• เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 2
ในที่สุดชาวอิรัก ก็ทนเห็นประเทศตัวเอง เป็นหุ่นเชิดของอังกฤษต่อไปอีกไม่ไหว จึงเริ่มบีบกษัตริย์ Faisal ให้เจรจากับอังกฤษ ลดอำนาจการปกครองอังกฤษในอิรักลงบ้าง อย่าให้มันออกหน้าออกตาขนาดนี้เลย การเจรจาใช้เวลาอยู่หลายปี ในที่สุด Anglo – Iraqi Treaty ก็คลอดในปี ค.ศ. 1930 Faisal ไม่ได้เป็นคนมาลงนามในสัญญานี้ ส่งใบลาป่วย อ้างว่าไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน
    Treaty นี้ ก็ยังให้สิทธิพิเศษแก่คนอังกฤษ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ และลูกจ้างรัฐบาลอังกฤษ ที่อังกฤษส่งมาทำงานในอิรักเหมือนเดิม ที่ดูเหมือนเปลี่ยนไป คือ ข้อตกลงนี้ระบุว่างานบริหารภายในประเทศ ให้เป็นความรับผิดชอบของกษัตริย์ Faisal ส่วนอังกฤษจะรับผิดชอบ ดูแลปกป้องอิรัก จากการจู่โจมภายนอก (แหม ! มันคลับคล้ายเหมือนสัญญาอะไรหนอ ที่สมันน้อยไปทำไว้กับใครเขาทำนองนี้ เมื่อ 60 กว่าปีก่อน)
    และเพื่อให้อังกฤษสามารถปกป้องอิรักได้เต็มที่ อิรักก็จะต้องให้อังกฤษเช่าสนามบิน โดยไม่คิดค่าเช่า สัญญานี้มีอายุ 25 ปี และจะมีผลต่อเมื่ออิรัก ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ League of Nations ในฐานะประเทศเอกราช
    อิรักขมักเขม้นทำการบ้าน โดยความหวังที่จะเป็นเอกราช ปลดแอกอังกฤษออกจากบ่า ค.ศ. 1932 สันนิบาตชาติ ซึ่งคุมโดยขาใหญ่ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 (ก็อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละ !) ก็รับอิรักเข้าเป็นสมาชิก คงใช้เวลานานหน่อยกว่าอิรักจะรู้ตัวว่า เขาแค่เปลี่ยนยี่ห้อหม้อต้มเหยื่อเท่านั้นเอง จะหม้อต้มยี่ห้อไหน ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน
    แต่อิรักไม่ใช่ชาติที่จะยอม งอมืออยู่อย่างนั้น พวกเขาเดินหน้า หาทางหักกับอังกฤษต่อไป รัฐบาลอิรักพยายามแข็งข้อกับอังกฤษอยู่หลายรอบ ครั้งสำคัญคือ ค.ศ. 1941 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมาใกล้ตัว สภาอิรักลงมติไม่สนับสนุนอังกฤษ ในการประกาศสงครามกับเยอรมัน !
    อังกฤษเหมือนโดนตีแซกหน้า! ยกทัพเต็มอัตรามาเต็มเมืองอิรัก แล้วปลดรัฐบาลอิรักที่มาจากการ เลือกตั้ง เอานักการเมืองที่ฝักฝ่าย อังกฤษเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน กษัตริย์ Faisal ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตอนที่เซ็นสัญญา Anglo-Iraq : Treaty ก็ส่งใบลาป่วยว่าใส้ติ่งอักเสบส่งตัวแทนมา คราวนี้ไม่รู้อะไรอักเสบ
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ความสงบในอิรักยิ่งหายาก ชาวอิรักต้องการเป็นอิสระจากแอกของอังกฤษ พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันต่อต้านและต่อสู้ แต่กำลังอาวุธมันต่างกัน และที่สำคัญหนอนบ่อนไส้ ที่เป็นชาวอิรัก ที่อังกฤษชุบเลี้ยงไว้ให้ทำงาน ยังมีอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ
    แต่ในที่สุดราชวงศ์ Hashemite ที่น่าสงสาร ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถูกโค่นในปี ค.ศ. 1958 อังกฤษปล่อยมือจากการชักหุ่น หุ่นไม่มีเชือกชัก ตกพลั่กลงพื้น กษัตริย์ และราชวงศ์ Hashemite ถูกจับติดคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด โดยอังกฤษไม่ยื่นมือ ไม่เหลียวมามอง ได้แต่เก็บของ รีบกลับเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ของตนอย่างรีบด่วน อย่างเดียว
    แต่ฉากสุดท้ายนี้ มันน่าคิด อยู่ดี ๆ กษัตริย์ Hussein แห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นญาติสนิทของ Faisal และเป็นหุ่นเชิดของอังกฤษเช่นเดียวกัน เกิดประสาทว่าพวกที่ลุกฮือ ไล่ฝรั่งตะวันตกที่เลบานอน จะเลยเถิดเข้ามาถึงจอร์แดนด้วย ขอแรงอิรักส่งกองทัพมาช่วยไล่หน่อยเถิด บรรดาทหารหาญของอิรัก จึงจัดแจงแต่งเครื่องแบบติดอาวุธกองทัพ มุ่งหน้าจะไปจอร์แดน
    แต่แล้วท่านนายพลคนหนึ่ง Colonel Abd as Salaam Arif ก็สั่งให้กองทัพเลี้ยวกลับมาสู่แบกแดด ส่องปืนใหญ่มาที่วังของ Hashemite เป็นการปฏิวัติของทหารอิรักชนิดไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีผู้ต่อต้าน และไม่มีผู้รู้ตัว ขุนนางอิรัก Nuri as Said ที่เป็นขุนคอยพยักให้อังกฤษถูกจับก่อนเพื่อน ระหว่างที่พยายามจะหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นพวกกษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนรวบตัว ชาวอิรักต่างไปชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษ ด่าทอ ขว้างปา พวกเขามองว่า อังกฤษกับ Hashemite เป็นตัวแทนของกันและกัน
    เป็นการจบฉากของชาวเกาะผู้ยิ่งใหญ่ในอิรัก ที่ไม่สวยงามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรก จนถึงวันสุดท้าย
    ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเหตุการณ์รุนแรง ที่กำลังดำเนินอยู่ในอิรักขณะนี้ โดยเฉพาะที่ Mosul ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มายืนแถลงเมื่อไม่นานมานี้ เลื่อนอันดับภัยจากผู้ก่อการร้าย ในอังกฤษขึ้นสูงถึงระดับรุนแรง (Severe) เนื่องจากเหตุการณ์ในอิรักและซีเรีย มันจะมีรากยาวฝั่งลึก ย้อนไปได้ถึง 100 ปี
    แม้อังกฤษจะเก็บของกลับเกาะไปแล้ว แต่อังกฤษได้ทิ้งพิษร้ายค้างอยู่ในอิรัก มันมาจากแผนการต้ม การเคี้ยวเหยื่อ ตั้งแต่ต้น มันเป็นแผนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์และธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา อย่างน่าสงสารของเหยื่อ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 2
ในที่สุดชาวอิรัก ก็ทนเห็นประเทศตัวเอง เป็นหุ่นเชิดของอังกฤษต่อไปอีกไม่ไหว จึงเริ่มบีบกษัตริย์ Faisal ให้เจรจากับอังกฤษ ลดอำนาจการปกครองอังกฤษในอิรักลงบ้าง อย่าให้มันออกหน้าออกตาขนาดนี้เลย การเจรจาใช้เวลาอยู่หลายปี ในที่สุด Anglo – Iraqi Treaty ก็คลอดในปี ค.ศ. 1930 Faisal ไม่ได้เป็นคนมาลงนามในสัญญานี้ ส่งใบลาป่วย อ้างว่าไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน Treaty นี้ ก็ยังให้สิทธิพิเศษแก่คนอังกฤษ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ และลูกจ้างรัฐบาลอังกฤษ ที่อังกฤษส่งมาทำงานในอิรักเหมือนเดิม ที่ดูเหมือนเปลี่ยนไป คือ ข้อตกลงนี้ระบุว่างานบริหารภายในประเทศ ให้เป็นความรับผิดชอบของกษัตริย์ Faisal ส่วนอังกฤษจะรับผิดชอบ ดูแลปกป้องอิรัก จากการจู่โจมภายนอก (แหม ! มันคลับคล้ายเหมือนสัญญาอะไรหนอ ที่สมันน้อยไปทำไว้กับใครเขาทำนองนี้ เมื่อ 60 กว่าปีก่อน) และเพื่อให้อังกฤษสามารถปกป้องอิรักได้เต็มที่ อิรักก็จะต้องให้อังกฤษเช่าสนามบิน โดยไม่คิดค่าเช่า สัญญานี้มีอายุ 25 ปี และจะมีผลต่อเมื่ออิรัก ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ League of Nations ในฐานะประเทศเอกราช อิรักขมักเขม้นทำการบ้าน โดยความหวังที่จะเป็นเอกราช ปลดแอกอังกฤษออกจากบ่า ค.ศ. 1932 สันนิบาตชาติ ซึ่งคุมโดยขาใหญ่ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 (ก็อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละ !) ก็รับอิรักเข้าเป็นสมาชิก คงใช้เวลานานหน่อยกว่าอิรักจะรู้ตัวว่า เขาแค่เปลี่ยนยี่ห้อหม้อต้มเหยื่อเท่านั้นเอง จะหม้อต้มยี่ห้อไหน ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน แต่อิรักไม่ใช่ชาติที่จะยอม งอมืออยู่อย่างนั้น พวกเขาเดินหน้า หาทางหักกับอังกฤษต่อไป รัฐบาลอิรักพยายามแข็งข้อกับอังกฤษอยู่หลายรอบ ครั้งสำคัญคือ ค.ศ. 1941 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมาใกล้ตัว สภาอิรักลงมติไม่สนับสนุนอังกฤษ ในการประกาศสงครามกับเยอรมัน ! อังกฤษเหมือนโดนตีแซกหน้า! ยกทัพเต็มอัตรามาเต็มเมืองอิรัก แล้วปลดรัฐบาลอิรักที่มาจากการ เลือกตั้ง เอานักการเมืองที่ฝักฝ่าย อังกฤษเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน กษัตริย์ Faisal ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตอนที่เซ็นสัญญา Anglo-Iraq : Treaty ก็ส่งใบลาป่วยว่าใส้ติ่งอักเสบส่งตัวแทนมา คราวนี้ไม่รู้อะไรอักเสบ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ความสงบในอิรักยิ่งหายาก ชาวอิรักต้องการเป็นอิสระจากแอกของอังกฤษ พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันต่อต้านและต่อสู้ แต่กำลังอาวุธมันต่างกัน และที่สำคัญหนอนบ่อนไส้ ที่เป็นชาวอิรัก ที่อังกฤษชุบเลี้ยงไว้ให้ทำงาน ยังมีอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ แต่ในที่สุดราชวงศ์ Hashemite ที่น่าสงสาร ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถูกโค่นในปี ค.ศ. 1958 อังกฤษปล่อยมือจากการชักหุ่น หุ่นไม่มีเชือกชัก ตกพลั่กลงพื้น กษัตริย์ และราชวงศ์ Hashemite ถูกจับติดคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด โดยอังกฤษไม่ยื่นมือ ไม่เหลียวมามอง ได้แต่เก็บของ รีบกลับเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ของตนอย่างรีบด่วน อย่างเดียว แต่ฉากสุดท้ายนี้ มันน่าคิด อยู่ดี ๆ กษัตริย์ Hussein แห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นญาติสนิทของ Faisal และเป็นหุ่นเชิดของอังกฤษเช่นเดียวกัน เกิดประสาทว่าพวกที่ลุกฮือ ไล่ฝรั่งตะวันตกที่เลบานอน จะเลยเถิดเข้ามาถึงจอร์แดนด้วย ขอแรงอิรักส่งกองทัพมาช่วยไล่หน่อยเถิด บรรดาทหารหาญของอิรัก จึงจัดแจงแต่งเครื่องแบบติดอาวุธกองทัพ มุ่งหน้าจะไปจอร์แดน แต่แล้วท่านนายพลคนหนึ่ง Colonel Abd as Salaam Arif ก็สั่งให้กองทัพเลี้ยวกลับมาสู่แบกแดด ส่องปืนใหญ่มาที่วังของ Hashemite เป็นการปฏิวัติของทหารอิรักชนิดไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีผู้ต่อต้าน และไม่มีผู้รู้ตัว ขุนนางอิรัก Nuri as Said ที่เป็นขุนคอยพยักให้อังกฤษถูกจับก่อนเพื่อน ระหว่างที่พยายามจะหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นพวกกษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนรวบตัว ชาวอิรักต่างไปชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษ ด่าทอ ขว้างปา พวกเขามองว่า อังกฤษกับ Hashemite เป็นตัวแทนของกันและกัน เป็นการจบฉากของชาวเกาะผู้ยิ่งใหญ่ในอิรัก ที่ไม่สวยงามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรก จนถึงวันสุดท้าย ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเหตุการณ์รุนแรง ที่กำลังดำเนินอยู่ในอิรักขณะนี้ โดยเฉพาะที่ Mosul ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มายืนแถลงเมื่อไม่นานมานี้ เลื่อนอันดับภัยจากผู้ก่อการร้าย ในอังกฤษขึ้นสูงถึงระดับรุนแรง (Severe) เนื่องจากเหตุการณ์ในอิรักและซีเรีย มันจะมีรากยาวฝั่งลึก ย้อนไปได้ถึง 100 ปี แม้อังกฤษจะเก็บของกลับเกาะไปแล้ว แต่อังกฤษได้ทิ้งพิษร้ายค้างอยู่ในอิรัก มันมาจากแผนการต้ม การเคี้ยวเหยื่อ ตั้งแต่ต้น มันเป็นแผนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์และธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา อย่างน่าสงสารของเหยื่อ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย
    ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม
    ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง
    แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ
    ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน
    แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein
    อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ !
    แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน !
    Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย
    อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ
    อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด
    เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง
    ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ
    นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด
    Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ ! แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน ! Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์”

    หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที:

    1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง

    2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที

    3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์

    4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย

    5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว

    https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    🔌 “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์” หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที: 1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง 2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที 3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์ 4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย 5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things You Should Never Plug Into Your Phone's USB Ports (And Why) - SlashGear
    Your smartphone's USB port means it's compatible with a wide range of USB-powered accessories, but you'll want to avoid connecting it to just anything.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลำไย” เจอติงหนัก ! โซ้ยปลากระป๋องกลางสนามบิน : [News story]

    “ลำไย ไหทองคำ” โชว์ไลฟ์สไตล์อยู่ง่าย กินปลากระป๋องกลางสนามบิน ดันเจอชาวเน็ตวิจารณ์สนั่นถึงความเหมาะสม และมารยาทในการใช้สนามบินไม่ควรทานอาหารส่งกลิ่นรบกวน
    “ลำไย” เจอติงหนัก ! โซ้ยปลากระป๋องกลางสนามบิน : [News story] “ลำไย ไหทองคำ” โชว์ไลฟ์สไตล์อยู่ง่าย กินปลากระป๋องกลางสนามบิน ดันเจอชาวเน็ตวิจารณ์สนั่นถึงความเหมาะสม และมารยาทในการใช้สนามบินไม่ควรทานอาหารส่งกลิ่นรบกวน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ”

    เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน

    การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว

    เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว

    จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ

    แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม

    กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด

    https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    🧊 “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ” เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    MATDUGGAN.COM
    matduggan.com
    It's JSON all the way down
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จับผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ระบบเช็กอินสนามบินยุโรป — Collins Aerospace ถูกเล่นงาน, ผู้โดยสารตกค้างทั่ว Heathrow–Berlin–Brussels”

    กลางเดือนกันยายน 2025 โลกการบินยุโรปต้องเผชิญกับความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อระบบเช็กอินของหลายสนามบินหลัก เช่น Heathrow, Berlin และ Brussels ล่มอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ผู้โดยสารต้องรอคิวยาวหลายชั่วโมง บางสายการบินต้องใช้วิธีเขียนบอร์ดดิ้งพาสด้วยมือ และยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก

    ต้นเหตุของเหตุการณ์นี้คือการโจมตีไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยัง Collins Aerospace บริษัทที่ให้บริการระบบเช็กอินและจัดการสัมภาระให้กับสายการบินต่าง ๆ ทั่วยุโรป โดยการโจมตีเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ และส่งผลต่อเนื่องตลอดสุดสัปดาห์

    ล่าสุด หน่วยงาน National Crime Agency (NCA) ของสหราชอาณาจักรได้จับกุมชายวัย 40 ปีใน West Sussex โดยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ และตั้งข้อหาตามกฎหมาย Computer Misuse Act แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยแรงจูงใจหรือผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม แต่การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่กำลังให้ความสำคัญกับภัยไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Ryan McConechy จาก Barrier Networks ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้เกี่ยวข้องกับ ransomware และเตือนให้องค์กรต่าง ๆ เร่งเสริมระบบป้องกัน เช่น การฝึกอบรมพนักงาน, การติดตั้ง MFA ที่ต้านฟิชชิ่ง, การแบ่งเครือข่าย และการตรวจสอบความปลอดภัยของซัพพลายเออร์

    แม้ระบบการบินและการควบคุมจราจรทางอากาศจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของผู้โดยสารและสายการบินนั้นชัดเจน โดยเฉพาะใน Brussels ที่ต้องลดจำนวนเที่ยวบินลงอย่างมาก และใน Berlin ที่เกิดคิวสะสมจนเจ้าหน้าที่ต้องใช้โน้ตบุ๊กสำรองในการเช็กอิน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกิดการโจมตีไซเบอร์ต่อ Collins Aerospace ส่งผลให้ระบบเช็กอินสนามบินยุโรปล่ม
    สนามบินที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Heathrow, Berlin และ Brussels
    ผู้โดยสารต้องใช้บอร์ดดิ้งพาสแบบเขียนมือ และเกิดการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก
    NCA สหราชอาณาจักรจับกุมชายวัย 40 ปีใน West Sussex ฐานต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการโจมตี
    Collins Aerospace ยืนยันว่าเป็น “cyber-related disruption” และกำลังร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ
    ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นการโจมตีแบบ ransomware และแนะให้องค์กรเสริมระบบป้องกัน
    Brussels ยกเลิกเที่ยวบินหลายสิบเที่ยวและลดจำนวนการออกเดินทาง
    Berlin เกิดคิวยาวและต้องใช้วิธีเช็กอินแบบสำรอง
    ระบบการบินและควบคุมจราจรทางอากาศไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Collins Aerospace เป็นบริษัทในเครือ RTX ที่ให้บริการระบบการบินและกลาโหม
    การโจมตีไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานมักเกิดจากช่องโหว่ในซัพพลายเชน
    ENISA หน่วยงานไซเบอร์ของ EU ระบุว่าเป็น ransomware จากบุคคลที่สาม
    การโจมตีลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับระบบรถไฟและท่าเรือในหลายประเทศ
    การใช้ระบบดิจิทัลร่วมกันในหลายสายการบินทำให้เกิด “single point of failure”

    https://hackread.com/uk-arrest-cyberattack-disrupts-european-airports/
    🛫 “จับผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ระบบเช็กอินสนามบินยุโรป — Collins Aerospace ถูกเล่นงาน, ผู้โดยสารตกค้างทั่ว Heathrow–Berlin–Brussels” กลางเดือนกันยายน 2025 โลกการบินยุโรปต้องเผชิญกับความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อระบบเช็กอินของหลายสนามบินหลัก เช่น Heathrow, Berlin และ Brussels ล่มอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ผู้โดยสารต้องรอคิวยาวหลายชั่วโมง บางสายการบินต้องใช้วิธีเขียนบอร์ดดิ้งพาสด้วยมือ และยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก ต้นเหตุของเหตุการณ์นี้คือการโจมตีไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยัง Collins Aerospace บริษัทที่ให้บริการระบบเช็กอินและจัดการสัมภาระให้กับสายการบินต่าง ๆ ทั่วยุโรป โดยการโจมตีเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ และส่งผลต่อเนื่องตลอดสุดสัปดาห์ ล่าสุด หน่วยงาน National Crime Agency (NCA) ของสหราชอาณาจักรได้จับกุมชายวัย 40 ปีใน West Sussex โดยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ และตั้งข้อหาตามกฎหมาย Computer Misuse Act แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยแรงจูงใจหรือผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม แต่การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่กำลังให้ความสำคัญกับภัยไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Ryan McConechy จาก Barrier Networks ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้เกี่ยวข้องกับ ransomware และเตือนให้องค์กรต่าง ๆ เร่งเสริมระบบป้องกัน เช่น การฝึกอบรมพนักงาน, การติดตั้ง MFA ที่ต้านฟิชชิ่ง, การแบ่งเครือข่าย และการตรวจสอบความปลอดภัยของซัพพลายเออร์ แม้ระบบการบินและการควบคุมจราจรทางอากาศจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของผู้โดยสารและสายการบินนั้นชัดเจน โดยเฉพาะใน Brussels ที่ต้องลดจำนวนเที่ยวบินลงอย่างมาก และใน Berlin ที่เกิดคิวสะสมจนเจ้าหน้าที่ต้องใช้โน้ตบุ๊กสำรองในการเช็กอิน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกิดการโจมตีไซเบอร์ต่อ Collins Aerospace ส่งผลให้ระบบเช็กอินสนามบินยุโรปล่ม ➡️ สนามบินที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Heathrow, Berlin และ Brussels ➡️ ผู้โดยสารต้องใช้บอร์ดดิ้งพาสแบบเขียนมือ และเกิดการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก ➡️ NCA สหราชอาณาจักรจับกุมชายวัย 40 ปีใน West Sussex ฐานต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการโจมตี ➡️ Collins Aerospace ยืนยันว่าเป็น “cyber-related disruption” และกำลังร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ➡️ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นการโจมตีแบบ ransomware และแนะให้องค์กรเสริมระบบป้องกัน ➡️ Brussels ยกเลิกเที่ยวบินหลายสิบเที่ยวและลดจำนวนการออกเดินทาง ➡️ Berlin เกิดคิวยาวและต้องใช้วิธีเช็กอินแบบสำรอง ➡️ ระบบการบินและควบคุมจราจรทางอากาศไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Collins Aerospace เป็นบริษัทในเครือ RTX ที่ให้บริการระบบการบินและกลาโหม ➡️ การโจมตีไซเบอร์ในโครงสร้างพื้นฐานมักเกิดจากช่องโหว่ในซัพพลายเชน ➡️ ENISA หน่วยงานไซเบอร์ของ EU ระบุว่าเป็น ransomware จากบุคคลที่สาม ➡️ การโจมตีลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับระบบรถไฟและท่าเรือในหลายประเทศ ➡️ การใช้ระบบดิจิทัลร่วมกันในหลายสายการบินทำให้เกิด “single point of failure” https://hackread.com/uk-arrest-cyberattack-disrupts-european-airports/
    HACKREAD.COM
    UK Arrest Made After Cyberattack Disrupts Major European Airports
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮุนเซนเหนือเมฆ
    แก้ปัญหาสนามบินเตโชร้างนทท. จ่อเปิดบ่อนในสนามบิน ดึงดูดผีpนันทั่วโลก #สนามบินเตโชกาสิโน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ฮุนเซนเหนือเมฆ แก้ปัญหาสนามบินเตโชร้างนทท. จ่อเปิดบ่อนในสนามบิน ดึงดูดผีpนันทั่วโลก #สนามบินเตโชกาสิโน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตาร่างพรบ.นิรโทษกรรม (พรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข) ไม่คืนเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดในคดีแพ่งกรณียึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ และอาจยกเว้นโทษ 112 ให้เฉพาะเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะกระทำความผิด ดับฝันแกนนำแก๊งสามกีบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    จับตาร่างพรบ.นิรโทษกรรม (พรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข) ไม่คืนเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดในคดีแพ่งกรณียึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ และอาจยกเว้นโทษ 112 ให้เฉพาะเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะกระทำความผิด ดับฝันแกนนำแก๊งสามกีบ #คิงส์โพธิ์แดง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา
    ==================

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    =================================

    นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น

    …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ

    ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท)

    ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ

    - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว

    - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9

    ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี

    ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่

    ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
    ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

    ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ

    ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

    ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา

    ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน

    ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า

    ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง)

    ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย"

    ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

    ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย

    ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก

    ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

    ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

    ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ
    ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา ================== ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ================================= นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท) ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9 ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่ ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง) ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้ ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์โจมตีระบบเช็กอินสนามบินยุโรป — เมื่อจุดรวมศูนย์กลายเป็นจุดอ่อนของโครงสร้างการบิน

    สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบบเช็กอินอัตโนมัติของสนามบินใหญ่ในยุโรป เช่น Heathrow, Berlin Brandenburg และ Brussels Zaventem เกิดความล่มอย่างหนักจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังระบบ cMUSE ของบริษัท Collins Aerospace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบ “common-use” ที่ให้สายการบินหลายแห่งใช้ร่วมกันผ่าน backend เดียว

    ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้สนามบินสามารถแชร์เคาน์เตอร์เช็กอิน คีออส และระบบ boarding ได้อย่างยืดหยุ่น โดยใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดการ แต่เมื่อ backend ล่ม ทุกอย่างก็หยุดลงทันที

    Brussels ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 45 เที่ยวจากทั้งหมด 257 เที่ยวในวันเดียว และแจ้งผู้โดยสารว่าอาจมีดีเลย์สูงสุดถึง 90 นาที ส่วน Berlin ปิดการใช้งานคีออสทั้งหมดและเปลี่ยนไปใช้การเช็กอินแบบ manual โดยตรงจากสายการบิน ขณะที่ Heathrow ยังสามารถดำเนินการได้ส่วนใหญ่ แต่ต้องใช้วิธี fallback แบบแมนนวลซึ่งทำให้กระบวนการช้าลง

    Collins Aerospace ยืนยันว่าเป็น “เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์” แต่ยังไม่เปิดเผยรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้น โดยระบบ cMUSE ที่ล่มนั้นยังรวมถึงเครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพที่เชื่อมต่อกับ backend เดียวกัน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ EU จะบังคับใช้กฎ NIS2 ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ให้ครอบคลุมถึงผู้ให้บริการ IT ที่สนับสนุนสนามบินและสายการบินโดยตรง รวมถึงกฎ Part-IS ของ EASA ที่มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน

    ระบบ cMUSE ของ Collins Aerospace ถูกโจมตีทางไซเบอร์
    เป็นแพลตฟอร์มเช็กอินแบบ common-use ที่ใช้ร่วมกันหลายสายการบิน
    ใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียว

    สนามบินใหญ่ในยุโรปได้รับผลกระทบ
    Brussels ยกเลิก 45 เที่ยวบิน / ดีเลย์สูงสุด 90 นาที
    Berlin ปิดคีออสทั้งหมด / Heathrow ใช้ fallback แบบ manual

    ระบบที่เชื่อมต่อกับ cMUSE ก็ล่มตามไปด้วย
    เครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพไม่สามารถใช้งานได้
    ระบบไม่สามารถ fallback ได้แบบ graceful ต้องใช้แรงงานคนแทน

    EU เตรียมบังคับใช้กฎ NIS2 และ Part-IS
    ขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ไปยังผู้ให้บริการ IT
    มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/europes-check-in-systems-knocked-offline-after-cyberattack
    📰 แฮกเกอร์โจมตีระบบเช็กอินสนามบินยุโรป — เมื่อจุดรวมศูนย์กลายเป็นจุดอ่อนของโครงสร้างการบิน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบบเช็กอินอัตโนมัติของสนามบินใหญ่ในยุโรป เช่น Heathrow, Berlin Brandenburg และ Brussels Zaventem เกิดความล่มอย่างหนักจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังระบบ cMUSE ของบริษัท Collins Aerospace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบ “common-use” ที่ให้สายการบินหลายแห่งใช้ร่วมกันผ่าน backend เดียว ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้สนามบินสามารถแชร์เคาน์เตอร์เช็กอิน คีออส และระบบ boarding ได้อย่างยืดหยุ่น โดยใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดการ แต่เมื่อ backend ล่ม ทุกอย่างก็หยุดลงทันที Brussels ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 45 เที่ยวจากทั้งหมด 257 เที่ยวในวันเดียว และแจ้งผู้โดยสารว่าอาจมีดีเลย์สูงสุดถึง 90 นาที ส่วน Berlin ปิดการใช้งานคีออสทั้งหมดและเปลี่ยนไปใช้การเช็กอินแบบ manual โดยตรงจากสายการบิน ขณะที่ Heathrow ยังสามารถดำเนินการได้ส่วนใหญ่ แต่ต้องใช้วิธี fallback แบบแมนนวลซึ่งทำให้กระบวนการช้าลง Collins Aerospace ยืนยันว่าเป็น “เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์” แต่ยังไม่เปิดเผยรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้น โดยระบบ cMUSE ที่ล่มนั้นยังรวมถึงเครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพที่เชื่อมต่อกับ backend เดียวกัน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ EU จะบังคับใช้กฎ NIS2 ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ให้ครอบคลุมถึงผู้ให้บริการ IT ที่สนับสนุนสนามบินและสายการบินโดยตรง รวมถึงกฎ Part-IS ของ EASA ที่มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน ✅ ระบบ cMUSE ของ Collins Aerospace ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ➡️ เป็นแพลตฟอร์มเช็กอินแบบ common-use ที่ใช้ร่วมกันหลายสายการบิน ➡️ ใช้โครงสร้างแบบ cloud ที่รวมข้อมูลผู้โดยสารไว้ในจุดเดียว ✅ สนามบินใหญ่ในยุโรปได้รับผลกระทบ ➡️ Brussels ยกเลิก 45 เที่ยวบิน / ดีเลย์สูงสุด 90 นาที ➡️ Berlin ปิดคีออสทั้งหมด / Heathrow ใช้ fallback แบบ manual ✅ ระบบที่เชื่อมต่อกับ cMUSE ก็ล่มตามไปด้วย ➡️ เครื่องพิมพ์แท็กกระเป๋าและเครื่องสแกนชีวภาพไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ ระบบไม่สามารถ fallback ได้แบบ graceful ต้องใช้แรงงานคนแทน ✅ EU เตรียมบังคับใช้กฎ NIS2 และ Part-IS ➡️ ขยายคำจำกัดความของ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ไปยังผู้ให้บริการ IT ➡️ มุ่งยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบการบิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/europes-check-in-systems-knocked-offline-after-cyberattack
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Hackers attack Europe’s automatic flight check-in systems — flight delayed and cancelled after Collins cyberattack
    An incident at Collins Aerospace shut down the cloud back-end for its cMUSE platform this weekend, crippling kiosks and forcing manual fallback at Heathrow, Berlin, and Brussels.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพิ่งเปิดบริการ ก็เริ่มบริโกงกันทันที ต่อไปผู้โดยสารอาจต้องพกพาเครื่องสแกนโลหะ อาวุธ ยาเสพ กันมาเองด้วย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #สนามบินนานาชาติเตโช
    #สนามบินเขมร
    เพิ่งเปิดบริการ ก็เริ่มบริโกงกันทันที ต่อไปผู้โดยสารอาจต้องพกพาเครื่องสแกนโลหะ อาวุธ ยาเสพ กันมาเองด้วย #คิงส์โพธิ์แดง #สนามบินนานาชาติเตโช #สนามบินเขมร
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ต่อผู้ให้บริการระบบเช็คอินและขึ้นเครื่องส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสนามบินหลักหลายแห่งในยุโรปวันนี้ (20 ก.ย.) รวมถึงสนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอนซึ่งเป็นสนามบินที่มีผู้โดยสารหนาแน่นที่สุดในยุโรป โดยทำให้ให้เที่ยวบินล่าช้า และถูกยกเลิกเป็นจำนวนมาก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090241

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    ปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ต่อผู้ให้บริการระบบเช็คอินและขึ้นเครื่องส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสนามบินหลักหลายแห่งในยุโรปวันนี้ (20 ก.ย.) รวมถึงสนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอนซึ่งเป็นสนามบินที่มีผู้โดยสารหนาแน่นที่สุดในยุโรป โดยทำให้ให้เที่ยวบินล่าช้า และถูกยกเลิกเป็นจำนวนมาก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090241 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่าอากาศยานที่มีขอทานมากกว่าผู้โดยสาร นักท่องเที่ยว และเครื่องบิน จงภูมิใจในความเป็นเขมรต่อไปเถอะมึง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #สนามบินเขมร
    ท่าอากาศยานที่มีขอทานมากกว่าผู้โดยสาร นักท่องเที่ยว และเครื่องบิน จงภูมิใจในความเป็นเขมรต่อไปเถอะมึง #คิงส์โพธิ์แดง #สนามบินเขมร
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Waymo ได้ไฟเขียวให้วิ่งในสนามบิน SFO — ยกระดับการเดินทางด้วยรถไร้คนขับสู่จุดเริ่มต้นใหม่ของซานฟรานซิสโก”

    Waymo บริษัทเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในเครือ Alphabet ได้รับใบอนุญาตนำร่องให้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่สนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO) แล้วอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มต้นด้วยการทดสอบภายในก่อนเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วไปในพื้นที่ Bay Area

    การดำเนินงานจะเริ่มที่จุดรับ-ส่ง “Kiss & Fly” ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารเล็กน้อยและสามารถเดินทางด้วย AirTrain ได้ โดย Waymo วางแผนจะขยายจุดให้บริการในสนามบินเพิ่มเติมในอนาคต

    นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ Waymo หลังจากประสบความสำเร็จในการให้บริการที่สนามบิน Phoenix Sky Harbor และได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินการที่สนามบิน San Jose Mineta International Airport เมื่อไม่นานมานี้

    นายกเทศมนตรี Daniel Lurie กล่าวว่านี่คือส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเมือง โดยหวังให้ผู้มาเยือนสามารถใช้บริการ Waymo ได้ทันทีเมื่อเดินทางมาถึงซานฟรานซิสโก

    Waymo จะดำเนินงานใน 3 ระยะ ได้แก่
    1️⃣ ทดสอบรถในโหมดอัตโนมัติพร้อมผู้ควบคุม
    2️⃣ ให้บริการแก่พนักงาน Waymo และเจ้าหน้าที่สนามบิน
    3️⃣ เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ผู้โดยสารทั่วไป

    แม้จะยังไม่มีการประกาศกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่การอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเตรียมความพร้อมของเมืองสำหรับงานใหญ่ เช่น Super Bowl LX และ FIFA World Cup ที่จะจัดขึ้นในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เดินทางมากกว่า 500,000 คน

    https://waymo.com/blog/#short-all-systems-go-at-sfo-waymo-has-received-our-pilot-permit
    🚗 “Waymo ได้ไฟเขียวให้วิ่งในสนามบิน SFO — ยกระดับการเดินทางด้วยรถไร้คนขับสู่จุดเริ่มต้นใหม่ของซานฟรานซิสโก” Waymo บริษัทเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในเครือ Alphabet ได้รับใบอนุญาตนำร่องให้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่สนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO) แล้วอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มต้นด้วยการทดสอบภายในก่อนเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วไปในพื้นที่ Bay Area การดำเนินงานจะเริ่มที่จุดรับ-ส่ง “Kiss & Fly” ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารเล็กน้อยและสามารถเดินทางด้วย AirTrain ได้ โดย Waymo วางแผนจะขยายจุดให้บริการในสนามบินเพิ่มเติมในอนาคต นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ Waymo หลังจากประสบความสำเร็จในการให้บริการที่สนามบิน Phoenix Sky Harbor และได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินการที่สนามบิน San Jose Mineta International Airport เมื่อไม่นานมานี้ นายกเทศมนตรี Daniel Lurie กล่าวว่านี่คือส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเมือง โดยหวังให้ผู้มาเยือนสามารถใช้บริการ Waymo ได้ทันทีเมื่อเดินทางมาถึงซานฟรานซิสโก Waymo จะดำเนินงานใน 3 ระยะ ได้แก่ 1️⃣ ทดสอบรถในโหมดอัตโนมัติพร้อมผู้ควบคุม 2️⃣ ให้บริการแก่พนักงาน Waymo และเจ้าหน้าที่สนามบิน 3️⃣ เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แก่ผู้โดยสารทั่วไป แม้จะยังไม่มีการประกาศกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่การอนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเตรียมความพร้อมของเมืองสำหรับงานใหญ่ เช่น Super Bowl LX และ FIFA World Cup ที่จะจัดขึ้นในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เดินทางมากกว่า 500,000 คน https://waymo.com/blog/#short-all-systems-go-at-sfo-waymo-has-received-our-pilot-permit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • Château Christophe ตอนที่ 5
    นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 5
    เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก
    สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป
    จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !”
    เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย
    ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน
    ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้
    เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย
    เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้
    ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ
    หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith
    พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น
    ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
    คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    Château Christophe ตอนที่ 5 นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 5 เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !” เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้ ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเขมร
    แห่ชมสนามบิน
    แห่ชมบ้านเก่า
    ที่โดนบังคับย้ายออกด้วยเศษเงินเพื่อสร้างสนามบิน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ชาวเขมร แห่ชมสนามบิน❌ แห่ชมบ้านเก่า✔️ ที่โดนบังคับย้ายออกด้วยเศษเงินเพื่อสร้างสนามบิน #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล่องเรือแม่น้ำไรน์ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดคริสต์มาสสุดคลาสสิก!
    สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาวผ่านแสงไฟระยิบระยับ กลิ่นไวน์หอมหวาน และสินค้าแฮนด์เมดที่บอกเล่าเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง

    🛳 Rhine Holiday Markets – เรือสำราญระดับ 6 ดาว

    ระยะเวลา 8 วัน 7 คืน

    เดินทาง พฤศจิกายน – ธันวาคม 2568–2569

    เส้นทางคริสต์มาสสุดโรแมนติก : บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) – คีล (สตราสบูร์ก) – มานน์ไฮม์ (บาเดิน-บาเดิน) – ไมนซ์ – รูเดสไฮม์ – ล่องแม่น้ำไรน์ – โคเบลนซ์ – โคโลญ (เยอรมนี)

    ราคาเริ่มต้น: USD 4,199 ต่อท่าน

    รวมอาหารทุกมื้อบนเรือสำราญ
    กิจกรรมและความบันเทิงครบตลอดทริป
    บริการรถรับ-ส่งระหว่างสนามบินและท่าเรือ

    รหัสแพ็คเกจ : UNIP-8D7N-BSL-CGN-2612161
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eafac4

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/2d5491

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือUniworldRiverCruise #Uniworld #RhineRiver #UniworldRiverCruise #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #แม่น้ำไรน์ #Cologne #Germany #Mainz #Basel #CruiseDomain
    🎄 ล่องเรือแม่น้ำไรน์ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดคริสต์มาสสุดคลาสสิก! สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งฤดูหนาวผ่านแสงไฟระยิบระยับ กลิ่นไวน์หอมหวาน และสินค้าแฮนด์เมดที่บอกเล่าเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง 🎁✨ 🛳 Rhine Holiday Markets – เรือสำราญระดับ 6 ดาว ⏳ ระยะเวลา 8 วัน 7 คืน 📆 เดินทาง พฤศจิกายน – ธันวาคม 2568–2569 📍 เส้นทางคริสต์มาสสุดโรแมนติก : บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) – คีล (สตราสบูร์ก) – มานน์ไฮม์ (บาเดิน-บาเดิน) – ไมนซ์ – รูเดสไฮม์ – ล่องแม่น้ำไรน์ – โคเบลนซ์ – โคโลญ (เยอรมนี) 💰 ราคาเริ่มต้น: USD 4,199 ต่อท่าน ✅ รวมอาหารทุกมื้อบนเรือสำราญ ✅ กิจกรรมและความบันเทิงครบตลอดทริป ✅ บริการรถรับ-ส่งระหว่างสนามบินและท่าเรือ ➡️ รหัสแพ็คเกจ : UNIP-8D7N-BSL-CGN-2612161 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eafac4 ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/2d5491 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือUniworldRiverCruise #Uniworld #RhineRiver #UniworldRiverCruise #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #แม่น้ำไรน์ #Cologne #Germany #Mainz #Basel #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • Château Christophe ตอนที่ 1
    นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 1
    เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา
    เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi
    นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ
    Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย
    Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน
    Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด
    ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า“Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ
    Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น
    Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป
    Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน
    ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า
    Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า
    คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    Château Christophe ตอนที่ 1 นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 1 เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า“Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอยเขมรลั่น สนามบินเตโชไม่มีทุนจีน...!!! (15/9/68)

    #สนามบินเตโช
    #ทุนจีนหรือไม่
    #บอยเขมร
    #ข่าวเขมร
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    บอยเขมรลั่น สนามบินเตโชไม่มีทุนจีน...!!! (15/9/68) #สนามบินเตโช #ทุนจีนหรือไม่ #บอยเขมร #ข่าวเขมร #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ซิกเนเจอร์ของชนชาติอัปรีย์จังไร นอกจากลอบกัดทรยศหักหลังแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือทิ้งขยะกลาดเกลื่อน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เขมรทิ้งขยะ
    #สนามบินเขมร
    ซิกเนเจอร์ของชนชาติอัปรีย์จังไร นอกจากลอบกัดทรยศหักหลังแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือทิ้งขยะกลาดเกลื่อน #คิงส์โพธิ์แดง #เขมรทิ้งขยะ #สนามบินเขมร
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปลื้มแทนขะแมร์ แตกตื่นที่เที่ยวใหม่ เรียกที่นี่ว่า “สนามบิน” (15/9/68)

    #ขะแมร์
    #สนามบินใหม่
    #แตกตื่น
    #เขมรอึ้ง
    #เที่ยวไทย
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    ปลื้มแทนขะแมร์ แตกตื่นที่เที่ยวใหม่ เรียกที่นี่ว่า “สนามบิน” (15/9/68) #ขะแมร์ #สนามบินใหม่ #แตกตื่น #เขมรอึ้ง #เที่ยวไทย #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สร้างสนามบิน 5.5 หมื่นล้านให้ขอทานไปเที่ยว แต่ไม่สร้างโรงพยาบาลให้คนเขมร
    รอพึ่งพาขอรักษาฟรีที่ไทย
    #7ดอกจิก
    สร้างสนามบิน 5.5 หมื่นล้านให้ขอทานไปเที่ยว แต่ไม่สร้างโรงพยาบาลให้คนเขมร รอพึ่งพาขอรักษาฟรีที่ไทย #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ สนามบินเตโช ตาขเมา กัมพูชา รองรับนักท่องเที่ยว หรือรองรับผีพณัณ สแกมเมอร์ คอลเซนเตอร์ แถมตกเป็นทาสเจ้าหนี้ให้กับจีน แบบไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด
    #7ดอกจิก
    ♣ สนามบินเตโช ตาขเมา กัมพูชา รองรับนักท่องเที่ยว หรือรองรับผีพณัณ สแกมเมอร์ คอลเซนเตอร์ แถมตกเป็นทาสเจ้าหนี้ให้กับจีน แบบไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13
    นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project
    บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี
    ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า
    ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table
    และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า
    นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13 นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • วินาทีที่เครื่องบินของการบินไทย "B777-200ER" บินขึ้นจากสนามบินตรีภูวัน กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ท่ามกลางการเพลิงไหม้อย่างรุนแรงทั่วสนามบิน

    นี่คือหนึ่งในไฟล์ทท้ายๆ ที่ได้บินออกจากกาฐมาณฑุก่อนที่สนามจะบินถูกปิดจนถึงตอนนี้
    วินาทีที่เครื่องบินของการบินไทย "B777-200ER" บินขึ้นจากสนามบินตรีภูวัน กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ท่ามกลางการเพลิงไหม้อย่างรุนแรงทั่วสนามบิน นี่คือหนึ่งในไฟล์ทท้ายๆ ที่ได้บินออกจากกาฐมาณฑุก่อนที่สนามจะบินถูกปิดจนถึงตอนนี้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts