• โอนเงินให้แม่ >>> ครั้งที่ 209
    วันพฤหัสบดี: แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๗ (19 September 2024)

    ค่าเลี้ยงดูมารดา รายสัปดาห์ จำนวน 1,000 บาท
    นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา
    #ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๖ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    โอนเงินให้แม่ >>> ครั้งที่ 209 วันพฤหัสบดี: แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๗ (19 September 2024) ค่าเลี้ยงดูมารดา รายสัปดาห์ จำนวน 1,000 บาท นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา #ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๖ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • โอนเงินให้แม่ >>> ครั้งที่ 209
    วันพฤหัสบดี: แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๗ (19 September 2024)

    ค่าเลี้ยงดูมารดา รายสัปดาห์ จำนวน 1,000 บาท
    นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา
    #ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๖ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    โอนเงินให้แม่ >>> ครั้งที่ 209 วันพฤหัสบดี: แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๗ (19 September 2024) ค่าเลี้ยงดูมารดา รายสัปดาห์ จำนวน 1,000 บาท นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา #ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๖ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!!

    ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ

    ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย
    แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง

    สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า
    วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้
    รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน

    นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน
    เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin***

    เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน
    ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน
    รวมทั้งที่ยูเครน

    เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด
    และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ
    ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน

    เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า
    หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล
    ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง

    แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น
    ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996)
    แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก
    งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน
    เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา
    หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา”
    กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น
    จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง

    การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ
    อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ
    งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน
    ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน

    แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น……
    ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ
    ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น
    โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
    ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง
    “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ
    ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว
    ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป”
    นักข่าวถามต่อว่า
    “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??”
    “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “

    นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน
    แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007)
    หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997)
    หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997)

    เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ
    เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น

    เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง

    และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์……
    หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง
    ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่
    เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute
    แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย
    และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย

    ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ
    ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย
    นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย
    เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง
    เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น

    และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน

    แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า
    เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน
    ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร
    ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม
    แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
    การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย
    เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO
    จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ
    จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล
    ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา

    ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม
    และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส
    โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน
    หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต
    ประทับตรา ผ่านศุลกากร

    การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย
    แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ
    เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน

    คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า
    ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!!

    ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin
    เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่
    ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก……

    เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
    แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย
    ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.…

    นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน
    เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก
    เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว

    ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ
    หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง
    บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่
    การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง
    และเศรษฐกิจ
    เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ……

    เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน
    ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้
    แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!!
    เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก”

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน
    ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล
    ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ”
    “ดีใจอะไรหรือครับ..?”
    “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ”

    ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย…
    สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน
    ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด
    ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ……
    “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..”
    ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ……
    เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป

    ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า
    “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!!

    ~~~ขยายความ

    Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB
    ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย

    Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft

    ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร
    เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ
    แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง

    Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom
    คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน

    ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น
    เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด………

    แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!! ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้ รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin*** เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน รวมทั้งที่ยูเครน เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996) แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา” กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น…… ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป” นักข่าวถามต่อว่า “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??” “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “ นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007) หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997) หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997) เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์…… หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่ เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต ประทับตรา ผ่านศุลกากร การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!! ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่ ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก…… เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.… นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง และเศรษฐกิจ เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ…… เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้ แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!! เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก” นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ” “ดีใจอะไรหรือครับ..?” “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ” ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย… สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ…… “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..” ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…… เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!! ~~~ขยายความ Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด……… แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 566 Views 0 Reviews
  • เคสมินิฮาร์ดนี้พี่คิงส์ไม่ติดบอกตรงๆ
    ก็น้อนยังเด็ก ถึงไม่ใช่ ดญ.
    แต่รู้ทั้งรู้ว่ายังเยาว์มากทางการเมือง
    น้องก็ด้วยความกตัญญู พ่อให้มาก็มา
    อาจมีติดภาพความเป็นเด็กๆไปบ้าง
    ก็เมตตาและอภัย
    สิ่งที่ต้องโฟกัสคือ สิ่งที่โทนี่คิด
    กับสิ่งที่น้อนกำลังจะทำมันอันเดียวกันหรือเปล่า
    ถ้ามันคืออันเดียวกัน แล้วทำประเทศชาติพัง
    อันนั้น จัดให้หนักไม่ต้องรอ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เคสมินิฮาร์ดนี้พี่คิงส์ไม่ติดบอกตรงๆ ก็น้อนยังเด็ก ถึงไม่ใช่ ดญ. แต่รู้ทั้งรู้ว่ายังเยาว์มากทางการเมือง น้องก็ด้วยความกตัญญู พ่อให้มาก็มา อาจมีติดภาพความเป็นเด็กๆไปบ้าง ก็เมตตาและอภัย สิ่งที่ต้องโฟกัสคือ สิ่งที่โทนี่คิด กับสิ่งที่น้อนกำลังจะทำมันอันเดียวกันหรือเปล่า ถ้ามันคืออันเดียวกัน แล้วทำประเทศชาติพัง อันนั้น จัดให้หนักไม่ต้องรอ #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • #หมายกำหนดการ
    วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 3567
    งานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน
    ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

    วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2567
    งานกาล่าดินเนอร์
    “สสธวท รวมใจเทิดเอกลักษณ์แห่งปัญจมังกร จารึกความกตัญญูต่อแผ่นดิน”

    ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินีสุทิดา
    #หมายกำหนดการ 🗓️วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 3567 งานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 🗓️วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2567 งานกาล่าดินเนอร์ “สสธวท รวมใจเทิดเอกลักษณ์แห่งปัญจมังกร จารึกความกตัญญูต่อแผ่นดิน” ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินีสุทิดา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • Newsstory : หนทางสู่ความสำเร็จ ความกตัญญูของน้องเทนนิส ที่มีต่อโค้ชเช
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #สนธิลิ้มทองกุล #หนทางสู่ความสำเร็จ #ความกตัญญู #น้องเทนนิส #โอลิมปิก2024
    Newsstory : หนทางสู่ความสำเร็จ ความกตัญญูของน้องเทนนิส ที่มีต่อโค้ชเช #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิลิ้มทองกุล #หนทางสู่ความสำเร็จ #ความกตัญญู #น้องเทนนิส #โอลิมปิก2024
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 943 Views 65 0 Reviews
  • #นับจากนี้ไปคนไทยจะตาสว่างเสียที
    ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส ในประเทศไทย
    มีมาโดยตลอด แต่อดีตจะทำแบบแอบๆทำ รู้กันเฉพาะกลุ่ม
    ภายใต้หนังสือและเว็บไซต์ที่ชื่อฟ้าเดียวกันที่มีเนื้อหา
    ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ให้ร้ายต่อสถาบันกษัตรย์
    คาดว่าในเวลานั้น ธนาธรใช้ทุนส่วนตัวในการเคลื่อนไหวอย่างไม่กระโตกกระตากนัก โดยมีนายชัยธวัชหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนสุดท้ายก่อนถูกยุบเป็นบรรณาธิการอย่างเปิดเผย
    แต่วันหนึ่ง ธนาธร ช่อ และปิยบุตร เหมือนได้พลังวิเศษ
    คิดใหญ่ ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งในช่วงแรก
    คนไทยยังรู้สึกถึงความหวังว่าการเมืองในประเทศไทย
    น่าจะเปลี่ยนไปได้ด้วยมือของคนรุ่นใหม่
    ทำให้ได้คะแนนเสียงมากอย่างน่าตกใจ
    รวมถึงการนำระบบไอโอบอท มาใช้ก่อนใคร
    ปั้นกระแสทวิตเตอร์ กำหนดเทรนให้มีแต่เรื่องราวของพรรคอนาคตใหม่
    ทำให้สื่อทุกสำนักวนเวียนอยู่แต่กับพรรคและคนของพรรคอนาคตใหม่เวลานั้น จนทำให้เกิดอุปทานหมู่ เวลาใครไปคอมเม้นตรงข้าม ก็ใช้บอทไอโอเข้าไปถล่ม จนคนคิดต่างไม่กล้าไปยุ่งเพราะเข้าใจว่า บอทไอโอคือคนจริงๆ
    เกิดปรากฏการคอมเม้นเป็นรูปส้มพร้อมกัน
    แต่เรื่องก็มาแตก ที่วิโรจน์ถ่ายรูปพร้อมอุปกรณ์มือถือหลายสิบเครื่องที่เป็นอุปกรณ์บอทไอโอที่นำเข้าระบบมาจากเวียดนาม
    แต่ตอนนี้ ทุกแพลตฟอร์มต่างปรับตัวและป้องกันบอทไอโอและลบแอคเค้าบอทออกจากระบบแทบเกลี้ยง ทำให้ทุกวันนี้แม้แต่ไลฟ์สดของหัวหน้าพรรคเอง หรือนายพิธาก็ยังมีคนดูแค่สามสี่ร้อยคน
    ยังรวมไปถึงการที่พรรคก้าวไกลไม่กล้าทำในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่อกฏหมาย
    ก็ยังมีงบจำนวนมหาศาลที่มีหลักฐานและพยานว่าบุ้งได้รับมาจากการส่งภาพการก่อความวุ่นวายจากสมุน และได้ตังมาก็เอามาเปย์ผู้ และให้เด็กในสังกัดกินอดๆอยากๆ แต่ต้นทางน้ำมานั้น จำนวนมหาศาล ถึงขนาดที่ตรวจสอบบัญชีเพนกวิ้น มีไม่ต่ำกว่า ุ60 ล้านบาท เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลับเซิทหาได้เป็นข้อมูลจากทางการไทยเองและทรายเจริญปุระ ก็เคยออกมาคอนเฟิร์มเองด้วยซ้ำ
    คำถามว่า งบทำบอทไอโอ งบสร้างความวุ่นวายในนามกลุ่มทะลุวัง หรือ งบในการสร้างพรรค มันเอามาจากไหนกันนะ
    ก็พบว่ามีการสืบเส้นทางการเงินมีองค์กรอิสระองค์กรหนึ่งของต่างชาติ เป็นจุดเชื่อมโยงเงินจากบางคนในสหรัฐเข้ากระเป๋าคนเหล่านี้
    จนในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิด ด้วยการที่ผู้นำจิตวิญญาณของอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล ต่างเข้านอกออกในสถานฑูตสหรัฐประจำประเทศไทยเป็นว่าเล่น ไม่เว้นแม้แต่เสี่ยเพนกวิ้นเช่นกัน
    จนมาถึงวันนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ก้าวไกลเป็นพรรคที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรเป็นประมุข
    องค์กรแอมเนสตี้ ถึงขนาดออกอาการเหิมเกริม สั่งศาลรัฐธรรมนูญให้รีบกลับคำตัดสิน ซึ่งไม่เคยมีเหตุการละเมิดศาลจากองค์กรต่างชาติแบบนี้มาก่อนในประเทศไทย
    นอกจากนั้น ทูต 18 ประเทศ ที่ทำเกินหน้าที่การเป็นทูตประจำประเทศไทย รวมไปถึง สว.สหรัฐก็ออกมาขู่ศาลไทย อย่างกร่างๆ
    ดังนั้น ที่คิงส์โพธิ์แดงเคยให้ข้อมูลว่า เมกาคือผู้อยู่เ้บื้องหลัง
    ความพยายามในการก้าวก่าย และให้การสนับสนุนส่งเสริมกลุ่มคนที่ให้ร้ายจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตรย์มาโดยตลอดนั้น ก็คือสหรัฐอเมริกา
    ที่มีเป้าหมายในการแก้ไขม.112 นั้น มีความชัดเจนแม้ว่าหากตัดข้อนี้ไปพรรคอื่นๆก็พร้อมร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่เพราะเหตุใดทั้งพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล จึงยืนยันในจุดยืนนี้มาตลอด
    นั่นก็เพราะงบประมาณที่ให้การสนับสนุน ก็ให้มาทำเรื่องนี้โดยตรง
    เพราะการที่แก้ไขม112 โดยการให้ร้าย บิดเบือน พระมหากษัตย์ได้โดยผิดน้อยที่สุดหรือไม่ผิดเลยท ก็คุ้มค่าต่อความเสี่ยงที่จะปั้นแต่งปลุกปั่นให้คนไทยรุ่นใหม่ มีความชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสหรัฐไม่มีฐานทัพในโซนนี้ หากได้ประเทศไทยในการตั้งฐานทัพด้วยการสร้างสถานการณ์ต่างๆ ก็จะสามารถส่งจรวดไปจีนได้ในระยะวิถีกรณีมีความขัดแย้งกันระหว่างประเทศมหาอำนาจ (ซึ่งข้อมูลเรื่องสหรัฐมีเป้าหมายตั้งฐานทัพในประเทศไทย มีหลักฐานอยู่ทั้งที่วิทยาลัยป้องกันราชอนาจักร และฝ่ายความมั่นคงจำนวนไม่น้อย)
    ....และโดยเฉพาะตอนนี้ จีนแผ่นดินใหญ่ก็ได้ใช้สูตรทางเศรษฐกิจและการลงทุนเข้ามาขายอนาเขตแบบเนียนๆทั้งกำพูชา สปปลาว และพม่าแล้ว เหลือแค่ไทยที่ขยับเข้ามาได้ยากกว่าประเทศเพื่อนบ้านมากนักแต่ก็มาแล้วพอสมควรทีเดียว
    แต่สหรัฐที่ยังไม่สามารถมาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหรือยึดประเทศไทยได้นั้น เพราะประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตรที่ทรงอยู่เหนือการเมือง เป็นผู้ทรงให้ทรงเมตตาต่อพสกนิกรในทุกยุคทุกรัชสมัยจวบถึงปัจจุบัน มีผู้จงรักษภักดีต่อพระองค์ที่รักษาปกป้องไว้ซึ่งสามสถาบันหลักที่ยืนหยัดมั่นคงในความเป็นชาติได้ ดังนั้น ม.112 จึงเป็นกูญแจสำคัญที่ก้าวไกลและอนาคตใหม่พยายามผลักดันกฏหมายด้วยวาทะกรรมต่างๆให้ผู้หมิ่นสถาบันผิดน้อยที่สุดหรือไม่ผิดเลยตามกฏหมายนั่นเอง ไม่มีสถาบันกษัตริย์ก็สิ้นชาติ
    หากสังเกตุให้ดีแม้กระทั่งมีเป้าหมายลดกำลังทหาร ก็เพื่อบั่นทอนความมั่นคงของชาติ โดยนำจุดบกพร่องเพียงส่วนน้อย มาตีให้เป็นเรื่อง่ส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความชอบธรรมและได้คะแนนเสียงกับกลุ่มเด็กโตที่กำลังจะเกณฑ์และกลัวการเป็นทหารมาเป็นคะแนนเสียงร่วม และพฤติกรรมที่สร้างแนวคิดไม่ให้ลูกมีความกตัญญูกับพ่อแม่ นั่นก็เพราะเมื่อเด็กห่างอกพ่อแม่ก็จะสามารถชักจูงได้โดยง่าย และเป็นฐานมวลชนที่พวกเขาเหล่านี้จูงไปไหนก็ไป
    ดังนั้น ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่คิงส์โพธิ์แดง นำเสนอมาโดยตลอด และทุกอย่างในข้อมูลของโพสนี้ได้มอบให้นั้น ล้วนมีหลักฐาน มีพยานที่หาได้ไม่ยากเลย
    ยกตัวอย่างเช่น ภาพเพนกวิ้น ที่เข้านอกออกในสถานฑุตสหรัฐก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น
    ดังนั้นพี่น้องชาวไทยอย่าแปลกใจถึงการเคลื่อนไหวขององค์กรอิสระต่างชาติ หรือแม้กระทั่ง นาโต้ un รวมถึงความพยายามกดดันโดนทูตตะวันตกประจำประเทศไทย นั่นเพราะเรามีกลุ่มค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส-ต-ก-ยุ-ค อย่าธร ข่อ ปิยะบุตร และตัวแม่อย่างเจี๊ยบอมรัตน์ที่คิดว่าจะห-ล-อ-ก ใช้งบและอำนาจของสหรัฐและกลุ่มยุโรปเพื่อสานฝันของตัวเอง แต่แท้ที่จริงกลับถูกเค้าใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือยึดประเทศไทยเป็นฐานไม่รู้ตัว และมีคนอยากดังแบบพิธา ไอติม และสก็อยอย่างไอซ์ คนไม่อยากเป็นทหารอย่างจิรัฐ ก็มั่วๆรวมๆกันอยู่และยอมแลกความมั่นคงของชาติกับผลประโยชน์ส่วนตัว
    นับจากวันที่ 7 สิงหา 67 นี้ไป เราจะถูกรุมวิจารณ์และกดดันจากสหรัฐและพันธมิตรผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงองค์กรอิสระมากมาย
    คิงส์โพธิ์แดงจึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยผู้รักชาติรับสถาบันร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตรย์ และ
    ช่วยเผยแพร่ความรู้นี้สู่พี่น้องชาวไทยเพื่อให้ประเทศไทยยังคงอยู่สืบไปนานเท่านาน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #นับจากนี้ไปคนไทยจะตาสว่างเสียที ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส ในประเทศไทย มีมาโดยตลอด แต่อดีตจะทำแบบแอบๆทำ รู้กันเฉพาะกลุ่ม ภายใต้หนังสือและเว็บไซต์ที่ชื่อฟ้าเดียวกันที่มีเนื้อหา ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ให้ร้ายต่อสถาบันกษัตรย์ คาดว่าในเวลานั้น ธนาธรใช้ทุนส่วนตัวในการเคลื่อนไหวอย่างไม่กระโตกกระตากนัก โดยมีนายชัยธวัชหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนสุดท้ายก่อนถูกยุบเป็นบรรณาธิการอย่างเปิดเผย แต่วันหนึ่ง ธนาธร ช่อ และปิยบุตร เหมือนได้พลังวิเศษ คิดใหญ่ ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งในช่วงแรก คนไทยยังรู้สึกถึงความหวังว่าการเมืองในประเทศไทย น่าจะเปลี่ยนไปได้ด้วยมือของคนรุ่นใหม่ ทำให้ได้คะแนนเสียงมากอย่างน่าตกใจ รวมถึงการนำระบบไอโอบอท มาใช้ก่อนใคร ปั้นกระแสทวิตเตอร์ กำหนดเทรนให้มีแต่เรื่องราวของพรรคอนาคตใหม่ ทำให้สื่อทุกสำนักวนเวียนอยู่แต่กับพรรคและคนของพรรคอนาคตใหม่เวลานั้น จนทำให้เกิดอุปทานหมู่ เวลาใครไปคอมเม้นตรงข้าม ก็ใช้บอทไอโอเข้าไปถล่ม จนคนคิดต่างไม่กล้าไปยุ่งเพราะเข้าใจว่า บอทไอโอคือคนจริงๆ เกิดปรากฏการคอมเม้นเป็นรูปส้มพร้อมกัน แต่เรื่องก็มาแตก ที่วิโรจน์ถ่ายรูปพร้อมอุปกรณ์มือถือหลายสิบเครื่องที่เป็นอุปกรณ์บอทไอโอที่นำเข้าระบบมาจากเวียดนาม แต่ตอนนี้ ทุกแพลตฟอร์มต่างปรับตัวและป้องกันบอทไอโอและลบแอคเค้าบอทออกจากระบบแทบเกลี้ยง ทำให้ทุกวันนี้แม้แต่ไลฟ์สดของหัวหน้าพรรคเอง หรือนายพิธาก็ยังมีคนดูแค่สามสี่ร้อยคน ยังรวมไปถึงการที่พรรคก้าวไกลไม่กล้าทำในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่อกฏหมาย ก็ยังมีงบจำนวนมหาศาลที่มีหลักฐานและพยานว่าบุ้งได้รับมาจากการส่งภาพการก่อความวุ่นวายจากสมุน และได้ตังมาก็เอามาเปย์ผู้ และให้เด็กในสังกัดกินอดๆอยากๆ แต่ต้นทางน้ำมานั้น จำนวนมหาศาล ถึงขนาดที่ตรวจสอบบัญชีเพนกวิ้น มีไม่ต่ำกว่า ุ60 ล้านบาท เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลับเซิทหาได้เป็นข้อมูลจากทางการไทยเองและทรายเจริญปุระ ก็เคยออกมาคอนเฟิร์มเองด้วยซ้ำ คำถามว่า งบทำบอทไอโอ งบสร้างความวุ่นวายในนามกลุ่มทะลุวัง หรือ งบในการสร้างพรรค มันเอามาจากไหนกันนะ ก็พบว่ามีการสืบเส้นทางการเงินมีองค์กรอิสระองค์กรหนึ่งของต่างชาติ เป็นจุดเชื่อมโยงเงินจากบางคนในสหรัฐเข้ากระเป๋าคนเหล่านี้ จนในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิด ด้วยการที่ผู้นำจิตวิญญาณของอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล ต่างเข้านอกออกในสถานฑูตสหรัฐประจำประเทศไทยเป็นว่าเล่น ไม่เว้นแม้แต่เสี่ยเพนกวิ้นเช่นกัน จนมาถึงวันนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ก้าวไกลเป็นพรรคที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรเป็นประมุข องค์กรแอมเนสตี้ ถึงขนาดออกอาการเหิมเกริม สั่งศาลรัฐธรรมนูญให้รีบกลับคำตัดสิน ซึ่งไม่เคยมีเหตุการละเมิดศาลจากองค์กรต่างชาติแบบนี้มาก่อนในประเทศไทย นอกจากนั้น ทูต 18 ประเทศ ที่ทำเกินหน้าที่การเป็นทูตประจำประเทศไทย รวมไปถึง สว.สหรัฐก็ออกมาขู่ศาลไทย อย่างกร่างๆ ดังนั้น ที่คิงส์โพธิ์แดงเคยให้ข้อมูลว่า เมกาคือผู้อยู่เ้บื้องหลัง ความพยายามในการก้าวก่าย และให้การสนับสนุนส่งเสริมกลุ่มคนที่ให้ร้ายจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตรย์มาโดยตลอดนั้น ก็คือสหรัฐอเมริกา ที่มีเป้าหมายในการแก้ไขม.112 นั้น มีความชัดเจนแม้ว่าหากตัดข้อนี้ไปพรรคอื่นๆก็พร้อมร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่เพราะเหตุใดทั้งพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล จึงยืนยันในจุดยืนนี้มาตลอด นั่นก็เพราะงบประมาณที่ให้การสนับสนุน ก็ให้มาทำเรื่องนี้โดยตรง เพราะการที่แก้ไขม112 โดยการให้ร้าย บิดเบือน พระมหากษัตย์ได้โดยผิดน้อยที่สุดหรือไม่ผิดเลยท ก็คุ้มค่าต่อความเสี่ยงที่จะปั้นแต่งปลุกปั่นให้คนไทยรุ่นใหม่ มีความชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสหรัฐไม่มีฐานทัพในโซนนี้ หากได้ประเทศไทยในการตั้งฐานทัพด้วยการสร้างสถานการณ์ต่างๆ ก็จะสามารถส่งจรวดไปจีนได้ในระยะวิถีกรณีมีความขัดแย้งกันระหว่างประเทศมหาอำนาจ (ซึ่งข้อมูลเรื่องสหรัฐมีเป้าหมายตั้งฐานทัพในประเทศไทย มีหลักฐานอยู่ทั้งที่วิทยาลัยป้องกันราชอนาจักร และฝ่ายความมั่นคงจำนวนไม่น้อย) ....และโดยเฉพาะตอนนี้ จีนแผ่นดินใหญ่ก็ได้ใช้สูตรทางเศรษฐกิจและการลงทุนเข้ามาขายอนาเขตแบบเนียนๆทั้งกำพูชา สปปลาว และพม่าแล้ว เหลือแค่ไทยที่ขยับเข้ามาได้ยากกว่าประเทศเพื่อนบ้านมากนักแต่ก็มาแล้วพอสมควรทีเดียว แต่สหรัฐที่ยังไม่สามารถมาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหรือยึดประเทศไทยได้นั้น เพราะประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตรที่ทรงอยู่เหนือการเมือง เป็นผู้ทรงให้ทรงเมตตาต่อพสกนิกรในทุกยุคทุกรัชสมัยจวบถึงปัจจุบัน มีผู้จงรักษภักดีต่อพระองค์ที่รักษาปกป้องไว้ซึ่งสามสถาบันหลักที่ยืนหยัดมั่นคงในความเป็นชาติได้ ดังนั้น ม.112 จึงเป็นกูญแจสำคัญที่ก้าวไกลและอนาคตใหม่พยายามผลักดันกฏหมายด้วยวาทะกรรมต่างๆให้ผู้หมิ่นสถาบันผิดน้อยที่สุดหรือไม่ผิดเลยตามกฏหมายนั่นเอง ไม่มีสถาบันกษัตริย์ก็สิ้นชาติ หากสังเกตุให้ดีแม้กระทั่งมีเป้าหมายลดกำลังทหาร ก็เพื่อบั่นทอนความมั่นคงของชาติ โดยนำจุดบกพร่องเพียงส่วนน้อย มาตีให้เป็นเรื่อง่ส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความชอบธรรมและได้คะแนนเสียงกับกลุ่มเด็กโตที่กำลังจะเกณฑ์และกลัวการเป็นทหารมาเป็นคะแนนเสียงร่วม และพฤติกรรมที่สร้างแนวคิดไม่ให้ลูกมีความกตัญญูกับพ่อแม่ นั่นก็เพราะเมื่อเด็กห่างอกพ่อแม่ก็จะสามารถชักจูงได้โดยง่าย และเป็นฐานมวลชนที่พวกเขาเหล่านี้จูงไปไหนก็ไป ดังนั้น ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่คิงส์โพธิ์แดง นำเสนอมาโดยตลอด และทุกอย่างในข้อมูลของโพสนี้ได้มอบให้นั้น ล้วนมีหลักฐาน มีพยานที่หาได้ไม่ยากเลย ยกตัวอย่างเช่น ภาพเพนกวิ้น ที่เข้านอกออกในสถานฑุตสหรัฐก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ดังนั้นพี่น้องชาวไทยอย่าแปลกใจถึงการเคลื่อนไหวขององค์กรอิสระต่างชาติ หรือแม้กระทั่ง นาโต้ un รวมถึงความพยายามกดดันโดนทูตตะวันตกประจำประเทศไทย นั่นเพราะเรามีกลุ่มค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส-ต-ก-ยุ-ค อย่าธร ข่อ ปิยะบุตร และตัวแม่อย่างเจี๊ยบอมรัตน์ที่คิดว่าจะห-ล-อ-ก ใช้งบและอำนาจของสหรัฐและกลุ่มยุโรปเพื่อสานฝันของตัวเอง แต่แท้ที่จริงกลับถูกเค้าใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือยึดประเทศไทยเป็นฐานไม่รู้ตัว และมีคนอยากดังแบบพิธา ไอติม และสก็อยอย่างไอซ์ คนไม่อยากเป็นทหารอย่างจิรัฐ ก็มั่วๆรวมๆกันอยู่และยอมแลกความมั่นคงของชาติกับผลประโยชน์ส่วนตัว นับจากวันที่ 7 สิงหา 67 นี้ไป เราจะถูกรุมวิจารณ์และกดดันจากสหรัฐและพันธมิตรผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงองค์กรอิสระมากมาย คิงส์โพธิ์แดงจึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยผู้รักชาติรับสถาบันร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตรย์ และ ช่วยเผยแพร่ความรู้นี้สู่พี่น้องชาวไทยเพื่อให้ประเทศไทยยังคงอยู่สืบไปนานเท่านาน #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 889 Views 0 Reviews