• “ขอฝากไว้ ยมบาลไม่ได้มาจดเรา ว่าทำบุญทำบาป
    จิตเราเป็นคนจดทุกวัน ทำชั่วก็จด ทำดีก็จด
    คือ จิตมันจดไว้โดยธรรมชาติ
    แล้วถึงเวลา มันก็ไปตามบาปตามกรรมของมันเอง
    ไม่มีใครทำให้ ตัวเองทำตัวเอง
    แล้วคนอื่นก็ไม่ได้มาทำให้เรา”

    คำสอน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม จากเรื่องเก็บอารมณ์ หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐
    “ขอฝากไว้ ยมบาลไม่ได้มาจดเรา ว่าทำบุญทำบาป จิตเราเป็นคนจดทุกวัน ทำชั่วก็จด ทำดีก็จด คือ จิตมันจดไว้โดยธรรมชาติ แล้วถึงเวลา มันก็ไปตามบาปตามกรรมของมันเอง ไม่มีใครทำให้ ตัวเองทำตัวเอง แล้วคนอื่นก็ไม่ได้มาทำให้เรา” คำสอน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม จากเรื่องเก็บอารมณ์ หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews
  • นักข่าวถามทภ.1 พิสูจน์ความจริงใจเขมรอีกนานมั๊ย (19/9/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #ทภ1
    #scambodia
    #CambodiaEncroachingThailand
    #เขมร
    นักข่าวถามทภ.1 พิสูจน์ความจริงใจเขมรอีกนานมั๊ย (19/9/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทภ1 #scambodia #CambodiaEncroachingThailand #เขมร
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 0 Reviews
  • เบรคสร้างรั้ว กลัวเสียแผ่นดิน (19/9/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #SaveThailand
    #ชายแดนไทย
    #การเมืองไทย
    เบรคสร้างรั้ว กลัวเสียแผ่นดิน (19/9/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #SaveThailand #ชายแดนไทย #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 0 Reviews
  • รองผบ.ตร. พูดแบบนี้ คนไทยได้ใจชื้น (19/9/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #รองผบตร
    #ตำรวจ
    #การเมืองไทย
    รองผบ.ตร. พูดแบบนี้ คนไทยได้ใจชื้น (19/9/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #รองผบตร #ตำรวจ #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 0 Reviews
  • ประกาศรายชื่อนักชกทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ (19/09/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ซีเกมส์2025 #นักชกทีมชาติไทย
    ประกาศรายชื่อนักชกทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ (19/09/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ซีเกมส์2025 #นักชกทีมชาติไทย
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 0 Reviews
  • โปรดเกล้าฯ ครม.ใหม่ ‘อนุทิน’ ควบ มท. 'สุชาติ' นั่งรองนายกฯ ควบทรัพยากรฯ! ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ 24 ก.ย.นี้
    https://www.thai-tai.tv/news/21548/
    .
    #ไทยไท #ครม #อนุทินชาญวีรกูล #ธรรมนัสพรหมเผ่า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    โปรดเกล้าฯ ครม.ใหม่ ‘อนุทิน’ ควบ มท. 'สุชาติ' นั่งรองนายกฯ ควบทรัพยากรฯ! ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ 24 ก.ย.นี้ https://www.thai-tai.tv/news/21548/ . #ไทยไท #ครม #อนุทินชาญวีรกูล #ธรรมนัสพรหมเผ่า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) แห่งฝรั่งเศส และ ภริยา "บริจิตต์ มาครง" (Brigitte Macron) เตรียมควงคู่กันส่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริจิตต์ เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย
    .
    คู่รักประธานาธิบดีได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทแคนเดซ โอเวนส์ (Candace Owens) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง หลังจากที่เธอเผยแพร่ความเชื่อของตนที่ว่าบริจิตต์เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้บริจิตต์เสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับความเห็นดังกล่าว
    .
    ทอม แคลร์ (Tom Clare) ทนายความของบริจิตต์และมาครง กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับพอดแคสต์ BBC เรื่อง "Fame Under Fire" ว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริจิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง
    .
    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แคนเดซ โอเวนส์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันสายอนุรักษ์นิยม กล่าวหา่ บริจิตต์ มาครง ภริยาของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ว่า “เป็นผู้ชาย” อย่างแน่นอน โดยเธอกล้าเดิมพันด้วย “ชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมด” ของเธอเลยทีเดียว
    .
    "บริจิตต์ มาครง" มีชื่อเต็มว่า "บริจิตต์ มารี-โคลด ทรอญอซ์ (Brigitte Marie-Claude Trogneux) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1953

    สำหรับเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบัน พบกับ "บริจิตต์ มาครง" ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองอาเมียง (Amiens) ประเทศฝรั่งเศส

    ในตอนนั้นเธอมีอายุประมาณ 40 ปี และเป็นครูสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสและการละครอยู่ที่โรงเรียน La Providence ส่วน เอ็มมานูเอล มาครง เป็นนักเรียนมัธยมอายุ 15 ปี มาเรียนการแสดงกับเธอ ต่อมาได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากครอบครัวและสังคมอยู่มากก็ตาม จนในที่สุดทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2007


    ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) แห่งฝรั่งเศส และ ภริยา "บริจิตต์ มาครง" (Brigitte Macron) เตรียมควงคู่กันส่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริจิตต์ เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย . คู่รักประธานาธิบดีได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทแคนเดซ โอเวนส์ (Candace Owens) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง หลังจากที่เธอเผยแพร่ความเชื่อของตนที่ว่าบริจิตต์เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้บริจิตต์เสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับความเห็นดังกล่าว . ทอม แคลร์ (Tom Clare) ทนายความของบริจิตต์และมาครง กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับพอดแคสต์ BBC เรื่อง "Fame Under Fire" ว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริจิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง . ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แคนเดซ โอเวนส์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันสายอนุรักษ์นิยม กล่าวหา่ บริจิตต์ มาครง ภริยาของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ว่า “เป็นผู้ชาย” อย่างแน่นอน โดยเธอกล้าเดิมพันด้วย “ชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมด” ของเธอเลยทีเดียว . 👉"บริจิตต์ มาครง" มีชื่อเต็มว่า "บริจิตต์ มารี-โคลด ทรอญอซ์ (Brigitte Marie-Claude Trogneux) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1953 👉สำหรับเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบัน พบกับ "บริจิตต์ มาครง" ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองอาเมียง (Amiens) ประเทศฝรั่งเศส 👉ในตอนนั้นเธอมีอายุประมาณ 40 ปี และเป็นครูสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสและการละครอยู่ที่โรงเรียน La Providence ส่วน เอ็มมานูเอล มาครง เป็นนักเรียนมัธยมอายุ 15 ปี มาเรียนการแสดงกับเธอ ต่อมาได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากครอบครัวและสังคมอยู่มากก็ตาม จนในที่สุดทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2007
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • AI เปลี่ยนเกมการจ้างงานสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น — เมื่อ “ทักษะมนุษย์” กลายเป็นสิ่งที่ AI แทนไม่ได้

    ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการจ้างงาน โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้น (entry-level) ที่เคยเน้นทักษะเทคนิค เช่น cloud security หรือ data protection กลับถูกแทนที่ด้วยความสำคัญของ “ทักษะมนุษย์” เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสารข้ามทีม

    รายงานจาก ISC2 ที่สำรวจผู้จัดการฝ่ายจ้างงานกว่า 900 คนทั่วโลก พบว่า AI เข้ามารับหน้าที่ตรวจจับภัยคุกคามและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับทักษะที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับทีมกฎหมาย การตลาด และ HR

    ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่า การพึ่งพาใบประกาศนียบัตรหรือวุฒิการศึกษามากเกินไป กลายเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงาน เพราะผู้มีประสบการณ์จริงกลับถูกมองข้าม หากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง” ขณะที่ผู้มีความสามารถจากสายอาชีพอื่น เช่น เกมเมอร์ นักสร้างสรรค์ หรือผู้มีความคิดลึกซึ้งในชุมชนออนไลน์ กลับมีศักยภาพสูงในการเป็นนักไซเบอร์

    AI ยังส่งผลให้บทบาทของ SOC Analyst ระดับ 1 ถูกลดความสำคัญลง เพราะระบบสามารถจัดการงานตรวจสอบเบื้องต้นได้เอง ทำให้ตำแหน่งใหม่ต้องเน้นการให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์ และการสื่อสารกับผู้บริหารมากขึ้น

    องค์กรที่ปรับตัวได้ดี เช่น e2e-assure และ Bridewell เริ่มเปิดรับบุคลากรจากกลุ่ม neurodiverse และผู้เปลี่ยนอาชีพ โดยเน้นการฝึกอบรมผ่านเวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย รวมถึงกลุ่มสนับสนุนทหารผ่านศึกและผู้หญิงในสายไซเบอร์

    AI เปลี่ยนแนวทางการจ้างงานในสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น
    ทักษะมนุษย์ เช่น การแก้ปัญหาและการสื่อสาร มีความสำคัญมากขึ้น
    ทักษะเทคนิคพื้นฐานถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ

    รายงานจาก ISC2 ยืนยันแนวโน้มนี้
    สำรวจผู้จัดการจ้างงานจาก 6 ประเทศ
    พบว่าทักษะวิเคราะห์และ teamwork สำคัญกว่าใบประกาศ

    องค์กรเริ่มเปิดรับบุคลากรจากสายอาชีพหลากหลาย
    เช่น neurodiverse, ทหารผ่านศึก, ผู้เปลี่ยนอาชีพ
    ใช้เวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการฝึกอบรม

    SOC Analyst ระดับ 1 อาจถูกแทนที่โดย AI
    งานตรวจสอบเบื้องต้นถูกจัดการโดยระบบอัตโนมัติ
    บทบาทใหม่เน้นการให้คำปรึกษาและการสื่อสารกับผู้บริหาร

    การพึ่งพาใบประกาศมากเกินไปเป็นอุปสรรค
    ผู้มีประสบการณ์จริงถูกมองข้ามหากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง”
    อุตสาหกรรมควรเปิดรับผู้มีความสามารถจากชุมชนออนไลน์

    คำเตือนเกี่ยวกับการปรับตัวขององค์กร
    หากยังเน้นวุฒิการศึกษาและใบประกาศ อาจพลาดคนเก่ง
    การลดตำแหน่งระดับเริ่มต้นอาจทำให้ขาดแคลนบุคลากรในระยะยาว
    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมพนักงาน อาจสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    การไม่เปิดรับความหลากหลาย อาจทำให้องค์กรขาดมุมมองใหม่ ๆ

    https://www.csoonline.com/article/4058190/ai-is-altering-entry-level-cyber-hiring-and-the-nature-of-the-skills-gap.html
    📰 AI เปลี่ยนเกมการจ้างงานสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น — เมื่อ “ทักษะมนุษย์” กลายเป็นสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการจ้างงาน โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้น (entry-level) ที่เคยเน้นทักษะเทคนิค เช่น cloud security หรือ data protection กลับถูกแทนที่ด้วยความสำคัญของ “ทักษะมนุษย์” เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสารข้ามทีม รายงานจาก ISC2 ที่สำรวจผู้จัดการฝ่ายจ้างงานกว่า 900 คนทั่วโลก พบว่า AI เข้ามารับหน้าที่ตรวจจับภัยคุกคามและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับทักษะที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับทีมกฎหมาย การตลาด และ HR ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่า การพึ่งพาใบประกาศนียบัตรหรือวุฒิการศึกษามากเกินไป กลายเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงาน เพราะผู้มีประสบการณ์จริงกลับถูกมองข้าม หากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง” ขณะที่ผู้มีความสามารถจากสายอาชีพอื่น เช่น เกมเมอร์ นักสร้างสรรค์ หรือผู้มีความคิดลึกซึ้งในชุมชนออนไลน์ กลับมีศักยภาพสูงในการเป็นนักไซเบอร์ AI ยังส่งผลให้บทบาทของ SOC Analyst ระดับ 1 ถูกลดความสำคัญลง เพราะระบบสามารถจัดการงานตรวจสอบเบื้องต้นได้เอง ทำให้ตำแหน่งใหม่ต้องเน้นการให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์ และการสื่อสารกับผู้บริหารมากขึ้น องค์กรที่ปรับตัวได้ดี เช่น e2e-assure และ Bridewell เริ่มเปิดรับบุคลากรจากกลุ่ม neurodiverse และผู้เปลี่ยนอาชีพ โดยเน้นการฝึกอบรมผ่านเวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย รวมถึงกลุ่มสนับสนุนทหารผ่านศึกและผู้หญิงในสายไซเบอร์ ✅ AI เปลี่ยนแนวทางการจ้างงานในสายไซเบอร์ระดับเริ่มต้น ➡️ ทักษะมนุษย์ เช่น การแก้ปัญหาและการสื่อสาร มีความสำคัญมากขึ้น ➡️ ทักษะเทคนิคพื้นฐานถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ✅ รายงานจาก ISC2 ยืนยันแนวโน้มนี้ ➡️ สำรวจผู้จัดการจ้างงานจาก 6 ประเทศ ➡️ พบว่าทักษะวิเคราะห์และ teamwork สำคัญกว่าใบประกาศ ✅ องค์กรเริ่มเปิดรับบุคลากรจากสายอาชีพหลากหลาย ➡️ เช่น neurodiverse, ทหารผ่านศึก, ผู้เปลี่ยนอาชีพ ➡️ ใช้เวิร์กช็อปและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการฝึกอบรม ✅ SOC Analyst ระดับ 1 อาจถูกแทนที่โดย AI ➡️ งานตรวจสอบเบื้องต้นถูกจัดการโดยระบบอัตโนมัติ ➡️ บทบาทใหม่เน้นการให้คำปรึกษาและการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ การพึ่งพาใบประกาศมากเกินไปเป็นอุปสรรค ➡️ ผู้มีประสบการณ์จริงถูกมองข้ามหากไม่มี “ใบรับรองที่ถูกต้อง” ➡️ อุตสาหกรรมควรเปิดรับผู้มีความสามารถจากชุมชนออนไลน์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการปรับตัวขององค์กร ⛔ หากยังเน้นวุฒิการศึกษาและใบประกาศ อาจพลาดคนเก่ง ⛔ การลดตำแหน่งระดับเริ่มต้นอาจทำให้ขาดแคลนบุคลากรในระยะยาว ⛔ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมพนักงาน อาจสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ⛔ การไม่เปิดรับความหลากหลาย อาจทำให้องค์กรขาดมุมมองใหม่ ๆ https://www.csoonline.com/article/4058190/ai-is-altering-entry-level-cyber-hiring-and-the-nature-of-the-skills-gap.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI is altering entry-level cyber hiring — and the nature of the skills gap
    To build a stronger future workforce, CISOs need to prioritize problem-solving over existing technical knowledge, while broadening their search for talent beyond traditional pipelines.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Splunk .Conf 2025: เมื่อ Machine Data กลายเป็นเชื้อเพลิงใหม่ของ AI และความมั่นคงปลอดภัยองค์กร

    งาน Splunk .Conf 2025 ที่จัดขึ้น ณ เมืองบอสตันในเดือนกันยายนนี้ ไม่ได้มีแค่โชว์จากวง Weezer หรือม้าแคระชื่อ Buttercup แต่เป็นเวทีที่ Cisco และ Splunk ร่วมกันเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของโลกไซเบอร์ โดยเน้นการใช้ “Machine Data” เป็นหัวใจของการพัฒนา AI และระบบรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่

    Cisco ประกาศเปิดตัว “Cisco Data Fabric” สถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ แอปพลิเคชัน อุปกรณ์เครือข่าย และระบบ edge ถูกนำมาใช้ฝึกโมเดล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลางแบบเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ

    Splunk ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในด้าน Security Operations เช่น Detection Studio และ Splunk Enterprise Security รุ่นพรีเมียม ที่รวม SIEM, SOAR, UEBA และ AI Assistant ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมแนวคิด “Resilience” ที่เน้นการรวมระบบ Observability กับ Security เพื่อให้ระบบ IT ฟื้นตัวได้เร็วจากภัยคุกคามหรือความผิดพลาด

    นอกจากนี้ Splunk ยังผลักดันมาตรฐานเปิด เช่น Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework เพื่อให้เครื่องมือจากหลายค่ายสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการพึ่งพาโซลูชันแบบปิด

    อย่างไรก็ตาม Splunk ยังเผชิญกับความท้าทายจากภาพลักษณ์ “Legacy Vendor” และเสียงวิจารณ์เรื่องราคาสูง การขายเชิงรุก และการสนับสนุนลูกค้าที่ไม่ทั่วถึง ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง CrowdStrike, Microsoft และ Palo Alto Networks

    งาน Splunk .Conf 2025 เปิดตัว Cisco Data Fabric
    ใช้ Machine Data เป็นเชื้อเพลิงใหม่สำหรับ AI
    ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล

    Machine Data ถูกยกให้เป็น 55% ของการเติบโตข้อมูลทั่วโลก
    Cisco และ Splunk เชื่อว่า LLMs ที่ฝึกด้วย Machine Data จะตอบสนองได้แม่นยำกว่า
    ช่วยให้ระบบตอบสนองต่อภัยคุกคามได้แบบอัตโนมัติ

    Splunk เปิดตัว Detection Studio และ Enterprise Security รุ่นใหม่
    รวม SIEM, SOAR, UEBA, Threat Intelligence และ AI Assistant
    ช่วยลดภาระงานของทีม Security Operations

    แนวคิด Resilience ถูกเน้นในงาน
    รวม Observability กับ Security เพื่อฟื้นตัวจากเหตุการณ์ได้เร็ว
    ลดข้อจำกัดจากโครงสร้างองค์กรและงบประมาณ

    Splunk สนับสนุนมาตรฐานเปิด
    ใช้ Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework
    ช่วยให้เครื่องมือจากหลายค่ายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

    โมเดล Federated Search ถูกขยาย
    รองรับการค้นหาข้ามแหล่งข้อมูล เช่น S3, Snowflake, Iceberg
    ลดภาระการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์

    https://www.csoonline.com/article/4058991/where-cisos-need-to-see-splunk-go-next.html
    📰 Splunk .Conf 2025: เมื่อ Machine Data กลายเป็นเชื้อเพลิงใหม่ของ AI และความมั่นคงปลอดภัยองค์กร งาน Splunk .Conf 2025 ที่จัดขึ้น ณ เมืองบอสตันในเดือนกันยายนนี้ ไม่ได้มีแค่โชว์จากวง Weezer หรือม้าแคระชื่อ Buttercup แต่เป็นเวทีที่ Cisco และ Splunk ร่วมกันเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของโลกไซเบอร์ โดยเน้นการใช้ “Machine Data” เป็นหัวใจของการพัฒนา AI และระบบรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่ Cisco ประกาศเปิดตัว “Cisco Data Fabric” สถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ แอปพลิเคชัน อุปกรณ์เครือข่าย และระบบ edge ถูกนำมาใช้ฝึกโมเดล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลางแบบเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ Splunk ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในด้าน Security Operations เช่น Detection Studio และ Splunk Enterprise Security รุ่นพรีเมียม ที่รวม SIEM, SOAR, UEBA และ AI Assistant ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมแนวคิด “Resilience” ที่เน้นการรวมระบบ Observability กับ Security เพื่อให้ระบบ IT ฟื้นตัวได้เร็วจากภัยคุกคามหรือความผิดพลาด นอกจากนี้ Splunk ยังผลักดันมาตรฐานเปิด เช่น Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework เพื่อให้เครื่องมือจากหลายค่ายสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการพึ่งพาโซลูชันแบบปิด อย่างไรก็ตาม Splunk ยังเผชิญกับความท้าทายจากภาพลักษณ์ “Legacy Vendor” และเสียงวิจารณ์เรื่องราคาสูง การขายเชิงรุก และการสนับสนุนลูกค้าที่ไม่ทั่วถึง ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง CrowdStrike, Microsoft และ Palo Alto Networks ✅ งาน Splunk .Conf 2025 เปิดตัว Cisco Data Fabric ➡️ ใช้ Machine Data เป็นเชื้อเพลิงใหม่สำหรับ AI ➡️ ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล ✅ Machine Data ถูกยกให้เป็น 55% ของการเติบโตข้อมูลทั่วโลก ➡️ Cisco และ Splunk เชื่อว่า LLMs ที่ฝึกด้วย Machine Data จะตอบสนองได้แม่นยำกว่า ➡️ ช่วยให้ระบบตอบสนองต่อภัยคุกคามได้แบบอัตโนมัติ ✅ Splunk เปิดตัว Detection Studio และ Enterprise Security รุ่นใหม่ ➡️ รวม SIEM, SOAR, UEBA, Threat Intelligence และ AI Assistant ➡️ ช่วยลดภาระงานของทีม Security Operations ✅ แนวคิด Resilience ถูกเน้นในงาน ➡️ รวม Observability กับ Security เพื่อฟื้นตัวจากเหตุการณ์ได้เร็ว ➡️ ลดข้อจำกัดจากโครงสร้างองค์กรและงบประมาณ ✅ Splunk สนับสนุนมาตรฐานเปิด ➡️ ใช้ Open Telemetry และ Open Cybersecurity Framework ➡️ ช่วยให้เครื่องมือจากหลายค่ายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ✅ โมเดล Federated Search ถูกขยาย ➡️ รองรับการค้นหาข้ามแหล่งข้อมูล เช่น S3, Snowflake, Iceberg ➡️ ลดภาระการจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ https://www.csoonline.com/article/4058991/where-cisos-need-to-see-splunk-go-next.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Where CISOs need to see Splunk go next
    Splunk’s latest .Conf focused on machine data, federation, resiliency, and easing the cybersecurity burden. That’s a good start for the cyber giant, but from security leaders’ perspective, work remains.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • สองวัยรุ่นอังกฤษถูกตั้งข้อหาแฮกระบบขนส่ง TfL — เครือข่าย Scattered Spider เบื้องหลังการโจมตีระดับชาติ

    ในเดือนกันยายน 2025 สองวัยรุ่นชาวอังกฤษถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบขนส่งของกรุงลอนดอน (TfL) เมื่อปี 2024 โดยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว “Scattered Spider” ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีองค์กรใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป

    ผู้ต้องหาคือ Thalha Jubair อายุ 19 ปี จาก East London และ Owen Flowers อายุ 18 ปี จาก Walsall ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน National Crime Agency (NCA) และถูกนำตัวขึ้นศาล Westminster Magistrates’ Court โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันละเมิดพระราชบัญญัติ Computer Misuse Act และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของสหราชอาณาจักร

    การโจมตีดังกล่าวไม่ได้หยุดการเดินรถไฟใต้ดิน แต่ส่งผลกระทบต่อระบบบริการต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบบัตร Oyster, การชำระเงินแบบ contactless และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เชื่อมต่อกับ API ของ TfL โดยมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กว่า 5,000 รายรั่วไหล รวมถึงรายละเอียดบัญชีธนาคาร

    นอกจากนี้ Jubair ยังถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ จากการมีส่วนร่วมในแผนการแฮกและเรียกค่าไถ่กว่า 120 ครั้งต่อองค์กรในสหรัฐฯ รวมถึงการฟอกเงินและปฏิเสธการให้รหัสผ่านกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดกฎหมาย Regulation of Investigatory Powers Act ของอังกฤษ

    Flowers ก็ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีเครือข่ายของ SSM Health และ Sutter Health ในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นสมาชิกของ Scattered Spider ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์วัยรุ่นที่ใช้เทคนิค social engineering เช่น phishing และการโทรหลอกลวงเจ้าหน้าที่ IT เพื่อเข้าถึงระบบภายในองค์กร

    การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ยาวนานและซับซ้อน โดย NCA ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” และเป็นก้าวสำคัญในการจัดการกับภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนอังกฤษ ซึ่งจากรายงานพบว่า 1 ใน 5 เด็กอายุ 10–16 ปีเคยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายไซเบอร์มาแล้ว

    https://hackread.com/two-uk-teenagers-charged-tfl-hack-scattered-spider/
    📰 สองวัยรุ่นอังกฤษถูกตั้งข้อหาแฮกระบบขนส่ง TfL — เครือข่าย Scattered Spider เบื้องหลังการโจมตีระดับชาติ ในเดือนกันยายน 2025 สองวัยรุ่นชาวอังกฤษถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบขนส่งของกรุงลอนดอน (TfL) เมื่อปี 2024 โดยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว “Scattered Spider” ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีองค์กรใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ผู้ต้องหาคือ Thalha Jubair อายุ 19 ปี จาก East London และ Owen Flowers อายุ 18 ปี จาก Walsall ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน National Crime Agency (NCA) และถูกนำตัวขึ้นศาล Westminster Magistrates’ Court โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันละเมิดพระราชบัญญัติ Computer Misuse Act และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของสหราชอาณาจักร การโจมตีดังกล่าวไม่ได้หยุดการเดินรถไฟใต้ดิน แต่ส่งผลกระทบต่อระบบบริการต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบบัตร Oyster, การชำระเงินแบบ contactless และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เชื่อมต่อกับ API ของ TfL โดยมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กว่า 5,000 รายรั่วไหล รวมถึงรายละเอียดบัญชีธนาคาร นอกจากนี้ Jubair ยังถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ จากการมีส่วนร่วมในแผนการแฮกและเรียกค่าไถ่กว่า 120 ครั้งต่อองค์กรในสหรัฐฯ รวมถึงการฟอกเงินและปฏิเสธการให้รหัสผ่านกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดกฎหมาย Regulation of Investigatory Powers Act ของอังกฤษ Flowers ก็ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีเครือข่ายของ SSM Health และ Sutter Health ในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นสมาชิกของ Scattered Spider ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์วัยรุ่นที่ใช้เทคนิค social engineering เช่น phishing และการโทรหลอกลวงเจ้าหน้าที่ IT เพื่อเข้าถึงระบบภายในองค์กร การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ยาวนานและซับซ้อน โดย NCA ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” และเป็นก้าวสำคัญในการจัดการกับภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนอังกฤษ ซึ่งจากรายงานพบว่า 1 ใน 5 เด็กอายุ 10–16 ปีเคยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายไซเบอร์มาแล้ว https://hackread.com/two-uk-teenagers-charged-tfl-hack-scattered-spider/
    HACKREAD.COM
    Two UK Teenagers Charged Over TfL Hack Linked to Scattered Spider
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล มีรองนายกฯ 6 คน "พิพัฒนื" ควบคมนาคม "ธรรมนัส" ควบว่าการเกษตร "พล.อ.ณัฐพล" นั่งว่าการกลาโหม "ลูกชายสันติ" เป็น รมว.สธ.ตำแหน่งเดียว "ลูกเนวิน" คุมกระทรวงดีอี "ซาบีดา" ว่าการวัฒนธรรม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000089723

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล มีรองนายกฯ 6 คน "พิพัฒนื" ควบคมนาคม "ธรรมนัส" ควบว่าการเกษตร "พล.อ.ณัฐพล" นั่งว่าการกลาโหม "ลูกชายสันติ" เป็น รมว.สธ.ตำแหน่งเดียว "ลูกเนวิน" คุมกระทรวงดีอี "ซาบีดา" ว่าการวัฒนธรรม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000089723 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Bitcoin เริ่มชะลอ… นักลงทุนสถาบันหันหลังให้ BTC แล้วหันหน้าสู่ Altcoin และ DeFi

    ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต เมื่อ Bitcoin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน เริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในด้าน “dominance” โดยลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในรอบปี ขณะที่ Altcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

    Ethereum ETF เพียงอย่างเดียวสามารถดึงเงินลงทุนได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว และตลาด Altcoin โดยรวม (TOTAL3) เติบโตขึ้นกว่า 109% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ Bitcoin อีกต่อไป

    DeFi และ Stablecoin ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น โดย DeFi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44.5% และ Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ในปีเดียว ขณะที่ DEX (Decentralized Exchange) มีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบกระจายอำนาจ

    การขยายตัวของสภาพคล่องทั่วโลก (M2) กว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ Altcoin ที่มีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า Bitcoin ถึง 200% ในบางช่วง

    Bitcoin สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดคริปโต
    Dominance ลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในปี 2025
    นักลงทุนสถาบันเริ่มหันไปลงทุนใน Altcoin และ DeFi

    Ethereum ETF ดึงเงินลงทุนมหาศาล
    มี inflow ถึง $3 พันล้านในสัปดาห์เดียว
    สะท้อนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่ Bitcoin

    Altcoin เติบโตเหนือความคาดหมาย
    TOTAL3 เพิ่มขึ้น 109.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    Altcoin ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Bitcoin ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ

    DeFi และ Stablecoin เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็ว
    DeFi เพิ่มขึ้น 44.5% / Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6%
    สะท้อนการใช้งานจริงและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

    DEX กลายเป็นโครงสร้างหลักของการซื้อขาย
    ปริมาณซื้อขายรวมกว่า $1.15 ล้านล้านในปีเดียว
    Ethereum มี volume สูงสุดในเดือนสิงหาคมที่ $139.63 พันล้าน

    On-chain lending และ staking เติบโตต่อเนื่อง
    Lending TVL เพิ่มขึ้น 65% เป็น $79.8B / AAVE ครองครึ่งตลาด
    ETH ที่ถูก stake รวมกว่า 35.8 ล้าน ETH

    สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน
    M2 ขยายตัว $5.6 ล้านล้านในปีเดียว
    เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะ Altcoin

    https://hackread.com/shifting-pivot-toward-altcoins-bitcoin-slowdown/
    📰 เมื่อ Bitcoin เริ่มชะลอ… นักลงทุนสถาบันหันหลังให้ BTC แล้วหันหน้าสู่ Altcoin และ DeFi ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต เมื่อ Bitcoin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน เริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในด้าน “dominance” โดยลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในรอบปี ขณะที่ Altcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงกว่า Ethereum ETF เพียงอย่างเดียวสามารถดึงเงินลงทุนได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว และตลาด Altcoin โดยรวม (TOTAL3) เติบโตขึ้นกว่า 109% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ Bitcoin อีกต่อไป DeFi และ Stablecoin ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น โดย DeFi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44.5% และ Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ในปีเดียว ขณะที่ DEX (Decentralized Exchange) มีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบกระจายอำนาจ การขยายตัวของสภาพคล่องทั่วโลก (M2) กว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ Altcoin ที่มีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า Bitcoin ถึง 200% ในบางช่วง ✅ Bitcoin สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดคริปโต ➡️ Dominance ลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในปี 2025 ➡️ นักลงทุนสถาบันเริ่มหันไปลงทุนใน Altcoin และ DeFi ✅ Ethereum ETF ดึงเงินลงทุนมหาศาล ➡️ มี inflow ถึง $3 พันล้านในสัปดาห์เดียว ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่ Bitcoin ✅ Altcoin เติบโตเหนือความคาดหมาย ➡️ TOTAL3 เพิ่มขึ้น 109.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ Altcoin ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Bitcoin ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ✅ DeFi และ Stablecoin เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็ว ➡️ DeFi เพิ่มขึ้น 44.5% / Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ➡️ สะท้อนการใช้งานจริงและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ✅ DEX กลายเป็นโครงสร้างหลักของการซื้อขาย ➡️ ปริมาณซื้อขายรวมกว่า $1.15 ล้านล้านในปีเดียว ➡️ Ethereum มี volume สูงสุดในเดือนสิงหาคมที่ $139.63 พันล้าน ✅ On-chain lending และ staking เติบโตต่อเนื่อง ➡️ Lending TVL เพิ่มขึ้น 65% เป็น $79.8B / AAVE ครองครึ่งตลาด ➡️ ETH ที่ถูก stake รวมกว่า 35.8 ล้าน ETH ✅ สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน ➡️ M2 ขยายตัว $5.6 ล้านล้านในปีเดียว ➡️ เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะ Altcoin https://hackread.com/shifting-pivot-toward-altcoins-bitcoin-slowdown/
    HACKREAD.COM
    Shifting Tides: Investors Pivot Toward Altcoins Amid Bitcoin Slowdown
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Honor MagicPad 3 — แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปกแรง แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับสายทำงาน

    Honor เปิดตัว MagicPad 3 แท็บเล็ต Android ขนาด 13.3 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ น้ำหนักเบา และสเปกที่ดูดีบนกระดาษ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่ามีหลายจุดที่ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการทำงานอย่างจริงจัง

    MagicPad 3 ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียดสูง 3200 x 2136 พิกเซล รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมในระดับกลาง มี RAM สูงสุด 16GB และพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง

    แต่จุดที่น่าผิดหวังคือการใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็เป็นรุ่นเก่ากว่า 2 ปี ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในยุคที่แอปและระบบปฏิบัติการพัฒนาเร็วมาก อีกทั้ง MagicPad 3 ยังไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือการเปิด 3 แอปพร้อมกัน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีในมือถือ Honor รุ่นใหม่อย่าง Magic V5

    นอกจากนี้ MagicPad 3 ยังไม่แถมคีย์บอร์ดมาในกล่อง และเมื่อซื้อเพิ่มก็พบว่าทัชแพดมีปัญหาเรื่องความแม่นยำ ส่วนซอฟต์แวร์ MagicOS 9 ที่ครอบบน Android 15 ก็ยังคงหน้าตาแบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่าที่ควร

    แม้จะมีจุดเด่นด้านแบตเตอรี่และหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi Pad 7 หรือ OnePlus Pad 3 ที่มีชิปใหม่กว่าและราคาดีกว่า MagicPad 3 จึงอาจเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปมากกว่าการทำงานจริงจัง

    Honor MagicPad 3 เปิดตัวพร้อมหน้าจอใหญ่และสเปกกลาง-สูง
    หน้าจอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3200 x 2136 พิกเซล
    รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits

    ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และ RAM สูงสุด 16GB
    แม้เป็นชิปรุ่นเก่า แต่ยังใช้งานทั่วไปได้ลื่น
    มีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB

    แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ใช้งานได้ยาวนาน
    รองรับชาร์จไว 66W (ปลั๊กยุโรป)
    ใช้เทคโนโลยี silicon-carbon ที่ชาร์จเร็วและทนทาน

    ระบบปฏิบัติการ MagicOS 9 บน Android 15
    ยังใช้ UI แบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่ารุ่นมือถือใหม่
    ไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือเปิด 3 แอปพร้อมกัน

    ไม่แถมคีย์บอร์ดในกล่อง และอุปกรณ์เสริมมีข้อจำกัด
    คีย์บอร์ดมีปัญหาทัชแพดไม่แม่นยำ
    ขาตั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น บนเครื่องบิน

    https://www.slashgear.com/1972266/honor-magicpad-3-review-2025/
    📰 Honor MagicPad 3 — แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปกแรง แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับสายทำงาน Honor เปิดตัว MagicPad 3 แท็บเล็ต Android ขนาด 13.3 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ น้ำหนักเบา และสเปกที่ดูดีบนกระดาษ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่ามีหลายจุดที่ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการทำงานอย่างจริงจัง MagicPad 3 ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียดสูง 3200 x 2136 พิกเซล รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมในระดับกลาง มี RAM สูงสุด 16GB และพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง แต่จุดที่น่าผิดหวังคือการใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็เป็นรุ่นเก่ากว่า 2 ปี ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในยุคที่แอปและระบบปฏิบัติการพัฒนาเร็วมาก อีกทั้ง MagicPad 3 ยังไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือการเปิด 3 แอปพร้อมกัน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีในมือถือ Honor รุ่นใหม่อย่าง Magic V5 นอกจากนี้ MagicPad 3 ยังไม่แถมคีย์บอร์ดมาในกล่อง และเมื่อซื้อเพิ่มก็พบว่าทัชแพดมีปัญหาเรื่องความแม่นยำ ส่วนซอฟต์แวร์ MagicOS 9 ที่ครอบบน Android 15 ก็ยังคงหน้าตาแบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่าที่ควร แม้จะมีจุดเด่นด้านแบตเตอรี่และหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi Pad 7 หรือ OnePlus Pad 3 ที่มีชิปใหม่กว่าและราคาดีกว่า MagicPad 3 จึงอาจเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปมากกว่าการทำงานจริงจัง ✅ Honor MagicPad 3 เปิดตัวพร้อมหน้าจอใหญ่และสเปกกลาง-สูง ➡️ หน้าจอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3200 x 2136 พิกเซล ➡️ รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ✅ ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และ RAM สูงสุด 16GB ➡️ แม้เป็นชิปรุ่นเก่า แต่ยังใช้งานทั่วไปได้ลื่น ➡️ มีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB ✅ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ใช้งานได้ยาวนาน ➡️ รองรับชาร์จไว 66W (ปลั๊กยุโรป) ➡️ ใช้เทคโนโลยี silicon-carbon ที่ชาร์จเร็วและทนทาน ✅ ระบบปฏิบัติการ MagicOS 9 บน Android 15 ➡️ ยังใช้ UI แบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่ารุ่นมือถือใหม่ ➡️ ไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือเปิด 3 แอปพร้อมกัน ✅ ไม่แถมคีย์บอร์ดในกล่อง และอุปกรณ์เสริมมีข้อจำกัด ➡️ คีย์บอร์ดมีปัญหาทัชแพดไม่แม่นยำ ➡️ ขาตั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น บนเครื่องบิน https://www.slashgear.com/1972266/honor-magicpad-3-review-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Honor's New Android Tablet Checks The Right Boxes, But Using It Left Me Frustrated - SlashGear
    Honor's MagicPad 3 is the latest midrange tablet available with features that look great from the outset but leave us with some questions about what's missed.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI ที่ดูดีแต่มีเหตุผลชาญฉลาดที่ควรคิดก่อนซื้อ

    Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Ray-Ban Display” ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กบนเลนส์ขวา ใช้สำหรับดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสายวิดีโอ และใช้งานฟีเจอร์ AI แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย แว่นตานี้ยังเชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยแปลภาษา ดูแผนที่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวได้ทันที

    จุดเด่นอีกอย่างคือการควบคุมด้วย “Neural Band” สายรัดข้อมือ EMG ที่แปลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นคำสั่ง เช่น การแตะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เพื่อเลื่อนหน้าจอหรือคลิก ซึ่งคล้ายกับฟีเจอร์บน Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า

    แม้จะดูเป็นก้าวใหม่ของการคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ แต่คำว่า “private computing” ที่ Meta เน้นย้ำกลับถูกตั้งคำถาม เพราะบริษัทมีประวัติด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การถูกฟ้องร้องจากอดีตหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ WhatsApp ที่กล่าวหาว่าพนักงานหลายพันคนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่จำกัด

    นอกจากนี้ Meta ยังเคยถูกปรับกว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และมีแผนใช้ข้อมูลจากโพสต์และภาพของผู้ใช้ในยุโรปเพื่อฝึก AI โดยไม่ได้ให้ทางเลือกในการปฏิเสธอย่างชัดเจน

    ในยุคที่ AI สามารถเข้าใจภาพ เสียง และข้อความจากผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ การใส่แว่นตาที่มีไมโครโฟน กล้อง และ AI ตลอดเวลา จึงอาจเป็นดาบสองคมที่ควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ

    Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI รุ่นใหม่
    มีหน้าจอบนเลนส์ขวา ใช้ดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสาย และแปลภาษา
    เชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยเข้าใจสิ่งรอบตัวแบบเรียลไทม์

    ควบคุมด้วย Neural Band สายรัดข้อมือ EMG
    ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือแทนการแตะหรือพูด
    คล้าย Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า

    ดีไซน์เน้นความเรียบหรูแบบ Ray-Ban
    ไม่ดูเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีจนเกินไป
    เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    Meta เน้นคำว่า “private computing” ในการโปรโมต
    อ้างว่ามีการเข้ารหัสและเชื่อมต่อแบบปลอดภัย
    ใช้กับ WhatsApp, Messenger และ Instagram ได้โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1972038/ray-ban-meta-ai-glasses-display-look-great-smart-reason-not-buy/
    📰 Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI ที่ดูดีแต่มีเหตุผลชาญฉลาดที่ควรคิดก่อนซื้อ Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Ray-Ban Display” ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กบนเลนส์ขวา ใช้สำหรับดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสายวิดีโอ และใช้งานฟีเจอร์ AI แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย แว่นตานี้ยังเชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยแปลภาษา ดูแผนที่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวได้ทันที จุดเด่นอีกอย่างคือการควบคุมด้วย “Neural Band” สายรัดข้อมือ EMG ที่แปลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นคำสั่ง เช่น การแตะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เพื่อเลื่อนหน้าจอหรือคลิก ซึ่งคล้ายกับฟีเจอร์บน Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า แม้จะดูเป็นก้าวใหม่ของการคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ แต่คำว่า “private computing” ที่ Meta เน้นย้ำกลับถูกตั้งคำถาม เพราะบริษัทมีประวัติด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การถูกฟ้องร้องจากอดีตหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ WhatsApp ที่กล่าวหาว่าพนักงานหลายพันคนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่จำกัด นอกจากนี้ Meta ยังเคยถูกปรับกว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และมีแผนใช้ข้อมูลจากโพสต์และภาพของผู้ใช้ในยุโรปเพื่อฝึก AI โดยไม่ได้ให้ทางเลือกในการปฏิเสธอย่างชัดเจน ในยุคที่ AI สามารถเข้าใจภาพ เสียง และข้อความจากผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ การใส่แว่นตาที่มีไมโครโฟน กล้อง และ AI ตลอดเวลา จึงอาจเป็นดาบสองคมที่ควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ ✅ Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI รุ่นใหม่ ➡️ มีหน้าจอบนเลนส์ขวา ใช้ดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสาย และแปลภาษา ➡️ เชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยเข้าใจสิ่งรอบตัวแบบเรียลไทม์ ✅ ควบคุมด้วย Neural Band สายรัดข้อมือ EMG ➡️ ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือแทนการแตะหรือพูด ➡️ คล้าย Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า ✅ ดีไซน์เน้นความเรียบหรูแบบ Ray-Ban ➡️ ไม่ดูเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีจนเกินไป ➡️ เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ✅ Meta เน้นคำว่า “private computing” ในการโปรโมต ➡️ อ้างว่ามีการเข้ารหัสและเชื่อมต่อแบบปลอดภัย ➡️ ใช้กับ WhatsApp, Messenger และ Instagram ได้โดยตรง https://www.slashgear.com/1972038/ray-ban-meta-ai-glasses-display-look-great-smart-reason-not-buy/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Meta's New AI Glasses Look Great, But There's A Smart Reason Not To Buy Them - SlashGear
    These Ray-Ban Display glasses look high tech enough, but with the injection of AI comes serious privacy concerns, for both the wearer and those around them.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ระบบปฏิบัติการลินุกซ์นิรนามที่เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และใช้ GNOME 48 เต็มรูปแบบ

    Tails 7.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการแบบพกพา (Live OS) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ โดยเวอร์ชันนี้ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อมกับ Linux Kernel 6.12 LTS ซึ่งรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ดีขึ้น

    หนึ่งในจุดเด่นของ Tails 7.0 คือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ โดยปรับอัลกอริธึมการบีบอัดไฟล์จาก xz เป็น zstd ทำให้ระบบบูตเร็วขึ้น 10–15 วินาทีบนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ แม้จะทำให้ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที

    ในด้านอินเทอร์เฟซ Tails 7.0 ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อมเปลี่ยนแอปเริ่มต้นหลายตัว เช่น GNOME Console แทน GNOME Terminal และ GNOME Loupe แทน GNOME Image Viewer นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแอปสำคัญ เช่น Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4, Inkscape 1.4 และ KeePassXC 2.7.10

    มีการลบฟีเจอร์ที่ล้าสมัยออก เช่น เมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ รวมถึงแพ็กเกจบางตัวที่ไม่จำเป็น เช่น aircrack-ng, unar และ sq เพื่อให้ระบบเบาและปลอดภัยขึ้น

    Tails 7.0 ยังเพิ่มข้อกำหนด RAM จาก 2 GB เป็น 3 GB เพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหล และจะแสดงแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ตรงตามสเปก นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กเกี่ยวกับการเลือกคีย์บอร์ดสำหรับบางภาษา และอุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ผู้ร่วมก่อตั้งและนักพัฒนาอิสระที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ Tails และ Tor

    Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS
    มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์

    ปรับปรุงประสิทธิภาพการบูต
    เปลี่ยนการบีบอัดจาก xz เป็น zstd ทำให้บูตเร็วขึ้น 10–15 วินาที
    ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้น ~10% แต่คุ้มค่ากับความเร็วที่เพิ่มขึ้น

    ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก
    เปลี่ยน GNOME Terminal เป็น GNOME Console
    เปลี่ยน GNOME Image Viewer เป็น GNOME Loupe

    อัปเดตแอปสำคัญหลายตัว
    Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4
    KeePassXC 2.7.10, OnionShare 2.6.3, Electrum 4.5.8

    ลบฟีเจอร์และแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น
    ลบเมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ
    ลบ aircrack-ng, unar และ sq จาก ISO

    เพิ่มข้อกำหนด RAM เป็น 3 GB
    แสดงแจ้งเตือนหากเครื่องมี RAM ไม่เพียงพอ
    เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลและเสถียร

    อุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio)
    ผู้ร่วมก่อตั้ง Tails และนักพัฒนาในโครงการ Tor
    มีบทบาทสำคัญในด้านเทคนิคและการออกแบบผลิตภัณฑ์

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tails 7.0
    หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที
    เครื่องที่มี RAM ต่ำกว่า 3 GB จะได้รับแจ้งเตือนและอาจใช้งานไม่ลื่น
    การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง
    การเปลี่ยนแอปเริ่มต้นอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัวใหม่

    https://9to5linux.com/tails-7-0-anonymous-linux-os-released-based-on-debian-13-trixie
    📰 Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ระบบปฏิบัติการลินุกซ์นิรนามที่เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และใช้ GNOME 48 เต็มรูปแบบ Tails 7.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการแบบพกพา (Live OS) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ โดยเวอร์ชันนี้ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อมกับ Linux Kernel 6.12 LTS ซึ่งรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ดีขึ้น หนึ่งในจุดเด่นของ Tails 7.0 คือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ โดยปรับอัลกอริธึมการบีบอัดไฟล์จาก xz เป็น zstd ทำให้ระบบบูตเร็วขึ้น 10–15 วินาทีบนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ แม้จะทำให้ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที ในด้านอินเทอร์เฟซ Tails 7.0 ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อมเปลี่ยนแอปเริ่มต้นหลายตัว เช่น GNOME Console แทน GNOME Terminal และ GNOME Loupe แทน GNOME Image Viewer นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแอปสำคัญ เช่น Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4, Inkscape 1.4 และ KeePassXC 2.7.10 มีการลบฟีเจอร์ที่ล้าสมัยออก เช่น เมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ รวมถึงแพ็กเกจบางตัวที่ไม่จำเป็น เช่น aircrack-ng, unar และ sq เพื่อให้ระบบเบาและปลอดภัยขึ้น Tails 7.0 ยังเพิ่มข้อกำหนด RAM จาก 2 GB เป็น 3 GB เพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหล และจะแสดงแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ตรงตามสเปก นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กเกี่ยวกับการเลือกคีย์บอร์ดสำหรับบางภาษา และอุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ผู้ร่วมก่อตั้งและนักพัฒนาอิสระที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ Tails และ Tor ✅ Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ ✅ ปรับปรุงประสิทธิภาพการบูต ➡️ เปลี่ยนการบีบอัดจาก xz เป็น zstd ทำให้บูตเร็วขึ้น 10–15 วินาที ➡️ ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้น ~10% แต่คุ้มค่ากับความเร็วที่เพิ่มขึ้น ✅ ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก ➡️ เปลี่ยน GNOME Terminal เป็น GNOME Console ➡️ เปลี่ยน GNOME Image Viewer เป็น GNOME Loupe ✅ อัปเดตแอปสำคัญหลายตัว ➡️ Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4 ➡️ KeePassXC 2.7.10, OnionShare 2.6.3, Electrum 4.5.8 ✅ ลบฟีเจอร์และแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น ➡️ ลบเมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ ➡️ ลบ aircrack-ng, unar และ sq จาก ISO ✅ เพิ่มข้อกำหนด RAM เป็น 3 GB ➡️ แสดงแจ้งเตือนหากเครื่องมี RAM ไม่เพียงพอ ➡️ เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลและเสถียร ✅ อุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ➡️ ผู้ร่วมก่อตั้ง Tails และนักพัฒนาในโครงการ Tor ➡️ มีบทบาทสำคัญในด้านเทคนิคและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tails 7.0 ⛔ หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที ⛔ เครื่องที่มี RAM ต่ำกว่า 3 GB จะได้รับแจ้งเตือนและอาจใช้งานไม่ลื่น ⛔ การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง ⛔ การเปลี่ยนแอปเริ่มต้นอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัวใหม่ https://9to5linux.com/tails-7-0-anonymous-linux-os-released-based-on-debian-13-trixie
    9TO5LINUX.COM
    Tails 7.0 Anonymous Linux OS Officially Released, Based on Debian 13 “Trixie” - 9to5Linux
    Tails 7.0 anonymous Linux OS is now available for download based on Debian 13 “Trixie” and featuring the GNOME 48 desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • YouTube ยอดวิวหายไปไหน? — เมื่อสงครามกับ Ad Blocker ส่งผลต่อการนับยอดวิวทั่วโลก

    ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2025 ผู้สร้างคอนเทนต์บน YouTube หลายรายเริ่มสังเกตว่าจำนวนยอดวิวของวิดีโอลดลงอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะบนคอมพิวเตอร์ ขณะที่ยอดวิวจากมือถือ แท็บเล็ต และทีวียังคงที่ สร้างความสงสัยและความวิตกในวงกว้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบนับยอดวิวของ YouTube

    คำอธิบายที่ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุดคือ “Ad Blocker” — เครื่องมือบล็อกโฆษณาที่ผู้ใช้จำนวนมากติดตั้งไว้ในเบราว์เซอร์ ซึ่งอาจทำให้ YouTube ไม่สามารถนับยอดวิวได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมีการอัปเดต EasyList (รายการที่ใช้โดย Ad Blocker หลายตัว) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่เพิ่มการบล็อกเส้นทาง youtube.com/api/stats/atr ซึ่งเป็น API ที่ใช้ในการนับยอดวิว

    YouTube ได้ออกมายอมรับในโพสต์อย่างเป็นทางการว่า “Ad blockers และเครื่องมือบล็อกเนื้อหาอื่น ๆ อาจส่งผลต่อความแม่นยำของการรายงานยอดวิว” แม้จะไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นสาเหตุหลัก แต่ก็สอดคล้องกับข้อมูลจากหลายช่อง เช่น TechLinked และ Josh Strife Hayes ที่พบว่ายอดวิวจากคอมพิวเตอร์ลดลงถึง 50% ขณะที่รายได้จากโฆษณายังไม่ลดลงตาม

    นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าอาจเกี่ยวข้องกับระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ที่ YouTube เพิ่งเปิดตัว แต่บริษัทได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เกี่ยวข้อง และชี้ว่าอาจเป็นผลจากพฤติกรรมการดูตามฤดูกาล หรือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์ม

    ผู้สร้างคอนเทนต์พบว่ายอดวิวลดลงอย่างมากตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม
    โดยเฉพาะยอดวิวจากคอมพิวเตอร์ ลดลงถึง 50% ในบางกรณี
    ขณะที่ยอดวิวจากมือถือ แท็บเล็ต และทีวียังคงที่

    สาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้คือ Ad Blocker
    EasyList ถูกอัปเดตเมื่อ 11 ส.ค. เพื่อบล็อก API ที่ใช้ในการนับยอดวิว
    ส่งผลให้ยอดวิวจากผู้ใช้ที่เปิด Ad Blockerไม่ถูกนับ

    YouTube ยอมรับว่า Ad Blocker ส่งผลต่อความแม่นยำของยอดวิว
    แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นสาเหตุหลักของปัญหา
    ชี้ว่าช่องที่มีผู้ชมใช้ Ad Blocker มากจะเห็นความผันผวนมากขึ้น

    รายได้จากโฆษณายังไม่ลดลงแม้ยอดวิวจะลด
    แสดงว่าผู้ใช้ที่เปิด Ad Blocker อาจไม่ถูกนับ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้
    ช่องที่มีผู้ชมจากมือถือและทีวีมากยังคงมีรายได้ปกติ

    YouTube ปฏิเสธว่า AI ตรวจสอบอายุไม่เกี่ยวกับปัญหานี้
    ชี้ว่าอาจเป็นผลจากพฤติกรรมการดูตามฤดูกาล
    หรือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์ม

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจาก Ad Blocker
    ผู้ใช้ที่เปิด Ad Blocker อาจทำให้ยอดวิวไม่ถูกนับ
    ส่งผลต่อการวิเคราะห์ข้อมูลและการวางแผนของผู้สร้างคอนเทนต์
    ช่องที่พึ่งพาผู้ชมจากคอมพิวเตอร์อาจได้รับผลกระทบมาก
    การอัปเดตของ Ad Blocker อาจเปลี่ยนพฤติกรรมการนับยอดวิวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    https://9to5google.com/2025/09/18/youtube-lower-view-counts-ad-blockers/
    📰 YouTube ยอดวิวหายไปไหน? — เมื่อสงครามกับ Ad Blocker ส่งผลต่อการนับยอดวิวทั่วโลก ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2025 ผู้สร้างคอนเทนต์บน YouTube หลายรายเริ่มสังเกตว่าจำนวนยอดวิวของวิดีโอลดลงอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะบนคอมพิวเตอร์ ขณะที่ยอดวิวจากมือถือ แท็บเล็ต และทีวียังคงที่ สร้างความสงสัยและความวิตกในวงกว้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบนับยอดวิวของ YouTube คำอธิบายที่ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุดคือ “Ad Blocker” — เครื่องมือบล็อกโฆษณาที่ผู้ใช้จำนวนมากติดตั้งไว้ในเบราว์เซอร์ ซึ่งอาจทำให้ YouTube ไม่สามารถนับยอดวิวได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมีการอัปเดต EasyList (รายการที่ใช้โดย Ad Blocker หลายตัว) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่เพิ่มการบล็อกเส้นทาง youtube.com/api/stats/atr ซึ่งเป็น API ที่ใช้ในการนับยอดวิว YouTube ได้ออกมายอมรับในโพสต์อย่างเป็นทางการว่า “Ad blockers และเครื่องมือบล็อกเนื้อหาอื่น ๆ อาจส่งผลต่อความแม่นยำของการรายงานยอดวิว” แม้จะไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นสาเหตุหลัก แต่ก็สอดคล้องกับข้อมูลจากหลายช่อง เช่น TechLinked และ Josh Strife Hayes ที่พบว่ายอดวิวจากคอมพิวเตอร์ลดลงถึง 50% ขณะที่รายได้จากโฆษณายังไม่ลดลงตาม นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าอาจเกี่ยวข้องกับระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ที่ YouTube เพิ่งเปิดตัว แต่บริษัทได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เกี่ยวข้อง และชี้ว่าอาจเป็นผลจากพฤติกรรมการดูตามฤดูกาล หรือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์ม ✅ ผู้สร้างคอนเทนต์พบว่ายอดวิวลดลงอย่างมากตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม ➡️ โดยเฉพาะยอดวิวจากคอมพิวเตอร์ ลดลงถึง 50% ในบางกรณี ➡️ ขณะที่ยอดวิวจากมือถือ แท็บเล็ต และทีวียังคงที่ ✅ สาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้คือ Ad Blocker ➡️ EasyList ถูกอัปเดตเมื่อ 11 ส.ค. เพื่อบล็อก API ที่ใช้ในการนับยอดวิว ➡️ ส่งผลให้ยอดวิวจากผู้ใช้ที่เปิด Ad Blockerไม่ถูกนับ ✅ YouTube ยอมรับว่า Ad Blocker ส่งผลต่อความแม่นยำของยอดวิว ➡️ แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นสาเหตุหลักของปัญหา ➡️ ชี้ว่าช่องที่มีผู้ชมใช้ Ad Blocker มากจะเห็นความผันผวนมากขึ้น ✅ รายได้จากโฆษณายังไม่ลดลงแม้ยอดวิวจะลด ➡️ แสดงว่าผู้ใช้ที่เปิด Ad Blocker อาจไม่ถูกนับ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้ ➡️ ช่องที่มีผู้ชมจากมือถือและทีวีมากยังคงมีรายได้ปกติ ✅ YouTube ปฏิเสธว่า AI ตรวจสอบอายุไม่เกี่ยวกับปัญหานี้ ➡️ ชี้ว่าอาจเป็นผลจากพฤติกรรมการดูตามฤดูกาล ➡️ หรือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์ม ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจาก Ad Blocker ⛔ ผู้ใช้ที่เปิด Ad Blocker อาจทำให้ยอดวิวไม่ถูกนับ ⛔ ส่งผลต่อการวิเคราะห์ข้อมูลและการวางแผนของผู้สร้างคอนเทนต์ ⛔ ช่องที่พึ่งพาผู้ชมจากคอมพิวเตอร์อาจได้รับผลกระทบมาก ⛔ การอัปเดตของ Ad Blocker อาจเปลี่ยนพฤติกรรมการนับยอดวิวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า https://9to5google.com/2025/09/18/youtube-lower-view-counts-ad-blockers/
    9TO5GOOGLE.COM
    YouTube addresses lower view counts which seem to be caused by ad blockers [U]
    In a new post, YouTube acknowledges creator complaints regarding lower view counts, which may be caused by ad blockers based on new data.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO ของ Blender — ปิดตำนาน 32 ปี พร้อมส่งไม้ต่อสู่ทีมรุ่นใหม่

    ในงาน Blender Conference ปี 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกันยายน Ton Roosendaal ผู้ก่อตั้งและผู้ผลักดันซอฟต์แวร์ 3D แบบโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง Blender ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาจะลงจากตำแหน่งประธานและ CEO ของ Blender Foundation ในวันที่ 1 มกราคม 2026 หลังจากดำรงตำแหน่งมายาวนานกว่า 24 ปี และมีบทบาทกับ Blender มานานถึง 32 ปี

    Ton จะย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแลของ Blender Foundation และส่งไม้ต่อให้กับ Francesco Siddi ซึ่งปัจจุบันเป็น COO ของ Blender โดย Francesco เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012 ในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ VFX artist, web developer ไปจนถึงผู้จัดการด้านความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรม

    การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้มีแค่การเปลี่ยน CEO แต่ยังมีการจัดโครงสร้างใหม่ของทีมบริหาร โดยแบ่งบทบาทสำคัญของ Ton ออกเป็น 4 ด้าน และมอบหมายให้บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ได้แก่ Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา, Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ และ Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ Blender จากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo ไปสู่เครื่องมือระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Epic Games, AMD, Intel และ NVIDIA โดยในปีที่ผ่านมา Blender มีรายได้กว่า €3.1 ล้าน และสามารถจ้างทีมพัฒนาเต็มเวลาได้มากกว่า 15 คน

    Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO และประธาน Blender Foundation
    จะลงจากตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม 2026
    ย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแล

    Francesco Siddi จะรับตำแหน่ง CEO คนใหม่
    เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012
    มีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร

    โครงสร้างบริหารใหม่แบ่งบทบาทออกเป็น 4 ด้าน
    Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา
    Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์
    Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ
    Francesco Siddi รับบทบาทผู้ประกอบการและผู้นำองค์กร

    Blender เติบโตจากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ สู่เครื่องมือระดับโลก
    เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo และกลายเป็นโอเพ่นซอร์สในปี 2002
    ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ
    มีรายได้จากผู้สนับสนุนองค์กรเกือบ 40% ของรายรับรวม

    การเปลี่ยนผ่านสะท้อนความพร้อมของทีมรุ่นใหม่
    Ton กล่าวว่า “Blender ต้องทำงานได้โดยไม่มีผม”
    ทีมใหม่มีความสามารถหลากหลายและพร้อมนำ Blender สู่ทศวรรษหน้า

    https://www.cgchannel.com/2025/09/ton-roosendaal-to-step-down-as-blender-chairman-and-ceo/
    📰 Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO ของ Blender — ปิดตำนาน 32 ปี พร้อมส่งไม้ต่อสู่ทีมรุ่นใหม่ ในงาน Blender Conference ปี 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกันยายน Ton Roosendaal ผู้ก่อตั้งและผู้ผลักดันซอฟต์แวร์ 3D แบบโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง Blender ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาจะลงจากตำแหน่งประธานและ CEO ของ Blender Foundation ในวันที่ 1 มกราคม 2026 หลังจากดำรงตำแหน่งมายาวนานกว่า 24 ปี และมีบทบาทกับ Blender มานานถึง 32 ปี Ton จะย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแลของ Blender Foundation และส่งไม้ต่อให้กับ Francesco Siddi ซึ่งปัจจุบันเป็น COO ของ Blender โดย Francesco เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012 ในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ VFX artist, web developer ไปจนถึงผู้จัดการด้านความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้มีแค่การเปลี่ยน CEO แต่ยังมีการจัดโครงสร้างใหม่ของทีมบริหาร โดยแบ่งบทบาทสำคัญของ Ton ออกเป็น 4 ด้าน และมอบหมายให้บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ได้แก่ Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา, Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ และ Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ Blender จากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo ไปสู่เครื่องมือระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Epic Games, AMD, Intel และ NVIDIA โดยในปีที่ผ่านมา Blender มีรายได้กว่า €3.1 ล้าน และสามารถจ้างทีมพัฒนาเต็มเวลาได้มากกว่า 15 คน ✅ Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO และประธาน Blender Foundation ➡️ จะลงจากตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม 2026 ➡️ ย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแล ✅ Francesco Siddi จะรับตำแหน่ง CEO คนใหม่ ➡️ เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012 ➡️ มีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร ✅ โครงสร้างบริหารใหม่แบ่งบทบาทออกเป็น 4 ด้าน ➡️ Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา ➡️ Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ➡️ Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ ➡️ Francesco Siddi รับบทบาทผู้ประกอบการและผู้นำองค์กร ✅ Blender เติบโตจากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ สู่เครื่องมือระดับโลก ➡️ เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo และกลายเป็นโอเพ่นซอร์สในปี 2002 ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ➡️ มีรายได้จากผู้สนับสนุนองค์กรเกือบ 40% ของรายรับรวม ✅ การเปลี่ยนผ่านสะท้อนความพร้อมของทีมรุ่นใหม่ ➡️ Ton กล่าวว่า “Blender ต้องทำงานได้โดยไม่มีผม” ➡️ ทีมใหม่มีความสามารถหลากหลายและพร้อมนำ Blender สู่ทศวรรษหน้า https://www.cgchannel.com/2025/09/ton-roosendaal-to-step-down-as-blender-chairman-and-ceo/
    WWW.CGCHANNEL.COM
    Ton Roosendaal to step down as Blender chairman and CEO
    Original Blender creator to hand over role as CEO of the Blender Foundation to COO Francesco Siddi at the start of next year.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง

    ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน

    แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3

    บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16%

    บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน

    บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น

    Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน
    ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา
    ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5

    บั๊กที่ 1: Context window routing error
    คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด
    ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม

    บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU
    โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ
    เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด

    บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation
    การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก
    เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32

    Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว
    ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน
    เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่

    ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down
    Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น
    Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ

    https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    📰 Anthropic เปิดเบื้องหลัง 3 บั๊กใหญ่ที่ทำให้ Claude ตอบผิดเพี้ยน — เมื่อ AI ไม่ได้ “เนิร์ฟ” แต่โครงสร้างพื้นฐานพัง ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายน 2025 ผู้ใช้ Claude หลายคนเริ่มสังเกตว่าคุณภาพการตอบกลับของโมเดลลดลงอย่างผิดปกติ บางคนได้รับคำตอบที่แปลกประหลาด เช่นมีตัวอักษรไทยโผล่กลางข้อความภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่ผิดไวยากรณ์อย่างชัดเจน จนเกิดข้อสงสัยว่า Anthropic กำลัง “ลดคุณภาพ” ของโมเดลเพื่อจัดการกับโหลดหรือควบคุมต้นทุน แต่ล่าสุด Anthropic ได้ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก “บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา โดยมีทั้งหมด 3 บั๊กที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อโมเดล Claude หลายรุ่น ได้แก่ Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 และ Opus 3 บั๊กแรกคือการ “ส่งคำขอผิดเซิร์ฟเวอร์” โดยคำขอที่ควรใช้ context window แบบสั้น กลับถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เตรียมไว้สำหรับ context window ขนาด 1 ล้านโทเคน ซึ่งยังไม่พร้อมใช้งาน ทำให้การตอบกลับผิดเพี้ยนและช้า โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ load balancing ทำให้คำขอผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 16% บั๊กที่สองคือ “การสร้างโทเคนผิดพลาด” บนเซิร์ฟเวอร์ TPU ซึ่งเกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ทำให้โมเดลเลือกโทเคนที่ไม่ควรปรากฏ เช่น ตัวอักษรจีนหรือไทยในคำตอบภาษาอังกฤษ หรือโค้ดที่มี syntax ผิดอย่างชัดเจน บั๊กสุดท้ายคือ “การคอมไพล์ผิดพลาดใน XLA:TPU” ซึ่งเกิดจากการใช้การคำนวณแบบ approximate top-k ที่ควรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้โมเดลเลือกโทเคนผิด โดยเฉพาะเมื่อใช้ precision ที่ไม่ตรงกันระหว่าง bf16 และ fp32 ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ Anthropic ได้แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว และประกาศแผนปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพให้ละเอียดขึ้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ debug ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ใช้ให้ส่ง feedback เมื่อพบปัญหา เพื่อช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ✅ Claude ตอบผิดเพี้ยนจาก 3 บั๊กในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ไม่ใช่การลดคุณภาพโดยเจตนา ➡️ ส่งผลกระทบต่อหลายรุ่น เช่น Sonnet 4, Opus 4.1, Haiku 3.5 ✅ บั๊กที่ 1: Context window routing error ➡️ คำขอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ context window 1M โดยผิดพลาด ➡️ ส่งผลให้คำตอบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนสิงหาคม ✅ บั๊กที่ 2: Output corruption บน TPU ➡️ โทเคนที่ไม่ควรปรากฏถูกเลือก เช่น “สวัสดี” ในคำตอบภาษาอังกฤษ ➡️ เกิดจากการปรับแต่งประสิทธิภาพที่ผิดพลาด ✅ บั๊กที่ 3: XLA:TPU miscompilation ➡️ การใช้ approximate top-k ทำให้โทเคนที่ควรมีโอกาสสูงสุดถูกตัดออก ➡️ เกิดจาก precision mismatch ระหว่าง bf16 และ fp32 ✅ Anthropic แก้ไขบั๊กทั้งหมดแล้ว ➡️ ปรับ routing logic / rollback การเปลี่ยนแปลง / ใช้ exact top-k แทน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพและเครื่องมือ debug ใหม่ ✅ ผู้ใช้สามารถช่วยแจ้งปัญหาได้โดยใช้ /bug หรือปุ่ม thumbs down ➡️ Feedback จากผู้ใช้ช่วยให้ทีมงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น ➡️ Anthropic ยืนยันความโปร่งใสและขอบคุณชุมชนที่ช่วยเหลือ https://www.anthropic.com/engineering/a-postmortem-of-three-recent-issues
    WWW.ANTHROPIC.COM
    A postmortem of three recent issues
    This is a technical report on three bugs that intermittently degraded responses from Claude. Below we explain what happened, why it took time to fix, and what we're changing.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Slack vs Hack Club: เมื่อ SaaS ยักษ์ใหญ่เรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม 39 เท่าในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

    Hack Club องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้การศึกษาด้านการเขียนโปรแกรมแก่เยาวชนทั่วโลก กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อ Slack ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ใช้สื่อสารภายในองค์กรมากว่า 11 ปี ได้แจ้งว่าหากไม่จ่ายเงินเพิ่มอีก $50,000 ภายในสัปดาห์นี้ และเปลี่ยนแผนเป็น $195,000 ต่อปี พื้นที่ทำงานของ Hack Club จะถูกปิดและข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบ

    เดิมที Hack Club เคยใช้แผนฟรีสำหรับองค์กรไม่แสวงหากำไร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นแผน $5,000/ปี ซึ่งพวกเขายินดีจ่าย เพราะเห็นคุณค่าของบริการ แต่การขึ้นราคาครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มถึง 39 เท่า โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าอย่างเหมาะสม ทำให้ทีมงานต้องเร่งย้ายระบบทั้งหมดไปยัง Mattermost ภายในเวลาอันจำกัด

    หลังโพสต์ของ Mahad Kalam จาก Hack Club ถูกแชร์อย่างกว้างขวางใน Hacker News และ X (Twitter) ซีอีโอของ Slack ได้ติดต่อกลับมาเพื่อ “แก้ไขสถานการณ์” แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด แต่ Hack Club ยืนยันว่าเงื่อนไขใหม่ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับการพึ่งพา SaaS และความจำเป็นในการ “เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเอง”

    https://skyfall.dev/posts/slack
    📰 Slack vs Hack Club: เมื่อ SaaS ยักษ์ใหญ่เรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม 39 เท่าในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ Hack Club องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้การศึกษาด้านการเขียนโปรแกรมแก่เยาวชนทั่วโลก กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อ Slack ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ใช้สื่อสารภายในองค์กรมากว่า 11 ปี ได้แจ้งว่าหากไม่จ่ายเงินเพิ่มอีก $50,000 ภายในสัปดาห์นี้ และเปลี่ยนแผนเป็น $195,000 ต่อปี พื้นที่ทำงานของ Hack Club จะถูกปิดและข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบ เดิมที Hack Club เคยใช้แผนฟรีสำหรับองค์กรไม่แสวงหากำไร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นแผน $5,000/ปี ซึ่งพวกเขายินดีจ่าย เพราะเห็นคุณค่าของบริการ แต่การขึ้นราคาครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มถึง 39 เท่า โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าอย่างเหมาะสม ทำให้ทีมงานต้องเร่งย้ายระบบทั้งหมดไปยัง Mattermost ภายในเวลาอันจำกัด หลังโพสต์ของ Mahad Kalam จาก Hack Club ถูกแชร์อย่างกว้างขวางใน Hacker News และ X (Twitter) ซีอีโอของ Slack ได้ติดต่อกลับมาเพื่อ “แก้ไขสถานการณ์” แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด แต่ Hack Club ยืนยันว่าเงื่อนไขใหม่ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับการพึ่งพา SaaS และความจำเป็นในการ “เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเอง” https://skyfall.dev/posts/slack
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ‘DITP’ นำทัพ ดึง ‘กูรูดัง’ ติวเข้มโครงการ ‘OTOP Premium Go Inter ปีที่ 10’ ดันสินค้าไทยสู่ตลาดโลก!
    https://www.thai-tai.tv/news/21546/
    .
    #ไทยไท #DITP #OTOP #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าววันนี้ #ส่งออก
    ‘DITP’ นำทัพ ดึง ‘กูรูดัง’ ติวเข้มโครงการ ‘OTOP Premium Go Inter ปีที่ 10’ ดันสินค้าไทยสู่ตลาดโลก! https://www.thai-tai.tv/news/21546/ . #ไทยไท #DITP #OTOP #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าววันนี้ #ส่งออก
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เมื่อความเศร้าไม่มีวันหมดอายุ — บันทึกของหมอฉุกเฉินผู้เป็นแม่หม้าย กับคำถามว่า “ยังเศร้าอยู่เหรอ?”

    บทความจาก Bess Stillman แพทย์ฉุกเฉินและนักเขียนผู้สูญเสียสามี Jake Seliger จากมะเร็งลิ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ถ่ายทอดความรู้สึกของการอยู่กับความเศร้าอย่างไม่มีกำหนดเวลา เธอเล่าว่าแม้เวลาจะผ่านไป แต่ความรู้สึกสูญเสียยังคงอยู่ในทุกการกระทำ ตั้งแต่การจองร้านอาหารที่เคยไปด้วยกัน ไปจนถึงการเลี้ยงลูกสาว Athena ที่มีใบหน้าเหมือนพ่อของเธอ

    บทความตั้งคำถามต่อการวินิจฉัย “ภาวะโศกเศร้าเรื้อรัง” (Prolonged Grief Disorder) ที่ถูกระบุใน DSM-5-TR โดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งกำหนดว่า หากผู้ใหญ่ยังมีอาการเศร้าอย่างรุนแรงเกิน 1 ปีหลังการสูญเสีย อาจเข้าข่ายภาวะผิดปกติ แต่ Bess มองว่า ความเศร้าไม่ใช่โรค และการพยายามจัดระเบียบความเศร้าอาจสะท้อนความกลัวของสังคมต่อความเจ็บปวดมากกว่าความเข้าใจ

    เธอเปรียบเทียบความเศร้าเป็น “การเรียนรู้ที่เจ็บปวด” ซึ่งต้องใช้การทำซ้ำเพื่อปรับตัวกับโลกที่ไม่มีคนรักอยู่ และแม้เธอจะสามารถกลับไปทำงาน ดูแลลูก และใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ภายในยังคงมีความรู้สึกสูญเสียที่ไม่เคยหายไป

    บทความยังสะท้อนความจริงที่ว่า สังคมมักหลีกเลี่ยงความเศร้า และพยายามหาคำอธิบายเพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด เช่น การถามถึงปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งของสามี เพื่อให้รู้สึกว่า “ฉันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น” ทั้งที่ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

    ความเศร้าไม่มีวันหมดอายุ และไม่ควรถูกจำกัดด้วยกรอบเวลา
    Bess ยังรู้สึกถึง Jake ในชีวิตประจำวัน แม้เขาจะจากไปแล้วหนึ่งปี
    ความทรงจำและความรักยังคงอยู่ในทุกการกระทำ

    DSM-5-TR ระบุภาวะ “โศกเศร้าเรื้อรัง” หากมีอาการเกิน 1 ปี
    ต้องมีอาการอย่างน้อย 3 อย่าง เช่น ความรู้สึกไร้ความหมาย หรือความเศร้าอย่างรุนแรง
    Bess ตั้งคำถามว่า “แค่ 3 อาการก็เป็นโรคแล้วหรือ?”

    ความเศร้าเป็นการเรียนรู้ที่เจ็บปวด
    สมองต้องปรับตัวกับโลกที่ไม่มีคนรักอยู่
    การทำซ้ำช่วยให้เข้าใจว่าเขาจะไม่กลับมาอีก

    สังคมพยายามหลีกเลี่ยงความเศร้า
    คนมักถามถึงปัจจัยเสี่ยงเพื่อป้องกันตัวเองจากความกลัว
    ความเศร้าถูกซ่อนไว้หลังประตูห้องน้ำหรือการเดินเล่นคนเดียว

    ความเศร้าไม่ใช่โรค แต่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์
    Bess ยืนยันว่า “ฉันไม่ได้ป่วย ฉันแค่ยังรักอยู่”
    ความเจ็บปวดคือหลักฐานของความรักที่ลึกซึ้ง

    คำเตือนเกี่ยวกับการวินิจฉัยความเศร้า
    การกำหนดกรอบเวลาอาจทำให้ผู้สูญเสียรู้สึกผิดที่ยังเศร้าอยู่
    การวินิจฉัยอาจสะท้อนความกลัวของสังคมมากกว่าความเข้าใจ
    การซ่อนความเศร้าอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดในระยะยาว
    ความคาดหวังให้ “หายเศร้า” อาจทำให้ผู้สูญเสียรู้สึกโดดเดี่ยว

    https://bessstillman.substack.com/p/oh-****-youre-still-sad
    📰 เมื่อความเศร้าไม่มีวันหมดอายุ — บันทึกของหมอฉุกเฉินผู้เป็นแม่หม้าย กับคำถามว่า “ยังเศร้าอยู่เหรอ?” บทความจาก Bess Stillman แพทย์ฉุกเฉินและนักเขียนผู้สูญเสียสามี Jake Seliger จากมะเร็งลิ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ถ่ายทอดความรู้สึกของการอยู่กับความเศร้าอย่างไม่มีกำหนดเวลา เธอเล่าว่าแม้เวลาจะผ่านไป แต่ความรู้สึกสูญเสียยังคงอยู่ในทุกการกระทำ ตั้งแต่การจองร้านอาหารที่เคยไปด้วยกัน ไปจนถึงการเลี้ยงลูกสาว Athena ที่มีใบหน้าเหมือนพ่อของเธอ บทความตั้งคำถามต่อการวินิจฉัย “ภาวะโศกเศร้าเรื้อรัง” (Prolonged Grief Disorder) ที่ถูกระบุใน DSM-5-TR โดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งกำหนดว่า หากผู้ใหญ่ยังมีอาการเศร้าอย่างรุนแรงเกิน 1 ปีหลังการสูญเสีย อาจเข้าข่ายภาวะผิดปกติ แต่ Bess มองว่า ความเศร้าไม่ใช่โรค และการพยายามจัดระเบียบความเศร้าอาจสะท้อนความกลัวของสังคมต่อความเจ็บปวดมากกว่าความเข้าใจ เธอเปรียบเทียบความเศร้าเป็น “การเรียนรู้ที่เจ็บปวด” ซึ่งต้องใช้การทำซ้ำเพื่อปรับตัวกับโลกที่ไม่มีคนรักอยู่ และแม้เธอจะสามารถกลับไปทำงาน ดูแลลูก และใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ภายในยังคงมีความรู้สึกสูญเสียที่ไม่เคยหายไป บทความยังสะท้อนความจริงที่ว่า สังคมมักหลีกเลี่ยงความเศร้า และพยายามหาคำอธิบายเพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด เช่น การถามถึงปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งของสามี เพื่อให้รู้สึกว่า “ฉันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น” ทั้งที่ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ✅ ความเศร้าไม่มีวันหมดอายุ และไม่ควรถูกจำกัดด้วยกรอบเวลา ➡️ Bess ยังรู้สึกถึง Jake ในชีวิตประจำวัน แม้เขาจะจากไปแล้วหนึ่งปี ➡️ ความทรงจำและความรักยังคงอยู่ในทุกการกระทำ ✅ DSM-5-TR ระบุภาวะ “โศกเศร้าเรื้อรัง” หากมีอาการเกิน 1 ปี ➡️ ต้องมีอาการอย่างน้อย 3 อย่าง เช่น ความรู้สึกไร้ความหมาย หรือความเศร้าอย่างรุนแรง ➡️ Bess ตั้งคำถามว่า “แค่ 3 อาการก็เป็นโรคแล้วหรือ?” ✅ ความเศร้าเป็นการเรียนรู้ที่เจ็บปวด ➡️ สมองต้องปรับตัวกับโลกที่ไม่มีคนรักอยู่ ➡️ การทำซ้ำช่วยให้เข้าใจว่าเขาจะไม่กลับมาอีก ✅ สังคมพยายามหลีกเลี่ยงความเศร้า ➡️ คนมักถามถึงปัจจัยเสี่ยงเพื่อป้องกันตัวเองจากความกลัว ➡️ ความเศร้าถูกซ่อนไว้หลังประตูห้องน้ำหรือการเดินเล่นคนเดียว ✅ ความเศร้าไม่ใช่โรค แต่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ ➡️ Bess ยืนยันว่า “ฉันไม่ได้ป่วย ฉันแค่ยังรักอยู่” ➡️ ความเจ็บปวดคือหลักฐานของความรักที่ลึกซึ้ง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการวินิจฉัยความเศร้า ⛔ การกำหนดกรอบเวลาอาจทำให้ผู้สูญเสียรู้สึกผิดที่ยังเศร้าอยู่ ⛔ การวินิจฉัยอาจสะท้อนความกลัวของสังคมมากกว่าความเข้าใจ ⛔ การซ่อนความเศร้าอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดในระยะยาว ⛔ ความคาดหวังให้ “หายเศร้า” อาจทำให้ผู้สูญเสียรู้สึกโดดเดี่ยว https://bessstillman.substack.com/p/oh-fuck-youre-still-sad
    BESSSTILLMAN.SUBSTACK.COM
    Oh fuck, you're still sad?
    Grief gets an expiration date. Just like us.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • เขมรใช้เวทีAIPAตีไทย "ฉลาด"ยกความจริงโต้ : [NEWS UPDATE]
    นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ใน ฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย กล่าวถ้อยแถลงบนเวที ประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียน(AIPA) ภายหลังกัมพูชากล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชา ชี้ กัมพูชา
    ขยายความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำลายบรรยากาศฉันมิตรของ AIPA บิดเบือนกฎหมายระหว่างประเทศ ยิงจรวด BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนของพลเรือนไทย ลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา เล่าความจริงเหตุการณ์บริเวณบ้านหนองหญ้าปล้อง จังหวัดสระแก้ว อยู่ในอธิปไตยไทย มีการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทย ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องระงับเหตุ ตามหลักสากลและหลักสิทธิมนุษยชน


    ทวงคืนแดนไทย 17 จุด

    รวมไทยสร้างชาติ ไปต่อ

    "ทักษิณ"พบนักจิตวิทยา

    สยบลือแคนดิเดตนายกฯ
    เขมรใช้เวทีAIPAตีไทย "ฉลาด"ยกความจริงโต้ : [NEWS UPDATE] นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ใน ฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย กล่าวถ้อยแถลงบนเวที ประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภาอาเซียน(AIPA) ภายหลังกัมพูชากล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชา ชี้ กัมพูชา ขยายความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำลายบรรยากาศฉันมิตรของ AIPA บิดเบือนกฎหมายระหว่างประเทศ ยิงจรวด BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนของพลเรือนไทย ลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา เล่าความจริงเหตุการณ์บริเวณบ้านหนองหญ้าปล้อง จังหวัดสระแก้ว อยู่ในอธิปไตยไทย มีการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทย ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องระงับเหตุ ตามหลักสากลและหลักสิทธิมนุษยชน ทวงคืนแดนไทย 17 จุด รวมไทยสร้างชาติ ไปต่อ "ทักษิณ"พบนักจิตวิทยา สยบลือแคนดิเดตนายกฯ
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 0 Reviews
  • Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง

    หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่

    ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94%

    Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง
    ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่
    ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores

    ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4
    Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก
    Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ

    มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่
    รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก
    อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94%

    Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต
    คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD
    แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น

    https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    📰 Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่ ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026 อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94% ✅ Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง ➡️ ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่ ➡️ ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores ✅ ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4 ➡️ Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก ➡️ Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ ✅ มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่ ➡️ รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ➡️ อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94% ✅ Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต ➡️ คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD ➡️ แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    WCCFTECH.COM
    Intel Assures They Will Continue To Have GPU Product Offerings In The Future, NVIDIA Deal Complimentary To Product Roadmap
    Intel has reassured that it will continue to have GPU products in the future despite the new NVIDIA deal, which was announced today.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • โปรดเกล้าฯ ครม.ใหม่ ‘อนุทิน’ ควบ มท. 'สุชาติ' นั่งรองนายกฯ ควบทรัพยากรฯ! ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ 24 ก.ย.นี้
    https://www.thai-tai.tv/news/21548/
    .
    #ไทยไท #ครม #อนุทินชาญวีรกูล #ธรรมนัสพรหมเผ่า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    โปรดเกล้าฯ ครม.ใหม่ ‘อนุทิน’ ควบ มท. 'สุชาติ' นั่งรองนายกฯ ควบทรัพยากรฯ! ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ 24 ก.ย.นี้ https://www.thai-tai.tv/news/21548/ . #ไทยไท #ครม #อนุทินชาญวีรกูล #ธรรมนัสพรหมเผ่า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • AI ดันตลาด HDD สะเทือน — รอ 32TB นานเป็นปี ราคาพุ่งทั่วโลก ขณะที่ SSD ก็เริ่มโดนหางเลข

    ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่คิดเร็ว แต่ยัง “กินพื้นที่” อย่างมหาศาล ความต้องการจัดเก็บข้อมูลระดับเทราไบต์จึงพุ่งทะยานแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม HDD ความจุสูงอย่าง 32TB ที่ตอนนี้ต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ หรือเกือบหนึ่งปีเต็ม2 ข้อมูลจาก TrendForce และ TechRadar ระบุว่า hyperscaler รายใหญ่ เช่น Google และ Oracle กำลังเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลก

    Western Digital และ Seagate ต่างประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD โดยให้เหตุผลว่า “ความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และการลงทุนในนวัตกรรมใหม่เป็นต้นทุนหลัก ขณะเดียวกัน SSD ก็เริ่มถูกดึงเข้ามาใช้งานแม้ในงาน cold data ที่เดิมที HDD เป็นตัวเลือกหลัก เพราะราคาถูกต่อ GB แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการคลาวด์เริ่มหันมาใช้ QLC SSD แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลน HDD

    อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD สำหรับ cold data ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน การปรับระบบซอฟต์แวร์ และความเข้ากันได้ของอัลกอริธึมจัดการข้อมูล ซึ่งหากไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้ต้นทุนรวมพุ่งเกินควบคุมได้ง่าย

    ความต้องการ HDD ความจุสูงพุ่งจากการขยายระบบ AI
    Hyperscaler อย่าง Google, Oracle, Amazon เร่งซื้อ HDD สำหรับงาน inference
    ความต้องการ cold data storage เพิ่มขึ้นจากการฝึกและใช้งานโมเดล AI

    HDD ขนาด 32TB ขึ้นไปต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์
    30TB ยังพอมีในตลาด เช่น Seagate Exos Mozaic+
    การขนส่งล่าช้าเพิ่มอีก 6–10 สัปดาห์จากการใช้เรือสินค้า

    Western Digital และ Seagate ประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD
    อ้างเหตุผลจากความต้องการสูงและต้นทุนการพัฒนา
    กระทบทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ใช้งานทั่วไป

    SSD เริ่มถูกนำมาใช้แทน HDD แม้ในงาน cold data
    QLC SSD มีความเร็วสูงและใช้พลังงานน้อยลง ~30%
    คาดว่า QLC SSD จะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026

    การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบหลายด้าน
    ต้องอัปเดตอัลกอริธึมจัดการข้อมูลและตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์
    ต้องคำนวณต้นทุนรวมอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมงบประมาณ

    https://www.techradar.com/pro/surging-ai-demand-for-hdd-means-that-you-may-have-to-wait-up-to-a-year-for-32-tb-hard-disk-drives-warns-research-and-yes-prices-are-also-going-up
    📰 AI ดันตลาด HDD สะเทือน — รอ 32TB นานเป็นปี ราคาพุ่งทั่วโลก ขณะที่ SSD ก็เริ่มโดนหางเลข ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่คิดเร็ว แต่ยัง “กินพื้นที่” อย่างมหาศาล ความต้องการจัดเก็บข้อมูลระดับเทราไบต์จึงพุ่งทะยานแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม HDD ความจุสูงอย่าง 32TB ที่ตอนนี้ต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ หรือเกือบหนึ่งปีเต็ม2 ข้อมูลจาก TrendForce และ TechRadar ระบุว่า hyperscaler รายใหญ่ เช่น Google และ Oracle กำลังเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลก Western Digital และ Seagate ต่างประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD โดยให้เหตุผลว่า “ความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และการลงทุนในนวัตกรรมใหม่เป็นต้นทุนหลัก ขณะเดียวกัน SSD ก็เริ่มถูกดึงเข้ามาใช้งานแม้ในงาน cold data ที่เดิมที HDD เป็นตัวเลือกหลัก เพราะราคาถูกต่อ GB แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการคลาวด์เริ่มหันมาใช้ QLC SSD แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลน HDD อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD สำหรับ cold data ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน การปรับระบบซอฟต์แวร์ และความเข้ากันได้ของอัลกอริธึมจัดการข้อมูล ซึ่งหากไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้ต้นทุนรวมพุ่งเกินควบคุมได้ง่าย ✅ ความต้องการ HDD ความจุสูงพุ่งจากการขยายระบบ AI ➡️ Hyperscaler อย่าง Google, Oracle, Amazon เร่งซื้อ HDD สำหรับงาน inference ➡️ ความต้องการ cold data storage เพิ่มขึ้นจากการฝึกและใช้งานโมเดล AI ✅ HDD ขนาด 32TB ขึ้นไปต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ ➡️ 30TB ยังพอมีในตลาด เช่น Seagate Exos Mozaic+ ➡️ การขนส่งล่าช้าเพิ่มอีก 6–10 สัปดาห์จากการใช้เรือสินค้า ✅ Western Digital และ Seagate ประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD ➡️ อ้างเหตุผลจากความต้องการสูงและต้นทุนการพัฒนา ➡️ กระทบทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ใช้งานทั่วไป ✅ SSD เริ่มถูกนำมาใช้แทน HDD แม้ในงาน cold data ➡️ QLC SSD มีความเร็วสูงและใช้พลังงานน้อยลง ~30% ➡️ คาดว่า QLC SSD จะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 ✅ การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบหลายด้าน ➡️ ต้องอัปเดตอัลกอริธึมจัดการข้อมูลและตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ ➡️ ต้องคำนวณต้นทุนรวมอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมงบประมาณ https://www.techradar.com/pro/surging-ai-demand-for-hdd-means-that-you-may-have-to-wait-up-to-a-year-for-32-tb-hard-disk-drives-warns-research-and-yes-prices-are-also-going-up
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
More Results