่าวว่า ได้ไปขอค่าชดเชย จาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)แต่ไม่ได้รับการชดเชยเพราะเกินเวลา 2 ปีแล้ว

    ด้านแม่ที่ลูกอายุ 23 ปีได้รับผลกระทบ เล่าพร้อมน้ำตาคลอว่า ลูกฉีดวัคซีนโควิด 3 เข็ม จากเคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียงเดินไม่ได้ หมอบอกว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ไม่รู้สาเหตุ รักษาตามอาการ ทั้งที่ก่อนหน้า เล่นกีฬาปกติ ขณะนี้ป่วยมา 2 ปีแล้ว จิตใจไม่ปกติ ต้องหาหมอจิตเวชร่วมด้วย เงินที่เก็บไว้ให้เรียนก็หมดไปกับการรักษาตัว จึงอยากฝากภาครัฐช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย

    ขณะที่ผู้ป่วยอีกราย บอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก และคันในศีรษะ อย่างรุนแรง ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่หาย แค่บรรเทาเวลากินยา คาดว่ามาจากวัคซันโควิด

    ด้านนายแทนคุณ กล่าวเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข เปิดสัญญาทุกฉบับที่ทำกับเอกชนในการซื้อวัคซีนโควิด และให้ สปสช.ทบทวนการขยายเวลาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิดได้รับการเยียวยา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5194414
    ..ความอีกด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา,การต่อสู้กับภาครัฐที่บัดสบมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่นำเข้าวัคซีนโควิดที่ไร้งานวิจัยรับรองความปลอดภัยใดๆ,คนเหล่านี้กอดกองเงินกองทองกอดตังอย่างมีความสุขนักโดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับการค้่ยาค้าวัคซีนโควิดหรือตัววัคซีนmRNAทุกๆคนที่นำเข้ามาในไทยตลอดสร้างพวกโรงงานเพื่อผลิตวัคซีนที่เป็นmRNAเหมือนกันมาฉีดคนไทยด้วย,คณะแพทย์หมอที่สมคบคิดไม่สำนึกต่อการกระทำชั่วตั้งแต่ต้นต้องถูกกำจัดทันที,ซึ่งปัจจุบันลอยหน้าลอยตาเชิดหน้ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีนัก,ไม่ถูกจัดการลงโทษสั่งสอนห่าเหวใดๆเลย. ..หมอจุฬา นำทีมผู้ได้รับผลกระทบ วัคซีนโควิด ร้องสภาฯตั้งคณะสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 - 11:47 น. “หมอจุฬา” พร้อมผู้ได้รับผลกระทบวัคซีนโควิด ร้องสภาฯเปิดเวทีสาธารณะ-ตั้งคณะทำงานสอบ หลังพบผู้ป่วยตายเฉียบพลัน โดยไม่รู้สาเหตุ ชี้ จากผลตรวจAnti spike ค่าสูงกว่า25,000 จาก 0.8 ขณะยุโรป-สหรัฐฯ สอบเรื่องนี้แล้ว ขอ “สธ.” เปิดสัญญาซื้อวัคซีน จี้ “สปสช.” ทบทวนขยายเวลาเยียวยา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมคณะแพทย์และผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19  ในนามกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านตัวแทนเพื่อให้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่จะได้มีข้อมูลในการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด โดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี มีผู้ไปฉีดวัคซีนได้รับผลกระทบตามร่างกาย เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุจำนวนไม่น้อย จึงเป็นโอกาสที่จะสะท้อนความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยอยากให้มีการหามาตรการป้องกันผลกระทบจากการฉีดวัคซีน ซึ่งมีการรวมตัวของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ช่วงแรกหลังฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยแต่ต่อมามีผลทางวิชาการ ยืนยันว่าวัคซีนโควิดสร้างปัญหาจริง ขณะที่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีการสอบสวนกันมากขึ้น ส่วนประเทศไทย มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากถูกมองข้ามว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้หลายคนพยายามร้องขอความเป็นธรรม แต่ถูกปิดปากซึ่งข่าวนี้เกิดขึ้นจริงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีการยอมรับจากทำเนียบข่าวว่ามีการปิดข่าวเรื่องนี้ ในช่วงประธานาธิบดีโจไบเดน และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่ ด้านพ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์ชื่อดัง กล่าวว่า มีญาติผู้ป่วย มาขอให้สะกดจิตเนื่องจากภรรยาไม่รู้เป็นอะไรต้องถูกตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง เมื่อดูภาพเห็นเท้าแขนขาดำทั้งสองข้าง แล้ววันนี้ถูกตัดขาด 2 ข้าง ตัดแขน 1 ข้าง และตัดมืออีกข้างหนึ่งออก โดยยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ซึ่งเมื่อตรวจค่าเลือดภูมิต้านทานต่อต้านโควิด สูงถึง 14,500 จึงน่าจะเกี่ยวข้อง และเมื่อมาถามหมอหลายคน ได้ข้อสรุปว่าตัวAnti spike ไปอุดที่ไหนก็จะมีปัญหาที่นั่น ยกตัวอย่างมีหมอรุ่นน้องที่เชียงใหม่ล้มเสียชีวิต รวมถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ของอินโดนีเซีย ที่กำลังยืนปราศรัยก็ล้มตึงจากเวที และรองผู้ว่าฯพังงา ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงก็เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ “เป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ฉีดวัคซีนถึง 8 เข็มแล้วเป็นสโตรก และยังมีเสียชีวิตเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการฉีดวัคซีนโควิดมาให้หมอรักษา 600 คน ทั้งนี้เห็นว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน เพราะจากการตรวจคนไข้ที่คลินิก 70 กว่าคน พบค่า Anti spike ระดับกว่า 1,000 สูงสุดถึง 25,000 จากค่าปกติต้อง 0.8 ขณะที่ส่วนตัวเป็นโควิด 2 ครั้ง ไม่เคยฉีดวัคซีน รักษาด้วยสมุนไพร ตรวจพบค่าเพียง 137” พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว พ.อ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร ถ้าสามารถนำมาใช้รักษาน่าจะช่วยรักษาคนทั้งโลกได้ และจะยังเพิ่มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยไม่ต้องตั้งเป้าทำวิจัย ขณะที่ สามีของผู้ป่วยที่ถูกตัดขาตัดแขน กล่าวว่า ได้ไปขอค่าชดเชย จาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)แต่ไม่ได้รับการชดเชยเพราะเกินเวลา 2 ปีแล้ว ด้านแม่ที่ลูกอายุ 23 ปีได้รับผลกระทบ เล่าพร้อมน้ำตาคลอว่า ลูกฉีดวัคซีนโควิด 3 เข็ม จากเคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย วันนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียงเดินไม่ได้ หมอบอกว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ไม่รู้สาเหตุ รักษาตามอาการ ทั้งที่ก่อนหน้า เล่นกีฬาปกติ ขณะนี้ป่วยมา 2 ปีแล้ว จิตใจไม่ปกติ ต้องหาหมอจิตเวชร่วมด้วย เงินที่เก็บไว้ให้เรียนก็หมดไปกับการรักษาตัว จึงอยากฝากภาครัฐช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย ขณะที่ผู้ป่วยอีกราย บอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก และคันในศีรษะ อย่างรุนแรง ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่หาย แค่บรรเทาเวลากินยา คาดว่ามาจากวัคซันโควิด ด้านนายแทนคุณ กล่าวเรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข เปิดสัญญาทุกฉบับที่ทำกับเอกชนในการซื้อวัคซีนโควิด และให้ สปสช.ทบทวนการขยายเวลาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน โควิดได้รับการเยียวยา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_5194414
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจเคยสงสัยหรือไม่ ทำไมในนิยาย/หนังจีนโบราณหลายเรื่องยกให้ฉากพระเอกวาดคิ้วให้นางเอกเป็นหนึ่งในฉากโรแมนติกสุดซึ้ง?

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ชู่ว์.. ใกล้เสร็จแล้ว อย่าขยับ” เขามองเทียบซ้ายขวาอยู่พักใหญ่ วาดเติมอีกหลายครา
    เสวียนจีเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าไปหาท่านพ่อท่านแม่แต่เช้า เห็นท่านพ่อกำลังวาดคิ้วให้ท่านแม่อยู่! แต่พ่อไม่ช่ำชองเท่าท่าน”
    การวาดคิ้วแต่ไหนแต่ไรเป็นเรื่องในห้องหอของสามีภรรยา มิพึงเล่าให้ใครฟัง แต่เสวียนจีไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงเล่าอย่างไร้เดียงสา...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ในสมัยโบราณเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องปรนนิบัติสามี การที่สามี ‘ปรนนิบัติ’ ภรรยาด้วยการวาดคิ้วจึงเป็นการทำด้วยใจรักและไม่ใช่หน้าที่ ก็พอจะนึกออกว่ามันเป็นเรื่องน่าประทับใจ

    แต่ก่อนจะไปคุยกันลงลึกเรื่องวัฒนธรรมการเขียนคิ้ว มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ Storyฯ รู้สึกว่า ‘อย่างนี้ก็มีด้วย’ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเหตุการณ์เรื่องราวของสามีที่วาดคิ้วให้ภรรยาที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จริง

    เป็นเรื่องราวของจางฉ่าง ผู้ว่าราชการเมืองฉางอันผู้มีผลงานมากมายในยุคสมัยของจักรพรรดิเซวียนแห่งราชวงศ์ฮั่น (ปี 91-48 ก่อนคริสตกาล) เขาไม่ค่อยวางตนอยู่ในกรอบเหมือนขุนนางอื่น หนึ่งในตัวอย่างก็คือเขาวาดคิ้วให้ภรรยาทุกวัน จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วเมืองว่าภรรยาของเขาคิ้วงามสะดุดตาสะดุดใจ อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่ถึงกับมีขุนนางเข้าชื่อกันเอาเรื่องนี้กราบบังคมทูลร้องเรียนฮ่องเต้! ประมาณว่าเป็นข้าราชการที่วางตนไม่เหมาะสม (Storyฯ แอบคิดว่าพวกขุนนางเหล่านี้คงว่างมากเกินไป)

    เมื่อโดนฮ่องเต้ทรงซักถาม เขาก็ทูลตอบว่า “พฤติกรรมอันแนบชิดระหว่างสามีภรรยาในห้องหอ เกรงว่ามีมากกว่าการวาดคิ้วเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ” เป็นคำตอบที่ฟังดูช่างมันฉันไม่แคร์ ว่ากันว่าองค์ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสามารถของจางฉ่างจึงมิได้ทำโทษวาจาสามหาวนั้น

    จึงเป็นที่เล่าขานกันต่อมาว่าการวาดคิ้วให้สตรีนั้นเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรักความใกล้ชิดอย่างลึกซึ้งของบุรุษต่อสตรี

    สัปดาห์นี้พอหอมปากหอมคอ สัปดาห์หน้าเรามาคุยเรื่องวัฒนธรรมการวาดคิ้วกันต่อ อย่าลืมติดตามนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://daydaynews.cc/zh-hans/entertainment/805334.html
    https://xw.qq.com/cmsid/20200806A07DNK00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhidao.baidu.com

    #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #จางฉ่าง #StoryfromStory
    เพื่อนเพจเคยสงสัยหรือไม่ ทำไมในนิยาย/หนังจีนโบราณหลายเรื่องยกให้ฉากพระเอกวาดคิ้วให้นางเอกเป็นหนึ่งในฉากโรแมนติกสุดซึ้ง? ความมีอยู่ว่า ... “ชู่ว์.. ใกล้เสร็จแล้ว อย่าขยับ” เขามองเทียบซ้ายขวาอยู่พักใหญ่ วาดเติมอีกหลายครา เสวียนจีเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าไปหาท่านพ่อท่านแม่แต่เช้า เห็นท่านพ่อกำลังวาดคิ้วให้ท่านแม่อยู่! แต่พ่อไม่ช่ำชองเท่าท่าน” การวาดคิ้วแต่ไหนแต่ไรเป็นเรื่องในห้องหอของสามีภรรยา มิพึงเล่าให้ใครฟัง แต่เสวียนจีไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงเล่าอย่างไร้เดียงสา... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ในสมัยโบราณเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องปรนนิบัติสามี การที่สามี ‘ปรนนิบัติ’ ภรรยาด้วยการวาดคิ้วจึงเป็นการทำด้วยใจรักและไม่ใช่หน้าที่ ก็พอจะนึกออกว่ามันเป็นเรื่องน่าประทับใจ แต่ก่อนจะไปคุยกันลงลึกเรื่องวัฒนธรรมการเขียนคิ้ว มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ Storyฯ รู้สึกว่า ‘อย่างนี้ก็มีด้วย’ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเหตุการณ์เรื่องราวของสามีที่วาดคิ้วให้ภรรยาที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จริง เป็นเรื่องราวของจางฉ่าง ผู้ว่าราชการเมืองฉางอันผู้มีผลงานมากมายในยุคสมัยของจักรพรรดิเซวียนแห่งราชวงศ์ฮั่น (ปี 91-48 ก่อนคริสตกาล) เขาไม่ค่อยวางตนอยู่ในกรอบเหมือนขุนนางอื่น หนึ่งในตัวอย่างก็คือเขาวาดคิ้วให้ภรรยาทุกวัน จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วเมืองว่าภรรยาของเขาคิ้วงามสะดุดตาสะดุดใจ อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่ถึงกับมีขุนนางเข้าชื่อกันเอาเรื่องนี้กราบบังคมทูลร้องเรียนฮ่องเต้! ประมาณว่าเป็นข้าราชการที่วางตนไม่เหมาะสม (Storyฯ แอบคิดว่าพวกขุนนางเหล่านี้คงว่างมากเกินไป) เมื่อโดนฮ่องเต้ทรงซักถาม เขาก็ทูลตอบว่า “พฤติกรรมอันแนบชิดระหว่างสามีภรรยาในห้องหอ เกรงว่ามีมากกว่าการวาดคิ้วเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ” เป็นคำตอบที่ฟังดูช่างมันฉันไม่แคร์ ว่ากันว่าองค์ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสามารถของจางฉ่างจึงมิได้ทำโทษวาจาสามหาวนั้น จึงเป็นที่เล่าขานกันต่อมาว่าการวาดคิ้วให้สตรีนั้นเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรักความใกล้ชิดอย่างลึกซึ้งของบุรุษต่อสตรี สัปดาห์นี้พอหอมปากหอมคอ สัปดาห์หน้าเรามาคุยเรื่องวัฒนธรรมการวาดคิ้วกันต่อ อย่าลืมติดตามนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://daydaynews.cc/zh-hans/entertainment/805334.html https://xw.qq.com/cmsid/20200806A07DNK00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhidao.baidu.com #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #จางฉ่าง #StoryfromStory
    DAYDAYNEWS.CC
    琉璃:司凤给璇玑画眉只画左边,不是编剧要求,而是暗示了他们的结局 - 天天要闻
    相信大多数小伙伴们最喜欢的就是司凤与璇玑之间的爱情了,不知道大家有没有发现司凤每次给璇玑画眉都是只画左边
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว

  • คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร>

    ความมีอยู่ว่า
    ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”...
    (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว)

    เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค

    แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน

    แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555)

    ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650
    https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html
    https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html

    #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร> ความมีอยู่ว่า ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”... (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว) เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555) ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097 Credit ข้อมูลจาก: https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650 https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    WWW.SOHU.COM
    《仙剑奇侠传》将被翻拍,网友:谁能超越刘亦菲版啊!_年胡歌
    随着新消息的公开,该剧与2005年胡歌、刘亦菲主演的《仙剑奇侠传》角色所吻合,确认为第一部的翻拍。另外那时候电视剧也没后来出的那么频繁,玄幻剧占比也不多,《仙剑奇侠传》则凭借着强悍的演员阵容征服了大家的心。 …
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts