• ทรัมป์ทิ้งบอมบ์รอบใหม่ ขู่รีดภาษีศุลกากรรถนำเข้า 25% และจัดเก็บในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าสำหรับผลิตภัณฑ์ยาและเซมิคอนดักเตอร์ ด้านจีนประณามมาตรการภาษีและการข่มขู่ของทรัมป์ระหว่างการประชุมองค์การการค้าโลกว่า เป็นการคุกคามระบบการค้าและทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย
    .
    นับจากเข้ารับตำแหน่งปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของพวกประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดบางแห่งโดยอ้างว่า เพื่อตอบโต้กับแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่เอาเปรียบและไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ นอกจากนั้น ในหลายกรณีก็ระบุเหตุผลว่าเพื่อผลักดันนโยบายสำคัญของอเมริกา อย่างเช่นการปราบปรามการอพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทุกรายการจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% และปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกันในขนาดขอบเขตที่แคบกว่า จากนั้นทรัมป์ยังสั่งขึ้นภาษีที่เก็บจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมนำเข้าจากทุกประเทศในอัตรา 25%
    .
    ล่าสุดในวันอังคาร (18 ก.พ.) ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในอัตราประมาณ 25% โดยจะบังคับใช้ในราววันที่ 2 เมษายน
    .
    สำหรับสินค้าพวกยาและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทรัมป์เคยบอกไว้ว่าจะพิจารณาเพิ่มภาษีในช่วงเวลาเดียวกับรถยนต์นั้น ทรัมป์ขยายความในคราวนี้ว่า จะเก็บสูงขึ้นในอัตรา 25% หรือสูงกว่านั้น แล้วจากนั้นจะเพิ่มขึ้นสูงมากภายใน 1 ปี แต่เขายังไม่ระบุว่าจะเริ่มเมื่อใด
    .
    เขายังบอกว่า ต้องการให้เวลาพวกบริษัทที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจะได้กลับลำมาทำธุรกิจในอเมริกา และเสริมด้วยว่า ประเทศคู่ค้าของวอชิงตันก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีเพิ่มได้ด้วยการเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ตาม พวกผู้เชี่ยวชาญย้ำคำเตือนที่ได้ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ที่ว่ามาตรการเพิ่มภาษีศุลกาการจากสินค้านำเข้านั้น คนอเมริกันเองมีแนวโน้มต้องแบกรับมากกว่าพวกผู้ส่งออกต่างชาติ เนื่องจากคนที่ต้องควักเงินจ่ายภาษีจริงๆ ก็คือผู้นำเข้าในอเมริกา และพวกเขาก็มักแบ่งเบาภาระนี้ด้วยการขึ้นราคาสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ
    .
    เฉพาะรถยนต์นั้น ปัจจุบันรถยนต์ราว 50% ที่ขายในอเมริกาเป็นรถที่ผลิตภายในประเทศ ขณะที่รถนำเข้าประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกแบรนด์ระดับอินเตอร์ไปตั้งโรงงานประกอบกันที่นั่น นอกจากนั้นยังมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนีที่เป็นซัปพลายเออร์รายสำคัญ
    .
    เอเชียจับตามาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อย่างระมัดระวังมาก เนื่องจากมีซัปพลายเออร์หลักบางแห่งของอุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกาตั้งอยู่
    .
    โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธว่า ญี่ปุ่นได้หยิบยกประเด็นภาษีศุลกากรรถยนต์หารือกับอเมริกาแล้ว และรัฐบาลจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมควบคู่กับการตรวจสอบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของมาตรการภาษีดังกล่าว
    .
    ทางด้านไต้หวันที่เป็นฮับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลกและถูกทรัมป์กล่าวหาว่า ปล้นอุตสาหกรรมชิปไปจากอเมริกานั้น ก็แสดงท่าทีตื่นตัวเฝ้าระวัง ถึงแม้กระทรวงเศรษฐกิจแถลงว่า ขอบเขตผลิตภัณฑ์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษียังไม่มีความชัดเจน และรัฐบาลจะติดตามทิศทางนโยบายของอเมริกาต่อไป รวมทั้งจะให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมท้องถิ่นที่ได้รับความเดือดร้อน
    .
    ก่อนหน้านี้ไทเปประกาศแล้วว่า จะเพิ่มการลงทุนในอเมริกาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของทรัมป์
    .
    ผู้นำอเมริกายังแสดงความยินดีที่สหภาพยุโรป ลดภาษีศุลกากรรถยนต์จาก 10% เหลือ 2.5% เท่ากับอเมริกา และบอกว่า ถ้าทุกประเทศทำแบบนี้ การค้าทั่วโลกจะแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง หลี่ เฉิงกัง เอกอัครราชทูตจีนประจำองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ประณามมาตรการภาษีศุลกากรและการข่มขู่ของทรัมป์ ในระหว่างการประชุมคณะมนตรีใหญ่ดับเบิลยูทีโอในวันอังคารโดยระบุว่า การขึ้นภาษีอย่างแรงและการดำเนินการฝ่ายเดียวของทรัมป์เช่นนี้ ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อระบบการค้าโลก ทำให้เศรษฐกิจไร้ความแน่นอนมากขึ้น การค้าโลกสะดุด เสี่ยงเกิดภาวะเฟ้อในอเมริกา บิดเบือนตลาด หรือแม้กระทั่งทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
    .
    ทว่า เดวิด บิสบี นักการทูตของอเมริกาตอบโต้ว่า เศรษฐกิจจีนเป็นระบบเศรษฐกิจนักล่าที่ไม่ได้อิงกับตลาด และเสริมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่เข้าเป็นสมาชิก จีนละเมิด เพิกเฉย และหลบเลี่ยงกฎของดับเบิลยูทีโอมาหลายครั้ง
    .
    ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในดับเบิลยูทีโอเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตันละเมิดกฎ ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ปักกิ่งไม่สมควรได้รับสถานะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งได้รับการปฏิบัติพิเศษภายใต้กฎของดับเบิลยูทีโอ
    .
    นอกจากนั้น การที่คณะบริหารของทรัมป์ประกาศแผนถอนตัวจากองค์กรระดับโลกหลายแห่ง ยังเท่ากับว่า ดับเบิลยูทีโอไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำเนียบขาวคำนึงถึงมากนัก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016777
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ทิ้งบอมบ์รอบใหม่ ขู่รีดภาษีศุลกากรรถนำเข้า 25% และจัดเก็บในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าสำหรับผลิตภัณฑ์ยาและเซมิคอนดักเตอร์ ด้านจีนประณามมาตรการภาษีและการข่มขู่ของทรัมป์ระหว่างการประชุมองค์การการค้าโลกว่า เป็นการคุกคามระบบการค้าและทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย . นับจากเข้ารับตำแหน่งปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของพวกประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดบางแห่งโดยอ้างว่า เพื่อตอบโต้กับแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่เอาเปรียบและไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ นอกจากนั้น ในหลายกรณีก็ระบุเหตุผลว่าเพื่อผลักดันนโยบายสำคัญของอเมริกา อย่างเช่นการปราบปรามการอพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย . ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทุกรายการจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% และปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกันในขนาดขอบเขตที่แคบกว่า จากนั้นทรัมป์ยังสั่งขึ้นภาษีที่เก็บจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมนำเข้าจากทุกประเทศในอัตรา 25% . ล่าสุดในวันอังคาร (18 ก.พ.) ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในอัตราประมาณ 25% โดยจะบังคับใช้ในราววันที่ 2 เมษายน . สำหรับสินค้าพวกยาและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทรัมป์เคยบอกไว้ว่าจะพิจารณาเพิ่มภาษีในช่วงเวลาเดียวกับรถยนต์นั้น ทรัมป์ขยายความในคราวนี้ว่า จะเก็บสูงขึ้นในอัตรา 25% หรือสูงกว่านั้น แล้วจากนั้นจะเพิ่มขึ้นสูงมากภายใน 1 ปี แต่เขายังไม่ระบุว่าจะเริ่มเมื่อใด . เขายังบอกว่า ต้องการให้เวลาพวกบริษัทที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจะได้กลับลำมาทำธุรกิจในอเมริกา และเสริมด้วยว่า ประเทศคู่ค้าของวอชิงตันก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีเพิ่มได้ด้วยการเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในอเมริกา . อย่างไรก็ตาม พวกผู้เชี่ยวชาญย้ำคำเตือนที่ได้ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ที่ว่ามาตรการเพิ่มภาษีศุลกาการจากสินค้านำเข้านั้น คนอเมริกันเองมีแนวโน้มต้องแบกรับมากกว่าพวกผู้ส่งออกต่างชาติ เนื่องจากคนที่ต้องควักเงินจ่ายภาษีจริงๆ ก็คือผู้นำเข้าในอเมริกา และพวกเขาก็มักแบ่งเบาภาระนี้ด้วยการขึ้นราคาสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ . เฉพาะรถยนต์นั้น ปัจจุบันรถยนต์ราว 50% ที่ขายในอเมริกาเป็นรถที่ผลิตภายในประเทศ ขณะที่รถนำเข้าประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกแบรนด์ระดับอินเตอร์ไปตั้งโรงงานประกอบกันที่นั่น นอกจากนั้นยังมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนีที่เป็นซัปพลายเออร์รายสำคัญ . เอเชียจับตามาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อย่างระมัดระวังมาก เนื่องจากมีซัปพลายเออร์หลักบางแห่งของอุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกาตั้งอยู่ . โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธว่า ญี่ปุ่นได้หยิบยกประเด็นภาษีศุลกากรรถยนต์หารือกับอเมริกาแล้ว และรัฐบาลจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมควบคู่กับการตรวจสอบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของมาตรการภาษีดังกล่าว . ทางด้านไต้หวันที่เป็นฮับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลกและถูกทรัมป์กล่าวหาว่า ปล้นอุตสาหกรรมชิปไปจากอเมริกานั้น ก็แสดงท่าทีตื่นตัวเฝ้าระวัง ถึงแม้กระทรวงเศรษฐกิจแถลงว่า ขอบเขตผลิตภัณฑ์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษียังไม่มีความชัดเจน และรัฐบาลจะติดตามทิศทางนโยบายของอเมริกาต่อไป รวมทั้งจะให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมท้องถิ่นที่ได้รับความเดือดร้อน . ก่อนหน้านี้ไทเปประกาศแล้วว่า จะเพิ่มการลงทุนในอเมริกาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของทรัมป์ . ผู้นำอเมริกายังแสดงความยินดีที่สหภาพยุโรป ลดภาษีศุลกากรรถยนต์จาก 10% เหลือ 2.5% เท่ากับอเมริกา และบอกว่า ถ้าทุกประเทศทำแบบนี้ การค้าทั่วโลกจะแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม . ในอีกด้านหนึ่ง หลี่ เฉิงกัง เอกอัครราชทูตจีนประจำองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ประณามมาตรการภาษีศุลกากรและการข่มขู่ของทรัมป์ ในระหว่างการประชุมคณะมนตรีใหญ่ดับเบิลยูทีโอในวันอังคารโดยระบุว่า การขึ้นภาษีอย่างแรงและการดำเนินการฝ่ายเดียวของทรัมป์เช่นนี้ ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อระบบการค้าโลก ทำให้เศรษฐกิจไร้ความแน่นอนมากขึ้น การค้าโลกสะดุด เสี่ยงเกิดภาวะเฟ้อในอเมริกา บิดเบือนตลาด หรือแม้กระทั่งทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย . ทว่า เดวิด บิสบี นักการทูตของอเมริกาตอบโต้ว่า เศรษฐกิจจีนเป็นระบบเศรษฐกิจนักล่าที่ไม่ได้อิงกับตลาด และเสริมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่เข้าเป็นสมาชิก จีนละเมิด เพิกเฉย และหลบเลี่ยงกฎของดับเบิลยูทีโอมาหลายครั้ง . ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในดับเบิลยูทีโอเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตันละเมิดกฎ ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ปักกิ่งไม่สมควรได้รับสถานะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งได้รับการปฏิบัติพิเศษภายใต้กฎของดับเบิลยูทีโอ . นอกจากนั้น การที่คณะบริหารของทรัมป์ประกาศแผนถอนตัวจากองค์กรระดับโลกหลายแห่ง ยังเท่ากับว่า ดับเบิลยูทีโอไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำเนียบขาวคำนึงถึงมากนัก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016777 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์แถลงว่า ยุโรปไม่ต้องการให้ชาติเอเชียต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางกระแสการแข่งขันโลกเชี่ยวกราก ปูทางประธานาธิบดี เอ็มมานุเอล มาครง ขึ้นเวทีการประชุมแชงกรีลาไดอะล็อกฟอรัม พฤษภาคมนี้ ขณะที่สิงคโปร์เปิดอกรับเอเชียมองวอชิงตันทำตัวเหมือนเจ้าของที่กำลังเรียกเก็บค่าเช่า
    .
    รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์ สตีเฟน มาร์กีซีโอ (Stephen Marchisio) เริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันอังคาร (18) เปิดใจว่า ฝรั่งเศสเห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น “บางทีมาจากฝั่งสหรัฐฯ” ที่พันธมิตรในเอเชียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกข้าง”
    .
    เขาย้ำว่า “มันมีความสำคัญที่ต้องกล่าวว่าพวกเราสามารถพูดคุยได้กับทุกคน” และเสริมว่า “พวกเราไม่ต้องการให้ใครต้องเลือก”
    .
    ทูตแดนน้ำหอมคนใหม่ของประธานาธิบดีเอ็มมานุเอล มาครงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างอาหารค่ำในสิงคโปร์ที่ซึ่งมาครงจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมความมั่นคงแชงกรีลาฟอรัมในวันที่ 30 พ.ค.ที่จะถึง
    .
    มาร์กีซีโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงจะขึ้นกล่าวยืนยันบนเวทีว่า ทุกชาติภายในภูมิภาคสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองได้
    .
    “พวกคุณสามารถทำได้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบทางการเมืองของจีน และคุณสามารถทำได้ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการฐานทัพจากสหรัฐฯ ในดินแดนของพวกคุณก็ตาม”
    .
    สถานทูตสหรัฐฯ ในสิงคโปร์ได้ตอบคำถามรอยเตอร์ไปยังแถลงการณ์ของกลุ่ม G-7 ที่ลงนามในมิวนิกโดยฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สมาชิกทุกชาติมีพันธต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่นคง
    .
    ตามแถลงการณ์ทูตฝรั่งเศสชี้ว่า ยุโรปต้องสามัคคี
    .
    มาร์กีซีโอยังชี้ว่า ยุโรปต้องมีความสามัคคีที่รวมไปถึงการสั่งซื้ออาวุธอเมริกัน ที่ชี้ว่าเป็นการตอบโต้คำแถลงจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดีเจ แวนซ์ ในมิวนิกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ทูตแดนน้ำหอมกล่าวว่า มีบางประเทศมองความเกี่ยวข้องในการซื้ออาวุธเป็นหนทางที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก แต่ทว่ามุมมองนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่รองประธานาธิบดีแวนซ์ของสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณผ่านำแถลงที่เผ็ดร้อนในการประชุมมิวนิกฟอรัมในยุโรป
    .
    “เกิดอะไรขึ้นในมิวนิก? เขาพยายามโจมตีแก่นกลางของประชาธิปไตย” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดไปสู่คำถามอื่นต่อ”
    .
    ดังนั้นเวลานี้ประเทศในยุโรปอาจจะไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน และเสริมต่อว่าเป็นเพราะไม่มีหลักประกันในการทำเช่นนั้นจะช่วยผ่อนคลายความกดดันของสหรัฐฯ ลงหรือวาทะโจมตีแสดงความเป็นปรปักษ์
    .
    “พวกเราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า ..แต่พวกเราจะตอบโต้หากว่าพวกเราต้องทำ” โดยอ้างไปถึงภาษีและแรงกดดันอื่นๆ ของสหรัฐฯ
    .
    มาร์กีซีโอรายงานว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดของฝรั่งเศสคือการไม่ต้องการตอบโต้เอาคืนจากการที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายรวมไปถึงอุตสาหกรรม
    .
    การแสดงความเห็นของทูตฝรั่งเศสคนใหม่สะท้อนความเห็นรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮง (Ng Eng Hen) ที่แถลงในการประชุมความมั่นคงยุโรปว่า “ภาพของอเมริกาที่มีต่อเอเชียได้เปลี่ยนไป”
    .
    “ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปจากผู้ปลดปล่อยไปสู่ผู้สร้างความปั่นป่วนไปสู่เจ้าของที่ต้องการเรียกเก็บค่าเช่า”
    .
    บลูมเบิร์กรายงานวันจันทร์ (17) ว่า อึ้ง เอ็ง เฮง แถลงในการประชุมนอกรอบที่การประชุมความมั่นคงมิวนิกว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
    .
    ทั้งนี้ เว็บไซต์รัฐบาลสิงคโปร์ได้โพสต์เมื่อสุดสัปดาห์ในคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์กล่าววิจารณ์สหรัฐฯ ในการประชุมมิวนิก
    .
    คำแถลงเกิดขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่สมัยทรัมป์มืดมัวตาบอดไม่สนใจต่อประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของพันธมิตรนาโตเปิดฉากแผนการหารือตรงกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินต่ออนาคตของสงครามเครมลินในยูเครน
    .
    บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สิงคโปร์เป็นเหมือนเช่นชาติส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการแสวงหาทางสายกลางในการเพิ่มขึ้นของภาพที่ซับซ้อนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ เพื่อเสาะหาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนความมั่นคงหลักและต่อจีนในฐานะแหล่งของการพัฒนาและหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง
    .
    ทั้งนี้สหรัฐฯ ในสมัยอดีตรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาได้ทำงานเพื่อสร้างข้อผูกพันทางความมั่นคงภายในภูมิภาคต่อต้านการรุกคืบจากจีนในทะเลจีนใต้ และเป็นความวิตกทางความมั่นคงที่ยังคงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของปักกิ่งในการนำไต้หวันกลับสู่อ้อมอกอีกครั้งในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016775
    ..............
    Sondhi X
    เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์แถลงว่า ยุโรปไม่ต้องการให้ชาติเอเชียต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางกระแสการแข่งขันโลกเชี่ยวกราก ปูทางประธานาธิบดี เอ็มมานุเอล มาครง ขึ้นเวทีการประชุมแชงกรีลาไดอะล็อกฟอรัม พฤษภาคมนี้ ขณะที่สิงคโปร์เปิดอกรับเอเชียมองวอชิงตันทำตัวเหมือนเจ้าของที่กำลังเรียกเก็บค่าเช่า . รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์ สตีเฟน มาร์กีซีโอ (Stephen Marchisio) เริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันอังคาร (18) เปิดใจว่า ฝรั่งเศสเห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น “บางทีมาจากฝั่งสหรัฐฯ” ที่พันธมิตรในเอเชียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกข้าง” . เขาย้ำว่า “มันมีความสำคัญที่ต้องกล่าวว่าพวกเราสามารถพูดคุยได้กับทุกคน” และเสริมว่า “พวกเราไม่ต้องการให้ใครต้องเลือก” . ทูตแดนน้ำหอมคนใหม่ของประธานาธิบดีเอ็มมานุเอล มาครงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างอาหารค่ำในสิงคโปร์ที่ซึ่งมาครงจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมความมั่นคงแชงกรีลาฟอรัมในวันที่ 30 พ.ค.ที่จะถึง . มาร์กีซีโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงจะขึ้นกล่าวยืนยันบนเวทีว่า ทุกชาติภายในภูมิภาคสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองได้ . “พวกคุณสามารถทำได้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบทางการเมืองของจีน และคุณสามารถทำได้ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการฐานทัพจากสหรัฐฯ ในดินแดนของพวกคุณก็ตาม” . สถานทูตสหรัฐฯ ในสิงคโปร์ได้ตอบคำถามรอยเตอร์ไปยังแถลงการณ์ของกลุ่ม G-7 ที่ลงนามในมิวนิกโดยฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สมาชิกทุกชาติมีพันธต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่นคง . ตามแถลงการณ์ทูตฝรั่งเศสชี้ว่า ยุโรปต้องสามัคคี . มาร์กีซีโอยังชี้ว่า ยุโรปต้องมีความสามัคคีที่รวมไปถึงการสั่งซื้ออาวุธอเมริกัน ที่ชี้ว่าเป็นการตอบโต้คำแถลงจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดีเจ แวนซ์ ในมิวนิกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา . ทูตแดนน้ำหอมกล่าวว่า มีบางประเทศมองความเกี่ยวข้องในการซื้ออาวุธเป็นหนทางที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก แต่ทว่ามุมมองนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่รองประธานาธิบดีแวนซ์ของสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณผ่านำแถลงที่เผ็ดร้อนในการประชุมมิวนิกฟอรัมในยุโรป . “เกิดอะไรขึ้นในมิวนิก? เขาพยายามโจมตีแก่นกลางของประชาธิปไตย” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดไปสู่คำถามอื่นต่อ” . ดังนั้นเวลานี้ประเทศในยุโรปอาจจะไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน และเสริมต่อว่าเป็นเพราะไม่มีหลักประกันในการทำเช่นนั้นจะช่วยผ่อนคลายความกดดันของสหรัฐฯ ลงหรือวาทะโจมตีแสดงความเป็นปรปักษ์ . “พวกเราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า ..แต่พวกเราจะตอบโต้หากว่าพวกเราต้องทำ” โดยอ้างไปถึงภาษีและแรงกดดันอื่นๆ ของสหรัฐฯ . มาร์กีซีโอรายงานว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดของฝรั่งเศสคือการไม่ต้องการตอบโต้เอาคืนจากการที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายรวมไปถึงอุตสาหกรรม . การแสดงความเห็นของทูตฝรั่งเศสคนใหม่สะท้อนความเห็นรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮง (Ng Eng Hen) ที่แถลงในการประชุมความมั่นคงยุโรปว่า “ภาพของอเมริกาที่มีต่อเอเชียได้เปลี่ยนไป” . “ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปจากผู้ปลดปล่อยไปสู่ผู้สร้างความปั่นป่วนไปสู่เจ้าของที่ต้องการเรียกเก็บค่าเช่า” . บลูมเบิร์กรายงานวันจันทร์ (17) ว่า อึ้ง เอ็ง เฮง แถลงในการประชุมนอกรอบที่การประชุมความมั่นคงมิวนิกว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง . ทั้งนี้ เว็บไซต์รัฐบาลสิงคโปร์ได้โพสต์เมื่อสุดสัปดาห์ในคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์กล่าววิจารณ์สหรัฐฯ ในการประชุมมิวนิก . คำแถลงเกิดขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่สมัยทรัมป์มืดมัวตาบอดไม่สนใจต่อประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของพันธมิตรนาโตเปิดฉากแผนการหารือตรงกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินต่ออนาคตของสงครามเครมลินในยูเครน . บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สิงคโปร์เป็นเหมือนเช่นชาติส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการแสวงหาทางสายกลางในการเพิ่มขึ้นของภาพที่ซับซ้อนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ เพื่อเสาะหาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนความมั่นคงหลักและต่อจีนในฐานะแหล่งของการพัฒนาและหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง . ทั้งนี้สหรัฐฯ ในสมัยอดีตรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาได้ทำงานเพื่อสร้างข้อผูกพันทางความมั่นคงภายในภูมิภาคต่อต้านการรุกคืบจากจีนในทะเลจีนใต้ และเป็นความวิตกทางความมั่นคงที่ยังคงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของปักกิ่งในการนำไต้หวันกลับสู่อ้อมอกอีกครั้งในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016775 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเรียกร้องสหรัฐฯ "แก้ไขความผิดพลาด" หลังจากกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาถอดถ้อยคำ "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ แม้ทางวอชิงตันอ้างว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดตตามปกติ
    .
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้มีการอัปเดตเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไต้หวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คงไว้ซึ่งจุดยืนของวอชิงตันในการคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้งไต้หวันและจีน ซึ่งอ้างว่าเกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
    .
    อย่างไรก็ตาม ในการอัปเดตดังกล่าว ได้มีการลบถ้อยคำ "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป พร้อมอ้างอิงเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไต้หวันกับเพนตากอน ในด้านโครงการพัฒนาเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ และบอกว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนสถานภาพสมาชิกของไต้หวันในองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลายตามความเหมาะสม
    .
    ที่ผ่านมา ปักกิ่งออกมาประณามเป็นประจำ ต่อความเคลื่อนไหวให้การรับรองไต้หวันในระดับสากล หรือการติดต่อระหว่างพวกเจ้าหน้าที่ไต้หวันกับเจ้าหน้าที่ต่างชาติ มองว่ามันเป็นการสนับสนุนสถานะแยกดินแดนของไต้หวันออกจากจีน
    .
    การอัปเดตบนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีขึ้นราว 3 สัปดาห์ หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัย 2
    .
    กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่าการแก้ไขใหม่เกี่ยวกับไต้หวัน บนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เป็นการก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ และเป็นการ "ส่งข้อความผิดๆ อย่างร้ายแรงถึงกองกำลังแบ่งแยกดินแดนเอกราชไต้หวัน"
    .
    "มันเป็นตัวอย่างอีกครั้งของความดื้อดึงของสหรัฐฯ ในการยึดถือนโยบายผิดพลาดแห่งการใช้ไต้หวันกดขี่จีน เราเรียกร้องให้ฝ่ายอเมริกาแก้ไขความผิดพลาดในทันที" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ
    .
    สหรัฐฯ ก็เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน แต่พวกเขาเป็นผู้สนับสนุนระดับนานาชาติที่เข้มแข็งที่สุด มีพันธสัญญาภายใต้กฎหมายที่ต้องมอบหนทางแห่งการป้องกันตนเองแก่เกาะแห่งนี้
    .
    "เป็นไปตามปกติ มีการอัปเดตเอกสารข้อเท็จจริงเพื่อแจ้งกับสาธารณชนเกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของเรากับไต้หวัน" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในช่วงค่ำวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) "สหรัฐฯ ยังคงมีพันธสัญญาต่อนโยบายจีนเดียว" อ้างถึงจุดยืนอย่างเป็นทางการของวอชิงตัน ที่ไม่รับรองเอกราชไต้หวัน และยอมรับแต่เพียงสถานะของจีนในประเด็นนี้
    .
    อย่างไรก็ตาม โฆษกรายนี้บอกว่า "สหรัฐฯ มุ่งมั่นสงวนไว้ซึ่งสันติภาพแลเเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวต่อสถานภาพปัจจุบันไม่ว่าจะจากฝ่ายไหน เราสนับสนุนการเจรจาข้ามช่องแคบ และเราคาดหมายว่าความเห็นต่างข้ามช่องแคบจะคลี่คลายด้วยวิธีทางแห่งสันติ ปราศจากการกดขี่ ในแนวทางซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาชนจาก 2 ฟากฝั่งของช่องแคบ"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015975
    ..............
    Sondhi X
    จีนเรียกร้องสหรัฐฯ "แก้ไขความผิดพลาด" หลังจากกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาถอดถ้อยคำ "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ แม้ทางวอชิงตันอ้างว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดตตามปกติ . กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้มีการอัปเดตเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไต้หวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คงไว้ซึ่งจุดยืนของวอชิงตันในการคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้งไต้หวันและจีน ซึ่งอ้างว่าเกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดน . อย่างไรก็ตาม ในการอัปเดตดังกล่าว ได้มีการลบถ้อยคำ "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป พร้อมอ้างอิงเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไต้หวันกับเพนตากอน ในด้านโครงการพัฒนาเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ และบอกว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนสถานภาพสมาชิกของไต้หวันในองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลายตามความเหมาะสม . ที่ผ่านมา ปักกิ่งออกมาประณามเป็นประจำ ต่อความเคลื่อนไหวให้การรับรองไต้หวันในระดับสากล หรือการติดต่อระหว่างพวกเจ้าหน้าที่ไต้หวันกับเจ้าหน้าที่ต่างชาติ มองว่ามันเป็นการสนับสนุนสถานะแยกดินแดนของไต้หวันออกจากจีน . การอัปเดตบนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีขึ้นราว 3 สัปดาห์ หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัย 2 . กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่าการแก้ไขใหม่เกี่ยวกับไต้หวัน บนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เป็นการก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ และเป็นการ "ส่งข้อความผิดๆ อย่างร้ายแรงถึงกองกำลังแบ่งแยกดินแดนเอกราชไต้หวัน" . "มันเป็นตัวอย่างอีกครั้งของความดื้อดึงของสหรัฐฯ ในการยึดถือนโยบายผิดพลาดแห่งการใช้ไต้หวันกดขี่จีน เราเรียกร้องให้ฝ่ายอเมริกาแก้ไขความผิดพลาดในทันที" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ . สหรัฐฯ ก็เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน แต่พวกเขาเป็นผู้สนับสนุนระดับนานาชาติที่เข้มแข็งที่สุด มีพันธสัญญาภายใต้กฎหมายที่ต้องมอบหนทางแห่งการป้องกันตนเองแก่เกาะแห่งนี้ . "เป็นไปตามปกติ มีการอัปเดตเอกสารข้อเท็จจริงเพื่อแจ้งกับสาธารณชนเกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของเรากับไต้หวัน" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในช่วงค่ำวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) "สหรัฐฯ ยังคงมีพันธสัญญาต่อนโยบายจีนเดียว" อ้างถึงจุดยืนอย่างเป็นทางการของวอชิงตัน ที่ไม่รับรองเอกราชไต้หวัน และยอมรับแต่เพียงสถานะของจีนในประเด็นนี้ . อย่างไรก็ตาม โฆษกรายนี้บอกว่า "สหรัฐฯ มุ่งมั่นสงวนไว้ซึ่งสันติภาพแลเเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวต่อสถานภาพปัจจุบันไม่ว่าจะจากฝ่ายไหน เราสนับสนุนการเจรจาข้ามช่องแคบ และเราคาดหมายว่าความเห็นต่างข้ามช่องแคบจะคลี่คลายด้วยวิธีทางแห่งสันติ ปราศจากการกดขี่ ในแนวทางซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาชนจาก 2 ฟากฝั่งของช่องแคบ" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015975 .............. Sondhi X
    Like
    10
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1047 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตา ! สีจิ้นผิงจัดสัมมนา'เดิมพันสูง'ร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจีน

    ประธานาธิบดี #สีจิ้นผิง เป็นเจ้าภาพจัด #การประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจีน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ( 17 ก.พ.) โดยมีผู้นำบริษัทหัวเว่ย อาลีบาบา บีวายดีและธุรกิจชั้นนำอื่น ๆ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

    ในภาพบรรยากาศการประชุมซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีสื่อของรัฐออกอากาศนั้นจะเห็นผู้เข้าร่วม อาทิ นายเหล่ย จวิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเสียวหมี่ นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป นายหวัง เฉวียนฝู ประธานและซีอีโอบริษัทบีวายดีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีส์

    ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ อาทิ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง นาย หวั่ง ฮู้หนิง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด และรองนายกรัฐมนตรี ติง เชวียเสียง

    ในช่วงปีที่ผ่านมา จีนมีนำเสนอและหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนอยู่หลายครั้งเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ ประกอบกับเกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ จากภายนอก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2

    ศูนย์วิจัยนโยบายทรีเวียม ( Trivium) ในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้มี “เดิมพันสูง” เพราะถ้าสีจิ้นผิงสามารถโน้มน้าวให้ผู้เข้าร่วมการประชุมและตลาดมั่นใจได้ว่าขณะนี้เขาให้การสนับสนุนภาคธุรกิจแล้วก็ย่อมจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนมีวิถีทางที่ดีขึ้น แต่หากผู้นำจีนใช้เวทีสัมมนานี้เพื่อเน้นย้ำกับบริษัทเอกชนว่า ความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ การประชุมสัมมนาครั้งนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปอีก

    ประธานาธิบดีของจีนไม่จัดการประชุมสัมมนาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก โดยครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงเคยเข้าร่วมคือในเดือนกันยายน ปี 2561 ซึ่งสถานะของภาคเอกชนกำลังเป็นที่วิตกกังวลหนัก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างและกลุ่มทำงานของรัฐสภามีการพบปะกับผู้ประกอบการอยู่เป็นประจำ

    ภาคเอกชนจีนมีการลงทุนในปี 2567 ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดลดลงเหลือ 50.08% จาก 56.42% ในปี 2562

    อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดคือความสำเร็จของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ DeepSeek ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีช่องทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนนักลงทุนก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง

    ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์
    ภาพประกอบข่าว
    ผู้นำภาคธุรกิจมารวมตัวกันในการประชุมระดับสูงซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ – ภาพ : ซินหัว
    จับตา ! สีจิ้นผิงจัดสัมมนา'เดิมพันสูง'ร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจีน ประธานาธิบดี #สีจิ้นผิง เป็นเจ้าภาพจัด #การประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจีน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ( 17 ก.พ.) โดยมีผู้นำบริษัทหัวเว่ย อาลีบาบา บีวายดีและธุรกิจชั้นนำอื่น ๆ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ในภาพบรรยากาศการประชุมซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีสื่อของรัฐออกอากาศนั้นจะเห็นผู้เข้าร่วม อาทิ นายเหล่ย จวิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเสียวหมี่ นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป นายหวัง เฉวียนฝู ประธานและซีอีโอบริษัทบีวายดีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีส์ ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ อาทิ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง นาย หวั่ง ฮู้หนิง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด และรองนายกรัฐมนตรี ติง เชวียเสียง ในช่วงปีที่ผ่านมา จีนมีนำเสนอและหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนอยู่หลายครั้งเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ ประกอบกับเกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ จากภายนอก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ศูนย์วิจัยนโยบายทรีเวียม ( Trivium) ในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้มี “เดิมพันสูง” เพราะถ้าสีจิ้นผิงสามารถโน้มน้าวให้ผู้เข้าร่วมการประชุมและตลาดมั่นใจได้ว่าขณะนี้เขาให้การสนับสนุนภาคธุรกิจแล้วก็ย่อมจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนมีวิถีทางที่ดีขึ้น แต่หากผู้นำจีนใช้เวทีสัมมนานี้เพื่อเน้นย้ำกับบริษัทเอกชนว่า ความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ การประชุมสัมมนาครั้งนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปอีก ประธานาธิบดีของจีนไม่จัดการประชุมสัมมนาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก โดยครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงเคยเข้าร่วมคือในเดือนกันยายน ปี 2561 ซึ่งสถานะของภาคเอกชนกำลังเป็นที่วิตกกังวลหนัก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างและกลุ่มทำงานของรัฐสภามีการพบปะกับผู้ประกอบการอยู่เป็นประจำ ภาคเอกชนจีนมีการลงทุนในปี 2567 ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดลดลงเหลือ 50.08% จาก 56.42% ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดคือความสำเร็จของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ DeepSeek ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีช่องทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนนักลงทุนก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ ภาพประกอบข่าว ผู้นำภาคธุรกิจมารวมตัวกันในการประชุมระดับสูงซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ – ภาพ : ซินหัว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้พบปะกับบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ รวมถึงแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ปักกิ่งกำลังพยายามฟื้นฟูธุรกิจเอกชนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    สีจิ้นผิงได้กล่าว "สุนทรพจน์สำคัญ" ในงานประชุมที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของจีน หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนธุรกิจ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐ

    หม่าได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงร่วมกับโรบิน เจิ้ง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ และหวาง ซิง หัวหน้าบริษัท Meituan ซึ่งสื่อของรัฐรายงานนั้นว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei และเล่ย จุน หัวหน้าบริษัท Xiaomi ได้กล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง

    โพนี่ หม่า หัวหน้าบริษัท Tencent และหวาง ชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และหวาง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหุ่นยนต์ Unitree เข้าร่วมงานด้วย

    ปักกิ่งได้พยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากดำเนินแคมเปญมาหลายปีเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

    หม่าเป็นเหยื่อรายสำคัญที่สุดในการปราบปรามเทคโนโลยีของปักกิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาแทรกแซงอย่างดุเดือดในช่วงปลายปี 2020 เพื่อยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกของ Ant Financial Group ตามแผน

    การที่หม่าเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันจันทร์ถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์จากปักกิ่งเพื่อยืนยันทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อภาคเอกชน นักวิเคราะห์กล่าว

    จาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวในการประชุมที่สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินแห่งเอเชียในฮ่องกง

    เธอเสริมว่ารัฐบาลต้องการ "สร้างความเชื่อมั่น" ให้กับบริษัทจีน

    การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชน ขณะที่ผู้บริหารต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกกล่าวหาและการกักขังหลายครั้งโดยหน่วยงานท้องถิ่น
    ในอดีต สี จิ้นผิงเคยใช้การประชุมกับผู้นำธุรกิจเพื่อสัญญาว่าจะลดหย่อนภาษีและให้โอกาสกับรัฐวิสาหกิจอย่างเท่าเทียมกัน

    การเกิดขึ้นของโมเดลปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัยจากสตาร์ทอัพ DeepSeek ช่วยกระตุ้นความสนใจในเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง และจุดประกายให้ตลาดกระทิงเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของหุ้นเทคโนโลยีของประเทศ

    ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 30 แห่งที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนตอบรับต่อความก้าวหน้าของ DeepSeek และข้อความเชิงบวกของปักกิ่งต่อภาคเทคโนโลยี

    https://www.ft.com/content/ac8da614-6bd4-4328-a522-a1712986d73f
    ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้พบปะกับบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ รวมถึงแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ปักกิ่งกำลังพยายามฟื้นฟูธุรกิจเอกชนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สีจิ้นผิงได้กล่าว "สุนทรพจน์สำคัญ" ในงานประชุมที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของจีน หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนธุรกิจ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐ หม่าได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงร่วมกับโรบิน เจิ้ง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ และหวาง ซิง หัวหน้าบริษัท Meituan ซึ่งสื่อของรัฐรายงานนั้นว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei และเล่ย จุน หัวหน้าบริษัท Xiaomi ได้กล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง โพนี่ หม่า หัวหน้าบริษัท Tencent และหวาง ชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และหวาง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหุ่นยนต์ Unitree เข้าร่วมงานด้วย ปักกิ่งได้พยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากดำเนินแคมเปญมาหลายปีเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ หม่าเป็นเหยื่อรายสำคัญที่สุดในการปราบปรามเทคโนโลยีของปักกิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาแทรกแซงอย่างดุเดือดในช่วงปลายปี 2020 เพื่อยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกของ Ant Financial Group ตามแผน การที่หม่าเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันจันทร์ถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์จากปักกิ่งเพื่อยืนยันทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อภาคเอกชน นักวิเคราะห์กล่าว จาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวในการประชุมที่สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินแห่งเอเชียในฮ่องกง เธอเสริมว่ารัฐบาลต้องการ "สร้างความเชื่อมั่น" ให้กับบริษัทจีน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชน ขณะที่ผู้บริหารต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกกล่าวหาและการกักขังหลายครั้งโดยหน่วยงานท้องถิ่น ในอดีต สี จิ้นผิงเคยใช้การประชุมกับผู้นำธุรกิจเพื่อสัญญาว่าจะลดหย่อนภาษีและให้โอกาสกับรัฐวิสาหกิจอย่างเท่าเทียมกัน การเกิดขึ้นของโมเดลปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัยจากสตาร์ทอัพ DeepSeek ช่วยกระตุ้นความสนใจในเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง และจุดประกายให้ตลาดกระทิงเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของหุ้นเทคโนโลยีของประเทศ ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 30 แห่งที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนตอบรับต่อความก้าวหน้าของ DeepSeek และข้อความเชิงบวกของปักกิ่งต่อภาคเทคโนโลยี https://www.ft.com/content/ac8da614-6bd4-4328-a522-a1712986d73f
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีการอัปเดตใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป
    .
    สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน
    .
    ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
    .
    นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆ แล้ว ในการอัปเดตล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้
    .
    อย่างไรก็ตาม บนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม"
    .
    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัปเดตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ
    .
    หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ
    .
    สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัปเดตดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี
    .
    "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมติฐานต่างๆ ที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ไต้หวันพยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน
    .
    ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา
    .
    ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดักเตอร์ของเกาะแห่งนี้
    .
    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น
    .
    ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง
    .
    ไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015544
    ..............
    Sondhi X
    ไต้หวันยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีการอัปเดตใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป . สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน . ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน . นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆ แล้ว ในการอัปเดตล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ . อย่างไรก็ตาม บนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม" . กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัปเดตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ . หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ . สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัปเดตดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี . "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมติฐานต่างๆ ที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ . ไต้หวันพยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน . ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา . ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดักเตอร์ของเกาะแห่งนี้ . ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น . ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง . ไต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015544 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1149 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันในวันอาทิตย์(16ก.พ.) ยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯที่มีการอัพเดทใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป

    สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน

    ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน

    นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆแล้ว ในการอัทเดทล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้

    อย่างไรก็ตามบนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม"

    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัพเดทเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ

    หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่้นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ

    สถาบันอเมริกาในไต้หวัน(AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัพเดทดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี

    "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมุติฐานต่างๆที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ

    ไต้หวัน พยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน

    ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา

    ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์(14ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯและด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดัคเตอร์ของเกาะแห่งนี้

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น

    ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง

    หต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้

    (ที่มา:เอเอฟพี)
    https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36XB67E
    ไต้หวันในวันอาทิตย์(16ก.พ.) ยกย่องถ้อยคำที่ "เป็นพวกและเป็นมิตร" เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯที่มีการอัพเดทใหม่ ซึ่งถอดข้อความที่ว่าวอชิงตัน "ไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวันมาช้านาน แม้พวกเขาถอนการรับรองทางการทูตเกาะปกครองตนเองแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1979 แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีอิทธิพลมากกว่าแทน ภาษาอย่างเป็นทางการที่ใช้จำกัดความความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไต้หวัน เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากและความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ต่อการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อเท็จจริงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเกี่ยวกับเกาะไต้หวัน เคยโหมกระพือการตอบโต้ด้วยความเดือดดาลมาจากจีน ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน นอกจากปรับแต่งข้อความอื่นๆแล้ว ในการอัทเดทล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ลบบรรทัดที่มีการเน้นย้ำว่า "เราไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน" ออกไป เอเอฟพีวิเคราะห์ข้อความบนเพจกระทวงการต่างประเทศสหรัฐฯเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามบนเพจยังคงเน้นย้ำว่าวอชิงตันยอมรับเพียงปักกิ่ง ในฐานะรัฐบาลจีนภายใต้ "นโยบายจีนเดียวที่ยืดถือมานาน" และคัดค้านการ "เปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม" กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันบอกว่าถ้อยคำ "ที่เป็นบวกและเป็นมิตร" ในเอกสารข้อเท็จจริงที่อัพเดทเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สะท้อนถึงความใกล้ชิดและเป็นมิตรในความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ หลิน เชีย-ลัง รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ขอบคุณรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "สำหรับคำมั่้นสัญญาต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เศรษฐกิจไต้หวัน-อเมริกา ความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงด้านอวกาศนานาชาติของไต้หวัน" กระทรวงการต่างประเทศระบุ สถาบันอเมริกาในไต้หวัน(AIT) ซึ่งถือเป็นสถานทูตโดยพฤตินัยของสหรัฐฯ บอกว่าการอัพเดทดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ "เราเน้นย้ำมาช้านานว่าเราคัดค้านการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่อสถานภาพในปัจจุบัน" โฆษกของ AIT ระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อเอเอฟพี "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับทุกสมมุติฐานต่างๆที่จีนนำเสนอ หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน" ถ้อยแถลงระบุ ไต้หวัน พยายามหาทางอยู่ฝ่ายเดียวกับ ทรัมป์ ผู้ซึ่งสไตล์ทางการทูตก่อความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของเขาในการปกป้องเกาะแห่งนี้จากจีน ทรัมป์ เคยก่อความวิตกกังวลแก่ไต้หวัน ด้วยการบ่งชี้ว่าไทเปควรจ่ายเงินตอบแทนแก่สหรัฐฯ สำหรับเป็นค่าปกป้องและกล่าวหาเกาะแห่งนี้ขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ประกาศกร้าวเมื่อวันศุกร์(14ก.พ.) ว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯและด้านการป้องกันตนเอง หลัง ทรัมป์ ขู่รีดภาษี 100% ต่อชิปเซเมคอนดัคเตอร์ของเกาะแห่งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯถอดข้อความเกี่ยวกับการไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวันออกไป โดยในเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ณ ขณะนั้น ได้ถอดข้อความดังกล่าว ซึ่งก่อความเดือดดาลแก่จีน ก่อคืนสถานะมันกลับมาหลังจากนั้น ข้อพิพาทระหว่างจีนกับไต้หวัน ต้องย้อนกลับไปใน 1949 ครั้งที่กองกำลังชาตินิยมก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค หลบหนีไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง หต้หวัน ซึ่งมีรัฐบาล กองทัพและค่าเงินเป็นของตนเอง เรียกตัวเองว่าเป็นชาติอธิปไตย แต่ไม่ถึงขั้นประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเส้นตายที่ปักกิ่งขีดไว้ (ที่มา:เอเอฟพี) https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36XB67E
    FACTCHECK.AFP.COM
    Posts falsely claim Trump administration changed Taiwan webpage
    Various US government websites have been scrubbed of key information since Donald Trump began his second term, but the State Department has not overhauled its Taiwan factsheet webpage as of February 14. Social media posts alleging the page had been altered falsely shared a screenshot from an older version of the site that was changed under former president Joe Biden.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลอดเลือดหัวใจตีบ

    ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน

    การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease)

    การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

    ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว

    การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP)

    การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด

    ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

    จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว

    ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    Cr. Santi Manadee
    #หลอดเลือดหัวใจตีบ ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease) การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP) การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ Cr. Santi Manadee
    DOI.ORG
    Gastroesophageal reflux disease influences blood pressure components, lipid profile and cardiovascular diseases: Evidence from a Mendelian randomization study
    Background Gastroesophageal reflux disease (GERD) is a prevalent gastrointestinal disorder associated with a range of cardiovascular and metabolic complications. However, the relationship between GERD and blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases remains unclear. Methods Leveraging genetic variants associated with GERD as instrumental variables, we performed this Mendelian randomization (MR) analyses. Blood pressure components, lipid profile parameters, as well as cardiovascular diseases were considered as outcomes. Furthermore, we conducted reverse MR analysis to explore the association of these factors with the risk of GERD. Results Our MR analysis discovered a potential causal influence of GERD on blood pressure components, with genetically predicted GERD positively associated with systolic blood pressure (β = 0.053, P = 0.036), diastolic blood pressure (β = 0.100, P < 0.001), and mean arterial pressure (β = 0.106, P < 0.001). Additionally, genetically predicted GERD showed a significant impact on lipid profile, leading to increased genetically predicted levels of low-density lipoprotein (LDL) cholesterol (β = 0.093, P < 0.001), and triglycerides (β = 0.153, P < 0.001), while having a negative effect on high-density lipoprotein (HDL) cholesterol (β = -0.115, P = 0.002). Furthermore, our study indicated a noteworthy causal association between genetically predicted GERD and increased risk of myocardial infarction [odds ratio (OR) = 1.272, P = 0.019)] and hypertension (OR = 1.357, P < 0.001). No significant association was found between GERD and pulse pressure, total cholesterol, heart failure, and atrial fibrillation ( P > 0.05). Reverse MR analysis indicates that blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases do not lead to an increased risk of GERD (all P > 0.05). Furthermore, mediation MR analysis reveals that LDL cholesterol (proportion mediated: 19.99%, 95% CI: 4.49% to 35.50%), HDL cholesterol (proportion mediated: 11.71%, 95% CI: 5.23% to 18.19%), and hypertension (proportion mediated: 35.09%, 95% CI: 24.66% to 45.53%) mediated the effect of GERD on myocardial infarction, while other factors did not participate in this pathway. Conclusions This MR study provides evidence supporting a causal relationship between GERD and alterations in blood pressure components, lipid profile, and increased risk of cardiovascular diseases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่

    แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา

    ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ

    ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ

    การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก
    โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว

    นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก

    สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ 

    สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที

    อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

    ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6%

    ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
    สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้

    การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน

    อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

    คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง

    การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง

    ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ

    แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร

    ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่ แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ  สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6% ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้ การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯมีความตั้งใจปรับเปลี่ยนโฟกัสด้านการทหาร ให้ความสำคัญลำดับต้นๆต่อการเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในอินโด-แปซิฟิก เช่นเดียวกับการป้องกันมาตุภูมิ จากคำประกาศกร้าวของ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน)
    .
    ระหว่างกล่าวกับที่ประชุมสนับสนุนยูเครน ของเหล่ารัฐมนตรีกลาโหมนาโตและบรรดาชาตินอกสมาชิกนาโต ในกรุงบรัสเซลส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆ ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของวอชิงตัน และเรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำในด้านความมั่นคงของตนเอง
    .
    เฮกเซธ เน้นย้ำว่า "ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์" บีบให้วอชิงตัน ต้องหันไปมุ่งเน้นคุ้มกันชายแดนของตนเองและตอบโต้ภัยคุกคามจากปักกิ่ง "สหรัฐฯต้องเผชิญกับภัยคุกคามสืบเนื่อง ที่มีต่อมาตุภูมิของเรา" เขากล่าว พร้อมบอกว่า "เราต้อง และเรากำลังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชายแดนของเรา"
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ จีน คือภัยคุกคามสำคัญที่สุด โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น "คู่แข่งที่ทัดเทียม" ทั้งในแง่ศักยภาพและความตั้งใจคุกคามผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
    .
    "สหรัฐฯให้ความสำคัญลำดับต้นๆกับการป้องปรามสงครามกับจีนในแปซิฟิก ตะหนักถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน และต้องเลือกทุ่มเททรัพยากรไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อรับประกันว่าการป้องปรามนั้นจะไม่ล้มเหลว" เฮกเซธระบุ
    .
    ความเป็นคู่อริทางยุทธศาสตร์ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง 2 ชาติต่างยกระดับการปรากฏตัวทางทหารและเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก ในขณะที่สหรัฐฯส่งเสียงเตือนซ้ำๆในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากความเคลื่อนไหวเสริมกำลังทหารและความทะเยอทะยานในระดับภูมิภาคของจีน
    .
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำจุดยืนดังกล่าวเช่นกัน ประกาศกร้าวว่าการตอบโต้จีน จะเป็นแก่นกลางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัย 2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขากล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีน "โกหก หลอกลวง เจาะระบบและขโมยข้อมูล เปิดทางสู่สถานะมหาอำนาจโลก โดยที่เราต้องเป็นฝ่ายชดใช้"
    .
    รูบิโอ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆนานาของสหรัฐฯก่อนหน้านี้ ซึ่งอนุญาตให้ห่วงโซ่อุปทานสำคัญๆโยกย้ายไปยังจีน เตือนว่ามันทำให้การผลิตของอเมริกาตกอยู่ในความอ่อนแอ นอกจากนี้แล้วเขายังเรียกร้องให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกว่าเดิม ในการจำกัดอิทธิพลของปักกิ่งในอินโด-แปซิฟิก และที่อื่นๆ
    .
    ปักกิ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวมาตลอดต่อข้อกล่าวหานี้ พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯคือขุมกำลังหลักที่บ่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาค กระทรวงกลาโหมของจีนประณามความพยายามของวอชิงตัน ในการยกระดับปรากฏตัวทางทหารในอินโด-แปซิฟิก ว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง ในความพยายาม "ควบคุมจีน" และปั้นแต่งเรื่องเล่า "ภัยคุกคามจากจีน" แบบเลยเถิด
    .
    นอกจากนี้แล้ว จีน ยังได้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อกรณีกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับไต้หวัน เน้นย้ำว่าพวกเขามองว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของประเทศ ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" ทั้งนี้ที่ผ่านมา ปักกิ่ง ประณามวอชิงตัน ต่อการขายอาวุธต่างๆนานาให้ไทเป กล่าวหาว่าอเมริกาปลุกปั่นสถานการณ์ความตึงเครียด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014311
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯมีความตั้งใจปรับเปลี่ยนโฟกัสด้านการทหาร ให้ความสำคัญลำดับต้นๆต่อการเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในอินโด-แปซิฟิก เช่นเดียวกับการป้องกันมาตุภูมิ จากคำประกาศกร้าวของ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน) . ระหว่างกล่าวกับที่ประชุมสนับสนุนยูเครน ของเหล่ารัฐมนตรีกลาโหมนาโตและบรรดาชาตินอกสมาชิกนาโต ในกรุงบรัสเซลส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆ ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของวอชิงตัน และเรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำในด้านความมั่นคงของตนเอง . เฮกเซธ เน้นย้ำว่า "ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์" บีบให้วอชิงตัน ต้องหันไปมุ่งเน้นคุ้มกันชายแดนของตนเองและตอบโต้ภัยคุกคามจากปักกิ่ง "สหรัฐฯต้องเผชิญกับภัยคุกคามสืบเนื่อง ที่มีต่อมาตุภูมิของเรา" เขากล่าว พร้อมบอกว่า "เราต้อง และเรากำลังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชายแดนของเรา" . รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ จีน คือภัยคุกคามสำคัญที่สุด โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น "คู่แข่งที่ทัดเทียม" ทั้งในแง่ศักยภาพและความตั้งใจคุกคามผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก . "สหรัฐฯให้ความสำคัญลำดับต้นๆกับการป้องปรามสงครามกับจีนในแปซิฟิก ตะหนักถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน และต้องเลือกทุ่มเททรัพยากรไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อรับประกันว่าการป้องปรามนั้นจะไม่ล้มเหลว" เฮกเซธระบุ . ความเป็นคู่อริทางยุทธศาสตร์ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง 2 ชาติต่างยกระดับการปรากฏตัวทางทหารและเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก ในขณะที่สหรัฐฯส่งเสียงเตือนซ้ำๆในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากความเคลื่อนไหวเสริมกำลังทหารและความทะเยอทะยานในระดับภูมิภาคของจีน . มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำจุดยืนดังกล่าวเช่นกัน ประกาศกร้าวว่าการตอบโต้จีน จะเป็นแก่นกลางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัย 2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขากล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีน "โกหก หลอกลวง เจาะระบบและขโมยข้อมูล เปิดทางสู่สถานะมหาอำนาจโลก โดยที่เราต้องเป็นฝ่ายชดใช้" . รูบิโอ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆนานาของสหรัฐฯก่อนหน้านี้ ซึ่งอนุญาตให้ห่วงโซ่อุปทานสำคัญๆโยกย้ายไปยังจีน เตือนว่ามันทำให้การผลิตของอเมริกาตกอยู่ในความอ่อนแอ นอกจากนี้แล้วเขายังเรียกร้องให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกว่าเดิม ในการจำกัดอิทธิพลของปักกิ่งในอินโด-แปซิฟิก และที่อื่นๆ . ปักกิ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวมาตลอดต่อข้อกล่าวหานี้ พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯคือขุมกำลังหลักที่บ่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาค กระทรวงกลาโหมของจีนประณามความพยายามของวอชิงตัน ในการยกระดับปรากฏตัวทางทหารในอินโด-แปซิฟิก ว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง ในความพยายาม "ควบคุมจีน" และปั้นแต่งเรื่องเล่า "ภัยคุกคามจากจีน" แบบเลยเถิด . นอกจากนี้แล้ว จีน ยังได้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อกรณีกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับไต้หวัน เน้นย้ำว่าพวกเขามองว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของประเทศ ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" ทั้งนี้ที่ผ่านมา ปักกิ่ง ประณามวอชิงตัน ต่อการขายอาวุธต่างๆนานาให้ไทเป กล่าวหาว่าอเมริกาปลุกปั่นสถานการณ์ความตึงเครียด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014311 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Angry
    11
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2099 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวจากMGR Chinaระบุว่าหลายคนงง! ทำไมจีนส่ง “นักรบหมาป่า” ประจำด่านยุโรป

    ข่าวจีนแต่งตั้งนายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส วัย 60 ปี เป็น #ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรป ทำเอานักการทูตรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งในช่วงที่ #ความสัมพันธ์จีน-ยุโรปมาถึงจุดเปลี่ยน แต่ด้วยสไตล์บู๊มากกว่าบุ๋นของนายหลู เขาจึงไม่น่าจะใช่กับช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้

    นายหลูขึ้นชื่อในเรื่องการออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างดุดัน จนได้รับฉายานักการทูต “นักรบหมาป่า” ( #Wolf Warrior) ตัวฉกาจ ฉายานี้ใช้เรียกบุคคลที่ออกมาตอบโต้นักวิจารณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูกับจีนได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

    ท่านทูตผู้นี้เอ่ยวาทะเด็ด แต่ไม่เข้าหูชาติในสหภาพยุโรป (อียู) บ่อยครั้ง เช่น เมื่อปี 2566 ขณะประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส นายหลูตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐอดีตสหภาพโซเวียต เขากล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า รัฐเหล่านี้ไม่มีสถานะที่มีผลบังคับใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ นายหลูมีนัยถึง #กลุ่มรัฐบอลติกคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียซึ่งเคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันเป็นสมาชิกอียูและองค์การนาโต

    “เรายังจำคำพูดเกี่ยวกับรัฐบอลติกนี้ได้ดี” นักการทูตยุโรปในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งระบุ

    มีอยู่คราวหนึ่งนาย อังตวน บงดาซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของมูลนิธิเพื่อการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (FRS) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิด บ่นจีนว่ากดดันไม่ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติฝรั่งเศสไปเยือนไต้หวัน ท่านทูตหลูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ประณามนายบงดาซ์ว่า เป็น “อันธพาลตัวกะเปี๊ยก” “หมาไนบ้า” และ “ตัวป่วนอุดมการณ์” ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านจีน กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออถแถลงการณ์ประณาม รับไม่ได้กับความคิดเห็นของนายหลู รวมถึง "การดูถูกและข่มขู่ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและนักวิจัยชาวฝรั่งเศส" เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564

    ต่อมาในปี 2565 นายหลูให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แนะให้ชาวไต้หวันเข้ารับการปรับทัศนติเมื่อจีนผนวกไต้หวัน ฝ่ายสนับสนุนเอกราชไต้หวันถึงกับเต้น

    นายหลูดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศสจนครบวาระ 5 ปีในเดือนธันวาคมปี 2567

    ก่อนหน้านั้น สมัยเป็นเอกอัครราชทูตประจำแคนาดา เขาเคยกล่าวหารัฐบาลแคนาดาเมื่อเดือนมกราคมปี 2562 ว่าเป็นคนผิวขาวที่วางอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น จากกรณีที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนซึ่งถูกจีนควบคุมตัว การจับกุมชาวแคนาดาเกิดขึ้น หลังจาก “เมิ่ง หวั่นโจว” ซีอีโอบริษัทหัวเว่ยถูกแคนาดาจับกุมตัวตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวการแต่งตั้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 ก.พ.) ว่า นายหลูจะช่วยเหลือและประสานงานการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเขาเป็นนักการทูตระดับสูงผู้รอบรู้สถานการณ์ในยุโรปเป็นอย่างดี

    ที่ว่าความสัมพันธ์จีน-ยุโรปเดินมาถึงจุดเปลี่ยนนั่นก็คือ พวกสายเหยี่ยวต้านจีนในอียู เช่น นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่งสัญญาณว่ายินดีที่จะทบทวนความสัมพันธ์จีน-อียู ที่กำลังย่ำแย่ อันเนื่องมาจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าและความไม่พอใจที่จีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย

    อียูเริ่มเปลี่ยนท่าทีท่ามกลางความตึงเครียดที่ส่อเค้าระหว่างอียู-สหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% และขู่ขึ้นภาษีกับยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปเป็นตำแหน่งที่จีนตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 โดยนายหลูรับตำแหน่งสืบต่อจากนายอู๋ หงปั๋ว วัย 72 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งคนแรก

    ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์
    ภาพประกอบข่าว
    นายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำฝรั่งเศสและผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปคนใหม่ - ภาพ : ซินหัว
    รายงานข่าวจากMGR Chinaระบุว่าหลายคนงง! ทำไมจีนส่ง “นักรบหมาป่า” ประจำด่านยุโรป ข่าวจีนแต่งตั้งนายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส วัย 60 ปี เป็น #ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรป ทำเอานักการทูตรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งในช่วงที่ #ความสัมพันธ์จีน-ยุโรปมาถึงจุดเปลี่ยน แต่ด้วยสไตล์บู๊มากกว่าบุ๋นของนายหลู เขาจึงไม่น่าจะใช่กับช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้ นายหลูขึ้นชื่อในเรื่องการออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างดุดัน จนได้รับฉายานักการทูต “นักรบหมาป่า” ( #Wolf Warrior) ตัวฉกาจ ฉายานี้ใช้เรียกบุคคลที่ออกมาตอบโต้นักวิจารณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูกับจีนได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ท่านทูตผู้นี้เอ่ยวาทะเด็ด แต่ไม่เข้าหูชาติในสหภาพยุโรป (อียู) บ่อยครั้ง เช่น เมื่อปี 2566 ขณะประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส นายหลูตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐอดีตสหภาพโซเวียต เขากล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า รัฐเหล่านี้ไม่มีสถานะที่มีผลบังคับใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ นายหลูมีนัยถึง #กลุ่มรัฐบอลติกคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียซึ่งเคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันเป็นสมาชิกอียูและองค์การนาโต “เรายังจำคำพูดเกี่ยวกับรัฐบอลติกนี้ได้ดี” นักการทูตยุโรปในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งระบุ มีอยู่คราวหนึ่งนาย อังตวน บงดาซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของมูลนิธิเพื่อการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (FRS) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิด บ่นจีนว่ากดดันไม่ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติฝรั่งเศสไปเยือนไต้หวัน ท่านทูตหลูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ประณามนายบงดาซ์ว่า เป็น “อันธพาลตัวกะเปี๊ยก” “หมาไนบ้า” และ “ตัวป่วนอุดมการณ์” ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านจีน กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออถแถลงการณ์ประณาม รับไม่ได้กับความคิดเห็นของนายหลู รวมถึง "การดูถูกและข่มขู่ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและนักวิจัยชาวฝรั่งเศส" เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ต่อมาในปี 2565 นายหลูให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แนะให้ชาวไต้หวันเข้ารับการปรับทัศนติเมื่อจีนผนวกไต้หวัน ฝ่ายสนับสนุนเอกราชไต้หวันถึงกับเต้น นายหลูดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศสจนครบวาระ 5 ปีในเดือนธันวาคมปี 2567 ก่อนหน้านั้น สมัยเป็นเอกอัครราชทูตประจำแคนาดา เขาเคยกล่าวหารัฐบาลแคนาดาเมื่อเดือนมกราคมปี 2562 ว่าเป็นคนผิวขาวที่วางอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น จากกรณีที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนซึ่งถูกจีนควบคุมตัว การจับกุมชาวแคนาดาเกิดขึ้น หลังจาก “เมิ่ง หวั่นโจว” ซีอีโอบริษัทหัวเว่ยถูกแคนาดาจับกุมตัวตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวการแต่งตั้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 ก.พ.) ว่า นายหลูจะช่วยเหลือและประสานงานการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเขาเป็นนักการทูตระดับสูงผู้รอบรู้สถานการณ์ในยุโรปเป็นอย่างดี ที่ว่าความสัมพันธ์จีน-ยุโรปเดินมาถึงจุดเปลี่ยนนั่นก็คือ พวกสายเหยี่ยวต้านจีนในอียู เช่น นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่งสัญญาณว่ายินดีที่จะทบทวนความสัมพันธ์จีน-อียู ที่กำลังย่ำแย่ อันเนื่องมาจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าและความไม่พอใจที่จีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย อียูเริ่มเปลี่ยนท่าทีท่ามกลางความตึงเครียดที่ส่อเค้าระหว่างอียู-สหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% และขู่ขึ้นภาษีกับยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปเป็นตำแหน่งที่จีนตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 โดยนายหลูรับตำแหน่งสืบต่อจากนายอู๋ หงปั๋ว วัย 72 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งคนแรก ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์ ภาพประกอบข่าว นายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำฝรั่งเศสและผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปคนใหม่ - ภาพ : ซินหัว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯอิชิบะแสดงความสบายใจ เชื่อญี่ปุ่นไม่ถูกอเมริการีดภาษีหนัก เนื่องจากตอนไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (7) ได้อธิบายให้ทรัมป์ “ตระหนัก” ว่าแดนอาทิตย์อุทัยเป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ ขณะที่บีบีซีเผยเบื้องหลัง ความสำเร็จของอิชิบะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขา “เตรียมตัวทำการบ้านอย่างหนัก” ดังนั้น แทนที่จะเผชิญหน้า เขากลับเลือกพูดในสิ่งที่ทรัมป์อยากได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกา
    .
    ภายหลังการประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวนกรุงวอชิงตันเมื่อวันศุกร์ (7) นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ของแดนอาทิตย์อุทัยว่า ตอนที่ดูในทีวี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูน่ากลัวมาก แต่พอมาเจอตัวจริง ผู้นำสหรัฐฯ จริงใจ ดูมีอำนาจมากและเป็นตัวของตัวเองสูง และเสริมว่า ตนและทรัมป์ไม่ได้พูดเรื่องภาษีศุลกากรรถยนต์ รวมทั้งยอมรับว่าไม่รู้ว่า ญี่ปุ่นจะถูกอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มหรือไม่
    .
    อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์มองว่า จนถึงตอนนี้โตเกียวยังคงรอดพ้นจากเพลิงสงครามการค้าที่ทรัมป์เที่ยวกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ ทั่วโลกตั้งสัปดาห์แรกๆ หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยที่สัปดาห์ที่แล้วเขาประกาศเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน แม้ยอมเลื่อนการเก็บภาษีสองประเทศแรกภายหลังการหารือกับผู้นำของ 2 ชาติดังกล่าวก็ตาม
    .
    กระนั้น ภายหลังกลับถึงบ้าน อิชิบะกล่าวที่โตเกียวในวันอาทิตย์ (10) โดยระบุว่า เชื่อว่า ทรัมป์ “ตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ญี่ปุ่นต่างจากประเทศอื่นๆ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนซึ่งลงทุนในอเมริกาเป็นรายใหญ่สุดต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน และญี่ปุ่นกำลังสร้างงานจำนวนมากในอเมริกา” ดังนั้น เขาจึงเชื่อว่า อเมริกาจะไม่ผลักดันไอเดียการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มกับญี่ปุ่น และสองประเทศจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พร้อมกับย้ำว่า ภาษีศุลกากรควรบังคับใช้ด้วยวิธีที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ
    .
    จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มียอดการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศในอเมริกาสูงที่สุดคือ 783,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามด้วยแคนาดาและเยอรมนี
    .
    นอกจากนั้น แม้กดดันให้อิชิบะยุติการที่ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าอเมริกา 68,500 ล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์มองแง่ดีว่า เป้าหมายนี้จะลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้คำมั่นจากอิชิบะว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในอเมริกา 1 ล้านล้านดอลลาร์
    .
    อิชิบะ ระบุว่า เหล็กกล้า ปัญญาประดิษฐ์ และยานยนต์ คือธุรกิจที่บริษัทญี่ปุ่นจะเข้าไปลงทุนในอเมริกา และสำทับว่า สามารถประนีประนอมกับทรัมป์ได้เรื่องนิปปอน สตีล โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ตอนนี้ นิปปอนจะลงทุนก้อนใหญ่ในยูเอส สตีลโดยไม่เข้าไปถือหุ้นใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทเหล็กกล้าของญี่ปุ่นแห่งนี้พยายามเข้าผนวกกิจการยูเอส สตีล ก่อนจะถูกอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขัดขวาง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ โดยที่ได้รับเสียงเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแข็งขันจากทางพรรครีพับลิกัน
    .
    ด้าน บีบีซี รายงานว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะอิชิบะทำการบ้านมาดี ทั้งด้วยการ “ศึกษาหาข้อมูล” กับพวกเจ้าหน้าที่ รวมทั้งขอคำแนะนำจากฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าเขา ตลอดจนขอความช่วยเหลือจากภรรยาม่ายของชินโซ อาเบะ เนื่องจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถึงแก่อสัญกรรมแล้วผู้นี้ มีความสนิทชิดเชื้อเป็นอันดีกับทรัมป์
    .
    บีบีซีชี้ว่า ความพยายามเหล่านี้เห็นผลชัดเจน ทำให้การพบปะกันครั้งนี้กลายเป็นการฟื้นความมั่นใจ ทั้งทรัมป์และอิชิบะดูเหมือนใจตรงกันเกี่ยวกับแผนส่งเสริมการค้าและการทหารจนอาจเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของความสัมพันธ์วอชิงตัน-โตเกียว
    .
    นอกจากแผนการลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกาแล้ว อิชิบะยังบอกว่า โตเกียวจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมนโยบายเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ทรัมป์ประกาศระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    แม้อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นหายใจทั่วท้องได้ แต่เจฟฟรีย์ ฮอลล์ อาจารย์มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติคันดะในญี่ปุ่น ชี้ว่า เป้าหมายหลักของทริปนี้ของอิชิบะ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ เพราะนอกจากเวลานี้เขามีฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้ว ยังถูกสื่อท้องถิ่นปรามาสมาตลอดว่า ไม่มีทางประสบความสำเร็จทางการทูต เพราะทั้งเงอะงะ ไม่ชอบเข้าสังคม และจะถูกทรัมป์ไล่ต้อนอย่างแน่นอน
    .
    แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เพราะดูเหมือนอิชิดะประสบความสำเร็จอย่างมาก
    .
    จากที่เคยเป็นนักการเมืองที่พูดพล่ามในสภา แต่อิชิบะได้รับคำแนะนำจากทีมงานระหว่างการวางกลยุทธ์ก่อนบินไปพบทรัมป์ให้ “พูดแบบรวบรัดด้วยถ้อยคำเรียบง่าย” ฮิลล์เสริมว่า อิชิบะทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยการยกยอปอปั้นทรัมป์ และเสนอโครงการลงทุนในอเมริกาแทนการเผชิญหน้า
    .
    ฮิลล์ทิ้งท้ายว่า แม้มีหลายประเด็นที่ญี่ปุ่นอาจไม่เห็นด้วยกับอเมริกา เช่น ข้อเสนอของทรัมป์ในการเข้ายึดกาซา หรือสงครามการค้าอเมริกา-จีนที่ญี่ปุ่นจับตามองด้วยความกังวล เนื่องจากปักกิ่งเป็นคู่ค้าใหญ่สุดของโตเกียว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการลงทุนใหญ่ที่สุดของบริษัทญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทรัมป์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และมีแนวโน้มสูงสุดว่า ญี่ปุ่นอาจทำตัวเป็น “เพื่อนที่พร้อมเข้าข้างอเมริกาเสมอ”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    นายกฯอิชิบะแสดงความสบายใจ เชื่อญี่ปุ่นไม่ถูกอเมริการีดภาษีหนัก เนื่องจากตอนไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (7) ได้อธิบายให้ทรัมป์ “ตระหนัก” ว่าแดนอาทิตย์อุทัยเป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ ขณะที่บีบีซีเผยเบื้องหลัง ความสำเร็จของอิชิบะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขา “เตรียมตัวทำการบ้านอย่างหนัก” ดังนั้น แทนที่จะเผชิญหน้า เขากลับเลือกพูดในสิ่งที่ทรัมป์อยากได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกา . ภายหลังการประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวนกรุงวอชิงตันเมื่อวันศุกร์ (7) นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ของแดนอาทิตย์อุทัยว่า ตอนที่ดูในทีวี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูน่ากลัวมาก แต่พอมาเจอตัวจริง ผู้นำสหรัฐฯ จริงใจ ดูมีอำนาจมากและเป็นตัวของตัวเองสูง และเสริมว่า ตนและทรัมป์ไม่ได้พูดเรื่องภาษีศุลกากรรถยนต์ รวมทั้งยอมรับว่าไม่รู้ว่า ญี่ปุ่นจะถูกอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มหรือไม่ . อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์มองว่า จนถึงตอนนี้โตเกียวยังคงรอดพ้นจากเพลิงสงครามการค้าที่ทรัมป์เที่ยวกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ ทั่วโลกตั้งสัปดาห์แรกๆ หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยที่สัปดาห์ที่แล้วเขาประกาศเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน แม้ยอมเลื่อนการเก็บภาษีสองประเทศแรกภายหลังการหารือกับผู้นำของ 2 ชาติดังกล่าวก็ตาม . กระนั้น ภายหลังกลับถึงบ้าน อิชิบะกล่าวที่โตเกียวในวันอาทิตย์ (10) โดยระบุว่า เชื่อว่า ทรัมป์ “ตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ญี่ปุ่นต่างจากประเทศอื่นๆ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนซึ่งลงทุนในอเมริกาเป็นรายใหญ่สุดต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน และญี่ปุ่นกำลังสร้างงานจำนวนมากในอเมริกา” ดังนั้น เขาจึงเชื่อว่า อเมริกาจะไม่ผลักดันไอเดียการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มกับญี่ปุ่น และสองประเทศจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พร้อมกับย้ำว่า ภาษีศุลกากรควรบังคับใช้ด้วยวิธีที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ . จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มียอดการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศในอเมริกาสูงที่สุดคือ 783,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามด้วยแคนาดาและเยอรมนี . นอกจากนั้น แม้กดดันให้อิชิบะยุติการที่ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าอเมริกา 68,500 ล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์มองแง่ดีว่า เป้าหมายนี้จะลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้คำมั่นจากอิชิบะว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในอเมริกา 1 ล้านล้านดอลลาร์ . อิชิบะ ระบุว่า เหล็กกล้า ปัญญาประดิษฐ์ และยานยนต์ คือธุรกิจที่บริษัทญี่ปุ่นจะเข้าไปลงทุนในอเมริกา และสำทับว่า สามารถประนีประนอมกับทรัมป์ได้เรื่องนิปปอน สตีล โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ตอนนี้ นิปปอนจะลงทุนก้อนใหญ่ในยูเอส สตีลโดยไม่เข้าไปถือหุ้นใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทเหล็กกล้าของญี่ปุ่นแห่งนี้พยายามเข้าผนวกกิจการยูเอส สตีล ก่อนจะถูกอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขัดขวาง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ โดยที่ได้รับเสียงเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแข็งขันจากทางพรรครีพับลิกัน . ด้าน บีบีซี รายงานว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะอิชิบะทำการบ้านมาดี ทั้งด้วยการ “ศึกษาหาข้อมูล” กับพวกเจ้าหน้าที่ รวมทั้งขอคำแนะนำจากฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าเขา ตลอดจนขอความช่วยเหลือจากภรรยาม่ายของชินโซ อาเบะ เนื่องจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถึงแก่อสัญกรรมแล้วผู้นี้ มีความสนิทชิดเชื้อเป็นอันดีกับทรัมป์ . บีบีซีชี้ว่า ความพยายามเหล่านี้เห็นผลชัดเจน ทำให้การพบปะกันครั้งนี้กลายเป็นการฟื้นความมั่นใจ ทั้งทรัมป์และอิชิบะดูเหมือนใจตรงกันเกี่ยวกับแผนส่งเสริมการค้าและการทหารจนอาจเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของความสัมพันธ์วอชิงตัน-โตเกียว . นอกจากแผนการลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกาแล้ว อิชิบะยังบอกว่า โตเกียวจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมนโยบายเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ทรัมป์ประกาศระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . แม้อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นหายใจทั่วท้องได้ แต่เจฟฟรีย์ ฮอลล์ อาจารย์มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติคันดะในญี่ปุ่น ชี้ว่า เป้าหมายหลักของทริปนี้ของอิชิบะ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ เพราะนอกจากเวลานี้เขามีฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้ว ยังถูกสื่อท้องถิ่นปรามาสมาตลอดว่า ไม่มีทางประสบความสำเร็จทางการทูต เพราะทั้งเงอะงะ ไม่ชอบเข้าสังคม และจะถูกทรัมป์ไล่ต้อนอย่างแน่นอน . แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เพราะดูเหมือนอิชิดะประสบความสำเร็จอย่างมาก . จากที่เคยเป็นนักการเมืองที่พูดพล่ามในสภา แต่อิชิบะได้รับคำแนะนำจากทีมงานระหว่างการวางกลยุทธ์ก่อนบินไปพบทรัมป์ให้ “พูดแบบรวบรัดด้วยถ้อยคำเรียบง่าย” ฮิลล์เสริมว่า อิชิบะทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยการยกยอปอปั้นทรัมป์ และเสนอโครงการลงทุนในอเมริกาแทนการเผชิญหน้า . ฮิลล์ทิ้งท้ายว่า แม้มีหลายประเด็นที่ญี่ปุ่นอาจไม่เห็นด้วยกับอเมริกา เช่น ข้อเสนอของทรัมป์ในการเข้ายึดกาซา หรือสงครามการค้าอเมริกา-จีนที่ญี่ปุ่นจับตามองด้วยความกังวล เนื่องจากปักกิ่งเป็นคู่ค้าใหญ่สุดของโตเกียว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการลงทุนใหญ่ที่สุดของบริษัทญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทรัมป์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และมีแนวโน้มสูงสุดว่า ญี่ปุ่นอาจทำตัวเป็น “เพื่อนที่พร้อมเข้าข้างอเมริกาเสมอ” . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1365 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน
    .
    ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร
    .
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
    .
    นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด
    .
    นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis
    .
    ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่
    .
    ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน
    .
    รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว
    .
    แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด
    .
    กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929
    ..............
    Sondhi X
    จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน . ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร . ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. . นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด . นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis . ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่ . ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน . รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว . แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด . กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2115 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนถือโอกาสที่สหรัฐและสหภาพยุโรปมีความสัมพันธ์ตกต่ำลงอย่างมาก เรียกร้องความร่วมมือกับสหภาพยุโรปเพื่อรับมือกับ "ความท้าทายระดับโลก" ขณะที่สหภาพยุโรปเตรียมรับมือกับภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้นภายใต้การนำของทรัมป์

    หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนเน้นย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหภาพยุโรป โดยเน้นย้ำว่า โลกกำลังเผชิญกับ "ความแตกแยก ความวุ่นงาย และความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย"

    ด้านผู้นำสหภาพยุโรป เช่น เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน แสดงความเห็นโน้มเอียงถึงความเป็นไปได้ในการเปิดกว้างเพื่อทบทวนความสัมพันธ์กับปักกิ่ง แม้จะมีความตึงเครียดด้านการค้าในอดีตและความสัมพันธ์ของจีนกับรัสเซียก็ตาม โดยกำลังนำเสนอ "ข้อตกลง" เพื่อกระตุ้นการค้า แม้ว่ารายละเอียดจะยังไม่ชัดเจน

    จีนยังคงเห็นว่าสหภาพยุโรปคือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และหวังว่าจะมีความร่วมมือที่เชื่อถือได้ แม้ว่าข้อพิพาททางการค้าล่าสุด เช่น ภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรปต่อรถยนต์ไฟฟ้าของจีน จะสั่นคลอนความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ตาม
    จีนถือโอกาสที่สหรัฐและสหภาพยุโรปมีความสัมพันธ์ตกต่ำลงอย่างมาก เรียกร้องความร่วมมือกับสหภาพยุโรปเพื่อรับมือกับ "ความท้าทายระดับโลก" ขณะที่สหภาพยุโรปเตรียมรับมือกับภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้นภายใต้การนำของทรัมป์ หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนเน้นย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหภาพยุโรป โดยเน้นย้ำว่า โลกกำลังเผชิญกับ "ความแตกแยก ความวุ่นงาย และความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย" ด้านผู้นำสหภาพยุโรป เช่น เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน แสดงความเห็นโน้มเอียงถึงความเป็นไปได้ในการเปิดกว้างเพื่อทบทวนความสัมพันธ์กับปักกิ่ง แม้จะมีความตึงเครียดด้านการค้าในอดีตและความสัมพันธ์ของจีนกับรัสเซียก็ตาม โดยกำลังนำเสนอ "ข้อตกลง" เพื่อกระตุ้นการค้า แม้ว่ารายละเอียดจะยังไม่ชัดเจน จีนยังคงเห็นว่าสหภาพยุโรปคือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และหวังว่าจะมีความร่วมมือที่เชื่อถือได้ แม้ว่าข้อพิพาททางการค้าล่าสุด เช่น ภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรปต่อรถยนต์ไฟฟ้าของจีน จะสั่นคลอนความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ตาม
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามการค้าระดับมหาอำนาจระอุ จีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ทันควัน สั่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากอเมริกา รวมทั้งเปิดสอบสวนกูเกิลกรณีผูกขาดตลาด และขึ้นบัญชีบริษัทอเมริกันอีก 2 แห่งในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชัน ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันจันทร์ (3) ผู้นำสหรัฐฯ ผ่อนผันหยุดพักการเล่นงานแคนาดากับเม็กซิโกเอาไว้ก่อน ทำให้ 3 ชาติที่ถูกวอชิงตันหมายหัวในตอนแรก เหลือเพียงปักกิ่งเท่านั้นซึ่งเกิดการต่อกรกันอย่างจริงจัง
    .
    อเมริกาเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการเพิ่มขึ้น 10% รวด ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีผลเมื่อเวลา 00.01 น. วันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาในวอชิงตัน หรือ 12.01 น.ตามเวลาเมืองไทย โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา
    .
    จากนั้นภายในไม่กี่นาทีต่อมา กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากอเมริกา สูงขึ้น 15% จาก น้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% โดยที่การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่นำเข้าจากอเมริกานั้น อาจบังคับใช้กับไซเบอร์ทรัค “เทสลา” ของอีลอน มัสก์ในอนาคต
    .
    จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของจีนเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ซึ่งดูจะเพื่อเปิดโอกาสให้วอชิงตันและปักกิ่งได้ใช้ความพยายามและบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า โดยที่โฆษกทำเนียบขาวก็ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทรัมป์มีแผนหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายสัปดาห์นี้
    .
    ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็ได้เริ่มสงครามการค้าอันโหดร้ายกับจีนในปี 2018 โดยอ้างเหตุจากกรณีที่ปักกิ่งเกินดุลการค้าอเมริกามหาศาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กันไปมาซึ่งครอบคลุมสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก
    .
    สำหรับคราวนี้ บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ได้ลดการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนลง พร้อมกับชี้ว่า สงครามการค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีแนวโน้มจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กันอีก
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และกับสินค้านำเข้าจากแคนดา ยกเว้นสินค้าบางชนิดอย่างเช่นน้ำมัน เก็บเพิ่ม 10% และเรียกเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เพื่อบีบบังคับให้ 3 ประเทศนี้ซึ่งต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยดินแดนของเม็กซิโกและแคนาดา หลบหนีเข้าสหรัฐฯ ตลอดจนให้เม็กซิโก แคนาดา และจีนเร่งความกวดขันไม่ให้มีการแอบจัดส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ ทรัมป์ได้มีการพูดจาทางโทรศัพท์แยกต่างหากกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบามของเม็กซิโก หลังจากนั้น เขาก็สั่งชะลอการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วันในนาทีสุดท้าย โดยระบุว่าทั้งผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ตกลงยกระดับการควบคุมชายแดนตามที่เขาเรียกร้อง เพื่อปราบปรามการลักลอบส่งยาเสพติดและการลักลอบจัดส่งผู้อพยพเข้าอเมริกา
    .
    ทั้งนี้ แคนาดาตกลงใช้เทคโนโลยีใหม่และเจ้าหน้าที่ประจำการบริเวณชายแดนติดกับอเมริกา รวมทั้งร่วมมือกับอเมริกาต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรม การลักลอบส่งเฟนทานิล และการฟอกเงิน
    .
    ส่วนเม็กซิโกตกลงส่งสมาชิกกองกำลังป้องกันประเทศ 10,000 นายประจำการบริเวณชายแดนด้านเหนือที่ติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดผู้ลักลอบข้ามแดนและการส่งยาเสพติดเข้าไปในอเมริกา
    .
    สำหรับกรณีของจีนนั้น ผู้นำของ 2 ประเทศไม่ได้มีการติดต่อพูดโทรศัพท์กัน โดยที่ทำเนียบขาวระบุว่า สี กับ ทรัมป์ จะหารือกันในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เหลือเพียงจีนประเทศเดียว ที่จะถูกสหรัฐฯ เล่นงานขึ้นภาษีตั้งแต่วันอังคาร
    .
    ทรัมป์ยังเตือนว่า อาจขึ้นภาษีศุลกากรจีนรอบใหม่อีก ยกเว้นจีนจะลงมือสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทว่า จีนตอบโต้ว่า เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกาเอง และเตรียมร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WHO) รวมทั้งใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ถึงแม้ปักกิ่งบอกด้วยว่า พร้อมเจรจากับอเมริกา
    .
    แกรี อึง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิสในฮ่องกง ชี้ว่า การตกลงระหว่างอเมริกากับจีนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์จะยากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก และถึงแม้ตกลงกันได้ในบางประเด็น แต่เป็นไปได้ว่า ภาษีศุลกากรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันในประเด็นอื่นๆ อีก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวนในปีนี้
    .
    ก่อนหน้านั้นทรัมป์ยอมรับว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจส่งผลลบระยะสั้นต่อผู้บริโภคอเมริกัน แต่ก็อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ
    .
    ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศดังกล่าวข้างหน้า ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (2) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป อาจเป็นเป้าหมายต่อไป
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ บรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการในบรัสเซลส์ได้ประกาศว่า ยุโรปพร้อมตอบโต้ หากอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องขอเจรจากับวอชิงตัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนใหญ่ที่สุด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011540
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระดับมหาอำนาจระอุ จีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ทันควัน สั่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากอเมริกา รวมทั้งเปิดสอบสวนกูเกิลกรณีผูกขาดตลาด และขึ้นบัญชีบริษัทอเมริกันอีก 2 แห่งในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชัน ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันจันทร์ (3) ผู้นำสหรัฐฯ ผ่อนผันหยุดพักการเล่นงานแคนาดากับเม็กซิโกเอาไว้ก่อน ทำให้ 3 ชาติที่ถูกวอชิงตันหมายหัวในตอนแรก เหลือเพียงปักกิ่งเท่านั้นซึ่งเกิดการต่อกรกันอย่างจริงจัง . อเมริกาเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการเพิ่มขึ้น 10% รวด ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีผลเมื่อเวลา 00.01 น. วันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาในวอชิงตัน หรือ 12.01 น.ตามเวลาเมืองไทย โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา . จากนั้นภายในไม่กี่นาทีต่อมา กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากอเมริกา สูงขึ้น 15% จาก น้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% โดยที่การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่นำเข้าจากอเมริกานั้น อาจบังคับใช้กับไซเบอร์ทรัค “เทสลา” ของอีลอน มัสก์ในอนาคต . จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของจีนเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ซึ่งดูจะเพื่อเปิดโอกาสให้วอชิงตันและปักกิ่งได้ใช้ความพยายามและบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า โดยที่โฆษกทำเนียบขาวก็ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทรัมป์มีแผนหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายสัปดาห์นี้ . ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็ได้เริ่มสงครามการค้าอันโหดร้ายกับจีนในปี 2018 โดยอ้างเหตุจากกรณีที่ปักกิ่งเกินดุลการค้าอเมริกามหาศาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กันไปมาซึ่งครอบคลุมสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก . สำหรับคราวนี้ บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ได้ลดการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนลง พร้อมกับชี้ว่า สงครามการค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีแนวโน้มจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กันอีก . ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และกับสินค้านำเข้าจากแคนดา ยกเว้นสินค้าบางชนิดอย่างเช่นน้ำมัน เก็บเพิ่ม 10% และเรียกเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เพื่อบีบบังคับให้ 3 ประเทศนี้ซึ่งต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยดินแดนของเม็กซิโกและแคนาดา หลบหนีเข้าสหรัฐฯ ตลอดจนให้เม็กซิโก แคนาดา และจีนเร่งความกวดขันไม่ให้มีการแอบจัดส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ . อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ ทรัมป์ได้มีการพูดจาทางโทรศัพท์แยกต่างหากกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบามของเม็กซิโก หลังจากนั้น เขาก็สั่งชะลอการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วันในนาทีสุดท้าย โดยระบุว่าทั้งผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ตกลงยกระดับการควบคุมชายแดนตามที่เขาเรียกร้อง เพื่อปราบปรามการลักลอบส่งยาเสพติดและการลักลอบจัดส่งผู้อพยพเข้าอเมริกา . ทั้งนี้ แคนาดาตกลงใช้เทคโนโลยีใหม่และเจ้าหน้าที่ประจำการบริเวณชายแดนติดกับอเมริกา รวมทั้งร่วมมือกับอเมริกาต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรม การลักลอบส่งเฟนทานิล และการฟอกเงิน . ส่วนเม็กซิโกตกลงส่งสมาชิกกองกำลังป้องกันประเทศ 10,000 นายประจำการบริเวณชายแดนด้านเหนือที่ติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดผู้ลักลอบข้ามแดนและการส่งยาเสพติดเข้าไปในอเมริกา . สำหรับกรณีของจีนนั้น ผู้นำของ 2 ประเทศไม่ได้มีการติดต่อพูดโทรศัพท์กัน โดยที่ทำเนียบขาวระบุว่า สี กับ ทรัมป์ จะหารือกันในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เหลือเพียงจีนประเทศเดียว ที่จะถูกสหรัฐฯ เล่นงานขึ้นภาษีตั้งแต่วันอังคาร . ทรัมป์ยังเตือนว่า อาจขึ้นภาษีศุลกากรจีนรอบใหม่อีก ยกเว้นจีนจะลงมือสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ทว่า จีนตอบโต้ว่า เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกาเอง และเตรียมร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WHO) รวมทั้งใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ถึงแม้ปักกิ่งบอกด้วยว่า พร้อมเจรจากับอเมริกา . แกรี อึง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิสในฮ่องกง ชี้ว่า การตกลงระหว่างอเมริกากับจีนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์จะยากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก และถึงแม้ตกลงกันได้ในบางประเด็น แต่เป็นไปได้ว่า ภาษีศุลกากรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันในประเด็นอื่นๆ อีก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวนในปีนี้ . ก่อนหน้านั้นทรัมป์ยอมรับว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจส่งผลลบระยะสั้นต่อผู้บริโภคอเมริกัน แต่ก็อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ . ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศดังกล่าวข้างหน้า ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (2) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป อาจเป็นเป้าหมายต่อไป . ต่อมาในวันจันทร์ บรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการในบรัสเซลส์ได้ประกาศว่า ยุโรปพร้อมตอบโต้ หากอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องขอเจรจากับวอชิงตัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนใหญ่ที่สุด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011540 .............. Sondhi X
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2073 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ออกมายินดีหลังปานามาจะไม่ต่ออายุโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง BRI ของจีนหลังข้อตกลงหมดอายุเพื่อถอยห่างจากปักกิ่ง และยินยอมให้เรือรบอเมริกันสามารถวิ่งผ่านตลอดไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่ผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้ ทรัมป์อาจบีบปานามาให้ออกจาก BRI ได้ แต่อาจยังไม่ได้กับชาติในเอเชียที่หวังพึ่งทุนจีนพัฒนาประเทศหลังนายกฯ ไทยเพิ่งแสดงความยินดี ครม.อนุมัติไฮสปีดเทรนโคราช-หนองคาย 357 กม.เชื่อมรถไฟลาวที่เวียงจันทน์ คาด เสร็จปี 73 ชี้เร่งเฟส 1 ยังช้ากว่าแผน
    .
    รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (4 ก.พ.) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) วานนี้ (3) ได้แสดงความยินดีต่อการตัดสินใจของผู้นำปานามาที่จะถอนตัวออกจากโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน BRI ด้วยการไม่ต่ออายุข้อตกลงหลังหมดอายุ
    .
    รูบิโอกล่าวชื่นชมว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ
    .
    รอยเตอร์รายงานว่า เป็นความเคลื่อนไหวใดๆของปานามาในการถอยห่างจากโครงการ BRI ของประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิงนั้นเป็นชัยชนะของวอชิงตัน ซึ่งสหรัฐฯ นั้นยืนยันมาโดยตลอดว่า ปักกิ่งใช้ยุทธวิธีกับดักเงินกู้ทางการทูต (debt trap diplomacy) เพื่อสร้างอิทธิพลระดับโลกของตัวเอง
    .
    หลังการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประธานาธิบดีปานามา โฮเซ ราอูล มูลิโน (Jose Raul Mulino) ออกมาแถลงยืนยันว่า สหรัฐฯ ตกลงปานามาในข้อตกลงแบบกว้างที่ปานามาจะไม่ต่อสัญญาข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานจีน BRI และสามารถยกเลิกได้ก่อนกำหนด
    .
    เขาเปิดเผยว่า ข้อตกลงนั้นมีกำหนดจะสิ้นสุดในอีกราว 2-3 ปีข้างหน้า
    .
    ทั้งนี้ ปานามากลายเป็นชาติแรกในดินแดนละตินอเมริกากระโดดเข้าร่วมโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของปักกิ่งเมื่อพฤศจิกายนปี 2017 หรือ 5 เดือนหลังจากตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันและเป็นพันธมิตรกับจีนแทน
    .
    เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่ ศาสตราจารย์ เหยียนจง ฮวง (Yanzhong Huang) ผู้เชี่ยวชาญประจำ Council on Foreign Relations สถาบันธิงแทงก์ชื่อดังของสหรัฐฯ ออกมาฟันธงว่า สหรัฐฯ และจีนกำลังเล่นเกมทางการทูตอยู่ และการที่ปานามาประกาศตัวจะถอนตัวจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน BRI ของประธานาธิบดีสีได้ถือเป็นชัยชนะเริ่มแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ชุดใหม่ในการทูตแบบใครกะพริบตาก่อนแพ้
    .
    “สหรัฐฯ ปัจจุบันดูเหมือนให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นไปที่หลังบ้านตัวเองคือละตินอเมริกาซึ่งประเทศเหล่านี้ยังคงต้องพึ่งการสนับสนุนและการค้ากับสหรัฐฯ”
    .
    พร้อมเสริมว่า “แต่ผมไม่มั่นใจว่าอเมริกาจะสามารถใช้อิทธิพลที่คล้ายกันในการบีบประเทศเอเชีย ตัวอย่างเช่น เพื่อให้มีการยอมอ่อนข้อในลักษณะที่คล้ายกัน จากการที่จีนได้กลายเป็นผู้เล่นทรงอิทธิพลในภูมิภาคนั้น”
    .
    ทั้งนี้ ปักกิ่งได้ออกมาปฏิเสธเสียงวิจารณ์จากโลกตะวันตกเกี่ยวกับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน BRI ของจีน โดยชี้ว่ามีมากกว่า 100 ประเทศได้เข้าร่วมที่จะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาระดับโลกที่มีทั้งท่าเรือใหม่ สะพาน ทางรถไฟและโปรเจกต์อื่นๆ
    .
    เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีวันอังคาร (4) ออกมาเปิดเผยคณะรัฐมนตรีไทยได้ไฟเขียวอนุมัติรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 โคราช-หนองคาย 357 กม. โดย เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟเพื่อเชื่อมรถไฟลาวที่เวียงจันทน์ ให้สามารถเดินทางเข้าจีน คาดสามารถเสร็จสิ้นลงในปี 2573 MGRออนไลน์รายงาน
    .
    โดยเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ
    .
    เกิดขึ้นหลังวันที่ 4 กันยายน ปี 2017 ระหว่างการประชุมสุดยอดเซียะเหมิน BRICS ที่มีประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีไทยในเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมกันเป็นสักขีพยาน อดีตกระทรวงการรถไฟจีน ปัจจุบันเป็นในเครือของบริษัท การรถไฟแห่งชาติจีน กรุ๊ป จำกัด (China National Railway Group Limited) และบริษัทในเครือบริษัทในเครือของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาจ้างออกแบบวิศวกรรมโยธาระยะแรก (เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา) และสัญญาจ้างเป็นที่ปรึกษา อ้างอิงจากเว็บไซต์สถานทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง
    .
    นอกจากนี้ ในชัยชนะพบว่าปานามายอมอนุญาตให้เรือรบอเมริกันสามารถวิ่งผ่านคลองปานามาโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม สื่อด้านขนส่งทางทะเล maritime executive รายงานโดยอ้างอิงจากบลูมเบิร์กที่รายงานเป็นเจ้าแรกในวันอาทิตย์ (2)
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ ได้ไปเยือนคลองปานามาวันอาทิตย์ (2) และสังเกตการปฏิบัติการด่าน Miraflores locks ภายในคลองปานามา
    .
    และหลังการเยือนเจ้าหน้าที่ปานามาได้ออกมายืนยันว่า จะให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเรือรบสหรัฐฯ ในการล่องผ่านตลอดคลองปานามา
    .
    แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่อเมริกันได้เปิดเผยกับบลูมเบิร์กตามการรายงานของสื่อ TradeWinds วันจันทร์ (3) ว่า ประธานาธิบดีปานามารับปากรูบิโอว่า เรือรบอเมริกันสามารถผ่านคลองปานามาได้โดยเสรีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011539
    ..............
    Sondhi X
    รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ออกมายินดีหลังปานามาจะไม่ต่ออายุโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง BRI ของจีนหลังข้อตกลงหมดอายุเพื่อถอยห่างจากปักกิ่ง และยินยอมให้เรือรบอเมริกันสามารถวิ่งผ่านตลอดไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่ผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้ ทรัมป์อาจบีบปานามาให้ออกจาก BRI ได้ แต่อาจยังไม่ได้กับชาติในเอเชียที่หวังพึ่งทุนจีนพัฒนาประเทศหลังนายกฯ ไทยเพิ่งแสดงความยินดี ครม.อนุมัติไฮสปีดเทรนโคราช-หนองคาย 357 กม.เชื่อมรถไฟลาวที่เวียงจันทน์ คาด เสร็จปี 73 ชี้เร่งเฟส 1 ยังช้ากว่าแผน . รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (4 ก.พ.) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) วานนี้ (3) ได้แสดงความยินดีต่อการตัดสินใจของผู้นำปานามาที่จะถอนตัวออกจากโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน BRI ด้วยการไม่ต่ออายุข้อตกลงหลังหมดอายุ . รูบิโอกล่าวชื่นชมว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ . รอยเตอร์รายงานว่า เป็นความเคลื่อนไหวใดๆของปานามาในการถอยห่างจากโครงการ BRI ของประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิงนั้นเป็นชัยชนะของวอชิงตัน ซึ่งสหรัฐฯ นั้นยืนยันมาโดยตลอดว่า ปักกิ่งใช้ยุทธวิธีกับดักเงินกู้ทางการทูต (debt trap diplomacy) เพื่อสร้างอิทธิพลระดับโลกของตัวเอง . หลังการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประธานาธิบดีปานามา โฮเซ ราอูล มูลิโน (Jose Raul Mulino) ออกมาแถลงยืนยันว่า สหรัฐฯ ตกลงปานามาในข้อตกลงแบบกว้างที่ปานามาจะไม่ต่อสัญญาข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานจีน BRI และสามารถยกเลิกได้ก่อนกำหนด . เขาเปิดเผยว่า ข้อตกลงนั้นมีกำหนดจะสิ้นสุดในอีกราว 2-3 ปีข้างหน้า . ทั้งนี้ ปานามากลายเป็นชาติแรกในดินแดนละตินอเมริกากระโดดเข้าร่วมโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของปักกิ่งเมื่อพฤศจิกายนปี 2017 หรือ 5 เดือนหลังจากตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันและเป็นพันธมิตรกับจีนแทน . เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่ ศาสตราจารย์ เหยียนจง ฮวง (Yanzhong Huang) ผู้เชี่ยวชาญประจำ Council on Foreign Relations สถาบันธิงแทงก์ชื่อดังของสหรัฐฯ ออกมาฟันธงว่า สหรัฐฯ และจีนกำลังเล่นเกมทางการทูตอยู่ และการที่ปานามาประกาศตัวจะถอนตัวจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน BRI ของประธานาธิบดีสีได้ถือเป็นชัยชนะเริ่มแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ชุดใหม่ในการทูตแบบใครกะพริบตาก่อนแพ้ . “สหรัฐฯ ปัจจุบันดูเหมือนให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นไปที่หลังบ้านตัวเองคือละตินอเมริกาซึ่งประเทศเหล่านี้ยังคงต้องพึ่งการสนับสนุนและการค้ากับสหรัฐฯ” . พร้อมเสริมว่า “แต่ผมไม่มั่นใจว่าอเมริกาจะสามารถใช้อิทธิพลที่คล้ายกันในการบีบประเทศเอเชีย ตัวอย่างเช่น เพื่อให้มีการยอมอ่อนข้อในลักษณะที่คล้ายกัน จากการที่จีนได้กลายเป็นผู้เล่นทรงอิทธิพลในภูมิภาคนั้น” . ทั้งนี้ ปักกิ่งได้ออกมาปฏิเสธเสียงวิจารณ์จากโลกตะวันตกเกี่ยวกับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน BRI ของจีน โดยชี้ว่ามีมากกว่า 100 ประเทศได้เข้าร่วมที่จะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาระดับโลกที่มีทั้งท่าเรือใหม่ สะพาน ทางรถไฟและโปรเจกต์อื่นๆ . เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีวันอังคาร (4) ออกมาเปิดเผยคณะรัฐมนตรีไทยได้ไฟเขียวอนุมัติรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 โคราช-หนองคาย 357 กม. โดย เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟเพื่อเชื่อมรถไฟลาวที่เวียงจันทน์ ให้สามารถเดินทางเข้าจีน คาดสามารถเสร็จสิ้นลงในปี 2573 MGRออนไลน์รายงาน . โดยเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ . เกิดขึ้นหลังวันที่ 4 กันยายน ปี 2017 ระหว่างการประชุมสุดยอดเซียะเหมิน BRICS ที่มีประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีไทยในเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมกันเป็นสักขีพยาน อดีตกระทรวงการรถไฟจีน ปัจจุบันเป็นในเครือของบริษัท การรถไฟแห่งชาติจีน กรุ๊ป จำกัด (China National Railway Group Limited) และบริษัทในเครือบริษัทในเครือของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาจ้างออกแบบวิศวกรรมโยธาระยะแรก (เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา) และสัญญาจ้างเป็นที่ปรึกษา อ้างอิงจากเว็บไซต์สถานทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง . นอกจากนี้ ในชัยชนะพบว่าปานามายอมอนุญาตให้เรือรบอเมริกันสามารถวิ่งผ่านคลองปานามาโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม สื่อด้านขนส่งทางทะเล maritime executive รายงานโดยอ้างอิงจากบลูมเบิร์กที่รายงานเป็นเจ้าแรกในวันอาทิตย์ (2) . รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ ได้ไปเยือนคลองปานามาวันอาทิตย์ (2) และสังเกตการปฏิบัติการด่าน Miraflores locks ภายในคลองปานามา . และหลังการเยือนเจ้าหน้าที่ปานามาได้ออกมายืนยันว่า จะให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเรือรบสหรัฐฯ ในการล่องผ่านตลอดคลองปานามา . แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่อเมริกันได้เปิดเผยกับบลูมเบิร์กตามการรายงานของสื่อ TradeWinds วันจันทร์ (3) ว่า ประธานาธิบดีปานามารับปากรูบิโอว่า เรือรบอเมริกันสามารถผ่านคลองปานามาได้โดยเสรีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011539 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2108 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กูไม่กลัวมึง!"

    ปักกิ่งตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐ โดยการประกาศขึ้นภาษี
    - น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และยานยนต์ 10%
    - ถ่านหิน และก๊าซ LNG 15%

    โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์

    การตอบโต้ของจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่จีนยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO และให้คำมั่นว่าจะ "ปกป้องสิทธิของตนอย่างแข็งขัน"
    "กูไม่กลัวมึง!" ปักกิ่งตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐ โดยการประกาศขึ้นภาษี - น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และยานยนต์ 10% - ถ่านหิน และก๊าซ LNG 15% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ การตอบโต้ของจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่จีนยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO และให้คำมั่นว่าจะ "ปกป้องสิทธิของตนอย่างแข็งขัน"
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาอัลกอริทึมใหม่โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Shenzhen MSU-BIT ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย Lomonosov Moscow State University และสถาบันเทคโนโลยีปักกิ่ง (Beijing Institute of Technology) อัลกอริทึมใหม่นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของการประมวลผลแบบ peridynamics (PD) ซึ่งใช้ในการจำลองการแตกหักและความเสียหายของวัสดุได้สูงถึง 800 เท่า

    อัลกอริทึมนี้ทำให้การจำลองวัสดุที่มีขนาดใหญ่เร็วขึ้นมาก โดยใช้ทรัพยากรการประมวลผลที่น้อยลง ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์ในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น การบินและอวกาศ วิศวกรรมโยธา และการทหาร นักวิจัยได้ใช้เทคโนโลยี CUDA ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบอัลกอริทึมและการจัดการหน่วยความจำ ทำให้ได้ผลการประมวลผลที่รวดเร็วถึง 800 เท่าเมื่อเทียบกับโปรแกรมแบบซีเรียลดั้งเดิม และเร็วกว่าโปรแกรมที่ใช้ OpenMP ประมาณ 100 เท่า

    peridynamics (PD) เป็นทฤษฎีการจำลองที่ใช้ในการคาดการณ์ความล้มเหลวของวัสดุในหลายๆ สาขา เช่น การบินและอวกาศ วิศวกรรมโยธา และการทหาร อัลกอริทึม PD-General ที่ถูกพัฒนาขึ้นใช้เทคโนโลยี CUDA ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้สามารถทำการจำลองขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น โดยใช้การ์ดจอ Nvidia RTX 4070 การพัฒนาอัลกอริทึมนี้ช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศตะวันตก และเปิดโอกาสให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนและรัสเซียก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

    การวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Chinese Journal of Computational Mechanics เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การคำนวณและการจำลองวัสดุ ความก้าวหน้าในอัลกอริทึมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการทำวิจัยในหลายๆ อุตสาหกรรม และเปิดโอกาสให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinese-algorithm-claimed-to-boost-nvidia-gpu-performance-by-up-to-800x-for-advanced-science-applications
    ข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาอัลกอริทึมใหม่โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Shenzhen MSU-BIT ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย Lomonosov Moscow State University และสถาบันเทคโนโลยีปักกิ่ง (Beijing Institute of Technology) อัลกอริทึมใหม่นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของการประมวลผลแบบ peridynamics (PD) ซึ่งใช้ในการจำลองการแตกหักและความเสียหายของวัสดุได้สูงถึง 800 เท่า อัลกอริทึมนี้ทำให้การจำลองวัสดุที่มีขนาดใหญ่เร็วขึ้นมาก โดยใช้ทรัพยากรการประมวลผลที่น้อยลง ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์ในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น การบินและอวกาศ วิศวกรรมโยธา และการทหาร นักวิจัยได้ใช้เทคโนโลยี CUDA ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบอัลกอริทึมและการจัดการหน่วยความจำ ทำให้ได้ผลการประมวลผลที่รวดเร็วถึง 800 เท่าเมื่อเทียบกับโปรแกรมแบบซีเรียลดั้งเดิม และเร็วกว่าโปรแกรมที่ใช้ OpenMP ประมาณ 100 เท่า peridynamics (PD) เป็นทฤษฎีการจำลองที่ใช้ในการคาดการณ์ความล้มเหลวของวัสดุในหลายๆ สาขา เช่น การบินและอวกาศ วิศวกรรมโยธา และการทหาร อัลกอริทึม PD-General ที่ถูกพัฒนาขึ้นใช้เทคโนโลยี CUDA ของ Nvidia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้สามารถทำการจำลองขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น โดยใช้การ์ดจอ Nvidia RTX 4070 การพัฒนาอัลกอริทึมนี้ช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศตะวันตก และเปิดโอกาสให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนและรัสเซียก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว การวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Chinese Journal of Computational Mechanics เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การคำนวณและการจำลองวัสดุ ความก้าวหน้าในอัลกอริทึมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการทำวิจัยในหลายๆ อุตสาหกรรม และเปิดโอกาสให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinese-algorithm-claimed-to-boost-nvidia-gpu-performance-by-up-to-800x-for-advanced-science-applications
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese algorithm claimed to boost Nvidia GPU performance by up to 800X for advanced science applications
    The breakthrough enables new solutions for complex mechanical challenges across multiple industries.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยื่นคำขาด ประกาศอเมริกาจะดำเนินมาตรการที่จำเป็น ถ้าปานามาไม่ลงมือยุติอิทธิพลและการควบคุมของจีนเหนือคลองปานามาทันที ด้านประธานาธิบดีโฮเซ ราอูล มูลิโน ส่งสัญญาณภายหลังพบหารือกับรัฐมนตรีอเมริกันผู้นี้ในกรุงปานามาซิตีเมื่อวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) ว่า อาจทบทวนข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับจีนและธุรกิจของจีน ขณะที่ปักกิ่งยืนยันไม่เคยเข้าร่วมดำเนินการหรือแทรกแซงการดำเนินการคลองปานามาตามที่คณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพยายามกล่าวหา
    .
    แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า รูบิโอซึ่งเดินทางไปเยือนปานามา ได้นำข้อความจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาถ่ายทอดให้ผู้นำปานามาทราบ โดยมุ่งเตือนเรื่องที่จีนปรากฏตัวที่คลองปานามา ผ่านทางบริษัทฮ่องกงแห่งหนึ่งที่เข้าบริหารท่าเรือ 2 แห่ง ตรงทางเข้าออกคลองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ ทั้งนี้ ทรัมป์บอกว่าเรื่องนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อเส้นทางเดินเรือนี้ อีกทั้งเป็นการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างอเมริกากับปานามาว่าด้วยคลองแห่งนี้ด้วย และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า อเมริกาไม่ยอมรับให้คงสถานะเดิมเช่นนี้ต่อไป และหากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทันที อเมริกาอาจต้องดำเนินการมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนภายใต้สนธิสัญญา
    .
    อย่างไรก็ตาม รูบิโอไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯต้องการให้ปานามาทำอย่างไร หรืออเมริกาจะตอบโต้อย่างไร
    .
    ทั้งนี้ หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯออกมาว่าเขาเป็นผู้ชนะได้กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 ทรัมป์ได้พูดข่มขู่คุกคามหลายครั้งว่า จะเข้ายึดคืนคลองปานามาที่เป็นเส้นทางลัดทำให้สามารถเข้าออกระหว่างฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกกับฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้โดยไม่ต้องเดินเรืออ้อมทวีปอเมริกาใต้ อเมริกาคือผู้ขุดคลองนี้สำเร็จเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 และได้ส่งมอบอธิปไตยเหนือคลองแห่งนี้ให้ปานามาในปี 1999
    .
    ทรัมป์กล่าวอ้างลอยๆ ว่า เส้นทางเดินเรือทางยุทธศาสตร์นี้เวลานี้ถูกควบคุมโดยทหารจีน นอกจากนั้นเรือของอเมริกายังถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงกว่าเรือของชาติอื่น
    .
    นอกจากนั้น ทรัมป์ยังบอกว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามากลับมาอยู่ในความควบคุมของสหรัฐฯอีกครั้ง ทำให้ถูกวิจารณ์รุนแรงจากทั้งมิตรและศัตรูในละตินอเมริกา ถึงแม้เมื่อวันอาทิตย์ (1) เขาบอกว่า คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง กระนั้นก็ยังยืนยันว่า ปานามาละเมิดสนธิสัญญาที่ทำไว้กับสหรัฐฯ และอเมริกาจะยึดคลองปานามาคืน
    .
    สำหรับตัวรูบิโอเอง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องมีแนวคิดเกี่ยวกับจีนแบบสายเหยี่ยวแข็งกร้าวมานาน ยังให้สัมภาษณ์ในรายการเมกิน เคลลี ของวิทยุดาวเทียมซีเรียส เอ็กซ์เอ็ม ในสัปดาห์ที่แล้วว่า จีนอาจใช้ท่าเรือที่บริษัทฮ่องกงเป็นผู้ดำเนินการ ในการปิดคลองปานานากรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีมูลิโน กล่าวถึงการพบหารือกับรูบิโอคราวนี้ว่า เป็นไปด้วยดี และเสริมว่า พร้อมทบทวนธุรกิจบางอย่างของจีนในปานามา ซึ่งรวมถึงการให้สัมปทานบริหารท่าเรือ 2 แห่งจากจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ 5 แห่ง ตรงทางเข้าออกคลองปานามาทั้งสองด้านเป็นเวลานาน 25 ปี โดยคู่สัญญาที่ได้รับสัมปทานคือ บริษัทซีเค ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง ทั้งนี้เพิ่งมีการต่ออายุสัมปทานเมื่อปี 2021 และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
    .
    พวกสมาชิกรัฐสภาและคณะบริหารสหรัฐฯ ซึ่งเวลานี้มีความโน้มเอียงต่อต้านจีนอย่างแข็งกร้าว กล่าวหาว่า สัญญาดังกล่าวคือตัวอย่างการขยายอิทธิพลของจีนในปานามา ซึ่งขัดต่อสนธิสัญญาความเป็นกลางที่ปานามาและอเมริกาลงนามร่วมกันในปี 1977
    .
    ทว่า รัฐบาลปานามาและผู้เชี่ยวชาญหลายคนคัดค้านการกล่าวอ้างของวอชิงตัน โดยชี้ว่าท่าเรือเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารคลองปานามาที่ดำเนินการโดยสำนักงานบริหารจัดการคลองปานามา ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่กำกับดูแลโดยรัฐบาลปานามา
    .
    มูลิโนสำทับด้วยว่า เขาจะไม่ต่ออายุข้อตกลงเข้าร่วมในแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (บีอาร์ไอ) ของจีน ที่ลงนามโดยคณะบริการชุดก่อนหน้านี้ และเสริมว่า เขาไม่คิดว่า มีภัยคุกคามที่แท้จริงต่อความเป็นกลางและความถูกต้องของสนธิสัญญาที่ทำกับอเมริกา รวมทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้สนธิสัญญาด้วยกำลังทหาร อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า จำเป็นต้องมีการหารือแบบตัวต่อตัวกับทรัมป์
    .
    ทางด้านจีนนั้น เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงในวันจันทร์ (3) ยืนยันว่า ปักกิ่งไม่มีส่วนร่วมกับการดำเนินการ รวมทั้งไม่เคยเข้าแทรกแซงการดำเนินการคลองปานามา อีกทั้งยังยอมรับคลองปานามาในฐานะเป็นเส้นทางเดินเรือสากลที่เป็นกลางโดยถาวร
    .
    เห็นกันว่า รูบิโอที่อยู่ระหว่างการทัวร์อเมริกากลางและแคริบเบียน โดยถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกนับจากเข้ารับตำแหน่งนี้ กำลังพยายามปรับโฟกัสแนวทางการทูตของอเมริกาต่อซีกโลกตะวันตก (หมายถึงอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้) ส่วนหนึ่งก็เพื่อระดมให้ชาติละตินอเมริกาเข้าร่วมการสกัดกั้นพวกผู้อพยพที่พยายามลักลอบเข้าสหรัฐฯโดยผ่านชายแดนทางใต้ของอเมริกา
    .
    นอกจากนั้น การเยือนครั้งนี้ยังสะท้อนเป้าหมายของอเมริกาในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งมั่นต่อต้านการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีนในละตินอเมริกา ซึ่งสหรัฐฯถือเป็นเขตหลังบ้านของตน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011133
    ..............
    Sondhi X
    มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยื่นคำขาด ประกาศอเมริกาจะดำเนินมาตรการที่จำเป็น ถ้าปานามาไม่ลงมือยุติอิทธิพลและการควบคุมของจีนเหนือคลองปานามาทันที ด้านประธานาธิบดีโฮเซ ราอูล มูลิโน ส่งสัญญาณภายหลังพบหารือกับรัฐมนตรีอเมริกันผู้นี้ในกรุงปานามาซิตีเมื่อวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) ว่า อาจทบทวนข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับจีนและธุรกิจของจีน ขณะที่ปักกิ่งยืนยันไม่เคยเข้าร่วมดำเนินการหรือแทรกแซงการดำเนินการคลองปานามาตามที่คณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพยายามกล่าวหา . แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า รูบิโอซึ่งเดินทางไปเยือนปานามา ได้นำข้อความจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาถ่ายทอดให้ผู้นำปานามาทราบ โดยมุ่งเตือนเรื่องที่จีนปรากฏตัวที่คลองปานามา ผ่านทางบริษัทฮ่องกงแห่งหนึ่งที่เข้าบริหารท่าเรือ 2 แห่ง ตรงทางเข้าออกคลองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ ทั้งนี้ ทรัมป์บอกว่าเรื่องนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อเส้นทางเดินเรือนี้ อีกทั้งเป็นการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างอเมริกากับปานามาว่าด้วยคลองแห่งนี้ด้วย และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า อเมริกาไม่ยอมรับให้คงสถานะเดิมเช่นนี้ต่อไป และหากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทันที อเมริกาอาจต้องดำเนินการมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนภายใต้สนธิสัญญา . อย่างไรก็ตาม รูบิโอไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯต้องการให้ปานามาทำอย่างไร หรืออเมริกาจะตอบโต้อย่างไร . ทั้งนี้ หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯออกมาว่าเขาเป็นผู้ชนะได้กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 ทรัมป์ได้พูดข่มขู่คุกคามหลายครั้งว่า จะเข้ายึดคืนคลองปานามาที่เป็นเส้นทางลัดทำให้สามารถเข้าออกระหว่างฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกกับฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้โดยไม่ต้องเดินเรืออ้อมทวีปอเมริกาใต้ อเมริกาคือผู้ขุดคลองนี้สำเร็จเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 และได้ส่งมอบอธิปไตยเหนือคลองแห่งนี้ให้ปานามาในปี 1999 . ทรัมป์กล่าวอ้างลอยๆ ว่า เส้นทางเดินเรือทางยุทธศาสตร์นี้เวลานี้ถูกควบคุมโดยทหารจีน นอกจากนั้นเรือของอเมริกายังถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงกว่าเรือของชาติอื่น . นอกจากนั้น ทรัมป์ยังบอกว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามากลับมาอยู่ในความควบคุมของสหรัฐฯอีกครั้ง ทำให้ถูกวิจารณ์รุนแรงจากทั้งมิตรและศัตรูในละตินอเมริกา ถึงแม้เมื่อวันอาทิตย์ (1) เขาบอกว่า คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง กระนั้นก็ยังยืนยันว่า ปานามาละเมิดสนธิสัญญาที่ทำไว้กับสหรัฐฯ และอเมริกาจะยึดคลองปานามาคืน . สำหรับตัวรูบิโอเอง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องมีแนวคิดเกี่ยวกับจีนแบบสายเหยี่ยวแข็งกร้าวมานาน ยังให้สัมภาษณ์ในรายการเมกิน เคลลี ของวิทยุดาวเทียมซีเรียส เอ็กซ์เอ็ม ในสัปดาห์ที่แล้วว่า จีนอาจใช้ท่าเรือที่บริษัทฮ่องกงเป็นผู้ดำเนินการ ในการปิดคลองปานานากรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน . ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีมูลิโน กล่าวถึงการพบหารือกับรูบิโอคราวนี้ว่า เป็นไปด้วยดี และเสริมว่า พร้อมทบทวนธุรกิจบางอย่างของจีนในปานามา ซึ่งรวมถึงการให้สัมปทานบริหารท่าเรือ 2 แห่งจากจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ 5 แห่ง ตรงทางเข้าออกคลองปานามาทั้งสองด้านเป็นเวลานาน 25 ปี โดยคู่สัญญาที่ได้รับสัมปทานคือ บริษัทซีเค ฮัทชิสัน โฮลดิ้งส์ ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง ทั้งนี้เพิ่งมีการต่ออายุสัมปทานเมื่อปี 2021 และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ . พวกสมาชิกรัฐสภาและคณะบริหารสหรัฐฯ ซึ่งเวลานี้มีความโน้มเอียงต่อต้านจีนอย่างแข็งกร้าว กล่าวหาว่า สัญญาดังกล่าวคือตัวอย่างการขยายอิทธิพลของจีนในปานามา ซึ่งขัดต่อสนธิสัญญาความเป็นกลางที่ปานามาและอเมริกาลงนามร่วมกันในปี 1977 . ทว่า รัฐบาลปานามาและผู้เชี่ยวชาญหลายคนคัดค้านการกล่าวอ้างของวอชิงตัน โดยชี้ว่าท่าเรือเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารคลองปานามาที่ดำเนินการโดยสำนักงานบริหารจัดการคลองปานามา ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่กำกับดูแลโดยรัฐบาลปานามา . มูลิโนสำทับด้วยว่า เขาจะไม่ต่ออายุข้อตกลงเข้าร่วมในแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (บีอาร์ไอ) ของจีน ที่ลงนามโดยคณะบริการชุดก่อนหน้านี้ และเสริมว่า เขาไม่คิดว่า มีภัยคุกคามที่แท้จริงต่อความเป็นกลางและความถูกต้องของสนธิสัญญาที่ทำกับอเมริกา รวมทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้สนธิสัญญาด้วยกำลังทหาร อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า จำเป็นต้องมีการหารือแบบตัวต่อตัวกับทรัมป์ . ทางด้านจีนนั้น เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงในวันจันทร์ (3) ยืนยันว่า ปักกิ่งไม่มีส่วนร่วมกับการดำเนินการ รวมทั้งไม่เคยเข้าแทรกแซงการดำเนินการคลองปานามา อีกทั้งยังยอมรับคลองปานามาในฐานะเป็นเส้นทางเดินเรือสากลที่เป็นกลางโดยถาวร . เห็นกันว่า รูบิโอที่อยู่ระหว่างการทัวร์อเมริกากลางและแคริบเบียน โดยถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกนับจากเข้ารับตำแหน่งนี้ กำลังพยายามปรับโฟกัสแนวทางการทูตของอเมริกาต่อซีกโลกตะวันตก (หมายถึงอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้) ส่วนหนึ่งก็เพื่อระดมให้ชาติละตินอเมริกาเข้าร่วมการสกัดกั้นพวกผู้อพยพที่พยายามลักลอบเข้าสหรัฐฯโดยผ่านชายแดนทางใต้ของอเมริกา . นอกจากนั้น การเยือนครั้งนี้ยังสะท้อนเป้าหมายของอเมริกาในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งมั่นต่อต้านการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีนในละตินอเมริกา ซึ่งสหรัฐฯถือเป็นเขตหลังบ้านของตน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011133 .............. Sondhi X
    Angry
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1184 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.93 : อัลฟ่าโกะกับจีน

    ในปี ค.ศ.2016 มีเหตุการณ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครับ คือ มีการแข่งขันเกมส์ &ldquo;โกะ&rdquo; (หรือ หมากล้อม) ระหว่างแชมป์โลกโกะชาวเกาหลีใต้ชื่อ &ldquo;ลี เซดอล&ldquo; กับหุ่นยนต์เอไอของกูเกิ้ล ชื่อ &rdquo;อัลฟ่าโกะ - AlphaGo&quot;

    ผลก็คือ อัลฟ่าโกะชนะลี เซดอลไปได้ขาดลอย คือ แข่งกัน 5 กระดาน อัลฟ่าโกะชนะไป 4 กระดาน ทำเอาแขมป์โลกลี เซดอลต้องยอมแพ้และถอนตัวจากแข่งขัน

    เผื่อใครไม่ทราบ โกะคือเกมส์ที่เล่นบนกระดานครับ ผู้เล่นสองฝั่งต้องวางแผนล่วงหน้าในการเดินหมากเพื่อลวงคู่ต่อสู้ เป็นเกมส์ที่ใช้พลังสมองและฝึกกระบวนการคิดซับซ้อนเป็นอย่างดี
    .
    .
    .
    ข่าวชัยชนะของอัลฟ่าโกะนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งไปเข้าถึงหูของกลุ่มผู้นำจีนในเวลานั้น

    เรื่องใครชนะใครแพ้ในเกมส์โกะนั้นไม่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้นำรัฐบาลจีนเท่ากับความจริงที่ว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นก้าวล้ำไปรวดเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดครับ

    ผู้นำจีนได้พูดคุยกันและตัดสินใจทันทีว่า จีนจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเอไอเพื่อให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ให้ได้

    ดังนั้นแล้วหนึ่งปีหลังจากชัยชนะของอัลฟ่าโกะ คือ ค.ศ.2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนแห่งชาติที่ชื่อว่า &ldquo;New Generation Artificial Intelligence Development Plan&quot; หรือ &rdquo;แผนพัฒนาเอไอยุคใหม่&ldquo; ออกมาครับ

    กล่าวโดยสรุปคือ แผนนี้กำหนดเป้าหมายไว้ว่า

    ภายในปี 2020 จีนจะต้องตามทันอเมริกาและชาติที่ก้าวล้ำในด้านเอไอ

    ภายในปี 2025 จีนจะต้องสร้างนวัตกรรมสำคัญในเรื่อง เอไอ application

    ภายในปี 2030 จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ

    และในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเอไออย่างเดียว

    เงินก้อนนี้คิดเป็น 23% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดของรัฐบาลจีนในทศวรรษนี้ครับ

    บางท่านอาจถามว่า &ldquo;อ้าว&hellip; แล้วก่อนหน้าปี 2017 นี่ จีนไม่ได้สนใจเรื่องเอไอเลยเหรอ?&rdquo;

    คำตอบคือ สนใจครับ ในยุคนั้นมีบริษัทดังๆเช่น หัวเหว่ย, อาลีบาบา, เทนเซนท์ และไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นบริษัทเทคสำคัญๆของจีนก็สนใจเอไออยู่ แต่งบประมาณยังไม่ได้มากมายอะไร

    เมื่อรัฐบาลจีนเข้ามาส่งเสริมเอไอเต็มสูบแบบนี้ พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีนก็เดินหน้าเต็มเหนี่ยวเช่นกัน เช่น ระบบเอไอเฮลธ์แคร์โดยเทนเซนท์, ระบบสมาร์ทซิตี้ของอาลีบาบา หรือ ระบบจดจำใบหน้าของเอไอโดยเซนส์ไทม์ ฯลฯ
    .
    .
    .
    งบ 2 แสนล้านดอลล่าร์ของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ส่งไปที่บริษัทหรือเทคสตาร์ทอัพอย่างเดียวครับ แต่ส่งไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนทั้ง STEM + เอไอด้วย

    STEM ย่อมาจาก การเรียนสายวิทยาศาสตร์คือ Science, Technology, Engineering and Mathematic ครับ

    ในระดับประถม-มัธยมก็เริ่มสอนการเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง (Coding) แต่เด็กๆ โดยใส่เข้าไปในหลักสูตรเลย

    ที่น่าสนใจคือ โรงเรียนและผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆหัดเล่นโกะเยอะขึ้นมาก เพื่อให้ฝึกกระบวนการคิดหลายชั้น

    และให้เอไอเป็นโค้ชสอนเด็กเล่นโกะด้วยซ้ำ

    มหาวิทยาลัยทั้งหลายในจีนเริ่มเปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเอไอและ STEM มากขึ้น

    ในช่วงปี 2016-2019 นักศึกษาปริญญาเอกในสาย STEM ของมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นจาก 59,000 คน เป็น 83,000 คน

    คาดว่าในปี 2025 จีนจะผลิตด็อกเตอร์จบใหม่สาย STEM ได้ปีละ 77,000 คน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ผลิตปีละ 40,000 คน

    ส่วนในระดับปริญญาตรีและโท จีนผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตได้ปีละหลักล้านคน

    ในจีนนั้นมีอยู่ 3 มหาวิทยาลัยที่ถือว่าโด่งดังในหลักสูตรเอไอ คือ ปักกิ่ง, ซิงหัว และ Zhejiang ครับ ซึ่งมหาลัยเหล่านี้เขาก็ทำงานร่วมกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 3 แห่งคือ Baitu, Alibaba และ Tencent

    ย่อหน้าที่แล้วผมเขียนชื่อสามบริษัทนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยักษ์ใหญ่สามบริษัทนี้เขามีชื่อเรียกย่อๆรวมกันว่า BAT ครับ
    .
    .
    .
    ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะบอกว่าความสำเร็จของเอไอ &ldquo;ดีปซีค&rdquo; นั้นไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน

    แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาชาติของรัฐบาลจีนและความมานะหมั่นเพียรของเด็กจีน

    อัลฟ่าโกะนั้นเปรียบเสมือนเสียงนาฬิกาปลุกสำหรับมังกรจีน

    เทียบได้กับในวันที่โซเวียตส่งยานสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วนั่นคือนาฬิกาปลุกของอเมริกา

    สำหรับประเทศไทยเรานั้น อย่าไปหวังยุทธศาสตร์อะไรกับนายกรัฐมนตรีที่เทงบซอฟท์พาวเวอร์ไป 5 พันล้านบาทเลยครับ

    ยิ่งเห็นข่าวคณะผู้แทนจีนตั้งคำถามกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจไทยเรื่องแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ว่า &ldquo;ทำไมพวกคุณไม่สนใจดูแลบ้านเมืองของตัวเองบ้างเลย&ldquo; แล้ว

    ผมอายบรรพบุรุษครับ

    อายว่า &ldquo;เจนเนอเรชั่นพวกเรานั้น ทำได้แค่นี้เหรอ? มีดีแค่นี้เหรอ?&ldquo;
    อ่านเอาเรื่อง Ep.93 : อัลฟ่าโกะกับจีน ในปี ค.ศ.2016 มีเหตุการณ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นครับ คือ มีการแข่งขันเกมส์ &ldquo;โกะ&rdquo; (หรือ หมากล้อม) ระหว่างแชมป์โลกโกะชาวเกาหลีใต้ชื่อ &ldquo;ลี เซดอล&ldquo; กับหุ่นยนต์เอไอของกูเกิ้ล ชื่อ &rdquo;อัลฟ่าโกะ - AlphaGo&quot; ผลก็คือ อัลฟ่าโกะชนะลี เซดอลไปได้ขาดลอย คือ แข่งกัน 5 กระดาน อัลฟ่าโกะชนะไป 4 กระดาน ทำเอาแขมป์โลกลี เซดอลต้องยอมแพ้และถอนตัวจากแข่งขัน เผื่อใครไม่ทราบ โกะคือเกมส์ที่เล่นบนกระดานครับ ผู้เล่นสองฝั่งต้องวางแผนล่วงหน้าในการเดินหมากเพื่อลวงคู่ต่อสู้ เป็นเกมส์ที่ใช้พลังสมองและฝึกกระบวนการคิดซับซ้อนเป็นอย่างดี . . . ข่าวชัยชนะของอัลฟ่าโกะนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งไปเข้าถึงหูของกลุ่มผู้นำจีนในเวลานั้น เรื่องใครชนะใครแพ้ในเกมส์โกะนั้นไม่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้นำรัฐบาลจีนเท่ากับความจริงที่ว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นก้าวล้ำไปรวดเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดครับ ผู้นำจีนได้พูดคุยกันและตัดสินใจทันทีว่า จีนจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเอไอเพื่อให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ให้ได้ ดังนั้นแล้วหนึ่งปีหลังจากชัยชนะของอัลฟ่าโกะ คือ ค.ศ.2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนแห่งชาติที่ชื่อว่า &ldquo;New Generation Artificial Intelligence Development Plan&quot; หรือ &rdquo;แผนพัฒนาเอไอยุคใหม่&ldquo; ออกมาครับ กล่าวโดยสรุปคือ แผนนี้กำหนดเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2020 จีนจะต้องตามทันอเมริกาและชาติที่ก้าวล้ำในด้านเอไอ ภายในปี 2025 จีนจะต้องสร้างนวัตกรรมสำคัญในเรื่อง เอไอ application ภายในปี 2030 จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ และในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็ได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเอไออย่างเดียว เงินก้อนนี้คิดเป็น 23% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดของรัฐบาลจีนในทศวรรษนี้ครับ บางท่านอาจถามว่า &ldquo;อ้าว&hellip; แล้วก่อนหน้าปี 2017 นี่ จีนไม่ได้สนใจเรื่องเอไอเลยเหรอ?&rdquo; คำตอบคือ สนใจครับ ในยุคนั้นมีบริษัทดังๆเช่น หัวเหว่ย, อาลีบาบา, เทนเซนท์ และไป่ตู้ (Baidu) ซึ่งเป็นบริษัทเทคสำคัญๆของจีนก็สนใจเอไออยู่ แต่งบประมาณยังไม่ได้มากมายอะไร เมื่อรัฐบาลจีนเข้ามาส่งเสริมเอไอเต็มสูบแบบนี้ พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีนก็เดินหน้าเต็มเหนี่ยวเช่นกัน เช่น ระบบเอไอเฮลธ์แคร์โดยเทนเซนท์, ระบบสมาร์ทซิตี้ของอาลีบาบา หรือ ระบบจดจำใบหน้าของเอไอโดยเซนส์ไทม์ ฯลฯ . . . งบ 2 แสนล้านดอลล่าร์ของรัฐบาลนี้ ไม่ได้ส่งไปที่บริษัทหรือเทคสตาร์ทอัพอย่างเดียวครับ แต่ส่งไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนทั้ง STEM + เอไอด้วย STEM ย่อมาจาก การเรียนสายวิทยาศาสตร์คือ Science, Technology, Engineering and Mathematic ครับ ในระดับประถม-มัธยมก็เริ่มสอนการเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง (Coding) แต่เด็กๆ โดยใส่เข้าไปในหลักสูตรเลย ที่น่าสนใจคือ โรงเรียนและผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆหัดเล่นโกะเยอะขึ้นมาก เพื่อให้ฝึกกระบวนการคิดหลายชั้น และให้เอไอเป็นโค้ชสอนเด็กเล่นโกะด้วยซ้ำ มหาวิทยาลัยทั้งหลายในจีนเริ่มเปิดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเอไอและ STEM มากขึ้น ในช่วงปี 2016-2019 นักศึกษาปริญญาเอกในสาย STEM ของมหาวิทยาลัยจีนเพิ่มขึ้นจาก 59,000 คน เป็น 83,000 คน คาดว่าในปี 2025 จีนจะผลิตด็อกเตอร์จบใหม่สาย STEM ได้ปีละ 77,000 คน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ผลิตปีละ 40,000 คน ส่วนในระดับปริญญาตรีและโท จีนผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตได้ปีละหลักล้านคน ในจีนนั้นมีอยู่ 3 มหาวิทยาลัยที่ถือว่าโด่งดังในหลักสูตรเอไอ คือ ปักกิ่ง, ซิงหัว และ Zhejiang ครับ ซึ่งมหาลัยเหล่านี้เขาก็ทำงานร่วมกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน 3 แห่งคือ Baitu, Alibaba และ Tencent ย่อหน้าที่แล้วผมเขียนชื่อสามบริษัทนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพราะยักษ์ใหญ่สามบริษัทนี้เขามีชื่อเรียกย่อๆรวมกันว่า BAT ครับ . . . ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะบอกว่าความสำเร็จของเอไอ &ldquo;ดีปซีค&rdquo; นั้นไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาชาติของรัฐบาลจีนและความมานะหมั่นเพียรของเด็กจีน อัลฟ่าโกะนั้นเปรียบเสมือนเสียงนาฬิกาปลุกสำหรับมังกรจีน เทียบได้กับในวันที่โซเวียตส่งยานสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วนั่นคือนาฬิกาปลุกของอเมริกา สำหรับประเทศไทยเรานั้น อย่าไปหวังยุทธศาสตร์อะไรกับนายกรัฐมนตรีที่เทงบซอฟท์พาวเวอร์ไป 5 พันล้านบาทเลยครับ ยิ่งเห็นข่าวคณะผู้แทนจีนตั้งคำถามกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจไทยเรื่องแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ว่า &ldquo;ทำไมพวกคุณไม่สนใจดูแลบ้านเมืองของตัวเองบ้างเลย&ldquo; แล้ว ผมอายบรรพบุรุษครับ อายว่า &ldquo;เจนเนอเรชั่นพวกเรานั้น ทำได้แค่นี้เหรอ? มีดีแค่นี้เหรอ?&ldquo;
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนออกมาประณามความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่สั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแดนมังกรในอัตรา 10% เมื่อวานนี้ (2 ก.พ.) โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์จีนประกาศจะยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (World Trade Organization - WTO) เกี่ยวกับคำสั่งรีดภาษีของทรัมป์ และจะมี "มาตรการตอบโต้" นโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับในวันอังคารที่ 4 ก.พ.นี้
    .
    อย่างไรก็ตาม จีนยังส่งสัญญาณเปิดโอกาสสำหรับการเจรจาพูดคุย เพื่อไม่ให้ 2 มหาอำนาจเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรงไปกว่าที่เป็นอยู่
    .
    เมื่อวันเสาร์ (1) ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และสินค้าจีน 10% โดยชี้ว่าปักกิ่งจำเป็นต้องช่วยสกัดกั้นยาเฟนทานิลซึ่งเป็นสารเสพติดโอปิออยด์ชนิดรุนแรงไม่ให้ไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
    .
    กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า คำสั่งของ ทรัมป์ "ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการค้าสากลอย่างร้ายแรง" และจีนขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ "พูดคุยกันอย่างจริงใจ และยกระดับความร่วมมือกัน"
    .
    ทั้งนี้ การยื่นฟ้องต่อ WTO จะให้ผลเชิงสัญลักษณ์ว่าจีนนั้นยืนหยัดสนับสนุนระบบการค้าที่อิงกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันยึดถือเรื่อยมา โดยก่อนหน้านี้จีนก็เคยยื่นฟ้องต่อ WTO มาแล้วตอนที่ถูกสหภาพยุโรปสั่งรีดภาษีรถอีวีนำเข้าจีนในอัตราสูงสุด 45%
    .
    อย่างไรก็ดี การร้องเรียนต่อ WTO ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือเป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อสหรัฐฯ เนื่องจากระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO นั้นแทบจะถูกปิดไปโดยปริยายตั้งแต่ปี 2019 เมื่อ ทรัมป์ ขัดขวางการแต่งตั้งผู้พิพากษาที่จะมาทำหน้าที่พิจารณาคำอุทธรณ์ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ตั้งแต่ยุค บารัค โอบามา เป็นต้นมายังกล่าวหาหน่วยงานอุทธรณ์ของ WTO ว่าละเมิดอำนาจของสหรัฐฯ ด้วย
    .
    เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาเอ่ยย้ำตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า "ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า"
    .
    ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศจีนก็ออกมาชี้ว่า "เฟนทานิลคือปัญหาของอเมริกา" พร้อมย้ำว่า "ที่ผ่านมาฝ่ายจีนได้มีมาตรการต่อต้านยาเสพติดอย่างจริงจังโดยร่วมมือกับสหรัฐฯ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ"
    .
    การหารือระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อเดือนที่แล้วทำให้เจ้าหน้าที่จีนเริ่มมองเห็นสัญญาณที่ดีว่า ทรัมป์ อาจจะมุ่งลดความขัดแย้งกับจีนลงบ้าง ในขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้งสายเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงมองจีนเป็นความท้าทายอันดับ 1 ทั้งในด้านนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของอเมริกา
    .
    การที่จีนมียอดการค้าเกินดุลเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 ถือเป็นจุดอ่อนของปักกิ่ง การส่งออกในอุตสาหกรรมหลักๆ ของจีน เช่น ยานยนต์ เติบโตรวดเร็วในแง่ของปริมาณมากกว่ามูลค่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ผลิตจีนเลือกหันมาใช้วิธีลดราคาสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายในต่างประเทศ ท่ามกลางอุปสงค์ในจีนที่ยังคงซบเซา และด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าจีนน่าจะพยายามขอเจรจาเพื่อทำข้อตกลงกับรัฐบาล ทรัมป์ ให้ได้โดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ
    .
    ทั้งนี้ จีนยังได้เตรียมความพร้อมรับมือมาตรการรีดภาษีของ ทรัมป์ มานานหลายเดือนด้วยการกระชับความร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วน ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีหลักๆ และจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010797
    ..................
    Sondhi X
    จีนออกมาประณามความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่สั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแดนมังกรในอัตรา 10% เมื่อวานนี้ (2 ก.พ.) โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์จีนประกาศจะยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (World Trade Organization - WTO) เกี่ยวกับคำสั่งรีดภาษีของทรัมป์ และจะมี "มาตรการตอบโต้" นโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับในวันอังคารที่ 4 ก.พ.นี้ . อย่างไรก็ตาม จีนยังส่งสัญญาณเปิดโอกาสสำหรับการเจรจาพูดคุย เพื่อไม่ให้ 2 มหาอำนาจเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรงไปกว่าที่เป็นอยู่ . เมื่อวันเสาร์ (1) ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และสินค้าจีน 10% โดยชี้ว่าปักกิ่งจำเป็นต้องช่วยสกัดกั้นยาเฟนทานิลซึ่งเป็นสารเสพติดโอปิออยด์ชนิดรุนแรงไม่ให้ไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา . กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า คำสั่งของ ทรัมป์ "ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการค้าสากลอย่างร้ายแรง" และจีนขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ "พูดคุยกันอย่างจริงใจ และยกระดับความร่วมมือกัน" . ทั้งนี้ การยื่นฟ้องต่อ WTO จะให้ผลเชิงสัญลักษณ์ว่าจีนนั้นยืนหยัดสนับสนุนระบบการค้าที่อิงกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันยึดถือเรื่อยมา โดยก่อนหน้านี้จีนก็เคยยื่นฟ้องต่อ WTO มาแล้วตอนที่ถูกสหภาพยุโรปสั่งรีดภาษีรถอีวีนำเข้าจีนในอัตราสูงสุด 45% . อย่างไรก็ดี การร้องเรียนต่อ WTO ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือเป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อสหรัฐฯ เนื่องจากระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ WTO นั้นแทบจะถูกปิดไปโดยปริยายตั้งแต่ปี 2019 เมื่อ ทรัมป์ ขัดขวางการแต่งตั้งผู้พิพากษาที่จะมาทำหน้าที่พิจารณาคำอุทธรณ์ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ตั้งแต่ยุค บารัค โอบามา เป็นต้นมายังกล่าวหาหน่วยงานอุทธรณ์ของ WTO ว่าละเมิดอำนาจของสหรัฐฯ ด้วย . เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาเอ่ยย้ำตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า "ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า" . ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศจีนก็ออกมาชี้ว่า "เฟนทานิลคือปัญหาของอเมริกา" พร้อมย้ำว่า "ที่ผ่านมาฝ่ายจีนได้มีมาตรการต่อต้านยาเสพติดอย่างจริงจังโดยร่วมมือกับสหรัฐฯ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ" . การหารือระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อเดือนที่แล้วทำให้เจ้าหน้าที่จีนเริ่มมองเห็นสัญญาณที่ดีว่า ทรัมป์ อาจจะมุ่งลดความขัดแย้งกับจีนลงบ้าง ในขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้งสายเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงมองจีนเป็นความท้าทายอันดับ 1 ทั้งในด้านนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของอเมริกา . การที่จีนมียอดการค้าเกินดุลเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 ถือเป็นจุดอ่อนของปักกิ่ง การส่งออกในอุตสาหกรรมหลักๆ ของจีน เช่น ยานยนต์ เติบโตรวดเร็วในแง่ของปริมาณมากกว่ามูลค่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ผลิตจีนเลือกหันมาใช้วิธีลดราคาสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายในต่างประเทศ ท่ามกลางอุปสงค์ในจีนที่ยังคงซบเซา และด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าจีนน่าจะพยายามขอเจรจาเพื่อทำข้อตกลงกับรัฐบาล ทรัมป์ ให้ได้โดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ . ทั้งนี้ จีนยังได้เตรียมความพร้อมรับมือมาตรการรีดภาษีของ ทรัมป์ มานานหลายเดือนด้วยการกระชับความร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วน ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีหลักๆ และจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010797 .................. Sondhi X
    Like
    Wow
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1347 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กูไม่กลัวมึง!"
    เม็กซิโกและแคนาดาประกาศตอบโต้มาตรกาภาษีนำเข้า 25% ของทรัมป์ ส่วนจีนขอใช้วิธีฟ้องไปที่ WTO แทน

    นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ประกาศตอบโต้มาตรการจัดเก็บภาษีของทรัมป์ โดยแคนาดาจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% กับสินค้านำเข้าเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงานด้วย

    รัฐบาลแคนานาจะดำเนินการเพิ่มภาษี 25% สำหรับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราว 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.23 ล้านล้านบาท) โดยราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) จะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ และอีก 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.22 ล้านล้านบาท) จะมีผลในอีก 21 วัน

    ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Sheinbaum แห่งเม็กซิโก สั่งการให้รัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจให้ตอบโต้ด้วยมาตรการทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี ซึ่งคาดว่าในจำนวนนั้นจะมีมาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25%

    สำหรับทางการ "จีน" ที่โดนมาตรการภาษีจากทรัมป์ 10% ออกแถลงการณ์ล่าสุด ประกาศจะตอบโต้กลับสหรัฐ แต่ยังไม่ถึงขั้นตอบโต้ด้านภาษีศุลกากรโดยตรง โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศยื่นฟ้องสหรัฐต่อองค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมประณามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนว่าเป็น “การละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” และปักกิ่งจะ “ใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองอย่างมั่นคง” ทว่ายังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
    "กูไม่กลัวมึง!" เม็กซิโกและแคนาดาประกาศตอบโต้มาตรกาภาษีนำเข้า 25% ของทรัมป์ ส่วนจีนขอใช้วิธีฟ้องไปที่ WTO แทน นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ประกาศตอบโต้มาตรการจัดเก็บภาษีของทรัมป์ โดยแคนาดาจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% กับสินค้านำเข้าเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงานด้วย รัฐบาลแคนานาจะดำเนินการเพิ่มภาษี 25% สำหรับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราว 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.23 ล้านล้านบาท) โดยราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) จะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ และอีก 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.22 ล้านล้านบาท) จะมีผลในอีก 21 วัน ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Sheinbaum แห่งเม็กซิโก สั่งการให้รัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจให้ตอบโต้ด้วยมาตรการทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี ซึ่งคาดว่าในจำนวนนั้นจะมีมาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% สำหรับทางการ "จีน" ที่โดนมาตรการภาษีจากทรัมป์ 10% ออกแถลงการณ์ล่าสุด ประกาศจะตอบโต้กลับสหรัฐ แต่ยังไม่ถึงขั้นตอบโต้ด้านภาษีศุลกากรโดยตรง โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศยื่นฟ้องสหรัฐต่อองค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมประณามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนว่าเป็น “การละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” และปักกิ่งจะ “ใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองอย่างมั่นคง” ทว่ายังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.106 : วิกฤต PM 2.5 ปักกิ่งเปลี่ยน “ฟ้าหม่น” เป็น “ฟ้าใส” ได้อย่างไร ?
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราจะไปพูดคุยกับ คุณรพีพรรณ วงษ์กรวรเวช หรือคุณยิ้ม คนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปักกิ่ง มานานกว่า 17 ปี เรียกได้ว่า เห็นมากับตา สัมผัสมากับตัวเอง ตั้งแต่ยุคที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นควัน มาจนถึงวันนี้ ที่ท้องฟ้ากรุงปักกิ่งเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส เธอจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ประเทศจีนแก้ไขปัญหามลภาวะ เปลี่ยน “ฟ้าหม่น” เป็น “ฟ้าใส” ได้อย่างไร ?
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=ukpo9cQlOG8
    บูรพาไม่แพ้ Ep.106 : วิกฤต PM 2.5 ปักกิ่งเปลี่ยน “ฟ้าหม่น” เป็น “ฟ้าใส” ได้อย่างไร ? . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราจะไปพูดคุยกับ คุณรพีพรรณ วงษ์กรวรเวช หรือคุณยิ้ม คนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปักกิ่ง มานานกว่า 17 ปี เรียกได้ว่า เห็นมากับตา สัมผัสมากับตัวเอง ตั้งแต่ยุคที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นควัน มาจนถึงวันนี้ ที่ท้องฟ้ากรุงปักกิ่งเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส เธอจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ประเทศจีนแก้ไขปัญหามลภาวะ เปลี่ยน “ฟ้าหม่น” เป็น “ฟ้าใส” ได้อย่างไร ? . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=ukpo9cQlOG8
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีน-อินเดียจับมือฟื้นสัมพันธ์! หนุนจีนนั่งประธาน SCO 📌พร้อมเปิดเที่ยวบินตรง-แลกเปลี่ยนบุคลากร เล็งฉลอง 75 ปีสถาปนาความสัมพันธ์ปี 2025
    👉Global Times รายงานความคืบหน้าการประชุมระดับรองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน-อินเดียที่ปักกิ่ง นำโดยซุน เว่ยตง และวิกรม มิศรี บรรลุฉันทามติหลายประการ โดยอินเดียสนับสนุนจีนดำรงตำแหน่งประธาน SCO พร้อมตกลงเปิดเที่ยวบินตรงและอำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนบุคลากร เตรียมฉลอง 75 ปีสถาปนาความสัมพันธ์ปี 2025 ผ่านกิจกรรมหลากหลาย รวมถึงเปิดเส้นทางแสวงบุญ Kailash Mansarovar ในซีซาง ท่ามกลางการค้าที่แข็งแกร่งแม้อินเดียขาดดุล 85,100 ล้านดอลลาร์ ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้อินเดียเล็งเห็นความสำคัญการฟื้นสัมพันธ์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ #imctnews รายงาน
    จีน-อินเดียจับมือฟื้นสัมพันธ์! หนุนจีนนั่งประธาน SCO 📌พร้อมเปิดเที่ยวบินตรง-แลกเปลี่ยนบุคลากร เล็งฉลอง 75 ปีสถาปนาความสัมพันธ์ปี 2025 👉Global Times รายงานความคืบหน้าการประชุมระดับรองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน-อินเดียที่ปักกิ่ง นำโดยซุน เว่ยตง และวิกรม มิศรี บรรลุฉันทามติหลายประการ โดยอินเดียสนับสนุนจีนดำรงตำแหน่งประธาน SCO พร้อมตกลงเปิดเที่ยวบินตรงและอำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนบุคลากร เตรียมฉลอง 75 ปีสถาปนาความสัมพันธ์ปี 2025 ผ่านกิจกรรมหลากหลาย รวมถึงเปิดเส้นทางแสวงบุญ Kailash Mansarovar ในซีซาง ท่ามกลางการค้าที่แข็งแกร่งแม้อินเดียขาดดุล 85,100 ล้านดอลลาร์ ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้อินเดียเล็งเห็นความสำคัญการฟื้นสัมพันธ์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ #imctnews รายงาน
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะมีการแข่งขันวิ่งฮาล์ฟมาราธอนระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ที่จะจัดขึ้นในเขตต้าซิงของกรุงปักกิ่งในเดือนเมษายนนี้ โดยมีมนุษย์ประมาณ 12,000 คนและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จากกว่า 20 บริษัทเข้าร่วมการแข่งขัน

    การแข่งขันนี้เป็นครั้งแรกที่หุ่นยนต์จะแข่งขันกับมนุษย์ในระยะทาง 13 ไมล์ โดยหุ่นยนต์ที่เข้าร่วมต้องมีลักษณะคล้ายมนุษย์และมีโครงสร้างทางกลที่สามารถเดินหรือวิ่งได้ด้วยสองขา หุ่นยนต์ต้องมีความสูงระหว่าง 1.6 ถึง 6.5 ฟุต และระยะห่างจากข้อต่อสะโพกถึงฝ่าเท้าต้องไม่น้อยกว่า 1.47 ฟุต หุ่นยนต์ที่ควบคุมจากระยะไกลและหุ่นยนต์ที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบสามารถเข้าร่วมได้ และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ระหว่างการแข่งขันได้

    การแข่งขันนี้เป็นการทดสอบความสามารถของหุ่นยนต์ในการแข่งขันกับมนุษย์ในกิจกรรมที่ต้องใช้ความแข็งแรงและความอดทน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ในปัจจุบัน

    ในปีที่แล้ว หุ่นยนต์สองขาที่ชื่อว่า Tiangong จากบริษัท Galbot ได้เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งในกรุงปักกิ่งและวิ่งได้ประมาณ 100 เมตร แม้ว่าจะวิ่งได้ช้า แต่ก็ได้รับเหรียญรางวัลสำหรับการเข้าเส้นชัย Tiangong จะเข้าร่วมการแข่งขันในเดือนเมษายนนี้ด้วย โดยสามารถวิ่งได้ที่ความเร็ว 6.2 ไมล์ต่อชั่วโมง

    https://www.techspot.com/news/106537-robots-race-humans-beijing-half-marathon.html
    จะมีการแข่งขันวิ่งฮาล์ฟมาราธอนระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ที่จะจัดขึ้นในเขตต้าซิงของกรุงปักกิ่งในเดือนเมษายนนี้ โดยมีมนุษย์ประมาณ 12,000 คนและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จากกว่า 20 บริษัทเข้าร่วมการแข่งขัน การแข่งขันนี้เป็นครั้งแรกที่หุ่นยนต์จะแข่งขันกับมนุษย์ในระยะทาง 13 ไมล์ โดยหุ่นยนต์ที่เข้าร่วมต้องมีลักษณะคล้ายมนุษย์และมีโครงสร้างทางกลที่สามารถเดินหรือวิ่งได้ด้วยสองขา หุ่นยนต์ต้องมีความสูงระหว่าง 1.6 ถึง 6.5 ฟุต และระยะห่างจากข้อต่อสะโพกถึงฝ่าเท้าต้องไม่น้อยกว่า 1.47 ฟุต หุ่นยนต์ที่ควบคุมจากระยะไกลและหุ่นยนต์ที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบสามารถเข้าร่วมได้ และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ระหว่างการแข่งขันได้ การแข่งขันนี้เป็นการทดสอบความสามารถของหุ่นยนต์ในการแข่งขันกับมนุษย์ในกิจกรรมที่ต้องใช้ความแข็งแรงและความอดทน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ในปัจจุบัน ในปีที่แล้ว หุ่นยนต์สองขาที่ชื่อว่า Tiangong จากบริษัท Galbot ได้เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งในกรุงปักกิ่งและวิ่งได้ประมาณ 100 เมตร แม้ว่าจะวิ่งได้ช้า แต่ก็ได้รับเหรียญรางวัลสำหรับการเข้าเส้นชัย Tiangong จะเข้าร่วมการแข่งขันในเดือนเมษายนนี้ด้วย โดยสามารถวิ่งได้ที่ความเร็ว 6.2 ไมล์ต่อชั่วโมง https://www.techspot.com/news/106537-robots-race-humans-beijing-half-marathon.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots set to race humans in Beijing half-marathon
    The world's first humans vs. robot half-marathon will take place in Beijing's Daxing district in April. Around 12,000 humans will be racing the 13 miles against humanoid...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts