• ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 1

    ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan

    มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross

    เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว

    นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson
    อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด !
    ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด

    แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย

    หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป

    เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้

    คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย

    Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller
    นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan

    ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks)

    คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต

    เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company

    Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank

    ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran

    Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม

    นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson

    ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน
    อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller

    นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks

    Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank

    บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 2

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน
    คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน

    วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่

    ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย

    มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan

    เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง

    Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้
    ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป

    J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd

    แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย !

    หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย

    ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร”

    หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า
    “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan”

    ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 1 ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด ! ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks) คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่ ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้ ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย ! หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร” หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan” ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียจับผู้พัฒนา Meduza Stealer หลังแฮกระบบรัฐบาล — จุดเปลี่ยนจาก “ปล่อยผ่าน” สู่ “จัดการจริง”

    เจ้าหน้าที่รัสเซียบุกจับกลุ่มแฮกเกอร์ผู้พัฒนา Meduza Stealer ซึ่งเป็นมัลแวร์แบบ MaaS (Malware-as-a-Service) ที่ใช้ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, กระเป๋าคริปโต, และแอปแชท โดยการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังกลุ่มแฮกเกอร์ละเมิด “กฎเงียบ” ด้วยการโจมตีหน่วยงานรัฐในประเทศ

    Meduza Stealer เป็นมัลแวร์ที่เริ่มขายตั้งแต่กลางปี 2023 โดยมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น:
    ขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์กว่า 100 ตัวและโปรแกรมจัดการรหัสผ่าน 27 ตัว
    ดึงข้อมูลจากกระเป๋าคริปโตมากกว่า 100 แบบ
    เจาะข้อมูลจาก Telegram และ Steam
    ใช้การเข้ารหัส ChaCha20 และระบบหลบ VM เพื่อหลบการวิเคราะห์

    ราคาขายอยู่ที่ $199/เดือน หรือ $1,199 แบบตลอดชีพ และถูกขายผ่าน Telegram และฟอรั่มใต้ดิน

    แต่จุดเปลี่ยนคือการที่กลุ่มนี้ตัดสินใจโจมตีหน่วยงานรัฐบาลในภูมิภาค Astrakhan ซึ่งขัดกับ “กฎเงียบ” ของแฮกเกอร์รัสเซียที่มักตั้ง geo-filter เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศตนเอง, คาซัคสถาน และเบลารุส เพื่อไม่ให้ถูกจับ

    ผลคือเจ้าหน้าที่รัสเซียบุกจับผู้ต้องสงสัย 3 คน พร้อมยึดคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์ และบัตรธนาคาร โดยหนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกจับขณะใส่ชุดนอน Hello Kitty

    นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มนี้พัฒนา “มัลแวร์ตัวที่สอง” ที่สามารถปิดระบบป้องกันและสร้าง botnet ได้ หากถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี

    รายละเอียดของ Meduza Stealer
    เป็นมัลแวร์แบบ MaaS ที่ขายผ่าน Telegram
    ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, กระเป๋าคริปโต, Telegram และ Steam
    ใช้การเข้ารหัส ChaCha20 และหลบ VM
    ราคาขาย $199/เดือน หรือ $1,199 แบบตลอดชีพ

    เหตุการณ์การจับกุม
    เกิดขึ้นหลังกลุ่มแฮกเกอร์โจมตีหน่วยงานรัฐใน Astrakhan
    ขัดกับกฎเงียบที่ห้ามโจมตีภายในประเทศ
    เจ้าหน้าที่จับผู้ต้องสงสัย 3 คน พร้อมยึดอุปกรณ์
    พบมัลแวร์ตัวที่สองที่ใช้สร้าง botnet

    สัญญาณจากรัฐบาลรัสเซีย
    เปลี่ยนจาก “ปล่อยผ่าน” เป็น “จัดการจริง”
    ใช้การจับกุมเพื่อควบคุมแฮกเกอร์ในประเทศ
    สอดคล้องกับรายงานจาก Recorded Future ว่ารัสเซียเริ่มจัดการแฮกเกอร์ที่ “ดังเกินไป” หรือ “ไม่สะดวกทางการเมือง”

    https://hackread.com/russia-arrests-meduza-stealer-developers/
    🇷🇺💻 รัสเซียจับผู้พัฒนา Meduza Stealer หลังแฮกระบบรัฐบาล — จุดเปลี่ยนจาก “ปล่อยผ่าน” สู่ “จัดการจริง” เจ้าหน้าที่รัสเซียบุกจับกลุ่มแฮกเกอร์ผู้พัฒนา Meduza Stealer ซึ่งเป็นมัลแวร์แบบ MaaS (Malware-as-a-Service) ที่ใช้ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, กระเป๋าคริปโต, และแอปแชท โดยการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังกลุ่มแฮกเกอร์ละเมิด “กฎเงียบ” ด้วยการโจมตีหน่วยงานรัฐในประเทศ Meduza Stealer เป็นมัลแวร์ที่เริ่มขายตั้งแต่กลางปี 2023 โดยมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น: 🎗️ ขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์กว่า 100 ตัวและโปรแกรมจัดการรหัสผ่าน 27 ตัว 🎗️ ดึงข้อมูลจากกระเป๋าคริปโตมากกว่า 100 แบบ 🎗️ เจาะข้อมูลจาก Telegram และ Steam 🎗️ ใช้การเข้ารหัส ChaCha20 และระบบหลบ VM เพื่อหลบการวิเคราะห์ ราคาขายอยู่ที่ $199/เดือน หรือ $1,199 แบบตลอดชีพ และถูกขายผ่าน Telegram และฟอรั่มใต้ดิน แต่จุดเปลี่ยนคือการที่กลุ่มนี้ตัดสินใจโจมตีหน่วยงานรัฐบาลในภูมิภาค Astrakhan ซึ่งขัดกับ “กฎเงียบ” ของแฮกเกอร์รัสเซียที่มักตั้ง geo-filter เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศตนเอง, คาซัคสถาน และเบลารุส เพื่อไม่ให้ถูกจับ ผลคือเจ้าหน้าที่รัสเซียบุกจับผู้ต้องสงสัย 3 คน พร้อมยึดคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์ และบัตรธนาคาร โดยหนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกจับขณะใส่ชุดนอน Hello Kitty นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มนี้พัฒนา “มัลแวร์ตัวที่สอง” ที่สามารถปิดระบบป้องกันและสร้าง botnet ได้ หากถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ✅ รายละเอียดของ Meduza Stealer ➡️ เป็นมัลแวร์แบบ MaaS ที่ขายผ่าน Telegram ➡️ ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, กระเป๋าคริปโต, Telegram และ Steam ➡️ ใช้การเข้ารหัส ChaCha20 และหลบ VM ➡️ ราคาขาย $199/เดือน หรือ $1,199 แบบตลอดชีพ ✅ เหตุการณ์การจับกุม ➡️ เกิดขึ้นหลังกลุ่มแฮกเกอร์โจมตีหน่วยงานรัฐใน Astrakhan ➡️ ขัดกับกฎเงียบที่ห้ามโจมตีภายในประเทศ ➡️ เจ้าหน้าที่จับผู้ต้องสงสัย 3 คน พร้อมยึดอุปกรณ์ ➡️ พบมัลแวร์ตัวที่สองที่ใช้สร้าง botnet ✅ สัญญาณจากรัฐบาลรัสเซีย ➡️ เปลี่ยนจาก “ปล่อยผ่าน” เป็น “จัดการจริง” ➡️ ใช้การจับกุมเพื่อควบคุมแฮกเกอร์ในประเทศ ➡️ สอดคล้องกับรายงานจาก Recorded Future ว่ารัสเซียเริ่มจัดการแฮกเกอร์ที่ “ดังเกินไป” หรือ “ไม่สะดวกทางการเมือง” https://hackread.com/russia-arrests-meduza-stealer-developers/
    HACKREAD.COM
    Russia Arrests Meduza Stealer Developers After Government Hack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว.

    ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ.

    ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้,

    ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด.

    ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที.

    #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้.

    #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย.

    #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก

    #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว. ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ. ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้, ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด. ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที. #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้. #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย. #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย. https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    @adithepchawla01

    Biometric Clip 1 of 3 สแกนหน้า ความปลอดภัย หรือการควบคุม?

    ♬ original sound - อดิเทพ จาวลาห์ - อดิเทพ จาวลาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 5

    คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา

    ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย

    แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ

    Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค
    Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ

    เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน

    เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 6

    เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน

    เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย

    นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust

    ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง

    เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส

    ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย

    ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ

    มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ
    Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin”

    Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust

    ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว

    สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต

    อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 5 คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 6 เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin” Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 3

    นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร

    แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร

    ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้

    ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้
    ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

    ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน !

    หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง

    แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ :

    “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย”
    หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต

    สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก”

    ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank

    แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต

    ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 4

    นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ
    แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้

    ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin

    รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน

    เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ

    – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน

    Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน
    – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ

    – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ

    เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก

    Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้”

    Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ

    Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ

    เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 3 นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้ ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน ! หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ : “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย” หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก” ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 4 นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้ ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้” Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 1

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก

    กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย

    ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ
    J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย

    ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan

    เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ

    ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย

    มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey

    “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ”

    “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….”
    เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย

    กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์

    นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917

    การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ
    อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915

    การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks

    และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก

    รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล

    การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา

    การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 2

    ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด

    และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย

    อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย !

    J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม

    จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา

    ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน
    นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ

    แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ

    เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว

    มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ” “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….” เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์ นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917 การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915 การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 2 ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย ! J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ

    ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ

    Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง

    ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น

    นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น

    ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ

    แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย
    รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram
    ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง
    อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้

    ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025
    จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี
    ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม

    ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล
    ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน
    มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี

    กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์
    มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
    กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด

    ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า
    การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    👮‍♀️ Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ ✅ แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย ➡️ รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ➡️ ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง ➡️ อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ ✅ ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025 ➡️ จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี ➡️ ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม ✅ ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล ➡️ ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน ➡️ มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี ‼️ กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์ ⛔ มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ ⛔ กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า ⛔ การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hong Kong’s Scameter app gets upgrade, AI tools to tackle social media scams
    Online employment and investment scams are on the rise, despite police recording a marginal increase in swindling cases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

    หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น

    แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท

    Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท”

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง

    สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก

    ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม
    การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท
    หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม
    การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
    การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ

    การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า
    ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร
    การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น

    ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว”
    อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง
    ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น”

    การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่
    อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย
    ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่

    ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ

    https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    🧭 “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท” นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก ✅ ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม ➡️ การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท ➡️ หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ➡️ การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ ✅ การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า ➡️ ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร ➡️ การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ‼️ ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว” ⛔ อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง ⛔ ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น” ‼️ การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่ ⛔ อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่ ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Tips for CISOs switching between industries
    Moving between industries isn’t just about experience, it’s about transferring skills, understanding the business, and managing risk in new environments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุน $100,000 จากโครงการ FLOSS/fund ของอินเดีย — ก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของโอเพ่นซอร์ส

    โครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha มอบเงินสนับสนุนให้ FFmpeg ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สที่สำคัญที่สุดในโลก โดยเงินทุนนี้ถือเป็นก้าวแรกในการแก้ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณของโครงการโอเพ่นซอร์สทั่วโลก

    ถ้าคุณเคยดูวิดีโอออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix หรือแม้แต่ใช้แอปตัดต่อวิดีโอ มีโอกาสสูงมากที่เบื้องหลังจะมี FFmpeg ทำงานอยู่ — มันคือเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สที่ช่วยแปลงไฟล์ สตรีม และประมวลผลเสียงกับภาพแบบอัตโนมัติ

    แม้จะมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก แต่ FFmpeg กลับขาดแคลนงบประมาณมาโดยตลอด ล่าสุดโครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha บริษัทโบรกเกอร์หุ้นจากอินเดีย ได้มอบเงินสนับสนุนจำนวน $100,000 ให้กับ FFmpeg ในรอบการจัดสรรครั้งที่สองของปี 2025

    ทีมงาน FFmpeg ขอบคุณ Nithin Kamath ซีอีโอของ Zerodha ผ่านโพสต์บน X (Twitter) พร้อมระบุว่า “เงินทุนนี้ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส”

    เงินทุนนี้ยังอยู่ในสถานะ “รอดำเนินการ” เนื่องจากต้องจัดการเอกสารและการติดต่อกับผู้รับทั้งหมด โดย FLOSS/fund กำลังร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อทำให้การโอนเงินข้ามประเทศง่ายขึ้นในอนาคต

    ในรอบนี้มีโครงการโอเพ่นซอร์สอีก 29 โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น $675,000 ซึ่งเมื่อรวมกับรอบก่อนหน้าในเดือนพฤษภาคม จะทำให้ยอดรวมของปีนี้แตะ $1 ล้านเต็ม

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    FLOSS/fund ก่อตั้งขึ้นในปี 2024 โดยมีเป้าหมายสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากแต่ขาดงบประมาณ
    FFmpeg ถูกใช้ในระบบ backend ของหลายแพลตฟอร์มโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ตัว
    การสนับสนุนแบบนี้อาจเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่นๆ ร่วมลงทุนในโครงการโอเพ่นซอร์สที่ตนเองพึ่งพาอยู่

    นี่คือก้าวสำคัญของโลกโอเพ่นซอร์ส ที่แสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี — แต่คือเรื่องของความรับผิดชอบร่วมกันจากทุกภาคส่วน

    FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุนจาก FLOSS/fund
    จำนวน $100,000 จาก Zerodha ประเทศอินเดีย
    เป็นส่วนหนึ่งของรอบจัดสรร Tranche 2 ประจำปี 2025
    ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเอกสารและการติดต่อ

    ความสำคัญของ FFmpeg
    ใช้ในแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น YouTube, Netflix, แอปตัดต่อวิดีโอ
    เป็นเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สสำหรับแปลงและสตรีมไฟล์มัลติมีเดีย
    มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    เป้าหมายของ FLOSS/fund
    สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์สที่โลกพึ่งพา
    เรียกร้องให้บริษัทที่ได้ประโยชน์จาก FOSS สนับสนุนมากกว่าแค่คำขอบคุณ
    ร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อแก้ปัญหาโอนเงินข้ามประเทศ

    ความท้าทายในการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส
    เงินทุนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการระยะยาว
    การโอนเงินระหว่างประเทศยังมีอุปสรรคด้านกฎหมายและระบบธนาคาร
    โครงการโอเพ่นซอร์สจำนวนมากยังไม่มีช่องทางรับเงินที่ปลอดภัย

    https://news.itsfoss.com/ffmpeg-receives-100k-funding/
    💰 FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุน $100,000 จากโครงการ FLOSS/fund ของอินเดีย — ก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของโอเพ่นซอร์ส โครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha มอบเงินสนับสนุนให้ FFmpeg ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สที่สำคัญที่สุดในโลก โดยเงินทุนนี้ถือเป็นก้าวแรกในการแก้ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณของโครงการโอเพ่นซอร์สทั่วโลก ถ้าคุณเคยดูวิดีโอออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix หรือแม้แต่ใช้แอปตัดต่อวิดีโอ มีโอกาสสูงมากที่เบื้องหลังจะมี FFmpeg ทำงานอยู่ — มันคือเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สที่ช่วยแปลงไฟล์ สตรีม และประมวลผลเสียงกับภาพแบบอัตโนมัติ แม้จะมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก แต่ FFmpeg กลับขาดแคลนงบประมาณมาโดยตลอด ล่าสุดโครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha บริษัทโบรกเกอร์หุ้นจากอินเดีย ได้มอบเงินสนับสนุนจำนวน $100,000 ให้กับ FFmpeg ในรอบการจัดสรรครั้งที่สองของปี 2025 ทีมงาน FFmpeg ขอบคุณ Nithin Kamath ซีอีโอของ Zerodha ผ่านโพสต์บน X (Twitter) พร้อมระบุว่า “เงินทุนนี้ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส” เงินทุนนี้ยังอยู่ในสถานะ “รอดำเนินการ” เนื่องจากต้องจัดการเอกสารและการติดต่อกับผู้รับทั้งหมด โดย FLOSS/fund กำลังร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อทำให้การโอนเงินข้ามประเทศง่ายขึ้นในอนาคต ในรอบนี้มีโครงการโอเพ่นซอร์สอีก 29 โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น $675,000 ซึ่งเมื่อรวมกับรอบก่อนหน้าในเดือนพฤษภาคม จะทำให้ยอดรวมของปีนี้แตะ $1 ล้านเต็ม 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 FLOSS/fund ก่อตั้งขึ้นในปี 2024 โดยมีเป้าหมายสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากแต่ขาดงบประมาณ 💠 FFmpeg ถูกใช้ในระบบ backend ของหลายแพลตฟอร์มโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ตัว 💠 การสนับสนุนแบบนี้อาจเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่นๆ ร่วมลงทุนในโครงการโอเพ่นซอร์สที่ตนเองพึ่งพาอยู่ นี่คือก้าวสำคัญของโลกโอเพ่นซอร์ส ที่แสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี — แต่คือเรื่องของความรับผิดชอบร่วมกันจากทุกภาคส่วน ✅ FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุนจาก FLOSS/fund ➡️ จำนวน $100,000 จาก Zerodha ประเทศอินเดีย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของรอบจัดสรร Tranche 2 ประจำปี 2025 ➡️ ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเอกสารและการติดต่อ ✅ ความสำคัญของ FFmpeg ➡️ ใช้ในแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น YouTube, Netflix, แอปตัดต่อวิดีโอ ➡️ เป็นเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สสำหรับแปลงและสตรีมไฟล์มัลติมีเดีย ➡️ มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก ✅ เป้าหมายของ FLOSS/fund ➡️ สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์สที่โลกพึ่งพา ➡️ เรียกร้องให้บริษัทที่ได้ประโยชน์จาก FOSS สนับสนุนมากกว่าแค่คำขอบคุณ ➡️ ร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อแก้ปัญหาโอนเงินข้ามประเทศ ‼️ ความท้าทายในการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส ⛔ เงินทุนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการระยะยาว ⛔ การโอนเงินระหว่างประเทศยังมีอุปสรรคด้านกฎหมายและระบบธนาคาร ⛔ โครงการโอเพ่นซอร์สจำนวนมากยังไม่มีช่องทางรับเงินที่ปลอดภัย https://news.itsfoss.com/ffmpeg-receives-100k-funding/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    FFmpeg Receives $100K in Funding from India's FLOSS/fund Initiative
    It is one of the world's most widely used multimedia frameworks today.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 6

    เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน

    การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย

    ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย

    นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks”

    ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ

    นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917
    ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง
    ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin

    จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน

    จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..”

    Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน

    วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน
    (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง )

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 6 เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks” ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917 ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..” Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปแบบง่ายๆประชาชนต้องการเงินสด,รัฐจ่ายเงินสดก็จบ,ไม่ต้องไปให้คนละครึ่งเขาก็ได้,จริงๆรัฐรู้อยู่แก่ใจว่าประชาชนต้องการเงินสด,สามารถรับเป็นเงินสดกดที่ธนาคารได้ก็จบ,ถ้าไม่ต้องการเงินสดก็ใข้เงื่อนไขเดิม,สละสิทธิ์ขอรับเป็นเงินสดสิ,ยุ่งยากให้ประชาชนเขาเอาเงินเข้าไปอีกด้วย,ประชาชนบางคนต้องการสิทธิ์เพียงแค่นั้น,บางคนตังไม่มีจะเอาเข้าด้วยมั้ยในยามวิกฤติขนาดนี้,ลักษณะแบบฉันไม่ต้องการเสีย200เพื่อรับสินค้าของเจ้าสัว400บาท,อยากเอาไปซื้อผักกับคนข้างบ้านแทนก็ได้ ซื้อปูปลาข้างบ้านก็ได้ เงินสด180-190บาท เขาก็พอใจ ร้านค้าก็พอได้นิดหน่อยแค่นั้นจะคิดอะไรมากมาย,มันผิดตั้งแต่แรก แจกเงินสดก็จบยุคลุง,ตังจริงๆมันไหลไปหาเจ้าสัวทั้งทางตรงและทางอ้อม,แน่จริงต้องระบุชัดเจนไปเลยว่า ใช้ได้และใข้สิทธิ์ได้เฉพาะร้านค้ากองทุนประจำหมู่บ้านใครมันเท่านั้นหรือหมู่บ้านที่มีร้านค้ากองทุนหมู่บ้าน จะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดร้านค้าชุมชนหมู่บ้านพึ่งพาตนเองได้,ต่อยอดเป็นตลาดชุมชนที่เข้มแข็งระดับตำบล อำเภอ จังหวัดได้,อัดเงินลงโครงการประยุกต์สาระพัดได้สบาย,เรามีผู้นำในอดีตที่กาก สนับสนุนกลุ่มทุนมากกว่ากลุ่มประชาชนคนไทยตน.

    https://youtube.com/watch?v=wDWHBDnIzfw&si=wbd9Ep5SAbtuIhAW
    สรุปแบบง่ายๆประชาชนต้องการเงินสด,รัฐจ่ายเงินสดก็จบ,ไม่ต้องไปให้คนละครึ่งเขาก็ได้,จริงๆรัฐรู้อยู่แก่ใจว่าประชาชนต้องการเงินสด,สามารถรับเป็นเงินสดกดที่ธนาคารได้ก็จบ,ถ้าไม่ต้องการเงินสดก็ใข้เงื่อนไขเดิม,สละสิทธิ์ขอรับเป็นเงินสดสิ,ยุ่งยากให้ประชาชนเขาเอาเงินเข้าไปอีกด้วย,ประชาชนบางคนต้องการสิทธิ์เพียงแค่นั้น,บางคนตังไม่มีจะเอาเข้าด้วยมั้ยในยามวิกฤติขนาดนี้,ลักษณะแบบฉันไม่ต้องการเสีย200เพื่อรับสินค้าของเจ้าสัว400บาท,อยากเอาไปซื้อผักกับคนข้างบ้านแทนก็ได้ ซื้อปูปลาข้างบ้านก็ได้ เงินสด180-190บาท เขาก็พอใจ ร้านค้าก็พอได้นิดหน่อยแค่นั้นจะคิดอะไรมากมาย,มันผิดตั้งแต่แรก แจกเงินสดก็จบยุคลุง,ตังจริงๆมันไหลไปหาเจ้าสัวทั้งทางตรงและทางอ้อม,แน่จริงต้องระบุชัดเจนไปเลยว่า ใช้ได้และใข้สิทธิ์ได้เฉพาะร้านค้ากองทุนประจำหมู่บ้านใครมันเท่านั้นหรือหมู่บ้านที่มีร้านค้ากองทุนหมู่บ้าน จะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดร้านค้าชุมชนหมู่บ้านพึ่งพาตนเองได้,ต่อยอดเป็นตลาดชุมชนที่เข้มแข็งระดับตำบล อำเภอ จังหวัดได้,อัดเงินลงโครงการประยุกต์สาระพัดได้สบาย,เรามีผู้นำในอดีตที่กาก สนับสนุนกลุ่มทุนมากกว่ากลุ่มประชาชนคนไทยตน. https://youtube.com/watch?v=wDWHBDnIzfw&si=wbd9Ep5SAbtuIhAW
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กวัยรุ่นอเมริกันถูกฟ้องในคดีอาชญากรรมไซเบอร์เครือข่าย 764 — รวมข้อหาหนักทั้งการฉ้อโกง, ขโมยข้อมูล และการฟอกเงิน

    บทความจาก HackRead รายงานว่า วัยรุ่นชายชาวอเมริกันถูกตั้งข้อหาในคดีอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย 764 ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงในด้านการโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลการเงิน และการขายข้อมูลในตลาดมืด โดยคดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีที่ใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนในสหรัฐฯ

    วัยรุ่นถูกตั้งข้อหาหลายกระทงรวมถึงการฉ้อโกงและการฟอกเงิน
    ใช้เทคนิค phishing และ social engineering เพื่อเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ
    ขโมยข้อมูลบัตรเครดิต, ข้อมูลบัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนตัว

    เครือข่าย 764 มีการจัดการแบบองค์กร
    มีการแบ่งหน้าที่ เช่น ผู้สร้างมัลแวร์, ผู้จัดการบัญชี, และผู้ขายข้อมูล
    ใช้แพลตฟอร์ม Discord และ Telegram เป็นช่องทางสื่อสารและขายข้อมูล

    วัยรุ่นรายนี้มีบทบาทสำคัญในเครือข่าย
    เป็นผู้พัฒนาเครื่องมือโจมตีและจัดการการเงินของกลุ่ม
    มีการใช้ cryptocurrency เพื่อฟอกเงินและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ

    เจ้าหน้าที่สืบสวนพบหลักฐานจากการตรวจสอบอุปกรณ์และบัญชีออนไลน์
    รวมถึงไฟล์มัลแวร์, รายชื่อเหยื่อ, และบันทึกการโอนเงิน
    มีการเชื่อมโยงกับการโจมตีหลายครั้งในสหรัฐฯ และยุโรป

    เยาวชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือแฮกได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส
    เครื่องมือบางตัวถูกแชร์ใน GitHub หรือฟอรัมโดยไม่มีการควบคุม
    การเรียนรู้ด้านเทคนิคโดยไม่มีจริยธรรมอาจนำไปสู่การกระทำผิด

    การใช้ cryptocurrency ไม่ได้ทำให้การฟอกเงินปลอดภัยจากการตรวจสอบ
    หน่วยงานด้านการเงินสามารถติดตามธุรกรรมผ่าน blockchain
    การใช้ crypto เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอาจเพิ่มโทษทางอาญา

    การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเช่น Discord ไม่ปลอดภัยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
    แม้จะใช้ชื่อปลอมหรือ VPN ก็ยังสามารถถูกติดตามได้
    เจ้าหน้าที่สามารถขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มผ่านหมายศาล

    https://hackread.com/us-teen-indicted-764-network-case-crimes/
    ⚖️ เด็กวัยรุ่นอเมริกันถูกฟ้องในคดีอาชญากรรมไซเบอร์เครือข่าย 764 — รวมข้อหาหนักทั้งการฉ้อโกง, ขโมยข้อมูล และการฟอกเงิน บทความจาก HackRead รายงานว่า วัยรุ่นชายชาวอเมริกันถูกตั้งข้อหาในคดีอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย 764 ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงในด้านการโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลการเงิน และการขายข้อมูลในตลาดมืด โดยคดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีที่ใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนในสหรัฐฯ ✅ วัยรุ่นถูกตั้งข้อหาหลายกระทงรวมถึงการฉ้อโกงและการฟอกเงิน ➡️ ใช้เทคนิค phishing และ social engineering เพื่อเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ ➡️ ขโมยข้อมูลบัตรเครดิต, ข้อมูลบัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนตัว ✅ เครือข่าย 764 มีการจัดการแบบองค์กร ➡️ มีการแบ่งหน้าที่ เช่น ผู้สร้างมัลแวร์, ผู้จัดการบัญชี, และผู้ขายข้อมูล ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Discord และ Telegram เป็นช่องทางสื่อสารและขายข้อมูล ✅ วัยรุ่นรายนี้มีบทบาทสำคัญในเครือข่าย ➡️ เป็นผู้พัฒนาเครื่องมือโจมตีและจัดการการเงินของกลุ่ม ➡️ มีการใช้ cryptocurrency เพื่อฟอกเงินและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ✅ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบหลักฐานจากการตรวจสอบอุปกรณ์และบัญชีออนไลน์ ➡️ รวมถึงไฟล์มัลแวร์, รายชื่อเหยื่อ, และบันทึกการโอนเงิน ➡️ มีการเชื่อมโยงกับการโจมตีหลายครั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ‼️ เยาวชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือแฮกได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส ⛔ เครื่องมือบางตัวถูกแชร์ใน GitHub หรือฟอรัมโดยไม่มีการควบคุม ⛔ การเรียนรู้ด้านเทคนิคโดยไม่มีจริยธรรมอาจนำไปสู่การกระทำผิด ‼️ การใช้ cryptocurrency ไม่ได้ทำให้การฟอกเงินปลอดภัยจากการตรวจสอบ ⛔ หน่วยงานด้านการเงินสามารถติดตามธุรกรรมผ่าน blockchain ⛔ การใช้ crypto เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอาจเพิ่มโทษทางอาญา ‼️ การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเช่น Discord ไม่ปลอดภัยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ⛔ แม้จะใช้ชื่อปลอมหรือ VPN ก็ยังสามารถถูกติดตามได้ ⛔ เจ้าหน้าที่สามารถขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มผ่านหมายศาล https://hackread.com/us-teen-indicted-764-network-case-crimes/
    HACKREAD.COM
    US Teen Indicted in 764 Network Case Involving Exploitation Crimes
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • Herodotus: มัลแวร์ Android ยุคใหม่ที่พิมพ์เหมือนมนุษย์ หลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมได้แนบเนียน

    Trojan ตัวใหม่ชื่อว่า Herodotus ถูกค้นพบโดย ThreatFabric ซึ่งเป็นมัลแวร์ Android ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral biometrics) โดยใช้เทคนิค “พิมพ์แบบมนุษย์” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย

    จุดเด่นของ Herodotus ที่ทำให้มันอันตราย

    พฤติกรรมการพิมพ์แบบมนุษย์
    มัลแวร์จะแยกข้อความออกเป็นตัวอักษร แล้วใส่ ดีเลย์แบบสุ่ม ระหว่าง 300–3000 มิลลิวินาที เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใช้จริงกำลังพิมพ์
    เทคนิคนี้ช่วยหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ใช้ความเร็วและจังหวะการพิมพ์เป็นเกณฑ์

    การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล
    ผู้โจมตีสามารถคลิก, ปัดหน้าจอ, พิมพ์ข้อความ และสั่งงานระดับระบบ เช่น “Back” หรือ “Home” ได้
    ใช้ overlay ปลอมที่แสดงข้อความเช่น “กรุณารอสักครู่ ระบบธนาคารกำลังตรวจสอบข้อมูล…” เพื่อหลอกผู้ใช้ขณะโจมตี

    เทคนิคการแพร่กระจายที่แนบเนียน
    ใช้ SMiShing (SMS phishing) และ side-loading เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง dropper
    Dropper จะติดตั้ง payload โดยใช้หน้าจอปลอมที่ดูเหมือนกำลังโหลด เพื่อขอสิทธิ์ Accessibility โดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย

    โครงสร้างมัลแวร์แบบ modular และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มีการใช้โค้ดบางส่วนจาก Brokewell Trojan เช่น string ‘BRKWL_JAVA’
    ผู้พัฒนาใช้ชื่อ “K1R0” และเริ่มเปิดให้เช่าแบบ Malware-as-a-Service แล้ว

    เป้าหมายการโจมตีขยายทั่วโลก
    เริ่มจากอิตาลีและบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมเช่น “Banca Sicura” และ “Modulo Seguranca Stone”
    มี template overlay สำหรับธนาคารในสหรัฐฯ, ตุรกี, อังกฤษ, โปแลนด์ และแพลตฟอร์มคริปโต

    ระบบตรวจจับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
    Herodotus สามารถหลอกระบบที่ใช้ input timing ได้อย่างแนบเนียน
    การพึ่งพา behavioral biometrics เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิด false negative

    การให้สิทธิ์ Accessibility โดยไม่รู้ตัวคือช่องโหว่ใหญ่
    หน้าจอปลอมสามารถหลอกให้ผู้ใช้อนุญาตสิทธิ์ที่อันตราย
    Accessibility Services เปิดทางให้มัลแวร์ควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ

    มัลแวร์แบบเช่า (MaaS) จะทำให้การโจมตีแพร่หลายมากขึ้น
    ผู้โจมตีไม่ต้องมีทักษะสูงก็สามารถใช้ Herodotus ได้
    องค์กรต้องเตรียมระบบตรวจจับที่หลากหลายมากขึ้น เช่น AI-based anomaly detection

    https://securityonline.info/next-gen-android-trojan-herodotus-mimics-human-typing-to-bypass-behavioral-biometrics-anti-fraud-systems/
    📱🧠 Herodotus: มัลแวร์ Android ยุคใหม่ที่พิมพ์เหมือนมนุษย์ หลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมได้แนบเนียน Trojan ตัวใหม่ชื่อว่า Herodotus ถูกค้นพบโดย ThreatFabric ซึ่งเป็นมัลแวร์ Android ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral biometrics) โดยใช้เทคนิค “พิมพ์แบบมนุษย์” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย ✅ จุดเด่นของ Herodotus ที่ทำให้มันอันตราย ✅ พฤติกรรมการพิมพ์แบบมนุษย์ ➡️ มัลแวร์จะแยกข้อความออกเป็นตัวอักษร แล้วใส่ ดีเลย์แบบสุ่ม ระหว่าง 300–3000 มิลลิวินาที เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใช้จริงกำลังพิมพ์ ➡️ เทคนิคนี้ช่วยหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ใช้ความเร็วและจังหวะการพิมพ์เป็นเกณฑ์ ✅ การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ➡️ ผู้โจมตีสามารถคลิก, ปัดหน้าจอ, พิมพ์ข้อความ และสั่งงานระดับระบบ เช่น “Back” หรือ “Home” ได้ ➡️ ใช้ overlay ปลอมที่แสดงข้อความเช่น “กรุณารอสักครู่ ระบบธนาคารกำลังตรวจสอบข้อมูล…” เพื่อหลอกผู้ใช้ขณะโจมตี ✅ เทคนิคการแพร่กระจายที่แนบเนียน ➡️ ใช้ SMiShing (SMS phishing) และ side-loading เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง dropper ➡️ Dropper จะติดตั้ง payload โดยใช้หน้าจอปลอมที่ดูเหมือนกำลังโหลด เพื่อขอสิทธิ์ Accessibility โดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย ✅ โครงสร้างมัลแวร์แบบ modular และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มีการใช้โค้ดบางส่วนจาก Brokewell Trojan เช่น string ‘BRKWL_JAVA’ ➡️ ผู้พัฒนาใช้ชื่อ “K1R0” และเริ่มเปิดให้เช่าแบบ Malware-as-a-Service แล้ว ✅ เป้าหมายการโจมตีขยายทั่วโลก ➡️ เริ่มจากอิตาลีและบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมเช่น “Banca Sicura” และ “Modulo Seguranca Stone” ➡️ มี template overlay สำหรับธนาคารในสหรัฐฯ, ตุรกี, อังกฤษ, โปแลนด์ และแพลตฟอร์มคริปโต ‼️ ระบบตรวจจับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ⛔ Herodotus สามารถหลอกระบบที่ใช้ input timing ได้อย่างแนบเนียน ⛔ การพึ่งพา behavioral biometrics เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิด false negative ‼️ การให้สิทธิ์ Accessibility โดยไม่รู้ตัวคือช่องโหว่ใหญ่ ⛔ หน้าจอปลอมสามารถหลอกให้ผู้ใช้อนุญาตสิทธิ์ที่อันตราย ⛔ Accessibility Services เปิดทางให้มัลแวร์ควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ ‼️ มัลแวร์แบบเช่า (MaaS) จะทำให้การโจมตีแพร่หลายมากขึ้น ⛔ ผู้โจมตีไม่ต้องมีทักษะสูงก็สามารถใช้ Herodotus ได้ ⛔ องค์กรต้องเตรียมระบบตรวจจับที่หลากหลายมากขึ้น เช่น AI-based anomaly detection https://securityonline.info/next-gen-android-trojan-herodotus-mimics-human-typing-to-bypass-behavioral-biometrics-anti-fraud-systems/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Android Trojan Herodotus Mimics Human Typing to Bypass Behavioral Biometrics Anti-Fraud Systems
    Herodotus is a new Android banking Trojan that evades anti-fraud systems by simulating human input: it inserts randomized typing delays (300-3000ms) during remote-control attacks in Italy and Brazil.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (3)

    ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

    ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง

    ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน

    ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild
    ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain

    กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย

    อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว

    ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง

    เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (4)

    ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้

    ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก
    แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย

    สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน

    ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง

    แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง

    ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม

    และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว

    กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ
    สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน

    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (3) ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (4) ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas Browser — เมื่อ AI จำคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก HackRead เผยช่องโหว่ร้ายแรงใน ChatGPT Atlas Browser ที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก LayerX Security ซึ่งตั้งชื่อว่า “ChatGPT Tainted Memories” โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของ ChatGPT ขณะใช้งาน Atlas Browser ทำให้ AI ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ

    ChatGPT Atlas เป็นเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่ใช้ความสามารถของ AI ในการอ่านเว็บ สรุปข้อมูล และดำเนินการแทนผู้ใช้ เช่น เปิดบัญชีหรือดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่องโหว่ที่พบทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อ Atlas อ่านข้อมูลนั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ มันก็จะดำเนินการทันทีโดยไม่ตรวจสอบ

    ที่น่ากังวลคือคำสั่งเหล่านี้อาจฝังอยู่ในหน่วยความจำของ ChatGPT และยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนหน้าเว็บหรืออุปกรณ์ ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้ในระยะยาว

    นอกจากนี้ Atlas ยังไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดีพอ ทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปถึง 90% ตามรายงานของ LayerX

    ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas
    แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาเว็บ
    ChatGPT อาจเข้าใจผิดว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้
    ดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบ เช่น เปิดบัญชีหรือเข้าถึงไฟล์

    ความเสี่ยงจากหน่วยความจำของ AI
    คำสั่งอันตรายอาจอยู่ในหน่วยความจำข้ามอุปกรณ์หรือเซสชัน
    แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ในระยะยาว

    ปัญหาด้าน phishing
    Atlas ไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดี
    ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ Chrome หรือ Edge ถึง 90%

    คำแนะนำจากนักวิจัย
    หลีกเลี่ยงการใช้ Atlas กับบัญชีสำคัญ เช่น อีเมลหรือธนาคาร
    ใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง
    ตรวจสอบหน่วยความจำและประวัติการทำงานของ AI เป็นระยะ
    องค์กรควรจำกัดสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งาน AI browser อย่างเข้มงวด

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Atlas
    อย่าใช้เบราว์เซอร์นี้กับข้อมูลสำคัญจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไข
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักขณะใช้ Atlas
    ตรวจสอบว่า AI ทำงานตามคำสั่งจริง ไม่ใช่คำสั่งที่ถูกฝังไว้

    https://hackread.com/chatgpt-tainted-memories-atlas-browser/
    🧠 ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas Browser — เมื่อ AI จำคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว บทความจาก HackRead เผยช่องโหว่ร้ายแรงใน ChatGPT Atlas Browser ที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก LayerX Security ซึ่งตั้งชื่อว่า “ChatGPT Tainted Memories” โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของ ChatGPT ขณะใช้งาน Atlas Browser ทำให้ AI ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ ChatGPT Atlas เป็นเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่ใช้ความสามารถของ AI ในการอ่านเว็บ สรุปข้อมูล และดำเนินการแทนผู้ใช้ เช่น เปิดบัญชีหรือดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่องโหว่ที่พบทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อ Atlas อ่านข้อมูลนั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ มันก็จะดำเนินการทันทีโดยไม่ตรวจสอบ ที่น่ากังวลคือคำสั่งเหล่านี้อาจฝังอยู่ในหน่วยความจำของ ChatGPT และยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนหน้าเว็บหรืออุปกรณ์ ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ Atlas ยังไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดีพอ ทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปถึง 90% ตามรายงานของ LayerX ✅ ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas ➡️ แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาเว็บ ➡️ ChatGPT อาจเข้าใจผิดว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ ➡️ ดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบ เช่น เปิดบัญชีหรือเข้าถึงไฟล์ ✅ ความเสี่ยงจากหน่วยความจำของ AI ➡️ คำสั่งอันตรายอาจอยู่ในหน่วยความจำข้ามอุปกรณ์หรือเซสชัน ➡️ แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ในระยะยาว ✅ ปัญหาด้าน phishing ➡️ Atlas ไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดี ➡️ ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ Chrome หรือ Edge ถึง 90% ✅ คำแนะนำจากนักวิจัย ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ Atlas กับบัญชีสำคัญ เช่น อีเมลหรือธนาคาร ➡️ ใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง ➡️ ตรวจสอบหน่วยความจำและประวัติการทำงานของ AI เป็นระยะ ➡️ องค์กรควรจำกัดสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งาน AI browser อย่างเข้มงวด ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Atlas ⛔ อย่าใช้เบราว์เซอร์นี้กับข้อมูลสำคัญจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไข ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักขณะใช้ Atlas ⛔ ตรวจสอบว่า AI ทำงานตามคำสั่งจริง ไม่ใช่คำสั่งที่ถูกฝังไว้ https://hackread.com/chatgpt-tainted-memories-atlas-browser/
    HACKREAD.COM
    ‘ChatGPT Tainted Memories’ Exploit Enables Command Injection in Atlas Browser
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”

    บทนำ

    (1)

    จากประวัติศาสตร์ ที่ฝรั่งทั้งเขียนทั้งแต่ง และคนไทยเอามาแปล เป็นทั้งหนังสืออ่าน และบทเรียนประวัติศาสตร์สากล ทำให้เราเข้าใจ และเชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ลอบฆ่าอาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี โดยชาวเซอรเบีย ที่เซราเจโว เมืองหลวงของเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน คศ 1914

    มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นสายชนวนเส้นหนึ่ง ของสงครามโลกครั้งที่ 1 จริง แต่มันไม่ใช่ “สาเหตุ ” แท้จริงที่ทำให้เกิดสงครามโลก แม้เหตุการณ์นั้น จะทำให้ออสเตรียโกรธจัด ควันออกหูก็ตาม ออสเตรียกับเซอร์เบียขบเขี้ยวกันมานานแล้ว เนื่องจากออสเตรียซึ่งตอนนั้นคิดว่าตนเองกล้ามใหญ่ ไปผนวกเอาบอสเนียและเฮอเซโกวีนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน มาเป็นของตน ตั้งแต่ประมาณปี คศ 1878 ทำให้เซอร์เบียซี่งถือว่าบอสเนียเป็นพวกเดียวกันตัว เป็นเดือดเป็นแค้นแทน และเอาความแค้นไปฝากใส่หูรัสเซีย ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของพวกสลาฟ และกลุ่มนิกายออโธดอกซ์

    หลังจากมีการเจรจา ที่มีเค้าว่าจะล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นอยู่ประมาณ 1 เดือน ในวันที่ 28 กรกฏาคม คศ 1914 ออสเตรียก็ประกาศสงครามกับเซอร์เบียรัฐเล็กกระจ้อย เพื่อให้รับผิดชอบการฆาตกรรมดังกล่าว ออสเตรียเชื่อว่า จะได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมัน หากรัสเซียออกมาหนุนหลังให้เซอร์เบีย ออสเตรียคงต้องลุ้นหนักว่า เยอรมันจะมาช่วยทันไหม เพราะวันรุ่งขึ้น 29 กรกฏาคม รัสเซียก็ประกาศระดมพล เตรียมตัวรบแล้ว

    ในวันเดียวกันนั้น ไกเซอร์ของเยอรมัน ก็ส่งโทรเลขไปหาซาร์นิโคลัสของรัสเซีย ขอร้องไม่ให้เรียกระดมพล และคงเพราะมีไมตรีต่อกันฉันท์ญาติ ซาร์จึงระงับคำสั่งระดมพลไว้ชั่วคราว แต่ฝ่ายกองทัพของรัสเซียไม่ชอบใจ ที่ซาร์ออกอาการลังเล วันรุ่งขึ้น 30 กรกฏาคม จึงพากันเดินตบเท้า เข้าไปกล่อม แกมบีบให้ซาร์มีคำสั่งระดมพลต่อ

    คงมีใครอยากรบเต็มที วันที่ 31 กรกฏาคม ทูตเยอรมันประจำเมือง St Petersburg ก็เข้าไปพบซาร์ และยื่นหนังสือของเยอรมัน ที่ประกาศสงครามต่อรัสเซีย หลังจากนั้นก็เอามือปิดหน้าและเดินออกไปจากห้อง ไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนอยากทำสงคราม โดยเฉพาะกับรัสเซีย ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูกับเยอรมัน
    เนื่องจากรู้ว่า ฝรั่งเศสและรัสเซียมีสัญญาให้การร่วมมือกันทางกองทัพ เยอรมันจึงตัดสินใจว่า จะต้องจัดการอย่างรวดเร็ว ให้ฝรั่งเศสหมอบราบเสียก่อนที่รัสเซียจะขยับมาช่วยทัน เพราะเยอรมันคาดว่า รัสเซียน่าจะใช้เวลานานในการระดมพล ขณะนั้นกองทัพของรัสเซียมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป วันที่ 3 สิงหาคม คศ 1914 เยอรมันจึงรีบประกาศสงครามกับฝรั่งเศส หลังจากนั้นเยอรมันก็เคลื่อนพลเข้าไปในเบลเยี่ยม เพื่อใช้เป็นทางข้ามไปโจมตีฝรั่งเศส

    อังกฤษคงกลัวน้อยหน้า เดี๋ยวเขาจะว่าเก่งแต่ปาก วันที่ 4 สิงหาคม คศ 1914 อังกฤษจึงรีบประกาศสงครามกับเยอรมันบ้าง โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อปกป้องความเป็นกลางของเบลเยี่ยม เป็นการอ้างเหตุผลการเข้าสงครามที่ตอแหลอย่างน่าทุเรศ เหตุผลจริงของอังกฤษในการทำสงคราม ชั่วร้ายเกินกว่าที่เราจะนึก แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ สถานะการเงินของอังกฤษ ขณะตัดสินใจประกาศทำสงครามกับเยอรมันนั้น อังกฤษอยู่ในสภาพล้มละลาย

    ถังแตกขนาดนั้น ทำไมอังกฤษยังคิดทำสงคราม และทำได้อย่างไร

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (2)

    ประมาณปี คศ 1890 อังกฤษ แม้จะอยู่บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย แต่ก็สร้างเสริมตนเอง ด้วยความฉลาด เล่ห์เหลี่ยม และความชั่วร้าย จนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และ การค้า และคิดเอาเองว่า ไม่มีใครจะกล้ามาทาบรัศมี จักรภพอังกฤษอันกว้างใหญ่ แผ่ไพศาลไปเกือบทั่วโลก จนดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพไม่ได้ เมื่อคิดอย่างนั้น อังกฤษก็พยายามทำทุกอย่าง ที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่ง และเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรือให้นานที่สุดเท่าที่จะยืดคอทำได้

    จะเอาโลกไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตนเองมีเสาหลัก หรืออำนาจควบคุมใน 3 เรื่อง

    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือ

    – ควบคุมระบบการเงินการธนาคาร

    – ควบคุม หรือครอบครองทรัพยากรที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน
    เสาหลักแรก: การควบคุมเส้นทางเดินเรือ อังกฤษ ทำได้สำเร็จ โดยใช้บริษัทประกันภัยใหญ่หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ Lloyd ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับการใช้เครือข่ายของธนาคารอังกฤษ เป็นผู้วางกฏ เกี่ยวกับการการขนส่งทางเรือ รวมทั้งใช้กองทัพเรือของตน ที่อังกฤษภูมิใจหนักหนาว่า ไม่มีใครเก่งเทียบ และไม่กล้าท้าทาย ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัย ให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่ง ถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับ Lloyd หรือคิดจะเสี่ยง กับการเจอภัยพิบัติกลางทะเล มันดูไม่ต่างกับการขู่กรรโชกของโจรสลัด

    สินเชื่อ และตั๋วแลกเงิน ที่จำเป็นต้องออกให้แก่กันในการค้าขาย และขนส่งสินค้าทางเรือ อังกฤษบีบให้ทำผ่านธนาคารของอังกฤษ ซึ่งเป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Bank of England ซึ่งก็เป็นผลผลิต ของกลุ่มนักการเงินใน City of London ที่นำโดย เจ้าพ่อใหญ่ ตระกูล Rothschild และพวก เช่น Barings, Hambros เป็นต้น

    ประมาณ ปี 1900 อังกฤษ ยืนยืด อกแอ่น จนแทบหงายหลัง ประกาศว่า เรามีเสาหลักนี้ ตั้งตระหง่านเรียบร้อยแล้ว

    เสาหลักที่สอง: การควบคุบระบบการเงิน และระบบการธนาคาร อังกฤษวางแผนอย่างคร่ำเคร่ง แต่เงียบสนิท และผลของมัน ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญ อังกฤษเป็นตัวการสำคัญ ในการวางแผนอีกต่อหนึ่ง ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกา ในปี คศ 1913 ที่เรารู้จักกันในนาม Federal Reserve Bank หรือ ที่เรียกกันสั้นๆว่า Fed ซึ่งเป็นของเอกชน ไม่ใช่เป็นของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูล ที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่าย ของตระกูล Rothschild ของฝั่งอังกฤษ และ ตระกูล Rockefeller และ Morgan ของฝั่งอเมริกา

    Fed มีอำนาจมากมาย และมีอิสระหลายเรื่อง ที่ไม่ต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลอเมริกัน โดยเฉพาะ ในการพิมพ์ธนบัตร การกำหนดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างสถาบัน ฯลฯ การตัดสินใจของ Fed มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงิน ตลาดทุน ตลาดหุ้น ของอเมริกา และของโลก แม้แต่สมันน้อย ยังต้องคอยฟังว่า เฟด เขาว่าอะไร ฟังแล้ว รู้เรื่องจริงไหม เข้าใจไหม เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องคอยฟัง ต้องพูดถึง เพราะมันเข้าสมัย และผู้บริหารบ้านเราก็แสนฉลาด เดินทุกก้าวตาม ที่เฟด บอก

    Fed จึงกลายเป็นตัวสำคัญในการชักใยการเงินโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของเสาหลักที่สอง ที่มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ

    เสาหลักที่สาม: ควบคุม หรือครอบครอง ทรัพยากรที่มีผลสำคัญต่อยุทธศาสตร์ ในความหมายของอังกฤษ ขณะนั้น และยังมีผลจนถึงขณะนี้ก็คือ น้ำมัน! ซึ่งไม่ใช่มีความหมายเฉพาะกับอังกฤษเท่านั้น แต่มันมีความหมาย และมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (1) จากประวัติศาสตร์ ที่ฝรั่งทั้งเขียนทั้งแต่ง และคนไทยเอามาแปล เป็นทั้งหนังสืออ่าน และบทเรียนประวัติศาสตร์สากล ทำให้เราเข้าใจ และเชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ลอบฆ่าอาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี โดยชาวเซอรเบีย ที่เซราเจโว เมืองหลวงของเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน คศ 1914 มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นสายชนวนเส้นหนึ่ง ของสงครามโลกครั้งที่ 1 จริง แต่มันไม่ใช่ “สาเหตุ ” แท้จริงที่ทำให้เกิดสงครามโลก แม้เหตุการณ์นั้น จะทำให้ออสเตรียโกรธจัด ควันออกหูก็ตาม ออสเตรียกับเซอร์เบียขบเขี้ยวกันมานานแล้ว เนื่องจากออสเตรียซึ่งตอนนั้นคิดว่าตนเองกล้ามใหญ่ ไปผนวกเอาบอสเนียและเฮอเซโกวีนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน มาเป็นของตน ตั้งแต่ประมาณปี คศ 1878 ทำให้เซอร์เบียซี่งถือว่าบอสเนียเป็นพวกเดียวกันตัว เป็นเดือดเป็นแค้นแทน และเอาความแค้นไปฝากใส่หูรัสเซีย ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของพวกสลาฟ และกลุ่มนิกายออโธดอกซ์ หลังจากมีการเจรจา ที่มีเค้าว่าจะล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นอยู่ประมาณ 1 เดือน ในวันที่ 28 กรกฏาคม คศ 1914 ออสเตรียก็ประกาศสงครามกับเซอร์เบียรัฐเล็กกระจ้อย เพื่อให้รับผิดชอบการฆาตกรรมดังกล่าว ออสเตรียเชื่อว่า จะได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมัน หากรัสเซียออกมาหนุนหลังให้เซอร์เบีย ออสเตรียคงต้องลุ้นหนักว่า เยอรมันจะมาช่วยทันไหม เพราะวันรุ่งขึ้น 29 กรกฏาคม รัสเซียก็ประกาศระดมพล เตรียมตัวรบแล้ว ในวันเดียวกันนั้น ไกเซอร์ของเยอรมัน ก็ส่งโทรเลขไปหาซาร์นิโคลัสของรัสเซีย ขอร้องไม่ให้เรียกระดมพล และคงเพราะมีไมตรีต่อกันฉันท์ญาติ ซาร์จึงระงับคำสั่งระดมพลไว้ชั่วคราว แต่ฝ่ายกองทัพของรัสเซียไม่ชอบใจ ที่ซาร์ออกอาการลังเล วันรุ่งขึ้น 30 กรกฏาคม จึงพากันเดินตบเท้า เข้าไปกล่อม แกมบีบให้ซาร์มีคำสั่งระดมพลต่อ คงมีใครอยากรบเต็มที วันที่ 31 กรกฏาคม ทูตเยอรมันประจำเมือง St Petersburg ก็เข้าไปพบซาร์ และยื่นหนังสือของเยอรมัน ที่ประกาศสงครามต่อรัสเซีย หลังจากนั้นก็เอามือปิดหน้าและเดินออกไปจากห้อง ไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนอยากทำสงคราม โดยเฉพาะกับรัสเซีย ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูกับเยอรมัน เนื่องจากรู้ว่า ฝรั่งเศสและรัสเซียมีสัญญาให้การร่วมมือกันทางกองทัพ เยอรมันจึงตัดสินใจว่า จะต้องจัดการอย่างรวดเร็ว ให้ฝรั่งเศสหมอบราบเสียก่อนที่รัสเซียจะขยับมาช่วยทัน เพราะเยอรมันคาดว่า รัสเซียน่าจะใช้เวลานานในการระดมพล ขณะนั้นกองทัพของรัสเซียมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป วันที่ 3 สิงหาคม คศ 1914 เยอรมันจึงรีบประกาศสงครามกับฝรั่งเศส หลังจากนั้นเยอรมันก็เคลื่อนพลเข้าไปในเบลเยี่ยม เพื่อใช้เป็นทางข้ามไปโจมตีฝรั่งเศส อังกฤษคงกลัวน้อยหน้า เดี๋ยวเขาจะว่าเก่งแต่ปาก วันที่ 4 สิงหาคม คศ 1914 อังกฤษจึงรีบประกาศสงครามกับเยอรมันบ้าง โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อปกป้องความเป็นกลางของเบลเยี่ยม เป็นการอ้างเหตุผลการเข้าสงครามที่ตอแหลอย่างน่าทุเรศ เหตุผลจริงของอังกฤษในการทำสงคราม ชั่วร้ายเกินกว่าที่เราจะนึก แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ สถานะการเงินของอังกฤษ ขณะตัดสินใจประกาศทำสงครามกับเยอรมันนั้น อังกฤษอยู่ในสภาพล้มละลาย ถังแตกขนาดนั้น ทำไมอังกฤษยังคิดทำสงคราม และทำได้อย่างไร นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (2) ประมาณปี คศ 1890 อังกฤษ แม้จะอยู่บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย แต่ก็สร้างเสริมตนเอง ด้วยความฉลาด เล่ห์เหลี่ยม และความชั่วร้าย จนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และ การค้า และคิดเอาเองว่า ไม่มีใครจะกล้ามาทาบรัศมี จักรภพอังกฤษอันกว้างใหญ่ แผ่ไพศาลไปเกือบทั่วโลก จนดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพไม่ได้ เมื่อคิดอย่างนั้น อังกฤษก็พยายามทำทุกอย่าง ที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่ง และเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรือให้นานที่สุดเท่าที่จะยืดคอทำได้ จะเอาโลกไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตนเองมีเสาหลัก หรืออำนาจควบคุมใน 3 เรื่อง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือ – ควบคุมระบบการเงินการธนาคาร – ควบคุม หรือครอบครองทรัพยากรที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน เสาหลักแรก: การควบคุมเส้นทางเดินเรือ อังกฤษ ทำได้สำเร็จ โดยใช้บริษัทประกันภัยใหญ่หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ Lloyd ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับการใช้เครือข่ายของธนาคารอังกฤษ เป็นผู้วางกฏ เกี่ยวกับการการขนส่งทางเรือ รวมทั้งใช้กองทัพเรือของตน ที่อังกฤษภูมิใจหนักหนาว่า ไม่มีใครเก่งเทียบ และไม่กล้าท้าทาย ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัย ให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่ง ถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับ Lloyd หรือคิดจะเสี่ยง กับการเจอภัยพิบัติกลางทะเล มันดูไม่ต่างกับการขู่กรรโชกของโจรสลัด สินเชื่อ และตั๋วแลกเงิน ที่จำเป็นต้องออกให้แก่กันในการค้าขาย และขนส่งสินค้าทางเรือ อังกฤษบีบให้ทำผ่านธนาคารของอังกฤษ ซึ่งเป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Bank of England ซึ่งก็เป็นผลผลิต ของกลุ่มนักการเงินใน City of London ที่นำโดย เจ้าพ่อใหญ่ ตระกูล Rothschild และพวก เช่น Barings, Hambros เป็นต้น ประมาณ ปี 1900 อังกฤษ ยืนยืด อกแอ่น จนแทบหงายหลัง ประกาศว่า เรามีเสาหลักนี้ ตั้งตระหง่านเรียบร้อยแล้ว เสาหลักที่สอง: การควบคุบระบบการเงิน และระบบการธนาคาร อังกฤษวางแผนอย่างคร่ำเคร่ง แต่เงียบสนิท และผลของมัน ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญ อังกฤษเป็นตัวการสำคัญ ในการวางแผนอีกต่อหนึ่ง ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกา ในปี คศ 1913 ที่เรารู้จักกันในนาม Federal Reserve Bank หรือ ที่เรียกกันสั้นๆว่า Fed ซึ่งเป็นของเอกชน ไม่ใช่เป็นของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูล ที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่าย ของตระกูล Rothschild ของฝั่งอังกฤษ และ ตระกูล Rockefeller และ Morgan ของฝั่งอเมริกา Fed มีอำนาจมากมาย และมีอิสระหลายเรื่อง ที่ไม่ต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลอเมริกัน โดยเฉพาะ ในการพิมพ์ธนบัตร การกำหนดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างสถาบัน ฯลฯ การตัดสินใจของ Fed มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงิน ตลาดทุน ตลาดหุ้น ของอเมริกา และของโลก แม้แต่สมันน้อย ยังต้องคอยฟังว่า เฟด เขาว่าอะไร ฟังแล้ว รู้เรื่องจริงไหม เข้าใจไหม เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องคอยฟัง ต้องพูดถึง เพราะมันเข้าสมัย และผู้บริหารบ้านเราก็แสนฉลาด เดินทุกก้าวตาม ที่เฟด บอก Fed จึงกลายเป็นตัวสำคัญในการชักใยการเงินโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของเสาหลักที่สอง ที่มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ เสาหลักที่สาม: ควบคุม หรือครอบครอง ทรัพยากรที่มีผลสำคัญต่อยุทธศาสตร์ ในความหมายของอังกฤษ ขณะนั้น และยังมีผลจนถึงขณะนี้ก็คือ น้ำมัน! ซึ่งไม่ใช่มีความหมายเฉพาะกับอังกฤษเท่านั้น แต่มันมีความหมาย และมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มธนาคาร ยังมีปันผลรออยู่ (27/10/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    กลุ่มธนาคาร ยังมีปันผลรออยู่ (27/10/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • พระปิดตาหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ จ.สงขลา ปี2514
    พระปิดตาหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ จ.สงขลา ปี2514 // พระดีพิธีขลัง !! พระมีประสบการณ์มาก ฉายา " พระปิดตาเงินล้านแห่งแดนทักษิณ " // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณในทางโชคลาภ และมหาเสน่ห์ โภคทรัพย์ โดยเฉพาะการเสี่ยงโชค แคล้วคลาด เมตตามหานิยม ก็เยี่ยมสุดเหมือนกัน ทำให้เป็นที่ต้องการของประชาชนมาก รวมไปถึงเหตุการณ์ยิงกัน ฝ่ายที่แขวนพระปิดตาของพ่อท่านกล่อม กลับโดนยิงไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย จึงบอกได้ว่าพระปิดตาสำนักนี้ ไม่ควรมองข้าม **

    ** พระปิดตาหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ จ.สงขลา เป็นพระปิดตาที่ขึ้นชื่ออีกสำนักหนึ่งของภาคใต้ ซึ่งใช่ว่าจะมีแต่คนไทยทางภาคใต้เท่านั้นที่นิยมเล่นหากันแต่คนจีนในประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ก็ให้ความนิยมกันแพร่หลาย จนมีนามฉายาเรียกกันมานานแล้วว่า “พระปิดตาเงินล้านแห่งแดนทักษิณ” มวลสารที่นำมาสร้างนอกจากผงวิเศษแล้ว ก็ยังมีเกสรดอกไม้และว่านอีกหลายชนิดเช่น ว่านเสน่ห์จันทร์ ว่านสาวหลง ว่านดอกทอง ว่านลูกไก่ทอง ว่านช้างประสมโขลง ว่านนางกวัก ว่านหลงรัง ว่านขุนแผน ว่านมหาลาภ ฯลฯ นอกจากนี้หลวงพ่อกล่อมยังให้ลูกศิษย์ไปขอผงเถ้าถ่านจากการเผาแบงค์ของธนาคารมาผสมอีกด้วย เพื่อเป็นการถือเคล็ดทางโชคลาภและโภคทรัพย์ **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    พระปิดตาหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ จ.สงขลา ปี2514 พระปิดตาหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ จ.สงขลา ปี2514 // พระดีพิธีขลัง !! พระมีประสบการณ์มาก ฉายา " พระปิดตาเงินล้านแห่งแดนทักษิณ " // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณในทางโชคลาภ และมหาเสน่ห์ โภคทรัพย์ โดยเฉพาะการเสี่ยงโชค แคล้วคลาด เมตตามหานิยม ก็เยี่ยมสุดเหมือนกัน ทำให้เป็นที่ต้องการของประชาชนมาก รวมไปถึงเหตุการณ์ยิงกัน ฝ่ายที่แขวนพระปิดตาของพ่อท่านกล่อม กลับโดนยิงไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย จึงบอกได้ว่าพระปิดตาสำนักนี้ ไม่ควรมองข้าม ** ** พระปิดตาหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ จ.สงขลา เป็นพระปิดตาที่ขึ้นชื่ออีกสำนักหนึ่งของภาคใต้ ซึ่งใช่ว่าจะมีแต่คนไทยทางภาคใต้เท่านั้นที่นิยมเล่นหากันแต่คนจีนในประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ก็ให้ความนิยมกันแพร่หลาย จนมีนามฉายาเรียกกันมานานแล้วว่า “พระปิดตาเงินล้านแห่งแดนทักษิณ” มวลสารที่นำมาสร้างนอกจากผงวิเศษแล้ว ก็ยังมีเกสรดอกไม้และว่านอีกหลายชนิดเช่น ว่านเสน่ห์จันทร์ ว่านสาวหลง ว่านดอกทอง ว่านลูกไก่ทอง ว่านช้างประสมโขลง ว่านนางกวัก ว่านหลงรัง ว่านขุนแผน ว่านมหาลาภ ฯลฯ นอกจากนี้หลวงพ่อกล่อมยังให้ลูกศิษย์ไปขอผงเถ้าถ่านจากการเผาแบงค์ของธนาคารมาผสมอีกด้วย เพื่อเป็นการถือเคล็ดทางโชคลาภและโภคทรัพย์ ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล”

    รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น

    ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

    และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม

    องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด

    สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report
    40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย
    27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา
    80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล

    ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว
    เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย
    แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส
    การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว

    ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล
    แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว
    การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

    กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ
    แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
    ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า
    การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย

    คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่
    ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน
    อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร
    การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด

    https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    💸 “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล” รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด ✅ สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report ➡️ 40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย ➡️ 27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว ➡️ เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย ➡️ แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส ➡️ การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว ✅ ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว ➡️ การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ✅ กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ ➡️ แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า ➡️ การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่ ⛔ ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน ⛔ อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร ⛔ การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Ransomware recovery perils: 40% of paying victims still lose their data
    Paying the ransom is no guarantee of a smooth or even successful recovery of data. But that isn’t even the only issue security leaders will face under fire. Preparation is key.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • Shadow Escape: ช่องโหว่ใหม่ใน AI Assistant เสี่ยงทำข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลมหาศาล

    นักวิจัยจาก Operant AI ได้เปิดเผยการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า “Shadow Escape” ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ “zero-click” ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่าน AI Assistant โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือตอบสนองใดๆ เลย จุดอ่อนนี้เกิดจากการใช้มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่ช่วยให้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Claude เชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลหรือ API ต่างๆ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Shadow Escape สามารถซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในไฟล์ธรรมดา เช่น คู่มือพนักงานหรือ PDF ที่ดูไม่มีพิษภัย เมื่อพนักงานอัปโหลดไฟล์เหล่านี้ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น หมายเลขประกันสังคม (SSN), ข้อมูลการเงิน, หรือเวชระเบียน แล้วส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ไม่หวังดี โดยที่ระบบความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว

    1️⃣ ลักษณะของการโจมตี
    จุดเริ่มต้นของการโจมตี
    ใช้ไฟล์ธรรมดา เช่น PDF หรือเอกสาร Word ที่ฝังคำสั่งลับ
    พนักงานอัปโหลดไฟล์ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์
    คำสั่งลับจะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลจากระบบภายใน

    จุดอ่อนที่ถูกใช้
    มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่เชื่อม AI กับระบบองค์กร
    การตั้งค่า permission ของ MCP ที่ไม่รัดกุม
    AI มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยตรง จึงไม่ถูกระบบรักษาความปลอดภัยภายนอกตรวจจับ

    2️⃣ ข้อมูลที่ตกอยู่ในความเสี่ยง
    ประเภทของข้อมูลที่อาจรั่วไหล
    หมายเลขประกันสังคม (SSN)
    ข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร
    เวชระเบียนและข้อมูลสุขภาพ
    ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า

    คำเตือน
    การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่รู้ตัว
    ข้อมูลอาจถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือน

    3️⃣ ทำไมระบบความปลอดภัยทั่วไปจึงไม่สามารถป้องกันได้
    ลักษณะของการโจมตีแบบ “zero-click”
    ไม่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือทำอะไร
    ใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเป็นเครื่องมือในการขโมยข้อมูล
    การส่งข้อมูลออกถูกพรางให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ

    คำเตือน
    ระบบ firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคามทั่วไปไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมนี้ได้
    การใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง

    4️⃣ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย
    แนวทางป้องกัน
    ตรวจสอบและจำกัดสิทธิ์ของ AI Assistant ในการเข้าถึงข้อมูล
    ปรับแต่ง permission ของ MCP ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง
    ตรวจสอบไฟล์ที่อัปโหลดเข้าระบบอย่างละเอียดก่อนให้ AI ประมวลผล

    คำเตือน
    องค์กรที่ใช้ AI Assistant โดยไม่ตรวจสอบการตั้งค่า MCP อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    การละเลยการ audit ระบบ AI อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระดับ “หลายล้านล้านรายการ”

    https://hackread.com/shadow-escape-0-click-attack-ai-assistants-risk/
    🕵️‍♂️ Shadow Escape: ช่องโหว่ใหม่ใน AI Assistant เสี่ยงทำข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลมหาศาล นักวิจัยจาก Operant AI ได้เปิดเผยการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า “Shadow Escape” ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ “zero-click” ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่าน AI Assistant โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือตอบสนองใดๆ เลย จุดอ่อนนี้เกิดจากการใช้มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่ช่วยให้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Claude เชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลหรือ API ต่างๆ สิ่งที่น่ากังวลคือ Shadow Escape สามารถซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในไฟล์ธรรมดา เช่น คู่มือพนักงานหรือ PDF ที่ดูไม่มีพิษภัย เมื่อพนักงานอัปโหลดไฟล์เหล่านี้ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น หมายเลขประกันสังคม (SSN), ข้อมูลการเงิน, หรือเวชระเบียน แล้วส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ไม่หวังดี โดยที่ระบบความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว 1️⃣ ลักษณะของการโจมตี ✅ จุดเริ่มต้นของการโจมตี ➡️ ใช้ไฟล์ธรรมดา เช่น PDF หรือเอกสาร Word ที่ฝังคำสั่งลับ ➡️ พนักงานอัปโหลดไฟล์ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ ➡️ คำสั่งลับจะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลจากระบบภายใน ✅ จุดอ่อนที่ถูกใช้ ➡️ มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่เชื่อม AI กับระบบองค์กร ➡️ การตั้งค่า permission ของ MCP ที่ไม่รัดกุม ➡️ AI มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยตรง จึงไม่ถูกระบบรักษาความปลอดภัยภายนอกตรวจจับ 2️⃣ ข้อมูลที่ตกอยู่ในความเสี่ยง ✅ ประเภทของข้อมูลที่อาจรั่วไหล ➡️ หมายเลขประกันสังคม (SSN) ➡️ ข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร ➡️ เวชระเบียนและข้อมูลสุขภาพ ➡️ ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ‼️ คำเตือน ⛔ การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลอาจถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือน 3️⃣ ทำไมระบบความปลอดภัยทั่วไปจึงไม่สามารถป้องกันได้ ✅ ลักษณะของการโจมตีแบบ “zero-click” ➡️ ไม่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือทำอะไร ➡️ ใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเป็นเครื่องมือในการขโมยข้อมูล ➡️ การส่งข้อมูลออกถูกพรางให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ ‼️ คำเตือน ⛔ ระบบ firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคามทั่วไปไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมนี้ได้ ⛔ การใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง 4️⃣ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ ตรวจสอบและจำกัดสิทธิ์ของ AI Assistant ในการเข้าถึงข้อมูล ➡️ ปรับแต่ง permission ของ MCP ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ➡️ ตรวจสอบไฟล์ที่อัปโหลดเข้าระบบอย่างละเอียดก่อนให้ AI ประมวลผล ‼️ คำเตือน ⛔ องค์กรที่ใช้ AI Assistant โดยไม่ตรวจสอบการตั้งค่า MCP อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ การละเลยการ audit ระบบ AI อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระดับ “หลายล้านล้านรายการ” https://hackread.com/shadow-escape-0-click-attack-ai-assistants-risk/
    HACKREAD.COM
    Shadow Escape 0-Click Attack in AI Assistants Puts Trillions of Records at Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง เสื้อหนังกับเข็มขัดเหล็ก
    ” เสื้อหนัง กับ เข็มขัดเหล็ก”

    (1)

    รายการท้าชิงของมวยรุ่นเล็ก แต่ท่าทางจะเป็นพวกหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน ดูเหมือนจะมีพวกแฟนๆรุ่นเก๋า เกาะเชือกเชียร์ไม่น้อย รวมทั้งผม

    พรรค Syriza ซ้ายจัดของกรีซ เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2015 แม้ไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก ต้องมีพรรคร่วม แต่ก็ได้เป็นรัฐบาลใหม่เอี่ยมของกรีก ที่นำโดยพรรค Syriza ก็ทำท่าจะ ซ่าสมชื่อโดยเฉพาะ ท่านรัฐมนตรีคลังหน้าใหม่มาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม

    พรรค Syriza หาเสียงกับชาวกรีกว่า เลือกพวกผมนะพี่น้อง แล้วพี่น้องจะไม่ต้องถูกกดขี่จากนโยบายของสหภาพยุโรปอีกต่อไป มันโหดกับเราขนาดไหน มันหั่นงบของกินของใช้เราขนาดไหน มากไปแล้ว… คงจะทำนองนี้นะครับ ผมไม่ได้แปลคำต่อคำ

    แล้วชาวกรีกก็ได้ Syriza มาเป็นรัฐบาล งานแรกที่ Syriza ต้องทำคือ วิ่งรอกหาพวกสนับสนุน เนื่องจากเงินกู้จำนวนประมาณ 350 พันล้านยูโร ของกรีซจะถึงกำหนดชำระสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถ้าไม่มีการต่ออายุ และแน่นอน เศรษฐกิจของกรีซคงล้มระเนระนาด ล้มคราวนี้อาจจะหนักกว่า เมื่อปี 2011-2012 แต่ Syriza ก็ยังใจกล้า เข้ามาเป็นรัฐบาล มีของดีแอบอยู่หรือไง

    นายกรัฐมนตรี Alexis Tsipras กับรัฐมนตรีคลัง Yanis Varoufakis แยกกันเดินสาย ไปจับมือกับพวกพี่เบิ้มอียู ท่านนายกรัฐมนตรีมุ่งหน้าไปเยอรมัน ส่วนรัฐมนตรีคลังขอไปอังกฤษ มันกว่า

    ที่เยอรมัน นายกรัฐมนตรี Tsipras แวะไปคารวะอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่ 2 สื่อเยอรมันตีข่าวว่า กรีกกำลังมาทวงความจำว่า เยอรมันยังจำได้ไหม คนกรีกเคยช่วยพวกคนเยอรมันจากพวกกางเขนเหล็กของฮิตเลอร์ ตีข่าวกันแบบนี้ คุณป้าแมร์เคิลก็คงไม่ชอบใจ หาว่าฉันเป็นพวกนาซีหรือไงยะ ฉันไม่ใช่กางเขนเหล็กนะ ฉันแค่เข็มขัดเหล็ก

    ข่าวบอกว่า คุณป้าพยายามเลี่ยงการเจรจาแบบสองต่อสอง กับนายTsipras เป็นการทำโทษให้รู้ว่า ฉันไม่พอใจ อืม ป้าแมร์เคิลไม่เบานะ

    คุณเจ๊ Barbara Wesel ผู้สื่อข่าวเยอรมันของ Deutsche Welle ประจำกรุงบรัสเซลบอกว่า ไม่ฉลาดเลยนะ ที่คุณแสดงการดูถูกคนที่คุณจะต้องเจรจาง้องอนด้วย Angela Merkel ไม่สมควรจะได้รับการเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ ….เมื่อคุณเลือกที่จะปฎิบัติกับแมร์เคิลอย่างฝ่ายตรงข้าม คุณจะรู้เองว่า เธอจะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ร้ายขนาด ไหน…. จำไม่ได้เหรอว่า นายเดวิด แคมารอน ก็เคยโดนมาแล้ว เมื่อตอนงัดข้อกับคุณป้า เรื่องจะไม่เอานาย Jean-Claude Juncker เป็นประธานอียู ตามที่คุณป้าเสนอ แล้วเป็นยังไง ต้องลี้กาย หายหน้าไปจากอียูพักใหญ่ ดีว่าไม่ต้องไปแบบถาวร
    โอ้โห พวกเจ๊กางเขนเหล็ก เข็มขัดเหล็ก นี่ดุจัง

    แล้วจำเรื่องบุลกาเรียได้มั้ย ซ่าดีนัก นายกรัฐมนตรีตอนนั้น นาย Plamen Oresshaski เสนอหน้ามาเชียร์เส้นทางท่อแก๊ส South Stream ของรัสเซีย รู้อยู่แล้วว่าป้าเขาไม่เอาด้วย เพราะมันขัดกับกฏของอียู (กฏอะไรจ๊ะเจ๊ เรื่องแซงชั่นน่ะ พูดมันชัดๆไปเลย) แล้วเป็นไง เงินกู้ก้อนใหญ่ถูกตัด ฉับ ฉับเลย ยังไม่พอ ถึงตอนเลือกตั้ง นายปลาเมน หงายท้องผลึ่งไปเลย ฝ่ายค้าน ชื่อ Boyko Borisov ขึ้นมาเป็นแทน และนายปูติน ก็ต้องยกเลิกโครงการไง เห็นฤทธิ์ป้าเข็มขัดเหล็กแล้วซีนะ

    คราวนี้พวกกรีก ที่คิดจะมาต่อรองอียู จะเหลืออะไร ถึงกรีซจะเป็นสมาชิกเก่า ไม่ใช่เด็กใหม่อย่างบุลกาเรีย แถมคนเชียร์ก็ประเภทน้ำหนักเกินกระสอบข้าวทั้งนั้น เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี แต่ก็ยังมีหลายอีกประเทศสมาชิก ที่จนกว่ากรีซ ฉนั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงป้าหรอกน่า ถ้าป้าอยากจะแผลงฤทธิ์ให้ดู

    เซียนมวย อย่าพลาดรายการนี้เชียว เดี๋ยวจะว่ามีดีไม่บอก น้ำหนักมันต่างกันหลายเท่าตัว แต่ทะลึ่งไปท้าเขา ไอ้ตัวเล็ก ฝ่ายท้าชิง มันบ้า หรือ มันไปได้ยาดีมากันแน่…

    (2)

    ฝ่ายผู้ท้าชิง รัฐมนตรีคลังมาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม นี่ไม่ธรรมดานะ จบเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาล้ย Exter ของอังกฤษ แกมีนัดกับรัฐมนตรีคลังผู้ดีอังกฤษ George Osborne ไอ้หมอนี่ดีกว่าลูกพี่หน่อย เวลาพูดไม่จีบปาก คุณน้องYanis ไปพบรัฐมนตรีผู้ดี ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ก็ทำเนียบนายกนั่นแหละ คุณน้องใส่เสื้อหนัง เท่ สุดขีดไปเลย ข้างในเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้า และไม่ผูกเนคไท!

    นี่ มันต้องอย่างนี้ ลุงนิทานเชียร์หมดกระเป๋าเลย

    คุณน้องเสื้อหนังบอกว่า เราไม่ได้จะเบี้ยวหนี้นะ เฮียหวัด แห่งไทยแลนด์แดนสมันน้อย เขาฝากมาสอนผม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ก็แค่นั้น ผมกำลังเตรียมจะออกพันธบัตรใหม่ ไปแลกกับพันธบัตรชุดเดิม ที่พวก IMF กับ ECB จอมโหดมันบังคับให้ประเทศผมออกไว้ แต่ผมจะขอยืดเวลา เขาอยากได้หนี้คืนหรือเปล่าล่ะ หรือเขาอยากกำจัดเรา ประโยคท้ายนี่ ลุงนิทานแถมให้ครับ

    นาย Osbourne บอกว่า เรื่องหนี้กรีซ ที่รัฐบาลแถวยูโรโซน คุยกับเจ้าหนี้ไม่รู้เรื่องนี่ จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก ยิ่งกว่าเรื่องตะวันออกกลาง หรือเรื่องเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับพวกตะวันตกอีกนะ ไอ้หมอนี่ ถ้าจะตอแหลเก่ง ไม่น้อยกว่าลูกพี่จอมจีบปาก

    นอกจากนี้ นาย Mark Carney ผู้ว่าการของธนาคารชาติอังกฤษ ยังออกมาวิจารณ์ว่า นโยบายเข้มงวด เรื่องหนี้ของยูโรโซน จะยิ่งบีบให้จำนวนหนี้เพิ่ม แล้วก็ลากยาวกันไปอีก แปลกนะทำไมอังกฤษ สุ้มเสียงเหมือนกันเห็นใจกรีซ ผิดสันดานนักล่า

    อังกฤษกลัวใจคุณน้องเสื้อหนัง ว่าแกจะใช้นโยบายเบี้ยวหนี้ แล้วเดินออกจากอียูง่ายๆอย่างนั้น หรือไม่ก็ ถูกถีบออกจากอียู โดยไม่มีการต่ออายุ ไม่มีการผ่อนปรน เพราะไปลองดีกับพวกเข็มขัดเหล็ก เข้า หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น อังกฤษบอกว่า มันไม่ใช่กระทบแค่กรีซ มันกระแทกทั้งยุโรป และอังกฤษ ซึ่งอาศัยยุโรปเป็นตลาดส่งออกประมาณ 50 % ก็อ่วมตามด้วย
    ถ้ากรีซเจ๊ง มีข้อดีกับรัฐบาลอังกฤษอย่างเดียว อังกฤษกำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ถ้าแพ้เลือกตั้ง จะได้อ้างว่ามาจากเรื่องกรีซ ฮา

    ดูแล้ว เรื่องการห่วงกรีซของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นของปลอมไงไม่รู้ คงต้องตามไปคุ้ยต่อ

    แต่ก็มีเรื่องน่าคิด หนี้กรีซจำนวนมหึมา กำลังจะถึงกำหนด รู้หมู่รู้จ่าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ พรรคของคุณน้องเสื้อหนังใจกล้า แอ่นอกเข้าเป็นรัฐบาล ส่วนสิ้นเดือนมีนาคม ก็ถึงกำหนดที่อียูต้องพิจารณาว่า จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซียหรือไม่ คุณป้าเข็มขัดเหล็กบอกว่าไว้แล้วว่า ยังไง เราก็ไม่มีวันผ่อนปรนให้นายปูติน ยกเว้น รัสเซียต้องถอยออกไปจากยูเครนให้หมดจด

    การลงมติ ที่จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซีย จะต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ตอนนี้คุณป้าเข็มขัดเหล็กเลยออกเดินสาย ทำหน้าเข้มใส่ทุกคนเหมือนกัน ล่าสุดนี่ เห็นไปยืนบีบ นายVictor Orban นายกรัฐมนตรีฮังการี เสียหน้าเขียว ก็นาย Orban ดันบอกว่า เขาชอบรูปแบบการปกครองของนายปูติน แบบนี้เดี๋ยวได้โดนเข็มขัดแน่

    มติเอกฉันท์นี่ ไม่ได้กันง่ายๆนะครับ ใครไม่เอาด้วยรายเดียวก็จบ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็เลิกเครียด ส่วนกรีซก็ไม่น่าเครียดเช่นเดียว กัน ทางออกมีให้เดินหลายทาง แต่ทางคุณป้าเข็มขัดเหล็ก และพวก คุณพี่ชาวเกาะนะซิ น่าจะเครียด ถ้ากรีซเลือกเดินทางนั้น อ้อ มิน่า ถึงได้ตาเหลือกกัน แหมคิดช้าจังลุง

    หมู่เกาะของกรีซ ใกล้กับตุรกีนิดเดียว ตุรกีก็ ไม่ไกลจากรัสเซีย รู้สึกคุณพี่ปูตินของผมนี่ แกชอบสะสม ชอบกินขนมชั้นนะ เอามาเรียงๆกันไว้ โดยเฉพาะกรีซนี่ อยู่กลางเมดิเตอร์เรเนียนเลย ช่างเหมาะจริงๆ แบบนี้กองทัพเรือของใคร ที่เพิ่งจัดงบปรับปรุงก้อนใหญ่ ก็คงเหนื่อยหน่อย จะเข้าไปได้ถึงไหน อย่างนี้ใส่เสื้อหนังไปคุยก็คงได้ คงเบ่งไม่ค่อยไหวแล้ว เอะ แล้วลูกพี่ใหญ่นักล่าใบตองแห้งว่าไงคร้าบ จะเสียหมากให้เขาอีกแล้วเหรอคร้าบ ฮา

    หมายเหตุ: อย่าลืมดูเวทียูเครนบ้างนะครับ ที่ตะวันออกกลางก็เหมือนกัน ตอนนี้เร่งเครื่องกันจัง เดี๋ยวจะว่าลุงไม่เตือน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    4 กพ. 2558
    เรื่อง เสื้อหนังกับเข็มขัดเหล็ก ” เสื้อหนัง กับ เข็มขัดเหล็ก” (1) รายการท้าชิงของมวยรุ่นเล็ก แต่ท่าทางจะเป็นพวกหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน ดูเหมือนจะมีพวกแฟนๆรุ่นเก๋า เกาะเชือกเชียร์ไม่น้อย รวมทั้งผม พรรค Syriza ซ้ายจัดของกรีซ เพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2015 แม้ไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก ต้องมีพรรคร่วม แต่ก็ได้เป็นรัฐบาลใหม่เอี่ยมของกรีก ที่นำโดยพรรค Syriza ก็ทำท่าจะ ซ่าสมชื่อโดยเฉพาะ ท่านรัฐมนตรีคลังหน้าใหม่มาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม พรรค Syriza หาเสียงกับชาวกรีกว่า เลือกพวกผมนะพี่น้อง แล้วพี่น้องจะไม่ต้องถูกกดขี่จากนโยบายของสหภาพยุโรปอีกต่อไป มันโหดกับเราขนาดไหน มันหั่นงบของกินของใช้เราขนาดไหน มากไปแล้ว… คงจะทำนองนี้นะครับ ผมไม่ได้แปลคำต่อคำ แล้วชาวกรีกก็ได้ Syriza มาเป็นรัฐบาล งานแรกที่ Syriza ต้องทำคือ วิ่งรอกหาพวกสนับสนุน เนื่องจากเงินกู้จำนวนประมาณ 350 พันล้านยูโร ของกรีซจะถึงกำหนดชำระสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถ้าไม่มีการต่ออายุ และแน่นอน เศรษฐกิจของกรีซคงล้มระเนระนาด ล้มคราวนี้อาจจะหนักกว่า เมื่อปี 2011-2012 แต่ Syriza ก็ยังใจกล้า เข้ามาเป็นรัฐบาล มีของดีแอบอยู่หรือไง นายกรัฐมนตรี Alexis Tsipras กับรัฐมนตรีคลัง Yanis Varoufakis แยกกันเดินสาย ไปจับมือกับพวกพี่เบิ้มอียู ท่านนายกรัฐมนตรีมุ่งหน้าไปเยอรมัน ส่วนรัฐมนตรีคลังขอไปอังกฤษ มันกว่า ที่เยอรมัน นายกรัฐมนตรี Tsipras แวะไปคารวะอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่ 2 สื่อเยอรมันตีข่าวว่า กรีกกำลังมาทวงความจำว่า เยอรมันยังจำได้ไหม คนกรีกเคยช่วยพวกคนเยอรมันจากพวกกางเขนเหล็กของฮิตเลอร์ ตีข่าวกันแบบนี้ คุณป้าแมร์เคิลก็คงไม่ชอบใจ หาว่าฉันเป็นพวกนาซีหรือไงยะ ฉันไม่ใช่กางเขนเหล็กนะ ฉันแค่เข็มขัดเหล็ก ข่าวบอกว่า คุณป้าพยายามเลี่ยงการเจรจาแบบสองต่อสอง กับนายTsipras เป็นการทำโทษให้รู้ว่า ฉันไม่พอใจ อืม ป้าแมร์เคิลไม่เบานะ คุณเจ๊ Barbara Wesel ผู้สื่อข่าวเยอรมันของ Deutsche Welle ประจำกรุงบรัสเซลบอกว่า ไม่ฉลาดเลยนะ ที่คุณแสดงการดูถูกคนที่คุณจะต้องเจรจาง้องอนด้วย Angela Merkel ไม่สมควรจะได้รับการเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ ….เมื่อคุณเลือกที่จะปฎิบัติกับแมร์เคิลอย่างฝ่ายตรงข้าม คุณจะรู้เองว่า เธอจะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ร้ายขนาด ไหน…. จำไม่ได้เหรอว่า นายเดวิด แคมารอน ก็เคยโดนมาแล้ว เมื่อตอนงัดข้อกับคุณป้า เรื่องจะไม่เอานาย Jean-Claude Juncker เป็นประธานอียู ตามที่คุณป้าเสนอ แล้วเป็นยังไง ต้องลี้กาย หายหน้าไปจากอียูพักใหญ่ ดีว่าไม่ต้องไปแบบถาวร โอ้โห พวกเจ๊กางเขนเหล็ก เข็มขัดเหล็ก นี่ดุจัง แล้วจำเรื่องบุลกาเรียได้มั้ย ซ่าดีนัก นายกรัฐมนตรีตอนนั้น นาย Plamen Oresshaski เสนอหน้ามาเชียร์เส้นทางท่อแก๊ส South Stream ของรัสเซีย รู้อยู่แล้วว่าป้าเขาไม่เอาด้วย เพราะมันขัดกับกฏของอียู (กฏอะไรจ๊ะเจ๊ เรื่องแซงชั่นน่ะ พูดมันชัดๆไปเลย) แล้วเป็นไง เงินกู้ก้อนใหญ่ถูกตัด ฉับ ฉับเลย ยังไม่พอ ถึงตอนเลือกตั้ง นายปลาเมน หงายท้องผลึ่งไปเลย ฝ่ายค้าน ชื่อ Boyko Borisov ขึ้นมาเป็นแทน และนายปูติน ก็ต้องยกเลิกโครงการไง เห็นฤทธิ์ป้าเข็มขัดเหล็กแล้วซีนะ คราวนี้พวกกรีก ที่คิดจะมาต่อรองอียู จะเหลืออะไร ถึงกรีซจะเป็นสมาชิกเก่า ไม่ใช่เด็กใหม่อย่างบุลกาเรีย แถมคนเชียร์ก็ประเภทน้ำหนักเกินกระสอบข้าวทั้งนั้น เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี แต่ก็ยังมีหลายอีกประเทศสมาชิก ที่จนกว่ากรีซ ฉนั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงป้าหรอกน่า ถ้าป้าอยากจะแผลงฤทธิ์ให้ดู เซียนมวย อย่าพลาดรายการนี้เชียว เดี๋ยวจะว่ามีดีไม่บอก น้ำหนักมันต่างกันหลายเท่าตัว แต่ทะลึ่งไปท้าเขา ไอ้ตัวเล็ก ฝ่ายท้าชิง มันบ้า หรือ มันไปได้ยาดีมากันแน่… (2) ฝ่ายผู้ท้าชิง รัฐมนตรีคลังมาดเซอร์ คุณน้อง Yanis Varoufakis ของผม นี่ไม่ธรรมดานะ จบเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาล้ย Exter ของอังกฤษ แกมีนัดกับรัฐมนตรีคลังผู้ดีอังกฤษ George Osborne ไอ้หมอนี่ดีกว่าลูกพี่หน่อย เวลาพูดไม่จีบปาก คุณน้องYanis ไปพบรัฐมนตรีผู้ดี ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ก็ทำเนียบนายกนั่นแหละ คุณน้องใส่เสื้อหนัง เท่ สุดขีดไปเลย ข้างในเป็นเสื้อเชิร์ตสีฟ้า และไม่ผูกเนคไท! นี่ มันต้องอย่างนี้ ลุงนิทานเชียร์หมดกระเป๋าเลย คุณน้องเสื้อหนังบอกว่า เราไม่ได้จะเบี้ยวหนี้นะ เฮียหวัด แห่งไทยแลนด์แดนสมันน้อย เขาฝากมาสอนผม ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ก็แค่นั้น ผมกำลังเตรียมจะออกพันธบัตรใหม่ ไปแลกกับพันธบัตรชุดเดิม ที่พวก IMF กับ ECB จอมโหดมันบังคับให้ประเทศผมออกไว้ แต่ผมจะขอยืดเวลา เขาอยากได้หนี้คืนหรือเปล่าล่ะ หรือเขาอยากกำจัดเรา ประโยคท้ายนี่ ลุงนิทานแถมให้ครับ นาย Osbourne บอกว่า เรื่องหนี้กรีซ ที่รัฐบาลแถวยูโรโซน คุยกับเจ้าหนี้ไม่รู้เรื่องนี่ จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก ยิ่งกว่าเรื่องตะวันออกกลาง หรือเรื่องเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับพวกตะวันตกอีกนะ ไอ้หมอนี่ ถ้าจะตอแหลเก่ง ไม่น้อยกว่าลูกพี่จอมจีบปาก นอกจากนี้ นาย Mark Carney ผู้ว่าการของธนาคารชาติอังกฤษ ยังออกมาวิจารณ์ว่า นโยบายเข้มงวด เรื่องหนี้ของยูโรโซน จะยิ่งบีบให้จำนวนหนี้เพิ่ม แล้วก็ลากยาวกันไปอีก แปลกนะทำไมอังกฤษ สุ้มเสียงเหมือนกันเห็นใจกรีซ ผิดสันดานนักล่า อังกฤษกลัวใจคุณน้องเสื้อหนัง ว่าแกจะใช้นโยบายเบี้ยวหนี้ แล้วเดินออกจากอียูง่ายๆอย่างนั้น หรือไม่ก็ ถูกถีบออกจากอียู โดยไม่มีการต่ออายุ ไม่มีการผ่อนปรน เพราะไปลองดีกับพวกเข็มขัดเหล็ก เข้า หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น อังกฤษบอกว่า มันไม่ใช่กระทบแค่กรีซ มันกระแทกทั้งยุโรป และอังกฤษ ซึ่งอาศัยยุโรปเป็นตลาดส่งออกประมาณ 50 % ก็อ่วมตามด้วย ถ้ากรีซเจ๊ง มีข้อดีกับรัฐบาลอังกฤษอย่างเดียว อังกฤษกำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ถ้าแพ้เลือกตั้ง จะได้อ้างว่ามาจากเรื่องกรีซ ฮา ดูแล้ว เรื่องการห่วงกรีซของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เป็นของปลอมไงไม่รู้ คงต้องตามไปคุ้ยต่อ แต่ก็มีเรื่องน่าคิด หนี้กรีซจำนวนมหึมา กำลังจะถึงกำหนด รู้หมู่รู้จ่าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ พรรคของคุณน้องเสื้อหนังใจกล้า แอ่นอกเข้าเป็นรัฐบาล ส่วนสิ้นเดือนมีนาคม ก็ถึงกำหนดที่อียูต้องพิจารณาว่า จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซียหรือไม่ คุณป้าเข็มขัดเหล็กบอกว่าไว้แล้วว่า ยังไง เราก็ไม่มีวันผ่อนปรนให้นายปูติน ยกเว้น รัสเซียต้องถอยออกไปจากยูเครนให้หมดจด การลงมติ ที่จะต่ออายุการแซงชั่นรัสเซีย จะต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ตอนนี้คุณป้าเข็มขัดเหล็กเลยออกเดินสาย ทำหน้าเข้มใส่ทุกคนเหมือนกัน ล่าสุดนี่ เห็นไปยืนบีบ นายVictor Orban นายกรัฐมนตรีฮังการี เสียหน้าเขียว ก็นาย Orban ดันบอกว่า เขาชอบรูปแบบการปกครองของนายปูติน แบบนี้เดี๋ยวได้โดนเข็มขัดแน่ มติเอกฉันท์นี่ ไม่ได้กันง่ายๆนะครับ ใครไม่เอาด้วยรายเดียวก็จบ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็เลิกเครียด ส่วนกรีซก็ไม่น่าเครียดเช่นเดียว กัน ทางออกมีให้เดินหลายทาง แต่ทางคุณป้าเข็มขัดเหล็ก และพวก คุณพี่ชาวเกาะนะซิ น่าจะเครียด ถ้ากรีซเลือกเดินทางนั้น อ้อ มิน่า ถึงได้ตาเหลือกกัน แหมคิดช้าจังลุง หมู่เกาะของกรีซ ใกล้กับตุรกีนิดเดียว ตุรกีก็ ไม่ไกลจากรัสเซีย รู้สึกคุณพี่ปูตินของผมนี่ แกชอบสะสม ชอบกินขนมชั้นนะ เอามาเรียงๆกันไว้ โดยเฉพาะกรีซนี่ อยู่กลางเมดิเตอร์เรเนียนเลย ช่างเหมาะจริงๆ แบบนี้กองทัพเรือของใคร ที่เพิ่งจัดงบปรับปรุงก้อนใหญ่ ก็คงเหนื่อยหน่อย จะเข้าไปได้ถึงไหน อย่างนี้ใส่เสื้อหนังไปคุยก็คงได้ คงเบ่งไม่ค่อยไหวแล้ว เอะ แล้วลูกพี่ใหญ่นักล่าใบตองแห้งว่าไงคร้าบ จะเสียหมากให้เขาอีกแล้วเหรอคร้าบ ฮา หมายเหตุ: อย่าลืมดูเวทียูเครนบ้างนะครับ ที่ตะวันออกกลางก็เหมือนกัน ตอนนี้เร่งเครื่องกันจัง เดี๋ยวจะว่าลุงไม่เตือน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 4 กพ. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญระฆังพ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538
    เหรียญระฆังพ่อท่านแดง (ตอกโค๊ดระฆัง) วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538 // พระดีพิธีใหญ๋ เหรียญรุ่นนี้ สร้างปีเดียวกับรุ่น 5 แชะ (หรือบางท่านเรียกว่าเหรียญระเบิดด้าน) หลวงพ่อแดง 5 แชะ ปลุกเสก สุดยอดพระประสบการณ์ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ

    ** พุทธคุณ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด ทั้งคงกระพันชาตรี โด่งดังไปทั่วประเทศ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ประสบการณ์มากมาย รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย **

    ** พระดี พิธีใหญ่ ปลุกเสกโดย อาจารย์นองวัดทรายขาว พ่อท่านทองวัดสำเภาเชย พ่อท่านเขียววัดห้วยเงาะ พ่อท่านทองวัดป่ากอ โดยมีพ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ เป็นเจ้าพิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเกจิอาจารย์ผู้เข้มขลังวิทยาคม ทั้งสิ้น มีหนุ่มธนาคารนำไปใช้ติดตัว เกิดเหตุโดนคนร้ายจ่อยิงถึง 5 นัด แต่กระสุนด้านทั้งสิ้น เป็นข่าวใหญ่ฮือฮามากในช่วงนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่ารุ่น 5 แชะมาจนทุกวันนี้ครับ **


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญระฆังพ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538 เหรียญระฆังพ่อท่านแดง (ตอกโค๊ดระฆัง) วัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี ปี2538 // พระดีพิธีใหญ๋ เหรียญรุ่นนี้ สร้างปีเดียวกับรุ่น 5 แชะ (หรือบางท่านเรียกว่าเหรียญระเบิดด้าน) หลวงพ่อแดง 5 แชะ ปลุกเสก สุดยอดพระประสบการณ์ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ ** พุทธคุณ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด ทั้งคงกระพันชาตรี โด่งดังไปทั่วประเทศ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ประสบการณ์มากมาย รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย ** ** พระดี พิธีใหญ่ ปลุกเสกโดย อาจารย์นองวัดทรายขาว พ่อท่านทองวัดสำเภาเชย พ่อท่านเขียววัดห้วยเงาะ พ่อท่านทองวัดป่ากอ โดยมีพ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ เป็นเจ้าพิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเกจิอาจารย์ผู้เข้มขลังวิทยาคม ทั้งสิ้น มีหนุ่มธนาคารนำไปใช้ติดตัว เกิดเหตุโดนคนร้ายจ่อยิงถึง 5 นัด แต่กระสุนด้านทั้งสิ้น เป็นข่าวใหญ่ฮือฮามากในช่วงนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่ารุ่น 5 แชะมาจนทุกวันนี้ครับ ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากปฏิเสธสู่การยอมรับ – ทำไมธนาคารใหญ่หันมาใช้ Blockchain จริงจังในปี 2025?”

    เมื่อก่อนธนาคารมอง Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับคริปโตและความผันผวน แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, HSBC และ Citi ไม่ได้แค่ทดลองใช้ Blockchain อีกต่อไป พวกเขากำลัง “สร้างระบบใหม่” บนเทคโนโลยีนี้จริงจัง

    เหตุผลหลักคือ Blockchain ช่วยแก้ปัญหาเก่า ๆ ที่ธนาคารเจอมานาน เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาหลายวัน, ค่าธรรมเนียมสูง, และระบบหลังบ้านที่ซับซ้อนและเปลืองทรัพยากร

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ JPMorgan ใช้แพลตฟอร์ม Kinexys (ชื่อเดิม Onyx) ที่ประมวลผลธุรกรรมกว่า $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการใช้งานเฉลี่ยวันละ $2 พันล้าน โดยใช้ JPM Coin เพื่อให้ลูกค้าธุรกิจโอนเงินแบบ real-time

    นอกจากเรื่องความเร็ว ยังมีเรื่องต้นทุนและความร่วมมือระหว่างธนาคาร เช่น SWIFT กำลังทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ร่วมกับกว่า 30 สถาบัน และเครือข่าย Canton Network ที่มี Deutsche Bank และ Goldman Sachs ก็เปิดให้ธนาคารแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized ได้โดยตรง

    ธนาคารยังหันมาใช้ Blockchain ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และการตรวจสอบการฉ้อโกง เพราะระบบนี้มีความโปร่งใสสูง ทุกธุรกรรมมี timestamp และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย

    แม้จะยังไม่ใช่ทุกธนาคารที่ใช้ Blockchain เต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกการเงิน

    เหตุผลที่ธนาคารหันมาใช้ Blockchain
    ลดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศ
    ลดค่าธรรมเนียมและความผิดพลาด
    เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบธุรกรรม
    ใช้กับการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และ fraud detection
    รองรับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized แบบ real-time

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    JPMorgan ใช้ Kinexys และ JPM Coin โอนเงินแบบทันที
    SWIFT ทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain
    Deutsche Bank และ BNP Paribas ใช้ Partior และ Canton Network
    HSBC เปิดบริการ tokenized deposit ในฮ่องกง
    Citi ใช้ smart contract เพื่อเร่งการโอนเงินและ trade finance

    ปัจจัยที่ทำให้ Blockchain น่าใช้มากขึ้น
    ระบบ permissioned ที่ใช้พลังงานต่ำ
    กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นใน EU และสิงคโปร์
    Stablecoin และ digital token ที่มีเงินสดหนุนหลัง
    ธนาคารกลางกว่า 90% กำลังทดลอง CBDC
    เครื่องมือตรวจสอบ smart contract เพื่อความปลอดภัย

    https://hackread.com/why-banks-embrace-blockchain-once-rejected/
    🏦 “จากปฏิเสธสู่การยอมรับ – ทำไมธนาคารใหญ่หันมาใช้ Blockchain จริงจังในปี 2025?” เมื่อก่อนธนาคารมอง Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับคริปโตและความผันผวน แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, HSBC และ Citi ไม่ได้แค่ทดลองใช้ Blockchain อีกต่อไป พวกเขากำลัง “สร้างระบบใหม่” บนเทคโนโลยีนี้จริงจัง เหตุผลหลักคือ Blockchain ช่วยแก้ปัญหาเก่า ๆ ที่ธนาคารเจอมานาน เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาหลายวัน, ค่าธรรมเนียมสูง, และระบบหลังบ้านที่ซับซ้อนและเปลืองทรัพยากร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ JPMorgan ใช้แพลตฟอร์ม Kinexys (ชื่อเดิม Onyx) ที่ประมวลผลธุรกรรมกว่า $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการใช้งานเฉลี่ยวันละ $2 พันล้าน โดยใช้ JPM Coin เพื่อให้ลูกค้าธุรกิจโอนเงินแบบ real-time นอกจากเรื่องความเร็ว ยังมีเรื่องต้นทุนและความร่วมมือระหว่างธนาคาร เช่น SWIFT กำลังทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ร่วมกับกว่า 30 สถาบัน และเครือข่าย Canton Network ที่มี Deutsche Bank และ Goldman Sachs ก็เปิดให้ธนาคารแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized ได้โดยตรง ธนาคารยังหันมาใช้ Blockchain ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และการตรวจสอบการฉ้อโกง เพราะระบบนี้มีความโปร่งใสสูง ทุกธุรกรรมมี timestamp และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย แม้จะยังไม่ใช่ทุกธนาคารที่ใช้ Blockchain เต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกการเงิน ✅ เหตุผลที่ธนาคารหันมาใช้ Blockchain ➡️ ลดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ ลดค่าธรรมเนียมและความผิดพลาด ➡️ เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบธุรกรรม ➡️ ใช้กับการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และ fraud detection ➡️ รองรับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized แบบ real-time ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ JPMorgan ใช้ Kinexys และ JPM Coin โอนเงินแบบทันที ➡️ SWIFT ทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ➡️ Deutsche Bank และ BNP Paribas ใช้ Partior และ Canton Network ➡️ HSBC เปิดบริการ tokenized deposit ในฮ่องกง ➡️ Citi ใช้ smart contract เพื่อเร่งการโอนเงินและ trade finance ✅ ปัจจัยที่ทำให้ Blockchain น่าใช้มากขึ้น ➡️ ระบบ permissioned ที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นใน EU และสิงคโปร์ ➡️ Stablecoin และ digital token ที่มีเงินสดหนุนหลัง ➡️ ธนาคารกลางกว่า 90% กำลังทดลอง CBDC ➡️ เครื่องมือตรวจสอบ smart contract เพื่อความปลอดภัย https://hackread.com/why-banks-embrace-blockchain-once-rejected/
    HACKREAD.COM
    Why Banks Are Embracing Blockchain They Once Rejected
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts