• 💬 .. อ่านแล้วชอบประโยคนี้จัง ”เราต่างพบกันชั่วคราว
    เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง“ 🥹🤍

    .. เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว ..

    วันหนึ่งความ ต า ย จะมาเยือนเราทุกคน
    ลองมองไปที่คนรอบตัว คนที่เรารัก คนที่รักเรา

    เขาเหล่านี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น
    แต่ในวันที่ยังมีกันและกัน เรามักหลงลืม
    ความจริงข้อนี้ไปหมดสิ้น คิดเข้าข้างตัวเองเสมอ
    ว่าวันพรุ่งนี้ยังเป็นของเราเสมอ

    แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว
    เราจะไม่มีวันได้ยินเสียง ไม่มีวันได้สัมผัส
    ไม่มีวันได้แก้ตัว กล่าวคำขอโทษใดๆ

    ถึงตอนนั้นเราจะรู้ได้เอง
    คำว่า "หมดเวลา" มีอยู่จริง

    จงรักกันให้มาก ดูแลกันให้ดี ให้อภัย
    รักษาน้ำใจ ไม่ถือโทษโกรธเคือง
    เพราะท้ายที่สุด ทุกสิ่งที่เราได้กระทำต่อกันไว้
    จะกลายเป็นความทรงจำในใจ
    เป็นบาดแผล เป็นก้อนหิน เป็นดอกไม้
    เวลาไม่ได้มีมากเท่าที่เราคิด

    เชื่อเถอะว่า ชีวิตไม่ได้ยั่งยืนยาวนานขนาดนั้น
    และความจริงในความจริง “เราต่างพบกันชั่วคราว
    เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง”
    💬 .. อ่านแล้วชอบประโยคนี้จัง ”เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง“ 🥹🤍 .. เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว .. วันหนึ่งความ ต า ย จะมาเยือนเราทุกคน ลองมองไปที่คนรอบตัว คนที่เรารัก คนที่รักเรา เขาเหล่านี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ในวันที่ยังมีกันและกัน เรามักหลงลืม ความจริงข้อนี้ไปหมดสิ้น คิดเข้าข้างตัวเองเสมอ ว่าวันพรุ่งนี้ยังเป็นของเราเสมอ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว เราจะไม่มีวันได้ยินเสียง ไม่มีวันได้สัมผัส ไม่มีวันได้แก้ตัว กล่าวคำขอโทษใดๆ ถึงตอนนั้นเราจะรู้ได้เอง คำว่า "หมดเวลา" มีอยู่จริง จงรักกันให้มาก ดูแลกันให้ดี ให้อภัย รักษาน้ำใจ ไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะท้ายที่สุด ทุกสิ่งที่เราได้กระทำต่อกันไว้ จะกลายเป็นความทรงจำในใจ เป็นบาดแผล เป็นก้อนหิน เป็นดอกไม้ เวลาไม่ได้มีมากเท่าที่เราคิด เชื่อเถอะว่า ชีวิตไม่ได้ยั่งยืนยาวนานขนาดนั้น และความจริงในความจริง “เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว้าวววว… ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมาจ๊ะ หมูเด้ง "นักธุรกิจดูไบ" บินตรงมามอบเงินให้หมูเด้ง เพื่อสนับสนุนภารกิจของสวนสัตว์ 5 ล้านบาท

    กระแสความน่ารัก ตะมุตะมิของสาวน้อยหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ดังไปไกลทั่วโลก โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง นักท่องเที่ยวแห่เข้ารอชมหมูเด้งกันตั้งแต่สวนสัตว์ยังไม่เปิดทุกวัน

    https://mgronline.com/local/detail/9670000094811

    #Thaitimes
    ว้าวววว… ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมาจ๊ะ หมูเด้ง "นักธุรกิจดูไบ" บินตรงมามอบเงินให้หมูเด้ง เพื่อสนับสนุนภารกิจของสวนสัตว์ 5 ล้านบาท กระแสความน่ารัก ตะมุตะมิของสาวน้อยหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ดังไปไกลทั่วโลก โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง นักท่องเที่ยวแห่เข้ารอชมหมูเด้งกันตั้งแต่สวนสัตว์ยังไม่เปิดทุกวัน https://mgronline.com/local/detail/9670000094811 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    เกินต้านจริงๆ เศรษฐีดูไบบินตรงหา “หมูเด้ง” มอบเงินให้ 5 ล้านบาท
    ศูนย์ข่าวศรีราชา - ว้าวววว … ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมาจ๊ะ หมูเด้ง “นักธุรกิจ ดูไบ“ บินตรงมามอบเงินให้หมูเด้ง เพื่อสนับสนุนภารกิจของสวนสัตว์ 5 ล้านบาท
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เรียกร้องในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ให้ระงับป้อนอาวุธแก่อิสราเอลที่ใช้ในฉนวนกาซา ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดจากเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล
    .
    นอกจากนี้ มาครง ยังวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล ต่อการตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นที่ในเลบานอนด้วยเช่นกัน "ผมคิดว่าวันนี้ เป้าหมายลำดับต้นๆ คือการกลับสู่ทางออกทางการเมือง เราควรหยุดป้อนอาวุธที่ใช้สู้รบในกาซา" ผู้นำฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแดนน้ำหอม "ฝรั่งเศสจะไม่ป้อนอาวุธใดๆ"
    .
    มาครง เน้นย้ำความกังวลของเขาที่มีต่อความขัดแย้งในกาซาที่ยังคงเป็นไปอย่างเลวร้าย แม้มีเสียงเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับข้อตกลงหยุดยิง "เราคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเรา ผมคิดว่ามันคือความผิดพลาด ในนั้นรวมถึงสำหรับความมั่นคงของอิสราเอล" เขากล่าว พร้อมระบุว่าความขัดแย้งกำลังนำมาซึ่งความเกลียดชัง
    .
    ความเห็นของเขาเรียกเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดมาจาก เนทันยาฮู "ในขณะที่อิสราเอลกำลังสู้รบกับกองกำลังที่ป่าเถื่อนทั้งหลายที่นำโดยอิหร่าน พวกประเทศศิวิไลซ์ทั้งหมดควรยืนหยัดอยู่เคียงข้างอิสราเอล" เนทันยาฮูระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยทำเนียบนายกรัฐมตรีอิสราเอล "แต่ประธานาธิบดีมาครง และพวกผู้นำตะวันตกคนอื่นๆ ตอนนี้กลับมาเรียกร้องให้ใช้มาตรการปิดล้อมทางอาวุธกับอิสราเอล พวกเขามันน่าอดสู"
    .
    อิสราเอลสู้รบในสงครามในหลายแนวหน้ากับบรรดากลุ่มติดอาวุธทั้งหลายที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน คู่อริตัวฉกาจ
    .
    ทำเนียบของประธานาธิบดีมาครง เผยแพร่ถ้อยแถลงของตนเองเช่นกันในช่วงค่ำวันเสาร์ (5 ต.ค.) ตอบโต้ความเห็นของผู้นำอิสราเอล "ฝรั่งเศสเป็นมิตรที่แน่วแน่ของอิสราเอล" พร้อมระบุปฏิกิริยาตอบสนองของเนทันยาฮู "นั้นเลยเถิดเกินไปและไม่ใกล้เคียงความเป็นมิตรระหว่างฝรั่งเศสกับอิสราเอล"
    .
    ระหว่างการให้สัมภาษณ์ มาครง ยังบอกว่าควรให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ลุกลามบานปลายในเลบานอน "เลบานอนไม่อาจเป็นอีกหนึ่งกาซา" เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำเสียงเรียกร้องของปารีสและวอชิงตันเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง "ผมเสียใจที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูเลือกทางเลือกอื่น เขาต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการทางภาคพื้นในแผ่นดินของเลบานอน"
    .
    สมาชิก 88 รัฐขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (OIF) ในนั้นรวมถึงฝรั่งเศสและแคนาดา เรียกร้องการหยุดยิงในทันทีและยั่งยืนในเลบานอน อย่างไรก็ตาม มาครง เน้นย้ำเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล และเปิดเผยว่าเขาจะพบปะกับบรรดาญาติๆ ของตัวประกันเชื้อสายฝรั่งเศส-อิสราอล ที่เคยถูกควบคุมตัวในกาซา ในวันจันทร์ (7 ต.ค.)
    .
    ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) ถือเป็นวาระครบรอบ 1 ปี ที่อิสราเอลถูกพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาสบุกจู่โจมอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โหมกระพือสงครามในกาซา และเวลานี้แผ่ลามไปยังเลบานอน ประเทศที่อยู่ติดกัน ก่อวิกฤตในภูมิภาค
    .
    ผลจากปฏิบัติการโจมตีของฮามาส ได้ปลิดชีพไป 1,205 คนในอิสราเอล ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ในขณะที่ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอลถล่มกาซา ได้สังหารไปแล้วอย่างน้อย 41,825 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000094758
    ..................
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เรียกร้องในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ให้ระงับป้อนอาวุธแก่อิสราเอลที่ใช้ในฉนวนกาซา ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดจากเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล . นอกจากนี้ มาครง ยังวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล ต่อการตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นที่ในเลบานอนด้วยเช่นกัน "ผมคิดว่าวันนี้ เป้าหมายลำดับต้นๆ คือการกลับสู่ทางออกทางการเมือง เราควรหยุดป้อนอาวุธที่ใช้สู้รบในกาซา" ผู้นำฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแดนน้ำหอม "ฝรั่งเศสจะไม่ป้อนอาวุธใดๆ" . มาครง เน้นย้ำความกังวลของเขาที่มีต่อความขัดแย้งในกาซาที่ยังคงเป็นไปอย่างเลวร้าย แม้มีเสียงเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับข้อตกลงหยุดยิง "เราคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเรา ผมคิดว่ามันคือความผิดพลาด ในนั้นรวมถึงสำหรับความมั่นคงของอิสราเอล" เขากล่าว พร้อมระบุว่าความขัดแย้งกำลังนำมาซึ่งความเกลียดชัง . ความเห็นของเขาเรียกเสียงตอบโต้อย่างดุเดือดมาจาก เนทันยาฮู "ในขณะที่อิสราเอลกำลังสู้รบกับกองกำลังที่ป่าเถื่อนทั้งหลายที่นำโดยอิหร่าน พวกประเทศศิวิไลซ์ทั้งหมดควรยืนหยัดอยู่เคียงข้างอิสราเอล" เนทันยาฮูระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยทำเนียบนายกรัฐมตรีอิสราเอล "แต่ประธานาธิบดีมาครง และพวกผู้นำตะวันตกคนอื่นๆ ตอนนี้กลับมาเรียกร้องให้ใช้มาตรการปิดล้อมทางอาวุธกับอิสราเอล พวกเขามันน่าอดสู" . อิสราเอลสู้รบในสงครามในหลายแนวหน้ากับบรรดากลุ่มติดอาวุธทั้งหลายที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน คู่อริตัวฉกาจ . ทำเนียบของประธานาธิบดีมาครง เผยแพร่ถ้อยแถลงของตนเองเช่นกันในช่วงค่ำวันเสาร์ (5 ต.ค.) ตอบโต้ความเห็นของผู้นำอิสราเอล "ฝรั่งเศสเป็นมิตรที่แน่วแน่ของอิสราเอล" พร้อมระบุปฏิกิริยาตอบสนองของเนทันยาฮู "นั้นเลยเถิดเกินไปและไม่ใกล้เคียงความเป็นมิตรระหว่างฝรั่งเศสกับอิสราเอล" . ระหว่างการให้สัมภาษณ์ มาครง ยังบอกว่าควรให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ลุกลามบานปลายในเลบานอน "เลบานอนไม่อาจเป็นอีกหนึ่งกาซา" เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำเสียงเรียกร้องของปารีสและวอชิงตันเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง "ผมเสียใจที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูเลือกทางเลือกอื่น เขาต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการทางภาคพื้นในแผ่นดินของเลบานอน" . สมาชิก 88 รัฐขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (OIF) ในนั้นรวมถึงฝรั่งเศสและแคนาดา เรียกร้องการหยุดยิงในทันทีและยั่งยืนในเลบานอน อย่างไรก็ตาม มาครง เน้นย้ำเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล และเปิดเผยว่าเขาจะพบปะกับบรรดาญาติๆ ของตัวประกันเชื้อสายฝรั่งเศส-อิสราอล ที่เคยถูกควบคุมตัวในกาซา ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) . ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) ถือเป็นวาระครบรอบ 1 ปี ที่อิสราเอลถูกพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาสบุกจู่โจมอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โหมกระพือสงครามในกาซา และเวลานี้แผ่ลามไปยังเลบานอน ประเทศที่อยู่ติดกัน ก่อวิกฤตในภูมิภาค . ผลจากปฏิบัติการโจมตีของฮามาส ได้ปลิดชีพไป 1,205 คนในอิสราเอล ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ในขณะที่ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอลถล่มกาซา ได้สังหารไปแล้วอย่างน้อย 41,825 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000094758 .................. Sondhi X
    Like
    Yay
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!!

    ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!!

    ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง
    ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน
    ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป

    สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ
    ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ
    แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว
    พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด ……
    แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!!

    ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย
    ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน
    เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก)
    และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!!

    วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ
    เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21
    ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ
    โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า
    เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน……
    เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน…
    ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน……
    (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…)
    แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์
    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!!
    แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ
    จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ……
    เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน……

    ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน
    เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้…
    แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม
    แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย……
    นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!!

    เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า
    “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน)
    จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน
    และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้
    ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น
    การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!!

    ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง
    ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ

    ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน
    ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ)

    วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!!

    สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ
    การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……)
    แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว
    เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า
    “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “

    วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน
    แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น”
    เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย
    ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!!

    ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น
    แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่……
    มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น
    เต้นมาร้องกันใหม่……

    การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย
    นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน……
    นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย
    เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด
    ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน
    แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.……

    ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden
    แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์
    สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร
    กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์

    เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
    ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม
    เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
    มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต
    ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า
    Novorossiya อันหมายถึง New Russia…

    ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์
    ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน
    ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป……

    ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ
    Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ)

    วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว
    แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน…
    เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง
    สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี
    จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป
    แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน
    วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์
    ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!!

    ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!! ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!! ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด …… แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!! ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก) และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!! วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21 ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน…… เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน… ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน…… (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…) แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!! แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ…… เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน…… ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้… แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย…… นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!! เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน) จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้ ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!! ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ) วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!! สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……) แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “ วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!! ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่…… มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น เต้นมาร้องกันใหม่…… การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน…… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.…… ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์ สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์ เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า Novorossiya อันหมายถึง New Russia… ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์ ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป…… ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ) วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน… เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์ ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!! ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตน้ำท่วมปางช้าง20กว่าแห่งที่แม่แตง เชียงใหม่ ต้องเร่งอพยพช้างประสบภัย500ตัวขึ้นดอย ขาดแคลนอาหาร บางตัวจมน้ำตายและลอยคอในสายน้ำเชี่ยวกราก

    4 ตุลาคม 2567 -รายงานข่าวเมติชนออนไลน์ ระบุว่า น.ส.โซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง เปิดเผยกับมติชนว่า จากเหตุการน้ำท่วมพื้นที่ อ.แม่แตง แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่วิกฤตอย่างยิ่ง โดยน้ำในแม่น้ำแม่แตงไหลเชี่ยวอย่างมาก ซึ่งพื้นที่ อ.แม่วาง แม่แตง นั้น มีปางช้างตั้งอยู่ประมาณ 20 กว่าปาง มีช้างรวมเกือบ 500 ตัว ตอนนี้ ทั้งหมด ย้ายขึ้นไปอยู่บนดอยหมดแล้ว ที่น่าเศร้าคือ ได้รับรายงานว่า ที่ อ.แม่แตงนั้น มีช้างลอยคอมา 2 เชือก ท่ามกลางน้ำที่เชี่ยวกราก เจ้าหน้าที่พยายามตัวเอาไว้ได้ 1 เชือก แต่อีก 1 เชือกนั้นติดตอไม้ และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยออกมาได้ จึงจมน้ำตายในที่สุด สร้างความเศร้าใจแก่ทุกคนที่เห็นภาพอย่างยิ่ง โดยยังไม่รู้ว่า ช้างทั้ง 2 ตัว นั้น เป็นช้างจากปางของใคร

    น.ส.โซไรดา กล่าวว่า ทราบด้วยว่า ยังมีช้างอีก 30 ตัว ยังลอยคออยู่ในแม่น้ำแม่แตง ซึ่งไหลเชี่ยวมาก ถามว่า ช้างว่ายน้ำได้หรือเปล่า ก็ว่ายได้ แต่สภาพที่น้ำเชี่ยวแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในน้ำกลางน้ำเชี่ยว แม้ว่าว่ายน้ำเป็นแต่คงอยู่ในสภาพตะเกียกตะกาย หากหมดแรงเมื่อไรก็คงจมน้ำเมื่อนั้น

    “ตอนนี้ก็ได้แต่คอยลุ้น และช่วยกันทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายปกครอง และทหาร ตอนนี้ต้องใช้โดรน บินหา แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว ฝนก็ยังตกอยู่ เข้าใจว่า หากมืด ก็คงต้องถอนตัวออกมาจากพื้นที่ก่อน เพราะคงทำอะไรได้ไม่มาก”เลขาธิการมูลนิธิเพื่อช้าง กล่าว

    ด้าน นายวิโรจน์ สุภโชคสหกุล ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการมูลนิธิเพื่อช้าง กล่าวว่า ปัญหาเวลานี้คือ ช้างเกือบ 500 เชือก จากปางช้าง แม่แตง แม่วาง ที่ย้ายขึ้นไปอยู่บนดอยนั้น ไม่มีอาหารกิน แม้จะมีผู้เอาหญ้าขึ้นไปให้ 200 มัด แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าน้ำจะลดเมื่อไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ต้องเฝ้าระวังอย่างไม่ให้เดินเพ่นพ่านบนดอย แต่ยังดีกว่า ลอยคอแช่น้ำอยู่ด้านล่าง

    ที่มา https://www.matichon.co.th/region/news_4828398#m1uoo0hdcn91kt8ezl4

    #Thaitimes
    วิกฤตน้ำท่วมปางช้าง20กว่าแห่งที่แม่แตง เชียงใหม่ ต้องเร่งอพยพช้างประสบภัย500ตัวขึ้นดอย ขาดแคลนอาหาร บางตัวจมน้ำตายและลอยคอในสายน้ำเชี่ยวกราก 4 ตุลาคม 2567 -รายงานข่าวเมติชนออนไลน์ ระบุว่า น.ส.โซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง เปิดเผยกับมติชนว่า จากเหตุการน้ำท่วมพื้นที่ อ.แม่แตง แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่วิกฤตอย่างยิ่ง โดยน้ำในแม่น้ำแม่แตงไหลเชี่ยวอย่างมาก ซึ่งพื้นที่ อ.แม่วาง แม่แตง นั้น มีปางช้างตั้งอยู่ประมาณ 20 กว่าปาง มีช้างรวมเกือบ 500 ตัว ตอนนี้ ทั้งหมด ย้ายขึ้นไปอยู่บนดอยหมดแล้ว ที่น่าเศร้าคือ ได้รับรายงานว่า ที่ อ.แม่แตงนั้น มีช้างลอยคอมา 2 เชือก ท่ามกลางน้ำที่เชี่ยวกราก เจ้าหน้าที่พยายามตัวเอาไว้ได้ 1 เชือก แต่อีก 1 เชือกนั้นติดตอไม้ และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยออกมาได้ จึงจมน้ำตายในที่สุด สร้างความเศร้าใจแก่ทุกคนที่เห็นภาพอย่างยิ่ง โดยยังไม่รู้ว่า ช้างทั้ง 2 ตัว นั้น เป็นช้างจากปางของใคร น.ส.โซไรดา กล่าวว่า ทราบด้วยว่า ยังมีช้างอีก 30 ตัว ยังลอยคออยู่ในแม่น้ำแม่แตง ซึ่งไหลเชี่ยวมาก ถามว่า ช้างว่ายน้ำได้หรือเปล่า ก็ว่ายได้ แต่สภาพที่น้ำเชี่ยวแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในน้ำกลางน้ำเชี่ยว แม้ว่าว่ายน้ำเป็นแต่คงอยู่ในสภาพตะเกียกตะกาย หากหมดแรงเมื่อไรก็คงจมน้ำเมื่อนั้น “ตอนนี้ก็ได้แต่คอยลุ้น และช่วยกันทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายปกครอง และทหาร ตอนนี้ต้องใช้โดรน บินหา แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว ฝนก็ยังตกอยู่ เข้าใจว่า หากมืด ก็คงต้องถอนตัวออกมาจากพื้นที่ก่อน เพราะคงทำอะไรได้ไม่มาก”เลขาธิการมูลนิธิเพื่อช้าง กล่าว ด้าน นายวิโรจน์ สุภโชคสหกุล ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการมูลนิธิเพื่อช้าง กล่าวว่า ปัญหาเวลานี้คือ ช้างเกือบ 500 เชือก จากปางช้าง แม่แตง แม่วาง ที่ย้ายขึ้นไปอยู่บนดอยนั้น ไม่มีอาหารกิน แม้จะมีผู้เอาหญ้าขึ้นไปให้ 200 มัด แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าน้ำจะลดเมื่อไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ต้องเฝ้าระวังอย่างไม่ให้เดินเพ่นพ่านบนดอย แต่ยังดีกว่า ลอยคอแช่น้ำอยู่ด้านล่าง ที่มา https://www.matichon.co.th/region/news_4828398#m1uoo0hdcn91kt8ezl4 #Thaitimes
    WWW.MATICHON.CO.TH
    สุดสลดช้างจมน้ำตาย แล้ว 1 หนีท่วมเชียงใหม่ ลอยคออีก 30 เชือก ยังไม่รู้ชะตากรรม
    สุดสลดช้าง 2 เชือก ลอยคอกลางน้ำเชี่ยวกรากแต่หมดแรง ตะเกียกตะกายไปติดตอไม้จมน้ำตาย อีกตัวช่วยได้หวุดหวิด
    Like
    Love
    Sad
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 813 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยิ่งฉีดมาก กลับอ่อนแอ

    IgG4 เป็นชนิดหนึ่ง
    ของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ

    ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA
    ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing 14 กันยายน 2024
    ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด
    แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement

    ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน
    ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality.

    ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น

    อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี

    นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน

    และเมื่อฉีดมากเข็มตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์
    และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว
    (รายงานในวารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว)

    https://immunityageing.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12979-024-00466-9?utm_source=substack&utm_medium=email

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    ยิ่งฉีดมาก กลับอ่อนแอ IgG4 เป็นชนิดหนึ่ง ของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing 14 กันยายน 2024 ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality. ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน และเมื่อฉีดมากเข็มตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์ และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว (รายงานในวารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว) https://immunityageing.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12979-024-00466-9?utm_source=substack&utm_medium=email ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Love
    11
    1 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 1 รีวิว
  • #เพื่อเป็นมงคลชีวิตทำสิ่งนี้ก่อนเลย
    #ตัดสิ่งอัปมงคลออกไป
    จากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงได้แจ้งไปตั้งแต่โพสเมื่อวาน
    ว่า ไอ่เฒ่านุ ที่พี่คิงส์เคยลดตัวตอบโต้ เพจกากเพจนี้
    โดยประเมินชายชราคนนี้สูงเกินไป
    แต่ด้วยการแสดงความคิดผ่านการโพสต่างๆ
    ยิ่งทำให้รู้เลยว่า การที่โจมณฑนี ได้หมายมั่น
    ให้ชายชราคนนี้ เป็นผู้ปกป้องกามิจ
    ด้วยการที่โจ มีความรู้เพียงระดับม.ต้น
    และคนที่ศีลเสมอกันเท่านั้นที่คบหากันได้
    เราจึงเจอผู้ปกป้องกามิจ ที่ถ่ออยอย่างไอ่เป็ดติดว่าว
    มีพฤติกรรมหยาาบ สถูน
    และก็มีมือขวาของโจ อย่างเฒ่านุ
    จึงพิจาณาแล้วว่า พี่คิงส์รู้สึกหยะแหยง เฒ่าตันหากลับ
    คนนี้มากๆ สะอิดสะเอียนจนไม่สามารถอธิบายได้
    ดังนั้น พี่คิงส์จะตัดสินใจบล็อคขยะเพจนี้ เพื่อ
    ให้ชีวิตมีมงคล หากยังเห็นหรือต้องมาอ่าน
    ข้อความอันน่ารังเกียดแบบนี้ต่อไป มีโอกาสเพื้ยนตามแน่ๆ
    จึงใครขอใช้โพสนี้ เรียนถึงแฟนเพจทุกท่าน
    โปรดอย่าแคปส่งอะไรที่ เฒ่าตันหากลับคนนี้โพส
    มาให้พี่คิงส์เห็น เรามีงานใหญ่ต้องไปต่อกันอีกเยอะ
    เล่นกับขรี้จนมือเปื้อน ต้องล้างมือไม่รู้กี่รอบ
    ตอนนี้รู้แล้วว่า จิตใจระดับถ่ออยทั้งสอง ที่เป็นมือซ้าย
    มือขวาของโจมณฑนี ระดับศีลเสมอทั้งลูกศิษย์และอาจารย์
    บล็อคไปแล้วรูสึกทันทีว่า ชีวิตสว่างสไว
    ด้วยสันดาานของณุ อีกไม่กี่ปีก็เดินไม่ไหว
    ไร้ลูกหลายเหลียวแล ให้มันไปตามธรรมชาติและกรรมที่มันสร้างไว้นั่นแหละ
    รู้ว่าเป็นขยะเปียก รู้ว่าเป็นขรรี้ ก็แค่กดชักโครก แล้วเดินไปข้างหน้า
    ตอนแรกคิดว่าจะอบรมสั่งสอนให้มันกลับมาเป็นคนได้
    แต่ตอนนี้ยอมรับแล้ว ไอ่แก่นุเกินเยียวยาจริงๆ
    อี๋ ฉกปก
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง2
    #เพื่อเป็นมงคลชีวิตทำสิ่งนี้ก่อนเลย #ตัดสิ่งอัปมงคลออกไป จากที่เพจคิงส์โพธิ์แดงได้แจ้งไปตั้งแต่โพสเมื่อวาน ว่า ไอ่เฒ่านุ ที่พี่คิงส์เคยลดตัวตอบโต้ เพจกากเพจนี้ โดยประเมินชายชราคนนี้สูงเกินไป แต่ด้วยการแสดงความคิดผ่านการโพสต่างๆ ยิ่งทำให้รู้เลยว่า การที่โจมณฑนี ได้หมายมั่น ให้ชายชราคนนี้ เป็นผู้ปกป้องกามิจ ด้วยการที่โจ มีความรู้เพียงระดับม.ต้น และคนที่ศีลเสมอกันเท่านั้นที่คบหากันได้ เราจึงเจอผู้ปกป้องกามิจ ที่ถ่ออยอย่างไอ่เป็ดติดว่าว มีพฤติกรรมหยาาบ สถูน และก็มีมือขวาของโจ อย่างเฒ่านุ จึงพิจาณาแล้วว่า พี่คิงส์รู้สึกหยะแหยง เฒ่าตันหากลับ คนนี้มากๆ สะอิดสะเอียนจนไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้น พี่คิงส์จะตัดสินใจบล็อคขยะเพจนี้ เพื่อ ให้ชีวิตมีมงคล หากยังเห็นหรือต้องมาอ่าน ข้อความอันน่ารังเกียดแบบนี้ต่อไป มีโอกาสเพื้ยนตามแน่ๆ จึงใครขอใช้โพสนี้ เรียนถึงแฟนเพจทุกท่าน โปรดอย่าแคปส่งอะไรที่ เฒ่าตันหากลับคนนี้โพส มาให้พี่คิงส์เห็น เรามีงานใหญ่ต้องไปต่อกันอีกเยอะ เล่นกับขรี้จนมือเปื้อน ต้องล้างมือไม่รู้กี่รอบ ตอนนี้รู้แล้วว่า จิตใจระดับถ่ออยทั้งสอง ที่เป็นมือซ้าย มือขวาของโจมณฑนี ระดับศีลเสมอทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ บล็อคไปแล้วรูสึกทันทีว่า ชีวิตสว่างสไว ด้วยสันดาานของณุ อีกไม่กี่ปีก็เดินไม่ไหว ไร้ลูกหลายเหลียวแล ให้มันไปตามธรรมชาติและกรรมที่มันสร้างไว้นั่นแหละ รู้ว่าเป็นขยะเปียก รู้ว่าเป็นขรรี้ ก็แค่กดชักโครก แล้วเดินไปข้างหน้า ตอนแรกคิดว่าจะอบรมสั่งสอนให้มันกลับมาเป็นคนได้ แต่ตอนนี้ยอมรับแล้ว ไอ่แก่นุเกินเยียวยาจริงๆ อี๋ ฉกปก #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2 #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 537 มุมมอง 0 รีวิว
  • 04-10-67/02 : หมี CNN / เหี้ยฝากมาบอก! มรึงจะมายินดีเหี้ยอะไรตอนนี้จ๊ะ? กูรู้ พวกมรึงคิดจะล่อกูมาลงแขก เหมือนที่ทำกับลวกเพ่ยิวมายเลิฟกู! รัสเซีย-จีน ไม่พูดเยอะ 1.รัสเซียลุย จีนเติมให้ไม่อั้น 2.BRICS นำ โลกตาม 3.ท่อแก็สเชื่อมต่อรัสเซีย-จีน-อิหร่าน ถึงกันหมดแล้ว โลกอยู่ในมือ 4.เทดอลล่าร์กันหมดโลก แล้วไอ้ราคาที่เห็นอยู่ มีแต่ควายใช้ไงล่ะ 5.ผนึกโลกลงแขกยิวสำเร็จ อาร์คติคมาแน่ แปซิฟิคมั่นคง สรุปคือ รัสเซียเล่นบทเพชรฆาต จีนเล่นบทพ่อพระ อิหร่านเล่นบทสงครามครูเสด โสมแดงรอดักตีท้ายครัววอชิงตัน สูตรสำเร็จความใคร่เหี้ยที่ดีที่สุดคือ "ฆ่าล้างโคตรยิว ทุกอย่างจบ" WAGNER กระจายไปทั่วโลก ภาพที่เห็นการต่อสู้ ไม่ว่าสมรภูมิไหนในโลก สอดมี WAGNER สอดไส้คาราเมลไปทั่ว ในอิรัก ซีเรีย เลบานอน อัฟกานิสถาน เยเมน ไนจีเรีย ไนเจอร์ โปแลนด์ ยูเครน โดยมีผีน้อยคิวทาโร่ กำกับการแสดง กลายร่างเป็นเงา เหี้ยยังหาไม่เจอ? อุโมงค์ใต้ดินฮามาส ลับสุดยอด ซับซ้อน เขาวงกต แม้แต่เหี้ยใช้เทคโนโลยีอะไร ก็หาแผนที่ใต้ดินไม่พบ เพราะคนที่เข้าไปวางกับดักให้ วางแผนให้ มิใช่ใครอื่น WAGNER ที่รัก สรุปคือแผนการรบในยูเครน รวมทั้งเยรูซาเล็ม พิมพ์เขียวฉบับเดียวกัน ทำพร้อมกัน เพื่อสอดประสานตามแผนการโจมตีภาพใหญ่ ล่ออีเหี้ยมะกันเข้ามาติดบ่วงสงคราม แล้วหลังบ้านจะยวบทันที การที่มันยังเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เพราะกังวลเลือกตั้งใหญ่ กว่ามรึงจะเลือกกันเสร็จ รับรองกันเสร็จ สงครามกลางเมืองมาแน่ ตอนนั้น อียิวเหลือแต่ซากแล้ว! แผนกั๊กขั้วใหม่เค้า ห่วงหน้าพะวงหลัง สู้ไม่สุด ไปไม่สุด มรึงมีแต่แพ้ยับ ต้องเทหมดหน้าตัก ถึงพอจะยังกู้สถานการณ์ได้จริง แต่เหี้ยวอชิงตัน อาจจะเสียบ้านแทนอียิว มรึงเลือกเอาน่ะ? ไอ้เหี้ย! ไม่ว่าทางไหน ก็ไม่พ้นกองตรีนกองทัพมหาเทพชัวร์! ปล.ยิ่งรัสเซียแนบแน่นกับจีนมากเท่าไหร่ ขั้วใหม่ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งโลก มีใครจะไม่เอา? ปูติน สีจิ้นผิง จะมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์โลกอีก 100 ปี HALL OF FLAME จดจำชัวร์! ไม่ใช่อีลูกสาวร่าน แถวเหี้ยส่องหล้า ที่อยากจะเข้า HALL OF FLAME พ่วงคดีความยาวเป็นหางว่าว อีพ่อเหลี่ยมชั่วฆ่าลูกตัวเอง อีกะบังลม น้ำตาร่วง!

    Putin congratulates Xi on diplomatic anniversary นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ

    ------------------------------------------------------------------------—
    RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ

    เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวในจดหมายต่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิงในโอกาสครบรอบการทูตกับจีนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซียดีที่สุดในประวัติการณ์หลังความสัมพันธ์ทางการทูต 75 ปี

    รัสเซียและจีนพึงพอใจกับความร่วมมือทางการเมือง การค้า และเศรษฐกิจตามที่ได้เปิดเผยในเว็บไซต์ของรัสเซีย นอกจากนั้นประเทศอื่น ๆ ยังได้ผลประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น

    นายปูตินมั่นใจว่า ข้อตกลงต่างๆที่เจรจากับนายสีจะช่วย “สร้างความมั่นคงและความปลอดภัย” ในยุโรปและเอเชียรวมถึง “ทั่วโลก”

    ทั้งสองคนประชุมกันในเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคมปีนี้ จีนเป็นผู้สนับสนุนหลักต่อการแก้ปัญหาทางการทูตต่อความขัดแย้งกับยูเครนเหมือนกับบราซิลที่เสนอแผนการเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

    จีนเรียกร้องให้มีการตั้งฐานทัพอย่างสันติต่อวิกฤติและอ้างว่า การปฏิบัติการของสหรัฐและการขยายตัวของนาโต ทำให้เกิดการต่อสู้ การค้าระหว่างสองประเทศดีขึ้นตั้งแต่ปี 2022

    แถลงการจากรัฐบาลจีนระบุว่า “ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เห็นในรอบศตวรรษ รัสเซียและจีน ”มีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันและบรรลุผลจากความร่วมมือ“ และ ”เสียสละ“ เพื่อสนับสนุน ”โลกหลายขั้ว“ และ ”โลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกคน“

    ข้อความจากนายปูตินแก่นายสีระบุว่า สหภาพโซเวียต เป็นประเทศแรกที่ยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นาย ปูตินแสดงความยินดีกับนายสีในโอกาสครบรอบ 75 ปีของก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC)

    https://www.rt.com/news/605107-putin-congratulates-xi-diplomatic/

    https://linevoom.line.me/post/1172801695419295999

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    04-10-67/02 : หมี CNN / เหี้ยฝากมาบอก! มรึงจะมายินดีเหี้ยอะไรตอนนี้จ๊ะ? กูรู้ พวกมรึงคิดจะล่อกูมาลงแขก เหมือนที่ทำกับลวกเพ่ยิวมายเลิฟกู! รัสเซีย-จีน ไม่พูดเยอะ 1.รัสเซียลุย จีนเติมให้ไม่อั้น 2.BRICS นำ โลกตาม 3.ท่อแก็สเชื่อมต่อรัสเซีย-จีน-อิหร่าน ถึงกันหมดแล้ว โลกอยู่ในมือ 4.เทดอลล่าร์กันหมดโลก แล้วไอ้ราคาที่เห็นอยู่ มีแต่ควายใช้ไงล่ะ 5.ผนึกโลกลงแขกยิวสำเร็จ อาร์คติคมาแน่ แปซิฟิคมั่นคง สรุปคือ รัสเซียเล่นบทเพชรฆาต จีนเล่นบทพ่อพระ อิหร่านเล่นบทสงครามครูเสด โสมแดงรอดักตีท้ายครัววอชิงตัน สูตรสำเร็จความใคร่เหี้ยที่ดีที่สุดคือ "ฆ่าล้างโคตรยิว ทุกอย่างจบ" WAGNER กระจายไปทั่วโลก ภาพที่เห็นการต่อสู้ ไม่ว่าสมรภูมิไหนในโลก สอดมี WAGNER สอดไส้คาราเมลไปทั่ว ในอิรัก ซีเรีย เลบานอน อัฟกานิสถาน เยเมน ไนจีเรีย ไนเจอร์ โปแลนด์ ยูเครน โดยมีผีน้อยคิวทาโร่ กำกับการแสดง กลายร่างเป็นเงา เหี้ยยังหาไม่เจอ? อุโมงค์ใต้ดินฮามาส ลับสุดยอด ซับซ้อน เขาวงกต แม้แต่เหี้ยใช้เทคโนโลยีอะไร ก็หาแผนที่ใต้ดินไม่พบ เพราะคนที่เข้าไปวางกับดักให้ วางแผนให้ มิใช่ใครอื่น WAGNER ที่รัก สรุปคือแผนการรบในยูเครน รวมทั้งเยรูซาเล็ม พิมพ์เขียวฉบับเดียวกัน ทำพร้อมกัน เพื่อสอดประสานตามแผนการโจมตีภาพใหญ่ ล่ออีเหี้ยมะกันเข้ามาติดบ่วงสงคราม แล้วหลังบ้านจะยวบทันที การที่มันยังเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เพราะกังวลเลือกตั้งใหญ่ กว่ามรึงจะเลือกกันเสร็จ รับรองกันเสร็จ สงครามกลางเมืองมาแน่ ตอนนั้น อียิวเหลือแต่ซากแล้ว! แผนกั๊กขั้วใหม่เค้า ห่วงหน้าพะวงหลัง สู้ไม่สุด ไปไม่สุด มรึงมีแต่แพ้ยับ ต้องเทหมดหน้าตัก ถึงพอจะยังกู้สถานการณ์ได้จริง แต่เหี้ยวอชิงตัน อาจจะเสียบ้านแทนอียิว มรึงเลือกเอาน่ะ? ไอ้เหี้ย! ไม่ว่าทางไหน ก็ไม่พ้นกองตรีนกองทัพมหาเทพชัวร์! ปล.ยิ่งรัสเซียแนบแน่นกับจีนมากเท่าไหร่ ขั้วใหม่ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งโลก มีใครจะไม่เอา? ปูติน สีจิ้นผิง จะมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์โลกอีก 100 ปี HALL OF FLAME จดจำชัวร์! ไม่ใช่อีลูกสาวร่าน แถวเหี้ยส่องหล้า ที่อยากจะเข้า HALL OF FLAME พ่วงคดีความยาวเป็นหางว่าว อีพ่อเหลี่ยมชั่วฆ่าลูกตัวเอง อีกะบังลม น้ำตาร่วง! Putin congratulates Xi on diplomatic anniversary นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ ------------------------------------------------------------------------— RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวในจดหมายต่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิงในโอกาสครบรอบการทูตกับจีนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซียดีที่สุดในประวัติการณ์หลังความสัมพันธ์ทางการทูต 75 ปี รัสเซียและจีนพึงพอใจกับความร่วมมือทางการเมือง การค้า และเศรษฐกิจตามที่ได้เปิดเผยในเว็บไซต์ของรัสเซีย นอกจากนั้นประเทศอื่น ๆ ยังได้ผลประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น นายปูตินมั่นใจว่า ข้อตกลงต่างๆที่เจรจากับนายสีจะช่วย “สร้างความมั่นคงและความปลอดภัย” ในยุโรปและเอเชียรวมถึง “ทั่วโลก” ทั้งสองคนประชุมกันในเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคมปีนี้ จีนเป็นผู้สนับสนุนหลักต่อการแก้ปัญหาทางการทูตต่อความขัดแย้งกับยูเครนเหมือนกับบราซิลที่เสนอแผนการเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จีนเรียกร้องให้มีการตั้งฐานทัพอย่างสันติต่อวิกฤติและอ้างว่า การปฏิบัติการของสหรัฐและการขยายตัวของนาโต ทำให้เกิดการต่อสู้ การค้าระหว่างสองประเทศดีขึ้นตั้งแต่ปี 2022 แถลงการจากรัฐบาลจีนระบุว่า “ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เห็นในรอบศตวรรษ รัสเซียและจีน ”มีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันและบรรลุผลจากความร่วมมือ“ และ ”เสียสละ“ เพื่อสนับสนุน ”โลกหลายขั้ว“ และ ”โลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกคน“ ข้อความจากนายปูตินแก่นายสีระบุว่า สหภาพโซเวียต เป็นประเทศแรกที่ยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นาย ปูตินแสดงความยินดีกับนายสีในโอกาสครบรอบ 75 ปีของก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) https://www.rt.com/news/605107-putin-congratulates-xi-diplomatic/ https://linevoom.line.me/post/1172801695419295999 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 1 รีวิว
  • อดีตแม่ทัพ 4 หนีศาล 'พิศาล' โดนหมายจับ สภาเปิดทางจับได้เลย
    .
    ในขณะที่กองทัพต้องการให้ชายไทยเข้ามารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีอดีตนายทหารระดับแม่ทัพหนีคดีไม่ยอมมาขึ้นศาล โดยเอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนายทหารคนที่ว่านั้น คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยในคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ โดยล่าสุด ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ พล.อ.พิศาล แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีไม่มาตามศาลตามกำหนด ซึ่งเป็นตามคำร้องทนายโจทก์ขอให้ศาลออกหมายจับ
    .
    แม้พล.อ.พิศาล จะเป็นส.ส. แต่ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เลขาธิการศาลยุติธรรมเคยมีหนังสือมาถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขออนุญาตดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาล ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และมีหนังสือตอบกลับไปยังเลขาธิการศาลยุติธรรม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ คือ สามารถดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาลได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาขออนุมัติจากสภา ดังนั้น หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะจับกุม พล.อ.พิศาลหรือไม่ เพราะสภาได้มีมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องมาขออนุญาตต่อสภาอีก
    .
    ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิศาล ไม่เคยมาประชุมสภาเลยนั้น เลขาธิการสภากล่าวว่า พล.อ.พิศาลได้ยื่นหนังสือลาประชุมต่อสภาโดยอ้างเหตุผลว่าป่วย และเดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 30 ตุลาคม ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาได้เซ็นหนังสืออนุมัติให้
    .
    “หลังจากนี้เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าเจอตัว พล.อ.พิศาล ก็สามารถจับได้เลยเพียงแต่ว่าวันไหนที่มีการประชุมสภา ศาลก็ต้องปล่อยตัว พล.อ.พิศาลให้กลับมาประชุม พอประชุมเสร็จแล้วให้นำตัวกลับไปควบคุมใหม่” ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์กล่าว
    .
    การควบคุมตัวพล.อ.พิศาล มาดำเนินคดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้
    ................
    Sondhi X
    อดีตแม่ทัพ 4 หนีศาล 'พิศาล' โดนหมายจับ สภาเปิดทางจับได้เลย . ในขณะที่กองทัพต้องการให้ชายไทยเข้ามารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีอดีตนายทหารระดับแม่ทัพหนีคดีไม่ยอมมาขึ้นศาล โดยเอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนายทหารคนที่ว่านั้น คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยในคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ โดยล่าสุด ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ พล.อ.พิศาล แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีไม่มาตามศาลตามกำหนด ซึ่งเป็นตามคำร้องทนายโจทก์ขอให้ศาลออกหมายจับ . แม้พล.อ.พิศาล จะเป็นส.ส. แต่ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เลขาธิการศาลยุติธรรมเคยมีหนังสือมาถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขออนุญาตดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาล ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และมีหนังสือตอบกลับไปยังเลขาธิการศาลยุติธรรม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ คือ สามารถดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาลได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาขออนุมัติจากสภา ดังนั้น หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะจับกุม พล.อ.พิศาลหรือไม่ เพราะสภาได้มีมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องมาขออนุญาตต่อสภาอีก . ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิศาล ไม่เคยมาประชุมสภาเลยนั้น เลขาธิการสภากล่าวว่า พล.อ.พิศาลได้ยื่นหนังสือลาประชุมต่อสภาโดยอ้างเหตุผลว่าป่วย และเดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 30 ตุลาคม ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาได้เซ็นหนังสืออนุมัติให้ . “หลังจากนี้เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าเจอตัว พล.อ.พิศาล ก็สามารถจับได้เลยเพียงแต่ว่าวันไหนที่มีการประชุมสภา ศาลก็ต้องปล่อยตัว พล.อ.พิศาลให้กลับมาประชุม พอประชุมเสร็จแล้วให้นำตัวกลับไปควบคุมใหม่” ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์กล่าว . การควบคุมตัวพล.อ.พิศาล มาดำเนินคดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ................ Sondhi X
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📚รีเบคก้า


    ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที

    ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ

    หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

    สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก

    🔻

    เนื้อเรื่องโดยย่อ

    หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง

    ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ

    แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่

    นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ

    ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง

    นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น

    🔶️

    เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก

    ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า

    การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้

    เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม

    มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง

    เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่

    ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า

    "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง"

    สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม)

    เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว

    #thaitimes
    #รีเบคกา
    #นิยายแปล
    #นิยาย
    #ลึกลับ
    #ความวิปริตทางเพศ
    #มอนติคาโล
    #ท่องเที่ยว
    #บ้านริมหาด
    #คฤหาสน์
    #หนังสือดี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    📚รีเบคก้า ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก 🔻 เนื้อเรื่องโดยย่อ หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่ นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น 🔶️ เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้ เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่ ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง" สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย . . . . . . . . . ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม) เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว #thaitimes #รีเบคกา #นิยายแปล #นิยาย #ลึกลับ #ความวิปริตทางเพศ #มอนติคาโล #ท่องเที่ยว #บ้านริมหาด #คฤหาสน์ #หนังสือดี #หนังสือน่าอ่าน #วรรณกรรมคลาสสิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวด่วน: ปรสิตร้ายแรงสี่ตัวที่พบในวัคซีน - มันคืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ!

    ในเรื่องอื้อฉาวด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีการพบปรสิตร้ายแรง 4 ชนิดในวัคซีน และไม่ใช่แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย Big Pharma ได้ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อซ่อนมัน แต่ถามตัวเองว่า: วัคซีนมีไว้เพื่อช่วยชีวิตหรือไม่ ชีวิต ทำไมสิ่งมีชีวิตถึงตายถึงถูกฉีดเข้าไปในตัวเรา นี่เป็นเรื่องจริง และคุณไม่สามารถละสายตาจากไปได้

    ฝันร้ายถูกเปิดเผย เราได้รับแจ้งมานานหลายปีว่าวัคซีนนั้น “ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด หากฉันบอกคุณว่าขวดเหล่านี้มีปรสิตที่มีชีวิตซึ่งสามารถทำร้ายหรือฆ่าคุณได้ ข้างในและเมื่อฉีดเข้าไปแล้วใครจะรู้ว่ามันจะทำให้เกิดความเสียหายอะไร นี่ไม่ใช่อันตรายที่ห่างไกล

    ดร.แคร์รี มาเดจทำการทดสอบขวดวัคซีนโดยอิสระและค้นพบบางสิ่งที่น่ากลัว นั่นคือปรสิตไฮดราที่มีชีวิตพยายามหลบหนีออกจากขวด ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่สารเคมี กำลังถูกฉีดภายใต้หน้ากากของ "การป้องกัน" เป็นเพียงหนึ่งในสี่ปรสิตที่พบ

    บทบาทของ Big Pharma ในเรื่องอื้อฉาวนี้ อย่าคิดว่านี่เป็นความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย Big Pharma ขึ้นชื่อเรื่องการทำกำไรต่อหน้าผู้คน ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ได้รับการปกป้องจากการถูกฟ้องร้อง และมีมูลค่านับพันล้าน อันตรายที่พวกเขากำลังแพร่กระจาย คำถามไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้หรือไม่ แต่เมื่อพวกเขามีแล้ว

    การเก็บรักษาความเย็น—เหตุผลที่แท้จริง เหตุใดขวดเหล่านี้จึงถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิเยือกแข็ง ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาวัคซีนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปรสิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ได้ สร้างความหายนะ

    ไฮดรา วัลการิส—ปรสิตอมตะนี้เกือบจะเป็นอมตะ พร้อมด้วยความสามารถในการงอกใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลองนึกภาพสิ่งมีชีวิตภายในร่างกายของคุณที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปและขยายตัวเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดของคุณ

    Trypanosoma Cruzi—ปรสิตนักฆ่า ปรสิตอีกชนิดหนึ่งที่พบในวัคซีนคือ Trypanosoma cruzi ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Chagas มันเป็นฆาตกรเงียบที่ทำลายหัวใจและระบบย่อยอาหารอย่างช้าๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    Toxoplasma Gondii—ปรสิตควบคุมจิตใจ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงเคมีในสมองของสัตว์ได้

    การปกปิด สื่อต่างนิ่งเงียบ เพราะเหตุใด? "

    สรุป: นี่คืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ และมันก็กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เรากำลังถูกฉีดยาด้วยสิ่งมีชีวิตร้ายแรง ทั้งหมดนี้เพื่อผลกำไร ถึงเวลาที่ต้องตื่นขึ้น อย่าปล่อยให้ปรสิตเหล่านี้เข้าครอบงำร่างกายหรือจิตใจของคุณ กลับ—ก่อนที่จะสายเกินไป

    ที่มา: WikiLeaks Secrets



    คุณได้รับคำเชิญให้เข้าร่วม "อัศวิน อัตแพทย์ ธรรมชาติฟื้นฟูเชลล์" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้
    https://line.me/ti/g2/DwdLNww_qbNr3RAfMuSyJL0bcC0qExuoDpp_xg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    ข่าวด่วน: ปรสิตร้ายแรงสี่ตัวที่พบในวัคซีน - มันคืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ! ในเรื่องอื้อฉาวด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีการพบปรสิตร้ายแรง 4 ชนิดในวัคซีน และไม่ใช่แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย Big Pharma ได้ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อซ่อนมัน แต่ถามตัวเองว่า: วัคซีนมีไว้เพื่อช่วยชีวิตหรือไม่ ชีวิต ทำไมสิ่งมีชีวิตถึงตายถึงถูกฉีดเข้าไปในตัวเรา นี่เป็นเรื่องจริง และคุณไม่สามารถละสายตาจากไปได้ ฝันร้ายถูกเปิดเผย เราได้รับแจ้งมานานหลายปีว่าวัคซีนนั้น “ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด หากฉันบอกคุณว่าขวดเหล่านี้มีปรสิตที่มีชีวิตซึ่งสามารถทำร้ายหรือฆ่าคุณได้ ข้างในและเมื่อฉีดเข้าไปแล้วใครจะรู้ว่ามันจะทำให้เกิดความเสียหายอะไร นี่ไม่ใช่อันตรายที่ห่างไกล ดร.แคร์รี มาเดจทำการทดสอบขวดวัคซีนโดยอิสระและค้นพบบางสิ่งที่น่ากลัว นั่นคือปรสิตไฮดราที่มีชีวิตพยายามหลบหนีออกจากขวด ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่สารเคมี กำลังถูกฉีดภายใต้หน้ากากของ "การป้องกัน" เป็นเพียงหนึ่งในสี่ปรสิตที่พบ บทบาทของ Big Pharma ในเรื่องอื้อฉาวนี้ อย่าคิดว่านี่เป็นความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย Big Pharma ขึ้นชื่อเรื่องการทำกำไรต่อหน้าผู้คน ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ได้รับการปกป้องจากการถูกฟ้องร้อง และมีมูลค่านับพันล้าน อันตรายที่พวกเขากำลังแพร่กระจาย คำถามไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้หรือไม่ แต่เมื่อพวกเขามีแล้ว การเก็บรักษาความเย็น—เหตุผลที่แท้จริง เหตุใดขวดเหล่านี้จึงถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิเยือกแข็ง ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาวัคซีนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปรสิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ได้ สร้างความหายนะ ไฮดรา วัลการิส—ปรสิตอมตะนี้เกือบจะเป็นอมตะ พร้อมด้วยความสามารถในการงอกใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลองนึกภาพสิ่งมีชีวิตภายในร่างกายของคุณที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปและขยายตัวเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดของคุณ Trypanosoma Cruzi—ปรสิตนักฆ่า ปรสิตอีกชนิดหนึ่งที่พบในวัคซีนคือ Trypanosoma cruzi ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Chagas มันเป็นฆาตกรเงียบที่ทำลายหัวใจและระบบย่อยอาหารอย่างช้าๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Toxoplasma Gondii—ปรสิตควบคุมจิตใจ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงเคมีในสมองของสัตว์ได้ การปกปิด สื่อต่างนิ่งเงียบ เพราะเหตุใด? " สรุป: นี่คืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ และมันก็กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เรากำลังถูกฉีดยาด้วยสิ่งมีชีวิตร้ายแรง ทั้งหมดนี้เพื่อผลกำไร ถึงเวลาที่ต้องตื่นขึ้น อย่าปล่อยให้ปรสิตเหล่านี้เข้าครอบงำร่างกายหรือจิตใจของคุณ กลับ—ก่อนที่จะสายเกินไป ที่มา: WikiLeaks Secrets คุณได้รับคำเชิญให้เข้าร่วม "อัศวิน อัตแพทย์ ธรรมชาติฟื้นฟูเชลล์" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้ https://line.me/ti/g2/DwdLNww_qbNr3RAfMuSyJL0bcC0qExuoDpp_xg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯรู้ดีว่าอิสราเอลจะแก้แค้นการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ของอิหร่าน และถึงขั้นบอกว่าสนับสนุนความเคลื่อนไหวดังกล่าว อย่างไรก็ตามวอชิงตันกำลังมีอิทธิพลต่อลักษณะการแก้แค้นและเตือนเกี่ยวกับการเล็งเป้าเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน หลังจากก่อนหน้านี้อดีตผู้นำอิสราเอลรายหนึ่ง ออกมาเรียกร้องให้ทำลายที่ตั้งนิวเคลียร์ของเตหะรานเป็นการแก้แค้น
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งได้ปรึกษากับบรรดาผู้นำในกลุ่มจี7 เมื่อวันพุธ(2ต.ค.) หลังอิหร่านรัวยิงขีปนาวุธกว่า 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอล ได้ขีดเส้นอย่างชัดเจน สำหรับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล "เราทั้ง 7 คน เห็นพ้องว่าพวกเขามีสิทธิ์ตอบโต้ แต่มันควรเป็นการตอบโต้อย่างพอเหมาะพอควร" ไบเดนกล่าว โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ที่บ่งชี้ว่าแนวทางการตอบโต้จะแบบมาแบบไหน
    .
    ทุกฝ่ายทราบดีว่าการโจมตีแก้แค้นใดๆที่เล็งเป้าเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์หรือที่ตั้งทางน้ำมันของอิหร่าน จะผลักให้ตะวันออกกลางถลำเข้าสู่สถานการณ์ความยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนอิสราเอลยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ
    .
    แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ปรึกษาหารือกับบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, เยอรมนีและอิตาลี เพื่อส่งสารดังกล่าว จากการเปิดเผยของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา
    .
    ในวอชิงตันหรือชาติอื่นๆ พวกเจ้าหน้าที่กำลังรอดูว่า เนทันยาฮู ซึ่งถูกกดดันจากภายในประเทศให้ต้องลงมือ จะกระหายโจมตีอย่างหนักหน่วงและลึกเข้าไปในดินแดนอิหร่านหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น มันก็จะนำพาประเทศของเขาเข้าสู่การสู้รบโดยตรงกับศัตรูตัวฉกาจ
    .
    เมื่อวันพุธ(2ต.ค.) นาฟตาลี เบนเนตต์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล เรียกร้องให้ทำการโจมตีอย่างแน่วแน่ เล็งเป้าทำลายที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน แก้แค้นเตหะรานที่รัวยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล
    .
    อย่างไรก็ตาม แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในวันเดียวกันในเวลาต่อมา ว่าวอชิงตัน "แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมาสักพักแล้วว่า เราไม่ต้องการเห็นสถานการณ์ลุกลามบานปลายในภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบ" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว "อิสราเอลมีสิทธิ์ตอบโต้ และเราจะเดินหน้าหารือกับพวกเขาว่าการตอบโต้ควรเป็นไปในรูปแบบไหน แต่เราไม่ต้องการเห็นการกระทำใดๆที่จะนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค"
    .
    มิลเลอร์ ยังได้ปฏิเสธความคิดใดๆ ที่ทึกทักว่าเวลานี้วอชิงตันไม่เหลืออิทธิพลเหนือพันธมิตรแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
    .
    ในเสียงเรียกร้องเมื่อวันพุธ(2ต.ค.) เบนเนตต์ กล่าวว่า "เวลานี้เราต้องทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่ตั้งทางพลังงานกลางของพวกเขา และฉีกระบอบก่อการร้ายนี้เป็นชิ้นๆ" เขาเขียนบนแฟลตฟอร์มเอ็กซ์ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากอิหร่านโจมตีอิสราเอลในวันอังคาร(1ต.ค.)
    .
    "เรามีความชอบธรรม เรามีเครื่องไม้เครื่องมือ เวลานี้ฮิซบอลเบาะห์และฮามาสง่อยเปลี้ยไปแล้ว อิหร่านยืนอยู่โล่งๆไม่มีที่กำบัง" เบนเนตต์ระบุ
    .
    ในถ้อยแถลงแยกกัน ยาอีร์ ลาปิด แกนนำฝ่ายค้านหลักของอิสราเอล ระบุอิหร่านต้องชดใช้ "ราคาแพง" สำหรับการโจมตี "เตหะรานรู้ดีว่าอิสราเอลจะเอาคืนแน่ การตอบโต้จำเป็นต้องหนักหน่วงและควรเป็นการส่งสารอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งไปถึงพวกอักษะก่อการร้ายในซีเรีย อิรัก เยเมน เลบานอน กาซาและในอิหร่านเอง" ลาปิดกล่าว ทั้งนี้เขาเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงสั้นๆในปี 2020
    .
    อิหร่านถูกกล่าวหามาช้านานกว่ากำลังพัฒนาอาวุธปรมาณู แต่สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ยืนยันมาตลอดว่าโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขานั้นมีจุดประสงค์เพื่อสันติ ในขณะที่ อิสราเอล เป็นที่รู้กันในวงกว้างขวาง ว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่พวกเขาไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093362
    ..................
    Sondhi X
    สหรัฐฯรู้ดีว่าอิสราเอลจะแก้แค้นการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ของอิหร่าน และถึงขั้นบอกว่าสนับสนุนความเคลื่อนไหวดังกล่าว อย่างไรก็ตามวอชิงตันกำลังมีอิทธิพลต่อลักษณะการแก้แค้นและเตือนเกี่ยวกับการเล็งเป้าเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน หลังจากก่อนหน้านี้อดีตผู้นำอิสราเอลรายหนึ่ง ออกมาเรียกร้องให้ทำลายที่ตั้งนิวเคลียร์ของเตหะรานเป็นการแก้แค้น . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งได้ปรึกษากับบรรดาผู้นำในกลุ่มจี7 เมื่อวันพุธ(2ต.ค.) หลังอิหร่านรัวยิงขีปนาวุธกว่า 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอล ได้ขีดเส้นอย่างชัดเจน สำหรับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล "เราทั้ง 7 คน เห็นพ้องว่าพวกเขามีสิทธิ์ตอบโต้ แต่มันควรเป็นการตอบโต้อย่างพอเหมาะพอควร" ไบเดนกล่าว โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ที่บ่งชี้ว่าแนวทางการตอบโต้จะแบบมาแบบไหน . ทุกฝ่ายทราบดีว่าการโจมตีแก้แค้นใดๆที่เล็งเป้าเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์หรือที่ตั้งทางน้ำมันของอิหร่าน จะผลักให้ตะวันออกกลางถลำเข้าสู่สถานการณ์ความยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนอิสราเอลยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ . แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ปรึกษาหารือกับบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, เยอรมนีและอิตาลี เพื่อส่งสารดังกล่าว จากการเปิดเผยของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา . ในวอชิงตันหรือชาติอื่นๆ พวกเจ้าหน้าที่กำลังรอดูว่า เนทันยาฮู ซึ่งถูกกดดันจากภายในประเทศให้ต้องลงมือ จะกระหายโจมตีอย่างหนักหน่วงและลึกเข้าไปในดินแดนอิหร่านหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น มันก็จะนำพาประเทศของเขาเข้าสู่การสู้รบโดยตรงกับศัตรูตัวฉกาจ . เมื่อวันพุธ(2ต.ค.) นาฟตาลี เบนเนตต์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล เรียกร้องให้ทำการโจมตีอย่างแน่วแน่ เล็งเป้าทำลายที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน แก้แค้นเตหะรานที่รัวยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล . อย่างไรก็ตาม แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในวันเดียวกันในเวลาต่อมา ว่าวอชิงตัน "แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมาสักพักแล้วว่า เราไม่ต้องการเห็นสถานการณ์ลุกลามบานปลายในภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบ" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว "อิสราเอลมีสิทธิ์ตอบโต้ และเราจะเดินหน้าหารือกับพวกเขาว่าการตอบโต้ควรเป็นไปในรูปแบบไหน แต่เราไม่ต้องการเห็นการกระทำใดๆที่จะนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค" . มิลเลอร์ ยังได้ปฏิเสธความคิดใดๆ ที่ทึกทักว่าเวลานี้วอชิงตันไม่เหลืออิทธิพลเหนือพันธมิตรแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว . ในเสียงเรียกร้องเมื่อวันพุธ(2ต.ค.) เบนเนตต์ กล่าวว่า "เวลานี้เราต้องทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่ตั้งทางพลังงานกลางของพวกเขา และฉีกระบอบก่อการร้ายนี้เป็นชิ้นๆ" เขาเขียนบนแฟลตฟอร์มเอ็กซ์ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากอิหร่านโจมตีอิสราเอลในวันอังคาร(1ต.ค.) . "เรามีความชอบธรรม เรามีเครื่องไม้เครื่องมือ เวลานี้ฮิซบอลเบาะห์และฮามาสง่อยเปลี้ยไปแล้ว อิหร่านยืนอยู่โล่งๆไม่มีที่กำบัง" เบนเนตต์ระบุ . ในถ้อยแถลงแยกกัน ยาอีร์ ลาปิด แกนนำฝ่ายค้านหลักของอิสราเอล ระบุอิหร่านต้องชดใช้ "ราคาแพง" สำหรับการโจมตี "เตหะรานรู้ดีว่าอิสราเอลจะเอาคืนแน่ การตอบโต้จำเป็นต้องหนักหน่วงและควรเป็นการส่งสารอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งไปถึงพวกอักษะก่อการร้ายในซีเรีย อิรัก เยเมน เลบานอน กาซาและในอิหร่านเอง" ลาปิดกล่าว ทั้งนี้เขาเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงสั้นๆในปี 2020 . อิหร่านถูกกล่าวหามาช้านานกว่ากำลังพัฒนาอาวุธปรมาณู แต่สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ยืนยันมาตลอดว่าโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขานั้นมีจุดประสงค์เพื่อสันติ ในขณะที่ อิสราเอล เป็นที่รู้กันในวงกว้างขวาง ว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่พวกเขาไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093362 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 881 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!!

    ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!!

    ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009)
    ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว….
    แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ
    ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์)
    เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ
    การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!!

    ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง
    คราวนี้จะมาทำโลกสวย….
    เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ……

    แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า…
    “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …”

    ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา…

    แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ
    เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด
    กัดดาฟี
    เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น

    ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม……
    เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง
    เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า…
    “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน
    ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส
    รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ
    ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้”
    ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ
    เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น
    แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……”

    (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…)

    ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!!

    แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง
    เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก

    ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California
    และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน
    เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ
    แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times
    ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่?
    เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…”
    คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!!

    ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์
    ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ …
    ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว…

    เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats
    ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย
    หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น
    และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน

    การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์
    เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป)
    และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่
    ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน
    แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย

    ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
    ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir
    มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท
    ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา
    เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
    หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน
    ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!!
    เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม
    และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “***** Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR)

    กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์
    เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง

    ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน
    ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้…
    ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป
    กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย

    จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่
    จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63%
    นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน ……
    ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง
    ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004)
    ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า
    “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ
    เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……”

    ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ
    ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!! ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!! ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009) ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว…. แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์) เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!! ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง คราวนี้จะมาทำโลกสวย…. เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ…… แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า… “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …” ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา… แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด กัดดาฟี เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม…… เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า… “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้” ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……” (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…) ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!! แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่? เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…” คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!! ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์ ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ … ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว… เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์ เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป) และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่ ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!! เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Pussy Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR) กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์ เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้… ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่ จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63% นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน …… ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004) ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……” ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานประธานาธิบดีพี่เค้าก็ทำมาแล้ว……แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่พี่ปูเขาทำ………หนักกว่าเป็นสองเท่าค่าาาา ติ่งขาาาาา…!!!!

    ตอนสิบเก้า………เส้นทางที่หวาดเสียวกับการล่มจม……ผ่านมาได้อย่างสวยงามเพราะยึดหลักว่า……ต้องพึ่งตัวเอง………!!!

    หลังจากที่ทุกคนเป็นปลื้มกับความอู้ฟู่อยู่ได้ไม่นาน
    วันที่ 5 กันยายน 2008 เป็นวันที่บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่สหรัฐอเมริกา Lehman Brothers ล้มละลายพังครืนลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่ดึงเศรษฐกิจโลกอ่อนยวบไปด้วย
    แม้แต่รัสเซียก็ไม่พ้น น้ำมันราคาตกต่ำกว่า $100 หุ้นร่วงลงติดพื้น
    ภายในสองเดือนของวิกฤติ เงินได้ไหลออกจากประเทศเป็นแสนล้าน เหล่ามหาเศรษฐีชิงกันขายรถหรู ขายเรือสำราญ
    เครื่องบินส่วนตัว
    รัฐบาลถอนเงินจากกองทุนต่างๆมาอุด แต่แทบไม่ได้ช่วยอะไร
    โรงงานปิดรายวัน คนงานไม่ได้รับเงินเดือน
    บารมีของปูตินที่เพิ่งใสสว่างราวดวงตะวัน……หม่นแสงลงอย่างดึงไว้ไม่อยู่
    แปดปี……ที่เขาเป็นประธานาธิบดี เวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น……
    คนที่รับหน้าในชั้นแรกคือ นายกรัฐมนตรี
    ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ในยามนี้ หมายถึงว่า เขาต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองทั้งหมด

    เดือนตุลาคม……เขาเรียกประชุมสภา พร้อมเผชิญหน้ากับฝ่ายค้าน (ฝ่ายซ้าย) ที่หัวหน้าคือ Gennady Zyuganov ที่รอโอกาสที่จะเชือดเขาให้เป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ หรือ รอโอกาสที่จะขอข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นผลบวกกับพรรคของตัวเอง
    แต่ครั้งนี้ Gennady กลับมาแปลก……เขาวางข้อขัดแย้งไว้
    และให้ข้อคิดว่า……
    “เมื่อครั้งที่เกิดเศรษฐกิจล่มสลายในปี 1929 (ตลาดหุ้นอเมริกาพังพินาศ หรือ the Great Depression ล่มต่อเนื่องไปหลายปี
    จนต่อมาประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt ได้ส่งทีมกู้เศรษฐกิจมารัสเซีย เพื่อดูลาดเลา และ มาดูความเป็นไปของเรา เพราะทางรัสเซียไม่มีผลกระทบอะไร……”
    ปูตินจึงได้สติ……เขาตอบว่า
    “จริงซิ……เพราะเราไม่เอาเงินของเราไปผูกกับตลาดหุ้นบ้าๆนั่น
    และ เราไม่ได้ใช้เงิน หรือ ลงทุนตามเขา……”

    ปูตินและทีมเศรษฐกิจจึงรีบหารือกันในการอุดรอยรั่วเป็นอันดับแรก
    นั่นคือ การที่เงินไหลออกเพราะเหล่าพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลายที่เอาเงินไปไว้ตามเกาะต่างๆ และ ธนาคารต่างประเทศ
    และมาฉวยโอกาสโมเมทำเป็นจนตามน้ำในตอนขาลงของสภาพคล่องของประเทศ
    เพราะโรงงานต่างๆกันปิดตัวระนาว…ในช่วงต้นปี 2009

    โดยเฉพาะในเดือนกรกฏาคม ที่เมืองอุตสาหกรรม Pikalevo ที่เป็นโรงงานอะลูมิเนียมส่วนใหญ่ที่มีแรงงานหลายหมื่นคน ที่ไม่ได้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่กำลังจะเกิดการจลาจลอยู่รอมร่อ
    ปูตินและคณะบุกไปถึงที่……เขาเรียกเหล่าเจ้าของทั้งหมดมาประชุม และเตรียมสัญญามาให้ลงชื่อ……ว่า
    จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานทุกคนภายใน 24 ชั่วโมง
    ที่เหลือ…ถ้ายังอยากอยู่ในธุรกิจ ต้องเข้ามารับนโยบายจากรัฐถ้าไม่เปิดโรงงาน………รัฐบาลจะเข้ามาบริหารเอง
    หนึ่งในกลุ่มเจ้าของโรงงานนั้น คือ Oleg Deripaska ที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของปูตินมาแต่ไหนแต่ไร ที่ปูตินก็ไม่ไว้หน้า
    จิกตัวมาให้เซ็นชื่อ….และทวงปากกาคืนจาก Oleg!!!

    ~~มีวีดีโอบันทึกภาพจากเหตุการณ์จริง แต่ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันคิดว่าเป็นการทำโปรประกันดาของปูติน เพื่อลดกระแสกดดันจากภาคประชาชนชาวแรงงานที่ชุมนุมรออยู่
    ข้างนอก ลุ้นว่าจะได้รับเงินเดือนหรือเปล่า…ปูตินคงคุยนอกรอบกับพวกเจ้าของนี้แล้ว เมื่อตกลงกันได้ เลยต้องออกข่าวเรียกคืนเครดิตให้รัฐบาล

    ปูตินที่เหมือนกับทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และ ประธานาธิบดีในเงา…ใช้เวลาทำงานทั้งหมดเกี่ยวกับสางกิจการเหล่าโรงงานอันเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย อย่างแร่ Nepheline
    ที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญ ที่โรงงานจะต้องใช้เกิดขาดแคลน
    เขาสั่งขบวนเที่ยวรถไฟด่วน ลำเลียงมาจาก Kola Peninsular
    อัดฉีดเงินช่วยเหลือประชาชน
    และแทนที่เขาจะทำการเปิดตลาดเพื่อที่จะจะดูดเงินจากการค้า
    หรือทำสัญญาซื้อขายแบบยอมเสียเปรียบเพื่อที่จะได้เงินเข้าประเทศกับกลุ่มยุโรปหรืออเมริกา………
    เขาไม่ทำ…………!!!
    ใครต่อใครต่างพากันประหลาดใจ……เพราะถ้าไม่ทำก็มองไม่เห็นทางรอด พวกเขาไม่เข้าใจว่าปูตินจะพาชาติพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร??

    แต่ปูตินเขาเห็นว่า….ที่ประเทศได้รับผลกระทบอย่างแรงเช่นนี้
    เพราะอเมริกาได้เดินหมากผิด (หรืออาจตั้งใจ) ทำให้ใครต่อเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส จนแทบจะสิ้นชาติ
    ฉะนั้น…เขาเลือกที่จะปิดตลาดการค้าทางฝั่งตะวันตก ค้าขายแต่กับกลุ่มเบลารุส และกลุ่มคาซัคสถาน แบบพอให้การเคลื่อนไหวของกระแสเงินไปในทิศทางที่ปลอดภัย และไม่เสียเปรียบ

    กลางปี 2009 ราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นมา หุ้นก็ขึ้นตาม
    ทุกอย่างกลับขึ้นมาเป็นเกือบปรกติ
    เมื่อมาถึง 2010 อะไรที่เคยหาย เคยพร่องไป กลับหลั่งไหลเข้ามาเต็มคลังอีกครั้ง ดีเกินหน้ายุโรปและอเมริกาด้วยซ้ำ
    ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น……ได้บอกกับปูตินว่า ……
    ถ้ามาถึงเรื่องเงิน…ต้องไม่ฝากอนาคตไว้กับใครเลย ต้องถือเอง
    บริการเอง เอาประโยชน์ของชาติและคนในชาติเป็นหลัก

    จากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของรัสเซียนี้ เมื่อการประชุม WTO (World Trade Organization) จึงได้เชิญรัสเซียเข้าร่วมประชุมด้วย ปูตินตอบรับโดยมีข้อแม้ว่า เขาจะไปเป็นคณะ ไม่ใช่ไปคนเดียว คณะที่ว่านั้น คือ ตัวแทนจากเบลารุส และ คาซัคสถาน
    กรรมาธิการหลายคนไม่เข้าใจ…ว่า ทำไม…?
    ในเมื่อรัสเซียจะต้องทำการซื้อขายกับทางตะวันตกมากกว่า…
    แต่ปูตินยืนยันว่า….จะต้องไปเป็นกลุ่มเท่านั้น…!!
    (เพราะเมื่อตกอับก็ยังอยู่เคียงข้างกัน พอได้โอกาสค้าขาย ก็ต้องไปด้วยกัน…)

    จากนั้น ปูตินจึงหันมาทำงานในเรื่องการก่อสร้างที่ Sochi อย่างเต็มตัว เพราะเขาทุ่มเงินกว่าสามพันล้านหรียญ ที่จะสร้างให้ออกมาสวยงามสมใจ
    นอกจากพื้นที่แข่งสกีแล้ว เขาได้สร้างอีกหลายอาคารสำหรับเป็นที่แข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย และหมู่บ้านนักกีฬาที่ทันสมัย
    รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงเส้นทางรถไฟ Baikal-Amur Mainline ที่พาดยาว จาก Moscow ถึง ฝั่งตะวันออก Vladivostok ให้ทันสมัยและเป็นสายท่องเที่ยวที่จะดึงดูดความสนใจ
    เขาทุ่มเทกับเรื่องโอลิมปิกนี้มาก เพราะการก่อสร้างได้ชะงักงันไปในช่วงฝืดเคือง พอกลับมาจับทำต่อ……ก็ต้องงบประมาณการก่อสร้างบานปลาย……
    ที่ปูตินเรียกทุกฝ่ายมารายงานการใช้เงินกันอย่างละเอียด
    และทุกฝ่ายที่ว่ามานั้น……ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนรักคนสนิทแทบทั้งสิ้น
    ในช่วงนี้คือช่วงที่มีการแฉโพยในเรื่องการคอรัปชั่นของรัฐบาลอย่างหนาหูจากฝ่ายตรงข้าม
    เพราะเป็นการสร้างเมกะโปรเจ็คหลายๆงานพร้อมกัน……
    แต่ปูติน…ยังคงทำเฉยกับข่าวเหล่านี้…
    เพราะในช่วงฤดูร้อนของปี 2010 ที่เกิดไฟป่าขึ้นที่ชายขอบมอสโคว์ ที่เริ่มรุนแรงขึ้น ประชาชนเดือดร้อนจนถึงขนาดตำหนิรัฐบาลออกสื่ออย่างไม่เกรงใจ ในเรื่องการล่าช้าของการดำเนินการดับไฟ และ เรื่องคอรัปชั่นที่กำลังเป็นข่าว เนื่องจากรัฐบาลเมดเวเดฟ กำลังสร้างศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่ทันสมัยใหญ่อลังการ ……
    แต่ประชาชนถามถึง……รถดับเพลิง ที่ควรจะมีมากกว่าศูนย์บ้าบออะไรนั่น…
    ปธน. เมดเวเดฟ ยังอยู่ในช่วงพักร้อนที่ทะเลดำ……
    ปูตินเป็นพระเอกอีกแล้ว เขาเตรียมตัวพร้อม ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับนักบินที่บินออกไปเป็นฝูงตั๊กแตน บัญชาการดับไฟ โปรยน้ำและสารเคมีติดต่อกันสองวัน……คุมไฟป่าได้อย่างหมดจด………
    คราวนี้……เสียงคะแนนนิยมจากหมู่สาวๆมาแบบถล่มทะลาย
    (เพราะอินเตอร์เน็ต) ทุกคนมองเห็นปูตินวัย 58 เป็นไอดอลที่สุดเซ็กซี่……กลายเป็นชายในฝัน (ซะงั้น)

    ชายในฝันที่ว่านี้…ก็ไม่ใช่เบา……!!!
    วันหนึ่งในการประชุมที่ กรุงเคียฟ เกี่ยวกับเรื่องการรวมทุนของสายการบินยูเครนเข้ากับ United Aviation Co. ของรัสเซีย
    ทุกคนสังเกตเห็นว่า ใบหน้าของปูตินที่ออกในทีวี แน่นไปด้วยเมคอัพ แต่น่าจะเป็นการให้แสง……เลยดูเปลี่ยนไป
    จนนักข่าวแอบมาเม้าท์กันว่า มีรอยช้ำที่ขอบตา……ผมหนาขึ้น…ตีนกาหายไป……หน้าผากตึงขึ้น……หางตาไม่ตก……
    ว้าววววว………นี่ไปศัลย์มาชัดๆ……
    แต่ทุกคนก็ยังชื่นชม เพราะ เขาบอกว่า
    “ใครๆก็อยากได้ผู้นำที่ดูดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ……”

    ส่วนประธานาธิบดี เมดเวเดฟ……ที่มีนโยบาย Forward Russia…!! นั้น ก็ทำงานส่วนใหญ่กับการประสานกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา เพราะค่อนข้างจะคุยกันรู้เรื่องในเรื่องของนิวเคลียร์เพื่อสันติ…รวมทั้งโปรเจ็คในการค้าขายที่ไม่ค่อยเป็นข่าว นอกจากอ่านแถลงการณ์โน่นนี่

    แต่การเล่นละครก็”ต้องมี”ให้ชาวโลกเห็นว่า ประธานาธิบดีรัสเซียก็มี”ปาก”เหมือนกัน…คือ ในวันตัดสินคดีของอภิมหาเศรษฐีรูปงาม Mikhail Khodorkovsky (หรือที่เคยเรียกย่อว่า MK) ที่ถูกจำคุกเกือบปี
    ก่อนวันขึ้นศาล ปูตินได้โทรศัพท์ออกทีวี ในวันที่ 16 ธันวาคม
    ให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างดุเดือดว่า ……เป็นโจรก็ต้องติดคุก ยิ่งเป็นมหาโจรที่ปล้นทรัพยากรไปจากแผ่นดิน……มันก็ต้องรับโทษให้สาสม เหมือนอย่างนักลงทุนอเมริกัน Bernard Madoff
    ที่ศาลในอเมริกาได้ตัดสินให้จำคุก 150 ปี……”
    ปูตินกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์โกรธที่ระงับไม่อยู่……ว่า
    “ไอ้หมอนี่ เป็นคนสั่งการในการสังหารนายกเทศมนตรีเมือง Nefteyugansk (ที่ควบคุมเขตโรงกลั่นน้ำมันของ Yukos ของ MK) และ ผู้หญิงคนหนึ่งในมอสโคว์ที่ไม่ยอมเซ็นโฉนดที่ดินให้……มันกำจัดคนที่ขวางทางทุกคนด้วยวิธีที่ทารุณสุดโหด……”
    การกร้าวของปูตินในฐานะนายกรัฐมนตรีคราวนี้ มันออกจะ”ล้ำ” ไป เพราะแพร่ออกไปทุกมุมโลก

    ต่อมา…เมดเวเดฟ ต้องรีบแก้สถานะการณ์โดยการแสดงเป็นฝ่ายตรงข้ามกับปูติน……เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ “ใครคนหนึ่ง”
    จะเที่ยวไปพิพากษาความผิดของใครได้ นอกเหนือไปจากศาลสถิตยุติธรรม
    สรุปว่า MK ได้ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี (แต่ติดจริงๆแค่ไม่กี่ปี เพราะต้องยอมซื้ออิสรภาพเพื่อที่จะได้ออกไปนอกประเทศด้วยทรัพย์สินที่มีแทบทั้งหมดในรัสเซีย…)
    จึงจัดได้ว่า…MK ที่มีที่อยู่ทั่วไปในยุโรปและอเมริกา……

    เขาคือ ศัตรูนอกประเทศที่ชัดเจนของปูตินในทุกวันนี้……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    งานประธานาธิบดีพี่เค้าก็ทำมาแล้ว……แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่พี่ปูเขาทำ………หนักกว่าเป็นสองเท่าค่าาาา ติ่งขาาาาา…!!!! ตอนสิบเก้า………เส้นทางที่หวาดเสียวกับการล่มจม……ผ่านมาได้อย่างสวยงามเพราะยึดหลักว่า……ต้องพึ่งตัวเอง………!!! หลังจากที่ทุกคนเป็นปลื้มกับความอู้ฟู่อยู่ได้ไม่นาน วันที่ 5 กันยายน 2008 เป็นวันที่บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่สหรัฐอเมริกา Lehman Brothers ล้มละลายพังครืนลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่ดึงเศรษฐกิจโลกอ่อนยวบไปด้วย แม้แต่รัสเซียก็ไม่พ้น น้ำมันราคาตกต่ำกว่า $100 หุ้นร่วงลงติดพื้น ภายในสองเดือนของวิกฤติ เงินได้ไหลออกจากประเทศเป็นแสนล้าน เหล่ามหาเศรษฐีชิงกันขายรถหรู ขายเรือสำราญ เครื่องบินส่วนตัว รัฐบาลถอนเงินจากกองทุนต่างๆมาอุด แต่แทบไม่ได้ช่วยอะไร โรงงานปิดรายวัน คนงานไม่ได้รับเงินเดือน บารมีของปูตินที่เพิ่งใสสว่างราวดวงตะวัน……หม่นแสงลงอย่างดึงไว้ไม่อยู่ แปดปี……ที่เขาเป็นประธานาธิบดี เวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น…… คนที่รับหน้าในชั้นแรกคือ นายกรัฐมนตรี ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ในยามนี้ หมายถึงว่า เขาต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองทั้งหมด เดือนตุลาคม……เขาเรียกประชุมสภา พร้อมเผชิญหน้ากับฝ่ายค้าน (ฝ่ายซ้าย) ที่หัวหน้าคือ Gennady Zyuganov ที่รอโอกาสที่จะเชือดเขาให้เป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ หรือ รอโอกาสที่จะขอข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นผลบวกกับพรรคของตัวเอง แต่ครั้งนี้ Gennady กลับมาแปลก……เขาวางข้อขัดแย้งไว้ และให้ข้อคิดว่า…… “เมื่อครั้งที่เกิดเศรษฐกิจล่มสลายในปี 1929 (ตลาดหุ้นอเมริกาพังพินาศ หรือ the Great Depression ล่มต่อเนื่องไปหลายปี จนต่อมาประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt ได้ส่งทีมกู้เศรษฐกิจมารัสเซีย เพื่อดูลาดเลา และ มาดูความเป็นไปของเรา เพราะทางรัสเซียไม่มีผลกระทบอะไร……” ปูตินจึงได้สติ……เขาตอบว่า “จริงซิ……เพราะเราไม่เอาเงินของเราไปผูกกับตลาดหุ้นบ้าๆนั่น และ เราไม่ได้ใช้เงิน หรือ ลงทุนตามเขา……” ปูตินและทีมเศรษฐกิจจึงรีบหารือกันในการอุดรอยรั่วเป็นอันดับแรก นั่นคือ การที่เงินไหลออกเพราะเหล่าพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลายที่เอาเงินไปไว้ตามเกาะต่างๆ และ ธนาคารต่างประเทศ และมาฉวยโอกาสโมเมทำเป็นจนตามน้ำในตอนขาลงของสภาพคล่องของประเทศ เพราะโรงงานต่างๆกันปิดตัวระนาว…ในช่วงต้นปี 2009 โดยเฉพาะในเดือนกรกฏาคม ที่เมืองอุตสาหกรรม Pikalevo ที่เป็นโรงงานอะลูมิเนียมส่วนใหญ่ที่มีแรงงานหลายหมื่นคน ที่ไม่ได้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่กำลังจะเกิดการจลาจลอยู่รอมร่อ ปูตินและคณะบุกไปถึงที่……เขาเรียกเหล่าเจ้าของทั้งหมดมาประชุม และเตรียมสัญญามาให้ลงชื่อ……ว่า จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานทุกคนภายใน 24 ชั่วโมง ที่เหลือ…ถ้ายังอยากอยู่ในธุรกิจ ต้องเข้ามารับนโยบายจากรัฐถ้าไม่เปิดโรงงาน………รัฐบาลจะเข้ามาบริหารเอง หนึ่งในกลุ่มเจ้าของโรงงานนั้น คือ Oleg Deripaska ที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของปูตินมาแต่ไหนแต่ไร ที่ปูตินก็ไม่ไว้หน้า จิกตัวมาให้เซ็นชื่อ….และทวงปากกาคืนจาก Oleg!!! ~~มีวีดีโอบันทึกภาพจากเหตุการณ์จริง แต่ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันคิดว่าเป็นการทำโปรประกันดาของปูติน เพื่อลดกระแสกดดันจากภาคประชาชนชาวแรงงานที่ชุมนุมรออยู่ ข้างนอก ลุ้นว่าจะได้รับเงินเดือนหรือเปล่า…ปูตินคงคุยนอกรอบกับพวกเจ้าของนี้แล้ว เมื่อตกลงกันได้ เลยต้องออกข่าวเรียกคืนเครดิตให้รัฐบาล ปูตินที่เหมือนกับทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และ ประธานาธิบดีในเงา…ใช้เวลาทำงานทั้งหมดเกี่ยวกับสางกิจการเหล่าโรงงานอันเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย อย่างแร่ Nepheline ที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญ ที่โรงงานจะต้องใช้เกิดขาดแคลน เขาสั่งขบวนเที่ยวรถไฟด่วน ลำเลียงมาจาก Kola Peninsular อัดฉีดเงินช่วยเหลือประชาชน และแทนที่เขาจะทำการเปิดตลาดเพื่อที่จะจะดูดเงินจากการค้า หรือทำสัญญาซื้อขายแบบยอมเสียเปรียบเพื่อที่จะได้เงินเข้าประเทศกับกลุ่มยุโรปหรืออเมริกา……… เขาไม่ทำ…………!!! ใครต่อใครต่างพากันประหลาดใจ……เพราะถ้าไม่ทำก็มองไม่เห็นทางรอด พวกเขาไม่เข้าใจว่าปูตินจะพาชาติพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร?? แต่ปูตินเขาเห็นว่า….ที่ประเทศได้รับผลกระทบอย่างแรงเช่นนี้ เพราะอเมริกาได้เดินหมากผิด (หรืออาจตั้งใจ) ทำให้ใครต่อเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส จนแทบจะสิ้นชาติ ฉะนั้น…เขาเลือกที่จะปิดตลาดการค้าทางฝั่งตะวันตก ค้าขายแต่กับกลุ่มเบลารุส และกลุ่มคาซัคสถาน แบบพอให้การเคลื่อนไหวของกระแสเงินไปในทิศทางที่ปลอดภัย และไม่เสียเปรียบ กลางปี 2009 ราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นมา หุ้นก็ขึ้นตาม ทุกอย่างกลับขึ้นมาเป็นเกือบปรกติ เมื่อมาถึง 2010 อะไรที่เคยหาย เคยพร่องไป กลับหลั่งไหลเข้ามาเต็มคลังอีกครั้ง ดีเกินหน้ายุโรปและอเมริกาด้วยซ้ำ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น……ได้บอกกับปูตินว่า …… ถ้ามาถึงเรื่องเงิน…ต้องไม่ฝากอนาคตไว้กับใครเลย ต้องถือเอง บริการเอง เอาประโยชน์ของชาติและคนในชาติเป็นหลัก จากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของรัสเซียนี้ เมื่อการประชุม WTO (World Trade Organization) จึงได้เชิญรัสเซียเข้าร่วมประชุมด้วย ปูตินตอบรับโดยมีข้อแม้ว่า เขาจะไปเป็นคณะ ไม่ใช่ไปคนเดียว คณะที่ว่านั้น คือ ตัวแทนจากเบลารุส และ คาซัคสถาน กรรมาธิการหลายคนไม่เข้าใจ…ว่า ทำไม…? ในเมื่อรัสเซียจะต้องทำการซื้อขายกับทางตะวันตกมากกว่า… แต่ปูตินยืนยันว่า….จะต้องไปเป็นกลุ่มเท่านั้น…!! (เพราะเมื่อตกอับก็ยังอยู่เคียงข้างกัน พอได้โอกาสค้าขาย ก็ต้องไปด้วยกัน…) จากนั้น ปูตินจึงหันมาทำงานในเรื่องการก่อสร้างที่ Sochi อย่างเต็มตัว เพราะเขาทุ่มเงินกว่าสามพันล้านหรียญ ที่จะสร้างให้ออกมาสวยงามสมใจ นอกจากพื้นที่แข่งสกีแล้ว เขาได้สร้างอีกหลายอาคารสำหรับเป็นที่แข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย และหมู่บ้านนักกีฬาที่ทันสมัย รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงเส้นทางรถไฟ Baikal-Amur Mainline ที่พาดยาว จาก Moscow ถึง ฝั่งตะวันออก Vladivostok ให้ทันสมัยและเป็นสายท่องเที่ยวที่จะดึงดูดความสนใจ เขาทุ่มเทกับเรื่องโอลิมปิกนี้มาก เพราะการก่อสร้างได้ชะงักงันไปในช่วงฝืดเคือง พอกลับมาจับทำต่อ……ก็ต้องงบประมาณการก่อสร้างบานปลาย…… ที่ปูตินเรียกทุกฝ่ายมารายงานการใช้เงินกันอย่างละเอียด และทุกฝ่ายที่ว่ามานั้น……ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนรักคนสนิทแทบทั้งสิ้น ในช่วงนี้คือช่วงที่มีการแฉโพยในเรื่องการคอรัปชั่นของรัฐบาลอย่างหนาหูจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเป็นการสร้างเมกะโปรเจ็คหลายๆงานพร้อมกัน…… แต่ปูติน…ยังคงทำเฉยกับข่าวเหล่านี้… เพราะในช่วงฤดูร้อนของปี 2010 ที่เกิดไฟป่าขึ้นที่ชายขอบมอสโคว์ ที่เริ่มรุนแรงขึ้น ประชาชนเดือดร้อนจนถึงขนาดตำหนิรัฐบาลออกสื่ออย่างไม่เกรงใจ ในเรื่องการล่าช้าของการดำเนินการดับไฟ และ เรื่องคอรัปชั่นที่กำลังเป็นข่าว เนื่องจากรัฐบาลเมดเวเดฟ กำลังสร้างศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่ทันสมัยใหญ่อลังการ …… แต่ประชาชนถามถึง……รถดับเพลิง ที่ควรจะมีมากกว่าศูนย์บ้าบออะไรนั่น… ปธน. เมดเวเดฟ ยังอยู่ในช่วงพักร้อนที่ทะเลดำ…… ปูตินเป็นพระเอกอีกแล้ว เขาเตรียมตัวพร้อม ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับนักบินที่บินออกไปเป็นฝูงตั๊กแตน บัญชาการดับไฟ โปรยน้ำและสารเคมีติดต่อกันสองวัน……คุมไฟป่าได้อย่างหมดจด……… คราวนี้……เสียงคะแนนนิยมจากหมู่สาวๆมาแบบถล่มทะลาย (เพราะอินเตอร์เน็ต) ทุกคนมองเห็นปูตินวัย 58 เป็นไอดอลที่สุดเซ็กซี่……กลายเป็นชายในฝัน (ซะงั้น) ชายในฝันที่ว่านี้…ก็ไม่ใช่เบา……!!! วันหนึ่งในการประชุมที่ กรุงเคียฟ เกี่ยวกับเรื่องการรวมทุนของสายการบินยูเครนเข้ากับ United Aviation Co. ของรัสเซีย ทุกคนสังเกตเห็นว่า ใบหน้าของปูตินที่ออกในทีวี แน่นไปด้วยเมคอัพ แต่น่าจะเป็นการให้แสง……เลยดูเปลี่ยนไป จนนักข่าวแอบมาเม้าท์กันว่า มีรอยช้ำที่ขอบตา……ผมหนาขึ้น…ตีนกาหายไป……หน้าผากตึงขึ้น……หางตาไม่ตก…… ว้าววววว………นี่ไปศัลย์มาชัดๆ…… แต่ทุกคนก็ยังชื่นชม เพราะ เขาบอกว่า “ใครๆก็อยากได้ผู้นำที่ดูดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ……” ส่วนประธานาธิบดี เมดเวเดฟ……ที่มีนโยบาย Forward Russia…!! นั้น ก็ทำงานส่วนใหญ่กับการประสานกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา เพราะค่อนข้างจะคุยกันรู้เรื่องในเรื่องของนิวเคลียร์เพื่อสันติ…รวมทั้งโปรเจ็คในการค้าขายที่ไม่ค่อยเป็นข่าว นอกจากอ่านแถลงการณ์โน่นนี่ แต่การเล่นละครก็”ต้องมี”ให้ชาวโลกเห็นว่า ประธานาธิบดีรัสเซียก็มี”ปาก”เหมือนกัน…คือ ในวันตัดสินคดีของอภิมหาเศรษฐีรูปงาม Mikhail Khodorkovsky (หรือที่เคยเรียกย่อว่า MK) ที่ถูกจำคุกเกือบปี ก่อนวันขึ้นศาล ปูตินได้โทรศัพท์ออกทีวี ในวันที่ 16 ธันวาคม ให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างดุเดือดว่า ……เป็นโจรก็ต้องติดคุก ยิ่งเป็นมหาโจรที่ปล้นทรัพยากรไปจากแผ่นดิน……มันก็ต้องรับโทษให้สาสม เหมือนอย่างนักลงทุนอเมริกัน Bernard Madoff ที่ศาลในอเมริกาได้ตัดสินให้จำคุก 150 ปี……” ปูตินกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์โกรธที่ระงับไม่อยู่……ว่า “ไอ้หมอนี่ เป็นคนสั่งการในการสังหารนายกเทศมนตรีเมือง Nefteyugansk (ที่ควบคุมเขตโรงกลั่นน้ำมันของ Yukos ของ MK) และ ผู้หญิงคนหนึ่งในมอสโคว์ที่ไม่ยอมเซ็นโฉนดที่ดินให้……มันกำจัดคนที่ขวางทางทุกคนด้วยวิธีที่ทารุณสุดโหด……” การกร้าวของปูตินในฐานะนายกรัฐมนตรีคราวนี้ มันออกจะ”ล้ำ” ไป เพราะแพร่ออกไปทุกมุมโลก ต่อมา…เมดเวเดฟ ต้องรีบแก้สถานะการณ์โดยการแสดงเป็นฝ่ายตรงข้ามกับปูติน……เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ “ใครคนหนึ่ง” จะเที่ยวไปพิพากษาความผิดของใครได้ นอกเหนือไปจากศาลสถิตยุติธรรม สรุปว่า MK ได้ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี (แต่ติดจริงๆแค่ไม่กี่ปี เพราะต้องยอมซื้ออิสรภาพเพื่อที่จะได้ออกไปนอกประเทศด้วยทรัพย์สินที่มีแทบทั้งหมดในรัสเซีย…) จึงจัดได้ว่า…MK ที่มีที่อยู่ทั่วไปในยุโรปและอเมริกา…… เขาคือ ศัตรูนอกประเทศที่ชัดเจนของปูตินในทุกวันนี้……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลยจริงๆ
    มีพี่คิงส์คนเดียวนี่แหละที่ทำเพื่อลุงผู้คลั่งรักได้ขนาดนี้
    จากนี้ไปลุงไปได้อย่างสบายใจ หลับตาลงซักที
    ไม่มีอะไรต้องติดค้าง พี่คิงส์ทำฝันเป็นจริงแล้ว
    ใส่ฟันให้ เอามายืนข้างๆอิเหม็น ว้าว
    ลุงปริ๊นไวนิล ไปติดหลังห้องน้ำได้เลย
    อย่าลืมเอารูปพี่คิงส์ออกนะ
    ไม่อยากให้มีคราบอะไรมาโดย หยะแหย๋ง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลยจริงๆ มีพี่คิงส์คนเดียวนี่แหละที่ทำเพื่อลุงผู้คลั่งรักได้ขนาดนี้ จากนี้ไปลุงไปได้อย่างสบายใจ หลับตาลงซักที ไม่มีอะไรต้องติดค้าง พี่คิงส์ทำฝันเป็นจริงแล้ว ใส่ฟันให้ เอามายืนข้างๆอิเหม็น ว้าว ลุงปริ๊นไวนิล ไปติดหลังห้องน้ำได้เลย อย่าลืมเอารูปพี่คิงส์ออกนะ ไม่อยากให้มีคราบอะไรมาโดย หยะแหย๋ง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 802 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยอมใจเธอเลยอินังโจ
    แทนที่จะปล่อยให้ลุงแกไปตามธรรมชาติ
    ก็ยังต้มให้แกมาเวิ่นเว้อ หัดยิงแอดตอนปูนนี้
    เธอมันนังใจร้าาย ไม่สงสารลูกเค้าแกเลย
    ใช้จุดอ่อน ที่แก้ บี๋ห้า ก็ให้อิเหม็น
    ส่งติ๊กเกอร์ไปให้ ใจแกก็ฉ่ำ
    หรรรมแกก็แฉะ เดี๋ยวใจวายขึ้นมา
    จะหาว่าพี่คิงส์ไม่บอกล่วงหน้านะ
    รู้แหละว่ากวาดเรียบ หาไอโอ
    หาแอดมินปากแซบอะไรก็ตาม
    แต่ลุงแกไม่เหลือฟันซักซี่แล้วนะ
    เรียกตายังได้เลย ก็ไม่เว้นนะโจ
    ทั้งๆที่ลุงแกจบสูงกว่าโจ คือมากกว่าวุฒิม.3
    แต่ยังนับถือโจเป็นอาจารย์ สอนวิธีการ
    ในการเล่นงานแน๊กชาลี ยอมใจป้าโจว์เลย
    เอ๊ะ หรือว่าป้าโจแอบมีใจให้ลุงนะ
    ถึงเฝ้าดูแลแชทส่วนตัวกันเป็นพิเศษ
    นั่นแน่ ก่อนเข้าวงการก็โดนผู้เท เลยเข็ดกับความรัก
    วันนี้แหละ จะได้มีคู่แท้กับเค้าซักที
    แต่เวลาดูดดื่ม ระวัง ฟันปลอมหลุดเข้าคอนะโจ
    เป็นห่วง 555555555
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ยอมใจเธอเลยอินังโจ แทนที่จะปล่อยให้ลุงแกไปตามธรรมชาติ ก็ยังต้มให้แกมาเวิ่นเว้อ หัดยิงแอดตอนปูนนี้ เธอมันนังใจร้าาย ไม่สงสารลูกเค้าแกเลย ใช้จุดอ่อน ที่แก้ บี๋ห้า ก็ให้อิเหม็น ส่งติ๊กเกอร์ไปให้ ใจแกก็ฉ่ำ หรรรมแกก็แฉะ เดี๋ยวใจวายขึ้นมา จะหาว่าพี่คิงส์ไม่บอกล่วงหน้านะ รู้แหละว่ากวาดเรียบ หาไอโอ หาแอดมินปากแซบอะไรก็ตาม แต่ลุงแกไม่เหลือฟันซักซี่แล้วนะ เรียกตายังได้เลย ก็ไม่เว้นนะโจ ทั้งๆที่ลุงแกจบสูงกว่าโจ คือมากกว่าวุฒิม.3 แต่ยังนับถือโจเป็นอาจารย์ สอนวิธีการ ในการเล่นงานแน๊กชาลี ยอมใจป้าโจว์เลย เอ๊ะ หรือว่าป้าโจแอบมีใจให้ลุงนะ ถึงเฝ้าดูแลแชทส่วนตัวกันเป็นพิเศษ นั่นแน่ ก่อนเข้าวงการก็โดนผู้เท เลยเข็ดกับความรัก วันนี้แหละ จะได้มีคู่แท้กับเค้าซักที แต่เวลาดูดดื่ม ระวัง ฟันปลอมหลุดเข้าคอนะโจ เป็นห่วง 555555555 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 729 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ก็จะว้าวุ่นเลย
    เฮ้อ....ประเทศไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ก็จะว้าวุ่นเลย เฮ้อ....ประเทศไทย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 988 มุมมอง 0 รีวิว
  • เค้าก็ไม่เคยบอกใครนะ ว่าพี่ปูเขาเป็นสุภาพบุรุษนักบุญ……
    แต่คนที่จะเอาชนะกับกลุ่มมารที่ทึ้งแทะประเทศ……มันก็มีบทโหด……และ ไม่ใช่โหดเฉยๆ แต่โคตรโหดเลยจ้าาาาา
    นี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำจิ้มนะจ๊ะ…

    ตอนสิบเจ็ด…..…ฆาตกรรมข้ามแดนที่เรียงเป็นซีรี่ย์……เป็นเรื่องตะวันตกเขาว่าเขารับไม่ได้………!!

    ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่องของ Aleksandr Litvinenko ที่โดนยาพิษไปแล้ว จะเอามาแปะให้ข้างล่าง แต่……เขายังเป็นอะไรที่มีโอกาสสั่งเสีย และมีเวลาเขียนจดหมายอาฆาตแค้นถึงปูติน
    ก่อนที่จะลาลับไปจากโลกนี้
    แต่ก่อนหน้านั้นหกอาทิตย์ ……คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกระพริบตา คือ Anna Politkovskaya **วัย 48 นักข่าว นักเคลื่อนไหว
    นักเขียน ที่มีสัญชาติอเมริกัน (เชื้อชาติรัสเซีย)
    ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปูตินมาโดยตลอด เธอถือว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากสถานทูตอเมริกัน จึงกล้าเขียนวิจารณ์ทั้งสื่อใน และ นอกประเทศ
    งานหลักของเธอคือ การจิกกัดในเรื่องของสงครามที่เชเชน
    โดยจะทำรายงานสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ว่า ใครได้ถูกเก็บไปบ้าง และติเตียนปูตินที่เอา Ramzan Kadyrov จิ๊กโก๋บ้าดีเดือด มาเป็นผู้ว่าการรัฐ ที่เธอเปรียบเปรย และดูถูก ว่า ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท กระหายเลือด และ โง่.……!!ว
    วันที่ 7 ตุลาคม 2006 ที่เธอกำลังขึ้นลิฟท์ที่พัก……มือปืนได้บุกเข้ายิงเธอสี่นัด และวางปืนไว้ข้างๆร่างของเธอ เป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นการจ้างวาน…

    เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจกลางกรุงมอสโคว์ เหยื่อเป็นนักข่าว เป็นผู้หญิง และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
    แน่นอนว่า…..ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ปูตินพียงคนเดียว
    และไม่มีใครออกมาให้ข่าวอะไรเพื่อที่จะเคลียร์ตัวเอง
    จนสามวันถัดไปที่เป็นวันฝังร่างที่มีผู้คนไปร่วมงานนับพัน
    ที่ปูตินเดินทางไปที่ Dresden ในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาดาม Angela Merkel ที่มาแทน Gerhard Schroeder
    ในการพบกัน แองเจลาได้พยายามที่จะถามคุ้ยถึงเรื่องฆาตกรรม แต่ปูตินพูดเรียบๆว่า
    “มันเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก..แต่การที่หล่อนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย เขียนข้อความที่ต่อต้านมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลอะไรกับรัฐบาลเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปทำการที่ทำให้เกิดผลเสีย……คนที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมนี้ คือกลุ่มที่มีความตั้งใจจะให้เราเป็นแพะ……”
    เขาพูดต่อว่า…
    “เรามีศัตรูที่ฝังตัวอยู่ในและนอกรัสเซียมากมาย ที่พร้อมที่จะสาดโคลนให้เราเสียชื่อเสียงตลอดเวลา”
    นั่นเขาหมายถึง Litvinenko ที่ไปตั้งแก๊งค์รวมกลุ่มกับ Boris Berezovsky ที่ลอนดอน

    ~~สาวให้ลึกเข้าไปอีกนิดนะคะ Litvinenko (จะเรียกว่า Lit) กับ Anna อยู่ในขบวนการเดียวกัน เธอได้บินไปเยี่ยมเขาถึงในลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลของสงครามเชเชน……เพราะ Lit ได้เจาะในเรื่องการที่เหล่าผู้นำฝ่ายกบฏถูกตามเก็บไปทีละคนสองคน จนเป็นการจบสิ้นขบวนการขัดแย้ง
    เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวัน หลังจากการจากไปของแอนนาเพียงหกอาทิตย์
    ทั้งสองคดีนี้……จับคนร้ายได้ทั้งขบวนการ ติดคุกกันไปคนบะหลายปี แต่จับตัวผู้บงการไม่ได้
    และ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นอดีต FSB
    ส่วนจดหมายอาฆาตแค้นที่ Lit เขียนถึงปูติน………
    เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากแสดงความเสียใจ……เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำอย่างเดียวกันกับการฆาตกรรมของแอนนา

    แต่เนื่องจากกระแสข่าวที่ได้ถูกจุดขึ้นมา สื่อตะวันตกจึงได้ใช้กระแสนี้ ขุดเอาการตายอย่างน่าสงสัยของคนหลายๆคนในอดีตขึ้นมาด้วย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ FSB เพราะ Boris Berezovsky อดีตเจ้าพ่อสื่อตั้งตัวเป็นศัตรูที่เปิดหน้าชกกับปูติน……แบบข้ามทวีป……ลอนดอน-มอสโคว์

    ปูตินเหลือเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกเพียงปีเศษ เพราะการเลือกตั้งจะมีในปี 2008 เขาจึงหันมาสนใจที่จะเร่งมือทำทุกอย่างให้เสร็จตามแผน ส่วนเรื่องที่จะหาใครมาเป็นแคนดิเดต
    คนต่อไป.…เขายังไม่คิด
    สิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ คือ การที่จะเอารัสเซียไปเป็นเจ้าภาพในกีฬาฤดูหนาวของโอลิมปิก 2014 เพราะตั้งแต่ ปี 1980 ที่โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก (ฤดูร้อน) ที่มอสโคว์แล้ว
    จากนั้นมา…ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะการแซงชั่น (สงครามอาฟกานิสถาน) และ มาตรฐานไม่ผ่าน
    ปูตินบินไปกัวเตมาลา ในเดือนกรกฎาคม 2007
    สำหรับการประชุมนอกรอบเกี่ยวกับการขอเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว กับ International Olympic Committee เพราะเขาเห็นว่าถึงเวลาที่รัสเซียจะต้องอวดโฉมให้กับชาวโลกได้เห็นว่า………รัสเซียไม่ใช่ประเทศหลังเขาอย่างแต่ก่อน
    อีกทั้งปูตินเอง เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้รัสเซียได้เป็นเจ้าภาพของโอลิมปิกให้ได้
    เพราะเขารู้จัก Sochi ดี….และเห็นว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศที่จะจัดแข่งสกีได้ไม่แพ้ที่ไหนในโลก
    เขาเรียกประชุมเหล่า CEO ทั้งหลาย เพื่อที่จะทุ่มทุนสร้าง Ski Resort แบบมาตรฐานโลก……เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า…!!
    ทุกคนขานรับ….

    การประชุมที่กัวเตมาลาครั้งต่อมา ที่จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้
    ข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ และ ต้องได้มาตรฐานสูงสุด
    ที่จะมีการโหวตสองครั้ง ครั้งแรก คือการคัดเลือกเข้ารอบ
    ครั้งที่สอง คือการตัดสิน

    รอบแรกของการคัดเลือก ผ่านเข้ามาสามประเทศ คือ ออสเตรีย, เกาหลีใต้……และรัสเซีย ที่เกาหลีใต้เฉือนรัสเซียสี่คะแนน ส่วนออสเตรียมารั้งท้าย
    ปูตินรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน……

    ในการประชุมตัดสินรอบต่อไป……ที่เหลือระหว่างเกาหลีใต้กับรัสเซีย
    เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน……
    ทุกคนตกตะลึง……ไม่เชื่อหู…คือ เขา present โครงการที่ทันสมัย และความสวยงามของ Sochi เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ตบท้ายด้วยการสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส
    และทันทีที่กล่าวเสร็จ……เขาไม่อยู่รอฟังการตัดสิน บินกลับมอสโคว์ทันที
    เพราะ ปูตินไม่อยากอยู่สู้หน้าใคร ถ้าหากว่า รัสเซียหลุดไปจากโผ เพราะเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักทั้งสมองและจิตใจ…
    และไม่อยากเผชิญกับใบหน้าที่ยิ้มเยาะของพวกตะวันตก……

    เจ้าหน้าที่ที่กัวเตมาลาได้โทรหาเขาในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เพื่อแสดงความยินดีที่ Sochi ได้รับเลือกในการที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาฤดูหนาว
    ปูตินดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบโทรศัพท์ไปขอบคุณประธานและคณะกรรมการทันที

    ทันทีที่เครื่องบินได้แตะพื้นดินรัสเซีย เขาพบว่าประชาชนทุกคนมีรอยยิ้มอย่างแจ่มใสบนใบหน้า ทุกคนดีใจกับเกียรติภูมิของรัสเซียที่เขาได้นำกลับมาอีกครั้ง
    กระแสความนิยมของปูตินได้พุ่งถึงขีดสุด………

    นั่นเป็นการยืนยันกับประชาชนอย่างหนักแน่นว่า………รัสเซียกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เค้าก็ไม่เคยบอกใครนะ ว่าพี่ปูเขาเป็นสุภาพบุรุษนักบุญ…… แต่คนที่จะเอาชนะกับกลุ่มมารที่ทึ้งแทะประเทศ……มันก็มีบทโหด……และ ไม่ใช่โหดเฉยๆ แต่โคตรโหดเลยจ้าาาาา นี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำจิ้มนะจ๊ะ… ตอนสิบเจ็ด…..…ฆาตกรรมข้ามแดนที่เรียงเป็นซีรี่ย์……เป็นเรื่องตะวันตกเขาว่าเขารับไม่ได้………!! ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่องของ Aleksandr Litvinenko ที่โดนยาพิษไปแล้ว จะเอามาแปะให้ข้างล่าง แต่……เขายังเป็นอะไรที่มีโอกาสสั่งเสีย และมีเวลาเขียนจดหมายอาฆาตแค้นถึงปูติน ก่อนที่จะลาลับไปจากโลกนี้ แต่ก่อนหน้านั้นหกอาทิตย์ ……คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกระพริบตา คือ Anna Politkovskaya **วัย 48 นักข่าว นักเคลื่อนไหว นักเขียน ที่มีสัญชาติอเมริกัน (เชื้อชาติรัสเซีย) ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปูตินมาโดยตลอด เธอถือว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากสถานทูตอเมริกัน จึงกล้าเขียนวิจารณ์ทั้งสื่อใน และ นอกประเทศ งานหลักของเธอคือ การจิกกัดในเรื่องของสงครามที่เชเชน โดยจะทำรายงานสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ว่า ใครได้ถูกเก็บไปบ้าง และติเตียนปูตินที่เอา Ramzan Kadyrov จิ๊กโก๋บ้าดีเดือด มาเป็นผู้ว่าการรัฐ ที่เธอเปรียบเปรย และดูถูก ว่า ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท กระหายเลือด และ โง่.……!!ว วันที่ 7 ตุลาคม 2006 ที่เธอกำลังขึ้นลิฟท์ที่พัก……มือปืนได้บุกเข้ายิงเธอสี่นัด และวางปืนไว้ข้างๆร่างของเธอ เป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นการจ้างวาน… เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจกลางกรุงมอสโคว์ เหยื่อเป็นนักข่าว เป็นผู้หญิง และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แน่นอนว่า…..ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ปูตินพียงคนเดียว และไม่มีใครออกมาให้ข่าวอะไรเพื่อที่จะเคลียร์ตัวเอง จนสามวันถัดไปที่เป็นวันฝังร่างที่มีผู้คนไปร่วมงานนับพัน ที่ปูตินเดินทางไปที่ Dresden ในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาดาม Angela Merkel ที่มาแทน Gerhard Schroeder ในการพบกัน แองเจลาได้พยายามที่จะถามคุ้ยถึงเรื่องฆาตกรรม แต่ปูตินพูดเรียบๆว่า “มันเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก..แต่การที่หล่อนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย เขียนข้อความที่ต่อต้านมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลอะไรกับรัฐบาลเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปทำการที่ทำให้เกิดผลเสีย……คนที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมนี้ คือกลุ่มที่มีความตั้งใจจะให้เราเป็นแพะ……” เขาพูดต่อว่า… “เรามีศัตรูที่ฝังตัวอยู่ในและนอกรัสเซียมากมาย ที่พร้อมที่จะสาดโคลนให้เราเสียชื่อเสียงตลอดเวลา” นั่นเขาหมายถึง Litvinenko ที่ไปตั้งแก๊งค์รวมกลุ่มกับ Boris Berezovsky ที่ลอนดอน ~~สาวให้ลึกเข้าไปอีกนิดนะคะ Litvinenko (จะเรียกว่า Lit) กับ Anna อยู่ในขบวนการเดียวกัน เธอได้บินไปเยี่ยมเขาถึงในลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลของสงครามเชเชน……เพราะ Lit ได้เจาะในเรื่องการที่เหล่าผู้นำฝ่ายกบฏถูกตามเก็บไปทีละคนสองคน จนเป็นการจบสิ้นขบวนการขัดแย้ง เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวัน หลังจากการจากไปของแอนนาเพียงหกอาทิตย์ ทั้งสองคดีนี้……จับคนร้ายได้ทั้งขบวนการ ติดคุกกันไปคนบะหลายปี แต่จับตัวผู้บงการไม่ได้ และ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นอดีต FSB ส่วนจดหมายอาฆาตแค้นที่ Lit เขียนถึงปูติน……… เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากแสดงความเสียใจ……เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำอย่างเดียวกันกับการฆาตกรรมของแอนนา แต่เนื่องจากกระแสข่าวที่ได้ถูกจุดขึ้นมา สื่อตะวันตกจึงได้ใช้กระแสนี้ ขุดเอาการตายอย่างน่าสงสัยของคนหลายๆคนในอดีตขึ้นมาด้วย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ FSB เพราะ Boris Berezovsky อดีตเจ้าพ่อสื่อตั้งตัวเป็นศัตรูที่เปิดหน้าชกกับปูติน……แบบข้ามทวีป……ลอนดอน-มอสโคว์ ปูตินเหลือเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกเพียงปีเศษ เพราะการเลือกตั้งจะมีในปี 2008 เขาจึงหันมาสนใจที่จะเร่งมือทำทุกอย่างให้เสร็จตามแผน ส่วนเรื่องที่จะหาใครมาเป็นแคนดิเดต คนต่อไป.…เขายังไม่คิด สิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ คือ การที่จะเอารัสเซียไปเป็นเจ้าภาพในกีฬาฤดูหนาวของโอลิมปิก 2014 เพราะตั้งแต่ ปี 1980 ที่โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก (ฤดูร้อน) ที่มอสโคว์แล้ว จากนั้นมา…ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะการแซงชั่น (สงครามอาฟกานิสถาน) และ มาตรฐานไม่ผ่าน ปูตินบินไปกัวเตมาลา ในเดือนกรกฎาคม 2007 สำหรับการประชุมนอกรอบเกี่ยวกับการขอเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว กับ International Olympic Committee เพราะเขาเห็นว่าถึงเวลาที่รัสเซียจะต้องอวดโฉมให้กับชาวโลกได้เห็นว่า………รัสเซียไม่ใช่ประเทศหลังเขาอย่างแต่ก่อน อีกทั้งปูตินเอง เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้รัสเซียได้เป็นเจ้าภาพของโอลิมปิกให้ได้ เพราะเขารู้จัก Sochi ดี….และเห็นว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศที่จะจัดแข่งสกีได้ไม่แพ้ที่ไหนในโลก เขาเรียกประชุมเหล่า CEO ทั้งหลาย เพื่อที่จะทุ่มทุนสร้าง Ski Resort แบบมาตรฐานโลก……เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า…!! ทุกคนขานรับ…. การประชุมที่กัวเตมาลาครั้งต่อมา ที่จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ และ ต้องได้มาตรฐานสูงสุด ที่จะมีการโหวตสองครั้ง ครั้งแรก คือการคัดเลือกเข้ารอบ ครั้งที่สอง คือการตัดสิน รอบแรกของการคัดเลือก ผ่านเข้ามาสามประเทศ คือ ออสเตรีย, เกาหลีใต้……และรัสเซีย ที่เกาหลีใต้เฉือนรัสเซียสี่คะแนน ส่วนออสเตรียมารั้งท้าย ปูตินรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…… ในการประชุมตัดสินรอบต่อไป……ที่เหลือระหว่างเกาหลีใต้กับรัสเซีย เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน…… ทุกคนตกตะลึง……ไม่เชื่อหู…คือ เขา present โครงการที่ทันสมัย และความสวยงามของ Sochi เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ตบท้ายด้วยการสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส และทันทีที่กล่าวเสร็จ……เขาไม่อยู่รอฟังการตัดสิน บินกลับมอสโคว์ทันที เพราะ ปูตินไม่อยากอยู่สู้หน้าใคร ถ้าหากว่า รัสเซียหลุดไปจากโผ เพราะเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักทั้งสมองและจิตใจ… และไม่อยากเผชิญกับใบหน้าที่ยิ้มเยาะของพวกตะวันตก…… เจ้าหน้าที่ที่กัวเตมาลาได้โทรหาเขาในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เพื่อแสดงความยินดีที่ Sochi ได้รับเลือกในการที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาฤดูหนาว ปูตินดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบโทรศัพท์ไปขอบคุณประธานและคณะกรรมการทันที ทันทีที่เครื่องบินได้แตะพื้นดินรัสเซีย เขาพบว่าประชาชนทุกคนมีรอยยิ้มอย่างแจ่มใสบนใบหน้า ทุกคนดีใจกับเกียรติภูมิของรัสเซียที่เขาได้นำกลับมาอีกครั้ง กระแสความนิยมของปูตินได้พุ่งถึงขีดสุด……… นั่นเป็นการยืนยันกับประชาชนอย่างหนักแน่นว่า………รัสเซียกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง………!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่

    Gosar สมาชิกสภาคองเกรส สหรัฐ เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) สําหรับการบาดเจ็บจากวัคซีน
    วอชิงตัน ดี.ซี. 26 กันยายน 2024

    สมาชิกสภาคองเกรส พอล เอ. โกซาร์, ดี.ดี.เอส. (AZ-09) ออกแถลงการณ์ ต่อไปนี้ หลังจากเสนอ H.R. 9828 พระราชบัญญัติระงับ การปกป้อง ผู้ผลิตวัคซีนจากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบ End the Vaccine Carveout Act (https://www.congress.gov/bill/118th-congress/house-bill/9828#:~:text=Summary%20of%20H.R.9828%20-%20118th%20Congress)
    เป็นร่างกฎหมายที่จะถอดผู้ผลิตวัคซีนออกจากโล่ความที่ไม่ต้องรับผิด ส่งผลให้มีกําไรหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับ Big Pharma ในขณะที่ทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมทางกฎหมาย และ การชดเชยการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน
    และมีการแถลง press release ดังต่อไปนี้

    “แม้ว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางและ Big Pharma จะยืนยันว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ตัวอย่างเช่น การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 12,000 ฉบับโดยสถาบันการแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในปี 2555 พบว่า 98% ของการบาดเจ็บที่ศึกษานั้น เกิดจากหรืออาจเกิดจากวัคซีน การศึกษาของรัฐบาลอีกชิ้นหนึ่ง พบว่า ในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดการบาดเจ็บใน 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนถูกนับน้อยไปอย่างมาก

    นอกจากนี้ ตามระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมโรค มีรายงานว่าชาวอเมริกันเกือบ 20,000 คนตายโดยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเท่ากับ การเสียชีวิต หนึ่งรายต่อทุกๆ 14,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ซึ่งสูงกว่าหนึ่งในล้านของการเสียชีวิต ที่ปกติมีการอ้างถึงอันตรายจากวัคซีน

    ข้าราชการและนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการอนุมัติวัคซีนอยู่บนเตียงกับ Big Pharma ซึ่งมักเป็นเจ้าของหุ้นยา โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และรับสัญญาที่ร่ํารวยจากบริษัทยาที่กดดันให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางโดยตรง

    ที่แย่กว่านั้น นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายคนในหน่วยงานของรัฐพัฒนาสิทธิบัตรสําหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่พวกเขาทํางาน สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์และก่อให้เกิดคําถามร้ายแรงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา

    ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน เนื่องจากกฎหมายปี 1986 ที่สร้างภูมิคุ้มกันพิเศษอย่างไม่เป็นธรรมสําหรับ Big Pharma ทําให้เหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนชนะในศาลได้ยากมาก

    กฎหมายนี้ยกเลิกบทบัญญัติภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่ปกป้อง Big Pharma อย่างไม่เป็นธรรม จากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน และอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนดําเนินคดีทางแพ่งในศาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง Big Pharma ไม่สมควรได้รับบัตรปลอดคุกสําหรับการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีนที่เป็นอันตราย” สมาชิกสภาคองเกรส Gosar กล่าวสรุป

    โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ผู้ก่อตั้ง Children's Health Defense และประธานคณะกรรมการ Leave กล่าวว่า “ผู้ผลิตวัคซีนชาวอเมริกันทั้งสี่รายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายค่าปรับทางอาญาหลายหมื่นล้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการปลดปล่อยพวกเขาจากความรับผิดสําหรับความประมาทเลินเล่อ กฎเกณฑ์ปี 1986 ได้ลบสิ่งจูงใจใด ๆ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หากเราต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราจําเป็นต้องยุติเกราะป้องกันความรับผิด”

    แมรี่ ฮอลแลนด์ ประธานฝ่ายป้องกันสุขภาพเด็กกล่าวเสริมว่า “ขอบคุณสมาชิกสภาคองเกรสโกซาร์ที่แนะนํากฎหมายประวัติศาสตร์และจําเป็นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากวัคซีนที่รัฐบาลแนะนําถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเยียวยาที่มีความหมาย -- มีเพียงโครงการชดเชยที่ซับซ้อนและหลอกลวงที่ทําให้ครอบครัวที่เสียใจต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่ Big Pharma ไม่มีความรับผิด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภาวะสุขภาพเรื้อรังในเด็ก - ออทิสติก สมาธิสั้น โรคภูมิแพ้รุนแรง หอบหืด - ได้พุ่งสูงขึ้น กฎหมายนี้จะช่วยยุติการปกครองของ Big Pharma เหนือรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ทุจริตของพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติปี 1986 ได้ปราบปรามวิทยาศาสตร์ ขัดขวางครอบครัว โค่นล้มตลาดการตรวจสอบและถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย และลบสิทธิของพลเมืองในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ชาวอเมริกันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”

    ความเป็นมา:
    ในปี 1986 สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติ (NVCIA) ซึ่งปกป้องผู้ผลิตวัคซีนจากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ทําให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บาดเจ็บจากวัคซีนจะชนะในศาล โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ผลิตวัคซีนจงใจ "[ระงับ] ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีน" มีส่วนร่วมใน "กิจกรรมทางอาญาหรือผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน" หรือ "โดยหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ... ล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม"การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้รับมอบหมายให้อนุมัติวัคซีน น่าเศร้าที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทํางานในหน่วยงานเหล่านี้ออกใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับผู้ผลิตวัคซีน และในการทําเช่นนั้น ได้รับค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 150,000 ดอลลาร์นอกจากนี้ สมาชิกที่ลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการที่ให้คําแนะนําแก่ CDC และ NIH เป็นเจ้าของหุ้นของผู้ผลิตวัคซีน มีส่วนร่วมในงานสัญญาสําหรับผู้ผลิตวัคซีน และได้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ผลิตวัคซีน

    ผู้สนับสนุนร่วมในปัจจุบัน:
    Representatives Andy Biggs, Lauren Boebert, Josh Brecheen, Tim Burchett, Eric Burlison, Mike Collins, Eli Crane, Warren Davidson, Byron Donalds, Matt Gaetz, Bob Good, Marjorie Taylor Greene, Harriet Hageman, Andy Harris, Clay Higgins, Ronny Jackson, Anna Paulina Luna, Nancy Mace, Thomas Massie, Mary E. Miller, Cory Mills, Barry Moore, Troy E. Nehls, Ralph Norman, Andy Ogles, Bill Posey, Chip Roy, Keith Self, Victoria Spartz, and Randy K. Weber Sr.

    ถอดความภาษาไทยโดย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ Gosar สมาชิกสภาคองเกรส สหรัฐ เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) สําหรับการบาดเจ็บจากวัคซีน วอชิงตัน ดี.ซี. 26 กันยายน 2024 สมาชิกสภาคองเกรส พอล เอ. โกซาร์, ดี.ดี.เอส. (AZ-09) ออกแถลงการณ์ ต่อไปนี้ หลังจากเสนอ H.R. 9828 พระราชบัญญัติระงับ การปกป้อง ผู้ผลิตวัคซีนจากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบ End the Vaccine Carveout Act (https://www.congress.gov/bill/118th-congress/house-bill/9828#:~:text=Summary%20of%20H.R.9828%20-%20118th%20Congress) เป็นร่างกฎหมายที่จะถอดผู้ผลิตวัคซีนออกจากโล่ความที่ไม่ต้องรับผิด ส่งผลให้มีกําไรหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับ Big Pharma ในขณะที่ทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมทางกฎหมาย และ การชดเชยการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน และมีการแถลง press release ดังต่อไปนี้ “แม้ว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางและ Big Pharma จะยืนยันว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ตัวอย่างเช่น การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 12,000 ฉบับโดยสถาบันการแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในปี 2555 พบว่า 98% ของการบาดเจ็บที่ศึกษานั้น เกิดจากหรืออาจเกิดจากวัคซีน การศึกษาของรัฐบาลอีกชิ้นหนึ่ง พบว่า ในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดการบาดเจ็บใน 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนถูกนับน้อยไปอย่างมาก นอกจากนี้ ตามระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมโรค มีรายงานว่าชาวอเมริกันเกือบ 20,000 คนตายโดยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเท่ากับ การเสียชีวิต หนึ่งรายต่อทุกๆ 14,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ซึ่งสูงกว่าหนึ่งในล้านของการเสียชีวิต ที่ปกติมีการอ้างถึงอันตรายจากวัคซีน ข้าราชการและนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการอนุมัติวัคซีนอยู่บนเตียงกับ Big Pharma ซึ่งมักเป็นเจ้าของหุ้นยา โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และรับสัญญาที่ร่ํารวยจากบริษัทยาที่กดดันให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางโดยตรง ที่แย่กว่านั้น นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายคนในหน่วยงานของรัฐพัฒนาสิทธิบัตรสําหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่พวกเขาทํางาน สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์และก่อให้เกิดคําถามร้ายแรงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน เนื่องจากกฎหมายปี 1986 ที่สร้างภูมิคุ้มกันพิเศษอย่างไม่เป็นธรรมสําหรับ Big Pharma ทําให้เหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนชนะในศาลได้ยากมาก กฎหมายนี้ยกเลิกบทบัญญัติภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่ปกป้อง Big Pharma อย่างไม่เป็นธรรม จากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน และอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนดําเนินคดีทางแพ่งในศาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง Big Pharma ไม่สมควรได้รับบัตรปลอดคุกสําหรับการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีนที่เป็นอันตราย” สมาชิกสภาคองเกรส Gosar กล่าวสรุป โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ผู้ก่อตั้ง Children's Health Defense และประธานคณะกรรมการ Leave กล่าวว่า “ผู้ผลิตวัคซีนชาวอเมริกันทั้งสี่รายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายค่าปรับทางอาญาหลายหมื่นล้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการปลดปล่อยพวกเขาจากความรับผิดสําหรับความประมาทเลินเล่อ กฎเกณฑ์ปี 1986 ได้ลบสิ่งจูงใจใด ๆ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หากเราต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราจําเป็นต้องยุติเกราะป้องกันความรับผิด” แมรี่ ฮอลแลนด์ ประธานฝ่ายป้องกันสุขภาพเด็กกล่าวเสริมว่า “ขอบคุณสมาชิกสภาคองเกรสโกซาร์ที่แนะนํากฎหมายประวัติศาสตร์และจําเป็นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากวัคซีนที่รัฐบาลแนะนําถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเยียวยาที่มีความหมาย -- มีเพียงโครงการชดเชยที่ซับซ้อนและหลอกลวงที่ทําให้ครอบครัวที่เสียใจต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่ Big Pharma ไม่มีความรับผิด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภาวะสุขภาพเรื้อรังในเด็ก - ออทิสติก สมาธิสั้น โรคภูมิแพ้รุนแรง หอบหืด - ได้พุ่งสูงขึ้น กฎหมายนี้จะช่วยยุติการปกครองของ Big Pharma เหนือรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ทุจริตของพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติปี 1986 ได้ปราบปรามวิทยาศาสตร์ ขัดขวางครอบครัว โค่นล้มตลาดการตรวจสอบและถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย และลบสิทธิของพลเมืองในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ชาวอเมริกันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้” ความเป็นมา: ในปี 1986 สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติ (NVCIA) ซึ่งปกป้องผู้ผลิตวัคซีนจากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ทําให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บาดเจ็บจากวัคซีนจะชนะในศาล โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ผลิตวัคซีนจงใจ "[ระงับ] ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีน" มีส่วนร่วมใน "กิจกรรมทางอาญาหรือผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน" หรือ "โดยหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ... ล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม"การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้รับมอบหมายให้อนุมัติวัคซีน น่าเศร้าที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทํางานในหน่วยงานเหล่านี้ออกใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับผู้ผลิตวัคซีน และในการทําเช่นนั้น ได้รับค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 150,000 ดอลลาร์นอกจากนี้ สมาชิกที่ลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการที่ให้คําแนะนําแก่ CDC และ NIH เป็นเจ้าของหุ้นของผู้ผลิตวัคซีน มีส่วนร่วมในงานสัญญาสําหรับผู้ผลิตวัคซีน และได้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ผลิตวัคซีน ผู้สนับสนุนร่วมในปัจจุบัน: Representatives Andy Biggs, Lauren Boebert, Josh Brecheen, Tim Burchett, Eric Burlison, Mike Collins, Eli Crane, Warren Davidson, Byron Donalds, Matt Gaetz, Bob Good, Marjorie Taylor Greene, Harriet Hageman, Andy Harris, Clay Higgins, Ronny Jackson, Anna Paulina Luna, Nancy Mace, Thomas Massie, Mary E. Miller, Cory Mills, Barry Moore, Troy E. Nehls, Ralph Norman, Andy Ogles, Bill Posey, Chip Roy, Keith Self, Victoria Spartz, and Randy K. Weber Sr. ถอดความภาษาไทยโดย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สนับสนุนนาโต้ของยูเครนรายงานว่า กลัวว่าจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะเติมเชื้อเพลิงให้กับสงครามตัวแทนต่อต้านรัสเซียจนถึงปี ๒๐๒๕

    การส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้สนับสนุนนาโต้รายใหญ่ของระบอบเซเลนสกีขาดเงินทุนอย่างเร่งด่วน, แหล่งข่าววงในนโยบายบอกกับบลูมเบิร์ก

    สิ่งที่เป็นเดิมพันคือข้อตกลงเงินกู้มูลค่า ๕ หมื่นล้านดอลลาร์ ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นจากกำไรของสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารตะวันตก, ซึ่งรายงานระบุว่าวอชิงตันกลัวว่าฮังการีอาจปิดกั้นหรือลดจำนวนลง แม้แต่จำนวนเงินนั้นก็เพียงพอที่จะให้เคียฟมีเสบียงสำหรับสงครามได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น

    นั่นยังไม่นับรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของเคียฟ, ซึ่งรวมถึงช่องว่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในงบประมาณปี ๒๐๒๕, ซึ่งอีกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ยังไม่สามารถนำมาคำนวณได้ หลังจากใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป การขาดดุลดังกล่าวอาจผลักดันให้เคียฟเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ‘จากจุดยืนที่อ่อนแอ’, แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุ

    ดูเหมือนว่าเคียฟจะประสบปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้สนับสนุนให้ยังคงควักเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้ออาวุธสำหรับความขัดแย้ง เนื่องจากการผลิตอาวุธของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น "เกินหน้า" ผลผลิตรวมของชาติตะวันตก

    จากนั้นยังมีแรงกดดันต่อเซเลนสกีว่า คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องใช้มาตรการนี้, หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี, 🤣และสถานะที่ขัดสนเงินสดของเยอรมนี, ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐอเมริกา, ซึ่งข้อจำกัดด้านหนี้ตามรัฐธรรมนูญได้ส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนไปแล้ว ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังแผ่กระจายไปทั่วฝรั่งเศส, อิตาลี, และสหราชอาณาจักร, ประเทศเหล่านี้อาจลดความช่วยเหลือลงเช่นกัน, แม้ว่ารัฐบาลสตาร์เมอร์จะให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในด้านงบประมาณภายในประเทศก็ตาม🤣

    วิกฤตการณ์ด้านความช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองในปีนี้ที่โอกาสในสนามรบของเคียฟต้องเผชิญความท้าทายจากความลังเลใจของผู้สนับสนุนที่จะควักเงินเพิ่ม ในเดือนเมษายน, สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมูลค่า ๔๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน หลังจากเกิดความขัดแย้งกันนาน ๖ เดือน จากวิกฤตที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ
    .
    Ukraine’s NATO patrons reportedly fear running out of money to fuel anti-Russia proxy war into 2025

    The continued delivery of weaponry to Ukraine is at risk due to a pressing lack of funds among the Zelensky regime’s top NATO sponsors, policy insiders have told Bloomberg.

    At stake is a controversial $50 billion loan agreement generated by the profits of Russian Central Bank assets frozen in Western banks, which Washington reportedly fears could be blocked by Hungary or whittled down. Even that sum would be enough to keep Kiev stocked up on war materiel for only half the year.

    That’s not counting Kiev’s economic situation, including a projected $35 billion gap in the 2025 budget, about $15 billion of which has yet to be accounted for after IMF and EU subsidies are applied. The shortfall could push Kiev into peace talks with Russia ‘from a position of weakness’, Bloomberg’s sources indicated.

    Kiev is apparently also having a hard time convincing patrons to continue shelling out tens of billions of dollars worth of arms for the conflict as ramped-up Russian production “outpaces” the combined output of the collective West.

    Then there is the pressure on Zelensky that Donald Trump is expected to apply, should he win the White House, and the cash-poor position of Germany, Ukraine’s second-largest sponsor after the US, whose constitutional debt restrictions have already affected support. As economic troubles sweep over France, Italy, and the UK, these countries may similarly reduce assistance, although the Starmer government has vowed to continue backing Kiev up to the hilt despite hard budgetary choices to make at home.

    The aid crunch is the second time this year that Kiev’s battlefield prospects have been challenged by its patrons’ reluctance to fork over more cash. In April, the Republican-held House of Representatives passed a $48 billion package of security aid for Ukraine after a six-month deadlock connected to the crisis at the US’s southern border.
    .
    11:29 PM · Sep 27, 2024 · 1,960 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1839703912816783372
    ผู้สนับสนุนนาโต้ของยูเครนรายงานว่า กลัวว่าจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะเติมเชื้อเพลิงให้กับสงครามตัวแทนต่อต้านรัสเซียจนถึงปี ๒๐๒๕ การส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้สนับสนุนนาโต้รายใหญ่ของระบอบเซเลนสกีขาดเงินทุนอย่างเร่งด่วน, แหล่งข่าววงในนโยบายบอกกับบลูมเบิร์ก สิ่งที่เป็นเดิมพันคือข้อตกลงเงินกู้มูลค่า ๕ หมื่นล้านดอลลาร์ ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นจากกำไรของสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารตะวันตก, ซึ่งรายงานระบุว่าวอชิงตันกลัวว่าฮังการีอาจปิดกั้นหรือลดจำนวนลง แม้แต่จำนวนเงินนั้นก็เพียงพอที่จะให้เคียฟมีเสบียงสำหรับสงครามได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น นั่นยังไม่นับรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของเคียฟ, ซึ่งรวมถึงช่องว่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในงบประมาณปี ๒๐๒๕, ซึ่งอีกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ยังไม่สามารถนำมาคำนวณได้ หลังจากใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป การขาดดุลดังกล่าวอาจผลักดันให้เคียฟเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ‘จากจุดยืนที่อ่อนแอ’, แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุ ดูเหมือนว่าเคียฟจะประสบปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้สนับสนุนให้ยังคงควักเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้ออาวุธสำหรับความขัดแย้ง เนื่องจากการผลิตอาวุธของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น "เกินหน้า" ผลผลิตรวมของชาติตะวันตก จากนั้นยังมีแรงกดดันต่อเซเลนสกีว่า คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องใช้มาตรการนี้, หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี, 🤣และสถานะที่ขัดสนเงินสดของเยอรมนี, ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐอเมริกา, ซึ่งข้อจำกัดด้านหนี้ตามรัฐธรรมนูญได้ส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนไปแล้ว ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังแผ่กระจายไปทั่วฝรั่งเศส, อิตาลี, และสหราชอาณาจักร, ประเทศเหล่านี้อาจลดความช่วยเหลือลงเช่นกัน, แม้ว่ารัฐบาลสตาร์เมอร์จะให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในด้านงบประมาณภายในประเทศก็ตาม🤣 วิกฤตการณ์ด้านความช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองในปีนี้ที่โอกาสในสนามรบของเคียฟต้องเผชิญความท้าทายจากความลังเลใจของผู้สนับสนุนที่จะควักเงินเพิ่ม ในเดือนเมษายน, สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมูลค่า ๔๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน หลังจากเกิดความขัดแย้งกันนาน ๖ เดือน จากวิกฤตที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ . Ukraine’s NATO patrons reportedly fear running out of money to fuel anti-Russia proxy war into 2025 The continued delivery of weaponry to Ukraine is at risk due to a pressing lack of funds among the Zelensky regime’s top NATO sponsors, policy insiders have told Bloomberg. At stake is a controversial $50 billion loan agreement generated by the profits of Russian Central Bank assets frozen in Western banks, which Washington reportedly fears could be blocked by Hungary or whittled down. Even that sum would be enough to keep Kiev stocked up on war materiel for only half the year. That’s not counting Kiev’s economic situation, including a projected $35 billion gap in the 2025 budget, about $15 billion of which has yet to be accounted for after IMF and EU subsidies are applied. The shortfall could push Kiev into peace talks with Russia ‘from a position of weakness’, Bloomberg’s sources indicated. Kiev is apparently also having a hard time convincing patrons to continue shelling out tens of billions of dollars worth of arms for the conflict as ramped-up Russian production “outpaces” the combined output of the collective West. Then there is the pressure on Zelensky that Donald Trump is expected to apply, should he win the White House, and the cash-poor position of Germany, Ukraine’s second-largest sponsor after the US, whose constitutional debt restrictions have already affected support. As economic troubles sweep over France, Italy, and the UK, these countries may similarly reduce assistance, although the Starmer government has vowed to continue backing Kiev up to the hilt despite hard budgetary choices to make at home. The aid crunch is the second time this year that Kiev’s battlefield prospects have been challenged by its patrons’ reluctance to fork over more cash. In April, the Republican-held House of Representatives passed a $48 billion package of security aid for Ukraine after a six-month deadlock connected to the crisis at the US’s southern border. . 11:29 PM · Sep 27, 2024 · 1,960 Views https://x.com/SputnikInt/status/1839703912816783372
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!!

    ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!!

    ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว)
    ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ……
    ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี

    เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล
    กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch
    ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า
    “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?”
    ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า…
    “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว
    ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย
    แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……”
    คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!!

    หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ
    Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม…
    ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า
    “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..”
    ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ
    จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย

    Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน……
    แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่
    แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล…

    ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..”
    ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง
    ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก
    ในหอสมุดที่เครมลิน…

    ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น
    ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก…
    (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……)

    งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ
    Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin
    United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov
    Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin
    Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov
    Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev
    ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว
    จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน

    มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า
    “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?”
    คำตอบคือ
    “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…”

    เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
    สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง
    เรียกว่า “judocracy “
    เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป
    ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ……

    ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy)
    ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์
    ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน
    ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า
    “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
    เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…”

    และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin
    (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา

    เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง)

    กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน
    ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก
    ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร
    (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
    แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!!
    เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน

    ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก
    ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่
    แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก…
    ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม
    ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว…
    และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน
    ให้เอามาจ่าย

    เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน
    เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด
    นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่”
    และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา….

    แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี
    เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!!

    ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo
    ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..”

    ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY)

    เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน
    ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!! ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!! ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว) ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ…… ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?” ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า… “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……” คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!! หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม… ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..” ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน…… แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่ แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล… ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..” ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก ในหอสมุดที่เครมลิน… ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก… (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……) งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?” คำตอบคือ “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…” เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง เรียกว่า “judocracy “ เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ…… ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy) ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…” และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง) กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!! เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก… ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว… และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน ให้เอามาจ่าย เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่” และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา…. แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!! ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..” ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY) เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อันนี้ฮาจริง
    เมื่อวานเพิ่งขอเป็นศิษย์อิโจอาจารย์อย่างงั้นอย่างนี้
    วันนี้โพสถึงพี่คิงส์พร่ำเพ้อ เวิ่นๆ อยากออกโหนกระแสจัดๆ
    กรรูถามเมิงไปแล้วว่า เมิงจะให้พี่หนุ่มเชิญเมิงกับกรรูไปทำเซี่ยไร
    ประเด็นไหน เพจกากเมิงมีคนตามกี่คน
    เมิงแซะน้องแน๊ก ให้ร้ายเค้าต่างๆนานๆ
    มันเป็นเพจคุณภาพยังไง เมิงประเมินตัวเองใช้อะไรคิด
    แค่เพจพี่คิงส์ โพสถึงเมิงนี่ก็เป็นเกียรติประวัติกับชีวิตเมิงแล้ว
    ประเด็นไม่ใช่ว่า พี่หนู่มรู้จักหรือไม่รู้จัก
    ประเด็นคืออะไรรู้มั๊ยไอ่นุ
    เมิงอ่านดีๆนะ "เมิงมันไม่ดัง" เมิงไม่ได้ดังอะไรเลย
    จริงๆ ดูแต่ละโพสที่เมิงโพส มีคนอ่านกี่คน
    หัดเช็คการเข้าถึงของเพจบ้าง
    แล้วเนี่ยอะไรอีกแต่ละวัน
    จะโพสถึงพี่คิงส์
    แต่ไม่วาย แอบมีแซะอาจารย์ ศ.ดร.มโน วุฒิม.ต้น
    ไอ่ลุงเนราคุณเอ๊ย เมิงคลั่งรักเมิงต่อเลยลุง
    พี่คิงส์มีเรื่องสำคัญสำคัญต้องทำอีกหลายๆอย่าง
    ไม่ได้มีเวลาหายใจทิ้งไปวันๆอย่างเพจลุงนะ
    อีกอย่าง อย่ามาเรียกกรรรูว่าน้อง
    กรรูไม่มีพี่แก่ๆ บ้ากรรรามตัญญญหากลับเหมือนเมิง
    ไอ่ฉัดเอ๊ย อายุขนาดนี้ ยังตามดมกลิ่นกิมจิ๊ฝันเวิ้งฝันว๊าง
    หมดความน่านับถือสำหรับลูกหลาน
    เมิงลองทบทวนสิ ลูกหลานเมิงเห็นเมิง บร้าเกาหลีแบบนี้
    เค้าจะหาอะไรไปเคารพนับถือ
    วันๆไม่ทำห่านอะไร ใช้ชีวิตบั้นปลายแบบบุโรทั่งมากๆ
    แทนที่จะเข้าวัดเข้าวา ฟังเทศฟังธรรม ชะโลมจิตใจ
    อายุก็เข้าหลักไม้ใกล้ฝั่ง ยังมารอสติ๊กเกอร์ที่เค้าส่งตามชี้เป้า
    จากอิเหวิงที่เหม็นแสนเหม็น ซกมกสุดๆ หยำเปย์
    กรำศึกมาโชกโชน แถมยังเป็นตัวแสดงของขบก.ฟอกอีก
    เมิงพาอาจารย์เมิงอะนะ ไปติดต่อที่ กศน. พาไปเรียนให้มีวุฒิมากกว่าม.3 ก่อน แล้วส่งเรียนให้จบ ป.ตรี
    หรือไม่ ก็เอาส่งศรีธัญญาเลย ก็ได้
    นี่คือสิ่งที่เมิงต้องทำ เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่มึงนับถือศรัทธา
    ไม่ได้อยากจะโพสถึงเมิงหรอกนะ ไอ่แก่ ไอ่เฒ่าทารก ไอ่ลาาาามกติดว่าว
    แค่พอดี มีอารมณ์อยากให้เมิงอ่านความในใจที่พี่คิงส์มีความปรารถนาดีส่งให้
    แล้วเจอกันใหม่ เพื่อชาติต้องการ
    แล้วเมิงก็ตื่นได้แล้ว ว่าเรื่องของเมิงอะ ดังระดับชาติ
    เดี๋ยวเมิงอ่านคอมเม้นนะ ว่าคนเค้าพูดถึงเมิงยังไง
    ถ้าเมิงอ่านสิ่งที่พี่คิงส์ฯโพสหลายๆรอบ เมิงจะเห็นความหวังดีที่แฝงในนั้น
    หวังว่าเมิงจะได้สติกลับมาเป็นที่เคารรพรักของลูกหลานในบั้นปลาย
    คนที่รักเมิงที่สุดคือคนในครอบครัวที่มึงไม่เคยให้เวลา เพราะเมิงมาเฝ้าแต่หน้าจอ ว่ากรรรูจะเล่นเมิงมั๊ย ว่าใครจะคอมเม้นว่าเมิงมั๊ย กรรูถามจริงเหอะ มันได้พัฒนาชีวิตอะไรให้เมิงไปบ้าง เมิงอ่านโพสกกรรู เมิงก็อารมณ์ขึ้น อายุขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้ง จะเถียงเมิงก็ไม่มีวันชนะกรรรู
    แล้วสิ่งที่เมิงทำทุกวันนี้ มีประโยชน์อะไร กรรรูดูแล้ว เมิงไม่เคยให้เวลากับคนในครอบครัวเลย ถ้าวันที่เมิงเดี้ยงขึ้นมา กรรรูถามจริงๆนะ เมิงคิดว่าอิเหม็นมันจะมารักมาห่วงเมิงเหรอ ไม่ ไม่นะเมิง นุ มันก็เห็นเมิงเป็นเครื่องมือของเครือข่ายที่ให้ร้ายน้องแน๊กเท่านั้นแหละ เมิงไม่ได้มีค่าอะไรในสายตามันเลย เมิงเปย์ทั้งกระเป๋าดิออ และอะไรนะอีกใบกรรรูจำแบรนด์ไม่ได้ เมิงคิดว่า มันเห็นค่าเหรอ เมิงสู้เอาเงินที่ได้มาไปซื้อขนมให้หลาน ยังกินได้อีกหลายวัน เมิงไม่จำเป็นต้องทำชีวิตให้เป็นแบบนี้เลย เชื่อกรรรู
    เพราะถ้ากรรูมีญาติผู้ใหญ่ ที่มีกิจวัตรใช้ชีวิตหน้าจอเหมือนเมิงนะ
    เอาจริงๆ กรรรูคงนับถือไม่ลง ไม่ต่างกับไอ่แก่ตัณณณณหากลับเลย
    เมิงลองอ่านแล้วไปส่องกระจกที่บ้านดู ไอ่ณุ
    แล้วเมิงถามตัวเองนะว่า
    "เมิงจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน"
    หรือเมิงจะวนเวียนชีวิตแบบนี้ จนมึงไม่เหลือใคร
    หรือจนกว่าเมิงจะอิ๋บหาย ตาายจากโลกนี้ไป
    จะเอาแบบนั้นจริงๆเหรอ นุ
    โพสนี้ กรรูมีเหตุมีผลกับเมิงที่สุดแล้วนะ
    ตามนั้นคือจบ
    ไอ่เฒ่า
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #อันนี้ฮาจริง เมื่อวานเพิ่งขอเป็นศิษย์อิโจอาจารย์อย่างงั้นอย่างนี้ วันนี้โพสถึงพี่คิงส์พร่ำเพ้อ เวิ่นๆ อยากออกโหนกระแสจัดๆ กรรูถามเมิงไปแล้วว่า เมิงจะให้พี่หนุ่มเชิญเมิงกับกรรูไปทำเซี่ยไร ประเด็นไหน เพจกากเมิงมีคนตามกี่คน เมิงแซะน้องแน๊ก ให้ร้ายเค้าต่างๆนานๆ มันเป็นเพจคุณภาพยังไง เมิงประเมินตัวเองใช้อะไรคิด แค่เพจพี่คิงส์ โพสถึงเมิงนี่ก็เป็นเกียรติประวัติกับชีวิตเมิงแล้ว ประเด็นไม่ใช่ว่า พี่หนู่มรู้จักหรือไม่รู้จัก ประเด็นคืออะไรรู้มั๊ยไอ่นุ เมิงอ่านดีๆนะ "เมิงมันไม่ดัง" เมิงไม่ได้ดังอะไรเลย จริงๆ ดูแต่ละโพสที่เมิงโพส มีคนอ่านกี่คน หัดเช็คการเข้าถึงของเพจบ้าง แล้วเนี่ยอะไรอีกแต่ละวัน จะโพสถึงพี่คิงส์ แต่ไม่วาย แอบมีแซะอาจารย์ ศ.ดร.มโน วุฒิม.ต้น ไอ่ลุงเนราคุณเอ๊ย เมิงคลั่งรักเมิงต่อเลยลุง พี่คิงส์มีเรื่องสำคัญสำคัญต้องทำอีกหลายๆอย่าง ไม่ได้มีเวลาหายใจทิ้งไปวันๆอย่างเพจลุงนะ อีกอย่าง อย่ามาเรียกกรรรูว่าน้อง กรรูไม่มีพี่แก่ๆ บ้ากรรรามตัญญญหากลับเหมือนเมิง ไอ่ฉัดเอ๊ย อายุขนาดนี้ ยังตามดมกลิ่นกิมจิ๊ฝันเวิ้งฝันว๊าง หมดความน่านับถือสำหรับลูกหลาน เมิงลองทบทวนสิ ลูกหลานเมิงเห็นเมิง บร้าเกาหลีแบบนี้ เค้าจะหาอะไรไปเคารพนับถือ วันๆไม่ทำห่านอะไร ใช้ชีวิตบั้นปลายแบบบุโรทั่งมากๆ แทนที่จะเข้าวัดเข้าวา ฟังเทศฟังธรรม ชะโลมจิตใจ อายุก็เข้าหลักไม้ใกล้ฝั่ง ยังมารอสติ๊กเกอร์ที่เค้าส่งตามชี้เป้า จากอิเหวิงที่เหม็นแสนเหม็น ซกมกสุดๆ หยำเปย์ กรำศึกมาโชกโชน แถมยังเป็นตัวแสดงของขบก.ฟอกอีก เมิงพาอาจารย์เมิงอะนะ ไปติดต่อที่ กศน. พาไปเรียนให้มีวุฒิมากกว่าม.3 ก่อน แล้วส่งเรียนให้จบ ป.ตรี หรือไม่ ก็เอาส่งศรีธัญญาเลย ก็ได้ นี่คือสิ่งที่เมิงต้องทำ เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่มึงนับถือศรัทธา ไม่ได้อยากจะโพสถึงเมิงหรอกนะ ไอ่แก่ ไอ่เฒ่าทารก ไอ่ลาาาามกติดว่าว แค่พอดี มีอารมณ์อยากให้เมิงอ่านความในใจที่พี่คิงส์มีความปรารถนาดีส่งให้ แล้วเจอกันใหม่ เพื่อชาติต้องการ แล้วเมิงก็ตื่นได้แล้ว ว่าเรื่องของเมิงอะ ดังระดับชาติ เดี๋ยวเมิงอ่านคอมเม้นนะ ว่าคนเค้าพูดถึงเมิงยังไง ถ้าเมิงอ่านสิ่งที่พี่คิงส์ฯโพสหลายๆรอบ เมิงจะเห็นความหวังดีที่แฝงในนั้น หวังว่าเมิงจะได้สติกลับมาเป็นที่เคารรพรักของลูกหลานในบั้นปลาย คนที่รักเมิงที่สุดคือคนในครอบครัวที่มึงไม่เคยให้เวลา เพราะเมิงมาเฝ้าแต่หน้าจอ ว่ากรรรูจะเล่นเมิงมั๊ย ว่าใครจะคอมเม้นว่าเมิงมั๊ย กรรูถามจริงเหอะ มันได้พัฒนาชีวิตอะไรให้เมิงไปบ้าง เมิงอ่านโพสกกรรู เมิงก็อารมณ์ขึ้น อายุขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้ง จะเถียงเมิงก็ไม่มีวันชนะกรรรู แล้วสิ่งที่เมิงทำทุกวันนี้ มีประโยชน์อะไร กรรรูดูแล้ว เมิงไม่เคยให้เวลากับคนในครอบครัวเลย ถ้าวันที่เมิงเดี้ยงขึ้นมา กรรรูถามจริงๆนะ เมิงคิดว่าอิเหม็นมันจะมารักมาห่วงเมิงเหรอ ไม่ ไม่นะเมิง นุ มันก็เห็นเมิงเป็นเครื่องมือของเครือข่ายที่ให้ร้ายน้องแน๊กเท่านั้นแหละ เมิงไม่ได้มีค่าอะไรในสายตามันเลย เมิงเปย์ทั้งกระเป๋าดิออ และอะไรนะอีกใบกรรรูจำแบรนด์ไม่ได้ เมิงคิดว่า มันเห็นค่าเหรอ เมิงสู้เอาเงินที่ได้มาไปซื้อขนมให้หลาน ยังกินได้อีกหลายวัน เมิงไม่จำเป็นต้องทำชีวิตให้เป็นแบบนี้เลย เชื่อกรรรู เพราะถ้ากรรูมีญาติผู้ใหญ่ ที่มีกิจวัตรใช้ชีวิตหน้าจอเหมือนเมิงนะ เอาจริงๆ กรรรูคงนับถือไม่ลง ไม่ต่างกับไอ่แก่ตัณณณณหากลับเลย เมิงลองอ่านแล้วไปส่องกระจกที่บ้านดู ไอ่ณุ แล้วเมิงถามตัวเองนะว่า "เมิงจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน" หรือเมิงจะวนเวียนชีวิตแบบนี้ จนมึงไม่เหลือใคร หรือจนกว่าเมิงจะอิ๋บหาย ตาายจากโลกนี้ไป จะเอาแบบนั้นจริงๆเหรอ นุ โพสนี้ กรรูมีเหตุมีผลกับเมิงที่สุดแล้วนะ ตามนั้นคือจบ ไอ่เฒ่า #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Yay
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1093 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠

    ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า

    หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎

    🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯

    ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน

    ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ

    เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว

    หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

    เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์

    ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย

    ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ

    ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ

    ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด

    บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง

    เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้

    นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก

    ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ

    ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น

    ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต

    🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯

    ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู

    ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย

    ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม

    เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น

    พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก

    ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ

    ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา

    ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย

    ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป

    🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠 ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎 🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯 ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้ นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต 🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯 ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป 🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เบิ๊ดคำสิว่าว
    พี่คิงส์รู้เลย แฟนเพจทำหน้ายังไง
    เวลาเห็นข้อความที่พวกนี้พิมพ์
    ไหนลงในคอมเม้นให้พี่คิงส์ดูหน่อย
    ที่เดาไว้ถูกมั๊ยนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เบิ๊ดคำสิว่าว พี่คิงส์รู้เลย แฟนเพจทำหน้ายังไง เวลาเห็นข้อความที่พวกนี้พิมพ์ ไหนลงในคอมเม้นให้พี่คิงส์ดูหน่อย ที่เดาไว้ถูกมั๊ยนะ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 943 มุมมอง 0 รีวิว
  • #แถลงการล่าสุดจากเพจคิงส์โพธิ์แดง
    จากระยะเวลาที่ผ่านมา ที่คิงส์โพธิ์แดง
    ได้เปิดระบบการขุดจนถึงก้นเหวอย่างที่แฟนเพจ
    ได้อ่านและรับรู้ข้อมูลกันมาโดยตลอดนั้น
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกามิจ กับการแสดง
    หรือเรื่องของหัวโจก โจมณฑนี
    ความสัมพันธ์ของขบวนการเงินดาร์ค
    รวมถึง เรื่องเป็ดติดว่าวก็ตาม
    สิ่งที่ทางเพจคิงส์ฯโพธิ์แดงตระหนักถึงมาโดยตลอด
    จนต้องถึงโพสแถลงการครั้งนี้
    เพราะมองเห็นความสำคัญและคุณค่า
    ของแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกคน
    จึงขอแจงรายละเอียดคำแถลงดังนี้
    1. ขอโทษแฟนเพจ ที่ต้องอ่านข้อความเกิน 8 บรรทัด
    2. ขอโทษแฟนเพจ ที่โพสเร็วเกินไปหน่อย บางครั้งก็ 2 - 5 นาทีต่อโพส
    3. ขอโทษแฟนเพจที่หลายๆคน ต้องไปตรวจตา เนื่องจากมีอาการตาลาย
    4. ขอโทษที่ทำให้ทุกท่านเกิดอุปนิสัยรักการอ่านขั้นสุด
    5. ขอโทษที่หลายโพสก็ทำให้เสียกาแฟในมือ บางคนถึงกับกินข้าวอยู่ช้อนตก ทำให้เกิดความวุ่นวาย เพราะโพสนั้นขำมาก ฮามาก
    6. ขอโทษที่ทำให้แฟนเพจต้องรีเฟชทุก 5 นาที
    ทั้งหมดนี้ เพจคิงส์โพธิ์แดงขอโทษจากใจ
    และเราตั้งใจแล้วว่า จากนี้ไป
    เพจคิงส์โพธิ์แดง
    จะทำเหมือนเดิม
    ขอบคุณครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #แถลงการล่าสุดจากเพจคิงส์โพธิ์แดง จากระยะเวลาที่ผ่านมา ที่คิงส์โพธิ์แดง ได้เปิดระบบการขุดจนถึงก้นเหวอย่างที่แฟนเพจ ได้อ่านและรับรู้ข้อมูลกันมาโดยตลอดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกามิจ กับการแสดง หรือเรื่องของหัวโจก โจมณฑนี ความสัมพันธ์ของขบวนการเงินดาร์ค รวมถึง เรื่องเป็ดติดว่าวก็ตาม สิ่งที่ทางเพจคิงส์ฯโพธิ์แดงตระหนักถึงมาโดยตลอด จนต้องถึงโพสแถลงการครั้งนี้ เพราะมองเห็นความสำคัญและคุณค่า ของแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกคน จึงขอแจงรายละเอียดคำแถลงดังนี้ 1. ขอโทษแฟนเพจ ที่ต้องอ่านข้อความเกิน 8 บรรทัด 2. ขอโทษแฟนเพจ ที่โพสเร็วเกินไปหน่อย บางครั้งก็ 2 - 5 นาทีต่อโพส 3. ขอโทษแฟนเพจที่หลายๆคน ต้องไปตรวจตา เนื่องจากมีอาการตาลาย 4. ขอโทษที่ทำให้ทุกท่านเกิดอุปนิสัยรักการอ่านขั้นสุด 5. ขอโทษที่หลายโพสก็ทำให้เสียกาแฟในมือ บางคนถึงกับกินข้าวอยู่ช้อนตก ทำให้เกิดความวุ่นวาย เพราะโพสนั้นขำมาก ฮามาก 6. ขอโทษที่ทำให้แฟนเพจต้องรีเฟชทุก 5 นาที ทั้งหมดนี้ เพจคิงส์โพธิ์แดงขอโทษจากใจ และเราตั้งใจแล้วว่า จากนี้ไป เพจคิงส์โพธิ์แดง จะทำเหมือนเดิม ขอบคุณครับ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Wow
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 936 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา
    “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย

    ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว

    เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก

    เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้

    แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย

    แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว)

    เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด

    เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ

    ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ

    ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น

    ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards

    เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police)

    ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น

    ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด

    นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ

    และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้

    ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี

    ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ

    ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร

    ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง

    อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก

    แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น

    เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย

    นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง

    ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ

    ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่

    แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่

    เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู

    หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น

    - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม

    - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์

    - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน

    - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี'

    คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา

    วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส

    เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์

    เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน

    เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน

    และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก

    และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน

    - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก

    - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่

    - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์

    - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ"

    เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก

    โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน

    สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน

    เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้

    หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs

    ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน

    แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น

    นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

    รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย

    สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน

    แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่

    สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้

    หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ

    โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย

    มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า

    ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด

    สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว

    และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป

    บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที”

    ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E
    ภาพ

    #Thaitimes
    รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้ แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว) เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police) ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้ ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่ เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์ - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี' คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์ เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่ - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์ - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ" เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้ หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่ สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้ หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที” ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E ภาพ #Thaitimes
    Like
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 923 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอ้เราก็เท่ซะด้วย!..ว้าวุ่นเลย!!🤣🤣
    ไอ้เราก็เท่ซะด้วย!..ว้าวุ่นเลย!!🤣🤣
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ป่วนยันวันเดอร์เฟลม
    แล้วทำอะไรได้ ทุยประเมินตัวเองสูง
    คิดว่าตัวใหญ่ ที่แท้ก็แค่อึ่งอ่าง
    แล้วมโน ว่าวันเดอร์เฟลม จะเอาอิเหม็นมาแทน
    นี่แหละ ยูซผี เทรนปลอม ปั๊มเยอะจนเข้าใจผิด
    คิดว่ากรรรูหย่ายยยย
    ถถถถถ ไอ่ทุยคางคก
    แล้วยังปั่นอีกว่า จะมาไทยรับงานคู่แน็ก
    เมิงเอมสมองหรือ ส้ง ทรีน คิดฟร๊ะเนี่ย
    สะมง สมอง ไม่เหลือแล้วอะ พวกเมิง
    แล้วทีมน้องแน๊ก ก็อย่าลืมไปชมไปเชียร์กันหล่ะ
    ไม่ได้ดูแล้วจะคุยกับคนอื่นเค้าไม่รู้เรื่อง
    เดี๋ยวก็ตกขาวกันพอดี
    ตามนั้น คือจบ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ป่วนยันวันเดอร์เฟลม แล้วทำอะไรได้ ทุยประเมินตัวเองสูง คิดว่าตัวใหญ่ ที่แท้ก็แค่อึ่งอ่าง แล้วมโน ว่าวันเดอร์เฟลม จะเอาอิเหม็นมาแทน นี่แหละ ยูซผี เทรนปลอม ปั๊มเยอะจนเข้าใจผิด คิดว่ากรรรูหย่ายยยย ถถถถถ ไอ่ทุยคางคก แล้วยังปั่นอีกว่า จะมาไทยรับงานคู่แน็ก เมิงเอมสมองหรือ ส้ง ทรีน คิดฟร๊ะเนี่ย สะมง สมอง ไม่เหลือแล้วอะ พวกเมิง แล้วทีมน้องแน๊ก ก็อย่าลืมไปชมไปเชียร์กันหล่ะ ไม่ได้ดูแล้วจะคุยกับคนอื่นเค้าไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ตกขาวกันพอดี ตามนั้น คือจบ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 572 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉีกหน้ากาก“ขิ่นแก้วตา”กับ“หม่องรังสิมันต์ โรม”
    สส.ไทยใจพม่าในพรรคประชาชน
    .
    จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่วันนี้ถึงจุดแตกหัก ต้องพูดแล้ว ทำไมผมถึงไม่อยากพูด รู้ไหม ? เพราะว่าคนที่ชื่อ "ธิษะณา ชุณหะวัณ" หรือที่เรียกว่า "แก้วตา" นั้น พ่อของเขาคือ "ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ซึ่งเป็นเพื่อนรักผม และปู่ของเขาคือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งผมเคารพนับถือและเราสนิทสนมกันมาก ครอบครัวนี้ แม้กระทั่งแม่ของเขา ชื่อ "โน" ก็รู้จักกันดี และเป็นหนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาต่อสู้เพื่อล้มล้างระบอบทักษิณ
    .
    แต่วันนี้ผมคิดว่าเด็กคนนี้ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว และมันส่อวุฒิภาวะให้เห็นหลายๆมิติ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่วันนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
    .
    มาดูคุณสมบัติ คุณวุฒิของคุณแก้วตากันหน่อย จบมหิดลอินเตอร์ เคยไปเรียนนอกตั้งแต่เด็ก แล้วไปจบ“SOAS”( School of Oriental and African Studies) University of London แต่คุณแก้วตายังอ่านตัวเลขมั่ว ผิดแล้วผิดอีก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลก แต่มันไม่ตลกสำหรับผม และมิหนำซ้ำแล้วยังมีเรื่องเก่าๆ คุณไลฟ์สดถ่อย โชว์ถ่อย ด่าดับเพลิงกู้ภัย 22 มิถุนายน 2567 มันสะท้อนวุฒิภาวะของคุณ
    .
    ล่าสุดคุณธิษะณา ชุณหะวัณ อภิปรายเรื่องพม่า คำพูดของคุณไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook, YouTube, TikTok แล้วคนรับไม่ได้ พูดยังไง
    .
    "เรื่องพม่าอย่าหาทำครับ เอาให้คนไทยมีกิน มีใช้ คุณภาพชีวิตดีก่อน คิดจะช่วยประเทศอื่น คนไทยบางคนยังไม่มีบ้านอยู่ ยังไม่มีที่ทำมาหากิน แต่พวกคุณกลับเลือกที่จะช่วยพม่า คนไทยเป็นคนเลือกคุณให้เข้ามาทำงานให้ประชาชนชาวไทย ไม่ใช่พม่านะครับ ผมจะบอกว่าถ้ายังไม่สนใจ รอบหน้าผมไม่เลือกพวกคุณอีกแล้ว ไม่ต้องไปเลือกอีกแล้ว ไอ้พรรคส้มนี่"
    .
    “ เอาเรื่องคนภายในประเทศให้รอดก่อนดีไหม คุณ สส. ใจพม่า คุณมันคือจุดอ่อนของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง"
    .
    "คนต่างด้าวเข้ามาทำงาน นายจ้างให้เงินตอบแทนค่ะ เขาไม่ได้ใช้งานฟรี อย่าเรียกร้องอะไรให้เท่าเทียมคนไทย อยากเท่าเทียมให้ไปเรียกร้องสิทธิที่บ้านตัวเอง ไม่ควรได้สวัสดิการฟรีเหมือนคนไทย อยากเข้าโรงพยาบาลต้องจ่ายค่ารักษา อยากเรียนต้องจ่ายค่าเทอม ค่าสมุด ค่าหนังสือ ค่าอาหารเอง สุดท้ายนี้ ปัญหาในประเทศก็มากจนแก้ไม่ไหวอยู่แล้ว อย่าเพิ่มปัญหาให้คนในชาติอีกเลย เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลประทบจากคนต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย เสียงเล็กๆ จากประชาชนที่เลือกคุณมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่"
    .
    ที่ผมอ่านให้ฟังนี่ก็คือแฟนคลับเก่าของพรรคอนาคตใหม่ที่เลือกคุณเข้ามา แล้วคุณไม่สังเกตหรือว่าวันนี้พรรคประชาชน (พม่า) เอาตีนก่ายหน้าผาก ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร เลยต้องออกคำสั่งให้ "หม่องรังสิมันต์ โรม" ออกมาชี้แจงตามทุกช่องทีวีหลักๆ ที่มันพยายามแก้ตัวว่า แก้ปัญหาพม่าเพื่อคนไทย ตรงไหนวะ ไอ้หม่อง มึงแก้แบบนี้เพื่อกระทืบคนไทย และวันนี้ พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ก็ออกมาแจ๊ดๆๆๆ แก้ตัวว่าพวกที่โจมตีนโยบายพม่าเป็นพวก IO… ใช่ IO เหรอ แฟนคลับคุณทั้งนั้น หยุดแก้ตัวได้แล้ว
    .
    พรรคของคุณนะ คุณแก้วตา เชื่อมโยงกับพรรค NLD ของอองซาน ซูจี ที่อเมริกันและอียูสนับสนุนอยู่ ด้วยเงินด้วยทอง ด้วยกำลังคนเข้าไปฝึกอาวุธให้ แล้วแอบส่งอาวุธเข้าไปให้พวก NLD เพื่อรบกับรัฐบาลของมิน อ่อง หล่าย สำหรับผมแล้วปัญหามันอยู่ที่ว่า พม่าลี้ภัยทางการเมืองเข้ามา แล้วเชื่อผมสิ ขบวนการนี้ เบื้องหลังก็คือตะวันตก และมันรู้ว่ามี สส.(เรือหาย)อย่างคุณแก้วตา คอยหนุนหลังมัน ซึ่งเบื้องหลังก็มีธนารธร จึงรุ่งเรืองกิจ และหม่องรังสิมันต์ โรม ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาชน(พม่า)คอยสนับสนุนอยู่ เฮ้ย มาเลยๆ อยู่เมืองไทย เรามี สส. พรรคนี้ช่วยเราอยู่ตอนนี้
    .
    อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าพม่าเต็มบ้านเต็มเมือง ประเทศไทยวุ่นวาย ซึ่งมันก็สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม พวกพรรคประชาชน (พม่า) สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม เพราะคุณต้องการให้มีความวุ่นวาย ต้องการให้มันมีความฉิบหาย

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/N4prCnutKD6Uxh29/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ฉีกหน้ากาก“ขิ่นแก้วตา”กับ“หม่องรังสิมันต์ โรม” สส.ไทยใจพม่าในพรรคประชาชน . จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่วันนี้ถึงจุดแตกหัก ต้องพูดแล้ว ทำไมผมถึงไม่อยากพูด รู้ไหม ? เพราะว่าคนที่ชื่อ "ธิษะณา ชุณหะวัณ" หรือที่เรียกว่า "แก้วตา" นั้น พ่อของเขาคือ "ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ซึ่งเป็นเพื่อนรักผม และปู่ของเขาคือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งผมเคารพนับถือและเราสนิทสนมกันมาก ครอบครัวนี้ แม้กระทั่งแม่ของเขา ชื่อ "โน" ก็รู้จักกันดี และเป็นหนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาต่อสู้เพื่อล้มล้างระบอบทักษิณ . แต่วันนี้ผมคิดว่าเด็กคนนี้ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว และมันส่อวุฒิภาวะให้เห็นหลายๆมิติ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่วันนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ . มาดูคุณสมบัติ คุณวุฒิของคุณแก้วตากันหน่อย จบมหิดลอินเตอร์ เคยไปเรียนนอกตั้งแต่เด็ก แล้วไปจบ“SOAS”( School of Oriental and African Studies) University of London แต่คุณแก้วตายังอ่านตัวเลขมั่ว ผิดแล้วผิดอีก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลก แต่มันไม่ตลกสำหรับผม และมิหนำซ้ำแล้วยังมีเรื่องเก่าๆ คุณไลฟ์สดถ่อย โชว์ถ่อย ด่าดับเพลิงกู้ภัย 22 มิถุนายน 2567 มันสะท้อนวุฒิภาวะของคุณ . ล่าสุดคุณธิษะณา ชุณหะวัณ อภิปรายเรื่องพม่า คำพูดของคุณไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook, YouTube, TikTok แล้วคนรับไม่ได้ พูดยังไง . "เรื่องพม่าอย่าหาทำครับ เอาให้คนไทยมีกิน มีใช้ คุณภาพชีวิตดีก่อน คิดจะช่วยประเทศอื่น คนไทยบางคนยังไม่มีบ้านอยู่ ยังไม่มีที่ทำมาหากิน แต่พวกคุณกลับเลือกที่จะช่วยพม่า คนไทยเป็นคนเลือกคุณให้เข้ามาทำงานให้ประชาชนชาวไทย ไม่ใช่พม่านะครับ ผมจะบอกว่าถ้ายังไม่สนใจ รอบหน้าผมไม่เลือกพวกคุณอีกแล้ว ไม่ต้องไปเลือกอีกแล้ว ไอ้พรรคส้มนี่" . “ เอาเรื่องคนภายในประเทศให้รอดก่อนดีไหม คุณ สส. ใจพม่า คุณมันคือจุดอ่อนของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง" . "คนต่างด้าวเข้ามาทำงาน นายจ้างให้เงินตอบแทนค่ะ เขาไม่ได้ใช้งานฟรี อย่าเรียกร้องอะไรให้เท่าเทียมคนไทย อยากเท่าเทียมให้ไปเรียกร้องสิทธิที่บ้านตัวเอง ไม่ควรได้สวัสดิการฟรีเหมือนคนไทย อยากเข้าโรงพยาบาลต้องจ่ายค่ารักษา อยากเรียนต้องจ่ายค่าเทอม ค่าสมุด ค่าหนังสือ ค่าอาหารเอง สุดท้ายนี้ ปัญหาในประเทศก็มากจนแก้ไม่ไหวอยู่แล้ว อย่าเพิ่มปัญหาให้คนในชาติอีกเลย เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลประทบจากคนต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย เสียงเล็กๆ จากประชาชนที่เลือกคุณมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่" . ที่ผมอ่านให้ฟังนี่ก็คือแฟนคลับเก่าของพรรคอนาคตใหม่ที่เลือกคุณเข้ามา แล้วคุณไม่สังเกตหรือว่าวันนี้พรรคประชาชน (พม่า) เอาตีนก่ายหน้าผาก ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร เลยต้องออกคำสั่งให้ "หม่องรังสิมันต์ โรม" ออกมาชี้แจงตามทุกช่องทีวีหลักๆ ที่มันพยายามแก้ตัวว่า แก้ปัญหาพม่าเพื่อคนไทย ตรงไหนวะ ไอ้หม่อง มึงแก้แบบนี้เพื่อกระทืบคนไทย และวันนี้ พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ก็ออกมาแจ๊ดๆๆๆ แก้ตัวว่าพวกที่โจมตีนโยบายพม่าเป็นพวก IO… ใช่ IO เหรอ แฟนคลับคุณทั้งนั้น หยุดแก้ตัวได้แล้ว . พรรคของคุณนะ คุณแก้วตา เชื่อมโยงกับพรรค NLD ของอองซาน ซูจี ที่อเมริกันและอียูสนับสนุนอยู่ ด้วยเงินด้วยทอง ด้วยกำลังคนเข้าไปฝึกอาวุธให้ แล้วแอบส่งอาวุธเข้าไปให้พวก NLD เพื่อรบกับรัฐบาลของมิน อ่อง หล่าย สำหรับผมแล้วปัญหามันอยู่ที่ว่า พม่าลี้ภัยทางการเมืองเข้ามา แล้วเชื่อผมสิ ขบวนการนี้ เบื้องหลังก็คือตะวันตก และมันรู้ว่ามี สส.(เรือหาย)อย่างคุณแก้วตา คอยหนุนหลังมัน ซึ่งเบื้องหลังก็มีธนารธร จึงรุ่งเรืองกิจ และหม่องรังสิมันต์ โรม ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาชน(พม่า)คอยสนับสนุนอยู่ เฮ้ย มาเลยๆ อยู่เมืองไทย เรามี สส. พรรคนี้ช่วยเราอยู่ตอนนี้ . อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าพม่าเต็มบ้านเต็มเมือง ประเทศไทยวุ่นวาย ซึ่งมันก็สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม พวกพรรคประชาชน (พม่า) สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม เพราะคุณต้องการให้มีความวุ่นวาย ต้องการให้มันมีความฉิบหาย ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/N4prCnutKD6Uxh29/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พี่เดขู่ววมาแบบนี้คิงส์ฯก็ว้าวุ่นเลย
    เรียนพี่เดที่ผมเคารพครับ
    สิ่งที่พี่เดพิมพ์ ที่มีการเผยแพร่ในเพจ
    และสื่อออนไลน์นั้น เป็นการถอดข้อความ
    จากคำพูดพี่เด เป็นการนำเสนอข้อมูลจริง
    แต่ถ้าพี่เดบอกว่า เป็นเ-ท็-จ
    หมายถึงสิ่งที่พี่เดพูดในคลิปนั้นเป็นเ-ท็-จ
    ซึ่งอินฟูลชื่อดังแบบพี่เด ย่อมไม่นำคำพูดเป็นเ-ท็-จ
    ออกมาพูดในคลิปอย่างแน่นอนครับ
    เดี๋ยวผมถอดคำตอบคำอีกครั้งนะครับ
    แล้วรบกวนพี่เดบอกคิงส์หน่อยว่า
    ส่วนใดที่เป็นเท็จครับ
    "นะครับ ดีครับ ด่ากันเยอะๆนะครับ
    ผมขอเป็นตัวแทนทนายความแปดหมื่นคนทั่วประเทศนะครับ
    ที่ทำให้พวกเรามีงานทำครับ
    แล้วก็กราบขอบพระคุณที่ไปใส่ร้ายกามินด้วยนะครับ
    ไปหาว่าเขาเนรคุณ ไม่นึกถึงบุญคุณหลบเลี่ยงภาษีอะไรต่างๆ
    ก็กราบขอบพระคุณด้วย
    ก็น่าจะมีคดีตามมาสักร้อยสองร้อยคดีนะครับ
    ก็ทำให้พี่่น้องทนายความแปดหมื่นคนได้หายใจคล่องคอ
    เพราะมีงานมีการทำกันนะครับ
    ก็ขอเป็นตัวแทนพี่น้องทนายความ8หมื่นคน ต้องขอบพระคุณ
    พวกที่ปากเสีย ปากหมาทั้งหลายนะครับ
    ก็ขอบพระคุณครับ ขอบพระคุณมากนะครับ
    ที่ไปด่าทอเค้าเสียๆหายๆ
    นะครับ ดีครับ ด่ากันเยอะๆ 55555555
    ปากดีกันนักนะ ฮื่ม"
    ---------------------------------------
    มีประโยคไหนที่พี่เดไม่ได้พูดครับ
    ดังนั้น ประเด็นพี่เดที่เตือนหรือขู่ววไว้นั้น
    เราถ่ายทอดจากความจริงที่พี่เดพูดจริงๆ
    นอกจาก พี่เดจะยอมรับว่า สิ่งที่พี่เดพูดในคลิป
    เป็นความเ-ท็ จ เราจะรีบดำเนินการลบให้ทันทีครับ
    เพราะถ้าลบทั้งที่เป็นความจริง
    ก็จะกลายเป็น ตอกย้ำว่าพี่เดพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง
    จะทำให้พี่เดเกิดความเสียหายได้ครับ
    ด้วยความเคารพอย่างสูง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #พี่เดขู่ววมาแบบนี้คิงส์ฯก็ว้าวุ่นเลย เรียนพี่เดที่ผมเคารพครับ สิ่งที่พี่เดพิมพ์ ที่มีการเผยแพร่ในเพจ และสื่อออนไลน์นั้น เป็นการถอดข้อความ จากคำพูดพี่เด เป็นการนำเสนอข้อมูลจริง แต่ถ้าพี่เดบอกว่า เป็นเ-ท็-จ หมายถึงสิ่งที่พี่เดพูดในคลิปนั้นเป็นเ-ท็-จ ซึ่งอินฟูลชื่อดังแบบพี่เด ย่อมไม่นำคำพูดเป็นเ-ท็-จ ออกมาพูดในคลิปอย่างแน่นอนครับ เดี๋ยวผมถอดคำตอบคำอีกครั้งนะครับ แล้วรบกวนพี่เดบอกคิงส์หน่อยว่า ส่วนใดที่เป็นเท็จครับ "นะครับ ดีครับ ด่ากันเยอะๆนะครับ ผมขอเป็นตัวแทนทนายความแปดหมื่นคนทั่วประเทศนะครับ ที่ทำให้พวกเรามีงานทำครับ แล้วก็กราบขอบพระคุณที่ไปใส่ร้ายกามินด้วยนะครับ ไปหาว่าเขาเนรคุณ ไม่นึกถึงบุญคุณหลบเลี่ยงภาษีอะไรต่างๆ ก็กราบขอบพระคุณด้วย ก็น่าจะมีคดีตามมาสักร้อยสองร้อยคดีนะครับ ก็ทำให้พี่่น้องทนายความแปดหมื่นคนได้หายใจคล่องคอ เพราะมีงานมีการทำกันนะครับ ก็ขอเป็นตัวแทนพี่น้องทนายความ8หมื่นคน ต้องขอบพระคุณ พวกที่ปากเสีย ปากหมาทั้งหลายนะครับ ก็ขอบพระคุณครับ ขอบพระคุณมากนะครับ ที่ไปด่าทอเค้าเสียๆหายๆ นะครับ ดีครับ ด่ากันเยอะๆ 55555555 ปากดีกันนักนะ ฮื่ม" --------------------------------------- มีประโยคไหนที่พี่เดไม่ได้พูดครับ ดังนั้น ประเด็นพี่เดที่เตือนหรือขู่ววไว้นั้น เราถ่ายทอดจากความจริงที่พี่เดพูดจริงๆ นอกจาก พี่เดจะยอมรับว่า สิ่งที่พี่เดพูดในคลิป เป็นความเ-ท็ จ เราจะรีบดำเนินการลบให้ทันทีครับ เพราะถ้าลบทั้งที่เป็นความจริง ก็จะกลายเป็น ตอกย้ำว่าพี่เดพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง จะทำให้พี่เดเกิดความเสียหายได้ครับ ด้วยความเคารพอย่างสูง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Love
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยว ตลาดริมคลองเจริญกรุง 103
    ตลาดลับ ในชุมชนสวนหลวง 1 ย่านชุมชนของชาวมุสลิมแต่ครั้งสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งในปัจจุบันย่านนี้กลายเป็นย่านพหุวัฒนธรรม 3 ศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม พาทุกคนชิมอาหารฮาลาลคาว-หวานสูตรต้นตำรับระดับตำนานรสชาติดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น
    เปิดบริการทุกเสาร์-อาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือน ส่วนวันธรรมดาก็เปิดขายปกติแต่ร้านค้าจะน้อยกว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
    #ตลาด​ริม​คลอง​เจริญ​กรุง​103 #ชุมชน​สวนหลวง​1 #ตลาด​อาหาร​ฮาลาล​ #ฮาลาลฺหน้าบ้านอาหารอร่อย #ย่านสร้างสรรค์
    #สยามโสภา #อาสาพาสุข #thaitimes #thaitimesชุมชน #thaitimesสยามโสภา
    เที่ยว ตลาดริมคลองเจริญกรุง 103 ตลาดลับ ในชุมชนสวนหลวง 1 ย่านชุมชนของชาวมุสลิมแต่ครั้งสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งในปัจจุบันย่านนี้กลายเป็นย่านพหุวัฒนธรรม 3 ศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม พาทุกคนชิมอาหารฮาลาลคาว-หวานสูตรต้นตำรับระดับตำนานรสชาติดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น เปิดบริการทุกเสาร์-อาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือน ส่วนวันธรรมดาก็เปิดขายปกติแต่ร้านค้าจะน้อยกว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ #ตลาด​ริม​คลอง​เจริญ​กรุง​103 #ชุมชน​สวนหลวง​1 #ตลาด​อาหาร​ฮาลาล​ #ฮาลาลฺหน้าบ้านอาหารอร่อย #ย่านสร้างสรรค์ #สยามโสภา #อาสาพาสุข #thaitimes #thaitimesชุมชน #thaitimesสยามโสภา
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1716 มุมมอง 489 0 รีวิว
  • #พริกขี้หนูสีรุ้ง

    🌐สาระและบันเทิงเบื้องหลังตัวการ์ตูน ลำดับที่ 1

    อยากเขียนถึงมังงะหรือหนังสือภาพการ์ตูนสัญชาติญี่ปุ่นเรื่องนี้ครับ ด้วยตั้งแต่อดีตอันยาวนานสืบเนื่องมาจวบถึงปัจจุบัน หลายครั้งที่หนังสือการ์ตูนกลายเป็นนักโทษหรือสิ่งชั่วร้าย ที่ผู้ใหญ่มักนำมาเป็นข้อกล่าวอ้างถึง ว่าคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีหลายอย่างในเด็ก ๆ ซึ่งหากจะพิจารณาอย่างไม่อคติแล้ว ควรจะบอกว่าเป็นเพียงแค่สาเหตุหนึ่งในหลายสาเหตุ และก็เพียงแค่บางเรื่อ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง ด้วยยังมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการที่ส่งผลต่อจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ในวัยเด็ก การ์ตูนที่ดีก็มีไม่น้อย ดังเรื่องที่กำลังจะยกมาพูดถึงนี้

    🌶

    นิจิอิโระ โตการาชิ (มีความหมายในภาษาไทยได้ว่า พริกแดงสีรุ้ง) หรือในชื่อที่เคยได้รับการตีพิมพ์ภาคภาษาไทยคือ "พริกขี้หนูสีรุ้ง" เป็นมังงะ ที่เขียนขึ้นจากปลายปากกาคอแร้งของ อ.อาดาจิ มิซึรุ ตีพิมพ์ในหนังสือ วีคลี โชเน็น ซันเดย์ สนพ.โชงะกุคัง ตั้งแต่ 5 เมษายน พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ. 2535 รวมเล่มมีทั้งหมด 11 เล่ม ได้รับการแปลมาในภาคภาษาไทยสมัยยังไม่มีลิขสิทธิ์ โดยหลายสำนักพิมพ์ ที่คุ้นเคยนักอ่านชาวไทยที่สุดก็จะเป็นของ สนพ.วิบูลย์กิจ เป็นผลงานลำดับที่เท่าไรไม่ทราบชัด แต่ผลงานก่อนหน้าอันโด่งดังในบ้านเราก็มีหลายเรื่องอย่าง ทัชยอดรักนักกีฬา ,ราฟ รักต้องลุย ,มิยูกิที่รัก ,สโลว์สเต๊ป ฯลฯ

    🌈

    เรื่องนี้พิเศษตรงที่เป็นผลงานหนึ่งเดียวที่ผู้เขียน ฉีกแนว เปลี่ยนบรรยากาศจากเดิมที่มักใช้พื้นหลัง และโครงเรื่องในการนำเสนอเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรักวัยรุ่นชวนว้าวุ่นของช่วงมัธยมปลาย โดยโยงเข้ากับการกีฬาที่เป็นที่นิยมอันดับหนึ่งของชนชาติญี่ปุ่นคือเบสบอลเป็นหลัก บางเรื่องก็อาจจะสลับไปเป็นซอฟต์บอลบ้าง ว่ายน้ำบ้าง มวยสากลบ้าง แต่หลักๆมักไม่พ้นเบสบอล ทว่า พริกขี้หนูสีรุ้ง เรียกว่ามาในแนวที่ผู้อ่านไม่มีวันคาดถึง คือดำเนินเรื่องสมมติไปในยุคสมัยที่คล้ายกับยุคอดีตของดาวดวงหนึ่ง ที่ผู้เขียนเองก็ไม่ระบุว่าคือที่ดาวอะไร แต่เป็นอันรู้กันได้เองสำหรับนักอ่าน และดินแดนในท้องเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกับญี่ปุ่นในยุคโชกุนเรืองอำนาจ โดยโครงเรื่องหลักพูดถึง พี่น้อง 7 คน ที่มีแม่คนละคนกัน แต่มีบิดาคนเดียวกัน ลูกแต่ละคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มีอายุห่างกันประมาณ2-3ปี ไล่ไปตามลำดับ และแต่ละคนนั้น เมื่อแม่ตายไป ก็ได้รับการบอกกล่าวโดยทางใดทางหนึ่ง ให้เดินทางไปรวมกันในสถานที่หนึ่งซึ่งมีพี่น้องต่างแม่คนอื่นอาศัยอยู่ จนมาอยู่รวมกันครบทุกคน แล้วเรื่องราวการผจญภัยก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อพ่อที่แท้จริงของเด็กๆเหล่านี้ แท้จริงคือโชกุนผู้ที่แอบซน ออกเดินทางไปท่องเที่ยวในวัยหนุ่มละอ่อน แล้วไปมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับหญิงงามตามเมืองต่างๆ แต่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องจากไป โดยก่อนจากคงจะได้บอกความจริงกับสาวๆไว้ แต่แม่ๆทุกคนได้เก็บความลับนี้ไว้ให้ตายไปกับตน ไม่มีสักคนที่เล่าความจริงนี้ให้บุตรของตนได้ทราบ

    🏯

    เรื่องราวอันชวนให้ติดตาม ไปพร้อมกับรอยยิ้มจึงค่อยๆดำเนินไปตามจำนวนตอนที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นทีละน้อย คนอ่านต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยเหล่าพี่น้อง ที่ตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมสุสานของแม่ๆทั้งหมด โดยร่วมเดินทางไปพร้อมกัน เผื่อจะได้ค้นพบความลับของชายผู้ที่เป็นพ่อว่าแท้จริงคือใครกันแน่ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในขณะที่โชกุนผู้ที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตลูกนั้น ก็คอยส่งลูกน้องไปสืบข่าว และดูแลให้การช่วยเหลือ ปกป้องคุ้มครองลูกๆ ในยามที่เกิดภัยอันตราย

    🌶

    โดยปกติผลงานของ อ.อาดาจิ ที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะเขียนเรื่องนี้นั้น ผู้ที่ติดตามผลงานมาอย่างยาวนาน จะคุ้นเคยและทราบเป็นอย่างดีว่า ผู้เขียนมักเป็นผู้ร่ำรวยอารมณ์ขัน ขยันหยอดมุกเล็กๆน้อยๆ สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของเรื่องตลอดเป็นช่วง และเป็นมุกที่ไม่เหมือนใคร และยากจะหาคนเลียนแบบได้ คือมั่นใจได้เลยว่าถ้าอ่านงานของนักเขียนคนนี้ ปลอดภัยจากยาพิษที่อาบปนมากับตัวการ์ตูนอย่างแน่นอน งานภาพสะอาดสะอ้าน ดูสบายตา เน้นการเล่าเรื่องด้วยทัศนียภาพ วิวทิวทัศน์ อาคารสถานที่ ใช้ตัวอักษรน้อยถึงน้อยมาก เล่าเท่าที่จำเป็น ไม่บรรยายพร่ำเพรื่อ บางที 4-5 หน้า ไม่มีอักษรแม้แต่ตัวเดียว แต่สามารถสื่ออารมณ์ และดำเนินเรื่องไปโดยที่คนอ่านยังสามารถเข้าใจในความหมายที่ผู้เขียนต้องการพาไปได้อย่างน่าทึ่ง ดังนั้นการเสพงานของผู้เขียนคนนี้ สำหรับกับผมเหมือนกำลังชื่นชมงานศิลปะในนิทรรศการหรือหอศิลป์ร่วมสมัยที่จัดแสดงในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้

    🌈

    ความประทับใจในผลงานของอาจารย์อาดาจิ ชื่นชอบทุกเรื่องที่เคยได้อ่านมา แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความพิเศษและน่าสนใจมากที่สุด ซึ่งเมื่อคราวยังอยู่ในช่วงวัยมัธยมต้นต่อมัธยมปลายนั้น ก็เพียงแต่อ่านสนุกไปตามวัย โดยยังไม่อาจจะตีความเข้าใจถึงนัยยะแฝง ที่ผู้เขียนสอดแทรกใส่ไว้ในแต่ละช่วงของเนื้อเรื่อง ต่อเมื่อเราเติบโตขึ้น ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาถึงปัจจุบัน เมื่อมีโอกาสได้กลับมาย้อนอ่านอีกครั้ง จึงสามารถรับสารได้มากขึ้น และเข้าใจในแก๊ก มุกต่างๆ รวมถึงแนวความคิดที่ค่อนข้างล้ำสมัยในยุคนั้น คือกล่าวถึงสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนโลยีที่มีแต่ยิ่งทำให้คนติดความสะดวกสบาย และขี้เกียจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสร้างหายนะให้เกิดขึ้นกับโลกจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างหนัก แต่กลับสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างแนบเนียนผ่านคำพูดของตัวการ์ตูนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในช่วงยุคโชกุนได้ โดยมีการย้ำอยู่หลายครั้งในหลายตอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในการ์ตูนนั้น เป็นเรื่องในยุคปัจจุบัน นี่คือกุญแจดอกสำคัญ

    🌏

    เพราะแม้กาลเวลาจะล่วงมากว่า สามทศวรรษ แต่มังงะเรื่องนี้ยังคงไม่ล้าสมัย กลับยิ่งเสนอความจริงสิ่งที่เคยสื่อสะท้อนไว้ในอดีต ว่ามนุษย์ยังคงตั้งหน้าตั้งตาในการดำเนินรอยตามความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีอย่างบ้าคลั่ง แล้วในท้ายที่สุดก็คงจะต้องร่วมกันแบกรับกับผลลัพธ์อันเลวร้ายที่เราทั้งหลาย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งซึ่งสร้างหรือทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา

    นี่คือชะตากรรมที่มิอาจบิดพลิ้ว หรือหลีกเลี่ยงได้

    ภาพประกอบยืมมาจากเว็บการ์ตูนญี่ปุ่นครับ ส่วนข้อมูลดิบประกอบเกี่ยวกับชื่อและคำแปล ระยะเวลาตีพิมพ์ จำนวนทั้งหลาย มาจากเว็บญี่ปุ่นโดยใช้กูเกิลแปลภาษาและรวมถึง วิกิพีเดียไทย

    #การ์ตูน
    #การ์ตูนญี่ปุ่น
    #มังงะ
    #อาดาจิมิซึรุ
    #อาดาจิ
    #thaitimes
    #การ์ตูนเล่ม
    #หนังสือการ์ตูน
    #บทความ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #พริกขี้หนูสีรุ้ง 🌐สาระและบันเทิงเบื้องหลังตัวการ์ตูน ลำดับที่ 1 อยากเขียนถึงมังงะหรือหนังสือภาพการ์ตูนสัญชาติญี่ปุ่นเรื่องนี้ครับ ด้วยตั้งแต่อดีตอันยาวนานสืบเนื่องมาจวบถึงปัจจุบัน หลายครั้งที่หนังสือการ์ตูนกลายเป็นนักโทษหรือสิ่งชั่วร้าย ที่ผู้ใหญ่มักนำมาเป็นข้อกล่าวอ้างถึง ว่าคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีหลายอย่างในเด็ก ๆ ซึ่งหากจะพิจารณาอย่างไม่อคติแล้ว ควรจะบอกว่าเป็นเพียงแค่สาเหตุหนึ่งในหลายสาเหตุ และก็เพียงแค่บางเรื่อ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง ด้วยยังมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการที่ส่งผลต่อจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ในวัยเด็ก การ์ตูนที่ดีก็มีไม่น้อย ดังเรื่องที่กำลังจะยกมาพูดถึงนี้ 🌶 นิจิอิโระ โตการาชิ (มีความหมายในภาษาไทยได้ว่า พริกแดงสีรุ้ง) หรือในชื่อที่เคยได้รับการตีพิมพ์ภาคภาษาไทยคือ "พริกขี้หนูสีรุ้ง" เป็นมังงะ ที่เขียนขึ้นจากปลายปากกาคอแร้งของ อ.อาดาจิ มิซึรุ ตีพิมพ์ในหนังสือ วีคลี โชเน็น ซันเดย์ สนพ.โชงะกุคัง ตั้งแต่ 5 เมษายน พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ. 2535 รวมเล่มมีทั้งหมด 11 เล่ม ได้รับการแปลมาในภาคภาษาไทยสมัยยังไม่มีลิขสิทธิ์ โดยหลายสำนักพิมพ์ ที่คุ้นเคยนักอ่านชาวไทยที่สุดก็จะเป็นของ สนพ.วิบูลย์กิจ เป็นผลงานลำดับที่เท่าไรไม่ทราบชัด แต่ผลงานก่อนหน้าอันโด่งดังในบ้านเราก็มีหลายเรื่องอย่าง ทัชยอดรักนักกีฬา ,ราฟ รักต้องลุย ,มิยูกิที่รัก ,สโลว์สเต๊ป ฯลฯ 🌈 เรื่องนี้พิเศษตรงที่เป็นผลงานหนึ่งเดียวที่ผู้เขียน ฉีกแนว เปลี่ยนบรรยากาศจากเดิมที่มักใช้พื้นหลัง และโครงเรื่องในการนำเสนอเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรักวัยรุ่นชวนว้าวุ่นของช่วงมัธยมปลาย โดยโยงเข้ากับการกีฬาที่เป็นที่นิยมอันดับหนึ่งของชนชาติญี่ปุ่นคือเบสบอลเป็นหลัก บางเรื่องก็อาจจะสลับไปเป็นซอฟต์บอลบ้าง ว่ายน้ำบ้าง มวยสากลบ้าง แต่หลักๆมักไม่พ้นเบสบอล ทว่า พริกขี้หนูสีรุ้ง เรียกว่ามาในแนวที่ผู้อ่านไม่มีวันคาดถึง คือดำเนินเรื่องสมมติไปในยุคสมัยที่คล้ายกับยุคอดีตของดาวดวงหนึ่ง ที่ผู้เขียนเองก็ไม่ระบุว่าคือที่ดาวอะไร แต่เป็นอันรู้กันได้เองสำหรับนักอ่าน และดินแดนในท้องเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกับญี่ปุ่นในยุคโชกุนเรืองอำนาจ โดยโครงเรื่องหลักพูดถึง พี่น้อง 7 คน ที่มีแม่คนละคนกัน แต่มีบิดาคนเดียวกัน ลูกแต่ละคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มีอายุห่างกันประมาณ2-3ปี ไล่ไปตามลำดับ และแต่ละคนนั้น เมื่อแม่ตายไป ก็ได้รับการบอกกล่าวโดยทางใดทางหนึ่ง ให้เดินทางไปรวมกันในสถานที่หนึ่งซึ่งมีพี่น้องต่างแม่คนอื่นอาศัยอยู่ จนมาอยู่รวมกันครบทุกคน แล้วเรื่องราวการผจญภัยก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อพ่อที่แท้จริงของเด็กๆเหล่านี้ แท้จริงคือโชกุนผู้ที่แอบซน ออกเดินทางไปท่องเที่ยวในวัยหนุ่มละอ่อน แล้วไปมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับหญิงงามตามเมืองต่างๆ แต่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องจากไป โดยก่อนจากคงจะได้บอกความจริงกับสาวๆไว้ แต่แม่ๆทุกคนได้เก็บความลับนี้ไว้ให้ตายไปกับตน ไม่มีสักคนที่เล่าความจริงนี้ให้บุตรของตนได้ทราบ 🏯 เรื่องราวอันชวนให้ติดตาม ไปพร้อมกับรอยยิ้มจึงค่อยๆดำเนินไปตามจำนวนตอนที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นทีละน้อย คนอ่านต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยเหล่าพี่น้อง ที่ตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมสุสานของแม่ๆทั้งหมด โดยร่วมเดินทางไปพร้อมกัน เผื่อจะได้ค้นพบความลับของชายผู้ที่เป็นพ่อว่าแท้จริงคือใครกันแน่ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในขณะที่โชกุนผู้ที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตลูกนั้น ก็คอยส่งลูกน้องไปสืบข่าว และดูแลให้การช่วยเหลือ ปกป้องคุ้มครองลูกๆ ในยามที่เกิดภัยอันตราย 🌶 โดยปกติผลงานของ อ.อาดาจิ ที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะเขียนเรื่องนี้นั้น ผู้ที่ติดตามผลงานมาอย่างยาวนาน จะคุ้นเคยและทราบเป็นอย่างดีว่า ผู้เขียนมักเป็นผู้ร่ำรวยอารมณ์ขัน ขยันหยอดมุกเล็กๆน้อยๆ สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของเรื่องตลอดเป็นช่วง และเป็นมุกที่ไม่เหมือนใคร และยากจะหาคนเลียนแบบได้ คือมั่นใจได้เลยว่าถ้าอ่านงานของนักเขียนคนนี้ ปลอดภัยจากยาพิษที่อาบปนมากับตัวการ์ตูนอย่างแน่นอน งานภาพสะอาดสะอ้าน ดูสบายตา เน้นการเล่าเรื่องด้วยทัศนียภาพ วิวทิวทัศน์ อาคารสถานที่ ใช้ตัวอักษรน้อยถึงน้อยมาก เล่าเท่าที่จำเป็น ไม่บรรยายพร่ำเพรื่อ บางที 4-5 หน้า ไม่มีอักษรแม้แต่ตัวเดียว แต่สามารถสื่ออารมณ์ และดำเนินเรื่องไปโดยที่คนอ่านยังสามารถเข้าใจในความหมายที่ผู้เขียนต้องการพาไปได้อย่างน่าทึ่ง ดังนั้นการเสพงานของผู้เขียนคนนี้ สำหรับกับผมเหมือนกำลังชื่นชมงานศิลปะในนิทรรศการหรือหอศิลป์ร่วมสมัยที่จัดแสดงในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ 🌈 ความประทับใจในผลงานของอาจารย์อาดาจิ ชื่นชอบทุกเรื่องที่เคยได้อ่านมา แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความพิเศษและน่าสนใจมากที่สุด ซึ่งเมื่อคราวยังอยู่ในช่วงวัยมัธยมต้นต่อมัธยมปลายนั้น ก็เพียงแต่อ่านสนุกไปตามวัย โดยยังไม่อาจจะตีความเข้าใจถึงนัยยะแฝง ที่ผู้เขียนสอดแทรกใส่ไว้ในแต่ละช่วงของเนื้อเรื่อง ต่อเมื่อเราเติบโตขึ้น ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาถึงปัจจุบัน เมื่อมีโอกาสได้กลับมาย้อนอ่านอีกครั้ง จึงสามารถรับสารได้มากขึ้น และเข้าใจในแก๊ก มุกต่างๆ รวมถึงแนวความคิดที่ค่อนข้างล้ำสมัยในยุคนั้น คือกล่าวถึงสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนโลยีที่มีแต่ยิ่งทำให้คนติดความสะดวกสบาย และขี้เกียจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสร้างหายนะให้เกิดขึ้นกับโลกจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างหนัก แต่กลับสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างแนบเนียนผ่านคำพูดของตัวการ์ตูนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในช่วงยุคโชกุนได้ โดยมีการย้ำอยู่หลายครั้งในหลายตอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในการ์ตูนนั้น เป็นเรื่องในยุคปัจจุบัน นี่คือกุญแจดอกสำคัญ 🌏 เพราะแม้กาลเวลาจะล่วงมากว่า สามทศวรรษ แต่มังงะเรื่องนี้ยังคงไม่ล้าสมัย กลับยิ่งเสนอความจริงสิ่งที่เคยสื่อสะท้อนไว้ในอดีต ว่ามนุษย์ยังคงตั้งหน้าตั้งตาในการดำเนินรอยตามความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีอย่างบ้าคลั่ง แล้วในท้ายที่สุดก็คงจะต้องร่วมกันแบกรับกับผลลัพธ์อันเลวร้ายที่เราทั้งหลาย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งซึ่งสร้างหรือทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา นี่คือชะตากรรมที่มิอาจบิดพลิ้ว หรือหลีกเลี่ยงได้ ภาพประกอบยืมมาจากเว็บการ์ตูนญี่ปุ่นครับ ส่วนข้อมูลดิบประกอบเกี่ยวกับชื่อและคำแปล ระยะเวลาตีพิมพ์ จำนวนทั้งหลาย มาจากเว็บญี่ปุ่นโดยใช้กูเกิลแปลภาษาและรวมถึง วิกิพีเดียไทย #การ์ตูน #การ์ตูนญี่ปุ่น #มังงะ #อาดาจิมิซึรุ #อาดาจิ #thaitimes #การ์ตูนเล่ม #หนังสือการ์ตูน #บทความ #หนังสือน่าอ่าน
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1950 มุมมอง 0 รีวิว
  • คลิปนี้ในเฟสบุ๊กยูทูปติ๊กต็อกคงอยู่ได้ไม่นาน

    ที่ญี่ปุ่น สถานี NHK ซึ่งเป็นช่องทีวีหลักของรัฐบาลโดยตรง
    ได้เปิดฉายสารคดียาว 20 นาที นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับ ความเสียหายจากวัคซีน และเรื่องที่วัคซีนเป็นพิษได้อย่างไร นี่เป็นข่าวสำคัญเลยนะจ๊ะ เพราะทุกท่านก็ทราบดีนะว่า นี่มันช่อง NHK เลยนะ มันแปลว่ารัฐบาลญี่ปุ่น ออกมายอมรับหน้าบานแล้วว่าวัคซีน คือ =ฆาตกร= นี่คือสัญญาณว่ากำลังมีกระบวนการ =เก็บกวาด= ที่กำลังเกิดขึ้น กับพวกเหล่าร้ายที่นี่

    https://www.instagram.com/dystopiandownunder/reel/C_Xj3thyR73/

    ช่อง NHK ตัวจริง ออกมาแฉอันตรายจากว้าคซวย
    ผู้ป่วยจากพิษว้าค ตั้ง สองพันคน ส่งจดหมายมาบอกสื่อ
    ช้างตายหลายตัว ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ ... แล้วสินะ

    แต่หลังจากถ่ายทอดสดแล้วก็เจออำนาจจากพวกอีริทก็บังคับให้ช่อง ทำหนังสือออกมาบอกประชาชนว่า ช่องให้ข้อมูลผิดพลาด
    คลิปนี้ในเฟสบุ๊กยูทูปติ๊กต็อกคงอยู่ได้ไม่นาน ที่ญี่ปุ่น สถานี NHK ซึ่งเป็นช่องทีวีหลักของรัฐบาลโดยตรง ได้เปิดฉายสารคดียาว 20 นาที นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับ ความเสียหายจากวัคซีน และเรื่องที่วัคซีนเป็นพิษได้อย่างไร นี่เป็นข่าวสำคัญเลยนะจ๊ะ เพราะทุกท่านก็ทราบดีนะว่า นี่มันช่อง NHK เลยนะ มันแปลว่ารัฐบาลญี่ปุ่น ออกมายอมรับหน้าบานแล้วว่าวัคซีน คือ =ฆาตกร= นี่คือสัญญาณว่ากำลังมีกระบวนการ =เก็บกวาด= ที่กำลังเกิดขึ้น กับพวกเหล่าร้ายที่นี่ https://www.instagram.com/dystopiandownunder/reel/C_Xj3thyR73/ ช่อง NHK ตัวจริง ออกมาแฉอันตรายจากว้าคซวย ผู้ป่วยจากพิษว้าค ตั้ง สองพันคน ส่งจดหมายมาบอกสื่อ ช้างตายหลายตัว ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ ... แล้วสินะ แต่หลังจากถ่ายทอดสดแล้วก็เจออำนาจจากพวกอีริทก็บังคับให้ช่อง ทำหนังสือออกมาบอกประชาชนว่า ช่องให้ข้อมูลผิดพลาด
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 532 มุมมอง 176 0 รีวิว
  • ขออนุญาตเป็นสะพานบุญเรียนเชิญท่านสาธุชน
    พุทธบริษัท ร่วมทำบุญบูรณะมณฑปหลวงพ่อพัฒน์
    นารโท วัดพัฒนาราม
    (พระอารามหลวง ) จ.สุราษฎร์ธานี

    ได้ที่บัญชีธนาคารกรุงไทย

    ชื่อบัญชี โครงการบูรณะมณฑปหลวงพ่อพัฒน์ นารโท

    เลขที่บัญชี 362-0-56711-5

    อานิสงส์ของวิหารทาน

    สังฆทานนั้นมีอานิสงส์มากกว่าทานทั่วไป เพราะเป็นทานที่ต่ออายุพระพุทธศาสนา ทานที่จะมีอานิสงส์ที่ใหญ่กว่าสังฆทานก็มีแต่วิหารทานและธรรมทานเท่านั้น

    สำหรับสถานที่ซึ่งเป็นวิหารทานและมีการใช้สอยเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ศาลาการเปรียญ หรือสถานปฏิบัติธรรมนั้น ทุกครั้งที่มีบุคคลเข้าไปใช้ เจ้าของจะได้อานิสงส์เพิ่มขึ้นทุกครั้งไป วิหารทานจึงเป็นทานที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาของอามิสทาน คือ ทานที่เป็นสิ่งของทั่ว ๆ ไป

    ยกเว้นเสียจากธรรมทานแล้ว ไม่มีอานิสงส์อะไรใหญ่กว่าวิหารทานอีก เราจึงเห็นว่าคนโบราณนิยมสร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ เพราะเมื่อบุคคลเข้าไปใช้สอย โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยิ่งใช้สอยมากเท่าไร อานิสงส์ก็พอกพูนมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ผล ถึงเวลาก็ผลิดอกออกผลไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ จนกว่าวิหารหลังนั้นจะหมดสภาพไปเอง
    ...................................
    ที่มาบทความธรรมะ : เว็บวัดท่าขนุน
    ขออนุญาตเป็นสะพานบุญเรียนเชิญท่านสาธุชน พุทธบริษัท ร่วมทำบุญบูรณะมณฑปหลวงพ่อพัฒน์ นารโท วัดพัฒนาราม (พระอารามหลวง ) จ.สุราษฎร์ธานี ได้ที่บัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี โครงการบูรณะมณฑปหลวงพ่อพัฒน์ นารโท เลขที่บัญชี 362-0-56711-5 อานิสงส์ของวิหารทาน สังฆทานนั้นมีอานิสงส์มากกว่าทานทั่วไป เพราะเป็นทานที่ต่ออายุพระพุทธศาสนา ทานที่จะมีอานิสงส์ที่ใหญ่กว่าสังฆทานก็มีแต่วิหารทานและธรรมทานเท่านั้น สำหรับสถานที่ซึ่งเป็นวิหารทานและมีการใช้สอยเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ศาลาการเปรียญ หรือสถานปฏิบัติธรรมนั้น ทุกครั้งที่มีบุคคลเข้าไปใช้ เจ้าของจะได้อานิสงส์เพิ่มขึ้นทุกครั้งไป วิหารทานจึงเป็นทานที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาของอามิสทาน คือ ทานที่เป็นสิ่งของทั่ว ๆ ไป ยกเว้นเสียจากธรรมทานแล้ว ไม่มีอานิสงส์อะไรใหญ่กว่าวิหารทานอีก เราจึงเห็นว่าคนโบราณนิยมสร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ เพราะเมื่อบุคคลเข้าไปใช้สอย โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยิ่งใช้สอยมากเท่าไร อานิสงส์ก็พอกพูนมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ผล ถึงเวลาก็ผลิดอกออกผลไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ จนกว่าวิหารหลังนั้นจะหมดสภาพไปเอง ................................... ที่มาบทความธรรมะ : เว็บวัดท่าขนุน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨🇷🇺 ปูติน: "รัสเซียผลิตโดรนได้ ๔,๐๐๐ ลำต่อวัน"

    ⚡️ว้าว นั่นเท่ากับ ๑.๔ ล้านลำต่อปีเลย!
    .
    🚨🇷🇺 Putin: "Russia is producing 4000 drones per day."

    ⚡️Wow. That's 1.4 million drones per year!
    .
    8:41 PM · Sep 19, 2024 · 258.1K Views
    https://x.com/aussiecossack/status/1836762505844056443
    🚨🇷🇺 ปูติน: "รัสเซียผลิตโดรนได้ ๔,๐๐๐ ลำต่อวัน" ⚡️ว้าว นั่นเท่ากับ ๑.๔ ล้านลำต่อปีเลย! . 🚨🇷🇺 Putin: "Russia is producing 4000 drones per day." ⚡️Wow. That's 1.4 million drones per year! . 8:41 PM · Sep 19, 2024 · 258.1K Views https://x.com/aussiecossack/status/1836762505844056443
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 64 0 รีวิว
  • วิทยุสื่อสาร Walker-Talkie ระเบิดสังหารที่มีแบรนด์บริษัทญี่ปุ่นIcom ซึ่งปฏิเสธเพราะไม่ได้ผลิตอุปกรณ์และแบตเตอรี่รุ่นนี้มา 10 ปีแล้ว และ Icomเคยได้รับสัญญาจัดหาเครื่องรับส่งสัญญาณให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1990

    19 กันยายน 2567-รายงานข่าวจากTIMEระบุว่า บริษัท Icom.Inc ผู้ผลิตและส่งออกวิทยุสื่อสารที่มีสำนักงานใหญ่ที่โอซากา ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีนี้ว่า Walkie-Talkie รุ่น IC-V82 ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นเคยผลิตและส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ รวมถึงตะวันออกกลาง จนถึงเดือนตุลาคม 2014 ได้หยุดผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังยุติการผลิตแบตเตอรี่ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของตัวเครื่องหลักอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้ บริษัทได้เตือนลูกค้าว่าวิทยุสื่อสารรุ่น IC-V82 เกือบทั้งหมดในตลาดเป็นของปลอม

    เหตุระเบิดสังหารจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายพันเครื่อง รวมถึงเพจเจอร์และวอล์กี้ทอล์กกี้ ระเบิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย และบาดเจ็บกว่า 3,000 ราย และกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์กล่าวหารัฐบาลอิสราเอลว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีครั้งนี้ ส่งผลให้ความตึงเครียดในภูมิภาคทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่อิสราเอลปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

    คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบคือมีการฝังวัตถุระเบิดในอุปกรณ์เหล่านี้อย่างไร ? หากวิทยุสื่อสารของ Icom เป็นของแท้และผลิตขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นไปได้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ได้รับการดัดแปลงหลังจากขายให้กับลูกค้าเดิมไปแล้ว บริษัทไม่สามารถระบุได้ว่าวิทยุสื่อสารเหล่านี้เป็นของบริษัทหรือไม่ แต่ระบุว่าอุปกรณ์ที่ระเบิดดูเหมือนจะไม่มีฉลากโฮโลแกรมที่ติดอยู่กับผลิตภัณฑ์

    บริษัทกล่าวว่าวิทยุสื่อสารทั้งหมดของบริษัทผลิตขึ้นที่โรงงานในจังหวัดวากายามะทางตะวันตกของญี่ปุ่น บริษัทปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยที่กำหนดโดยกฎระเบียบของรัฐบาล และไม่ได้ว่าจ้างให้บริษัทภายนอกผลิตในต่างประเทศ

    โยชิกิ เอโนโมโตะ กรรมการของ Icom กล่าวในรายงานของ Kyodo ว่าแบตเตอรี่อาจได้รับการดัดแปลงด้วยวัตถุระเบิด เนื่องจากภาพถ่ายของอุปกรณ์แสดงให้เห็นความเสียหายร้ายแรงบริเวณช่องใส่แบตเตอรี่

    การระเบิดสังหารที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตประจำวันอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการก่อการร้ายรูปแบบใหม่ ตามที่มิตสึรุ ฟูกูดะ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการความเสี่ยงที่มหาวิทยาลัยนิฮอนกล่าว “สิ่งนี้อาจเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทต่างๆ ขยายขอบเขตการกำกับดูแลความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานของตน” ให้ครอบคลุมถึงการจัดจำหน่ายและการจัดส่ง เขากล่าว

    รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงกำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวว่า Icom ได้รับสัญญาจัดหาเครื่องรับส่งสัญญาณให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1990

    https://time.com/7022598/lebanon-walkie-talkies-explosion-japan-icom/

    #Thaitimes
    วิทยุสื่อสาร Walker-Talkie ระเบิดสังหารที่มีแบรนด์บริษัทญี่ปุ่นIcom ซึ่งปฏิเสธเพราะไม่ได้ผลิตอุปกรณ์และแบตเตอรี่รุ่นนี้มา 10 ปีแล้ว และ Icomเคยได้รับสัญญาจัดหาเครื่องรับส่งสัญญาณให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1990 19 กันยายน 2567-รายงานข่าวจากTIMEระบุว่า บริษัท Icom.Inc ผู้ผลิตและส่งออกวิทยุสื่อสารที่มีสำนักงานใหญ่ที่โอซากา ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีนี้ว่า Walkie-Talkie รุ่น IC-V82 ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นเคยผลิตและส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ รวมถึงตะวันออกกลาง จนถึงเดือนตุลาคม 2014 ได้หยุดผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังยุติการผลิตแบตเตอรี่ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของตัวเครื่องหลักอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้ บริษัทได้เตือนลูกค้าว่าวิทยุสื่อสารรุ่น IC-V82 เกือบทั้งหมดในตลาดเป็นของปลอม เหตุระเบิดสังหารจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายพันเครื่อง รวมถึงเพจเจอร์และวอล์กี้ทอล์กกี้ ระเบิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย และบาดเจ็บกว่า 3,000 ราย และกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์กล่าวหารัฐบาลอิสราเอลว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีครั้งนี้ ส่งผลให้ความตึงเครียดในภูมิภาคทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่อิสราเอลปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบคือมีการฝังวัตถุระเบิดในอุปกรณ์เหล่านี้อย่างไร ? หากวิทยุสื่อสารของ Icom เป็นของแท้และผลิตขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นไปได้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ได้รับการดัดแปลงหลังจากขายให้กับลูกค้าเดิมไปแล้ว บริษัทไม่สามารถระบุได้ว่าวิทยุสื่อสารเหล่านี้เป็นของบริษัทหรือไม่ แต่ระบุว่าอุปกรณ์ที่ระเบิดดูเหมือนจะไม่มีฉลากโฮโลแกรมที่ติดอยู่กับผลิตภัณฑ์ บริษัทกล่าวว่าวิทยุสื่อสารทั้งหมดของบริษัทผลิตขึ้นที่โรงงานในจังหวัดวากายามะทางตะวันตกของญี่ปุ่น บริษัทปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยที่กำหนดโดยกฎระเบียบของรัฐบาล และไม่ได้ว่าจ้างให้บริษัทภายนอกผลิตในต่างประเทศ โยชิกิ เอโนโมโตะ กรรมการของ Icom กล่าวในรายงานของ Kyodo ว่าแบตเตอรี่อาจได้รับการดัดแปลงด้วยวัตถุระเบิด เนื่องจากภาพถ่ายของอุปกรณ์แสดงให้เห็นความเสียหายร้ายแรงบริเวณช่องใส่แบตเตอรี่ การระเบิดสังหารที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตประจำวันอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการก่อการร้ายรูปแบบใหม่ ตามที่มิตสึรุ ฟูกูดะ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการความเสี่ยงที่มหาวิทยาลัยนิฮอนกล่าว “สิ่งนี้อาจเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทต่างๆ ขยายขอบเขตการกำกับดูแลความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานของตน” ให้ครอบคลุมถึงการจัดจำหน่ายและการจัดส่ง เขากล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงกำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวว่า Icom ได้รับสัญญาจัดหาเครื่องรับส่งสัญญาณให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1990 https://time.com/7022598/lebanon-walkie-talkies-explosion-japan-icom/ #Thaitimes
    TIME.COM
    Japanese Company Investigates Exploding Walkie-Talkies in Lebanon
    Icom Inc., whose brand appears on devices that exploded in Lebanon, said it halted production a decade ago of the model allegedly used in the attacks.
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1592 มุมมอง 0 รีวิว
  • เก่งสุดๆ“ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์” ฟอร์มสดชนะ ไบรอัน หยาง มืออันดับ 24 ของโลกจากแคนาดา เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย พรุ่งนี้ไปเจอ กินติ้ง นักแบดอินโดนีเวีย ในศึกการแข่งขัน China Open 2024

    คำสัมภาษณ์ วิว กุลวุฒิ หลังเกม เอาชนะ Brian Yang 2เซ็ต คะแนน 21-18,21-9 เขากล่าวว่า
    “วันนี้เป็นวันที่ดี และเป็นวันที่มีแผนที่ดี ผมคิดว่า ผมควบคุมลูกแบดได้ดีกว่าวันแรก และมันควบคุมยากมาก เมื่อแข่งในสนามที่มีลม มันยากมากที่จะเล่น

    แต่ผมคิดว่าวันนี้...มันโอเคสำหรับผม ถ้าผมคิดไปล่วงหน้าก่อน จะเกิดความกดดันมากในเกมเพราะฉะนั้นเวลาผมไม่ได้คิดอะไรมาก ผมสามารถเล่นได้ดี เพราะถ้าผมคิดมาก ผมจะไม่มีสมาธิ ควบคุมอะไรไม่ได้เลย

    ผมพยายามอย่างสุดความสามารถ
    เพราะหลังจากโอลิมปิกเกมส์ ไม่มีเวลาฝึกซ้อมเลย มีอีเว้นท์เยอะมาก

    ผมมาทัวร์นาเมนต์นี้เพื่อเรียนรู้เป็นนักกีฬา Top Player และถ้าผมแพ้ มันโอเค เพราะผมแค่เป็นนักกีฬาเท่านั้น ไม่ใช่ Top Player
    ผมต้องเรียนรู้อีกมากกับนักกีฬาชั้นนำ และการแข่งทัวร์นาเมนต์ต่างๆ

    ขอบคุณมากๆ
    มีแฟนชาวจีนมากมาย
    ผมมีความสุขมาก และรักพวกเขา และเจอกันพรุ่งนี้ครับ”

    ที่มา : https://youtu.be/_qW4IUqL1wY?si=O3Nne2xUh6Y2sK1T

    #Thaitimes
    เก่งสุดๆ“ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์” ฟอร์มสดชนะ ไบรอัน หยาง มืออันดับ 24 ของโลกจากแคนาดา เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย พรุ่งนี้ไปเจอ กินติ้ง นักแบดอินโดนีเวีย ในศึกการแข่งขัน China Open 2024 คำสัมภาษณ์ วิว กุลวุฒิ หลังเกม เอาชนะ Brian Yang 2เซ็ต คะแนน 21-18,21-9 เขากล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่ดี และเป็นวันที่มีแผนที่ดี ผมคิดว่า ผมควบคุมลูกแบดได้ดีกว่าวันแรก และมันควบคุมยากมาก เมื่อแข่งในสนามที่มีลม มันยากมากที่จะเล่น แต่ผมคิดว่าวันนี้...มันโอเคสำหรับผม ถ้าผมคิดไปล่วงหน้าก่อน จะเกิดความกดดันมากในเกมเพราะฉะนั้นเวลาผมไม่ได้คิดอะไรมาก ผมสามารถเล่นได้ดี เพราะถ้าผมคิดมาก ผมจะไม่มีสมาธิ ควบคุมอะไรไม่ได้เลย ผมพยายามอย่างสุดความสามารถ เพราะหลังจากโอลิมปิกเกมส์ ไม่มีเวลาฝึกซ้อมเลย มีอีเว้นท์เยอะมาก ผมมาทัวร์นาเมนต์นี้เพื่อเรียนรู้เป็นนักกีฬา Top Player และถ้าผมแพ้ มันโอเค เพราะผมแค่เป็นนักกีฬาเท่านั้น ไม่ใช่ Top Player ผมต้องเรียนรู้อีกมากกับนักกีฬาชั้นนำ และการแข่งทัวร์นาเมนต์ต่างๆ ขอบคุณมากๆ มีแฟนชาวจีนมากมาย ผมมีความสุขมาก และรักพวกเขา และเจอกันพรุ่งนี้ครับ” ที่มา : https://youtu.be/_qW4IUqL1wY?si=O3Nne2xUh6Y2sK1T #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1375 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมสหรัฐฯถึงต้องควักเงินกว่า ๔๐๐ ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสนามบินบนเกาะแปซิฟิกสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นมาใหม่?

    กองทัพอากาศสหรัฐฯกำลังยึดสนามบินเก่าในแปซิฟิกคืน “เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นกับจีน,” รายงานของสื่อสหรัฐฯ ระบุ

    สนามบินดังกล่าวตั้งอยู่บนเกาะทินเนียน และรายงานว่าวอชิงตันกำลังใช้เงิน ๔๐๙ ล้านดอลลาร์ ในความพยายาม “ขัดขวาง, หรือเอาชนะ, กองทัพจีน”

    การปรับปรุงปัจจุบันของวอชิงตันมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มศักยภาพของสนามบินสำหรับปฏิบัติการประจำวันและปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อสนับสนุนภารกิจในพื้นที่อินโด-แปซิฟิกอันกว้างใหญ่

    📌ในเดือนสิงหาคม ๑๙๔๕, สนามบินเหนือของทินเนียนได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯสองลำ ที่ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่น ทำให้พลเรือนเสียชีวิตมากกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน📌

    ทำไมเหยี่ยวอีแร้งของสหรัฐฯจึงมองว่าทินเนียนมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์?

    🔹เกาะทิเนียนเป็นหนึ่งในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาในแปซิฟิกตะวันตก, ซึ่งเป็นชายแดนตะวันตกสุดของสหรัฐอเมริกา, ร่วมกับเกาะกวม;

    🔹ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของเกาะทิเนียนมาจากความใกล้ชิดกับโตเกียวและจีน (ห่างจากทั้งสองเกาะน้อยกว่า ๑,๕๐๐ ไมล์);

    🔹เกาะนี้ตั้งอยู่ห่างจากช่องแคบไต้หวัน, ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ ๑,๕๐๐ – ๑,๗๐๐ ไมล์;

    🔹เกาะนี้เคยถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารมาแล้ว, ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒, เกาะนี้เคยมีสนามบินที่ใช้งานอยู่ ๒ แห่ง
    .
    Why’s the US shelling out over $400 mln to rebuild a WWII-era Pacific island airfield?

    The US Air Force is reclaiming an old airfield in the Pacific “as it prepares for a possible future fight with China,” a US media report said.

    The airfield in question is located on Tinian island, and Washington is reportedly spending $409 million in efforts to “deter, or defeat, the Chinese military.”

    Washington’s current enhancements are aimed at boosting the airfield's capacity for routine and contingency operations in support of missions in the vast Indo-Pacific theater.

    In August 1945, Tinian’s North Field launched the two infamous US bombers that dropped nukes on Japan’s Hiroshima and Nagasaki, killing over 200,000 civilians.

    Why do US hawks see Tinian as strategically important?

    🔹Tinian is one of the Northern Mariana Islands in the Western Pacific, the US’s westernmost frontier, along with Guam;

    🔹Tinian’s strategic importance stems from its proximity to Tokyo and China (less than 1,500 miles away from both);

    🔹The island is 1,500 – 1,700 miles from the Taiwan Strait, and the East and South China seas;

    🔹It’s already been used for military purposes, during WWII, the island housed two active airfields.
    .
    1:48 AM · Sep 19, 2024 · 3,452 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1836477418695217348
    ทำไมสหรัฐฯถึงต้องควักเงินกว่า ๔๐๐ ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสนามบินบนเกาะแปซิฟิกสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นมาใหม่? กองทัพอากาศสหรัฐฯกำลังยึดสนามบินเก่าในแปซิฟิกคืน “เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นกับจีน,” รายงานของสื่อสหรัฐฯ ระบุ สนามบินดังกล่าวตั้งอยู่บนเกาะทินเนียน และรายงานว่าวอชิงตันกำลังใช้เงิน ๔๐๙ ล้านดอลลาร์ ในความพยายาม “ขัดขวาง, หรือเอาชนะ, กองทัพจีน” การปรับปรุงปัจจุบันของวอชิงตันมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มศักยภาพของสนามบินสำหรับปฏิบัติการประจำวันและปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อสนับสนุนภารกิจในพื้นที่อินโด-แปซิฟิกอันกว้างใหญ่ 📌ในเดือนสิงหาคม ๑๙๔๕, สนามบินเหนือของทินเนียนได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯสองลำ ที่ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่น ทำให้พลเรือนเสียชีวิตมากกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน📌 ทำไมเหยี่ยวอีแร้งของสหรัฐฯจึงมองว่าทินเนียนมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์? 🔹เกาะทิเนียนเป็นหนึ่งในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาในแปซิฟิกตะวันตก, ซึ่งเป็นชายแดนตะวันตกสุดของสหรัฐอเมริกา, ร่วมกับเกาะกวม; 🔹ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของเกาะทิเนียนมาจากความใกล้ชิดกับโตเกียวและจีน (ห่างจากทั้งสองเกาะน้อยกว่า ๑,๕๐๐ ไมล์); 🔹เกาะนี้ตั้งอยู่ห่างจากช่องแคบไต้หวัน, ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ ๑,๕๐๐ – ๑,๗๐๐ ไมล์; 🔹เกาะนี้เคยถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารมาแล้ว, ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒, เกาะนี้เคยมีสนามบินที่ใช้งานอยู่ ๒ แห่ง . Why’s the US shelling out over $400 mln to rebuild a WWII-era Pacific island airfield? The US Air Force is reclaiming an old airfield in the Pacific “as it prepares for a possible future fight with China,” a US media report said. The airfield in question is located on Tinian island, and Washington is reportedly spending $409 million in efforts to “deter, or defeat, the Chinese military.” Washington’s current enhancements are aimed at boosting the airfield's capacity for routine and contingency operations in support of missions in the vast Indo-Pacific theater. In August 1945, Tinian’s North Field launched the two infamous US bombers that dropped nukes on Japan’s Hiroshima and Nagasaki, killing over 200,000 civilians. Why do US hawks see Tinian as strategically important? 🔹Tinian is one of the Northern Mariana Islands in the Western Pacific, the US’s westernmost frontier, along with Guam; 🔹Tinian’s strategic importance stems from its proximity to Tokyo and China (less than 1,500 miles away from both); 🔹The island is 1,500 – 1,700 miles from the Taiwan Strait, and the East and South China seas; 🔹It’s already been used for military purposes, during WWII, the island housed two active airfields. . 1:48 AM · Sep 19, 2024 · 3,452 Views https://x.com/SputnikInt/status/1836477418695217348
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องนี้ต้องให้ความยุติธรรมกับน้อง
    ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมา
    น่าฉงฉาน เธอมาเพื่อพบรักแท้ของเธอ
    เป็นความรักที่บอกเลยว่า ข้ามพบข้ามชาติ
    กลับมาเจอกัน เธอคนนี้แหละ เกิดมาเพื่อมาเป็น
    ศรีภรรยาของชาลี ดูสิ เธอเหมือนจะจบไปแล้วนะ
    ตอนที่กลับไปรอบแรก แต่เธอก็กลับมาผงาด
    เหมือนนกฟินิกส์ ที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเธอได้
    พี่คิงส์ จึงต้องออกมาปกป้องผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง
    ที่อาจจโมยทอง เอ้ยไม่ใช่
    พี่อาจจะเอี่ยวกับพวกเงินดาร์ค
    มีเอเจนซี่ดูแลโมเดลกับฟอก
    แล้วให้โจตั้งทีมไอโอ ปั่นกระแส
    เธอแพ้ไม่ได้ นะ โจ
    ถึงเธอจะตกขาว แต่ก็ขอให้เธอพยายามต่อไป
    กลุ่มเงินดาร์คอัดฉีดเต็มที่
    เธอเคยทำสำเร็จมาแล้วนะ
    พีเคห้านาที ได้25ล. สุดมั๊ยครับ
    ส่วนอีกหลายร้อยล้าน ก็สอดไส้อัดเข้าไปเป็นเหรียญ
    แล้วถอนออกมาในนามเอเจนซี่
    เอาไปเสียภาษี ว้าว เงินดาร์คกลายเป็นเงินขาว
    ที่ผ่านมาก็เอาเข้าระบบไปเป็นพันล้าน
    ดันมาสะดุด เพราะคิงส์โพธิ์แดงไม่รู้โผล่มาจากไหน
    ขุดยันไส้ ตอนนี้เราเลยต้องเบรคบิ๊กแม็ตกันไปก่อน
    จนกว่าจะปั่นกระแสสำเร็จนะโจ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เรื่องนี้ต้องให้ความยุติธรรมกับน้อง ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมา น่าฉงฉาน เธอมาเพื่อพบรักแท้ของเธอ เป็นความรักที่บอกเลยว่า ข้ามพบข้ามชาติ กลับมาเจอกัน เธอคนนี้แหละ เกิดมาเพื่อมาเป็น ศรีภรรยาของชาลี ดูสิ เธอเหมือนจะจบไปแล้วนะ ตอนที่กลับไปรอบแรก แต่เธอก็กลับมาผงาด เหมือนนกฟินิกส์ ที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเธอได้ พี่คิงส์ จึงต้องออกมาปกป้องผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง ที่อาจจโมยทอง เอ้ยไม่ใช่ พี่อาจจะเอี่ยวกับพวกเงินดาร์ค มีเอเจนซี่ดูแลโมเดลกับฟอก แล้วให้โจตั้งทีมไอโอ ปั่นกระแส เธอแพ้ไม่ได้ นะ โจ ถึงเธอจะตกขาว แต่ก็ขอให้เธอพยายามต่อไป กลุ่มเงินดาร์คอัดฉีดเต็มที่ เธอเคยทำสำเร็จมาแล้วนะ พีเคห้านาที ได้25ล. สุดมั๊ยครับ ส่วนอีกหลายร้อยล้าน ก็สอดไส้อัดเข้าไปเป็นเหรียญ แล้วถอนออกมาในนามเอเจนซี่ เอาไปเสียภาษี ว้าว เงินดาร์คกลายเป็นเงินขาว ที่ผ่านมาก็เอาเข้าระบบไปเป็นพันล้าน ดันมาสะดุด เพราะคิงส์โพธิ์แดงไม่รู้โผล่มาจากไหน ขุดยันไส้ ตอนนี้เราเลยต้องเบรคบิ๊กแม็ตกันไปก่อน จนกว่าจะปั่นกระแสสำเร็จนะโจ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1306 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมูกระทะคนรวย ร้านหมูกระทะสุดชิล มาในฟีล Rooftop กับตัวร้าน 2 ชั้น มีชั้น 2 และ ชั้น 4 ถ้า walk in จะได้นั่งชั้น 2 แต่ถ้าจองผ่านไลน์ของร้านมาล่วงหน้า จะได้นั่งชั้น 4 วิวดาดฟ้าสวยๆ บอกเลยว่าวัตถุดิบสดใหม่ สะอาดถูกหลักอนามัยมาก น้ำจิ้มก็อร่อยเด็ดถึงใจ มีให้เลือกถึง 4 รสชาติกันไปเลย ของทานเล่นก็ดีต่อใจ ไม่ว่าจะเป็น หมูสามชั้นทอดน้ำปลา ไส้อ่อนทอดกระเทียม รวมถึงเมนูส้มตำ จะพลาดไม่ได้แล้วน้า

    พิกัด : https://goo.gl/maps/ezAtda1sFB16vp5Z6
    ที่อยู่ : 266 9 ถ.พระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
    เปิดบริการ : 12.00 - 24.00 น.
    โทร : 08-8566-5655
    #หมูกระทะ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    หมูกระทะคนรวย ร้านหมูกระทะสุดชิล มาในฟีล Rooftop กับตัวร้าน 2 ชั้น มีชั้น 2 และ ชั้น 4 ถ้า walk in จะได้นั่งชั้น 2 แต่ถ้าจองผ่านไลน์ของร้านมาล่วงหน้า จะได้นั่งชั้น 4 วิวดาดฟ้าสวยๆ บอกเลยว่าวัตถุดิบสดใหม่ สะอาดถูกหลักอนามัยมาก น้ำจิ้มก็อร่อยเด็ดถึงใจ มีให้เลือกถึง 4 รสชาติกันไปเลย ของทานเล่นก็ดีต่อใจ ไม่ว่าจะเป็น หมูสามชั้นทอดน้ำปลา ไส้อ่อนทอดกระเทียม รวมถึงเมนูส้มตำ จะพลาดไม่ได้แล้วน้า พิกัด : https://goo.gl/maps/ezAtda1sFB16vp5Z6 ที่อยู่ : 266 9 ถ.พระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เปิดบริการ : 12.00 - 24.00 น. โทร : 08-8566-5655 #หมูกระทะ #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 954 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฉเพจเจอร์สังหารที่เลบานอนและซีเรียเป็นเพจเจอร์ AR-924 ที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์สั่งซื้อเมื่อ 5 เดือนก่อนจากบริษัทโกลด์ อพอลโล ซึ่งเป็นบริษัทไต้หวัน แต่ผลิตโดย BAC Consulting KFT ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองหลวงของฮังการี คร่าชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และผู้บาดเจ็บกว่า 3,000 รายรวมทั้ง เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศเลบานอนเป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดพร้อมกันในกรุงเบรุตและซีเรีย

    18 กันยายน 2567-รายงานข่าวจาก นิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยรายงานจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ระบุว่าเพจเจอร์รุ่น AP924 จำนวนมากได้ถูกสั่งซื้อเมื่อ 5 เดือนก่อน จากบริษัทโกลด์ อพอลโล ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตในไต้หวัน พร้อมกล่าวอีกว่า เพจเจอร์ถูกอิสราเอลทำการดัดแปลงฮาร์ดแวร์ติดตั้งระเบิดขนาดเล็กเข้าไป อย่างไรก็ตาม บริษัทโกลด์ อพอลโล ได้ออกมายืนยันว่าบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบระเบิดดังกล่าว

    ทั้งนี้ เพจเจอร์สังหารนี้เป็นเพจเจอร์ AR-924 ที่บริษัทโกลด์ อพอลโลของไต้หวันเป็นเจ้าของแต่รุ่นนี้ผลิตโดย BAC Consulting KFT ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองบูดาเปรสเมืองหลวงของของฮังการี

    ประธานโกลด์อพอลโล นายซู ชิงกวง แถลงกับนักข่าวเมื่อวันพุธนี้ว่า บริษัทของเขามีข้อตกลงอนุญาตสิทธิ์กับBACมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานของสัญญาดังกล่าว

    “ ตามข้อตกลงความร่วมมือ เราอนุญาตให้ BAC ใช้เครื่องหมายการค้าตราสินค้าของเราสำหรับการขายผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคที่กำหนด แต่การออกแบบและการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นเป็นความรับผิดชอบของ BAC เพียงผู้เดียว” แถลงการณ์ระบุ

    เพจเจอร์ที่กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ใช้ระเบิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันในวันอังคารในเลบานอนและซีเรีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ 3,000 ราย ฮิซบอลเลาะห์และรัฐบาลเลบานอนกล่าวโทษอิสราเอลว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีจากระยะไกลที่ซับซ้อน

    ฟิรัส อาเบียด รัฐมนตรีสาธารณสุขเลบานอน กล่าวกับนักข่าวระหว่างเยี่ยมผู้บาดเจ็บในโรงพยาบาลเมื่อเช้าวันพุธว่า ผู้บาดเจ็บหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตา และบางคนถูกตัดแขนตัดขา นักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องของโรงพยาบาลหรือถ่ายภาพผู้ป่วย

    รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าวว่า ผู้บาดเจ็บได้ถูกกระจายไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่งมีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล และยังกล่าวเสริมว่า ตุรกี อิรัก อิหร่าน ซีเรีย และอียิปต์ เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือในการรักษาผู้ป่วย

    ก่อนหน้านี้ในวันพุธ เครื่องบินทหารของอิรักได้ลงจอดที่กรุงเบรุตพร้อมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สนามบินกล่าว อาเบียดกล่าวว่าเครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 15 ตัน

    ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าวัตถุระเบิดถูกใส่ไว้ในเพจเจอร์ก่อนที่จะส่งมอบและนำไปใช้ในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน

    เพจเจอร์ AR-924 ซึ่งโฆษณาว่า "ทนทาน" มีแบตเตอรี่ลิเธียมแบบชาร์จไฟได้ ตามข้อมูลจำเพาะที่เคยโฆษณาไว้บนเว็บไซต์ของ Gold Apollo ก่อนที่มันจะถูกลบออกในวันอังคารหลังจากการโจมตีด้วยการก่อวินาศกรรม สามารถรับข้อความได้ยาวถึง 100 ตัวอักษร

    โฆษณานี้ยังอ้างว่าแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานถึง 85 วัน ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องสำคัญมากในเลบานอน ที่ไฟฟ้าดับบ่อยครั้งหลังจากที่เศรษฐกิจตกต่ำมาหลายปี เพจเจอร์ยังทำงานบนเครือข่ายไร้สายที่แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้มีความทนทานมากขึ้นในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โรงพยาบาลหลายแห่งทั่วโลกยังคงใช้เพจเจอร์นี้

    อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ของกองทัพอังกฤษซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ บอกกับบีบีซีว่า เพจเจอร์เหล่านี้น่าจะถูกบรรจุด้วยวัตถุระเบิดทางทหารน้ำหนักระหว่าง 10-20 กรัม ซ่อนอยู่ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปลอม

    เมื่ออุปกรณ์ได้รับการติดตั้งผ่านสัญญาณที่เรียกว่า "ข้อความตัวอักษรและตัวเลข" คนถัดไปที่ใช้เพจเจอร์จะเป็นผู้จุดชนวนวัตถุระเบิด ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

    ลีนา คาติบ นักวิเคราะห์ตะวันออกกลางจากแชทแธม เฮาส์ (Chatham House) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในสหราชอาณาจักรบอกกับบีบีซีว่า "อิสราเอลได้ดำเนินการโจมตีทางไซเบอร์ต่อฮิซบอลเลาะห์มาหลายเดือนแล้ว แต่การเจาะระบบครั้งนี้ได้ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด"

    https://youtu.be/inoQpYrhlEw?si=8tTUlra5JYLsr3oX

    #Thaitimes
    แฉเพจเจอร์สังหารที่เลบานอนและซีเรียเป็นเพจเจอร์ AR-924 ที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์สั่งซื้อเมื่อ 5 เดือนก่อนจากบริษัทโกลด์ อพอลโล ซึ่งเป็นบริษัทไต้หวัน แต่ผลิตโดย BAC Consulting KFT ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองหลวงของฮังการี คร่าชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และผู้บาดเจ็บกว่า 3,000 รายรวมทั้ง เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศเลบานอนเป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดพร้อมกันในกรุงเบรุตและซีเรีย 18 กันยายน 2567-รายงานข่าวจาก นิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยรายงานจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ระบุว่าเพจเจอร์รุ่น AP924 จำนวนมากได้ถูกสั่งซื้อเมื่อ 5 เดือนก่อน จากบริษัทโกลด์ อพอลโล ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตในไต้หวัน พร้อมกล่าวอีกว่า เพจเจอร์ถูกอิสราเอลทำการดัดแปลงฮาร์ดแวร์ติดตั้งระเบิดขนาดเล็กเข้าไป อย่างไรก็ตาม บริษัทโกลด์ อพอลโล ได้ออกมายืนยันว่าบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบระเบิดดังกล่าว ทั้งนี้ เพจเจอร์สังหารนี้เป็นเพจเจอร์ AR-924 ที่บริษัทโกลด์ อพอลโลของไต้หวันเป็นเจ้าของแต่รุ่นนี้ผลิตโดย BAC Consulting KFT ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองบูดาเปรสเมืองหลวงของของฮังการี ประธานโกลด์อพอลโล นายซู ชิงกวง แถลงกับนักข่าวเมื่อวันพุธนี้ว่า บริษัทของเขามีข้อตกลงอนุญาตสิทธิ์กับBACมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานของสัญญาดังกล่าว “ ตามข้อตกลงความร่วมมือ เราอนุญาตให้ BAC ใช้เครื่องหมายการค้าตราสินค้าของเราสำหรับการขายผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคที่กำหนด แต่การออกแบบและการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นเป็นความรับผิดชอบของ BAC เพียงผู้เดียว” แถลงการณ์ระบุ เพจเจอร์ที่กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ใช้ระเบิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันในวันอังคารในเลบานอนและซีเรีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ 3,000 ราย ฮิซบอลเลาะห์และรัฐบาลเลบานอนกล่าวโทษอิสราเอลว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีจากระยะไกลที่ซับซ้อน ฟิรัส อาเบียด รัฐมนตรีสาธารณสุขเลบานอน กล่าวกับนักข่าวระหว่างเยี่ยมผู้บาดเจ็บในโรงพยาบาลเมื่อเช้าวันพุธว่า ผู้บาดเจ็บหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตา และบางคนถูกตัดแขนตัดขา นักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องของโรงพยาบาลหรือถ่ายภาพผู้ป่วย รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าวว่า ผู้บาดเจ็บได้ถูกกระจายไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่งมีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล และยังกล่าวเสริมว่า ตุรกี อิรัก อิหร่าน ซีเรีย และอียิปต์ เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือในการรักษาผู้ป่วย ก่อนหน้านี้ในวันพุธ เครื่องบินทหารของอิรักได้ลงจอดที่กรุงเบรุตพร้อมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สนามบินกล่าว อาเบียดกล่าวว่าเครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 15 ตัน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าวัตถุระเบิดถูกใส่ไว้ในเพจเจอร์ก่อนที่จะส่งมอบและนำไปใช้ในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน เพจเจอร์ AR-924 ซึ่งโฆษณาว่า "ทนทาน" มีแบตเตอรี่ลิเธียมแบบชาร์จไฟได้ ตามข้อมูลจำเพาะที่เคยโฆษณาไว้บนเว็บไซต์ของ Gold Apollo ก่อนที่มันจะถูกลบออกในวันอังคารหลังจากการโจมตีด้วยการก่อวินาศกรรม สามารถรับข้อความได้ยาวถึง 100 ตัวอักษร โฆษณานี้ยังอ้างว่าแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานถึง 85 วัน ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องสำคัญมากในเลบานอน ที่ไฟฟ้าดับบ่อยครั้งหลังจากที่เศรษฐกิจตกต่ำมาหลายปี เพจเจอร์ยังทำงานบนเครือข่ายไร้สายที่แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้มีความทนทานมากขึ้นในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โรงพยาบาลหลายแห่งทั่วโลกยังคงใช้เพจเจอร์นี้ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ของกองทัพอังกฤษซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ บอกกับบีบีซีว่า เพจเจอร์เหล่านี้น่าจะถูกบรรจุด้วยวัตถุระเบิดทางทหารน้ำหนักระหว่าง 10-20 กรัม ซ่อนอยู่ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปลอม เมื่ออุปกรณ์ได้รับการติดตั้งผ่านสัญญาณที่เรียกว่า "ข้อความตัวอักษรและตัวเลข" คนถัดไปที่ใช้เพจเจอร์จะเป็นผู้จุดชนวนวัตถุระเบิด ผู้เชี่ยวชาญกล่าว ลีนา คาติบ นักวิเคราะห์ตะวันออกกลางจากแชทแธม เฮาส์ (Chatham House) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในสหราชอาณาจักรบอกกับบีบีซีว่า "อิสราเอลได้ดำเนินการโจมตีทางไซเบอร์ต่อฮิซบอลเลาะห์มาหลายเดือนแล้ว แต่การเจาะระบบครั้งนี้ได้ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด" https://youtu.be/inoQpYrhlEw?si=8tTUlra5JYLsr3oX #Thaitimes
    Like
    Sad
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1203 มุมมอง 0 รีวิว

  • วัดไม่ใช่สตูดิโอพรีเวดดิ้ง !

    ประกาศวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
    เรื่อง การใช้สถานที่ในเขตพระอาราม

    สืบเนื่องจากมีการเผยแพร่ในสังคมออนไลน์อันก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอนุมัติของเจ้าพระคุณ เจ้าอาวาส จึงออกประกาศกำชับอีกคำรบ ดังนี้

    ๑. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อนุญาตเฉพาะการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลหรือกิจกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น โดยให้ขออนุญาตตามระเบียบที่วัดกำหนด

    ๒. วัดไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีมงคลสมรสในพระอาราม แต่อนุญาตเพียงบุญพิธี กล่าวคือ การทำบุญถวายสังฆทานหรือเจริญพระพุทธมนต์ ตามข้อ ๑. โดยต้องไม่มีการจดทะเบียนสมรส การสวมแหวน การรดน้ำสังข์ หรือพิธีส่วนผนวกใดที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน หากมีกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามแนวทางนี้ ถือเป็นการกระทำโดยพลการ วัดมิได้เห็นชอบหรือมีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวโดยประการใด ทั้งนี้ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่เรียกร้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดสำหรับตนหรือผู้อื่น จากผู้มาบำเพ็ญกุศลโดยเด็ดขาด

    ๓. ไม่อนุญาตให้ใช้พระอารามเป็นสถานที่ถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โฆษณาสินค้าหรือบริการ หรือทำการอื่นใด เพื่อแสวงหาประโยชน์เชิงธุรกิจ หากมีการกระทำในลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เอื้อเฟื้อต่อความสงบเรียบร้อย วัดจักขออารักขาจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่รับผิดชอบให้ช่วยเหลือในการจัดการ ทั้งนี้ การเข้าภายในเขตพระอารามสาธุชนพึงแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมแก่สถานที่ตามวิถีประชาและธรรมเนียมประเพณีไทยในการเข้าวัด ตลอดจนพึงสำรวม สังวร และรักษากิริยาอาการให้เหมาะสมแก่การอยู่ในบริเวณศาสนสถาน งดแสดงกิริยาอาการไม่เหมาะสม เช่น การปีนป่าย หรือการใช้ปูชนียสถานเป็นฉากประกอบการนำเสนอกิริยาอาการของคู่สมรส หรือเพื่อความบันเทิงอื่น ๆ จนรบกวนการบำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณรหรือการปฏิบัติธรรมของสาธุชน

    ๔. วัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงานใดในการรับจัดพิธีทางศาสนา พิธีมงคลสมรส หรือการอันเอื้อเฟื้อต่อความยินดีในเชิงที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน การแอบอ้างหรือบิดเบือนอันจะทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าวัดมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความเสียหายซึ่งได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้ว และหากพบว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    ๕. หากพบผู้ที่แอบอ้างหรือเรียกรับประโยชน์ หรืออาจทำให้เสื่อมเสียโดยประการใด หรือพบการกระทำที่ผิดไปจากประกาศนี้ สามารถรายงานเรื่องได้ที่ กลุ่มงานกิจการพิเศษ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ spsa@jinavara.or.th

    ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๗

    #Thaitimes
    วัดไม่ใช่สตูดิโอพรีเวดดิ้ง ! ประกาศวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เรื่อง การใช้สถานที่ในเขตพระอาราม สืบเนื่องจากมีการเผยแพร่ในสังคมออนไลน์อันก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอนุมัติของเจ้าพระคุณ เจ้าอาวาส จึงออกประกาศกำชับอีกคำรบ ดังนี้ ๑. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อนุญาตเฉพาะการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลหรือกิจกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น โดยให้ขออนุญาตตามระเบียบที่วัดกำหนด ๒. วัดไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีมงคลสมรสในพระอาราม แต่อนุญาตเพียงบุญพิธี กล่าวคือ การทำบุญถวายสังฆทานหรือเจริญพระพุทธมนต์ ตามข้อ ๑. โดยต้องไม่มีการจดทะเบียนสมรส การสวมแหวน การรดน้ำสังข์ หรือพิธีส่วนผนวกใดที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน หากมีกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามแนวทางนี้ ถือเป็นการกระทำโดยพลการ วัดมิได้เห็นชอบหรือมีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวโดยประการใด ทั้งนี้ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่เรียกร้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดสำหรับตนหรือผู้อื่น จากผู้มาบำเพ็ญกุศลโดยเด็ดขาด ๓. ไม่อนุญาตให้ใช้พระอารามเป็นสถานที่ถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โฆษณาสินค้าหรือบริการ หรือทำการอื่นใด เพื่อแสวงหาประโยชน์เชิงธุรกิจ หากมีการกระทำในลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เอื้อเฟื้อต่อความสงบเรียบร้อย วัดจักขออารักขาจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่รับผิดชอบให้ช่วยเหลือในการจัดการ ทั้งนี้ การเข้าภายในเขตพระอารามสาธุชนพึงแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมแก่สถานที่ตามวิถีประชาและธรรมเนียมประเพณีไทยในการเข้าวัด ตลอดจนพึงสำรวม สังวร และรักษากิริยาอาการให้เหมาะสมแก่การอยู่ในบริเวณศาสนสถาน งดแสดงกิริยาอาการไม่เหมาะสม เช่น การปีนป่าย หรือการใช้ปูชนียสถานเป็นฉากประกอบการนำเสนอกิริยาอาการของคู่สมรส หรือเพื่อความบันเทิงอื่น ๆ จนรบกวนการบำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณรหรือการปฏิบัติธรรมของสาธุชน ๔. วัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงานใดในการรับจัดพิธีทางศาสนา พิธีมงคลสมรส หรือการอันเอื้อเฟื้อต่อความยินดีในเชิงที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน การแอบอ้างหรือบิดเบือนอันจะทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าวัดมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความเสียหายซึ่งได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้ว และหากพบว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ๕. หากพบผู้ที่แอบอ้างหรือเรียกรับประโยชน์ หรืออาจทำให้เสื่อมเสียโดยประการใด หรือพบการกระทำที่ผิดไปจากประกาศนี้ สามารถรายงานเรื่องได้ที่ กลุ่มงานกิจการพิเศษ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ spsa@jinavara.or.th ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๗ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 685 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!!

    ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!!

    ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า

    “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา
    เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง
    ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……”

    ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่
    เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา
    ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
    เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?)
    แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น
    จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก
    ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์

    ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก
    ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ

    เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน
    ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที
    ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน
    มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ……
    กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที
    แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว
    มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล

    แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม
    ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่?
    เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี…
    เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด

    มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด
    แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว
    แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด

    แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
    ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring***
    อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์
    โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก

    ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ

    หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น
    สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก
    การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป
    ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค
    คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง
    อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!!

    งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน……
    ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม
    แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด
    เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร

    เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev
    ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด
    พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง
    แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง…

    การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว
    สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว……
    อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า
    “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

    แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย……

    ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้
    เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน
    เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน
    พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง…

    ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย
    แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี
    ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน
    กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
    และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ…
    ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!!
    ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!!

    เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง
    ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล
    ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!!

    ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า
    บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน
    บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน
    บางคนเสนอตัวเอง…
    เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ

    มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ
    1 Boris Berezovsky
    2 Mikhaïl Fridman
    3 Vladimir Gusinsky
    4 Mikhaïl Khodorkovsky
    5 Vladimir Potanin

    (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์)

    สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา
    อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!!
    เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์……
    สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท
    ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง
    เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น
    และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา
    คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง
    เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน
    หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก”
    นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า
    “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!”

    เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง

    การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง
    แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น

    ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร
    แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่
    และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin
    ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน

    งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin
    ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ
    บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง
    ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา……
    ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่

    แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!! ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!! ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……” ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่ เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?) แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์ ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ…… กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่? เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี… เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring*** อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์ โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!! งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน…… ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง… การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว…… อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย…… ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง… ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ… ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!! ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!! เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!! ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน บางคนเสนอตัวเอง… เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ 1 Boris Berezovsky 2 Mikhaïl Fridman 3 Vladimir Gusinsky 4 Mikhaïl Khodorkovsky 5 Vladimir Potanin (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์) สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!! เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์…… สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก” นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!” เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่ และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา…… ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 691 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อุตส่าห์ลุ้น
    #นึกว่าโจตกขาวมีอะไรใหม่
    #โหวงเหวงมาก
    #เก่งไงไม่รู้ไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อพาดพิงคิงส์โพธิ์แดง
    อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดง เมื่อคืนพี่คิงส์นี่นอนไวมาก
    มีแฟนเพจทักมาเยอะ พี่คิงส์ๆๆๆๆ
    โจตกขาวจะไลฟ์ ชื่อ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว"
    ไอ่เราก็ ว้าว แล้วก็นอนต่อ
    ถามว่าทำไมเหรอ ก็มันเปื่อยจิต ตอนนี้ก็รู้กันทั้งประเทศ
    ให้พี่คิงส์ไปนั่งฟัง ก็ไม่ต่างกับบังคับพี่คิงส์
    ให้ไปนั่งคุยกับ คงไข้ในโร็งบาลฉีธังญา
    แต่แฟนเพจพี่คิงส์ฯก็อดทนและอึดกันมาก
    นั่งฟังกันยาวๆ
    เช้านี่พี่คิงส์ก็เลยทักถามแฟนเพจไป
    "เป็นไงบ้างโจตกขาวมีไรเด็ด"
    แล้วแฟนเพจก็ส่งติ๊กเกอร์แบบนี้มา
    พร้อมบอกว่า
    ไม่มีอะไรเลยพี่คิงส์พูดวนไปวนมา ดูเพ้อๆ
    อุตส่าห์ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พูดเรื่องเก่าๆวนไปวนมา
    ที่คนเค้ารุ้กันหมดแล้ว
    ฟังโจแล้วเบื่อรอฟังพี่คิงส์นี่
    มีอะไรตื่นเต้นอีกเยอะ
    เมิงไม่จำนนพี่คิงส์ก็จะจัดไปอีกยาวๆ
    แล้วที่เห่าว่าจะฟร้องงงงง
    รอนะ คนในประเทศจะได้รู้ชัดๆ
    ว่าอิโจหาแดรกกับความเชื่อ
    ไม่ต่างจากมิจดีๆนี่เอง
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #อุตส่าห์ลุ้น #นึกว่าโจตกขาวมีอะไรใหม่ #โหวงเหวงมาก #เก่งไงไม่รู้ไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อพาดพิงคิงส์โพธิ์แดง อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดง เมื่อคืนพี่คิงส์นี่นอนไวมาก มีแฟนเพจทักมาเยอะ พี่คิงส์ๆๆๆๆ โจตกขาวจะไลฟ์ ชื่อ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" ไอ่เราก็ ว้าว แล้วก็นอนต่อ ถามว่าทำไมเหรอ ก็มันเปื่อยจิต ตอนนี้ก็รู้กันทั้งประเทศ ให้พี่คิงส์ไปนั่งฟัง ก็ไม่ต่างกับบังคับพี่คิงส์ ให้ไปนั่งคุยกับ คงไข้ในโร็งบาลฉีธังญา แต่แฟนเพจพี่คิงส์ฯก็อดทนและอึดกันมาก นั่งฟังกันยาวๆ เช้านี่พี่คิงส์ก็เลยทักถามแฟนเพจไป "เป็นไงบ้างโจตกขาวมีไรเด็ด" แล้วแฟนเพจก็ส่งติ๊กเกอร์แบบนี้มา พร้อมบอกว่า ไม่มีอะไรเลยพี่คิงส์พูดวนไปวนมา ดูเพ้อๆ อุตส่าห์ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พูดเรื่องเก่าๆวนไปวนมา ที่คนเค้ารุ้กันหมดแล้ว ฟังโจแล้วเบื่อรอฟังพี่คิงส์นี่ มีอะไรตื่นเต้นอีกเยอะ เมิงไม่จำนนพี่คิงส์ก็จะจัดไปอีกยาวๆ แล้วที่เห่าว่าจะฟร้องงงงง รอนะ คนในประเทศจะได้รู้ชัดๆ ว่าอิโจหาแดรกกับความเชื่อ ไม่ต่างจากมิจดีๆนี่เอง อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 762 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1184 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เห็นจะเป็นเพราะรัก
    #มนันยา
    #เรื่องสั้น
    #ของขวัญ
    #ของขวัญวันคริสต์มาส
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน

    วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย

    ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ

    เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน

    วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก

    หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน

    ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป

    เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี

    เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร

    ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า

    มันกัดไหมค่ะ

    มันบินได้หรือเปล่าฮะ

    ขอผมดูหน่อย

    ขอหนูจับหน่อยนะคะ

    นุ่มไหมฮะ

    ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

    " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.."

    ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ

    เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน

    ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง

    เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ

    ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่

    เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง

    เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า

    มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    #เห็นจะเป็นเพราะรัก #มนันยา #เรื่องสั้น #ของขวัญ #ของขวัญวันคริสต์มาส #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า มันกัดไหมค่ะ มันบินได้หรือเปล่าฮะ ขอผมดูหน่อย ขอหนูจับหน่อยนะคะ นุ่มไหมฮะ ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.." ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่ เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 786 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พร้อมไปกันต่อหรือยังแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #สตอรี่ที่เอเจนซี่สร้างขึ้นเพื่ออิเหวิงดูน่าฉงฉานฉัดๆ
    มาตาสว่างและสว่างคาตาไปด้วยกัน ลุ๊ย!!
    นี่คือปฐมบทที่ทำให้คนไทยรู้จักอิเหวิงในแบบที่ยังมีทุยกลุ่มหนึ่งยังคงเวิ่นเว๊อ
    โดยมีล่ามแพร เป็นผู้แปลความหมายเป็นการไลฟ์สดในช่อง ตต.
    โดยล่างแพรได้แปลมาแบบนี้ อ่านยาวหน่อยเบื่ออิป้าโจตกขาวหาว่าตัดต่อบ้างแหละไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์บ้างแหละ
    มาเริ่มกัน
    “เขาอยากจะเล่าให้ทุกคนฟังว่าเขาเกิดมาข้างๆทางหมายถึงว่าเป็นคนที่เกิดข้างถนน
    จังหวัดนัมวอนอยู่ที่ภาคชอลลันัมโดเป็นภาคใต้ของประเทศเกาหลีนะคะ
    เขาบอกว่าเขาไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาลเพราะว่าวันนึงอ่ะตอนนั้น
    แม่เขาท้องแก่มากๆแล้วแม่พ่อกับแม่เขาก็ออกไปเดินเล่นกันข้างถนน
    เพราะว่าคุณแม่เขาเจ็บท้องมากๆนะคะ แล้วพอเดินเล่นอยู่ดีๆ
    แล้วคุณแม่เขาก็เลยเหมือนกับว่าคลอดคุณกามินออกมาแบบข้างถนนเลย
    จนกระทั่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากๆคุณแม่ของคุณกามิน
    ก็อันตรายคุณกามินเด็กที่ออกมาจากท้องก็อันตรายแล้ว
    ตอนที่คุณกามินคลอดออกมาข้างถนนคุณพ่อก็เหมือน
    เอามือมารองรับเด็กทารกไว้อยู่ในมือโดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้
    เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่าเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะอยู่บ้านนอกรับเบบี๋เด็กทารกอยู่ในมือ
    โดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่า
    ค่อนข้างเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะแบบอยู่บ้านนอกนิดนึงอะไรอย่างนี้ค่ะ
    แท็กซี่จับไม่ได้เลยคุณกามินเด็กทารกที่เกิดออกมา
    ก็คืออยู่ในมือคุณพ่อเกือบ1 ชั่วโมงกว่าจะเรียกแท็กซี่ไโรงพยาบาลได้นะคะ
    นะคะบอกในสถานการณ์ที่อันตรายมากแต่สุดท้ายความล็อคที่ความโชคดีก็
    ทําให้เขาเกิดออกมาเป็นคนที่ปลอดภัยมาได้นะคะอ่ะ”
    #ไอ่ฉัดนี่มันพอตซีรี่เกาหลีดั้งเดิมชัดๆ มา! ไปกันต่อ
    “เค้าก็เลยบอกว่าเค้ามีความฝันที่อยากจะมีชีวิตที่กรุงโซล
    เป็นสาวบ้านนอกแต่มาใช้ชีวิตที่กรุงโซลเหมือนคนอื่นๆ
    จนกระทั่งเค้ามาเจอคุณชาลี คุณชาลีเคยบอกเค้าว่าเพลงที่คุณชาลีชอบมากที่สุดก็คือเพลงลักกี้
    อ่อหัวข้อเพลงชื่อว่าลักกี้อ่ะค่ะ แพรไม่แน่ใจว่าเพลงอะไร เค้าก็เลยรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เหมือนกับมันสื่อกัน มันเชื่อมกัน เพราะว่าเค้าชอบคำว่าลักกี้ ชอบคำว่าโชคดี ชอบคำศัพท์นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    เค้าบอกว่าบ้านเค้าเลี้ยงหมา2ตัวตัวแรกชื่อว่า เฮ็งบ๊กแปลว่าความสุข ตัวที่สองชื่อว่า เฮ็งงุน แปลว่าความโชคดี
    นางบอกว่านางอยากเรียนภาษาไทยด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาสอน ถึงแม้จะใช้เวลานาน แต่ก็อยากจะใช้เวลาในการฝึกฝน”
    กามิน ได้ไลฟ์สด และกล่าวความในใจทั้งน้ำตา หลังจากได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของติ๊กต๊อกเกอร์ชาวเกาหลีว่า "ชาลีเหมือนของขวัญจากคุณย่า พ่อแม่ของกามินป่วย แต่ตอนนี้สบายดีแล้ว ขอบคุณมากๆที่ทำให้เป็นลูกกตัญญู ในช่วงเวลาที่พ่อแม่ยังมีชิวิตอยู่" ชาลีทำให้กามินได้รับความรักมากมาย และหาเงินได้จากการไลฟ์สดในติ๊กต๊อก จนสามารถไปรักษาพ่อแม่ที่ป่วยได้
    นี่คือสตอรี่ที่ต้มคนไทยได้ทั้งประเทศ
    แต่หลังจากชาลีเชิญกลับกิมจิ๊
    อิเหวิงกลับพูดมีใจความสำคัญดังนี้
    - ดังด้วยตัวเอง
    - ทุกคนอย่าอิจฉา อยากเป็นเหมือนฉันก็ไปทำช่องเอง
    -แบบฉันที่ดังเองโดยไม่ต้องมีใครมาซัพพอต
    ซึ่งในไลฟ์นี้ไม่มีชื่อชาลีปรากฏเลย ล่างเตียแปลไปคนละโยช
    สังเกตได้ ไม่มีเกาหลีที่ฟังเกาหลีออก ออกมาป้องซักคน
    มีแต่พวกทุยไทยที่ไม่รู้ภาษเกาหลี เชื่อเตียและปลื้มปลิ่ม
    ล่ามเตียนี่นะ แน็กเป็นคนหามาด้วยแท้ๆ แต่สุดท้ายไปเข้าฝั่งอิป้าโจตกขาวซะงั้น
    คำแปลก็จะแปลกประหลาด จนคนเกาหลีที่มีภรรยาคนไทย
    ต้องออกมาบอกว่า “เช็ด ไม่ใช่นะไอ่ที่ล่ามคนนั้นแปล”
    และในไลฟ์ครั้งนี้ อิเหวิงยังบอกอีกว่า
    “อันนี้คนเกาหลีแท้แปลนะ”
    “ฉันไปประเทศไทยเพราะฉันรักชาลี เพราะฉันอยู่เกาหลี ฉันมีงาน มีรายได้ที่ดีอยู่แล้ว” ซึ่งมีคนเคยถามว่าเท่าไหร่ อิเหวิงบอกประมาณ แปดหมื่น
    คำถามคือ งานอะไร ก็มีแต่ไลฟ์ตต.ทั้งวันทั้งคืน และรอคนส่งติ๊กเกอร์ให้
    ก็เลยมาโป๊ะ ที่ชาลีก็รู้ว่า อินี่บอกว่า ตัวเองมีเอเจนซี่ดูแลก่อนมาไทย
    และเอเจนซี่ก็เป็นคนแต่งบทละครสร้างสตอรี่
    เพื่อเรียกความสงสารจากคนไทยให้มากที่สุด
    แล้วก็พาคนไทยด้อมแท้ เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มหนึ่งของเกาหลีที่ผูกกับตต.
    ต้องเปย์นางทุกเดือน เหมือนค่าสมาชิก เพียงเพื่อ รออิเหวิงไปไลฟ์ส่วนตัวให้พวกมันคุย
    ทุยมั๊ยหละ
    ดังนั้น งานอิเหวิง เริ่มต้นก่อนมาไทย ก่อนเจอแน๊ก
    คือต้มเกาหลี แสดงให้เกาหลีดู และได้สติ๊กเกอร์ของขวัญเป็นการตอบแทน แบ่งรายได้กับเอเจนซี่
    แต่พอแน๊กคนไทยที่ขี้สงสารที่มีฐานแฟนคลับเป็นล้านมา ก็เลยต้องมีบทเพิ่ม
    ไม่งั้น อิเหวิงมันไม่หลุดออกมาแบบนี้หรอก ว่ามันไม่ได้เดือดร้อนเลย มาไทยเพราะชาลีขอมันมันมา
    แถมบอกว่า ยอมเสี่ยงมาไทย ประมาณว่าประเทศนี้ไม่ได้ป-ล-อ-ด-ภั-ย-เลย
    ดังนั้น เอเจนซี่มีจริง อิเหวิงทำงานด้วยการแสดงไลฟ์สดในตต.จริง
    มีการแบ่งรายได้กับเอเจนซี่จริง ซึ่งก็คงจะทำกันไม่น้อยที่เกาหลี
    เพียงแต่ น้องแน๊ก และคนไทย ดันติดกับ หลงไปกับบทซีรี่นี้ที่พวกมันสร้างขึ้น
    เสียดายแค่อย่างเดียว ว่านอกจากอิเหวิงกาฝาก และเอเจนซี่ ที่ได้ประโยชน์
    ก็ยังมีคนไทยกลุ่มหนึ่งระดับหัวๆ ที่ได้ส่วนแบ่งจากห้องพิเศษที่ว่า
    เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วมาเล่นงานคนไทยด้วยกัน
    ใส่ความสารพัด ว่าจิตไม่ปกติ ทำให้เค้าเสียชื่อ
    และรวมกลุ่มกับคนที่เสียผลประโยชน์จากการที่ชาลีไม่เอาอิเหวิงแล้ว
    สุมหัวกันทุกวัน เพียงเพื่อให้มีด้อมฝั่งตัวเอง
    ยังคงเปย์มีส่วนแบ่งผลประโยชน์ให้ตัวเองแค่นั้นพอ
    ดังนั้นการที่เพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    วางข่าวอื่นเพื่อทำเรื่องนี้ คือการออกมาบอกความจริง
    ให้คนไทยได้รับรู้ ว่ามันมีแบบนี้นะ วงจรนี้
    และปกป้องชาลี ที่ไม่ต้องมองว่าเค้าเป็นดารา
    แค่เป็นคนไทยหนึ่งคนที่ต้องอดทนเสียใจกับวงจรกามิจ
    ยังต้องมาเจอคนไทยด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์
    ทั้งทางตรงทางอ้อมจากชาลีทั้งนั้น
    เพียงแค่ชาลีเลือกปกป้องคนไทย แต่พวกมันเสียประโยชน์
    มันก็หาทางกระหน่ำซ้ำน้องมันขนาดนี้
    พี่คิงส์คงยอมไม่ได้อย่างแน่นอน
    อิป้าโจวตกขาว เมิงให้สมุนส่งข้อความผ่านแชทมาอะ
    อย่าช้า ให้รีบ กรรรูรอ
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #พร้อมไปกันต่อหรือยังแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #สตอรี่ที่เอเจนซี่สร้างขึ้นเพื่ออิเหวิงดูน่าฉงฉานฉัดๆ มาตาสว่างและสว่างคาตาไปด้วยกัน ลุ๊ย!! นี่คือปฐมบทที่ทำให้คนไทยรู้จักอิเหวิงในแบบที่ยังมีทุยกลุ่มหนึ่งยังคงเวิ่นเว๊อ โดยมีล่ามแพร เป็นผู้แปลความหมายเป็นการไลฟ์สดในช่อง ตต. โดยล่างแพรได้แปลมาแบบนี้ อ่านยาวหน่อยเบื่ออิป้าโจตกขาวหาว่าตัดต่อบ้างแหละไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์บ้างแหละ มาเริ่มกัน “เขาอยากจะเล่าให้ทุกคนฟังว่าเขาเกิดมาข้างๆทางหมายถึงว่าเป็นคนที่เกิดข้างถนน จังหวัดนัมวอนอยู่ที่ภาคชอลลันัมโดเป็นภาคใต้ของประเทศเกาหลีนะคะ เขาบอกว่าเขาไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาลเพราะว่าวันนึงอ่ะตอนนั้น แม่เขาท้องแก่มากๆแล้วแม่พ่อกับแม่เขาก็ออกไปเดินเล่นกันข้างถนน เพราะว่าคุณแม่เขาเจ็บท้องมากๆนะคะ แล้วพอเดินเล่นอยู่ดีๆ แล้วคุณแม่เขาก็เลยเหมือนกับว่าคลอดคุณกามินออกมาแบบข้างถนนเลย จนกระทั่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากๆคุณแม่ของคุณกามิน ก็อันตรายคุณกามินเด็กที่ออกมาจากท้องก็อันตรายแล้ว ตอนที่คุณกามินคลอดออกมาข้างถนนคุณพ่อก็เหมือน เอามือมารองรับเด็กทารกไว้อยู่ในมือโดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้ เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่าเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะอยู่บ้านนอกรับเบบี๋เด็กทารกอยู่ในมือ โดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่า ค่อนข้างเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะแบบอยู่บ้านนอกนิดนึงอะไรอย่างนี้ค่ะ แท็กซี่จับไม่ได้เลยคุณกามินเด็กทารกที่เกิดออกมา ก็คืออยู่ในมือคุณพ่อเกือบ1 ชั่วโมงกว่าจะเรียกแท็กซี่ไโรงพยาบาลได้นะคะ นะคะบอกในสถานการณ์ที่อันตรายมากแต่สุดท้ายความล็อคที่ความโชคดีก็ ทําให้เขาเกิดออกมาเป็นคนที่ปลอดภัยมาได้นะคะอ่ะ” #ไอ่ฉัดนี่มันพอตซีรี่เกาหลีดั้งเดิมชัดๆ มา! ไปกันต่อ “เค้าก็เลยบอกว่าเค้ามีความฝันที่อยากจะมีชีวิตที่กรุงโซล เป็นสาวบ้านนอกแต่มาใช้ชีวิตที่กรุงโซลเหมือนคนอื่นๆ จนกระทั่งเค้ามาเจอคุณชาลี คุณชาลีเคยบอกเค้าว่าเพลงที่คุณชาลีชอบมากที่สุดก็คือเพลงลักกี้ อ่อหัวข้อเพลงชื่อว่าลักกี้อ่ะค่ะ แพรไม่แน่ใจว่าเพลงอะไร เค้าก็เลยรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เหมือนกับมันสื่อกัน มันเชื่อมกัน เพราะว่าเค้าชอบคำว่าลักกี้ ชอบคำว่าโชคดี ชอบคำศัพท์นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เค้าบอกว่าบ้านเค้าเลี้ยงหมา2ตัวตัวแรกชื่อว่า เฮ็งบ๊กแปลว่าความสุข ตัวที่สองชื่อว่า เฮ็งงุน แปลว่าความโชคดี นางบอกว่านางอยากเรียนภาษาไทยด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาสอน ถึงแม้จะใช้เวลานาน แต่ก็อยากจะใช้เวลาในการฝึกฝน” กามิน ได้ไลฟ์สด และกล่าวความในใจทั้งน้ำตา หลังจากได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของติ๊กต๊อกเกอร์ชาวเกาหลีว่า "ชาลีเหมือนของขวัญจากคุณย่า พ่อแม่ของกามินป่วย แต่ตอนนี้สบายดีแล้ว ขอบคุณมากๆที่ทำให้เป็นลูกกตัญญู ในช่วงเวลาที่พ่อแม่ยังมีชิวิตอยู่" ชาลีทำให้กามินได้รับความรักมากมาย และหาเงินได้จากการไลฟ์สดในติ๊กต๊อก จนสามารถไปรักษาพ่อแม่ที่ป่วยได้ นี่คือสตอรี่ที่ต้มคนไทยได้ทั้งประเทศ แต่หลังจากชาลีเชิญกลับกิมจิ๊ อิเหวิงกลับพูดมีใจความสำคัญดังนี้ - ดังด้วยตัวเอง - ทุกคนอย่าอิจฉา อยากเป็นเหมือนฉันก็ไปทำช่องเอง -แบบฉันที่ดังเองโดยไม่ต้องมีใครมาซัพพอต ซึ่งในไลฟ์นี้ไม่มีชื่อชาลีปรากฏเลย ล่างเตียแปลไปคนละโยช สังเกตได้ ไม่มีเกาหลีที่ฟังเกาหลีออก ออกมาป้องซักคน มีแต่พวกทุยไทยที่ไม่รู้ภาษเกาหลี เชื่อเตียและปลื้มปลิ่ม ล่ามเตียนี่นะ แน็กเป็นคนหามาด้วยแท้ๆ แต่สุดท้ายไปเข้าฝั่งอิป้าโจตกขาวซะงั้น คำแปลก็จะแปลกประหลาด จนคนเกาหลีที่มีภรรยาคนไทย ต้องออกมาบอกว่า “เช็ด ไม่ใช่นะไอ่ที่ล่ามคนนั้นแปล” และในไลฟ์ครั้งนี้ อิเหวิงยังบอกอีกว่า “อันนี้คนเกาหลีแท้แปลนะ” “ฉันไปประเทศไทยเพราะฉันรักชาลี เพราะฉันอยู่เกาหลี ฉันมีงาน มีรายได้ที่ดีอยู่แล้ว” ซึ่งมีคนเคยถามว่าเท่าไหร่ อิเหวิงบอกประมาณ แปดหมื่น คำถามคือ งานอะไร ก็มีแต่ไลฟ์ตต.ทั้งวันทั้งคืน และรอคนส่งติ๊กเกอร์ให้ ก็เลยมาโป๊ะ ที่ชาลีก็รู้ว่า อินี่บอกว่า ตัวเองมีเอเจนซี่ดูแลก่อนมาไทย และเอเจนซี่ก็เป็นคนแต่งบทละครสร้างสตอรี่ เพื่อเรียกความสงสารจากคนไทยให้มากที่สุด แล้วก็พาคนไทยด้อมแท้ เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มหนึ่งของเกาหลีที่ผูกกับตต. ต้องเปย์นางทุกเดือน เหมือนค่าสมาชิก เพียงเพื่อ รออิเหวิงไปไลฟ์ส่วนตัวให้พวกมันคุย ทุยมั๊ยหละ ดังนั้น งานอิเหวิง เริ่มต้นก่อนมาไทย ก่อนเจอแน๊ก คือต้มเกาหลี แสดงให้เกาหลีดู และได้สติ๊กเกอร์ของขวัญเป็นการตอบแทน แบ่งรายได้กับเอเจนซี่ แต่พอแน๊กคนไทยที่ขี้สงสารที่มีฐานแฟนคลับเป็นล้านมา ก็เลยต้องมีบทเพิ่ม ไม่งั้น อิเหวิงมันไม่หลุดออกมาแบบนี้หรอก ว่ามันไม่ได้เดือดร้อนเลย มาไทยเพราะชาลีขอมันมันมา แถมบอกว่า ยอมเสี่ยงมาไทย ประมาณว่าประเทศนี้ไม่ได้ป-ล-อ-ด-ภั-ย-เลย ดังนั้น เอเจนซี่มีจริง อิเหวิงทำงานด้วยการแสดงไลฟ์สดในตต.จริง มีการแบ่งรายได้กับเอเจนซี่จริง ซึ่งก็คงจะทำกันไม่น้อยที่เกาหลี เพียงแต่ น้องแน๊ก และคนไทย ดันติดกับ หลงไปกับบทซีรี่นี้ที่พวกมันสร้างขึ้น เสียดายแค่อย่างเดียว ว่านอกจากอิเหวิงกาฝาก และเอเจนซี่ ที่ได้ประโยชน์ ก็ยังมีคนไทยกลุ่มหนึ่งระดับหัวๆ ที่ได้ส่วนแบ่งจากห้องพิเศษที่ว่า เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วมาเล่นงานคนไทยด้วยกัน ใส่ความสารพัด ว่าจิตไม่ปกติ ทำให้เค้าเสียชื่อ และรวมกลุ่มกับคนที่เสียผลประโยชน์จากการที่ชาลีไม่เอาอิเหวิงแล้ว สุมหัวกันทุกวัน เพียงเพื่อให้มีด้อมฝั่งตัวเอง ยังคงเปย์มีส่วนแบ่งผลประโยชน์ให้ตัวเองแค่นั้นพอ ดังนั้นการที่เพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง วางข่าวอื่นเพื่อทำเรื่องนี้ คือการออกมาบอกความจริง ให้คนไทยได้รับรู้ ว่ามันมีแบบนี้นะ วงจรนี้ และปกป้องชาลี ที่ไม่ต้องมองว่าเค้าเป็นดารา แค่เป็นคนไทยหนึ่งคนที่ต้องอดทนเสียใจกับวงจรกามิจ ยังต้องมาเจอคนไทยด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางตรงทางอ้อมจากชาลีทั้งนั้น เพียงแค่ชาลีเลือกปกป้องคนไทย แต่พวกมันเสียประโยชน์ มันก็หาทางกระหน่ำซ้ำน้องมันขนาดนี้ พี่คิงส์คงยอมไม่ได้อย่างแน่นอน อิป้าโจวตกขาว เมิงให้สมุนส่งข้อความผ่านแชทมาอะ อย่าช้า ให้รีบ กรรรูรอ อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2048 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียมีเหตุผลเพียงพอที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่ยังยับยั้งชั่งใจอยู่

    ตลอดช่วงความขัดแย้งในยูเครน รัสเซียมีเหตุผลมากมายที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่จนถึงขณะนี้ได้ใช้ความยับยั้งชั่งใจ รองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย มิทรี เมดเวเดฟ กล่าวว่าอย่างไรก็ตามความอดทนของมอสโกนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีขีดจำกัด โดยเสนอว่ารัสเซียอาจตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยนิวเคลียร์หากชาติตะวันตกยอมให้เคียฟใช้ขีปนาวุธที่พวกเขาจัดหามาเพื่อโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย

    เคียฟเรียกร้องให้ยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ตั้งแต่อย่างน้อยในเดือนพฤษภาคม เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อหลายแห่งกล่าวว่าวอชิงตันและลอนดอนจะส่งมอบอาวุธพิสัยไกลให้เคียฟในเร็วๆ นี้ หรือแอบตกลงอย่างลับๆไปแล้ว

    ในโพสต์บนช่อง Telegramเมื่อวันเสาร์ เมดเวเดฟเขียนว่าผู้นำตะวันตกหลอกตัวเองให้รู้สึกปลอดภัย โดยคิดว่ามอสโกกำลังบลัฟจากการออกคำเตือนถึงผลที่ตามมาร้ายแรงจากการที่ตะวันตกยอมให้เคียฟโจมตีรัสเซียด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล เจ้าหน้าที่รายนี้ เมดเวเดฟเคยเป็นประธานาธิบดีรัสเซียตั้งแต่ปี 2028-2012 กล่าวว่ารัสเซียตระหนักดี โจมตีด้วยนิวเคลียร์จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ

    “เป็นเพราะเหตุนี้ การตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์... จึงยังไม่เกิดขึ้น” เมดเวเดฟเน้นย้ำ เขาเสริมว่า “ข้อกำหนดเบื้องต้นอย่างเป็นทางการสำหรับสิ่งนี้ ซึ่งประชาคมโลกทั้งหมดสามารถเข้าใจได้ และที่กำหนดโดยหลักนิยมในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของเรานั้นมีผลบังคับใช้แล้ว” เขายกตัวอย่างการรุกของยูเครนในภูมิภาคเคิร์สค์เป็นตัวอย่างหนึ่ง

    รัสเซียกำลังแสดงความอดทน” เขากล่าว พร้อมเตือนว่า “ความอดทนมีขีดจำกัดอยู่เสมอ”

    เมดเวเดฟกล่าวต่อไปว่า รัสเซียสามารถตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของชาติตะวันตกด้วยอาวุธใหม่บางประเภท ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนิวเคลียร์ แต่มีอานุภาพทำลายล้างสูง

    เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียแย้งว่ากองทัพยูเครนไม่สามารถปฏิบัติการระบบพิสัยไกลของตะวันตกได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องใช้ข่าวกรองจากดาวเทียมของ NATO และเจ้าหน้าที่ทหารของชาติตะวันตก ด้วยเหตุนี้ หากชาติตะวันตกยอมให้เคียฟโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในรัสเซีย “นี่จะหมายความว่าประเทศใน NATO, สหรัฐอเมริกา, ประเทศในยุโรปกำลังทำสงครามกับรัสเซียโดยตรง” ปูตินกล่าว

    ที่มา RT
    รัสเซียมีเหตุผลเพียงพอที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่ยังยับยั้งชั่งใจอยู่ ตลอดช่วงความขัดแย้งในยูเครน รัสเซียมีเหตุผลมากมายที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่จนถึงขณะนี้ได้ใช้ความยับยั้งชั่งใจ รองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย มิทรี เมดเวเดฟ กล่าวว่าอย่างไรก็ตามความอดทนของมอสโกนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีขีดจำกัด โดยเสนอว่ารัสเซียอาจตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยนิวเคลียร์หากชาติตะวันตกยอมให้เคียฟใช้ขีปนาวุธที่พวกเขาจัดหามาเพื่อโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย เคียฟเรียกร้องให้ยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ตั้งแต่อย่างน้อยในเดือนพฤษภาคม เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อหลายแห่งกล่าวว่าวอชิงตันและลอนดอนจะส่งมอบอาวุธพิสัยไกลให้เคียฟในเร็วๆ นี้ หรือแอบตกลงอย่างลับๆไปแล้ว ในโพสต์บนช่อง Telegramเมื่อวันเสาร์ เมดเวเดฟเขียนว่าผู้นำตะวันตกหลอกตัวเองให้รู้สึกปลอดภัย โดยคิดว่ามอสโกกำลังบลัฟจากการออกคำเตือนถึงผลที่ตามมาร้ายแรงจากการที่ตะวันตกยอมให้เคียฟโจมตีรัสเซียด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล เจ้าหน้าที่รายนี้ เมดเวเดฟเคยเป็นประธานาธิบดีรัสเซียตั้งแต่ปี 2028-2012 กล่าวว่ารัสเซียตระหนักดี โจมตีด้วยนิวเคลียร์จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ “เป็นเพราะเหตุนี้ การตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์... จึงยังไม่เกิดขึ้น” เมดเวเดฟเน้นย้ำ เขาเสริมว่า “ข้อกำหนดเบื้องต้นอย่างเป็นทางการสำหรับสิ่งนี้ ซึ่งประชาคมโลกทั้งหมดสามารถเข้าใจได้ และที่กำหนดโดยหลักนิยมในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของเรานั้นมีผลบังคับใช้แล้ว” เขายกตัวอย่างการรุกของยูเครนในภูมิภาคเคิร์สค์เป็นตัวอย่างหนึ่ง รัสเซียกำลังแสดงความอดทน” เขากล่าว พร้อมเตือนว่า “ความอดทนมีขีดจำกัดอยู่เสมอ” เมดเวเดฟกล่าวต่อไปว่า รัสเซียสามารถตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของชาติตะวันตกด้วยอาวุธใหม่บางประเภท ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนิวเคลียร์ แต่มีอานุภาพทำลายล้างสูง เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียแย้งว่ากองทัพยูเครนไม่สามารถปฏิบัติการระบบพิสัยไกลของตะวันตกได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องใช้ข่าวกรองจากดาวเทียมของ NATO และเจ้าหน้าที่ทหารของชาติตะวันตก ด้วยเหตุนี้ หากชาติตะวันตกยอมให้เคียฟโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในรัสเซีย “นี่จะหมายความว่าประเทศใน NATO, สหรัฐอเมริกา, ประเทศในยุโรปกำลังทำสงครามกับรัสเซียโดยตรง” ปูตินกล่าว ที่มา RT
    Like
    25
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1206 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts