• กองทัพอังกฤษกำลังเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง?

    นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เซอร์ คีร์ สตาร์เมอร์ ยังไม่ตัดทิ้งความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธร่อนสตอร์มแชโดว์พิสัยไกลโจมตีเป้าหมายภายในรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ความกล้าหาญในการก่อสงครามของอังกฤษเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพอังกฤษเองก็กำลังเผชิญวิกฤต

    ขาดแคลนกำลังพล

    ตัวเลขแสดงให้เห็นว่ากองทัพอังกฤษมีจำนวนน้อย โดยการรับทหารใหม่ในช่วง ๑๒ เดือนจนถึงเดือนมีนาคม ๒๐๒๓ ลดลง ๒๒.๑% ในกองทัพเรือ, เกือบ ๑๗% ในกองทัพอากาศ, และเกือบ ๑๕% ในกองทัพบก, ตามสถิติอย่างเป็นทางการ

    ปัจจุบันกองทัพบกอังกฤษมีกำลังพลประจำการ ๗๕,๑๖๖ นาย เมื่อเทียบกับ ๑๐๐,๐๐๐ นายในปี ๒๐๑๐

    วิกฤตกำลังพลในกองทัพเรืออังกฤษมีรายงานว่าทำให้เรือหลายลำต้องปลดประจำการ

    ปัญหาทางเทคนิค

    เรือบรรทุกเครื่องบินเรือธงของกองทัพเรืออังกฤษ HMS Queen Elizabeth และ HMS Prince of Wales ประสบปัญหาทางเทคนิคบางประการ, เนื่องจากเรือลำแรกถูกบังคับให้ถอนตัวจากการฝึกซ้อม Steadfast Defender ของ NATO ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๒๔ หลังจากเกิดขัดข้อง

    การนำเรือฟริเกต Type ๒๖ ลำใหม่เข้าประจำการถูกเลื่อนออกไป, โดยคาดว่าขีดความสามารถในการปฏิบัติงานเบื้องต้นจะเริ่มขึ้นในปี ๒๐๒๘

    การทดสอบปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปติดอาวุธนิวเคลียร์ (SLBM) ของอังกฤษบนเรือ HMS Vanguard เมื่อเดือนมกราคมที่ล้มเหลว ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวครั้งที่สองติดต่อกัน รองจาก HMS Vengeance ที่เคยประสบความล้มเหลวในปี ๒๐๑๖

    ขาดเงินและมีระบบราชการเกินดุล

    กระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร (MoD) เผชิญกับการขาดดุล ๑๖,๙๐๐ ล้านปอนด์ (๒๒,๑๗๐ ล้านดอลลาร์) สำนักงานตรวจสอบแห่งชาติ (NAO) เปิดเผยในปี ๒๐๒๓ คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีสาธารณะ (PAC) เตือนว่าการขาดดุลที่แท้จริงอาจใกล้เคียงกับ ๒๙,๐๐๐ ล้านปอนด์ (๓๘,๐๕๐ ล้านดอลลาร์) ในรายงานเดือนมีนาคม ๒๐๒๔

    กระบวนการจัดซื้อและส่งมอบของกระทรวงกลาโหมติดหล่มอยู่ในความล่าช้า ส.ส. อังกฤษกล่าวเมื่อเดือนมีนาคมว่ามีเพียง ๒ โครงการจาก ๔๖ โครงการที่ "มีแนวโน้มสูง" ที่จะส่งมอบตรงเวลา, งบประมาณ, และคุณภาพ

    การส่งมอบโครงการพอร์ตโฟลิโอโครงการสำคัญของรัฐบาล ๕ โครงการสำเร็จ, ซึ่งรวมถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใต้น้ำ, ถูกกำหนดให้ "ไม่สามารถทำได้" โดยรายงานของคณะกรรมการสภาสามัญในเดือนมีนาคม
    .
    What problems are Britain’s armed forces grappling with?

    UK Prime Minister Sir Keir Starmer has not ruled out allowing Ukraine to use long-range Storm Shadow cruise missiles on targets inside Russia. Yet the UK’s warmongering bravado comes as its own armed forces are mired in crisis.

    Lack of manpower

    Britain’s armed forces are stretched thin, figures show. The intake of recruits in the 12 months to March 2023 dropped by 22.1% in the Royal Navy, almost 17% in the RAF, and nearly 15% in the army, according to official statistics.

    The professional ranks of the British Army currently number 75,166 regular forces personnel, compared with around 100,000 in 2010.

    A manpower crisis in the Royal Navy reportedly prompted the decommissioning of a number of ships.

    Technical issues

    The Royal Navy’s flagship aircraft carriers the HMS Queen Elizabeth and HMS Prince of Wales have faced some technical issues, as the former was forced to pull out from NATO’s Exercise Steadfast Defender drills in February 2024 after a malfunction.

    Commissioning new Type 26 frigates has been postponed, with initial operational capability anticipated from 2028.

    January’s failed HMS Vanguard sea-launch test of the UK’s nuclear-armed submarine-launched ballistic missile (SLBM) system, the Trident II D-5, was the second successive failure, following one in 2016 involving the HMS Vengeance.

    Lack of money and surplus of bureaucracy

    The UK Ministry of Defense (MoD) is facing a £16.9 billion ($22.17 billion) deficit, the National Audit Office (NAO) revealed in 2023. The Public Accounts Committee (PAC) warned that the actual deficit could be closer to £29 billion ($38.05 billion) in a March 2024 report.

    The MoD's procurement and delivery processes are mired in delays. Just two of its 46 equipment programs are "highly likely" to be delivered to time, budget, and quality, British MPs said in March.

    Successful delivery of five Government Major Projects Portfolio schemes, including nuclear submarine reactors, was determined “unachievable” by a House of Commons Committee report in March.
    .
    4:37 PM · Sep 14, 2024 · 2,949 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834889141047173363
    กองทัพอังกฤษกำลังเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง? นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เซอร์ คีร์ สตาร์เมอร์ ยังไม่ตัดทิ้งความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธร่อนสตอร์มแชโดว์พิสัยไกลโจมตีเป้าหมายภายในรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ความกล้าหาญในการก่อสงครามของอังกฤษเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพอังกฤษเองก็กำลังเผชิญวิกฤต ขาดแคลนกำลังพล ◻️ ตัวเลขแสดงให้เห็นว่ากองทัพอังกฤษมีจำนวนน้อย โดยการรับทหารใหม่ในช่วง ๑๒ เดือนจนถึงเดือนมีนาคม ๒๐๒๓ ลดลง ๒๒.๑% ในกองทัพเรือ, เกือบ ๑๗% ในกองทัพอากาศ, และเกือบ ๑๕% ในกองทัพบก, ตามสถิติอย่างเป็นทางการ ◻️ ปัจจุบันกองทัพบกอังกฤษมีกำลังพลประจำการ ๗๕,๑๖๖ นาย เมื่อเทียบกับ ๑๐๐,๐๐๐ นายในปี ๒๐๑๐ ◻️ วิกฤตกำลังพลในกองทัพเรืออังกฤษมีรายงานว่าทำให้เรือหลายลำต้องปลดประจำการ ปัญหาทางเทคนิค ◻️ เรือบรรทุกเครื่องบินเรือธงของกองทัพเรืออังกฤษ HMS Queen Elizabeth และ HMS Prince of Wales ประสบปัญหาทางเทคนิคบางประการ, เนื่องจากเรือลำแรกถูกบังคับให้ถอนตัวจากการฝึกซ้อม Steadfast Defender ของ NATO ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๒๔ หลังจากเกิดขัดข้อง ◻️ การนำเรือฟริเกต Type ๒๖ ลำใหม่เข้าประจำการถูกเลื่อนออกไป, โดยคาดว่าขีดความสามารถในการปฏิบัติงานเบื้องต้นจะเริ่มขึ้นในปี ๒๐๒๘ ◻️ การทดสอบปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปติดอาวุธนิวเคลียร์ (SLBM) ของอังกฤษบนเรือ HMS Vanguard เมื่อเดือนมกราคมที่ล้มเหลว ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวครั้งที่สองติดต่อกัน รองจาก HMS Vengeance ที่เคยประสบความล้มเหลวในปี ๒๐๑๖ ขาดเงินและมีระบบราชการเกินดุล ◻️ กระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร (MoD) เผชิญกับการขาดดุล ๑๖,๙๐๐ ล้านปอนด์ (๒๒,๑๗๐ ล้านดอลลาร์) สำนักงานตรวจสอบแห่งชาติ (NAO) เปิดเผยในปี ๒๐๒๓ คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีสาธารณะ (PAC) เตือนว่าการขาดดุลที่แท้จริงอาจใกล้เคียงกับ ๒๙,๐๐๐ ล้านปอนด์ (๓๘,๐๕๐ ล้านดอลลาร์) ในรายงานเดือนมีนาคม ๒๐๒๔ ◻️ กระบวนการจัดซื้อและส่งมอบของกระทรวงกลาโหมติดหล่มอยู่ในความล่าช้า ส.ส. อังกฤษกล่าวเมื่อเดือนมีนาคมว่ามีเพียง ๒ โครงการจาก ๔๖ โครงการที่ "มีแนวโน้มสูง" ที่จะส่งมอบตรงเวลา, งบประมาณ, และคุณภาพ ◻️ การส่งมอบโครงการพอร์ตโฟลิโอโครงการสำคัญของรัฐบาล ๕ โครงการสำเร็จ, ซึ่งรวมถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใต้น้ำ, ถูกกำหนดให้ "ไม่สามารถทำได้" โดยรายงานของคณะกรรมการสภาสามัญในเดือนมีนาคม . What problems are Britain’s armed forces grappling with? UK Prime Minister Sir Keir Starmer has not ruled out allowing Ukraine to use long-range Storm Shadow cruise missiles on targets inside Russia. Yet the UK’s warmongering bravado comes as its own armed forces are mired in crisis. Lack of manpower ◻️ Britain’s armed forces are stretched thin, figures show. The intake of recruits in the 12 months to March 2023 dropped by 22.1% in the Royal Navy, almost 17% in the RAF, and nearly 15% in the army, according to official statistics. ◻️ The professional ranks of the British Army currently number 75,166 regular forces personnel, compared with around 100,000 in 2010. ◻️ A manpower crisis in the Royal Navy reportedly prompted the decommissioning of a number of ships. Technical issues ◻️ The Royal Navy’s flagship aircraft carriers the HMS Queen Elizabeth and HMS Prince of Wales have faced some technical issues, as the former was forced to pull out from NATO’s Exercise Steadfast Defender drills in February 2024 after a malfunction. ◻️ Commissioning new Type 26 frigates has been postponed, with initial operational capability anticipated from 2028. ◻️ January’s failed HMS Vanguard sea-launch test of the UK’s nuclear-armed submarine-launched ballistic missile (SLBM) system, the Trident II D-5, was the second successive failure, following one in 2016 involving the HMS Vengeance. Lack of money and surplus of bureaucracy ◻️ The UK Ministry of Defense (MoD) is facing a £16.9 billion ($22.17 billion) deficit, the National Audit Office (NAO) revealed in 2023. The Public Accounts Committee (PAC) warned that the actual deficit could be closer to £29 billion ($38.05 billion) in a March 2024 report. ◻️ The MoD's procurement and delivery processes are mired in delays. Just two of its 46 equipment programs are "highly likely" to be delivered to time, budget, and quality, British MPs said in March. ◻️ Successful delivery of five Government Major Projects Portfolio schemes, including nuclear submarine reactors, was determined “unachievable” by a House of Commons Committee report in March. . 4:37 PM · Sep 14, 2024 · 2,949 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834889141047173363
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!!

    ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!!

    เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย
    ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว
    จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย
    ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา
    ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย
    ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง
    ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต
    รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย
    คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ
    ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก
    ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน……

    ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา
    ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง
    ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง
    แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า
    “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…”
    คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า
    “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล”

    ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush
    เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ
    เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา
    การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า
    “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน”
    หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย
    เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……”

    เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี)
    นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี
    อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา
    แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่
    ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน
    และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก……

    ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน
    ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย
    แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น

    เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์
    และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร…
    แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี
    ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น
    คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง
    จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง
    ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน

    วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด
    ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย
    ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน
    แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB
    และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก
    ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์
    อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน
    แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย

    ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน
    เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที…
    เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ

    เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม
    อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov

    เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา……

    ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์
    อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ
    ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน
    ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย……

    ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี
    ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย
    ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน
    แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา……
    ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?”
    สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..”
    ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?”
    สื่อ……”#%&฿$€€”

    หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป
    อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute
    คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ
    และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน……
    แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน
    จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี
    มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่

    ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี
    เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น
    แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้
    การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด
    ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน……
    ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน)
    หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน
    คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า
    “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น”

    ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!”

    **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน

    ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ
    อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย
    ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้
    และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน

    หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน
    เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง

    Wiwanda W. Vichit
    พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!! ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!! เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน…… ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…” คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล” ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน” หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……” เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี) นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่ ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก…… ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร… แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์ อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที… เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา…… ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์ อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย…… ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา…… ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?” สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..” ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?” สื่อ……”#%&฿$€€” หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน…… แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่ ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้ การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน…… ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน) หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น” ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!” **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้ และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • นิด้าโพลสำรวจ เรื่อง “ความเชื่อมั่น ความกังวลที่มีต่อรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” พบว่าไม่ค่อยเชื่อ35%และไม่เชื่อเลย 22%

    15 กันยายน 2567-ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็น เรื่อง “ความเชื่อมั่น ความกังวลที่มีต่อรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ระหว่างวันที่ 9-11 ก.ย. 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นและความกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารประเทศ

    การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

    https://nidapoll.nida.ac.th
    X : https://twitter.com/NIDA_Poll

    #Thaitimes
    นิด้าโพลสำรวจ เรื่อง “ความเชื่อมั่น ความกังวลที่มีต่อรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” พบว่าไม่ค่อยเชื่อ35%และไม่เชื่อเลย 22% 15 กันยายน 2567-ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็น เรื่อง “ความเชื่อมั่น ความกังวลที่มีต่อรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ระหว่างวันที่ 9-11 ก.ย. 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นและความกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารประเทศ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 https://nidapoll.nida.ac.th X : https://twitter.com/NIDA_Poll #Thaitimes
    Haha
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน

    Eric Weinstein
    .
    I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either.
    .
    11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views
    https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789
    .
    ฉันเข้าใจ

    โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย

    CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ

    เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ"

    จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔

    ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน

    โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน

    หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน

    ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน

    สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง

    Clandestine
    .
    I do.

    Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation.

    The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight.

    It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”.

    Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014.

    Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine.

    Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine.

    If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine.

    Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons.

    The Cold War never truly ended.
    .
    1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views
    https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน Eric Weinstein . I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either. . 11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789 . ฉันเข้าใจ โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ" จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔ ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง Clandestine . I do. Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation. The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight. It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”. Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014. Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine. Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine. If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine. Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons. The Cold War never truly ended. . 1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • อีลอน มัสก์ "ผมมีความรู้สึกแย่กับสิ่งนี้" โพสต์ X หวั่น! ไบเดน-แฮร์ริสเตรียมปลุกสงครามโลก เปิดทางยูเครนยิงขีปนาวุธถล่มรัสเซีย บลิงเคนเตรียมแถลงข่าว ขณะที่ปูตินเตือนหนักหากนาโต้ร่วมศึก อังกฤษยังลังเล สหรัฐไม่สนใจเสียงคัดค้าน

    14 กันยายน 2567-imctnews รายงานว่า Wall Street Silver แอคเคาท์ชื่อดังบน X (ทวิตเตอร์เดิม) ได้ออกมาโพสต์เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีกมาลา แฮร์ริส กำลังเตรียมการที่จะก่อสงครามโลกในสุดสัปดาห์นี้ โดยการเปิดทางให้ยูเครนสามารถยิงขีปนาวุธเข้าไปในแผ่นดินของรัสเซียได้ พร้อมทั้งมีกำหนดการว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน จะออกมาแถลงการณ์ในวันพรุ่งนี้ ถึงการอนุมัติให้ยูเครนสามารถโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซียได้โดยใช้ขีปนาวุธที่สหรัฐฯ จัดหาให้

    ต่อมาไม่นาน อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla ก็ได้เข้ามาตอบโพสต์ดังกล่าวว่า "ผมมีความรู้สึกแย่กับสิ่งนี้" (I have a bad feeling about this.) ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่ตัวละครฮีโร่อย่าง Han Solo ในภาพยนตร์ Star Wars เคยพูดขณะที่เผชิญหน้ากับ Death Star อาวุธอวกาศสุดโหดที่สามารถทำลายล้างทั้งดาวได้ในพริบตา เปรียบได้กับอำนาจการทำลายล้างของเพนตากอน ทั้งนี้ ล่าสุด BBC รายงานว่า นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ หลังจากได้เข้าพบกับประธานาธิบดีไบเดน ก็ยังไม่มีการส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะอนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีเป้าหมายในรัสเซีย

    ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ได้ออกมาเตือนชาติตะวันตกว่าการกระทำดังกล่าวจะถือเป็นการเข้าร่วมในสงครามโดยตรงของนาโต และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับท่าทีของปูติน ไบเดนเองก็ตอบแบบไม่ทุกข์ร้อนว่า "ผมไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับวลาดิมีร์ ปูติน" ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ฝ่ายสหรัฐฯ อาจไม่สนใจต่อเสียงคัดค้านของรัสเซียและพร้อมจะอนุมัติให้ยูเครนยิงถล่มรัสเซียจริงๆ แม้อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ก็ตาม

    ที่มา
    https://www.facebook.com/share/p/p91zeJWcZ6j85vVc/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    อีลอน มัสก์ "ผมมีความรู้สึกแย่กับสิ่งนี้" โพสต์ X หวั่น! ไบเดน-แฮร์ริสเตรียมปลุกสงครามโลก เปิดทางยูเครนยิงขีปนาวุธถล่มรัสเซีย บลิงเคนเตรียมแถลงข่าว ขณะที่ปูตินเตือนหนักหากนาโต้ร่วมศึก อังกฤษยังลังเล สหรัฐไม่สนใจเสียงคัดค้าน 14 กันยายน 2567-imctnews รายงานว่า Wall Street Silver แอคเคาท์ชื่อดังบน X (ทวิตเตอร์เดิม) ได้ออกมาโพสต์เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีกมาลา แฮร์ริส กำลังเตรียมการที่จะก่อสงครามโลกในสุดสัปดาห์นี้ โดยการเปิดทางให้ยูเครนสามารถยิงขีปนาวุธเข้าไปในแผ่นดินของรัสเซียได้ พร้อมทั้งมีกำหนดการว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน จะออกมาแถลงการณ์ในวันพรุ่งนี้ ถึงการอนุมัติให้ยูเครนสามารถโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซียได้โดยใช้ขีปนาวุธที่สหรัฐฯ จัดหาให้ ต่อมาไม่นาน อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla ก็ได้เข้ามาตอบโพสต์ดังกล่าวว่า "ผมมีความรู้สึกแย่กับสิ่งนี้" (I have a bad feeling about this.) ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่ตัวละครฮีโร่อย่าง Han Solo ในภาพยนตร์ Star Wars เคยพูดขณะที่เผชิญหน้ากับ Death Star อาวุธอวกาศสุดโหดที่สามารถทำลายล้างทั้งดาวได้ในพริบตา เปรียบได้กับอำนาจการทำลายล้างของเพนตากอน ทั้งนี้ ล่าสุด BBC รายงานว่า นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ หลังจากได้เข้าพบกับประธานาธิบดีไบเดน ก็ยังไม่มีการส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะอนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีเป้าหมายในรัสเซีย ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ได้ออกมาเตือนชาติตะวันตกว่าการกระทำดังกล่าวจะถือเป็นการเข้าร่วมในสงครามโดยตรงของนาโต และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับท่าทีของปูติน ไบเดนเองก็ตอบแบบไม่ทุกข์ร้อนว่า "ผมไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับวลาดิมีร์ ปูติน" ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ฝ่ายสหรัฐฯ อาจไม่สนใจต่อเสียงคัดค้านของรัสเซียและพร้อมจะอนุมัติให้ยูเครนยิงถล่มรัสเซียจริงๆ แม้อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ก็ตาม ที่มา https://www.facebook.com/share/p/p91zeJWcZ6j85vVc/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    5
    1 Comments 0 Shares 404 Views 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่า เขาสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีภายในรัสเซีย

    "ยูเครนต้องชนะสงครามกับรัสเซียในครั้งนี้"
    .
    JUST IN: Canadian Prime Minister Justin Trudeau says he fully supports Ukraine using long-range missiles to strike inside Russia.

    "Ukraine must win this war against Russia."
    .
    12:16 AM · Sep 14, 2024 · 487.9K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1834642322031616137
    🇨🇦🇷🇺 นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่า เขาสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีภายในรัสเซีย 🤣"ยูเครนต้องชนะสงครามกับรัสเซียในครั้งนี้"🤣 . JUST IN: 🇨🇦🇷🇺 Canadian Prime Minister Justin Trudeau says he fully supports Ukraine using long-range missiles to strike inside Russia. "Ukraine must win this war against Russia." . 12:16 AM · Sep 14, 2024 · 487.9K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1834642322031616137
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 199 Views 65 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะฯ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและนายอำเภอแม่สาย ตรวจเยี่ยมและสอบถามสถานการณ์น้ำท่วม จากทีมกู้ภัยของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย
    นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะฯ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและนายอำเภอแม่สาย ตรวจเยี่ยมและสอบถามสถานการณ์น้ำท่วม จากทีมกู้ภัยของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • หลี่ เฉียง : จีนยกสัมพันธ์ 'ซาอุดีอาระเบีย'
    พันธกิจการทูตสำคัญในตะวันออกกลาง
    .
    ซินหัว - หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อวันพุธ (11 ก.ย.) กล่าวว่าการพัฒนาความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียเป็นพันธกิจสำคัญในการทูตโดยรวมของจีน โดยเฉพาะการทูตในตะวันออกกลาง
    .
    นายหลี่กล่าวคำข้างต้นขณะพบปะหารือกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 โดยหลี่ส่งสารทักทายอันอบอุ่นจากสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แก่ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัล ซาอุด กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และมกุฎราชกุมาร เป็นลำดับแรก
    .
    นายหลี่เน้นย้ำว่าจีนและซาอุดีอาระเบียได้รักษาไว้ซึ่งความเคารพ ความไว้วางใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภายใต้การชี้นำเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำสองประเทศ โดยความสัมพันธ์ทวิภาคีได้พัฒนาอย่างรอบด้าน รวดเร็ว และลึกซึ้ง ส่งผลลัพธ์ความร่วมมือด้านต่างๆ
    .
    จีนยินดีจะสนับสนุนซาอุดีอาระเบียและทำงานเพื่อบรรลุผลสำเร็จร่วมกัน มองการพัฒนาของอีกฝ่ายเป็นโอกาสสำคัญ และเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ด้วยเป้าหมายเดินหน้าความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ระดับสูงครั้งใหม่ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
    .
    จีนและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ มีผลประโยชน์ร่วมกันในวงกว้าง โดยจีนพร้อมทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบียอย่างใกล้ชิดและเดินหน้าบนวิถีทางการพัฒนาไปด้วยกัน
    .
    นายหลี่เรียกร้องทั้งสองฝ่ายขยับขยายการค้าทวิภาคี กระชับความร่วมมือดั้งเดิมในด้านน้ำมันและก๊าซ ปิโตรเคมีและโครงสร้างพื้นฐาน สำรวจความร่วมมือใหม่ในด้านพลังงานใหม่ สารสนเทศและการสื่อสาร เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว พร้อมกระตุ้นบริษัทลงทุนในอีกประเทศและทำงานร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    .
    นอกจากนั้น นายหลี่ส่งเสริมทั้งสองฝ่ายจัดงานปีแห่งวัฒนธรรมจีน-ซาอุดีอาระเบีย ในปี 2025 ให้ประสบผลสำเร็จ เดินหน้าความร่วมมือด้านวัฒนธรรม คลังสมอง การศึกษา สื่อมวลชน การแลกเปลี่ยนนอกภาครัฐและระหว่างประชาชน และยกระดับความเข้าใจซึ่งกันและกันและมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
    .
    จีนสนับสนุนซาอุดีอาระเบียในการมีบทบาทในกิจการระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น และพร้อมยกระดับการประสานงานพหุภาคีกับซาอุดีอาระเบีย บ่มเพาะความสามัคคีและความร่วมมือในกลุ่มประเทศเอเชีย ร่วมยึดมั่นความยุติธรรมและความเป็นธรรมสากล และส่งเสริมธรรมาภิบาลโลกในทิศทางที่เที่ยงธรรมและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น
    .
    ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเอกสารความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการฝึกอบรมทางเทคนิคและอาชีวศึกษา อุตุนิยมวิทยา และอื่นๆ จำนวนหลายฉบับระหว่างการเยือนของหลี่ด้วย
    .
    แฟ้มภาพซินหัว : นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 ณ พระราชวังอัลยามามะฮ์ ในกรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย วันที่ 11 ก.ย. 2567)
    หลี่ เฉียง : จีนยกสัมพันธ์ 'ซาอุดีอาระเบีย' พันธกิจการทูตสำคัญในตะวันออกกลาง . ซินหัว - หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อวันพุธ (11 ก.ย.) กล่าวว่าการพัฒนาความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียเป็นพันธกิจสำคัญในการทูตโดยรวมของจีน โดยเฉพาะการทูตในตะวันออกกลาง . นายหลี่กล่าวคำข้างต้นขณะพบปะหารือกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 โดยหลี่ส่งสารทักทายอันอบอุ่นจากสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แก่ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัล ซาอุด กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และมกุฎราชกุมาร เป็นลำดับแรก . นายหลี่เน้นย้ำว่าจีนและซาอุดีอาระเบียได้รักษาไว้ซึ่งความเคารพ ความไว้วางใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภายใต้การชี้นำเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำสองประเทศ โดยความสัมพันธ์ทวิภาคีได้พัฒนาอย่างรอบด้าน รวดเร็ว และลึกซึ้ง ส่งผลลัพธ์ความร่วมมือด้านต่างๆ . จีนยินดีจะสนับสนุนซาอุดีอาระเบียและทำงานเพื่อบรรลุผลสำเร็จร่วมกัน มองการพัฒนาของอีกฝ่ายเป็นโอกาสสำคัญ และเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ด้วยเป้าหมายเดินหน้าความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ระดับสูงครั้งใหม่ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง . จีนและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ มีผลประโยชน์ร่วมกันในวงกว้าง โดยจีนพร้อมทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบียอย่างใกล้ชิดและเดินหน้าบนวิถีทางการพัฒนาไปด้วยกัน . นายหลี่เรียกร้องทั้งสองฝ่ายขยับขยายการค้าทวิภาคี กระชับความร่วมมือดั้งเดิมในด้านน้ำมันและก๊าซ ปิโตรเคมีและโครงสร้างพื้นฐาน สำรวจความร่วมมือใหม่ในด้านพลังงานใหม่ สารสนเทศและการสื่อสาร เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว พร้อมกระตุ้นบริษัทลงทุนในอีกประเทศและทำงานร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก . นอกจากนั้น นายหลี่ส่งเสริมทั้งสองฝ่ายจัดงานปีแห่งวัฒนธรรมจีน-ซาอุดีอาระเบีย ในปี 2025 ให้ประสบผลสำเร็จ เดินหน้าความร่วมมือด้านวัฒนธรรม คลังสมอง การศึกษา สื่อมวลชน การแลกเปลี่ยนนอกภาครัฐและระหว่างประชาชน และยกระดับความเข้าใจซึ่งกันและกันและมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง . จีนสนับสนุนซาอุดีอาระเบียในการมีบทบาทในกิจการระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น และพร้อมยกระดับการประสานงานพหุภาคีกับซาอุดีอาระเบีย บ่มเพาะความสามัคคีและความร่วมมือในกลุ่มประเทศเอเชีย ร่วมยึดมั่นความยุติธรรมและความเป็นธรรมสากล และส่งเสริมธรรมาภิบาลโลกในทิศทางที่เที่ยงธรรมและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น . ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเอกสารความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการฝึกอบรมทางเทคนิคและอาชีวศึกษา อุตุนิยมวิทยา และอื่นๆ จำนวนหลายฉบับระหว่างการเยือนของหลี่ด้วย . แฟ้มภาพซินหัว : นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 ณ พระราชวังอัลยามามะฮ์ ในกรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย วันที่ 11 ก.ย. 2567)
    Like
    Love
    11
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มั่นใจเป็นรัฐบาลแห่ง “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” เดินหน้าพลิกฟื้นประเทศ ผลักดันประโยชน์วันนี้ เพื่ออนาคตของประชาชนทุกคน พร้อมมุ่งมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000084867

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มั่นใจเป็นรัฐบาลแห่ง “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” เดินหน้าพลิกฟื้นประเทศ ผลักดันประโยชน์วันนี้ เพื่ออนาคตของประชาชนทุกคน พร้อมมุ่งมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000084867 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    Wow
    Angry
    16
    0 Comments 1 Shares 1225 Views 0 Reviews
  • ชาตินิยม...ที่ฝังอยู่ในสายเลือด...!!

    ดิฉันกำลังพูดถึงตัวเอง...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใคร หรือ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ทางโค้ง

    แต่ถ้ามีคนถาม...ก็จะตอบว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึก”กลัว” เท่ากับในครั้งนี้ ที่กลัวเพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เรากำลังต่อสู้กับเงาอสูร หรือมือที่เรามองไม่เห็น
    ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบครั้งก่อนๆที่เรารู้จักหน้าค่าตา รู้จักน้ำจิตน้ำใจ รู้จักนโยบาย
    ครั้งนี้...มองเห็นได้ชัดเจนว่าเราได้ถูกแทรกแซงจากแหล่งต่างๆ
    ที่มีทุนมหาศาล และ เขาได้สร้างนอมินีมาเป็นมือไม้ทำงานให้อย่างไม่ต้องลงแรง
    ส่วนนอมินีที่ว่านั้น....จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาในทางทฤษฎีให้เชื่อและคล้อยตาม
    คำว่า ชาตินิยม...กลายเป็นของแสลง เพราะเขาใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาตีกันเอาไว้ก่อน
    คำว่า “สลิ่ม” คือพวกที่อยู่ข้างสถาบัน ตามด้วยกิริยาว่า “โหนเจ้า”
    อีกทั้งหาพวกพ้องให้เกิดความแตกแยก โดยเรียกตัวเองว่า “ไพร่”
    ที่ต้องมาผนึกกำลังกันเรียกร้องหาความเสมอภาค

    คำเหล่านี้...คือการยุงยงปลุกปั่น สร้างความร้าวฉาน ทั้งๆที่ เราควรจะภูมิใจถ้าหากเราคลั่งชาติจริงๆ เพราะนี่คือทางออกทางเดียว
    ที่เห็นว่า เราจะแล้วรอดปลอดภัยจากนโยบายครองโลกของคนกลุ่มทุน

    เราปล่อยให้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาออกอากาศว่า ฟังเพลงชาติแล้วจะอ้วก...หรือ...ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบแบบแผนที่มีมาดั้งเดิม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย
    เรามองเห็นมะเร็งร้ายที่เริ่มจากการก่อตัว จนมันได้ขยายออกไป
    ถึงขั้นสี่ ขั้นห้า...แล้วไม่ทำอะไรกันเลย ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
    เพราะความเป็นคนขี้รำคาญตามนิสัยคนไทย

    ดิฉันกลายมาเป็นคนชาตินิยมไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยกลางคน ทั้งที่อดีต
    เคยนิยมชาติอื่นอย่างมากมาย เพราะเขาให้สิทธิในการออกความเห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะออกความเห็นได้อย่างเสรีที่เขาว่า เพราะกฏหมายเขาเอาจริง จะเที่ยวพูดสุ่มสี่สุ่มห้า หรืออารมณ์เมาไวน์พาไปก็ไม่ได้ จะต้องมี”ความรู้” จริง
    ต้องมีการเตรียมตัวพร้อมหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ต้องคิดไตร่ตรองถ้วนถี่ เพราะไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น “ปากพาจน”

    ถึงจะมีสามีเป็นฝรั่งเศส...แต่ไม่เคยที่จะเอามาเป็น”ตัวอ้างอิง”
    ทางความคิดเห็น ความเชื่อของเขากับดิฉันนั้น ต่างกันคนละสาย
    แต่เราไม่ก้าวก่ายกัน
    เขาแปลกใจที่เห็นดิฉัน รักเคารพบูชา เจ้าเหนือแผ่นดิน
    ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า เหนือกว่าอำมาตย์และชนชั้นฐานันดรนั้นคือ tyranny (มีบรรจุไว้ในเพลงชาติ La Marseillaise)
    เขาพร่ำสอนกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเปลี่ยนกันยาก
    นักวิชาการบางพวก...อาจจะเห่อหรือเอาใจเมีย หรืออยากจะอวดว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบตะวันตก...เลยกลายเป็นคนที่ผีเจาะปากมาพูด

    แต่ในครอบครัวดิฉัน...เรื่องนี้...เราไม่ก้าวล่วงในความเชื่อของกันและกัน

    วันก่อน... เห็นมีคนเอาข่าวของการเผาไร่ข้าวโพดกว่าพันเอเคอร์ในฮังการีมาลง...แต่นั้นมันเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2011
    ที่ชาวเกษตรอนุรักษ์นิยม ได้พบว่ามีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO หลงเข้ามา ซึ่งจะสร้างการแตกหน่อ ขยายแขนงไปจนเกิดโทษ
    จึงจัดการเผาผลผลิตทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เกสรที่อาจปลิวไป
    ผสมพันธ์ที่อื่น...
    ฮังการีเปิดศึกกับบริษัทมอนซานโตในทุกทาง
    เท่านั้นไม่พอ...นายกรัฐมนตรี Viktor Orban ได้สั่งให้ มหาวิทยาลัย
    CEU (Central European University) ย้ายออกไปจากประเทศ
    ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภาพพื้นยุโรปตะวันออก ที่สอนในหลักสูตรเดียวกับสหรัฐอเมริกา และ ปริญญาทุกใบ จะรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหรัฐ

    CEU เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1990 จากทุนทรัพย์ส่วนตัวของนายจอร์จ โซรอส ที่ทุ่มลงมากว่า 800 ล้านยูเอส เพื่อให้เป็นตักศิลาทางการเมืองที่ทันสมัยที่สุด ใหญ่ที่สุด จนได้รับตำแหน่งว่าเป็นยูหนึ่งในร้อยที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิบสาม ที่เด่นทางรัฐศาสตร์ และ ทางกฏหมาย
    จากนั้นก็เพิ่มสาขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงการเงินและธุรกิจ ตามด้วยวิชาปรัชญาเพื่อรองรับกับนโยบายของ Open Society ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ของเหล่า NGO ต่างๆ

    ฮังการีภายใต้การนำของนายออร์บัน ได้ระงับการต่อสัญญากับมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆคือ ให้ย้ายออกไปจากประเทศโดยไม่แคร์ว่านักศึกษาจะเคว้ง หรือไม่มีที่จะเรียน โดยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ทุนโซรอสเข้ามาครอบงำประชาชนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังของประเทศ
    นั่นหมายถึงการล่มสลาย...
    ดังนั้นจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม...
    วันที่ 3 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่การยื้อเวลาโดยใช้กลุ่ม อียูเข้ามาช่วยเจรจา หรือ ทางสหรัฐอเมริกาที่พยายามกดดันรัฐบาลทางการทูต....ไม่เป็นผลสำเร็จ
    ซ้ำร้าย....ฮังการีได้เปิดสงครามกับโซรอสโดยการปิดป้ายประจานไปทั่วเมืองนั้น...
    CEU ต้องถอยทัพ...ประกาศว่า จะย้ายมหาวิทยาลัยไปที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย...

    ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พากันเดินขบวนต่อต้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะการศึกษาคือเรื่องสำคัญต่ออนาคต
    แต่รัฐบาล....ต้องยอมให้ประชาชนก่นด่า ยอมให้ชาติต้องหยุดชะงัก
    ดีกว่าที่จะให้ เด็กฮังเกเรี่ยนมีหัวใจเป็นอเมริกัน มีสมองที่คิดแต่การเอาเปรียบ มีวิญญาณที่ซื้อได้ด้วยเงิน....

    จากนั้น...รัฐบาลได้ออกกฏหมายให้เหล่า NGO ทุกคนให้มาขึ้นบัญชี
    ที่ต้องแสดงรายได้ตามความเป็นจริง และต้องระบุด้วยว่า รับมาจากที่ใด...เล่นเอาเหล่า NGO ผู้ที่แอบแฝงมาในคราบต่างๆเกิดอาการร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รัสเซียได้เขี่ยองค์กร
    ลํบหน้าปะจมูกพวกนี้ออกมาจนหมดสิ้น
    นี่ฮังการีก็เริ่มจะเขี่ยทิ้งอีก....
    อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีกับรัสเซียที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน
    จากเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่นายออร์บันคือผู้ที่ต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน
    แต่ทกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ดำเนินนโยบายแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอนั้น ทำให้เกิดความเลื่อมใส จนแทบจะเดินรอยตามในทุกเรื่อง
    แม้กระทั่งเรื่องผู้อพยพ...ที่เป็นชนวนให้ต้องมีการขับไล่กลุ่ม
    โซรอสออกไปให้พ้นๆ
    มิไยที่สหภาพยุโรปจะกดดัน หรือ ใช้มาตรการเข้ม...ก็ไม่เป็นผล
    ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน...

    แต่กลุ่มสหภาพยุโรปที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการปฏิเสธการรับผู้อพยพของกลุ่มประเทศ ฮังการี, สโลเวเนีย และโปแลนด์ นั้น
    เริ่มที่จะเสียงแตก เพราะกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ต่างแสดงความเห็นใจประเทศที่ต้องโดนยัดเยียดเหล่านี้...
    ส่วนทางรัสเซีย...ที่ขยันออกคลิปของการ”ต้อนรับ” ผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบถึงลูกถึงคนนั้น
    ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสภายุโรป
    จนเรียกร้องให้การ”คว่ำบาตร” รัสเซียดำเนินต่อไป...

    ฝรั่งเศส...เมื่อตอนที่นายมาครงขึ้นมาดำรงตำแหน่งในปี 2017
    เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า การรับและโอบอุ้มผู้อพยพคือการแสดงถึงความมีมนุษยธรรม...
    เวลาผ่านไปปีเศษเอง เขาเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้คือ การไม่ต้อนรับและไม่ได้พูดถึงเรื่องมนุษยธรรมอีกเลย
    ซ้ำกระโจมผู้อพยพที่ตั้งเรียงรายนับหมื่นคนที่ท่า Calais นั่น
    ที่หวังจะให้อังกฤษช่วยรับไปก็แห้วอีก...เพราะอังกฤษกำลังจะออกจากอียูอยู่รอมร่อ....เพราะเขาไม่ต้องการการยัดเยียดให้รับชาวต่างชาติอพยพ……

    ทีนี้ก็ถึงคราวที่นายมาครงจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จะกลืนน้ำลายตัวเองต่อไป หรือจะให้เสื้อกั๊กเหลืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน

    นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงที่ดิฉันรู้สึกว่าน่ากลัว....เพราะเห็นหน้าตากัน เชื้อชาติเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน
    แต่...ไม่ใช่ว่าเขามีจิตวิญญาณรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนเรา...

    อย่างฮังการีกับโซรอสนั่นไง....ที่มาทำท่าเป็นพ่อพระเพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษา แจกทุน ตั้งองค์กรด้วยเงินจำนวนมหาศาล....
    แต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง....

    ทั้งๆที่เขาและบรรพบุรุษของเขา.....เป็นฮังเกเรี่ยนแท้ๆ เขายังทำได้ลงคอ....!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ชาตินิยม...ที่ฝังอยู่ในสายเลือด...!! ดิฉันกำลังพูดถึงตัวเอง...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใคร หรือ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ทางโค้ง แต่ถ้ามีคนถาม...ก็จะตอบว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึก”กลัว” เท่ากับในครั้งนี้ ที่กลัวเพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เรากำลังต่อสู้กับเงาอสูร หรือมือที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบครั้งก่อนๆที่เรารู้จักหน้าค่าตา รู้จักน้ำจิตน้ำใจ รู้จักนโยบาย ครั้งนี้...มองเห็นได้ชัดเจนว่าเราได้ถูกแทรกแซงจากแหล่งต่างๆ ที่มีทุนมหาศาล และ เขาได้สร้างนอมินีมาเป็นมือไม้ทำงานให้อย่างไม่ต้องลงแรง ส่วนนอมินีที่ว่านั้น....จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาในทางทฤษฎีให้เชื่อและคล้อยตาม คำว่า ชาตินิยม...กลายเป็นของแสลง เพราะเขาใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาตีกันเอาไว้ก่อน คำว่า “สลิ่ม” คือพวกที่อยู่ข้างสถาบัน ตามด้วยกิริยาว่า “โหนเจ้า” อีกทั้งหาพวกพ้องให้เกิดความแตกแยก โดยเรียกตัวเองว่า “ไพร่” ที่ต้องมาผนึกกำลังกันเรียกร้องหาความเสมอภาค คำเหล่านี้...คือการยุงยงปลุกปั่น สร้างความร้าวฉาน ทั้งๆที่ เราควรจะภูมิใจถ้าหากเราคลั่งชาติจริงๆ เพราะนี่คือทางออกทางเดียว ที่เห็นว่า เราจะแล้วรอดปลอดภัยจากนโยบายครองโลกของคนกลุ่มทุน เราปล่อยให้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาออกอากาศว่า ฟังเพลงชาติแล้วจะอ้วก...หรือ...ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบแบบแผนที่มีมาดั้งเดิม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย เรามองเห็นมะเร็งร้ายที่เริ่มจากการก่อตัว จนมันได้ขยายออกไป ถึงขั้นสี่ ขั้นห้า...แล้วไม่ทำอะไรกันเลย ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะความเป็นคนขี้รำคาญตามนิสัยคนไทย ดิฉันกลายมาเป็นคนชาตินิยมไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยกลางคน ทั้งที่อดีต เคยนิยมชาติอื่นอย่างมากมาย เพราะเขาให้สิทธิในการออกความเห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะออกความเห็นได้อย่างเสรีที่เขาว่า เพราะกฏหมายเขาเอาจริง จะเที่ยวพูดสุ่มสี่สุ่มห้า หรืออารมณ์เมาไวน์พาไปก็ไม่ได้ จะต้องมี”ความรู้” จริง ต้องมีการเตรียมตัวพร้อมหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ต้องคิดไตร่ตรองถ้วนถี่ เพราะไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น “ปากพาจน” ถึงจะมีสามีเป็นฝรั่งเศส...แต่ไม่เคยที่จะเอามาเป็น”ตัวอ้างอิง” ทางความคิดเห็น ความเชื่อของเขากับดิฉันนั้น ต่างกันคนละสาย แต่เราไม่ก้าวก่ายกัน เขาแปลกใจที่เห็นดิฉัน รักเคารพบูชา เจ้าเหนือแผ่นดิน ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า เหนือกว่าอำมาตย์และชนชั้นฐานันดรนั้นคือ tyranny (มีบรรจุไว้ในเพลงชาติ La Marseillaise) เขาพร่ำสอนกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเปลี่ยนกันยาก นักวิชาการบางพวก...อาจจะเห่อหรือเอาใจเมีย หรืออยากจะอวดว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบตะวันตก...เลยกลายเป็นคนที่ผีเจาะปากมาพูด แต่ในครอบครัวดิฉัน...เรื่องนี้...เราไม่ก้าวล่วงในความเชื่อของกันและกัน วันก่อน... เห็นมีคนเอาข่าวของการเผาไร่ข้าวโพดกว่าพันเอเคอร์ในฮังการีมาลง...แต่นั้นมันเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2011 ที่ชาวเกษตรอนุรักษ์นิยม ได้พบว่ามีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO หลงเข้ามา ซึ่งจะสร้างการแตกหน่อ ขยายแขนงไปจนเกิดโทษ จึงจัดการเผาผลผลิตทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เกสรที่อาจปลิวไป ผสมพันธ์ที่อื่น... ฮังการีเปิดศึกกับบริษัทมอนซานโตในทุกทาง เท่านั้นไม่พอ...นายกรัฐมนตรี Viktor Orban ได้สั่งให้ มหาวิทยาลัย CEU (Central European University) ย้ายออกไปจากประเทศ ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภาพพื้นยุโรปตะวันออก ที่สอนในหลักสูตรเดียวกับสหรัฐอเมริกา และ ปริญญาทุกใบ จะรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหรัฐ CEU เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1990 จากทุนทรัพย์ส่วนตัวของนายจอร์จ โซรอส ที่ทุ่มลงมากว่า 800 ล้านยูเอส เพื่อให้เป็นตักศิลาทางการเมืองที่ทันสมัยที่สุด ใหญ่ที่สุด จนได้รับตำแหน่งว่าเป็นยูหนึ่งในร้อยที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิบสาม ที่เด่นทางรัฐศาสตร์ และ ทางกฏหมาย จากนั้นก็เพิ่มสาขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงการเงินและธุรกิจ ตามด้วยวิชาปรัชญาเพื่อรองรับกับนโยบายของ Open Society ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ของเหล่า NGO ต่างๆ ฮังการีภายใต้การนำของนายออร์บัน ได้ระงับการต่อสัญญากับมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆคือ ให้ย้ายออกไปจากประเทศโดยไม่แคร์ว่านักศึกษาจะเคว้ง หรือไม่มีที่จะเรียน โดยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ทุนโซรอสเข้ามาครอบงำประชาชนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังของประเทศ นั่นหมายถึงการล่มสลาย... ดังนั้นจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม... วันที่ 3 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่การยื้อเวลาโดยใช้กลุ่ม อียูเข้ามาช่วยเจรจา หรือ ทางสหรัฐอเมริกาที่พยายามกดดันรัฐบาลทางการทูต....ไม่เป็นผลสำเร็จ ซ้ำร้าย....ฮังการีได้เปิดสงครามกับโซรอสโดยการปิดป้ายประจานไปทั่วเมืองนั้น... CEU ต้องถอยทัพ...ประกาศว่า จะย้ายมหาวิทยาลัยไปที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย... ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พากันเดินขบวนต่อต้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะการศึกษาคือเรื่องสำคัญต่ออนาคต แต่รัฐบาล....ต้องยอมให้ประชาชนก่นด่า ยอมให้ชาติต้องหยุดชะงัก ดีกว่าที่จะให้ เด็กฮังเกเรี่ยนมีหัวใจเป็นอเมริกัน มีสมองที่คิดแต่การเอาเปรียบ มีวิญญาณที่ซื้อได้ด้วยเงิน.... จากนั้น...รัฐบาลได้ออกกฏหมายให้เหล่า NGO ทุกคนให้มาขึ้นบัญชี ที่ต้องแสดงรายได้ตามความเป็นจริง และต้องระบุด้วยว่า รับมาจากที่ใด...เล่นเอาเหล่า NGO ผู้ที่แอบแฝงมาในคราบต่างๆเกิดอาการร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รัสเซียได้เขี่ยองค์กร ลํบหน้าปะจมูกพวกนี้ออกมาจนหมดสิ้น นี่ฮังการีก็เริ่มจะเขี่ยทิ้งอีก.... อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีกับรัสเซียที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน จากเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่นายออร์บันคือผู้ที่ต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน แต่ทกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ดำเนินนโยบายแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอนั้น ทำให้เกิดความเลื่อมใส จนแทบจะเดินรอยตามในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องผู้อพยพ...ที่เป็นชนวนให้ต้องมีการขับไล่กลุ่ม โซรอสออกไปให้พ้นๆ มิไยที่สหภาพยุโรปจะกดดัน หรือ ใช้มาตรการเข้ม...ก็ไม่เป็นผล ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน... แต่กลุ่มสหภาพยุโรปที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการปฏิเสธการรับผู้อพยพของกลุ่มประเทศ ฮังการี, สโลเวเนีย และโปแลนด์ นั้น เริ่มที่จะเสียงแตก เพราะกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ต่างแสดงความเห็นใจประเทศที่ต้องโดนยัดเยียดเหล่านี้... ส่วนทางรัสเซีย...ที่ขยันออกคลิปของการ”ต้อนรับ” ผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบถึงลูกถึงคนนั้น ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสภายุโรป จนเรียกร้องให้การ”คว่ำบาตร” รัสเซียดำเนินต่อไป... ฝรั่งเศส...เมื่อตอนที่นายมาครงขึ้นมาดำรงตำแหน่งในปี 2017 เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า การรับและโอบอุ้มผู้อพยพคือการแสดงถึงความมีมนุษยธรรม... เวลาผ่านไปปีเศษเอง เขาเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้คือ การไม่ต้อนรับและไม่ได้พูดถึงเรื่องมนุษยธรรมอีกเลย ซ้ำกระโจมผู้อพยพที่ตั้งเรียงรายนับหมื่นคนที่ท่า Calais นั่น ที่หวังจะให้อังกฤษช่วยรับไปก็แห้วอีก...เพราะอังกฤษกำลังจะออกจากอียูอยู่รอมร่อ....เพราะเขาไม่ต้องการการยัดเยียดให้รับชาวต่างชาติอพยพ…… ทีนี้ก็ถึงคราวที่นายมาครงจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะกลืนน้ำลายตัวเองต่อไป หรือจะให้เสื้อกั๊กเหลืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงที่ดิฉันรู้สึกว่าน่ากลัว....เพราะเห็นหน้าตากัน เชื้อชาติเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน แต่...ไม่ใช่ว่าเขามีจิตวิญญาณรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนเรา... อย่างฮังการีกับโซรอสนั่นไง....ที่มาทำท่าเป็นพ่อพระเพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษา แจกทุน ตั้งองค์กรด้วยเงินจำนวนมหาศาล.... แต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง.... ทั้งๆที่เขาและบรรพบุรุษของเขา.....เป็นฮังเกเรี่ยนแท้ๆ เขายังทำได้ลงคอ....!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!!

    หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม
    ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน..

    การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน
    ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า
    แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง
    บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง

    ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่
    ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

    ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น
    เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ……
    สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค...
    รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ...
    ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว
    ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู

    คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง...
    ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้
    ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ...
    มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า
    “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?”

    แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย
    ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน...
    เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ...
    เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร
    สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร”
    ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ
    ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น

    คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว
    แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก
    ไม่เห็นจะยาก....

    แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!!

    นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์
    แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ...

    ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...”
    ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ
    นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย
    ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี
    แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ..
    หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย
    Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี
    2010 จนถึงปัจจุบัน

    โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก
    Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน...

    งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน
    เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า
    ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ
    ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี
    ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน...
    แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน...
    ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch
    ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา”

    วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า
    “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?”

    เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ..
    แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้
    แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู...
    อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น
    ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง
    และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย

    ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ

    เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส

    ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส

    ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!!

    ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ
    พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน
    นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018
    ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น
    งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ
    ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน
    เลวก็คือเลว...!!!
    และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ

    ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!! หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน.. การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่ ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ…… สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค... รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ... ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง... ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ... มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?” แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน... เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ... เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร” ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก ไม่เห็นจะยาก.... แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!! นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์ แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ... ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...” ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ.. หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี 2010 จนถึงปัจจุบัน โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน... งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน... แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน... ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา” วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?” เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ.. แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้ แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู... อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!! ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน เลวก็คือเลว...!!! และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • อัยการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกมาแฉว่าเขาถูกจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาข่มขู่หากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกหมายจับนายกรัฐมนตรีเนตันยาฮูและรมว.กลาโหมของอิสราเอล แต่ไหนแต่ไรมา อเมริกาและอิสราเอลก่อกรรมทำเข็ญ ไม่มีใครเอาผิดได้ คราวนี้ก็อย่าหมายจะเล่นงานอเมริกาและอิสราเอลได้ง่ายๆ


    ปฐมพงษ์โ พธิ์ประสิทธินันท์
    อัยการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกมาแฉว่าเขาถูกจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาข่มขู่หากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกหมายจับนายกรัฐมนตรีเนตันยาฮูและรมว.กลาโหมของอิสราเอล แต่ไหนแต่ไรมา อเมริกาและอิสราเอลก่อกรรมทำเข็ญ ไม่มีใครเอาผิดได้ คราวนี้ก็อย่าหมายจะเล่นงานอเมริกาและอิสราเอลได้ง่ายๆ ปฐมพงษ์โ พธิ์ประสิทธินันท์
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • โฉมหน้ารัฐบาลหนึ่งไม่มีสอง ?!
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันหน้าสนามหญ้า ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ เพื่อหารือปัญหาเร่งด่วน และร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาล เพื่อจะแถลงต่อรัฐสภา ที่ ทำเนียบรัฐบาล
    Copyright © 2024 All Right Reserved ผู้จัดการรายวัน 360˚/ MGR Online

    ที่มา MGR Photo https://www.facebook.com/share/p/PtRdxjUCm1T6B7cM/

    #Thaitimes
    โฉมหน้ารัฐบาลหนึ่งไม่มีสอง ?! น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันหน้าสนามหญ้า ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ เพื่อหารือปัญหาเร่งด่วน และร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาล เพื่อจะแถลงต่อรัฐสภา ที่ ทำเนียบรัฐบาล Copyright © 2024 All Right Reserved ผู้จัดการรายวัน 360˚/ MGR Online ที่มา MGR Photo https://www.facebook.com/share/p/PtRdxjUCm1T6B7cM/ #Thaitimes
    Sad
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 495 Views 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย เดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Forum-EEF) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 3-6 ก.ย.67 ณ เมืองวลาดิวอสตอก โดยมีกำหนดการปราศรัยต่อที่ประชุม และหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือด้านการค้า การลงทุน การศึกษา เกษตร ความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอวกาศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ย้ำถึงความสนใจของมาเลเซียในการเข้าร่วมองค์กร BRICS และคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ในบริบทอาเซียน-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อปี 2565

    นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่รับปากว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์และนำพาการพัฒนามาสู่ภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่ามี “ศักยภาพมหาศาล” จากการมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน นอกรอบการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ของรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งอันวาร์ เยือนมอสโกว์เป็นเวลา 2 วัน

    อันวาร์กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์ต่อมาเลเซียหากรัสเซียตกลงที่จะ “ร่วมมือกันในทุกด้าน” และแบ่งปันผลสัมฤทธิ์ให้กับมาเลเซีย โดยทั้งสองประเทศกำลังเจรจาหารือถึงความร่วมมือ ตั้งแต่ด้านการบิน อวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเกษตรกรรม และความมั่นคงด้านอาหาร

    อันวาร์กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความข้องเกี่ยวกับรัสเซียเสมอมา และมี “การค้าเสรี” ที่มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณ (ปูติน) และทีมของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเห็นด้วยนะท่านประธานาธิบดี ศักยภาพมหาศาลจริง ๆ” ผู้นำมาเลย์กล่าว

    การประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจที่รัสเซียผลักดันอย่างต่อเนื่องตามนโยบายหันหาตะวันออก (Look East) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเจรจาส่วนมาก ได้แก่ เหมืองแร่ พลังงาน และปุ๋ย ที่ผ่านมามีประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียดำเนินตามรอยผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ ในการพบปะกับปูติน โดยไม่สะทกสะท้านต่อการประณามและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามจากฝ่ายตะวันตกที่มีต่อผู้นำรัสเซีย อันวาร์กล่าวว่า การตัดสินใจเยือนรัสเซีย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ก็เป็น “การตัดสินใจที่ถูกต้อง”

    โดยตอนหนึ่งของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวเกี่ยวกับสงครามฉนวนกาซาในงานนี้ที่รัสเซียว่า"เหตุการณ์นี้ไม่ได้เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมและขบวนการนัคบาในปี 1948... เหตุการณ์นี้ไม่ได้หยุดลงเพราะความดื้อรั้นของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ... ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ทาส"

    นอกจากนี้นายกฯอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากปูตินให้มาเลเซียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซานในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการเข้าร่วมกลุ่มของมาเลเซีย

    ที่มา : https://www.youtube.com/live/uAkJtZgyY-E?si=cOMnw5ebIsD8LAcL
    นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย เดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Forum-EEF) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 3-6 ก.ย.67 ณ เมืองวลาดิวอสตอก โดยมีกำหนดการปราศรัยต่อที่ประชุม และหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือด้านการค้า การลงทุน การศึกษา เกษตร ความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอวกาศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ย้ำถึงความสนใจของมาเลเซียในการเข้าร่วมองค์กร BRICS และคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ในบริบทอาเซียน-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อปี 2565 นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่รับปากว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์และนำพาการพัฒนามาสู่ภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่ามี “ศักยภาพมหาศาล” จากการมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน นอกรอบการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ของรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งอันวาร์ เยือนมอสโกว์เป็นเวลา 2 วัน อันวาร์กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์ต่อมาเลเซียหากรัสเซียตกลงที่จะ “ร่วมมือกันในทุกด้าน” และแบ่งปันผลสัมฤทธิ์ให้กับมาเลเซีย โดยทั้งสองประเทศกำลังเจรจาหารือถึงความร่วมมือ ตั้งแต่ด้านการบิน อวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเกษตรกรรม และความมั่นคงด้านอาหาร อันวาร์กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความข้องเกี่ยวกับรัสเซียเสมอมา และมี “การค้าเสรี” ที่มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณ (ปูติน) และทีมของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเห็นด้วยนะท่านประธานาธิบดี ศักยภาพมหาศาลจริง ๆ” ผู้นำมาเลย์กล่าว การประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจที่รัสเซียผลักดันอย่างต่อเนื่องตามนโยบายหันหาตะวันออก (Look East) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเจรจาส่วนมาก ได้แก่ เหมืองแร่ พลังงาน และปุ๋ย ที่ผ่านมามีประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียดำเนินตามรอยผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ ในการพบปะกับปูติน โดยไม่สะทกสะท้านต่อการประณามและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามจากฝ่ายตะวันตกที่มีต่อผู้นำรัสเซีย อันวาร์กล่าวว่า การตัดสินใจเยือนรัสเซีย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ก็เป็น “การตัดสินใจที่ถูกต้อง” โดยตอนหนึ่งของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวเกี่ยวกับสงครามฉนวนกาซาในงานนี้ที่รัสเซียว่า"เหตุการณ์นี้ไม่ได้เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมและขบวนการนัคบาในปี 1948... เหตุการณ์นี้ไม่ได้หยุดลงเพราะความดื้อรั้นของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ... ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ทาส" นอกจากนี้นายกฯอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากปูตินให้มาเลเซียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซานในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการเข้าร่วมกลุ่มของมาเลเซีย ที่มา : https://www.youtube.com/live/uAkJtZgyY-E?si=cOMnw5ebIsD8LAcL
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 404 Views 0 Reviews
  • อัพเดทรัสเซีย-ยูเครน:

    ๑.วลาดิเมียร์ ปูตินออกมาให้สัมภาษณ์ว่า 'กองทัพรัสเซียไม่วิตกกังวลเลยที่กองทัพยูเครนบุกเข้ามาในเมืองคูร์สค์ของรัสเซีย ตรงข้าม การบุกเข้ามาของกองทัพยูเครน ทำให้กองทัพรัสเซียเร่งเกมเร็วขึ้นเท่านั้นเอง'

    ๒.เมื่อวาน กองทัพรัสเซียยิงขีปนาวุธ Iskander M ถล่มศูนย์ฝึกกองทัพอากาศของยูเครน มีทหารยูเครน รวมทั้งเสนาธิการทหารของอเมริกาและสวีเดนไปช่วยเป็นครูฝึกให้บาดเจ็บและเสียชีวิต ๗๐๐ กว่าคนขึ้นไป

    ส่งผลให้นักการเมืองยูเครนเสียขวัญ เกรงว่ากองทัพรัสเซียอาจจะถล่มทำเนียบรัฐบาล
    วันนี้ จึงมีข่าวว่ารัฐมนตรีและข้าราชการผู้ใหญ่ของยูเครนหลายคนลาออกจาก
    ตำแหน่ง เช่น รมว.กระทรวงการต่างประเทศ, รมว.กระทรวงยุติธรรม,รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์, รมว.กระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ, รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณาการกับยุโรปและยุโรป-แอตแลนติก, รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงฝ่ายผนวกดินแดนที่ยังไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน, รองหัวหน้าทำเนียบประธานาธิบดี เป็นต้น

    สันนิษฐานว่าเตรียมหลบหนีไปต่างประเทศในระหว่างที่กองทัพรัสเซียกำลังบุกหนัก


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    อัพเดทรัสเซีย-ยูเครน: ๑.วลาดิเมียร์ ปูตินออกมาให้สัมภาษณ์ว่า 'กองทัพรัสเซียไม่วิตกกังวลเลยที่กองทัพยูเครนบุกเข้ามาในเมืองคูร์สค์ของรัสเซีย ตรงข้าม การบุกเข้ามาของกองทัพยูเครน ทำให้กองทัพรัสเซียเร่งเกมเร็วขึ้นเท่านั้นเอง' ๒.เมื่อวาน กองทัพรัสเซียยิงขีปนาวุธ Iskander M ถล่มศูนย์ฝึกกองทัพอากาศของยูเครน มีทหารยูเครน รวมทั้งเสนาธิการทหารของอเมริกาและสวีเดนไปช่วยเป็นครูฝึกให้บาดเจ็บและเสียชีวิต ๗๐๐ กว่าคนขึ้นไป ส่งผลให้นักการเมืองยูเครนเสียขวัญ เกรงว่ากองทัพรัสเซียอาจจะถล่มทำเนียบรัฐบาล วันนี้ จึงมีข่าวว่ารัฐมนตรีและข้าราชการผู้ใหญ่ของยูเครนหลายคนลาออกจาก ตำแหน่ง เช่น รมว.กระทรวงการต่างประเทศ, รมว.กระทรวงยุติธรรม,รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์, รมว.กระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ, รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณาการกับยุโรปและยุโรป-แอตแลนติก, รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงฝ่ายผนวกดินแดนที่ยังไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน, รองหัวหน้าทำเนียบประธานาธิบดี เป็นต้น สันนิษฐานว่าเตรียมหลบหนีไปต่างประเทศในระหว่างที่กองทัพรัสเซียกำลังบุกหนัก ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน คูเลบา ถูกบังคับให้ลาออกไม่กี่วันหลังจากที่เขายอมรับว่ายูเครนกำลังแพ้สงครามและชาติตะวันตกต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้

    4 กันยายน 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า Ruslan Stefanchuk ประธานรัฐสภายูเครน รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดิมิโตร คูเลบา(Dmytro Kuleba)ได้ยื่นจดหมายลาออกแล้ว หลังจากเมื่ออังคาร3 กันยายน ที่ผ่านมา มีรัฐมนตรี 5 คนลาออก คือ Oleksandr Kamyshin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์, Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรี และDenys Maliuska รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม Ruslan Strilets รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณาการยุโรปและยูโร-แอตแลนติก และ Iryna Vereshchuk. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบูรณาการยุโรป

    ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณะOleksandr Kubrakov และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรMykola Solskyiถูกไล่ออกไปแล้วในเดือนพฤษภาคมนี้เอง

    สำหรับKuleba ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ปี 2020 โดยเขามีบทบาทนำในความพยายามของยูเครนในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและสร้างความร่วมมือใหม่นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามเต็มรูปแบบ

    หลังจากมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะถูกไล่ออกในเดือนสิงหาคม 2023คูเลบากล่าวทางโทรทัศน์ระดับประเทศว่าเขาไม่กังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ดังกล่าว “ผมทำงาน ไม่มีงานไหนถาวร และผมใจเย็นมากกับทุกๆ เรื่อง”

    เขากล่าวในตอนนั้น “ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมจะลาออกภายใต้สถานการณ์สองสถานการณ์: สถานการณ์แรกคือถ้าประธานาธิบดีขอให้ผมทำ และสถานการณ์ที่สองคือถ้าผมขัดแย้งกับนโยบายต่างประเทศในระดับพื้นฐานและไม่คิดว่าจะทำงานกับมันได้” คูเลบากล่าวเสริม

    หนังสือพิมพ์ยูเครนปราฟดารายงานเมื่อวันที่ 3 กันยายน โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ว่านายคูเลบาจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และยังคงมีการพิจารณาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนอยู่ ผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือนายอันดรี ซิบีฮา รองรัฐมนตรีต่างประเทศ แหล่งข่าวกล่าว

    หลังจากรัฐมนตรี 5 รายลาออกเมื่อวันอังคาร ซึ่งพันธมิตรระดับสูงของ Zelenskyy มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการ "รีเซ็ต" รัฐบาลก่อนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็น

    เซเลนสกีกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเพื่อบรรลุผลตามที่ยูเครนต้องการ
    “ฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับยูเครน และสถาบันของรัฐของเราควรได้รับการจัดการเพื่อให้ยูเครนบรรลุผลสำเร็จตามที่เราต้องการสำหรับเราทุกคน”

    ปลายเดือนนี้ เซเลนสกีจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อขอพบประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญ

    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียได้เพิ่มการโจมตีด้วยโดรนขีปนาวุธถล่มยูเครนหนัก

    #Thaitimes
    รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน คูเลบา ถูกบังคับให้ลาออกไม่กี่วันหลังจากที่เขายอมรับว่ายูเครนกำลังแพ้สงครามและชาติตะวันตกต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ 4 กันยายน 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า Ruslan Stefanchuk ประธานรัฐสภายูเครน รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดิมิโตร คูเลบา(Dmytro Kuleba)ได้ยื่นจดหมายลาออกแล้ว หลังจากเมื่ออังคาร3 กันยายน ที่ผ่านมา มีรัฐมนตรี 5 คนลาออก คือ Oleksandr Kamyshin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์, Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรี และDenys Maliuska รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม Ruslan Strilets รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม Olha Stefanishyna รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณาการยุโรปและยูโร-แอตแลนติก และ Iryna Vereshchuk. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบูรณาการยุโรป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายบูรณะOleksandr Kubrakov และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรMykola Solskyiถูกไล่ออกไปแล้วในเดือนพฤษภาคมนี้เอง สำหรับKuleba ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ปี 2020 โดยเขามีบทบาทนำในความพยายามของยูเครนในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและสร้างความร่วมมือใหม่นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามเต็มรูปแบบ หลังจากมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะถูกไล่ออกในเดือนสิงหาคม 2023คูเลบากล่าวทางโทรทัศน์ระดับประเทศว่าเขาไม่กังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ดังกล่าว “ผมทำงาน ไม่มีงานไหนถาวร และผมใจเย็นมากกับทุกๆ เรื่อง” เขากล่าวในตอนนั้น “ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมจะลาออกภายใต้สถานการณ์สองสถานการณ์: สถานการณ์แรกคือถ้าประธานาธิบดีขอให้ผมทำ และสถานการณ์ที่สองคือถ้าผมขัดแย้งกับนโยบายต่างประเทศในระดับพื้นฐานและไม่คิดว่าจะทำงานกับมันได้” คูเลบากล่าวเสริม หนังสือพิมพ์ยูเครนปราฟดารายงานเมื่อวันที่ 3 กันยายน โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ว่านายคูเลบาจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และยังคงมีการพิจารณาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนอยู่ ผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือนายอันดรี ซิบีฮา รองรัฐมนตรีต่างประเทศ แหล่งข่าวกล่าว หลังจากรัฐมนตรี 5 รายลาออกเมื่อวันอังคาร ซึ่งพันธมิตรระดับสูงของ Zelenskyy มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการ "รีเซ็ต" รัฐบาลก่อนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็น เซเลนสกีกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเพื่อบรรลุผลตามที่ยูเครนต้องการ “ฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับยูเครน และสถาบันของรัฐของเราควรได้รับการจัดการเพื่อให้ยูเครนบรรลุผลสำเร็จตามที่เราต้องการสำหรับเราทุกคน” ปลายเดือนนี้ เซเลนสกีจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อขอพบประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียได้เพิ่มการโจมตีด้วยโดรนขีปนาวุธถล่มยูเครนหนัก #Thaitimes
    Like
    Yay
    7
    0 Comments 0 Shares 750 Views 0 Reviews
  • อ้าวลุงชวน อย่าความความจริงมาพูดจริงนะครับ
    เดี๋ยวคนไทยจะเฮกันลั่น
    ลุงชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี
    พร้อมประสานสร้างพรรคใหม่
    ด้วยจิตวิญญาณประชาธิปปัตย์ที่แท้จริง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อ้าวลุงชวน อย่าความความจริงมาพูดจริงนะครับ เดี๋ยวคนไทยจะเฮกันลั่น ลุงชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมประสานสร้างพรรคใหม่ ด้วยจิตวิญญาณประชาธิปปัตย์ที่แท้จริง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 311 Views 0 Reviews
  • เนทันยังคงยืนกรานที่จะใช้กำลังทหารแก้ปัญหาความขัดแย้งกาซา
    เจ้าหน้าที่เอลบางคนกล่าวว่านายกรัฐมนตรีเบนจามิน ยืนกรานว่าการกดดันทางทหารเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การปล่อยตัวผู้ถูกกักขังได้
    เนทันยาฮูกล่าวว่ากลุ่มผู้ปกป้องปาเลสดับชีพเชลยศึกเหล่านี้ และกลุ่มนี้ไม่สนใจข้อตกลงนี้ แต่เนทันยาฮูมีจุดยืนที่แข็งกร้าวมายาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดอย่างมากภายในรัฐบาลของเขาเอง
    นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากครอบครัวของเชลยศึกด้วย ซึ่งเราเห็นมาตั้งแต่การรุกรานเริ่มต้นขึ้น พวกเขากล่าวว่าเนทันยาฮูไม่มีความสามารถและไม่เต็มใจที่จะทำข้อตกลงใดๆ และนั่นยังคงเป็นความเชื่อของพวกเขาว่าเนทันยาฮูกำลังยืดเวลาของการรุกรานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและทางการเมือง
    เขาบอกว่าทางออกทางการทหารเป็นหนทางเดียวที่จะดำเนินความขัดแย้งนี้ต่อไปได้
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    เนทันยังคงยืนกรานที่จะใช้กำลังทหารแก้ปัญหาความขัดแย้งกาซา เจ้าหน้าที่เอลบางคนกล่าวว่านายกรัฐมนตรีเบนจามิน ยืนกรานว่าการกดดันทางทหารเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การปล่อยตัวผู้ถูกกักขังได้ เนทันยาฮูกล่าวว่ากลุ่มผู้ปกป้องปาเลสดับชีพเชลยศึกเหล่านี้ และกลุ่มนี้ไม่สนใจข้อตกลงนี้ แต่เนทันยาฮูมีจุดยืนที่แข็งกร้าวมายาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดอย่างมากภายในรัฐบาลของเขาเอง นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากครอบครัวของเชลยศึกด้วย ซึ่งเราเห็นมาตั้งแต่การรุกรานเริ่มต้นขึ้น พวกเขากล่าวว่าเนทันยาฮูไม่มีความสามารถและไม่เต็มใจที่จะทำข้อตกลงใดๆ และนั่นยังคงเป็นความเชื่อของพวกเขาว่าเนทันยาฮูกำลังยืดเวลาของการรุกรานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและทางการเมือง เขาบอกว่าทางออกทางการทหารเป็นหนทางเดียวที่จะดำเนินความขัดแย้งนี้ต่อไปได้ . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"

    ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
    รัฐบุรุษ อดีตประธานองคมนตรี
    นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของประเทศไทย

    จากปกหลังของหนังสือ "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน"
    ซื้อมาจากงานมหกรรมหนังสือฯ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
    10 ตุลาคม 2562
    "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ อดีตประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของประเทศไทย จากปกหลังของหนังสือ "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน" ซื้อมาจากงานมหกรรมหนังสือฯ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี 10 ตุลาคม 2562
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • 29 สิงหาคม 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊กของ India in Thailand ( Embassy of India,Bangkok) ระบุเนื้อหาว่า เอกอัครราชทูต Nagesh Singh เข้าเยี่ยมคารวะอดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางอารยธรรมที่สืบเนื่องกันมายาวนานหลายศตวรรษระหว่าง และ ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์อันอบอุ่นและเป็นมิตรระหว่างทั้งสองประเทศ

    ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก India in Thailand ( Embassy of India,Bangkok)

    #Thaitimes
    29 สิงหาคม 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊กของ India in Thailand ( Embassy of India,Bangkok) ระบุเนื้อหาว่า เอกอัครราชทูต Nagesh Singh เข้าเยี่ยมคารวะอดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางอารยธรรมที่สืบเนื่องกันมายาวนานหลายศตวรรษระหว่าง 🇮🇳 และ 🇹🇭 ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์อันอบอุ่นและเป็นมิตรระหว่างทั้งสองประเทศ ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก India in Thailand ( Embassy of India,Bangkok) #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 523 Views 0 Reviews
  • #จิตสำนึกหล่อหลอมจากครอบครัว
    #ผู้นำที่สร้างจากคนดีคิดถึงส่วนรวม
    •ลีกวนยู เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
    ที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
    ให้เจริญเติบโตอย่างไร | 17.08.2024

    ครั้งหนึ่งมีคนถามลีกวนยูว่า “ถ้าให้คุณเลือกคนมาทำงานด้วย จะเลือกคนที่ไอคิวสูงหรืออีคิวสูง”

    ลีกวนยูว่า “แล้วแต่ลักษณะงาน ถ้าหาคนมาคุมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คงเลือกคนไอคิวสูงก่อน”

    แต่ถ้าหาคนที่ต้องคุมคนอื่นอีกที ก็ต้องได้ทั้งไอคิวและอีคิว

    ลีกวนยูเข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้งและมองทะลุปรุโปร่ง เพราะเหตุนี้ ณ จุดสูงสุดของชีวิตผู้นำ เขาก็ก้าวลงจากอำนาจส่งไม้ต่อให้คนหนุ่มกว่า

    ลีกวนยูบอกเสมอว่าเขาคัดแต่คนเก่งระดับหัวกะทิมาทำงานการเมือง

    ผู้บริหารประเทศสิงคโปร์คัดเลือกคนที่จะมาเป็นนายกฯคนที่สองมาหลายปีก่อนโอนถ่ายอำนาจ นั่นคือโกช็อกตง ลีกวนยูก็ติวเข้มโกช็อกตงมาล่วงหน้าถึงเก้าปี

    โกช็อกตงไม่ใช่ตัวเลือกของลีกวนยู แต่เป็นตัวเลือกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอย่างรอบคอบ โกช็อกตงจบปริญญาโทจากอเมริกา ฉลาด มีวิสัยทัศน์ ไม่เช่นนั้นลีกวนยูคงไม่ยอมปล่อยให้บริหารประเทศต่อ

    ก่อนรับตำแหน่งนายกฯ โกช็อกตงมีประสบการณ์ในตำแหน่งรองนายกฯมาเจ็ดปี

    ลีกวนยูวิเคราะห์โกช็อกตงไว้ว่า “ตัวสูง เก้งก้าง งุ่มง่าม พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงฮกเกี้ยน พูดไม่เก่ง แต่มีความสามารถ มีความมุ่งมั่น”

    เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ลีกวนยูส่งโกช็อกตงไปเรียนทักษะการพูด หาครูชาวอังกฤษมาสอนเขา รวมทั้งรัฐมนตรีใหม่ ๆ หลายคน

    การเป็นผู้นำประเทศต้องพูดเป็น พูดอย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนจะมาเป็นผู้นำ

    เก่งแค่ไหนก็ต้องสื่อสารเป็นด้วย สื่อสารเป็นคือทำให้คนฟังคล้อยตามได้

    ผ่านไประยะหนึ่ง โกช็อกตงก็พัฒนาการพูดดีขึ้น

    ลีกวนยูพูดกับบรรดารัฐมนตรีว่า “รัฐมนตรีที่ดีไม่ใช่พวกที่จูบทารกและยิ้ม รัฐมนตรีที่ดีคือพวกที่ต้องตัดสินใจเรื่องที่ประชาชนไม่ชอบ และยังยิ้มได้ แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่าทำงานได้ผล นั่นคือการเป็นรัฐบาล”

    คนเป็นรัฐมนตรีต้องทำงานหนัก ไม่ใช่โชว์ ไม่ใช่สร้างคะแนนนิยม

    เมื่อคนใหม่พร้อมแล้ว และหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรีมา 31 ปี ลีกวนยูก็ลงจากตำแหน่งโดยไม่อาลัยอาวรณ์

    โกช็อกตงรับไม้ต่อจากลีกวนยู เป็นนายกฯสิงคโปร์คนที่สอง ในปี 1990 เจอเหตุการณ์ทดสอบภาวะผู้นำหลายเรื่อง เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 โรคซาร์สระบาดในปี 2003 ก็สอบผ่านมาได้

    โกช็อกตงเป็นนายกฯ 14 ปี ก็ส่งไม้ต่อให้ลีเซียนหลง บุตรชายของลีกวนยู ในปี 2004 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สาม

    และในปี 2024 ก็ส่งไม้ต่อให้ ลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    การเลือกผู้นำของสิงคโปร์ไม่ใช่เกมการเมือง ไม่ใช่เกมเด็กเล่น ซีเรียสอย่างที่สุด มันจึงเป็นประเทศสิงคโปร์ที่เราเห็นในวันนี้

    จากหนังสือ
    สร้างชาติจากศูนย์
    / วินทร์ เลียววาริณ
    หนังสือเกี่ยวกับลีกวนยูและ
    การสร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์
    วางตลาดเดือนตุลาคม 2024 นี้
    #จิตสำนึกหล่อหลอมจากครอบครัว #ผู้นำที่สร้างจากคนดีคิดถึงส่วนรวม •ลีกวนยู เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ให้เจริญเติบโตอย่างไร | 17.08.2024 ครั้งหนึ่งมีคนถามลีกวนยูว่า “ถ้าให้คุณเลือกคนมาทำงานด้วย จะเลือกคนที่ไอคิวสูงหรืออีคิวสูง” ลีกวนยูว่า “แล้วแต่ลักษณะงาน ถ้าหาคนมาคุมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คงเลือกคนไอคิวสูงก่อน” แต่ถ้าหาคนที่ต้องคุมคนอื่นอีกที ก็ต้องได้ทั้งไอคิวและอีคิว ลีกวนยูเข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้งและมองทะลุปรุโปร่ง เพราะเหตุนี้ ณ จุดสูงสุดของชีวิตผู้นำ เขาก็ก้าวลงจากอำนาจส่งไม้ต่อให้คนหนุ่มกว่า ลีกวนยูบอกเสมอว่าเขาคัดแต่คนเก่งระดับหัวกะทิมาทำงานการเมือง ผู้บริหารประเทศสิงคโปร์คัดเลือกคนที่จะมาเป็นนายกฯคนที่สองมาหลายปีก่อนโอนถ่ายอำนาจ นั่นคือโกช็อกตง ลีกวนยูก็ติวเข้มโกช็อกตงมาล่วงหน้าถึงเก้าปี โกช็อกตงไม่ใช่ตัวเลือกของลีกวนยู แต่เป็นตัวเลือกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอย่างรอบคอบ โกช็อกตงจบปริญญาโทจากอเมริกา ฉลาด มีวิสัยทัศน์ ไม่เช่นนั้นลีกวนยูคงไม่ยอมปล่อยให้บริหารประเทศต่อ ก่อนรับตำแหน่งนายกฯ โกช็อกตงมีประสบการณ์ในตำแหน่งรองนายกฯมาเจ็ดปี ลีกวนยูวิเคราะห์โกช็อกตงไว้ว่า “ตัวสูง เก้งก้าง งุ่มง่าม พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงฮกเกี้ยน พูดไม่เก่ง แต่มีความสามารถ มีความมุ่งมั่น” เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ลีกวนยูส่งโกช็อกตงไปเรียนทักษะการพูด หาครูชาวอังกฤษมาสอนเขา รวมทั้งรัฐมนตรีใหม่ ๆ หลายคน การเป็นผู้นำประเทศต้องพูดเป็น พูดอย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนจะมาเป็นผู้นำ เก่งแค่ไหนก็ต้องสื่อสารเป็นด้วย สื่อสารเป็นคือทำให้คนฟังคล้อยตามได้ ผ่านไประยะหนึ่ง โกช็อกตงก็พัฒนาการพูดดีขึ้น ลีกวนยูพูดกับบรรดารัฐมนตรีว่า “รัฐมนตรีที่ดีไม่ใช่พวกที่จูบทารกและยิ้ม รัฐมนตรีที่ดีคือพวกที่ต้องตัดสินใจเรื่องที่ประชาชนไม่ชอบ และยังยิ้มได้ แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่าทำงานได้ผล นั่นคือการเป็นรัฐบาล” คนเป็นรัฐมนตรีต้องทำงานหนัก ไม่ใช่โชว์ ไม่ใช่สร้างคะแนนนิยม เมื่อคนใหม่พร้อมแล้ว และหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรีมา 31 ปี ลีกวนยูก็ลงจากตำแหน่งโดยไม่อาลัยอาวรณ์ โกช็อกตงรับไม้ต่อจากลีกวนยู เป็นนายกฯสิงคโปร์คนที่สอง ในปี 1990 เจอเหตุการณ์ทดสอบภาวะผู้นำหลายเรื่อง เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 โรคซาร์สระบาดในปี 2003 ก็สอบผ่านมาได้ โกช็อกตงเป็นนายกฯ 14 ปี ก็ส่งไม้ต่อให้ลีเซียนหลง บุตรชายของลีกวนยู ในปี 2004 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สาม และในปี 2024 ก็ส่งไม้ต่อให้ ลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง การเลือกผู้นำของสิงคโปร์ไม่ใช่เกมการเมือง ไม่ใช่เกมเด็กเล่น ซีเรียสอย่างที่สุด มันจึงเป็นประเทศสิงคโปร์ที่เราเห็นในวันนี้ จากหนังสือ สร้างชาติจากศูนย์ / วินทร์ เลียววาริณ หนังสือเกี่ยวกับลีกวนยูและ การสร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์ วางตลาดเดือนตุลาคม 2024 นี้
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • 29 สิงหาคม 2567-พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แถลงปมทักษิณตั้งนายกฯ

    “ คุณเศรษฐาไปตั้งนักโทษเป็นรัฐมนตรี แต่ปัจจุบัน นักโทษมันตั้งนายกรัฐมนตรีเสียเอง แล้วผมจะอยู่ร่วมได้ยังไง ... คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธารจะไปบริหารตรงนี้ ไม่มีหรอก เป็นการบริหารโดยพ่อทั้งนั้น"
    .
    ที่มา : Facebook คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://www.facebook.com/sondhitalk/videos/1179302280041631/

    #Thaitimes
    29 สิงหาคม 2567-พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แถลงปมทักษิณตั้งนายกฯ “ คุณเศรษฐาไปตั้งนักโทษเป็นรัฐมนตรี แต่ปัจจุบัน นักโทษมันตั้งนายกรัฐมนตรีเสียเอง แล้วผมจะอยู่ร่วมได้ยังไง ... คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธารจะไปบริหารตรงนี้ ไม่มีหรอก เป็นการบริหารโดยพ่อทั้งนั้น" . ที่มา : Facebook คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://www.facebook.com/sondhitalk/videos/1179302280041631/ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    15
    1 Comments 0 Shares 1299 Views 0 Reviews
  • "คุณเศรษฐาไปตั้งนักโทษเป็นรัฐมนตรี แต่ปัจจุบัน นักโทษมันตั้งนายกรัฐมนตรีเสียเอง แล้วผมจะอยู่ร่วมได้ยังไง ... คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธารจะไปบริหารตรงนี้ ไม่มีหรอก เป็นการบริหารโดยพ่อทั้งนั้น" --- พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย วันที่ 29 ส.ค 2567
    .
    ชม Live ผ่าน Facebook >> https://www.facebook.com/sondhitalk/videos/1179302280041631/
    "คุณเศรษฐาไปตั้งนักโทษเป็นรัฐมนตรี แต่ปัจจุบัน นักโทษมันตั้งนายกรัฐมนตรีเสียเอง แล้วผมจะอยู่ร่วมได้ยังไง ... คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธารจะไปบริหารตรงนี้ ไม่มีหรอก เป็นการบริหารโดยพ่อทั้งนั้น" --- พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย วันที่ 29 ส.ค 2567 . ชม Live ผ่าน Facebook >> https://www.facebook.com/sondhitalk/videos/1179302280041631/
    Like
    Haha
    9
    0 Comments 0 Shares 489 Views 0 Reviews
  • ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์"

    การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่

    เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส.

    แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี

    แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้

    นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้

    ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี

    "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน"

    นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง

    ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น

    อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง

    "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม"

    "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม"

    นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่

    "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน"

    "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย"

    เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน

    "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน"

    เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า

    #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร
    ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์" การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส. แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้ นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน" นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม" "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม" นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน" "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย" เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน" เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 484 Views 0 Reviews
  • “เรืองไกร” ร้อง กกต.สอบ “แพทองธาร” มีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ กรณีเพิ่งจดทะเบียนลาออกจากกรรมการบริษัทเอกชนในวันที่ 19 ส.ค. หลังได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ 16 ส.ค.แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าลาออกตั้งแต่ 15 ส.ค.ก็ตาม

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000079497

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “เรืองไกร” ร้อง กกต.สอบ “แพทองธาร” มีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ กรณีเพิ่งจดทะเบียนลาออกจากกรรมการบริษัทเอกชนในวันที่ 19 ส.ค. หลังได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ 16 ส.ค.แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าลาออกตั้งแต่ 15 ส.ค.ก็ตาม อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000079497 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    8
    1 Comments 1 Shares 1906 Views 0 Reviews
  • ใบเหลืองชาญ เลือกตั้งใหม่ อบจ.ปทุมฯ

    สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีใหม่ ตามมาตรา 106 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ปี 2562 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลังพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผล และพยานหลักฐานของสำนวนเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 65 (3) แล้วเห็นว่า กรณีกล่าวหาว่านายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง จัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ตนนั้น เป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม

    อย่างไรก็ตาม มติสั่งเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ดังกล่าวเป็นการให้ใบเหลือง ดังนั้นการแข่งขันก็จะเป็นการใช้ผู้สมัครชุดเดิมโดยนายชาญ ซึ่งได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งคราวก่อน ยังคงสามารถลงแข่งขันได้ ส่วนวันเลือกตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศ

    ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม และพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ขอให้ กกต.เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 45 วัน ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็พอ เพราะเป็นคนเดิมเพิ่งหาเสียงกันมา ถ้าปล่อยให้นานออกไปสถานการณ์จะล่อแหลมเพราะน้ำจะท่วม มั่นใจว่าคนปทุมธานีรู้แล้วว่าใครผู้สมัครรายใดที่มีปัญหา พร้อมเชิญชวนชาวจังหวัดปทุมธานีออกมาใช้สิทธิกันให้มากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีของจังหวัด อย่าให้คนไม่ดีมาซื้อเสียง

    แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการเมืองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ Newskit ว่า เรื่องดังกล่าวทราบว่าเป็นที่ตกใจแก่ข้าราชการ อบจ.ปทุมธานีอยู่บ้าง เพราะรอผลการเลือกตั้งกว่า 2 เดือนก็ไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศรับรองผลไปแล้วอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา อบจ.ปทุมธานีใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งกว่า 70 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับ กกต.ปทุมธานีจะเป็นผู้กำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ แต่เห็นว่าต้องจัดเลือกตั้ง 3 รอบ ยังเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธ.ค. และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2568

    สำหรับผลใบเหลืองที่ออกมา ต้องดูว่านายชาญจะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย หรือในนามอิสระ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีเรื่องการส่งผู้สมัครที่มีปัญหาคุณสมบัติ ซ้ำด้วยนายชาญถูก กกต.ให้ใบเหลือง ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปงานบวชลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นคนของนายชาญ จากเหตุดังกล่าวทำให้ กกต.ให้ใบเหลือง ด้วยข้อหาจัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน ไม่นับรวมคดีค้างเก่าใน ป.ป.ช. อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะเลือกใคร

    ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คาดว่าทีมงานอาจมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาจากทั้งหมด 7 อำเภอ ชนะเลือกตั้งในเขตอำเภอเมือง อำเภอที่มีความเจริญเนื่องมาจากเป็นพื้นที่บ้านจัดสรร หรืออำเภอที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น อ.หนองเสือ ที่คราวนี้ชนะคู่แข่งมาได้ แต่จะเสียเปรียบ 2 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม คือ อ.สามโคก ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของนายชาญ มีความผูกพันมานาน และ อ.ลาดหลุมแก้ว ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แพ้ให้กับคู่แข่ง ประเมินว่าทีมงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อาจกำลังถอดบทเรียนตรงนี้สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่กำลังจะมาถึง

    ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีผู้มาใช้สิทธิมากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึง 50% แหล่งข่าวมองว่าอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาบ้าง เพราะจากการที่ผลเลือกตั้งออกมา ผู้ชนะคราวที่แล้วกลับแพ้ คราวนี้จึงแพ้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ที่เกรงกันว่ามวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงมายังจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการและดูแลประชาชน หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น

    สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 949,421 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% โดยนายชาญ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยนายชาญได้ 203,032 คะแนน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ 201,212 คะแนน ห่างกัน 1,820 คะแนน ส่วนอันดับสาม นายนพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน และอันดับสี่ นายอธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน ส่วนบัตรเสียมี 11,302 ใบ คิดเป็น 2.39% และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 32,885 ใบ คิดเป็น 6.96%

    #Newskit #อบจปทุมธานี #เลือกตั้งซ่อม
    ใบเหลืองชาญ เลือกตั้งใหม่ อบจ.ปทุมฯ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีใหม่ ตามมาตรา 106 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ปี 2562 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลังพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผล และพยานหลักฐานของสำนวนเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 65 (3) แล้วเห็นว่า กรณีกล่าวหาว่านายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง จัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ตนนั้น เป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อย่างไรก็ตาม มติสั่งเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ดังกล่าวเป็นการให้ใบเหลือง ดังนั้นการแข่งขันก็จะเป็นการใช้ผู้สมัครชุดเดิมโดยนายชาญ ซึ่งได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งคราวก่อน ยังคงสามารถลงแข่งขันได้ ส่วนวันเลือกตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศ ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม และพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ขอให้ กกต.เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 45 วัน ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็พอ เพราะเป็นคนเดิมเพิ่งหาเสียงกันมา ถ้าปล่อยให้นานออกไปสถานการณ์จะล่อแหลมเพราะน้ำจะท่วม มั่นใจว่าคนปทุมธานีรู้แล้วว่าใครผู้สมัครรายใดที่มีปัญหา พร้อมเชิญชวนชาวจังหวัดปทุมธานีออกมาใช้สิทธิกันให้มากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีของจังหวัด อย่าให้คนไม่ดีมาซื้อเสียง แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการเมืองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ Newskit ว่า เรื่องดังกล่าวทราบว่าเป็นที่ตกใจแก่ข้าราชการ อบจ.ปทุมธานีอยู่บ้าง เพราะรอผลการเลือกตั้งกว่า 2 เดือนก็ไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศรับรองผลไปแล้วอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา อบจ.ปทุมธานีใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งกว่า 70 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับ กกต.ปทุมธานีจะเป็นผู้กำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ แต่เห็นว่าต้องจัดเลือกตั้ง 3 รอบ ยังเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธ.ค. และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2568 สำหรับผลใบเหลืองที่ออกมา ต้องดูว่านายชาญจะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย หรือในนามอิสระ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีเรื่องการส่งผู้สมัครที่มีปัญหาคุณสมบัติ ซ้ำด้วยนายชาญถูก กกต.ให้ใบเหลือง ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปงานบวชลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นคนของนายชาญ จากเหตุดังกล่าวทำให้ กกต.ให้ใบเหลือง ด้วยข้อหาจัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน ไม่นับรวมคดีค้างเก่าใน ป.ป.ช. อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะเลือกใคร ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คาดว่าทีมงานอาจมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาจากทั้งหมด 7 อำเภอ ชนะเลือกตั้งในเขตอำเภอเมือง อำเภอที่มีความเจริญเนื่องมาจากเป็นพื้นที่บ้านจัดสรร หรืออำเภอที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น อ.หนองเสือ ที่คราวนี้ชนะคู่แข่งมาได้ แต่จะเสียเปรียบ 2 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม คือ อ.สามโคก ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของนายชาญ มีความผูกพันมานาน และ อ.ลาดหลุมแก้ว ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แพ้ให้กับคู่แข่ง ประเมินว่าทีมงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อาจกำลังถอดบทเรียนตรงนี้สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่กำลังจะมาถึง ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีผู้มาใช้สิทธิมากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึง 50% แหล่งข่าวมองว่าอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาบ้าง เพราะจากการที่ผลเลือกตั้งออกมา ผู้ชนะคราวที่แล้วกลับแพ้ คราวนี้จึงแพ้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ที่เกรงกันว่ามวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงมายังจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการและดูแลประชาชน หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 949,421 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% โดยนายชาญ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยนายชาญได้ 203,032 คะแนน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ 201,212 คะแนน ห่างกัน 1,820 คะแนน ส่วนอันดับสาม นายนพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน และอันดับสี่ นายอธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน ส่วนบัตรเสียมี 11,302 ใบ คิดเป็น 2.39% และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 32,885 ใบ คิดเป็น 6.96% #Newskit #อบจปทุมธานี #เลือกตั้งซ่อม
    Like
    4
    1 Comments 0 Shares 458 Views 0 Reviews
  • ข่าวปลอมมาเลเซีย มีถ้ำใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์

    การค้นหาร่างของนางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในหลุมที่ยุบตัวลงมา บริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ดำเนินการต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ หลังจากประสบเหตุเมื่อเวลา 08.44 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา

    สำนักข่าวเบอร์นามา ของมาเลเซียรายงานว่า ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ (26 ส.ค.) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงของบริษัท อินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (IWK) ล้างเศษหินที่ห่างจากท่อระบายน้ำหน้าหอพักยากิน (Wisma Yakin) ประมาณ 4 เมตร เพื่อให้ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) ตรวจสอบว่ามีวัสดุแปลกปลอมติดอยู่บนเศษหินหรือไม่ นอกจากนี้ บริษัท IWK ยังได้ล้างท่อระบายน้ำทั้งหมดตามแนวท่อระบายน้ำ และตรวจสอบโรงบำบัดน้ำเสียที่ย่านพันตายดาลัม แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ

    ด้านศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DBKL) ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อประเมินสถานการณ์และลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบอีก

    นางซาลิฮา มุสตาฟา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของเขตปกครองกลางมาเลเซีย กล่าวว่า ได้พูดคุยกับนายไมมูนาห์ โมฮัมหมัด ชารีฟ นายกเทศมนตรีกรุงกัวลาลัมเปอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อระบุแนวทางดำเนินการและยุทธศาสตร์ระยะยาวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

    โดยอาจเป็นไปได้ที่จะทบทวนนโยบายการวางผังเมืองในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์หลุมยุบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฝ่ายดินแดนสหพันธ์และกรุงกัวลาลัมเปอร์จะเสริมขั้นตอนปฎิบัติงาน โดยต้องส่งผลการศึกษาด้านธรณีเทคนิคจากวิศวกรในระหว่างยื่นขออนุมัติการวางผังเมือง

    พร้อมกันนี้ ยังได้ประสานงานกับนายบีเอ็น เรดดี้ ข้าหลวงใหญ่อินเดียประจำมาเลเซีย รายงานความคืบหน้าปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัยนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ เหตุการณ์ล่าสุดเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พิจารณาและปรับปรุงวิธีการเฝ้าระวังและตอยสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

    ด้านกรมตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซีย ได้ขยายวีซ่าให้กับสมาชิกในครอบครัวของนางวิชัยลักษณี 4 คน พร้อมกันนี้ ยังมีตัวแทนของนายอาห์หมัด ซาฮิด ฮามิดิ รองนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวที่จุดเกิดเหตุ พร้อมมอบความช่วยเหลือและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ผลจากเหตุการณ์หลุมยุบที่เกิดขึ้น บนโซเชียลมีเดียมีการแชร์บทความที่อ้างว่ามาจาก ดร.ซาราห์ จามาล จากภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา (UM) อ้างว่ามี “ถ้ำร้างขนาดใหญ่” อยู่ใต้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทำให้ภาควิชาธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยมาลายา ปฎิเสธรายงานดังกล่าว โดยระบุว่าไม่มีนักธรณีวิทยาคนดังกล่าวทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย

    รศ.ดร.เมียร์ ฮาคิฟ อามีร์ ฮัสซัน หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา ยืนยันว่าไม่มีนักธรณีวิทยาชื่อซาราห์ จามาล คนใดที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการธรณีวิทยามาเลเซีย เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้อิงตามข้อเท็จจริงและเป็นเท็จ ภาควิชากำลังใช้ความระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์หลุมยุบที่ถนนมัสยิดอินเดีย เนื่องจากการค้นหาผู้สูญหายและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินต่อไป

    #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    ข่าวปลอมมาเลเซีย มีถ้ำใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์ การค้นหาร่างของนางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในหลุมที่ยุบตัวลงมา บริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ดำเนินการต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ หลังจากประสบเหตุเมื่อเวลา 08.44 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเบอร์นามา ของมาเลเซียรายงานว่า ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ (26 ส.ค.) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงของบริษัท อินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (IWK) ล้างเศษหินที่ห่างจากท่อระบายน้ำหน้าหอพักยากิน (Wisma Yakin) ประมาณ 4 เมตร เพื่อให้ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) ตรวจสอบว่ามีวัสดุแปลกปลอมติดอยู่บนเศษหินหรือไม่ นอกจากนี้ บริษัท IWK ยังได้ล้างท่อระบายน้ำทั้งหมดตามแนวท่อระบายน้ำ และตรวจสอบโรงบำบัดน้ำเสียที่ย่านพันตายดาลัม แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ ด้านศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DBKL) ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อประเมินสถานการณ์และลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบอีก นางซาลิฮา มุสตาฟา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของเขตปกครองกลางมาเลเซีย กล่าวว่า ได้พูดคุยกับนายไมมูนาห์ โมฮัมหมัด ชารีฟ นายกเทศมนตรีกรุงกัวลาลัมเปอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อระบุแนวทางดำเนินการและยุทธศาสตร์ระยะยาวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาจเป็นไปได้ที่จะทบทวนนโยบายการวางผังเมืองในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์หลุมยุบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฝ่ายดินแดนสหพันธ์และกรุงกัวลาลัมเปอร์จะเสริมขั้นตอนปฎิบัติงาน โดยต้องส่งผลการศึกษาด้านธรณีเทคนิคจากวิศวกรในระหว่างยื่นขออนุมัติการวางผังเมือง พร้อมกันนี้ ยังได้ประสานงานกับนายบีเอ็น เรดดี้ ข้าหลวงใหญ่อินเดียประจำมาเลเซีย รายงานความคืบหน้าปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัยนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ เหตุการณ์ล่าสุดเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พิจารณาและปรับปรุงวิธีการเฝ้าระวังและตอยสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ด้านกรมตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซีย ได้ขยายวีซ่าให้กับสมาชิกในครอบครัวของนางวิชัยลักษณี 4 คน พร้อมกันนี้ ยังมีตัวแทนของนายอาห์หมัด ซาฮิด ฮามิดิ รองนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวที่จุดเกิดเหตุ พร้อมมอบความช่วยเหลือและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลจากเหตุการณ์หลุมยุบที่เกิดขึ้น บนโซเชียลมีเดียมีการแชร์บทความที่อ้างว่ามาจาก ดร.ซาราห์ จามาล จากภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา (UM) อ้างว่ามี “ถ้ำร้างขนาดใหญ่” อยู่ใต้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทำให้ภาควิชาธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยมาลายา ปฎิเสธรายงานดังกล่าว โดยระบุว่าไม่มีนักธรณีวิทยาคนดังกล่าวทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย รศ.ดร.เมียร์ ฮาคิฟ อามีร์ ฮัสซัน หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา ยืนยันว่าไม่มีนักธรณีวิทยาชื่อซาราห์ จามาล คนใดที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการธรณีวิทยามาเลเซีย เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้อิงตามข้อเท็จจริงและเป็นเท็จ ภาควิชากำลังใช้ความระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์หลุมยุบที่ถนนมัสยิดอินเดีย เนื่องจากการค้นหาผู้สูญหายและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินต่อไป #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews
  • #ก็ไม่เข้าใจคนที่มีสถานะเป็นพ่อที่ชื่อทักษิณ
    1. ดึงลูกสาวเป็นด่านหน้าทั้งๆที่รู้ว่าอยู่ท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรด
    2. ลูกเองก็ถูกปรามาทว่าเป็นแค่ร่างทรงของทักษิณเอง แต่ทักษิณก็ไม่เคยเซฟลูก ออกมาฝอย ออกมาพร่าม ออกมากร่างว่าตัวเองคุมอยู่ทั้งหมด
    3. อิ๊งถูกเบรคไปลงพื้นที่ที่เป็นผปสภ จนต้องออกมาอธิบายว่าตัวเองทำอะไรไมไ่ด้มาก เพราะตอนนี้ยังไม่ได้เป็นนายกอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเอางบส่วนตัวที่มีมหาศาลไปช่วยก่อนก็ได้ ทำให้ลูกสาวเสียคะแนนนิยมอย่างมาก
    4. ลูกสาวไปช่วยประชาชนไม่ได้ เพราะพ่อห้าม แต่ตัวเองกลับมีกำหนดการณ์ไปเชียงราย หวังได้รับคะแนนนิยม ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
    นี่คือข้อเท็จจริง ที่แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง ก็ลองใช้การวิเคราะห์ดูเองว่า
    ทักษิณ เป็นคนแบบไหนกันแน่นะครับนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ก็ไม่เข้าใจคนที่มีสถานะเป็นพ่อที่ชื่อทักษิณ 1. ดึงลูกสาวเป็นด่านหน้าทั้งๆที่รู้ว่าอยู่ท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรด 2. ลูกเองก็ถูกปรามาทว่าเป็นแค่ร่างทรงของทักษิณเอง แต่ทักษิณก็ไม่เคยเซฟลูก ออกมาฝอย ออกมาพร่าม ออกมากร่างว่าตัวเองคุมอยู่ทั้งหมด 3. อิ๊งถูกเบรคไปลงพื้นที่ที่เป็นผปสภ จนต้องออกมาอธิบายว่าตัวเองทำอะไรไมไ่ด้มาก เพราะตอนนี้ยังไม่ได้เป็นนายกอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเอางบส่วนตัวที่มีมหาศาลไปช่วยก่อนก็ได้ ทำให้ลูกสาวเสียคะแนนนิยมอย่างมาก 4. ลูกสาวไปช่วยประชาชนไม่ได้ เพราะพ่อห้าม แต่ตัวเองกลับมีกำหนดการณ์ไปเชียงราย หวังได้รับคะแนนนิยม ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นี่คือข้อเท็จจริง ที่แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง ก็ลองใช้การวิเคราะห์ดูเองว่า ทักษิณ เป็นคนแบบไหนกันแน่นะครับนะ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567

    “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน

    ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว)

    แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม

    แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้

    หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ

    อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว

    ผลเป็นไงคงพอจำกันได้

    บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที

    อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้

    แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ

    ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร

    ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ

    แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ

    ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน

    สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้

    ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน

    ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ

    สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ

    ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป

    แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป

    นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย

    ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน

    แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก

    ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า

    วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้

    อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ

    งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้

    นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที

    ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว

    ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ

    อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน

    เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้

    ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว

    เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ

    การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว

    จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ

    ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง

    เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท

    รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท

    นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท

    อันนี้น่าสนใจ

    ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป

    แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต

    เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ

    แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้

    แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที

    แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

    ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน

    พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้

    แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น

    แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย

    เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย

    ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต

    แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย

    พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่

    เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก

    แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที

    การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ


    ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้

    การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน

    ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย

    สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ

    งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ

    บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง

    ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย


    วีระ ธีรภัทร
    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567”

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E

    Thaitimes
    รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567 “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว) แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้ หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว ผลเป็นไงคงพอจำกันได้ บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้ ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้ อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้ ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท อันนี้น่าสนใจ ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้ แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่ เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย วีระ ธีรภัทร วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567” ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 619 Views 0 Reviews
  • หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง

    โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ

    สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว

    ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้

    ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม

    จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" [1] ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย

    โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)

    ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า

    อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย

    จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว

    เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป

    ที่มา : [1] https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf

    [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html

    #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" [1] ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป ที่มา : [1] https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    Sad
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 428 Views 0 Reviews
  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

    จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากคุณทักษิณ ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ด้านบทบาทที่คุณทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

    ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.75 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.99 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

    ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.75 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.83 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.22 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.16 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

    ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.34 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.83 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 6.79 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.53 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

    ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.74 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.54 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 14.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.54 ไม่ระบุรายได้

    ที่มา : นิด้าโพล

    #Thaitimes
    ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากคุณทักษิณ ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ด้านบทบาทที่คุณทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.75 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.99 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.75 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.83 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.22 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.16 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.34 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.83 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 6.79 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.53 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.74 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.54 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 14.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.54 ไม่ระบุรายได้ ที่มา : นิด้าโพล #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • 3 องค์กรเอกชนสุดมึน หลังต้องคุยกับนายกฯ ถึง 3 คนในรอบ 1 ปีเศษ แต่ปัญหายังคาราคาซัง โดยคนที่ทำเสียเวลาที่สุดคือ พิธา นายกฯ โซเชียล
    #เจ็ดดอกจิก
    #นายกรัฐมนตรี
    #พิธา
    #เศรษฐา
    #แพรทองธาร
    ♣️ 3 องค์กรเอกชนสุดมึน หลังต้องคุยกับนายกฯ ถึง 3 คนในรอบ 1 ปีเศษ แต่ปัญหายังคาราคาซัง โดยคนที่ทำเสียเวลาที่สุดคือ พิธา นายกฯ โซเชียล☺️ #เจ็ดดอกจิก #นายกรัฐมนตรี #พิธา #เศรษฐา #แพรทองธาร
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • Sondhitalk EP 256 : ชะตากรรม ประเทศไทย(Full)
    - นายกรัฐมนตรีฟันน้ำนม
    - สมการการเมืองของ ชินวัตร
    - ฤา “สงครามโลกครั้งที่ 3” จะเกิด
    - ถึงครายักษ์ Google ล้ม ?

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #นายกรัฐมนตรี #อุ๊งอิ๊ง #ทักษิณ #ลุงป้อม #ธรรมนัส #การเมือง #ศักดิ์ศรี #google #ยูเครน
    Sondhitalk EP 256 : ชะตากรรม ประเทศไทย(Full) - นายกรัฐมนตรีฟันน้ำนม - สมการการเมืองของ ชินวัตร - ฤา “สงครามโลกครั้งที่ 3” จะเกิด - ถึงครายักษ์ Google ล้ม ? #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #นายกรัฐมนตรี #อุ๊งอิ๊ง #ทักษิณ #ลุงป้อม #ธรรมนัส #การเมือง #ศักดิ์ศรี #google #ยูเครน
    Like
    Love
    27
    3 Comments 0 Shares 2535 Views 849 1 Reviews
  • ลูกทักษิณและรอยด่างดำ คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊ง

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000077727
    ลูกทักษิณและรอยด่างดำ คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊ง บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000077727
    MGRONLINE.COM
    ลูกทักษิณและรอยด่างดำ คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊ง
    การเป็นนายกรัฐมนตรีของอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเพราะคุณสมบัติสำคัญที่เธอมีอยู่ก็คือ เป็นลูกทักษิณ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • Sondhitalk : ชะตากรรม ประเทศไทย Ep256 (live)
    นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทยจาก “ชินวัตร” ใครคือนายกฯตัวจริง และ อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป?
    https://www.youtube.com/live/JiDYkBssxC4
    Sondhitalk : ชะตากรรม ประเทศไทย Ep256 (live) นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทยจาก “ชินวัตร” ใครคือนายกฯตัวจริง และ อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? https://www.youtube.com/live/JiDYkBssxC4
    Like
    Love
    17
    0 Comments 1 Shares 1583 Views 0 Reviews
  • ยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด คนที่ 31 ของประเทศไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่หลังจากนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นของทั้ง “อุ๊งอิ๊งและครอบครัว” ซึ่งก็ถือเป็นความอำมหิตของพ่อที่จะเดินหน้าทางการเมืองด้วยการผลักลูกออกมาเป็นหุ่นเชิด และต่อจากนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งคงต้องเตรียมตัวเผชิญกับ “นิติสงคราม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ส่วนชะตากรรมประเทศไทยในมือ “นายกรัฐมนตรีฟันน้ำนม” จะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้รอฟัง 9.00 น.

    #สนธิ #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้ม #Sondhi #Sondhitalk #อุ๊งอิ๊ง #เพื่อไทย #ทักษิณ #บิ๊กป้อม #ธรรมนัส
    ยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด คนที่ 31 ของประเทศไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่หลังจากนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นของทั้ง “อุ๊งอิ๊งและครอบครัว” ซึ่งก็ถือเป็นความอำมหิตของพ่อที่จะเดินหน้าทางการเมืองด้วยการผลักลูกออกมาเป็นหุ่นเชิด และต่อจากนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งคงต้องเตรียมตัวเผชิญกับ “นิติสงคราม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนชะตากรรมประเทศไทยในมือ “นายกรัฐมนตรีฟันน้ำนม” จะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้รอฟัง 9.00 น. #สนธิ #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้ม #Sondhi #Sondhitalk #อุ๊งอิ๊ง #เพื่อไทย #ทักษิณ #บิ๊กป้อม #ธรรมนัส
    Like
    Sad
    Angry
    11
    0 Comments 0 Shares 2116 Views 0 Reviews
  • สถานการณ์พลิกอีก “บิ๊กป้อม” กลับลำออกแถลงการณ์หวานเจี๊ยบ ส่ง 4 ชื่อ รมต.เดิมยุค ”เศรษฐา" ร่วมรัฐบาล "อุ๊งอิ๊ง" ให้ตรวจคุณสมบัติแล้ว ลั่น พปชร.มี 40 ที่นั่ง
    .
    วันนี้(21 ส.ค.) พรรคพลังประชารัฐ ออกแถลงการณ์ ใจความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้นั้น พรรคพลังประชารัฐ ขอเรียนชี้แจงต่อสมาชิกพรรค พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อทราบ ดังนี้
    .
    ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดตั้งแต่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐได้มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทยโดยได้มีการแถลงข่าวร่วมกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชารัฐได้ลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
    .
    ซึ่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ส่งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรค จำนวน 4 ท่าน ไปให้นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผ่านนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและบุคคลใดๆ (เป็นบุคคลและตำแหน่งเดิมในสมัยรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมา) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติตามกระบวนการต่อไป
    .
    ปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐยังคงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 40 ท่าน ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ และพี่น้อง ประชาชนต่อไป
    สถานการณ์พลิกอีก “บิ๊กป้อม” กลับลำออกแถลงการณ์หวานเจี๊ยบ ส่ง 4 ชื่อ รมต.เดิมยุค ”เศรษฐา" ร่วมรัฐบาล "อุ๊งอิ๊ง" ให้ตรวจคุณสมบัติแล้ว ลั่น พปชร.มี 40 ที่นั่ง . วันนี้(21 ส.ค.) พรรคพลังประชารัฐ ออกแถลงการณ์ ใจความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้นั้น พรรคพลังประชารัฐ ขอเรียนชี้แจงต่อสมาชิกพรรค พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อทราบ ดังนี้ . ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดตั้งแต่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐได้มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทยโดยได้มีการแถลงข่าวร่วมกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชารัฐได้ลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี . ซึ่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ส่งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรค จำนวน 4 ท่าน ไปให้นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผ่านนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและบุคคลใดๆ (เป็นบุคคลและตำแหน่งเดิมในสมัยรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมา) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติตามกระบวนการต่อไป . ปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐยังคงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 40 ท่าน ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ และพี่น้อง ประชาชนต่อไป
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1227 Views 0 Reviews
  • อินเดียไม่เชิญจีน-ปากีสถานประเทศเข้าร่วมร่วมประชุมสุดยอด "Voice of the Global South" ครั้งที่ 3 ซึ่งมี 123 ประเทศเข้าร่วม แม้อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน เหตุความสัมพันธ์ตึงเครียด

    อินเดียจัดการประชุมสุดยอด "Voice of the Global South" ครั้งที่ 3 มี 123 ประเทศเข้าร่วม แต่ไม่ได้เชิญเพื่อนบ้านอย่างจีนและปากีสถานเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด โดยในงานนายกฯ โมดี เสนอ "ข้อตกลงการพัฒนาระดับโลก" เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาบรรลุการเติบโตที่สมดุล ไม่ทำให้ประเทศจนตกอยู่ภายใต้หนี้สินจากการกู้เงิน ขณะที่ประเด็นสำคัญที่หารือคือการปฏิรูปสถาบันธรรมาภิบาลโลก รวมถึงสหประชาชาติ ซึ่งอินเดียกดดันให้ได้เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง แต่ถูกจีนคัดค้าน ด้านปัญหาด้านอาหาร สุขภาพ พลังงาน และการเข้าถึงทรัพยากร ก็เป็นประเด็นหลักในการหารือเช่นกัน

    20 สิงหาคม 2567 : รายงานข่าว imctnews ระบุว่า สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย บอกกับสื่อว่า นิวเดลีไม่ได้เชิญประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและปากีสถานเข้าร่วมการประชุมสุดยอด Voice of the Global South เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

    การประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำรงตำแหน่งประธานของG20 ของอินเดียเมื่อปีที่แล้ว มีชาติเข้าร่วม 123 ชาติ งานดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับประเทศต่างๆ ในโลกใต้เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวลที่มีร่วมกันและค้นหาแนวทางแก้ไข

    ในระหว่างการบรรยายสรุปกับสื่อมวลชน ชัยศังกระ ยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ว่าเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดของอินเดีย จีนและปากีสถานไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในกิจกรรมประชุมเสมือนจริง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกใต้ก็ตาม

    นิวเดลีมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับทั้งสองประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

    ความตึงเครียดของอินเดียกับจีนเพิ่มสูงขึ้นในปี 2020 เมื่อทั้งสองประเทศปะทะกันที่ภูมิภาคหุบเขากัลวาน ซึ่งเป็นข้อพิพาท ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้เสียชีวิต แม้ว่าการเจรจาเพื่อขจัดความแตกต่างยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แต่ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความเต็มใจที่จะแก้ไขข้อพิพาทในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

    ปัญหาของนิวเดลีกับอิสลามาบัดส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการอ้างสิทธิ์ในแคชเมียร์ ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เพื่อนบ้านทั้งสองได้ต่อสู้กับสงครามหลายครั้งในภูมิภาคนี้ แม้จะตกลงหยุดยิงในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 แต่การปะทะประปรายยังคงดำเนินต่อไป นิวเดลียังกล่าวหาอิสลามาบัดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเป็น “การก่อการร้ายข้ามพรมแดน”

    ในงานประชุมผ่านออนไลน์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย Narendra Modi เสนอ "ข้อตกลงการพัฒนาระดับโลก" เพื่อช่วยเหลือประเทศทางใต้ทั่วโลกในการบรรลุการเติบโตที่สมดุลและครอบคลุมโดยใช้ประสบการณ์ของอินเดียในการพัฒนา เขากล่าวว่ากลไกใหม่นี้จะไม่ “บดขยี้ประเทศที่ยากจนภายใต้หนี้ในนามของการเงินเพื่อการพัฒนา”

    ประเด็นสำคัญที่ได้รับการหารือในการประชุมสุดยอด Voice of the Global South ได้แก่ การปฏิรูปสถาบันธรรมาภิบาลระดับโลก รวมถึงสหประชาชาติ

    สุพรหมณยัม ชัยศังกระ กล่าวว่า “มีความเห็นเป็นเอกฉันท์” ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาว่าการเปลี่ยนแปลงในองค์กรโลก “ล่าช้าไปมาก” อินเดียกดดันมานานแล้วให้สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอการเป็นสมาชิกของสภาถูกคัดค้านโดยปักกิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของสภา

    ปัญหาด้านอาหาร สุขภาพ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงทรัพยากรคือปัญหาหลักบางส่วนที่มีการพูดคุยกันในการประชุมสุดยอดเสมือนจริง

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/R1nZGttqwXHBFiEt/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    อินเดียไม่เชิญจีน-ปากีสถานประเทศเข้าร่วมร่วมประชุมสุดยอด "Voice of the Global South" ครั้งที่ 3 ซึ่งมี 123 ประเทศเข้าร่วม แม้อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน เหตุความสัมพันธ์ตึงเครียด อินเดียจัดการประชุมสุดยอด "Voice of the Global South" ครั้งที่ 3 มี 123 ประเทศเข้าร่วม แต่ไม่ได้เชิญเพื่อนบ้านอย่างจีนและปากีสถานเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด โดยในงานนายกฯ โมดี เสนอ "ข้อตกลงการพัฒนาระดับโลก" เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาบรรลุการเติบโตที่สมดุล ไม่ทำให้ประเทศจนตกอยู่ภายใต้หนี้สินจากการกู้เงิน ขณะที่ประเด็นสำคัญที่หารือคือการปฏิรูปสถาบันธรรมาภิบาลโลก รวมถึงสหประชาชาติ ซึ่งอินเดียกดดันให้ได้เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง แต่ถูกจีนคัดค้าน ด้านปัญหาด้านอาหาร สุขภาพ พลังงาน และการเข้าถึงทรัพยากร ก็เป็นประเด็นหลักในการหารือเช่นกัน 20 สิงหาคม 2567 : รายงานข่าว imctnews ระบุว่า สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย บอกกับสื่อว่า นิวเดลีไม่ได้เชิญประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและปากีสถานเข้าร่วมการประชุมสุดยอด Voice of the Global South เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา การประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำรงตำแหน่งประธานของG20 ของอินเดียเมื่อปีที่แล้ว มีชาติเข้าร่วม 123 ชาติ งานดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับประเทศต่างๆ ในโลกใต้เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวลที่มีร่วมกันและค้นหาแนวทางแก้ไข ในระหว่างการบรรยายสรุปกับสื่อมวลชน ชัยศังกระ ยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ว่าเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดของอินเดีย จีนและปากีสถานไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในกิจกรรมประชุมเสมือนจริง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกใต้ก็ตาม นิวเดลีมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับทั้งสองประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ความตึงเครียดของอินเดียกับจีนเพิ่มสูงขึ้นในปี 2020 เมื่อทั้งสองประเทศปะทะกันที่ภูมิภาคหุบเขากัลวาน ซึ่งเป็นข้อพิพาท ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้เสียชีวิต แม้ว่าการเจรจาเพื่อขจัดความแตกต่างยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แต่ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความเต็มใจที่จะแก้ไขข้อพิพาทในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปัญหาของนิวเดลีกับอิสลามาบัดส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการอ้างสิทธิ์ในแคชเมียร์ ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เพื่อนบ้านทั้งสองได้ต่อสู้กับสงครามหลายครั้งในภูมิภาคนี้ แม้จะตกลงหยุดยิงในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 แต่การปะทะประปรายยังคงดำเนินต่อไป นิวเดลียังกล่าวหาอิสลามาบัดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเป็น “การก่อการร้ายข้ามพรมแดน” ในงานประชุมผ่านออนไลน์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย Narendra Modi เสนอ "ข้อตกลงการพัฒนาระดับโลก" เพื่อช่วยเหลือประเทศทางใต้ทั่วโลกในการบรรลุการเติบโตที่สมดุลและครอบคลุมโดยใช้ประสบการณ์ของอินเดียในการพัฒนา เขากล่าวว่ากลไกใหม่นี้จะไม่ “บดขยี้ประเทศที่ยากจนภายใต้หนี้ในนามของการเงินเพื่อการพัฒนา” ประเด็นสำคัญที่ได้รับการหารือในการประชุมสุดยอด Voice of the Global South ได้แก่ การปฏิรูปสถาบันธรรมาภิบาลระดับโลก รวมถึงสหประชาชาติ สุพรหมณยัม ชัยศังกระ กล่าวว่า “มีความเห็นเป็นเอกฉันท์” ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาว่าการเปลี่ยนแปลงในองค์กรโลก “ล่าช้าไปมาก” อินเดียกดดันมานานแล้วให้สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอการเป็นสมาชิกของสภาถูกคัดค้านโดยปักกิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสมาชิกถาวรของสภา ปัญหาด้านอาหาร สุขภาพ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงทรัพยากรคือปัญหาหลักบางส่วนที่มีการพูดคุยกันในการประชุมสุดยอดเสมือนจริง ที่มา https://www.facebook.com/share/p/R1nZGttqwXHBFiEt/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • หลังจากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงเปิดโหวต
    ระหว่าง เท้งเต้ง อิ๊ง และโอ๊ค
    ผลโหวตถล่มทลาย ชาวเน็ตอยากให้โอ๊ค
    พานทองแพ้ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31
    มากกว่าอิ๊ง แบบเอกฉันท์
    ส่วนใหญ่ เชื่อว่าถ้าได้โอ๊คมาเป็นนายก
    รัฐบาลจะมีแต่ความสนุกสนาน ครื้นเครง
    ประชาชนจะรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
    ก็ถือว่าเกินความคาดหมายจริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    หลังจากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงเปิดโหวต ระหว่าง เท้งเต้ง อิ๊ง และโอ๊ค ผลโหวตถล่มทลาย ชาวเน็ตอยากให้โอ๊ค พานทองแพ้ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 มากกว่าอิ๊ง แบบเอกฉันท์ ส่วนใหญ่ เชื่อว่าถ้าได้โอ๊คมาเป็นนายก รัฐบาลจะมีแต่ความสนุกสนาน ครื้นเครง ประชาชนจะรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ก็ถือว่าเกินความคาดหมายจริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • ต้องให้ความยุติธรรม
    การที่พรรคส้มไปหาเสียงเลือกอบจ.ที่ราชบุรี
    แล้วเอ่ยประโยคที่ว่า ราชบุรี มีแต่โรงเรียนห่วยๆ
    จริงๆแล้วไม่ได้ด้อยค่าโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย
    แต่พรรคส้ม ด้อยค่าคนราชบุรีว่าเป็นคนง่าว
    เพราะประชาชนราชบุรีแทบทุกคน
    ต่างก็จบจากโรงเรียนภายในจังหวัดแทบทั้งนั้น
    ถ้าโรงเรียนห่วย ก็แปลว่าครูก็ห่วย
    เพราะ "โรงเรียนไม่ได้หมายถึงตัวอาคาร"
    ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้คือ
    ครูทุกคนที่สอนในจังหวัดราชบุรี มหาวิทยาลัย
    ก็ห่วยทั้งหมด ทำให้ประชาชนในจังหวัดราชบุรี
    ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไร้ศักยภาพ
    กลายเป็นคนราชบุรี เป็นพวกต่ำตมไปซะอย่างนั้น
    และประโยคนี้ก็ยังรวมไปถึงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่เรียนโรงเรียนด้อยคุณภาพ
    โรงเรียนห่วยๆ จึงถ่ายทอดพันธุกรรมห่วยๆมาถึงปัจจุบัน
    ดังนั้น คิงส์ฯขออธิบายเพื่อให้ความยุติธรรมกับพรรคส้ม
    ที่กำลังไปหาเสียงที่ราชบุรี
    สรุปคือ คนราชบุรีที่ไปเชียร์คือคนง่าวและต่ำตม
    ทั้งหมดที่ไปฟัง และชาวราชบุรีทั้งหมดที่ไม่ได้ไปฟัง
    ในมุมมองของพรรคส้มคิดเห็นแบบนี้ก็แค่นั้นเอง
    ซึ่งเพจคิงส์โพธิ์แดงถือว่าเป็นมุมมองที่ไม่ดีเลย
    สำหรับคนที่เคยฝันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี
    ว่าวว่ามาแบบนี้ แล้วด้อมส้มสามกีบราชรีว่าไง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ต้องให้ความยุติธรรม การที่พรรคส้มไปหาเสียงเลือกอบจ.ที่ราชบุรี แล้วเอ่ยประโยคที่ว่า ราชบุรี มีแต่โรงเรียนห่วยๆ จริงๆแล้วไม่ได้ด้อยค่าโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย แต่พรรคส้ม ด้อยค่าคนราชบุรีว่าเป็นคนง่าว เพราะประชาชนราชบุรีแทบทุกคน ต่างก็จบจากโรงเรียนภายในจังหวัดแทบทั้งนั้น ถ้าโรงเรียนห่วย ก็แปลว่าครูก็ห่วย เพราะ "โรงเรียนไม่ได้หมายถึงตัวอาคาร" ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้คือ ครูทุกคนที่สอนในจังหวัดราชบุรี มหาวิทยาลัย ก็ห่วยทั้งหมด ทำให้ประชาชนในจังหวัดราชบุรี ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไร้ศักยภาพ กลายเป็นคนราชบุรี เป็นพวกต่ำตมไปซะอย่างนั้น และประโยคนี้ก็ยังรวมไปถึงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่เรียนโรงเรียนด้อยคุณภาพ โรงเรียนห่วยๆ จึงถ่ายทอดพันธุกรรมห่วยๆมาถึงปัจจุบัน ดังนั้น คิงส์ฯขออธิบายเพื่อให้ความยุติธรรมกับพรรคส้ม ที่กำลังไปหาเสียงที่ราชบุรี สรุปคือ คนราชบุรีที่ไปเชียร์คือคนง่าวและต่ำตม ทั้งหมดที่ไปฟัง และชาวราชบุรีทั้งหมดที่ไม่ได้ไปฟัง ในมุมมองของพรรคส้มคิดเห็นแบบนี้ก็แค่นั้นเอง ซึ่งเพจคิงส์โพธิ์แดงถือว่าเป็นมุมมองที่ไม่ดีเลย สำหรับคนที่เคยฝันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าวว่ามาแบบนี้ แล้วด้อมส้มสามกีบราชรีว่าไง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • บิ๊กป้อมวุฒิภาวะต่ำ โปรดรับผิดชอบด้วย

    เหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างสื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า พล.อ.ประวิตร ใช้มือตบศีรษะ ดวงทิพย์ เยี่ยมภพ ผู้สื่อข่าวสายทหาร สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมกล่าวว่า "ถามไร...ถามไร" ก่อนขึ้นรถยนต์

    พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า "ถามอะไรก็ไม่ได้ยิน แล้วยังจะถามอีก" และเมื่อถามถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับโหวตเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตอบว่า "วู้...ถามอะไรวะ" ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย (บ้านอัมพวัน) เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ส.ค.)

    ทันทีที่วีดีโอคลิปจากผู้สื่อข่าวภาคสนามเป็นไวรัล บรรดาเพื่อนสื่อมวลชนต่างแสดงความไม่พอใจถึงวุฒิภาวะของ พล.อ.ประวิตร หรือ บิ๊กป้อม อดีตนายทหารและนักการเมืองวัย 79 ปีผู้นี้ พร้อมตั้งคำถามถึงการกระทำดังกล่าวว่า มีสิทธิ์อะไรมาตีผู้สื่อข่าวแบบนี้ ทั้งที่สิ่งที่นักข่าวถามไม่ได้ล่วงเกิน หรือรุนแรงอะไร

    ทันใดนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลพฤติกรรมคุกคามสื่อ เรียกร้องให้เกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่าย ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน จึงขอให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว

    "ขณะเดียวกัน ขอเตือนไปยังบุคคลใดก็ตามพึงระมัดระวังการใช้อารมณ์รุนแรงชั่ววูบอันอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ และขอให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมคุกคามเหล่านี้ สิ่งสำคัญควรให้เกียรติผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวิชาชีพ รวมถึงเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกันด้วย" แถลงการณ์สมาคมนักข่าวฯ ระบุ

    ด้านองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว

    "การตั้งคำถามด้วยถ้อยคำ และท่าทีสุภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกสัมภาษณ์ ดังปรากฎในคลิปวีดีโอ ที่ถูกเผยแพร่เป็นที่ประจักษ์นั้น ชัดเจนว่า เป็นการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวโดยสุจริต การถูกกระทำทางกายจากแหล่งข่าวเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นพฤติกรรมที่ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกปลอดภัยของผู้สื่อข่าว-ช่างภาพ ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันด้วย" แถลงการณ์ไทยพีบีเอส ระบุ

    ไทยพีบีเอส เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการคุกคามผู้สื่อข่าวครั้งนี้ และขอให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ ร่วมหามาตรการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสื่อมวลชนต่อไป

    มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้ให้นายทหารคนสนิท อย่าง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม โทรศัพท์สายตรงมาถึงผู้สื่อข่าว อ้างว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นได้ส่งสายโทรศัพท์ให้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย เพราะปกติแล้วตนเองก็ได้พูดล้อเล่น และแหย่เล่นกับผู้สื่อข่าวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นประจำอยู่แล้ว

    แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความโกรธแค้นของคนที่รับรู้เรื่องราว ต่างเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด

    #Newskit #ประวิตร #คุกคามสื่อ
    บิ๊กป้อมวุฒิภาวะต่ำ โปรดรับผิดชอบด้วย เหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างสื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า พล.อ.ประวิตร ใช้มือตบศีรษะ ดวงทิพย์ เยี่ยมภพ ผู้สื่อข่าวสายทหาร สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมกล่าวว่า "ถามไร...ถามไร" ก่อนขึ้นรถยนต์ พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า "ถามอะไรก็ไม่ได้ยิน แล้วยังจะถามอีก" และเมื่อถามถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับโหวตเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตอบว่า "วู้...ถามอะไรวะ" ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย (บ้านอัมพวัน) เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ส.ค.) ทันทีที่วีดีโอคลิปจากผู้สื่อข่าวภาคสนามเป็นไวรัล บรรดาเพื่อนสื่อมวลชนต่างแสดงความไม่พอใจถึงวุฒิภาวะของ พล.อ.ประวิตร หรือ บิ๊กป้อม อดีตนายทหารและนักการเมืองวัย 79 ปีผู้นี้ พร้อมตั้งคำถามถึงการกระทำดังกล่าวว่า มีสิทธิ์อะไรมาตีผู้สื่อข่าวแบบนี้ ทั้งที่สิ่งที่นักข่าวถามไม่ได้ล่วงเกิน หรือรุนแรงอะไร ทันใดนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลพฤติกรรมคุกคามสื่อ เรียกร้องให้เกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่าย ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน จึงขอให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว "ขณะเดียวกัน ขอเตือนไปยังบุคคลใดก็ตามพึงระมัดระวังการใช้อารมณ์รุนแรงชั่ววูบอันอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ และขอให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมคุกคามเหล่านี้ สิ่งสำคัญควรให้เกียรติผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวิชาชีพ รวมถึงเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกันด้วย" แถลงการณ์สมาคมนักข่าวฯ ระบุ ด้านองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว "การตั้งคำถามด้วยถ้อยคำ และท่าทีสุภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกสัมภาษณ์ ดังปรากฎในคลิปวีดีโอ ที่ถูกเผยแพร่เป็นที่ประจักษ์นั้น ชัดเจนว่า เป็นการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวโดยสุจริต การถูกกระทำทางกายจากแหล่งข่าวเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นพฤติกรรมที่ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกปลอดภัยของผู้สื่อข่าว-ช่างภาพ ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันด้วย" แถลงการณ์ไทยพีบีเอส ระบุ ไทยพีบีเอส เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการคุกคามผู้สื่อข่าวครั้งนี้ และขอให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ ร่วมหามาตรการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสื่อมวลชนต่อไป มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้ให้นายทหารคนสนิท อย่าง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม โทรศัพท์สายตรงมาถึงผู้สื่อข่าว อ้างว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นได้ส่งสายโทรศัพท์ให้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย เพราะปกติแล้วตนเองก็ได้พูดล้อเล่น และแหย่เล่นกับผู้สื่อข่าวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความโกรธแค้นของคนที่รับรู้เรื่องราว ต่างเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด #Newskit #ประวิตร #คุกคามสื่อ
    Sad
    Angry
    2
    0 Comments 0 Shares 472 Views 0 Reviews
  • โฆษก กต.จีน ให้ความเห็นกรณี "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับเลือกเป็นนายกไทยคนใหม่
    .
    วันนี้ (16 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตอบคำถามนักข่าวกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คนที่ 31 ของไทย โดยระบุว่า ฝ่ายจีนขอแสดงความยินดีกับ น.ส.แพทองธารที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย และเชื่อว่าประชาชนชาวไทยจะบรรลุผลสำเร็จใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น บนเส้นทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของประเทศ
    .
    อ่าน >> https://mgronline.com/china/detail/9670000075600
    โฆษก กต.จีน ให้ความเห็นกรณี "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับเลือกเป็นนายกไทยคนใหม่ . วันนี้ (16 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตอบคำถามนักข่าวกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คนที่ 31 ของไทย โดยระบุว่า ฝ่ายจีนขอแสดงความยินดีกับ น.ส.แพทองธารที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย และเชื่อว่าประชาชนชาวไทยจะบรรลุผลสำเร็จใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น บนเส้นทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของประเทศ . อ่าน >> https://mgronline.com/china/detail/9670000075600
    MGRONLINE.COM
    โฆษก กต.จีน ให้ความเห็นกรณี "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับเลือกเป็นนายกไทยคนใหม่
    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนตอบคำถามนักข่าว แสดงความยินดี แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นผู้นำคนใหม่ของไทย เชื่อสัมพันธ์สองชาติจะเข้มแข็งและลึกซึ้งมากขึ้นต่อเนื่อง
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • #นายกรัฐมนตรีคนที่31
    เห็นชอบ 319
    ไม่เห็นชอบ 145
    งดออกเสียง 27
    ไม่แสดงตน 2
    #นายกรัฐมนตรีคนที่31 เห็นชอบ 319 ไม่เห็นชอบ 145 งดออกเสียง 27 ไม่แสดงตน 2
    Sad
    Like
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 1319 Views 0 Reviews
  • อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

    ในที่สุด อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อายุ 38 ปี กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ นับเป็นคนที่ 4 ในตระกูลชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 และเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

    เดิมจากการตกลงระหว่างนายทักษิณ กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในบัญชีแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่านายชัยเกษมมีแผลขึ้นมา ทั้งกรณีถูกวิจารณ์ว่าสมัยเป็นอัยการสูงสุด เป็นยุคที่เคยสั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ชื่นบาน ในคดีถุงขนม 2 ล้าน อีกทั้งยังเคยมีกรณีที่นายชัยเกษมเคยเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่พรรคร่วมไม่เห็นด้วย

    ขณะที่ สส.พรรคเพื่อไทย สนับสนุนอุ๊งอิ๊งเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาอุ๊งอิ๊งลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ และผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ว่า จะให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ภายหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะกลายเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ตาม อีกทั้งสังคมเห็นภาพเด่นชัดว่าอุ๊งอิ๊งเป็นตัวแทนของนายทักษิณ คนที่เลือกอุ๊งอิ๊งก็เท่ากับเลือกทักษิณ

    หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว อุ๊งอิ๊งและนายทักษิณมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ไม่เกิดแรงกระเพื่อมในพรรค

    นอกจากนี้ ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี อุ๊งอิ๊งเป็นคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ มีพละกำลังเหลือเฟือ คิดอ่านบริหารเหลือเฟือ อยู่ในวัยที่กำลังเหมาะเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายชัยเกษม สส.ส่วนหนึ่งเห็นว่ายังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และในอดีตนายชัยเกษมเคยพูดถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เกรงว่าจะทำให้เป็นปัญหาตามมาได้

    น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สำหรับการสนับสนุนนี้ ตนจะทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราทุกคนชื่นชมการทำงานของนายเศรษฐา เสียดายที่จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างที่เราไม่ได้คาดฝันไว้ แต่ประเทศต้องไปต่อ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล วันนี้เรามีความพร้อมที่จะผลักดันประเทศต่อ ตนมั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ที่จะช่วยกันนำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ

    สำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2529 เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มีพี่น้องร่วมกัน คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ จบการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท Msc International Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ สหราชอาณาจักร

    ประสบการณ์ทำงาน เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจโรงแรมและสนามกอล์ฟ บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ อาทิ โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่, สนามกอล์ฟอัลไพน์, โรงแรมเอสซี ปาร์ค ส่วนในทางการเมือง เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย

    #Newskit #แพทองธาร #นายกรัฐมนตรี
    อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในที่สุด อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อายุ 38 ปี กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ นับเป็นคนที่ 4 ในตระกูลชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 และเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เดิมจากการตกลงระหว่างนายทักษิณ กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในบัญชีแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่านายชัยเกษมมีแผลขึ้นมา ทั้งกรณีถูกวิจารณ์ว่าสมัยเป็นอัยการสูงสุด เป็นยุคที่เคยสั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ชื่นบาน ในคดีถุงขนม 2 ล้าน อีกทั้งยังเคยมีกรณีที่นายชัยเกษมเคยเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่พรรคร่วมไม่เห็นด้วย ขณะที่ สส.พรรคเพื่อไทย สนับสนุนอุ๊งอิ๊งเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาอุ๊งอิ๊งลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ และผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ว่า จะให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ภายหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะกลายเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ตาม อีกทั้งสังคมเห็นภาพเด่นชัดว่าอุ๊งอิ๊งเป็นตัวแทนของนายทักษิณ คนที่เลือกอุ๊งอิ๊งก็เท่ากับเลือกทักษิณ หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว อุ๊งอิ๊งและนายทักษิณมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ไม่เกิดแรงกระเพื่อมในพรรค นอกจากนี้ ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี อุ๊งอิ๊งเป็นคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ มีพละกำลังเหลือเฟือ คิดอ่านบริหารเหลือเฟือ อยู่ในวัยที่กำลังเหมาะเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายชัยเกษม สส.ส่วนหนึ่งเห็นว่ายังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และในอดีตนายชัยเกษมเคยพูดถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เกรงว่าจะทำให้เป็นปัญหาตามมาได้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สำหรับการสนับสนุนนี้ ตนจะทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราทุกคนชื่นชมการทำงานของนายเศรษฐา เสียดายที่จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างที่เราไม่ได้คาดฝันไว้ แต่ประเทศต้องไปต่อ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล วันนี้เรามีความพร้อมที่จะผลักดันประเทศต่อ ตนมั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ที่จะช่วยกันนำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2529 เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มีพี่น้องร่วมกัน คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ จบการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท Msc International Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ สหราชอาณาจักร ประสบการณ์ทำงาน เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจโรงแรมและสนามกอล์ฟ บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ อาทิ โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่, สนามกอล์ฟอัลไพน์, โรงแรมเอสซี ปาร์ค ส่วนในทางการเมือง เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย #Newskit #แพทองธาร #นายกรัฐมนตรี
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 512 Views 0 Reviews
  • โปรดเกล้าฯ ให้ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ออกจากราชการไว้ก่อน อยู่ในกระบวนการรอตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มารับสนองพระบรมราชโองการ

    15 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวNews1ระบุว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อน ส่งมาที่สำนักงานนายกรัฐมนตรี เพื่อรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รับสนองพระบรมราชโองการ

    สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/ 2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 กรณีต้องคดีอาญา เกี่ยวเนื่องกับเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ในข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน

    ต่อมา วันที่ 26 มิ.ย. 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 เห็นว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องแล้ว ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยื่นอุทธรณ์ ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.

    กระทั่ง วันที่ 5 ส.ค. 2567 ก.พ.ค.ตร. มีมติว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 เป็นคำสั่งที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กฎหมาย และ กฎ ก.ตร. กำหนด และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่เหมาะสม จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

    จากนั้นจึงเป็นกระบวนการนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน

    #Thaitimes
    โปรดเกล้าฯ ให้ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ออกจากราชการไว้ก่อน อยู่ในกระบวนการรอตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มารับสนองพระบรมราชโองการ 15 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวNews1ระบุว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อน ส่งมาที่สำนักงานนายกรัฐมนตรี เพื่อรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รับสนองพระบรมราชโองการ สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/ 2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 กรณีต้องคดีอาญา เกี่ยวเนื่องกับเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ในข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ต่อมา วันที่ 26 มิ.ย. 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 เห็นว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องแล้ว ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยื่นอุทธรณ์ ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. กระทั่ง วันที่ 5 ส.ค. 2567 ก.พ.ค.ตร. มีมติว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 เป็นคำสั่งที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กฎหมาย และ กฎ ก.ตร. กำหนด และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่เหมาะสม จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จากนั้นจึงเป็นกระบวนการนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน #Thaitimes
    ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โปรดเกล้าฯ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” พ้นตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่ 18 เม.ย. 2567
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000075151

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 466 Views 0 Reviews
  • ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โปรดเกล้าฯ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” พ้นตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่ 18 เม.ย. 2567
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000075151

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โปรดเกล้าฯ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” พ้นตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่ 18 เม.ย. 2567 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000075151 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 1 Shares 1547 Views 0 Reviews
  • ถึงไม่เคยเชียร์เพื่อไทย แต่อดชื่นชมไม่ได้
    กับนายกคนที่ 30 คนนี้ สุภาพ ถ่อมตน มีมารยาท
    แม้เป็นนาทีสุดท้าย ที่เป็นนายกรัฐมนตรี
    เป็นตัวอย่างที่ดีของนักการเมืองไทย
    ต่างจากพวกล้มล้างการปกครอง
    มีแต่เสียงโหยหวน งานหยาบเบ่งบาน
    โทษทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ถึงไม่เคยเชียร์เพื่อไทย แต่อดชื่นชมไม่ได้ กับนายกคนที่ 30 คนนี้ สุภาพ ถ่อมตน มีมารยาท แม้เป็นนาทีสุดท้าย ที่เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นตัวอย่างที่ดีของนักการเมืองไทย ต่างจากพวกล้มล้างการปกครอง มีแต่เสียงโหยหวน งานหยาบเบ่งบาน โทษทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • #เสือกับฝูงหมายังไงก็ต่างกัน
    1 เสือ ถูกหักหลังจากโทนี่ จนถูกถอนจากนายก แต่กลับแสดงออกถึงภาวะผู้นำ ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยความอ่อนน้อม สุภาพ และไม่พาดพิงใคร
    กับ
    1 ฝูงหมา ทำตัวเอง คิดล้มล้างสถาบัน ถูกยุบพรรค ตัดสิทธิ์ ดราม่าน้ำตาท่วมจอ บ้างก็อย่างอิเจี๊ยบอมแรด กรี๊ด แทบชัก แล้วก็โพสแค้นนั่นนี่ โทษนั่นนี่ เหมือนสามกีบ ที่โทษทุกอย่างยกเว้นพรรคตัวเอง
    เสือ กับฝูงหมา อากัปกิริยาจึงต่างกันโดยสิ้นเชิง
    นายกเศรษฐา ลงจากเก้าอี้อย่างเสือที่สง่างาม ต่อให้คนที่ไม่ได้เชียร์ถ้าได้ฟังบทสัมภาษณ์สุดท้ายของการเป็นนายกรัฐมนตรี อดชื่นชมกับคำว่า สุภาพบุรุษของเค้าไม่ได้จริงๆ ยกเว้นแต่สหภาพสามกีบที่ใช้สมองไม่เป็น มองความดีคนอื่นไม่ได้เท่านั้น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เสือกับฝูงหมายังไงก็ต่างกัน 1 เสือ ถูกหักหลังจากโทนี่ จนถูกถอนจากนายก แต่กลับแสดงออกถึงภาวะผู้นำ ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยความอ่อนน้อม สุภาพ และไม่พาดพิงใคร กับ 1 ฝูงหมา ทำตัวเอง คิดล้มล้างสถาบัน ถูกยุบพรรค ตัดสิทธิ์ ดราม่าน้ำตาท่วมจอ บ้างก็อย่างอิเจี๊ยบอมแรด กรี๊ด แทบชัก แล้วก็โพสแค้นนั่นนี่ โทษนั่นนี่ เหมือนสามกีบ ที่โทษทุกอย่างยกเว้นพรรคตัวเอง เสือ กับฝูงหมา อากัปกิริยาจึงต่างกันโดยสิ้นเชิง นายกเศรษฐา ลงจากเก้าอี้อย่างเสือที่สง่างาม ต่อให้คนที่ไม่ได้เชียร์ถ้าได้ฟังบทสัมภาษณ์สุดท้ายของการเป็นนายกรัฐมนตรี อดชื่นชมกับคำว่า สุภาพบุรุษของเค้าไม่ได้จริงๆ ยกเว้นแต่สหภาพสามกีบที่ใช้สมองไม่เป็น มองความดีคนอื่นไม่ได้เท่านั้น #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • สะพัด 'ชัยเกษม' นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

    หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งจําคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ

    นับเป็นการปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่นักการเมือง หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 358 วัน นับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา

    เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปล่อยให้บรรยากาศทางการเมืองตกอยู่ในภาวะสูญญากาศ การหารือระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรี

    ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. 2567 เวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า จำนวน สส.ในสภาปัจจุบันเท่าที่มีและปฏิบัติหน้าที่ได้ มีจำนวน 493 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่งคือ 247 คน หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค

    ปัจจุบันเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล รวม 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากเป็นไปในทิศทางเดียวกันย่อมได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งไม่ยาก เว้นเสียแต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้

    สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ อายุ 75 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอดีตประธาน ก.ล.ต. อดีตอัยการสูงสุด อดีต รมว.ยุติธรรม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย

    ก่อนหน้านี้นายชัยเกษมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยกะทันหันหลังจากลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2566 เมื่อตรวจซีทีสแกนพบว่ามีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สุขภาพกลับมาแข็งแรงแล้ว ที่ผ่านมาก็เข้ามาช่วยทำงานกับพรรคมาโดยตลอด

    #Newskit #ชัยเกษม #นายกรัฐมนตรี
    สะพัด 'ชัยเกษม' นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งจําคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ นับเป็นการปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่นักการเมือง หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 358 วัน นับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปล่อยให้บรรยากาศทางการเมืองตกอยู่ในภาวะสูญญากาศ การหารือระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรี ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. 2567 เวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า จำนวน สส.ในสภาปัจจุบันเท่าที่มีและปฏิบัติหน้าที่ได้ มีจำนวน 493 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่งคือ 247 คน หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ปัจจุบันเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล รวม 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากเป็นไปในทิศทางเดียวกันย่อมได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งไม่ยาก เว้นเสียแต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ อายุ 75 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอดีตประธาน ก.ล.ต. อดีตอัยการสูงสุด อดีต รมว.ยุติธรรม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้นายชัยเกษมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยกะทันหันหลังจากลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2566 เมื่อตรวจซีทีสแกนพบว่ามีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สุขภาพกลับมาแข็งแรงแล้ว ที่ผ่านมาก็เข้ามาช่วยทำงานกับพรรคมาโดยตลอด #Newskit #ชัยเกษม #นายกรัฐมนตรี
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 529 Views 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ วันนี้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนกันยายนนี้ โดยการดำรงตำแหน่ง 3 ปีของคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ปัญหาเศรษฐกิจค่าครองชีพที่สูงขึ้น และงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    14 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ในเดือนกันยายน และจะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่กำลังครองอำนาจอยู่ในเดือนหน้า การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก

    ตลอดเวลา3ปีภายใต้รัฐบาลคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวคอรัปชั่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากชนิดทำลายสถิติเดิมไป

    ผลกระทบจากการตัดสินใจลาออกของนายกฯคิชิดะ จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรคLDPคนใหม่โดยผู้ชนะจะได้รับอนุมัติให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปผ่านรัฐสภาที่พรรค LDP ควบคุมเสียงส่วนใหญ่

    นายกฯญี่ปุ่นคนใหม่ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากคิชิดะ จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้น และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ปลายปี และความกังวลที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศเกี่ยวกับวิกฤตค่าครองชีพของญี่ปุ่น

    ที่มา : https://www.theguardian.com/world/article/2024/aug/14/japan-pm-fumio-kishida-stepping-down-september

    #Thaitimes
    นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ วันนี้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนกันยายนนี้ โดยการดำรงตำแหน่ง 3 ปีของคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ปัญหาเศรษฐกิจค่าครองชีพที่สูงขึ้น และงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน 14 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ในเดือนกันยายน และจะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่กำลังครองอำนาจอยู่ในเดือนหน้า การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ตลอดเวลา3ปีภายใต้รัฐบาลคิชิดะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวคอรัปชั่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการใช้จ่ายด้านความมั่นคงที่สูงมากชนิดทำลายสถิติเดิมไป ผลกระทบจากการตัดสินใจลาออกของนายกฯคิชิดะ จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรคLDPคนใหม่โดยผู้ชนะจะได้รับอนุมัติให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปผ่านรัฐสภาที่พรรค LDP ควบคุมเสียงส่วนใหญ่ นายกฯญี่ปุ่นคนใหม่ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากคิชิดะ จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้น และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ปลายปี และความกังวลที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศเกี่ยวกับวิกฤตค่าครองชีพของญี่ปุ่น ที่มา : https://www.theguardian.com/world/article/2024/aug/14/japan-pm-fumio-kishida-stepping-down-september #Thaitimes
    WWW.THEGUARDIAN.COM
    Japan PM Fumio Kishida announces he will step down in September
    Kishida’s three-year term has been marked by scandal, rising living costs and record defence spending
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
More Results