• เรื่องเล่าจากบทความ: เมื่อ “Abundance” ปะทะ “Anti-Monopoly” ในสนามนโยบายที่อยู่อาศัย

    ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2024 แนวคิด “Abundance” หรือ “ความมั่งคั่งเข้าถึงได้” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเสนอให้ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและขั้นตอนราชการ เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย พลังงาน และการขนส่ง

    แต่ฝ่าย “Anti-Monopoly” หรือ “ต่อต้านการผูกขาด” กลับมองว่าแนวคิดนี้อาจเปิดช่องให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองตลาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น

    บทความหลายชิ้นชี้ว่า การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ควรเลือกข้างระหว่าง “สร้างเยอะ” กับ “ควบคุมตลาด” แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดทั้งปริมาณและความเป็นธรรม

    แนวคิด Abundance เน้นลดข้อจำกัดเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    เช่น ลดขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง
    ส่งเสริมการลงทุนในที่อยู่อาศัย พลังงานสะอาด และระบบขนส่ง

    ฝ่าย Anti-Monopoly เตือนว่าการลดข้อจำกัดอาจเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด
    โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยที่บริษัทใหญ่เริ่มครอบครอง
    ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าสูงขึ้น

    นักวิจารณ์เสนอว่าไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน
    สร้างที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น
    พร้อมควบคุมไม่ให้ตลาดถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน

    มีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ถือครองบ้านเดี่ยวจำนวนมากในบางพื้นที่
    เกิดการรวมศูนย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
    ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านได้ยากขึ้น

    แนวคิด Abundance ยังเสนอให้ลดภาระต่อระบบนวัตกรรม เช่น R&D และการพัฒนาเทคโนโลยี
    เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย
    ลดต้นทุนการใช้ชีวิตในระยะยาว

    การลดข้อจำกัดโดยไม่ควบคุมอาจนำไปสู่การผูกขาดในตลาดที่อยู่อาศัย
    บริษัทใหญ่สามารถซื้อบ้านจำนวนมากและควบคุมราคา
    ทำให้ประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน

    การเน้น “สร้างเยอะ” โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและการกระจายอาจสร้างปัญหาใหม่
    ที่อยู่อาศัยอาจไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย
    เกิดการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่

    การพึ่งพาภาคเอกชนมากเกินไปอาจทำให้รัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแล
    รัฐอาจไม่สามารถควบคุมราคาหรือคุณภาพได้
    ประชาชนอาจกลายเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีอำนาจต่อรอง

    การมองข้ามบทบาทของนโยบายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระยะยาว
    ตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่เกิดนวัตกรรม
    ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก

    https://www.derekthompson.org/p/the-anti-abundance-critique-on-housing
    🎙️ เรื่องเล่าจากบทความ: เมื่อ “Abundance” ปะทะ “Anti-Monopoly” ในสนามนโยบายที่อยู่อาศัย ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2024 แนวคิด “Abundance” หรือ “ความมั่งคั่งเข้าถึงได้” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเสนอให้ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและขั้นตอนราชการ เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย พลังงาน และการขนส่ง แต่ฝ่าย “Anti-Monopoly” หรือ “ต่อต้านการผูกขาด” กลับมองว่าแนวคิดนี้อาจเปิดช่องให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองตลาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น บทความหลายชิ้นชี้ว่า การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ควรเลือกข้างระหว่าง “สร้างเยอะ” กับ “ควบคุมตลาด” แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดทั้งปริมาณและความเป็นธรรม ✅ แนวคิด Abundance เน้นลดข้อจำกัดเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เช่น ลดขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง ➡️ ส่งเสริมการลงทุนในที่อยู่อาศัย พลังงานสะอาด และระบบขนส่ง ✅ ฝ่าย Anti-Monopoly เตือนว่าการลดข้อจำกัดอาจเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด ➡️ โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยที่บริษัทใหญ่เริ่มครอบครอง ➡️ ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าสูงขึ้น ✅ นักวิจารณ์เสนอว่าไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน ➡️ สร้างที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น ➡️ พร้อมควบคุมไม่ให้ตลาดถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน ✅ มีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ถือครองบ้านเดี่ยวจำนวนมากในบางพื้นที่ ➡️ เกิดการรวมศูนย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ➡️ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านได้ยากขึ้น ✅ แนวคิด Abundance ยังเสนอให้ลดภาระต่อระบบนวัตกรรม เช่น R&D และการพัฒนาเทคโนโลยี ➡️ เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ ลดต้นทุนการใช้ชีวิตในระยะยาว ‼️ การลดข้อจำกัดโดยไม่ควบคุมอาจนำไปสู่การผูกขาดในตลาดที่อยู่อาศัย ⛔ บริษัทใหญ่สามารถซื้อบ้านจำนวนมากและควบคุมราคา ⛔ ทำให้ประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน ‼️ การเน้น “สร้างเยอะ” โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและการกระจายอาจสร้างปัญหาใหม่ ⛔ ที่อยู่อาศัยอาจไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย ⛔ เกิดการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ ‼️ การพึ่งพาภาคเอกชนมากเกินไปอาจทำให้รัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแล ⛔ รัฐอาจไม่สามารถควบคุมราคาหรือคุณภาพได้ ⛔ ประชาชนอาจกลายเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ‼️ การมองข้ามบทบาทของนโยบายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระยะยาว ⛔ ตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่เกิดนวัตกรรม ⛔ ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก https://www.derekthompson.org/p/the-anti-abundance-critique-on-housing
    WWW.DEREKTHOMPSON.ORG
    The Anti-Abundance Critique on Housing Is Dead Wrong
    Antitrust critics say that homebuilding monopolies are the real culprit of America’s housing woes. I looked into some of their claims. They don’t hold up.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก—แต่ข้อมูลที่หลุดอาจมาจากอดีตคู่แข่งที่ล้มละลาย

    INC Ransom ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีประวัติการโจมตีองค์กรทั่วโลก ได้โพสต์ชื่อ Dollar Tree บนเว็บไซต์ของตน พร้อมอ้างว่าได้ขโมยข้อมูลกว่า 1.2TB ซึ่งรวมถึงเอกสารสำคัญและข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง และขู่ว่าจะเปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่

    แต่ Dollar Tree ออกแถลงการณ์ปฏิเสธทันที โดยระบุว่า “ข้อมูลที่หลุดนั้นเป็นของ 99 Cents Only” ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024 และ Dollar Tree ได้ซื้อสิทธิ์การเช่าอาคารบางแห่งมาเปิดร้านใหม่เท่านั้น ไม่ได้ซื้อระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทนั้นแต่อย่างใด

    99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว ทำให้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลจากฝั่งนั้นได้ ขณะที่ Dollar Tree ยืนยันว่า “ไม่มีการเจาะระบบของเรา” และ “ไม่มีการซื้อข้อมูลหรือระบบจาก 99 Cents Only”

    INC Ransom อ้างว่าเจาะระบบ Dollar Tree และขโมยข้อมูล 1.2TB
    รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง
    ขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่

    Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก และระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นของ 99 Cents Only
    บริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024
    Dollar Tree ซื้อแค่สิทธิ์การเช่าอาคาร ไม่ได้ซื้อระบบหรือข้อมูล

    99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว
    Dollar Tree เปิดร้านใหม่ในอาคารเดิม 170 แห่ง
    ไม่มีการรวมระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทเดิม

    Dollar Tree เป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ มีรายได้กว่า $17.6 พันล้านในปี 2024
    มีสาขากว่า 15,000 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา
    มีพนักงานมากกว่า 65,000 คน

    INC Ransom เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ multi-extortion ที่โจมตีองค์กรทั่วโลก
    เคยโจมตีองค์กรในภาครัฐ การศึกษา และสุขภาพ
    ใช้เทคนิคขู่เปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่

    99 Cents Only ยื่นล้มละลายในเดือนเมษายน 2024 จากผลกระทบของเงินเฟ้อ โควิด และการแข่งขันที่รุนแรง
    ปิดกิจการทั้งหมดภายในกลางปี 2024
    เป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่ล้มละลายจากภาวะเศรษฐกิจ

    INC Ransom เคยโจมตีองค์กรระดับสูง เช่น Stark AeroSpace และ Xerox Corporation
    ไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
    มีเหยื่อมากกว่า 200 รายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

    การโจมตีแบบ multi-extortion คือการขโมยข้อมูล + ขู่เปิดเผย + เรียกค่าไถ่ เป็นรูปแบบที่เพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อยอมจ่าย ต้องมีระบบป้องกันและแผนตอบสนองที่ชัดเจน

    การซื้อกิจการหรือทรัพย์สินจากบริษัทที่ล้มละลายต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเข้มงวด
    ไม่ใช่แค่ตรวจสอบทรัพย์สินทางกายภาพ แต่ต้องรวมถึงระบบดิจิทัล
    ควรมีการล้างข้อมูลและ audit ก่อนนำมาใช้งาน

    แม้ Dollar Tree จะไม่ถูกเจาะโดยตรง แต่ข้อมูลจาก 99 Cents Only อาจมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเดิมหรือพนักงานที่ยังมีผลกระทบ
    หากข้อมูลนั้นยังมีความเชื่อมโยงกับระบบที่ Dollar Tree ใช้ อาจเกิดความเสี่ยง
    ต้องตรวจสอบว่าไม่มีการนำข้อมูลเดิมมาใช้ซ้ำในระบบใหม่

    การซื้อสิทธิ์เช่าอาคารโดยไม่ซื้อระบบ ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลจะปลอดภัยเสมอไป
    หากมีการโอนอุปกรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ได้ล้างข้อมูล อาจเกิดการรั่วไหล
    ต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินดิจิทัลอย่างละเอียดก่อนนำมาใช้งาน

    การปฏิเสธการถูกแฮกอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีการตรวจสอบระบบอย่างโปร่งใส
    ควรมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก
    เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตร

    การโจมตีแบบ multi-extortion ของ INC Ransom อาจยังดำเนินต่อไป แม้บริษัทจะไม่จ่ายค่าไถ่
    ข้อมูลอาจถูกเปิดเผยในอนาคตเพื่อกดดันเพิ่มเติม
    ต้องเตรียมแผนรับมือด้านสื่อและกฎหมายล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/dollar-tree-denies-data-breach-says-hacker-targeted-its-rival-instead
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก—แต่ข้อมูลที่หลุดอาจมาจากอดีตคู่แข่งที่ล้มละลาย INC Ransom ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีประวัติการโจมตีองค์กรทั่วโลก ได้โพสต์ชื่อ Dollar Tree บนเว็บไซต์ของตน พร้อมอ้างว่าได้ขโมยข้อมูลกว่า 1.2TB ซึ่งรวมถึงเอกสารสำคัญและข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง และขู่ว่าจะเปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ Dollar Tree ออกแถลงการณ์ปฏิเสธทันที โดยระบุว่า “ข้อมูลที่หลุดนั้นเป็นของ 99 Cents Only” ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024 และ Dollar Tree ได้ซื้อสิทธิ์การเช่าอาคารบางแห่งมาเปิดร้านใหม่เท่านั้น ไม่ได้ซื้อระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทนั้นแต่อย่างใด 99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว ทำให้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลจากฝั่งนั้นได้ ขณะที่ Dollar Tree ยืนยันว่า “ไม่มีการเจาะระบบของเรา” และ “ไม่มีการซื้อข้อมูลหรือระบบจาก 99 Cents Only” ✅ INC Ransom อ้างว่าเจาะระบบ Dollar Tree และขโมยข้อมูล 1.2TB ➡️ รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง ➡️ ขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ ✅ Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก และระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นของ 99 Cents Only ➡️ บริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024 ➡️ Dollar Tree ซื้อแค่สิทธิ์การเช่าอาคาร ไม่ได้ซื้อระบบหรือข้อมูล ✅ 99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว ➡️ Dollar Tree เปิดร้านใหม่ในอาคารเดิม 170 แห่ง ➡️ ไม่มีการรวมระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทเดิม ✅ Dollar Tree เป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ มีรายได้กว่า $17.6 พันล้านในปี 2024 ➡️ มีสาขากว่า 15,000 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา ➡️ มีพนักงานมากกว่า 65,000 คน ✅ INC Ransom เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ multi-extortion ที่โจมตีองค์กรทั่วโลก ➡️ เคยโจมตีองค์กรในภาครัฐ การศึกษา และสุขภาพ ➡️ ใช้เทคนิคขู่เปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ ✅ 99 Cents Only ยื่นล้มละลายในเดือนเมษายน 2024 จากผลกระทบของเงินเฟ้อ โควิด และการแข่งขันที่รุนแรง ➡️ ปิดกิจการทั้งหมดภายในกลางปี 2024 ➡️ เป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่ล้มละลายจากภาวะเศรษฐกิจ ✅ INC Ransom เคยโจมตีองค์กรระดับสูง เช่น Stark AeroSpace และ Xerox Corporation ➡️ ไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ➡️ มีเหยื่อมากกว่า 200 รายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ✅ การโจมตีแบบ multi-extortion คือการขโมยข้อมูล + ขู่เปิดเผย + เรียกค่าไถ่ ➡️ เป็นรูปแบบที่เพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อยอมจ่าย ➡️ ต้องมีระบบป้องกันและแผนตอบสนองที่ชัดเจน ✅ การซื้อกิจการหรือทรัพย์สินจากบริษัทที่ล้มละลายต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเข้มงวด ➡️ ไม่ใช่แค่ตรวจสอบทรัพย์สินทางกายภาพ แต่ต้องรวมถึงระบบดิจิทัล ➡️ ควรมีการล้างข้อมูลและ audit ก่อนนำมาใช้งาน ‼️ แม้ Dollar Tree จะไม่ถูกเจาะโดยตรง แต่ข้อมูลจาก 99 Cents Only อาจมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเดิมหรือพนักงานที่ยังมีผลกระทบ ⛔ หากข้อมูลนั้นยังมีความเชื่อมโยงกับระบบที่ Dollar Tree ใช้ อาจเกิดความเสี่ยง ⛔ ต้องตรวจสอบว่าไม่มีการนำข้อมูลเดิมมาใช้ซ้ำในระบบใหม่ ‼️ การซื้อสิทธิ์เช่าอาคารโดยไม่ซื้อระบบ ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลจะปลอดภัยเสมอไป ⛔ หากมีการโอนอุปกรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ได้ล้างข้อมูล อาจเกิดการรั่วไหล ⛔ ต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินดิจิทัลอย่างละเอียดก่อนนำมาใช้งาน ‼️ การปฏิเสธการถูกแฮกอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีการตรวจสอบระบบอย่างโปร่งใส ⛔ ควรมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก ⛔ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตร ‼️ การโจมตีแบบ multi-extortion ของ INC Ransom อาจยังดำเนินต่อไป แม้บริษัทจะไม่จ่ายค่าไถ่ ⛔ ข้อมูลอาจถูกเปิดเผยในอนาคตเพื่อกดดันเพิ่มเติม ⛔ ต้องเตรียมแผนรับมือด้านสื่อและกฎหมายล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/dollar-tree-denies-data-breach-says-hacker-targeted-its-rival-instead
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Zhaoxin เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ หวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Zhaoxin ได้เปิดตัวสองชิปรุ่นใหม่ ได้แก่:
    - KaiXian KX-7000N สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เน้นการใช้งาน AI
    - Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูล

    KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี Neural Processing Unit (NPU) ในตัว เพื่อรองรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสร้างเนื้อหาอัจฉริยะ การรู้จำใบหน้า และการประมวลผลภาพแบบออฟไลน์

    ส่วน KH-50000 เป็นชิปเซิร์ฟเวอร์ที่มีถึง 96 คอร์ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 3 เท่า พร้อมแคช L3 ขนาด 384 MB และรองรับ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน รวมถึงหน่วยความจำ DDR5 แบบ 12 ช่อง พร้อมระบบเชื่อมต่อ ZPI 5.0 ที่สามารถต่อชิปได้ถึง 4 ตัวในเมนบอร์ดเดียว รวมเป็น 384 คอร์

    แม้ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่อย่างเป็นทางการ แต่การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดดบ่งชี้ว่า Zhaoxin กำลังพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อแข่งขันกับ AMD EPYC 9004 และ Intel Xeon

    Zhaoxin เปิดตัวชิปใหม่ 2 รุ่นในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้
    KaiXian KX-7000N สำหรับ AI PC และ Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    KaiXian KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU ในตัว
    รองรับงาน AI เช่น การรู้จำใบหน้า การเขียนเอกสารอัจฉริยะ และการสร้างภาพ
    เพิ่มจำนวนคอร์และเปลี่ยนจาก PCIe 4.0 เป็น PCIe 5.0

    Kaisheng KH-50000 มี 96 คอร์ และแคช L3 ขนาด 384 MB
    เพิ่มจากรุ่นก่อน KH-40000 ที่มีเพียง 32 คอร์และแคช 64 MB
    รองรับ 128 PCIe 5.0 lanes และ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง

    KH-50000 รองรับการเชื่อมต่อหลายชิปผ่าน ZPI 5.0
    สามารถต่อได้สูงสุด 4 ชิปต่อเมนบอร์ด รวมเป็น 384 คอร์
    เหมาะสำหรับงาน AI training และ inference ในระดับองค์กร

    Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่ แต่คาดว่าไม่ใช่ Yongfeng รุ่นเดิม
    การเพิ่มคอร์และฟีเจอร์บ่งชี้ถึงการออกแบบใหม่
    อาจเป็นก้าวสำคัญในการแข่งขันกับ AMD และ Intel

    https://www.techspot.com/news/108881-zhaoxin-debuts-advanced-consumer-server-chips-shanghai-conference.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Zhaoxin เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ หวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Zhaoxin ได้เปิดตัวสองชิปรุ่นใหม่ ได้แก่: - KaiXian KX-7000N สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เน้นการใช้งาน AI - Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูล KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี Neural Processing Unit (NPU) ในตัว เพื่อรองรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสร้างเนื้อหาอัจฉริยะ การรู้จำใบหน้า และการประมวลผลภาพแบบออฟไลน์ ส่วน KH-50000 เป็นชิปเซิร์ฟเวอร์ที่มีถึง 96 คอร์ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 3 เท่า พร้อมแคช L3 ขนาด 384 MB และรองรับ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน รวมถึงหน่วยความจำ DDR5 แบบ 12 ช่อง พร้อมระบบเชื่อมต่อ ZPI 5.0 ที่สามารถต่อชิปได้ถึง 4 ตัวในเมนบอร์ดเดียว รวมเป็น 384 คอร์ แม้ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่อย่างเป็นทางการ แต่การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดดบ่งชี้ว่า Zhaoxin กำลังพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อแข่งขันกับ AMD EPYC 9004 และ Intel Xeon ✅ Zhaoxin เปิดตัวชิปใหม่ 2 รุ่นในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ ➡️ KaiXian KX-7000N สำหรับ AI PC และ Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ KaiXian KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU ในตัว ➡️ รองรับงาน AI เช่น การรู้จำใบหน้า การเขียนเอกสารอัจฉริยะ และการสร้างภาพ ➡️ เพิ่มจำนวนคอร์และเปลี่ยนจาก PCIe 4.0 เป็น PCIe 5.0 ✅ Kaisheng KH-50000 มี 96 คอร์ และแคช L3 ขนาด 384 MB ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อน KH-40000 ที่มีเพียง 32 คอร์และแคช 64 MB ➡️ รองรับ 128 PCIe 5.0 lanes และ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง ✅ KH-50000 รองรับการเชื่อมต่อหลายชิปผ่าน ZPI 5.0 ➡️ สามารถต่อได้สูงสุด 4 ชิปต่อเมนบอร์ด รวมเป็น 384 คอร์ ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI training และ inference ในระดับองค์กร ✅ Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่ แต่คาดว่าไม่ใช่ Yongfeng รุ่นเดิม ➡️ การเพิ่มคอร์และฟีเจอร์บ่งชี้ถึงการออกแบบใหม่ ➡️ อาจเป็นก้าวสำคัญในการแข่งขันกับ AMD และ Intel https://www.techspot.com/news/108881-zhaoxin-debuts-advanced-consumer-server-chips-shanghai-conference.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Zhaoxin unveils new consumer and server CPUs aimed at challenging global semiconductor giants
    This week, Chinese semiconductor company Zhaoxin introduced its latest generation of consumer and enterprise processors at the 2025 World Artificial Intelligence Conference in Shanghai. Two new flagship...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย?

    หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง

    แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน

    ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน”

    แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband
    อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน
    Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม

    ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก
    เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia
    ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน

    EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025
    มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย
    ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU
    คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act
    ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ

    เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป
    ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต
    ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย? หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน” แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband ➡️ อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน ➡️ Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม ✅ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก ➡️ เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia ➡️ ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน ✅ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย ➡️ ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU ➡️ คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act ➡️ ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ ✅ เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป ➡️ ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต ➡️ ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Network fee on Big Tech not a viable solution to boost EU digital rollout, EU says
    BRUSSELS (Reuters) -The European Commission does not think that imposing a network fee on Big Tech companies is a viable solution to the debate over who should fund the rollout of 5G and broadband, a spokesman for the EU executive said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากตลาดจำลอง: เมื่อ AI เทรดเดอร์ฮั้วกันเองโดยไม่รู้ตัว

    ทีมนักวิจัยจาก Wharton และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง ได้เผยแพร่รายงานผ่าน National Bureau of Economic Research ว่า AI เทรดเดอร์ที่ใช้ reinforcement learning สามารถ “ฮั้วกันเอง” ได้ในตลาดจำลอง โดยไม่ต้องมีการสื่อสารหรือเจตนาใด ๆ

    พฤติกรรมฮั้วเกิดขึ้นจาก 2 กลไกหลัก:

    1️⃣ “Artificial Intelligence” – การใช้กลยุทธ์แบบ price-trigger ที่ลงโทษผู้ที่เบี่ยงเบนจากพฤติกรรมกลุ่ม

    2️⃣ “Artificial Stupidity” – การเรียนรู้แบบ over-pruning ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่ และเลือกใช้วิธีที่ “พอได้กำไร” โดยไม่พยายามปรับปรุง

    ผลลัพธ์คือบอทเหล่านี้สร้างกำไรแบบฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจ และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้ถูกจับตาจากหน่วยงานกำกับดูแล

    แม้จะเป็นการทดลองในตลาดจำลอง แต่ผลลัพธ์ก็สะท้อนถึงความเสี่ยงในตลาดจริง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกใช้มากขึ้นในระบบการซื้อขายของกองทุนและธนาคารทั่วโลก

    นักวิจัยพบว่า AI เทรดเดอร์สามารถฮั้วกันเองได้ในตลาดจำลอง2
    ใช้ reinforcement learning โดยไม่มีการสื่อสารหรือเจตนา
    สร้างกำไรแบบ supra-competitive โดยไม่ละเมิดกฎโดยตรง

    พฤติกรรมฮั้วเกิดจากสองกลไกหลัก3
    “Artificial Intelligence”: price-trigger strategy ที่ลงโทษผู้เบี่ยงเบน
    “Artificial Stupidity”: over-pruning bias ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่

    บอทเลือกใช้กลยุทธ์ที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตา
    หลีกเลี่ยงการเทรดเชิงรุก
    สร้างกำไรร่วมกันแบบเงียบ ๆ

    การจำกัดความซับซ้อนของอัลกอริธึมอาจทำให้ปัญหาแย่ลง
    ยิ่งลดความสามารถ ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด “ความโง่แบบฮั้ว”
    ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาดโดยรวม

    หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มสนใจผลการวิจัยนี้
    FINRA เชิญนักวิจัยไปนำเสนอผลการศึกษา
    บริษัท quant บางแห่งเริ่มขอแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจน

    AI เทรดเดอร์อาจฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจในตลาดจริง
    แม้ไม่มีเจตนา แต่ผลลัพธ์อาจละเมิดกฎการแข่งขัน
    สร้างความเสียหายต่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาด

    การฮั้วแบบ “โง่ ๆ” อาจทำให้ตลาดขาดสภาพคล่องและข้อมูลราคาที่แท้จริง
    บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่และเลือกวิธีที่ปลอดภัยเกินไป
    ราคาสินทรัพย์อาจไม่สะท้อนข้อมูลพื้นฐาน

    การกำกับดูแลที่เน้นลดความซับซ้อนของ AI อาจย้อนกลับมาทำร้ายตลาด
    ยิ่งลดความสามารถของ AI ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด over-pruning bias
    ทำให้บอทเลือกฮั้วกันแทนที่จะพัฒนาแนวทางใหม่

    ยังไม่มีหลักฐานว่าการฮั้วของ AI เกิดขึ้นจริงในตลาดปัจจุบัน แต่ความเสี่ยงใกล้ตัวมากขึ้น
    การใช้ AI ในการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกองทุนและธนาคาร
    หากไม่กำกับตั้งแต่ต้น อาจเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/researchers-find-automated-financial-traders-will-collude-with-each-other-through-a-combination-of-artificial-intelligence-and-artificial-stupidity
    🧠 เรื่องเล่าจากตลาดจำลอง: เมื่อ AI เทรดเดอร์ฮั้วกันเองโดยไม่รู้ตัว ทีมนักวิจัยจาก Wharton และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง ได้เผยแพร่รายงานผ่าน National Bureau of Economic Research ว่า AI เทรดเดอร์ที่ใช้ reinforcement learning สามารถ “ฮั้วกันเอง” ได้ในตลาดจำลอง โดยไม่ต้องมีการสื่อสารหรือเจตนาใด ๆ พฤติกรรมฮั้วเกิดขึ้นจาก 2 กลไกหลัก: 1️⃣ “Artificial Intelligence” – การใช้กลยุทธ์แบบ price-trigger ที่ลงโทษผู้ที่เบี่ยงเบนจากพฤติกรรมกลุ่ม 2️⃣ “Artificial Stupidity” – การเรียนรู้แบบ over-pruning ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่ และเลือกใช้วิธีที่ “พอได้กำไร” โดยไม่พยายามปรับปรุง ผลลัพธ์คือบอทเหล่านี้สร้างกำไรแบบฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจ และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้ถูกจับตาจากหน่วยงานกำกับดูแล แม้จะเป็นการทดลองในตลาดจำลอง แต่ผลลัพธ์ก็สะท้อนถึงความเสี่ยงในตลาดจริง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกใช้มากขึ้นในระบบการซื้อขายของกองทุนและธนาคารทั่วโลก ✅ นักวิจัยพบว่า AI เทรดเดอร์สามารถฮั้วกันเองได้ในตลาดจำลอง2 ➡️ ใช้ reinforcement learning โดยไม่มีการสื่อสารหรือเจตนา ➡️ สร้างกำไรแบบ supra-competitive โดยไม่ละเมิดกฎโดยตรง ✅ พฤติกรรมฮั้วเกิดจากสองกลไกหลัก3 ➡️ “Artificial Intelligence”: price-trigger strategy ที่ลงโทษผู้เบี่ยงเบน ➡️ “Artificial Stupidity”: over-pruning bias ที่ทำให้บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่ ✅ บอทเลือกใช้กลยุทธ์ที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตา ➡️ หลีกเลี่ยงการเทรดเชิงรุก ➡️ สร้างกำไรร่วมกันแบบเงียบ ๆ ✅ การจำกัดความซับซ้อนของอัลกอริธึมอาจทำให้ปัญหาแย่ลง ➡️ ยิ่งลดความสามารถ ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด “ความโง่แบบฮั้ว” ➡️ ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาดโดยรวม ✅ หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มสนใจผลการวิจัยนี้ ➡️ FINRA เชิญนักวิจัยไปนำเสนอผลการศึกษา ➡️ บริษัท quant บางแห่งเริ่มขอแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจน ‼️ AI เทรดเดอร์อาจฮั้วกันโดยไม่ตั้งใจในตลาดจริง ⛔ แม้ไม่มีเจตนา แต่ผลลัพธ์อาจละเมิดกฎการแข่งขัน ⛔ สร้างความเสียหายต่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาด ‼️ การฮั้วแบบ “โง่ ๆ” อาจทำให้ตลาดขาดสภาพคล่องและข้อมูลราคาที่แท้จริง ⛔ บอทหยุดคิดกลยุทธ์ใหม่และเลือกวิธีที่ปลอดภัยเกินไป ⛔ ราคาสินทรัพย์อาจไม่สะท้อนข้อมูลพื้นฐาน ‼️ การกำกับดูแลที่เน้นลดความซับซ้อนของ AI อาจย้อนกลับมาทำร้ายตลาด ⛔ ยิ่งลดความสามารถของ AI ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิด over-pruning bias ⛔ ทำให้บอทเลือกฮั้วกันแทนที่จะพัฒนาแนวทางใหม่ ‼️ ยังไม่มีหลักฐานว่าการฮั้วของ AI เกิดขึ้นจริงในตลาดปัจจุบัน แต่ความเสี่ยงใกล้ตัวมากขึ้น ⛔ การใช้ AI ในการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกองทุนและธนาคาร ⛔ หากไม่กำกับตั้งแต่ต้น อาจเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/researchers-find-automated-financial-traders-will-collude-with-each-other-through-a-combination-of-artificial-intelligence-and-artificial-stupidity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Researchers find automated financial traders will collude with each other through a combination of 'artificial intelligence' and 'artificial stupidity'
    How do you regulate an industry when automated tools can learn how to collude with each other without explicitly being told to do so?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ

    เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์

    ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei

    แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ

    HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B
    ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025
    สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper

    ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว
    มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์
    ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน

    HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native
    ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure
    เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ

    DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน
    เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก
    แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน

    HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ
    เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย
    ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า

    HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ
    เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central
    ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE

    การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร
    อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง
    ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว

    การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล
    เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง
    สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด”

    การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย
    แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE
    การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว

    การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ
    ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง
    สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์ ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ ✅ HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B ➡️ ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025 ➡️ สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper ✅ ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว ➡️ มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน ✅ HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native ➡️ ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure ➡️ เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ ✅ DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน ➡️ เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก ➡️ แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน ✅ HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย ➡️ ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า ✅ HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central ➡️ ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE ‼️ การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร ⛔ อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง ⛔ ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว ‼️ การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง ⛔ สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด” ‼️ การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย ⛔ แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE ⛔ การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว ‼️ การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ ⛔ ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง ⛔ สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • อันดับโลกน้องบิว ขึ้นพรวด 30/07/68 #บิว ภูริพล #ภูริพล บุญสอน #การแข่งขันกรีฑา #กีฬามหาวิทยาลัยโลก 2025
    อันดับโลกน้องบิว ขึ้นพรวด 30/07/68 #บิว ภูริพล #ภูริพล บุญสอน #การแข่งขันกรีฑา #กีฬามหาวิทยาลัยโลก 2025
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์: เมื่อ Opera ลุกขึ้นสู้กับ Edge เพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Opera ได้ยื่นคำร้องต่อ CADE (หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของบราซิล) โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้ “กลยุทธ์การออกแบบที่ชักจูง” หรือที่เรียกว่า dark patterns เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ Windows ใช้ Edge เป็นเบราว์เซอร์หลัก ทั้งที่ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่นไว้แล้ว

    Opera ระบุว่า Microsoft:
    - ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ (OEMs) เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น
    - ไม่เปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่น เช่น Opera ได้รับการติดตั้งล่วงหน้า
    - ใช้เครื่องมือในระบบ เช่น Widgets, Teams, Search และ Outlook เปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้
    - แสดงข้อความรบกวนเมื่อผู้ใช้พยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่น

    Opera หวังว่าบราซิลจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นดำเนินการตาม และเรียกร้องให้ Microsoft ยุติการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างเสรี

    Opera ยื่นคำร้องต่อ CADE ในบราซิล กล่าวหา Microsoft ใช้กลยุทธ์ไม่เป็นธรรมเพื่อผลักดัน Edge
    เป็นการฟ้องร้องในตลาดสำคัญของ Opera ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมาก
    หวังให้บราซิลเป็นแบบอย่างระดับโลกในการควบคุม Big Tech

    Microsoft ถูกกล่าวหาว่าใช้ “manipulative design tactics” และ “dark patterns” ใน Windows
    เช่น การเปิดไฟล์ PDF ผ่าน Edge แม้ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่น
    การแสดงข้อความรบกวนเมื่อพยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์คู่แข่ง

    Opera ระบุว่า Microsoft ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น
    ส่งผลให้เบราว์เซอร์อื่นไม่มีโอกาสถูกติดตั้งล่วงหน้า
    เป็นการปิดกั้นการแข่งขันตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์

    Opera เรียกร้องให้ CADE สั่งให้ Microsoft ยุติการใช้ dark patterns และเปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่นได้ติดตั้งล่วงหน้า
    รวมถึงการยกเลิกข้อกำหนด “S mode” ที่จำกัดการติดตั้งซอฟต์แวร์จากเว็บ
    เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างอิสระ

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Opera ฟ้อง Microsoft ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดเบราว์เซอร์
    เคยฟ้องในสหภาพยุโรปเมื่อปี 2007 กรณี Internet Explorer
    และเคยเรียกร้องให้ Edge ถูกจัดเป็น “gatekeeper” ภายใต้กฎหมาย DMA ของ EU แต่ไม่สำเร็จ

    ผู้ใช้ Windows อาจไม่รู้ว่าการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของตนถูกละเมิด
    เครื่องมือในระบบเปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้
    ส่งผลให้เกิดความสับสนและลดความไว้วางใจในระบบ

    การใช้ dark patterns อาจบั่นทอนเสรีภาพในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ของผู้บริโภค
    ผู้ใช้ถูกชักจูงโดยไม่รู้ตัวให้ใช้ Edge
    เป็นการลดโอกาสของเบราว์เซอร์คู่แข่งในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม

    การให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge อาจละเมิดหลักการการแข่งขันเสรี
    เบราว์เซอร์อื่นถูกกีดกันตั้งแต่ระดับโรงงาน
    ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกตั้งแต่ซื้อเครื่อง

    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการผูกขาดในตลาดเบราว์เซอร์โดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความหลากหลายของนวัตกรรมและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    อาจต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ

    https://www.neowin.net/news/opera-files-complaint-against-microsoft-for-manipulating-customers-into-using-edge/
    🧭 เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์: เมื่อ Opera ลุกขึ้นสู้กับ Edge เพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขัน ในเดือนกรกฎาคม 2025 Opera ได้ยื่นคำร้องต่อ CADE (หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของบราซิล) โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้ “กลยุทธ์การออกแบบที่ชักจูง” หรือที่เรียกว่า dark patterns เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ Windows ใช้ Edge เป็นเบราว์เซอร์หลัก ทั้งที่ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่นไว้แล้ว Opera ระบุว่า Microsoft: - ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ (OEMs) เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น - ไม่เปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่น เช่น Opera ได้รับการติดตั้งล่วงหน้า - ใช้เครื่องมือในระบบ เช่น Widgets, Teams, Search และ Outlook เปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้ - แสดงข้อความรบกวนเมื่อผู้ใช้พยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่น Opera หวังว่าบราซิลจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นดำเนินการตาม และเรียกร้องให้ Microsoft ยุติการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างเสรี ✅ Opera ยื่นคำร้องต่อ CADE ในบราซิล กล่าวหา Microsoft ใช้กลยุทธ์ไม่เป็นธรรมเพื่อผลักดัน Edge ➡️ เป็นการฟ้องร้องในตลาดสำคัญของ Opera ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมาก ➡️ หวังให้บราซิลเป็นแบบอย่างระดับโลกในการควบคุม Big Tech ✅ Microsoft ถูกกล่าวหาว่าใช้ “manipulative design tactics” และ “dark patterns” ใน Windows ➡️ เช่น การเปิดไฟล์ PDF ผ่าน Edge แม้ผู้ใช้ตั้งค่าเบราว์เซอร์อื่น ➡️ การแสดงข้อความรบกวนเมื่อพยายามดาวน์โหลดเบราว์เซอร์คู่แข่ง ✅ Opera ระบุว่า Microsoft ให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ส่งผลให้เบราว์เซอร์อื่นไม่มีโอกาสถูกติดตั้งล่วงหน้า ➡️ เป็นการปิดกั้นการแข่งขันตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์ ✅ Opera เรียกร้องให้ CADE สั่งให้ Microsoft ยุติการใช้ dark patterns และเปิดโอกาสให้เบราว์เซอร์อื่นได้ติดตั้งล่วงหน้า ➡️ รวมถึงการยกเลิกข้อกำหนด “S mode” ที่จำกัดการติดตั้งซอฟต์แวร์จากเว็บ ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเบราว์เซอร์ได้อย่างอิสระ ✅ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Opera ฟ้อง Microsoft ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดเบราว์เซอร์ ➡️ เคยฟ้องในสหภาพยุโรปเมื่อปี 2007 กรณี Internet Explorer ➡️ และเคยเรียกร้องให้ Edge ถูกจัดเป็น “gatekeeper” ภายใต้กฎหมาย DMA ของ EU แต่ไม่สำเร็จ ‼️ ผู้ใช้ Windows อาจไม่รู้ว่าการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของตนถูกละเมิด ⛔ เครื่องมือในระบบเปิดลิงก์ผ่าน Edge โดยไม่สนใจการตั้งค่าของผู้ใช้ ⛔ ส่งผลให้เกิดความสับสนและลดความไว้วางใจในระบบ ‼️ การใช้ dark patterns อาจบั่นทอนเสรีภาพในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ของผู้บริโภค ⛔ ผู้ใช้ถูกชักจูงโดยไม่รู้ตัวให้ใช้ Edge ⛔ เป็นการลดโอกาสของเบราว์เซอร์คู่แข่งในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ‼️ การให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อให้ติดตั้ง Edge อาจละเมิดหลักการการแข่งขันเสรี ⛔ เบราว์เซอร์อื่นถูกกีดกันตั้งแต่ระดับโรงงาน ⛔ ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกตั้งแต่ซื้อเครื่อง ‼️ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการผูกขาดในตลาดเบราว์เซอร์โดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความหลากหลายของนวัตกรรมและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ⛔ อาจต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ https://www.neowin.net/news/opera-files-complaint-against-microsoft-for-manipulating-customers-into-using-edge/
    WWW.NEOWIN.NET
    Opera files complaint against Microsoft for manipulating customers into using Edge
    Opera has filed a complaint against Microsoft Edge, claiming that the Redmond firm uses deceptive tactics to get customers to use its browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ “แฟลช” จะมาแทน “แรม” ในงาน AI

    ลองจินตนาการว่า GPU สำหรับงาน AI ไม่ต้องพึ่ง DRAM แบบ HBM ที่แพงและจำกัดความจุอีกต่อไป แต่ใช้แฟลชความเร็วสูงที่มีความจุระดับ SSD—นั่นคือเป้าหมายของ Sandisk กับเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash)

    Sandisk ได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค โดยดึงสองตำนานแห่งวงการคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้นำ ได้แก่ Prof. David Patterson ผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID และ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel เพื่อผลักดัน HBF ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำสำหรับ AI

    HBF ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับเทคนิค CBA wafer bonding และการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ทำให้สามารถให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM ได้ แต่มีความจุสูงถึง 4TB ต่อ GPU และต้นทุนต่ำกว่าอย่างมหาศาล

    Sandisk เปิดตัวเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) เพื่อใช้แทน HBM ในงาน AI
    ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับ CBA wafer bonding
    รองรับการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ

    HBF ให้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่มีความจุสูงกว่า 8 เท่าในต้นทุนใกล้เคียงกัน
    GPU ที่ใช้ HBF สามารถมี VRAM ได้ถึง 4TB
    หากใช้ร่วมกับ HBM จะได้รวมสูงสุดถึง 3TB

    Sandisk ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโดยมี David Patterson และ Raja Koduri เป็นผู้นำ
    Patterson คือผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID
    Koduri เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel

    HBF ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และ edge computing
    Patterson ระบุว่า HBF จะช่วยลดต้นทุนของงาน AI ที่ปัจจุบันยังแพงเกินไป
    Koduri ระบุว่า HBF จะพลิกโฉม edge AI โดยให้แบนด์วิดธ์และความจุสูงในอุปกรณ์ขนาดเล็ก

    HBF ใช้ electrical interface เดียวกับ HBM และต้องปรับ protocol เพียงเล็กน้อย
    ทำให้สามารถนำไปใช้กับ GPU ได้ง่ายขึ้น
    ไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด

    เปิดตัวครั้งแรกในงาน Future FWD 2025 พร้อมแผนพัฒนา HBF รุ่นต่อไป
    มี roadmap เพิ่มความจุและแบนด์วิดธ์ในอนาคต
    อาจมี trade-off ด้านการใช้พลังงาน

    HBF ยังไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของ HBM และมีข้อจำกัดด้าน latency
    NAND Flash มี latency สูงกว่า DRAM
    เหมาะกับงาน inference และ training มากกว่างานที่ต้องตอบสนองเร็ว

    การใช้งาน HBF ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ผลิต GPU โดยตรง
    ต้องใช้ interposer ที่เชื่อมต่อกับ GPU โดยเฉพาะ
    หาก NVIDIA ไม่รับรอง HBF อาจจำกัดการใช้งานในตลาด

    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ HBF อย่างเป็นทางการ
    อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ
    ต้องรอการยอมรับจากอุตสาหกรรมก่อนใช้งานจริง

    การแข่งขันกับผู้ผลิต HBM อย่าง Samsung และ SK Hynix ยังเข้มข้น
    HBM มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA
    Sandisk ต้องผลักดัน HBF ให้เป็นมาตรฐานเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาด

    https://www.techradar.com/pro/sandisk-recruits-risc-cofounder-amd-graphics-legend-to-spearhead-cheaper-rival-to-hbm-high-bandwidth-flash-could-bring-ssd-capacities-to-ai-gpus-without-the-cost
    ⚡ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ “แฟลช” จะมาแทน “แรม” ในงาน AI ลองจินตนาการว่า GPU สำหรับงาน AI ไม่ต้องพึ่ง DRAM แบบ HBM ที่แพงและจำกัดความจุอีกต่อไป แต่ใช้แฟลชความเร็วสูงที่มีความจุระดับ SSD—นั่นคือเป้าหมายของ Sandisk กับเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) Sandisk ได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค โดยดึงสองตำนานแห่งวงการคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้นำ ได้แก่ Prof. David Patterson ผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID และ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel เพื่อผลักดัน HBF ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำสำหรับ AI HBF ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับเทคนิค CBA wafer bonding และการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ทำให้สามารถให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM ได้ แต่มีความจุสูงถึง 4TB ต่อ GPU และต้นทุนต่ำกว่าอย่างมหาศาล ✅ Sandisk เปิดตัวเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) เพื่อใช้แทน HBM ในงาน AI ➡️ ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับ CBA wafer bonding ➡️ รองรับการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ✅ HBF ให้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่มีความจุสูงกว่า 8 เท่าในต้นทุนใกล้เคียงกัน ➡️ GPU ที่ใช้ HBF สามารถมี VRAM ได้ถึง 4TB ➡️ หากใช้ร่วมกับ HBM จะได้รวมสูงสุดถึง 3TB ✅ Sandisk ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโดยมี David Patterson และ Raja Koduri เป็นผู้นำ ➡️ Patterson คือผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID ➡️ Koduri เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel ✅ HBF ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และ edge computing ➡️ Patterson ระบุว่า HBF จะช่วยลดต้นทุนของงาน AI ที่ปัจจุบันยังแพงเกินไป ➡️ Koduri ระบุว่า HBF จะพลิกโฉม edge AI โดยให้แบนด์วิดธ์และความจุสูงในอุปกรณ์ขนาดเล็ก ✅ HBF ใช้ electrical interface เดียวกับ HBM และต้องปรับ protocol เพียงเล็กน้อย ➡️ ทำให้สามารถนำไปใช้กับ GPU ได้ง่ายขึ้น ➡️ ไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด ✅ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Future FWD 2025 พร้อมแผนพัฒนา HBF รุ่นต่อไป ➡️ มี roadmap เพิ่มความจุและแบนด์วิดธ์ในอนาคต ➡️ อาจมี trade-off ด้านการใช้พลังงาน ‼️ HBF ยังไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของ HBM และมีข้อจำกัดด้าน latency ⛔ NAND Flash มี latency สูงกว่า DRAM ⛔ เหมาะกับงาน inference และ training มากกว่างานที่ต้องตอบสนองเร็ว ‼️ การใช้งาน HBF ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ผลิต GPU โดยตรง ⛔ ต้องใช้ interposer ที่เชื่อมต่อกับ GPU โดยเฉพาะ ⛔ หาก NVIDIA ไม่รับรอง HBF อาจจำกัดการใช้งานในตลาด ‼️ ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ HBF อย่างเป็นทางการ ⛔ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ⛔ ต้องรอการยอมรับจากอุตสาหกรรมก่อนใช้งานจริง ‼️ การแข่งขันกับผู้ผลิต HBM อย่าง Samsung และ SK Hynix ยังเข้มข้น ⛔ HBM มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA ⛔ Sandisk ต้องผลักดัน HBF ให้เป็นมาตรฐานเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาด https://www.techradar.com/pro/sandisk-recruits-risc-cofounder-amd-graphics-legend-to-spearhead-cheaper-rival-to-hbm-high-bandwidth-flash-could-bring-ssd-capacities-to-ai-gpus-without-the-cost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชั้นความจำ: เมื่อ BiCS9 คือสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคตของ NAND Flash

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Kioxia และ SanDisk ได้เริ่มส่งมอบตัวอย่างชิป BiCS9 ซึ่งเป็น NAND Flash รุ่นที่ 9 ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น “สะพาน” ระหว่าง BiCS8 และ BiCS10 โดยใช้แนวคิดแบบไฮบริด—นำโครงสร้างเซลล์เก่าจาก BiCS5 หรือ BiCS8 มาผสานกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง CBA (CMOS directly Bonded to Array)

    ผลลัพธ์คือชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะใช้จำนวนเลเยอร์น้อยกว่า BiCS8 หรือ BiCS10 แต่กลับสามารถเร่งความเร็วอินเทอร์เฟซ NAND ได้ถึง 4.8 Gb/s ด้วย Toggle DDR6.0 และ SCA protocol พร้อมลดการใช้พลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ

    BiCS9 จึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับ SSD ระดับองค์กรที่รองรับงาน AI และการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและต้นทุน

    Kioxia และ SanDisk เริ่มส่งมอบตัวอย่าง BiCS9 NAND Flash รุ่นใหม่
    เป็นรุ่นที่ 9 ของซีรีส์ BiCS FLASH
    ใช้โครงสร้างแบบไฮบริดระหว่าง BiCS5 (112-layer) และ BiCS8 (218-layer)

    ใช้เทคโนโลยี CBA (CMOS directly Bonded to Array)
    ผลิต logic wafer และ memory cell wafer แยกกัน แล้วนำมาประกบ
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต

    รองรับ Toggle DDR6.0 และ SCA protocol เพื่อเพิ่มความเร็วอินเทอร์เฟซ2
    ความเร็วสูงสุดถึง 4.8 Gb/s ภายใต้การทดสอบ
    เพิ่มขึ้น 33% จาก BiCS8

    ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
    เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 61%
    อ่านข้อมูลเร็วขึ้น 12%
    ประหยัดพลังงานขึ้น 36% ขณะเขียน และ 27% ขณะอ่าน
    เพิ่ม bit density ขึ้น 8%

    BiCS9 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และ SSD ระดับกลางถึงสูง
    เน้นความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและต้นทุน
    เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ BiCS10 ที่จะใช้ 332-layer

    BiCS10 จะเน้นความจุสูงและความหนาแน่นของข้อมูลมากขึ้น
    เพิ่ม bit density ขึ้น 59% จากการปรับ floor plan
    เหมาะกับ data center และงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน

    BiCS9 ยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบและยังไม่เข้าสู่การผลิตจำนวนมาก
    การใช้งานจริงอาจมีความแตกต่างจากตัวอย่างที่ส่งมอบ
    ต้องรอการผลิตจริงภายในปีงบประมาณ 2025

    การใช้โครงสร้างไฮบริดอาจทำให้เกิดความสับสนในรุ่นย่อย
    บางรุ่นใช้ BiCS5 (112-layer) บางรุ่นใช้ BiCS8 (218-layer)
    อาจส่งผลต่อความเสถียรและการจัดการคุณภาพ

    ความเร็วสูงสุด 4.8 Gb/s เป็นค่าที่ได้จากการทดสอบในสภาพควบคุม
    ความเร็วจริงอาจต่ำกว่าขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ที่ใช้
    ต้องรอผลการทดสอบจากผู้ผลิตอิสระเพื่อยืนยัน

    การแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นยังคงเข้มข้น
    Samsung และ Micron เน้นเพิ่มจำนวนเลเยอร์เกิน 300 เพื่อเพิ่มความจุ
    Kioxia เลือกแนวทางไฮบริดเพื่อความเร็วในการผลิตและต้นทุนต่ำ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/kioxia-and-sandisk-start-shipping-bics9-3d-nand-samples-hybrid-design-combining-112-layer-bics5-with-modern-cba-and-ddr6-0-interface-for-higher-performance-and-cost-efficiency
    💾 เรื่องเล่าจากชั้นความจำ: เมื่อ BiCS9 คือสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคตของ NAND Flash ในเดือนกรกฎาคม 2025 Kioxia และ SanDisk ได้เริ่มส่งมอบตัวอย่างชิป BiCS9 ซึ่งเป็น NAND Flash รุ่นที่ 9 ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น “สะพาน” ระหว่าง BiCS8 และ BiCS10 โดยใช้แนวคิดแบบไฮบริด—นำโครงสร้างเซลล์เก่าจาก BiCS5 หรือ BiCS8 มาผสานกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง CBA (CMOS directly Bonded to Array) ผลลัพธ์คือชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะใช้จำนวนเลเยอร์น้อยกว่า BiCS8 หรือ BiCS10 แต่กลับสามารถเร่งความเร็วอินเทอร์เฟซ NAND ได้ถึง 4.8 Gb/s ด้วย Toggle DDR6.0 และ SCA protocol พร้อมลดการใช้พลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ BiCS9 จึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับ SSD ระดับองค์กรที่รองรับงาน AI และการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและต้นทุน ✅ Kioxia และ SanDisk เริ่มส่งมอบตัวอย่าง BiCS9 NAND Flash รุ่นใหม่ ➡️ เป็นรุ่นที่ 9 ของซีรีส์ BiCS FLASH ➡️ ใช้โครงสร้างแบบไฮบริดระหว่าง BiCS5 (112-layer) และ BiCS8 (218-layer) ✅ ใช้เทคโนโลยี CBA (CMOS directly Bonded to Array) ➡️ ผลิต logic wafer และ memory cell wafer แยกกัน แล้วนำมาประกบ ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ✅ รองรับ Toggle DDR6.0 และ SCA protocol เพื่อเพิ่มความเร็วอินเทอร์เฟซ2 ➡️ ความเร็วสูงสุดถึง 4.8 Gb/s ภายใต้การทดสอบ ➡️ เพิ่มขึ้น 33% จาก BiCS8 ✅ ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ➡️ เขียนข้อมูลเร็วขึ้น 61% ➡️ อ่านข้อมูลเร็วขึ้น 12% ➡️ ประหยัดพลังงานขึ้น 36% ขณะเขียน และ 27% ขณะอ่าน ➡️ เพิ่ม bit density ขึ้น 8% ✅ BiCS9 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และ SSD ระดับกลางถึงสูง ➡️ เน้นความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและต้นทุน ➡️ เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ BiCS10 ที่จะใช้ 332-layer ✅ BiCS10 จะเน้นความจุสูงและความหนาแน่นของข้อมูลมากขึ้น ➡️ เพิ่ม bit density ขึ้น 59% จากการปรับ floor plan ➡️ เหมาะกับ data center และงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน ‼️ BiCS9 ยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบและยังไม่เข้าสู่การผลิตจำนวนมาก ⛔ การใช้งานจริงอาจมีความแตกต่างจากตัวอย่างที่ส่งมอบ ⛔ ต้องรอการผลิตจริงภายในปีงบประมาณ 2025 ‼️ การใช้โครงสร้างไฮบริดอาจทำให้เกิดความสับสนในรุ่นย่อย ⛔ บางรุ่นใช้ BiCS5 (112-layer) บางรุ่นใช้ BiCS8 (218-layer) ⛔ อาจส่งผลต่อความเสถียรและการจัดการคุณภาพ ‼️ ความเร็วสูงสุด 4.8 Gb/s เป็นค่าที่ได้จากการทดสอบในสภาพควบคุม ⛔ ความเร็วจริงอาจต่ำกว่าขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ที่ใช้ ⛔ ต้องรอผลการทดสอบจากผู้ผลิตอิสระเพื่อยืนยัน ‼️ การแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นยังคงเข้มข้น ⛔ Samsung และ Micron เน้นเพิ่มจำนวนเลเยอร์เกิน 300 เพื่อเพิ่มความจุ ⛔ Kioxia เลือกแนวทางไฮบริดเพื่อความเร็วในการผลิตและต้นทุนต่ำ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/kioxia-and-sandisk-start-shipping-bics9-3d-nand-samples-hybrid-design-combining-112-layer-bics5-with-modern-cba-and-ddr6-0-interface-for-higher-performance-and-cost-efficiency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เมื่อ NVIDIA เตรียมส่ง N1X SoC ลงสนามแข่งกับ Apple และ AMD

    ลองจินตนาการว่าแล็ปท็อปเครื่องบางเบาของคุณสามารถเล่นเกมระดับ RTX 4070 ได้โดยใช้พลังงานแค่ครึ่งเดียว และยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอีกหลายชั่วโมง—นั่นคือเป้าหมายของ NVIDIA กับชิปใหม่ชื่อว่า “N1X SoC”

    N1X เป็นชิปแบบ ARM ที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek โดยใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ GB10 Superchip ที่ใช้ใน AI mini-PC อย่าง DGX Spark แต่ปรับให้เหมาะกับผู้บริโภคทั่วไป โดยรวม CPU แบบ 20-core และ GPU แบบ Blackwell ที่มี CUDA core เท่ากับ RTX 5070 ถึง 6,144 ตัว!

    แม้จะยังเป็นตัวต้นแบบ แต่ผลทดสอบจาก Geekbench ก็แสดงให้เห็นว่า iGPU ของ N1X แรงกว่า Apple M3 Max และ AMD 890M แล้ว และถ้าเปิดตัวจริงในปี 2026 ก็อาจเป็นชิป ARM ตัวแรกที่ท้าชน Intel และ AMD ได้อย่างจริงจัง

    N1X SoC เป็นชิป ARM สำหรับแล็ปท็อปที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek
    ใช้สถาปัตยกรรม Grace CPU + Blackwell GPU
    มี 20-core CPU แบ่งเป็น 10 Cortex-X925 + 10 Cortex-A725

    GPU ภายในมี 48 SMs หรือ 6,144 CUDA cores เท่ากับ RTX 5070
    ใช้ LPDDR5X แบบ unified memory สูงสุด 128GB
    รองรับงาน AI, เกม และการประมวลผลทั่วไป

    ผลทดสอบ Geekbench แสดงคะแนน OpenCL ที่ 46,361
    สูงกว่า iGPU ของ Apple M3 Max และ AMD 890M
    แม้ยังเป็นตัวต้นแบบที่รันที่ 1.05 GHz เท่านั้น

    เป้าหมายคือแล็ปท็อปบางเบาที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 4070 แต่ใช้พลังงานเพียง 65W–120W
    เทียบกับ RTX 4070 ที่ใช้พลังงาน 120W ขึ้นไป
    เหมาะกับเกมเมอร์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไป

    คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 1 ปี 2026
    อาจเปิดตัวพร้อม Windows เวอร์ชันใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ
    Dell Alienware อาจเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กเกมรุ่นใหม่

    ยังไม่มีวันเปิดตัวแน่นอน และอาจเลื่อนออกไปอีก
    เดิมคาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 แต่เลื่อนเป็น Q1 2026
    ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์และการออกแบบยังต้องแก้ไข

    ประสิทธิภาพยังไม่เสถียร เพราะเป็นตัวต้นแบบ
    ความเร็วสัญญาณนาฬิกายังต่ำ และไม่มี GDDR memory
    ต้องรอเวอร์ชันจริงเพื่อดูประสิทธิภาพเต็มที่

    การใช้ ARM บน Windows ยังมีปัญหาด้านความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์
    โปรแกรมบางตัวอาจยังไม่รองรับหรือทำงานช้า
    ต้องพึ่งพาการพัฒนา ecosystem จาก Microsoft และนักพัฒนา

    การแข่งขันกับ Apple, AMD และ Intel ยังเข้มข้น
    Apple M4, AMD Ryzen AI MAX และ Intel AX series ก็มีแผนเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
    NVIDIA ต้องพิสูจน์ว่า ARM ของตนสามารถทดแทน x86 ได้จริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-n1x-soc-leaks-with-the-same-number-of-cuda-cores-as-an-rtx-5070-n1x-specs-align-with-the-gb10-superchip
    🧠 เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เมื่อ NVIDIA เตรียมส่ง N1X SoC ลงสนามแข่งกับ Apple และ AMD ลองจินตนาการว่าแล็ปท็อปเครื่องบางเบาของคุณสามารถเล่นเกมระดับ RTX 4070 ได้โดยใช้พลังงานแค่ครึ่งเดียว และยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอีกหลายชั่วโมง—นั่นคือเป้าหมายของ NVIDIA กับชิปใหม่ชื่อว่า “N1X SoC” N1X เป็นชิปแบบ ARM ที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek โดยใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ GB10 Superchip ที่ใช้ใน AI mini-PC อย่าง DGX Spark แต่ปรับให้เหมาะกับผู้บริโภคทั่วไป โดยรวม CPU แบบ 20-core และ GPU แบบ Blackwell ที่มี CUDA core เท่ากับ RTX 5070 ถึง 6,144 ตัว! แม้จะยังเป็นตัวต้นแบบ แต่ผลทดสอบจาก Geekbench ก็แสดงให้เห็นว่า iGPU ของ N1X แรงกว่า Apple M3 Max และ AMD 890M แล้ว และถ้าเปิดตัวจริงในปี 2026 ก็อาจเป็นชิป ARM ตัวแรกที่ท้าชน Intel และ AMD ได้อย่างจริงจัง ✅ N1X SoC เป็นชิป ARM สำหรับแล็ปท็อปที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Grace CPU + Blackwell GPU ➡️ มี 20-core CPU แบ่งเป็น 10 Cortex-X925 + 10 Cortex-A725 ✅ GPU ภายในมี 48 SMs หรือ 6,144 CUDA cores เท่ากับ RTX 5070 ➡️ ใช้ LPDDR5X แบบ unified memory สูงสุด 128GB ➡️ รองรับงาน AI, เกม และการประมวลผลทั่วไป ✅ ผลทดสอบ Geekbench แสดงคะแนน OpenCL ที่ 46,361 ➡️ สูงกว่า iGPU ของ Apple M3 Max และ AMD 890M ➡️ แม้ยังเป็นตัวต้นแบบที่รันที่ 1.05 GHz เท่านั้น ✅ เป้าหมายคือแล็ปท็อปบางเบาที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 4070 แต่ใช้พลังงานเพียง 65W–120W ➡️ เทียบกับ RTX 4070 ที่ใช้พลังงาน 120W ขึ้นไป ➡️ เหมาะกับเกมเมอร์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไป ✅ คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 1 ปี 2026 ➡️ อาจเปิดตัวพร้อม Windows เวอร์ชันใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ ➡️ Dell Alienware อาจเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กเกมรุ่นใหม่ ‼️ ยังไม่มีวันเปิดตัวแน่นอน และอาจเลื่อนออกไปอีก ⛔ เดิมคาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 แต่เลื่อนเป็น Q1 2026 ⛔ ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์และการออกแบบยังต้องแก้ไข ‼️ ประสิทธิภาพยังไม่เสถียร เพราะเป็นตัวต้นแบบ ⛔ ความเร็วสัญญาณนาฬิกายังต่ำ และไม่มี GDDR memory ⛔ ต้องรอเวอร์ชันจริงเพื่อดูประสิทธิภาพเต็มที่ ‼️ การใช้ ARM บน Windows ยังมีปัญหาด้านความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ ⛔ โปรแกรมบางตัวอาจยังไม่รองรับหรือทำงานช้า ⛔ ต้องพึ่งพาการพัฒนา ecosystem จาก Microsoft และนักพัฒนา ‼️ การแข่งขันกับ Apple, AMD และ Intel ยังเข้มข้น ⛔ Apple M4, AMD Ryzen AI MAX และ Intel AX series ก็มีแผนเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน ⛔ NVIDIA ต้องพิสูจน์ว่า ARM ของตนสามารถทดแทน x86 ได้จริง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-n1x-soc-leaks-with-the-same-number-of-cuda-cores-as-an-rtx-5070-n1x-specs-align-with-the-gb10-superchip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอลไทย U23 ได้แค่ชิงที่ 3 26/07/68 #การแข่งขันฟุตบอล #ทีมชาติไทย #ศึกชิงแชมป์อาเซียน U23 #กีฬาฟุตบอล
    บอลไทย U23 ได้แค่ชิงที่ 3 26/07/68 #การแข่งขันฟุตบอล #ทีมชาติไทย #ศึกชิงแชมป์อาเซียน U23 #กีฬาฟุตบอล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: AMD กลับมาท้าชน NVIDIA ด้วย “RX 10090 XT” สุดโหด
    หลังจากปล่อยให้ NVIDIA ครองบัลลังก์ GPU ระดับไฮเอนด์มาหลายปี AMD ก็เหมือนจะ “ถอย” ไปเน้นตลาดกลาง แต่ล่าสุดมีข่าวหลุดว่า AMD เตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ที่อาจใช้ชื่อว่า Radeon RX 10090 XT — และมันดู “โหด” จนหลายคนคิดว่าอาจเป็นคู่แข่งตัวจริงของ NVIDIA RTX 6090 ที่กำลังจะมา!

    เจ้า RX 10090 XT นี้มีสเปกที่น่าตื่นตาตื่นใจ:
    - 154 Compute Units
    - 36GB GDDR7 VRAM บนบัส 384-bit
    - Bandwidth สูงถึง 1.728 TB/s
    - TDP อยู่ที่ 380W

    ทั้งหมดนี้ถูกสร้างบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปี 2026–2027 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ NVIDIA จะเปิดตัว RTX 6090 เช่นกัน

    แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกลับมาของ AMD ในตลาดไฮเอนด์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ GPU ที่กำลังขาดการแข่งขันอย่างแท้จริง

    AMD เตรียมเปิดตัว GPU RDNA 5 รุ่นไฮเอนด์
    ใช้ชื่อชั่วคราวว่า Radeon RX 10090 XT
    ตั้งเป้าแข่งขันกับ NVIDIA RTX 6090

    สเปกที่หลุดออกมานั้นทรงพลังมาก
    154 Compute Units
    36GB GDDR7 VRAM ความเร็ว 36Gbps
    บัส 384-bit และ Bandwidth 1.728 TB/s
    ใช้พลังงาน 380W

    ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับสูง
    ผลิตบนกระบวนการ TSMC 3nm
    คาดว่าจะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้นจาก RDNA 4

    วางแผนเปิดตัวระหว่างปี 2026–2027
    อาจเปิดตัวพร้อมกับ RTX 6090 ของ NVIDIA
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ของ AMD อีกครั้ง

    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันในตลาด GPU
    NVIDIA ครองตลาดไฮเอนด์มานานโดยไม่มีคู่แข่งที่สูสี
    การกลับมาของ AMD อาจช่วยลดราคาตลาดและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค

    https://www.techradar.com/computing/gpu/amd-isnt-giving-up-on-high-end-gpus-a-new-leak-hints-at-a-new-radeon-gpu-challenging-nvidias-next-gen-flagship-graphics-card
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: AMD กลับมาท้าชน NVIDIA ด้วย “RX 10090 XT” สุดโหด หลังจากปล่อยให้ NVIDIA ครองบัลลังก์ GPU ระดับไฮเอนด์มาหลายปี AMD ก็เหมือนจะ “ถอย” ไปเน้นตลาดกลาง แต่ล่าสุดมีข่าวหลุดว่า AMD เตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ที่อาจใช้ชื่อว่า Radeon RX 10090 XT — และมันดู “โหด” จนหลายคนคิดว่าอาจเป็นคู่แข่งตัวจริงของ NVIDIA RTX 6090 ที่กำลังจะมา! เจ้า RX 10090 XT นี้มีสเปกที่น่าตื่นตาตื่นใจ: - 154 Compute Units - 36GB GDDR7 VRAM บนบัส 384-bit - Bandwidth สูงถึง 1.728 TB/s - TDP อยู่ที่ 380W ทั้งหมดนี้ถูกสร้างบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปี 2026–2027 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ NVIDIA จะเปิดตัว RTX 6090 เช่นกัน แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกลับมาของ AMD ในตลาดไฮเอนด์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ GPU ที่กำลังขาดการแข่งขันอย่างแท้จริง ✅ AMD เตรียมเปิดตัว GPU RDNA 5 รุ่นไฮเอนด์ ➡️ ใช้ชื่อชั่วคราวว่า Radeon RX 10090 XT ➡️ ตั้งเป้าแข่งขันกับ NVIDIA RTX 6090 ✅ สเปกที่หลุดออกมานั้นทรงพลังมาก ➡️ 154 Compute Units ➡️ 36GB GDDR7 VRAM ความเร็ว 36Gbps ➡️ บัส 384-bit และ Bandwidth 1.728 TB/s ➡️ ใช้พลังงาน 380W ✅ ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับสูง ➡️ ผลิตบนกระบวนการ TSMC 3nm ➡️ คาดว่าจะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้นจาก RDNA 4 ✅ วางแผนเปิดตัวระหว่างปี 2026–2027 ➡️ อาจเปิดตัวพร้อมกับ RTX 6090 ของ NVIDIA ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ของ AMD อีกครั้ง ✅ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันในตลาด GPU ➡️ NVIDIA ครองตลาดไฮเอนด์มานานโดยไม่มีคู่แข่งที่สูสี ➡️ การกลับมาของ AMD อาจช่วยลดราคาตลาดและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค https://www.techradar.com/computing/gpu/amd-isnt-giving-up-on-high-end-gpus-a-new-leak-hints-at-a-new-radeon-gpu-challenging-nvidias-next-gen-flagship-graphics-card
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโรงงานจีน: G100 ชิปกราฟิกสายเลือดจีนที่เริ่มท้าชนโลก

    Lisuan Technology บริษัทสตาร์ทอัพด้านกราฟิกจากจีน ได้เปิดตัว GPU รุ่นใหม่ชื่อ G100 ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบและผลิตในประเทศจีนโดยไม่ใช้ IP จากต่างประเทศ โดยผลการทดสอบล่าสุดเผยว่า G100 รุ่น 48 CUs มีประสิทธิภาพสูงกว่า Intel Arc A770 และ Nvidia RTX 4060 ในการทดสอบ OpenCL และใกล้เคียงกับ RTX 5060 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการพัฒนา GPU ระดับสูงด้วยตนเอง

    ในอดีต GPU ระดับสูงมักมาจากค่ายใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Nvidia และ AMD แต่ตอนนี้จีนเริ่มมีผู้เล่นใหม่อย่าง Lisuan Technology ที่พยายามสร้าง GPU ด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

    G100 รุ่นใหม่ที่ถูกทดสอบมีสเปกดังนี้:
    - 48 Compute Units (CUs)
    - ความเร็วสูงสุด 2,000 MHz
    - หน่วยความจำ 12 GB (คาดว่าเป็น GDDR6)

    ผลการทดสอบ OpenCL จาก Geekbench พบว่า:
    - G100 รุ่น 48 CUs ได้คะแนน 111,290
    - สูงกว่า RTX 4060 (101,028) และ Arc A770 (109,181)
    - ใกล้เคียงกับ RTX 5060 (120,916) โดยช้ากว่าเพียง 9%

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม TrueGPU อย่างละเอียด แต่ Lisuan ยืนยันว่าออกแบบเองทั้งหมด และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้

    GPU ที่ออกแบบโดยไม่ใช้ IP ต่างประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยี
    โดยเฉพาะในยุคที่การควบคุมการส่งออกชิปจากสหรัฐฯ เข้มงวดขึ้น

    OpenCL เป็นมาตรฐานสำหรับการประมวลผลทั่วไปบน GPU
    ใช้ในงาน AI, การคำนวณทางวิทยาศาสตร์ และการเรนเดอร์ภาพ

    หน่วยความจำ 12 GB เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับเกมยุคปัจจุบัน
    เกม AAA หลายเกมเริ่มต้องการมากกว่า 8 GB เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

    การพัฒนา GPU ภายในประเทศอาจช่วยลดการพึ่งพา Nvidia และ AMD
    ส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/lisuan-g100-gpu-shows-promise-at-least-in-opencl-homegrown-chinese-chip-outguns-arc-a770-and-rtx-4060-in-new-benchmark-10-percent-slower-than-rtx-5060
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงานจีน: G100 ชิปกราฟิกสายเลือดจีนที่เริ่มท้าชนโลก Lisuan Technology บริษัทสตาร์ทอัพด้านกราฟิกจากจีน ได้เปิดตัว GPU รุ่นใหม่ชื่อ G100 ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบและผลิตในประเทศจีนโดยไม่ใช้ IP จากต่างประเทศ โดยผลการทดสอบล่าสุดเผยว่า G100 รุ่น 48 CUs มีประสิทธิภาพสูงกว่า Intel Arc A770 และ Nvidia RTX 4060 ในการทดสอบ OpenCL และใกล้เคียงกับ RTX 5060 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการพัฒนา GPU ระดับสูงด้วยตนเอง ในอดีต GPU ระดับสูงมักมาจากค่ายใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Nvidia และ AMD แต่ตอนนี้จีนเริ่มมีผู้เล่นใหม่อย่าง Lisuan Technology ที่พยายามสร้าง GPU ด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ G100 รุ่นใหม่ที่ถูกทดสอบมีสเปกดังนี้: - 48 Compute Units (CUs) - ความเร็วสูงสุด 2,000 MHz - หน่วยความจำ 12 GB (คาดว่าเป็น GDDR6) ผลการทดสอบ OpenCL จาก Geekbench พบว่า: - G100 รุ่น 48 CUs ได้คะแนน 111,290 - สูงกว่า RTX 4060 (101,028) และ Arc A770 (109,181) - ใกล้เคียงกับ RTX 5060 (120,916) โดยช้ากว่าเพียง 9% แม้จะยังไม่มีข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม TrueGPU อย่างละเอียด แต่ Lisuan ยืนยันว่าออกแบบเองทั้งหมด และเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ 💡 GPU ที่ออกแบบโดยไม่ใช้ IP ต่างประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ➡️ โดยเฉพาะในยุคที่การควบคุมการส่งออกชิปจากสหรัฐฯ เข้มงวดขึ้น 💡 OpenCL เป็นมาตรฐานสำหรับการประมวลผลทั่วไปบน GPU ➡️ ใช้ในงาน AI, การคำนวณทางวิทยาศาสตร์ และการเรนเดอร์ภาพ 💡 หน่วยความจำ 12 GB เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับเกมยุคปัจจุบัน ➡️ เกม AAA หลายเกมเริ่มต้องการมากกว่า 8 GB เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด 💡 การพัฒนา GPU ภายในประเทศอาจช่วยลดการพึ่งพา Nvidia และ AMD ➡️ ส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/lisuan-g100-gpu-shows-promise-at-least-in-opencl-homegrown-chinese-chip-outguns-arc-a770-and-rtx-4060-in-new-benchmark-10-percent-slower-than-rtx-5060
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: เมื่อ Trump อยากล้ม NVIDIA แต่ต้องยอมแพ้ให้กับ “จอมยุทธ์ AI”

    เมื่อ Trump เข้ารับตำแหน่งในปี 2025 เขาไม่รู้จัก NVIDIA หรือ Jensen Huang มาก่อน แต่เมื่อเห็นว่า NVIDIA ครองตลาด AI ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เขาจึงคิดจะสร้างบริษัทใหม่ที่รวม “สุดยอดมันสมอง” เพื่อแข่งขันกับ NVIDIA โดยตรง

    แต่หลังจากได้เรียนรู้ว่า Jensen Huang คือผู้วางรากฐานของ CUDA และเป็นผู้นำที่ผลักดัน NVIDIA สู่มูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ เขากลับยอมรับว่า:

    “เราคิดว่าจะเข้าไปแยกเขาออก แต่พอรู้ข้อเท็จจริงแล้ว มันไม่ง่ายเลยในธุรกิจนี้”

    Trump กล่าวในงาน AI Summit ว่า Jensen คือ “ปัจจัยลับของอเมริกา” และ NVIDIA คือ “หัวรถจักรของ AI โลก” ที่ไม่มีใครเทียบได้ในทศวรรษนี้

    Trump เคยมีแผนแยกบริษัท NVIDIA เพื่อสร้างการแข่งขันในตลาด AI
    แต่เปลี่ยนใจหลังจากได้รู้จัก Jensen Huang และความซับซ้อนของธุรกิจนี้

    Jensen Huang คือผู้วางรากฐานของ CUDA และการพัฒนา AI stack ของ NVIDIA
    เป็นผู้นำที่ผลักดันบริษัทสู่มูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์

    Trump ยอมรับว่า “ไม่มีใครเทียบ NVIDIA ได้ในทศวรรษนี้”
    แม้จะรวมสุดยอดมันสมองก็ยังไม่สามารถสร้างคู่แข่งได้ทัน

    NVIDIA ถูกยกให้เป็น “หัวรถจักรของ AI โลก” โดย Trump
    เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

    Trump กล่าวในงาน AI Summit ว่า Jensen คือ “ปัจจัยลับของอเมริกา”
    เป็นสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ แตกต่างจากประเทศอื่นในยุค AI

    https://wccftech.com/president-trump-wanted-to-break-nvidia-until-he-realized-jensen-was-the-ai-warlord/
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนาม AI: เมื่อ Trump อยากล้ม NVIDIA แต่ต้องยอมแพ้ให้กับ “จอมยุทธ์ AI” เมื่อ Trump เข้ารับตำแหน่งในปี 2025 เขาไม่รู้จัก NVIDIA หรือ Jensen Huang มาก่อน แต่เมื่อเห็นว่า NVIDIA ครองตลาด AI ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เขาจึงคิดจะสร้างบริษัทใหม่ที่รวม “สุดยอดมันสมอง” เพื่อแข่งขันกับ NVIDIA โดยตรง แต่หลังจากได้เรียนรู้ว่า Jensen Huang คือผู้วางรากฐานของ CUDA และเป็นผู้นำที่ผลักดัน NVIDIA สู่มูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ เขากลับยอมรับว่า: 🔖 “เราคิดว่าจะเข้าไปแยกเขาออก แต่พอรู้ข้อเท็จจริงแล้ว มันไม่ง่ายเลยในธุรกิจนี้” Trump กล่าวในงาน AI Summit ว่า Jensen คือ “ปัจจัยลับของอเมริกา” และ NVIDIA คือ “หัวรถจักรของ AI โลก” ที่ไม่มีใครเทียบได้ในทศวรรษนี้ ✅ Trump เคยมีแผนแยกบริษัท NVIDIA เพื่อสร้างการแข่งขันในตลาด AI ➡️ แต่เปลี่ยนใจหลังจากได้รู้จัก Jensen Huang และความซับซ้อนของธุรกิจนี้ ✅ Jensen Huang คือผู้วางรากฐานของ CUDA และการพัฒนา AI stack ของ NVIDIA ➡️ เป็นผู้นำที่ผลักดันบริษัทสู่มูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ Trump ยอมรับว่า “ไม่มีใครเทียบ NVIDIA ได้ในทศวรรษนี้” ➡️ แม้จะรวมสุดยอดมันสมองก็ยังไม่สามารถสร้างคู่แข่งได้ทัน ✅ NVIDIA ถูกยกให้เป็น “หัวรถจักรของ AI โลก” โดย Trump ➡️ เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา ✅ Trump กล่าวในงาน AI Summit ว่า Jensen คือ “ปัจจัยลับของอเมริกา” ➡️ เป็นสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ แตกต่างจากประเทศอื่นในยุค AI https://wccftech.com/president-trump-wanted-to-break-nvidia-until-he-realized-jensen-was-the-ai-warlord/
    WCCFTECH.COM
    President Trump Wanted to Break NVIDIA —Until He Realized Jensen Was The “AI Warlord” and Said It’d Take a Decade to Beat Them, Even With The Greatest Minds Together
    President Trump apparently had plans to break up NVIDIA to level the competition in the AI space, but his intentions changed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี

    ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก

    แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า:

    หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ

    Intel จึงอาจ:
    - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ
    - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง
    - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest

    สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม

    Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก
    โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A

    CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท
    รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services

    กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท
    เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest

    ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel
    ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก

    Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด
    แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว

    หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน
    เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

    หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า
    ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก

    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน

    การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต
    โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง

    การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel
    อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

    https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    🎙️ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า: 🔖 หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ Intel จึงอาจ: - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม ✅ Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก ➡️ โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A ✅ CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท ➡️ รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services ✅ กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท ➡️ เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest ✅ ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel ➡️ ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก ✅ Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด ➡️ แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว ✅ หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน ➡️ เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ‼️ หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก ‼️ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ⛔ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน ‼️ การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต ⛔ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง ‼️ การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel ⛔ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    WCCFTECH.COM
    Intel Will Drop Out of the Cutting-Edge Chip Race If It Doesn’t See External Customer Interest, Possibly Marking the Fall of a Key Custodian of Moore's Law
    Intel's foundry division is expected to witness changes, with one primary being the decision to drop the pursuit of cutting-edge chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเกมเก่าที่เปล่งแสงใหม่: เมื่อ RTX Remix เปลี่ยนเกมยุค 2000 ให้กลายเป็นงานศิลป์

    Nvidia เปิดตัวชุดเครื่องมือ RTX Remix อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ modder เข้าถึง SDK ที่สามารถเพิ่ม path tracing เข้าไปในเกมเก่า — ซึ่งต่างจาก ray tracing ทั่วไป เพราะ path tracing จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงแสงสะท้อน, เงา, และแสงกระจายจากพื้นผิวต่าง ๆ

    การแข่งขันครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 5 สิงหาคมนี้

    ตัวอย่างเกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว:
    - Vampire: The Masquerade – Bloodlines: ใช้ Source Engine และได้รับการปรับแสงใหม่ทั้งหมด พร้อมรักษาบรรยากาศเดิม
    - Painkiller: เพิ่มแสงแบบ hand-placed, เปลี่ยน texture เป็นแบบ PBR, และเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่
    - Need for Speed: Underground และ Colin McRae Rally 3: ปรับแสง, เพิ่มโมเดลใหม่, และใส่ volumetric lighting
    - Sonic Adventure, Portal 2, Black Mesa, Republic Commando และ Jedi Outcast: อยู่ระหว่างการปรับปรุง

    แม้ path tracing จะใช้ในเกมใหม่อย่าง Cyberpunk 2077 และ Alan Wake 2 แต่ในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ๆ ผลลัพธ์กลับยิ่งน่าทึ่ง เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง

    Nvidia จัดการแข่งขัน RTX Remix Mod Contest เพื่อปรับปรุงเกมเก่าด้วย path tracing
    เงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000

    RTX Remix เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่ม path tracing ในเกม DirectX 8 และ 9
    จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงเงา, แสงสะท้อน, และแสงกระจาย

    เกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว ได้แก่ Vampire: Bloodlines, Painkiller, NFS Underground, Colin McRae Rally 3
    มีการเปลี่ยน texture, เพิ่มแสง, และปรับโมเดลใหม่

    Path tracing มีผลชัดเจนในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย
    เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง

    Modder ต้องปรับ texture และ material ใหม่เพื่อให้แสงทำงานได้ถูกต้อง
    ไม่ใช่แค่เปิดฟีเจอร์ แต่ต้องปรับโครงสร้างภาพทั้งหมด

    เกมอื่นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้แก่ Portal 2, Sonic Adventure, Black Mesa, Jedi Outcast
    บางเกมสามารถเล่นได้แล้วในเวอร์ชัน mod

    https://www.techspot.com/news/108768-nvidia-rtx-remix-contest-shows-how-ray-tracing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเกมเก่าที่เปล่งแสงใหม่: เมื่อ RTX Remix เปลี่ยนเกมยุค 2000 ให้กลายเป็นงานศิลป์ Nvidia เปิดตัวชุดเครื่องมือ RTX Remix อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ modder เข้าถึง SDK ที่สามารถเพิ่ม path tracing เข้าไปในเกมเก่า — ซึ่งต่างจาก ray tracing ทั่วไป เพราะ path tracing จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงแสงสะท้อน, เงา, และแสงกระจายจากพื้นผิวต่าง ๆ การแข่งขันครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ตัวอย่างเกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว: - Vampire: The Masquerade – Bloodlines: ใช้ Source Engine และได้รับการปรับแสงใหม่ทั้งหมด พร้อมรักษาบรรยากาศเดิม - Painkiller: เพิ่มแสงแบบ hand-placed, เปลี่ยน texture เป็นแบบ PBR, และเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่ - Need for Speed: Underground และ Colin McRae Rally 3: ปรับแสง, เพิ่มโมเดลใหม่, และใส่ volumetric lighting - Sonic Adventure, Portal 2, Black Mesa, Republic Commando และ Jedi Outcast: อยู่ระหว่างการปรับปรุง แม้ path tracing จะใช้ในเกมใหม่อย่าง Cyberpunk 2077 และ Alan Wake 2 แต่ในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ๆ ผลลัพธ์กลับยิ่งน่าทึ่ง เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง ✅ Nvidia จัดการแข่งขัน RTX Remix Mod Contest เพื่อปรับปรุงเกมเก่าด้วย path tracing ➡️ เงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ✅ RTX Remix เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่ม path tracing ในเกม DirectX 8 และ 9 ➡️ จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงเงา, แสงสะท้อน, และแสงกระจาย ✅ เกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว ได้แก่ Vampire: Bloodlines, Painkiller, NFS Underground, Colin McRae Rally 3 ➡️ มีการเปลี่ยน texture, เพิ่มแสง, และปรับโมเดลใหม่ ✅ Path tracing มีผลชัดเจนในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ➡️ เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง ✅ Modder ต้องปรับ texture และ material ใหม่เพื่อให้แสงทำงานได้ถูกต้อง ➡️ ไม่ใช่แค่เปิดฟีเจอร์ แต่ต้องปรับโครงสร้างภาพทั้งหมด ✅ เกมอื่นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้แก่ Portal 2, Sonic Adventure, Black Mesa, Jedi Outcast ➡️ บางเกมสามารถเล่นได้แล้วในเวอร์ชัน mod https://www.techspot.com/news/108768-nvidia-rtx-remix-contest-shows-how-ray-tracing.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia's RTX Remix contest shows how ray tracing can transform classic games, more mods become available
    Nvidia's $50,000 RTX Remix mod contest ends early next month, and around two dozen projects have taken up the challenge to demonstrate how the company's ray tracing...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์ที่คิดแทนเรา: เมื่อหน้าจอเว็บมี AI ช่วยตลอดทาง

    Dia ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ทั่วไปอย่าง Chrome หรือ Safari — แต่เป็นเบราว์เซอร์ที่มีช่องแชต AI อยู่เคียงข้างหน้าต่างเว็บแบบ in-app โดยกด shortcut (Command+E) เพื่อเรียกกล่องคำถามขึ้นมาข้างหน้าเว็บ

    ตัวอย่างจากผู้ใช้:
    - อ่านข่าวน้ำท่วมในเท็กซัส → พิมพ์ถาม AI เพื่อขอสรุปและแหล่งข้อมูลเพิ่ม
    - ดูวิดีโอรีวิวอุปกรณ์ Jump Starter → ให้ AI ดึง transcript มาสรุปข้อเด่นโดยไม่ต้องดูเอง
    - เขียนบน Google Docs → ถาม AI ว่าใช้คำว่า “on the cusp” ถูกไหม แล้วรับคำตอบทันที

    ที่สำคัญ Dia เลือก “โมเดล AI ที่เหมาะที่สุด” ให้แบบอัตโนมัติ เช่นถามเรื่องโค้ด → ใช้ Claude Sonnet / ถามเรื่องภาษา → ใช้ GPT จาก OpenAI โดยไม่ต้องเลือกเอง

    สัปดาห์เดียวกันนี้ Perplexity ก็เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Comet และมีรายงานว่า OpenAI เตรียมออกเบราว์เซอร์ AI เช่นกัน แปลว่า “ยุคเบราว์เซอร์ฉลาด” กำลังมาเร็วมาก

    Dia เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่รวมแชตบอท AI เข้ากับหน้าเว็บโดยตรง
    กด Command+E เพื่อเปิดหน้าต่าง AI เคียงข้างหน้าเว็บ

    Dia ดึงคำตอบจากหลายโมเดล AI เช่น ChatGPT, Gemini, Claude โดยเลือกให้ผู้ใช้อัตโนมัติ
    เช่นใช้ Claude ถามเรื่องโค้ด, ใช้ GPT ถามเรื่องภาษา

    ตัวเบราว์เซอร์สามารถสรุปวิดีโอ, ข่าว, และช่วยพิสูจน์อักษรได้ทันทีจากหน้าเว็บ
    ไม่ต้องเปิดแอป AI แยกหรือก็อปปี้เนื้อหาไปใส่ทีละขั้น

    Dia ยังไม่เปิดตัวทั่วไป แต่ให้ทดลองฟรีบน Mac แบบเชิญเท่านั้น
    จะเปิดแพ็กเกจ subscription เริ่มต้น $5/เดือนในอีกไม่กี่สัปดาห์

    เบราว์เซอร์ AI จาก Perplexity (Comet) และ OpenAI ก็ถูกพูดถึงในช่วงเวลาเดียวกัน
    แสดงถึงการแข่งขันในตลาด AI-powered browser กำลังร้อนแรง

    Google และ Apple ก็เริ่มใส่ฟีเจอร์ AI เล็ก ๆ เช่นการสรุปบทความใน Chrome และ Safari
    แต่ยังไม่ถึงระดับการรวม chatbot แบบ Dia

    นักลงทุนคาดว่า AI browser จะเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” ของการใช้งาน generative AI ในชีวิตประจำวัน
    แทนที่การใช้แบบเดิมที่ต้องเปิดแอป AI แยก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/is-ai-the-future-of-web-browsing
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์ที่คิดแทนเรา: เมื่อหน้าจอเว็บมี AI ช่วยตลอดทาง Dia ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ทั่วไปอย่าง Chrome หรือ Safari — แต่เป็นเบราว์เซอร์ที่มีช่องแชต AI อยู่เคียงข้างหน้าต่างเว็บแบบ in-app โดยกด shortcut (Command+E) เพื่อเรียกกล่องคำถามขึ้นมาข้างหน้าเว็บ ตัวอย่างจากผู้ใช้: - อ่านข่าวน้ำท่วมในเท็กซัส → พิมพ์ถาม AI เพื่อขอสรุปและแหล่งข้อมูลเพิ่ม - ดูวิดีโอรีวิวอุปกรณ์ Jump Starter → ให้ AI ดึง transcript มาสรุปข้อเด่นโดยไม่ต้องดูเอง - เขียนบน Google Docs → ถาม AI ว่าใช้คำว่า “on the cusp” ถูกไหม แล้วรับคำตอบทันที ที่สำคัญ Dia เลือก “โมเดล AI ที่เหมาะที่สุด” ให้แบบอัตโนมัติ เช่นถามเรื่องโค้ด → ใช้ Claude Sonnet / ถามเรื่องภาษา → ใช้ GPT จาก OpenAI โดยไม่ต้องเลือกเอง สัปดาห์เดียวกันนี้ Perplexity ก็เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Comet และมีรายงานว่า OpenAI เตรียมออกเบราว์เซอร์ AI เช่นกัน แปลว่า “ยุคเบราว์เซอร์ฉลาด” กำลังมาเร็วมาก ✅ Dia เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่รวมแชตบอท AI เข้ากับหน้าเว็บโดยตรง ➡️ กด Command+E เพื่อเปิดหน้าต่าง AI เคียงข้างหน้าเว็บ ✅ Dia ดึงคำตอบจากหลายโมเดล AI เช่น ChatGPT, Gemini, Claude โดยเลือกให้ผู้ใช้อัตโนมัติ ➡️ เช่นใช้ Claude ถามเรื่องโค้ด, ใช้ GPT ถามเรื่องภาษา ✅ ตัวเบราว์เซอร์สามารถสรุปวิดีโอ, ข่าว, และช่วยพิสูจน์อักษรได้ทันทีจากหน้าเว็บ ➡️ ไม่ต้องเปิดแอป AI แยกหรือก็อปปี้เนื้อหาไปใส่ทีละขั้น ✅ Dia ยังไม่เปิดตัวทั่วไป แต่ให้ทดลองฟรีบน Mac แบบเชิญเท่านั้น ➡️ จะเปิดแพ็กเกจ subscription เริ่มต้น $5/เดือนในอีกไม่กี่สัปดาห์ ✅ เบราว์เซอร์ AI จาก Perplexity (Comet) และ OpenAI ก็ถูกพูดถึงในช่วงเวลาเดียวกัน ➡️ แสดงถึงการแข่งขันในตลาด AI-powered browser กำลังร้อนแรง ✅ Google และ Apple ก็เริ่มใส่ฟีเจอร์ AI เล็ก ๆ เช่นการสรุปบทความใน Chrome และ Safari ➡️ แต่ยังไม่ถึงระดับการรวม chatbot แบบ Dia ✅ นักลงทุนคาดว่า AI browser จะเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” ของการใช้งาน generative AI ในชีวิตประจำวัน ➡️ แทนที่การใช้แบบเดิมที่ต้องเปิดแอป AI แยก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/is-ai-the-future-of-web-browsing
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Is AI the future of web browsing?
    A test of the app Dia illustrates that the humble web browser may be the path to making artificial intelligence more natural to use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโรงงาน NAND: เมื่อจีนพยายามปลดล็อกตัวเองจากการคว่ำบาตร

    ตั้งแต่ปลายปี 2022 YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือผลิตชั้นสูงจากบริษัทอเมริกัน เช่น ASML, Applied Materials, KLA และ LAM Research ได้โดยตรง

    แต่ YMTC ไม่หยุดนิ่ง:
    - เริ่มผลิต NAND รุ่นใหม่ X4-9070 แบบ 3D TLC ที่มีถึง 294 ชั้น
    - เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025
    - ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 wafer starts ต่อเดือน (WSPM) ภายในปีนี้
    - วางแผนเปิดตัว NAND รุ่นใหม่ เช่น X5-9080 ขนาด 2TB และ QLC รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น

    แม้จะยังไม่สามารถผลิต lithography tools ขั้นสูงได้เอง แต่ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในจีนอย่าง SMIC, Hua Hong และ CXMT ที่อยู่ในช่วง 15–27%

    YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2022
    ไม่สามารถซื้อเครื่องมือผลิต NAND ที่มีมากกว่า 128 ชั้นจากบริษัทอเมริกันได้

    YMTC เริ่มผลิต NAND รุ่น X4-9070 ที่มี 294 ชั้น และเตรียมเปิดตัวรุ่น 2TB ในปีหน้า
    ใช้เทคนิคการเชื่อมโครงสร้างหลายชั้นเพื่อเพิ่ม bit density

    เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025
    เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 WSPM และครองตลาด NAND 15% ภายในปี 2026
    หากสำเร็จจะเปลี่ยนสมดุลของตลาด NAND ทั่วโลก

    YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45%
    สูงกว่าคู่แข่งในจีน เช่น SMIC (22%), Hua Hong (20%), CXMT (20%)

    ผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศที่ร่วมกับ YMTC ได้แก่ AMEC, Naura, Piotech และ SMEE
    มีความเชี่ยวชาญด้าน etching, deposition และ lithography ระดับพื้นฐาน

    YMTC ลงทุนผ่าน Changjiang Capital เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศ
    ใช้ช่องทางไม่เปิดเผยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐฯ

    เครื่องมือผลิตในประเทศจีนยังมี yield ต่ำกว่าของอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป
    อาจทำให้สายการผลิตทดลองไม่สามารถขยายเป็นการผลิตจริงได้ทันเวลา

    การใช้เทคนิค stacking หลายชั้นทำให้ wafer ใช้เวลานานในโรงงาน
    ส่งผลให้จำนวน wafer ต่อเดือนลดลง แม้ bit output จะเพิ่มขึ้น

    การตั้งเป้าครองตลาด 15% ภายในปี 2026 อาจมองในแง่ดีเกินไป
    เพราะต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง yield และขยายกำลังผลิตจริง

    การขาดเครื่องมือ lithography ขั้นสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต NAND รุ่นใหม่
    SMEE ยังผลิตได้แค่ระดับ 90nm ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับ NAND ขั้นสูง

    หาก YMTC เพิ่มกำลังผลิตเกิน 200,000 WSPM อาจกระทบราคาตลาด NAND ทั่วโลก
    ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและกระทบผู้ผลิตรายอื่น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinas-ymtc-moves-to-break-free-of-u-s-sanctions-by-building-production-line-with-homegrown-tools-aims-to-capture-15-percent-of-nand-market-by-late-2026
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงาน NAND: เมื่อจีนพยายามปลดล็อกตัวเองจากการคว่ำบาตร ตั้งแต่ปลายปี 2022 YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือผลิตชั้นสูงจากบริษัทอเมริกัน เช่น ASML, Applied Materials, KLA และ LAM Research ได้โดยตรง แต่ YMTC ไม่หยุดนิ่ง: - เริ่มผลิต NAND รุ่นใหม่ X4-9070 แบบ 3D TLC ที่มีถึง 294 ชั้น - เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025 - ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 wafer starts ต่อเดือน (WSPM) ภายในปีนี้ - วางแผนเปิดตัว NAND รุ่นใหม่ เช่น X5-9080 ขนาด 2TB และ QLC รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น แม้จะยังไม่สามารถผลิต lithography tools ขั้นสูงได้เอง แต่ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในจีนอย่าง SMIC, Hua Hong และ CXMT ที่อยู่ในช่วง 15–27% ✅ YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2022 ➡️ ไม่สามารถซื้อเครื่องมือผลิต NAND ที่มีมากกว่า 128 ชั้นจากบริษัทอเมริกันได้ ✅ YMTC เริ่มผลิต NAND รุ่น X4-9070 ที่มี 294 ชั้น และเตรียมเปิดตัวรุ่น 2TB ในปีหน้า ➡️ ใช้เทคนิคการเชื่อมโครงสร้างหลายชั้นเพื่อเพิ่ม bit density ✅ เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025 ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 WSPM และครองตลาด NAND 15% ภายในปี 2026 ➡️ หากสำเร็จจะเปลี่ยนสมดุลของตลาด NAND ทั่วโลก ✅ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ➡️ สูงกว่าคู่แข่งในจีน เช่น SMIC (22%), Hua Hong (20%), CXMT (20%) ✅ ผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศที่ร่วมกับ YMTC ได้แก่ AMEC, Naura, Piotech และ SMEE ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน etching, deposition และ lithography ระดับพื้นฐาน ✅ YMTC ลงทุนผ่าน Changjiang Capital เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศ ➡️ ใช้ช่องทางไม่เปิดเผยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐฯ ‼️ เครื่องมือผลิตในประเทศจีนยังมี yield ต่ำกว่าของอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป ⛔ อาจทำให้สายการผลิตทดลองไม่สามารถขยายเป็นการผลิตจริงได้ทันเวลา ‼️ การใช้เทคนิค stacking หลายชั้นทำให้ wafer ใช้เวลานานในโรงงาน ⛔ ส่งผลให้จำนวน wafer ต่อเดือนลดลง แม้ bit output จะเพิ่มขึ้น ‼️ การตั้งเป้าครองตลาด 15% ภายในปี 2026 อาจมองในแง่ดีเกินไป ⛔ เพราะต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง yield และขยายกำลังผลิตจริง ‼️ การขาดเครื่องมือ lithography ขั้นสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต NAND รุ่นใหม่ ⛔ SMEE ยังผลิตได้แค่ระดับ 90nm ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับ NAND ขั้นสูง ‼️ หาก YMTC เพิ่มกำลังผลิตเกิน 200,000 WSPM อาจกระทบราคาตลาด NAND ทั่วโลก ⛔ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและกระทบผู้ผลิตรายอื่น https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinas-ymtc-moves-to-break-free-of-u-s-sanctions-by-building-production-line-with-homegrown-tools-aims-to-capture-15-percent-of-nand-market-by-late-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามโอลิมปิกคณิตศาสตร์: เมื่อ AI ได้เหรียญทองในสนามมนุษย์

    IMO เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1959 โดยแต่ละประเทศส่งนักเรียนมัธยมปลาย 6 คนมาแข่งขันกันในโจทย์ที่ยากมากในสาขา:
    - พีชคณิต (Algebra)
    - ทฤษฎีจำนวน (Number Theory)
    - เรขาคณิต (Geometry)
    - คอมบิเนอริกส์ (Combinatorics)

    ปีนี้ Google DeepMind ส่งโมเดล Gemini Deep Think เข้าร่วมในฐานะ AI system ที่ถูกประเมินโดยกรรมการ IMO จริง — และสามารถแก้โจทย์ได้ 5 จาก 6 ข้ออย่างถูกต้อง ได้คะแนนรวม 35 จาก 42 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเหรียญทองของมนุษย์

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ:
    - ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ทำได้แค่ระดับเหรียญเงิน (28 คะแนน)
    - ต้องใช้การแปลโจทย์เป็นภาษาสัญลักษณ์ (เช่น Lean) และใช้เวลาคำนวณ 2–3 วัน
    - ปีนี้ Gemini Deep Think ทำงานแบบ end-to-end ด้วยภาษาอังกฤษธรรมดา
    - ใช้เวลาเท่ากับการแข่งขันจริง (4.5 ชั่วโมง) และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้

    เบื้องหลังความสำเร็จคือการใช้เทคนิคใหม่ เช่น:
    - Parallel Thinking: คิดหลายแนวทางพร้อมกันก่อนเลือกคำตอบ
    - Reinforcement Learning: ฝึกจากข้อมูลการแก้โจทย์หลายขั้นตอน
    - Corpus คุณภาพสูง: รวมคำแนะนำและตัวอย่างการแก้โจทย์ IMO

    Gemini Deep Think ทำคะแนน 35/42 ใน IMO 2025 เทียบเท่าระดับเหรียญทอง
    แก้โจทย์ 5 จาก 6 ข้อได้อย่างถูกต้องภายในเวลาแข่งขันจริง

    เป็นครั้งแรกที่ AI ได้รับการประเมินโดยกรรมการ IMO อย่างเป็นทางการ
    ใช้เกณฑ์เดียวกับนักเรียนมนุษย์ในการตรวจคำตอบ

    ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ได้แค่ระดับเหรียญเงิน
    ต้องใช้การแปลโจทย์และคำนวณหลายวัน ไม่ใช่แบบ end-to-end

    Gemini Deep Think ทำงานแบบ natural language ทั้งหมด
    ไม่ต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ทันที

    ใช้เทคนิค Parallel Thinking เพื่อคิดหลายแนวทางพร้อมกัน
    เพิ่มความสามารถในการเลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด

    ฝึกด้วย reinforcement learning บนข้อมูลการพิสูจน์และแก้โจทย์หลายขั้นตอน
    ทำให้เข้าใจตรรกะเชิงลึกและการให้เหตุผลแบบมนุษย์

    จะเปิดให้กลุ่มนักคณิตศาสตร์ทดลองใช้ก่อนปล่อยสู่ผู้ใช้ Google AI Ultra
    เพื่อรับฟีดแบ็กและปรับปรุงก่อนใช้งานจริง

    การตรวจคำตอบของ IMO ไม่ได้ประเมินระบบหรือโมเดลเบื้องหลัง
    หมายความว่าแม้คำตอบจะถูก แต่ยังไม่รับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด

    การใช้ AI ในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์
    เพราะบางคำตอบอาจดูถูกต้องแต่ขาดตรรกะหรือหลักฐานที่ชัดเจน

    การฝึกด้วย corpus เฉพาะทางอาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโจทย์ IMO
    ไม่สามารถสรุปว่า AI เข้าใจคณิตศาสตร์ทั่วไปหรือสามารถสอนคนได้จริง

    การใช้ AI ในการแก้โจทย์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาโดยไม่เข้าใจพื้นฐาน
    ต้องมีการออกแบบให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนความเข้าใจ

    https://deepmind.google/discover/blog/advanced-version-of-gemini-with-deep-think-officially-achieves-gold-medal-standard-at-the-international-mathematical-olympiad/
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามโอลิมปิกคณิตศาสตร์: เมื่อ AI ได้เหรียญทองในสนามมนุษย์ IMO เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1959 โดยแต่ละประเทศส่งนักเรียนมัธยมปลาย 6 คนมาแข่งขันกันในโจทย์ที่ยากมากในสาขา: - พีชคณิต (Algebra) - ทฤษฎีจำนวน (Number Theory) - เรขาคณิต (Geometry) - คอมบิเนอริกส์ (Combinatorics) ปีนี้ Google DeepMind ส่งโมเดล Gemini Deep Think เข้าร่วมในฐานะ AI system ที่ถูกประเมินโดยกรรมการ IMO จริง — และสามารถแก้โจทย์ได้ 5 จาก 6 ข้ออย่างถูกต้อง ได้คะแนนรวม 35 จาก 42 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเหรียญทองของมนุษย์ สิ่งที่น่าทึ่งคือ: - ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ทำได้แค่ระดับเหรียญเงิน (28 คะแนน) - ต้องใช้การแปลโจทย์เป็นภาษาสัญลักษณ์ (เช่น Lean) และใช้เวลาคำนวณ 2–3 วัน - ปีนี้ Gemini Deep Think ทำงานแบบ end-to-end ด้วยภาษาอังกฤษธรรมดา - ใช้เวลาเท่ากับการแข่งขันจริง (4.5 ชั่วโมง) และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ เบื้องหลังความสำเร็จคือการใช้เทคนิคใหม่ เช่น: - Parallel Thinking: คิดหลายแนวทางพร้อมกันก่อนเลือกคำตอบ - Reinforcement Learning: ฝึกจากข้อมูลการแก้โจทย์หลายขั้นตอน - Corpus คุณภาพสูง: รวมคำแนะนำและตัวอย่างการแก้โจทย์ IMO ✅ Gemini Deep Think ทำคะแนน 35/42 ใน IMO 2025 เทียบเท่าระดับเหรียญทอง ➡️ แก้โจทย์ 5 จาก 6 ข้อได้อย่างถูกต้องภายในเวลาแข่งขันจริง ✅ เป็นครั้งแรกที่ AI ได้รับการประเมินโดยกรรมการ IMO อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้เกณฑ์เดียวกับนักเรียนมนุษย์ในการตรวจคำตอบ ✅ ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ได้แค่ระดับเหรียญเงิน ➡️ ต้องใช้การแปลโจทย์และคำนวณหลายวัน ไม่ใช่แบบ end-to-end ✅ Gemini Deep Think ทำงานแบบ natural language ทั้งหมด ➡️ ไม่ต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ทันที ✅ ใช้เทคนิค Parallel Thinking เพื่อคิดหลายแนวทางพร้อมกัน ➡️ เพิ่มความสามารถในการเลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด ✅ ฝึกด้วย reinforcement learning บนข้อมูลการพิสูจน์และแก้โจทย์หลายขั้นตอน ➡️ ทำให้เข้าใจตรรกะเชิงลึกและการให้เหตุผลแบบมนุษย์ ✅ จะเปิดให้กลุ่มนักคณิตศาสตร์ทดลองใช้ก่อนปล่อยสู่ผู้ใช้ Google AI Ultra ➡️ เพื่อรับฟีดแบ็กและปรับปรุงก่อนใช้งานจริง ‼️ การตรวจคำตอบของ IMO ไม่ได้ประเมินระบบหรือโมเดลเบื้องหลัง ⛔ หมายความว่าแม้คำตอบจะถูก แต่ยังไม่รับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด ‼️ การใช้ AI ในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์ ⛔ เพราะบางคำตอบอาจดูถูกต้องแต่ขาดตรรกะหรือหลักฐานที่ชัดเจน ‼️ การฝึกด้วย corpus เฉพาะทางอาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโจทย์ IMO ⛔ ไม่สามารถสรุปว่า AI เข้าใจคณิตศาสตร์ทั่วไปหรือสามารถสอนคนได้จริง ‼️ การใช้ AI ในการแก้โจทย์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาโดยไม่เข้าใจพื้นฐาน ⛔ ต้องมีการออกแบบให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนความเข้าใจ https://deepmind.google/discover/blog/advanced-version-of-gemini-with-deep-think-officially-achieves-gold-medal-standard-at-the-international-mathematical-olympiad/
    DEEPMIND.GOOGLE
    Advanced version of Gemini with Deep Think officially achieves gold-medal standard at the International Mathematical Olympiad
    Our advanced model officially achieved a gold-medal level performance on problems from the International Mathematical Olympiad (IMO), the world’s most prestigious competition for young...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ถ้าเราซื้อทุกอย่างโดยไม่มีการผลิตใช้เอง รัสเซียจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และสูญเสียอธิปไตยไปในที่สุด"

    "นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับคนที่แนะนำให้ซื้อทุกอย่างจากต่างประเทศ"

    — นี่คือแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
    "ถ้าเราซื้อทุกอย่างโดยไม่มีการผลิตใช้เอง รัสเซียจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และสูญเสียอธิปไตยไปในที่สุด" "นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับคนที่แนะนำให้ซื้อทุกอย่างจากต่างประเทศ" — นี่คือแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากฝั่ง Intel: Battlemage BMG-G31 มาแน่ พร้อมท้าชน RTX 5060 Ti

    หลังจาก Intel ได้เปิดตัว Arc B580 และ Arc B570 ซึ่งใช้ชิป BMG-G21 และประสบความสำเร็จในตลาด GPU ราคาไม่เกิน $250 ล่าสุดมีการพบข้อมูลจาก GitHub ว่า BMG-G31 ซึ่งเป็นชิปขนาดใหญ่กว่ากำลังจะมา โดยมีการเพิ่มใน Compute Runtime พร้อม device ID ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ 0xE220–0xE223

    ตามรายงาน BMG-G31 จะมาพร้อมกับ:
    - 32 Xe2 Cores — มากกว่ารุ่น B580 ถึง 60%
    - หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB กับ bus กว้าง 256-bit
    - Bandwidth ประมาณ 608GB/s สูงกว่า B580 อย่างชัดเจน

    เป้าหมายคือการชนกับการ์ดระดับกลางอย่าง RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT โดยจะตั้งราคาไว้ราว $329–$349 ซึ่งถ้าออกมาจริงก็อาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มประสิทธิภาพต่อราคา

    ก่อนหน้านี้ Intel ได้โชว์ว่า Arc B580 ที่ขายเพียง $249 ยังสามารถให้ประสบการณ์เกม AAA ได้ดี ดังนั้น BMG-G31 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการขยับเข้าสู่ GPU ระดับกลางที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขึ้น

    Intel เพิ่มการรองรับ BMG-G31 GPU ใน Compute Runtime ล่าสุด
    พบรหัสอุปกรณ์ใหม่ 4 ตัว: 0xE220–0xE223

    BMG-G31 คาดว่าจะมี 32 Xe2 Cores และแรม GDDR6 ขนาด 16 GB
    ใช้ bus กว้าง 256-bit และ bandwidth สูงถึง 608 GB/s

    เทียบกับ B580 แล้วถือว่าเพิ่ม core count ถึง 60%
    B580 ใช้ 20 Xe2 Cores และ bus 192-bit เท่านั้น

    ตั้งเป้าแข่งขันกับ RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT
    ซึ่งอยู่ในกลุ่มราคาประมาณ $350–$450

    ราคาที่คาดของ BMG-G31 คือ $329–$349 หาก Intel เปิดตัวตามแผน
    น่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2025

    ใช้กระบวนการผลิต TSMC 5nm เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า
    สอดคล้องกับแนวโน้มการลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพในยุค AI

    ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในขั้น “การเพิ่มการรองรับ” เท่านั้น
    ยังไม่มีการยืนยันสเปกหรือวันเปิดตัวจาก Intel อย่างเป็นทางการ

    การเปรียบเทียบกับ RTX และ RX อิงจากการคาดการณ์ spec เท่านั้น
    ต้องรอผลการทดสอบจริงก่อนตัดสินประสิทธิภาพ

    ตลาด GPU ระดับกลางแข่งขันรุนแรงมาก
    ถ้า Intel ตั้งราคาสูงเกิน ความน่าสนใจอาจลดลงทันที

    ความคาดหวังของผู้ใช้ที่เห็นสเปก “แรง” อาจทำให้ผิดหวังถ้า software support ยังไม่ดี
    Intel ยังต้องพิสูจน์ด้าน driver และ game compatibility อย่างต่อเนื่อง

    https://wccftech.com/intel-adds-big-battlemage-bmg-g31-gpu-support-four-device-ids-spotted/
    🎙️ เรื่องเล่าจากฝั่ง Intel: Battlemage BMG-G31 มาแน่ พร้อมท้าชน RTX 5060 Ti หลังจาก Intel ได้เปิดตัว Arc B580 และ Arc B570 ซึ่งใช้ชิป BMG-G21 และประสบความสำเร็จในตลาด GPU ราคาไม่เกิน $250 ล่าสุดมีการพบข้อมูลจาก GitHub ว่า BMG-G31 ซึ่งเป็นชิปขนาดใหญ่กว่ากำลังจะมา โดยมีการเพิ่มใน Compute Runtime พร้อม device ID ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ 0xE220–0xE223 ตามรายงาน BMG-G31 จะมาพร้อมกับ: - 32 Xe2 Cores — มากกว่ารุ่น B580 ถึง 60% - หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB กับ bus กว้าง 256-bit - Bandwidth ประมาณ 608GB/s สูงกว่า B580 อย่างชัดเจน เป้าหมายคือการชนกับการ์ดระดับกลางอย่าง RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT โดยจะตั้งราคาไว้ราว $329–$349 ซึ่งถ้าออกมาจริงก็อาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มประสิทธิภาพต่อราคา ก่อนหน้านี้ Intel ได้โชว์ว่า Arc B580 ที่ขายเพียง $249 ยังสามารถให้ประสบการณ์เกม AAA ได้ดี ดังนั้น BMG-G31 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการขยับเข้าสู่ GPU ระดับกลางที่มีการแข่งขันดุเดือดมากขึ้น ✅ Intel เพิ่มการรองรับ BMG-G31 GPU ใน Compute Runtime ล่าสุด ➡️ พบรหัสอุปกรณ์ใหม่ 4 ตัว: 0xE220–0xE223 ✅ BMG-G31 คาดว่าจะมี 32 Xe2 Cores และแรม GDDR6 ขนาด 16 GB ➡️ ใช้ bus กว้าง 256-bit และ bandwidth สูงถึง 608 GB/s ✅ เทียบกับ B580 แล้วถือว่าเพิ่ม core count ถึง 60% ➡️ B580 ใช้ 20 Xe2 Cores และ bus 192-bit เท่านั้น ✅ ตั้งเป้าแข่งขันกับ RTX 5060 Ti และ RX 9060 XT ➡️ ซึ่งอยู่ในกลุ่มราคาประมาณ $350–$450 ✅ ราคาที่คาดของ BMG-G31 คือ $329–$349 หาก Intel เปิดตัวตามแผน ➡️ น่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2025 ✅ ใช้กระบวนการผลิต TSMC 5nm เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ➡️ สอดคล้องกับแนวโน้มการลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพในยุค AI ‼️ ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในขั้น “การเพิ่มการรองรับ” เท่านั้น ⛔ ยังไม่มีการยืนยันสเปกหรือวันเปิดตัวจาก Intel อย่างเป็นทางการ ‼️ การเปรียบเทียบกับ RTX และ RX อิงจากการคาดการณ์ spec เท่านั้น ⛔ ต้องรอผลการทดสอบจริงก่อนตัดสินประสิทธิภาพ ‼️ ตลาด GPU ระดับกลางแข่งขันรุนแรงมาก ⛔ ถ้า Intel ตั้งราคาสูงเกิน ความน่าสนใจอาจลดลงทันที ‼️ ความคาดหวังของผู้ใช้ที่เห็นสเปก “แรง” อาจทำให้ผิดหวังถ้า software support ยังไม่ดี ⛔ Intel ยังต้องพิสูจน์ด้าน driver และ game compatibility อย่างต่อเนื่อง https://wccftech.com/intel-adds-big-battlemage-bmg-g31-gpu-support-four-device-ids-spotted/
    WCCFTECH.COM
    Intel Adds Big Battlemage "BMG-G31" GPU Support To Compute Runtime, Four Device IDs Spotted
    Intel's big Battlemage GPU, BMG-G31, has received new support along with the addition of four Device IDs within the Compute Runtime.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น:

    - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu
    - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน
    - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC

    กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ

    FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ
    เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน

    กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE
    ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ

    จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล
    รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ

    FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ
    และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99%
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง

    การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน

    การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า
    ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค

    การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง
    โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์
    เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น: - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ ➡️ เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ✅ กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE ➡️ ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ ✅ จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล ➡️ รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ ✅ FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ ➡️ และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ‼️ การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน ‼️ การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า ⛔ ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค ‼️ การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง ⛔ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ‼️ การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    FCC moves to ban Chinese tech from undersea cables
    According to a statement from FCC Chairman Brendan Carr, the FCC will vote on rules to "unleash submarine cable investment to accelerate the buildout of AI infrastructure,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ทักษิณ' อวยตัวเอง สิงคโปร์หนักใจต้องปรับการแข่งขันเพราะตนกลับไทย โวย 'แพทองธาร' ถูกพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย
    https://www.thai-tai.tv/news/20368/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #การเมืองไทย #เศรษฐกิจไทย #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #พระราชกำหนด #เสถียรภาพรัฐบาล #แพทองธารชินวัตร #ปลดล็อกอนาคตไทย
    'ทักษิณ' อวยตัวเอง สิงคโปร์หนักใจต้องปรับการแข่งขันเพราะตนกลับไทย โวย 'แพทองธาร' ถูกพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย https://www.thai-tai.tv/news/20368/ . #ทักษิณชินวัตร #การเมืองไทย #เศรษฐกิจไทย #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #พระราชกำหนด #เสถียรภาพรัฐบาล #แพทองธารชินวัตร #ปลดล็อกอนาคตไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ทักษิณ' อวยตัวเอง สิงคโปร์หนักใจต้องปรับการแข่งขันเพราะตนกลับไทย โวย 'แพทองธาร' ถูกพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย
    https://www.thai-tai.tv/news/20368/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #การเมืองไทย #เศรษฐกิจไทย #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #พระราชกำหนด #เสถียรภาพรัฐบาล #แพทองธารชินวัตร #ปลดล็อกอนาคตไทย
    'ทักษิณ' อวยตัวเอง สิงคโปร์หนักใจต้องปรับการแข่งขันเพราะตนกลับไทย โวย 'แพทองธาร' ถูกพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย https://www.thai-tai.tv/news/20368/ . #ทักษิณชินวัตร #การเมืองไทย #เศรษฐกิจไทย #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #พระราชกำหนด #เสถียรภาพรัฐบาล #แพทองธารชินวัตร #ปลดล็อกอนาคตไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts