• เรื่องราวของผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีกับที่ปรึกษาชาวจีน อาจถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ระดับตุ่มสิว เมื่อเทียบกับเรื่องราวของอุตสาหกรรมโดยทุนจีนที่ปักหลักอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี.จากที่มูลนิธิบูรณะนิเวศเราติดตามประเด็นการพัฒนาอุตสาหกรรมและปัญหามลพิษที่ จ.ปราจีนบุรีมาหลายปี เราพูดกันเล่นๆ แบบอิงความจริงว่า อีกไม่นาน จังหวัดนี้อาจไม่เหลือ “ปรา” และกลายเป็น “จีนบุรี” อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วในบางจุดบางพื้นที่.ยกตัวอย่างที่ทางเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศเคยนำเสนอไปแล้วก็คือกรณีของนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 8 ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .นิคมฯ ดังกล่าวมีความเป็นจีนเต็มเปี่ยม บางโรงงานไม่มีภาษาไทยในป้ายชื่อด้วยซ้ำไป ไม่นับองค์ประกอบความเป็นจีนอื่นๆ อีกมากมาย.ที่สำคัญคือ นิคมฯ แห่งนี้เสมือนจะได้รับการวางรากฐานให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการให้สิทธิประโยชน์หลากหลายมิติแก่นักลงทุน นอกจากการลดหย่อนและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี ยังได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือวัสดุจำเป็นต่างๆ รวมทั้งเปิดให้นักลงทุนสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินถาวร 100% นำส่งเงินตราต่างประเทศได้ อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและสมาชิกในครอบครัวทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย และอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยในประเทศไทย ฯลฯ.อย่างไรก็ตาม ในโลกของการลงทุนอุตสาหกรรมโดยทุนจีนนั้น สำหรับมูลนิธิบูรณะนิเวศแล้ว เราคิดว่าศัพท์คำว่า “ศูนย์เหรียญ” ยังไม่สามารถอธิบายความเป็นจริงได้ครบถ้วน เพราะประเทศไทยจะไม่เพียงไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของทุนจีนลักษณะนี้ แต่ยังจะต้องแบกรับภาระด้านมลพิษและผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทิ้งไว้อีกด้วย จึงมิใช่เพียงเป็นศูนย์หรือเสมอตัว หากแต่เป็นระดับติดลบเลยทีเดียว .อีกประการหนึ่ง จีนในปราจีนฯ ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะเป็น “จีนเทา” หรือไม่ ยังไม่ชัดเจนเท่ากับความเป็น “จีนกร่าง”.เห็นได้ชัดเจนจากกรณีอาณาจักรโรงงานรีไซเคิลของทุนจีน ณ บ้านหนองหอย หมู่ที่ 10 ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่แม้ถูกหน่วยงานราชการตรวจพบแล้วว่ากระทำผิด แต่ก็ยังดื้อแพ่งฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงานและคำสั่งอายัดเครื่องจักรและวัตถุดิบต่างๆ อย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งแน่นอนว่า ทางเพจเรานำเสนอเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน.นอกจากนั้น ในเชิงภาพรวม ทางเพจยังได้นำเสนอเนื้อหาภายใต้หัวข้อ “จับตามลพิษปราจีนฯ” โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 และแน่นอนว่าเราอยากชวนให้ช่วยกันจับตาต่อไป เผื่อจะสามารถรักษา “ปรา” เอาไว้ได้......เรื่องโดย ปานรักษ์ วัฒกะวงศ์ มูลนิธิบูรณะนิเวศ .อ่านเรื่องราวมลพิษปราจีนบุรีเพิ่มเติมได้ตาม link ด้านล่าง.บริษัททีแอนด์ทีเวสท์ฯ รีไซเคิลครอบจักรวาลของทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0grDtaaYztvhuL73ojoDUvYw9CDNPTLZtqzhDQKSbwiki3eDcdnSNuGVJzzkKbjmql.เปิด “ระบบละลายโลหะด้วยกรด” ของบริษัทรีไซเคิลทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0sMBK6exKVCbs9gfhRqGDcHNWPFJe3y7vDF5P7DaPVSBfPrQptLvkpTYrFq2n1bsHl.ย้อนดูผลงานรีไซเคิลทุนจีน บจ.ทีแอนด์ทีเวสท์ฯ: ทำในสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต ส่วนสิ่งที่ต้องทำตามเงื่อนไขการอนุญาต-ไม่ทำhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02LaaHnQHsj8DAxusYpQjyHPNNZWA8qv7fFWEYkK5smy4fdQ6J3CBLx96BTPzPbk7pl.ทำความรู้จักนิคมอุตสาหกรรมจีนแท้ “บ่อทอง 33” https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0pv5YWoqW2twUGomN3u5sBe4H98Gm43k7MTDHXmeRbyoz65xKF4EetLT1Rn2CHkLJl.ชวนเอาปากกามาวง ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ “ของนำเข้า”?https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02wwDL98b9ZaK4NnPaiUbdbzicHzQgrx1H3DTPAYcpZzK4fxSRSfc1xcHiV7ZqMQWCl.ชวนดู “ความเป็นจีน” ทั้งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดและที่แฝงเร้น ภายในอาณาจักรอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ ม.10 บ้านหนองหอย ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0AvSJr99yYvzSoc3yoB3Jhgvuv8Qw2UudYXJKcaAMZSJBTeZzZkfp24EwHh464K5Fl.เปิดภาพบ่อรองรับกากอุตสาหกรรมจากโรงงานรีไซเคิล ณ หนองหอย ผลพวงการลงทุนของทุนจีนที่ฝากไว้ในแผ่นดินไทยแบบนิรันดร์กาลhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid032raXyU59Z4EByprUuaDgDYPCcp7Mvw2YyrDZfzLdHU93JKwQ4gjoq1bc45F9xeB6l
    เรื่องราวของผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีกับที่ปรึกษาชาวจีน อาจถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ระดับตุ่มสิว เมื่อเทียบกับเรื่องราวของอุตสาหกรรมโดยทุนจีนที่ปักหลักอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี.จากที่มูลนิธิบูรณะนิเวศเราติดตามประเด็นการพัฒนาอุตสาหกรรมและปัญหามลพิษที่ จ.ปราจีนบุรีมาหลายปี เราพูดกันเล่นๆ แบบอิงความจริงว่า อีกไม่นาน จังหวัดนี้อาจไม่เหลือ “ปรา” และกลายเป็น “จีนบุรี” อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วในบางจุดบางพื้นที่.ยกตัวอย่างที่ทางเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศเคยนำเสนอไปแล้วก็คือกรณีของนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 8 ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .นิคมฯ ดังกล่าวมีความเป็นจีนเต็มเปี่ยม บางโรงงานไม่มีภาษาไทยในป้ายชื่อด้วยซ้ำไป ไม่นับองค์ประกอบความเป็นจีนอื่นๆ อีกมากมาย.ที่สำคัญคือ นิคมฯ แห่งนี้เสมือนจะได้รับการวางรากฐานให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการให้สิทธิประโยชน์หลากหลายมิติแก่นักลงทุน นอกจากการลดหย่อนและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี ยังได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือวัสดุจำเป็นต่างๆ รวมทั้งเปิดให้นักลงทุนสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินถาวร 100% นำส่งเงินตราต่างประเทศได้ อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและสมาชิกในครอบครัวทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย และอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยในประเทศไทย ฯลฯ.อย่างไรก็ตาม ในโลกของการลงทุนอุตสาหกรรมโดยทุนจีนนั้น สำหรับมูลนิธิบูรณะนิเวศแล้ว เราคิดว่าศัพท์คำว่า “ศูนย์เหรียญ” ยังไม่สามารถอธิบายความเป็นจริงได้ครบถ้วน เพราะประเทศไทยจะไม่เพียงไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของทุนจีนลักษณะนี้ แต่ยังจะต้องแบกรับภาระด้านมลพิษและผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทิ้งไว้อีกด้วย จึงมิใช่เพียงเป็นศูนย์หรือเสมอตัว หากแต่เป็นระดับติดลบเลยทีเดียว .อีกประการหนึ่ง จีนในปราจีนฯ ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะเป็น “จีนเทา” หรือไม่ ยังไม่ชัดเจนเท่ากับความเป็น “จีนกร่าง”.เห็นได้ชัดเจนจากกรณีอาณาจักรโรงงานรีไซเคิลของทุนจีน ณ บ้านหนองหอย หมู่ที่ 10 ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่แม้ถูกหน่วยงานราชการตรวจพบแล้วว่ากระทำผิด แต่ก็ยังดื้อแพ่งฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงานและคำสั่งอายัดเครื่องจักรและวัตถุดิบต่างๆ อย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งแน่นอนว่า ทางเพจเรานำเสนอเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน.นอกจากนั้น ในเชิงภาพรวม ทางเพจยังได้นำเสนอเนื้อหาภายใต้หัวข้อ “จับตามลพิษปราจีนฯ” โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 และแน่นอนว่าเราอยากชวนให้ช่วยกันจับตาต่อไป เผื่อจะสามารถรักษา “ปรา” เอาไว้ได้......เรื่องโดย ปานรักษ์ วัฒกะวงศ์ มูลนิธิบูรณะนิเวศ .อ่านเรื่องราวมลพิษปราจีนบุรีเพิ่มเติมได้ตาม link ด้านล่าง.บริษัททีแอนด์ทีเวสท์ฯ รีไซเคิลครอบจักรวาลของทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0grDtaaYztvhuL73ojoDUvYw9CDNPTLZtqzhDQKSbwiki3eDcdnSNuGVJzzkKbjmql.เปิด “ระบบละลายโลหะด้วยกรด” ของบริษัทรีไซเคิลทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0sMBK6exKVCbs9gfhRqGDcHNWPFJe3y7vDF5P7DaPVSBfPrQptLvkpTYrFq2n1bsHl.ย้อนดูผลงานรีไซเคิลทุนจีน บจ.ทีแอนด์ทีเวสท์ฯ: ทำในสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต ส่วนสิ่งที่ต้องทำตามเงื่อนไขการอนุญาต-ไม่ทำhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02LaaHnQHsj8DAxusYpQjyHPNNZWA8qv7fFWEYkK5smy4fdQ6J3CBLx96BTPzPbk7pl.ทำความรู้จักนิคมอุตสาหกรรมจีนแท้ “บ่อทอง 33” https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0pv5YWoqW2twUGomN3u5sBe4H98Gm43k7MTDHXmeRbyoz65xKF4EetLT1Rn2CHkLJl.ชวนเอาปากกามาวง ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ “ของนำเข้า”?https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02wwDL98b9ZaK4NnPaiUbdbzicHzQgrx1H3DTPAYcpZzK4fxSRSfc1xcHiV7ZqMQWCl.ชวนดู “ความเป็นจีน” ทั้งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดและที่แฝงเร้น ภายในอาณาจักรอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ ม.10 บ้านหนองหอย ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0AvSJr99yYvzSoc3yoB3Jhgvuv8Qw2UudYXJKcaAMZSJBTeZzZkfp24EwHh464K5Fl.เปิดภาพบ่อรองรับกากอุตสาหกรรมจากโรงงานรีไซเคิล ณ หนองหอย ผลพวงการลงทุนของทุนจีนที่ฝากไว้ในแผ่นดินไทยแบบนิรันดร์กาลhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid032raXyU59Z4EByprUuaDgDYPCcp7Mvw2YyrDZfzLdHU93JKwQ4gjoq1bc45F9xeB6l
    Sad
    1
    0 Comments 1 Shares 254 Views 0 Reviews
  • บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 492 Views 0 Reviews
  • Fri. Apr. 11, 2025

    รัดบานไทยยังไม่ต้องไปทำ deal อะไรกับ US หรอกค่ะ
    อยู่แก้ปัญหาใหญ่ๆที่กำลังจะมาถึงในบ้านเราก่อนดีกว่า
    ทุกประเทศก็ยังไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ
    นั่งดูปลาหมอตายเพราะปากและโดนเชือดโดยคนของเขาเอง และรอให้ทุกอย่างตกตะกอนก่อนดีกว่า
    ถ้าพี่สียังสั่งสอนเด็กสติแตกด้วยวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันแบบนี้...ศึกครั้งนี้สะเทือนปากท้องทุกคนหนักกว่า ต้มยำกุ้ง subprime และ covid แน่นอน

    ตัวเล็กๆอย่างไทย และทุกประเทศมีเวลา 3 เดือน (หรือน้อยกว่านั้น) ที่จะพยายามมองหาคู่ค้าที่พร้อมจะ deal กันให้รอดช่วง 4 ปีนี้ไปก่อนน่าจะดีที่สุดนะคะ
    มันไม่ง่ายหรอกค่ะ เหมือนที่จู่ๆจะบอกให้โรงผลิตนอกประเทศทุกโรงกลับไปผลิตที่ US ในตอนที่ค่าแรงแพงกว่าหลายเท่าตัว จริงๆ US ควรทำทุกสิ่งที่เขาคิดตอนนี้ตั้งแต่ 30-40 ปีก่อน แต่อันนี้เป็นแค่ความคิดจากคนตกงานสมองทึบอย่างเราคิดเอาเองนะคะ อย่าใส่ใจเลย 😅

    และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจในไทยทั้งหลาย ตาสว่างซะทีหยุดวิเคราะห์ว่า ท่านผู้นำตัวสีส้มท่านนี้มีแผนการอันแยบยล...พอเหอะ
    There is NO any ingenious plan behind his Cheetos-Orange sorry ass at all.
    #มีแต่ความวิปลาสที่มีปากท้องประชาชนเป็นเดิมพัน
    Fri. Apr. 11, 2025 รัดบานไทยยังไม่ต้องไปทำ deal อะไรกับ US หรอกค่ะ อยู่แก้ปัญหาใหญ่ๆที่กำลังจะมาถึงในบ้านเราก่อนดีกว่า ทุกประเทศก็ยังไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ นั่งดูปลาหมอตายเพราะปากและโดนเชือดโดยคนของเขาเอง และรอให้ทุกอย่างตกตะกอนก่อนดีกว่า ถ้าพี่สียังสั่งสอนเด็กสติแตกด้วยวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันแบบนี้...ศึกครั้งนี้สะเทือนปากท้องทุกคนหนักกว่า ต้มยำกุ้ง subprime และ covid แน่นอน ตัวเล็กๆอย่างไทย และทุกประเทศมีเวลา 3 เดือน (หรือน้อยกว่านั้น) ที่จะพยายามมองหาคู่ค้าที่พร้อมจะ deal กันให้รอดช่วง 4 ปีนี้ไปก่อนน่าจะดีที่สุดนะคะ มันไม่ง่ายหรอกค่ะ เหมือนที่จู่ๆจะบอกให้โรงผลิตนอกประเทศทุกโรงกลับไปผลิตที่ US ในตอนที่ค่าแรงแพงกว่าหลายเท่าตัว จริงๆ US ควรทำทุกสิ่งที่เขาคิดตอนนี้ตั้งแต่ 30-40 ปีก่อน แต่อันนี้เป็นแค่ความคิดจากคนตกงานสมองทึบอย่างเราคิดเอาเองนะคะ อย่าใส่ใจเลย 😅 และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจในไทยทั้งหลาย ตาสว่างซะทีหยุดวิเคราะห์ว่า ท่านผู้นำตัวสีส้มท่านนี้มีแผนการอันแยบยล...พอเหอะ There is NO any ingenious plan behind his Cheetos-Orange sorry ass at all. #มีแต่ความวิปลาสที่มีปากท้องประชาชนเป็นเดิมพัน
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
  • โธ่เช้านี้ไม่มีรักมาทักถาม
    มีแต่ความเคว้งคว้างเป็นอย่างยิ่ง
    ฝันที่เฝ้าเช้าเย็นไม่เป็นจริง
    ฉันถูกทิ้งให้ท้อและรอคอย
    โธ่เที่ยงนี้ไม่มีรักมากวักแขน
    มันสุดแสนจะเศร้าและเหงาหงอย
    คล้ายเคลิ้มฝันหวั่นไหวและใจลอย
    ไร้ร่องรอยเรื่องราวของข่าวใจ
    โธ่คืนนี้ไม่มีรักมาพักบ้าน
    ไม่มีการกวาดหอไว้รอไผ
    มีแต่ฉันวันนี้ไม่มีใคร
    กับหัวใจว่างเปล่าในเงาจันทร์
    โอ้วันนี้ไม่มีรักแน่นักแล้ว
    ไม่มีแววความหวังประทังขวัญ
    เหลือแต่ต่อมน้ำตาต้องจาบัลย์
    ก็เท่านั้นก็เท่านั้นเท่านั้นเอง
    โธ่เช้านี้ไม่มีรักมาทักถาม มีแต่ความเคว้งคว้างเป็นอย่างยิ่ง ฝันที่เฝ้าเช้าเย็นไม่เป็นจริง ฉันถูกทิ้งให้ท้อและรอคอย โธ่เที่ยงนี้ไม่มีรักมากวักแขน มันสุดแสนจะเศร้าและเหงาหงอย คล้ายเคลิ้มฝันหวั่นไหวและใจลอย ไร้ร่องรอยเรื่องราวของข่าวใจ โธ่คืนนี้ไม่มีรักมาพักบ้าน ไม่มีการกวาดหอไว้รอไผ มีแต่ฉันวันนี้ไม่มีใคร กับหัวใจว่างเปล่าในเงาจันทร์ โอ้วันนี้ไม่มีรักแน่นักแล้ว ไม่มีแววความหวังประทังขวัญ เหลือแต่ต่อมน้ำตาต้องจาบัลย์ ก็เท่านั้นก็เท่านั้นเท่านั้นเอง
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • 23 มีนา เป็นวัน "ลูกหมาแห่งชาติ" ไม่รู้ว่าแห่งชาติไหน แต่เอาเหอะก็กูเกิลมันบอกอย่างนั้นว่าวันนี้เป็นวันลูกหมาแห่งชาติ ซึ่งเหมือนจะเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2006 จนถึงตอนนี้ 2025 แล้ว
    ....
    วันนี้มีเจตจำนงค์เพื่อหวังให้ผู้คนมีความเมตตาต่อลูกหมาผู้ใสสื่อและบริสุทธิ์ ไอ้สองตัวบาทของ lit nit ตัวหนึ่งหมาทรายในตำนาน lit nit ให้นมมาตั้งแต่แม่มันตายเมื่ออายุหนึ่งเดือน ตอนนั้นยังจำได้ lit nit พยายามไปปรึกษาหมอสูติแพทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ lit nit มีน้ำนม หมอบอกว่า
    "มึงก็หาเงินแล้วไปซื้อค่ะ !"
    ....
    ส่วนนังซอน้องอีทรายเป็นหมาหลงมาอยู่กับ lit nit เมื่อโตได้หลายเดือนหน่อยก็เลยไม่ต้องให้นม แต่ lit nit ก็ต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อที่จะให้มาให้คำปรึกษากับไอ้สองตัว ว่าอยู่ร่วมกันอย่างไรจึงจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หมอจิตฯบอกว่า
    "ช่างหมามันก่อนค่ะ มึงอะควรต้องฟังหมอก่อนนะคะ การฝึกหมาต้องไปโรงเรียนสอนหมา ไม่ใช่จิตแพทย์ค่ะ !"
    ....
    จากลูกหมาในวันนั้น มันสองตัวก็ใช้ lit nit ทำนู่นนี่นั่นทุกวันนี้ พูดแล้วน้ำตามันก็ปริ่ม ๆ...ใช้กูเป็นลูกเลย โปรดเมตตากูบ้างเถอะ !
    #สวัสดีวันลูกหมาแห่งชาติ !
    23 มีนา เป็นวัน "ลูกหมาแห่งชาติ" ไม่รู้ว่าแห่งชาติไหน แต่เอาเหอะก็กูเกิลมันบอกอย่างนั้นว่าวันนี้เป็นวันลูกหมาแห่งชาติ ซึ่งเหมือนจะเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2006 จนถึงตอนนี้ 2025 แล้ว .... วันนี้มีเจตจำนงค์เพื่อหวังให้ผู้คนมีความเมตตาต่อลูกหมาผู้ใสสื่อและบริสุทธิ์ ไอ้สองตัวบาทของ lit nit ตัวหนึ่งหมาทรายในตำนาน lit nit ให้นมมาตั้งแต่แม่มันตายเมื่ออายุหนึ่งเดือน ตอนนั้นยังจำได้ lit nit พยายามไปปรึกษาหมอสูติแพทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ lit nit มีน้ำนม หมอบอกว่า "มึงก็หาเงินแล้วไปซื้อค่ะ !" .... ส่วนนังซอน้องอีทรายเป็นหมาหลงมาอยู่กับ lit nit เมื่อโตได้หลายเดือนหน่อยก็เลยไม่ต้องให้นม แต่ lit nit ก็ต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อที่จะให้มาให้คำปรึกษากับไอ้สองตัว ว่าอยู่ร่วมกันอย่างไรจึงจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หมอจิตฯบอกว่า "ช่างหมามันก่อนค่ะ มึงอะควรต้องฟังหมอก่อนนะคะ การฝึกหมาต้องไปโรงเรียนสอนหมา ไม่ใช่จิตแพทย์ค่ะ !" .... จากลูกหมาในวันนั้น มันสองตัวก็ใช้ lit nit ทำนู่นนี่นั่นทุกวันนี้ พูดแล้วน้ำตามันก็ปริ่ม ๆ...ใช้กูเป็นลูกเลย โปรดเมตตากูบ้างเถอะ ! #สวัสดีวันลูกหมาแห่งชาติ !
    0 Comments 0 Shares 482 Views 0 Reviews
  • จีน“พร้อมรบ” ทุกสมรภูมิ : Sondhitalk EP285 VDO
    จีนลั่น “พร้อมรบ” สหรัฐฯ ทุกรูปแบบ ตาต่อตาฟันต่อฟัน!
    #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิ #จับประเด็น
    จีน“พร้อมรบ” ทุกสมรภูมิ : Sondhitalk EP285 VDO จีนลั่น “พร้อมรบ” สหรัฐฯ ทุกรูปแบบ ตาต่อตาฟันต่อฟัน! #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิ #จับประเด็น
    Like
    Love
    32
    2 Comments 0 Shares 3205 Views 100 0 Reviews
  • คนอกหักรักร้างก็อย่างว่า
    ต่อมน้ำตาต้องแตกแล้วแหลกไหล
    ให้ครวญคร่ำร่ำหาหวนอาลัย
    ปิ่มว่าใจจะขาดชีวาตม์วาย
    ความอกหักรักหายมันร้ายกาจ
    สุดจะคาดคำนวณประมวลหมาย
    ผลของมันนั้นหนักอย่างมากมาย
    โถมทำร้ายฤดีทุกวี่วัน
    จะโหยหาอาวรณ์จนอ่อนอก
    ทั้งกระปรกกระเปรี้ยทั้งเสียขวัญ
    โอ้ขื่นขมตรมโศกวิโยคยัน
    สารพันพร่ำเพ้ออยากเจอใจ
    คนอกหักรักร้างก็อย่างนี้
    มันต้องมีหลั่งมาน้ำตาไหล
    มาครวญคร่ำร่ำหาโอ้อาลัย
    ปิ่มว่าใจจtขาดอนาถจริง
    คนอกหักรักร้างก็อย่างว่า ต่อมน้ำตาต้องแตกแล้วแหลกไหล ให้ครวญคร่ำร่ำหาหวนอาลัย ปิ่มว่าใจจะขาดชีวาตม์วาย ความอกหักรักหายมันร้ายกาจ สุดจะคาดคำนวณประมวลหมาย ผลของมันนั้นหนักอย่างมากมาย โถมทำร้ายฤดีทุกวี่วัน จะโหยหาอาวรณ์จนอ่อนอก ทั้งกระปรกกระเปรี้ยทั้งเสียขวัญ โอ้ขื่นขมตรมโศกวิโยคยัน สารพันพร่ำเพ้ออยากเจอใจ คนอกหักรักร้างก็อย่างนี้ มันต้องมีหลั่งมาน้ำตาไหล มาครวญคร่ำร่ำหาโอ้อาลัย ปิ่มว่าใจจtขาดอนาถจริง
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • หลวงพ่อครน วัดบางแซะ มาเลเซีย ปี2505
    เนื้อว่านหลวงพ่อครน พิมพ์ใหญ่ ด้านหลังกดยันต์ไม้เท้า วัดบางแซะ (วัดอุตตมาราม) มาเลเซีย ปี 2505 //เนื้อว่านผสมมวลสาร 108 พระสถาพสวยมาก พระหายาก เนื้อแห้งเก่าถึงยุค // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณโดดเด่นในด้านอยู่ยงกระพัน มหาอุด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เมตตามหานิยมและลาภผลพูนทวี โชคลาภ ค้าขายดีและเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก. >>

    ** หลวงพ่อครน วัดบางแซะท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาแฝงไว้ด้วยแววแห่งอำนาจ ลิ้นของท่านเป็นปานสีดำ ชาวบ้านจึงเรียกท่านกันอีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่อลิ้นดำ มีวาจาสิทธิ์ เป็นที่เคารพและเกรงขามทั้งชาวพุทธศาสนิกชน และมุสลิม หลวงพ่อครนท่านเป็นคนพูดน้อย มีศีลจารวัตรงดงาม เป็นที่เลื่อมใสของผู้คนที่ได้พบเห็นหลวงพ่อให้ความเมตตาต่อทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะหรือแม้แต่ศาสนา ในยามเมื่อเขาเดือดร้อนตกอยู่ในกองทุกข์ หลวงพ่อก็จะช่วยเหลือปัดเป่าให้พ้นทุกข์ได้เสมอ อีกทั้งท่านยังมีความรู้เรื่องเครื่องยาสมุนไพรอย่างแตกฉาน ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งวิทยาคมของท่านก็เข้มขลังเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวบ้านในแถบนั้นเป็นอย่างดี จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก ในด้านวัตถุมงคล ท่านสร้างพระเครื่องที่มีชื่อเสียงมาก หาของแท้ชมยากมาก ๆ เพราะเป็นที่นิยมมาก ในหมู่ชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้จนปัจจุบันนี้ คนไทยในประเทศไทยนิยมสมเด็จวัดระฆังอย่างไร ชาวสิงคโปร์และมาเลเซียที่เป็นพุทธก็นิยมพระปิดตาของหลวงพ่อครนไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าวัดบางแซะนั้น แวดล้อมไปด้วยชาวบ้านที่เป็นมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ แต่หลวงพ่อครน ท่านก็ได้รับความเคารพนับถือและเกรงใจอย่างยิ่งจากชาวบ้าน และวัดบางแซะก็สามารถดำรงอยู่ได้ แม้จนปัจจุบันนี้ ด้วยบารมีของท่านนั่นเอง >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงพ่อครน วัดบางแซะ มาเลเซีย ปี2505 เนื้อว่านหลวงพ่อครน พิมพ์ใหญ่ ด้านหลังกดยันต์ไม้เท้า วัดบางแซะ (วัดอุตตมาราม) มาเลเซีย ปี 2505 //เนื้อว่านผสมมวลสาร 108 พระสถาพสวยมาก พระหายาก เนื้อแห้งเก่าถึงยุค // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณโดดเด่นในด้านอยู่ยงกระพัน มหาอุด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เมตตามหานิยมและลาภผลพูนทวี โชคลาภ ค้าขายดีและเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก. >> ** หลวงพ่อครน วัดบางแซะท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาแฝงไว้ด้วยแววแห่งอำนาจ ลิ้นของท่านเป็นปานสีดำ ชาวบ้านจึงเรียกท่านกันอีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่อลิ้นดำ มีวาจาสิทธิ์ เป็นที่เคารพและเกรงขามทั้งชาวพุทธศาสนิกชน และมุสลิม หลวงพ่อครนท่านเป็นคนพูดน้อย มีศีลจารวัตรงดงาม เป็นที่เลื่อมใสของผู้คนที่ได้พบเห็นหลวงพ่อให้ความเมตตาต่อทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะหรือแม้แต่ศาสนา ในยามเมื่อเขาเดือดร้อนตกอยู่ในกองทุกข์ หลวงพ่อก็จะช่วยเหลือปัดเป่าให้พ้นทุกข์ได้เสมอ อีกทั้งท่านยังมีความรู้เรื่องเครื่องยาสมุนไพรอย่างแตกฉาน ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งวิทยาคมของท่านก็เข้มขลังเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวบ้านในแถบนั้นเป็นอย่างดี จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก ในด้านวัตถุมงคล ท่านสร้างพระเครื่องที่มีชื่อเสียงมาก หาของแท้ชมยากมาก ๆ เพราะเป็นที่นิยมมาก ในหมู่ชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้จนปัจจุบันนี้ คนไทยในประเทศไทยนิยมสมเด็จวัดระฆังอย่างไร ชาวสิงคโปร์และมาเลเซียที่เป็นพุทธก็นิยมพระปิดตาของหลวงพ่อครนไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าวัดบางแซะนั้น แวดล้อมไปด้วยชาวบ้านที่เป็นมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ แต่หลวงพ่อครน ท่านก็ได้รับความเคารพนับถือและเกรงใจอย่างยิ่งจากชาวบ้าน และวัดบางแซะก็สามารถดำรงอยู่ได้ แม้จนปัจจุบันนี้ ด้วยบารมีของท่านนั่นเอง >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 641 Views 0 Reviews
  • “โจอี้ ภูวศิษฐ์” เผยไม่ได้เป็นคนคลั่งรัก แต่เป็นคนน่ารักให้แฟน “เจน เนลินญาน์” บอกชิลๆ ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์ออกเดต ไม่ซีเรียสหากใครจะมองดูสบายเกิน ขอแค่เป็นคนน่ารัก เป็นคนเมตตาต่อคนในสังคมก็พอแล้ว

    เปิดตัวคบหาดูใจกับนางเอกเอ็มวีของตัวเองมาได้พักใหญ่แล้วสำหรับ “โจอี้ ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ” และ “เจน เนลินญาน์ อภินารานิธิวงศ์” นางเอกเอ็มวีเพลงฮิต “นะหน้าทอง” ทำหลายคนมองโจอี้เปลี่ยนไป เพราะดูโจอี้เป็นคนคลั่งรักเอามากๆ ซึ่ง โจอี้ เผยเรื่องนี้ว่า…

    “ผมไม่เคยปิดเลย ผมรู้สึกว่าใช้ชีวิตประจำวัน การมีแฟนมีคู่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น หลังๆ ก็ลงโซเชียลเหมือนวัยรุ่น เราไม่ได้บอกว่าเรามีแฟนหรือไม่มีแฟน ก็เห็นเดินตามตลาดจูงมือกัน ก็นั่นแหละแฟนผม หรือผมโพสต์รูปลงก็เป็นแฟน ผมว่าเป็นธรรมดาปกติของชีวิตวัยหนุ่มของผม ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เป็นคนน่ารักให้เขา แบบที่เห็นนี่แหละครับ เขาชอบผมครับ เราจีบกันและกันนั่นแหละ”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023874

    #MGROnline #โจอี้ภูวศิษฐ์ #เจนเนลินญาน์
    “โจอี้ ภูวศิษฐ์” เผยไม่ได้เป็นคนคลั่งรัก แต่เป็นคนน่ารักให้แฟน “เจน เนลินญาน์” บอกชิลๆ ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์ออกเดต ไม่ซีเรียสหากใครจะมองดูสบายเกิน ขอแค่เป็นคนน่ารัก เป็นคนเมตตาต่อคนในสังคมก็พอแล้ว • เปิดตัวคบหาดูใจกับนางเอกเอ็มวีของตัวเองมาได้พักใหญ่แล้วสำหรับ “โจอี้ ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ” และ “เจน เนลินญาน์ อภินารานิธิวงศ์” นางเอกเอ็มวีเพลงฮิต “นะหน้าทอง” ทำหลายคนมองโจอี้เปลี่ยนไป เพราะดูโจอี้เป็นคนคลั่งรักเอามากๆ ซึ่ง โจอี้ เผยเรื่องนี้ว่า… • “ผมไม่เคยปิดเลย ผมรู้สึกว่าใช้ชีวิตประจำวัน การมีแฟนมีคู่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น หลังๆ ก็ลงโซเชียลเหมือนวัยรุ่น เราไม่ได้บอกว่าเรามีแฟนหรือไม่มีแฟน ก็เห็นเดินตามตลาดจูงมือกัน ก็นั่นแหละแฟนผม หรือผมโพสต์รูปลงก็เป็นแฟน ผมว่าเป็นธรรมดาปกติของชีวิตวัยหนุ่มของผม ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกเลย เป็นคนน่ารักให้เขา แบบที่เห็นนี่แหละครับ เขาชอบผมครับ เราจีบกันและกันนั่นแหละ” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023874 • #MGROnline #โจอี้ภูวศิษฐ์ #เจนเนลินญาน์
    0 Comments 0 Shares 493 Views 0 Reviews
  • 📌 ความรักในทางพุทธ : มีจริงแค่ไหน?

    (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และจิตวิทยาความรัก)


    ---

    🔍 1️⃣ รักแท้จริงๆ มีอยู่หรือไม่ในทางพุทธ?

    ในพระพุทธศาสนา "รัก" เป็นสังขารขันธ์

    คือ "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป"

    ไม่มีอะไรคงที่ ไม่ว่าเราจะอยากให้มันนิรันดร์แค่ไหน

    ความรักเกิดขึ้น-เปลี่ยนแปลง-ดับไป ตามเหตุปัจจัยเสมอ


    🌿 "รักนิรันดร์" ในแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีจริง
    แต่ "รักที่ดี" คือ รักที่ปรับตัวได้ตามเหตุปัจจัย

    📌 ความรักจึงขึ้นกับสิ่งเหล่านี้
    ✅ การมองเห็นคุณค่าของกันและกัน
    ✅ การช่วยเหลือ สนับสนุนกัน
    ✅ ความเข้าใจและการให้อภัย
    ✅ การมีจิตใจเกื้อกูล ไม่ใช่แค่ยึดครอง


    ---

    🔍 2️⃣ เหตุใดรักจึงขึ้นลง ไม่คงที่?

    พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
    แม้แต่จิตใจคน

    📌 เหตุที่ทำให้รักเปลี่ยนไป
    ❌ ภาวะทางอารมณ์ → วันหนึ่งรู้สึกดี อีกวันหงุดหงิด
    ❌ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป → คนรักอาจเปลี่ยนแปลง
    ❌ สภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอก → เช่น ปัญหาเงินทอง ครอบครัว
    ❌ การสะสมบุญกรรมร่วมกัน → คนที่รักกันแต่มีวิบากแตกต่างกัน อาจค่อยๆ ห่างกันไป

    💡 สรุป : ความรักเป็นสิ่งที่ "พัฒนาได้" หรือ "เสื่อมถอยได้"
    ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัยที่ก่อร่างสร้างขึ้นในแต่ละวัน


    ---

    🔍 3️⃣ ทำไมคนบางคน "พิสูจน์รัก" จนเสียรักไป?

    📌 พฤติกรรมที่ทำลายความรักโดยไม่รู้ตัว
    ❌ "ถ้ารักฉัน ต้องรับได้ทุกอย่าง" → นี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความคาดหวัง
    ❌ "รักแท้ต้องทดสอบ" → การลองใจซ้ำๆ คือการผลักอีกฝ่ายออกไป
    ❌ "ต้องให้ฉันก่อน แล้วฉันถึงจะรัก" → นี่คือเงื่อนไข ไม่ใช่รักแท้

    💡 ความรักไม่ใช่สนามสอบ

    คนที่ต้องเจอการลองใจบ่อยๆ มักหมดแรงและเลือกเดินจากไป

    การรักใครอย่างแท้จริง คือการเป็นผู้ให้ โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร



    ---

    🔍 4️⃣ รักที่มั่นคงเป็นอย่างไร?

    🌿 รักที่มั่นคงในพุทธศาสนา ไม่ใช่รักที่ไม่เปลี่ยนแปลง
    แต่คือ รักที่ไม่ขึ้นลงตามอารมณ์ชั่ววูบ

    📌 รักแบบที่มีสติและปัญญา คือ
    ✅ เข้าใจว่า "ความรักต้องอาศัยเหตุปัจจัย"
    ✅ มีเมตตาต่อกัน ไม่ใช่แค่ต้องการครอบครอง
    ✅ ปรับตัวให้กันและกันได้
    ✅ มีความมั่นคงภายใน ไม่ต้องพึ่งพิงจนหมดตัวตน

    🌿 "รักที่ดี" ไม่ใช่รักที่ทนได้ทุกอย่าง
    แต่คือ รักที่ให้โอกาสกัน แต่อยู่บนพื้นฐานของศีลและความเคารพกัน


    ---

    🔍 5️⃣ จะรู้ได้อย่างไรว่าความรักที่เรามีเป็นรักแท้หรือไม่?

    💡 ไม่ต้องหาทางพิสูจน์หรือทดสอบ
    💡 ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด

    📌 วิธีเช็คความรักของคุณ
    ✅ คุณมีความสุขในการให้ โดยไม่ต้องรอรับหรือไม่?
    ✅ คุณสามารถเข้าใจและให้อภัยได้โดยไม่ฝืนใจหรือไม่?
    ✅ เวลาผ่านไป คุณยังอยากทำดีให้กันอยู่หรือไม่?
    ✅ คุณเห็นเขาเป็น "เพื่อนชีวิต" ที่ก้าวไปด้วยกัน หรือแค่ "คนที่ต้องทำให้คุณมีความสุข"?

    🌿 "ความรักที่แท้จริง" คือการเดินทางไปด้วยกัน ไม่ใช่การคุมสอบกันไปตลอดทาง


    ---

    ✅ สรุป : ความรักที่ยั่งยืนในแบบพุทธ คืออะไร?

    📌 1. ยอมรับว่า "รักนิรันดร์แบบไม่เปลี่ยนแปลง" ไม่มีจริง
    📌 2. ความรักขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย และสามารถพัฒนาได้
    📌 3. อย่าทดลองความรัก เพราะมันคือการผลักอีกฝ่ายออกไป
    📌 4. รักที่ดีต้องมี "เมตตา ศีล และปัญญา"
    📌 5. ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด อย่ารีบตัดสินแค่จากอารมณ์ชั่วคราว

    🌿 รักที่แท้ คือรักที่มีสติ เข้าใจ และเติบโตไปด้วยกัน
    ไม่ใช่แค่รักที่หวังให้เหมือนเดิมตลอดไป! 💙

    📌 ความรักในทางพุทธ : มีจริงแค่ไหน? (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และจิตวิทยาความรัก) --- 🔍 1️⃣ รักแท้จริงๆ มีอยู่หรือไม่ในทางพุทธ? ในพระพุทธศาสนา "รัก" เป็นสังขารขันธ์ คือ "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป" ไม่มีอะไรคงที่ ไม่ว่าเราจะอยากให้มันนิรันดร์แค่ไหน ความรักเกิดขึ้น-เปลี่ยนแปลง-ดับไป ตามเหตุปัจจัยเสมอ 🌿 "รักนิรันดร์" ในแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีจริง แต่ "รักที่ดี" คือ รักที่ปรับตัวได้ตามเหตุปัจจัย 📌 ความรักจึงขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ ✅ การมองเห็นคุณค่าของกันและกัน ✅ การช่วยเหลือ สนับสนุนกัน ✅ ความเข้าใจและการให้อภัย ✅ การมีจิตใจเกื้อกูล ไม่ใช่แค่ยึดครอง --- 🔍 2️⃣ เหตุใดรักจึงขึ้นลง ไม่คงที่? พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แม้แต่จิตใจคน 📌 เหตุที่ทำให้รักเปลี่ยนไป ❌ ภาวะทางอารมณ์ → วันหนึ่งรู้สึกดี อีกวันหงุดหงิด ❌ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป → คนรักอาจเปลี่ยนแปลง ❌ สภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอก → เช่น ปัญหาเงินทอง ครอบครัว ❌ การสะสมบุญกรรมร่วมกัน → คนที่รักกันแต่มีวิบากแตกต่างกัน อาจค่อยๆ ห่างกันไป 💡 สรุป : ความรักเป็นสิ่งที่ "พัฒนาได้" หรือ "เสื่อมถอยได้" ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัยที่ก่อร่างสร้างขึ้นในแต่ละวัน --- 🔍 3️⃣ ทำไมคนบางคน "พิสูจน์รัก" จนเสียรักไป? 📌 พฤติกรรมที่ทำลายความรักโดยไม่รู้ตัว ❌ "ถ้ารักฉัน ต้องรับได้ทุกอย่าง" → นี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความคาดหวัง ❌ "รักแท้ต้องทดสอบ" → การลองใจซ้ำๆ คือการผลักอีกฝ่ายออกไป ❌ "ต้องให้ฉันก่อน แล้วฉันถึงจะรัก" → นี่คือเงื่อนไข ไม่ใช่รักแท้ 💡 ความรักไม่ใช่สนามสอบ คนที่ต้องเจอการลองใจบ่อยๆ มักหมดแรงและเลือกเดินจากไป การรักใครอย่างแท้จริง คือการเป็นผู้ให้ โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร --- 🔍 4️⃣ รักที่มั่นคงเป็นอย่างไร? 🌿 รักที่มั่นคงในพุทธศาสนา ไม่ใช่รักที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่คือ รักที่ไม่ขึ้นลงตามอารมณ์ชั่ววูบ 📌 รักแบบที่มีสติและปัญญา คือ ✅ เข้าใจว่า "ความรักต้องอาศัยเหตุปัจจัย" ✅ มีเมตตาต่อกัน ไม่ใช่แค่ต้องการครอบครอง ✅ ปรับตัวให้กันและกันได้ ✅ มีความมั่นคงภายใน ไม่ต้องพึ่งพิงจนหมดตัวตน 🌿 "รักที่ดี" ไม่ใช่รักที่ทนได้ทุกอย่าง แต่คือ รักที่ให้โอกาสกัน แต่อยู่บนพื้นฐานของศีลและความเคารพกัน --- 🔍 5️⃣ จะรู้ได้อย่างไรว่าความรักที่เรามีเป็นรักแท้หรือไม่? 💡 ไม่ต้องหาทางพิสูจน์หรือทดสอบ 💡 ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด 📌 วิธีเช็คความรักของคุณ ✅ คุณมีความสุขในการให้ โดยไม่ต้องรอรับหรือไม่? ✅ คุณสามารถเข้าใจและให้อภัยได้โดยไม่ฝืนใจหรือไม่? ✅ เวลาผ่านไป คุณยังอยากทำดีให้กันอยู่หรือไม่? ✅ คุณเห็นเขาเป็น "เพื่อนชีวิต" ที่ก้าวไปด้วยกัน หรือแค่ "คนที่ต้องทำให้คุณมีความสุข"? 🌿 "ความรักที่แท้จริง" คือการเดินทางไปด้วยกัน ไม่ใช่การคุมสอบกันไปตลอดทาง --- ✅ สรุป : ความรักที่ยั่งยืนในแบบพุทธ คืออะไร? 📌 1. ยอมรับว่า "รักนิรันดร์แบบไม่เปลี่ยนแปลง" ไม่มีจริง 📌 2. ความรักขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย และสามารถพัฒนาได้ 📌 3. อย่าทดลองความรัก เพราะมันคือการผลักอีกฝ่ายออกไป 📌 4. รักที่ดีต้องมี "เมตตา ศีล และปัญญา" 📌 5. ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด อย่ารีบตัดสินแค่จากอารมณ์ชั่วคราว 🌿 รักที่แท้ คือรักที่มีสติ เข้าใจ และเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่รักที่หวังให้เหมือนเดิมตลอดไป! 💙
    0 Comments 0 Shares 530 Views 0 Reviews
  • ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?

    📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต

    แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา?

    📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

    💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า
    - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย
    - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต
    - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย

    แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨

    🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?
    📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย
    ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง
    ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง
    ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง
    ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน

    ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม
    ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ
    ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ
    ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ

    🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง?

    📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์

    💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด

    ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน

    ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ

    📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ

    🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️
    - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่?
    - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่?
    - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า?

    🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย?

    🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢

    ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้

    ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568

    📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา? 📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ 💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨 🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ 🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง? 📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴 ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ 💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ 📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ 🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️ - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่? - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่? - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า? 🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย? 🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢 ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้ ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568 📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    0 Comments 0 Shares 1057 Views 0 Reviews
  • ทนายความของไอ้เดรัฐฉาน อ้างติดธุระ ขอศาลเลื่อนคดีลุงสนธิฟ้องหมิ่นไอ้เด ศาลเลื่อนไปเป็น 16 มิ.ย.68 ปัดโธ่ว์ ไอ้เชี้ยเด นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ยื้อชะตาต่อลมหายใจ ให้เข้าไปนอนครุกช้าๆ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นแน่นอน รวม2 คดี เดรัฐฉานมีนอนครูก จุ้กกรู้ จุ้กกรู้ เกิน 2 ปีแน่นอน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ทนายความของไอ้เดรัฐฉาน อ้างติดธุระ ขอศาลเลื่อนคดีลุงสนธิฟ้องหมิ่นไอ้เด ศาลเลื่อนไปเป็น 16 มิ.ย.68 ปัดโธ่ว์ ไอ้เชี้ยเด นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ยื้อชะตาต่อลมหายใจ ให้เข้าไปนอนครุกช้าๆ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นแน่นอน รวม2 คดี เดรัฐฉานมีนอนครูก จุ้กกรู้ จุ้กกรู้ เกิน 2 ปีแน่นอน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • การเดินทางไปไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาในแต่ละวัน หูตาต้องไว รถมาก รถมาเร็วมาก จะว่าเสี่ยงตายก็ใช่ แต่ใจเราสู้..
    การเดินทางไปไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาในแต่ละวัน หูตาต้องไว รถมาก รถมาเร็วมาก จะว่าเสี่ยงตายก็ใช่ แต่ใจเราสู้..
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • -รายงานข่าว 21 กุมภาพันธ์ 2568-พอวันพฤหัสบดีได้รับโหวตจากสภาเซเนทด้วยมติชนะ 51:49 ศุกร์วันนี้ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 นายแคช ปาเทล (Kash Patel) ก็เดินทางไปสาบาลตนเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเอฟบีไอ คนที่ 9 ทันที โดยมีหัวหน้าใหญ่คือคุณ แพม บอนดิ อัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางเทียบเท่ารัฐมนตรีของกระทรวงยุติธรรม เจ้านายเขา เป็นผู้นำกล่าวคำสาบานตนให้กับเขา แคช ปาเทล อายุ 45 ปี เป็นหัวหน้าสำนักงานเอฟบีไอคนแรกที่มีเชื้อสายเป็นคนอินเดีย อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าใหญ่เอฟบีไอคนแรกที่เป็นคนชาติพันธุ์เอเซียอีกด้วย พ่อแม่เขาเป็นคนอินเดียย้ายไปทำมาหากินที่ประเทศอูกานด้า แล้วหนีภ้ยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากอีดี้ อามิน ผู้นำเผด็จการไปแคนาดาก่อน แล้วอพยพเข้ามาอเมริกาอาศัยอยู่ที่เมืองการ์เด้น ซิตี้ เขตลองไอแลนด์รัฐนิวยอร์ค เขาเกิดและเติบโตที่นิวยอร์ค จบการศึกษาปริญญาตรีด้านกฏหมายที่มหาวิทยาลัยริชมอนด์รัฐเวอร์จิเนีย ไปต่อด้านกฏหมายอีกที่อังกฤษ แล้วมาต่อปริญญาโทด้านกฏหมายที่ Pace University งานแรกทำงานเป็นทนายช่วยคนจน Public Defend Lawyer ให้กับศาลไมอามีรัฐฟลอริด้า แล้วย้ายมาว่าความให้กับหน่วยงานรัฐบาลกลางที่วอชิงตัน ดี.ซี.ช่วงทรัมป์ 1.0 เทอมแรกปี 2016 เขาช่วยทำงานด้านต่อต้านผู้ก่อการร้ายให้กับทรัมป์ในหน่วยงานสภาความมั่นคง ต่อมาได้ตำแหน่งเป็น Chief of Staff กับรัฐมนตรีกลาโหม เขาช่วยเหลือทรัมป์อย่างเด็ดเดี่ยวในช่วงวิกฤติ Jan6 ปี 2021 มาตลอด อยู่เคียงข้างทรัมป์เสมอมา พอสมัยทรัมป์ 2.0 เขาได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอ มีอำนาจสืบสวนและสอบสวนทั่วประเทศ ทำงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติตอนช่วง Senate Confirmation Hearing มีการพิจารณาไต่สวนอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนจากวุฒิสมาชิกสายพรรคเดโมแครตฝ่ายตรงข้าม เขาโต้ตอบคำถามอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน และยังบอกอีกว่ารายชื่อ Enemy List 60 คน ที่อยู่ในหนังสือที่เขาเขียน Government Gangster เขาจะตามล่าให้ถึงที่สุด ตรงนี้นี่เองที่ทำให้พวก Deep State สายเดโมแครตถึงกับโกรธควันออกหูหลังจบการไต่สวนของวุฒิสมาชิกสมาชิก เขาเอ่ยวลีเป็นภาฮินดีว่า...Jai Shri Krishna ขออวยชัยให้กับพระองค์กฤษณะด้วยเทอญ
    -รายงานข่าว 21 กุมภาพันธ์ 2568-พอวันพฤหัสบดีได้รับโหวตจากสภาเซเนทด้วยมติชนะ 51:49 ศุกร์วันนี้ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 นายแคช ปาเทล (Kash Patel) ก็เดินทางไปสาบาลตนเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเอฟบีไอ คนที่ 9 ทันที โดยมีหัวหน้าใหญ่คือคุณ แพม บอนดิ อัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางเทียบเท่ารัฐมนตรีของกระทรวงยุติธรรม เจ้านายเขา เป็นผู้นำกล่าวคำสาบานตนให้กับเขา แคช ปาเทล อายุ 45 ปี เป็นหัวหน้าสำนักงานเอฟบีไอคนแรกที่มีเชื้อสายเป็นคนอินเดีย อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าใหญ่เอฟบีไอคนแรกที่เป็นคนชาติพันธุ์เอเซียอีกด้วย พ่อแม่เขาเป็นคนอินเดียย้ายไปทำมาหากินที่ประเทศอูกานด้า แล้วหนีภ้ยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากอีดี้ อามิน ผู้นำเผด็จการไปแคนาดาก่อน แล้วอพยพเข้ามาอเมริกาอาศัยอยู่ที่เมืองการ์เด้น ซิตี้ เขตลองไอแลนด์รัฐนิวยอร์ค เขาเกิดและเติบโตที่นิวยอร์ค จบการศึกษาปริญญาตรีด้านกฏหมายที่มหาวิทยาลัยริชมอนด์รัฐเวอร์จิเนีย ไปต่อด้านกฏหมายอีกที่อังกฤษ แล้วมาต่อปริญญาโทด้านกฏหมายที่ Pace University งานแรกทำงานเป็นทนายช่วยคนจน Public Defend Lawyer ให้กับศาลไมอามีรัฐฟลอริด้า แล้วย้ายมาว่าความให้กับหน่วยงานรัฐบาลกลางที่วอชิงตัน ดี.ซี.ช่วงทรัมป์ 1.0 เทอมแรกปี 2016 เขาช่วยทำงานด้านต่อต้านผู้ก่อการร้ายให้กับทรัมป์ในหน่วยงานสภาความมั่นคง ต่อมาได้ตำแหน่งเป็น Chief of Staff กับรัฐมนตรีกลาโหม เขาช่วยเหลือทรัมป์อย่างเด็ดเดี่ยวในช่วงวิกฤติ Jan6 ปี 2021 มาตลอด อยู่เคียงข้างทรัมป์เสมอมา พอสมัยทรัมป์ 2.0 เขาได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนกลางหรือเอฟบีไอ มีอำนาจสืบสวนและสอบสวนทั่วประเทศ ทำงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติตอนช่วง Senate Confirmation Hearing มีการพิจารณาไต่สวนอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนจากวุฒิสมาชิกสายพรรคเดโมแครตฝ่ายตรงข้าม เขาโต้ตอบคำถามอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน และยังบอกอีกว่ารายชื่อ Enemy List 60 คน ที่อยู่ในหนังสือที่เขาเขียน Government Gangster เขาจะตามล่าให้ถึงที่สุด ตรงนี้นี่เองที่ทำให้พวก Deep State สายเดโมแครตถึงกับโกรธควันออกหูหลังจบการไต่สวนของวุฒิสมาชิกสมาชิก เขาเอ่ยวลีเป็นภาฮินดีว่า...Jai Shri Krishna ขออวยชัยให้กับพระองค์กฤษณะด้วยเทอญ
    0 Comments 0 Shares 604 Views 0 Reviews
  • 🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

    🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว

    แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน

    วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️

    🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜
    วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ

    แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ

    💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก
    ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน

    แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏

    💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก
    แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่

    🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น

    - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่
    - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด
    - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์

    🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ
    ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น

    - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่
    - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก
    - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย

    💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย
    📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล
    ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ
    💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท
    📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก
    🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ

    💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์
    ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว

    ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
    💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม?
    ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้

    🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์?
    - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก
    - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์
    - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก

    🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี?
    ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น
    จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰

    🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ
    ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖

    🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568

    🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน 🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️ 🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜 วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ 💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏 💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ 🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่ - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์ 🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย 💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย 📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ 💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท 📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก 🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ 💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์ ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ 💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม? ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้ 🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์? - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์ - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก 🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี? ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰 🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖 🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568 🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน
    0 Comments 0 Shares 1435 Views 0 Reviews
  • #ถุงใต้ตา

    เกิดขึ้นได้เมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่ถ้าคุณอายุยังน้อยหมายถึงคุณใช้ดวงตาแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่ดวงตาต้องการ ร่างกายเลยต้องสร้างน้ำมาหล่อเย็นดวงตา จากนั้นเนื้อเยื่อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง รวมถึงกล้ามเนื้อบางส่วนที่รองรับเปลือกตาของคุณด้วย ไขมันที่ช่วยพยุงดวงตาสามารถเคลื่อนเข้าสู่เปลือกตาล่างทำให้เกิดอาการบวม ของเหลวอาจสะสมอยู่ใต้ดวงตาของคุณ

    ถุงน้ำใต้ตามักเป็นปัญหาด้านความงามและไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง การเยียวยาที่บ้าน เช่น การประคบเย็นและการให้สารอาหารที่ถูกต้องแก่ดวงตา สามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของพวกเขาได้สำหรับอาการบวมใต้ตาที่เรื้อรังหรือน่ารำคาญ

    มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดหรือทำให้ผลกระทบนี้แย่ลง ได้แก่:

    • ริ้วรอยก่อนวัย

    • การกักเก็บของเหลว โดยเฉพาะเมื่อตื่นหรือหลังอาหารรสเค็ม

    • นอนไม่หลับ

    • ภูมิแพ้

    • สูบบุหรี่

    • พันธุศาสตร์ — ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้ในครอบครัว

    • สภาวะทางการแพทย์ เช่น กรดไหลย้อน โรคผิวหนังอักเสบ โรคไต และโรคตาของต่อมไทรอยด์

    คุณอาจลดการเกิดถุงใต้ตาได้ในระยะยาวด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น นอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอ

    1.ใช้ถุงชา

    คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีคาเฟอีนใต้ตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา

    คาเฟอีนในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังของคุณ นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าปกป้องจากรังสียูวีและอาจชะลอการแก่ก่อนวัยได้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตามการทบทวนงานวิจัยในปี 2020

    วิธีลองทำ:

    • แช่ถุงชาที่ที่คุณดื่มแล้วไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที

    • จากนั้นบีบของเหลวส่วนเกินออกแล้วนำไปประคบบริเวณใต้ตาเป็นเวลา15 ถึง 30 นาที

    2. ใช้ผ้าเย็นประคบ

    คุณอาจพบการบรรเทาถุงใต้ตาได้ด้วยการประคบเย็น การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการอาจช่วยให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทา

    แม้ว่าคุณจะซื้อผ้าเย็นประคบได้จากร้านค้า แต่คุณสามารถทำเองได้โดยใช้เทคนิคนี้ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน

    วิธีทำด้วยตัวเอง ได้แก่

    • ช้อนชาแช่เย็น

    • แตงกวาแช่เย็น

    • ผ้าเช็ดตัวเปียก

    • ถุงผักแช่แข็ง

    ก่อนประคบ ให้ห่อผ้าด้วยผ้าเนื้อนุ่มเพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้เย็นเกินไป คุณเพียงแค่ประคบผ้าเป็นเวลาไม่กี่นาทีก็เห็นผลแล้ว

    3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

    การขาดน้ำสามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ ผู้คนทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งดื่มน้ำไม่ตรงตามคำแนะนำในแต่ละวัน

    ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ คำแนะนำมีตั้งแต่ 6 ถึง 12 แก้ว และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึง:

    • อายุ

    • ระดับการออกกำลังกาย

    • สภาพอากาศ

    • เพศ

    • การตั้งครรภ์

    4.เพิ่มครีมเรตินอลในกิจวัตรประจำวันของคุณ

    คุณอาจเคยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตามาก่อน แต่การเน้นที่ส่วนผสมเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญ ครีมเรตินอลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังต่างๆ รวมถึง:

    • สิว

    • โรคสะเก็ดเงิน

    • การแก่ก่อนวัย

    ส่วนผสมนี้เกี่ยวข้องกับวิตามินเอ และมีอยู่ในรูปแบบครีม เจล หรือของเหลว

    เมื่อทาลงบนผิวหนัง เรตินอลสามารถช่วยลดอาการขาดคอลลาเจนได้ ความเข้มข้นของเรตินอลอาจแตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แต่ครีมที่เข้มข้นกว่านี้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนัง

    โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาเรตินอลบนผิวหนังวันละครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากล้างหน้า

    หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมเรตินอลและวิตามินเอเสริม

    5.ล้างหน้าก่อนนอน

    การปรับปรุงกิจวัตรประจำวันในตอนกลางคืนอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงถุงใต้ตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างหน้าก่อนนอนทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแต่งหน้า

    หากคุณนอนหลับโดยที่มาสคาร่าหรือเครื่องสำอางอื่นๆ อยู่บนดวงตา คุณอาจ:

    • ทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง

    • เกิดอาการแพ้

    • เกิดการติดเชื้อที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ อาการบวม หรืออาการอื่นๆ

    เมื่อคุณนอนหลับโดยที่ยังคงแต่งหน้าอยู่ ผิวของคุณสัมผัสกับอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งอาจทำให้ผิวของคุณแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัยได้

    6.รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงมากขึ้น

    เมื่อคุณอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับเปลือกตาจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่าผิวหนังของคุณอาจเริ่มหย่อนคล้อย ซึ่งรวมถึงไขมันที่โดยปกติจะอยู่รอบดวงตาด้วย

    การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมกรดไฮยาลูโรนิกได้มากขึ้น กรดที่จำเป็นนี้พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะลดลงตามอายุ

    อาหารที่มีวิตามินซีและกรดอะมิโนในปริมาณสูงยังช่วยในการผลิตคอลลาเจนได้ด้วยการเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น

    แหล่งที่ดีของวิตามินซี ได้แก่:

    • มะนาว

    • พริกแดง

    • ผักคะน้า

    • กะหล่ำ

    • บรอกโคลี

    • สตรอว์เบอร์รี่

    7.กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้มากขึ้น

    โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เลือดขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เหล่านี้จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและผิวซีดได้ อาการอื่นๆ ได้แก่:

    • อ่อนเพลียอย่างมาก

    • มือและเท้าเย็น

    • เล็บเปราะ

    แพทย์สามารถตรวจหาโรคโลหิตจางได้ด้วยการตรวจเลือด แพทย์อาจแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากขึ้นหรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง

    อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่:

    • เนื้อแดง เนื้อหมู ตับ เครื่องในสัตว์และสัตว์ปีก

    • อาหารทะเล

    • ถั่ว

    • ผักใบเขียว เช่น คะน้าและผักโขม

    • ลูกเกด แอปริคอต และผลไม้แห้งอื่นๆ

    • ถั่ว

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Glap
    Paa super h
    Whole c
    K cal
    Prink

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #ถุงใต้ตา เกิดขึ้นได้เมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่ถ้าคุณอายุยังน้อยหมายถึงคุณใช้ดวงตาแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่ดวงตาต้องการ ร่างกายเลยต้องสร้างน้ำมาหล่อเย็นดวงตา จากนั้นเนื้อเยื่อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง รวมถึงกล้ามเนื้อบางส่วนที่รองรับเปลือกตาของคุณด้วย ไขมันที่ช่วยพยุงดวงตาสามารถเคลื่อนเข้าสู่เปลือกตาล่างทำให้เกิดอาการบวม ของเหลวอาจสะสมอยู่ใต้ดวงตาของคุณ ถุงน้ำใต้ตามักเป็นปัญหาด้านความงามและไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง การเยียวยาที่บ้าน เช่น การประคบเย็นและการให้สารอาหารที่ถูกต้องแก่ดวงตา สามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของพวกเขาได้สำหรับอาการบวมใต้ตาที่เรื้อรังหรือน่ารำคาญ มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดหรือทำให้ผลกระทบนี้แย่ลง ได้แก่: • ริ้วรอยก่อนวัย • การกักเก็บของเหลว โดยเฉพาะเมื่อตื่นหรือหลังอาหารรสเค็ม • นอนไม่หลับ • ภูมิแพ้ • สูบบุหรี่ • พันธุศาสตร์ — ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้ในครอบครัว • สภาวะทางการแพทย์ เช่น กรดไหลย้อน โรคผิวหนังอักเสบ โรคไต และโรคตาของต่อมไทรอยด์ คุณอาจลดการเกิดถุงใต้ตาได้ในระยะยาวด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น นอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.ใช้ถุงชา คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีคาเฟอีนใต้ตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา คาเฟอีนในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังของคุณ นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าปกป้องจากรังสียูวีและอาจชะลอการแก่ก่อนวัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตามการทบทวนงานวิจัยในปี 2020 วิธีลองทำ: • แช่ถุงชาที่ที่คุณดื่มแล้วไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที • จากนั้นบีบของเหลวส่วนเกินออกแล้วนำไปประคบบริเวณใต้ตาเป็นเวลา15 ถึง 30 นาที 2. ใช้ผ้าเย็นประคบ คุณอาจพบการบรรเทาถุงใต้ตาได้ด้วยการประคบเย็น การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการอาจช่วยให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทา แม้ว่าคุณจะซื้อผ้าเย็นประคบได้จากร้านค้า แต่คุณสามารถทำเองได้โดยใช้เทคนิคนี้ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน วิธีทำด้วยตัวเอง ได้แก่ • ช้อนชาแช่เย็น • แตงกวาแช่เย็น • ผ้าเช็ดตัวเปียก • ถุงผักแช่แข็ง ก่อนประคบ ให้ห่อผ้าด้วยผ้าเนื้อนุ่มเพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้เย็นเกินไป คุณเพียงแค่ประคบผ้าเป็นเวลาไม่กี่นาทีก็เห็นผลแล้ว 3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ การขาดน้ำสามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ ผู้คนทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งดื่มน้ำไม่ตรงตามคำแนะนำในแต่ละวัน ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ คำแนะนำมีตั้งแต่ 6 ถึง 12 แก้ว และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึง: • อายุ • ระดับการออกกำลังกาย • สภาพอากาศ • เพศ • การตั้งครรภ์ 4.เพิ่มครีมเรตินอลในกิจวัตรประจำวันของคุณ คุณอาจเคยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตามาก่อน แต่การเน้นที่ส่วนผสมเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญ ครีมเรตินอลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังต่างๆ รวมถึง: • สิว • โรคสะเก็ดเงิน • การแก่ก่อนวัย ส่วนผสมนี้เกี่ยวข้องกับวิตามินเอ และมีอยู่ในรูปแบบครีม เจล หรือของเหลว เมื่อทาลงบนผิวหนัง เรตินอลสามารถช่วยลดอาการขาดคอลลาเจนได้ ความเข้มข้นของเรตินอลอาจแตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แต่ครีมที่เข้มข้นกว่านี้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนัง โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาเรตินอลบนผิวหนังวันละครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากล้างหน้า หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมเรตินอลและวิตามินเอเสริม 5.ล้างหน้าก่อนนอน การปรับปรุงกิจวัตรประจำวันในตอนกลางคืนอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงถุงใต้ตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างหน้าก่อนนอนทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแต่งหน้า หากคุณนอนหลับโดยที่มาสคาร่าหรือเครื่องสำอางอื่นๆ อยู่บนดวงตา คุณอาจ: • ทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง • เกิดอาการแพ้ • เกิดการติดเชื้อที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ อาการบวม หรืออาการอื่นๆ เมื่อคุณนอนหลับโดยที่ยังคงแต่งหน้าอยู่ ผิวของคุณสัมผัสกับอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งอาจทำให้ผิวของคุณแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัยได้ 6.รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงมากขึ้น เมื่อคุณอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับเปลือกตาจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่าผิวหนังของคุณอาจเริ่มหย่อนคล้อย ซึ่งรวมถึงไขมันที่โดยปกติจะอยู่รอบดวงตาด้วย การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมกรดไฮยาลูโรนิกได้มากขึ้น กรดที่จำเป็นนี้พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะลดลงตามอายุ อาหารที่มีวิตามินซีและกรดอะมิโนในปริมาณสูงยังช่วยในการผลิตคอลลาเจนได้ด้วยการเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น แหล่งที่ดีของวิตามินซี ได้แก่: • มะนาว • พริกแดง • ผักคะน้า • กะหล่ำ • บรอกโคลี • สตรอว์เบอร์รี่ 7.กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้มากขึ้น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เลือดขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เหล่านี้จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและผิวซีดได้ อาการอื่นๆ ได้แก่: • อ่อนเพลียอย่างมาก • มือและเท้าเย็น • เล็บเปราะ แพทย์สามารถตรวจหาโรคโลหิตจางได้ด้วยการตรวจเลือด แพทย์อาจแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากขึ้นหรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่: • เนื้อแดง เนื้อหมู ตับ เครื่องในสัตว์และสัตว์ปีก • อาหารทะเล • ถั่ว • ผักใบเขียว เช่น คะน้าและผักโขม • ลูกเกด แอปริคอต และผลไม้แห้งอื่นๆ • ถั่ว ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Glap Paa super h Whole c K cal Prink ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 Comments 0 Shares 1251 Views 0 Reviews
  • 📌 กรรมเก่ากำหนดตัวตนใหม่ และบทบาทในสังคม

    คนเราเกิดมาต่างกัน
    ไม่ใช่แค่หน้าตา ฐานะ หรือสติปัญญา
    แต่ยังรวมถึง “พลังของกรรม”
    ที่ส่งผลให้ บางคนเป็นผู้ได้รับการยกย่อง
    และ บางคนเป็นเป้าหมายของการถูกแกล้ง


    ---

    📌 ทำไมบางคนเหมือนถูก ‘ชี้เป้า’ ให้โดนแกล้ง?

    ✔ กรรมเก่าทำให้ดึงดูด ‘ความอยากแกล้ง’ จากคนรอบข้าง
    ✔ เคยสร้างความอับอายให้คนอื่น → จึงต้องเผชิญความอับอายเอง
    ✔ เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล → จึงต้องเจอการถูกทำร้ายแบบไร้เหตุผล

    📌 บางคนแค่เดินเข้ามาในห้อง
    คนรอบข้างก็รู้สึกอยากเยาะเย้ย
    เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง
    กระตุ้นให้คนอยากทำให้เขาเจ็บปวด

    📌 นี่อาจเป็น “ผลของกรรม”
    ที่ดึงพลังแห่ง “อารมณ์สาธารณะ” ออกมา
    ทำให้มวลชนมองไปในทางเดียวกัน
    และรู้สึกว่าสมควรที่จะถูกกระทำ


    ---

    📌 หากเห็นใครเป็นเป้าของการถูกแกล้ง ควรทำอย่างไร?

    ⚠ ระวังตัวเองให้ดี
    เพราะ เราอาจกำลังตกเป็น ‘เครื่องมือของกรรมคนอื่น’

    ⚠ หยุดความคิด ‘คันไม้คันมือ’ อยากแกล้ง

    ทุกครั้งที่รู้สึกอยากล้อเลียนใคร

    ทุกครั้งที่คิดว่า "ล้อเล่นนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก"

    หยุดก่อนแล้วถามตัวเองว่า
    “นี่เรากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่หรือเปล่า?”


    ⚠ อย่ามองว่า ‘แกล้งกันสนุก’ เป็นเรื่องปกติ

    คนถูกแกล้งอาจไม่ได้ขำไปด้วย

    บางทีเขาแค่กลั้นใจยิ้ม แต่ในใจทุกข์มาก

    กรรมไม่ได้ดูว่า “เล่นๆ” หรือ “จริงจัง”

    กรรมดูที่ “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ”



    ---

    📌 ใครเคยแกล้งคนอื่นมาก่อน จะหลีกเลี่ยงกรรมร้ายได้ไหม?

    ได้ ถ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้

    ✅ 1. หยุดสร้างกรรมใหม่ทันที

    ไม่ซ้ำเติม ไม่แกล้งใครให้ทุกข์ใจ

    ไม่หัวเราะเยาะคนที่อับอาย


    ✅ 2. ชดเชยกรรมเก่าด้วยการให้โอกาสคนอื่น

    หากเจอคนที่เคยแกล้งมาก่อน → ยอมรับผิด

    หากเห็นใครกำลังถูกกลั่นแกล้ง → ช่วยห้าม


    ✅ 3. เจริญเมตตา สร้างพลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น

    กรรมดีสามารถลดแรงกรรมเก่าได้

    เมตตาต่อผู้อื่น คือการเมตตาต่ออนาคตของตัวเอง



    ---

    📌 กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาด

    คนที่เคยแกล้ง → วันหนึ่งต้องถูกแกล้ง
    คนที่เคยหัวเราะเยาะ → วันหนึ่งต้องเป็นเป้าหัวเราะเยาะ
    คนที่เคยทำให้คนอื่นอับอาย → วันหนึ่งต้องอับอายเอง

    แต่หากเราหยุดวงจรนี้ได้
    กรรมร้ายจะไม่ส่งต่อมาถึงเรา

    “หยุดแกล้งคนอื่น = หยุดกรรมของตัวเอง”

    📌 กรรมเก่ากำหนดตัวตนใหม่ และบทบาทในสังคม คนเราเกิดมาต่างกัน ไม่ใช่แค่หน้าตา ฐานะ หรือสติปัญญา แต่ยังรวมถึง “พลังของกรรม” ที่ส่งผลให้ บางคนเป็นผู้ได้รับการยกย่อง และ บางคนเป็นเป้าหมายของการถูกแกล้ง --- 📌 ทำไมบางคนเหมือนถูก ‘ชี้เป้า’ ให้โดนแกล้ง? ✔ กรรมเก่าทำให้ดึงดูด ‘ความอยากแกล้ง’ จากคนรอบข้าง ✔ เคยสร้างความอับอายให้คนอื่น → จึงต้องเผชิญความอับอายเอง ✔ เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล → จึงต้องเจอการถูกทำร้ายแบบไร้เหตุผล 📌 บางคนแค่เดินเข้ามาในห้อง คนรอบข้างก็รู้สึกอยากเยาะเย้ย เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง กระตุ้นให้คนอยากทำให้เขาเจ็บปวด 📌 นี่อาจเป็น “ผลของกรรม” ที่ดึงพลังแห่ง “อารมณ์สาธารณะ” ออกมา ทำให้มวลชนมองไปในทางเดียวกัน และรู้สึกว่าสมควรที่จะถูกกระทำ --- 📌 หากเห็นใครเป็นเป้าของการถูกแกล้ง ควรทำอย่างไร? ⚠ ระวังตัวเองให้ดี เพราะ เราอาจกำลังตกเป็น ‘เครื่องมือของกรรมคนอื่น’ ⚠ หยุดความคิด ‘คันไม้คันมือ’ อยากแกล้ง ทุกครั้งที่รู้สึกอยากล้อเลียนใคร ทุกครั้งที่คิดว่า "ล้อเล่นนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก" หยุดก่อนแล้วถามตัวเองว่า “นี่เรากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่หรือเปล่า?” ⚠ อย่ามองว่า ‘แกล้งกันสนุก’ เป็นเรื่องปกติ คนถูกแกล้งอาจไม่ได้ขำไปด้วย บางทีเขาแค่กลั้นใจยิ้ม แต่ในใจทุกข์มาก กรรมไม่ได้ดูว่า “เล่นๆ” หรือ “จริงจัง” กรรมดูที่ “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ” --- 📌 ใครเคยแกล้งคนอื่นมาก่อน จะหลีกเลี่ยงกรรมร้ายได้ไหม? ได้ ถ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ ✅ 1. หยุดสร้างกรรมใหม่ทันที ไม่ซ้ำเติม ไม่แกล้งใครให้ทุกข์ใจ ไม่หัวเราะเยาะคนที่อับอาย ✅ 2. ชดเชยกรรมเก่าด้วยการให้โอกาสคนอื่น หากเจอคนที่เคยแกล้งมาก่อน → ยอมรับผิด หากเห็นใครกำลังถูกกลั่นแกล้ง → ช่วยห้าม ✅ 3. เจริญเมตตา สร้างพลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น กรรมดีสามารถลดแรงกรรมเก่าได้ เมตตาต่อผู้อื่น คือการเมตตาต่ออนาคตของตัวเอง --- 📌 กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาด คนที่เคยแกล้ง → วันหนึ่งต้องถูกแกล้ง คนที่เคยหัวเราะเยาะ → วันหนึ่งต้องเป็นเป้าหัวเราะเยาะ คนที่เคยทำให้คนอื่นอับอาย → วันหนึ่งต้องอับอายเอง แต่หากเราหยุดวงจรนี้ได้ กรรมร้ายจะไม่ส่งต่อมาถึงเรา “หยุดแกล้งคนอื่น = หยุดกรรมของตัวเอง”
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • นายกฯอิชิบะแสดงความสบายใจ เชื่อญี่ปุ่นไม่ถูกอเมริการีดภาษีหนัก เนื่องจากตอนไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (7) ได้อธิบายให้ทรัมป์ “ตระหนัก” ว่าแดนอาทิตย์อุทัยเป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ ขณะที่บีบีซีเผยเบื้องหลัง ความสำเร็จของอิชิบะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขา “เตรียมตัวทำการบ้านอย่างหนัก” ดังนั้น แทนที่จะเผชิญหน้า เขากลับเลือกพูดในสิ่งที่ทรัมป์อยากได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกา
    .
    ภายหลังการประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวนกรุงวอชิงตันเมื่อวันศุกร์ (7) นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ของแดนอาทิตย์อุทัยว่า ตอนที่ดูในทีวี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูน่ากลัวมาก แต่พอมาเจอตัวจริง ผู้นำสหรัฐฯ จริงใจ ดูมีอำนาจมากและเป็นตัวของตัวเองสูง และเสริมว่า ตนและทรัมป์ไม่ได้พูดเรื่องภาษีศุลกากรรถยนต์ รวมทั้งยอมรับว่าไม่รู้ว่า ญี่ปุ่นจะถูกอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มหรือไม่
    .
    อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์มองว่า จนถึงตอนนี้โตเกียวยังคงรอดพ้นจากเพลิงสงครามการค้าที่ทรัมป์เที่ยวกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ ทั่วโลกตั้งสัปดาห์แรกๆ หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยที่สัปดาห์ที่แล้วเขาประกาศเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน แม้ยอมเลื่อนการเก็บภาษีสองประเทศแรกภายหลังการหารือกับผู้นำของ 2 ชาติดังกล่าวก็ตาม
    .
    กระนั้น ภายหลังกลับถึงบ้าน อิชิบะกล่าวที่โตเกียวในวันอาทิตย์ (10) โดยระบุว่า เชื่อว่า ทรัมป์ “ตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ญี่ปุ่นต่างจากประเทศอื่นๆ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนซึ่งลงทุนในอเมริกาเป็นรายใหญ่สุดต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน และญี่ปุ่นกำลังสร้างงานจำนวนมากในอเมริกา” ดังนั้น เขาจึงเชื่อว่า อเมริกาจะไม่ผลักดันไอเดียการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มกับญี่ปุ่น และสองประเทศจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พร้อมกับย้ำว่า ภาษีศุลกากรควรบังคับใช้ด้วยวิธีที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ
    .
    จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มียอดการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศในอเมริกาสูงที่สุดคือ 783,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามด้วยแคนาดาและเยอรมนี
    .
    นอกจากนั้น แม้กดดันให้อิชิบะยุติการที่ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าอเมริกา 68,500 ล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์มองแง่ดีว่า เป้าหมายนี้จะลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้คำมั่นจากอิชิบะว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในอเมริกา 1 ล้านล้านดอลลาร์
    .
    อิชิบะ ระบุว่า เหล็กกล้า ปัญญาประดิษฐ์ และยานยนต์ คือธุรกิจที่บริษัทญี่ปุ่นจะเข้าไปลงทุนในอเมริกา และสำทับว่า สามารถประนีประนอมกับทรัมป์ได้เรื่องนิปปอน สตีล โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ตอนนี้ นิปปอนจะลงทุนก้อนใหญ่ในยูเอส สตีลโดยไม่เข้าไปถือหุ้นใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทเหล็กกล้าของญี่ปุ่นแห่งนี้พยายามเข้าผนวกกิจการยูเอส สตีล ก่อนจะถูกอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขัดขวาง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ โดยที่ได้รับเสียงเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแข็งขันจากทางพรรครีพับลิกัน
    .
    ด้าน บีบีซี รายงานว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะอิชิบะทำการบ้านมาดี ทั้งด้วยการ “ศึกษาหาข้อมูล” กับพวกเจ้าหน้าที่ รวมทั้งขอคำแนะนำจากฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าเขา ตลอดจนขอความช่วยเหลือจากภรรยาม่ายของชินโซ อาเบะ เนื่องจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถึงแก่อสัญกรรมแล้วผู้นี้ มีความสนิทชิดเชื้อเป็นอันดีกับทรัมป์
    .
    บีบีซีชี้ว่า ความพยายามเหล่านี้เห็นผลชัดเจน ทำให้การพบปะกันครั้งนี้กลายเป็นการฟื้นความมั่นใจ ทั้งทรัมป์และอิชิบะดูเหมือนใจตรงกันเกี่ยวกับแผนส่งเสริมการค้าและการทหารจนอาจเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของความสัมพันธ์วอชิงตัน-โตเกียว
    .
    นอกจากแผนการลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกาแล้ว อิชิบะยังบอกว่า โตเกียวจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมนโยบายเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ทรัมป์ประกาศระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    แม้อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นหายใจทั่วท้องได้ แต่เจฟฟรีย์ ฮอลล์ อาจารย์มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติคันดะในญี่ปุ่น ชี้ว่า เป้าหมายหลักของทริปนี้ของอิชิบะ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ เพราะนอกจากเวลานี้เขามีฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้ว ยังถูกสื่อท้องถิ่นปรามาสมาตลอดว่า ไม่มีทางประสบความสำเร็จทางการทูต เพราะทั้งเงอะงะ ไม่ชอบเข้าสังคม และจะถูกทรัมป์ไล่ต้อนอย่างแน่นอน
    .
    แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เพราะดูเหมือนอิชิดะประสบความสำเร็จอย่างมาก
    .
    จากที่เคยเป็นนักการเมืองที่พูดพล่ามในสภา แต่อิชิบะได้รับคำแนะนำจากทีมงานระหว่างการวางกลยุทธ์ก่อนบินไปพบทรัมป์ให้ “พูดแบบรวบรัดด้วยถ้อยคำเรียบง่าย” ฮิลล์เสริมว่า อิชิบะทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยการยกยอปอปั้นทรัมป์ และเสนอโครงการลงทุนในอเมริกาแทนการเผชิญหน้า
    .
    ฮิลล์ทิ้งท้ายว่า แม้มีหลายประเด็นที่ญี่ปุ่นอาจไม่เห็นด้วยกับอเมริกา เช่น ข้อเสนอของทรัมป์ในการเข้ายึดกาซา หรือสงครามการค้าอเมริกา-จีนที่ญี่ปุ่นจับตามองด้วยความกังวล เนื่องจากปักกิ่งเป็นคู่ค้าใหญ่สุดของโตเกียว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการลงทุนใหญ่ที่สุดของบริษัทญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทรัมป์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และมีแนวโน้มสูงสุดว่า ญี่ปุ่นอาจทำตัวเป็น “เพื่อนที่พร้อมเข้าข้างอเมริกาเสมอ”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    นายกฯอิชิบะแสดงความสบายใจ เชื่อญี่ปุ่นไม่ถูกอเมริการีดภาษีหนัก เนื่องจากตอนไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (7) ได้อธิบายให้ทรัมป์ “ตระหนัก” ว่าแดนอาทิตย์อุทัยเป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ ขณะที่บีบีซีเผยเบื้องหลัง ความสำเร็จของอิชิบะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขา “เตรียมตัวทำการบ้านอย่างหนัก” ดังนั้น แทนที่จะเผชิญหน้า เขากลับเลือกพูดในสิ่งที่ทรัมป์อยากได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกา . ภายหลังการประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวนกรุงวอชิงตันเมื่อวันศุกร์ (7) นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ของแดนอาทิตย์อุทัยว่า ตอนที่ดูในทีวี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูน่ากลัวมาก แต่พอมาเจอตัวจริง ผู้นำสหรัฐฯ จริงใจ ดูมีอำนาจมากและเป็นตัวของตัวเองสูง และเสริมว่า ตนและทรัมป์ไม่ได้พูดเรื่องภาษีศุลกากรรถยนต์ รวมทั้งยอมรับว่าไม่รู้ว่า ญี่ปุ่นจะถูกอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มหรือไม่ . อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์มองว่า จนถึงตอนนี้โตเกียวยังคงรอดพ้นจากเพลิงสงครามการค้าที่ทรัมป์เที่ยวกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ ทั่วโลกตั้งสัปดาห์แรกๆ หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยที่สัปดาห์ที่แล้วเขาประกาศเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน แม้ยอมเลื่อนการเก็บภาษีสองประเทศแรกภายหลังการหารือกับผู้นำของ 2 ชาติดังกล่าวก็ตาม . กระนั้น ภายหลังกลับถึงบ้าน อิชิบะกล่าวที่โตเกียวในวันอาทิตย์ (10) โดยระบุว่า เชื่อว่า ทรัมป์ “ตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ญี่ปุ่นต่างจากประเทศอื่นๆ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนซึ่งลงทุนในอเมริกาเป็นรายใหญ่สุดต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน และญี่ปุ่นกำลังสร้างงานจำนวนมากในอเมริกา” ดังนั้น เขาจึงเชื่อว่า อเมริกาจะไม่ผลักดันไอเดียการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มกับญี่ปุ่น และสองประเทศจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พร้อมกับย้ำว่า ภาษีศุลกากรควรบังคับใช้ด้วยวิธีที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ . จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มียอดการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศในอเมริกาสูงที่สุดคือ 783,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามด้วยแคนาดาและเยอรมนี . นอกจากนั้น แม้กดดันให้อิชิบะยุติการที่ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าอเมริกา 68,500 ล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์มองแง่ดีว่า เป้าหมายนี้จะลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้คำมั่นจากอิชิบะว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในอเมริกา 1 ล้านล้านดอลลาร์ . อิชิบะ ระบุว่า เหล็กกล้า ปัญญาประดิษฐ์ และยานยนต์ คือธุรกิจที่บริษัทญี่ปุ่นจะเข้าไปลงทุนในอเมริกา และสำทับว่า สามารถประนีประนอมกับทรัมป์ได้เรื่องนิปปอน สตีล โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ตอนนี้ นิปปอนจะลงทุนก้อนใหญ่ในยูเอส สตีลโดยไม่เข้าไปถือหุ้นใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทเหล็กกล้าของญี่ปุ่นแห่งนี้พยายามเข้าผนวกกิจการยูเอส สตีล ก่อนจะถูกอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขัดขวาง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ โดยที่ได้รับเสียงเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแข็งขันจากทางพรรครีพับลิกัน . ด้าน บีบีซี รายงานว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะอิชิบะทำการบ้านมาดี ทั้งด้วยการ “ศึกษาหาข้อมูล” กับพวกเจ้าหน้าที่ รวมทั้งขอคำแนะนำจากฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าเขา ตลอดจนขอความช่วยเหลือจากภรรยาม่ายของชินโซ อาเบะ เนื่องจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถึงแก่อสัญกรรมแล้วผู้นี้ มีความสนิทชิดเชื้อเป็นอันดีกับทรัมป์ . บีบีซีชี้ว่า ความพยายามเหล่านี้เห็นผลชัดเจน ทำให้การพบปะกันครั้งนี้กลายเป็นการฟื้นความมั่นใจ ทั้งทรัมป์และอิชิบะดูเหมือนใจตรงกันเกี่ยวกับแผนส่งเสริมการค้าและการทหารจนอาจเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของความสัมพันธ์วอชิงตัน-โตเกียว . นอกจากแผนการลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอเมริกาแล้ว อิชิบะยังบอกว่า โตเกียวจะเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมนโยบายเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ทรัมป์ประกาศระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . แม้อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นหายใจทั่วท้องได้ แต่เจฟฟรีย์ ฮอลล์ อาจารย์มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติคันดะในญี่ปุ่น ชี้ว่า เป้าหมายหลักของทริปนี้ของอิชิบะ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ เพราะนอกจากเวลานี้เขามีฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้ว ยังถูกสื่อท้องถิ่นปรามาสมาตลอดว่า ไม่มีทางประสบความสำเร็จทางการทูต เพราะทั้งเงอะงะ ไม่ชอบเข้าสังคม และจะถูกทรัมป์ไล่ต้อนอย่างแน่นอน . แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เพราะดูเหมือนอิชิดะประสบความสำเร็จอย่างมาก . จากที่เคยเป็นนักการเมืองที่พูดพล่ามในสภา แต่อิชิบะได้รับคำแนะนำจากทีมงานระหว่างการวางกลยุทธ์ก่อนบินไปพบทรัมป์ให้ “พูดแบบรวบรัดด้วยถ้อยคำเรียบง่าย” ฮิลล์เสริมว่า อิชิบะทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยการยกยอปอปั้นทรัมป์ และเสนอโครงการลงทุนในอเมริกาแทนการเผชิญหน้า . ฮิลล์ทิ้งท้ายว่า แม้มีหลายประเด็นที่ญี่ปุ่นอาจไม่เห็นด้วยกับอเมริกา เช่น ข้อเสนอของทรัมป์ในการเข้ายึดกาซา หรือสงครามการค้าอเมริกา-จีนที่ญี่ปุ่นจับตามองด้วยความกังวล เนื่องจากปักกิ่งเป็นคู่ค้าใหญ่สุดของโตเกียว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการลงทุนใหญ่ที่สุดของบริษัทญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทรัมป์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และมีแนวโน้มสูงสุดว่า ญี่ปุ่นอาจทำตัวเป็น “เพื่อนที่พร้อมเข้าข้างอเมริกาเสมอ” . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 1835 Views 0 Reviews
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 Comments 0 Shares 1336 Views 0 Reviews
  • ติดจอ ติดมือถือใช้สายตาหนัก ตาพร่าตามัว แสบตา ขี้ตาเยอะ ปัญหาเหล่านี้ อย่าละเลย เพียง 2 เม็ด ก่อนนอน วิตต้าพลัส จัดโปร 1แถม2 เพียง 290.-
    จัดส่งฟรีเก็บเงินปลายทาง
    สนใจสอบถามโทร 083-526-3447

    #ใช้สายตาหนัก #ตาหยักไหย่ #จุดดำในตา #ตาพล่า #ตาเสื่อม #ปวดตา #แสบตา #ลูทีน #ลูทีนบำรุงสายตา #ดูแลสายตา #วิตามินสายตา #บำรุงสายตา #eyes_care #ตาต้อ #วิตามินบำรุงสายตา
    ติดจอ ติดมือถือใช้สายตาหนัก ตาพร่าตามัว แสบตา ขี้ตาเยอะ ปัญหาเหล่านี้ อย่าละเลย เพียง 2 เม็ด ก่อนนอน วิตต้าพลัส จัดโปร 1แถม2 เพียง 290.- จัดส่งฟรีเก็บเงินปลายทาง สนใจสอบถามโทร 083-526-3447 #ใช้สายตาหนัก #ตาหยักไหย่ #จุดดำในตา #ตาพล่า #ตาเสื่อม #ปวดตา #แสบตา #ลูทีน #ลูทีนบำรุงสายตา #ดูแลสายตา #วิตามินสายตา #บำรุงสายตา #eyes_care #ตาต้อ #วิตามินบำรุงสายตา
    0 Comments 0 Shares 954 Views 0 0 Reviews
  • โปร 1 แถม 2 เพียง 290 ส่งฟรี จบทุกปัญหาดวงตา
    1 กระปุก มี 20 เม็ด

    ✅ ต้อลม ต้อหิน ต้อเนื้อ ต้อกระจก
    ✅ แพ้แสง แสบตา ปวดตา
    ✅ ตาล้า เยื่อตาอักเสบ
    ✅ จอประสาทตาเสื่อม วุ้นตาเสื่อม
    ✅ ตาพร่ามัว มองไม่ชัด
    ✅ เบาหวานขึ้นตา

    อย. 65-1-03662-5-0568

    ❤️โปรโมชั่นสุดคุ้ม❤️
    1 แถม 2 เพียง 290.- ส่งฟรี
    2 แถม 4 เพียง 490.- ส่งฟรี
    3 แถม 6 เพียง 690.- ส่งฟรี
    5 แถม 10 เพียง 1,100.- ส่งฟรี
    มีบริการเก็บปลายทางไม่ + เพิ่ม

    สนใจสั่งซื้อทักด่วน โปรนี้มีจำกัด

    #วิตามินสายตา #ปวดตา #แสบตา #ใช้สายตาหนัก #วิตามินสายตา #วิตามินบำรุงสายตา #ตาหยักไหย่ #ตาเสื่อม #ตาพล่า #ดูแลสายตา #ลูทีนบำรุงสายตา #ลูทีน #eyes_care #ตาต้อ #จุดดำในตา #วิตต้าพลัส #Vitta_Plus #วิตามินบํารุงสายตา
    โปร 1 แถม 2 เพียง 290 ส่งฟรี จบทุกปัญหาดวงตา 1 กระปุก มี 20 เม็ด ✅ ต้อลม ต้อหิน ต้อเนื้อ ต้อกระจก ✅ แพ้แสง แสบตา ปวดตา ✅ ตาล้า เยื่อตาอักเสบ ✅ จอประสาทตาเสื่อม วุ้นตาเสื่อม ✅ ตาพร่ามัว มองไม่ชัด ✅ เบาหวานขึ้นตา อย. 65-1-03662-5-0568 ❤️โปรโมชั่นสุดคุ้ม❤️ 1 แถม 2 เพียง 290.- ส่งฟรี 2 แถม 4 เพียง 490.- ส่งฟรี 3 แถม 6 เพียง 690.- ส่งฟรี 5 แถม 10 เพียง 1,100.- ส่งฟรี มีบริการเก็บปลายทางไม่ + เพิ่ม สนใจสั่งซื้อทักด่วน โปรนี้มีจำกัด #วิตามินสายตา #ปวดตา #แสบตา #ใช้สายตาหนัก #วิตามินสายตา #วิตามินบำรุงสายตา #ตาหยักไหย่ #ตาเสื่อม #ตาพล่า #ดูแลสายตา #ลูทีนบำรุงสายตา #ลูทีน #eyes_care #ตาต้อ #จุดดำในตา #วิตต้าพลัส #Vitta_Plus #วิตามินบํารุงสายตา
    0 Comments 0 Shares 1174 Views 0 0 Reviews
  • มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีระกา

    เพื่อให้รอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายต่างๆจึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพกำราบเหล่ามารผีปีศาจร้าย ตลอดจนสยบบาปหยาบช้าและภัยมืดมิดที่เกาะกินคุณธรรม ด้วยพลานุภาพแห่งการคุ้มครองดูแลสรรพสิ่งให้เป็นไปอย่างถูกทำนองครองธรรม ทั้งสยบความดุร้ายของกระแสพลังดาวร้ายเสือขาว白虎(แป๊ะโฮ้ว) ลงได้ด้วยเช่นกัน หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์พระองค์ท่านสถิตประจำอยู่ ด้วยการถวายดวงชะตาต่อองค์เทพท่านเพื่อน้อมขอ พรบารมีได้โปรดเมตตาปกป้องปัดเป่าและขจัดพลังดาวร้ายให้หมดฤทธิ์ไป แล้วดลบันดาลให้พบกับความสุขสมหวังสวัสดีด้วยความเจริญตลอดทั้งปี

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” มาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา พร้อมหมั่นระลึกอธิษฐานให้ปกป้องคุ้มครองดวงชะตา ด้วยคุณธรรมบำเพ็ญบุญสูงส่ง ที่จะกำราบปราบมารร้ายด้วยพลาอานุภาพแห่งไฟที่แผดเผาให้ดาวร้ายแห่งธาตุทองเสือขาว白虎(แป๊ะโฮ้ว) หลอมละลายกลับกลายหายไปเหลือแต่คงไว้ซึ่งความสุขสวัสดี ตลอดปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีระกา เพื่อให้รอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายต่างๆจึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพกำราบเหล่ามารผีปีศาจร้าย ตลอดจนสยบบาปหยาบช้าและภัยมืดมิดที่เกาะกินคุณธรรม ด้วยพลานุภาพแห่งการคุ้มครองดูแลสรรพสิ่งให้เป็นไปอย่างถูกทำนองครองธรรม ทั้งสยบความดุร้ายของกระแสพลังดาวร้ายเสือขาว白虎(แป๊ะโฮ้ว) ลงได้ด้วยเช่นกัน หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์พระองค์ท่านสถิตประจำอยู่ ด้วยการถวายดวงชะตาต่อองค์เทพท่านเพื่อน้อมขอ พรบารมีได้โปรดเมตตาปกป้องปัดเป่าและขจัดพลังดาวร้ายให้หมดฤทธิ์ไป แล้วดลบันดาลให้พบกับความสุขสมหวังสวัสดีด้วยความเจริญตลอดทั้งปี อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” มาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา พร้อมหมั่นระลึกอธิษฐานให้ปกป้องคุ้มครองดวงชะตา ด้วยคุณธรรมบำเพ็ญบุญสูงส่ง ที่จะกำราบปราบมารร้ายด้วยพลาอานุภาพแห่งไฟที่แผดเผาให้ดาวร้ายแห่งธาตุทองเสือขาว白虎(แป๊ะโฮ้ว) หลอมละลายกลับกลายหายไปเหลือแต่คงไว้ซึ่งความสุขสวัสดี ตลอดปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • "อี้ แทนคุณ" พร้อมชน "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ประกาศลั่น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน! (31/01/68) #news1 #ฟิล์มรัฐภูมิ #อี้แทนคุณ
    "อี้ แทนคุณ" พร้อมชน "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ประกาศลั่น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน! (31/01/68) #news1 #ฟิล์มรัฐภูมิ #อี้แทนคุณ
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 1286 Views 46 0 Reviews
  • 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 Comments 0 Shares 1468 Views 0 Reviews
  • ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน

    #กระบี่อมตะ
    โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล
    สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์
    นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน
    เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า

    นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย

    วกมาสู่เล่มนี้

    เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ

    เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน

    มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา

    ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก

    คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ

    แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่

    ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด

    สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร

    ไปลองอ่านดูนะครับ

    #โก้วเล้ง
    #วณเมืองลุง
    #นิบายจีน
    #นิยายแปล
    #รีวิวหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes]

    ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน #กระบี่อมตะ โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์ นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย วกมาสู่เล่มนี้ เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่ ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร ไปลองอ่านดูนะครับ #โก้วเล้ง #วณเมืองลุง #นิบายจีน #นิยายแปล #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes]
    Like
    Yay
    2
    0 Comments 0 Shares 933 Views 0 Reviews
More Results