• 😲หยุด❗ดูคลิปนี้❗ถ้าคุณเป็นตาพร่ามัว มองไม่ชัด ต้อกระจก น้ำตาไหล อย่าปล่อยไว้ มีทางแก้ ดูคลิปวิดีโอนี้...✅ต้อลม ✅ต้อเนื้อ✅ต้อกระจก✅ต้อหิน ✅เคืองตา แสบตา ✅ระคายเคือง ✅แพ้แสง ✅แพ้ลม ✅ตาแห้ง ✅ตาพร่ามัว ✅เบาหวานขึ้นตา ✅วุ้นในตาเสื่อม ✅เห็นหมอกควัน ✅เห็นภาพซ้อน ✅เห็นจุดดำๆเส้นใยลอยไปมาบังสายตา ✅มองเห็นหยากไย่ลอยไปมา แนะนำดีคอนแทคนะคะ🌟ต้องดีคอนแทคที่ทุกคน..มั่นใจใช้แล้วดีให้บอกต่อ👉สั่งซื้อดีคอนแทค D-contact x ได้เลยจ้า📣ติดต่อสอบถามใต้โพสต์ได้เลยค่ะหรือทิ้งชื่อเบอร์โทรไว้ได้นะคะ 👇👇สั่งซื้อ โทร..☎️ 081-755-5329 (คุณอ้อ) #ตาแห้ง #ตามัว #จอประสาทตาเสื่อม #ตาอักเสบ #Dcontact #ตาแพ้แสง #เห็นจุดดำเส้นใยลอยไปมา #เห็นภาพซ้อน #เห็นหยากไย่ #ตาแดง #มองไม่ชัด #ตาพร่ามัว #วุ้นในตาเสื่อม #ต้อกระจก #ต้อลม #ต้อเนื้อ #ต้อหิน #น้ำตาไหล #เบาหวานขึ้นตา
    😲หยุด❗ดูคลิปนี้❗ถ้าคุณเป็นตาพร่ามัว มองไม่ชัด ต้อกระจก น้ำตาไหล อย่าปล่อยไว้ มีทางแก้ ดูคลิปวิดีโอนี้...✅ต้อลม ✅ต้อเนื้อ✅ต้อกระจก✅ต้อหิน ✅เคืองตา แสบตา ✅ระคายเคือง ✅แพ้แสง ✅แพ้ลม ✅ตาแห้ง ✅ตาพร่ามัว ✅เบาหวานขึ้นตา ✅วุ้นในตาเสื่อม ✅เห็นหมอกควัน ✅เห็นภาพซ้อน ✅เห็นจุดดำๆเส้นใยลอยไปมาบังสายตา ✅มองเห็นหยากไย่ลอยไปมา แนะนำดีคอนแทคนะคะ🌟ต้องดีคอนแทคที่ทุกคน..มั่นใจใช้แล้วดีให้บอกต่อ👉สั่งซื้อดีคอนแทค D-contact x ได้เลยจ้า📣ติดต่อสอบถามใต้โพสต์ได้เลยค่ะหรือทิ้งชื่อเบอร์โทรไว้ได้นะคะ 👇👇สั่งซื้อ โทร..☎️ 081-755-5329 (คุณอ้อ) #ตาแห้ง #ตามัว #จอประสาทตาเสื่อม #ตาอักเสบ #Dcontact #ตาแพ้แสง #เห็นจุดดำเส้นใยลอยไปมา #เห็นภาพซ้อน #เห็นหยากไย่ #ตาแดง #มองไม่ชัด #ตาพร่ามัว #วุ้นในตาเสื่อม #ต้อกระจก #ต้อลม #ต้อเนื้อ #ต้อหิน #น้ำตาไหล #เบาหวานขึ้นตา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 623 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • 🤓มีปัญหา❗ #ตาพร่ามัว #มองไม่ชัด #ต้อกระจก น้ำตาไหล อย่าปล่อยไว้ มีทางแก้ ดูคลิปวิดีโอนี้...✅ต้อลม ✅ต้อเนื้อ✅ต้อกระจก✅ต้อหิน ✅เคืองตา แสบตา ✅ระคายเคือง ✅แพ้แสง ✅แพ้ลม ✅ตาแห้ง ✅ตาพร่ามัว ✅เบาหวานขึ้นตา ✅วุ้นในตาเสื่อม ✅เห็นหมอกควัน ✅เห็นภาพซ้อน ✅เห็นจุดดำๆเส้นใยลอยไปมาบังสายตา ✅มองเห็นหยากไย่ลอยไปมา แนะนำดีคอนแทคนะคะ🌟ต้องดีคอนแทคที่ทุกคน..มั่นใจใช้แล้วดีให้บอกต่อ👉สั่งซื้อดีคอนแทค D-contact x ได้เลยจ้า📣ติดต่อสอบถามใต้โพสต์ได้เลยค่ะหรือทิ้งชื่อเบอร์โทรไว้ได้นะคะ 👇👇สั่งซื้อ โทร..☎️ 081-755-5329 (คุณอ้อ) #ตาแห้ง #ตามัว #จอประสาทตาเสื่อม #ตาอักเสบ #Dcontact #ตาแพ้แสง #เห็นจุดดำเส้นใยลอยไปมา #เห็นภาพซ้อน #เห็นหยากไย่ #ตาแดง #มองไม่ชัด #ตาพร่ามัว #วุ้นในตาเสื่อม #ต้อกระจก #ต้อลม #ต้อเนื้อ #ต้อหิน #น้ำตาไหล #เบาหวานขึ้นตา #คุณอ้อดีคอนแทค #ดีคอนแทคคุณอ้อ #ดีคอนแทคสำนักงานใหญ่ #ดีคอนแทคราคาโปรโมชั่น
    🤓มีปัญหา❗ #ตาพร่ามัว #มองไม่ชัด #ต้อกระจก น้ำตาไหล อย่าปล่อยไว้ มีทางแก้ ดูคลิปวิดีโอนี้...✅ต้อลม ✅ต้อเนื้อ✅ต้อกระจก✅ต้อหิน ✅เคืองตา แสบตา ✅ระคายเคือง ✅แพ้แสง ✅แพ้ลม ✅ตาแห้ง ✅ตาพร่ามัว ✅เบาหวานขึ้นตา ✅วุ้นในตาเสื่อม ✅เห็นหมอกควัน ✅เห็นภาพซ้อน ✅เห็นจุดดำๆเส้นใยลอยไปมาบังสายตา ✅มองเห็นหยากไย่ลอยไปมา แนะนำดีคอนแทคนะคะ🌟ต้องดีคอนแทคที่ทุกคน..มั่นใจใช้แล้วดีให้บอกต่อ👉สั่งซื้อดีคอนแทค D-contact x ได้เลยจ้า📣ติดต่อสอบถามใต้โพสต์ได้เลยค่ะหรือทิ้งชื่อเบอร์โทรไว้ได้นะคะ 👇👇สั่งซื้อ โทร..☎️ 081-755-5329 (คุณอ้อ) #ตาแห้ง #ตามัว #จอประสาทตาเสื่อม #ตาอักเสบ #Dcontact #ตาแพ้แสง #เห็นจุดดำเส้นใยลอยไปมา #เห็นภาพซ้อน #เห็นหยากไย่ #ตาแดง #มองไม่ชัด #ตาพร่ามัว #วุ้นในตาเสื่อม #ต้อกระจก #ต้อลม #ต้อเนื้อ #ต้อหิน #น้ำตาไหล #เบาหวานขึ้นตา #คุณอ้อดีคอนแทค #ดีคอนแทคคุณอ้อ #ดีคอนแทคสำนักงานใหญ่ #ดีคอนแทคราคาโปรโมชั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 670 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • 🤓มีปัญหา❗ #ตาพร่ามัว #มองไม่ชัด #ต้อกระจก น้ำตาไหล อย่าปล่อยไว้ มีทางแก้ ดูคลิปวิดีโอนี้...✅ต้อลม ✅ต้อเนื้อ✅ต้อกระจก✅ต้อหิน ✅เคืองตา แสบตา ✅ระคายเคือง ✅แพ้แสง ✅แพ้ลม ✅ตาแห้ง ✅ตาพร่ามัว ✅เบาหวานขึ้นตา ✅วุ้นในตาเสื่อม ✅เห็นหมอกควัน ✅เห็นภาพซ้อน ✅เห็นจุดดำๆเส้นใยลอยไปมาบังสายตา ✅มองเห็นหยากไย่ลอยไปมา แนะนำดีคอนแทคนะคะ🌟ต้องดีคอนแทคที่ทุกคน..มั่นใจใช้แล้วดีให้บอกต่อ👉สั่งซื้อดีคอนแทค D-contact x ได้เลยจ้า📣ติดต่อสอบถามใต้โพสต์ได้เลยค่ะหรือทิ้งชื่อเบอร์โทรไว้ได้นะคะ 👇👇สั่งซื้อ โทร..☎️ 081-755-5329 (คุณอ้อ) #ตาแห้ง #ตามัว #จอประสาทตาเสื่อม #ตาอักเสบ #Dcontact #ตาแพ้แสง #เห็นจุดดำเส้นใยลอยไปมา #เห็นภาพซ้อน #เห็นหยากไย่ #ตาแดง #มองไม่ชัด #ตาพร่ามัว #วุ้นในตาเสื่อม #ต้อกระจก #ต้อลม #ต้อเนื้อ #ต้อหิน #น้ำตาไหล #เบาหวานขึ้นตา #คุณอ้อดีคอนแทค #ดีคอนแทคคุณอ้อ #ดีคอนแทคสำนักงานใหญ่ #ดีคอนแทคราคาโปรโมชั่น
    🤓มีปัญหา❗ #ตาพร่ามัว #มองไม่ชัด #ต้อกระจก น้ำตาไหล อย่าปล่อยไว้ มีทางแก้ ดูคลิปวิดีโอนี้...✅ต้อลม ✅ต้อเนื้อ✅ต้อกระจก✅ต้อหิน ✅เคืองตา แสบตา ✅ระคายเคือง ✅แพ้แสง ✅แพ้ลม ✅ตาแห้ง ✅ตาพร่ามัว ✅เบาหวานขึ้นตา ✅วุ้นในตาเสื่อม ✅เห็นหมอกควัน ✅เห็นภาพซ้อน ✅เห็นจุดดำๆเส้นใยลอยไปมาบังสายตา ✅มองเห็นหยากไย่ลอยไปมา แนะนำดีคอนแทคนะคะ🌟ต้องดีคอนแทคที่ทุกคน..มั่นใจใช้แล้วดีให้บอกต่อ👉สั่งซื้อดีคอนแทค D-contact x ได้เลยจ้า📣ติดต่อสอบถามใต้โพสต์ได้เลยค่ะหรือทิ้งชื่อเบอร์โทรไว้ได้นะคะ 👇👇สั่งซื้อ โทร..☎️ 081-755-5329 (คุณอ้อ) #ตาแห้ง #ตามัว #จอประสาทตาเสื่อม #ตาอักเสบ #Dcontact #ตาแพ้แสง #เห็นจุดดำเส้นใยลอยไปมา #เห็นภาพซ้อน #เห็นหยากไย่ #ตาแดง #มองไม่ชัด #ตาพร่ามัว #วุ้นในตาเสื่อม #ต้อกระจก #ต้อลม #ต้อเนื้อ #ต้อหิน #น้ำตาไหล #เบาหวานขึ้นตา #คุณอ้อดีคอนแทค #ดีคอนแทคคุณอ้อ #ดีคอนแทคสำนักงานใหญ่ #ดีคอนแทคราคาโปรโมชั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • วิกฤตหนาวนี้โหดสุด ยูเครนเสี่ยงนั่งหนาวในความมืด 20 ชั่วโมงต่อวัน

    โรงไฟฟ้าถูกถล่มราบ ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ห้องเทอร์ไบน์ขนาดสองสนามฟุตบอลพังยับเยิน นี่คือภาพที่ Dmytro วัย 41 ปี เห็นหลังการโจมตีของรัสเซีย "น้ำตาไหลเลย" เขาบอก ก่อนที่คนงาน 700 คนจะเร่งซ่อมแซมอย่างสุดชีวิต

    แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น... รัสเซียถล่มโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานจนยูเครนสูญเสียกำลังผลิตไฟฟ้าไปครึ่งหนึ่ง ต้องพึ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ไร้การป้องกันจากขีปนาวุธ และไม่มีเวลาพอจะติดตั้งระบบป้องกันก่อนหน้าหนาว

    "ผมกังวลมาก" Oleksandr Kharchenko ที่ปรึกษารัฐบาลด้านพลังงานบอก หากรัสเซียถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และอากาศหนาวจัด ยูเครนจะเผชิญไฟดับนาน 20 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายถึงบ้านไร้ความอบอุ่น โรงงานผลิตอาวุธหยุดชะงัก และผู้คนต้องอพยพหนีหนาว

    สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นเมื่อผู้ค้าตะวันตกไม่กล้าเก็บก๊าซสำรองในยูเครนเพราะกลัวการโจมตี และไม่มีใครรู้ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหน แต่หากอุณหภูมิต่ำกว่า -10 องศา และรัสเซียถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ ยูเครนก็อาจต้องนั่งหนาวในความมืดนานถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน

    "คนจะทิ้งยูเครนไปลี้ภัยในยุโรปมากขึ้น" Viktoriya Gryb สมาชิกสภาผู้แทนฯ กล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยอมรับว่า "ผู้คนจะตายในบ้านตัวเอง เพราะรัสเซียทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน"


    https://web.facebook.com/groups/194174770388504/posts/362257713580208/
    วิกฤตหนาวนี้โหดสุด ยูเครนเสี่ยงนั่งหนาวในความมืด 20 ชั่วโมงต่อวัน โรงไฟฟ้าถูกถล่มราบ ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ห้องเทอร์ไบน์ขนาดสองสนามฟุตบอลพังยับเยิน นี่คือภาพที่ Dmytro วัย 41 ปี เห็นหลังการโจมตีของรัสเซีย "น้ำตาไหลเลย" เขาบอก ก่อนที่คนงาน 700 คนจะเร่งซ่อมแซมอย่างสุดชีวิต แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น... รัสเซียถล่มโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานจนยูเครนสูญเสียกำลังผลิตไฟฟ้าไปครึ่งหนึ่ง ต้องพึ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ไร้การป้องกันจากขีปนาวุธ และไม่มีเวลาพอจะติดตั้งระบบป้องกันก่อนหน้าหนาว "ผมกังวลมาก" Oleksandr Kharchenko ที่ปรึกษารัฐบาลด้านพลังงานบอก หากรัสเซียถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และอากาศหนาวจัด ยูเครนจะเผชิญไฟดับนาน 20 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายถึงบ้านไร้ความอบอุ่น โรงงานผลิตอาวุธหยุดชะงัก และผู้คนต้องอพยพหนีหนาว สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นเมื่อผู้ค้าตะวันตกไม่กล้าเก็บก๊าซสำรองในยูเครนเพราะกลัวการโจมตี และไม่มีใครรู้ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหน แต่หากอุณหภูมิต่ำกว่า -10 องศา และรัสเซียถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ ยูเครนก็อาจต้องนั่งหนาวในความมืดนานถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน "คนจะทิ้งยูเครนไปลี้ภัยในยุโรปมากขึ้น" Viktoriya Gryb สมาชิกสภาผู้แทนฯ กล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยอมรับว่า "ผู้คนจะตายในบ้านตัวเอง เพราะรัสเซียทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน" https://web.facebook.com/groups/194174770388504/posts/362257713580208/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • บู่บู๊วววว เป็นใคร ?

    บู่บู๊วววว เป็นหมี คล้ายหมีแพนด้า ตัวสีขาว ค่อนข้างอวบ จั้มมั่ม แต่ตาไม่คล้ำเหมือนหมีแพนด้า เพราะเธอมาร์กหน้าทุกวัน

    บู่บู๊วววว มีนิสัย รักการกิน ชอบทำอาหาร ชอบไถโทรศัพท์ ชอบช้อปปิ้ง ชอบไปเที่ยว ชอบเต้น และชอบร้องเพลง

    บู่บู๊วววว อยากลดความอ้วน แต่ก็ชอบกินพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ และอาหาร junkfood

    บู่บู๊วววว คลั่งรัก มีแฟนชื่อ ดู่ดู๊วววว
    เวลาบู่บู๊วววว รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี รู้สึกเศร้า ก็มีดู่ดู๊วววว คอยช่วยฮีลใจเสมอ ด้วยการพาไปกินอาหารอร่อย ๆ ด้วยการพาไปเที่ยวในที่สบายใจ และด้วยอ้อมกอดและ big kiss

    ฉันพบบู่บู๊ววว ด้วยความบังเอิญ
    ด้วยความที่ชอบดูการ์ตูน
    ไถมือถือไปเรื่อย ๆ ก็เจอคลิป reel ของบู่บู๊วววว และ ดู่ดู๊วววว
    เธอทำให้ฉันขำกร๊ากกกก ขึ้นมาคนเดียว...
    เธอทำให้ฉันต้องค้นหาว่า เธอคือใคร เธอชื่ออะไร เธอมาจากไหน
    แล้วฉันก็พบเพจอีกมากมาย กลุ่มอีกมากมาย ในสื่อ social media ทุกช่องทาง

    และในวันที่ฉันรู้สึก upset รู้สึกแย่ ก็มีบู่บู๊วววว กับ ดู่ดู๊วววว นี่แหละที่คอยช่วยฮีลใจ

    บางคลิปของเธอ ทำเอาฉันน้ำตาไหล แล้วก็ดูวนซ้ำไปหลาย ๆ รอบ

    เธอมีดู่ดู๊วววว คอยปลอบใจ ส่วนฉันมีแต่พวกเธอ และครอบครัวของพวกเธอช่วยปลอบใจฉัน

    ฉันเข้าใจเลย บรรดาแฟนคลับทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับน้องหมีเนย หรือน้องหมูเด้ง ทำไมถึงรักน้องนัก

    ฉันเองก็รักบู่บู๊วววว และ ดู่ดู๊วววว มากเช่นกัน

    ขอบคุณมากนะที่เธออยู่เป็นเพื่อนฉัน เวลาที่ฉันไม่มีใคร
    ขอบคุณมากนะที่เธอคอยปลอบปะโลมฉัน ในวันที่ฉันอ่อนแอ
    ขอบคุณมากนะที่เธอทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะขึ้นมาดัง ๆ ในทุกค่ำคืน

    ฉันรักเธอจัง บู่บู๊วววว ของฉัน
    ปล. ถ้าในชีวิตจริง มีดู่ดู๊วววว อยู่ข้างฉันก็คงดี
    บู่บู๊วววว เป็นใคร ? บู่บู๊วววว เป็นหมี คล้ายหมีแพนด้า ตัวสีขาว ค่อนข้างอวบ จั้มมั่ม แต่ตาไม่คล้ำเหมือนหมีแพนด้า เพราะเธอมาร์กหน้าทุกวัน บู่บู๊วววว มีนิสัย รักการกิน ชอบทำอาหาร ชอบไถโทรศัพท์ ชอบช้อปปิ้ง ชอบไปเที่ยว ชอบเต้น และชอบร้องเพลง บู่บู๊วววว อยากลดความอ้วน แต่ก็ชอบกินพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ และอาหาร junkfood บู่บู๊วววว คลั่งรัก มีแฟนชื่อ ดู่ดู๊วววว เวลาบู่บู๊วววว รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี รู้สึกเศร้า ก็มีดู่ดู๊วววว คอยช่วยฮีลใจเสมอ ด้วยการพาไปกินอาหารอร่อย ๆ ด้วยการพาไปเที่ยวในที่สบายใจ และด้วยอ้อมกอดและ big kiss ฉันพบบู่บู๊ววว ด้วยความบังเอิญ ด้วยความที่ชอบดูการ์ตูน ไถมือถือไปเรื่อย ๆ ก็เจอคลิป reel ของบู่บู๊วววว และ ดู่ดู๊วววว เธอทำให้ฉันขำกร๊ากกกก ขึ้นมาคนเดียว... เธอทำให้ฉันต้องค้นหาว่า เธอคือใคร เธอชื่ออะไร เธอมาจากไหน แล้วฉันก็พบเพจอีกมากมาย กลุ่มอีกมากมาย ในสื่อ social media ทุกช่องทาง และในวันที่ฉันรู้สึก upset รู้สึกแย่ ก็มีบู่บู๊วววว กับ ดู่ดู๊วววว นี่แหละที่คอยช่วยฮีลใจ บางคลิปของเธอ ทำเอาฉันน้ำตาไหล แล้วก็ดูวนซ้ำไปหลาย ๆ รอบ เธอมีดู่ดู๊วววว คอยปลอบใจ ส่วนฉันมีแต่พวกเธอ และครอบครัวของพวกเธอช่วยปลอบใจฉัน ฉันเข้าใจเลย บรรดาแฟนคลับทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับน้องหมีเนย หรือน้องหมูเด้ง ทำไมถึงรักน้องนัก ฉันเองก็รักบู่บู๊วววว และ ดู่ดู๊วววว มากเช่นกัน ขอบคุณมากนะที่เธออยู่เป็นเพื่อนฉัน เวลาที่ฉันไม่มีใคร ขอบคุณมากนะที่เธอคอยปลอบปะโลมฉัน ในวันที่ฉันอ่อนแอ ขอบคุณมากนะที่เธอทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะขึ้นมาดัง ๆ ในทุกค่ำคืน ฉันรักเธอจัง บู่บู๊วววว ของฉัน ปล. ถ้าในชีวิตจริง มีดู่ดู๊วววว อยู่ข้างฉันก็คงดี
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 128 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง

    เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร

    ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม
    จึงมีเหยื่อมากมายนัก
    ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้

    🌻

    นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น

    เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้

    ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย

    สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้
    มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด
    ของ storyteller อย่างชัดๆ

    🌻

    “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา

    บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“

    เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^

    🌻

    เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ

    เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!"

    ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว

    ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย
    ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย
    เหมือนกบหูหนวก

    🌻

    คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา

    แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต”

    “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“

    คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์
    ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี
    นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ
    ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ
    หรือชวนเอ๊ะเลย

    ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู

    ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง

    อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้

    ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้

    ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป

    ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง

    ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด
    ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้
    เป็นหลักหมื่นแสนล้าน

    🌻

    เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย

    เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้

    สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง

    เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ )

    พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง

    ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

    แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน

    ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม
    และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

    🌻

    นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin

    One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น

    รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin
    เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่

    บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่

    วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

    🌻

    ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง

    เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน

    นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ

    ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้

    One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI

    ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้

    🌻

    จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย

    คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency

    🌻

    ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย

    เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา

    🌻

    "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก"

    เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น

    🌻

    "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน"

    เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา"

    🌻

    นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด

    นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

    บางครั้งนิทานเหล่านี้
    มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล
    อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์
    ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย
    อาจใช้เพื่อกดดัน
    ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร

    การยอมรับความจริง
    เลิกทนและถอยออกมา
    ก็อาจเป็นการตัดสินใจ
    ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน

    🌻

    “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)”

    ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี)

    ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์”

    ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

    การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล

    ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ

    ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น”

    ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง

    เพื่อรักษาสมดุล
    ระหว่างอารมณ์และเหตุผล
    ในยุคสมัยปัจจุบัน
    ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล
    มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

    🌻

    จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง

    เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง

    นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์

    เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด

    Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ

    ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว

    เรื่องเล่าเหล่านี้
    มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน
    และความหวังของผู้คน
    ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง
    ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง

    🌻

    นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

    ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ
    คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
    และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง
    เพื่อแยกแยะให้ออก
    ระหว่างการใช้ Storytelling
    ในทางที่สร้างสรรค์
    หรือการใช้เพื่อหลอกลวง

    🌻

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม จึงมีเหยื่อมากมายนัก ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้ 🌻 นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้ ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้ มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด ของ storyteller อย่างชัดๆ 🌻 “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“ เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^ 🌻 เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!" ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย เหมือนกบหูหนวก 🌻 คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต” “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“ คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์ ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ หรือชวนเอ๊ะเลย ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้ ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้ ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้ เป็นหลักหมื่นแสนล้าน 🌻 เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้ สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ ) พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี 🌻 นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่ บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน 🌻 ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้ One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้ 🌻 จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency 🌻 ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา 🌻 "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก" เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น 🌻 "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน" เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา" 🌻 นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง บางครั้งนิทานเหล่านี้ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย อาจใช้เพื่อกดดัน ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร การยอมรับความจริง เลิกทนและถอยออกมา ก็อาจเป็นการตัดสินใจ ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน 🌻 “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)” ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี) ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์” ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น” ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง เพื่อรักษาสมดุล ระหว่างอารมณ์และเหตุผล ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​ 🌻 จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์ เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว เรื่องเล่าเหล่านี้ มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน และความหวังของผู้คน ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง 🌻 นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง เพื่อแยกแยะให้ออก ระหว่างการใช้ Storytelling ในทางที่สร้างสรรค์ หรือการใช้เพื่อหลอกลวง 🌻 ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7 #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 692 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้รีโพสต์หลังดูโหนกระแส "ที่มาของ น้ำตาจระเข้ 🐊 ตามหลักวิทยาศาสตร์"

    คำว่า "น้ำตาจระเข้" หรือที่แปลมาจากวลีในภาษาอังกฤษว่า “crocodile tears” นั้น มาจากการที่พบว่า เมื่อจระเข้งับเหยื่อ มันจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจระเข้กำลังสงสารเหยื่อ แต่มันจำใจต้องกินเหยื่อนั้น เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด 😲

    ถึงแม้ว่า จระเข้จะมีต่อมน้ำตา (lachrymal glands) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำตา ออกมาหล่อลื่นดวงตา เหมือนกับของคน แต่การที่มันมีน้ำตาออกมาระหว่างที่งับเหยื่อนั้น ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เกิดจากกระดูกขากรรไกรไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัตินั่นเอง 🤔

    หากเปรียบเทียบกับการกระทำของคนแล้ว ก็เหมือนคนที่กำลังทำความผิด แล้วแกล้งเสแสร้งร้องไห้ออกมา มิได้รู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ การร้องไห้เป็นเพียงเพื่อกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความสนใจจากการกระทำผิดนั้น เท่านั้นเอง... 😅

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/RjyoXPfY2rDiwCFQ/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้รีโพสต์หลังดูโหนกระแส "ที่มาของ น้ำตาจระเข้ 🐊 ตามหลักวิทยาศาสตร์" คำว่า "น้ำตาจระเข้" หรือที่แปลมาจากวลีในภาษาอังกฤษว่า “crocodile tears” นั้น มาจากการที่พบว่า เมื่อจระเข้งับเหยื่อ มันจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจระเข้กำลังสงสารเหยื่อ แต่มันจำใจต้องกินเหยื่อนั้น เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด 😲 ถึงแม้ว่า จระเข้จะมีต่อมน้ำตา (lachrymal glands) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำตา ออกมาหล่อลื่นดวงตา เหมือนกับของคน แต่การที่มันมีน้ำตาออกมาระหว่างที่งับเหยื่อนั้น ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เกิดจากกระดูกขากรรไกรไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัตินั่นเอง 🤔 หากเปรียบเทียบกับการกระทำของคนแล้ว ก็เหมือนคนที่กำลังทำความผิด แล้วแกล้งเสแสร้งร้องไห้ออกมา มิได้รู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ การร้องไห้เป็นเพียงเพื่อกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนความสนใจจากการกระทำผิดนั้น เท่านั้นเอง... 😅 ที่มา : https://www.facebook.com/share/RjyoXPfY2rDiwCFQ/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Angry
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • ☆รีวิว 42 บาทนั่งรถไฟไปหัวหิน
    อ่านรีวิวการเดินทาง
    》》
    https://manowjourney.wixsite.com/manowjourney/post/untitled-1
    《《
    ♡รีวิวแรก ในรอบ3ปี หลังโควิด19 จำได้ว่า เห็นทะเลใสๆน้ำตาไหลเลย คิดถึงทะเลมาก♡

    ☆รวมค่าใช้จ่าย
    ค่ารถไฟ 42 ×2=84 บาท
    ค่ารถ รับ ส่ง 100×2=200 บาท
    ค่ารถตู้มินิบัสขากลับ 180×2= 360 บาท
    ค่าห้องพัก 2,901 บาท
    ค่าอาหาร เครื่องดื่ม 1,186 บาท
    รวม 4,730 บาท
    หาร 2 = 2,545 บาท
    ■■■■■■■■■
    ☆ Green Gallery Hotel Hua Hin
    ห้อง》𝐁𝐥𝐮𝐞 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐡𝐢𝐭𝐞 beachfront villa
    ☆เพจที่พัก
    》》
    https://www.facebook.com/huahingreengallery?mibextid=ZbWKwL
    ☎️ : 0837910222 หรือ 032530487
    🌴 : Facebook - Green Gallery Hotel Hua Hin
    ■■■■■■■■■■■■
    #มะนาวก้าวเดิน #หัวหิน #GreenGalleryHuaHin #manowjourney #ที่พักติดทะเล #รีวิวการเดินทางด้วยรถสาธารณะ #ชายทะเลหัวหิน #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    ☆รีวิว 42 บาทนั่งรถไฟไปหัวหิน อ่านรีวิวการเดินทาง 》》 https://manowjourney.wixsite.com/manowjourney/post/untitled-1 《《 ♡รีวิวแรก ในรอบ3ปี หลังโควิด19 จำได้ว่า เห็นทะเลใสๆน้ำตาไหลเลย คิดถึงทะเลมาก♡ ☆รวมค่าใช้จ่าย ค่ารถไฟ 42 ×2=84 บาท ค่ารถ รับ ส่ง 100×2=200 บาท ค่ารถตู้มินิบัสขากลับ 180×2= 360 บาท ค่าห้องพัก 2,901 บาท ค่าอาหาร เครื่องดื่ม 1,186 บาท รวม 4,730 บาท หาร 2 = 2,545 บาท ■■■■■■■■■ ☆ Green Gallery Hotel Hua Hin ห้อง》𝐁𝐥𝐮𝐞 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐡𝐢𝐭𝐞 beachfront villa ☆เพจที่พัก 》》 https://www.facebook.com/huahingreengallery?mibextid=ZbWKwL ☎️ : 0837910222 หรือ 032530487 🌴 : Facebook - Green Gallery Hotel Hua Hin ■■■■■■■■■■■■ #มะนาวก้าวเดิน #หัวหิน #GreenGalleryHuaHin #manowjourney #ที่พักติดทะเล #รีวิวการเดินทางด้วยรถสาธารณะ #ชายทะเลหัวหิน #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 733 มุมมอง 342 0 รีวิว
  • ใครมีปัญหาเหล่านี้แนะนำทานเลย!!
    ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา
    น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน 1 กระปุก เพียง 99 บาท เก็บปลายทาง

    โทร 083-526-3447
    หรือทักแชท

    #ดูแลสายตา #บำรุงตา #ตาต้อ #ตาหยักไหย่ #มองไม่ชัด #ปัญหาสายตา
    ใครมีปัญหาเหล่านี้แนะนำทานเลย!! ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน 1 กระปุก เพียง 99 บาท เก็บปลายทาง โทร 083-526-3447 หรือทักแชท #ดูแลสายตา #บำรุงตา #ตาต้อ #ตาหยักไหย่ #มองไม่ชัด #ปัญหาสายตา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทานวันละ 1-2 แคปซูล ก่อนนอน พิเศษ 99บาท เก็บปลายทาง
    สำหรับลุกค้าที่มีปัญหาสายตา ดังต่อไปนี้
    ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา
    น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน

    โปรพิเศษ
    1 กระปุก 99 บาท ค่าส่ง 40 บาท
    2 กระปุก 198 บาท ค่าส่ง 40 บาท

    สั่ง 3 กระปุกจัดส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง
    3 กระปุก 290 บาท ส่งฟรี
    5 กระปุก 490 บาท ส่งฟรี

    เลข อย.33-1-13666-5-0069
    1 กระปุก 20 แคปซูล

    วิธีรับประทาน ทานวันละ1-2 แคปซูลก่อนนอน
    ----------------------------------------------------------
    สำหรับลุกค้าที่มีปัญหาสายตา ดังต่อไปนี้
    ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา
    น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน
    ตาพร่ามัว ภาพซ้อน เบลอ เป็นต้อต่างๆ
    แสบตาใช้สายตาเยอะ
    วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม
    เบาหวานขึ้นตา

    สนใจโทร 083-526-3447
    หรือทักแชทได้จ้่

    #บำรุงสายตา #ดูแลสายตา #ตาต้อ
    ทานวันละ 1-2 แคปซูล ก่อนนอน พิเศษ 99บาท เก็บปลายทาง สำหรับลุกค้าที่มีปัญหาสายตา ดังต่อไปนี้ ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน โปรพิเศษ 1 กระปุก 99 บาท ค่าส่ง 40 บาท 2 กระปุก 198 บาท ค่าส่ง 40 บาท สั่ง 3 กระปุกจัดส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง 3 กระปุก 290 บาท ส่งฟรี 5 กระปุก 490 บาท ส่งฟรี เลข อย.33-1-13666-5-0069 1 กระปุก 20 แคปซูล วิธีรับประทาน ทานวันละ1-2 แคปซูลก่อนนอน ---------------------------------------------------------- สำหรับลุกค้าที่มีปัญหาสายตา ดังต่อไปนี้ ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน ตาพร่ามัว ภาพซ้อน เบลอ เป็นต้อต่างๆ แสบตาใช้สายตาเยอะ วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม เบาหวานขึ้นตา สนใจโทร 083-526-3447 หรือทักแชทได้จ้่ #บำรุงสายตา #ดูแลสายตา #ตาต้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • จบปัญหาสายตา เพียงทานวันละ 1-2 แคปซูล ก่อนนอน พิเศษ 99บาท เก็บปลายทาง

    โปรพิเศษ
    1 กระปุก 99 บาท ค่าส่ง 40 บาท
    2 กระปุก 198 บาท ค่าส่ง 40 บาท

    สั่ง 3 กระปุกจัดส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง
    3 กระปุก 290 บาท ส่งฟรี
    5 กระปุก 490 บาท ส่งฟรี

    เลข อย.33-1-13666-5-0069
    1 กระปุก 20 แคปซูล

    วิธีรับประทาน ทานวันละ1-2 แคปซูลก่อนนอน
    ----------------------------------------------------------
    สำหรับลุกค้าที่มีปัญหาสายตา ดังต่อไปนี้
    ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา
    น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน
    ตาพร่ามัว ภาพซ้อน เบลอ เป็นต้อต่างๆ
    แสบตาใช้สายตาเยอะ
    วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม
    เบาหวานขึ้นตา

    สนใจโทร 083-526-3447
    หรือทักแชทได้จ้่

    #บำรุงสายตา #ดูแลสายตา #ตาต้อ
    จบปัญหาสายตา เพียงทานวันละ 1-2 แคปซูล ก่อนนอน พิเศษ 99บาท เก็บปลายทาง โปรพิเศษ 1 กระปุก 99 บาท ค่าส่ง 40 บาท 2 กระปุก 198 บาท ค่าส่ง 40 บาท สั่ง 3 กระปุกจัดส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง 3 กระปุก 290 บาท ส่งฟรี 5 กระปุก 490 บาท ส่งฟรี เลข อย.33-1-13666-5-0069 1 กระปุก 20 แคปซูล วิธีรับประทาน ทานวันละ1-2 แคปซูลก่อนนอน ---------------------------------------------------------- สำหรับลุกค้าที่มีปัญหาสายตา ดังต่อไปนี้ ปวดตา คันตา ตาแดง ปวดตา น้ำตาไหล แพ้แสง มองเห็นไม่ชัดตอนกลางคืน ตาพร่ามัว ภาพซ้อน เบลอ เป็นต้อต่างๆ แสบตาใช้สายตาเยอะ วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม เบาหวานขึ้นตา สนใจโทร 083-526-3447 หรือทักแชทได้จ้่ #บำรุงสายตา #ดูแลสายตา #ตาต้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • #แทนคุณแผ่นดิน

    🤠คำนำ🤠

    “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ

    หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา

    🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠

    สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา

    เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง

    ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ

    🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠

    ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้

    สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ

    หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี

    🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠

    ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ

    เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ

    “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    #แทนคุณแผ่นดิน 🤠คำนำ🤠 “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา 🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠 สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠 ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี 🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠 ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 561 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เหมาะที่สุดแล้วที่ lit nit จะเปิดตัวแบรนด์ธุรกิจสักที
    ....
    "ศิษย์เกษตร" นี่แหละคือแบรนด์ที่ lit nit ทำ
    เหตุที่วันนี้เหมาะแก่การนำเสนอ ก็เพราะด้วยปัจจัย 2 ประการ
    ....
    หนึ่งคือ การทำธุรกิจจำเป็นต้องใช้ทุนและจำเป็นต้องมีที่ปรึกษา วันนี้ lit nit จึงไปขอคำปรึกษาจากพี่ท่านหนึ่ง เล่าให้พี่เขาฟังถึงความเป็นมาและเจตนารมณ์ ตลอดจนชนิดสินค้า เครือข่ายร้านค้าและโรงเรียน พี่เขาได้ฟังจึงบอกว่า
    ....
    "วัสดุปลูกจากใบไม้คือสินค้าที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ และก็มีโอกาสสูงที่คนจะสนใจลงทุนด้วย สินค้าตัวนี้อนาคตไปได้แน่นอน และกลับไปคุยกับโรงเรียนในเครือข่ายเสียใหม่ เปลี่ยนเป้าหมายปีที่สามมาอยู่ปีที่หนึ่งพี่ว่าแบบนี้เด็ก ๆ จะได้ประโยชน์มากเพราะเหมาะสมกับยุคสมัย"
    ....
    ก่อนกลับพี่เขาบอกว่า lit nit ต้องไปทำการบ้านเรื่องอะไรบ้าง รีบทำอย่าช้าตัวนี้อนาคตไปได้แน่นอน แล้วเดือนหน้ากลับมาคุยกันต่อ
    lit nit สัมผัสได้เลยว่าการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจมากกว่าเรา สโลแกนที่พี่เขานิยามให้ของผลิตภัณฑ์ตัวแรกนี้คือ
    "การไม่เผาคือการไม่ทำลายดิน"
    ....
    นั่นคือเหตุที่หนึ่ง ส่วนเหตุที่สองที่วันนี้เหมาะแก่การเปิดตัวธุรกิจก็เพราะว่า 16 กันยา คือวันที่จะเป็นฟ้าหลังฝน ถึงจะถูกหวยแดกแต่เราก็เห็นแสงสว่างจากธุรกิจ พูดแล้วน้ำตาไหลพราก ๆ ไม่รู้ว่าเสียใจหรือปลื้มปิติ !
    #ขอบพระคุณพี่ท่านนั้นที่ให้คำชี้แนะครับ
    วันนี้เหมาะที่สุดแล้วที่ lit nit จะเปิดตัวแบรนด์ธุรกิจสักที .... "ศิษย์เกษตร" นี่แหละคือแบรนด์ที่ lit nit ทำ เหตุที่วันนี้เหมาะแก่การนำเสนอ ก็เพราะด้วยปัจจัย 2 ประการ .... หนึ่งคือ การทำธุรกิจจำเป็นต้องใช้ทุนและจำเป็นต้องมีที่ปรึกษา วันนี้ lit nit จึงไปขอคำปรึกษาจากพี่ท่านหนึ่ง เล่าให้พี่เขาฟังถึงความเป็นมาและเจตนารมณ์ ตลอดจนชนิดสินค้า เครือข่ายร้านค้าและโรงเรียน พี่เขาได้ฟังจึงบอกว่า .... "วัสดุปลูกจากใบไม้คือสินค้าที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ และก็มีโอกาสสูงที่คนจะสนใจลงทุนด้วย สินค้าตัวนี้อนาคตไปได้แน่นอน และกลับไปคุยกับโรงเรียนในเครือข่ายเสียใหม่ เปลี่ยนเป้าหมายปีที่สามมาอยู่ปีที่หนึ่งพี่ว่าแบบนี้เด็ก ๆ จะได้ประโยชน์มากเพราะเหมาะสมกับยุคสมัย" .... ก่อนกลับพี่เขาบอกว่า lit nit ต้องไปทำการบ้านเรื่องอะไรบ้าง รีบทำอย่าช้าตัวนี้อนาคตไปได้แน่นอน แล้วเดือนหน้ากลับมาคุยกันต่อ lit nit สัมผัสได้เลยว่าการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจมากกว่าเรา สโลแกนที่พี่เขานิยามให้ของผลิตภัณฑ์ตัวแรกนี้คือ "การไม่เผาคือการไม่ทำลายดิน" .... นั่นคือเหตุที่หนึ่ง ส่วนเหตุที่สองที่วันนี้เหมาะแก่การเปิดตัวธุรกิจก็เพราะว่า 16 กันยา คือวันที่จะเป็นฟ้าหลังฝน ถึงจะถูกหวยแดกแต่เราก็เห็นแสงสว่างจากธุรกิจ พูดแล้วน้ำตาไหลพราก ๆ ไม่รู้ว่าเสียใจหรือปลื้มปิติ ! #ขอบพระคุณพี่ท่านนั้นที่ให้คำชี้แนะครับ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำหรับวันนี้นายTechTipsจะมานำเสนอภัยอีกรูปแบบหนึ่งที่มาเงียบๆซึ่งเป็นผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ครับ

    โรคฮิตยุคติดจอ ใช้สายตา- จ้องคอมพิวเตอร์นานๆ เสี่ยงโรค CVS
    CVS หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม
    อาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม จะมีวิธีการสังเกตและลักษณะดังต่อไปนี้
    ตาแห้ง แสบและเคืองตา
    ปวดเมื่อยตา เหนื่อยตา ไม่ค่อยอยากลืมตา
    ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
    โฟกัสได้ช้าลง
    เวลากระพริบตาอาจมีน้ำตาไหลออกมา
    ปวดบริเวณกระบอกตา
    ปวดศีรษะ หลัง ไหล่ หรือปวดต้นคอ เป็นอาการที่เรียกว่า Office Syndrome
    ตาสู้แสงไม่ได้

    ศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าหน่วยกระจกตาและการแก้ไขสายตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรคCVS (Computer Vision Syndrome) หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย มีปัญหาทางตา คอ บ่า ไหล่

    โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนมากจนเกินไป โดยอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม มักเกิดกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวต่อเนื่องนานเกินกว่า 2 ชั่วโมงติดต่อกัน

    นอกจากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการนี้ ได้แก่

    ขณะจดจ่อกับการอ่านหนังสือหรือจ้องจอคอมพิวเตอร์จะมีการกระพริบตาน้อยลง ทำให้เกิดอาการตาแห้งง่ายขึ้น
    แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม
    มีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
    การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องพยายามโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น
    ระยะห่างจากหน้าจอ
    ระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์
    ท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม

    เอาละครับถ้าใครมีอาการดังที่อ่านมานี้ต้องปรับตัวนะครับ ด้วยการเพิ่มเเสงให้เพียงพอ จัดท่านั่ง เเละหยุดพักในการจ้องจอบ้าง อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆสองชม เป้นต้น นอกจากพักสายตาเเล้วยังได้พักผ่อนร่างกายส่วนอื่นๆ ให้หายเหนื่อยล้าจากการทำงานได้อีกด้วยครับ

    อย่าลืมนะครับการป้องกันที่ดีที่สุดคืออย่าให้เราป่วยเเล้วค่อยรักษานะครับเริ่มต้นป้องกันไม่ให้ป่วยดีกว่า
    ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips ครับ
    #TechTips
    สำหรับวันนี้นายTechTipsจะมานำเสนอภัยอีกรูปแบบหนึ่งที่มาเงียบๆซึ่งเป็นผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ครับ โรคฮิตยุคติดจอ ใช้สายตา- จ้องคอมพิวเตอร์นานๆ เสี่ยงโรค CVS CVS หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม อาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม จะมีวิธีการสังเกตและลักษณะดังต่อไปนี้ ตาแห้ง แสบและเคืองตา ปวดเมื่อยตา เหนื่อยตา ไม่ค่อยอยากลืมตา ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด โฟกัสได้ช้าลง เวลากระพริบตาอาจมีน้ำตาไหลออกมา ปวดบริเวณกระบอกตา ปวดศีรษะ หลัง ไหล่ หรือปวดต้นคอ เป็นอาการที่เรียกว่า Office Syndrome ตาสู้แสงไม่ได้ ศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าหน่วยกระจกตาและการแก้ไขสายตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรคCVS (Computer Vision Syndrome) หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย มีปัญหาทางตา คอ บ่า ไหล่ โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนมากจนเกินไป โดยอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม มักเกิดกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวต่อเนื่องนานเกินกว่า 2 ชั่วโมงติดต่อกัน นอกจากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการนี้ ได้แก่ ขณะจดจ่อกับการอ่านหนังสือหรือจ้องจอคอมพิวเตอร์จะมีการกระพริบตาน้อยลง ทำให้เกิดอาการตาแห้งง่ายขึ้น แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม มีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องพยายามโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น ระยะห่างจากหน้าจอ ระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์ ท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม เอาละครับถ้าใครมีอาการดังที่อ่านมานี้ต้องปรับตัวนะครับ ด้วยการเพิ่มเเสงให้เพียงพอ จัดท่านั่ง เเละหยุดพักในการจ้องจอบ้าง อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆสองชม เป้นต้น นอกจากพักสายตาเเล้วยังได้พักผ่อนร่างกายส่วนอื่นๆ ให้หายเหนื่อยล้าจากการทำงานได้อีกด้วยครับ อย่าลืมนะครับการป้องกันที่ดีที่สุดคืออย่าให้เราป่วยเเล้วค่อยรักษานะครับเริ่มต้นป้องกันไม่ให้ป่วยดีกว่า ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips ครับ #TechTips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • เช้ากลางวัน ร้องไห้บีบน้ำตา
    พิธาดราม่า ว่าลูกถามว่าร้องไห้ทำไม
    ตอบลูกไปว่าดีใจที่คนไทยได้เหรียญ
    ถถถถ ไอ่ฉัด
    ตกเย็น รีบเอาเงินค่าสมาชิกพรรคที่ยังเหลือ
    ไปถลุงให้หมด เพราะพรรคก้าวไกลถูกยุบ
    คำถามว่า แล้วเช้านี้ตั้งพรรคใหม่
    ค่าสมาชิกทำไง พวกมันบอกก็ขอใหม่สิ ไอ่ฉัด
    แล้วยังมี อดีต สส.ก้าวไกลที่มี คดีย์ เ-ม-า แล้วขับก็ไม่พลาด
    สามกีบดูไว้ ที่เมื่อวานดราม่า อินตามไปกับพวกมัน
    น้ำตาไหลพราก ด้วยวาเป๊ก เทคนิคยุค 90 ของคนละคร
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เช้ากลางวัน ร้องไห้บีบน้ำตา พิธาดราม่า ว่าลูกถามว่าร้องไห้ทำไม ตอบลูกไปว่าดีใจที่คนไทยได้เหรียญ ถถถถ ไอ่ฉัด ตกเย็น รีบเอาเงินค่าสมาชิกพรรคที่ยังเหลือ ไปถลุงให้หมด เพราะพรรคก้าวไกลถูกยุบ คำถามว่า แล้วเช้านี้ตั้งพรรคใหม่ ค่าสมาชิกทำไง พวกมันบอกก็ขอใหม่สิ ไอ่ฉัด แล้วยังมี อดีต สส.ก้าวไกลที่มี คดีย์ เ-ม-า แล้วขับก็ไม่พลาด สามกีบดูไว้ ที่เมื่อวานดราม่า อินตามไปกับพวกมัน น้ำตาไหลพราก ด้วยวาเป๊ก เทคนิคยุค 90 ของคนละคร #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรามาโหวตให้นักแสดงพรรคก้าวกีย์ที่ถูกยุบกันหน่อยดีกว่า
    ใครชอบคนไหนก็โหวตๆกันมา
    คนแรก ชื่อ ป้าเจี๊ยบอมเกียร์ มาจากค่ายดาวแดง เป็นวัตถุโบราณค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส หลงยุคมา บรรยายอาการคือ กรี๊ดๆ น้ำมูกน้ำตาไหล
    คนที่สอง ชื่อ พิธาว่าว ชื่นชอบการแสดง แต่ต้องระวังถูกยืมตัง ทำบริษัทครอบครัวเจ๊ง แบ๊งโทรมาทวงทุกวัน ไม่มากแค่ 800 ล้าน บทบาทน้ำตาน้ำมูกไหลอาบแก้ม
    คนที่สาม ชื่อ ชัยธวัช ฉาลาชัยทาลล้มล้างการปกครอง อดีตเป็นบก นิตยสารฟ้าเดียวกัน ที่มีเนื้อหาให้ร้ายพระมหากษัตริย์ไทย ทั้งร.9 และร.10 อาการร้องไห้เบาๆหยิบผ้าเช็ดทรีนมาปาดดวงตาทั้งสองข้าง
    คนสุดท้าย ชื่อ ไหม หรือไหม่เส้นหย่อย คนนี้ร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา เพราะใจตื่นเต้นที่กำลังจะได้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ในนามพรรคถิ่นกาขาวชาวสิวิไล ดีใจถึงกับ วอเทอร์วอร์คกันเลยทีเดียว
    เอาล่ะครับบรรยายมาถึงตอนนี้ ใครชอบบทบาทของคนไหน เพราะอะไร พิมพ์คอมเม้นมาได้เลย
    หมายเหตุ กรุณาอย่าพิมพ์ด้วยความสุภาพ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เรามาโหวตให้นักแสดงพรรคก้าวกีย์ที่ถูกยุบกันหน่อยดีกว่า ใครชอบคนไหนก็โหวตๆกันมา คนแรก ชื่อ ป้าเจี๊ยบอมเกียร์ มาจากค่ายดาวแดง เป็นวัตถุโบราณค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส หลงยุคมา บรรยายอาการคือ กรี๊ดๆ น้ำมูกน้ำตาไหล คนที่สอง ชื่อ พิธาว่าว ชื่นชอบการแสดง แต่ต้องระวังถูกยืมตัง ทำบริษัทครอบครัวเจ๊ง แบ๊งโทรมาทวงทุกวัน ไม่มากแค่ 800 ล้าน บทบาทน้ำตาน้ำมูกไหลอาบแก้ม คนที่สาม ชื่อ ชัยธวัช ฉาลาชัยทาลล้มล้างการปกครอง อดีตเป็นบก นิตยสารฟ้าเดียวกัน ที่มีเนื้อหาให้ร้ายพระมหากษัตริย์ไทย ทั้งร.9 และร.10 อาการร้องไห้เบาๆหยิบผ้าเช็ดทรีนมาปาดดวงตาทั้งสองข้าง คนสุดท้าย ชื่อ ไหม หรือไหม่เส้นหย่อย คนนี้ร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา เพราะใจตื่นเต้นที่กำลังจะได้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ในนามพรรคถิ่นกาขาวชาวสิวิไล ดีใจถึงกับ วอเทอร์วอร์คกันเลยทีเดียว เอาล่ะครับบรรยายมาถึงตอนนี้ ใครชอบบทบาทของคนไหน เพราะอะไร พิมพ์คอมเม้นมาได้เลย หมายเหตุ กรุณาอย่าพิมพ์ด้วยความสุภาพ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว