• การเดินทางมนุษย์โบราณไปที่ดินแดน Sahul (ออสเตรเลีย-นิวกินี-แทสเมเนีย) เมื่อราว 60,000 ปีก่อน

    นักวิจัยวิเคราะห์ DNA มัยโตคอนเดรียกว่า 2,500 ตัวอย่าง จากชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย นิวกินี โอเชียเนีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบหลักฐานชัดเจนว่า การเข้ามาของมนุษย์ใน Sahul ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเส้นทางเดียว แต่มีทั้งสายพันธุ์ที่เดินทางผ่าน เส้นทางใต้ (Southern Route) และ เส้นทางเหนือ (Northern Route)

    เส้นทางใต้และเหนือ
    เส้นทางใต้: ผ่านมาเลเซีย ชวา และติมอร์ เข้าสู่ Sahul ทางฝั่งเมืองดาร์วินในปัจจุบัน
    เส้นทางเหนือ: ผ่านฟิลิปปินส์และสุลาเวสี เข้าสู่ปาปัวนิวกินีและตอนเหนือของควีนส์แลนด์

    การวิเคราะห์พบว่า 64% ของสายพันธุ์แรกเริ่มมาจากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มที่มาจากเส้นทางเหนือยังคงแพร่กระจายต่อไปถึงหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน

    ความหมายต่อประวัติศาสตร์มนุษย์
    ผลการศึกษานี้สนับสนุนทฤษฎี “Long Chronology” ที่เชื่อว่ามนุษย์เข้ามาในออสเตรเลียตั้งแต่ราว 60,000 ปีก่อน ไม่ใช่ 45,000–50,000 ปีตามทฤษฎีเดิม การค้นพบยังสะท้อนถึงความสามารถในการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรกที่น่าทึ่ง

    ก้าวต่อไป
    นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่าการขาดแคลน DNA โบราณจากเอเชียใต้และ Sahul ยังเป็นข้อจำกัด หากได้ข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยยืนยันรายละเอียดของการอพยพและการผสมพันธุ์ระหว่างกลุ่มมนุษย์ในภูมิภาคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    มนุษย์โบราณเข้าสู่ Sahul ราว 60,000 ปีก่อน
    สนับสนุนทฤษฎี Long Chronology

    มีสองเส้นทางหลักในการอพยพ
    เส้นทางใต้ผ่านชวา–ติมอร์
    เส้นทางเหนือผ่านฟิลิปปินส์–สุลาเวสี

    สัดส่วนการอพยพ
    64% จากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ

    เส้นทางเหนือแพร่กระจายต่อไปยังหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน
    แสดงถึงการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรก

    ยังขาดข้อมูล DNA โบราณจากบางภูมิภาค
    ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันรายละเอียดการอพยพ

    https://www.sciencealert.com/dna-analysis-reveals-two-routes-ancient-humans-used-to-reach-australia
    👣 การเดินทางมนุษย์โบราณไปที่ดินแดน Sahul (ออสเตรเลีย-นิวกินี-แทสเมเนีย) เมื่อราว 60,000 ปีก่อน นักวิจัยวิเคราะห์ DNA มัยโตคอนเดรียกว่า 2,500 ตัวอย่าง จากชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย นิวกินี โอเชียเนีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบหลักฐานชัดเจนว่า การเข้ามาของมนุษย์ใน Sahul ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเส้นทางเดียว แต่มีทั้งสายพันธุ์ที่เดินทางผ่าน เส้นทางใต้ (Southern Route) และ เส้นทางเหนือ (Northern Route) 🌍 เส้นทางใต้และเหนือ 🧭 เส้นทางใต้: ผ่านมาเลเซีย ชวา และติมอร์ เข้าสู่ Sahul ทางฝั่งเมืองดาร์วินในปัจจุบัน 🧭 เส้นทางเหนือ: ผ่านฟิลิปปินส์และสุลาเวสี เข้าสู่ปาปัวนิวกินีและตอนเหนือของควีนส์แลนด์ การวิเคราะห์พบว่า 64% ของสายพันธุ์แรกเริ่มมาจากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มที่มาจากเส้นทางเหนือยังคงแพร่กระจายต่อไปถึงหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน 🔬 ความหมายต่อประวัติศาสตร์มนุษย์ ผลการศึกษานี้สนับสนุนทฤษฎี “Long Chronology” ที่เชื่อว่ามนุษย์เข้ามาในออสเตรเลียตั้งแต่ราว 60,000 ปีก่อน ไม่ใช่ 45,000–50,000 ปีตามทฤษฎีเดิม การค้นพบยังสะท้อนถึงความสามารถในการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรกที่น่าทึ่ง 🚀 ก้าวต่อไป นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่าการขาดแคลน DNA โบราณจากเอเชียใต้และ Sahul ยังเป็นข้อจำกัด หากได้ข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยยืนยันรายละเอียดของการอพยพและการผสมพันธุ์ระหว่างกลุ่มมนุษย์ในภูมิภาคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ มนุษย์โบราณเข้าสู่ Sahul ราว 60,000 ปีก่อน ➡️ สนับสนุนทฤษฎี Long Chronology ✅ มีสองเส้นทางหลักในการอพยพ ➡️ เส้นทางใต้ผ่านชวา–ติมอร์ ➡️ เส้นทางเหนือผ่านฟิลิปปินส์–สุลาเวสี ✅ สัดส่วนการอพยพ ➡️ 64% จากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ ✅ เส้นทางเหนือแพร่กระจายต่อไปยังหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน ➡️ แสดงถึงการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรก ‼️ ยังขาดข้อมูล DNA โบราณจากบางภูมิภาค ⛔ ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันรายละเอียดการอพยพ https://www.sciencealert.com/dna-analysis-reveals-two-routes-ancient-humans-used-to-reach-australia
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    DNA Analysis Reveals Two Routes Ancient Humans Used to Reach Australia
    The first humans arrived upon the landmass now known as Australia around 60,000 years ago along two distinct routes, according to a new genomics study.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • มาเลเซียนับหนึ่งอีกครั้ง ค้นหาเที่ยวบินปริศนา MH370

    กระทรวงคมนาคมมาเลเซียประกาศว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 จะเริ่มต้นใหม่ โดยบริษัท โอเชียน อินฟินิตี (Ocean Infinity) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังคงมั่นคงในความพยายามในการหาคําตอบ และแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด

    ถ้อยแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ได้ยืนยันต่อรัฐบาลมาเลเซียว่า จะเริ่มดำเนินการค้นหาใต้ทะเลอีกครั้งเป็นเวลา 55 วัน โดยจะดำเนินการเป็นระยะ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ได้รับการประเมินว่ามีโอกาสสูงสุดที่จะระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ ตามข้อตกลงการให้บริการที่ลงนามระหว่างกัน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิจารณ์จากชาวมาเลเซีย ทั้งเห็นด้วยในการค้นหา เพราะต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลถึงสาเหตุที่เครื่องบินหายไป บ้างก็ไม่เห็นด้วยหากต้องใช้เงินภาษีประชาชน แนะว่าให้นำเงินจำนวนมหาศาลไปช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากลำบากดีกว่า ถึงกระนั้น ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชนมีเงื่อนไขก็คือ รัฐบาลจะจ่ายเงินหากพบชิ้นส่วนเครื่องบินเท่านั้น

    หากค้นพบซากเครื่องบิน รัฐบาลมาเลเซียจะต้องจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนดังกล่าว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,230 ล้านบาท)

    เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 ออกจากท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้โดยสาร 227 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และลูกเรือ 12 คน รวม 239 คน แต่ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังออกจากสนามบินต้นทาง

    ตามรายงานการสอบสวน 495 หน้า ระบุว่า ระบบควบคุมของเครื่องบิน อาจถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยเจตนา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และยังไม่ได้สรุปผลว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับการค้นพบซากเครื่องบิน

    แม้จะมีปฎิบัติการค้นหาร่วมกันทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน มีเพียงค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆ ที่เชื่อว่ามาจากเครื่องบินลำดังกล่าวตามแนวชายฝั่งทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศโมซัมบิก มาดากัสการ์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส

    กรณีนี้นอกจากจะเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายแล้ว ยังเป็นบาดแผลทางจิตใจให้กับครอบครัวผู้สูญหาย ซึ่งเรียกร้องให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ บริษัทโบอิ้ง บริษัทโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ และบริษัทประกันภัยอลิอันซ์จ่ายเงินเยียวยา

    #Newskit
    มาเลเซียนับหนึ่งอีกครั้ง ค้นหาเที่ยวบินปริศนา MH370 กระทรวงคมนาคมมาเลเซียประกาศว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 จะเริ่มต้นใหม่ โดยบริษัท โอเชียน อินฟินิตี (Ocean Infinity) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังคงมั่นคงในความพยายามในการหาคําตอบ และแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ถ้อยแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ได้ยืนยันต่อรัฐบาลมาเลเซียว่า จะเริ่มดำเนินการค้นหาใต้ทะเลอีกครั้งเป็นเวลา 55 วัน โดยจะดำเนินการเป็นระยะ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ได้รับการประเมินว่ามีโอกาสสูงสุดที่จะระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ ตามข้อตกลงการให้บริการที่ลงนามระหว่างกัน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิจารณ์จากชาวมาเลเซีย ทั้งเห็นด้วยในการค้นหา เพราะต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลถึงสาเหตุที่เครื่องบินหายไป บ้างก็ไม่เห็นด้วยหากต้องใช้เงินภาษีประชาชน แนะว่าให้นำเงินจำนวนมหาศาลไปช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากลำบากดีกว่า ถึงกระนั้น ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชนมีเงื่อนไขก็คือ รัฐบาลจะจ่ายเงินหากพบชิ้นส่วนเครื่องบินเท่านั้น หากค้นพบซากเครื่องบิน รัฐบาลมาเลเซียจะต้องจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนดังกล่าว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,230 ล้านบาท) เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 ออกจากท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้โดยสาร 227 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และลูกเรือ 12 คน รวม 239 คน แต่ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังออกจากสนามบินต้นทาง ตามรายงานการสอบสวน 495 หน้า ระบุว่า ระบบควบคุมของเครื่องบิน อาจถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยเจตนา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และยังไม่ได้สรุปผลว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับการค้นพบซากเครื่องบิน แม้จะมีปฎิบัติการค้นหาร่วมกันทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน มีเพียงค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆ ที่เชื่อว่ามาจากเครื่องบินลำดังกล่าวตามแนวชายฝั่งทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศโมซัมบิก มาดากัสการ์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส กรณีนี้นอกจากจะเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายแล้ว ยังเป็นบาดแผลทางจิตใจให้กับครอบครัวผู้สูญหาย ซึ่งเรียกร้องให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ บริษัทโบอิ้ง บริษัทโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ และบริษัทประกันภัยอลิอันซ์จ่ายเงินเยียวยา #Newskit
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • มาเลเซียกวาดล้างซาวนาชาย เอ็นจีโอโวยละเมิดเลือกปฎิบัติ

    การกวาดล้างสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ระบุว่าแฝงกิจกรรมทางเพศแบบเพศเดียวกันในมาเลเซีย เริ่มจากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. กองบังคับการ 7 (D7) ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอั่งยี่ การพนันและอบายมุข ของตำรวจกัวลาลัมเปอร์ ร่วมกับกรมศาสนาแห่งดินแดนสหพันธ์ (JAWI) และศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) เข้าทลายคลับสุขภาพย่านโจวคิต (Chow Kit) หลังมีประชาชนร้องเรียน ก่อนสืบสวนและเฝ้าติดตามกว่า 2 สัปดาห์ รวบผู้ต้องสงสัยเป็นลูกค้า 201 ราย พนักงาน 7 ราย อายุระหว่าง 19-60 ปี พร้อมของกลางถุงยางอนามัยและสิ่งของอื่นๆ ที่เชื่อว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม

    อาคารมีทั้งหมด 2 ชั้น เปิดมานานกว่า 8-10 เดือน มีการโปรโมตสถานที่ผ่านโซเชียลมีเดีย และบอกเล่าแบบปากต่อปากจากลูกค้าประจำ ผู้เข้าใช้บริการต้องลงทะเบียน 10 ริงกิตเพื่อเปิดบัตรสมาชิก หลังจากนั้นเสียค่าบริการครั้งละ 35 ริงกิต ลูกค้ามีทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ นักศึกษา นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เยอรมนี และจีน อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ต้องหา 171 รายได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลไปฎิเสธคำร้องขอส่งตัวผู้ต้องหา เนื่องจากยื่นคำร้องล่าช้า ส่วนชาวต่างชาติ 31 ราย ถูกควบคุมตัว

    ต่อมาวันที่ 30 พ.ย. กองกำกับการ 7 ของสำนักงานตำรวจเขตเซเบอรังเปอไร (Seberang Perai) รัฐปีนัง ร่วมกับหน่วยปฎิบัติการด้านใบอนุญาตของสภาเขตเซเบอรังเปอไร บุกซาวนาในอาคาร 3 ชั้น ย่านบูกิตเมอร์ตาจัม (Bukit Mertajam) หลังถูกร้องเรียนว่าถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย รวบผู้ดูแลสถานที่ 2 ราย ลูกค้า 11 ราย อายุระหว่าง 19 ถึง 66 ปี รวมถึงชาวต่างชาติ 2 คน ประกอบด้วยคนไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน พร้อมตรวจยึดถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากการสืบสวนพบว่าซาวนาแห่งนี้เปิดมานานกว่า 5 ปี แต่เพิ่งเริ่มดึงดูดลูกค้าเข้าร่วมทำกิจกรรมทางเพศเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา

    การบุกทลายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ด้วยข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายชารีอะห์ตามหลักศาสนาอิสลาม กำลังเป็นที่วิจารณ์จากองค์กรพัฒนาเอกชน 2 แห่ง ตำหนิว่ามีสื่อมวลชนละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ถูกจับกุม ส่งผลกระทบในทางลบต่อชีวิต และการดำรงชีวิตของคนที่เปราะบางอยู่แล้วในสังคม เนื่องจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลมาเลเซีย ในการยับยั้งการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศ อีกทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหลงเหลือจากศีลธรรมในยุคอาณานิคม ที่มุ่งเป้า ตีตรา และเป็นอันตรายต่อชุมชนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)

    #Newskit
    มาเลเซียกวาดล้างซาวนาชาย เอ็นจีโอโวยละเมิดเลือกปฎิบัติ การกวาดล้างสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ระบุว่าแฝงกิจกรรมทางเพศแบบเพศเดียวกันในมาเลเซีย เริ่มจากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. กองบังคับการ 7 (D7) ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอั่งยี่ การพนันและอบายมุข ของตำรวจกัวลาลัมเปอร์ ร่วมกับกรมศาสนาแห่งดินแดนสหพันธ์ (JAWI) และศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) เข้าทลายคลับสุขภาพย่านโจวคิต (Chow Kit) หลังมีประชาชนร้องเรียน ก่อนสืบสวนและเฝ้าติดตามกว่า 2 สัปดาห์ รวบผู้ต้องสงสัยเป็นลูกค้า 201 ราย พนักงาน 7 ราย อายุระหว่าง 19-60 ปี พร้อมของกลางถุงยางอนามัยและสิ่งของอื่นๆ ที่เชื่อว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม อาคารมีทั้งหมด 2 ชั้น เปิดมานานกว่า 8-10 เดือน มีการโปรโมตสถานที่ผ่านโซเชียลมีเดีย และบอกเล่าแบบปากต่อปากจากลูกค้าประจำ ผู้เข้าใช้บริการต้องลงทะเบียน 10 ริงกิตเพื่อเปิดบัตรสมาชิก หลังจากนั้นเสียค่าบริการครั้งละ 35 ริงกิต ลูกค้ามีทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ นักศึกษา นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เยอรมนี และจีน อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ต้องหา 171 รายได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลไปฎิเสธคำร้องขอส่งตัวผู้ต้องหา เนื่องจากยื่นคำร้องล่าช้า ส่วนชาวต่างชาติ 31 ราย ถูกควบคุมตัว ต่อมาวันที่ 30 พ.ย. กองกำกับการ 7 ของสำนักงานตำรวจเขตเซเบอรังเปอไร (Seberang Perai) รัฐปีนัง ร่วมกับหน่วยปฎิบัติการด้านใบอนุญาตของสภาเขตเซเบอรังเปอไร บุกซาวนาในอาคาร 3 ชั้น ย่านบูกิตเมอร์ตาจัม (Bukit Mertajam) หลังถูกร้องเรียนว่าถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย รวบผู้ดูแลสถานที่ 2 ราย ลูกค้า 11 ราย อายุระหว่าง 19 ถึง 66 ปี รวมถึงชาวต่างชาติ 2 คน ประกอบด้วยคนไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน พร้อมตรวจยึดถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากการสืบสวนพบว่าซาวนาแห่งนี้เปิดมานานกว่า 5 ปี แต่เพิ่งเริ่มดึงดูดลูกค้าเข้าร่วมทำกิจกรรมทางเพศเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา การบุกทลายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ด้วยข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายชารีอะห์ตามหลักศาสนาอิสลาม กำลังเป็นที่วิจารณ์จากองค์กรพัฒนาเอกชน 2 แห่ง ตำหนิว่ามีสื่อมวลชนละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ถูกจับกุม ส่งผลกระทบในทางลบต่อชีวิต และการดำรงชีวิตของคนที่เปราะบางอยู่แล้วในสังคม เนื่องจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลมาเลเซีย ในการยับยั้งการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศ อีกทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหลงเหลือจากศีลธรรมในยุคอาณานิคม ที่มุ่งเป้า ตีตรา และเป็นอันตรายต่อชุมชนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด บทส่งท้าย ตอนที่ 1-4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” 
    บทส่งท้าย

ตอน 1
    ตกลง ดูๆไป เหมือนญี่ปุ่นลอยตัวอยู่เหนือสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงไม่เป็นผู้ชนะ แต่ก็เหมือนไม่ได้เป็นผู้แพ้ มีชาวญี่ปุ่น ตายแยะ บ้านเมืองฉิบหายเยอะก็จริงอยู่ แต่ที่ญี่ปุ่นไปรุกรานย่ำยีเขา เขาก็แหลกราญ ยับเยินไม่น้อยกว่า หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนญี่ปุ่นไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย เมื่อเทียบกับการกระทำของญี่ปุ่น
    ตั้งแต่อเมริกาเข้าไปใช้อำนาจปกครองญี่ปุ่นโดย SCAP ฝ่ายญี่ปุ่น ที่น่าจะมีผู้รับผิดชอบ ในการนำหรือส่งเสริมให้ญี่ปุ่นทำสงคราม ก็แทบจะหาผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริงไม่เจอ เห็นแต่เงารางๆ กับคำขอโทษที่ยังกำกวม และไม่ช่วยทำให้ผู้ที่ถูกญี่ปุ่นย่ำยี นอนตาหลับ
    การชดใช้ค่าเสียหายของญี่ปุ่นกับเยอรมัน ในฐานะผู้ทำแพ้สงคราม ต่างกันสื้นเชิง
    เยอรมันถูกฝ่ายอังกฤษและยุโรปตอกหมุด ดิ้นไม่ออก จ่ายค่าเสียหายไปประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญ และค่าชดเชยรายเดือน อยู่อีกหลายสิบปี
    ส่วนญี่ปุ่น อเมริกาบอกว่า ญี่ปุ่นล้มละลาย ทั้งด้านทรัพย์สิน และด้านจิตใจ หลังจากกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป เพราะฉะนั้น จ่ายค่าเสียหายเพียง 2 พันล้านเหรียญ ที่เหลือ SCAP บอกว่า รอรับเป็นอาวุธ (เหลือสงคราม) และเครื่องจักรเก่า หรือเครื่องจักรใหม่ ที่ผลิต จากทรัพยากร ที่ไปขโมยเขามาได้ไหม หรือจะเอาเป็นเครื่องจักรใหม่เอี่ยม ที่อเมริกาจะให้ผลิต แต่ไม่ได้ให้ฟรีนะ ให้แบบลดราคา ส่วนต่างจ่ายเป็นอาหาร โอ้ย เงื่อนไขแยะ สรุปว่า แทบไม่มีใครได้อะไรจากญี่ปุ่น นอกจากอเมริกา
    ฝ่ายอังกฤษและยุโรปบอก แล้วพวกทหารของฝ่ายเรา ที่ญี่ปุ่นจับไปขังให้กินขี้ กินโคลน อยู่ค่ายกักกันที่สิงคโปร์ ประมาณ 5 หมื่นกว่าคน กว่าจะหลุดออกมาหลังสงครามโลก ตายไป เกือบครึ่ง ลืมไปแล้วหรือ นี่ยังไม่ได้นับการสร้างสพานข้ามแม่น้ำแควอันโด่งดังว่า พวกทหารฝรั่งถูกทารุณกันขนาดไหน จะชดเชย จะขอโทษอย่างไร
    ในที่สุด ไม่รู้อเมริกาตกลงอะไรกับอังกฤษ ตอนหลัง เสียงบ่นของชาวเกาะใหญ่ เงียบเช่นเป่าสาก
    ฝ่ายเอเซียเองบอกว่า เราก็ไม่ลืม เรื่องนานกิง เรื่องเมียหมอนข้าง ที่ญี่ปุ่นกวาดต้อนเอา ไปใช้สอยในช่วงสงครามอย่างทารุณ ข่มขืนทั้งร่างกายและจิตใจ มีประมาณกว่าแสนคน ส่วนใหญ่ อายุ 14 ถึง 18 และไม่ลืมเรื่องการปล้นบ้านเมืองของเราอย่างตะกระทารุณและเหี้ยมโหด แต่ไม่มีใครมาตกลงกับจีน ไม่มีคำขอโทษ โลกแทบไม่รู้เรื่อง เพราะฮอลลีวู้ดมัวแต่ทำหนังเรื่องยิว สำหรับเกาหลี ญี่ปุ่นบอกเสียใจ แต่ไม่เคยขอโทษ เพิ่งมาพูดปีนี้ แต่ก็บอกว่า ชนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น ไม่ต้องรับผิดชอบ เรื่องผ่านไปแล้ว (เดี๋ยวจะสับสนกับเรื่องใหม่ ที่กำลังจะต้องทำ ?!)
    สำหรับเยอรมัน ฝ่ายใช้อำนาจปกครอง คุ้ยแคะทอง เพชร แม้กระทั่งฝันทองในปากชาวยิว ฮอลลีวู้ด ยังทำเอาไปทำหนัง งัดฟันทองยิวให้ดู จนคนด่าเช็ดเยอรมันทั้งโรงหนัง ด้านเยอรมัน ถูกแจงทุกรายการ เพราะมียิวคอยจ้อง คอยฟ้อง และเพราะคนคอยแบ่ง มีหลายพวก จ้องกันทั้งตาทั้งปากมันแผลบ ส่วนการดำเนินคดีกับพวกนาซีที่ฆ่าโหดชาวยิว ถูกจับมาดำเนินคดีไปแล้วหลายคน ผ่านไป 70 ปี คดียังไม่จบก็มี ยังต้องพยุงกันมาศาล เมื่อ 2,3 ก็ยังมีข่าวอยู่ ส่วนพวกที่หนีรอด ก็เผ่นไปกบดาน เปลี่ยนชื่ออยู่แถวบราซิล อเมริกาใต้ จนแถวนั้น มีแต่ผิวน้ำตาล แต่ผมทอง ตาสีฟ้า กลายเป็นนางแบบ ค่าตัวแพง
    แต่สำหรับญี่ปุ่น ดูเหมือนเรื่องจะหายเงียบแทบไม่มีอะไรโผล่ ( เหมือนนิทานเรื่องจริง ที่ถูกบีบท่อ ไม่ให้นิทานโผล่ ผมไปตกลงแพ้สงครามกับมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ หือ !) จะมีก็แต่ นายพลโตโจผู้บัญชาการรบ และนายทหารคนสนิทไม่กี่คน ที่แอ่นอก (นี่ถ้าอดีตนายกฯ คนหนึ่งมาอ่าน หล่อนจะอ่านออกไหม เดี๋ยวจะงงว่า แอ่ นอก คืออะไร อ๋อ ไม่อ่านหรือครับ ไม่ชอบอ่านหนังสือ… มิน่า..) ยอมรับกรรม (แทนคนอื่นๆอีกหลายคน) เมื่อมีคนมากล่อมเขา ให้บอกว่า เขาเป็นคนสั่งให้กองทัพญี่ปุ่นทำสงคราม และเคลื่อนพล ลงมาทางแปซืฟิกใต้ โตโจ บอกไม่มีปัญหา เขารู้หน้าที่ ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ยิงขมับตัวเองฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย ไปนอนโรงพยาบาลอยู่ในคุกซุกาโมแทน พอหาย ก็ไปรับโทษ ถูกแขวนคอ พร้อมกับลูกน้อง ไม่กี่คน
###############
ตอน 2
    หลังจาก นาย Atcheson เครื่องบินตกตาย มีคนแคลงใจ เรื่องที่ SCAP บอก ญี่ปุ่นล้มละลาย เสนอให้ประธานาธิบดีทรูแมน ส่งคนมาตรวจสอบ ทรูแมน ส่ง นาย Edwin S Pauley เศรษฐี น้ำมัน จากพรรค Democrat มาประเมินเศรษฐกิจ ของญีปุ่น ว่า เจ๊งจริงหรือเปล่า จะมีปัญญาใช้หนี้ชาวบ้าน เขาบ้างไหม ไหนว่าปล้นทรัพย์เขามาแยะ นาย Pauley บินมาตรวจสอบที่ญี่ปุ่น เขาตามเจอ บัญชีลับต่างๆ ที่อยู่นอกประเทศ เช่นที่ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และอาร์เจนตินา เขา รายงานว่า บัญชีพวกนั้น เป็น ทรัพย์สินส่วนตัว ของ พวกนักธุรกิจใหญ่ zaibatsu ที่ไม่เกี่ยวกับการทำสงครามเลยนะ อ้าว
    แต่ ในช่วงไม่กี่เดือน ก่อนสงครามจะจบ ทหารพรานอเมริกัน ลูกครึ่ง อเมริกัน-ฟิลิปปิโน นาย Servino Garcia Santa Romana สังกัดหน่วย โอเอสเอส (หน่วยข่าวกรองของอเมริกา ก่อน เปลี่ยนชื่อ เป็น ซีไอเอ) ที่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่แถวภูเขาที่เกาะลูซอน ฟิลิปปีนส์ แอบเห็นกองทัพญี่ปุ่น ใช้รถบรรทุก เป็นขบวน ขนหีบ ท่าทางหนักอึ้ง เข้าไปในถ้ำ หลายรอบจนนับไม่ถ้วน เลย แอบตามไปล็อคคอทหารญี่ปุ่นมาสอบถาม ได้ความว่า เป็นหีบบรรจุทองแท่งทั้งนั้น ส้มหล่นใส่อย่างไม่นึกฝัน ฝ่ายทหารอเมริกันจึงสั่งปิดตายถ้ำ วางกับระเบิดกันไว้ พร้อมจัดยามเฝ้า
    หลังสงครามเลิก นายพลแมค กลับมาลูซอน พร้อมนายพล Charles Willoughby ลูกน้องคนสนิท และพวกหน่วยข่าวกรองอีกหลายโหล ช่วยกันเปิดถ้ำ ขนทองออกไป หลังจากนั้น ก็ปิดตายถ้ำอีกรอบ
    เขาว่า ทองที่ขนกันไป ทอง Santa Romana พวกเขาเรียกกันอย่างนั้น นอกจาก 2 นายพลใหญ่ จะรู้แล้ว หัวหน้าใหญ่ OSS นายพล Donovan ก็รู้ และ แน่นอน Herbert Hoover ก็รู้ ทอง Santa Romana ไม่ได้ส่งคืนเจ้าของ แต่ ฝ่ายอเมริกัน ขนขึ้นเรือรบ นำไปฝาก ใน ธนาคาร 42 ประเทศ แยกเป็น 176 บัญชี ตัวเลขที่เปิดเผย คือ ทอง จำนวน 20,000 ตัน ตันนะครับ ไม่ใช่กิโล ไม่ใช่บาท
    บางส่วนของทอง แบ่งเอาไปใช้ในกิจการ นอกระบบ ของ ซีไอเอ เหมือน รายได้จากพวกฝิ่น เฮโรอีน แถวฉาน พม่า ลาว สามเหลี่ยมทองคำ นั่นแหละ ไม่ต้องกวนภาษีประชาชนคนอเมริกัน และไม่ต้องขออนุญาตรัฐสภา เวลาจะปฏิบัติการ ไม่ต้องแจงรายละเอียด ส่วนที่เหลือไปไหนบ้าง หนังสือที่อ่านไม่บอก ผมรู้แต่ว่า คนเขียนหนังสือ ที่เล่าข้อมูลฝ่ายญี่ปุ่น เขียนเสร็จ พอหนังสือออกขาย เขาต้องย้ายบ้าน ย้ายประเทศ
###############
ตอน 3
    หลังครามโลก พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP ที่คลอดในคุกซุกาโม มียากูซ่า เป็นหมอตำแย ก็เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารญี่ปุ่น มาจนถึงทุกวันนี้
    หลังสงครามโลก กลุ่มอเมริกัน มอร์แกน เสียตำแหน่งเจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมทุกปีกในอเมริกา ให้แก่ กลุ่มอเมริกัน ร้อกกี้เฟลเลอร์ เขาว่า เพราะมอร์แกน แทงม้าผิดตัว ทุ่มผิดที่ นึกว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ จะเคี้ยวเหยื่อ เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ มันไม่มีอะไรแน่นอนตลอดเวลาหรอก พวกเอ็งควรศึกษาศาสนาพุทธ ให้เข้าใจ ถึงเรื่องการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเสียบ้าง จะได้ไม่ตะกระตะกรามขนาดนี้ ส่วนร้อกกี้ อาศัยเทคนิคใหม่ ล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องใช้เงินถม ไม่ต้องใช้กองทัพคนมากมาย อย่างชาวเกาะใหญ่ แค่ใช้กองทัพลมปาก กับตั้งโรงงานฟอกย้อมความคิดให้มากหน่อย ลงทุนครั้งเดียว ผ่านมา 70 ปี สีย้อมยังติดทนดีอยู่เลย เฮ้ย เหนื่อยใจ
    หลังสงครามโลก John McCloy เป็นผู้อำนวยการ สถาบัน CFR ตั้งแต่ ปี คศ 1953 ถึง 1970
    MacCloy เป็นใคร สำคัญอย่างไร 
    MacCloy เดิมเป็นทนาย (ทนายอีกแล้ว!) อยู่ในกลุ่มวอลสตรีทกับพวกมอร์แกน ต่อมาแปรพักตร์ ย้ายมาอยู่กลุ่มร้อกกี้ เขาคงมองเห็นอะไร แวบ ๆ พวกทนายพันธุ์นี้ มักจมูกดี ได้กลิ่นเน่าไว เลยย้าย มาอยู่ สนง กฏหมาย Milbank Tweed ซึ่งทำงานให้ตระกูลร้อกกี้ the great กับ เป็นที่ปรึกษากฏหมายใหญ่ ให้ ธนาคาร Chase หลังจากนั้นได้เลื่อนชั้น เป็นประธานกรรมการ ธนาคาร Chase อย่างไม่ต้องรอคิว
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ร้อกกี้ ปราบดา เขี่ยมอร์แกน ไปจนพ้นทาง จึงส่ง MacCloy มาเป็น ประธาน CFR ซึ่งก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกมอร์แกนยึดเก้าอี้ CFR ไว้แน่น นาย MacCloy นี้ เป็นคนไปค้นพบ Henry A Kissinger พวกพันธุ์พิเศษอีกเหมือนกันและเอามามอบตัว ถวายหัวรับใช้ ร้อกกี้ the great เขาเป็นคนกำกับ ควบคุม นโยบายต่างประเทศ ที่ทรงอืทธิพลที่สุด คนหนึ่งของอเมริกา โดยเฉพาะ เกี่ยวกับ เรื่องโซเวียต จีน เวียตนาม อืหร่าน อเมริกาใต้ ใน ช่วงปี 1969 ถึง 1977
    และ เพื่อให้ Grand Area ส่วนที่เป็นเอเซียแปซิฟิก เป็นไปตามแผน ของ War and Peace Studies โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ญี่ปุ่น เป็น ฐานสำคัญ ด้านอุตสาหกรรมและ “อื่นๆ” ให้อเมริกา ในปี คศ 1973 ร้อกกี้ MacCloy และ Kissinger ก็จัดตั้ง Trilateral Commission ขึ้นมา เป็น สาขาลูกของ CFR ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุน และ “อื่นๆ” จากมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เพื่อรับนโยบาย การดำเนืนงาน และประสานงาน ในภูมิภาคนี้ ให้สอดคล้องกับนโยบายของ CFR ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ให้เหมือนกันทั้งโลก ตามที่อเมริกา หรือ CFR ต้องการ สรุปสั้นๆ ตามภาษาแถวบ้านผม แปลว่า “พวกมึงต้องทำตามที่กูบอก” ทำนองนั้นนะครับ
    สมาชิกส่วนใหญ่ ของ Trilateral เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ นักธุรกิจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ ใหญ่ๆทั้งนั้น และ ส่วนใหญ่ มาจากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี มีส่วนน้อยจากอินโดนีเซีย และชาติอื่นๆ ในเอเซีย และอเมริกาใต้
    แล้วมีคนไทยเป็นสมาชิก Trilatteral นี้ไหม มีครับ เปลี่ยนมาหลายรุ่น และผมก็เคยใส่ชื่อ ไปแล้วหลายรอบ เพจพังเกือบทุกรอบ ถ้าใส่อีกรอบ กลัวจะพังมากกว่าเพจ ลองไปค้นหาอ่านกันดู กดดูจากกูเกิลได้ เด็ดๆ ทั้งนั้น หาไม่เจอบอกมาครับ จะเอามาลงให้ ดูซิ มันจะพังอีกรอบไหม ไหนๆ โดยรวนรายวันอยู่แล้ว
##############
ตอน 4
ร้อกกี้ the great น่าจะใช้วิธี “กำกับ ” รัฐบาลอเมริกัน ผ่าน 4 หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงต่างประเทศ, สภาความมั่นคง National Security Council (NSC) , ซีไอเอ และ CFR
    CFR ทำหน้าที่เป็นมันสมอง และ เป็นผู้ “กำกับ” รัฐบาล อีกต่อหนึ่ง
    อิทธิพล ของ CFR มากมายอย่างที่เรานึกไม่ถึง เอาว่า ประธานาธิบดี เกือบทุกคน ไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหน ก็สังกัด CFR ทั้งสิ้น และ เขาว่า ถ้า CFR ไม่เห็นชอบคนไหน คนนั้นก็อย่าเสียเวลา ไปสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เสียเงินเปล่าๆ
    นอกจากนี้ CFR เป็นผู้ส่งสมาชิกของตัว ไปเป็นหัวหน้า และระดับ ผู้บริหาร สำคัญ ในหน่วยงานข้างต้น ทั้ง 3 หน่วย ด้วย รายชื่อสมาชิก ของ CFR มีทั้ง นักการเมือง นักธุรกิจ
    นักการเงิน นักกฏหมาย นักวิชาการ สื่อ รวมถึง ดารา ทั้งหมด ต้องเป็น รุ่นใหญ่ ระดับ class A ใครสนใจในรายละเอียด ในกูเกิลมีเช่นเดียวกัน
    สำหรับญี่ปุ่น เด็กสร้าง ตัวสำคัญ ของอเมริกา (หรือ ร้อกกี้ ) ในการกินเอเซียแปซิฟิก ที่มีพรรค LDP เป็นผู้บริหารประเทศญี่ปุ่นมาเกือบตลอดเวลา ตั้งแต่หลังสงครามโลก ทำหน้าที่ เป็น ฐานอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ ทำกำไรให้อเมริกามากมาย เศรษฐกิจญี่ปุ่น จะขึ้น จะลง ดี เลว ขึ้นอยู่กับความเมตตาของอเมริกาทั้งสิ้น การเมือง การศึกษา สังคม วัฒนธรรมของญี่ปุ่น เปลี่ยนไปตามแม่พิมพ์ ที่อเมริกาจัดส่งให้ อเมริกาต้องการอะไร ฐานทัพหรือ ได้ จัดให้ และ ตอนนี้ ญี่ปุ่น ก็กำลังมีภาระกิจใหญ่ ต้องเป็นซามูไรแบกถาดรับใช้อเมริกา อีกแล้ว ไม่มีปัญหา แบกถาดรับใช้มาตลอดอยู่แล้ว แต่โลกไม่รู้ เพิ่มถาดใหญ่ อีกถาดเป็นไรไป
    และ จีน ก็ยังอยู่ ยังยั่วน้ำลาย น่ากิน เหมือนร้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่จะเคี้ยวทีไร มีอันเป็นไปทุกที
    ร้อยปีก่อน อังกฤษ ปั่นหัวญี่ปุ่น ให้ตีรวนจีน ให้จีนน่วม ก่อนที่อังกฤษ จะไปกิน แต่แล้วอังกฤษ ก็งับลม อเมริกาวางแผนจะกิน จีนพลิกตัว ปิดประตูเมือง เป็นคอมมิวนิสต์ ดีกว่าเป็นอาณานิคมขี้ข้าฝรั่ง
    มาถึงปีนี้ คศ 2015 ผ่านมาร้อยกว่าปี ยังมีคนไม่สิ้นความอยาก และความพยายาม
    CFR ออกรายงาน Revising U.S Grand Strategy Toward China เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา พอสรุปได้ว่า อเมริกา เห็นจีน เป็นคู่แข็งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และต่อไปอีก หลายๆสิบปี … จีนกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ที่มีเป้าหมายจะเข้าไปแทนที่อเมริกา ที่มีสถานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย ….อเมริกา จึงจำเป็นต้องถ่วงดุลยอำนาจจีน …. และการทำให้รากฐานของจีนล่มสลาย (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกา พ้น “ภาระ” การถ่วงดุลยกับจีน …
    อ่านแล้วงง เอาภาษาแถวบ้านผมดีกว่า อเมริกา กำลังบอกจีน ว่า ” …มึงโตไป กูปล่อยให้มึงโตแบบนี้ไม่ได้ กูต้องทำลายมึงให้สิ้นซาก...”
    อเมริกา คงไม่ปล่อยให้จีน ยืนตัวโตค้ำหัวอเมริกา อีกต่อไป อเมริกา ต้อง “ทำอะไร” แล้ว และ Grand Strategy แนะนำ (สั่ง) ให้อเมริกา มอบหมายให้ญี่ปุ่น เป็นหัวหน้า เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในการ “ทำอะไร” ดังนั้น สิ่งที่ อเมริกา และญี่ปุ่นกำลังจับมือกัน ทำเป็นการด่วน คือ ปลดโซ่ล่ามกองทัพญี่ปุ่น ที่ท่านนายพลแมค ล่ามด้วยรัฐธรรมนูญของญึ่ปุ่น มาตรา 9 ที่ห้ามไม่ให้ญี่ปุ่น มีกองกำลัง เว้นแต่เพื่อป้องกันตัวเอง
    วันนี้อเมริกา ต้องการให้ญี่ปุ่น ผู้ชำนาญการป่วนจีน กลับไปใช้ความชำนาญเดิมอีกรอบหนึ่ง เรื่องนี้ รัฐสภาของอเมริกาให้การสนับสนุน ญี่ปุ่นท่วมท้น ให้ญี่ปุ่น มีกองกำลังร่อนไปทั่ว ( และจริงๆ เขาว่า ก็ร่อนออกมาแล้วด้วย ) เรื่อง สงครามโลก การรบกัน การกินดอกเห็ดจนตายเกลื่อน ลืมกันหมดแล้ว ส่วนที่ญี่ปุ่นเอง สภาล่าง ที่ตาหลาน หลานตา คุมอยู่หมัด ผ่านมตินี้แล้วเมื่อเดือนก่อน (กรกฏาคม) เหลือแต่สภาสูง ที่คาดว่าจะลงมติผ่านในเดือนกันยายน ก่อนที่สภาสูงจะปิดในสิ้นเดือนกันยา เพราะตาหลาน หลานตา ก็คุมอยู่เช่นกัน
    แต่ก็น่าสนใจ ล่าสุด ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ ไม่อยากให้สภาผ่านกฏหมายนี้ ไม่อยากเข้าทำสงคราม ไม่อยากแบกถาดอีก กำลังเริ่มออกมาประท้วงหลานตา มากขึ้น ตั้งแต่เดือนที่แล้ว และเมื่อวันที่ 30 สิงหา นี้เอง ชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นคน ออกมาชุมนุมใหญ่ คัดค้านการออกกฏหมายแบกถาด และเรียกร้องให้หลานตาลาออก ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวเรื่องยากูซ่าเเก๊งใหญ่ที่สุดในญี่ปั่น แตกคอกันเอง ทางการญี่ปุ่น อ้างอาจมีการซัดกันกลางเมือง
    เรื่องบังเอิญอีกแล้วหรือ ก็ต้องดูว่า ใบสั่ง หรือ พลังของประชาชนญี่ปุ่นจะชนะ
    ผมเล่าประวัติศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจปัจจุบัน ว่าตอนนี้ เขากำลังทำอะไรกัน เพราะเหตุใด และเมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น มันน่าจะมาจากเรื่องไหน และน่าจะพอให้เรามองออกว่า แล้วมันจะไปต่อทางไหน ถ้าจะให้ดี สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ช่วยกลับไปอ่านนิทาน เรื่อง แผนสอยมังกร กับ เรื่อง ซามูไรแบกถาด ประกอบกับนิทานเรื่องนี้ จะเข้าใจขี้น ว่า การระเบิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่า ในจีน หรือที่ไหน ร่วมทั้งเรื่อง รัสเซีย อิหร่าน ตุรกี เลบานอน และ ล่าสุด มาเลเซีย มันเกี่ยวพันกันหรือไม่ และจะกระทบบ้านเรา หรือไม่อย่างไร
    แล้วก็โปรดอย่าลืม สูตรสำเร็จ ของนักล่า ไม่ว่ารุ่นไหน ยุคไหน กินคำเดียวไม่ไหว ก็ทุบให้น่วมก่อนเคี้ยว แล้วตอนนี้ มันจะทุบที่ไหนบ้าง
    ส่วน เรื่องจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา เมื่อ 100 ปีก่อน มาจนถึงตอนนี้ คงสรุปกันได้แล้ว ว่า ตกลง ใครต้ม ใครซ้อน ใครเจ็บ ใครช้ำ ใครซ่อน ใครรวย ใครโหด ใครเหี้ยม
    แบบนี้ แผล มันก็คงจะตกสะเก็ดยาก….
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
1 ก.ย. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด บทส่งท้าย ตอนที่ 1-4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”  บทส่งท้าย

ตอน 1 ตกลง ดูๆไป เหมือนญี่ปุ่นลอยตัวอยู่เหนือสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงไม่เป็นผู้ชนะ แต่ก็เหมือนไม่ได้เป็นผู้แพ้ มีชาวญี่ปุ่น ตายแยะ บ้านเมืองฉิบหายเยอะก็จริงอยู่ แต่ที่ญี่ปุ่นไปรุกรานย่ำยีเขา เขาก็แหลกราญ ยับเยินไม่น้อยกว่า หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนญี่ปุ่นไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย เมื่อเทียบกับการกระทำของญี่ปุ่น ตั้งแต่อเมริกาเข้าไปใช้อำนาจปกครองญี่ปุ่นโดย SCAP ฝ่ายญี่ปุ่น ที่น่าจะมีผู้รับผิดชอบ ในการนำหรือส่งเสริมให้ญี่ปุ่นทำสงคราม ก็แทบจะหาผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริงไม่เจอ เห็นแต่เงารางๆ กับคำขอโทษที่ยังกำกวม และไม่ช่วยทำให้ผู้ที่ถูกญี่ปุ่นย่ำยี นอนตาหลับ การชดใช้ค่าเสียหายของญี่ปุ่นกับเยอรมัน ในฐานะผู้ทำแพ้สงคราม ต่างกันสื้นเชิง เยอรมันถูกฝ่ายอังกฤษและยุโรปตอกหมุด ดิ้นไม่ออก จ่ายค่าเสียหายไปประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญ และค่าชดเชยรายเดือน อยู่อีกหลายสิบปี ส่วนญี่ปุ่น อเมริกาบอกว่า ญี่ปุ่นล้มละลาย ทั้งด้านทรัพย์สิน และด้านจิตใจ หลังจากกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป เพราะฉะนั้น จ่ายค่าเสียหายเพียง 2 พันล้านเหรียญ ที่เหลือ SCAP บอกว่า รอรับเป็นอาวุธ (เหลือสงคราม) และเครื่องจักรเก่า หรือเครื่องจักรใหม่ ที่ผลิต จากทรัพยากร ที่ไปขโมยเขามาได้ไหม หรือจะเอาเป็นเครื่องจักรใหม่เอี่ยม ที่อเมริกาจะให้ผลิต แต่ไม่ได้ให้ฟรีนะ ให้แบบลดราคา ส่วนต่างจ่ายเป็นอาหาร โอ้ย เงื่อนไขแยะ สรุปว่า แทบไม่มีใครได้อะไรจากญี่ปุ่น นอกจากอเมริกา ฝ่ายอังกฤษและยุโรปบอก แล้วพวกทหารของฝ่ายเรา ที่ญี่ปุ่นจับไปขังให้กินขี้ กินโคลน อยู่ค่ายกักกันที่สิงคโปร์ ประมาณ 5 หมื่นกว่าคน กว่าจะหลุดออกมาหลังสงครามโลก ตายไป เกือบครึ่ง ลืมไปแล้วหรือ นี่ยังไม่ได้นับการสร้างสพานข้ามแม่น้ำแควอันโด่งดังว่า พวกทหารฝรั่งถูกทารุณกันขนาดไหน จะชดเชย จะขอโทษอย่างไร ในที่สุด ไม่รู้อเมริกาตกลงอะไรกับอังกฤษ ตอนหลัง เสียงบ่นของชาวเกาะใหญ่ เงียบเช่นเป่าสาก ฝ่ายเอเซียเองบอกว่า เราก็ไม่ลืม เรื่องนานกิง เรื่องเมียหมอนข้าง ที่ญี่ปุ่นกวาดต้อนเอา ไปใช้สอยในช่วงสงครามอย่างทารุณ ข่มขืนทั้งร่างกายและจิตใจ มีประมาณกว่าแสนคน ส่วนใหญ่ อายุ 14 ถึง 18 และไม่ลืมเรื่องการปล้นบ้านเมืองของเราอย่างตะกระทารุณและเหี้ยมโหด แต่ไม่มีใครมาตกลงกับจีน ไม่มีคำขอโทษ โลกแทบไม่รู้เรื่อง เพราะฮอลลีวู้ดมัวแต่ทำหนังเรื่องยิว สำหรับเกาหลี ญี่ปุ่นบอกเสียใจ แต่ไม่เคยขอโทษ เพิ่งมาพูดปีนี้ แต่ก็บอกว่า ชนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น ไม่ต้องรับผิดชอบ เรื่องผ่านไปแล้ว (เดี๋ยวจะสับสนกับเรื่องใหม่ ที่กำลังจะต้องทำ ?!) สำหรับเยอรมัน ฝ่ายใช้อำนาจปกครอง คุ้ยแคะทอง เพชร แม้กระทั่งฝันทองในปากชาวยิว ฮอลลีวู้ด ยังทำเอาไปทำหนัง งัดฟันทองยิวให้ดู จนคนด่าเช็ดเยอรมันทั้งโรงหนัง ด้านเยอรมัน ถูกแจงทุกรายการ เพราะมียิวคอยจ้อง คอยฟ้อง และเพราะคนคอยแบ่ง มีหลายพวก จ้องกันทั้งตาทั้งปากมันแผลบ ส่วนการดำเนินคดีกับพวกนาซีที่ฆ่าโหดชาวยิว ถูกจับมาดำเนินคดีไปแล้วหลายคน ผ่านไป 70 ปี คดียังไม่จบก็มี ยังต้องพยุงกันมาศาล เมื่อ 2,3 ก็ยังมีข่าวอยู่ ส่วนพวกที่หนีรอด ก็เผ่นไปกบดาน เปลี่ยนชื่ออยู่แถวบราซิล อเมริกาใต้ จนแถวนั้น มีแต่ผิวน้ำตาล แต่ผมทอง ตาสีฟ้า กลายเป็นนางแบบ ค่าตัวแพง แต่สำหรับญี่ปุ่น ดูเหมือนเรื่องจะหายเงียบแทบไม่มีอะไรโผล่ ( เหมือนนิทานเรื่องจริง ที่ถูกบีบท่อ ไม่ให้นิทานโผล่ ผมไปตกลงแพ้สงครามกับมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ หือ !) จะมีก็แต่ นายพลโตโจผู้บัญชาการรบ และนายทหารคนสนิทไม่กี่คน ที่แอ่นอก (นี่ถ้าอดีตนายกฯ คนหนึ่งมาอ่าน หล่อนจะอ่านออกไหม เดี๋ยวจะงงว่า แอ่ นอก คืออะไร อ๋อ ไม่อ่านหรือครับ ไม่ชอบอ่านหนังสือ… มิน่า..) ยอมรับกรรม (แทนคนอื่นๆอีกหลายคน) เมื่อมีคนมากล่อมเขา ให้บอกว่า เขาเป็นคนสั่งให้กองทัพญี่ปุ่นทำสงคราม และเคลื่อนพล ลงมาทางแปซืฟิกใต้ โตโจ บอกไม่มีปัญหา เขารู้หน้าที่ ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ยิงขมับตัวเองฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย ไปนอนโรงพยาบาลอยู่ในคุกซุกาโมแทน พอหาย ก็ไปรับโทษ ถูกแขวนคอ พร้อมกับลูกน้อง ไม่กี่คน
###############
ตอน 2 หลังจาก นาย Atcheson เครื่องบินตกตาย มีคนแคลงใจ เรื่องที่ SCAP บอก ญี่ปุ่นล้มละลาย เสนอให้ประธานาธิบดีทรูแมน ส่งคนมาตรวจสอบ ทรูแมน ส่ง นาย Edwin S Pauley เศรษฐี น้ำมัน จากพรรค Democrat มาประเมินเศรษฐกิจ ของญีปุ่น ว่า เจ๊งจริงหรือเปล่า จะมีปัญญาใช้หนี้ชาวบ้าน เขาบ้างไหม ไหนว่าปล้นทรัพย์เขามาแยะ นาย Pauley บินมาตรวจสอบที่ญี่ปุ่น เขาตามเจอ บัญชีลับต่างๆ ที่อยู่นอกประเทศ เช่นที่ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และอาร์เจนตินา เขา รายงานว่า บัญชีพวกนั้น เป็น ทรัพย์สินส่วนตัว ของ พวกนักธุรกิจใหญ่ zaibatsu ที่ไม่เกี่ยวกับการทำสงครามเลยนะ อ้าว แต่ ในช่วงไม่กี่เดือน ก่อนสงครามจะจบ ทหารพรานอเมริกัน ลูกครึ่ง อเมริกัน-ฟิลิปปิโน นาย Servino Garcia Santa Romana สังกัดหน่วย โอเอสเอส (หน่วยข่าวกรองของอเมริกา ก่อน เปลี่ยนชื่อ เป็น ซีไอเอ) ที่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่แถวภูเขาที่เกาะลูซอน ฟิลิปปีนส์ แอบเห็นกองทัพญี่ปุ่น ใช้รถบรรทุก เป็นขบวน ขนหีบ ท่าทางหนักอึ้ง เข้าไปในถ้ำ หลายรอบจนนับไม่ถ้วน เลย แอบตามไปล็อคคอทหารญี่ปุ่นมาสอบถาม ได้ความว่า เป็นหีบบรรจุทองแท่งทั้งนั้น ส้มหล่นใส่อย่างไม่นึกฝัน ฝ่ายทหารอเมริกันจึงสั่งปิดตายถ้ำ วางกับระเบิดกันไว้ พร้อมจัดยามเฝ้า หลังสงครามเลิก นายพลแมค กลับมาลูซอน พร้อมนายพล Charles Willoughby ลูกน้องคนสนิท และพวกหน่วยข่าวกรองอีกหลายโหล ช่วยกันเปิดถ้ำ ขนทองออกไป หลังจากนั้น ก็ปิดตายถ้ำอีกรอบ เขาว่า ทองที่ขนกันไป ทอง Santa Romana พวกเขาเรียกกันอย่างนั้น นอกจาก 2 นายพลใหญ่ จะรู้แล้ว หัวหน้าใหญ่ OSS นายพล Donovan ก็รู้ และ แน่นอน Herbert Hoover ก็รู้ ทอง Santa Romana ไม่ได้ส่งคืนเจ้าของ แต่ ฝ่ายอเมริกัน ขนขึ้นเรือรบ นำไปฝาก ใน ธนาคาร 42 ประเทศ แยกเป็น 176 บัญชี ตัวเลขที่เปิดเผย คือ ทอง จำนวน 20,000 ตัน ตันนะครับ ไม่ใช่กิโล ไม่ใช่บาท บางส่วนของทอง แบ่งเอาไปใช้ในกิจการ นอกระบบ ของ ซีไอเอ เหมือน รายได้จากพวกฝิ่น เฮโรอีน แถวฉาน พม่า ลาว สามเหลี่ยมทองคำ นั่นแหละ ไม่ต้องกวนภาษีประชาชนคนอเมริกัน และไม่ต้องขออนุญาตรัฐสภา เวลาจะปฏิบัติการ ไม่ต้องแจงรายละเอียด ส่วนที่เหลือไปไหนบ้าง หนังสือที่อ่านไม่บอก ผมรู้แต่ว่า คนเขียนหนังสือ ที่เล่าข้อมูลฝ่ายญี่ปุ่น เขียนเสร็จ พอหนังสือออกขาย เขาต้องย้ายบ้าน ย้ายประเทศ
###############
ตอน 3 หลังครามโลก พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP ที่คลอดในคุกซุกาโม มียากูซ่า เป็นหมอตำแย ก็เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารญี่ปุ่น มาจนถึงทุกวันนี้ หลังสงครามโลก กลุ่มอเมริกัน มอร์แกน เสียตำแหน่งเจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมทุกปีกในอเมริกา ให้แก่ กลุ่มอเมริกัน ร้อกกี้เฟลเลอร์ เขาว่า เพราะมอร์แกน แทงม้าผิดตัว ทุ่มผิดที่ นึกว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ จะเคี้ยวเหยื่อ เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ มันไม่มีอะไรแน่นอนตลอดเวลาหรอก พวกเอ็งควรศึกษาศาสนาพุทธ ให้เข้าใจ ถึงเรื่องการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเสียบ้าง จะได้ไม่ตะกระตะกรามขนาดนี้ ส่วนร้อกกี้ อาศัยเทคนิคใหม่ ล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องใช้เงินถม ไม่ต้องใช้กองทัพคนมากมาย อย่างชาวเกาะใหญ่ แค่ใช้กองทัพลมปาก กับตั้งโรงงานฟอกย้อมความคิดให้มากหน่อย ลงทุนครั้งเดียว ผ่านมา 70 ปี สีย้อมยังติดทนดีอยู่เลย เฮ้ย เหนื่อยใจ หลังสงครามโลก John McCloy เป็นผู้อำนวยการ สถาบัน CFR ตั้งแต่ ปี คศ 1953 ถึง 1970 MacCloy เป็นใคร สำคัญอย่างไร  MacCloy เดิมเป็นทนาย (ทนายอีกแล้ว!) อยู่ในกลุ่มวอลสตรีทกับพวกมอร์แกน ต่อมาแปรพักตร์ ย้ายมาอยู่กลุ่มร้อกกี้ เขาคงมองเห็นอะไร แวบ ๆ พวกทนายพันธุ์นี้ มักจมูกดี ได้กลิ่นเน่าไว เลยย้าย มาอยู่ สนง กฏหมาย Milbank Tweed ซึ่งทำงานให้ตระกูลร้อกกี้ the great กับ เป็นที่ปรึกษากฏหมายใหญ่ ให้ ธนาคาร Chase หลังจากนั้นได้เลื่อนชั้น เป็นประธานกรรมการ ธนาคาร Chase อย่างไม่ต้องรอคิว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ร้อกกี้ ปราบดา เขี่ยมอร์แกน ไปจนพ้นทาง จึงส่ง MacCloy มาเป็น ประธาน CFR ซึ่งก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกมอร์แกนยึดเก้าอี้ CFR ไว้แน่น นาย MacCloy นี้ เป็นคนไปค้นพบ Henry A Kissinger พวกพันธุ์พิเศษอีกเหมือนกันและเอามามอบตัว ถวายหัวรับใช้ ร้อกกี้ the great เขาเป็นคนกำกับ ควบคุม นโยบายต่างประเทศ ที่ทรงอืทธิพลที่สุด คนหนึ่งของอเมริกา โดยเฉพาะ เกี่ยวกับ เรื่องโซเวียต จีน เวียตนาม อืหร่าน อเมริกาใต้ ใน ช่วงปี 1969 ถึง 1977 และ เพื่อให้ Grand Area ส่วนที่เป็นเอเซียแปซิฟิก เป็นไปตามแผน ของ War and Peace Studies โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ญี่ปุ่น เป็น ฐานสำคัญ ด้านอุตสาหกรรมและ “อื่นๆ” ให้อเมริกา ในปี คศ 1973 ร้อกกี้ MacCloy และ Kissinger ก็จัดตั้ง Trilateral Commission ขึ้นมา เป็น สาขาลูกของ CFR ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุน และ “อื่นๆ” จากมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เพื่อรับนโยบาย การดำเนืนงาน และประสานงาน ในภูมิภาคนี้ ให้สอดคล้องกับนโยบายของ CFR ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ให้เหมือนกันทั้งโลก ตามที่อเมริกา หรือ CFR ต้องการ สรุปสั้นๆ ตามภาษาแถวบ้านผม แปลว่า “พวกมึงต้องทำตามที่กูบอก” ทำนองนั้นนะครับ สมาชิกส่วนใหญ่ ของ Trilateral เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ นักธุรกิจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ ใหญ่ๆทั้งนั้น และ ส่วนใหญ่ มาจากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี มีส่วนน้อยจากอินโดนีเซีย และชาติอื่นๆ ในเอเซีย และอเมริกาใต้ แล้วมีคนไทยเป็นสมาชิก Trilatteral นี้ไหม มีครับ เปลี่ยนมาหลายรุ่น และผมก็เคยใส่ชื่อ ไปแล้วหลายรอบ เพจพังเกือบทุกรอบ ถ้าใส่อีกรอบ กลัวจะพังมากกว่าเพจ ลองไปค้นหาอ่านกันดู กดดูจากกูเกิลได้ เด็ดๆ ทั้งนั้น หาไม่เจอบอกมาครับ จะเอามาลงให้ ดูซิ มันจะพังอีกรอบไหม ไหนๆ โดยรวนรายวันอยู่แล้ว
##############
ตอน 4
ร้อกกี้ the great น่าจะใช้วิธี “กำกับ ” รัฐบาลอเมริกัน ผ่าน 4 หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงต่างประเทศ, สภาความมั่นคง National Security Council (NSC) , ซีไอเอ และ CFR CFR ทำหน้าที่เป็นมันสมอง และ เป็นผู้ “กำกับ” รัฐบาล อีกต่อหนึ่ง อิทธิพล ของ CFR มากมายอย่างที่เรานึกไม่ถึง เอาว่า ประธานาธิบดี เกือบทุกคน ไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหน ก็สังกัด CFR ทั้งสิ้น และ เขาว่า ถ้า CFR ไม่เห็นชอบคนไหน คนนั้นก็อย่าเสียเวลา ไปสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เสียเงินเปล่าๆ นอกจากนี้ CFR เป็นผู้ส่งสมาชิกของตัว ไปเป็นหัวหน้า และระดับ ผู้บริหาร สำคัญ ในหน่วยงานข้างต้น ทั้ง 3 หน่วย ด้วย รายชื่อสมาชิก ของ CFR มีทั้ง นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงิน นักกฏหมาย นักวิชาการ สื่อ รวมถึง ดารา ทั้งหมด ต้องเป็น รุ่นใหญ่ ระดับ class A ใครสนใจในรายละเอียด ในกูเกิลมีเช่นเดียวกัน สำหรับญี่ปุ่น เด็กสร้าง ตัวสำคัญ ของอเมริกา (หรือ ร้อกกี้ ) ในการกินเอเซียแปซิฟิก ที่มีพรรค LDP เป็นผู้บริหารประเทศญี่ปุ่นมาเกือบตลอดเวลา ตั้งแต่หลังสงครามโลก ทำหน้าที่ เป็น ฐานอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ ทำกำไรให้อเมริกามากมาย เศรษฐกิจญี่ปุ่น จะขึ้น จะลง ดี เลว ขึ้นอยู่กับความเมตตาของอเมริกาทั้งสิ้น การเมือง การศึกษา สังคม วัฒนธรรมของญี่ปุ่น เปลี่ยนไปตามแม่พิมพ์ ที่อเมริกาจัดส่งให้ อเมริกาต้องการอะไร ฐานทัพหรือ ได้ จัดให้ และ ตอนนี้ ญี่ปุ่น ก็กำลังมีภาระกิจใหญ่ ต้องเป็นซามูไรแบกถาดรับใช้อเมริกา อีกแล้ว ไม่มีปัญหา แบกถาดรับใช้มาตลอดอยู่แล้ว แต่โลกไม่รู้ เพิ่มถาดใหญ่ อีกถาดเป็นไรไป และ จีน ก็ยังอยู่ ยังยั่วน้ำลาย น่ากิน เหมือนร้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่จะเคี้ยวทีไร มีอันเป็นไปทุกที ร้อยปีก่อน อังกฤษ ปั่นหัวญี่ปุ่น ให้ตีรวนจีน ให้จีนน่วม ก่อนที่อังกฤษ จะไปกิน แต่แล้วอังกฤษ ก็งับลม อเมริกาวางแผนจะกิน จีนพลิกตัว ปิดประตูเมือง เป็นคอมมิวนิสต์ ดีกว่าเป็นอาณานิคมขี้ข้าฝรั่ง มาถึงปีนี้ คศ 2015 ผ่านมาร้อยกว่าปี ยังมีคนไม่สิ้นความอยาก และความพยายาม CFR ออกรายงาน Revising U.S Grand Strategy Toward China เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา พอสรุปได้ว่า อเมริกา เห็นจีน เป็นคู่แข็งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และต่อไปอีก หลายๆสิบปี … จีนกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ที่มีเป้าหมายจะเข้าไปแทนที่อเมริกา ที่มีสถานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย ….อเมริกา จึงจำเป็นต้องถ่วงดุลยอำนาจจีน …. และการทำให้รากฐานของจีนล่มสลาย (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกา พ้น “ภาระ” การถ่วงดุลยกับจีน … อ่านแล้วงง เอาภาษาแถวบ้านผมดีกว่า อเมริกา กำลังบอกจีน ว่า ” …มึงโตไป กูปล่อยให้มึงโตแบบนี้ไม่ได้ กูต้องทำลายมึงให้สิ้นซาก...” อเมริกา คงไม่ปล่อยให้จีน ยืนตัวโตค้ำหัวอเมริกา อีกต่อไป อเมริกา ต้อง “ทำอะไร” แล้ว และ Grand Strategy แนะนำ (สั่ง) ให้อเมริกา มอบหมายให้ญี่ปุ่น เป็นหัวหน้า เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในการ “ทำอะไร” ดังนั้น สิ่งที่ อเมริกา และญี่ปุ่นกำลังจับมือกัน ทำเป็นการด่วน คือ ปลดโซ่ล่ามกองทัพญี่ปุ่น ที่ท่านนายพลแมค ล่ามด้วยรัฐธรรมนูญของญึ่ปุ่น มาตรา 9 ที่ห้ามไม่ให้ญี่ปุ่น มีกองกำลัง เว้นแต่เพื่อป้องกันตัวเอง วันนี้อเมริกา ต้องการให้ญี่ปุ่น ผู้ชำนาญการป่วนจีน กลับไปใช้ความชำนาญเดิมอีกรอบหนึ่ง เรื่องนี้ รัฐสภาของอเมริกาให้การสนับสนุน ญี่ปุ่นท่วมท้น ให้ญี่ปุ่น มีกองกำลังร่อนไปทั่ว ( และจริงๆ เขาว่า ก็ร่อนออกมาแล้วด้วย ) เรื่อง สงครามโลก การรบกัน การกินดอกเห็ดจนตายเกลื่อน ลืมกันหมดแล้ว ส่วนที่ญี่ปุ่นเอง สภาล่าง ที่ตาหลาน หลานตา คุมอยู่หมัด ผ่านมตินี้แล้วเมื่อเดือนก่อน (กรกฏาคม) เหลือแต่สภาสูง ที่คาดว่าจะลงมติผ่านในเดือนกันยายน ก่อนที่สภาสูงจะปิดในสิ้นเดือนกันยา เพราะตาหลาน หลานตา ก็คุมอยู่เช่นกัน แต่ก็น่าสนใจ ล่าสุด ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ ไม่อยากให้สภาผ่านกฏหมายนี้ ไม่อยากเข้าทำสงคราม ไม่อยากแบกถาดอีก กำลังเริ่มออกมาประท้วงหลานตา มากขึ้น ตั้งแต่เดือนที่แล้ว และเมื่อวันที่ 30 สิงหา นี้เอง ชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นคน ออกมาชุมนุมใหญ่ คัดค้านการออกกฏหมายแบกถาด และเรียกร้องให้หลานตาลาออก ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวเรื่องยากูซ่าเเก๊งใหญ่ที่สุดในญี่ปั่น แตกคอกันเอง ทางการญี่ปุ่น อ้างอาจมีการซัดกันกลางเมือง เรื่องบังเอิญอีกแล้วหรือ ก็ต้องดูว่า ใบสั่ง หรือ พลังของประชาชนญี่ปุ่นจะชนะ ผมเล่าประวัติศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจปัจจุบัน ว่าตอนนี้ เขากำลังทำอะไรกัน เพราะเหตุใด และเมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น มันน่าจะมาจากเรื่องไหน และน่าจะพอให้เรามองออกว่า แล้วมันจะไปต่อทางไหน ถ้าจะให้ดี สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ช่วยกลับไปอ่านนิทาน เรื่อง แผนสอยมังกร กับ เรื่อง ซามูไรแบกถาด ประกอบกับนิทานเรื่องนี้ จะเข้าใจขี้น ว่า การระเบิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่า ในจีน หรือที่ไหน ร่วมทั้งเรื่อง รัสเซีย อิหร่าน ตุรกี เลบานอน และ ล่าสุด มาเลเซีย มันเกี่ยวพันกันหรือไม่ และจะกระทบบ้านเรา หรือไม่อย่างไร แล้วก็โปรดอย่าลืม สูตรสำเร็จ ของนักล่า ไม่ว่ารุ่นไหน ยุคไหน กินคำเดียวไม่ไหว ก็ทุบให้น่วมก่อนเคี้ยว แล้วตอนนี้ มันจะทุบที่ไหนบ้าง ส่วน เรื่องจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา เมื่อ 100 ปีก่อน มาจนถึงตอนนี้ คงสรุปกันได้แล้ว ว่า ตกลง ใครต้ม ใครซ้อน ใครเจ็บ ใครช้ำ ใครซ่อน ใครรวย ใครโหด ใครเหี้ยม แบบนี้ แผล มันก็คงจะตกสะเก็ดยาก….
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
1 ก.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 471 Views 0 Reviews
  • ความขัดแย้งระหว่าง Wingtech และ Nexperia

    ข่าวนี้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัท Wingtech ของจีนและ Nexperia สำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ที่บานปลายจนกระทบต่อการส่งออกเวเฟอร์และสร้างความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

    ความตึงเครียดภายในบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของโลก ปะทุขึ้นเมื่อ Wingtech Technology ผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน กล่าวหาสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ว่า “ปิดกั้นและหลอกลวง” โดยเฉพาะการหยุดส่งเวเฟอร์ไปยังจีน และการตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ของพนักงานจีน ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามติดต่อและเจรจา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายจีน

    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    การหยุดส่งเวเฟอร์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อ ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนัก เนื่องจาก Nexperia เป็นผู้ผลิตชิป mature-node ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น logic, discretes และ power devices ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์และเครื่องจักร หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก

    การเมืองและการลงทุนที่ซ่อนอยู่
    Wingtech กล่าวหาว่าสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์พยายามสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ใช่จีน” เพื่อกันบริษัทแม่ออกจากการตัดสินใจ ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ประกาศลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความขัดแย้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึง การเมืองและความมั่นคงทางเทคโนโลยี ระหว่างยุโรปและจีน

    การแทรกแซงจากรัฐบาล
    เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี และ กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อหาทางออกระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบริษัท แต่เป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของความขัดแย้ง
    Wingtech กล่าวหาสำนักงานใหญ่เนเธอร์แลนด์หยุดส่งเวเฟอร์และตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT
    ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามเจรจาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
    ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักเสี่ยงขาดชิป
    ชิป mature-node ของ Nexperia เป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุม

    การลงทุนและการเมือง
    เนเธอร์แลนด์ลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานมาเลเซีย
    ถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

    การแทรกแซงจากรัฐบาล
    จีนหารือกับเยอรมนีและสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออก
    ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ความขัดแย้งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก
    เสี่ยงต่อการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและยุโรป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/wingtech-nexperia-dispute-escalates-as-public-accusations-widen-the-rift
    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่าง Wingtech และ Nexperia ข่าวนี้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัท Wingtech ของจีนและ Nexperia สำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ที่บานปลายจนกระทบต่อการส่งออกเวเฟอร์และสร้างความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความตึงเครียดภายในบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของโลก ปะทุขึ้นเมื่อ Wingtech Technology ผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน กล่าวหาสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ว่า “ปิดกั้นและหลอกลวง” โดยเฉพาะการหยุดส่งเวเฟอร์ไปยังจีน และการตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ของพนักงานจีน ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามติดต่อและเจรจา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายจีน 🌍 ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก การหยุดส่งเวเฟอร์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อ ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนัก เนื่องจาก Nexperia เป็นผู้ผลิตชิป mature-node ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น logic, discretes และ power devices ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์และเครื่องจักร หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก 💼 การเมืองและการลงทุนที่ซ่อนอยู่ Wingtech กล่าวหาว่าสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์พยายามสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ใช่จีน” เพื่อกันบริษัทแม่ออกจากการตัดสินใจ ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ประกาศลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความขัดแย้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึง การเมืองและความมั่นคงทางเทคโนโลยี ระหว่างยุโรปและจีน 🏛️ การแทรกแซงจากรัฐบาล เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี และ กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อหาทางออกระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบริษัท แต่เป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของความขัดแย้ง ➡️ Wingtech กล่าวหาสำนักงานใหญ่เนเธอร์แลนด์หยุดส่งเวเฟอร์และตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ➡️ ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามเจรจาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ✅ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ➡️ ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักเสี่ยงขาดชิป ➡️ ชิป mature-node ของ Nexperia เป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุม ✅ การลงทุนและการเมือง ➡️ เนเธอร์แลนด์ลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานมาเลเซีย ➡️ ถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ✅ การแทรกแซงจากรัฐบาล ➡️ จีนหารือกับเยอรมนีและสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออก ➡️ ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ความขัดแย้งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก ⛔ เสี่ยงต่อการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและยุโรป https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/wingtech-nexperia-dispute-escalates-as-public-accusations-widen-the-rift
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Embattled Dutch chipmaker Nexperia gets into public spat with Chinese owners — accused of deception and obstruction, suspending wafer shipments
    A governance battle inside one of the world’s biggest suppliers of mature-node chips is now spilling into the open.
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • Alibaba และ ByteDance กำลังย้ายการฝึกโมเดล AI ไปยังศูนย์ข้อมูลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเข้าถึง GPU ของ Nvidia

    รายงานจาก Financial Times ระบุว่า Alibaba (Qwen LLM) และ ByteDance (Doubao LLM) ได้เช่าศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์และมาเลเซีย เพื่อใช้ GPU ขั้นสูงของ Nvidia เช่น A100 และ H100 ในการฝึกโมเดลใหม่ ๆ การย้ายฐานนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดเข้มงวดในการส่งออกชิป AI ไปยังจีน

    ช่องโหว่ของข้อจำกัด
    แม้สหรัฐฯ จะห้ามขาย GPU ขั้นสูงให้จีนโดยตรง แต่การเช่าศูนย์ข้อมูลที่ดำเนินการโดยบริษัทต่างชาติในต่างประเทศยังถือว่า ถูกกฎหมาย ภายใต้กฎปัจจุบัน กฎ “AI diffusion rule” ที่เคยเสนอเพื่อปิดช่องโหว่นี้ถูกยกเลิกไปในปี 2025 ทำให้บริษัทจีนสามารถใช้ทรัพยากรคอมพิวต์ในต่างประเทศได้โดยไม่ผิดข้อบังคับ

    ผลลัพธ์ต่อการพัฒนา AI
    การเข้าถึง GPU ขั้นสูงช่วยให้โมเดลจีนอย่าง Qwen และ Doubao สามารถแข่งขันกับโมเดลตะวันตกได้ในระดับโลก หลังจากฝึกเสร็จ โมเดลเหล่านี้จะถูกนำกลับมารันในจีนบนฮาร์ดแวร์ที่ผลิตโดยบริษัทท้องถิ่น เช่น Huawei เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความมั่นคงข้อมูล

    ความหมายเชิงยุทธศาสตร์
    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการรักษาความได้เปรียบด้าน AI แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงฮาร์ดแวร์ตะวันตก ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ยังมีช่องโหว่ ที่ทำให้จีนสามารถเดินหน้าพัฒนา AI ได้ต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    บริษัทจีนย้ายการฝึกโมเดลไปต่างประเทศ
    Alibaba และ ByteDance ใช้ศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์และมาเลเซีย

    ช่องโหว่ของข้อจำกัดสหรัฐฯ
    การเช่าศูนย์ข้อมูลต่างประเทศยังถือว่าถูกกฎหมาย

    ผลลัพธ์ต่อโมเดล AI จีน
    Qwen และ Doubao สามารถแข่งขันกับโมเดลตะวันตกได้

    การนำโมเดลกลับมารันในจีน
    ใช้ฮาร์ดแวร์จาก Huawei และบริษัทท้องถิ่น

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงข้อมูล
    ข้อมูลผู้ใช้จีนยังต้องถูกประมวลผลภายในประเทศเท่านั้น

    ความท้าทายต่อข้อจำกัดสหรัฐฯ
    ช่องโหว่ทางกฎหมายอาจทำให้มาตรการควบคุมไม่บรรลุผลเต็มที่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinas-top-ai-firms-shift-model-training-overseas-to-access-nvidia-gpus
    🌏 Alibaba และ ByteDance กำลังย้ายการฝึกโมเดล AI ไปยังศูนย์ข้อมูลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเข้าถึง GPU ของ Nvidia รายงานจาก Financial Times ระบุว่า Alibaba (Qwen LLM) และ ByteDance (Doubao LLM) ได้เช่าศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์และมาเลเซีย เพื่อใช้ GPU ขั้นสูงของ Nvidia เช่น A100 และ H100 ในการฝึกโมเดลใหม่ ๆ การย้ายฐานนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดเข้มงวดในการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ⚖️ ช่องโหว่ของข้อจำกัด แม้สหรัฐฯ จะห้ามขาย GPU ขั้นสูงให้จีนโดยตรง แต่การเช่าศูนย์ข้อมูลที่ดำเนินการโดยบริษัทต่างชาติในต่างประเทศยังถือว่า ถูกกฎหมาย ภายใต้กฎปัจจุบัน กฎ “AI diffusion rule” ที่เคยเสนอเพื่อปิดช่องโหว่นี้ถูกยกเลิกไปในปี 2025 ทำให้บริษัทจีนสามารถใช้ทรัพยากรคอมพิวต์ในต่างประเทศได้โดยไม่ผิดข้อบังคับ 💻 ผลลัพธ์ต่อการพัฒนา AI การเข้าถึง GPU ขั้นสูงช่วยให้โมเดลจีนอย่าง Qwen และ Doubao สามารถแข่งขันกับโมเดลตะวันตกได้ในระดับโลก หลังจากฝึกเสร็จ โมเดลเหล่านี้จะถูกนำกลับมารันในจีนบนฮาร์ดแวร์ที่ผลิตโดยบริษัทท้องถิ่น เช่น Huawei เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความมั่นคงข้อมูล 🔮 ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการรักษาความได้เปรียบด้าน AI แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงฮาร์ดแวร์ตะวันตก ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ยังมีช่องโหว่ ที่ทำให้จีนสามารถเดินหน้าพัฒนา AI ได้ต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ บริษัทจีนย้ายการฝึกโมเดลไปต่างประเทศ ➡️ Alibaba และ ByteDance ใช้ศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์และมาเลเซีย ✅ ช่องโหว่ของข้อจำกัดสหรัฐฯ ➡️ การเช่าศูนย์ข้อมูลต่างประเทศยังถือว่าถูกกฎหมาย ✅ ผลลัพธ์ต่อโมเดล AI จีน ➡️ Qwen และ Doubao สามารถแข่งขันกับโมเดลตะวันตกได้ ✅ การนำโมเดลกลับมารันในจีน ➡️ ใช้ฮาร์ดแวร์จาก Huawei และบริษัทท้องถิ่น ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงข้อมูล ⛔ ข้อมูลผู้ใช้จีนยังต้องถูกประมวลผลภายในประเทศเท่านั้น ‼️ ความท้าทายต่อข้อจำกัดสหรัฐฯ ⛔ ช่องโหว่ทางกฎหมายอาจทำให้มาตรการควบคุมไม่บรรลุผลเต็มที่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinas-top-ai-firms-shift-model-training-overseas-to-access-nvidia-gpus
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • รัฐยะโฮร์ของมาเลเซียประกาศห้ามสร้างศูนย์ข้อมูล Tier 1 และ Tier 2 เนื่องจากกังวลเรื่องการใช้น้ำมหาศาล

    การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำที่ใช้ในระบบระบายความร้อน รัฐยะโฮร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของมาเลเซีย พบว่าศูนย์ข้อมูล Tier 1 และ Tier 2 ใช้น้ำสูงถึง 40–50 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงเกินกว่าภาคอุตสาหกรรมทั่วไปจะรับได้

    ทางเลือกที่ยั่งยืน
    รัฐบาลยะโฮร์จึงกำหนดให้การสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องเป็น Tier 3 หรือ Tier 4 เท่านั้น เนื่องจากมีระบบไฟฟ้าและการระบายความร้อนที่ซ้ำซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้การใช้น้ำลดลงเหลือเพียง 200,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป

    โครงการที่กำลังดำเนินการ
    ปัจจุบันยะโฮร์มีโครงการศูนย์ข้อมูลทั้งหมด 51 แห่ง โดยเปิดใช้งานแล้ว 17 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 11 แห่ง และได้รับอนุมัติอีก 23 แห่ง การลงทุนเหล่านี้สร้างงานหลายพันตำแหน่ง แต่ก็ทำให้รัฐบาลต้องเข้มงวดกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันวิกฤตน้ำในอนาคต

    นวัตกรรมลดการใช้น้ำ
    แนวทางใหม่ที่ถูกพูดถึงคือการใช้ ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำ และระบบ closed-loop cooling ที่คล้ายกับระบบระบายความร้อนในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Nvidia เองก็พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถลดการใช้น้ำได้ถึง 300 เท่า ซึ่งอาจเป็นทางออกสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมนี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การห้ามสร้างศูนย์ข้อมูล Tier 1 และ Tier 2
    เนื่องจากใช้น้ำสูงถึง 40–50 ล้านลิตรต่อวัน

    การอนุญาตเฉพาะ Tier 3 และ Tier 4
    ใช้น้ำเพียง 200,000 ลิตรต่อวันและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    สถานะโครงการศูนย์ข้อมูลในยะโฮร์
    มีทั้งหมด 51 โครงการ ทั้งเปิดใช้งาน ก่อสร้าง และอนุมัติแล้ว

    แนวทางลดการใช้น้ำ
    ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำและระบบ closed-loop cooling ที่มีประสิทธิภาพสูง

    ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
    หากไม่ควบคุม อาจเกิดวิกฤตน้ำและกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

    ความท้าทายต่อการลงทุน
    มาตรการเข้มงวดอาจทำให้นักลงทุนลังเลและชะลอโครงการใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/malaysian-state-of-johor-drowns-any-ideas-for-tier-1-and-tier-2-data-centers-water-concerns-have-authorities-only-allowing-energy-efficient-builds
    💧 รัฐยะโฮร์ของมาเลเซียประกาศห้ามสร้างศูนย์ข้อมูล Tier 1 และ Tier 2 เนื่องจากกังวลเรื่องการใช้น้ำมหาศาล การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำที่ใช้ในระบบระบายความร้อน รัฐยะโฮร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของมาเลเซีย พบว่าศูนย์ข้อมูล Tier 1 และ Tier 2 ใช้น้ำสูงถึง 40–50 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงเกินกว่าภาคอุตสาหกรรมทั่วไปจะรับได้ ⚡ ทางเลือกที่ยั่งยืน รัฐบาลยะโฮร์จึงกำหนดให้การสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องเป็น Tier 3 หรือ Tier 4 เท่านั้น เนื่องจากมีระบบไฟฟ้าและการระบายความร้อนที่ซ้ำซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้การใช้น้ำลดลงเหลือเพียง 200,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป 🌐 โครงการที่กำลังดำเนินการ ปัจจุบันยะโฮร์มีโครงการศูนย์ข้อมูลทั้งหมด 51 แห่ง โดยเปิดใช้งานแล้ว 17 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 11 แห่ง และได้รับอนุมัติอีก 23 แห่ง การลงทุนเหล่านี้สร้างงานหลายพันตำแหน่ง แต่ก็ทำให้รัฐบาลต้องเข้มงวดกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันวิกฤตน้ำในอนาคต 🛠️ นวัตกรรมลดการใช้น้ำ แนวทางใหม่ที่ถูกพูดถึงคือการใช้ ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำ และระบบ closed-loop cooling ที่คล้ายกับระบบระบายความร้อนในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Nvidia เองก็พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถลดการใช้น้ำได้ถึง 300 เท่า ซึ่งอาจเป็นทางออกสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมนี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การห้ามสร้างศูนย์ข้อมูล Tier 1 และ Tier 2 ➡️ เนื่องจากใช้น้ำสูงถึง 40–50 ล้านลิตรต่อวัน ✅ การอนุญาตเฉพาะ Tier 3 และ Tier 4 ➡️ ใช้น้ำเพียง 200,000 ลิตรต่อวันและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ✅ สถานะโครงการศูนย์ข้อมูลในยะโฮร์ ➡️ มีทั้งหมด 51 โครงการ ทั้งเปิดใช้งาน ก่อสร้าง และอนุมัติแล้ว ✅ แนวทางลดการใช้น้ำ ➡️ ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำและระบบ closed-loop cooling ที่มีประสิทธิภาพสูง ‼️ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ หากไม่ควบคุม อาจเกิดวิกฤตน้ำและกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ‼️ ความท้าทายต่อการลงทุน ⛔ มาตรการเข้มงวดอาจทำให้นักลงทุนลังเลและชะลอโครงการใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/malaysian-state-of-johor-drowns-any-ideas-for-tier-1-and-tier-2-data-centers-water-concerns-have-authorities-only-allowing-energy-efficient-builds
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • ทีมฟุตบอลมาเลเซีย (25/11/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #TikTokกีฬา
    ทีมฟุตบอลมาเลเซีย (25/11/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #TikTokกีฬา
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 0 Reviews
  • ประเทศไทยไม่ใช่ไก่กา จะทรัมป์หรืออันวาร์...ก็ต้องทบทวน! (24/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทรัมป์ #อันวาร์ #กัมพูชา #มาเลเซีย #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    ประเทศไทยไม่ใช่ไก่กา จะทรัมป์หรืออันวาร์...ก็ต้องทบทวน! (24/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทรัมป์ #อันวาร์ #กัมพูชา #มาเลเซีย #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 0 Reviews
  • อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ออกโรงโต้เสียงวิจารณ์จากไทย ยืนยันไม่ได้แทรกแซงความตึงเครียดไทย-กัมพูชา แต่เพียงเปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามสถานะ “เพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้” , บอกไทย–กัมพูชาตัดสินใจเองทุกขั้นตอน , เผยทรัมป์ก็ติดต่อทั้งสองฝ่ายระหว่างกระบวนการ

    อ่านต่อ: https://news1live.com/detail/9680000111870

    #มาเลเซีย #อันวาร์ #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #news1live
    อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ออกโรงโต้เสียงวิจารณ์จากไทย ยืนยันไม่ได้แทรกแซงความตึงเครียดไทย-กัมพูชา แต่เพียงเปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามสถานะ “เพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้” , บอกไทย–กัมพูชาตัดสินใจเองทุกขั้นตอน , เผยทรัมป์ก็ติดต่อทั้งสองฝ่ายระหว่างกระบวนการ • อ่านต่อ: https://news1live.com/detail/9680000111870 • #มาเลเซีย #อันวาร์ #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #news1live
    Angry
    1
    0 Comments 0 Shares 330 Views 0 Reviews
  • คนไทยโครตงง ทั้งโลกรู้อันวาร์ไม่กลาง แต่รัฐบาลไทยก็ยังอยากเจรจา
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #กัมพูชา #มาเลเซีย #รัฐบาลไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    คนไทยโครตงง ทั้งโลกรู้อันวาร์ไม่กลาง แต่รัฐบาลไทยก็ยังอยากเจรจา . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #กัมพูชา #มาเลเซีย #รัฐบาลไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 0 Reviews
  • 12 ธ.ค. เปิดรถไฟ ETS3 ยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นายแอนโธนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริการรถไฟ ETS3 ระหว่างสถานียะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จะเริ่มให้บริการในวันที่ 12 ธ.ค. โดยสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย จะเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิด ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ในวันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันถัดไป เบื้องต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral เป็นหลัก ส่วนเส้นทางไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) และ ปาดังเบซาร์ (Padang Besar) มีกำหนดให้บริการในระยะต่อไป

    ด้านการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ชี้แจงว่า กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับบริการรถไฟ ETS3 โดยได้เตรียมกำหนดเวลาเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร และการจัดสรรพนักงานให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานขนส่งสาธารณะทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ขณะที่ขบวนรถไฟ ETS3 รุ่นใหม่ล่าสุด 4 ขบวน จากทั้งหมด 10 ขบวน ผ่านการตรวจสอบรายละเอียดขั้นสุดท้าย (PCA) ซึ่งได้รับการรับรองและพร้อมใช้งานแล้ว เริ่มต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral รวม 4 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มความถี่ในการเดินทางควบคู่ไปกับการส่งมอบขบวนรถไฟเพิ่มเติม

    ส่วนเส้นทาง JB Sentral มุ่งหน้าไปยังรัฐทางเหนือ จะดำเนินการเป็นขั้นตอนตามความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ข้อกำหนดด้านการจัดตารางเวลาเดินรถ และความพร้อมของสินทรัพย์ในการดำเนินงาน

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) นายโมฮัมหมัด ฟาซลี โมฮัมหมัด ซัลเลห์ ประธานคณะกรรมการด้านงานก่อสร้าง ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและการสื่อสารของรัฐยะโฮร์ กล่าวต่อสภานิติบัญญัติของรัฐยะโฮร์ ว่า โครงการรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร มูลค่า 8,900 ล้านริงกิต (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ที่รอคอยกันมายาวนาน มีความคืบหน้าไปแล้ว 99.94% และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นเดือน พ.ย.

    โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2559 ผ่านเมืองเซกามัต คลวง กูไล และยะโฮร์บาห์รู โดยงานโยธาในขั้นสุดท้ายกำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่เส้นทางรถไฟจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งรูปแบบการให้บริการรถไฟ ETS จะให้บริการวันละ 12 เที่ยว ภายใต้ตารางเดินรถเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ 8 เที่ยวต่อวัน เส้นทางยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์ 2 เที่ยวต่อวัน และเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 เที่ยวต่อวัน

    #Newskit
    12 ธ.ค. เปิดรถไฟ ETS3 ยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นายแอนโธนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริการรถไฟ ETS3 ระหว่างสถานียะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จะเริ่มให้บริการในวันที่ 12 ธ.ค. โดยสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย จะเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิด ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ในวันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันถัดไป เบื้องต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral เป็นหลัก ส่วนเส้นทางไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) และ ปาดังเบซาร์ (Padang Besar) มีกำหนดให้บริการในระยะต่อไป ด้านการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ชี้แจงว่า กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับบริการรถไฟ ETS3 โดยได้เตรียมกำหนดเวลาเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร และการจัดสรรพนักงานให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานขนส่งสาธารณะทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ขณะที่ขบวนรถไฟ ETS3 รุ่นใหม่ล่าสุด 4 ขบวน จากทั้งหมด 10 ขบวน ผ่านการตรวจสอบรายละเอียดขั้นสุดท้าย (PCA) ซึ่งได้รับการรับรองและพร้อมใช้งานแล้ว เริ่มต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral รวม 4 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มความถี่ในการเดินทางควบคู่ไปกับการส่งมอบขบวนรถไฟเพิ่มเติม ส่วนเส้นทาง JB Sentral มุ่งหน้าไปยังรัฐทางเหนือ จะดำเนินการเป็นขั้นตอนตามความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ข้อกำหนดด้านการจัดตารางเวลาเดินรถ และความพร้อมของสินทรัพย์ในการดำเนินงาน ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) นายโมฮัมหมัด ฟาซลี โมฮัมหมัด ซัลเลห์ ประธานคณะกรรมการด้านงานก่อสร้าง ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและการสื่อสารของรัฐยะโฮร์ กล่าวต่อสภานิติบัญญัติของรัฐยะโฮร์ ว่า โครงการรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร มูลค่า 8,900 ล้านริงกิต (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ที่รอคอยกันมายาวนาน มีความคืบหน้าไปแล้ว 99.94% และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นเดือน พ.ย. โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2559 ผ่านเมืองเซกามัต คลวง กูไล และยะโฮร์บาห์รู โดยงานโยธาในขั้นสุดท้ายกำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่เส้นทางรถไฟจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งรูปแบบการให้บริการรถไฟ ETS จะให้บริการวันละ 12 เที่ยว ภายใต้ตารางเดินรถเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ 8 เที่ยวต่อวัน เส้นทางยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์ 2 เที่ยวต่อวัน และเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 เที่ยวต่อวัน #Newskit
    1 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน

    มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน
    การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน

    ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง

    บทเรียนและผลกระทบ
    แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho

    ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ
    พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม
    มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์
    มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor

    สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง
    เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์
    การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน

    ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก
    อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    ⚖️ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน 💰 มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน 🌐 ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง 🚨 บทเรียนและผลกระทบ แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho ✅ ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ ➡️ พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม ➡️ มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี ✅ มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor ✅ สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ➡️ เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน ‼️ ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก ⛔ อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    0 Comments 0 Shares 374 Views 0 Reviews
  • ทางการมาเลเซียสั่ง “ระงับเหมืองแรร์เอิร์ธ-เหมืองดีบุก” หลังแม่น้ำเประก์บางช่วงเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดผิดปกติ ตรวจพบค่ารังสีสูงถึง 13 เบกเคอเรล เกินเกณฑ์ที่อนุญาตหลายเท่า - อยู่ระหว่างสอบว่ามีการปล่อยสารเคมีหรือของเสียไม่ตรงตามที่รายงานหรือไม่

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110931

    #มาเลเซีย #แรร์เอิร์ธ #เหมืองแร่ #Perak #EnvironmentalCrisis #News1live #News1
    ทางการมาเลเซียสั่ง “ระงับเหมืองแรร์เอิร์ธ-เหมืองดีบุก” หลังแม่น้ำเประก์บางช่วงเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดผิดปกติ ตรวจพบค่ารังสีสูงถึง 13 เบกเคอเรล เกินเกณฑ์ที่อนุญาตหลายเท่า - อยู่ระหว่างสอบว่ามีการปล่อยสารเคมีหรือของเสียไม่ตรงตามที่รายงานหรือไม่ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110931 • #มาเลเซีย #แรร์เอิร์ธ #เหมืองแร่ #Perak #EnvironmentalCrisis #News1live #News1
    0 Comments 0 Shares 413 Views 0 Reviews
  • ซีไอเอ็มบีไทยขอลา ยกเลิกบริการบัตรเดบิตในไทย

    ผู้ใช้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี พร้อมกับบัตรเดบิตชิลดี ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดขายฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดอายุบัตร ถอนเงินสดฟรีทุกตู้ ATM ทั่วไทยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และตู้ ATM ธนาคารในกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มากกว่า 5,900 เครื่อง รวมทั้งลูกค้าบัตรเดบิตซีไอเอ็มบีไทยทุกประเภท อาจต้องเตรียมเก็บบัตรไว้ในลิ้นชัก

    เมื่อธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทยอยแจ้งลูกค้าที่เข้ามาสอบถามผ่านเฟซบุ๊กของธนาคาร ว่า บัตรเดบิต ซีไอเอ็มบี ไทย จะสิ้นสุดการให้บริการในวันที่ 3 เม.ย. 2569 เป็นต้นไป เพื่อความสะดวกและต่อเนื่องในการทำธุรกรรมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นอกจากการถอนเงินสดผ่านสาขาของธนาคารแล้ว สามารถใช้บริการแอปฯ CIMB THAI เพื่อทำธุรกรรมถอนเงินไม่ใช้บัตรที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป

    ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ออกบัตรเดบิตรองรับระบบวีซ่า เพย์เวฟ (VISA Paywave) เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 คิดค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2562 ชูจุดขายดอกเบี้ย 2% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตทุกอย่าง ยกเว้นกรณีบัตรหาย กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. 2563 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเดบิต ชิลดี ระหว่างนั้น ธนาคารก็ประกาศยกเลิกบริการตู้เอทีเอ็ม และเอทีเอ็มแบบทรีอินวันในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่บัตรเดบิตของธนาคารยังสามารถทำรายการได้ฟรีผ่านตู้ ATM ทุกธนาคารทั่วไทย ไม่มีค่าธรรมเนียม

    ผลกระทบที่ตามมา หนึ่งในนั้นคือนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ผ่านมาสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคาร CIMB และ CIMB Islamic ได้ฟรี แต่เมื่อไม่มีบัตรเดบิตซีไอเอ็มบี ไทย ในปีหน้า อาจต้องหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้บัญชีและบัตรเดบิตธนาคารยูโอบี ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด หรือสอบถามยอดเงิน ได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารยูโอบีที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ก็มีค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นต่ำ 50 ริงกิต หรือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าประเทศมาเลเซีย

    #Newskit
    ซีไอเอ็มบีไทยขอลา ยกเลิกบริการบัตรเดบิตในไทย ผู้ใช้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี พร้อมกับบัตรเดบิตชิลดี ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดขายฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดอายุบัตร ถอนเงินสดฟรีทุกตู้ ATM ทั่วไทยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และตู้ ATM ธนาคารในกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มากกว่า 5,900 เครื่อง รวมทั้งลูกค้าบัตรเดบิตซีไอเอ็มบีไทยทุกประเภท อาจต้องเตรียมเก็บบัตรไว้ในลิ้นชัก เมื่อธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทยอยแจ้งลูกค้าที่เข้ามาสอบถามผ่านเฟซบุ๊กของธนาคาร ว่า บัตรเดบิต ซีไอเอ็มบี ไทย จะสิ้นสุดการให้บริการในวันที่ 3 เม.ย. 2569 เป็นต้นไป เพื่อความสะดวกและต่อเนื่องในการทำธุรกรรมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นอกจากการถอนเงินสดผ่านสาขาของธนาคารแล้ว สามารถใช้บริการแอปฯ CIMB THAI เพื่อทำธุรกรรมถอนเงินไม่ใช้บัตรที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ออกบัตรเดบิตรองรับระบบวีซ่า เพย์เวฟ (VISA Paywave) เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 คิดค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2562 ชูจุดขายดอกเบี้ย 2% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตทุกอย่าง ยกเว้นกรณีบัตรหาย กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. 2563 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเดบิต ชิลดี ระหว่างนั้น ธนาคารก็ประกาศยกเลิกบริการตู้เอทีเอ็ม และเอทีเอ็มแบบทรีอินวันในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่บัตรเดบิตของธนาคารยังสามารถทำรายการได้ฟรีผ่านตู้ ATM ทุกธนาคารทั่วไทย ไม่มีค่าธรรมเนียม ผลกระทบที่ตามมา หนึ่งในนั้นคือนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ผ่านมาสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคาร CIMB และ CIMB Islamic ได้ฟรี แต่เมื่อไม่มีบัตรเดบิตซีไอเอ็มบี ไทย ในปีหน้า อาจต้องหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้บัญชีและบัตรเดบิตธนาคารยูโอบี ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด หรือสอบถามยอดเงิน ได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารยูโอบีที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ก็มีค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นต่ำ 50 ริงกิต หรือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าประเทศมาเลเซีย #Newskit
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 398 Views 0 Reviews
  • คลิปนี้ไง อันวาร์ตัวกลางจอม "เxือก" สุนัขรับใช้เมกาถึงกับช็อค (18/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    คลิปนี้ไง อันวาร์ตัวกลางจอม "เxือก" สุนัขรับใช้เมกาถึงกับช็อค (18/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 0 Reviews
  • รู้แล้วจะอึ้ง!!! สาเหตุมาเลเซียอยู่ข้างเขมรตลอดเพราะแบบนี้...??? (18/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    รู้แล้วจะอึ้ง!!! สาเหตุมาเลเซียอยู่ข้างเขมรตลอดเพราะแบบนี้...??? (18/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 0 Reviews
  • กองเชียร์ลุย! Toonvegan ฉะอันวาร์รัวๆ คนมาเลไม่ยอม เล่นกลับแบบนี้ (17/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #Toonvegan #อันวาร์ #มาเลเซีย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    กองเชียร์ลุย! Toonvegan ฉะอันวาร์รัวๆ คนมาเลไม่ยอม เล่นกลับแบบนี้ (17/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #Toonvegan #อันวาร์ #มาเลเซีย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 0 Reviews
  • อ๋อ!!! แบบนี้นี่เอง เหตุผลที่อันวาร์เข้าข้างฝั่งเขมรเลวร้ายที่สุด... (17/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    อ๋อ!!! แบบนี้นี่เอง เหตุผลที่อันวาร์เข้าข้างฝั่งเขมรเลวร้ายที่สุด... (17/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 0 Reviews
  • สนธิฟาดอันวาร์ นายกที่ xั่วช้าที่สุดเข้าข้างเขมรสุดใจ เจอไทยสวน...กริบ!!! (17/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สนธิ #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #การเมืองระหว่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    สนธิฟาดอันวาร์ นายกที่ xั่วช้าที่สุดเข้าข้างเขมรสุดใจ เจอไทยสวน...กริบ!!! (17/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สนธิ #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #การเมืองระหว่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 0 Reviews
  • อนุทินยันชัด ยุติข้อตกลงเขมร สหรัฐ-มาเลเข้าใจ ไม่โยงภาษีกับการเจรจา (17/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #กัมพูชา #สหรัฐฯ #มาเลเซีย #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    อนุทินยันชัด ยุติข้อตกลงเขมร สหรัฐ-มาเลเข้าใจ ไม่โยงภาษีกับการเจรจา (17/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #กัมพูชา #สหรัฐฯ #มาเลเซีย #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 0 Reviews
  • ปีหน้าก็พ้นตำแหน่งประธานอาเซียน เลือกตั้งมาเลเซียรอบหน้าก็ไม่ผ่านแน่ ขนาดคนมาเลย์ด้วยกันยังรู้เลยว่าเข้าข้างเขมร และมีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง กล้าลากประเทศตัวเองไปสุ่มเสี่ยงกับความขัดแย้งของชาติอื่น หมดอำนาจเมื่อไหร่ ก็อยู่ยากแน่มรึง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อันวาร์
    ปีหน้าก็พ้นตำแหน่งประธานอาเซียน เลือกตั้งมาเลเซียรอบหน้าก็ไม่ผ่านแน่ ขนาดคนมาเลย์ด้วยกันยังรู้เลยว่าเข้าข้างเขมร และมีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง กล้าลากประเทศตัวเองไปสุ่มเสี่ยงกับความขัดแย้งของชาติอื่น หมดอำนาจเมื่อไหร่ ก็อยู่ยากแน่มรึง #คิงส์โพธิ์แดง #อันวาร์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • ที่แท้อันวาร์ก็เป็นแค่ “สุนัขรับใช้” เมกา ต้านจีนในอาเซียน (16/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #สหรัฐฯ #จีน #ภูมิรัฐศาสตร์อาเซียน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    ที่แท้อันวาร์ก็เป็นแค่ “สุนัขรับใช้” เมกา ต้านจีนในอาเซียน (16/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #สหรัฐฯ #จีน #ภูมิรัฐศาสตร์อาเซียน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 0 Reviews
  • รู้แล้วอันวาร์ตัว “เxือก” อ้างเป็นกลาง ที่แท้ลงทุนไว้ที่เขมรเพียบ (16/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    รู้แล้วอันวาร์ตัว “เxือก” อ้างเป็นกลาง ที่แท้ลงทุนไว้ที่เขมรเพียบ (16/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อันวาร์ #มาเลเซีย #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 0 Reviews
  • ทรัมป์-อันวาร์ดีลผลประโยชน์ ถ้าคนมาเลรู้อันวาร์ขิตแน่ (16/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทรัมป์ #อันวาร์ #มาเลเซีย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    ทรัมป์-อันวาร์ดีลผลประโยชน์ ถ้าคนมาเลรู้อันวาร์ขิตแน่ (16/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทรัมป์ #อันวาร์ #มาเลเซีย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 0 Reviews
More Results