• ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • ภูมิธรรมแจง น้ำท่วมเชียงราย-เชียงใหม่ 04/10/67 #news1 #น้ำท่วมเชียงราย #น้ำท่วมภาคเหนือ #ภูมิธรรม #รัฐบาล
    ภูมิธรรมแจง น้ำท่วมเชียงราย-เชียงใหม่ 04/10/67 #news1 #น้ำท่วมเชียงราย #น้ำท่วมภาคเหนือ #ภูมิธรรม #รัฐบาล
    Like
    Sad
    7
    0 Comments 0 Shares 613 Views 315 0 Reviews
  • ยิ่งไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยสูงตรึงเงินดอลลาร์ได้ ยิ่งเร่งสงครามโลกและสงครามโรคเร็วขึ้น/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ความขัดแย้งกันในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาในยุคนี้ด้วยว่า นอกจากมาตรการตอบโต้กันทางด้านการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ สงครรามทุนระหว่างประเทศ สงครามค่าเงิน ถึงขนาดที่เรียกว่าเรื่องนี้อาจมีจุดจบที่ต้องมีฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะกันไปข้างหนึ่ง

    โดยเฉพาะสถานภาพของเงินสกุลสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถดำรงสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายปิโตรเลียมที่ไม่ได้ยึถถือเงินสกุลดอลลาร์ (ปิโตรดอลลาร์)แต่เพียงสกุลเดียวได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลือกหนทางในการทำให้เกิดการโจมตีแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช่พันธมิตรอเมริกาทั่วโลก เพื่อให้ราคาปิโตรเลียมของธุรกิจในเครือสหรัฐอเมริกายังคงดำรงสถานภาพปิโตรดอลลาร์ต่อไป

    อย่างไรก็ตามการเปลี่ยแปลงเงินสกุลหลักของโลกแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแบบยืดเยื้อ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเครื่องมือเป็นเงินกู้เข้าแทรกแซงช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสถานภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเจ้าหนี้ของประเทศต่างๆที่มีพันธะผูกพันจำนวน 94 ประเทศ มีมูลค่าหนี้คงค้างกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ[1]

    นอกจากนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกยังคงเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกามากถึงร้อยละ 54.06[2] โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ออกพันธบัตรก่อหนี้มหาศาลมากถึง 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว[3] โดยยังไม่เพียงแค่ปัญหาว่าสหรัฐอเมริกาจะมีทางว่าจะชำระหนี้คืนได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

    การที่สหรัฐอเมริกาก่อหนี้อย่างมหาศาล อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศเทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ปริมาณอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐล้นระบบเกินความต้องการของอุปสงค์เงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงิน และทำให้ธนาคารกลางได้เพิ่มสัดส่วนเงินสกุลของคู่ค้าประเทศอื่นๆและทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาที่แท้จริงในเรื่องนี้คือปัญหา “ความไม่เชื่อมั่น” ในเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ก่อหนี้ไม่หยุด หรือไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง

    ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเสื่อมค่าลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้ยังคงรักษาเงินดอลลาร์สหรัฐให้เป็นที่ต้องการในทุนสำรองระหว่างประเทศต่อไป

    แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐอเมริกา กลับทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะทำให้ธุรกิจเอกชนในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สินครัวเรือน และหนี้สินส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การก่อหนี้เสีย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อสถานภาพธนาคารในสหรัฐอเมริกาด้วย

    ปรากฏการณ์เพียงแค่ธนาคารกลางผ่อนปรนลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาคารกลางลงเท่านั้น เม็ดเงินทั่วโลกก็ได้ทยอยเทขายทรัพย์สินในเงินดอลลาร์สหรัฐไหลไปสู่ทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าทันที และทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงฉับพลันและยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าอย่างต่อเนื่องด้วย

    และนั่นทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกเปลี่ยนมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และทำให้ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินสกุลหลายประเทศในเอเชียจึงแข็งค่าขึ้น

    โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศติดอันดับโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป็นเป้าหมายในการลงทุนไปด้วย ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทะยานต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่าถูกนำมาแปลงสภาพผ่านทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าในตลาดหุ้น กองทุน หรือพันธบัตรในเอเชีย ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนกลับยิ่งมีเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

    ราคาทองคำจึงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

    และเมื่อมีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะตั้งเป้าโจมตีทำลายแหล่งปิโตรเลียมอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกราคาเพิ่มสูงขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ด้วยเพราะธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกพยายามจะได้พยายามลดการถือครองพันธบัตร เพื่อหวังจะทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศจากเงินดอลลาร์สหรัฐให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆ หรือทองคำนั้นให้มากขึ้นนั้น เป็นการคิดพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ

    อย่างไรก็ตามประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเท่ากับว่าประเทศนั้นถือครองทรัพย์สินที่อ่อนค่าลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมทำให้สกุลเงินในประเทศที่มีทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าไปด้วยอยู่ดี

    เมื่อถึงสถานการณ์ที่นโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางกลายเป็นข้อจำกัด และถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง หากสหรัฐอเมริกาจะยังคงสถานภาพเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อต้องบีบให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด

    สถานการณ์ใกล้ตีบตันแล้ว จึงเหลือหนทางแค่ 2 ทางเท่านั้น

    หนทางที่หนึ่ง คือ “ก่อสงคราม” เพื่อทำให้ประเทศที่มีสงครามต้องสั่งซื้อ สั่งผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น และเมื่ออาวุธ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ขายในรูปของดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งมีความต้องการเงินดอลลาร์ศหรัฐมากขึ้น

    การสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดสงครามยังจะเป็นผลทำให้ราคาปิโตรเลียมทั่วโลกราคาสูงขึ้น และทำให้ดึงความมั่งคั่งของโลกมาซื้อทรัพยากรปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกามากขึ้น

    ตัวอย่างสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริการสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลทั้งจากธุรกิจอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดสนับสนุนอิสราเอลเพื่อก่อสงครามในตะวันออกลาง ก็เพื่อเร่งการซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้มากขึ้น

    อย่างไรก็ตามแสนยานุภาพของมหาอำนาจหลายขั้วอยู่ในระดับที่ไม่แพ้กัน ทำให้การก่อสงครามด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นลักษณะของการจำกัดพื้นที่ ”ในประเทศอื่นๆ“ และให้มีความยืดเยื้อ และมีเป้าหมายในการทำลายแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

    หนทางที่สอง “ก่อโรคระบาดใหม่” เพื่อทำให้ทุกประเทศต้องก่อหนี้สินมหาศาลในการช่วยเหลือประชาชน หากล้มละลาย และยังเป็นการดูดความมั่งคั่งเหล่านี้ไปซื้อวัคซีน และยารักษาโรคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป

    หากประเทศเหล่านั้นยากจนเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องให้มีการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นหนทางในการบีบให้ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศนั้นๆอยู่ดี

    และเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยสูงในการรักษาการยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา “แบบสันติวิธี” ได้นานกว่านี้ได้แล้ว

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อมูลของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้พิสูจน์ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับที่ก่อสงคราม หรือการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้อันมหาศาลของหลายประเทศนั้น ได้ส่งผลดำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังคงเป็นยุทธวิธีที่ดำรงสถานภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐได้[4]

    โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง[4] สถานการณ์นี้เป็นตัวนบีบเงื่อนไขในรักษาเงินดอลลาร์ “มีเวลาน้อยลง” เรื่อยๆ

    ดังนั้นโลกกำลังเข้าสู่ความเสี่ยงในการเร่งทำสงครามจำกัดพื้นที่แต่ยืดเยื้ออย่างชัดเจนขึ้น โดยมีเป้าหมายในการทำลาายแหล่งปิโตรเลียมของประเทศที่ออกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ

    แต่หากความเสียหายเกิดขึ้นเกินกว่าที่ประเทศที่ถูกอิสราเอลหรือนาโต้จะรับได้ ทั้งต่อประเทศในตะวันออกกลางคู่ขัดแย้งกับอิสราเอล หรือ การทำสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม “ความยืดเยื้อ” ในระหว่างประเทศอาจถูกทำให้ยุติ ได้ด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการทำสงครามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

    ซึ่งเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจทั่วโลกพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์​

    เพราะหากถึงจุดนั้น ก็เท่ากับสงครามต้อง “หมดยก” และต้องยุติลงด้วยชัยชนะหรือพ่ายแพ้กันไปข้างหนึ่ง และทำให้สงครามเศรษฐกิจที่เพิ่มความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐต้องยุติลงฉับพลันเช่นกัน

    เมื่อสถานการณ์การเร่งสถานการณ์สงครามมีความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจในมิติการก่อสงคราม จึงเหลืออีกหนทางหนึ่งคือ “การก่อโรคระบาด” ที่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำให้ทั่วโลกต้องมาหาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาซื้อวัคซีนหรือยารักษาโรคที่มีราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา

    ในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะมีผู้นำที่มาชี้นำทางความคิดในการเตรียมตัวในการรับมือกับสถานการณสงครามโลก สงครามโรค ในสงครามความโลภทั้งหลาย

    โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางด้าน ”ความมั่นคงทางพลังงาน, ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางยาสมุนไพรเพื่อการพี่งพาตนเอง“

    เอาจริงๆแล้วยังไม่เห็นรัฐบาลเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้เลย

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    4 ตุลาคม 2567

    อ้างอิง
    [1] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Total IMF Credit Outstanding �Movement From September 01, 2024 to October 01
    https://www.imf.org/external/np/fin/tad/balmov2.aspx?type=TOTAL

    [2] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserve (COFER), World allocated Reserves by Currency for 2023 Q2
    https://data.imf.org/?sk=e6a5f467-c14b-4aa8-9f6d-5a09ec4e62a4

    [3] Peterson G. Foundation, What is the National Debt Today?,
    https://www.pgpf.org/national-debt-clock?gad_source=1&gbraid=0AAAAABdefgYCJ8Ko6Ivna9fcfHx0Y_lqt&gclid=EAIaIQobChMIhbGExczxiAMVyqpLBR2NuhvEEAAYASAAEgJXjvD_BwE

    [4] marketwatch, US Dollar Index(DXY)
    https://www.marketwatch.com/investing/index/dxy
    ยิ่งไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยสูงตรึงเงินดอลลาร์ได้ ยิ่งเร่งสงครามโลกและสงครามโรคเร็วขึ้น/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ความขัดแย้งกันในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาในยุคนี้ด้วยว่า นอกจากมาตรการตอบโต้กันทางด้านการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ สงครรามทุนระหว่างประเทศ สงครามค่าเงิน ถึงขนาดที่เรียกว่าเรื่องนี้อาจมีจุดจบที่ต้องมีฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะกันไปข้างหนึ่ง โดยเฉพาะสถานภาพของเงินสกุลสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถดำรงสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายปิโตรเลียมที่ไม่ได้ยึถถือเงินสกุลดอลลาร์ (ปิโตรดอลลาร์)แต่เพียงสกุลเดียวได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลือกหนทางในการทำให้เกิดการโจมตีแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช่พันธมิตรอเมริกาทั่วโลก เพื่อให้ราคาปิโตรเลียมของธุรกิจในเครือสหรัฐอเมริกายังคงดำรงสถานภาพปิโตรดอลลาร์ต่อไป อย่างไรก็ตามการเปลี่ยแปลงเงินสกุลหลักของโลกแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแบบยืดเยื้อ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเครื่องมือเป็นเงินกู้เข้าแทรกแซงช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสถานภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเจ้าหนี้ของประเทศต่างๆที่มีพันธะผูกพันจำนวน 94 ประเทศ มีมูลค่าหนี้คงค้างกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ[1] นอกจากนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกยังคงเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกามากถึงร้อยละ 54.06[2] โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ออกพันธบัตรก่อหนี้มหาศาลมากถึง 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว[3] โดยยังไม่เพียงแค่ปัญหาว่าสหรัฐอเมริกาจะมีทางว่าจะชำระหนี้คืนได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร การที่สหรัฐอเมริกาก่อหนี้อย่างมหาศาล อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศเทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ปริมาณอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐล้นระบบเกินความต้องการของอุปสงค์เงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงิน และทำให้ธนาคารกลางได้เพิ่มสัดส่วนเงินสกุลของคู่ค้าประเทศอื่นๆและทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่แท้จริงในเรื่องนี้คือปัญหา “ความไม่เชื่อมั่น” ในเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ก่อหนี้ไม่หยุด หรือไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเสื่อมค่าลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้ยังคงรักษาเงินดอลลาร์สหรัฐให้เป็นที่ต้องการในทุนสำรองระหว่างประเทศต่อไป แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐอเมริกา กลับทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะทำให้ธุรกิจเอกชนในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สินครัวเรือน และหนี้สินส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การก่อหนี้เสีย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อสถานภาพธนาคารในสหรัฐอเมริกาด้วย ปรากฏการณ์เพียงแค่ธนาคารกลางผ่อนปรนลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาคารกลางลงเท่านั้น เม็ดเงินทั่วโลกก็ได้ทยอยเทขายทรัพย์สินในเงินดอลลาร์สหรัฐไหลไปสู่ทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าทันที และทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงฉับพลันและยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าอย่างต่อเนื่องด้วย และนั่นทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกเปลี่ยนมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และทำให้ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินสกุลหลายประเทศในเอเชียจึงแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศติดอันดับโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป็นเป้าหมายในการลงทุนไปด้วย ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทะยานต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่าถูกนำมาแปลงสภาพผ่านทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าในตลาดหุ้น กองทุน หรือพันธบัตรในเอเชีย ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนกลับยิ่งมีเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ราคาทองคำจึงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และเมื่อมีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะตั้งเป้าโจมตีทำลายแหล่งปิโตรเลียมอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกราคาเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยเพราะธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกพยายามจะได้พยายามลดการถือครองพันธบัตร เพื่อหวังจะทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศจากเงินดอลลาร์สหรัฐให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆ หรือทองคำนั้นให้มากขึ้นนั้น เป็นการคิดพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ตามประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเท่ากับว่าประเทศนั้นถือครองทรัพย์สินที่อ่อนค่าลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมทำให้สกุลเงินในประเทศที่มีทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าไปด้วยอยู่ดี เมื่อถึงสถานการณ์ที่นโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางกลายเป็นข้อจำกัด และถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง หากสหรัฐอเมริกาจะยังคงสถานภาพเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อต้องบีบให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด สถานการณ์ใกล้ตีบตันแล้ว จึงเหลือหนทางแค่ 2 ทางเท่านั้น หนทางที่หนึ่ง คือ “ก่อสงคราม” เพื่อทำให้ประเทศที่มีสงครามต้องสั่งซื้อ สั่งผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น และเมื่ออาวุธ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ขายในรูปของดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งมีความต้องการเงินดอลลาร์ศหรัฐมากขึ้น การสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดสงครามยังจะเป็นผลทำให้ราคาปิโตรเลียมทั่วโลกราคาสูงขึ้น และทำให้ดึงความมั่งคั่งของโลกมาซื้อทรัพยากรปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกามากขึ้น ตัวอย่างสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริการสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลทั้งจากธุรกิจอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดสนับสนุนอิสราเอลเพื่อก่อสงครามในตะวันออกลาง ก็เพื่อเร่งการซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามแสนยานุภาพของมหาอำนาจหลายขั้วอยู่ในระดับที่ไม่แพ้กัน ทำให้การก่อสงครามด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นลักษณะของการจำกัดพื้นที่ ”ในประเทศอื่นๆ“ และให้มีความยืดเยื้อ และมีเป้าหมายในการทำลายแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หนทางที่สอง “ก่อโรคระบาดใหม่” เพื่อทำให้ทุกประเทศต้องก่อหนี้สินมหาศาลในการช่วยเหลือประชาชน หากล้มละลาย และยังเป็นการดูดความมั่งคั่งเหล่านี้ไปซื้อวัคซีน และยารักษาโรคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป หากประเทศเหล่านั้นยากจนเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องให้มีการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นหนทางในการบีบให้ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศนั้นๆอยู่ดี และเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยสูงในการรักษาการยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา “แบบสันติวิธี” ได้นานกว่านี้ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อมูลของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้พิสูจน์ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับที่ก่อสงคราม หรือการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้อันมหาศาลของหลายประเทศนั้น ได้ส่งผลดำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังคงเป็นยุทธวิธีที่ดำรงสถานภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐได้[4] โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง[4] สถานการณ์นี้เป็นตัวนบีบเงื่อนไขในรักษาเงินดอลลาร์ “มีเวลาน้อยลง” เรื่อยๆ ดังนั้นโลกกำลังเข้าสู่ความเสี่ยงในการเร่งทำสงครามจำกัดพื้นที่แต่ยืดเยื้ออย่างชัดเจนขึ้น โดยมีเป้าหมายในการทำลาายแหล่งปิโตรเลียมของประเทศที่ออกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ แต่หากความเสียหายเกิดขึ้นเกินกว่าที่ประเทศที่ถูกอิสราเอลหรือนาโต้จะรับได้ ทั้งต่อประเทศในตะวันออกกลางคู่ขัดแย้งกับอิสราเอล หรือ การทำสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม “ความยืดเยื้อ” ในระหว่างประเทศอาจถูกทำให้ยุติ ได้ด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการทำสงครามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย ซึ่งเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจทั่วโลกพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์​ เพราะหากถึงจุดนั้น ก็เท่ากับสงครามต้อง “หมดยก” และต้องยุติลงด้วยชัยชนะหรือพ่ายแพ้กันไปข้างหนึ่ง และทำให้สงครามเศรษฐกิจที่เพิ่มความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐต้องยุติลงฉับพลันเช่นกัน เมื่อสถานการณ์การเร่งสถานการณ์สงครามมีความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจในมิติการก่อสงคราม จึงเหลืออีกหนทางหนึ่งคือ “การก่อโรคระบาด” ที่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำให้ทั่วโลกต้องมาหาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาซื้อวัคซีนหรือยารักษาโรคที่มีราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา ในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะมีผู้นำที่มาชี้นำทางความคิดในการเตรียมตัวในการรับมือกับสถานการณสงครามโลก สงครามโรค ในสงครามความโลภทั้งหลาย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางด้าน ”ความมั่นคงทางพลังงาน, ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางยาสมุนไพรเพื่อการพี่งพาตนเอง“ เอาจริงๆแล้วยังไม่เห็นรัฐบาลเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้เลย ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 4 ตุลาคม 2567 อ้างอิง [1] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Total IMF Credit Outstanding �Movement From September 01, 2024 to October 01 https://www.imf.org/external/np/fin/tad/balmov2.aspx?type=TOTAL [2] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserve (COFER), World allocated Reserves by Currency for 2023 Q2 https://data.imf.org/?sk=e6a5f467-c14b-4aa8-9f6d-5a09ec4e62a4 [3] Peterson G. Foundation, What is the National Debt Today?, https://www.pgpf.org/national-debt-clock?gad_source=1&gbraid=0AAAAABdefgYCJ8Ko6Ivna9fcfHx0Y_lqt&gclid=EAIaIQobChMIhbGExczxiAMVyqpLBR2NuhvEEAAYASAAEgJXjvD_BwE [4] marketwatch, US Dollar Index(DXY) https://www.marketwatch.com/investing/index/dxy
    Like
    Yay
    14
    3 Comments 1 Shares 242 Views 0 Reviews
  • ”วิสุทธิ์“ บอกไม่รู้ตอนนี้ “พิศาล” อยู่ไหน วิปรัฐบาลไม่มีหน้าที่ตามจับใคร ยันไม่ได้ปกป้อง แต่ต้องยึดตามรธน. ระหว่างสมัยประชุม ห้ามจับกุมคุมขัง สส. เว้นแต่สภาฯ อนุญาต ข้องใจเจตนา “โรม” ชงกระทู้ปมตากใบเพื่ออะไรหวั่นทำสังคมแตกแยก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094019

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ”วิสุทธิ์“ บอกไม่รู้ตอนนี้ “พิศาล” อยู่ไหน วิปรัฐบาลไม่มีหน้าที่ตามจับใคร ยันไม่ได้ปกป้อง แต่ต้องยึดตามรธน. ระหว่างสมัยประชุม ห้ามจับกุมคุมขัง สส. เว้นแต่สภาฯ อนุญาต ข้องใจเจตนา “โรม” ชงกระทู้ปมตากใบเพื่ออะไรหวั่นทำสังคมแตกแยก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094019 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    17
    1 Comments 0 Shares 1073 Views 0 Reviews
  • 📌สหรัฐฯยังคงควบคุมอิสราเอลต่อไป แม้จะทำผิดก็ตาม📌

    อิหร่านยิงขีปนาวุธอย่างน้อย ๑๘๐ ลูก เข้าไปในอิสราเอลเมื่อวันอังคาร ขณะที่ภูมิภาคนี้กำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจส่งผลให้ตะวันออกกลางเข้าสู่สงครามที่กว้างขึ้น ตามรายงานระบุว่า, ชาวอิสราเอล “รีบหาที่หลบภัยขณะที่เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นและแสงสีส้มของขีปนาวุธพุ่งผ่านท้องฟ้า,” หลังจากที่อิหร่านยิงขีปนาวุธตอบโต้

    💬 “ผมคิดว่ากลยุทธ์ของอิสราเอลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาคือการพยายามดึงสหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงมากขึ้นในฝั่งของอิสราเอล [ประธานาธิบดีมาซูด] เปเซชเคียนและรัฐบาลอิหร่านได้แสดงให้เห็นถึงความอดกลั้นอย่างยิ่ง ความอดกลั้นอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับการโจมตีโดยตรงจากอิสราเอล,” จอห์น คิริอากู, อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอและผู้ร่วมดำเนินรายการ Sputnik’s Political Misfits, กล่าวกับ Sputnik’s Fault Lines

    อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอกล่าวเสริมว่ารัฐบาลอิหร่านอยู่ภายใต้ “แรงกดดันอย่างหนัก” จากประชาชนให้ดำเนินการเมื่อเผชิญกับความรุนแรงของอิสราเอล, ซึ่งเราต้องเริ่มคิดว่า “ปลอดภัยสำหรับรัฐบาลอิหร่าน” หรือไม่ที่จะไม่ตอบโต้

    💬 “ขอพูดให้ชัดเจนว่า, [สหรัฐฯ] พูดจากทั้งสองด้าน สหรัฐฯบอกว่าต้องการหยุดยิง, แต่, ในทางกลับกัน, สหรัฐฯยังคงให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุน, และมีการอ้างอื่นๆจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯจะสนับสนุนอิสราเอลหากอิสราเอลเข้าไปในเลบานอน,” ไมเคิล มาลูฟ อดีตนักวิเคราะห์นโยบายความมั่นคงอาวุโสในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม, ซึ่งให้สัมภาษณ์กับ Fault Lines อีกด้วย กล่าวเสริม

    💬 “อิสราเอลเพิกเฉยต่อคำเตือนของสหรัฐฯทั้งหมด, และพวกเขารู้ดีว่า สหรัฐฯจะไม่ทำอะไรเลย,” มาลูฟกล่าวเสริม
    .
    US continues to hand-hold Israel despite its wrongdoings

    Iran launched at least 180 missiles into Israel on Tuesday as the region has entered a growing escalation that is threatening to push the Middle East into a wider war. According to reports, Israelis “scrambled for bomb shelters as air raid sirens sounded and the orange glow of missiles streaked across the sky," following Iran's retaliatory missile launch.

    💬 “I think that the strategy on the part of the Israelis for the past many months has been to try to draw the US more directly into the conflict on Israel's side. [President Masoud] Pezeshkian and the Iranian government have shown great restraint. Great restraint in the face of direct attacks from the Israelis,” John Kiriakou, a former CIA officer and co-host of Sputnik’s Political Misfits, told Sputnik’s Fault Lines.

    The former CIA officer added that the Iranian government is under “great pressure” from its public to act in the face of Israel's violence, where one has to start thinking about whether or not it’s “safe for the Iranian government" not to respond.

    💬 “Let's be clear, [the US] speak out of both ends of their mouth. The US says it wants a ceasefire, but, on the other hand, it continues providing the assistance and backing, and with other claims made by US officials that they will back Israel should it go into Lebanon,” added Michael Maloof, a former senior security policy analyst in the Office of the Secretary of Defense, who also spoke to Fault Lines.

    💬 “The Israelis are ignoring all cautionaries from the US, and they know that the United States will do nothing,” Maloof added.
    .
    11:46 AM · Oct 4, 2024 · 3,009 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1842063800360489097
    📌สหรัฐฯยังคงควบคุมอิสราเอลต่อไป แม้จะทำผิดก็ตาม📌 อิหร่านยิงขีปนาวุธอย่างน้อย ๑๘๐ ลูก เข้าไปในอิสราเอลเมื่อวันอังคาร ขณะที่ภูมิภาคนี้กำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจส่งผลให้ตะวันออกกลางเข้าสู่สงครามที่กว้างขึ้น ตามรายงานระบุว่า, ชาวอิสราเอล “รีบหาที่หลบภัยขณะที่เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นและแสงสีส้มของขีปนาวุธพุ่งผ่านท้องฟ้า,” หลังจากที่อิหร่านยิงขีปนาวุธตอบโต้ 💬 “ผมคิดว่ากลยุทธ์ของอิสราเอลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาคือการพยายามดึงสหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงมากขึ้นในฝั่งของอิสราเอล [ประธานาธิบดีมาซูด] เปเซชเคียนและรัฐบาลอิหร่านได้แสดงให้เห็นถึงความอดกลั้นอย่างยิ่ง ความอดกลั้นอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับการโจมตีโดยตรงจากอิสราเอล,” จอห์น คิริอากู, อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอและผู้ร่วมดำเนินรายการ Sputnik’s Political Misfits, กล่าวกับ Sputnik’s Fault Lines อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอกล่าวเสริมว่ารัฐบาลอิหร่านอยู่ภายใต้ “แรงกดดันอย่างหนัก” จากประชาชนให้ดำเนินการเมื่อเผชิญกับความรุนแรงของอิสราเอล, ซึ่งเราต้องเริ่มคิดว่า “ปลอดภัยสำหรับรัฐบาลอิหร่าน” หรือไม่ที่จะไม่ตอบโต้ 💬 “ขอพูดให้ชัดเจนว่า, [สหรัฐฯ] พูดจากทั้งสองด้าน สหรัฐฯบอกว่าต้องการหยุดยิง, แต่, ในทางกลับกัน, สหรัฐฯยังคงให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุน, และมีการอ้างอื่นๆจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯจะสนับสนุนอิสราเอลหากอิสราเอลเข้าไปในเลบานอน,” ไมเคิล มาลูฟ อดีตนักวิเคราะห์นโยบายความมั่นคงอาวุโสในสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม, ซึ่งให้สัมภาษณ์กับ Fault Lines อีกด้วย กล่าวเสริม 💬 “อิสราเอลเพิกเฉยต่อคำเตือนของสหรัฐฯทั้งหมด, และพวกเขารู้ดีว่า สหรัฐฯจะไม่ทำอะไรเลย,” มาลูฟกล่าวเสริม . US continues to hand-hold Israel despite its wrongdoings Iran launched at least 180 missiles into Israel on Tuesday as the region has entered a growing escalation that is threatening to push the Middle East into a wider war. According to reports, Israelis “scrambled for bomb shelters as air raid sirens sounded and the orange glow of missiles streaked across the sky," following Iran's retaliatory missile launch. 💬 “I think that the strategy on the part of the Israelis for the past many months has been to try to draw the US more directly into the conflict on Israel's side. [President Masoud] Pezeshkian and the Iranian government have shown great restraint. Great restraint in the face of direct attacks from the Israelis,” John Kiriakou, a former CIA officer and co-host of Sputnik’s Political Misfits, told Sputnik’s Fault Lines. The former CIA officer added that the Iranian government is under “great pressure” from its public to act in the face of Israel's violence, where one has to start thinking about whether or not it’s “safe for the Iranian government" not to respond. 💬 “Let's be clear, [the US] speak out of both ends of their mouth. The US says it wants a ceasefire, but, on the other hand, it continues providing the assistance and backing, and with other claims made by US officials that they will back Israel should it go into Lebanon,” added Michael Maloof, a former senior security policy analyst in the Office of the Secretary of Defense, who also spoke to Fault Lines. 💬 “The Israelis are ignoring all cautionaries from the US, and they know that the United States will do nothing,” Maloof added. . 11:46 AM · Oct 4, 2024 · 3,009 Views https://x.com/SputnikInt/status/1842063800360489097
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • 04-10-67/02 : หมี CNN / เหี้ยฝากมาบอก! มรึงจะมายินดีเหี้ยอะไรตอนนี้จ๊ะ? กูรู้ พวกมรึงคิดจะล่อกูมาลงแขก เหมือนที่ทำกับลวกเพ่ยิวมายเลิฟกู! รัสเซีย-จีน ไม่พูดเยอะ 1.รัสเซียลุย จีนเติมให้ไม่อั้น 2.BRICS นำ โลกตาม 3.ท่อแก็สเชื่อมต่อรัสเซีย-จีน-อิหร่าน ถึงกันหมดแล้ว โลกอยู่ในมือ 4.เทดอลล่าร์กันหมดโลก แล้วไอ้ราคาที่เห็นอยู่ มีแต่ควายใช้ไงล่ะ 5.ผนึกโลกลงแขกยิวสำเร็จ อาร์คติคมาแน่ แปซิฟิคมั่นคง สรุปคือ รัสเซียเล่นบทเพชรฆาต จีนเล่นบทพ่อพระ อิหร่านเล่นบทสงครามครูเสด โสมแดงรอดักตีท้ายครัววอชิงตัน สูตรสำเร็จความใคร่เหี้ยที่ดีที่สุดคือ "ฆ่าล้างโคตรยิว ทุกอย่างจบ" WAGNER กระจายไปทั่วโลก ภาพที่เห็นการต่อสู้ ไม่ว่าสมรภูมิไหนในโลก สอดมี WAGNER สอดไส้คาราเมลไปทั่ว ในอิรัก ซีเรีย เลบานอน อัฟกานิสถาน เยเมน ไนจีเรีย ไนเจอร์ โปแลนด์ ยูเครน โดยมีผีน้อยคิวทาโร่ กำกับการแสดง กลายร่างเป็นเงา เหี้ยยังหาไม่เจอ? อุโมงค์ใต้ดินฮามาส ลับสุดยอด ซับซ้อน เขาวงกต แม้แต่เหี้ยใช้เทคโนโลยีอะไร ก็หาแผนที่ใต้ดินไม่พบ เพราะคนที่เข้าไปวางกับดักให้ วางแผนให้ มิใช่ใครอื่น WAGNER ที่รัก สรุปคือแผนการรบในยูเครน รวมทั้งเยรูซาเล็ม พิมพ์เขียวฉบับเดียวกัน ทำพร้อมกัน เพื่อสอดประสานตามแผนการโจมตีภาพใหญ่ ล่ออีเหี้ยมะกันเข้ามาติดบ่วงสงคราม แล้วหลังบ้านจะยวบทันที การที่มันยังเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เพราะกังวลเลือกตั้งใหญ่ กว่ามรึงจะเลือกกันเสร็จ รับรองกันเสร็จ สงครามกลางเมืองมาแน่ ตอนนั้น อียิวเหลือแต่ซากแล้ว! แผนกั๊กขั้วใหม่เค้า ห่วงหน้าพะวงหลัง สู้ไม่สุด ไปไม่สุด มรึงมีแต่แพ้ยับ ต้องเทหมดหน้าตัก ถึงพอจะยังกู้สถานการณ์ได้จริง แต่เหี้ยวอชิงตัน อาจจะเสียบ้านแทนอียิว มรึงเลือกเอาน่ะ? ไอ้เหี้ย! ไม่ว่าทางไหน ก็ไม่พ้นกองตรีนกองทัพมหาเทพชัวร์! ปล.ยิ่งรัสเซียแนบแน่นกับจีนมากเท่าไหร่ ขั้วใหม่ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งโลก มีใครจะไม่เอา? ปูติน สีจิ้นผิง จะมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์โลกอีก 100 ปี HALL OF FLAME จดจำชัวร์! ไม่ใช่อีลูกสาวร่าน แถวเหี้ยส่องหล้า ที่อยากจะเข้า HALL OF FLAME พ่วงคดีความยาวเป็นหางว่าว อีพ่อเหลี่ยมชั่วฆ่าลูกตัวเอง อีกะบังลม น้ำตาร่วง!

    Putin congratulates Xi on diplomatic anniversary นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ

    ------------------------------------------------------------------------—
    RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ

    เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวในจดหมายต่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิงในโอกาสครบรอบการทูตกับจีนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซียดีที่สุดในประวัติการณ์หลังความสัมพันธ์ทางการทูต 75 ปี

    รัสเซียและจีนพึงพอใจกับความร่วมมือทางการเมือง การค้า และเศรษฐกิจตามที่ได้เปิดเผยในเว็บไซต์ของรัสเซีย นอกจากนั้นประเทศอื่น ๆ ยังได้ผลประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น

    นายปูตินมั่นใจว่า ข้อตกลงต่างๆที่เจรจากับนายสีจะช่วย “สร้างความมั่นคงและความปลอดภัย” ในยุโรปและเอเชียรวมถึง “ทั่วโลก”

    ทั้งสองคนประชุมกันในเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคมปีนี้ จีนเป็นผู้สนับสนุนหลักต่อการแก้ปัญหาทางการทูตต่อความขัดแย้งกับยูเครนเหมือนกับบราซิลที่เสนอแผนการเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

    จีนเรียกร้องให้มีการตั้งฐานทัพอย่างสันติต่อวิกฤติและอ้างว่า การปฏิบัติการของสหรัฐและการขยายตัวของนาโต ทำให้เกิดการต่อสู้ การค้าระหว่างสองประเทศดีขึ้นตั้งแต่ปี 2022

    แถลงการจากรัฐบาลจีนระบุว่า “ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เห็นในรอบศตวรรษ รัสเซียและจีน ”มีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันและบรรลุผลจากความร่วมมือ“ และ ”เสียสละ“ เพื่อสนับสนุน ”โลกหลายขั้ว“ และ ”โลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกคน“

    ข้อความจากนายปูตินแก่นายสีระบุว่า สหภาพโซเวียต เป็นประเทศแรกที่ยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นาย ปูตินแสดงความยินดีกับนายสีในโอกาสครบรอบ 75 ปีของก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC)

    https://www.rt.com/news/605107-putin-congratulates-xi-diplomatic/

    https://linevoom.line.me/post/1172801695419295999

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    04-10-67/02 : หมี CNN / เหี้ยฝากมาบอก! มรึงจะมายินดีเหี้ยอะไรตอนนี้จ๊ะ? กูรู้ พวกมรึงคิดจะล่อกูมาลงแขก เหมือนที่ทำกับลวกเพ่ยิวมายเลิฟกู! รัสเซีย-จีน ไม่พูดเยอะ 1.รัสเซียลุย จีนเติมให้ไม่อั้น 2.BRICS นำ โลกตาม 3.ท่อแก็สเชื่อมต่อรัสเซีย-จีน-อิหร่าน ถึงกันหมดแล้ว โลกอยู่ในมือ 4.เทดอลล่าร์กันหมดโลก แล้วไอ้ราคาที่เห็นอยู่ มีแต่ควายใช้ไงล่ะ 5.ผนึกโลกลงแขกยิวสำเร็จ อาร์คติคมาแน่ แปซิฟิคมั่นคง สรุปคือ รัสเซียเล่นบทเพชรฆาต จีนเล่นบทพ่อพระ อิหร่านเล่นบทสงครามครูเสด โสมแดงรอดักตีท้ายครัววอชิงตัน สูตรสำเร็จความใคร่เหี้ยที่ดีที่สุดคือ "ฆ่าล้างโคตรยิว ทุกอย่างจบ" WAGNER กระจายไปทั่วโลก ภาพที่เห็นการต่อสู้ ไม่ว่าสมรภูมิไหนในโลก สอดมี WAGNER สอดไส้คาราเมลไปทั่ว ในอิรัก ซีเรีย เลบานอน อัฟกานิสถาน เยเมน ไนจีเรีย ไนเจอร์ โปแลนด์ ยูเครน โดยมีผีน้อยคิวทาโร่ กำกับการแสดง กลายร่างเป็นเงา เหี้ยยังหาไม่เจอ? อุโมงค์ใต้ดินฮามาส ลับสุดยอด ซับซ้อน เขาวงกต แม้แต่เหี้ยใช้เทคโนโลยีอะไร ก็หาแผนที่ใต้ดินไม่พบ เพราะคนที่เข้าไปวางกับดักให้ วางแผนให้ มิใช่ใครอื่น WAGNER ที่รัก สรุปคือแผนการรบในยูเครน รวมทั้งเยรูซาเล็ม พิมพ์เขียวฉบับเดียวกัน ทำพร้อมกัน เพื่อสอดประสานตามแผนการโจมตีภาพใหญ่ ล่ออีเหี้ยมะกันเข้ามาติดบ่วงสงคราม แล้วหลังบ้านจะยวบทันที การที่มันยังเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เพราะกังวลเลือกตั้งใหญ่ กว่ามรึงจะเลือกกันเสร็จ รับรองกันเสร็จ สงครามกลางเมืองมาแน่ ตอนนั้น อียิวเหลือแต่ซากแล้ว! แผนกั๊กขั้วใหม่เค้า ห่วงหน้าพะวงหลัง สู้ไม่สุด ไปไม่สุด มรึงมีแต่แพ้ยับ ต้องเทหมดหน้าตัก ถึงพอจะยังกู้สถานการณ์ได้จริง แต่เหี้ยวอชิงตัน อาจจะเสียบ้านแทนอียิว มรึงเลือกเอาน่ะ? ไอ้เหี้ย! ไม่ว่าทางไหน ก็ไม่พ้นกองตรีนกองทัพมหาเทพชัวร์! ปล.ยิ่งรัสเซียแนบแน่นกับจีนมากเท่าไหร่ ขั้วใหม่ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งโลก มีใครจะไม่เอา? ปูติน สีจิ้นผิง จะมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์โลกอีก 100 ปี HALL OF FLAME จดจำชัวร์! ไม่ใช่อีลูกสาวร่าน แถวเหี้ยส่องหล้า ที่อยากจะเข้า HALL OF FLAME พ่วงคดีความยาวเป็นหางว่าว อีพ่อเหลี่ยมชั่วฆ่าลูกตัวเอง อีกะบังลม น้ำตาร่วง! Putin congratulates Xi on diplomatic anniversary นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ ------------------------------------------------------------------------— RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : นายปูตินแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีสีเนื่องในโอกาสครบรอบการทูตระหว่างประเทศ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวในจดหมายต่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิงในโอกาสครบรอบการทูตกับจีนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซียดีที่สุดในประวัติการณ์หลังความสัมพันธ์ทางการทูต 75 ปี รัสเซียและจีนพึงพอใจกับความร่วมมือทางการเมือง การค้า และเศรษฐกิจตามที่ได้เปิดเผยในเว็บไซต์ของรัสเซีย นอกจากนั้นประเทศอื่น ๆ ยังได้ผลประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น นายปูตินมั่นใจว่า ข้อตกลงต่างๆที่เจรจากับนายสีจะช่วย “สร้างความมั่นคงและความปลอดภัย” ในยุโรปและเอเชียรวมถึง “ทั่วโลก” ทั้งสองคนประชุมกันในเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคมปีนี้ จีนเป็นผู้สนับสนุนหลักต่อการแก้ปัญหาทางการทูตต่อความขัดแย้งกับยูเครนเหมือนกับบราซิลที่เสนอแผนการเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จีนเรียกร้องให้มีการตั้งฐานทัพอย่างสันติต่อวิกฤติและอ้างว่า การปฏิบัติการของสหรัฐและการขยายตัวของนาโต ทำให้เกิดการต่อสู้ การค้าระหว่างสองประเทศดีขึ้นตั้งแต่ปี 2022 แถลงการจากรัฐบาลจีนระบุว่า “ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เห็นในรอบศตวรรษ รัสเซียและจีน ”มีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันและบรรลุผลจากความร่วมมือ“ และ ”เสียสละ“ เพื่อสนับสนุน ”โลกหลายขั้ว“ และ ”โลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกคน“ ข้อความจากนายปูตินแก่นายสีระบุว่า สหภาพโซเวียต เป็นประเทศแรกที่ยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นาย ปูตินแสดงความยินดีกับนายสีในโอกาสครบรอบ 75 ปีของก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) https://www.rt.com/news/605107-putin-congratulates-xi-diplomatic/ https://linevoom.line.me/post/1172801695419295999 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • CIA เปิดรับสมัคร "สายลับ" สำหรับปฏิบัติการใน จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ

    4 ตุลาคม 2567-รายงานข่าว INN World News ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐหรือ CIA เปิดรับสมัครสายลับในประเทศที่เป็นเป้าหมายและคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ที่ผู้สนใจสามารถส่งชื่อและข้อมูลสมัครได้ทางเว็บไซต์

    CIA ได้โพสต์ประกาศรับสมัครสายลับในหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ เช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง X, Facebook, YouTube, Instagram, Telegram และ LinkedIn รวมถึงในเว็บมืด เป็นทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษาฟาร์ซี และภาษาเกาหลี ซึ่งในโพสต์ดังกล่าวยังระบุถึงวิธีการสมัครและการติดต่อกับ CIA อย่างถูกต้อง

    อีกทั้ง CIA ยังขอให้ผู้สนใจแจ้งชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อของตนกลับมา รวมไปถึงได้แนะนำให้ผู้ใช้งานติดต่อ CIA ผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้เครือข่าย VPN ที่มีการเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านเบราว์เซอร์เว็บแบบไม่ระบุตัวตนที่รู้จักกันในชื่อเครือข่าย Tor ซึ่งมักใช้ในการเข้าถึงเว็บมืด

    ส่วนสาเหตุที่ทำไม CIA ต้องประกาศรับสมัครสายลับผ่านโซเชียลมีเดียแทนที่จะไปหาสายลับกันแบบเงียบ ๆ เรื่องนี้โฆษก CIA กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราต้องการให้แน่ใจว่าบุคคลในระบอบเผด็จการอื่น ๆ รู้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ"

    เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA แสดงความมั่นใจกับสำนักข่าว Bloomberg ว่าจะมีคนจากประเทศเหล่านี้จำนวนมาก มาสมัครเป็นสายลับกับ CIA อย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า มีคนจำนวนมากที่เข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาลตัวเองและไม่พอใจกับระบอบการปกครองในประเทศของตัวเอง CIA จึงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้จะมาสมัคร

    อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามว่าแล้วคนเกาหลีเหนือที่สนใจจะสมัครเป็นสายลับให้ CIA จะสมัครได้อย่างไร เพราะคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ CIA คาดว่าเป็นไปได้ที่คนเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ติดชายแดนจีนมักจะข้ามพรมแดนเข้ามาค้าขายในจีนแล้วกลับไปที่เกาหลีเหนือ จุงทำให้ในช่วงที่มาฝั่งจีนเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอาจสนใจสมัครเป็นสายลับให้ CIA

    ขณะที่ โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดี.ซี. กล่าวว่า “ความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล้มเหลวอย่างแน่นอน" ซึ่งที่ผ่านมา จีนพยายามเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังถูกสายลับต่างชาติล่อลวงให้เผยแพร่ข้อมูลความลับ ส่วนในต่างประเทศก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่เป็นสายลับให้ประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าในยุคนี้เราจะเริ่มเห็นหลายประเทศกลับมาใช้ "สายลับ" เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามด้านข้อมูลอีกครั้ง

    ภาพ: Stock.Adobe
    ที่มา : TNNWorldNews
    https://www.facebook.com/share/p/EEvjf5xsd4aYD1vk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    CIA เปิดรับสมัคร "สายลับ" สำหรับปฏิบัติการใน จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ 4 ตุลาคม 2567-รายงานข่าว INN World News ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐหรือ CIA เปิดรับสมัครสายลับในประเทศที่เป็นเป้าหมายและคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ที่ผู้สนใจสามารถส่งชื่อและข้อมูลสมัครได้ทางเว็บไซต์ CIA ได้โพสต์ประกาศรับสมัครสายลับในหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ เช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง X, Facebook, YouTube, Instagram, Telegram และ LinkedIn รวมถึงในเว็บมืด เป็นทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษาฟาร์ซี และภาษาเกาหลี ซึ่งในโพสต์ดังกล่าวยังระบุถึงวิธีการสมัครและการติดต่อกับ CIA อย่างถูกต้อง อีกทั้ง CIA ยังขอให้ผู้สนใจแจ้งชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อของตนกลับมา รวมไปถึงได้แนะนำให้ผู้ใช้งานติดต่อ CIA ผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้เครือข่าย VPN ที่มีการเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านเบราว์เซอร์เว็บแบบไม่ระบุตัวตนที่รู้จักกันในชื่อเครือข่าย Tor ซึ่งมักใช้ในการเข้าถึงเว็บมืด ส่วนสาเหตุที่ทำไม CIA ต้องประกาศรับสมัครสายลับผ่านโซเชียลมีเดียแทนที่จะไปหาสายลับกันแบบเงียบ ๆ เรื่องนี้โฆษก CIA กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราต้องการให้แน่ใจว่าบุคคลในระบอบเผด็จการอื่น ๆ รู้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ" เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA แสดงความมั่นใจกับสำนักข่าว Bloomberg ว่าจะมีคนจากประเทศเหล่านี้จำนวนมาก มาสมัครเป็นสายลับกับ CIA อย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า มีคนจำนวนมากที่เข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาลตัวเองและไม่พอใจกับระบอบการปกครองในประเทศของตัวเอง CIA จึงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้จะมาสมัคร อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามว่าแล้วคนเกาหลีเหนือที่สนใจจะสมัครเป็นสายลับให้ CIA จะสมัครได้อย่างไร เพราะคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ CIA คาดว่าเป็นไปได้ที่คนเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ติดชายแดนจีนมักจะข้ามพรมแดนเข้ามาค้าขายในจีนแล้วกลับไปที่เกาหลีเหนือ จุงทำให้ในช่วงที่มาฝั่งจีนเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอาจสนใจสมัครเป็นสายลับให้ CIA ขณะที่ โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดี.ซี. กล่าวว่า “ความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล้มเหลวอย่างแน่นอน" ซึ่งที่ผ่านมา จีนพยายามเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังถูกสายลับต่างชาติล่อลวงให้เผยแพร่ข้อมูลความลับ ส่วนในต่างประเทศก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่เป็นสายลับให้ประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าในยุคนี้เราจะเริ่มเห็นหลายประเทศกลับมาใช้ "สายลับ" เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามด้านข้อมูลอีกครั้ง ภาพ: Stock.Adobe ที่มา : TNNWorldNews https://www.facebook.com/share/p/EEvjf5xsd4aYD1vk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 635 Views 0 Reviews
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.78: ไซบีเรีย

    ความในตอนที่แล้วได้เล่าไปถึงเรื่องท่อก๊าซไซบีเรียที่รัสเซียต่อท่อส่งมาขายให้จีน ผมก็เกิดสงสัยขึ้นว่า “ไซบีเรียนี่อยู่ตรงไหนกันแน่?”

    ในความคิดแรก ผมคิดแค่ว่าไซบีเรียคงเป็นจังหวัดหรือมณฑลหนึ่งในรัสเซีย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ ไซบีเรียนั้นคือแผ่นดินขนาดยักษ์ที่ถือเป็น 80% ของประเทศรัสเซียเลย

    ถ้าพูดเอาง่ายก็คือ รัสเซียนั้นเป็นประเทศที่ครอบคลุมสองทวีปคือยุโรปและเอเซีย ซึ่งแบ่งกันด้วยเทือกเขาอูราล ฝั่งซ้ายของเทือกเขาอูราลเป็นฝั่งยุโรปครับ เมืองใหญ่ๆเช่น มอสโคว หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และที่ทำการรัฐบาลรัสเซียอยู่ฝั่งนี้

    ส่วนฝั่งขวาของอูราลเป็นฝั่งเอเซียครับ ซึ่งแผ่นดินรัสเซียทั้งหมดในฝั่งเอเซียนี่แหละครับที่เราเรียกว่า “ไซบีเรีย” กว้างใหญ่ไพศาลประมาณ 13 ล้านตร.กม.

    ไซบีเรียนั้นใหญ่กว่าประเทศไทยราวๆ 10 เท่าครับ
    .
    .
    .
    เมื่อเราย้อนเวลาไปประมาณ 150 ปีที่แล้ว ไซบีเรียนั้นเป็นพื้นที่หนาวเหน็บและทุรกันดารมาก รัฐบาลของพระเจ้าซาร์ไม่ค่อยได้ให้ความใส่ใจมากเท่าไรเพราะถือเป็นแผ่นดินไกลโพ้น

    ในเวลานั้นเมืองของรัสเซียที่อยู่ไกลสุดฝั่งตะวันออกมีอยู่สองเมืองชื่อว่า “วลาดิวอสสต็อก” กับ “คาบารอฟ” ซึ่งอยู่ติดกับดินแดนของจีนที่เรียกว่า “แมนจูเรีย” ครับ

    ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียในยุคนั้น ก็คือไม่ได้รักกันแต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันครับ อยู่เป็นเพื่อนบ้านกันไปยังงั้นแหละ ชาวไซบีเรียบางส่วนก็หน้าตาคล้ายคนจีน แถมบางกลุ่มยังคิดว่าตัวเองอยู่ในแผ่นดินของจักรพรรดิจีนอยู่เลย

    แต่เมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม อันมีทั้งอังกฤษ โปรตุเกส และสเปน เข้ามามีอิทธิพลในเอเซีย รัสเซียก็เลยเริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนตัวเองที่อยู่ใกล้ๆจีน คือ เมืองวลาดิวอสต็อก

    ในเวลานั้น เครื่องมือสำคัญอันหนึ่งที่ฝรั่งเขาใช้รุกรานแผ่นดินอื่นคือ “ทางรถไฟ” ครับ

    อเมริกาใช้การก่อสร้างรางรถไฟเพื่อขยายรุกคืบไปยึดครองอเมริกาฝั่งตะวันตก ชื่อว่า “ทางรถไฟสายทรานส์คอนติเนนทัล"

    อังกฤษก็ใช้วิธีเดียวกันในการรุกคืบแผ่นดินแคนาดาฝั่งตะวันตก คือ สร้างรางรถไฟชื่อว่า ”แคเนเดี้ยน แปซิฟิก เรลเวย์“

    รัสเซียเกรงว่าเมื่ออังกฤษยึดครองแคนาดาฝั่งตะวันตก (แถวๆแวนคูเวอร์) เสร็จแล้ว ก็จะเอาทหารนั่งเรือต่อมายังเอเซียและมาวุ่นวายกับดินแดนรัสเซียฝั่งเอเซียเข้า

    โครงการอภิมหาโปรเจคท์สร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงกำเนิดขึ้นในปี 1881

    เป้าหมายของรัสเซียคือ เพื่อให้กองทัพรัสเซียขนส่งทหารและยุทโธปกรณ์ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกให้ได้โดยเร็วเมื่อเกิดสงคราม

    ต้องขอเล่าก่อนว่า แต่ดั้งเดิมนั้นการเดินทางจากเมืองมอสโควไปยังตะวันออกของรัสเซีย ควีนคัทรินมหาราชินีแห่งรัสเซียได้เคยสร้างถนนยาวนับหมื่นกิโลเมตรไว้แล้ว แต่ก็ผุพังไปเพราะไม่มีการบำรุงรักษา

    ต่อมาคนรัสเซียจึงใช้การล่องเรือไปตามแม่น้ำ แต่ก็ทำได้จำกัดเพราะไซบีเรียนั้นหนาวเหน็บหฤโหดมาก แม่น้ำแข็งจนเป็นน้ำแข็งถึงปีละ 8 เดือน

    ในเบื้องแรกรัฐบาลรัสเซียก็เห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาที่ควรจะสร้างทางรถไฟทอดข้ามไซบีเรียกัน แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีคมนาคมกับรัฐมนตรีคลังทะเลาะกันอยู่เป็นปี เพราะต่างฝ่ายต่างอยากจะให้ทางรถไฟวิ่งผ่านในพื้นที่ของตัวเอง

    พระเจ้าซาร์ทนไม่ไหวจึงเขียนจดหมายไปสั่งรัฐบาลว่า “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว เราต้องสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียเดี๋ยวนี้”

    การทะเลาะกันจึงยุติลงและเริ่มก่อสร้างโดยทันที
    .
    .
    .
    การก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องผ่านภูมิประเทศที่กันดาร มีการเจาะภูเขา สร้างสะพานข้ามแม่น้ำหลายสาย ลงหุบเขา รวมถึงต้องสร้างโรงหลอมเหล็กตามไปเป็นระยะๆ

    แต่กระนั้นก็ยังหาเหล็กได้ไม่พอ จนต้องสั่งซื้อเพิ่มจากโปแลนด์ อังกฤษและอเมริกา

    ส่วนแรงงานนั้นก็หลากหลาย มีตั้งแต่แรงงานรับจ้างไปจนถึงนักโทษที่เกณฑ์มา

    ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเส้นแรกนั้น มีบางส่วนที่ตัดผ่านแผ่นดินแมนจูเรียที่รัสเซียเช่าจากรัฐบาลจีน แต่เมื่อสร้างเสร็จปุ๊บ การณ์กลับกลายเป็นว่ามีคนจีนก่อหวอดประท้วง จนรัสเซียกับจีนต้องบาดหมางกัน

    และญี่ปุ่นเปิดฉากก่อสงครามกับรัสเซีย ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ Russo-Japanese war จนกองทัพเรือรัสเซียฝั่งแปซิฟิกย่อยยับ

    รัสเซียจึงเห็นว่าการสร้างทางรถไฟบางส่วนในแผ่นดินจีนนั้นไม่ตอบโจทย์ความมั่นคง รัสเซียจึงทิ้งรางรถไฟทั้งหมดในแมนจูเรีย แล้วพัฒนาเปลี่ยนเส้นทางให้รางรถไฟทั้งหมดวิ่งในแผ่นดินรัสเซีย และขยายจากรางเดี่ยวเป็นรางคู่ด้วย

    ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงสำเร็จได้ในปี 1916

    ชนรัสเซียนั้นเขาภูมิใจในทางรถไฟสายนี้มาก แต่ไม่ใช่ที่รางรถไฟนะครับ เพราะความมหัศจรรย์ที่แท้ของทรานส์ไซบีเรียคือ “สะพาน”

    วิศวกรรมการก่อสร้างสะพานตลอดเส้นทางทรานส์ไซบีเรียนั้นหลากหลายมาก สะพานบางแห่งสูงถึง 64 เมตร บางช่วงทอดข้ามแม่น้ำที่ยาวถึง 2.6 กิโลเมตร

    เรียกกันว่า “Amur Miracle"

    อ้อ....ลืมบอกไปว่า ทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียนั้นยาวถึง 9,500 กิโลเมตรครับ
    .
    .
    .
    เมื่อทรานส์ไซบีเรียสร้างเสร็จปุ๊บ รัฐบาลรัสเซียก็พยายามชักชวนให้คนไปอาศัยอยู่ที่ไซบีเรีย โดยแถมโปรโมชั่นให้เพียบเช่น กู้เงินได้ง่าย, งดเก็บภาษี 10 ปี, รักษาพยาบาลฟรี, ลูกหลานเรียนฟรี, มีเงินอุดหนุนมากมายจากรัฐ

    ผู้คนจึงทยอยหลั่งไหลไปไซบีเรีย ประชากรจึงเพิ่มจากหลักหมื่น ไปสู่หลักแสนและหลักล้านในที่สุด

    ทุกวันนี้ภูมิภาคไซบีเรียมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 37 ล้านคน

    และกลายเป็นภูมิภาคสำคัญ เพราะมีทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่ใต้แผ่นดินไซบีเรียมหาศาล

    …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.78: ไซบีเรีย ความในตอนที่แล้วได้เล่าไปถึงเรื่องท่อก๊าซไซบีเรียที่รัสเซียต่อท่อส่งมาขายให้จีน ผมก็เกิดสงสัยขึ้นว่า “ไซบีเรียนี่อยู่ตรงไหนกันแน่?” ในความคิดแรก ผมคิดแค่ว่าไซบีเรียคงเป็นจังหวัดหรือมณฑลหนึ่งในรัสเซีย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ ไซบีเรียนั้นคือแผ่นดินขนาดยักษ์ที่ถือเป็น 80% ของประเทศรัสเซียเลย ถ้าพูดเอาง่ายก็คือ รัสเซียนั้นเป็นประเทศที่ครอบคลุมสองทวีปคือยุโรปและเอเซีย ซึ่งแบ่งกันด้วยเทือกเขาอูราล ฝั่งซ้ายของเทือกเขาอูราลเป็นฝั่งยุโรปครับ เมืองใหญ่ๆเช่น มอสโคว หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และที่ทำการรัฐบาลรัสเซียอยู่ฝั่งนี้ ส่วนฝั่งขวาของอูราลเป็นฝั่งเอเซียครับ ซึ่งแผ่นดินรัสเซียทั้งหมดในฝั่งเอเซียนี่แหละครับที่เราเรียกว่า “ไซบีเรีย” กว้างใหญ่ไพศาลประมาณ 13 ล้านตร.กม. ไซบีเรียนั้นใหญ่กว่าประเทศไทยราวๆ 10 เท่าครับ . . . เมื่อเราย้อนเวลาไปประมาณ 150 ปีที่แล้ว ไซบีเรียนั้นเป็นพื้นที่หนาวเหน็บและทุรกันดารมาก รัฐบาลของพระเจ้าซาร์ไม่ค่อยได้ให้ความใส่ใจมากเท่าไรเพราะถือเป็นแผ่นดินไกลโพ้น ในเวลานั้นเมืองของรัสเซียที่อยู่ไกลสุดฝั่งตะวันออกมีอยู่สองเมืองชื่อว่า “วลาดิวอสสต็อก” กับ “คาบารอฟ” ซึ่งอยู่ติดกับดินแดนของจีนที่เรียกว่า “แมนจูเรีย” ครับ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียในยุคนั้น ก็คือไม่ได้รักกันแต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันครับ อยู่เป็นเพื่อนบ้านกันไปยังงั้นแหละ ชาวไซบีเรียบางส่วนก็หน้าตาคล้ายคนจีน แถมบางกลุ่มยังคิดว่าตัวเองอยู่ในแผ่นดินของจักรพรรดิจีนอยู่เลย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม อันมีทั้งอังกฤษ โปรตุเกส และสเปน เข้ามามีอิทธิพลในเอเซีย รัสเซียก็เลยเริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนตัวเองที่อยู่ใกล้ๆจีน คือ เมืองวลาดิวอสต็อก ในเวลานั้น เครื่องมือสำคัญอันหนึ่งที่ฝรั่งเขาใช้รุกรานแผ่นดินอื่นคือ “ทางรถไฟ” ครับ อเมริกาใช้การก่อสร้างรางรถไฟเพื่อขยายรุกคืบไปยึดครองอเมริกาฝั่งตะวันตก ชื่อว่า “ทางรถไฟสายทรานส์คอนติเนนทัล" อังกฤษก็ใช้วิธีเดียวกันในการรุกคืบแผ่นดินแคนาดาฝั่งตะวันตก คือ สร้างรางรถไฟชื่อว่า ”แคเนเดี้ยน แปซิฟิก เรลเวย์“ รัสเซียเกรงว่าเมื่ออังกฤษยึดครองแคนาดาฝั่งตะวันตก (แถวๆแวนคูเวอร์) เสร็จแล้ว ก็จะเอาทหารนั่งเรือต่อมายังเอเซียและมาวุ่นวายกับดินแดนรัสเซียฝั่งเอเซียเข้า โครงการอภิมหาโปรเจคท์สร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงกำเนิดขึ้นในปี 1881 เป้าหมายของรัสเซียคือ เพื่อให้กองทัพรัสเซียขนส่งทหารและยุทโธปกรณ์ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกให้ได้โดยเร็วเมื่อเกิดสงคราม ต้องขอเล่าก่อนว่า แต่ดั้งเดิมนั้นการเดินทางจากเมืองมอสโควไปยังตะวันออกของรัสเซีย ควีนคัทรินมหาราชินีแห่งรัสเซียได้เคยสร้างถนนยาวนับหมื่นกิโลเมตรไว้แล้ว แต่ก็ผุพังไปเพราะไม่มีการบำรุงรักษา ต่อมาคนรัสเซียจึงใช้การล่องเรือไปตามแม่น้ำ แต่ก็ทำได้จำกัดเพราะไซบีเรียนั้นหนาวเหน็บหฤโหดมาก แม่น้ำแข็งจนเป็นน้ำแข็งถึงปีละ 8 เดือน ในเบื้องแรกรัฐบาลรัสเซียก็เห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาที่ควรจะสร้างทางรถไฟทอดข้ามไซบีเรียกัน แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีคมนาคมกับรัฐมนตรีคลังทะเลาะกันอยู่เป็นปี เพราะต่างฝ่ายต่างอยากจะให้ทางรถไฟวิ่งผ่านในพื้นที่ของตัวเอง พระเจ้าซาร์ทนไม่ไหวจึงเขียนจดหมายไปสั่งรัฐบาลว่า “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว เราต้องสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียเดี๋ยวนี้” การทะเลาะกันจึงยุติลงและเริ่มก่อสร้างโดยทันที . . . การก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องผ่านภูมิประเทศที่กันดาร มีการเจาะภูเขา สร้างสะพานข้ามแม่น้ำหลายสาย ลงหุบเขา รวมถึงต้องสร้างโรงหลอมเหล็กตามไปเป็นระยะๆ แต่กระนั้นก็ยังหาเหล็กได้ไม่พอ จนต้องสั่งซื้อเพิ่มจากโปแลนด์ อังกฤษและอเมริกา ส่วนแรงงานนั้นก็หลากหลาย มีตั้งแต่แรงงานรับจ้างไปจนถึงนักโทษที่เกณฑ์มา ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเส้นแรกนั้น มีบางส่วนที่ตัดผ่านแผ่นดินแมนจูเรียที่รัสเซียเช่าจากรัฐบาลจีน แต่เมื่อสร้างเสร็จปุ๊บ การณ์กลับกลายเป็นว่ามีคนจีนก่อหวอดประท้วง จนรัสเซียกับจีนต้องบาดหมางกัน และญี่ปุ่นเปิดฉากก่อสงครามกับรัสเซีย ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ Russo-Japanese war จนกองทัพเรือรัสเซียฝั่งแปซิฟิกย่อยยับ รัสเซียจึงเห็นว่าการสร้างทางรถไฟบางส่วนในแผ่นดินจีนนั้นไม่ตอบโจทย์ความมั่นคง รัสเซียจึงทิ้งรางรถไฟทั้งหมดในแมนจูเรีย แล้วพัฒนาเปลี่ยนเส้นทางให้รางรถไฟทั้งหมดวิ่งในแผ่นดินรัสเซีย และขยายจากรางเดี่ยวเป็นรางคู่ด้วย ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจึงสำเร็จได้ในปี 1916 ชนรัสเซียนั้นเขาภูมิใจในทางรถไฟสายนี้มาก แต่ไม่ใช่ที่รางรถไฟนะครับ เพราะความมหัศจรรย์ที่แท้ของทรานส์ไซบีเรียคือ “สะพาน” วิศวกรรมการก่อสร้างสะพานตลอดเส้นทางทรานส์ไซบีเรียนั้นหลากหลายมาก สะพานบางแห่งสูงถึง 64 เมตร บางช่วงทอดข้ามแม่น้ำที่ยาวถึง 2.6 กิโลเมตร เรียกกันว่า “Amur Miracle" อ้อ....ลืมบอกไปว่า ทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียนั้นยาวถึง 9,500 กิโลเมตรครับ . . . เมื่อทรานส์ไซบีเรียสร้างเสร็จปุ๊บ รัฐบาลรัสเซียก็พยายามชักชวนให้คนไปอาศัยอยู่ที่ไซบีเรีย โดยแถมโปรโมชั่นให้เพียบเช่น กู้เงินได้ง่าย, งดเก็บภาษี 10 ปี, รักษาพยาบาลฟรี, ลูกหลานเรียนฟรี, มีเงินอุดหนุนมากมายจากรัฐ ผู้คนจึงทยอยหลั่งไหลไปไซบีเรีย ประชากรจึงเพิ่มจากหลักหมื่น ไปสู่หลักแสนและหลักล้านในที่สุด ทุกวันนี้ภูมิภาคไซบีเรียมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 37 ล้านคน และกลายเป็นภูมิภาคสำคัญ เพราะมีทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่ใต้แผ่นดินไซบีเรียมหาศาล …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ… นัทแนะ
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • สงครามที่ตะวันออกกลาง ต้องดูกันยาวๆ:

    คนไทยควรจะรับรู้กันให้มากว่าจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเป็นฝ่ายอนุมัติให้อิสราเอลบุกเลบานอน รัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ให้อาวุธแก่กองทัพอิสราเอล มอบเครื่องบินรบให้ มอบทั้งระเบิดให้ ทำงานการข่าวให้ และเป็นเสนาธิการให้ทหารอิสราเอล อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์และเลบานอนได้มากก็เพราะอเมริกาช่วย

    ไหนๆ เลบานอนก็เป็นเป้าหมายที่อิสราเอลจะขยายอำนาจและขยายพรมแดนของตนอยู่แล้ว เมื่อเลบานอนยื่นมามาช่วยปาเลสไตน์ที่อิสราเอลกำลังใช้กำลังยึดอยู่ อเมริกาก็ให้อิสราเอลยึดเลบานอนด้วยเลย จากนั้น ก็เล่นละครว่าพยายามหาทางสงบศึกโลกอาหรับต่อไป
    ในขณะเดียวกัน ประเทศซีเรียที่ช่วยในด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์และเลบานอนก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดด้วย ประเทศเยเมนที่ออกมาต่อสู้ให้ประเทศปาเลสไตน์ก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มด้วย

    ยังไงก็ตาม ผมทำนายไว้มานานแล้วว่าถ้ารบกันจริงๆ จังๆ และมีอิหร่านเข้ามาพันตูด้วย รัฐบาลอิสราเอลและอเมริกาจะพ่ายแพ้ในระยะยาว ไม่เกินปีหน้าครับ การรบในครั้งนี้ เสียหายอย่างหนักทั้ง ๒ ฝ่าย อิสราเอลใช้ระเบิดแรงสูงถล่มฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้ไฮเปอร์โซนิกถล่มเป้าหมายในอิสราเอลได้ตามเป้าเหมือนกัน แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวความเสียหายฝั่งอิสราเอลนัก เพราะอิสราเอลสั่งห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวความเสียหายของตน

    ดูกันยาวๆ ครับ

    https://thecradle.co/articles-id/27089

    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

    สงครามที่ตะวันออกกลาง ต้องดูกันยาวๆ: คนไทยควรจะรับรู้กันให้มากว่าจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเป็นฝ่ายอนุมัติให้อิสราเอลบุกเลบานอน รัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ให้อาวุธแก่กองทัพอิสราเอล มอบเครื่องบินรบให้ มอบทั้งระเบิดให้ ทำงานการข่าวให้ และเป็นเสนาธิการให้ทหารอิสราเอล อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์และเลบานอนได้มากก็เพราะอเมริกาช่วย ไหนๆ เลบานอนก็เป็นเป้าหมายที่อิสราเอลจะขยายอำนาจและขยายพรมแดนของตนอยู่แล้ว เมื่อเลบานอนยื่นมามาช่วยปาเลสไตน์ที่อิสราเอลกำลังใช้กำลังยึดอยู่ อเมริกาก็ให้อิสราเอลยึดเลบานอนด้วยเลย จากนั้น ก็เล่นละครว่าพยายามหาทางสงบศึกโลกอาหรับต่อไป ในขณะเดียวกัน ประเทศซีเรียที่ช่วยในด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์และเลบานอนก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดด้วย ประเทศเยเมนที่ออกมาต่อสู้ให้ประเทศปาเลสไตน์ก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มด้วย ยังไงก็ตาม ผมทำนายไว้มานานแล้วว่าถ้ารบกันจริงๆ จังๆ และมีอิหร่านเข้ามาพันตูด้วย รัฐบาลอิสราเอลและอเมริกาจะพ่ายแพ้ในระยะยาว ไม่เกินปีหน้าครับ การรบในครั้งนี้ เสียหายอย่างหนักทั้ง ๒ ฝ่าย อิสราเอลใช้ระเบิดแรงสูงถล่มฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้ไฮเปอร์โซนิกถล่มเป้าหมายในอิสราเอลได้ตามเป้าเหมือนกัน แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวความเสียหายฝั่งอิสราเอลนัก เพราะอิสราเอลสั่งห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวความเสียหายของตน ดูกันยาวๆ ครับ https://thecradle.co/articles-id/27089 ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    THECRADLE.CO
    Washington 'quietly' gave Israel greenlight to expand war against Lebanon: Report
    In private talks, US officials agreed with Tel Aviv's plans to expand the war in the north after Israeli authorities spent months sabotaging ceasefire talks for Gaza
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • 'รัฐบาลของไบเดนได้ปล่อยให้อิสราเอลก่ออาชญากรรมและรุกรานเลบานอนอย่างต่อเนื่อง' - นักข่าว

    รัฐบาลสหรัฐฯให้การสนับสนุนการโจมตีทางทหารของอิสราเอลในเลบานอนอย่างเงียบๆ, The New Republic เขียน, โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบอกกับอิสราเอลว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนการตัดสินใจโจมตีเลบานอนของอิสราเอล, 🤣แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯจะเรียกร้องให้หยุดยิงในภูมิภาคนี้ในวันจันทร์ก็ตาม🤣

    [สหรัฐฯ] ยืนยันว่าสิ่งที่อิสราเอลทำ, คือการสังหารนาสรัลเลาะห์, ถึงแม้ว่าจะทำให้พลเรือนเลบานอนผู้บริสุทธิ์หลายร้อยคนต้องเสียชีวิตก็ตาม - และยังทำลายล้างอาคารอพาร์ตเมนต์หลายแห่งด้วย," ดิมิทรี ลาสคาริส กล่าว, ทนายความและนักข่าวประจำรายการ The Critical Hour ของสถานีโทรทัศน์ Sputnik ในมอนทรีออล, ประเทศแคนาดา และคาลามาตา, ประเทศกรีซ ในรายการ The Critical Hour

    รายงานระบุชื่อที่ปรึกษาประธานาธิบดี อามอส โฮชสไตน์ และเบรตต์ แมคเกิร์ก ผู้ประสานงานทำเนียบขาวประจำตะวันออกกลาง, ซึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่าสหรัฐฯสนับสนุนกลยุทธ์ของอิสราเอลในการโจมตีทางทหารในเลบานอน ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่บางคนในกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมเตือนว่าการสนับสนุนอิสราเอลอาจทำให้สหรัฐฯเข้าสู่สงครามในภูมิภาคมากขึ้น

    “ก่อนอื่นเลย เราควรยอมรับว่านี่คือการตอบโต้,” นักวิเคราะห์กล่าวเสริม “สิ่งที่อิหร่านทำคือผลจากการรุกรานหลายครั้ง, รวมถึงการทำลายสถานกงสุลในกรุงดามัสกัสเมื่อหลายเดือนก่อน, การสังหาร อิสมาอิล ฮานีเยห์ ในเตหะราน เมื่อเขาอยู่ที่นั่นเพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่, การสังหารเจ้าหน้าที่ทหารอิหร่านและเจ้าหน้าที่ทหารระดับล่างในซีเรียซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
    .
    'Biden administration has consistently enabled Israel's aggressions and criminality' - journalist

    The US government quietly backed Israel’s military attack on Lebanon, The New Republic wrote, with US officials telling Israel that the US would support their decision to bomb Hezbollah targets, even with US President Joe Biden urging a ceasefire in the region as soon as Monday.

    “[The US] justified what Israel did, the killing of Nasrallah, even though it obliterated hundreds of innocent Lebanese civilians - and laid waste to multiple apartment blocks,” said Dimitri Lascaris, a lawyer and journalist based in Montreal, Canada and Kalamata, Greece, on Sputnik’s The Critical Hour program.

    The report names presidential adviser Amos Hochstein and White House coordinator for the Middle East Brett McGurk, who told Israeli officials that the US supported their strategy to launch military attacks on Lebanon. At the same time some officials in the State Department and the Department of Defense cautioned that backing Israel could pull the US further into war in the region.

    “We should first of all acknowledge that this is retaliatory,” the analyst added. “What Iran did was the result of an accumulation of aggressions, including the destruction of its consulate in Damascus months ago, the killing of Ismail Haniyeh in Tehran when he was there for the inauguration of the new president, the killing of Iranian military officers and a lower-level military personnel in Syria again and again and again.”
    .
    11:48 AM · Oct 3, 2024 · 3,806 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1841701828720828546
    'รัฐบาลของไบเดนได้ปล่อยให้อิสราเอลก่ออาชญากรรมและรุกรานเลบานอนอย่างต่อเนื่อง' - นักข่าว รัฐบาลสหรัฐฯให้การสนับสนุนการโจมตีทางทหารของอิสราเอลในเลบานอนอย่างเงียบๆ, The New Republic เขียน, โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบอกกับอิสราเอลว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนการตัดสินใจโจมตีเลบานอนของอิสราเอล, 🤣แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯจะเรียกร้องให้หยุดยิงในภูมิภาคนี้ในวันจันทร์ก็ตาม🤣 [สหรัฐฯ] ยืนยันว่าสิ่งที่อิสราเอลทำ, คือการสังหารนาสรัลเลาะห์, ถึงแม้ว่าจะทำให้พลเรือนเลบานอนผู้บริสุทธิ์หลายร้อยคนต้องเสียชีวิตก็ตาม - และยังทำลายล้างอาคารอพาร์ตเมนต์หลายแห่งด้วย," ดิมิทรี ลาสคาริส กล่าว, ทนายความและนักข่าวประจำรายการ The Critical Hour ของสถานีโทรทัศน์ Sputnik ในมอนทรีออล, ประเทศแคนาดา และคาลามาตา, ประเทศกรีซ ในรายการ The Critical Hour รายงานระบุชื่อที่ปรึกษาประธานาธิบดี อามอส โฮชสไตน์ และเบรตต์ แมคเกิร์ก ผู้ประสานงานทำเนียบขาวประจำตะวันออกกลาง, ซึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่าสหรัฐฯสนับสนุนกลยุทธ์ของอิสราเอลในการโจมตีทางทหารในเลบานอน ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่บางคนในกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมเตือนว่าการสนับสนุนอิสราเอลอาจทำให้สหรัฐฯเข้าสู่สงครามในภูมิภาคมากขึ้น “ก่อนอื่นเลย เราควรยอมรับว่านี่คือการตอบโต้,” นักวิเคราะห์กล่าวเสริม “สิ่งที่อิหร่านทำคือผลจากการรุกรานหลายครั้ง, รวมถึงการทำลายสถานกงสุลในกรุงดามัสกัสเมื่อหลายเดือนก่อน, การสังหาร อิสมาอิล ฮานีเยห์ ในเตหะราน เมื่อเขาอยู่ที่นั่นเพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่, การสังหารเจ้าหน้าที่ทหารอิหร่านและเจ้าหน้าที่ทหารระดับล่างในซีเรียซ้ำแล้วซ้ำเล่า” . 'Biden administration has consistently enabled Israel's aggressions and criminality' - journalist The US government quietly backed Israel’s military attack on Lebanon, The New Republic wrote, with US officials telling Israel that the US would support their decision to bomb Hezbollah targets, even with US President Joe Biden urging a ceasefire in the region as soon as Monday. “[The US] justified what Israel did, the killing of Nasrallah, even though it obliterated hundreds of innocent Lebanese civilians - and laid waste to multiple apartment blocks,” said Dimitri Lascaris, a lawyer and journalist based in Montreal, Canada and Kalamata, Greece, on Sputnik’s The Critical Hour program. The report names presidential adviser Amos Hochstein and White House coordinator for the Middle East Brett McGurk, who told Israeli officials that the US supported their strategy to launch military attacks on Lebanon. At the same time some officials in the State Department and the Department of Defense cautioned that backing Israel could pull the US further into war in the region. “We should first of all acknowledge that this is retaliatory,” the analyst added. “What Iran did was the result of an accumulation of aggressions, including the destruction of its consulate in Damascus months ago, the killing of Ismail Haniyeh in Tehran when he was there for the inauguration of the new president, the killing of Iranian military officers and a lower-level military personnel in Syria again and again and again.” . 11:48 AM · Oct 3, 2024 · 3,806 Views https://x.com/SputnikInt/status/1841701828720828546
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ

    หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ

    ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร

    บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้

    ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน

    ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน

    กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา

    จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน

    ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ

    เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด

    1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่

    3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน

    4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น

    Cr: Boonchu Chung (羅文娟)
    จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว

    - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง
    การปฏิรูปการศึกษาที่จีน

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที

    ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก

    กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด

    ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย

    ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง

    ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์

    และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก

    นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น

    ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ

    และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง

    งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้

    เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก

    ลดการบ้านเด็ก

    ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ

    คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร

    ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ

    ปรับครูทุก 6 ปี

    ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ

    นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก

    ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่

    ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด

    และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที

    เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา
    #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้ ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด 1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่ 3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน 4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น Cr: Boonchu Chung (羅文娟) จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง การปฏิรูปการศึกษาที่จีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์ และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้ เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก ลดการบ้านเด็ก ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ ปรับครูทุก 6 ปี ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่ ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • 🤠#ปู่ของปู่เล่าให้เขาว่า🤠

    คนจีนคนไหนที่คนอเมริกันนับถือมากที่สุด? บางคนพูดว่าขงจื๊อ บางคนบอกว่าจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ บางคนบอกว่าหยางเจวิ้นหนิง(楊振寧) บางคนบอกว่าบรูซลี บางคนบอกว่าเฉิงหลง(成龍) และเจ็ต ลี(李連杰) ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในสาขาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขงจื๊อ การมีอิทธิพลกระทบในระดับโลกของเขาอาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์ตลอดทุกยุคสมัย

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือมีคนจีนที่ไม่มีผลการเรียนดีหรือเป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ แต่เขาอาศัยลำพังด้วยตัวคนเดียวก่อตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงซึ่งโด่งดังที่เราคุ้นเคยเช่น หูชื่อ(胡適) เถาสิงจวือ(陶行知) เฝิง อิ่วหลาน(馮友蘭) หม่า หยินชู(馬寅初) พาน กวงต้าน(潘光旦) สวี จวื่อหมอ(徐志摩) เหวิน อิตวอ(聞一多) ฯลฯ ล้วนมาจากที่นี่ – นี่คือภาควิชาเอเชียตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University)

    ชื่อของเขาคือ ติงหลง(丁龍) (ทับศัพท์) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลกว่างตง(廣東)เมื่อปี ค.ศ. 1857 ในขณะนั้น ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาภายในและภายนอก และอยู่ในความวุ่นวาย ชาวจีนจำนวนมากต้องหนีออกไปต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือถูกค้ามนุษย์ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ โชคไม่ดีที่ ติงหลง(丁龍)วัย 18 ปีได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นและถูกค้ามนุษย์ไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ลูกหมู" และกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายพล นายพลคนนี้คือนายพลชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)

    ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เป็นคนฉลาดและขยันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เขายังพูดปราศรัยในฐานะตัวแทนของบัณฑิตดีเด่นในปีนั้นด้วย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกเพื่อพัฒนาอาชีพของเขา ในช่วงสมัยตื่นทองเขาประสบความสำเร็จในการสร้างตัว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งแคลิฟอร์เนีย(Bank Of California)และกลายเป็นประธานธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่ในดินแดนรกร้างของสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์( Auckland)" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ แนวเขื่อนกันคลื่น และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

    เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางรถไฟสายแปซิฟิกตอนกลาง(Central Pacific Railroad) และเป็นประธานของบริษัทบริษัทโทรเลขแคลิฟอร์เนีย (California Telegraph) และ บริษัท โอเวอร์แลนด์เทเลกราฟ จำกัด(Overland Telegraph Company) ซึ่งก่อตั้งสายโทรเลขสายแรกที่เชื่อมชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทรถไฟหลายแห่งอีกด้วย เนื่องจากเขาเคยทำหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย เขาจึงเป็นที่รู้จักในนาม "นายพล" ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่เอี่ยมบนดินแดนร้างในสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

    แม้ว่า ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถือว่าความมั่งคั่งเป็นชีวิตของเขา มีอารมณ์ไม่ดี อยู่คนเดียวตลอดชีวิตและมักจะทุบตีและดุด่าคนรับใช้ของเขา วันหนึ่ง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)อารมณ์ไม่ดี ดื่มไวน์มาก ตะโกนใส่คนรับใช้ และพูดทันทีว่าเขาจะไล่ทุกคนออก รวมถึงติงหลง(丁龍)ด้วย คนรับใช้คนอื่นไม่พอใจ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)มานานแล้วและใช้โอกาสนี้จากไปทีละคน วันรุ่งขึ้น หลังจากที่สร่างเมา ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ก็ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เขาทำและเตรียมที่จะต้องเผชิญกับการอดอาหาร

    น่าแปลกที่ ติงหลง(丁龍)ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่ยังเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยให้เขาตามปกติอีกด้วย ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)พูดด้วยความประหลาดใจ: ทำไมคุณไม่จากไปเหมือนพวกเขาล่ะ? ติงหลง(丁龍)พูดอย่างใจเย็น: แม้ว่าคุณจะมีอารมณ์ไม่ดี แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดี นอกจากนี้ ตามคำสอนของขงจื๊อ ฉันไม่สามารถจากคุณไปอย่างกะทันหันได้ ขงจื๊อจีนเคยกล่าวไว้ว่า: จงภักดีต่อผู้อื่น เมื่อคุณได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนต้องภักดีต่อสิ่งต่างๆ

    นายพลท่านนี้ประหลาดใจมาก เขาคิดว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรม จึงพูดว่า: ขงจื๊อเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนเมื่อหลายพันปีก่อน ฉันไม่รู้ว่าคุณอ่านหนังสือและเข้าใจวิถีแห่งปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าติงหลง(丁龍)ตอบกลับมาว่า: ฉันไม่รู้หนังสือ แต่พ่อบอกฉันเอง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)คิดว่าพ่อของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรมหรือเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงอีกว่า ติงหลง(丁龍)ตอบว่า พ่อของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของฉันเล่าให้เขาฟัง แม้แต่ปู่ของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของปู่เล่าให้เขาฟังเอง สุงขึ้นไปกว่านั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สรุปได้ว่า ครอบครัวของฉันมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและไม่มีการศึกษา

    นายพลชาวอเมริกันตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าชาวจีนที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่น ติงหลง(丁龍)จะมีจิตใจที่เรียบง่ายและเที่ยงธรรมและความภักดีที่โดดเด่นเช่นนี้! ด้วยวิธีนี้ ติงหลง(丁龍) ได้รับความชื่นชมจาก ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) อย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยระดับต่ำสุดเขากลายเป็นแม่บ้านของ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) และในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต

    ติงหลง(丁龍) ขยันและประหยัด ภักดีต่อเจ้านายของเขา และไม่เคยแต่งงานในชีวิตนี้ ค่าตอบแทนที่เขาประหยัดได้จากการทำงานในปีต่อ ๆ มาก็เป็นเงินออมที่น่าทึ่งเช่นกัน เมื่อเขาเกษียณ เขาขอลาออกจากฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) นายท่านไม่เต็มใจที่จะทิ้งคนรับใช้ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับเขา และถามว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก อย่างไรก็ตาม คำตอบของติงหลง(丁龍)ทำให้นายพลตกใจอีกครั้ง

    ติงหลง(丁龍) เห็นว่าชาวจีนถูกรังแกในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะขอเงินบำนาญจำนวนให้มากไว้เลี้ยงชีวิตในบั้นปลาย แต่เขาขอให้เจ้าของช่วยออกมาออกหน้าช่วยในการที่เขาบริจาคเงินออมทั้งชีวิตจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยขอให้มหาวิทยาลัยก่อตั้งแผนกภาควิชาภาษาจีนศึกษา เพื่อการศึกษา วัฒนธรรมมาตุภูมิของเขาเพื่อให้ชาวอเมริกันเข้าใจจีน!

    ปีนั้นเป็นปีแห่งความทุกข์ทรมานของจีน รัฐบาลชิง(清)ถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญาซินโจว(辛丑條約)" ชาวจีนถูกชาวตะวันตกดูหมิ่นมากยิ่งขึ้น เสียงต่อต้านจีนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวจีนผู้ต่ำต้อยคนนี้ ด้วยการกระทำที่ไม่ธรรมดาของเขา กลายเป็นความฉลาดที่หาได้ยากของคนจีนในปีสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่ก็ยังเป็นเพียงเศษสตางค์ในการสร้างแผนกในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ

    นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ไม่ท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยความจริงใจ: ท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ข้าพเจ้าขอมอบเช็คเงินสดจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบริจาคให้กับกองทุนวิจัยจีนศึกษาของโรงเรียนของคุณ ลายเซ็นคือ: ติงหลง(丁龍) ชาวจีน เขาแนะนำติงหลง(丁龍) ดังนี้ นี่เป็นบุคคลที่หายาก มีความสม่ำเสมอ ดูมีระดับ มีน้ำใจ กล้าหาญ และใจดี ในด้านธรรมชาติและการศึกษาเขาเป็นผู้ศรัทธาในขงจื๊อ ในด้านพฤติกรรม เขาเป็นเหมือนคนเคร่งครัด ในด้านความเชื่อ เขาเป็น นับถือศาสนาพุทธ แต่โดยอุปนิสัยแล้ว เขาเป็นเหมือนคริสเตียน

    นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เองก็เพิ่มเงินเพิ่มอีก 500,000 ดอลลาร์ และต่อมาก็เพิ่มเงินอีก เขายังขายบ้านในแมนฮัตตันซึ่งเป็นเงินออมเกือบทั้งหมด ในสุดท้ายย้ายไปอยู่บ้านเก่าในชนบท ข่าวที่ว่ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้จัดตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วเป่ยผิง (北平) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับรัฐบาลแมนจูและราชวงศ์ชิง(清) จักรพรรดินีอัครมเหสีฉือซี(慈禧) บริจาคหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม หลี่หงจาง(李鴻章)และอู๋ถิงฟาง(伍廷芳)ทูตของรัฐบาลชิง(清)ประจำสหรัฐอเมริกา และคนอื่นๆ ต่างบริจาคเงิน รวมถึงหนังสืออ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น นั่นคือ คอลเลกชันหนังสือโบราณและสมัยใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิ(欽定古今圖書集成) จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ยังคงจัดแสดงอยู่ในห้องสมุดเอเชียตะวันออกของโคลัมเบีย

    อย่างไรก็ตาม ติงหลง(丁龍)หายตัวไปหลังปีค.ศ. 1906 บางคนบอกว่าเขาซื้อตั๋วเรือและกลับไปยังบ้านเกิดที่เขาใฝ่ฝัน บางคนบอกว่าเขากลับไปที่บ้านเกิดของนายพลคาโปนในนิวยอร์ก เพราะบางคนแปลกใจที่พบว่า ว่าในเมืองเล็กๆ นั้น มี "ถนนติงหลง" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของเขา กล่าวโดยสรุป ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาหายไปอย่างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาและพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์...

    ในปีค.ศ. 2007 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ประกาศเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเกี่ยวกับ ติงหลง(丁龍)และ China Central Television ก็เข้าร่วมด้วย คนรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อย อาจสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและทำให้บรรพบุรุษของเขาภูมิใจได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนและไม่แยแสต่อชื่อเสียงและโชคลาภ ด้วยร่างกายวิญญาณเช่นนี้ วิสัยทัศน์เช่นนี้ และจิตวิญญาณเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน มีสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ? ?

    ชื่อ ติงหลง(丁龍)ที่ปรากฏอยู่นี้ ทุกคนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่เคยได้ยินมา และไม่มีใครไม่รู้ว่า ตามที่แสดงความคิดเห็นในประกาศผู้สูญหาย: ติงหลง(丁龍)เป็นผู้บริจาคเงิน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีส่วนสนับสนุนวิสัยทัศน์และอุดมคติของเขา

    🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#ปู่ของปู่เล่าให้เขาว่า🤠 คนจีนคนไหนที่คนอเมริกันนับถือมากที่สุด? บางคนพูดว่าขงจื๊อ บางคนบอกว่าจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ บางคนบอกว่าหยางเจวิ้นหนิง(楊振寧) บางคนบอกว่าบรูซลี บางคนบอกว่าเฉิงหลง(成龍) และเจ็ต ลี(李連杰) ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในสาขาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขงจื๊อ การมีอิทธิพลกระทบในระดับโลกของเขาอาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์ตลอดทุกยุคสมัย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือมีคนจีนที่ไม่มีผลการเรียนดีหรือเป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ แต่เขาอาศัยลำพังด้วยตัวคนเดียวก่อตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงซึ่งโด่งดังที่เราคุ้นเคยเช่น หูชื่อ(胡適) เถาสิงจวือ(陶行知) เฝิง อิ่วหลาน(馮友蘭) หม่า หยินชู(馬寅初) พาน กวงต้าน(潘光旦) สวี จวื่อหมอ(徐志摩) เหวิน อิตวอ(聞一多) ฯลฯ ล้วนมาจากที่นี่ – นี่คือภาควิชาเอเชียตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University) ชื่อของเขาคือ ติงหลง(丁龍) (ทับศัพท์) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลกว่างตง(廣東)เมื่อปี ค.ศ. 1857 ในขณะนั้น ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาภายในและภายนอก และอยู่ในความวุ่นวาย ชาวจีนจำนวนมากต้องหนีออกไปต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือถูกค้ามนุษย์ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ โชคไม่ดีที่ ติงหลง(丁龍)วัย 18 ปีได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นและถูกค้ามนุษย์ไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ลูกหมู" และกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายพล นายพลคนนี้คือนายพลชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เป็นคนฉลาดและขยันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เขายังพูดปราศรัยในฐานะตัวแทนของบัณฑิตดีเด่นในปีนั้นด้วย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกเพื่อพัฒนาอาชีพของเขา ในช่วงสมัยตื่นทองเขาประสบความสำเร็จในการสร้างตัว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งแคลิฟอร์เนีย(Bank Of California)และกลายเป็นประธานธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่ในดินแดนรกร้างของสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์( Auckland)" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ แนวเขื่อนกันคลื่น และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางรถไฟสายแปซิฟิกตอนกลาง(Central Pacific Railroad) และเป็นประธานของบริษัทบริษัทโทรเลขแคลิฟอร์เนีย (California Telegraph) และ บริษัท โอเวอร์แลนด์เทเลกราฟ จำกัด(Overland Telegraph Company) ซึ่งก่อตั้งสายโทรเลขสายแรกที่เชื่อมชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทรถไฟหลายแห่งอีกด้วย เนื่องจากเขาเคยทำหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย เขาจึงเป็นที่รู้จักในนาม "นายพล" ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่เอี่ยมบนดินแดนร้างในสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถือว่าความมั่งคั่งเป็นชีวิตของเขา มีอารมณ์ไม่ดี อยู่คนเดียวตลอดชีวิตและมักจะทุบตีและดุด่าคนรับใช้ของเขา วันหนึ่ง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)อารมณ์ไม่ดี ดื่มไวน์มาก ตะโกนใส่คนรับใช้ และพูดทันทีว่าเขาจะไล่ทุกคนออก รวมถึงติงหลง(丁龍)ด้วย คนรับใช้คนอื่นไม่พอใจ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)มานานแล้วและใช้โอกาสนี้จากไปทีละคน วันรุ่งขึ้น หลังจากที่สร่างเมา ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ก็ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เขาทำและเตรียมที่จะต้องเผชิญกับการอดอาหาร น่าแปลกที่ ติงหลง(丁龍)ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่ยังเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยให้เขาตามปกติอีกด้วย ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)พูดด้วยความประหลาดใจ: ทำไมคุณไม่จากไปเหมือนพวกเขาล่ะ? ติงหลง(丁龍)พูดอย่างใจเย็น: แม้ว่าคุณจะมีอารมณ์ไม่ดี แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดี นอกจากนี้ ตามคำสอนของขงจื๊อ ฉันไม่สามารถจากคุณไปอย่างกะทันหันได้ ขงจื๊อจีนเคยกล่าวไว้ว่า: จงภักดีต่อผู้อื่น เมื่อคุณได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนต้องภักดีต่อสิ่งต่างๆ นายพลท่านนี้ประหลาดใจมาก เขาคิดว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรม จึงพูดว่า: ขงจื๊อเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนเมื่อหลายพันปีก่อน ฉันไม่รู้ว่าคุณอ่านหนังสือและเข้าใจวิถีแห่งปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าติงหลง(丁龍)ตอบกลับมาว่า: ฉันไม่รู้หนังสือ แต่พ่อบอกฉันเอง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)คิดว่าพ่อของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรมหรือเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงอีกว่า ติงหลง(丁龍)ตอบว่า พ่อของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของฉันเล่าให้เขาฟัง แม้แต่ปู่ของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของปู่เล่าให้เขาฟังเอง สุงขึ้นไปกว่านั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สรุปได้ว่า ครอบครัวของฉันมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและไม่มีการศึกษา นายพลชาวอเมริกันตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าชาวจีนที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่น ติงหลง(丁龍)จะมีจิตใจที่เรียบง่ายและเที่ยงธรรมและความภักดีที่โดดเด่นเช่นนี้! ด้วยวิธีนี้ ติงหลง(丁龍) ได้รับความชื่นชมจาก ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) อย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยระดับต่ำสุดเขากลายเป็นแม่บ้านของ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) และในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต ติงหลง(丁龍) ขยันและประหยัด ภักดีต่อเจ้านายของเขา และไม่เคยแต่งงานในชีวิตนี้ ค่าตอบแทนที่เขาประหยัดได้จากการทำงานในปีต่อ ๆ มาก็เป็นเงินออมที่น่าทึ่งเช่นกัน เมื่อเขาเกษียณ เขาขอลาออกจากฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) นายท่านไม่เต็มใจที่จะทิ้งคนรับใช้ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับเขา และถามว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก อย่างไรก็ตาม คำตอบของติงหลง(丁龍)ทำให้นายพลตกใจอีกครั้ง ติงหลง(丁龍) เห็นว่าชาวจีนถูกรังแกในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะขอเงินบำนาญจำนวนให้มากไว้เลี้ยงชีวิตในบั้นปลาย แต่เขาขอให้เจ้าของช่วยออกมาออกหน้าช่วยในการที่เขาบริจาคเงินออมทั้งชีวิตจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยขอให้มหาวิทยาลัยก่อตั้งแผนกภาควิชาภาษาจีนศึกษา เพื่อการศึกษา วัฒนธรรมมาตุภูมิของเขาเพื่อให้ชาวอเมริกันเข้าใจจีน! ปีนั้นเป็นปีแห่งความทุกข์ทรมานของจีน รัฐบาลชิง(清)ถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญาซินโจว(辛丑條約)" ชาวจีนถูกชาวตะวันตกดูหมิ่นมากยิ่งขึ้น เสียงต่อต้านจีนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวจีนผู้ต่ำต้อยคนนี้ ด้วยการกระทำที่ไม่ธรรมดาของเขา กลายเป็นความฉลาดที่หาได้ยากของคนจีนในปีสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่ก็ยังเป็นเพียงเศษสตางค์ในการสร้างแผนกในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ไม่ท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยความจริงใจ: ท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ข้าพเจ้าขอมอบเช็คเงินสดจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบริจาคให้กับกองทุนวิจัยจีนศึกษาของโรงเรียนของคุณ ลายเซ็นคือ: ติงหลง(丁龍) ชาวจีน เขาแนะนำติงหลง(丁龍) ดังนี้ นี่เป็นบุคคลที่หายาก มีความสม่ำเสมอ ดูมีระดับ มีน้ำใจ กล้าหาญ และใจดี ในด้านธรรมชาติและการศึกษาเขาเป็นผู้ศรัทธาในขงจื๊อ ในด้านพฤติกรรม เขาเป็นเหมือนคนเคร่งครัด ในด้านความเชื่อ เขาเป็น นับถือศาสนาพุทธ แต่โดยอุปนิสัยแล้ว เขาเป็นเหมือนคริสเตียน นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เองก็เพิ่มเงินเพิ่มอีก 500,000 ดอลลาร์ และต่อมาก็เพิ่มเงินอีก เขายังขายบ้านในแมนฮัตตันซึ่งเป็นเงินออมเกือบทั้งหมด ในสุดท้ายย้ายไปอยู่บ้านเก่าในชนบท ข่าวที่ว่ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้จัดตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วเป่ยผิง (北平) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับรัฐบาลแมนจูและราชวงศ์ชิง(清) จักรพรรดินีอัครมเหสีฉือซี(慈禧) บริจาคหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม หลี่หงจาง(李鴻章)และอู๋ถิงฟาง(伍廷芳)ทูตของรัฐบาลชิง(清)ประจำสหรัฐอเมริกา และคนอื่นๆ ต่างบริจาคเงิน รวมถึงหนังสืออ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น นั่นคือ คอลเลกชันหนังสือโบราณและสมัยใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิ(欽定古今圖書集成) จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ยังคงจัดแสดงอยู่ในห้องสมุดเอเชียตะวันออกของโคลัมเบีย อย่างไรก็ตาม ติงหลง(丁龍)หายตัวไปหลังปีค.ศ. 1906 บางคนบอกว่าเขาซื้อตั๋วเรือและกลับไปยังบ้านเกิดที่เขาใฝ่ฝัน บางคนบอกว่าเขากลับไปที่บ้านเกิดของนายพลคาโปนในนิวยอร์ก เพราะบางคนแปลกใจที่พบว่า ว่าในเมืองเล็กๆ นั้น มี "ถนนติงหลง" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของเขา กล่าวโดยสรุป ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาหายไปอย่างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาและพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์... ในปีค.ศ. 2007 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ประกาศเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเกี่ยวกับ ติงหลง(丁龍)และ China Central Television ก็เข้าร่วมด้วย คนรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อย อาจสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและทำให้บรรพบุรุษของเขาภูมิใจได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนและไม่แยแสต่อชื่อเสียงและโชคลาภ ด้วยร่างกายวิญญาณเช่นนี้ วิสัยทัศน์เช่นนี้ และจิตวิญญาณเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน มีสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ? ? ชื่อ ติงหลง(丁龍)ที่ปรากฏอยู่นี้ ทุกคนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่เคยได้ยินมา และไม่มีใครไม่รู้ว่า ตามที่แสดงความคิดเห็นในประกาศผู้สูญหาย: ติงหลง(丁龍)เป็นผู้บริจาคเงิน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีส่วนสนับสนุนวิสัยทัศน์และอุดมคติของเขา 🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: ปรสิตร้ายแรงสี่ตัวที่พบในวัคซีน - มันคืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ!

    ในเรื่องอื้อฉาวด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีการพบปรสิตร้ายแรง 4 ชนิดในวัคซีน และไม่ใช่แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย Big Pharma ได้ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อซ่อนมัน แต่ถามตัวเองว่า: วัคซีนมีไว้เพื่อช่วยชีวิตหรือไม่ ชีวิต ทำไมสิ่งมีชีวิตถึงตายถึงถูกฉีดเข้าไปในตัวเรา นี่เป็นเรื่องจริง และคุณไม่สามารถละสายตาจากไปได้

    ฝันร้ายถูกเปิดเผย เราได้รับแจ้งมานานหลายปีว่าวัคซีนนั้น “ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด หากฉันบอกคุณว่าขวดเหล่านี้มีปรสิตที่มีชีวิตซึ่งสามารถทำร้ายหรือฆ่าคุณได้ ข้างในและเมื่อฉีดเข้าไปแล้วใครจะรู้ว่ามันจะทำให้เกิดความเสียหายอะไร นี่ไม่ใช่อันตรายที่ห่างไกล

    ดร.แคร์รี มาเดจทำการทดสอบขวดวัคซีนโดยอิสระและค้นพบบางสิ่งที่น่ากลัว นั่นคือปรสิตไฮดราที่มีชีวิตพยายามหลบหนีออกจากขวด ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่สารเคมี กำลังถูกฉีดภายใต้หน้ากากของ "การป้องกัน" เป็นเพียงหนึ่งในสี่ปรสิตที่พบ

    บทบาทของ Big Pharma ในเรื่องอื้อฉาวนี้ อย่าคิดว่านี่เป็นความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย Big Pharma ขึ้นชื่อเรื่องการทำกำไรต่อหน้าผู้คน ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ได้รับการปกป้องจากการถูกฟ้องร้อง และมีมูลค่านับพันล้าน อันตรายที่พวกเขากำลังแพร่กระจาย คำถามไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้หรือไม่ แต่เมื่อพวกเขามีแล้ว

    การเก็บรักษาความเย็น—เหตุผลที่แท้จริง เหตุใดขวดเหล่านี้จึงถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิเยือกแข็ง ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาวัคซีนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปรสิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ได้ สร้างความหายนะ

    ไฮดรา วัลการิส—ปรสิตอมตะนี้เกือบจะเป็นอมตะ พร้อมด้วยความสามารถในการงอกใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลองนึกภาพสิ่งมีชีวิตภายในร่างกายของคุณที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปและขยายตัวเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดของคุณ

    Trypanosoma Cruzi—ปรสิตนักฆ่า ปรสิตอีกชนิดหนึ่งที่พบในวัคซีนคือ Trypanosoma cruzi ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Chagas มันเป็นฆาตกรเงียบที่ทำลายหัวใจและระบบย่อยอาหารอย่างช้าๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    Toxoplasma Gondii—ปรสิตควบคุมจิตใจ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงเคมีในสมองของสัตว์ได้

    การปกปิด สื่อต่างนิ่งเงียบ เพราะเหตุใด? "

    สรุป: นี่คืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ และมันก็กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เรากำลังถูกฉีดยาด้วยสิ่งมีชีวิตร้ายแรง ทั้งหมดนี้เพื่อผลกำไร ถึงเวลาที่ต้องตื่นขึ้น อย่าปล่อยให้ปรสิตเหล่านี้เข้าครอบงำร่างกายหรือจิตใจของคุณ กลับ—ก่อนที่จะสายเกินไป

    ที่มา: WikiLeaks Secrets



    คุณได้รับคำเชิญให้เข้าร่วม "อัศวิน อัตแพทย์ ธรรมชาติฟื้นฟูเชลล์" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้
    https://line.me/ti/g2/DwdLNww_qbNr3RAfMuSyJL0bcC0qExuoDpp_xg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    ข่าวด่วน: ปรสิตร้ายแรงสี่ตัวที่พบในวัคซีน - มันคืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ! ในเรื่องอื้อฉาวด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีการพบปรสิตร้ายแรง 4 ชนิดในวัคซีน และไม่ใช่แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย Big Pharma ได้ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อซ่อนมัน แต่ถามตัวเองว่า: วัคซีนมีไว้เพื่อช่วยชีวิตหรือไม่ ชีวิต ทำไมสิ่งมีชีวิตถึงตายถึงถูกฉีดเข้าไปในตัวเรา นี่เป็นเรื่องจริง และคุณไม่สามารถละสายตาจากไปได้ ฝันร้ายถูกเปิดเผย เราได้รับแจ้งมานานหลายปีว่าวัคซีนนั้น “ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด หากฉันบอกคุณว่าขวดเหล่านี้มีปรสิตที่มีชีวิตซึ่งสามารถทำร้ายหรือฆ่าคุณได้ ข้างในและเมื่อฉีดเข้าไปแล้วใครจะรู้ว่ามันจะทำให้เกิดความเสียหายอะไร นี่ไม่ใช่อันตรายที่ห่างไกล ดร.แคร์รี มาเดจทำการทดสอบขวดวัคซีนโดยอิสระและค้นพบบางสิ่งที่น่ากลัว นั่นคือปรสิตไฮดราที่มีชีวิตพยายามหลบหนีออกจากขวด ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่สารเคมี กำลังถูกฉีดภายใต้หน้ากากของ "การป้องกัน" เป็นเพียงหนึ่งในสี่ปรสิตที่พบ บทบาทของ Big Pharma ในเรื่องอื้อฉาวนี้ อย่าคิดว่านี่เป็นความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย Big Pharma ขึ้นชื่อเรื่องการทำกำไรต่อหน้าผู้คน ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ได้รับการปกป้องจากการถูกฟ้องร้อง และมีมูลค่านับพันล้าน อันตรายที่พวกเขากำลังแพร่กระจาย คำถามไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้หรือไม่ แต่เมื่อพวกเขามีแล้ว การเก็บรักษาความเย็น—เหตุผลที่แท้จริง เหตุใดขวดเหล่านี้จึงถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิเยือกแข็ง ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาวัคซีนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปรสิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ได้ สร้างความหายนะ ไฮดรา วัลการิส—ปรสิตอมตะนี้เกือบจะเป็นอมตะ พร้อมด้วยความสามารถในการงอกใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลองนึกภาพสิ่งมีชีวิตภายในร่างกายของคุณที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปและขยายตัวเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดของคุณ Trypanosoma Cruzi—ปรสิตนักฆ่า ปรสิตอีกชนิดหนึ่งที่พบในวัคซีนคือ Trypanosoma cruzi ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Chagas มันเป็นฆาตกรเงียบที่ทำลายหัวใจและระบบย่อยอาหารอย่างช้าๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Toxoplasma Gondii—ปรสิตควบคุมจิตใจ นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงเคมีในสมองของสัตว์ได้ การปกปิด สื่อต่างนิ่งเงียบ เพราะเหตุใด? " สรุป: นี่คืออาชญากรรมแห่งศตวรรษ และมันก็กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เรากำลังถูกฉีดยาด้วยสิ่งมีชีวิตร้ายแรง ทั้งหมดนี้เพื่อผลกำไร ถึงเวลาที่ต้องตื่นขึ้น อย่าปล่อยให้ปรสิตเหล่านี้เข้าครอบงำร่างกายหรือจิตใจของคุณ กลับ—ก่อนที่จะสายเกินไป ที่มา: WikiLeaks Secrets คุณได้รับคำเชิญให้เข้าร่วม "อัศวิน อัตแพทย์ ธรรมชาติฟื้นฟูเชลล์" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้ https://line.me/ti/g2/DwdLNww_qbNr3RAfMuSyJL0bcC0qExuoDpp_xg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • หลังการโจมตีเมื่อวันอังคาร, อิหร่านแซงหน้าความสามารถในการยับยั้งของอิสราเอลหรือไม่? (ตอนที่ ๒)

    เอสเตบัน คาร์ริลโล นักข่าวประจำกรุงเบรุต อ้างว่าดุลอำนาจในตะวันออกกลางเปลี่ยนไปหลังจากที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันอังคาร, โดยขีดความสามารถความเร็วเหนือเสียงของอิหร่าน และเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้นทำให้อิสราเอลมีทางเลือกจำกัด

    🗣️“อย่าคิดว่าคุณสามารถ, ณ จุดนี้, คุณจะโจมตีเราอีกครั้งได้,” คาร์ริลโล กล่าวในรายการ Fault Lines ของสปุตนิก, โดยสรุปข้อความที่ส่งมาจากการโจมตีของเตหะราน “‘เพราะถ้าคุณทำแบบนั้น, ถ้าคุณมาและโจมตีอิหร่าน,’ พวกเขากล่าวว่า 📌‘คุณจะเผชิญกับความโกรธแค้นของเรา คุณจะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว นี่จะเป็นจุดจบของคุณ”📌

    🤣ในขณะเดียวกัน, ก็เกิดคำถามขึ้นเกี่ยวกับความสามารถของสหรัฐฯในการเสริมกำลังอาวุธให้กับพันธมิตรอิสราเอลต่อไป ในขณะที่เผชิญกับพันธกรณีทั่วโลก🤣

    🗣️ “เราจะส่งเสบียงให้อิสราเอลในสงครามครั้งต่อไปได้อย่างไร?” จามาร์ล โธมัส ผู้ดำเนินรายการถาม โดยชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาวุธในความขัดแย้งต่างๆ “ส่งไปให้กับประเทศใด, สามรัฐ? สี่รัฐ? กาซา, ซีเรีย, เลบานอน และอิหร่าน? และฮูตี ห้ารัฐ เราจะส่งอาวุธไปในสงครามใหญ่ครั้งนี้ได้อย่างไร ในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง?”

    🗣️ “อย่าลืมไต้หวันด้วย,” คาร์ริลโล กล่าว, 🤣“การยกระดับสถานการณ์ที่วางแผนไว้ต่อจีนซึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการ, ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯยังไม่ยอมแพ้... การทูตเป็นคำภาษาต่างประเทศสำหรับ [รัฐบาลสหรัฐฯ]... เป็นคำที่หยาบคายด้วยซ้ำ... เจ้าหน้าที่สหรัฐฯดูเหมือนจะมุ่งมั่นที่จะหาเงินจากบริษัทอาวุธ เพราะสุดท้ายแล้วสงครามก็เป็นเพียงเครื่องฟอกเงินเท่านั้น”🤣
    .
    After Tuesday’s attack, has Iran eclipsed Israel’s deterrence capacity? (Part 2)

    Beirut-based journalist Esteban Carrillo claimed the balance of power in the Middle East has changed after Iran’s attack against Israel Tuesday, with Iranian hypersonic capabilities and other events on the ground limiting Israel’s options.

    🗣️“‘Do not think that you can, at this point, hit us again,’” Carrillo said on Sputnik’s Fault Lines program, summarizing the message sent by Tehran’s attack. “‘Because if you do, if you come and you hit Iran,’ they are saying, ‘you are going to face our wrath. You are going to quickly collapse. This is going to be the end of you.”

    Meanwhile, questions have been raised about the United States’ capacity to continue arming its Israeli ally as it faces commitments across the globe.

    🗣️ “How are we now going to supply Israel in another war?” asked host Jamarl Thomas, suggesting the US is being stretched thin by providing arms in various conflicts. “Against what, three states? Four states? Gaza, Syria, Lebanon, and Iran? And the Houthis. Five states. How are we going to supply weapons for this larger war while the war in Ukraine also continues at a steady pace?”

    🗣️ “Don't forget about Taiwan too,” Carrillo noted, “this planned escalation against China which is also in the wings, which is also something that the US hasn't given up on… Diplomacy is a foreign word for [the US government]... a dirty word even… US officials seem really just hellbent on lining their pockets with money from the weapons companies because at the end of the day, war is just a money-laundering machine.”
    .
    10:33 AM · Oct 3, 2024 · 2,400 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1841682967346725247
    หลังการโจมตีเมื่อวันอังคาร, อิหร่านแซงหน้าความสามารถในการยับยั้งของอิสราเอลหรือไม่? (ตอนที่ ๒) เอสเตบัน คาร์ริลโล นักข่าวประจำกรุงเบรุต อ้างว่าดุลอำนาจในตะวันออกกลางเปลี่ยนไปหลังจากที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันอังคาร, โดยขีดความสามารถความเร็วเหนือเสียงของอิหร่าน และเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้นทำให้อิสราเอลมีทางเลือกจำกัด 🗣️“อย่าคิดว่าคุณสามารถ, ณ จุดนี้, คุณจะโจมตีเราอีกครั้งได้,” คาร์ริลโล กล่าวในรายการ Fault Lines ของสปุตนิก, โดยสรุปข้อความที่ส่งมาจากการโจมตีของเตหะราน “‘เพราะถ้าคุณทำแบบนั้น, ถ้าคุณมาและโจมตีอิหร่าน,’ พวกเขากล่าวว่า 📌‘คุณจะเผชิญกับความโกรธแค้นของเรา คุณจะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว นี่จะเป็นจุดจบของคุณ”📌 🤣ในขณะเดียวกัน, ก็เกิดคำถามขึ้นเกี่ยวกับความสามารถของสหรัฐฯในการเสริมกำลังอาวุธให้กับพันธมิตรอิสราเอลต่อไป ในขณะที่เผชิญกับพันธกรณีทั่วโลก🤣 🗣️ “เราจะส่งเสบียงให้อิสราเอลในสงครามครั้งต่อไปได้อย่างไร?” จามาร์ล โธมัส ผู้ดำเนินรายการถาม โดยชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาวุธในความขัดแย้งต่างๆ “ส่งไปให้กับประเทศใด, สามรัฐ? สี่รัฐ? กาซา, ซีเรีย, เลบานอน และอิหร่าน? และฮูตี ห้ารัฐ เราจะส่งอาวุธไปในสงครามใหญ่ครั้งนี้ได้อย่างไร ในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง?” 🗣️ “อย่าลืมไต้หวันด้วย,” คาร์ริลโล กล่าว, 🤣“การยกระดับสถานการณ์ที่วางแผนไว้ต่อจีนซึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการ, ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯยังไม่ยอมแพ้... การทูตเป็นคำภาษาต่างประเทศสำหรับ [รัฐบาลสหรัฐฯ]... เป็นคำที่หยาบคายด้วยซ้ำ... เจ้าหน้าที่สหรัฐฯดูเหมือนจะมุ่งมั่นที่จะหาเงินจากบริษัทอาวุธ เพราะสุดท้ายแล้วสงครามก็เป็นเพียงเครื่องฟอกเงินเท่านั้น”🤣 . After Tuesday’s attack, has Iran eclipsed Israel’s deterrence capacity? (Part 2) Beirut-based journalist Esteban Carrillo claimed the balance of power in the Middle East has changed after Iran’s attack against Israel Tuesday, with Iranian hypersonic capabilities and other events on the ground limiting Israel’s options. 🗣️“‘Do not think that you can, at this point, hit us again,’” Carrillo said on Sputnik’s Fault Lines program, summarizing the message sent by Tehran’s attack. “‘Because if you do, if you come and you hit Iran,’ they are saying, ‘you are going to face our wrath. You are going to quickly collapse. This is going to be the end of you.” Meanwhile, questions have been raised about the United States’ capacity to continue arming its Israeli ally as it faces commitments across the globe. 🗣️ “How are we now going to supply Israel in another war?” asked host Jamarl Thomas, suggesting the US is being stretched thin by providing arms in various conflicts. “Against what, three states? Four states? Gaza, Syria, Lebanon, and Iran? And the Houthis. Five states. How are we going to supply weapons for this larger war while the war in Ukraine also continues at a steady pace?” 🗣️ “Don't forget about Taiwan too,” Carrillo noted, “this planned escalation against China which is also in the wings, which is also something that the US hasn't given up on… Diplomacy is a foreign word for [the US government]... a dirty word even… US officials seem really just hellbent on lining their pockets with money from the weapons companies because at the end of the day, war is just a money-laundering machine.” . 10:33 AM · Oct 3, 2024 · 2,400 Views https://x.com/SputnikInt/status/1841682967346725247
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • ในสิงคโปร์ มีกฎระเบียบที่ระบุว่าแรงงานต่างชาติที่ถือใบอนุญาตทำงานประเภท Work Permit ไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรในระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาล นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมจำนวนประชากรและการเข้าทำงานของแรงงานต่างชาติในประเทศ
    .
    หากแรงงานต่างชาติที่ถือ Work Permit พบว่าตั้งครรภ์โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจต้องเผชิญกับการถูกส่งตัวกลับประเทศหรือไม่ได้รับการต่อใบอนุญาตทำงาน กฎระเบียบนี้ทำให้นายจ้างและแรงงานต่างชาติต้องให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหลายที่กำหนดโดยกระทรวงแรงงานของสิงคโปร์ (Ministry of Manpower หรือ MOM)
    ในสิงคโปร์ มีกฎระเบียบที่ระบุว่าแรงงานต่างชาติที่ถือใบอนุญาตทำงานประเภท Work Permit ไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรในระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาล นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมจำนวนประชากรและการเข้าทำงานของแรงงานต่างชาติในประเทศ . หากแรงงานต่างชาติที่ถือ Work Permit พบว่าตั้งครรภ์โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจต้องเผชิญกับการถูกส่งตัวกลับประเทศหรือไม่ได้รับการต่อใบอนุญาตทำงาน กฎระเบียบนี้ทำให้นายจ้างและแรงงานต่างชาติต้องให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหลายที่กำหนดโดยกระทรวงแรงงานของสิงคโปร์ (Ministry of Manpower หรือ MOM)
    Like
    Love
    Wow
    19
    2 Comments 3 Shares 109 Views 0 Reviews
  • 1 ตุลาคม - วันชาติจีน
    จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦
    ...........................................
    ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism
    จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ
    1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย
    2) แบ่งเท่ากัน
    ...........................................
    PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย
    ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า
    " LET SOME PEOPLE GET RICH"
    แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้)
    จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้

    ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!!
    ......................................................................

    ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ
    นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
    นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ
    1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc.
    2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ
    3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง)

    จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า
    ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย "

    แว๊ว---ช่าย หมาย ?
    .
    Pachäree Wõng
    October1st, 2024
    San Francisco, CA94108
    1 ตุลาคม - วันชาติจีน จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦 ........................................... ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ 1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย 2) แบ่งเท่ากัน ........................................... PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า " LET SOME PEOPLE GET RICH" แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้) จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้ ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. 2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!! ...................................................................... ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ 1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc. 2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ 3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง) จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย " แว๊ว---ช่าย หมาย ? . Pachäree Wõng October1st, 2024 San Francisco, CA94108
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • อิหร่านประกาศว่าการโจมตีอิสราเอล ซึ่งถือเป็นการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้จบลงแล้ว เว้นแต่จะถูกยั่วยุอีก แต่อิสราเอลและอเมริกาเผยเตรียมล้างแค้นอย่างสาสม โหมกระพือความกังวลว่า ตะวันออกกลางกำลังจะลุกเป็นไฟ ล่าสุดกองทัพยิวยังส่งทหารราบและหน่วยยานเกราะร่วมปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินทางใต้ของเลบานอนเพื่อเพิ่มความกดดันต่อฮิซบอลเลาะห์
    .
    การประกาศเมื่อวันพุธ (2 ต.ค.) เกี่ยวกับการเพิ่มทหารราบและหน่วยยานเกราะจากกองพลที่ 36 บ่งชี้ว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลไปไกลกว่าการบุกแบบจำกัดของหน่วยคอมมานโด อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลระบุว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินมุ่งทำลายอุโมงค์และโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนเป็นหลัก และไม่มีแผนขยายเป้าหมายไปยังกรุงเบรุตหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ทางใต้ของเลบานอน
    .
    ท่ามกลางการเรียกร้องหยุดยิงจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) อิสราเอลยังคงสู้รบกับฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รวมทั้งทิ้งระเบิดถล่มชานเมืองด้านใต้ของเบรุต ซึ่งเป็นที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ และออกคำสั่งอพยพใหม่ในบริเณดังกล่าว
    .
    จากข้อมูลของรัฐบาลเลบานอนเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,900 คน และบาดเจ็บกว่า 9,000 คนจากการสู้รบข้ามพรมแดนที่ดำเนินมาเกือบปี โดยการสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    ทางด้านฮิซบอลเลาะห์เผยว่า ได้เผชิญหน้าและผลักดันกองกำลังอิสราเอลที่พยายามรุกล้ำออกจากเมืองอะเดสเซห์เมื่อเช้าวันพุธ
    .
    เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันอังคารเตหะรานยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกฟัตตาห์ระลอกใหญ่โจมตีอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งโจมตีที่ตั้งทางทหารเพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่มติดอาวุธหลายคน ซึ่งรวมถึงฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ อีกทั้งยังรุกรานเลบานอนและกาซา โดยสำนักข่าวของทางการอิหร่านรายงานว่า เตหะรานล็อกเป้าโจมตีฐานทัพ 3 แห่งของอิสราเอล ทั้งนี้ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านอวดอ้างว่า ขีปนาวุธ 90 โจมตีเป้าหมายสำเร็จ
    .
    อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อเช้าวันพุธว่า การดำเนินการของเตหะรานสิ้นสุดลงแล้ว เว้นแต่อิสราเอลตัดสินใจยั่วยุอีก ซึ่งอิหร่านจะตอบโต้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
    .
    นอกจากนั้นเสนาธิการกองทัพบกอิหร่านยังออกแถลงการณ์เตือนว่า หากถูกตอบโต้ เตหะรานจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิสราเอล รวมถึงผลประโยชน์ของพันธมิตรของอิสราเอลที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่ในตะวันออกกลาง
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลจะเอาคืนและเตือนว่า อิหร่านจะต้องจ่ายราคาแพง ขณะที่วอชิงตันขานรับว่า จะร่วมกับอิสราเอลที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่เพื่อให้แน่ใจว่า อิหร่านจะเผชิญผลลัพธ์รุนแรงจากการโจมตีเมื่อวันอังคาร ซึ่งอิสราเอลระบุว่า มีการใช้ขีปนาวุธทิ้งตัวมากกว่า 180 ลูก
    .
    ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ หารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เมื่อคืนวันอังคาร และเผยว่า วอชิงตันพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง ขณะที่เพนตากอนระบุว่า การโจมตีเมื่อวันอังคารมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลในเดือนเมษายน
    .
    พลเรือตรีแดเนียล ฮาการีของอิสราเอล โพสต์บนเอ็กซ์ว่า อิสราเอลเปิดใช้งานระบบต่อต้านการโจมตีทางอากาศต่อการระดมโจมตีของอิหร่านเมื่อวันอังคาร และแนวร่วมป้องกันระหว่างอิสราเอลกับอเมริกาสามารถสกัดขีปนาวุธส่วนใหญ่ได้ ก่อนสำทับว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้สถานการณ์ลุกลามอันตรายอย่างยิ่ง
    .
    แอกซิออส เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ของอเมริกา รายงานเมื่อวันพุธโดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่า อิสราเอลจะตอบโต้อย่างรุนแรงภายในไม่กี่วันโดยพุ่งเป้าที่สถานที่ผลิตน้ำมันภายในอิหร่าน รวมถึงที่ตั้งทางยุทธศาสตร์อื่นๆ
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ และวิจารณ์ว่า การโจมตีของอิหร่าน “ไร้น้ำยา” ขณะที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดี สนับสนุนจุดยืนของไบเดน และเสริมว่า อเมริกาจะไม่ลังเลเลยในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจากการโจมตีของอิหร่าน
    .
    ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นกำหนดประชุมเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางในวันพุธ และอียูเรียกร้องให้หยุดยิงทันที
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093355
    ..................
    Sondhi X
    อิหร่านประกาศว่าการโจมตีอิสราเอล ซึ่งถือเป็นการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้จบลงแล้ว เว้นแต่จะถูกยั่วยุอีก แต่อิสราเอลและอเมริกาเผยเตรียมล้างแค้นอย่างสาสม โหมกระพือความกังวลว่า ตะวันออกกลางกำลังจะลุกเป็นไฟ ล่าสุดกองทัพยิวยังส่งทหารราบและหน่วยยานเกราะร่วมปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินทางใต้ของเลบานอนเพื่อเพิ่มความกดดันต่อฮิซบอลเลาะห์ . การประกาศเมื่อวันพุธ (2 ต.ค.) เกี่ยวกับการเพิ่มทหารราบและหน่วยยานเกราะจากกองพลที่ 36 บ่งชี้ว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลไปไกลกว่าการบุกแบบจำกัดของหน่วยคอมมานโด อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลระบุว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินมุ่งทำลายอุโมงค์และโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนเป็นหลัก และไม่มีแผนขยายเป้าหมายไปยังกรุงเบรุตหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ทางใต้ของเลบานอน . ท่ามกลางการเรียกร้องหยุดยิงจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) อิสราเอลยังคงสู้รบกับฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รวมทั้งทิ้งระเบิดถล่มชานเมืองด้านใต้ของเบรุต ซึ่งเป็นที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ และออกคำสั่งอพยพใหม่ในบริเณดังกล่าว . จากข้อมูลของรัฐบาลเลบานอนเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,900 คน และบาดเจ็บกว่า 9,000 คนจากการสู้รบข้ามพรมแดนที่ดำเนินมาเกือบปี โดยการสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา . ทางด้านฮิซบอลเลาะห์เผยว่า ได้เผชิญหน้าและผลักดันกองกำลังอิสราเอลที่พยายามรุกล้ำออกจากเมืองอะเดสเซห์เมื่อเช้าวันพุธ . เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันอังคารเตหะรานยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกฟัตตาห์ระลอกใหญ่โจมตีอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งโจมตีที่ตั้งทางทหารเพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่มติดอาวุธหลายคน ซึ่งรวมถึงฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ อีกทั้งยังรุกรานเลบานอนและกาซา โดยสำนักข่าวของทางการอิหร่านรายงานว่า เตหะรานล็อกเป้าโจมตีฐานทัพ 3 แห่งของอิสราเอล ทั้งนี้ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านอวดอ้างว่า ขีปนาวุธ 90 โจมตีเป้าหมายสำเร็จ . อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อเช้าวันพุธว่า การดำเนินการของเตหะรานสิ้นสุดลงแล้ว เว้นแต่อิสราเอลตัดสินใจยั่วยุอีก ซึ่งอิหร่านจะตอบโต้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม . นอกจากนั้นเสนาธิการกองทัพบกอิหร่านยังออกแถลงการณ์เตือนว่า หากถูกตอบโต้ เตหะรานจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิสราเอล รวมถึงผลประโยชน์ของพันธมิตรของอิสราเอลที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่ในตะวันออกกลาง . ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลจะเอาคืนและเตือนว่า อิหร่านจะต้องจ่ายราคาแพง ขณะที่วอชิงตันขานรับว่า จะร่วมกับอิสราเอลที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่เพื่อให้แน่ใจว่า อิหร่านจะเผชิญผลลัพธ์รุนแรงจากการโจมตีเมื่อวันอังคาร ซึ่งอิสราเอลระบุว่า มีการใช้ขีปนาวุธทิ้งตัวมากกว่า 180 ลูก . ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ หารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เมื่อคืนวันอังคาร และเผยว่า วอชิงตันพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง ขณะที่เพนตากอนระบุว่า การโจมตีเมื่อวันอังคารมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลในเดือนเมษายน . พลเรือตรีแดเนียล ฮาการีของอิสราเอล โพสต์บนเอ็กซ์ว่า อิสราเอลเปิดใช้งานระบบต่อต้านการโจมตีทางอากาศต่อการระดมโจมตีของอิหร่านเมื่อวันอังคาร และแนวร่วมป้องกันระหว่างอิสราเอลกับอเมริกาสามารถสกัดขีปนาวุธส่วนใหญ่ได้ ก่อนสำทับว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้สถานการณ์ลุกลามอันตรายอย่างยิ่ง . แอกซิออส เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ของอเมริกา รายงานเมื่อวันพุธโดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่า อิสราเอลจะตอบโต้อย่างรุนแรงภายในไม่กี่วันโดยพุ่งเป้าที่สถานที่ผลิตน้ำมันภายในอิหร่าน รวมถึงที่ตั้งทางยุทธศาสตร์อื่นๆ . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ และวิจารณ์ว่า การโจมตีของอิหร่าน “ไร้น้ำยา” ขณะที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดี สนับสนุนจุดยืนของไบเดน และเสริมว่า อเมริกาจะไม่ลังเลเลยในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจากการโจมตีของอิหร่าน . ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นกำหนดประชุมเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางในวันพุธ และอียูเรียกร้องให้หยุดยิงทันที . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093355 .................. Sondhi X
    Like
    Sad
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 436 Views 0 Reviews
  • 🇷🇺 ปธน.วลาดิมีร์ ปูติน ลงนามในกฤษฎีกาเกณฑ์ทหารใหม่ประจำปี ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
    .
    🏰 🇷🇺 ตามกฤษฎีกาของเครมลิน เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. ที่ลงนามโดยปธน.วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อช่วงเช้า

    🔘 กฤษฎีกาที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Rossiyskaya Gazeta การเกณฑ์ทหารรอบใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำ
    • สั่งเกณฑ์ทหารใหม่ 133,000 นาย
    • ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. ถึง 31 ธันวาคม
    • การเกณฑ์ทหารพลเมือง "ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปี มีผลบังคับใช้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกองกำลังสำรอง และผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับราชการทหารตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง
    • เงื่อนไขการเกณฑ์ทหารยังคงเหมือนเดิม คือ อายุการรับราชการเป็นเวลา 12 เดือน
    .
    🔘 พลโทวลาดิมีร์ ซิมลีอันสกี Vladimir Tsimlyansky หัวหน้าผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรและการระดมพลหลัก กล่าว :

    📌 “ผมขอแจ้งให้ทราบว่า : จะไม่มีการเรียกทหารเกณฑ์เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหารในแคว้นใหม่”😁
    .
    .... โพสต์นี้เดี๋ยวมี 🐾 🐃 🇺🇦 🇺🇸 ... 🪱 🪱 🪱 อีก ... หาว่าเพราะรัสเซียสูญเสียเยอะ 😆😂🤣 ...


    Noraseth Tuntasiri
    🇷🇺 ปธน.วลาดิมีร์ ปูติน ลงนามในกฤษฎีกาเกณฑ์ทหารใหม่ประจำปี ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง . 🏰 🇷🇺 ตามกฤษฎีกาของเครมลิน เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. ที่ลงนามโดยปธน.วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อช่วงเช้า 🔘 กฤษฎีกาที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Rossiyskaya Gazeta การเกณฑ์ทหารรอบใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำ • สั่งเกณฑ์ทหารใหม่ 133,000 นาย • ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. ถึง 31 ธันวาคม • การเกณฑ์ทหารพลเมือง "ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปี มีผลบังคับใช้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกองกำลังสำรอง และผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับราชการทหารตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง • เงื่อนไขการเกณฑ์ทหารยังคงเหมือนเดิม คือ อายุการรับราชการเป็นเวลา 12 เดือน . 🔘 พลโทวลาดิมีร์ ซิมลีอันสกี Vladimir Tsimlyansky หัวหน้าผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรและการระดมพลหลัก กล่าว : 📌 “ผมขอแจ้งให้ทราบว่า : จะไม่มีการเรียกทหารเกณฑ์เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหารในแคว้นใหม่”😁 . .... โพสต์นี้เดี๋ยวมี 🐾 🐃 🇺🇦 🇺🇸 ... 🪱 🪱 🪱 อีก ... หาว่าเพราะรัสเซียสูญเสียเยอะ 😆😂🤣 ... Noraseth Tuntasiri
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!!

    ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!!

    ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009)
    ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว….
    แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ
    ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์)
    เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ
    การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!!

    ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง
    คราวนี้จะมาทำโลกสวย….
    เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ……

    แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า…
    “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …”

    ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา…

    แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ
    เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด
    กัดดาฟี
    เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น

    ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม……
    เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง
    เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า…
    “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน
    ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส
    รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ
    ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้”
    ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ
    เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น
    แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……”

    (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…)

    ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!!

    แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง
    เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก

    ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California
    และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน
    เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ
    แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times
    ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่?
    เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…”
    คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!!

    ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์
    ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ …
    ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว…

    เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats
    ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย
    หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น
    และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน

    การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์
    เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป)
    และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่
    ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน
    แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย

    ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
    ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir
    มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท
    ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา
    เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
    หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน
    ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!!
    เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม
    และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “***** Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR)

    กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์
    เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง

    ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน
    ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้…
    ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป
    กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย

    จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่
    จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63%
    นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน ……
    ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง
    ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004)
    ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า
    “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ
    เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……”

    ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ
    ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!! ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!! ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009) ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว…. แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์) เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!! ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง คราวนี้จะมาทำโลกสวย…. เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ…… แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า… “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …” ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา… แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด กัดดาฟี เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม…… เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า… “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้” ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……” (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…) ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!! แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่? เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…” คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!! ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์ ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ … ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว… เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์ เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป) และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่ ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!! เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Pussy Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR) กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์ เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้… ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่ จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63% นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน …… ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004) ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……” ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • ขอแชร์บทความที่คิดว่ามีประโยชน์
    จากเพื่อนผม นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ครับ

    _“ความปลอดภัย 🧯 และธุรกิจรถโรงเรียนในสหรัฐ 🚌”
    _ คู่มือการคัดเลือกรถโดยสารประจำทางของสสส
    “ และภาคีเครือข่าย

    ความปลอดภัย 🧯
    และ ธุรกิจรถโรงเรียนในสหรัฐ 🚌

    . . .

    หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า หนึ่งในธุรกิจที่มีกำแพงการแข่งขัน (Barrier of Entry) สูงที่สุดในสหรัฐ คือธุรกิจ “รถโรงเรียน”

    ปัจจุบันมีเด็กกว่า 26 ล้านคนในสหรัฐและแคนาดา ใช้รถโรงเรียนกว่า 5 แสนคัน แต่ส่วนใหญ่ ถูกบริหารโดย 3 บริษัทแค่นั้น (Oligopoly) คือ Blue Bird, Thomas และ IC

    เงินรายได้ส่วนหนึ่ง มาจากการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งทำให้รถโรงเรียน ต้องผ่านข้อบังคับที่เข้มข้นมากมาย และต้องมีการออกแบบพิเศษ ที่ "ปลอดภัยสูงกว่า" รถโดยสารปกติ เช่น

    . . .

    1/ การออกแบบ

    - ตัวถังสีเหลืองเฉพาะ "National School Bus Glossy Yellow" เพื่อให้แยกแยะได้ชัดเจน มองเห็นได้ง่าย ในทุกสภาพอากาศ

    - มีแขนหยุดและไฟกระพริบ ใช้แจ้งให้ผู้ขับขี่อื่นๆหยุดรถ เมื่อเด็กๆ กำลังเดินขึ้นหรือลง

    - มีพนักพิงสูงและการแบ่งพื้นที่ ป้องกันเด็กในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เรียกว่า “Compartmentalization"

    - รถสมัยใหม่ มีระบบติดตาม GPS ผ่านแอปพลิเคชัน และแจ้งเตือนผู้ปกครอง เมื่อรถใกล้ถึงจุดรับส่ง

    - มีกล้อง เพื่อตรวจตราติดตามพฤติกรรม ของนักเรียนและคนขับ และช่วยสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    . . .

    2/ การป้องกันไฟไหม้ 🧯

    - ภายในใช้วัสดุกันไฟ เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไฟ

    - มีระบบดับไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันการลุกไหม้ของถังน้ำมันเชื้อเพลิง

    - ติดตั้งทางออกฉุกเฉินหลายแห่ง เช่น ประตูหลัง ช่องหลังคา และหน้าต่างด้านข้าง เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถออกจากรถได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน

    . . .

    3/ ข้อบังคับ

    - มีมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ (FMVSS) ที่เฉพาะเจาะจง เช่น การป้องกันการชน มาตรฐานการเบรก และความแข็งแรงของโครงสร้าง ซึ่งเข้มงวดกว่า และถูกตรวจสอบบ่อยครั้งกว่ารถโดยสารปกติ

    - มีการฝึกอบรมคนขับอย่างละเอียด วิธีการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ต้องมีใบขับขี่เชิงพาณิชย์พิเศษ

    . . .

    4/ การใช้พลังงานสะอาด

    เพิ่งเริ่มสนับสนุนอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2021 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบถึง $5b ใน 5 ปี ในการทยอยเปลี่ยนรถโรงเรียนให้เป็น Zero-emission เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ลดเสียงรบกวน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ซึ่งรถโรงเรียน ที่ส่วนมาก มีเวลาและเส้นทางการวิ่งที่แน่นอน และเวลาจอดพักนานกว่าปกติ จึงเหมาะกับการใช้งานรถไฟฟ้ามาก

    . . .

    ด้วยมาตราฐานสูง และการตรวจสอบที่เข้มงวดที่สุด ในรอบเกือบ 100 ปี ธุรกิจรถโรงเรียนในสหรัฐ จึงมีเพียงผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย ที่ผ่านคุณสมบัติ

    ซึ่งไม่ว่ารายไหน สิ่งสำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง คือ ความปลอดภัยของเด็กนักเรียนครับ

    “For school bus business, safety is always the number one priority”

    #MoneyDisruptor
    ขอแชร์บทความที่คิดว่ามีประโยชน์ จากเพื่อนผม นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ครับ _“ความปลอดภัย 🧯 และธุรกิจรถโรงเรียนในสหรัฐ 🚌” _ คู่มือการคัดเลือกรถโดยสารประจำทางของสสส “ และภาคีเครือข่าย ความปลอดภัย 🧯 และ ธุรกิจรถโรงเรียนในสหรัฐ 🚌 . . . หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า หนึ่งในธุรกิจที่มีกำแพงการแข่งขัน (Barrier of Entry) สูงที่สุดในสหรัฐ คือธุรกิจ “รถโรงเรียน” ปัจจุบันมีเด็กกว่า 26 ล้านคนในสหรัฐและแคนาดา ใช้รถโรงเรียนกว่า 5 แสนคัน แต่ส่วนใหญ่ ถูกบริหารโดย 3 บริษัทแค่นั้น (Oligopoly) คือ Blue Bird, Thomas และ IC เงินรายได้ส่วนหนึ่ง มาจากการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งทำให้รถโรงเรียน ต้องผ่านข้อบังคับที่เข้มข้นมากมาย และต้องมีการออกแบบพิเศษ ที่ "ปลอดภัยสูงกว่า" รถโดยสารปกติ เช่น . . . 1/ การออกแบบ - ตัวถังสีเหลืองเฉพาะ "National School Bus Glossy Yellow" เพื่อให้แยกแยะได้ชัดเจน มองเห็นได้ง่าย ในทุกสภาพอากาศ - มีแขนหยุดและไฟกระพริบ ใช้แจ้งให้ผู้ขับขี่อื่นๆหยุดรถ เมื่อเด็กๆ กำลังเดินขึ้นหรือลง - มีพนักพิงสูงและการแบ่งพื้นที่ ป้องกันเด็กในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เรียกว่า “Compartmentalization" - รถสมัยใหม่ มีระบบติดตาม GPS ผ่านแอปพลิเคชัน และแจ้งเตือนผู้ปกครอง เมื่อรถใกล้ถึงจุดรับส่ง - มีกล้อง เพื่อตรวจตราติดตามพฤติกรรม ของนักเรียนและคนขับ และช่วยสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น . . . 2/ การป้องกันไฟไหม้ 🧯 - ภายในใช้วัสดุกันไฟ เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไฟ - มีระบบดับไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันการลุกไหม้ของถังน้ำมันเชื้อเพลิง - ติดตั้งทางออกฉุกเฉินหลายแห่ง เช่น ประตูหลัง ช่องหลังคา และหน้าต่างด้านข้าง เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถออกจากรถได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน . . . 3/ ข้อบังคับ - มีมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ (FMVSS) ที่เฉพาะเจาะจง เช่น การป้องกันการชน มาตรฐานการเบรก และความแข็งแรงของโครงสร้าง ซึ่งเข้มงวดกว่า และถูกตรวจสอบบ่อยครั้งกว่ารถโดยสารปกติ - มีการฝึกอบรมคนขับอย่างละเอียด วิธีการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ต้องมีใบขับขี่เชิงพาณิชย์พิเศษ . . . 4/ การใช้พลังงานสะอาด เพิ่งเริ่มสนับสนุนอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2021 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบถึง $5b ใน 5 ปี ในการทยอยเปลี่ยนรถโรงเรียนให้เป็น Zero-emission เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ลดเสียงรบกวน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรถโรงเรียน ที่ส่วนมาก มีเวลาและเส้นทางการวิ่งที่แน่นอน และเวลาจอดพักนานกว่าปกติ จึงเหมาะกับการใช้งานรถไฟฟ้ามาก . . . ด้วยมาตราฐานสูง และการตรวจสอบที่เข้มงวดที่สุด ในรอบเกือบ 100 ปี ธุรกิจรถโรงเรียนในสหรัฐ จึงมีเพียงผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย ที่ผ่านคุณสมบัติ ซึ่งไม่ว่ารายไหน สิ่งสำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง คือ ความปลอดภัยของเด็กนักเรียนครับ “For school bus business, safety is always the number one priority” #MoneyDisruptor
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 143 Views 0 Reviews
  • 💥💥ความท้าทายของการส่งออกข้าวไทย
    เมื่อผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก คือ อินเดีย
    ได้กลับมาเปิดเสรี การส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศอีกครั้ง
    หลังจากหยุดพักการส่งออกข้าว
    ตั้งแต่ กรกฎาคม 2566 เป็นต้นมา

    🚩ส่งผลให้แนวโน้มของราคาข้าวในตลาดโลก
    มีโอกาสปรับตัวลดลง
    จากผลผลิตข้าวในตลาดที่มากยิ่งขึ้น

    🚩นักวิชาการแนะ รัฐบาล ให้เพิ่มการยกระดับ
    ในการปรับปรุงคุณภาพข้าวในประเทศ
    เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้นในตลาดโลก

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกข้าวไทย
    #thaitimes
    💥💥ความท้าทายของการส่งออกข้าวไทย เมื่อผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก คือ อินเดีย ได้กลับมาเปิดเสรี การส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากหยุดพักการส่งออกข้าว ตั้งแต่ กรกฎาคม 2566 เป็นต้นมา 🚩ส่งผลให้แนวโน้มของราคาข้าวในตลาดโลก มีโอกาสปรับตัวลดลง จากผลผลิตข้าวในตลาดที่มากยิ่งขึ้น 🚩นักวิชาการแนะ รัฐบาล ให้เพิ่มการยกระดับ ในการปรับปรุงคุณภาพข้าวในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้นในตลาดโลก ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกข้าวไทย #thaitimes
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลของสหรัฐฯอนุมัติอย่างลับๆต่อยุทธการทางทหารของอิสราเอลในเลบานอน แม้ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว วอชิงตันจะเรียกร้องให้รัฐยิวและกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์แสวงหาข้อตกลงหยุดยิง ตามรายงานของโพลิติโก เว็บไซต์ข่าวสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์(30ก.ย.) อ้างอิงแหล่งข่าววงใน
    .
    รายงานข่าวนี้มีขึ้นก่อนหน้าที่อิหร่าน รัวยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอลในวันอังคาร(1ต.ค.) ในการแก้แค้นปฏิบัติการของรัฐยิวที่เล่นงานพันธมิตรฮิซบอลเลาะห์ของเตหะรานในเลบานอน กระตุ้นคำประกาศกร้าวตอบโต้หนักหน่วงมาจากทั้งอิสราเอลและสหรัฐฯ
    .
    อิสราเอลเปิดปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ถล่มเลบานอนมานานกว่า 1 สัปดาห์ ในยุทธการปลิดชีพพวกผู้นำฮิซบอลเลาะห์ และเวลานี้อยู่ระหว่างปฏิบัติการที่พวกเขาให้คำจำกัดความว่า "การรุกรานอย่างจำกัด" เข้าใส่ดินแดนของเพื่อนบ้านทางเหนือ จนถึนตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,000 คน ในนั้นเป็นพลเรือนจำนวนมาก และอีกกว่า 1 ล้านคนต้องไร้ถิ่นฐาน
    .
    ก่อนหน้าการโจมตีและการรุกราน ผู้คนหลายพันรายในเลบานอนถูกเล่นงานระเบิดเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารไร้สาย ที่ว่ากันว่าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลเป็นคนซุกระเบิดเหล่านั้น ในการเล็งเป้าโจมตีฮิซบอลเลาะห์
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ กล่าวต่อหน้าสาธารณะในวันจันทร์(30ก.ย.) เน้นย้ำเสียงเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ โดยบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า "ผมจะสุขใจมากถ้าพวกเขาหยุด"
    .
    อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ข่าวโพลิติโก รายงานในวันเดียวกัน อ้างแหล้งข่าวเจ้าหน้าที่อิสราเอล 2 คนและอเมริกา 4 คน ระบุว่าอิสราเอลส่งร่างกรอบยุทธศาสตร์ทางทหารไปยังวอชิงตัน ในเงื่อนไขอย่างกว้างๆ เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน และได้รับความเห็นชอบผ่านคณะที่ปรึกษาระดับอาวุโสของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    .
    แหล่งข่าวอ้างว่าการตัดสินใจดังกล่าวถูกต่อต้านภายในเพนตากอน กระทรวงการต่างประเทศและประชาคมข่าวกรอง โดยพวกเขามีความกังวลว่าสถานการณ์อาจลุกลามเข้าสู่สงครามใหญ่ ซึ่งจะลากสหรัฐฯเข้าร่วมวงความขัดแย้งโดยตรง
    .
    ความรุนแรงตามแนวชายแดนทางเหนือของอิสราเอล โหมกระพือขึ้นมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน หลังจากรัฐยิวโจมตีทางอากาศ ตามด้วยรุกรานเข้าไปในฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาส บุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอล
    .
    ฮิซบอลเลาะห์ แสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ และประกาศกร้าวจะไม่หยุดยิงจรวดโจมตีข้ามชายแดนจนกว่าจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ทั้งนี้เป้าหมายของอิสราเอลคือกำจัดฮามาสโดยสิ้นเชิง และปฏิเสธอย่างซ้ำๆกับข้อเรียกร้องต่อหน้าสาธารณะของวอชิงตัน สำหรับข้อตกลงหยุดยิง
    .
    แหล่งข่าวอ้างว่ อิสราเอล เลือกปฏิบัติการบุกทางภาคพื้นในเลบานอน "อย่างจำกัด" ตามคำร้องขอของสหรัฐฯ ซึ่งคัดค้านการเปิดปฏิบัติการรุกรานทางภาคพื้นครั้งใหญ่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000092782
    ..................
    Sondhi X
    รัฐบาลของสหรัฐฯอนุมัติอย่างลับๆต่อยุทธการทางทหารของอิสราเอลในเลบานอน แม้ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว วอชิงตันจะเรียกร้องให้รัฐยิวและกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์แสวงหาข้อตกลงหยุดยิง ตามรายงานของโพลิติโก เว็บไซต์ข่าวสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์(30ก.ย.) อ้างอิงแหล่งข่าววงใน . รายงานข่าวนี้มีขึ้นก่อนหน้าที่อิหร่าน รัวยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอลในวันอังคาร(1ต.ค.) ในการแก้แค้นปฏิบัติการของรัฐยิวที่เล่นงานพันธมิตรฮิซบอลเลาะห์ของเตหะรานในเลบานอน กระตุ้นคำประกาศกร้าวตอบโต้หนักหน่วงมาจากทั้งอิสราเอลและสหรัฐฯ . อิสราเอลเปิดปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ถล่มเลบานอนมานานกว่า 1 สัปดาห์ ในยุทธการปลิดชีพพวกผู้นำฮิซบอลเลาะห์ และเวลานี้อยู่ระหว่างปฏิบัติการที่พวกเขาให้คำจำกัดความว่า "การรุกรานอย่างจำกัด" เข้าใส่ดินแดนของเพื่อนบ้านทางเหนือ จนถึนตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,000 คน ในนั้นเป็นพลเรือนจำนวนมาก และอีกกว่า 1 ล้านคนต้องไร้ถิ่นฐาน . ก่อนหน้าการโจมตีและการรุกราน ผู้คนหลายพันรายในเลบานอนถูกเล่นงานระเบิดเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารไร้สาย ที่ว่ากันว่าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลเป็นคนซุกระเบิดเหล่านั้น ในการเล็งเป้าโจมตีฮิซบอลเลาะห์ . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ กล่าวต่อหน้าสาธารณะในวันจันทร์(30ก.ย.) เน้นย้ำเสียงเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ โดยบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า "ผมจะสุขใจมากถ้าพวกเขาหยุด" . อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ข่าวโพลิติโก รายงานในวันเดียวกัน อ้างแหล้งข่าวเจ้าหน้าที่อิสราเอล 2 คนและอเมริกา 4 คน ระบุว่าอิสราเอลส่งร่างกรอบยุทธศาสตร์ทางทหารไปยังวอชิงตัน ในเงื่อนไขอย่างกว้างๆ เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน และได้รับความเห็นชอบผ่านคณะที่ปรึกษาระดับอาวุโสของประธานาธิบดีสหรัฐฯ . แหล่งข่าวอ้างว่าการตัดสินใจดังกล่าวถูกต่อต้านภายในเพนตากอน กระทรวงการต่างประเทศและประชาคมข่าวกรอง โดยพวกเขามีความกังวลว่าสถานการณ์อาจลุกลามเข้าสู่สงครามใหญ่ ซึ่งจะลากสหรัฐฯเข้าร่วมวงความขัดแย้งโดยตรง . ความรุนแรงตามแนวชายแดนทางเหนือของอิสราเอล โหมกระพือขึ้นมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน หลังจากรัฐยิวโจมตีทางอากาศ ตามด้วยรุกรานเข้าไปในฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาส บุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอล . ฮิซบอลเลาะห์ แสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ และประกาศกร้าวจะไม่หยุดยิงจรวดโจมตีข้ามชายแดนจนกว่าจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ทั้งนี้เป้าหมายของอิสราเอลคือกำจัดฮามาสโดยสิ้นเชิง และปฏิเสธอย่างซ้ำๆกับข้อเรียกร้องต่อหน้าสาธารณะของวอชิงตัน สำหรับข้อตกลงหยุดยิง . แหล่งข่าวอ้างว่ อิสราเอล เลือกปฏิบัติการบุกทางภาคพื้นในเลบานอน "อย่างจำกัด" ตามคำร้องขอของสหรัฐฯ ซึ่งคัดค้านการเปิดปฏิบัติการรุกรานทางภาคพื้นครั้งใหญ่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000092782 .................. Sondhi X
    Like
    Angry
    2
    0 Comments 0 Shares 500 Views 0 Reviews
  • อิหร่านรัวยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอลในวันอังคาร(1ต.ค.) ในการแก้แค้นปฏิบัติการของรัฐยิวที่เล่นงานพันธมิตรฮิซบอลเลาะห์ของเตหะรานในเลบานอน กระตุ้นคำประกาศกร้าวตอบโต้หนักหน่วงมาจากทั้งอิสราเอลและสหรัฐฯ
    .
    เสียงไซเรนเตือนภัยดังระงมทั่วอิสราเอลและได้ยินเสียงระเบิดตูมสนั่นทั้งในเยรูซาเลมและแถบหุบเขาจอร์แดน พวกชาวบ้านชาวอิสราเอลพากันหลบหนีไปยังที่หลบภัยระเบิด และผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆต้องก้มหลบลงกับพื้น ระหว่างออกอากาศสด
    .
    อิสราเอลเปิดเผยว่ามีขีปนาวุธมากกว่า 180 ลูก ที่อิหร่านยิงเข้าใส่อิสราเอล กระตุ้นให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศทำงานเข้าสกัดกั้นขีปนาวุธเหล่านั้น ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ(เพนตากอน) ระบุว่าเรือรบของกองทัพเรืออเมริกาได้ยิงตัวสกัดกั้นหลายสิบลูก ช่วยสกัดขีปนาวุธของอิหร่านที่พุ่งเข้าหาอิสราเอลเช่นกัน
    .
    กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เปิดเผยว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นการแก้แค้นปฏิบัติการต่างๆนานาของอิสราเอลเมื่อเร็วๆนี้ ที่สังหารพวกผู้นำของกลุ่มติดอาวุธ และรุกรานเข้าไปในเลบานอนและกาซา พร้อมระบุว่ากองกำลังของพวกเขาใช้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก "ฟัตตาห์" เป็นครั้งแรก และ 90% ในขีปนาวุธเหล่านั้น ประสบความสำเร็จพุ่งโดนเป้าหมายในอิสราเอล
    .
    ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บในอิสราเอล แต่มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในดินแดนดังกล่าว
    .
    วอชิงตันและสหภาพยุโรปประณามการโจมตี ส่วนทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีกำหนดประชุมกันในประเด็นตะวันออกกลางในวันพุธ(2ต.ค.)
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ แสดงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลเต็มกำลัง และให้คำจำกัดความการโจมตีของอิหร่านว่า "ไร้ประสิทธิผล" พร้อมบอกว่าเขาได้มีการหารืออย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับแนวทางการตอบโต้ของอิสราเอล และเขาจะมีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล อีกรอบ
    .
    พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลประกาศกร้าวว่าอิหร่านจะต้องเจอผลสนองจากการโจมตีครั้งนี้ "เราจะตอบโต้ ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่และอย่างไร ที่เราเป็นคนเลือก และมันจะเป็นไปตามคำบัญชาของรัฐบาลอิสราเอล" พลเรือตรีดาเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันอิสราเอลกล่าว
    .
    สหรัฐฯแสดงจุดยืนสนับสนุนคำประกาศกร้าวของพันธมิตรที่ยาวนานแห่งนี้ "เราขอพูดอย่างชัดเจนว่าจะมีผลสนอง ผลสนองรุนแรง สำหรับการโจมตีนี้ และเราจะทำงานร่วมกับอิสราเอล เพื่อทำให้มันเป็นเช่นนั้น" เจค ซัลลิแวน โฆษกทำเนียบขาวระบุระหว่างแถลงสรุป
    .
    ซัลลิแวน ไม่ได้เจาะจงเกี่ยวกับแนวทางตอบโต้ แต่เขาไม่ได้เรียกร้องให้อิสราเอลอดทนอดกลั้น แบบเดียวกับที่สหรัฐฯเคยทำ ครั้งที่ อิหร่าน ดำเนินการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล เมื่อเดือนเมษายน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านระบุว่าปฏิบัติการนี้เป็นการป้องกันตนเอง และเป็นการเล็งเป้าเล่นงานเฉพาะที่ตั้งทางทหารและความมั่นคงของอิสราเอล ก่อนหน้านี้สื่อมวลชนแห่งรัฐของอิหร่าน บอกว่าเตหะรานเล็งเป้าหมายถล่มฐานทัพทหารอิสราเอล 3 แห่ง
    .
    แม้เป็นฝ่ายโจมตี แต่ อิหร่าน เรียกร้องให้มีความเคลื่อนไหวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขณะที่ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งยูเอ็น ประณามในสิ่งที่เขาเรียกว่า "การลุกลามหลังสถานการณ์บานปลาย" พร้อมระบุ "เรื่องนี้ต้องหยุด เราต้องการข้อตกลงหยุดยิงอย่างแท้จริง"
    .
    โจเซฟ บอร์เรล หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู ก็เรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในระดับภูมิภาคในทันที "วัฎจักรการโจมตีและแก้แค้นที่อันตรายนี้ ก่อความเสี่ยงทำให้สถานการณ์หลุดจากการควบคุม" เขาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์
    .
    อิหร่าน ระบุว่าหากอิสราเอลตอบโต้การแก้แค้นของเตหะราน "พวกเขาจะถูกบดขยี้และเจอหายนะหนักหน่วงกว่าเดิม" โดยประธานาธิบดีมาซูด เปเซซเคียน โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ว่า "นี่คือบางส่วนในแสนยานุภาพของเรา จงอย่าได้ถลำสู่การเผชิญหน้ากับอิหร่าน"
    .
    ห่าขีปนาวุธที่อิหร่านยิงเข้าใส่อิสราเอลรอบก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ถูกสอยร่วงภายใต้ความช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐฯและพันธมิตรอื่นๆ ขณะที่ทางอิสราเอลในตอนนั้น ตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศเข้าใส่อิหร่าน อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายในวงกว้าง
    .
    กระนั้นเพนตากอนระบุว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในวันอังคาร(1ต.ค.) ของอิสราเอล มีขนาดใหญ่กว่าการโจมตีเมื่อเดือนเมษายน เป็นเท่าตัว
    .
    การโจมตีของอิหร่าน มีขึ้นหลังจากพวกเขาประกาศแก้แค้น ตามหลังอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีสังหารผู้นำระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน พันธมิตรของพวกเขา ในนั้นรมถึง ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่ม บุคคลสำคัญในเครือข่ายนักรบติดอาวุธของอิหร่านทั่วภูมิภาค
    .
    ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ที่ติดหล่มอยู่ในสงครามมาเกือบ 1 ปี เฉลิมฉลองตอนเฝ้าดูจรวดหลายสิบลูกมุ่งหน้าสู่อิสราเอล บางส่วนของจรวดเหล่านั้นตกลงในฉนวนปาเลสไตน์ หลังจากถูกอิสราเอลยิงสกัด แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
    .
    ปฏิบัติการโจมตีของอิหร่าน มีขึ้นหลังจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นจู่โจมเลบานอน แม้ให้คำจำกัดความว่ามันเป็นการรุกรานอย่างจำกัด
    .
    มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 1,900 คนและบาดเจ็บอีกมากกว่า 9,000 คน ในเลบานอน ท่ามกลางการยิงตอบโต้ข้ามชายแดนเกือบ 1 ปี ส่วนใหญ่เสียชีวิตในช่วง 2 สัปดาห์หลังสุด
    .
    อย่างไรก็ตามปฏิบัติการรุกรานทางภาคพื้นของอิสราเอล เข้าไปยังเลบานอน เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี สู้รบกับพวกฮิซบอลเลาะห์ กองกำลังตัวแทนติดอาวุธของอิหร่านที่เข้มแข็งที่สุดในตะวันออกกลาง อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายครั้งใหญ่ในระดับภูมิภาค
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000092781
    ..................
    Sondhi X
    อิหร่านรัวยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกเข้าใส่อิสราเอลในวันอังคาร(1ต.ค.) ในการแก้แค้นปฏิบัติการของรัฐยิวที่เล่นงานพันธมิตรฮิซบอลเลาะห์ของเตหะรานในเลบานอน กระตุ้นคำประกาศกร้าวตอบโต้หนักหน่วงมาจากทั้งอิสราเอลและสหรัฐฯ . เสียงไซเรนเตือนภัยดังระงมทั่วอิสราเอลและได้ยินเสียงระเบิดตูมสนั่นทั้งในเยรูซาเลมและแถบหุบเขาจอร์แดน พวกชาวบ้านชาวอิสราเอลพากันหลบหนีไปยังที่หลบภัยระเบิด และผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆต้องก้มหลบลงกับพื้น ระหว่างออกอากาศสด . อิสราเอลเปิดเผยว่ามีขีปนาวุธมากกว่า 180 ลูก ที่อิหร่านยิงเข้าใส่อิสราเอล กระตุ้นให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศทำงานเข้าสกัดกั้นขีปนาวุธเหล่านั้น ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ(เพนตากอน) ระบุว่าเรือรบของกองทัพเรืออเมริกาได้ยิงตัวสกัดกั้นหลายสิบลูก ช่วยสกัดขีปนาวุธของอิหร่านที่พุ่งเข้าหาอิสราเอลเช่นกัน . กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เปิดเผยว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นการแก้แค้นปฏิบัติการต่างๆนานาของอิสราเอลเมื่อเร็วๆนี้ ที่สังหารพวกผู้นำของกลุ่มติดอาวุธ และรุกรานเข้าไปในเลบานอนและกาซา พร้อมระบุว่ากองกำลังของพวกเขาใช้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก "ฟัตตาห์" เป็นครั้งแรก และ 90% ในขีปนาวุธเหล่านั้น ประสบความสำเร็จพุ่งโดนเป้าหมายในอิสราเอล . ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บในอิสราเอล แต่มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในดินแดนดังกล่าว . วอชิงตันและสหภาพยุโรปประณามการโจมตี ส่วนทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีกำหนดประชุมกันในประเด็นตะวันออกกลางในวันพุธ(2ต.ค.) . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ แสดงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลเต็มกำลัง และให้คำจำกัดความการโจมตีของอิหร่านว่า "ไร้ประสิทธิผล" พร้อมบอกว่าเขาได้มีการหารืออย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับแนวทางการตอบโต้ของอิสราเอล และเขาจะมีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล อีกรอบ . พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลประกาศกร้าวว่าอิหร่านจะต้องเจอผลสนองจากการโจมตีครั้งนี้ "เราจะตอบโต้ ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่และอย่างไร ที่เราเป็นคนเลือก และมันจะเป็นไปตามคำบัญชาของรัฐบาลอิสราเอล" พลเรือตรีดาเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันอิสราเอลกล่าว . สหรัฐฯแสดงจุดยืนสนับสนุนคำประกาศกร้าวของพันธมิตรที่ยาวนานแห่งนี้ "เราขอพูดอย่างชัดเจนว่าจะมีผลสนอง ผลสนองรุนแรง สำหรับการโจมตีนี้ และเราจะทำงานร่วมกับอิสราเอล เพื่อทำให้มันเป็นเช่นนั้น" เจค ซัลลิแวน โฆษกทำเนียบขาวระบุระหว่างแถลงสรุป . ซัลลิแวน ไม่ได้เจาะจงเกี่ยวกับแนวทางตอบโต้ แต่เขาไม่ได้เรียกร้องให้อิสราเอลอดทนอดกลั้น แบบเดียวกับที่สหรัฐฯเคยทำ ครั้งที่ อิหร่าน ดำเนินการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล เมื่อเดือนเมษายน . กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านระบุว่าปฏิบัติการนี้เป็นการป้องกันตนเอง และเป็นการเล็งเป้าเล่นงานเฉพาะที่ตั้งทางทหารและความมั่นคงของอิสราเอล ก่อนหน้านี้สื่อมวลชนแห่งรัฐของอิหร่าน บอกว่าเตหะรานเล็งเป้าหมายถล่มฐานทัพทหารอิสราเอล 3 แห่ง . แม้เป็นฝ่ายโจมตี แต่ อิหร่าน เรียกร้องให้มีความเคลื่อนไหวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขณะที่ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งยูเอ็น ประณามในสิ่งที่เขาเรียกว่า "การลุกลามหลังสถานการณ์บานปลาย" พร้อมระบุ "เรื่องนี้ต้องหยุด เราต้องการข้อตกลงหยุดยิงอย่างแท้จริง" . โจเซฟ บอร์เรล หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู ก็เรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในระดับภูมิภาคในทันที "วัฎจักรการโจมตีและแก้แค้นที่อันตรายนี้ ก่อความเสี่ยงทำให้สถานการณ์หลุดจากการควบคุม" เขาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ . อิหร่าน ระบุว่าหากอิสราเอลตอบโต้การแก้แค้นของเตหะราน "พวกเขาจะถูกบดขยี้และเจอหายนะหนักหน่วงกว่าเดิม" โดยประธานาธิบดีมาซูด เปเซซเคียน โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ว่า "นี่คือบางส่วนในแสนยานุภาพของเรา จงอย่าได้ถลำสู่การเผชิญหน้ากับอิหร่าน" . ห่าขีปนาวุธที่อิหร่านยิงเข้าใส่อิสราเอลรอบก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ถูกสอยร่วงภายใต้ความช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐฯและพันธมิตรอื่นๆ ขณะที่ทางอิสราเอลในตอนนั้น ตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศเข้าใส่อิหร่าน อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายในวงกว้าง . กระนั้นเพนตากอนระบุว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในวันอังคาร(1ต.ค.) ของอิสราเอล มีขนาดใหญ่กว่าการโจมตีเมื่อเดือนเมษายน เป็นเท่าตัว . การโจมตีของอิหร่าน มีขึ้นหลังจากพวกเขาประกาศแก้แค้น ตามหลังอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีสังหารผู้นำระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน พันธมิตรของพวกเขา ในนั้นรมถึง ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่ม บุคคลสำคัญในเครือข่ายนักรบติดอาวุธของอิหร่านทั่วภูมิภาค . ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ที่ติดหล่มอยู่ในสงครามมาเกือบ 1 ปี เฉลิมฉลองตอนเฝ้าดูจรวดหลายสิบลูกมุ่งหน้าสู่อิสราเอล บางส่วนของจรวดเหล่านั้นตกลงในฉนวนปาเลสไตน์ หลังจากถูกอิสราเอลยิงสกัด แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต . ปฏิบัติการโจมตีของอิหร่าน มีขึ้นหลังจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นจู่โจมเลบานอน แม้ให้คำจำกัดความว่ามันเป็นการรุกรานอย่างจำกัด . มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 1,900 คนและบาดเจ็บอีกมากกว่า 9,000 คน ในเลบานอน ท่ามกลางการยิงตอบโต้ข้ามชายแดนเกือบ 1 ปี ส่วนใหญ่เสียชีวิตในช่วง 2 สัปดาห์หลังสุด . อย่างไรก็ตามปฏิบัติการรุกรานทางภาคพื้นของอิสราเอล เข้าไปยังเลบานอน เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี สู้รบกับพวกฮิซบอลเลาะห์ กองกำลังตัวแทนติดอาวุธของอิหร่านที่เข้มแข็งที่สุดในตะวันออกกลาง อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายครั้งใหญ่ในระดับภูมิภาค . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000092781 .................. Sondhi X
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 1 Shares 513 Views 0 Reviews
  • เซเลนสกี้รับสถานการณ์ในแนวรบทุกๆ ส่วนที่เผชิญหน้ากับรัสเซีย เวลานี้ อยู่ในภาวะ“ยากลำบากมากๆ ” พร้อมกับกระตุ้นกองกำลังของฝ่ายยูเครนให้สู้เต็มที่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างยึดหมู่บ้านทางตะวันออกของยูเครนได้อีกแห่ง นอกจากนั้นมอสโกยังเผยร่างงบประมาณสำหรับปีหน้าที่จะมีการเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารเกือบ 30%
    .
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน กล่าวในระหว่างการปราศรัยผ่านวิดีโอที่ทำเป็นประจำทุกคืน เมื่อคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) ว่า ระหว่างประชุมกับพวกผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูง เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เขาได้รับรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในแต่ละส่วนของแนวหน้าที่ยูเครนเผชิญหน้ากับรัสเซีย รวมทั้งสมรรถนะของยูเครนเวลานี้ ตลอดจนสมรรถนะในอนาคต และภารกิจพิเศษตางๆ ของยูเครน ซึ่งเขาพบว่าสถานการณ์อยู่ในความยากลำบากมากๆ
    .
    “ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้ จะต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย” เขากล่าว
    .
    ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองแล้วในระยะเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ที่เซเลนสกี้อ้างถึงความจำเป็นที่จะต้องกระทำการอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ในแง่ของการปฏิบัติการทางทหาร
    .
    ก่อนหน้านี้ผู้นำยูเครนแสดงความเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นสำหรับปฏิบัติการทางทหารอย่างรวดเร็วภายหลังพบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ที่นิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (27) และในเวลาต่อมาเขาให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ว่า ทรัมป์ยืนยันว่าถ้าชนะการเลือกตั้ง จะให้การสนับสนุนเคียฟ
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี้ ซึ่งได้พบกับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ในการเดินทางมาสหรัฐฯเที่ยวนี้ด้วย ได้รับคำยืนยันอย่างชัดเจนจากแฮร์ริสว่า จะยังคงสนับสนุนการทำสงครามสู้รัสเซียของยูเครนอย่างแน่วแน่ แต่ในกรณีของทรัมป์นั้น กลับเป็นที่สงสัยข้องใจกัน เนื่องจากทรัมป์เองไม่เคยแถลงเช่นนี้ นอกจากนั้นหลังพบหารือกับประธานาธิบดียูเครนแล้ว ในการไปปราศรัยหาเสียงของเขาตอนค่ำวันศุกร์ (27) นั้นเอง ทรัมป์ยังคงประกาศนโยบายเดิมของเขา นั่นคือ หากได้รับเลือกตั้ง ก็จะเร่งให้ เซเลนสกี้ กับ ปูติน เจรจาเพื่อสงบศึกในยูเครน
    .
    ระยะไม่กี่วันที่ผ่านมา พงกบล็อกเกอร์สายทหารของยูเครนรายงานว่า กองกำลังรัสเซียกำลังรุกคืบหน้าในเมืองวูห์เลดาร์ ที่ตั้งอยู่บนเขาทางตอนใต้ของแคว้นโดเนตสก์ เมืองนี้ยังคงอยู่ใต้การควบคุมของกองกำลังฝ่ายยูเครนตลอดช่วงเวลากว่า 2 ปีนับจากเกิดสงคราม
    .
    “ดีปสเตท”ซึ่งเป็นบล็อกเกอร์ยอดนิยมระบุโดยอ้างอิงรายงานของรัสเซียว่า กองกำลังรัสเซียยิงปืนใหญ่ถล่มเมืองดังกล่าว และทหารราบรัสเซียเคลื่อนเข้าไปในเมือง พร้อมกับชักธงรัสเซียบนตึกสูงบางแห่งทางด้านตะวันตกของเมืองนี้
    .
    นอกจากเมืองวูห์เลดาร์ กองทัพรัสเซียยังรุกคืบไปทางด้านเหนืออย่างช้าๆ มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว โดยมีเป้าหมายยึดภูมิภาคดอนบาส ซึ่งประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์และแคว้นลูฮันสก์ เอาไว้ทั้งหมด
    .
    ในวันจันทร์ กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศว่า สามารถเข้ายึดหมู่บ้านเนลิพิฟกาทางใต้ของเมืองโทเรตสก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขาในบริเวณดังกล่าว
    .
    ทว่า กองเสนาธิการทหารยูเครนไม่ยอมรับว่าเสียหมู่บ้านแห่งนี้ แม้ระบุว่า กองกำลังรัสเซียโจมตีบริเวณดังกล่าว 10 ระลอก
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียได้เปิดเผยร่างงบประมาณที่ระบุว่า งบประมาณการทหารสำหรับปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเกือบ 30% เป็น 13.5 ล้านล้านรูเบิล (145,000 ล้านดอลลาร์)
    .
    อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ไม่รวมทรัพยากรอื่นๆ บางส่วนที่จัดสรรให้ปฏิบัติการทางทหารโดยตรง เช่น การใช้จ่ายที่รัสเซียระบุว่าเป็น “ความมั่นคงภายใน” และการใช้จ่ายบางรายการที่ระบุเป็นความลับสุดยอด
    .
    นอกจากนั้น หากรวมการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงจะคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่คาดการณ์ไว้ที่ 41.5 ล้านล้านรูเบิลในปี 2025
    .
    ระยะหลังมานี้รัสเซียเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายทางทหารถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับจากยุคสหภาพโซเวียต โดยอัดฉีดให้กับขีปนาวุธและโดรนที่ใช้ทำสงครามในยูเครน และการจ่ายเงินเดือนอย่างงามให้ทหารนับแสนนายที่สู้รบในแนวหน้า
    .
    ทางด้านยูเครนถูกบีบให้ต้องเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารโดยปริยายเพื่อรับมือการรุกรานของรัสเซีย โดยในปีหน้าเคียฟเล็งจัดสรรงบประมาณกว่า 60% สำหรับการใช้จ่ายในการป้องกันประเทศและความมั่นคง คิดเป็นมูลค่า 54,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยังห่างไกลมากจากงบประมาณการทหารของรัสเซียที่ 145,000 ล้านดอลลาร์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000092777
    ..................
    Sondhi X
    เซเลนสกี้รับสถานการณ์ในแนวรบทุกๆ ส่วนที่เผชิญหน้ากับรัสเซีย เวลานี้ อยู่ในภาวะ“ยากลำบากมากๆ ” พร้อมกับกระตุ้นกองกำลังของฝ่ายยูเครนให้สู้เต็มที่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างยึดหมู่บ้านทางตะวันออกของยูเครนได้อีกแห่ง นอกจากนั้นมอสโกยังเผยร่างงบประมาณสำหรับปีหน้าที่จะมีการเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารเกือบ 30% . ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน กล่าวในระหว่างการปราศรัยผ่านวิดีโอที่ทำเป็นประจำทุกคืน เมื่อคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) ว่า ระหว่างประชุมกับพวกผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูง เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เขาได้รับรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในแต่ละส่วนของแนวหน้าที่ยูเครนเผชิญหน้ากับรัสเซีย รวมทั้งสมรรถนะของยูเครนเวลานี้ ตลอดจนสมรรถนะในอนาคต และภารกิจพิเศษตางๆ ของยูเครน ซึ่งเขาพบว่าสถานการณ์อยู่ในความยากลำบากมากๆ . “ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้ จะต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย” เขากล่าว . ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองแล้วในระยะเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ที่เซเลนสกี้อ้างถึงความจำเป็นที่จะต้องกระทำการอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ในแง่ของการปฏิบัติการทางทหาร . ก่อนหน้านี้ผู้นำยูเครนแสดงความเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นสำหรับปฏิบัติการทางทหารอย่างรวดเร็วภายหลังพบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ที่นิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (27) และในเวลาต่อมาเขาให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ว่า ทรัมป์ยืนยันว่าถ้าชนะการเลือกตั้ง จะให้การสนับสนุนเคียฟ . ทั้งนี้ เซเลนสกี้ ซึ่งได้พบกับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ในการเดินทางมาสหรัฐฯเที่ยวนี้ด้วย ได้รับคำยืนยันอย่างชัดเจนจากแฮร์ริสว่า จะยังคงสนับสนุนการทำสงครามสู้รัสเซียของยูเครนอย่างแน่วแน่ แต่ในกรณีของทรัมป์นั้น กลับเป็นที่สงสัยข้องใจกัน เนื่องจากทรัมป์เองไม่เคยแถลงเช่นนี้ นอกจากนั้นหลังพบหารือกับประธานาธิบดียูเครนแล้ว ในการไปปราศรัยหาเสียงของเขาตอนค่ำวันศุกร์ (27) นั้นเอง ทรัมป์ยังคงประกาศนโยบายเดิมของเขา นั่นคือ หากได้รับเลือกตั้ง ก็จะเร่งให้ เซเลนสกี้ กับ ปูติน เจรจาเพื่อสงบศึกในยูเครน . ระยะไม่กี่วันที่ผ่านมา พงกบล็อกเกอร์สายทหารของยูเครนรายงานว่า กองกำลังรัสเซียกำลังรุกคืบหน้าในเมืองวูห์เลดาร์ ที่ตั้งอยู่บนเขาทางตอนใต้ของแคว้นโดเนตสก์ เมืองนี้ยังคงอยู่ใต้การควบคุมของกองกำลังฝ่ายยูเครนตลอดช่วงเวลากว่า 2 ปีนับจากเกิดสงคราม . “ดีปสเตท”ซึ่งเป็นบล็อกเกอร์ยอดนิยมระบุโดยอ้างอิงรายงานของรัสเซียว่า กองกำลังรัสเซียยิงปืนใหญ่ถล่มเมืองดังกล่าว และทหารราบรัสเซียเคลื่อนเข้าไปในเมือง พร้อมกับชักธงรัสเซียบนตึกสูงบางแห่งทางด้านตะวันตกของเมืองนี้ . นอกจากเมืองวูห์เลดาร์ กองทัพรัสเซียยังรุกคืบไปทางด้านเหนืออย่างช้าๆ มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว โดยมีเป้าหมายยึดภูมิภาคดอนบาส ซึ่งประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์และแคว้นลูฮันสก์ เอาไว้ทั้งหมด . ในวันจันทร์ กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศว่า สามารถเข้ายึดหมู่บ้านเนลิพิฟกาทางใต้ของเมืองโทเรตสก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขาในบริเวณดังกล่าว . ทว่า กองเสนาธิการทหารยูเครนไม่ยอมรับว่าเสียหมู่บ้านแห่งนี้ แม้ระบุว่า กองกำลังรัสเซียโจมตีบริเวณดังกล่าว 10 ระลอก . ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียได้เปิดเผยร่างงบประมาณที่ระบุว่า งบประมาณการทหารสำหรับปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเกือบ 30% เป็น 13.5 ล้านล้านรูเบิล (145,000 ล้านดอลลาร์) . อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ไม่รวมทรัพยากรอื่นๆ บางส่วนที่จัดสรรให้ปฏิบัติการทางทหารโดยตรง เช่น การใช้จ่ายที่รัสเซียระบุว่าเป็น “ความมั่นคงภายใน” และการใช้จ่ายบางรายการที่ระบุเป็นความลับสุดยอด . นอกจากนั้น หากรวมการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงจะคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่คาดการณ์ไว้ที่ 41.5 ล้านล้านรูเบิลในปี 2025 . ระยะหลังมานี้รัสเซียเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายทางทหารถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับจากยุคสหภาพโซเวียต โดยอัดฉีดให้กับขีปนาวุธและโดรนที่ใช้ทำสงครามในยูเครน และการจ่ายเงินเดือนอย่างงามให้ทหารนับแสนนายที่สู้รบในแนวหน้า . ทางด้านยูเครนถูกบีบให้ต้องเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารโดยปริยายเพื่อรับมือการรุกรานของรัสเซีย โดยในปีหน้าเคียฟเล็งจัดสรรงบประมาณกว่า 60% สำหรับการใช้จ่ายในการป้องกันประเทศและความมั่นคง คิดเป็นมูลค่า 54,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยังห่างไกลมากจากงบประมาณการทหารของรัสเซียที่ 145,000 ล้านดอลลาร์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000092777 .................. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 482 Views 0 Reviews
  • 1 ตุลาคม 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊ก สายัณห์ รุจิรโมรา ชี้ประเด็น การ audit การถือครองและการตรวจคุณภาพ (assay)ของจำนวนทองคำในคลังของรัฐบาลสหรัฐที่Fort Knox ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้

    “ moneymetals
    50-Year Anniversary of the Notorious “Show Audit” of Fort Knox Gold
    การตรวจสอบปริมาณทองคำสำรองสหรัฐที่ Fort Knox เมื่อ 50 ปีก่อน เป็นเพียงทีวีโชว์ ..."show audit"

    Matthew Cortez. Sept 23, 2024

    เงินเฟ้อเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ตอนนี้กำลังกระจายไปทั่ว มันสูบความมั่งคั่งของผู้ออมเงินผ่านอำนาจซื้อของ "เงิน" ปีแล้วปีเล่า

    ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลก -ตั้งแต่ซาอุดิอราเบีย ยันถึงจีน และทั้งโลก- ต่างก็แข่งกันซื้อทองคำอย่างเร่งด่วน หลายประเทศเช่นพวกกลุ่ม BRICS ถึงขนาดคิดที่จะเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้ากันแล้ว

    และเมื่อสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เกิดความไม่แน่นอน ทั้งนักลงทุน ธุรกิจเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาลต่างก็ถือทองคำเพื่อเป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากอิทธิพลจากเงินเฟ้อ

    จากรายงานที่เรารับรู้มาตลอด ทองคำรีเสิร์ฟของสหรัฐมีอยู่ 8,133 ตัน เกือบทั้งหมดนั้นเก็บรักษาที่คลังของรัฐบาลสหรัฐ (Bullion Depository) ที่ Fort Knox, Kentucky ...คลังนี้ถือเป็นสัญญลักษณ์ของสถานะอำนาจทางการเงินที่แข็งแกร่งของอเมริกาที่มีต่อทั้งโลก

    ทุนสำรองทองคำของสหรัฐนี้ไม่มีการตรวจสอบที่เชื่อถือได้มาตั้งแต่ปี 1974 ...ไม่นานหลังจากที่อเมริกาฉีกสัญญา Bretton Woods ที่ทำให้สถานะการถือครองทองคำของอเมริกาเป็นที่น่าเคลิอบแคลงสงสัย ที่จริงแล้ว การ audit ครั้งที่เกิดก่อนหน้าปี 1974 ก็ไม่น่าเชื่อถือเหมือนกัน

    นี่ก็ครบรอบ 50 ปีแล้วที่ประชาชนยังคงอยู่กับความน่าสงสัย คำถามก็ยังคงอยู่...ทองคำทั้งหมดของอเมริกา ยังอยู่มั้ย?

    ประวัติศาสตร์ของคลัง Bullion Depository ของสหรัฐที่ Kentucky

    ก่อสร้างปี 1936 เพื่อสนับสนุนคำสั่ง ปธน. ที่ 6102 (Executive Order 6102) ของปธน. รูสเวลท์ที่บังคับให้ประชาขนแลกทองคำของตนเป็นเงินกระดาษ ...คลังนี้ถูกเรียกตามสถานที่ตั้งว่า Fort Knox

    U.S. Bullion Depository แห่งนี้อยู่ใจกลางประเทศที่ห่างไกลจากชายฝั่งประเทศ เพื่อความปลอดภัยกรณีที่ถูกรุกราน

    ประตูของคลังแห่งนี้หนาถึง 21 นิ้ว ก่อสร้างด้วยเหล็กกล้าถึง 1,420 ตัน มันถูกออกแบบเป็นการเฉพาะเพื่อเก็บรักษาทองคำนับล้านๆ ออนซ์ (เป็นทองคำแท่งที่หลอมมาจากเหรียญ) ทีได้รับมาจากประชาชนสหรัฐ ตามคำสั่ง 6102 กับทองที่ยึดเข้ามาดื้อ ๆ จากประเทศในยุโรป ที่ถูกทำลายจากสงคราม

    ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีมาแล้ว ที่ประชาชนอเมริกันก็แคลงใจว่าในคลังยังมีทองคำอยู่จริงหรือ?

    ตอนนั้นมีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวกับทองคำเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่ว ...ทฤษฎีหนึ่งที่นักฏหมายคนหนึ่งในวอชิงตันให้สัมภาษณ์สื่อ The National Tattler ว่า ทองคำมูลค่า $20,000 ล้านอันตรธานไปจากคลังของรัฐบาลแห่งนี้ ข่าวนี้แพร่ไปทั่วคองเกรสอย่างรวดเร็ว

    คนอเมริกันจำนวนมากข้องใจกับคลังแห่งนี้ คิดว่าทองคำน่าจะหมดไปแล้ว จากการถูกต่างประเทศแลกคืนตลอดหลายปีก่อนหน้านั้น

    The “Show Audit” of Fort Knox Gold in 1974 Created More Questions

    รัฐบาลแก้เกม โดยจัดให้มีการ "Show Audit" ของ Fort Knox Gold เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1974 กระทรวงคลังเปิดห้องเก็บทองคำโชว์ แต่เปิดแค่ 1 ห้องจากทั้งหมด 15 ห้อง ให้นักการเมืองและนักข่าวเข้าชมทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อยืนยันว่ามันยังอยู่ ....ดูยังไง ๆ มันก็เป็นรายการทีวีโชว์ ไม่ใช่ audit ...(ผมจะแชร์ลิ้งค์ คลิปส่วนหนึ่งในคอมเมนท์ครับ)

    รายการโชว์ที่มีคลิปรวมกันประมาณสองชั่วโมง เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนักการเมืองและนักข่าว ที่มองดูทองคำแท่งที่กองเต็มรวม..สูงถึงเพดานในห้องเก็บนั้น

    ตลอดช่วงของการเข้าชม กลับไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของ serial# ของทองคำแต่ละแท่ง หรือผลการตรวจสอบความบริสุทธิ์ (assay) หรือแม้แต่หลักฐานความเป็นเจ้าของของรัฐบาลสหรัฐ ....(ตอนนั้นยังมีการรับฝากจากรัฐบาลต่างประเทศอยู่มาก)

    นี่เป็นรายการทีวีที่ออกอากาศปี 1974 มากกว่าจะเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ..แสดงจำนวนทองคำของสหรัฐในคลัง

    หลายสิบปีหลังจากนั้น มันก็ยังคงอึมครึมอยู่อย่างนั้น Fed ก็ยังพิมพ์เงินต่อไป ...ธนาคารกลางทั่วโลกก็เก็บสะสมทองคำกันต่อไป ....คนอเมริกันก็ยังเซ่อ..ไม่รู้อะไรเหมือนเดิมอยู่ต่อไป

    เมื่อปี 2021 สมาชิกสภา Alex Mooney (WV - R) เสนอออกกฎหมายให้มีการ audit การถือครอง ..การตรวจคุณภาพ (assay) และจำนวนทองคำของรัฐบาลสหรัฐ ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้ ...แต่เรื่องก็เงียบไป น่าจะต้องมีการเสนออีกในปีต่อ ๆ ไป

    คลิป "show audit" ผมแปะไว้ที่คอมเมนท์ครับ

    https://www.moneymetals.com/news/2024/09/23/50-year-anniversary-of-the-notorious-show-audit-of-fort-knox-gold-003484

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-รายงานจากเพจเฟซบุ๊ก สายัณห์ รุจิรโมรา ชี้ประเด็น การ audit การถือครองและการตรวจคุณภาพ (assay)ของจำนวนทองคำในคลังของรัฐบาลสหรัฐที่Fort Knox ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้ “ moneymetals 50-Year Anniversary of the Notorious “Show Audit” of Fort Knox Gold การตรวจสอบปริมาณทองคำสำรองสหรัฐที่ Fort Knox เมื่อ 50 ปีก่อน เป็นเพียงทีวีโชว์ ..."show audit" Matthew Cortez. Sept 23, 2024 เงินเฟ้อเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ตอนนี้กำลังกระจายไปทั่ว มันสูบความมั่งคั่งของผู้ออมเงินผ่านอำนาจซื้อของ "เงิน" ปีแล้วปีเล่า ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลก -ตั้งแต่ซาอุดิอราเบีย ยันถึงจีน และทั้งโลก- ต่างก็แข่งกันซื้อทองคำอย่างเร่งด่วน หลายประเทศเช่นพวกกลุ่ม BRICS ถึงขนาดคิดที่จะเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้ากันแล้ว และเมื่อสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เกิดความไม่แน่นอน ทั้งนักลงทุน ธุรกิจเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาลต่างก็ถือทองคำเพื่อเป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากอิทธิพลจากเงินเฟ้อ จากรายงานที่เรารับรู้มาตลอด ทองคำรีเสิร์ฟของสหรัฐมีอยู่ 8,133 ตัน เกือบทั้งหมดนั้นเก็บรักษาที่คลังของรัฐบาลสหรัฐ (Bullion Depository) ที่ Fort Knox, Kentucky ...คลังนี้ถือเป็นสัญญลักษณ์ของสถานะอำนาจทางการเงินที่แข็งแกร่งของอเมริกาที่มีต่อทั้งโลก ทุนสำรองทองคำของสหรัฐนี้ไม่มีการตรวจสอบที่เชื่อถือได้มาตั้งแต่ปี 1974 ...ไม่นานหลังจากที่อเมริกาฉีกสัญญา Bretton Woods ที่ทำให้สถานะการถือครองทองคำของอเมริกาเป็นที่น่าเคลิอบแคลงสงสัย ที่จริงแล้ว การ audit ครั้งที่เกิดก่อนหน้าปี 1974 ก็ไม่น่าเชื่อถือเหมือนกัน นี่ก็ครบรอบ 50 ปีแล้วที่ประชาชนยังคงอยู่กับความน่าสงสัย คำถามก็ยังคงอยู่...ทองคำทั้งหมดของอเมริกา ยังอยู่มั้ย? ประวัติศาสตร์ของคลัง Bullion Depository ของสหรัฐที่ Kentucky ก่อสร้างปี 1936 เพื่อสนับสนุนคำสั่ง ปธน. ที่ 6102 (Executive Order 6102) ของปธน. รูสเวลท์ที่บังคับให้ประชาขนแลกทองคำของตนเป็นเงินกระดาษ ...คลังนี้ถูกเรียกตามสถานที่ตั้งว่า Fort Knox U.S. Bullion Depository แห่งนี้อยู่ใจกลางประเทศที่ห่างไกลจากชายฝั่งประเทศ เพื่อความปลอดภัยกรณีที่ถูกรุกราน ประตูของคลังแห่งนี้หนาถึง 21 นิ้ว ก่อสร้างด้วยเหล็กกล้าถึง 1,420 ตัน มันถูกออกแบบเป็นการเฉพาะเพื่อเก็บรักษาทองคำนับล้านๆ ออนซ์ (เป็นทองคำแท่งที่หลอมมาจากเหรียญ) ทีได้รับมาจากประชาชนสหรัฐ ตามคำสั่ง 6102 กับทองที่ยึดเข้ามาดื้อ ๆ จากประเทศในยุโรป ที่ถูกทำลายจากสงคราม ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีมาแล้ว ที่ประชาชนอเมริกันก็แคลงใจว่าในคลังยังมีทองคำอยู่จริงหรือ? ตอนนั้นมีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวกับทองคำเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่ว ...ทฤษฎีหนึ่งที่นักฏหมายคนหนึ่งในวอชิงตันให้สัมภาษณ์สื่อ The National Tattler ว่า ทองคำมูลค่า $20,000 ล้านอันตรธานไปจากคลังของรัฐบาลแห่งนี้ ข่าวนี้แพร่ไปทั่วคองเกรสอย่างรวดเร็ว คนอเมริกันจำนวนมากข้องใจกับคลังแห่งนี้ คิดว่าทองคำน่าจะหมดไปแล้ว จากการถูกต่างประเทศแลกคืนตลอดหลายปีก่อนหน้านั้น The “Show Audit” of Fort Knox Gold in 1974 Created More Questions รัฐบาลแก้เกม โดยจัดให้มีการ "Show Audit" ของ Fort Knox Gold เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1974 กระทรวงคลังเปิดห้องเก็บทองคำโชว์ แต่เปิดแค่ 1 ห้องจากทั้งหมด 15 ห้อง ให้นักการเมืองและนักข่าวเข้าชมทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อยืนยันว่ามันยังอยู่ ....ดูยังไง ๆ มันก็เป็นรายการทีวีโชว์ ไม่ใช่ audit ...(ผมจะแชร์ลิ้งค์ คลิปส่วนหนึ่งในคอมเมนท์ครับ) รายการโชว์ที่มีคลิปรวมกันประมาณสองชั่วโมง เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนักการเมืองและนักข่าว ที่มองดูทองคำแท่งที่กองเต็มรวม..สูงถึงเพดานในห้องเก็บนั้น ตลอดช่วงของการเข้าชม กลับไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของ serial# ของทองคำแต่ละแท่ง หรือผลการตรวจสอบความบริสุทธิ์ (assay) หรือแม้แต่หลักฐานความเป็นเจ้าของของรัฐบาลสหรัฐ ....(ตอนนั้นยังมีการรับฝากจากรัฐบาลต่างประเทศอยู่มาก) นี่เป็นรายการทีวีที่ออกอากาศปี 1974 มากกว่าจะเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ..แสดงจำนวนทองคำของสหรัฐในคลัง หลายสิบปีหลังจากนั้น มันก็ยังคงอึมครึมอยู่อย่างนั้น Fed ก็ยังพิมพ์เงินต่อไป ...ธนาคารกลางทั่วโลกก็เก็บสะสมทองคำกันต่อไป ....คนอเมริกันก็ยังเซ่อ..ไม่รู้อะไรเหมือนเดิมอยู่ต่อไป เมื่อปี 2021 สมาชิกสภา Alex Mooney (WV - R) เสนอออกกฎหมายให้มีการ audit การถือครอง ..การตรวจคุณภาพ (assay) และจำนวนทองคำของรัฐบาลสหรัฐ ตลอดถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำสำรองทั้งหมดนี้ ...แต่เรื่องก็เงียบไป น่าจะต้องมีการเสนออีกในปีต่อ ๆ ไป คลิป "show audit" ผมแปะไว้ที่คอมเมนท์ครับ https://www.moneymetals.com/news/2024/09/23/50-year-anniversary-of-the-notorious-show-audit-of-fort-knox-gold-003484 #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 498 Views 1 Reviews
  • สนธิ รีเทิร์น รัฐบาลทุจริต เจอพันธมิตรฯแน่
    #SondhiX #Sondhitalk #Sondhi #จับประเด็น #สนธิ
    สนธิ รีเทิร์น รัฐบาลทุจริต เจอพันธมิตรฯแน่ #SondhiX #Sondhitalk #Sondhi #จับประเด็น #สนธิ
    Like
    Love
    Wow
    10
    0 Comments 3 Shares 711 Views 411 0 Reviews
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.77 : ท่อก๊าซไซบีเรีย และมองโกเลียตกกระป๋อง

    ความในตอนนี้เป็นส่วนที่ผมค้นคว้าเพิ่มเติมจากที่ผมได้ชมคลิปยูทูบรายการของคุณสนธิเรื่อง “มองโกเลียเสียค่าโง่“ ครับ

    ในเรื่อง ”มองโกเลียเสียค่าโง่“ นั้น ผมขอสรุปจากที่คุณสนธิเล่าไว้ว่า มองโกเลียซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างรัสเซียกับจีนนั้น เขามีแร่ธาตุอยู่ใต้ดินมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ”ทองแดง - copper" ครับ

    ทีนี้ก็มีบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ-ออสเตรเลียชื่อว่า “ริโอ ทินโท“ มองเห็นว่าใต้แผ่นดินของมองโกเลียนั้น มีทองแดง, เงิน และทองคำอยู่มหาศาล จึงเข้ามาลงทุนขุดเหมืองที่นี่ในปี 2010

    ตอนแรกๆกิจการก็ไปได้ดีและเริ่มสร้างรายได้ เพราะในปี 2013 บริษัทนี้สามารถส่งทองแดงไปขายให้จีนที่อยู่ใกล้ๆได้และจีนก็ต้องการทองแดงอยู่แล้วด้วย

    แต่พอถึงปี 2018 รัฐบาลมองโกเลียซึ่งถือหุ้นในเหมืองนี้ด้วย 51% ก็สั่งให้บริษัทริโอทินโทนั้นสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นมาใช้ในเหมืองเอง ห้ามซื้อไฟฟ้าจากฝั่งจีน ทั้งๆที่เสาส่งไฟฟ้าของจีนอยู่ห่างจากเหมืองเพียง 100 กม.เท่านั้น

    แน่นอนว่าการที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเองจะทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่บริษัทริโอทินโทก็ยอม เพราะเห็นแก่อนาคตทางธุรกิจของตัวเอง

    แต่พอถึงช่วงปี 2023-2024 นายกรัฐมนตรีมองโกเลีย คือ นายโอยุน เออร์ดีน เริ่มได้รับคำเชิญจากรัฐบาลสหรัฐ และได้ไปพบกับนางแอนโทนี บลิงเคน (รมว.ต่างประเทศ) และนางกมลา แฮริส (รอง ปธน.สหรัฐ) หลายครั้ง

    เราไม่รู้หรอกครับว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นายโอยุนกลับบ้านมาประกาศว่า มองโกเลียจะหาเพื่อนบ้านใหม่ (Third neighbor) นอกเหนือไปจากจีนและรัสเซีย อันหมายถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง

    ว่าแล้วนายโอยุนก็นำมองโกเลียไปเข้าร่วมวงกับอเมริกาในการแบนจีนกับเขาด้วย โดยสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเหมืองแร่ริโอทินโทขายทองแดงให้กับจีน

    ทีนี้ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น เพราะริโอทินโทก็บอกว่า “อ้าว…แล้วจะให้ตูขายให้ใครล่ะ? เราขุดทองแดงได้ใกล้ๆกับจีน จีนก็ซื้อเยอะ แถมมองโกเลียก็ไม่มีทางออกทะเล จะให้เราขนทองแดงออกไปขายนอกประเทศยังไงโดยไม่ผ่านจีน?”

    การณ์ในตอนนี้ก็คือ บริษัทริโอทินโทกำลังทบทวนอยู่ว่าจะเอาไงดี ดีไม่ดีอาจจะเลิกทำเหมืองที่นี่แล้วหานักลงทุนรายอื่นๆมาซื้อกิจการแทน

    คุณสนธิเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ซึ่งผมสนใจเรื่องนี้ต่อ จึงไปค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าเพิ่มเติมในย่อหน้าต่อไปนี้ครับ
    .
    .
    .
    เราทราบกันดีว่า จีนนั้นเป็นประเทศที่ต้องการพลังงานมากๆ และรัสเซียก็มีก๊าซธรรมชาติสำรองใต้แผ่นดินมากมายมหาศาล โดยเฉพาะที่ใต้แผ่นดินไซบีเรียนั้นมีก๊าซอยู่ถึง 40% ของทั้งประเทศรัสเซียเลย

    ในปี 2015 ปธน.สี จิ้นผิง กับ ปธน.ปูติน จับมือและตกลงกันว่าจะสร้างท่อส่งก๊าซจากไซบีเรียวิ่งเข้ามายังจีนครับ

    ตั้งชื่อท่อก๊าซนี้ว่า “พาวเวอร์ ออฟ ไซบีเรีย“ หรือ ”ไซบีเรีย 1” โดยท่อก๊าซนี้จะสามารถส่งก๊าซให้จีนได้สูงสุด 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (อ่านว่า สามหมื่นแปดพันล้าน)

    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตเร็วมาก ก๊าซจากท่อก๊าซไซบีเรีย 1 นั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเพียงในปี 2024 นี้จีนก็ต้องการก๊าซทะลุไปถึง 4 แสนล้านลบ.ม.แล้วครับ

    ในปี 2021 สองผู้นำนี้จึงมาตกลงกันอีกรอบพร้อมกับเชิญผู้นำมองโกเลียมาร่วมด้วย โดยจะสร้างท่อส่งก๊าซเพิ่มอีก 1 ท่อ ให้ชื่อว่า “ไซบีเรีย 2” ครับ

    ท่อไซบีเรีย 2 นี้มีความยาวถึง 2600 กิโลเมตร วิ่งผ่าน 3 ประเทศคือ รัสเซีย 100 กม. - มองโกเลีย 900 กม. - จีน 1600 กม.ครับ

    คุณผู้อ่านเห็นชื่อมองโกเลียก็รู้สึกตะหงิดๆใจแล้วใช่ไหมครับ
    .
    .
    .
    ตามกำหนดเดิมนั้นท่อไซบีเรีย 2 นี้จะเริ่มสร้างในปี 2024 นี้แหละครับและจะสร้างเสร็จในปี 2030 โน่น แต่เมื่อปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านสี จิ้นผิงได้ไปหารือกับปูติน และระบุชัดเจนว่า

    “จีนไม่ต้องการให้ท่อก๊าซไซบีเรีย 2 วิ่งผ่านมองโกเลียอีกต่อไป”

    คาดว่าจีนกังวลอยู่ 2 ประการ

    หนึ่ง… การที่ท่อก๊าซวิ่งผ่านมองโกเลีย มองโกเลียสามารถกำหนดเก็บค่าผ่านทางได้ตามแต่ที่รัฐบาลมองโกลจะเรียก

    สอง… เมื่อมองโกเลียแสดงออกแล้วว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจีน ท่อไซบีเรีย 2 ซึ่งถือเป็นความมั่นคงทางพลังงานของจีนจึงตกอยู่ในอันตราย

    การก่อสร้างท่อไซบีเรีย 2 จึงถูกเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ให้ไปวิ่งผ่านประเทศคาซัคสถานแทน ซึ่งเอาจริงๆแล้วทำให้การก่อสร้างง่ายกว่าผ่านมองโกเลีย

    ทีนี้ถ้าถามว่า “มองโกเลียเสียอะไรไปไหม?”

    คำตอบคือ “เสียรายได้เข้าประเทศไปแน่ๆแล้วปีละอย่างน้อย 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ยังไม่รวมค่าผ่านทางท่อก๊าซที่จะเสียเพิ่มให้อีก“

    และยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์กับจีนที่พังทลายไป ทั้งๆที่ตัวเองต้องพึ่งพาจีนอยู่อีกมากมาย

    ส่วนส้มนั้นก็ไปหล่นใส่มือของคาซัคสถานที่อยู่ดีๆก็ได้เงินเข้าประเทศ

    สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ก็ควรได้รู้ว่ามองโกเลียนั้นเป็นประเทศ Land locked country ครับ คือ ไม่มีทางออกทะเล โดนรัสเซียประกบอยู่บนหัว และจีนประกบอยู่ทางใต้

    ทุกวันนี้การค้าการส่งออกนำเข้าสินค้าของมองโกเลียก็อาศัยพึ่งพาถนนและท่าเรือของจีนที่เทียนจินทั้งหมด ท่าเรือนี้เป็นทางออกทะเลเดียวที่มองโกเลียมี เพราะรัสเซียไม่ให้มองโกเลียใช้ท่าเรือแล้ว

    ผู้นำมองโกลนั้น คงไม่เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งที่ว่า Don't bite the hands that feed you หรือ กินบนเรือน ขี้รดหลังคา

    นี่คือความโง่ของผู้นำมองโกลครับ แทนที่จะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่กันไปชั่วฟ้าดินสลาย กลับไปเชื่อฟังชาติห่างไกลที่เพียงหวังจะหลอกใช้เท่านั้น

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.77 : ท่อก๊าซไซบีเรีย และมองโกเลียตกกระป๋อง ความในตอนนี้เป็นส่วนที่ผมค้นคว้าเพิ่มเติมจากที่ผมได้ชมคลิปยูทูบรายการของคุณสนธิเรื่อง “มองโกเลียเสียค่าโง่“ ครับ ในเรื่อง ”มองโกเลียเสียค่าโง่“ นั้น ผมขอสรุปจากที่คุณสนธิเล่าไว้ว่า มองโกเลียซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างรัสเซียกับจีนนั้น เขามีแร่ธาตุอยู่ใต้ดินมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ”ทองแดง - copper" ครับ ทีนี้ก็มีบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ-ออสเตรเลียชื่อว่า “ริโอ ทินโท“ มองเห็นว่าใต้แผ่นดินของมองโกเลียนั้น มีทองแดง, เงิน และทองคำอยู่มหาศาล จึงเข้ามาลงทุนขุดเหมืองที่นี่ในปี 2010 ตอนแรกๆกิจการก็ไปได้ดีและเริ่มสร้างรายได้ เพราะในปี 2013 บริษัทนี้สามารถส่งทองแดงไปขายให้จีนที่อยู่ใกล้ๆได้และจีนก็ต้องการทองแดงอยู่แล้วด้วย แต่พอถึงปี 2018 รัฐบาลมองโกเลียซึ่งถือหุ้นในเหมืองนี้ด้วย 51% ก็สั่งให้บริษัทริโอทินโทนั้นสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นมาใช้ในเหมืองเอง ห้ามซื้อไฟฟ้าจากฝั่งจีน ทั้งๆที่เสาส่งไฟฟ้าของจีนอยู่ห่างจากเหมืองเพียง 100 กม.เท่านั้น แน่นอนว่าการที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเองจะทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่บริษัทริโอทินโทก็ยอม เพราะเห็นแก่อนาคตทางธุรกิจของตัวเอง แต่พอถึงช่วงปี 2023-2024 นายกรัฐมนตรีมองโกเลีย คือ นายโอยุน เออร์ดีน เริ่มได้รับคำเชิญจากรัฐบาลสหรัฐ และได้ไปพบกับนางแอนโทนี บลิงเคน (รมว.ต่างประเทศ) และนางกมลา แฮริส (รอง ปธน.สหรัฐ) หลายครั้ง เราไม่รู้หรอกครับว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นายโอยุนกลับบ้านมาประกาศว่า มองโกเลียจะหาเพื่อนบ้านใหม่ (Third neighbor) นอกเหนือไปจากจีนและรัสเซีย อันหมายถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง ว่าแล้วนายโอยุนก็นำมองโกเลียไปเข้าร่วมวงกับอเมริกาในการแบนจีนกับเขาด้วย โดยสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเหมืองแร่ริโอทินโทขายทองแดงให้กับจีน ทีนี้ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น เพราะริโอทินโทก็บอกว่า “อ้าว…แล้วจะให้ตูขายให้ใครล่ะ? เราขุดทองแดงได้ใกล้ๆกับจีน จีนก็ซื้อเยอะ แถมมองโกเลียก็ไม่มีทางออกทะเล จะให้เราขนทองแดงออกไปขายนอกประเทศยังไงโดยไม่ผ่านจีน?” การณ์ในตอนนี้ก็คือ บริษัทริโอทินโทกำลังทบทวนอยู่ว่าจะเอาไงดี ดีไม่ดีอาจจะเลิกทำเหมืองที่นี่แล้วหานักลงทุนรายอื่นๆมาซื้อกิจการแทน คุณสนธิเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ซึ่งผมสนใจเรื่องนี้ต่อ จึงไปค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าเพิ่มเติมในย่อหน้าต่อไปนี้ครับ . . . เราทราบกันดีว่า จีนนั้นเป็นประเทศที่ต้องการพลังงานมากๆ และรัสเซียก็มีก๊าซธรรมชาติสำรองใต้แผ่นดินมากมายมหาศาล โดยเฉพาะที่ใต้แผ่นดินไซบีเรียนั้นมีก๊าซอยู่ถึง 40% ของทั้งประเทศรัสเซียเลย ในปี 2015 ปธน.สี จิ้นผิง กับ ปธน.ปูติน จับมือและตกลงกันว่าจะสร้างท่อส่งก๊าซจากไซบีเรียวิ่งเข้ามายังจีนครับ ตั้งชื่อท่อก๊าซนี้ว่า “พาวเวอร์ ออฟ ไซบีเรีย“ หรือ ”ไซบีเรีย 1” โดยท่อก๊าซนี้จะสามารถส่งก๊าซให้จีนได้สูงสุด 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (อ่านว่า สามหมื่นแปดพันล้าน) แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตเร็วมาก ก๊าซจากท่อก๊าซไซบีเรีย 1 นั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเพียงในปี 2024 นี้จีนก็ต้องการก๊าซทะลุไปถึง 4 แสนล้านลบ.ม.แล้วครับ ในปี 2021 สองผู้นำนี้จึงมาตกลงกันอีกรอบพร้อมกับเชิญผู้นำมองโกเลียมาร่วมด้วย โดยจะสร้างท่อส่งก๊าซเพิ่มอีก 1 ท่อ ให้ชื่อว่า “ไซบีเรีย 2” ครับ ท่อไซบีเรีย 2 นี้มีความยาวถึง 2600 กิโลเมตร วิ่งผ่าน 3 ประเทศคือ รัสเซีย 100 กม. - มองโกเลีย 900 กม. - จีน 1600 กม.ครับ คุณผู้อ่านเห็นชื่อมองโกเลียก็รู้สึกตะหงิดๆใจแล้วใช่ไหมครับ . . . ตามกำหนดเดิมนั้นท่อไซบีเรีย 2 นี้จะเริ่มสร้างในปี 2024 นี้แหละครับและจะสร้างเสร็จในปี 2030 โน่น แต่เมื่อปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านสี จิ้นผิงได้ไปหารือกับปูติน และระบุชัดเจนว่า “จีนไม่ต้องการให้ท่อก๊าซไซบีเรีย 2 วิ่งผ่านมองโกเลียอีกต่อไป” คาดว่าจีนกังวลอยู่ 2 ประการ หนึ่ง… การที่ท่อก๊าซวิ่งผ่านมองโกเลีย มองโกเลียสามารถกำหนดเก็บค่าผ่านทางได้ตามแต่ที่รัฐบาลมองโกลจะเรียก สอง… เมื่อมองโกเลียแสดงออกแล้วว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจีน ท่อไซบีเรีย 2 ซึ่งถือเป็นความมั่นคงทางพลังงานของจีนจึงตกอยู่ในอันตราย การก่อสร้างท่อไซบีเรีย 2 จึงถูกเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ให้ไปวิ่งผ่านประเทศคาซัคสถานแทน ซึ่งเอาจริงๆแล้วทำให้การก่อสร้างง่ายกว่าผ่านมองโกเลีย ทีนี้ถ้าถามว่า “มองโกเลียเสียอะไรไปไหม?” คำตอบคือ “เสียรายได้เข้าประเทศไปแน่ๆแล้วปีละอย่างน้อย 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ยังไม่รวมค่าผ่านทางท่อก๊าซที่จะเสียเพิ่มให้อีก“ และยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์กับจีนที่พังทลายไป ทั้งๆที่ตัวเองต้องพึ่งพาจีนอยู่อีกมากมาย ส่วนส้มนั้นก็ไปหล่นใส่มือของคาซัคสถานที่อยู่ดีๆก็ได้เงินเข้าประเทศ สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ก็ควรได้รู้ว่ามองโกเลียนั้นเป็นประเทศ Land locked country ครับ คือ ไม่มีทางออกทะเล โดนรัสเซียประกบอยู่บนหัว และจีนประกบอยู่ทางใต้ ทุกวันนี้การค้าการส่งออกนำเข้าสินค้าของมองโกเลียก็อาศัยพึ่งพาถนนและท่าเรือของจีนที่เทียนจินทั้งหมด ท่าเรือนี้เป็นทางออกทะเลเดียวที่มองโกเลียมี เพราะรัสเซียไม่ให้มองโกเลียใช้ท่าเรือแล้ว ผู้นำมองโกลนั้น คงไม่เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งที่ว่า Don't bite the hands that feed you หรือ กินบนเรือน ขี้รดหลังคา นี่คือความโง่ของผู้นำมองโกลครับ แทนที่จะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่กันไปชั่วฟ้าดินสลาย กลับไปเชื่อฟังชาติห่างไกลที่เพียงหวังจะหลอกใช้เท่านั้น นัทแนะ
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • ติ่ง 🇺🇦 🇺🇸 🇬🇧 🇪🇺 คิดได้ไงว่ารัสเซีย จ๊น จน จน จน😁😆

    🇷🇺 รัสเซียวางแผนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม 30% ในปี 2568
    .
    🔴🔴 30 ก.ย. 67 #AFP เปิดเผย : แผนการใช้จ่ายเพิ่มล่าสุดที่วางแผนไว้ จะส่งผลให้งบประมาณกลาโหมของรัสเซียเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568 ตามเอกสารร่างงบประมาณที่เผยแพร่เมื่อ 30 ก.ย. บนเว็บไซต์ของรัฐสภา
    • หรือ 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • หรือ งบกลาโหมรัสเซีย ในปี 68 อยู่ที่ 4.73 ล้านล้านบาท เอง😁
    • ตัวเลขนี้ ยังไม่รวมทรัพยากรอื่นๆ ที่ถูกใช้ไปกับสงคราม เช่น การใช้จ่ายที่รัสเซียเรียกว่า "ความมั่นคงภายในประเทศ" "domestic security"
    .
    อันตัน ซิลูอานอฟ Anton Siluanov รมว.คลังรัสเซีย กล่าวในการประชุมรัฐบาลทางโทรทัศน์ เมื่อ 1 ต.ค.
    • ในปี 2568 “ลำดับความสำคัญสูงสุด” ของงบประมาณคือ “การสนับสนุนทางสังคมสำหรับประชาชน”

    • ประการที่สอง คือ การจัดสรรงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ และความมั่นคง จัดสรรทรัพยากรสำหรับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร และ 📍 "สนับสนุนครอบครัวของผู้เข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหาร”
    • การใช้จ่ายรวมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง จะคิดเป็นประมาณ 40% ของการใช้จ่ายของรัฐบาลรัสเซียทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 41.5 ล้านล้านรูเบิล หรือ 447,000 ล้านดอลลาร์
    .
    🔴🔴 30 ก.ย. 67 #รัสเซีย เตรียมปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหม 25 - 30% ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568😆
    • งบประมาณด้านกลาโหมที่จัดสรรไว้ในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด กว่าเมื่อปีก่อนอยู่ราว 3 ล้านล้านรูเบิล
    .
    🔘 งบประมาณปี 2568 แสดงให้เห็นว่า : ปูตินได้นำเอาสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "แนวคิดเคนส์ทางการทหาร" “military Keynesianism” มาใช้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ :
    • การใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดสงครามในยูเครน
    • กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
    • ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
    • การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการยืนยันว่า : #เศรษฐกิจ ได้เปลี่ยนไปสู่การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
    .
    📍 ตามร่างงบประมาณ คาดว่าการใช้จ่ายด้านสังคมจะลดลง 16% จาก 7.7 ล้านล้านรูเบิล ในปี 67 เป็น 6.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 68
    .
    🇷🇺 🇷🇺 🇷🇺 #การลงทุนมหาศาล ของรัสเซีย ในด้านการทหาร

    🔘 ทำให้ผู้วางแผนสงครามในยุโรปเกิดความกังวล โดยระบุว่า :
    #NATO ประเมินความสามารถของรัสเซียในการทำสงครามระยะยาวต่ำเกินไป
    • ในขณะเดียวกัน #ยูเครน กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระดับการสนับสนุนในอนาคต จากพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด😆
    .
    🔴🔴 15 ก.พ. 67 "สูงกว่าที่เราคาดไว้มาก" : การผลิตอาวุธของรัสเซียทำให้ผู้วางแผนสงครามของยุโรปเป็นกังวล😁

    🇷🇺 #มอสโกว์ ได้ขยายอุตสาหกรรมของตนอย่างมหาศาล ทำให้ได้เปรียบในยูเครน และนำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งใหม่😆

    🔘 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศโดยรวม ได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ7.5% ของ GDP ของรัสเซีย
    • โรงงานผลิตกระสุน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานตลอดเวลา โดยมักจะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง พร้อมล่วงเวลา 2 เท่า
    • มีการสร้างงานใหม่ 520,000 ตำแหน่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร
    • ช่างเครื่องและช่างเชื่อมในโรงงานของรัสเซีย ที่ผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร มีรายได้มากกว่าผู้จัดการ และทนายความทั่วไปหลายคน


    Noraseth Tuntasiri
    ติ่ง 🇺🇦 🇺🇸 🇬🇧 🇪🇺 คิดได้ไงว่ารัสเซีย จ๊น จน จน จน😁😆 🇷🇺 รัสเซียวางแผนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม 30% ในปี 2568 . 🔴🔴 30 ก.ย. 67 #AFP เปิดเผย : แผนการใช้จ่ายเพิ่มล่าสุดที่วางแผนไว้ จะส่งผลให้งบประมาณกลาโหมของรัสเซียเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568 ตามเอกสารร่างงบประมาณที่เผยแพร่เมื่อ 30 ก.ย. บนเว็บไซต์ของรัฐสภา • หรือ 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ • หรือ งบกลาโหมรัสเซีย ในปี 68 อยู่ที่ 4.73 ล้านล้านบาท เอง😁 • ตัวเลขนี้ ยังไม่รวมทรัพยากรอื่นๆ ที่ถูกใช้ไปกับสงคราม เช่น การใช้จ่ายที่รัสเซียเรียกว่า "ความมั่นคงภายในประเทศ" "domestic security" . อันตัน ซิลูอานอฟ Anton Siluanov รมว.คลังรัสเซีย กล่าวในการประชุมรัฐบาลทางโทรทัศน์ เมื่อ 1 ต.ค. • ในปี 2568 “ลำดับความสำคัญสูงสุด” ของงบประมาณคือ “การสนับสนุนทางสังคมสำหรับประชาชน” • ประการที่สอง คือ การจัดสรรงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ และความมั่นคง จัดสรรทรัพยากรสำหรับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร และ 📍 "สนับสนุนครอบครัวของผู้เข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” • การใช้จ่ายรวมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง จะคิดเป็นประมาณ 40% ของการใช้จ่ายของรัฐบาลรัสเซียทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 41.5 ล้านล้านรูเบิล หรือ 447,000 ล้านดอลลาร์ . 🔴🔴 30 ก.ย. 67 #รัสเซีย เตรียมปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหม 25 - 30% ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 13.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 2568😆 • งบประมาณด้านกลาโหมที่จัดสรรไว้ในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด กว่าเมื่อปีก่อนอยู่ราว 3 ล้านล้านรูเบิล . 🔘 งบประมาณปี 2568 แสดงให้เห็นว่า : ปูตินได้นำเอาสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "แนวคิดเคนส์ทางการทหาร" “military Keynesianism” มาใช้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ : • การใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดสงครามในยูเครน • กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น • ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น • การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการยืนยันว่า : #เศรษฐกิจ ได้เปลี่ยนไปสู่การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม . 📍 ตามร่างงบประมาณ คาดว่าการใช้จ่ายด้านสังคมจะลดลง 16% จาก 7.7 ล้านล้านรูเบิล ในปี 67 เป็น 6.5 ล้านล้านรูเบิล ในปี 68 . 🇷🇺 🇷🇺 🇷🇺 #การลงทุนมหาศาล ของรัสเซีย ในด้านการทหาร 🔘 ทำให้ผู้วางแผนสงครามในยุโรปเกิดความกังวล โดยระบุว่า : • #NATO ประเมินความสามารถของรัสเซียในการทำสงครามระยะยาวต่ำเกินไป • ในขณะเดียวกัน #ยูเครน กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระดับการสนับสนุนในอนาคต จากพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด😆 . 🔴🔴 15 ก.พ. 67 "สูงกว่าที่เราคาดไว้มาก" : การผลิตอาวุธของรัสเซียทำให้ผู้วางแผนสงครามของยุโรปเป็นกังวล😁 🇷🇺 #มอสโกว์ ได้ขยายอุตสาหกรรมของตนอย่างมหาศาล ทำให้ได้เปรียบในยูเครน และนำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งใหม่😆 🔘 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศโดยรวม ได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ7.5% ของ GDP ของรัสเซีย • โรงงานผลิตกระสุน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานตลอดเวลา โดยมักจะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง พร้อมล่วงเวลา 2 เท่า • มีการสร้างงานใหม่ 520,000 ตำแหน่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร • ช่างเครื่องและช่างเชื่อมในโรงงานของรัสเซีย ที่ผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร มีรายได้มากกว่าผู้จัดการ และทนายความทั่วไปหลายคน Noraseth Tuntasiri
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • 1 ตุลาคม 2567-นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นาย Shigeru Ishiba (ชิเงรุ อิชิบะ) ผู้นำพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในการลงมติของรัฐสภาในวันนี้ สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายฟูมิโอะ คิชิดะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการเมือง เศรษฐกิจส่อเค้าไม่มั่นคง และภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เพิ่มสูงขึ้น

    ประวัติ ชิเงรุ อิชิบะ(石破 茂Ishiba Shigeru ) เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500เป็นนักการเมืองชาวญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 65 ของญี่ปุ่นและเป็นประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง 2551 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง 2552 รวมถึงดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ LDPตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง 2557

    https://asia.nikkei.com/Opinion/New-Japan-PM-Ishiba-needs-public-support-to-fend-off-Abe-loyalists

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นาย Shigeru Ishiba (ชิเงรุ อิชิบะ) ผู้นำพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการในการลงมติของรัฐสภาในวันนี้ สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายฟูมิโอะ คิชิดะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการเมือง เศรษฐกิจส่อเค้าไม่มั่นคง และภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เพิ่มสูงขึ้น ประวัติ ชิเงรุ อิชิบะ(石破 茂Ishiba Shigeru ) เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500เป็นนักการเมืองชาวญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 65 ของญี่ปุ่นและเป็นประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง 2551 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง 2552 รวมถึงดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ LDPตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง 2557 https://asia.nikkei.com/Opinion/New-Japan-PM-Ishiba-needs-public-support-to-fend-off-Abe-loyalists #Thaitimes
    ASIA.NIKKEI.COM
    New Japan PM Ishiba needs public support to fend off Abe loyalists
    Leader hemmed in by LDP's right flank, potentially more credible opposition
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 543 Views 0 Reviews
  • ยิวคือตัวปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้:

    ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมนั่งทำงานต่างๆ อยู่ พักสายตาผมก็อ่านข่าว มิฉะนั้นก็อ่านหนังสือ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นอย่างนี้ทุกวัน

    มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้อ่าน ผมมีก็แล้วกันคือ Jews are the Problem อธิบายว่ายิวคือต้นตอปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้ ยิวคือปัญหาด้านความมั่นคงจากนอกประเทศอย่างแท้จริง ถ้าไม่ศึกษาและหาทางป้องกันตัวจากการแทรกซึมของนโยบายยิว ประเทศนั้นๆ ก็จะตกเป็นเหยื่อการจัดระเบียบโลกไป

    อยากแนะนำให้ส่วนงานหน่วยความมั่นคง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สถาบันดีทีอาร์ไอและวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนี้ ยังมีองค์ความรู้ภัยความมั่นคงจากยิวไซออนิสต์กันน้อยมาก จะว่าอ่อนหัดก็ว่าได้ สังเกตการรับมือภัยจากอุดมการณ์ยิวไซออนิสต์ที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยของรัฐบาลแล้ว สี่องค์กรที่ว่าแม้จะเอาองค์ความรู้ที่มีอยู่มารวมกันก็ยังไม่เป็นสัปปะรดกันเลย

    หาอ่านกันเสียครับ

    Description:
    The most honest assessment of what’s going wrong on planet Earth is a reality we all must face to survive the 21st century. When I say “we” I mean people of all races. As someone rooted in African Nationalist thinking, I would never have imagined sharing a world view with White people, Asians, Arabs, and Hispanics.
    With the emergence of mRNA technology and the Jewish overthrow of the American Republic, the age-old desire of Jews to conquer, exterminate, and enslave the people of the planet is actually at the doorstep of completion. This reality puts Black, White, Brown, and Yellow in the same predicament.
    This book provides the narrow pathway for all races to escape this Jewish manufactured dystopian global genocide.


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ยิวคือตัวปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้: ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมนั่งทำงานต่างๆ อยู่ พักสายตาผมก็อ่านข่าว มิฉะนั้นก็อ่านหนังสือ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นอย่างนี้ทุกวัน มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้อ่าน ผมมีก็แล้วกันคือ Jews are the Problem อธิบายว่ายิวคือต้นตอปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้ ยิวคือปัญหาด้านความมั่นคงจากนอกประเทศอย่างแท้จริง ถ้าไม่ศึกษาและหาทางป้องกันตัวจากการแทรกซึมของนโยบายยิว ประเทศนั้นๆ ก็จะตกเป็นเหยื่อการจัดระเบียบโลกไป อยากแนะนำให้ส่วนงานหน่วยความมั่นคง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สถาบันดีทีอาร์ไอและวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนี้ ยังมีองค์ความรู้ภัยความมั่นคงจากยิวไซออนิสต์กันน้อยมาก จะว่าอ่อนหัดก็ว่าได้ สังเกตการรับมือภัยจากอุดมการณ์ยิวไซออนิสต์ที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยของรัฐบาลแล้ว สี่องค์กรที่ว่าแม้จะเอาองค์ความรู้ที่มีอยู่มารวมกันก็ยังไม่เป็นสัปปะรดกันเลย หาอ่านกันเสียครับ Description: The most honest assessment of what’s going wrong on planet Earth is a reality we all must face to survive the 21st century. When I say “we” I mean people of all races. As someone rooted in African Nationalist thinking, I would never have imagined sharing a world view with White people, Asians, Arabs, and Hispanics. With the emergence of mRNA technology and the Jewish overthrow of the American Republic, the age-old desire of Jews to conquer, exterminate, and enslave the people of the planet is actually at the doorstep of completion. This reality puts Black, White, Brown, and Yellow in the same predicament. This book provides the narrow pathway for all races to escape this Jewish manufactured dystopian global genocide. ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • สงครามที่ตะวันออกกลาง ต้องดูกันยาวๆ:

    คนไทยควรจะรับรู้กันให้มากว่าจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเป็นฝ่ายอนุมัติให้อิสราเอลบุกเลบานอน รัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ให้อาวุธแก่กองทัพอิสราเอล มอบเครื่องบินรบให้ มอบทั้งระเบิดให้ ทำงานการข่าวให้ และเป็นเสนาธิการให้ทหารอิสราเอล อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์และเลบานอนได้มากก็เพราะอเมริกาช่วย

    ไหนๆ เลบานอนก็เป็นเป้าหมายที่อิสราเอลจะขยายอำนาจและขยายพรมแดนของตนอยู่แล้ว เมื่อเลบานอนยื่นมามาช่วยปาเลสไตน์ที่อิสราเอลกำลังใช้กำลังยึดอยู่ อเมริกาก็ให้อิสราเอลยึดเลบานอนด้วยเลย จากนั้น ก็เล่นละครว่าพยายามหาทางสงบศึกโลกอาหรับต่อไป
    ในขณะเดียวกัน ประเทศซีเรียที่ช่วยในด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์และเลบานอนก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดด้วย ประเทศเยเมนที่ออกมาต่อสู้ให้ประเทศปาเลสไตน์ก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มด้วย

    ยังไงก็ตาม ผมทำนายไว้มานานแล้วว่าถ้ารบกันจริงๆ จังๆ และมีอิหร่านเข้ามาพันตูด้วย รัฐบาลอิสราเอลและอเมริกาจะพ่ายแพ้ในระยะยาว ไม่เกินปีหน้าครับ การรบในครั้งนี้ เสียหายอย่างหนักทั้ง ๒ ฝ่าย อิสราเอลใช้ระเบิดแรงสูงถล่มฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้ไฮเปอร์โซนิกถล่มเป้าหมายในอิสราเอลได้ตามเป้าเหมือนกัน แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวความเสียหายฝั่งอิสราเอลนัก เพราะอิสราเอลสั่งห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวความเสียหายของตน

    ดูกันยาวๆ ครับ

    https://thecradle.co/articles-id/27089


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    สงครามที่ตะวันออกกลาง ต้องดูกันยาวๆ: คนไทยควรจะรับรู้กันให้มากว่าจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเป็นฝ่ายอนุมัติให้อิสราเอลบุกเลบานอน รัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ให้อาวุธแก่กองทัพอิสราเอล มอบเครื่องบินรบให้ มอบทั้งระเบิดให้ ทำงานการข่าวให้ และเป็นเสนาธิการให้ทหารอิสราเอล อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์และเลบานอนได้มากก็เพราะอเมริกาช่วย ไหนๆ เลบานอนก็เป็นเป้าหมายที่อิสราเอลจะขยายอำนาจและขยายพรมแดนของตนอยู่แล้ว เมื่อเลบานอนยื่นมามาช่วยปาเลสไตน์ที่อิสราเอลกำลังใช้กำลังยึดอยู่ อเมริกาก็ให้อิสราเอลยึดเลบานอนด้วยเลย จากนั้น ก็เล่นละครว่าพยายามหาทางสงบศึกโลกอาหรับต่อไป ในขณะเดียวกัน ประเทศซีเรียที่ช่วยในด้านมนุษยธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์และเลบานอนก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดด้วย ประเทศเยเมนที่ออกมาต่อสู้ให้ประเทศปาเลสไตน์ก็โดนอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มด้วย ยังไงก็ตาม ผมทำนายไว้มานานแล้วว่าถ้ารบกันจริงๆ จังๆ และมีอิหร่านเข้ามาพันตูด้วย รัฐบาลอิสราเอลและอเมริกาจะพ่ายแพ้ในระยะยาว ไม่เกินปีหน้าครับ การรบในครั้งนี้ เสียหายอย่างหนักทั้ง ๒ ฝ่าย อิสราเอลใช้ระเบิดแรงสูงถล่มฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้ไฮเปอร์โซนิกถล่มเป้าหมายในอิสราเอลได้ตามเป้าเหมือนกัน แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวความเสียหายฝั่งอิสราเอลนัก เพราะอิสราเอลสั่งห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวความเสียหายของตน ดูกันยาวๆ ครับ https://thecradle.co/articles-id/27089 ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    THECRADLE.CO
    Washington 'quietly' gave Israel greenlight to expand war against Lebanon: Report
    In private talks, US officials agreed with Tel Aviv's plans to expand the war in the north after Israeli authorities spent months sabotaging ceasefire talks for Gaza
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • งานประธานาธิบดีพี่เค้าก็ทำมาแล้ว……แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่พี่ปูเขาทำ………หนักกว่าเป็นสองเท่าค่าาาา ติ่งขาาาาา…!!!!

    ตอนสิบเก้า………เส้นทางที่หวาดเสียวกับการล่มจม……ผ่านมาได้อย่างสวยงามเพราะยึดหลักว่า……ต้องพึ่งตัวเอง………!!!

    หลังจากที่ทุกคนเป็นปลื้มกับความอู้ฟู่อยู่ได้ไม่นาน
    วันที่ 5 กันยายน 2008 เป็นวันที่บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่สหรัฐอเมริกา Lehman Brothers ล้มละลายพังครืนลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่ดึงเศรษฐกิจโลกอ่อนยวบไปด้วย
    แม้แต่รัสเซียก็ไม่พ้น น้ำมันราคาตกต่ำกว่า $100 หุ้นร่วงลงติดพื้น
    ภายในสองเดือนของวิกฤติ เงินได้ไหลออกจากประเทศเป็นแสนล้าน เหล่ามหาเศรษฐีชิงกันขายรถหรู ขายเรือสำราญ
    เครื่องบินส่วนตัว
    รัฐบาลถอนเงินจากกองทุนต่างๆมาอุด แต่แทบไม่ได้ช่วยอะไร
    โรงงานปิดรายวัน คนงานไม่ได้รับเงินเดือน
    บารมีของปูตินที่เพิ่งใสสว่างราวดวงตะวัน……หม่นแสงลงอย่างดึงไว้ไม่อยู่
    แปดปี……ที่เขาเป็นประธานาธิบดี เวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น……
    คนที่รับหน้าในชั้นแรกคือ นายกรัฐมนตรี
    ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ในยามนี้ หมายถึงว่า เขาต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองทั้งหมด

    เดือนตุลาคม……เขาเรียกประชุมสภา พร้อมเผชิญหน้ากับฝ่ายค้าน (ฝ่ายซ้าย) ที่หัวหน้าคือ Gennady Zyuganov ที่รอโอกาสที่จะเชือดเขาให้เป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ หรือ รอโอกาสที่จะขอข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นผลบวกกับพรรคของตัวเอง
    แต่ครั้งนี้ Gennady กลับมาแปลก……เขาวางข้อขัดแย้งไว้
    และให้ข้อคิดว่า……
    “เมื่อครั้งที่เกิดเศรษฐกิจล่มสลายในปี 1929 (ตลาดหุ้นอเมริกาพังพินาศ หรือ the Great Depression ล่มต่อเนื่องไปหลายปี
    จนต่อมาประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt ได้ส่งทีมกู้เศรษฐกิจมารัสเซีย เพื่อดูลาดเลา และ มาดูความเป็นไปของเรา เพราะทางรัสเซียไม่มีผลกระทบอะไร……”
    ปูตินจึงได้สติ……เขาตอบว่า
    “จริงซิ……เพราะเราไม่เอาเงินของเราไปผูกกับตลาดหุ้นบ้าๆนั่น
    และ เราไม่ได้ใช้เงิน หรือ ลงทุนตามเขา……”

    ปูตินและทีมเศรษฐกิจจึงรีบหารือกันในการอุดรอยรั่วเป็นอันดับแรก
    นั่นคือ การที่เงินไหลออกเพราะเหล่าพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลายที่เอาเงินไปไว้ตามเกาะต่างๆ และ ธนาคารต่างประเทศ
    และมาฉวยโอกาสโมเมทำเป็นจนตามน้ำในตอนขาลงของสภาพคล่องของประเทศ
    เพราะโรงงานต่างๆกันปิดตัวระนาว…ในช่วงต้นปี 2009

    โดยเฉพาะในเดือนกรกฏาคม ที่เมืองอุตสาหกรรม Pikalevo ที่เป็นโรงงานอะลูมิเนียมส่วนใหญ่ที่มีแรงงานหลายหมื่นคน ที่ไม่ได้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่กำลังจะเกิดการจลาจลอยู่รอมร่อ
    ปูตินและคณะบุกไปถึงที่……เขาเรียกเหล่าเจ้าของทั้งหมดมาประชุม และเตรียมสัญญามาให้ลงชื่อ……ว่า
    จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานทุกคนภายใน 24 ชั่วโมง
    ที่เหลือ…ถ้ายังอยากอยู่ในธุรกิจ ต้องเข้ามารับนโยบายจากรัฐถ้าไม่เปิดโรงงาน………รัฐบาลจะเข้ามาบริหารเอง
    หนึ่งในกลุ่มเจ้าของโรงงานนั้น คือ Oleg Deripaska ที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของปูตินมาแต่ไหนแต่ไร ที่ปูตินก็ไม่ไว้หน้า
    จิกตัวมาให้เซ็นชื่อ….และทวงปากกาคืนจาก Oleg!!!

    ~~มีวีดีโอบันทึกภาพจากเหตุการณ์จริง แต่ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันคิดว่าเป็นการทำโปรประกันดาของปูติน เพื่อลดกระแสกดดันจากภาคประชาชนชาวแรงงานที่ชุมนุมรออยู่
    ข้างนอก ลุ้นว่าจะได้รับเงินเดือนหรือเปล่า…ปูตินคงคุยนอกรอบกับพวกเจ้าของนี้แล้ว เมื่อตกลงกันได้ เลยต้องออกข่าวเรียกคืนเครดิตให้รัฐบาล

    ปูตินที่เหมือนกับทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และ ประธานาธิบดีในเงา…ใช้เวลาทำงานทั้งหมดเกี่ยวกับสางกิจการเหล่าโรงงานอันเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย อย่างแร่ Nepheline
    ที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญ ที่โรงงานจะต้องใช้เกิดขาดแคลน
    เขาสั่งขบวนเที่ยวรถไฟด่วน ลำเลียงมาจาก Kola Peninsular
    อัดฉีดเงินช่วยเหลือประชาชน
    และแทนที่เขาจะทำการเปิดตลาดเพื่อที่จะจะดูดเงินจากการค้า
    หรือทำสัญญาซื้อขายแบบยอมเสียเปรียบเพื่อที่จะได้เงินเข้าประเทศกับกลุ่มยุโรปหรืออเมริกา………
    เขาไม่ทำ…………!!!
    ใครต่อใครต่างพากันประหลาดใจ……เพราะถ้าไม่ทำก็มองไม่เห็นทางรอด พวกเขาไม่เข้าใจว่าปูตินจะพาชาติพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร??

    แต่ปูตินเขาเห็นว่า….ที่ประเทศได้รับผลกระทบอย่างแรงเช่นนี้
    เพราะอเมริกาได้เดินหมากผิด (หรืออาจตั้งใจ) ทำให้ใครต่อเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส จนแทบจะสิ้นชาติ
    ฉะนั้น…เขาเลือกที่จะปิดตลาดการค้าทางฝั่งตะวันตก ค้าขายแต่กับกลุ่มเบลารุส และกลุ่มคาซัคสถาน แบบพอให้การเคลื่อนไหวของกระแสเงินไปในทิศทางที่ปลอดภัย และไม่เสียเปรียบ

    กลางปี 2009 ราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นมา หุ้นก็ขึ้นตาม
    ทุกอย่างกลับขึ้นมาเป็นเกือบปรกติ
    เมื่อมาถึง 2010 อะไรที่เคยหาย เคยพร่องไป กลับหลั่งไหลเข้ามาเต็มคลังอีกครั้ง ดีเกินหน้ายุโรปและอเมริกาด้วยซ้ำ
    ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น……ได้บอกกับปูตินว่า ……
    ถ้ามาถึงเรื่องเงิน…ต้องไม่ฝากอนาคตไว้กับใครเลย ต้องถือเอง
    บริการเอง เอาประโยชน์ของชาติและคนในชาติเป็นหลัก

    จากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของรัสเซียนี้ เมื่อการประชุม WTO (World Trade Organization) จึงได้เชิญรัสเซียเข้าร่วมประชุมด้วย ปูตินตอบรับโดยมีข้อแม้ว่า เขาจะไปเป็นคณะ ไม่ใช่ไปคนเดียว คณะที่ว่านั้น คือ ตัวแทนจากเบลารุส และ คาซัคสถาน
    กรรมาธิการหลายคนไม่เข้าใจ…ว่า ทำไม…?
    ในเมื่อรัสเซียจะต้องทำการซื้อขายกับทางตะวันตกมากกว่า…
    แต่ปูตินยืนยันว่า….จะต้องไปเป็นกลุ่มเท่านั้น…!!
    (เพราะเมื่อตกอับก็ยังอยู่เคียงข้างกัน พอได้โอกาสค้าขาย ก็ต้องไปด้วยกัน…)

    จากนั้น ปูตินจึงหันมาทำงานในเรื่องการก่อสร้างที่ Sochi อย่างเต็มตัว เพราะเขาทุ่มเงินกว่าสามพันล้านหรียญ ที่จะสร้างให้ออกมาสวยงามสมใจ
    นอกจากพื้นที่แข่งสกีแล้ว เขาได้สร้างอีกหลายอาคารสำหรับเป็นที่แข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย และหมู่บ้านนักกีฬาที่ทันสมัย
    รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงเส้นทางรถไฟ Baikal-Amur Mainline ที่พาดยาว จาก Moscow ถึง ฝั่งตะวันออก Vladivostok ให้ทันสมัยและเป็นสายท่องเที่ยวที่จะดึงดูดความสนใจ
    เขาทุ่มเทกับเรื่องโอลิมปิกนี้มาก เพราะการก่อสร้างได้ชะงักงันไปในช่วงฝืดเคือง พอกลับมาจับทำต่อ……ก็ต้องงบประมาณการก่อสร้างบานปลาย……
    ที่ปูตินเรียกทุกฝ่ายมารายงานการใช้เงินกันอย่างละเอียด
    และทุกฝ่ายที่ว่ามานั้น……ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนรักคนสนิทแทบทั้งสิ้น
    ในช่วงนี้คือช่วงที่มีการแฉโพยในเรื่องการคอรัปชั่นของรัฐบาลอย่างหนาหูจากฝ่ายตรงข้าม
    เพราะเป็นการสร้างเมกะโปรเจ็คหลายๆงานพร้อมกัน……
    แต่ปูติน…ยังคงทำเฉยกับข่าวเหล่านี้…
    เพราะในช่วงฤดูร้อนของปี 2010 ที่เกิดไฟป่าขึ้นที่ชายขอบมอสโคว์ ที่เริ่มรุนแรงขึ้น ประชาชนเดือดร้อนจนถึงขนาดตำหนิรัฐบาลออกสื่ออย่างไม่เกรงใจ ในเรื่องการล่าช้าของการดำเนินการดับไฟ และ เรื่องคอรัปชั่นที่กำลังเป็นข่าว เนื่องจากรัฐบาลเมดเวเดฟ กำลังสร้างศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่ทันสมัยใหญ่อลังการ ……
    แต่ประชาชนถามถึง……รถดับเพลิง ที่ควรจะมีมากกว่าศูนย์บ้าบออะไรนั่น…
    ปธน. เมดเวเดฟ ยังอยู่ในช่วงพักร้อนที่ทะเลดำ……
    ปูตินเป็นพระเอกอีกแล้ว เขาเตรียมตัวพร้อม ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับนักบินที่บินออกไปเป็นฝูงตั๊กแตน บัญชาการดับไฟ โปรยน้ำและสารเคมีติดต่อกันสองวัน……คุมไฟป่าได้อย่างหมดจด………
    คราวนี้……เสียงคะแนนนิยมจากหมู่สาวๆมาแบบถล่มทะลาย
    (เพราะอินเตอร์เน็ต) ทุกคนมองเห็นปูตินวัย 58 เป็นไอดอลที่สุดเซ็กซี่……กลายเป็นชายในฝัน (ซะงั้น)

    ชายในฝันที่ว่านี้…ก็ไม่ใช่เบา……!!!
    วันหนึ่งในการประชุมที่ กรุงเคียฟ เกี่ยวกับเรื่องการรวมทุนของสายการบินยูเครนเข้ากับ United Aviation Co. ของรัสเซีย
    ทุกคนสังเกตเห็นว่า ใบหน้าของปูตินที่ออกในทีวี แน่นไปด้วยเมคอัพ แต่น่าจะเป็นการให้แสง……เลยดูเปลี่ยนไป
    จนนักข่าวแอบมาเม้าท์กันว่า มีรอยช้ำที่ขอบตา……ผมหนาขึ้น…ตีนกาหายไป……หน้าผากตึงขึ้น……หางตาไม่ตก……
    ว้าววววว………นี่ไปศัลย์มาชัดๆ……
    แต่ทุกคนก็ยังชื่นชม เพราะ เขาบอกว่า
    “ใครๆก็อยากได้ผู้นำที่ดูดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ……”

    ส่วนประธานาธิบดี เมดเวเดฟ……ที่มีนโยบาย Forward Russia…!! นั้น ก็ทำงานส่วนใหญ่กับการประสานกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา เพราะค่อนข้างจะคุยกันรู้เรื่องในเรื่องของนิวเคลียร์เพื่อสันติ…รวมทั้งโปรเจ็คในการค้าขายที่ไม่ค่อยเป็นข่าว นอกจากอ่านแถลงการณ์โน่นนี่

    แต่การเล่นละครก็”ต้องมี”ให้ชาวโลกเห็นว่า ประธานาธิบดีรัสเซียก็มี”ปาก”เหมือนกัน…คือ ในวันตัดสินคดีของอภิมหาเศรษฐีรูปงาม Mikhail Khodorkovsky (หรือที่เคยเรียกย่อว่า MK) ที่ถูกจำคุกเกือบปี
    ก่อนวันขึ้นศาล ปูตินได้โทรศัพท์ออกทีวี ในวันที่ 16 ธันวาคม
    ให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างดุเดือดว่า ……เป็นโจรก็ต้องติดคุก ยิ่งเป็นมหาโจรที่ปล้นทรัพยากรไปจากแผ่นดิน……มันก็ต้องรับโทษให้สาสม เหมือนอย่างนักลงทุนอเมริกัน Bernard Madoff
    ที่ศาลในอเมริกาได้ตัดสินให้จำคุก 150 ปี……”
    ปูตินกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์โกรธที่ระงับไม่อยู่……ว่า
    “ไอ้หมอนี่ เป็นคนสั่งการในการสังหารนายกเทศมนตรีเมือง Nefteyugansk (ที่ควบคุมเขตโรงกลั่นน้ำมันของ Yukos ของ MK) และ ผู้หญิงคนหนึ่งในมอสโคว์ที่ไม่ยอมเซ็นโฉนดที่ดินให้……มันกำจัดคนที่ขวางทางทุกคนด้วยวิธีที่ทารุณสุดโหด……”
    การกร้าวของปูตินในฐานะนายกรัฐมนตรีคราวนี้ มันออกจะ”ล้ำ” ไป เพราะแพร่ออกไปทุกมุมโลก

    ต่อมา…เมดเวเดฟ ต้องรีบแก้สถานะการณ์โดยการแสดงเป็นฝ่ายตรงข้ามกับปูติน……เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ “ใครคนหนึ่ง”
    จะเที่ยวไปพิพากษาความผิดของใครได้ นอกเหนือไปจากศาลสถิตยุติธรรม
    สรุปว่า MK ได้ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี (แต่ติดจริงๆแค่ไม่กี่ปี เพราะต้องยอมซื้ออิสรภาพเพื่อที่จะได้ออกไปนอกประเทศด้วยทรัพย์สินที่มีแทบทั้งหมดในรัสเซีย…)
    จึงจัดได้ว่า…MK ที่มีที่อยู่ทั่วไปในยุโรปและอเมริกา……

    เขาคือ ศัตรูนอกประเทศที่ชัดเจนของปูตินในทุกวันนี้……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    งานประธานาธิบดีพี่เค้าก็ทำมาแล้ว……แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่พี่ปูเขาทำ………หนักกว่าเป็นสองเท่าค่าาาา ติ่งขาาาาา…!!!! ตอนสิบเก้า………เส้นทางที่หวาดเสียวกับการล่มจม……ผ่านมาได้อย่างสวยงามเพราะยึดหลักว่า……ต้องพึ่งตัวเอง………!!! หลังจากที่ทุกคนเป็นปลื้มกับความอู้ฟู่อยู่ได้ไม่นาน วันที่ 5 กันยายน 2008 เป็นวันที่บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่สหรัฐอเมริกา Lehman Brothers ล้มละลายพังครืนลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่ดึงเศรษฐกิจโลกอ่อนยวบไปด้วย แม้แต่รัสเซียก็ไม่พ้น น้ำมันราคาตกต่ำกว่า $100 หุ้นร่วงลงติดพื้น ภายในสองเดือนของวิกฤติ เงินได้ไหลออกจากประเทศเป็นแสนล้าน เหล่ามหาเศรษฐีชิงกันขายรถหรู ขายเรือสำราญ เครื่องบินส่วนตัว รัฐบาลถอนเงินจากกองทุนต่างๆมาอุด แต่แทบไม่ได้ช่วยอะไร โรงงานปิดรายวัน คนงานไม่ได้รับเงินเดือน บารมีของปูตินที่เพิ่งใสสว่างราวดวงตะวัน……หม่นแสงลงอย่างดึงไว้ไม่อยู่ แปดปี……ที่เขาเป็นประธานาธิบดี เวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น…… คนที่รับหน้าในชั้นแรกคือ นายกรัฐมนตรี ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ในยามนี้ หมายถึงว่า เขาต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองทั้งหมด เดือนตุลาคม……เขาเรียกประชุมสภา พร้อมเผชิญหน้ากับฝ่ายค้าน (ฝ่ายซ้าย) ที่หัวหน้าคือ Gennady Zyuganov ที่รอโอกาสที่จะเชือดเขาให้เป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ หรือ รอโอกาสที่จะขอข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นผลบวกกับพรรคของตัวเอง แต่ครั้งนี้ Gennady กลับมาแปลก……เขาวางข้อขัดแย้งไว้ และให้ข้อคิดว่า…… “เมื่อครั้งที่เกิดเศรษฐกิจล่มสลายในปี 1929 (ตลาดหุ้นอเมริกาพังพินาศ หรือ the Great Depression ล่มต่อเนื่องไปหลายปี จนต่อมาประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt ได้ส่งทีมกู้เศรษฐกิจมารัสเซีย เพื่อดูลาดเลา และ มาดูความเป็นไปของเรา เพราะทางรัสเซียไม่มีผลกระทบอะไร……” ปูตินจึงได้สติ……เขาตอบว่า “จริงซิ……เพราะเราไม่เอาเงินของเราไปผูกกับตลาดหุ้นบ้าๆนั่น และ เราไม่ได้ใช้เงิน หรือ ลงทุนตามเขา……” ปูตินและทีมเศรษฐกิจจึงรีบหารือกันในการอุดรอยรั่วเป็นอันดับแรก นั่นคือ การที่เงินไหลออกเพราะเหล่าพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลายที่เอาเงินไปไว้ตามเกาะต่างๆ และ ธนาคารต่างประเทศ และมาฉวยโอกาสโมเมทำเป็นจนตามน้ำในตอนขาลงของสภาพคล่องของประเทศ เพราะโรงงานต่างๆกันปิดตัวระนาว…ในช่วงต้นปี 2009 โดยเฉพาะในเดือนกรกฏาคม ที่เมืองอุตสาหกรรม Pikalevo ที่เป็นโรงงานอะลูมิเนียมส่วนใหญ่ที่มีแรงงานหลายหมื่นคน ที่ไม่ได้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่กำลังจะเกิดการจลาจลอยู่รอมร่อ ปูตินและคณะบุกไปถึงที่……เขาเรียกเหล่าเจ้าของทั้งหมดมาประชุม และเตรียมสัญญามาให้ลงชื่อ……ว่า จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานทุกคนภายใน 24 ชั่วโมง ที่เหลือ…ถ้ายังอยากอยู่ในธุรกิจ ต้องเข้ามารับนโยบายจากรัฐถ้าไม่เปิดโรงงาน………รัฐบาลจะเข้ามาบริหารเอง หนึ่งในกลุ่มเจ้าของโรงงานนั้น คือ Oleg Deripaska ที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของปูตินมาแต่ไหนแต่ไร ที่ปูตินก็ไม่ไว้หน้า จิกตัวมาให้เซ็นชื่อ….และทวงปากกาคืนจาก Oleg!!! ~~มีวีดีโอบันทึกภาพจากเหตุการณ์จริง แต่ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันคิดว่าเป็นการทำโปรประกันดาของปูติน เพื่อลดกระแสกดดันจากภาคประชาชนชาวแรงงานที่ชุมนุมรออยู่ ข้างนอก ลุ้นว่าจะได้รับเงินเดือนหรือเปล่า…ปูตินคงคุยนอกรอบกับพวกเจ้าของนี้แล้ว เมื่อตกลงกันได้ เลยต้องออกข่าวเรียกคืนเครดิตให้รัฐบาล ปูตินที่เหมือนกับทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และ ประธานาธิบดีในเงา…ใช้เวลาทำงานทั้งหมดเกี่ยวกับสางกิจการเหล่าโรงงานอันเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในรัสเซีย อย่างแร่ Nepheline ที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญ ที่โรงงานจะต้องใช้เกิดขาดแคลน เขาสั่งขบวนเที่ยวรถไฟด่วน ลำเลียงมาจาก Kola Peninsular อัดฉีดเงินช่วยเหลือประชาชน และแทนที่เขาจะทำการเปิดตลาดเพื่อที่จะจะดูดเงินจากการค้า หรือทำสัญญาซื้อขายแบบยอมเสียเปรียบเพื่อที่จะได้เงินเข้าประเทศกับกลุ่มยุโรปหรืออเมริกา……… เขาไม่ทำ…………!!! ใครต่อใครต่างพากันประหลาดใจ……เพราะถ้าไม่ทำก็มองไม่เห็นทางรอด พวกเขาไม่เข้าใจว่าปูตินจะพาชาติพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร?? แต่ปูตินเขาเห็นว่า….ที่ประเทศได้รับผลกระทบอย่างแรงเช่นนี้ เพราะอเมริกาได้เดินหมากผิด (หรืออาจตั้งใจ) ทำให้ใครต่อเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส จนแทบจะสิ้นชาติ ฉะนั้น…เขาเลือกที่จะปิดตลาดการค้าทางฝั่งตะวันตก ค้าขายแต่กับกลุ่มเบลารุส และกลุ่มคาซัคสถาน แบบพอให้การเคลื่อนไหวของกระแสเงินไปในทิศทางที่ปลอดภัย และไม่เสียเปรียบ กลางปี 2009 ราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นมา หุ้นก็ขึ้นตาม ทุกอย่างกลับขึ้นมาเป็นเกือบปรกติ เมื่อมาถึง 2010 อะไรที่เคยหาย เคยพร่องไป กลับหลั่งไหลเข้ามาเต็มคลังอีกครั้ง ดีเกินหน้ายุโรปและอเมริกาด้วยซ้ำ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น……ได้บอกกับปูตินว่า …… ถ้ามาถึงเรื่องเงิน…ต้องไม่ฝากอนาคตไว้กับใครเลย ต้องถือเอง บริการเอง เอาประโยชน์ของชาติและคนในชาติเป็นหลัก จากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของรัสเซียนี้ เมื่อการประชุม WTO (World Trade Organization) จึงได้เชิญรัสเซียเข้าร่วมประชุมด้วย ปูตินตอบรับโดยมีข้อแม้ว่า เขาจะไปเป็นคณะ ไม่ใช่ไปคนเดียว คณะที่ว่านั้น คือ ตัวแทนจากเบลารุส และ คาซัคสถาน กรรมาธิการหลายคนไม่เข้าใจ…ว่า ทำไม…? ในเมื่อรัสเซียจะต้องทำการซื้อขายกับทางตะวันตกมากกว่า… แต่ปูตินยืนยันว่า….จะต้องไปเป็นกลุ่มเท่านั้น…!! (เพราะเมื่อตกอับก็ยังอยู่เคียงข้างกัน พอได้โอกาสค้าขาย ก็ต้องไปด้วยกัน…) จากนั้น ปูตินจึงหันมาทำงานในเรื่องการก่อสร้างที่ Sochi อย่างเต็มตัว เพราะเขาทุ่มเงินกว่าสามพันล้านหรียญ ที่จะสร้างให้ออกมาสวยงามสมใจ นอกจากพื้นที่แข่งสกีแล้ว เขาได้สร้างอีกหลายอาคารสำหรับเป็นที่แข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย และหมู่บ้านนักกีฬาที่ทันสมัย รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงเส้นทางรถไฟ Baikal-Amur Mainline ที่พาดยาว จาก Moscow ถึง ฝั่งตะวันออก Vladivostok ให้ทันสมัยและเป็นสายท่องเที่ยวที่จะดึงดูดความสนใจ เขาทุ่มเทกับเรื่องโอลิมปิกนี้มาก เพราะการก่อสร้างได้ชะงักงันไปในช่วงฝืดเคือง พอกลับมาจับทำต่อ……ก็ต้องงบประมาณการก่อสร้างบานปลาย…… ที่ปูตินเรียกทุกฝ่ายมารายงานการใช้เงินกันอย่างละเอียด และทุกฝ่ายที่ว่ามานั้น……ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนรักคนสนิทแทบทั้งสิ้น ในช่วงนี้คือช่วงที่มีการแฉโพยในเรื่องการคอรัปชั่นของรัฐบาลอย่างหนาหูจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเป็นการสร้างเมกะโปรเจ็คหลายๆงานพร้อมกัน…… แต่ปูติน…ยังคงทำเฉยกับข่าวเหล่านี้… เพราะในช่วงฤดูร้อนของปี 2010 ที่เกิดไฟป่าขึ้นที่ชายขอบมอสโคว์ ที่เริ่มรุนแรงขึ้น ประชาชนเดือดร้อนจนถึงขนาดตำหนิรัฐบาลออกสื่ออย่างไม่เกรงใจ ในเรื่องการล่าช้าของการดำเนินการดับไฟ และ เรื่องคอรัปชั่นที่กำลังเป็นข่าว เนื่องจากรัฐบาลเมดเวเดฟ กำลังสร้างศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่ทันสมัยใหญ่อลังการ …… แต่ประชาชนถามถึง……รถดับเพลิง ที่ควรจะมีมากกว่าศูนย์บ้าบออะไรนั่น… ปธน. เมดเวเดฟ ยังอยู่ในช่วงพักร้อนที่ทะเลดำ…… ปูตินเป็นพระเอกอีกแล้ว เขาเตรียมตัวพร้อม ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับนักบินที่บินออกไปเป็นฝูงตั๊กแตน บัญชาการดับไฟ โปรยน้ำและสารเคมีติดต่อกันสองวัน……คุมไฟป่าได้อย่างหมดจด……… คราวนี้……เสียงคะแนนนิยมจากหมู่สาวๆมาแบบถล่มทะลาย (เพราะอินเตอร์เน็ต) ทุกคนมองเห็นปูตินวัย 58 เป็นไอดอลที่สุดเซ็กซี่……กลายเป็นชายในฝัน (ซะงั้น) ชายในฝันที่ว่านี้…ก็ไม่ใช่เบา……!!! วันหนึ่งในการประชุมที่ กรุงเคียฟ เกี่ยวกับเรื่องการรวมทุนของสายการบินยูเครนเข้ากับ United Aviation Co. ของรัสเซีย ทุกคนสังเกตเห็นว่า ใบหน้าของปูตินที่ออกในทีวี แน่นไปด้วยเมคอัพ แต่น่าจะเป็นการให้แสง……เลยดูเปลี่ยนไป จนนักข่าวแอบมาเม้าท์กันว่า มีรอยช้ำที่ขอบตา……ผมหนาขึ้น…ตีนกาหายไป……หน้าผากตึงขึ้น……หางตาไม่ตก…… ว้าววววว………นี่ไปศัลย์มาชัดๆ…… แต่ทุกคนก็ยังชื่นชม เพราะ เขาบอกว่า “ใครๆก็อยากได้ผู้นำที่ดูดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ……” ส่วนประธานาธิบดี เมดเวเดฟ……ที่มีนโยบาย Forward Russia…!! นั้น ก็ทำงานส่วนใหญ่กับการประสานกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา เพราะค่อนข้างจะคุยกันรู้เรื่องในเรื่องของนิวเคลียร์เพื่อสันติ…รวมทั้งโปรเจ็คในการค้าขายที่ไม่ค่อยเป็นข่าว นอกจากอ่านแถลงการณ์โน่นนี่ แต่การเล่นละครก็”ต้องมี”ให้ชาวโลกเห็นว่า ประธานาธิบดีรัสเซียก็มี”ปาก”เหมือนกัน…คือ ในวันตัดสินคดีของอภิมหาเศรษฐีรูปงาม Mikhail Khodorkovsky (หรือที่เคยเรียกย่อว่า MK) ที่ถูกจำคุกเกือบปี ก่อนวันขึ้นศาล ปูตินได้โทรศัพท์ออกทีวี ในวันที่ 16 ธันวาคม ให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างดุเดือดว่า ……เป็นโจรก็ต้องติดคุก ยิ่งเป็นมหาโจรที่ปล้นทรัพยากรไปจากแผ่นดิน……มันก็ต้องรับโทษให้สาสม เหมือนอย่างนักลงทุนอเมริกัน Bernard Madoff ที่ศาลในอเมริกาได้ตัดสินให้จำคุก 150 ปี……” ปูตินกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์โกรธที่ระงับไม่อยู่……ว่า “ไอ้หมอนี่ เป็นคนสั่งการในการสังหารนายกเทศมนตรีเมือง Nefteyugansk (ที่ควบคุมเขตโรงกลั่นน้ำมันของ Yukos ของ MK) และ ผู้หญิงคนหนึ่งในมอสโคว์ที่ไม่ยอมเซ็นโฉนดที่ดินให้……มันกำจัดคนที่ขวางทางทุกคนด้วยวิธีที่ทารุณสุดโหด……” การกร้าวของปูตินในฐานะนายกรัฐมนตรีคราวนี้ มันออกจะ”ล้ำ” ไป เพราะแพร่ออกไปทุกมุมโลก ต่อมา…เมดเวเดฟ ต้องรีบแก้สถานะการณ์โดยการแสดงเป็นฝ่ายตรงข้ามกับปูติน……เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ “ใครคนหนึ่ง” จะเที่ยวไปพิพากษาความผิดของใครได้ นอกเหนือไปจากศาลสถิตยุติธรรม สรุปว่า MK ได้ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี (แต่ติดจริงๆแค่ไม่กี่ปี เพราะต้องยอมซื้ออิสรภาพเพื่อที่จะได้ออกไปนอกประเทศด้วยทรัพย์สินที่มีแทบทั้งหมดในรัสเซีย…) จึงจัดได้ว่า…MK ที่มีที่อยู่ทั่วไปในยุโรปและอเมริกา…… เขาคือ ศัตรูนอกประเทศที่ชัดเจนของปูตินในทุกวันนี้……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠

    😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎

    นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

    ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย

    แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ

    ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่

    เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม

    หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า:

    “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล”

    มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ

    สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา

    หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า:

    “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้”

    ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน

    ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน

    เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้

    ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี!

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

    😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎

    นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว

    ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา

    ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน

    ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก

    เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย

    ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก

    ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น

    นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม

    ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน

    ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้

    นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม

    ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี

    นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ

    ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น

    หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด

    ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม

    ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด

    เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก?

    แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

    ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ

    แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง

    เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง

    สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป

    ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น

    ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠 😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า: “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล” มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า: “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้” ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้ ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี! นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ 😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎 นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก? แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • 1 ตุลาคม 2567-ชวนคิดชวนคุย 01-10-67
    ช่วงที่1
    -‘บิ๊กดุง’ร่ำไห้อำลาทร. ออกตัวโดนทัวร์ลงเยอะ ฝาก ‘บิ๊กแมว’ ทำให้ดีที่สุดลบคำปรามาส
    -"บิ๊กต่อ" อำลาตำแหน่ง ผบ.ตร. สมเกียรติ ส่งมอบ "รองต่าย" นั่งรักษาการ
    -โผแต่งตั้งบิ๊กมหาดไทย ที่“ปลัดเก่ง” ทำไว้ ถูกรื้อ คาดเข้าครม.ไม่ทันในสัปดาห์นี้
    ช่วงที่2
    -โปรดเกล้าฯ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
    -สว. 167 เสียง ลงมติเห็นชอบใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำประชามติแก้รธน.
    -‘ชูศักดิ์’ ปิ๊งไอเดีย ตั้งคณะทำงาน ดึงทุกพรรคพูดคุย ปม ส.ว.หัก มติ ส.ส. ปัดตอบ ทันรัฐบาลชุดนี้หรือไม่
    -ภูมิธรรม ปัดวิจารณ์พรรคอื่น ชี้ผลโพล ‘อิ๊งค์’ นั่งนายกฯอันดับ 1 เพราะปชช.เห็นผลงาน
    -‘อนุทิน’ ยัน ’ภท.‘ ไม่เกี่ยวอะไร สว. หลัง ยึดเกณฑ์ประชามติ เสียงข้างมาก2ชั้น
    -สมชาย ร่อนจดหมายเปิดผนึกจี้นายกฯ โอนคืนที่ดินอัลไพน์

    https://www.facebook.com/share/v/EwhnHEqDngo21KMz/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-ชวนคิดชวนคุย 01-10-67 ช่วงที่1 -‘บิ๊กดุง’ร่ำไห้อำลาทร. ออกตัวโดนทัวร์ลงเยอะ ฝาก ‘บิ๊กแมว’ ทำให้ดีที่สุดลบคำปรามาส -"บิ๊กต่อ" อำลาตำแหน่ง ผบ.ตร. สมเกียรติ ส่งมอบ "รองต่าย" นั่งรักษาการ -โผแต่งตั้งบิ๊กมหาดไทย ที่“ปลัดเก่ง” ทำไว้ ถูกรื้อ คาดเข้าครม.ไม่ทันในสัปดาห์นี้ ช่วงที่2 -โปรดเกล้าฯ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร -สว. 167 เสียง ลงมติเห็นชอบใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำประชามติแก้รธน. -‘ชูศักดิ์’ ปิ๊งไอเดีย ตั้งคณะทำงาน ดึงทุกพรรคพูดคุย ปม ส.ว.หัก มติ ส.ส. ปัดตอบ ทันรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ -ภูมิธรรม ปัดวิจารณ์พรรคอื่น ชี้ผลโพล ‘อิ๊งค์’ นั่งนายกฯอันดับ 1 เพราะปชช.เห็นผลงาน -‘อนุทิน’ ยัน ’ภท.‘ ไม่เกี่ยวอะไร สว. หลัง ยึดเกณฑ์ประชามติ เสียงข้างมาก2ชั้น -สมชาย ร่อนจดหมายเปิดผนึกจี้นายกฯ โอนคืนที่ดินอัลไพน์ https://www.facebook.com/share/v/EwhnHEqDngo21KMz/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    Yay
    14
    1 Comments 0 Shares 601 Views 0 Reviews
  • ขิ่น แก้วตา - ธิษะณา ชุณหะวัณ (เธอเป็นลูกของ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และ เป็นหลานของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) แห่งพรรคประชาชน(พม่า) กำลังช่วยกลุ่มอองซานซูจี และกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา เพื่อหวังผลคะแนนเสียงเพิ่มอีก ๖-๑๒ ล้านเสียงในระยะยาว คล้ายๆกันกับโพสต์ของ อีลอน มัสค์ เลยหรือไม่? (ตามข้อมูลจากโพสต์ของ อีลอน มัสค์ ด้านล่าง)

    ถ้าพรรคส้มล้มเจ้ายังคงมีคะแนนเสียงถล่มทลายเดิม ๑๖ ล้านเสียงเช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา รวมกับคะแนนเสียงกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มอีก ๖-๑๒ ล้านเสียง สำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป?

    ขบวนการล้มเจ้าที่นำโดยธนาทอนและได้รับการสนับสนุนจากทูตโกเต้กแห่งสหรัฐอเมริกุ๊ยและกลุ่มกุ๊ยอียู ก็คงจะประสพความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างง่ายดายเลยหรือไม่?
    .
    .
    .
    ชาวอเมริกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ตระหนักว่า, หากทรัมป์ไม่ได้รับการเลือกตั้ง, นี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้คุกคามประชาธิปไตย, เขาเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยประชาธิปไตยไว้ได้!

    ขออธิบายให้ฟัง: หากผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ๑ ใน ๒๐ คนต่อปี ได้เป็นพลเมือง, ซึ่งพรรคเดโมแครตกำลังเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้, นั่นก็จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นประมาณ ๒ ล้านคนใน ๔ ปี

    คะแนนเสียงในรัฐที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงมักน้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คะแนน ซึ่งหมายความว่าหากพรรค "เดโมแครต" ประสบความสำเร็จ, ก็จะไม่มีรัฐที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงอีกต่อไป!!

    ยิ่งไปกว่านั้น, รัฐบาลของไบเดน/แฮร์ริสได้ส่ง "ผู้ขอลี้ภัย," ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพลเมืองอย่างรวดเร็ว, ไปยังรัฐที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูง เช่น เพนซิลเวเนีย, โอไฮโอ, วิสคอนซิน และแอริโซนาโดยตรง ถือเป็นวิธีที่แน่นอนในการชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง

    จากนั้นอเมริกาก็จะกลายเป็นรัฐที่มีพรรคการเมืองเดียว และประชาธิปไตยก็สิ้นสุดลง "การเลือกตั้ง" ครั้งเดียวเท่านั้นที่จะเป็นการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียเมื่อหลายปีก่อนแล้ว, หลังจากการนิรโทษกรรมในปี ๑๙๘๖

    สิ่งเดียวที่คอยยับยั้งแคลิฟอร์เนียจากลัทธิสังคมนิยมสุดโต่งและนโยบายกดดันของรัฐบาลก็คือ ผู้คนสามารถออกจากแคลิฟอร์เนียและยังคงอยู่ในอเมริกาได้ เมื่อทั้งประเทศถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองเดียว, ก็จะไม่มีทางหนีได้

    🤣ทุกแห่งในอเมริกาจะเหมือนฝันร้าย เช่นเดียวกับที่ย่านดาวน์ทาวน์ของซานฟรานซิสโก🤣

    Elon Musk
    .
    Very few Americans realize that, if Trump is NOT elected, this will be the last election. Far from being a threat to democracy, he is the only way to save it!

    Let me explain: if even 1 in 20 illegals become citizens per year, something that the Democrats are expediting as fast as humanly possible, that would be about 2 million new legal voters in 4 years.

    The voting margin in the swing states is often less than 20 thousand votes. That means if the “Democratic” Party succeeds, there will be no more swing states!!

    Moreover, the Biden/Harris administration has been flying “asylum seekers”, who are fast-tracked to citizenship, directly into swing states like Pennsylvania, Ohio, Wisconsin and Arizona. It is a surefire way to win every election.

    America then becomes a one-party state and Democracy is over. The only “elections” will be the Democratic Party primaries. This already happened in California many years ago, following the 1986 amnesty.

    The only thing holding California back from extreme socialism and suffocating government policies is that people can leave California and still remain in America. Once the whole country is controlled by one party, there will be no escape.

    Everywhere in America will be like the nightmare that is downtown San Francisco.
    .
    10:11 PM · Sep 29, 2024 · 90.6M Views
    https://x.com/elonmusk/status/1840409051357696324
    .
    เป็นไปตามแผนทั้งหมด ลองทายดูว่ามีผู้อพยพกี่คนที่เข้าเกณฑ์ได้รับการแปลงสัญชาติภายใต้กฎเกณฑ์ปัจจุบัน? ๙ ล้านคน…
    .
    All according to plan. Guess how many migrants are eligible for naturalization under the current rules? 9 million…
    .
    7:41 AM · Sep 29, 2024 · 73.4M Views
    https://x.com/amuse/status/1840190011901186153
    ขิ่น แก้วตา - ธิษะณา ชุณหะวัณ (เธอเป็นลูกของ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และ เป็นหลานของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) แห่งพรรคประชาชน(พม่า) กำลังช่วยกลุ่มอองซานซูจี และกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา เพื่อหวังผลคะแนนเสียงเพิ่มอีก ๖-๑๒ ล้านเสียงในระยะยาว คล้ายๆกันกับโพสต์ของ อีลอน มัสค์ เลยหรือไม่? (ตามข้อมูลจากโพสต์ของ อีลอน มัสค์ ด้านล่าง) ถ้าพรรคส้มล้มเจ้ายังคงมีคะแนนเสียงถล่มทลายเดิม ๑๖ ล้านเสียงเช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา รวมกับคะแนนเสียงกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มอีก ๖-๑๒ ล้านเสียง สำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป? ขบวนการล้มเจ้าที่นำโดยธนาทอนและได้รับการสนับสนุนจากทูตโกเต้กแห่งสหรัฐอเมริกุ๊ยและกลุ่มกุ๊ยอียู ก็คงจะประสพความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างง่ายดายเลยหรือไม่? . . . ชาวอเมริกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ตระหนักว่า, หากทรัมป์ไม่ได้รับการเลือกตั้ง, นี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้คุกคามประชาธิปไตย, เขาเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยประชาธิปไตยไว้ได้! ขออธิบายให้ฟัง: หากผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ๑ ใน ๒๐ คนต่อปี ได้เป็นพลเมือง, ซึ่งพรรคเดโมแครตกำลังเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้, นั่นก็จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นประมาณ ๒ ล้านคนใน ๔ ปี คะแนนเสียงในรัฐที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงมักน้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คะแนน ซึ่งหมายความว่าหากพรรค "เดโมแครต" ประสบความสำเร็จ, ก็จะไม่มีรัฐที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงอีกต่อไป!! ยิ่งไปกว่านั้น, รัฐบาลของไบเดน/แฮร์ริสได้ส่ง "ผู้ขอลี้ภัย," ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพลเมืองอย่างรวดเร็ว, ไปยังรัฐที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูง เช่น เพนซิลเวเนีย, โอไฮโอ, วิสคอนซิน และแอริโซนาโดยตรง ถือเป็นวิธีที่แน่นอนในการชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง จากนั้นอเมริกาก็จะกลายเป็นรัฐที่มีพรรคการเมืองเดียว และประชาธิปไตยก็สิ้นสุดลง "การเลือกตั้ง" ครั้งเดียวเท่านั้นที่จะเป็นการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียเมื่อหลายปีก่อนแล้ว, หลังจากการนิรโทษกรรมในปี ๑๙๘๖ สิ่งเดียวที่คอยยับยั้งแคลิฟอร์เนียจากลัทธิสังคมนิยมสุดโต่งและนโยบายกดดันของรัฐบาลก็คือ ผู้คนสามารถออกจากแคลิฟอร์เนียและยังคงอยู่ในอเมริกาได้ เมื่อทั้งประเทศถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองเดียว, ก็จะไม่มีทางหนีได้ 🤣ทุกแห่งในอเมริกาจะเหมือนฝันร้าย เช่นเดียวกับที่ย่านดาวน์ทาวน์ของซานฟรานซิสโก🤣 Elon Musk . Very few Americans realize that, if Trump is NOT elected, this will be the last election. Far from being a threat to democracy, he is the only way to save it! Let me explain: if even 1 in 20 illegals become citizens per year, something that the Democrats are expediting as fast as humanly possible, that would be about 2 million new legal voters in 4 years. The voting margin in the swing states is often less than 20 thousand votes. That means if the “Democratic” Party succeeds, there will be no more swing states!! Moreover, the Biden/Harris administration has been flying “asylum seekers”, who are fast-tracked to citizenship, directly into swing states like Pennsylvania, Ohio, Wisconsin and Arizona. It is a surefire way to win every election. America then becomes a one-party state and Democracy is over. The only “elections” will be the Democratic Party primaries. This already happened in California many years ago, following the 1986 amnesty. The only thing holding California back from extreme socialism and suffocating government policies is that people can leave California and still remain in America. Once the whole country is controlled by one party, there will be no escape. Everywhere in America will be like the nightmare that is downtown San Francisco. . 10:11 PM · Sep 29, 2024 · 90.6M Views https://x.com/elonmusk/status/1840409051357696324 . เป็นไปตามแผนทั้งหมด ลองทายดูว่ามีผู้อพยพกี่คนที่เข้าเกณฑ์ได้รับการแปลงสัญชาติภายใต้กฎเกณฑ์ปัจจุบัน? ๙ ล้านคน… . All according to plan. Guess how many migrants are eligible for naturalization under the current rules? 9 million… . 7:41 AM · Sep 29, 2024 · 73.4M Views https://x.com/amuse/status/1840190011901186153
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • นิรโทษกรรมแท้ง เพื่อไทย ไม่กล้าลุยไฟ เลื่อนไร้กำหนด
    .
    ในทางการเมืองตอนนี้ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรก็ดูจะสะดุดไปเสียทั้งหมด อย่างล่าสุดการนิรโทษกรรมที่เคยคาดว่าจะเดินหน้าได้ในรัฐบาลยุคนี้ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัตินิรโทษรรม ได้จัดรายงานเสร็จแล้ว แต่จากท่าทีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ยอมรับว่าการตราร่างกฎหมายนิรโทษกรรมอาจต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
    .
    "ร่างกฎหมายจะสำเร็จเป็นกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อ ส.ส.และ ส.ว.ต้องเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะเป็นอย่างไร เพราะพรรคการเมืองบางส่วนได้เสนอร่างกฎหมายขอให้มีการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง บางส่วนบอกว่าหากนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองแล้วก็ให้รวมกับคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย" นายชูศักดิ์ กล่าว
    .
    นายชูศักดิ์ มีมุมมองว่า เพื่อให้เป็นไปได้ดีที่สุดและละมุนละม่อมที่สุด ควรนำเรื่องทั้งหมดไปหารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึงพรรคฝ่ายค้านเพื่อให้ตกผลึก แต่ท้ายที่สุดแล้วพรรคการเมืองจะมีความเห็นอย่างไร พร้อมจะเสนอร่างกฎหมายด้วยหรือไม่ ซึ่งที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะพรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบสำคัญในสภา หากเราไม่ฟังกัน เมื่อมีการเสนอและพิจารณากันแล้วก็จะคล้ายกับเรื่องรัฐธรรมนูญที่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้ปรึกษานายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาลให้เลื่อนวาระการพิจารณาในวันที่ 3 ตุลาคมออกไปก่อนเพื่อรอฟังความคิดเห็นของหัวหน้าพรรคการเมืองให้ครบถ้วน
    ..........
    Sondhi X
    นิรโทษกรรมแท้ง เพื่อไทย ไม่กล้าลุยไฟ เลื่อนไร้กำหนด . ในทางการเมืองตอนนี้ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรก็ดูจะสะดุดไปเสียทั้งหมด อย่างล่าสุดการนิรโทษกรรมที่เคยคาดว่าจะเดินหน้าได้ในรัฐบาลยุคนี้ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัตินิรโทษรรม ได้จัดรายงานเสร็จแล้ว แต่จากท่าทีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ยอมรับว่าการตราร่างกฎหมายนิรโทษกรรมอาจต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด . "ร่างกฎหมายจะสำเร็จเป็นกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อ ส.ส.และ ส.ว.ต้องเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะเป็นอย่างไร เพราะพรรคการเมืองบางส่วนได้เสนอร่างกฎหมายขอให้มีการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง บางส่วนบอกว่าหากนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองแล้วก็ให้รวมกับคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย" นายชูศักดิ์ กล่าว . นายชูศักดิ์ มีมุมมองว่า เพื่อให้เป็นไปได้ดีที่สุดและละมุนละม่อมที่สุด ควรนำเรื่องทั้งหมดไปหารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึงพรรคฝ่ายค้านเพื่อให้ตกผลึก แต่ท้ายที่สุดแล้วพรรคการเมืองจะมีความเห็นอย่างไร พร้อมจะเสนอร่างกฎหมายด้วยหรือไม่ ซึ่งที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะพรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบสำคัญในสภา หากเราไม่ฟังกัน เมื่อมีการเสนอและพิจารณากันแล้วก็จะคล้ายกับเรื่องรัฐธรรมนูญที่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้ปรึกษานายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาลให้เลื่อนวาระการพิจารณาในวันที่ 3 ตุลาคมออกไปก่อนเพื่อรอฟังความคิดเห็นของหัวหน้าพรรคการเมืองให้ครบถ้วน .......... Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews
  • เรื่องจริงที่น่าสมเพช
    ⭕️⭕️⭕️⭕️⭕️
    คนไทยทุกคน
    ควรอ่าน
    ************
    เดิมที ลิเบียถูกอิตาลียึดครอง ต่อมาอิตาลีแพ้สงครามโลก อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลิเบียโดยแย่งไปจากอิตาลี และได้ขุดน้ำมัน บริษัทของอังกฤษและฝรั่งเศสได้สัมปทานกอบโกยน้ำมันไปจนร่ำรวย ส่วนคนลิเบียแทบไม่ได้อะไรเลย แม้ภายหลังลิเบียได้เอกราช แต่สัมปทานน้ำมันแบบเกือบฟรี ก็ยังอยู่ในมือบริษัทอังกฤษและฝรั่งเศส

    ต่อมา กัดดาฟีเห็นว่าไม่เป็นธรรมจึงทำการปฏิวัติ และยึดสัมปทานน้ำมันคืนมา กัดดาฟีปกครอง ให้ประชาชนทุกอย่าง สวัสดิการดีที่สุดในบรรดาประเทศที่รวยน้ำมัน อาจจะเรียกได้ว่า ดีที่สุดในโลก ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสุขสบายทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือ ไม่มีประชาธิปไตยแบบตะวันตก ไม่มีการเลือกผู้แทน ไม่มีการเลือกรัฐบาล และผู้นำ

    กลุ่มนักศึกษา ที่นึกฝันว่า ถ้าประเทศลิเบียมีประชาธิปไตยแบบอเมริกา น่าจะทำให้ประชาชนได้สวัสดิการมากกว่าที่กัดดาฟี มีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ มีความคับข้องใจ แต่ทำอะไรไม่ได้

    จนกัดดาฟี อึดอัดกับคำสั่งอเมริกาและซาอุ ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในโอเปค (ตอนนั้นยังไม่ใช่โอเปคพลัสอย่างทุกวันนี้) ที่ให้ทุกประเทศในโอเปคต้องขายน้ำมันผูกขาดด้วย petrodollar เท่านั้น กัดดาฟีประกาศจะไม่ทำตาม จะขายน้ำมันด้วยเงินดีนาร์ทองคำ หรือแลกด้วยทองคำ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นทำลาย petrodollar อเมริกาจึงวางแผนกำจัดกัดดาฟี

    อเมริกาจึงไปยุยงวางแผนให้นักศึกษาก่อการจลาจล ลิเบียสปริง มีอเมริกาโดย CIA ดำเนินการให้ทั้งเงิน อาวุธ และสนับสนุนด้านอื่นๆ กัดดาฟีปราบปรามนักศึกษาที่ก่อการจลาจล สื่อตะวันตกก็พร้อมใจกันประโคมว่า กัดดาฟีเป็นผู้นำเผด็จการเข่นฆ่าประชาชนและนักศึกษา อย่างต่อเนื่อง ใหญ่โต และเป็นระบบ

    พอโหมประโคมโฆษณาชวนเชื่อจนล้างสมองคนทั้งโลกได้ อเมริกาและอังกฤษ ก็ส่งกองกำลังเข้าไปจับกัดดาฟีฆ่า ปล้นเอาทองคำในคลังหลวงของลิเบียไปหมด ยึดสัมปทานน้ำมันให้บริษัทตะวันตกไปร่ำรวยต่อ สวัสดิการทุกอย่างหายไปหมดสิ้น

    อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส จัดตั้งคนที่ตนสั่งได้ขึ้นมาแทนกัดดาฟี แต่กองกำลังอื่นๆ ไม่ยอมรับและเริ่มมีการต่อสู้แย่งอำนาจกันรุนแรงขึ้นเรื่อย จนบ้านเมืองพินาศวอดวาย อเมริกา หลังจากฆ่ากัดดาฟีได้ ก็ถอยไปให้อังกฤษกับฝรั่งเศสเจ้านายเดิมเข้ามาจัดการ แต่อังกฤษและฝรั่งเศส ก็ไม่อยากลงทุนส่งทหารไปตายในลิเบีย เพราะสงครามแย่งชิงอำนาจของกองกำลังต่างๆ รบกันรุนแรงมาก ถ้าอังกฤษ ฝรั่งเศส ส่งทหารไป จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ทหารจะตายเยอะ และดูว่าไม่น่าจะสำเร็จจึงถอยมาปล่อยให้กองกำลังลิเบียฆ่ากันเองต่อไป จนโอบาม่าออกปากว่า อเมริกาฆ่ากัดดาฟีให้แล้ว พรรคพวกในยุโรปจัดการแย่มากจนลิเบียเละตุ้มเป๊ะไปหมด

    คนลิเบียฆ่ากันตายมากมาย บ้านเมืองพังพินาศ ความยากจนขาดแคลน เกิดทั่วประเทศ คนลิเบียหลายล้านคน ราวหนึ่งในสามต้องหนีตายจากสงครามและความอดอยาก ต้องอพยพเป็นมนุษย์เรือลี้ภัยออกจากลิเบียไปยุโรป เรือล่มจมน้ำตายมากมาย ที่เหลือต้องไปอยู่เป็นพลเมืองชั้นสาม สี่ ห้า อยู่อย่างลำบากยากแค้น ถูกกดขี่ และเกลียดชัง เพราะเป็นคนอิสลามผิวสี ไปอยู่ในหมู่ชาวคริสตผิวขาว เป็นผู้ลี้ภัยที่เจ้าของบ้าน ไม่อยากต้อนรับ

    จนเดี๋ยวนี้ ลิเบียยังรบกันอยู่

    จากเมืองที่เคยเป็นเหมือนสวรรค์ อเมริกาทำให้กลับกลายเป็นนรกได้ ตอนนี้พวกนักศึกษาที่ก่อการจลาจล ลี้ภัย ตกนรกกันอยู่ที่ไหนบ้าง

    แต่อเมริกาทำไม่ได้ ถ้านักศึกษาของลิเบีย (ที่กัดดาฟีใช้เงินจากการขายน้ำมันส่งให้เรียนฟรีทั้งในและต่างประเทศ) ไม่หลงลมและร่วมมือกับ CIA ของอเมริกาก่อการจลาจล

    นักศึกษาที่ออกมาประท้วงก่อการจลาจล ป่านนี้คงรู้สำนึกแล้วว่าไม่น่าทำลายบ้านเมืองตัวเอง ถูกหลอกใช้เป็นเบี้ยในกระดาน พอใช้เสร็จก็ถูกทิ้ง แต่รู้สำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว ลิเบียกลายเป็นนรกไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว

    กบเลือกนายจนทำให้บ้านเมืองฉิบหายวายวอดละครับ
    วันชัย รุจนวงศ์
    20/4/23

    ***************************

    # บทความของ ชัย ราชวัตร เตือนคนไทย

    อุทาหรณ์!! เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา"
    ....ชัย ราชวัตร ยกบทความ นศ.ลิเบียถูกอเมริกาชักใยก่อม็อบร่วมโค่นผู้นำจนทำให้ต้องประเทศพัง!!
    .....นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังได้โพสต์บทความลงในเฟซบุ๊กโดยเป็นการหยิบเอาบทความเกี่ยวกับเรื่องลิเบีย และเสรีภาพ นำมาให้สังคมการเคลื่อนไหวในประเทศไทยได้เห็นเป็นตัวอย่างว่า..ประชาธิปไตยที่บางคนโหยหา…. ตัวอย่างที่น่าคิด…….
    .....ประเทศลิเบีย เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา….ลิเบีย เป็นประเทศหลายชนเผ่า เป็นประเทศล้าหลัง ยากจน ถึงจะมีน้ำมันเยอะ แต่ชาติตะวันตกก็เป็นเจ้าของสัมปทาน ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ไป เหลือทิ้งไว้ให้คนในลิเบียนิดเดียว
    .....กัดดาฟี่ทำการรัฐประหาร แล้วทำการยึดสัมปทานน้ำมันจากชาติตะวันตก เอาน้ำมันเข้ารัฐ ส่งผลให้ลิเบียร่ำรวยมากขึ้น กัดดาฟี่ จึงนำเอาเงินที่ได้มาให้สวัสดิการประชาชนอย่างเต็มที่ทุกคนเรียนฟรี รักษาฟรี มีเงินสนับสนุนให้ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือมีลูกและสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย รัฐมีเงินให้ จะสร้างบ้าน จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก รัฐให้ฟรีหมด …..
    .....เกษตรกรไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำ แม้จะเป็นทะเลทราย แต่กัดดาฟี่จัดหาน้ำ และทำท่อส่งน้ำใต้ดินถึงที่ดินทุกแปลงจนประชากรลิเบียมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีมาก และสูงขึ้นเป็นอันดับต้นๆของโลก… กลุ่มชนเผ่าในประเทศก็เลิกตีกัน เพราะกัดดาฟี ได้จัดการแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันให้อย่างทั่วถึง ….มีความเป็นอยู่อย่างดีมาตลอดหลายสิบปี…..
    .....ถึงประชาชนจะสุขสบาย แต่ก็เริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ มหาอำนาจตะวันตก สหรัฐ กับอังกฤษ เห็นว่าคนลิเบียเริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ จึงได้โอกาสจัดอาหรับสปริง
    .....โดยจัดให้นักศึกษาชาวลิเบียที่ไปเรียนต่างประเทศมา…. มาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเสรีภาพ โดยมีอเมริกาและอังกฤษเป็นอีแอบสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เกิดม๊อบเกิดจลาจลทั่วประเทศ….. กลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสหักหลังกัดดาฟี่ เป็นกบฏต่อรัฐบาล สู้รบกับรัฐบาล ผลสุดท้ายฝ่ายทหารกบฏกับกลุ่มประชาชน นักศึกษาที่เรียกร้องเสรีภาพชนะฝ่ายกัดดาฟี่ ….กัดดาฟี่ตาย
    .....มีข่าวว่านางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ถึงกับบินไปดูศพของกัดดาฟี่ด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดด้วยความสะใจว่า…. ฉันมา ฉันรู้ ฉันเห็นมันตาย …..
    .....กัดดาฟี่ตาย ไม่มีผู้นำที่เป็นคนยึดเหนี่ยวกลุ่มชนไว้ด้วยกัน… กลุ่มชนเผ่าในประเทศแต่ละฝ่ายก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจกัน ….เกิดสงครามรบพุ่งกันภายในประเทศตลอดเวลา ….ทีนี้ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ ต่างอพยพหนีภัยสงครามกันจ้าละหวั่น ….
    .....ประชากรเกือบหนึ่งในสามของประเทศ ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปต่างประเทศ ส่วนคนที่เหลือในประเทศ ก็ต้องประสบชะตากรรม บ้านแตกสาแหรกขาด อดอยาก หิวโหย วันๆ หลบแต่กระสุนและลูกระเบิด…. ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปรบ ผู้หญิงถูกบังคับให้บริการทางเพศ ….มีข่าวว่าถูกจับไปขายเป็นทาสทั้งหญิงและชายอย่างลับๆในประเทศเพื่อนบ้าน
    .....ลิเบียจากประเทศที่สงบสุข ประชาชนร่ำรวย มีความสุข ปานอยู่สวรรค์ เพียงพริบตาเดียวที่กัดดาฟีตาย ……ก็กลายเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น จะโทษใครเล่า ก็ต้องโทษความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองที่หลงกลชาติมหาอำนาจ
    .....ผ่านมาจะสิบปีแล้ว นรกในลิเบียก็ยังดำเนินต่อไป และไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุด แถมดูแล้ว ประเทศลิเบียก็คงจะไม่มีต่อไป คงสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้
    .....โอ้อนิจจา…เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา ประชาชนถูกปั่นหัวว่า…มันหอมหวนแสนหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีเฉพาะในฝัน ….แต่บางครั้งมันคือน้ำกรดที่รดลงทำลายประเทศจนสิ้นทรากในพริบตา..มันคือความเป็นจริง
    .....ขออย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นอย่างประเทศลิเบียเลย..ถ้าท่านเห็นว่าบทความนี้ควรจะเผยแพร่ไปยังผู้ที่กำลังคิดจะทำให้ประเทศไทยเป็นอย่างประเทศลิเบีย..ขอโปรดแชร์บทความนี้ต่อไปยังเพื่อนของท่านด้วย…
    #เรารักประเทศไทย
    Cr : ชัย ราชวัตร
    เรื่องจริงที่น่าสมเพช ⭕️⭕️⭕️⭕️⭕️ คนไทยทุกคน ควรอ่าน ************ เดิมที ลิเบียถูกอิตาลียึดครอง ต่อมาอิตาลีแพ้สงครามโลก อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลิเบียโดยแย่งไปจากอิตาลี และได้ขุดน้ำมัน บริษัทของอังกฤษและฝรั่งเศสได้สัมปทานกอบโกยน้ำมันไปจนร่ำรวย ส่วนคนลิเบียแทบไม่ได้อะไรเลย แม้ภายหลังลิเบียได้เอกราช แต่สัมปทานน้ำมันแบบเกือบฟรี ก็ยังอยู่ในมือบริษัทอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมา กัดดาฟีเห็นว่าไม่เป็นธรรมจึงทำการปฏิวัติ และยึดสัมปทานน้ำมันคืนมา กัดดาฟีปกครอง ให้ประชาชนทุกอย่าง สวัสดิการดีที่สุดในบรรดาประเทศที่รวยน้ำมัน อาจจะเรียกได้ว่า ดีที่สุดในโลก ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสุขสบายทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือ ไม่มีประชาธิปไตยแบบตะวันตก ไม่มีการเลือกผู้แทน ไม่มีการเลือกรัฐบาล และผู้นำ กลุ่มนักศึกษา ที่นึกฝันว่า ถ้าประเทศลิเบียมีประชาธิปไตยแบบอเมริกา น่าจะทำให้ประชาชนได้สวัสดิการมากกว่าที่กัดดาฟี มีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ มีความคับข้องใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ จนกัดดาฟี อึดอัดกับคำสั่งอเมริกาและซาอุ ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในโอเปค (ตอนนั้นยังไม่ใช่โอเปคพลัสอย่างทุกวันนี้) ที่ให้ทุกประเทศในโอเปคต้องขายน้ำมันผูกขาดด้วย petrodollar เท่านั้น กัดดาฟีประกาศจะไม่ทำตาม จะขายน้ำมันด้วยเงินดีนาร์ทองคำ หรือแลกด้วยทองคำ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นทำลาย petrodollar อเมริกาจึงวางแผนกำจัดกัดดาฟี อเมริกาจึงไปยุยงวางแผนให้นักศึกษาก่อการจลาจล ลิเบียสปริง มีอเมริกาโดย CIA ดำเนินการให้ทั้งเงิน อาวุธ และสนับสนุนด้านอื่นๆ กัดดาฟีปราบปรามนักศึกษาที่ก่อการจลาจล สื่อตะวันตกก็พร้อมใจกันประโคมว่า กัดดาฟีเป็นผู้นำเผด็จการเข่นฆ่าประชาชนและนักศึกษา อย่างต่อเนื่อง ใหญ่โต และเป็นระบบ พอโหมประโคมโฆษณาชวนเชื่อจนล้างสมองคนทั้งโลกได้ อเมริกาและอังกฤษ ก็ส่งกองกำลังเข้าไปจับกัดดาฟีฆ่า ปล้นเอาทองคำในคลังหลวงของลิเบียไปหมด ยึดสัมปทานน้ำมันให้บริษัทตะวันตกไปร่ำรวยต่อ สวัสดิการทุกอย่างหายไปหมดสิ้น อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส จัดตั้งคนที่ตนสั่งได้ขึ้นมาแทนกัดดาฟี แต่กองกำลังอื่นๆ ไม่ยอมรับและเริ่มมีการต่อสู้แย่งอำนาจกันรุนแรงขึ้นเรื่อย จนบ้านเมืองพินาศวอดวาย อเมริกา หลังจากฆ่ากัดดาฟีได้ ก็ถอยไปให้อังกฤษกับฝรั่งเศสเจ้านายเดิมเข้ามาจัดการ แต่อังกฤษและฝรั่งเศส ก็ไม่อยากลงทุนส่งทหารไปตายในลิเบีย เพราะสงครามแย่งชิงอำนาจของกองกำลังต่างๆ รบกันรุนแรงมาก ถ้าอังกฤษ ฝรั่งเศส ส่งทหารไป จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ทหารจะตายเยอะ และดูว่าไม่น่าจะสำเร็จจึงถอยมาปล่อยให้กองกำลังลิเบียฆ่ากันเองต่อไป จนโอบาม่าออกปากว่า อเมริกาฆ่ากัดดาฟีให้แล้ว พรรคพวกในยุโรปจัดการแย่มากจนลิเบียเละตุ้มเป๊ะไปหมด คนลิเบียฆ่ากันตายมากมาย บ้านเมืองพังพินาศ ความยากจนขาดแคลน เกิดทั่วประเทศ คนลิเบียหลายล้านคน ราวหนึ่งในสามต้องหนีตายจากสงครามและความอดอยาก ต้องอพยพเป็นมนุษย์เรือลี้ภัยออกจากลิเบียไปยุโรป เรือล่มจมน้ำตายมากมาย ที่เหลือต้องไปอยู่เป็นพลเมืองชั้นสาม สี่ ห้า อยู่อย่างลำบากยากแค้น ถูกกดขี่ และเกลียดชัง เพราะเป็นคนอิสลามผิวสี ไปอยู่ในหมู่ชาวคริสตผิวขาว เป็นผู้ลี้ภัยที่เจ้าของบ้าน ไม่อยากต้อนรับ จนเดี๋ยวนี้ ลิเบียยังรบกันอยู่ จากเมืองที่เคยเป็นเหมือนสวรรค์ อเมริกาทำให้กลับกลายเป็นนรกได้ ตอนนี้พวกนักศึกษาที่ก่อการจลาจล ลี้ภัย ตกนรกกันอยู่ที่ไหนบ้าง แต่อเมริกาทำไม่ได้ ถ้านักศึกษาของลิเบีย (ที่กัดดาฟีใช้เงินจากการขายน้ำมันส่งให้เรียนฟรีทั้งในและต่างประเทศ) ไม่หลงลมและร่วมมือกับ CIA ของอเมริกาก่อการจลาจล นักศึกษาที่ออกมาประท้วงก่อการจลาจล ป่านนี้คงรู้สำนึกแล้วว่าไม่น่าทำลายบ้านเมืองตัวเอง ถูกหลอกใช้เป็นเบี้ยในกระดาน พอใช้เสร็จก็ถูกทิ้ง แต่รู้สำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว ลิเบียกลายเป็นนรกไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว กบเลือกนายจนทำให้บ้านเมืองฉิบหายวายวอดละครับ วันชัย รุจนวงศ์ 20/4/23 *************************** # บทความของ ชัย ราชวัตร เตือนคนไทย อุทาหรณ์!! เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา" ....ชัย ราชวัตร ยกบทความ นศ.ลิเบียถูกอเมริกาชักใยก่อม็อบร่วมโค่นผู้นำจนทำให้ต้องประเทศพัง!! .....นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังได้โพสต์บทความลงในเฟซบุ๊กโดยเป็นการหยิบเอาบทความเกี่ยวกับเรื่องลิเบีย และเสรีภาพ นำมาให้สังคมการเคลื่อนไหวในประเทศไทยได้เห็นเป็นตัวอย่างว่า..ประชาธิปไตยที่บางคนโหยหา…. ตัวอย่างที่น่าคิด……. .....ประเทศลิเบีย เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา….ลิเบีย เป็นประเทศหลายชนเผ่า เป็นประเทศล้าหลัง ยากจน ถึงจะมีน้ำมันเยอะ แต่ชาติตะวันตกก็เป็นเจ้าของสัมปทาน ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ไป เหลือทิ้งไว้ให้คนในลิเบียนิดเดียว .....กัดดาฟี่ทำการรัฐประหาร แล้วทำการยึดสัมปทานน้ำมันจากชาติตะวันตก เอาน้ำมันเข้ารัฐ ส่งผลให้ลิเบียร่ำรวยมากขึ้น กัดดาฟี่ จึงนำเอาเงินที่ได้มาให้สวัสดิการประชาชนอย่างเต็มที่ทุกคนเรียนฟรี รักษาฟรี มีเงินสนับสนุนให้ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือมีลูกและสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย รัฐมีเงินให้ จะสร้างบ้าน จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก รัฐให้ฟรีหมด ….. .....เกษตรกรไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำ แม้จะเป็นทะเลทราย แต่กัดดาฟี่จัดหาน้ำ และทำท่อส่งน้ำใต้ดินถึงที่ดินทุกแปลงจนประชากรลิเบียมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีมาก และสูงขึ้นเป็นอันดับต้นๆของโลก… กลุ่มชนเผ่าในประเทศก็เลิกตีกัน เพราะกัดดาฟี ได้จัดการแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันให้อย่างทั่วถึง ….มีความเป็นอยู่อย่างดีมาตลอดหลายสิบปี….. .....ถึงประชาชนจะสุขสบาย แต่ก็เริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ มหาอำนาจตะวันตก สหรัฐ กับอังกฤษ เห็นว่าคนลิเบียเริ่มเบื่อกับการปกครองของกัดดาฟี่ จึงได้โอกาสจัดอาหรับสปริง .....โดยจัดให้นักศึกษาชาวลิเบียที่ไปเรียนต่างประเทศมา…. มาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเสรีภาพ โดยมีอเมริกาและอังกฤษเป็นอีแอบสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เกิดม๊อบเกิดจลาจลทั่วประเทศ….. กลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสหักหลังกัดดาฟี่ เป็นกบฏต่อรัฐบาล สู้รบกับรัฐบาล ผลสุดท้ายฝ่ายทหารกบฏกับกลุ่มประชาชน นักศึกษาที่เรียกร้องเสรีภาพชนะฝ่ายกัดดาฟี่ ….กัดดาฟี่ตาย .....มีข่าวว่านางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ถึงกับบินไปดูศพของกัดดาฟี่ด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดด้วยความสะใจว่า…. ฉันมา ฉันรู้ ฉันเห็นมันตาย ….. .....กัดดาฟี่ตาย ไม่มีผู้นำที่เป็นคนยึดเหนี่ยวกลุ่มชนไว้ด้วยกัน… กลุ่มชนเผ่าในประเทศแต่ละฝ่ายก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจกัน ….เกิดสงครามรบพุ่งกันภายในประเทศตลอดเวลา ….ทีนี้ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ ต่างอพยพหนีภัยสงครามกันจ้าละหวั่น …. .....ประชากรเกือบหนึ่งในสามของประเทศ ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปต่างประเทศ ส่วนคนที่เหลือในประเทศ ก็ต้องประสบชะตากรรม บ้านแตกสาแหรกขาด อดอยาก หิวโหย วันๆ หลบแต่กระสุนและลูกระเบิด…. ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปรบ ผู้หญิงถูกบังคับให้บริการทางเพศ ….มีข่าวว่าถูกจับไปขายเป็นทาสทั้งหญิงและชายอย่างลับๆในประเทศเพื่อนบ้าน .....ลิเบียจากประเทศที่สงบสุข ประชาชนร่ำรวย มีความสุข ปานอยู่สวรรค์ เพียงพริบตาเดียวที่กัดดาฟีตาย ……ก็กลายเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น จะโทษใครเล่า ก็ต้องโทษความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองที่หลงกลชาติมหาอำนาจ .....ผ่านมาจะสิบปีแล้ว นรกในลิเบียก็ยังดำเนินต่อไป และไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุด แถมดูแล้ว ประเทศลิเบียก็คงจะไม่มีต่อไป คงสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินเป็นแน่แท้ .....โอ้อนิจจา…เสรีภาพที่มาพร้อมกับความโง่เขลา ประชาชนถูกปั่นหัวว่า…มันหอมหวนแสนหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีเฉพาะในฝัน ….แต่บางครั้งมันคือน้ำกรดที่รดลงทำลายประเทศจนสิ้นทรากในพริบตา..มันคือความเป็นจริง .....ขออย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นอย่างประเทศลิเบียเลย..ถ้าท่านเห็นว่าบทความนี้ควรจะเผยแพร่ไปยังผู้ที่กำลังคิดจะทำให้ประเทศไทยเป็นอย่างประเทศลิเบีย..ขอโปรดแชร์บทความนี้ต่อไปยังเพื่อนของท่านด้วย… #เรารักประเทศไทย Cr : ชัย ราชวัตร
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • 🔥🔥หอการค้าไทยระบุ น้ำท่วมปี 2567 นี้
    สร้างความเสียหายเป็นมูลค่า
    ทางเศรษฐกิจรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท
    ในพื้นที่ 33 จังหวัด พื้นที่ทางการเกษตรเสียหาย
    กว่า 3 ล้านไร่

    🚩แนะรัฐบาลเร่งสนับสนุน และวางแผนบริหาร
    จัดการน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานย่างจริงจัง

    ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #น้ำท่วม #thaitimes
    🔥🔥หอการค้าไทยระบุ น้ำท่วมปี 2567 นี้ สร้างความเสียหายเป็นมูลค่า ทางเศรษฐกิจรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในพื้นที่ 33 จังหวัด พื้นที่ทางการเกษตรเสียหาย กว่า 3 ล้านไร่ 🚩แนะรัฐบาลเร่งสนับสนุน และวางแผนบริหาร จัดการน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานย่างจริงจัง ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #น้ำท่วม #thaitimes
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 745 Views 1 Reviews
  • โพลสะท้อนการเมือง 'รัฐบาล-ฝ่ายค้าน' แพ้ชนะกันคนละยก : ข่าวลึกปมลับ 30/09/67
    โพลสะท้อนการเมือง 'รัฐบาล-ฝ่ายค้าน' แพ้ชนะกันคนละยก : ข่าวลึกปมลับ 30/09/67
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 294 Views 342 1 Reviews
  • “พิพัฒน์” ขีดเส้น 2 เดือน พิจารณาเร่งแก้กฎกระทรวงฯ ให้ลูกจ้างรายเดือน รับสิทธิค่า OT ตามจริง พร้อมตั้งคณะทำงาน 3ฝ่าย
    วันที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือและรับหนังสือจากนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างจำนวน 7 สภา เพื่อขอให้กระทรวงแรงงานแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) และ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมี นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวกาญจนา พูลแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศ. นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน
    นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงแรงงาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมหารือผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างฯ ที่ได้มายื่นหนังสือเพื่อขอให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) ข้อ 2 วรรคสอง ที่กำหนดไม่ให้ลูกจ้างรายเดือนมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาเท่ากับลูกจ้างรายวัน และแก้ไขฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ซึ่งตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนไม่ให้ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลา ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างรายเดือนได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล่วงเวลา เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวัน
    “ผมได้สั่งการให้จัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยผู้แทน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 7 คน เพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย รวมถึงผลกระทบจากการแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว โดยจะพิจารณาการจ่ายค่าตอบแทนในอัตรา 1.5 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ และ 3 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานในวันหยุด เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวันหรือลูกจ้างตามผลงานตามกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดประชุมและรายงานผลการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน” นายพิพัฒน์กล่าว
    @PR DLPW

    https://www.facebook.com/share/Vt6L8h2fKupXkD92
    “พิพัฒน์” ขีดเส้น 2 เดือน พิจารณาเร่งแก้กฎกระทรวงฯ ให้ลูกจ้างรายเดือน รับสิทธิค่า OT ตามจริง พร้อมตั้งคณะทำงาน 3ฝ่าย วันที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือและรับหนังสือจากนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างจำนวน 7 สภา เพื่อขอให้กระทรวงแรงงานแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) และ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมี นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวกาญจนา พูลแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศ. นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงแรงงาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมหารือผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างฯ ที่ได้มายื่นหนังสือเพื่อขอให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) ข้อ 2 วรรคสอง ที่กำหนดไม่ให้ลูกจ้างรายเดือนมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาเท่ากับลูกจ้างรายวัน และแก้ไขฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ซึ่งตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนไม่ให้ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลา ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างรายเดือนได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล่วงเวลา เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวัน “ผมได้สั่งการให้จัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยผู้แทน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 7 คน เพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย รวมถึงผลกระทบจากการแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว โดยจะพิจารณาการจ่ายค่าตอบแทนในอัตรา 1.5 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ และ 3 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานในวันหยุด เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวันหรือลูกจ้างตามผลงานตามกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดประชุมและรายงานผลการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน” นายพิพัฒน์กล่าว @PR DLPW https://www.facebook.com/share/Vt6L8h2fKupXkD92
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • โผมหาดไทยป่วน ส่อเลื่อน! 7 ต.ค. ได้ ผบ.ตร.คนใหม่ เก้าอี้เลขาฯ สมช.ยังอึมครึม
    .
    ย่างเข้าเดือนตุลาคม หลายหน่วยงานภาครัฐ เริ่มทยอยแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้การทำงานเกิดสุญญากาศ ซึ่งปีนี้ ต้องถือว่า การทำโผแต่งตั้งบิ๊กข้าราชการ ล่าช้ากว่าทุกปี จากเหตุเรื่องการตั้งรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กว่าจะเสร็จสิ้น เข้าทำงานได้ ก็ปาเข้าไปเกือบกลางกันยายน แต่ตอนนี้หลายหน่วยงานก็เร่งแล้ว
    .
    อย่างในส่วนของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ก็เคาะออกมาแล้วว่า แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานก.ตร.โดยตำแหน่ง และต้องเป็นคนเสนอชื่อผบ.ตร.ต่อที่ประชุมก.ตร. ด้วยตัวเอง ได้นัดประชุมก.ตร. ในวันจันทร์ที่ 7ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งแรกของแพทองธาร และนัดแรกก็สำคัญเลย เพราะจะต้องเสนอชื่อผบ.ตร.คนใหม่ให้ก.ตร.เห็นชอบ ที่จะเป็นผบ.ตร.คนที่ 15
    .
    ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเต็งหนึ่ง หากดูจากลำดับอาวุโส ก็คือ บิ๊กต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2569 โดยมีคู่ชิงอีกสองคน คือ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ส่วนจะเป็นใครเข้าวิน และจะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ ก็รอติดตาม
    .
    ขณะที่ในส่วนของ”กระทรวงมหาดไทย”หลังมีข่าวว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กับอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ที่จะเข้าเป็นปลัดมหาดไทยคนใหม่อย่างเป็นทางการ วันอังคารที่ 1 ตุลาคมนี้ จะเอาโผ แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กคลองหลอดร่วมสามสิบกว่าตำแหน่งตั้งแต่ รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผวจ.ทั่วประเทศ เข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้ 1 ต.ค. แต่ล่าสุดลือกันว่า
    “โผไม่ลงตัว”
    .
    เลยเลื่อนเอาเข้าครม.ไปเป็น 8 ต.ค.สัปดาห์หน้าโน่นเลย เพราะมีการปรับเปลี่ยนทำโผจากของเดิม ยุคปลัดเก่ง สุทธิพงษ์ จุลเจริญ บางตำแหน่งโดยเฉพาะผวจ.หลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่อนุทิน ลงมาไล่เช็คประวัติการทำงานด้วยตัวเอง เลยทำให้ ต้องขยับออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์
    .
    เว้นแต่เคลียร์ลงตัวตอนค่ำและเช้าวันที่ 1 ต.ค.ถ้าเรียบร้อยดีก็อาจนำเข้า แต่ข่าวหลายกระแสบอกว่าน่าจะเลื่อน แล้วไปรอลุ้น 8 ต.ค.สำหรับสิงห์มหาดไทยทั่วประเทศ
    .
    ท่ามกลางข่าวลือว่าโผมีการปรับบางตำแหน่งเช่น จากเดิมที่จะให้ ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นอธิบดีกรมการปกครอง แล้วโยก “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์”ผวจ.บุรีรัมย์สายตรง เนวิน ชิดชอบ มาเป็นอธิบดีปภ.นั้น
    ล่าสุดข่าวว่า โผพลิก โดยคนที่จะมาเป็นอธิบดีปภ.คนใหม่ ลือกันว่า เป็น ภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าฯปทุมธานี
    .
    แล้วเอา นฤชา ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ไปเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแทน ขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่เหลืออายุราชการอีกหนึ่งปี จะโดนแขวนเป็น รองปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทยเป็นต้น
    .
    ทั้งหมด ทำให้โผเลยไม่ลงตัว จึงต้องเลื่อนเอาโผเข้าครม.ไปเป็นสัปดาห์หน้าแทน
    .
    ขณะเดียวกัน เก้าอี้”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ”คนใหม่ ที่จะมาแทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ถึงตอนนี้ ข่าวว่ายังไม่นิ่ง เพราะฝ่ายการเมืองในเพื่อไทยและทำเนียบรัฐบาล จะรอให้แต่งตั้งบิ๊กตำรวจให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้น ค่อยมาพิจารณาเรื่องเลขาธิการสมช.
    .
    กระแสข่าวว่า รอบนี้ เลขาธิการสมช. มีสองสูตร คือเป็นลูกหม้อสมช. กับอีกสูตรคืออาจเป็นบิ๊กสีกากี ข้ามห้วยมา ปีนี้ ไม่น่าจะเป็นการเอาบิ๊กทหาร มาเป็นเลขาธิการสมช.อย่างที่มีข่าวลือตอนแรกว่าจะมาจากกระทรวงกลาโหม เว้นแต่ถ้าโผสีกากีลงตัว ก็อาจพลิกมาเป็นสองสูตรคือ คนในกับบิ๊กกองทัพ แต่ชั่วโมงนี้ข่าวว่า สีกากี ยังแรงอยู่
    .
    เรื่องนี้ทำให้ “อดีตเลขาธิการสมช.”อย่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ที่เคยทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกฯมาแล้ว ในคดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาระบุล่าสุด วันนี้ 30 ก.ย.ว่า
    “มีข่าวออกมาอีกแล้ว ว่า…การแต่งตั้งทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจไม่ลงตัว หรือ มันอาจลงตัวตามระบบของมันแล้ว แต่คนกำกับอาจยังไม่พอใจ และอาจมีการแต่งตั้งระดับรอง ผบ สตช บางคนมาที่ สมช อีก ..เหมือนที่เคยดัน พล ต อ รอย อิงคไพโรจน์ มาเป็นเลขา สมช เมื่อปีที่ผ่านมา ตำแหน่ง เลขา สมช เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบงานสำคัญของชาติ ไม่ใช่ ตำแหน่งสำรอง หรือใช้ รองรับคนที่อกหัก ผิดหวัง จากที่ใด ที่หนึ่ง
    .
    การแต่งตั้ง แบบข้ามห้วย อย่างนี้ มันสร้างปัญหาความไม่เป็นธรรม และความระส่ำระสายในราชการมาตลอด และมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรอกครับ นอกจากเพื่อประโยชน์ตน พวก พรรค ไม่ได้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางราชการ อย่างที่ผมพูดไว้แล้ว .. เพราะคนใน ทำงาน สะสมประสบการณ์ เครือข่ายมากว่า 30 กว่าปี กลับไม่แต่งตั้ง แต่กลับไปตั้งคนของตน หรือ ถ้าไม่ใช่ ก็เพื่อสับหลีกให้กับคนของตนที่อื่น ..
    .
    . ตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น ..,นั้นไม่ใช่บริษัท หรือกิจการส่วนตัวของใครๆ ที่จะบงการ หรือ แต่งตั้งกันตามอำเภอใจ .. ก็หวังว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจเหตุผล และไม่ทำอะไรผิดซ้ำไปซ้ำมาอีก”
    .
    ทั้งหมดคือภาพรวม การแต่งตั้งโยกย้ายระดับบิ๊กในสามองค์กรสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กระทรวงมหาดไทย-สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่บอกได้เลยว่า ทุกตำแหน่งสำคัญ ยังไง ต้องให้ จันทร์ส่องหล้า เห็นชอบก่อน!!!
    ..............
    Sondhi X
    โผมหาดไทยป่วน ส่อเลื่อน! 7 ต.ค. ได้ ผบ.ตร.คนใหม่ เก้าอี้เลขาฯ สมช.ยังอึมครึม . ย่างเข้าเดือนตุลาคม หลายหน่วยงานภาครัฐ เริ่มทยอยแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้การทำงานเกิดสุญญากาศ ซึ่งปีนี้ ต้องถือว่า การทำโผแต่งตั้งบิ๊กข้าราชการ ล่าช้ากว่าทุกปี จากเหตุเรื่องการตั้งรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กว่าจะเสร็จสิ้น เข้าทำงานได้ ก็ปาเข้าไปเกือบกลางกันยายน แต่ตอนนี้หลายหน่วยงานก็เร่งแล้ว . อย่างในส่วนของ”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ก็เคาะออกมาแล้วว่า แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานก.ตร.โดยตำแหน่ง และต้องเป็นคนเสนอชื่อผบ.ตร.ต่อที่ประชุมก.ตร. ด้วยตัวเอง ได้นัดประชุมก.ตร. ในวันจันทร์ที่ 7ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งแรกของแพทองธาร และนัดแรกก็สำคัญเลย เพราะจะต้องเสนอชื่อผบ.ตร.คนใหม่ให้ก.ตร.เห็นชอบ ที่จะเป็นผบ.ตร.คนที่ 15 . ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเต็งหนึ่ง หากดูจากลำดับอาวุโส ก็คือ บิ๊กต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. เกษียณอายุราชการปี 2569 โดยมีคู่ชิงอีกสองคน คือ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ส่วนจะเป็นใครเข้าวิน และจะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ ก็รอติดตาม . ขณะที่ในส่วนของ”กระทรวงมหาดไทย”หลังมีข่าวว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กับอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ที่จะเข้าเป็นปลัดมหาดไทยคนใหม่อย่างเป็นทางการ วันอังคารที่ 1 ตุลาคมนี้ จะเอาโผ แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กคลองหลอดร่วมสามสิบกว่าตำแหน่งตั้งแต่ รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผวจ.ทั่วประเทศ เข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้ 1 ต.ค. แต่ล่าสุดลือกันว่า “โผไม่ลงตัว” . เลยเลื่อนเอาเข้าครม.ไปเป็น 8 ต.ค.สัปดาห์หน้าโน่นเลย เพราะมีการปรับเปลี่ยนทำโผจากของเดิม ยุคปลัดเก่ง สุทธิพงษ์ จุลเจริญ บางตำแหน่งโดยเฉพาะผวจ.หลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่อนุทิน ลงมาไล่เช็คประวัติการทำงานด้วยตัวเอง เลยทำให้ ต้องขยับออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ . เว้นแต่เคลียร์ลงตัวตอนค่ำและเช้าวันที่ 1 ต.ค.ถ้าเรียบร้อยดีก็อาจนำเข้า แต่ข่าวหลายกระแสบอกว่าน่าจะเลื่อน แล้วไปรอลุ้น 8 ต.ค.สำหรับสิงห์มหาดไทยทั่วประเทศ . ท่ามกลางข่าวลือว่าโผมีการปรับบางตำแหน่งเช่น จากเดิมที่จะให้ ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นอธิบดีกรมการปกครอง แล้วโยก “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์”ผวจ.บุรีรัมย์สายตรง เนวิน ชิดชอบ มาเป็นอธิบดีปภ.นั้น ล่าสุดข่าวว่า โผพลิก โดยคนที่จะมาเป็นอธิบดีปภ.คนใหม่ ลือกันว่า เป็น ภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าฯปทุมธานี . แล้วเอา นฤชา ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ไปเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแทน ขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่เหลืออายุราชการอีกหนึ่งปี จะโดนแขวนเป็น รองปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทยเป็นต้น . ทั้งหมด ทำให้โผเลยไม่ลงตัว จึงต้องเลื่อนเอาโผเข้าครม.ไปเป็นสัปดาห์หน้าแทน . ขณะเดียวกัน เก้าอี้”เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ”คนใหม่ ที่จะมาแทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ถึงตอนนี้ ข่าวว่ายังไม่นิ่ง เพราะฝ่ายการเมืองในเพื่อไทยและทำเนียบรัฐบาล จะรอให้แต่งตั้งบิ๊กตำรวจให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้น ค่อยมาพิจารณาเรื่องเลขาธิการสมช. . กระแสข่าวว่า รอบนี้ เลขาธิการสมช. มีสองสูตร คือเป็นลูกหม้อสมช. กับอีกสูตรคืออาจเป็นบิ๊กสีกากี ข้ามห้วยมา ปีนี้ ไม่น่าจะเป็นการเอาบิ๊กทหาร มาเป็นเลขาธิการสมช.อย่างที่มีข่าวลือตอนแรกว่าจะมาจากกระทรวงกลาโหม เว้นแต่ถ้าโผสีกากีลงตัว ก็อาจพลิกมาเป็นสองสูตรคือ คนในกับบิ๊กกองทัพ แต่ชั่วโมงนี้ข่าวว่า สีกากี ยังแรงอยู่ . เรื่องนี้ทำให้ “อดีตเลขาธิการสมช.”อย่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ที่เคยทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกฯมาแล้ว ในคดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาระบุล่าสุด วันนี้ 30 ก.ย.ว่า “มีข่าวออกมาอีกแล้ว ว่า…การแต่งตั้งทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจไม่ลงตัว หรือ มันอาจลงตัวตามระบบของมันแล้ว แต่คนกำกับอาจยังไม่พอใจ และอาจมีการแต่งตั้งระดับรอง ผบ สตช บางคนมาที่ สมช อีก ..เหมือนที่เคยดัน พล ต อ รอย อิงคไพโรจน์ มาเป็นเลขา สมช เมื่อปีที่ผ่านมา ตำแหน่ง เลขา สมช เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบงานสำคัญของชาติ ไม่ใช่ ตำแหน่งสำรอง หรือใช้ รองรับคนที่อกหัก ผิดหวัง จากที่ใด ที่หนึ่ง . การแต่งตั้ง แบบข้ามห้วย อย่างนี้ มันสร้างปัญหาความไม่เป็นธรรม และความระส่ำระสายในราชการมาตลอด และมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรอกครับ นอกจากเพื่อประโยชน์ตน พวก พรรค ไม่ได้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางราชการ อย่างที่ผมพูดไว้แล้ว .. เพราะคนใน ทำงาน สะสมประสบการณ์ เครือข่ายมากว่า 30 กว่าปี กลับไม่แต่งตั้ง แต่กลับไปตั้งคนของตน หรือ ถ้าไม่ใช่ ก็เพื่อสับหลีกให้กับคนของตนที่อื่น .. . . ตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น ..,นั้นไม่ใช่บริษัท หรือกิจการส่วนตัวของใครๆ ที่จะบงการ หรือ แต่งตั้งกันตามอำเภอใจ .. ก็หวังว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจเหตุผล และไม่ทำอะไรผิดซ้ำไปซ้ำมาอีก” . ทั้งหมดคือภาพรวม การแต่งตั้งโยกย้ายระดับบิ๊กในสามองค์กรสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กระทรวงมหาดไทย-สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่บอกได้เลยว่า ทุกตำแหน่งสำคัญ ยังไง ต้องให้ จันทร์ส่องหล้า เห็นชอบก่อน!!! .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    Sad
    12
    0 Comments 1 Shares 611 Views 0 Reviews
  • 'วุฒิสภา' ยื้อประชามติ ดึงเกมแก้ รธน.รัฐบาลทำใจอาจใช้เวลา
    .
    การเดินเกมทางการเมืองของวุฒิสภาชุดนี้ภายใต้การนำของส.ว.สายสีน้ำเงินเริ่มมีความลึกลับและแหลมคมมากขึ้น ภายหลังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ… มีมติแก้ไขเนื้อหาที่สำคัญ คือ การใช้ระบบเสียงข้างมากแบบสองชั้น กล่าวคือ กำหนดให้การทำประชามติเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่ทำประชามติ
    .
    โดยตามขั้นตอนเมื่อมีการแก้ไขแล้วจะต้องมีการพิจารณากันในที่ประชุมวุฒิสภาวันที่ 30 กันยายน ต่อไป โดยนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์เป็นอย่างมากถึงการกำหนดรูปแบบการออกเสียงดังกล่าว อย่างนางอังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก เพราะการใช้เสียงข้างมากสองชั้นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงที่ทุกคนเห็นร่วมกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความจำเป็นต้องแก้ไข แต่กลับมีคนเสนอมติดังกล่าว ทำให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สว.มีอิสระจริงหรือไม่
    .
    “ยืนยันชัดเจนว่าดิฉันไม่อาจจะเห็นด้วยได้ เพราะการกลับมติที่เคยมี การไม่เห็นด้วยกับร่างสส. จะทำให้ร่างพ.ร.บ.ประชามติล่าช้า ไม่ทันการเลือกตั้ง อบจ.เดือนกุมภาพันธ์ ไม่ทันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐบาลชุดนี้ที่แถลงไว้ชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือพ.ร.บ.ประชามติไม่ผ่านก็จบ ถามว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร” นางอังคณา กล่าว
    .
    ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายรัฐบาลที่ก็มองว่าอาจต้องเพิ่มกระบวนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปอีก โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ระบุว่า ส่วนตัวไม่ขอวิจารณ์การทำงานของส.ว. แต่หากที่สุดแล้วที่ประชุมส.ว.มีมติอะไรต่างจากร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอ ก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันทั้งสองสภา เพื่อให้ได้กฎหมายที่มีความเห็นร่วมของทั้งสองสภา อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้การดำเนินการอะไรในสภาฯ ต้องให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคุยกันก่อน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าจะเสนอกฎหมายอะไร อย่างไร เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากนั้นจึงนำเข้าสู่ที่ประชุมวิปรัฐบาลเพื่อเป็นมติ จะได้ไม่มีปัญหาอีก แต่ตนเชื่อว่าทุกอย่างจะจบได้ด้วยการเจรจา
    ............
    Sondhi X
    'วุฒิสภา' ยื้อประชามติ ดึงเกมแก้ รธน.รัฐบาลทำใจอาจใช้เวลา . การเดินเกมทางการเมืองของวุฒิสภาชุดนี้ภายใต้การนำของส.ว.สายสีน้ำเงินเริ่มมีความลึกลับและแหลมคมมากขึ้น ภายหลังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ… มีมติแก้ไขเนื้อหาที่สำคัญ คือ การใช้ระบบเสียงข้างมากแบบสองชั้น กล่าวคือ กำหนดให้การทำประชามติเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่ทำประชามติ . โดยตามขั้นตอนเมื่อมีการแก้ไขแล้วจะต้องมีการพิจารณากันในที่ประชุมวุฒิสภาวันที่ 30 กันยายน ต่อไป โดยนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์เป็นอย่างมากถึงการกำหนดรูปแบบการออกเสียงดังกล่าว อย่างนางอังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก เพราะการใช้เสียงข้างมากสองชั้นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงที่ทุกคนเห็นร่วมกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความจำเป็นต้องแก้ไข แต่กลับมีคนเสนอมติดังกล่าว ทำให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สว.มีอิสระจริงหรือไม่ . “ยืนยันชัดเจนว่าดิฉันไม่อาจจะเห็นด้วยได้ เพราะการกลับมติที่เคยมี การไม่เห็นด้วยกับร่างสส. จะทำให้ร่างพ.ร.บ.ประชามติล่าช้า ไม่ทันการเลือกตั้ง อบจ.เดือนกุมภาพันธ์ ไม่ทันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐบาลชุดนี้ที่แถลงไว้ชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หากตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือพ.ร.บ.ประชามติไม่ผ่านก็จบ ถามว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร” นางอังคณา กล่าว . ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายรัฐบาลที่ก็มองว่าอาจต้องเพิ่มกระบวนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปอีก โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ระบุว่า ส่วนตัวไม่ขอวิจารณ์การทำงานของส.ว. แต่หากที่สุดแล้วที่ประชุมส.ว.มีมติอะไรต่างจากร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอ ก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันทั้งสองสภา เพื่อให้ได้กฎหมายที่มีความเห็นร่วมของทั้งสองสภา อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้การดำเนินการอะไรในสภาฯ ต้องให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคุยกันก่อน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าจะเสนอกฎหมายอะไร อย่างไร เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากนั้นจึงนำเข้าสู่ที่ประชุมวิปรัฐบาลเพื่อเป็นมติ จะได้ไม่มีปัญหาอีก แต่ตนเชื่อว่าทุกอย่างจะจบได้ด้วยการเจรจา ............ Sondhi X
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 579 Views 0 Reviews
  • เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย

    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน

    นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย

    "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ

    สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น

    ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk

    #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์
    เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์
    Like
    Love
    Haha
    121
    10 Comments 3 Shares 2882 Views 5 Reviews
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน01.🤠

    เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา จีน และเกาหลีเหนือลงนามข้อตกลงสงบศึกที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店)

    สงครามอันยาวนานและโหดร้ายสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโลกจะยังไม่ตอบสนอง

    สงครามครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกประเทศที่เข้าร่วม จีนและเกาหลีเหนือได้รับชัยชนะในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข สำหรับสหรัฐอเมริกา ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ประเทศเหล่านั้นที่ปฏิบัติตามการนำของสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเชื่อได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นผู้แพ้

    😎การเจรจาต่อรองที่ยืดเยื้อ😎

    ในความเป็นจริง จีนและสหรัฐอเมริกาได้เจรจาสงบศึกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่ราบรื่น

    เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับสหรัฐฯ ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อความสมดุลแห่งชัยชนะในสงครามเกาหลีเอียงไปทางจีนและเกาหลีเหนือโดยสิ้นเชิง ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ยอมรับความจริงและตกลงที่จะเจรจา .

    อย่างไรก็ตาม โต๊ะเจรจายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนอันแรงกล้า

    สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับใบหน้าของตนเองเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ปีค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามดำเนินไปในสภาพที่เลวร้าย ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman哈里·S·杜鲁门) ของสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ากองทหารสหรัฐฯ จะสามารถถอนตัวออกจากเกาหลีเหนืออย่างมีศักดิ์ศรี

    อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก็พ่ายแพ้ ความเหมาะสมมาจากไหน?

    ด้วยเหตุนี้ ทรูแมน(Truman)เกิดความคิดที่อุกอาจชนิดซึ่งไม่คำนึงถึงความไม่พอใจของชาวโลก เขาประกาศต่อสาธารณะว่าเขาจะใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน

    คำพูดที่น่าตกตะลึงของทรูแมน(Truman)ไม่เพียงทำให้จีนตกใจเท่านั้น แต่ยังทำให้คนทั้งโลกตื่นตระหนกอีกด้วย

    บุคคลแรกที่แสดงการต่อต้านเรื่องนี้คือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา

    เนื่องจากอังกฤษรู้ดีว่า ทันทีที่สหรัฐฯใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน สหภาพโซเวียตก็สามารถใช้ระเบิดปรมาณูต่อประเทศในยุโรปได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลาหากประตูเมืองเกิดเพลิงไหม้และปลาในบ่อได้รับผลกระทบ ราคาค่าตอบแทนไม่ใช่สิ่งที่ประเทศในยุโรปจะสามารถยอมรับได้

    อีกทั้งประกอบกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของกองทหารสหประชาชาติในสนามรบเกาหลี ประเทศในยุโรปได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษจึงบินไปสหรัฐอเมริกาทันทีและจัดการเจรจากับทรูแมน(Truman)5 ครั้ง โดยหวังว่าทรูแมน(Truman)จะยอมรับเงื่อนไขที่จีนและเกาหลีเหนือเสนอมาและทำการอ่อนข้อลง

    แต่ทรูแมน(Truman)กล่าวว่าแม้ว่าเขาจะสามารถยอมรับการเจรจาสันติภาพและการถอนทหารได้ แต่เขาก็จะไม่มีวันละทิ้งผลประโยชน์ใดๆ

    เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอของประธานาธิบดี คณะผู้แทนที่ส่งมาจากสหรัฐอเมริกาก็ใช้สมองอย่างหนักเช่นกัน โชคดีที่เวลานี้จีนและสหภาพโซเวียตก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะส่งเสริมการสงบศึก ดังนั้น คณะผู้แทนอเมริกาจึงส่งคำพูดข้อความสื่อสารผ่านสหภาพโซเวียต โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหยุดยิงและถอนทหารออกจากเส้นขนานที่ 38 .

    จีนมีข้อตอบโต้ในทางสาธารณะอย่างรวดเร็วบนหนังสือพิมพ์ โดยแสดงความเห็นด้วยกับความเห็นของสหรัฐอเมริกา

    ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าวกลับไปเจรจา ในที่สุดก็ได้มองเห็นแสงสว่าง ทรูแมน(Truman)จึงได้แถลงการณ์ต่อสาธารณะอย่างรวดเร็วที่จะมีการเจรจาอย่างตรงไปตรงมากับจีน

    อย่างไรก็ตาม ประธานเหมาได้คาดการณ์ไว้แล้วถึงความไม่แน่นอนของสหรัฐอเมริกา ประธานเหมาเสนอว่ากลยุทธ์ของเราสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันคือ: “การต่อสู้ทางการเมืองและการทหารเป็นของคู่กันให้ดำเนินการพร้อมกันสองทาง คือ มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ ไม่กลัวสงคราม และเตรียมพร้อมที่จะชะลอลากยาว อดทนในการเจรจา เด็ดเดี่ยวในการรบต่อสู้ และถกเถียงช่วงชิงกันอย่างมีเหตุผล จนกว่าจะมีการสงบศึกที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล” "

    😎เกมจิตวิทยา😎

    หลังสงครามครั้งที่ 5 ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว และสหรัฐฯ ก็แสดงเจตจำนงอย่างแรงกล้าที่จะเจรจาอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายจึงได้สรุปสถานที่เจรจาที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店)

    อย่างไรก็ตาม พวกเขาประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งก็คือการวาดเส้นแบ่งเขตทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่าย

    จีนเสนอให้ใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเขตแดน แต่สหรัฐฯ ปฏิเสธอย่างแม่นมั่น เนื่องจากเมื่อใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเขต หมายความว่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ เคยได้รับมาก่อนหน้านี้จะได้รับความเสียหาย ซึ่งฝ่าฝืนข้อกำหนดก่อนหน้าของทรูแมน(Truman)ซึ่งเสนอไว้

    ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธที่จะยอมต่อกัน และบรรยากาศที่โต๊ะเจรจาก็เย็นวูบลงและเงื่อนไขก็แสดงชัดเจน

    แล้วจากนั้นไม่มีใครพูดอะไร และพวกเขาก็เริ่มนั่งเงียบๆ เกมนี้เป็นเกมเงียบ ใครถอยก่อน คนนั้นแพ้

    แล้วจากนั้นผลก็คือการนั่งนิ่งอยู่นั้นกินเวลานานกว่าสองชั่วโมง

    ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ในใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแทนของฝ่ายจีนสูญเสียสมาธิความสงบ หลี่เค่อหนง(李克农)ซึ่งเป็นผู้นำทีมได้ส่งจดหมายน้อยข้อความอย่างเงียบ ๆ เพื่อแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในสถานที่สงบสติอารมณ์

    อาการความสงบของฝ่ายจีนตลอดกระบวนการทั้งหมดทำให้สหรัฐอเมริกาประหลาดใจมาก

    ท้ายที่สุด พลโทชาร์ลส์ เทิร์นเนอร์ จอย(Charles Turner Joy查尔斯·特纳·乔伊)ผู้แทนสหรัฐฯหมดความอดทน และประกาศเลิกประชุม การเจรจาวันแรกจบลงอย่างไม่น่าพอใจ

    อย่างไรก็ตาม การผัดวันประกันพรุ่งเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ยังไม่ได้ผล วันรุ่งขึ้นปัญหายังคงอยู่และต้องมีการเจรจา

    วันรุ่งขึ้น ฝ่ายเกาหลีเหนือมีหน้าที่เป็นประธานในการเจรจา ทั้งสองฝ่ายนั่งลงเป็นเวลา 25 วินาทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตัวแทนเกาหลีเหนือประกาศว่าหยุดการเจรจา ซึ่งทำให้แผนของกองทัพสหรัฐฯ หยุดชะงักกะทันหัน

    ตอนนั้นเองที่สหรัฐฯ ตระหนักได้ว่า จีนและเกาหลีเหนือไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกองทัพสหรัฐฯ ในสนามรบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลผลกระทบอย่างรุนแรงที่โต๊ะเจรจาด้วย

    เมื่อการเจรจาไม่ราบรื่น และทั้งสองฝ่ายยังคงเข้าสู่โหมดสงครามต่อไป ภายในเวลาไม่นาน กองทัพสหรัฐฯ สูญเสียผู้คนไปอีก 150,000 คนในสงคราม สิ่งนี้บังคับให้สหรัฐฯ พิจารณาให้ยอมอ่อนข้อมากขึ้น กล่าวคือ เห็นด้วยกับเส้นแบ่งเขตทางทหารที่เสนอโดยจีน

    หลังจากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข หลี่เค่อหนง(李克农)มีความดีใจมาก และเชื่อว่าการสงบศึกโดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าการเจรจาครั้งนี้จะยืดเยื้อถึง 747 วันเต็ม

    เพื่อใช้คำพูดของคณะผู้แทนของจีนมาอธิบาย สหรัฐอเมริกาขณะเจรจาสงบศึกก็ต้องการจะรบต่อ และเมื่อพวกเขาเริ่มรบกันพวกเขาก็อยากจะเจรจาสงบศึกอีกครั้ง ทัศนคติความคิดของพวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ ความทะเยอทะยานโลภมากของพวกเขามักจะกำจัดให้หายไปได้ยาก ซึ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการแก้ไข

    แม้ว่าปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือเส้นแบ่งเขตทางทหารจะได้รับการแก้ไข แต่ในไม่ช้าความขัดแย้งก็เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในเรื่องการกำจัดเชลยศึก

    ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าจำนวนเชลยศึกในมือของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากันในขณะนั้น ทางฝั่งจีนมีนักโทษทหารสหรัฐฯ มากกว่า 10,000 คน อย่างไรก็ตามทางฝั่งกองทัพสหรัฐฯมีนักโทษรวม 130,000 คน

    ตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศเจนีวา หลังจากการสงบศึก ทั้งสองฝ่ายควรปล่อยเชลยศึกทั้งหมด แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนกรานให้มีการแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัว ซึ่งหมายความว่าเชลยศึก 120,000 คนจะไม่สามารถปล่อยตัวได้

    นี่มันจึงเป็นเรื่องไร้สาระ อเมริกากระทำแบบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจับตัวไว้เป็นตัวประกัน ฝ่ายจีนมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ในประเด็นนี้ และสหรัฐอเมริกาก็หันไปใช้กลอุบายเก่า ๆ อีกครั้ง เมื่อการเจรจาไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็เดินออกจากเต็นท์ทันที และประกาศเลื่อนการประชุม

    นี่ยังคงเป็นการท้ารบทางสงครามจิตวิทยาต่อจีนเช่นเดิม คณะผู้แทนของจีนจึงหารือล่วงหน้าว่า เมื่อต้องเผชิญกับพฤติกรรมเช่นนี้ของกองทัพสหรัฐฯ จะต้องไม่ตื่นตระหนก ในทางกลับกัน จะต้องให้ทำตัวสงบและผ่อนคลาย พูดคุยอารมณ์ดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำลายการป้องกันทางจิตวิทยาของกองทัพสหรัฐฯ ได้

    เหตุการณ์ลากยาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์(Dwight D. Eisenhower德怀特·艾森豪威尔) ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา

    หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)ก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง ในสงครามเกาหลี สหรัฐฯ ลงทุนมากเกินไป บัดนี้ ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไรก็ยิ่งส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ มากขึ้นเท่านั้น และอาจถึงขั้นสั่นคลอนการปกครองของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ

    ด้วยเหตุนี้ ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)จึงหวังที่จะยุติสงครามโดยเร็วที่สุด ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น สหรัฐฯ จึงส่งข้อความสื่อสารไปยังจีนและตกลงที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษที่บาดเจ็บบางส่วนก่อน

    ในเวลานี้สตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตได้ถึงแก่กรรมแล้ว และจีนต้องแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบรรลุข้อตกลงในประเด็นเรื่องเชลยศึกในที่สุด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 ทั้งสองฝ่ายได้จัดพิธีส่งมอบแลกเปลี่ยนนักโทษที่เมืองพันมุนจ็อม(Panmunjom板門店)

    ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายตัดสินใจลงนามข้อตกลงสงบศึกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ตัวแทนของกองทัพสหรัฐฯ คือ พลโทวิลเลียม เคลลี่ แฮร์ริสัน จูเนียร์(William Kelly Harrison Jr. 小威廉·凱利·哈里森)และตัวแทนของเกาหลีเหนือคือ นายพลนัม อิล(Nam Il南日)

    ขณะนั้นบรรยากาศในที่เกิดเหตุน่าอับอายมาก โดยเฉพาะฝั่งคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่น่าสังเวช

    🥳โปรดติดตามบทความ #สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน01.🤠 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา จีน และเกาหลีเหนือลงนามข้อตกลงสงบศึกที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店) สงครามอันยาวนานและโหดร้ายสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโลกจะยังไม่ตอบสนอง สงครามครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกประเทศที่เข้าร่วม จีนและเกาหลีเหนือได้รับชัยชนะในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข สำหรับสหรัฐอเมริกา ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ประเทศเหล่านั้นที่ปฏิบัติตามการนำของสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเชื่อได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นผู้แพ้ 😎การเจรจาต่อรองที่ยืดเยื้อ😎 ในความเป็นจริง จีนและสหรัฐอเมริกาได้เจรจาสงบศึกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่ราบรื่น เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับสหรัฐฯ ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อความสมดุลแห่งชัยชนะในสงครามเกาหลีเอียงไปทางจีนและเกาหลีเหนือโดยสิ้นเชิง ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ยอมรับความจริงและตกลงที่จะเจรจา . อย่างไรก็ตาม โต๊ะเจรจายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนอันแรงกล้า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับใบหน้าของตนเองเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ปีค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามดำเนินไปในสภาพที่เลวร้าย ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman哈里·S·杜鲁门) ของสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ากองทหารสหรัฐฯ จะสามารถถอนตัวออกจากเกาหลีเหนืออย่างมีศักดิ์ศรี อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก็พ่ายแพ้ ความเหมาะสมมาจากไหน? ด้วยเหตุนี้ ทรูแมน(Truman)เกิดความคิดที่อุกอาจชนิดซึ่งไม่คำนึงถึงความไม่พอใจของชาวโลก เขาประกาศต่อสาธารณะว่าเขาจะใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน คำพูดที่น่าตกตะลึงของทรูแมน(Truman)ไม่เพียงทำให้จีนตกใจเท่านั้น แต่ยังทำให้คนทั้งโลกตื่นตระหนกอีกด้วย บุคคลแรกที่แสดงการต่อต้านเรื่องนี้คือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอังกฤษรู้ดีว่า ทันทีที่สหรัฐฯใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน สหภาพโซเวียตก็สามารถใช้ระเบิดปรมาณูต่อประเทศในยุโรปได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลาหากประตูเมืองเกิดเพลิงไหม้และปลาในบ่อได้รับผลกระทบ ราคาค่าตอบแทนไม่ใช่สิ่งที่ประเทศในยุโรปจะสามารถยอมรับได้ อีกทั้งประกอบกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของกองทหารสหประชาชาติในสนามรบเกาหลี ประเทศในยุโรปได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษจึงบินไปสหรัฐอเมริกาทันทีและจัดการเจรจากับทรูแมน(Truman)5 ครั้ง โดยหวังว่าทรูแมน(Truman)จะยอมรับเงื่อนไขที่จีนและเกาหลีเหนือเสนอมาและทำการอ่อนข้อลง แต่ทรูแมน(Truman)กล่าวว่าแม้ว่าเขาจะสามารถยอมรับการเจรจาสันติภาพและการถอนทหารได้ แต่เขาก็จะไม่มีวันละทิ้งผลประโยชน์ใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอของประธานาธิบดี คณะผู้แทนที่ส่งมาจากสหรัฐอเมริกาก็ใช้สมองอย่างหนักเช่นกัน โชคดีที่เวลานี้จีนและสหภาพโซเวียตก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะส่งเสริมการสงบศึก ดังนั้น คณะผู้แทนอเมริกาจึงส่งคำพูดข้อความสื่อสารผ่านสหภาพโซเวียต โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหยุดยิงและถอนทหารออกจากเส้นขนานที่ 38 . จีนมีข้อตอบโต้ในทางสาธารณะอย่างรวดเร็วบนหนังสือพิมพ์ โดยแสดงความเห็นด้วยกับความเห็นของสหรัฐอเมริกา ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าวกลับไปเจรจา ในที่สุดก็ได้มองเห็นแสงสว่าง ทรูแมน(Truman)จึงได้แถลงการณ์ต่อสาธารณะอย่างรวดเร็วที่จะมีการเจรจาอย่างตรงไปตรงมากับจีน อย่างไรก็ตาม ประธานเหมาได้คาดการณ์ไว้แล้วถึงความไม่แน่นอนของสหรัฐอเมริกา ประธานเหมาเสนอว่ากลยุทธ์ของเราสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันคือ: “การต่อสู้ทางการเมืองและการทหารเป็นของคู่กันให้ดำเนินการพร้อมกันสองทาง คือ มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ ไม่กลัวสงคราม และเตรียมพร้อมที่จะชะลอลากยาว อดทนในการเจรจา เด็ดเดี่ยวในการรบต่อสู้ และถกเถียงช่วงชิงกันอย่างมีเหตุผล จนกว่าจะมีการสงบศึกที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล” " 😎เกมจิตวิทยา😎 หลังสงครามครั้งที่ 5 ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว และสหรัฐฯ ก็แสดงเจตจำนงอย่างแรงกล้าที่จะเจรจาอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายจึงได้สรุปสถานที่เจรจาที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店) อย่างไรก็ตาม พวกเขาประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งก็คือการวาดเส้นแบ่งเขตทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่าย จีนเสนอให้ใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเขตแดน แต่สหรัฐฯ ปฏิเสธอย่างแม่นมั่น เนื่องจากเมื่อใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเขต หมายความว่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ เคยได้รับมาก่อนหน้านี้จะได้รับความเสียหาย ซึ่งฝ่าฝืนข้อกำหนดก่อนหน้าของทรูแมน(Truman)ซึ่งเสนอไว้ ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธที่จะยอมต่อกัน และบรรยากาศที่โต๊ะเจรจาก็เย็นวูบลงและเงื่อนไขก็แสดงชัดเจน แล้วจากนั้นไม่มีใครพูดอะไร และพวกเขาก็เริ่มนั่งเงียบๆ เกมนี้เป็นเกมเงียบ ใครถอยก่อน คนนั้นแพ้ แล้วจากนั้นผลก็คือการนั่งนิ่งอยู่นั้นกินเวลานานกว่าสองชั่วโมง ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ในใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแทนของฝ่ายจีนสูญเสียสมาธิความสงบ หลี่เค่อหนง(李克农)ซึ่งเป็นผู้นำทีมได้ส่งจดหมายน้อยข้อความอย่างเงียบ ๆ เพื่อแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในสถานที่สงบสติอารมณ์ อาการความสงบของฝ่ายจีนตลอดกระบวนการทั้งหมดทำให้สหรัฐอเมริกาประหลาดใจมาก ท้ายที่สุด พลโทชาร์ลส์ เทิร์นเนอร์ จอย(Charles Turner Joy查尔斯·特纳·乔伊)ผู้แทนสหรัฐฯหมดความอดทน และประกาศเลิกประชุม การเจรจาวันแรกจบลงอย่างไม่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม การผัดวันประกันพรุ่งเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ยังไม่ได้ผล วันรุ่งขึ้นปัญหายังคงอยู่และต้องมีการเจรจา วันรุ่งขึ้น ฝ่ายเกาหลีเหนือมีหน้าที่เป็นประธานในการเจรจา ทั้งสองฝ่ายนั่งลงเป็นเวลา 25 วินาทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตัวแทนเกาหลีเหนือประกาศว่าหยุดการเจรจา ซึ่งทำให้แผนของกองทัพสหรัฐฯ หยุดชะงักกะทันหัน ตอนนั้นเองที่สหรัฐฯ ตระหนักได้ว่า จีนและเกาหลีเหนือไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกองทัพสหรัฐฯ ในสนามรบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลผลกระทบอย่างรุนแรงที่โต๊ะเจรจาด้วย เมื่อการเจรจาไม่ราบรื่น และทั้งสองฝ่ายยังคงเข้าสู่โหมดสงครามต่อไป ภายในเวลาไม่นาน กองทัพสหรัฐฯ สูญเสียผู้คนไปอีก 150,000 คนในสงคราม สิ่งนี้บังคับให้สหรัฐฯ พิจารณาให้ยอมอ่อนข้อมากขึ้น กล่าวคือ เห็นด้วยกับเส้นแบ่งเขตทางทหารที่เสนอโดยจีน หลังจากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข หลี่เค่อหนง(李克农)มีความดีใจมาก และเชื่อว่าการสงบศึกโดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าการเจรจาครั้งนี้จะยืดเยื้อถึง 747 วันเต็ม เพื่อใช้คำพูดของคณะผู้แทนของจีนมาอธิบาย สหรัฐอเมริกาขณะเจรจาสงบศึกก็ต้องการจะรบต่อ และเมื่อพวกเขาเริ่มรบกันพวกเขาก็อยากจะเจรจาสงบศึกอีกครั้ง ทัศนคติความคิดของพวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ ความทะเยอทะยานโลภมากของพวกเขามักจะกำจัดให้หายไปได้ยาก ซึ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการแก้ไข แม้ว่าปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือเส้นแบ่งเขตทางทหารจะได้รับการแก้ไข แต่ในไม่ช้าความขัดแย้งก็เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในเรื่องการกำจัดเชลยศึก ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าจำนวนเชลยศึกในมือของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากันในขณะนั้น ทางฝั่งจีนมีนักโทษทหารสหรัฐฯ มากกว่า 10,000 คน อย่างไรก็ตามทางฝั่งกองทัพสหรัฐฯมีนักโทษรวม 130,000 คน ตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศเจนีวา หลังจากการสงบศึก ทั้งสองฝ่ายควรปล่อยเชลยศึกทั้งหมด แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนกรานให้มีการแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัว ซึ่งหมายความว่าเชลยศึก 120,000 คนจะไม่สามารถปล่อยตัวได้ นี่มันจึงเป็นเรื่องไร้สาระ อเมริกากระทำแบบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจับตัวไว้เป็นตัวประกัน ฝ่ายจีนมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ในประเด็นนี้ และสหรัฐอเมริกาก็หันไปใช้กลอุบายเก่า ๆ อีกครั้ง เมื่อการเจรจาไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็เดินออกจากเต็นท์ทันที และประกาศเลื่อนการประชุม นี่ยังคงเป็นการท้ารบทางสงครามจิตวิทยาต่อจีนเช่นเดิม คณะผู้แทนของจีนจึงหารือล่วงหน้าว่า เมื่อต้องเผชิญกับพฤติกรรมเช่นนี้ของกองทัพสหรัฐฯ จะต้องไม่ตื่นตระหนก ในทางกลับกัน จะต้องให้ทำตัวสงบและผ่อนคลาย พูดคุยอารมณ์ดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำลายการป้องกันทางจิตวิทยาของกองทัพสหรัฐฯ ได้ เหตุการณ์ลากยาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์(Dwight D. Eisenhower德怀特·艾森豪威尔) ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)ก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง ในสงครามเกาหลี สหรัฐฯ ลงทุนมากเกินไป บัดนี้ ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไรก็ยิ่งส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ มากขึ้นเท่านั้น และอาจถึงขั้นสั่นคลอนการปกครองของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)จึงหวังที่จะยุติสงครามโดยเร็วที่สุด ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น สหรัฐฯ จึงส่งข้อความสื่อสารไปยังจีนและตกลงที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษที่บาดเจ็บบางส่วนก่อน ในเวลานี้สตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตได้ถึงแก่กรรมแล้ว และจีนต้องแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบรรลุข้อตกลงในประเด็นเรื่องเชลยศึกในที่สุด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 ทั้งสองฝ่ายได้จัดพิธีส่งมอบแลกเปลี่ยนนักโทษที่เมืองพันมุนจ็อม(Panmunjom板門店) ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายตัดสินใจลงนามข้อตกลงสงบศึกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ตัวแทนของกองทัพสหรัฐฯ คือ พลโทวิลเลียม เคลลี่ แฮร์ริสัน จูเนียร์(William Kelly Harrison Jr. 小威廉·凱利·哈里森)และตัวแทนของเกาหลีเหนือคือ นายพลนัม อิล(Nam Il南日) ขณะนั้นบรรยากาศในที่เกิดเหตุน่าอับอายมาก โดยเฉพาะฝั่งคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่น่าสังเวช 🥳โปรดติดตามบทความ #สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • อดีตหัวหน้าเอฟบีไอยืนยันว่า เหตุการณ์ ๙/๑๑ ถูกกำหนดขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯในระดับสูงสุด เหตุระเบิดที่เมืองโอคลาโฮมา, การลอบสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี, การลอบสังหาร โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี, เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และการค้าประเวณีเด็กโดยกองทหาร, ซีไอเอ และนักการเมือง
    .
    Former Head of the FBI confirms that 9/11 was orchestrated at the highest level by the U.S. Government. Oklahoma city bombing, JFK, RFK assassinations, World Trade Center and Child Sex Trafficking by the Military, CIA and Politicians.
    .
    4:37 AM · Sep 30, 2024 · 294.7K Views
    https://x.com/iluminatibot/status/1840506304042795437
    อดีตหัวหน้าเอฟบีไอยืนยันว่า เหตุการณ์ ๙/๑๑ ถูกกำหนดขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯในระดับสูงสุด เหตุระเบิดที่เมืองโอคลาโฮมา, การลอบสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี, การลอบสังหาร โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี, เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และการค้าประเวณีเด็กโดยกองทหาร, ซีไอเอ และนักการเมือง . Former Head of the FBI confirms that 9/11 was orchestrated at the highest level by the U.S. Government. Oklahoma city bombing, JFK, RFK assassinations, World Trade Center and Child Sex Trafficking by the Military, CIA and Politicians. . 4:37 AM · Sep 30, 2024 · 294.7K Views https://x.com/iluminatibot/status/1840506304042795437
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • ทรัพยากรคลังการยาเรามีจำกัด แต่ต่างชาติ&ต่างด้าวทั้งมาถูกเปิดเผยและเถื่อนๆมาลับๆเทาๆรวมกันกว่า20-30ล้านคนก็ได้กระจายทั่วประเทศไทย จะมาแย่งทรัพยากรที่มีจำกัดขนาดไหน ช่วงแรกอาจซื้อมาในต้นทุนถูก แต่แพงขึ้นๆแพงขึ้นเพราะความต้องการมากขึ้นจากคนต่างชาตินี้มาร่วมใช้ด้วย กว่าจะจัดหามาปรุงมาทำได้ทั้งวัตถุดิบแสนลำบากเพื่อมีเพียงพอให้คนไทยได้ใช้,เช่นเดิมมีในคลังยาสำหรับคน70ล้านคนเพียงพอทั้งสำรองฉุกเฉินแล้วและต้นทุนแสนถูกหาได้สบายวัตถุดิบในประเทศสลับพักใช้เพียงพอ,แต่เมื่อคนต่างชาติ&ต่างด้าวมาอาศัยอยู่ด้วยทั้งในแบบนักท่องเที่ยว แบบคนค้าแรงงาน กว่า30-40ล้านคนต่อปีคงสบายๆมาก ,วัตถุดิบคลังยาจึงต้องมีภาระจัดเตรียมมากขึ้น แม้บอกว่าใช้ตังซื้อมาแทนได้แต่กว่าจะจัดหาจัดซื้อมาได้ต้นทุนย่อมแพงขึ้นต่อๆเนื่องแน่นอน ลำพังคนในชาติไทยเองอาจใช้กันถึง2-3รอบกว่าจะหมด,ระหว่างจัดหาสำรองสมดุลไว้ต่อเนื่อง แต่ต่างชาติ&ต่างด้าวมีมามากขึ้นมันแน่นอนว่าไม่พอแน่นอน,ขาดดุล และค่าใช้จ่ายจัดซื้อแพงขึ้นบวกพวกจอมจะโกงจะปั่นราคายาก็จอบจะตีปั่นราคาทำกำไรโกงราคายาอยู่ปกติแล้วอีก,ยิ่งราคายายิ่วสูงขึ้น อาทิปกติยาแก้อักเสบ4เม็ดบาท,ขายเม็ดละ4-5บาทกันเลยก็ว่า,หรือแผงละ40-50บาทแล้วในปัจจุบัน1แผงมี10เม็ด,ยาพาราฯแก้ปวด 4เม็ดบาท ปัจจุบันกระบุกเล็ๆ100เม็ด55-60บาทแล้ว,มันเอาเปรียบประชาชนคนไทยจริงๆอนาคตคือราคาคนต่างชาติ&ต่างด้าวเลยก็ว่า,รัฐบาลแบกรับภาระคนไทยตนยังไม่ไหวในทุกๆคนแล้วยังแสดงอวดตนอวดตัวรับพม่ามาเลี้ยงดูตามUNสั่งอีกก็ว่า เขมรลาวญวนแกวมอญขอมดำหม่องกะเหรี่ยงที่มิใช่คนไทยเรา เราให้คนเหล่านี้มาแย่งชิงยาคนไทยที่มีจำกัดใช้ได้ที่ไหน เช่นมี10เม็ด เอายาให้พม่าเขมรลาวญวนขอมดำไปใช้จนหมด คนไทยพอจะอยากใช้จำเป็นต้องใช้เสือกมีไม่พอ ตายทับแผ่นดินไทยตนให้คนต่างด้าวพวกนี้เหยียบความตายเราอย่างหน้ายิ้มตาบานเนรคุณที่เราๆเห็นๆเป็นข่าวก็ว่า,มันใช่เหรอ,อยากเลือกตั้งเหมือนคนไทย อยากเป็นนั้นนี้นายกฯบนแผ่นดินไทยเลยถ้าเรียกร้องได้ ด่าคนไทยด้วยโน้น,ทั้งที่มาหาตังบนแผ่นดินไทยธรรมดาที่ไหน,เชียงรายน้ำท่วมก็เนรคุณตอบแทนแผ่นดินไทยด้วยการขโมยของชาวเชียงรายเราอย่างใจเย็นๆร่มๆสบายออกลักทรัพย์ขโมยของกันเลย ถ้ากทม.เราน้ำเหนือมาท่วมเต็ม พวกมันคงปล้นจี้ฆ่าข่มขืนคนกทม.และผู้ประสบภัยอย่างใจต่างด้าวแน่ๆไม่ได้มีจิตใจรักคนไทยรักแผ่นดินไทยกตัญญูห่าอะไรหรอก,
    ..การเร่งผลักดันจับกุมเก็บกวาดคนต่างด้าว จบสัญญาสิ้นปีนี้สมควรมาแล้วผลักดันออกนอกประเทศทั้งหมดโดนรวดเร็วหรือส่งมอบให้UNเอาไปทั้งหมดยิ่งดี,อนาคตเราจะสามารถควบคุมภัยต่างๆได้ง่ายขึ้น มีเฉพาะคนไทยในบ้านเราเองปลอดภัย99.99%แน่นอน,ยิ่งสงครามโลกมาอีกที่3ก็ว่า,ความโกลาหลพวกห่านี้จะก่อการมีสูงแน่นอน หมายล้มสถาบันกษัตริย์เราด้วยกับฝรั่งเลวอีลิทชั่วคนทรยศแผ่นดินไทยมันเดอะแก๊งนี้มาแน่นอน,จีนที่ท่านลอร์ดลงทุนในทุกๆฝ่ายอีก ใครชนะศึกจะเป็นฝ่ายไหน ท่านลอร์ดชนะด้วยหมด ,รอธไชล์ดลงทุนในจีนตรึมระดับการปกครองก็ccpจีนปะปนตรึม ทุนจีนที่มาตีไทยก็อาจท่านลอร์ดทีมนอมินีเดอะแก๊งท่านอีกสายนี้ล่ะ ,มาในนามอเมริกามุกเก่าเชยแล้ว,มามุกใหม่หนุนเผด็จการบ้างแทนประชาธิปไตยอาจง่ายกว่าเดิมเด็ดขาดตามอีลิทสั่งการได้หมด.
    ..คลังยาเราหากตรองดีๆมีนัยยะทำลายด้านปัจจัยสี่ด้วย ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค.ทำให้ลำบากขาดแคลนแผนทำลายอีกด้าน..
    ..รัฐฐะเราจึงสมควรเปิดเสรีกัญชาเลย&กัญชาเสรีกันจริงๆ,ปลูกส่งโรงพยาบาลรัฐเราสกัดทางยาใช้ครอบจักรวาลก็ว่ากันเลย,จนเหลือใช้ภายในประเทศเรา,คนไทยปลูกได้เลยคนละ2ไร่.ไม่ผิดกฎหมาย,ฝิ่นเสรีก็ด้วย,ปลูกส่งโรงพยาบาลไปเลย,สกัดสมุนไพรครอบด้านทางยารักษาโรคฟรีๆลดค่าใช้จ่ายนำเข้ากว่าหลายล้านล้านต่อปีเข้าประเทศ,รุ่นยาแก้ปวดเชิงสมุนไพรไทยได้แบบฟรีๆเต็มๆ,ปลูกคนละ2ไร่ไปเลยเช่นกัน 1ไร่แรกทั้งไร่กัญชาทั้งไร่ฝิ่นเก็บผลผลิตส่งให้โรงพยาบาลรัฐเราฟรีๆสกัดทำยารักษาโรคคนไทยเราเลยเช่นกัน.
    ทรัพยากรคลังการยาเรามีจำกัด แต่ต่างชาติ&ต่างด้าวทั้งมาถูกเปิดเผยและเถื่อนๆมาลับๆเทาๆรวมกันกว่า20-30ล้านคนก็ได้กระจายทั่วประเทศไทย จะมาแย่งทรัพยากรที่มีจำกัดขนาดไหน ช่วงแรกอาจซื้อมาในต้นทุนถูก แต่แพงขึ้นๆแพงขึ้นเพราะความต้องการมากขึ้นจากคนต่างชาตินี้มาร่วมใช้ด้วย กว่าจะจัดหามาปรุงมาทำได้ทั้งวัตถุดิบแสนลำบากเพื่อมีเพียงพอให้คนไทยได้ใช้,เช่นเดิมมีในคลังยาสำหรับคน70ล้านคนเพียงพอทั้งสำรองฉุกเฉินแล้วและต้นทุนแสนถูกหาได้สบายวัตถุดิบในประเทศสลับพักใช้เพียงพอ,แต่เมื่อคนต่างชาติ&ต่างด้าวมาอาศัยอยู่ด้วยทั้งในแบบนักท่องเที่ยว แบบคนค้าแรงงาน กว่า30-40ล้านคนต่อปีคงสบายๆมาก ,วัตถุดิบคลังยาจึงต้องมีภาระจัดเตรียมมากขึ้น แม้บอกว่าใช้ตังซื้อมาแทนได้แต่กว่าจะจัดหาจัดซื้อมาได้ต้นทุนย่อมแพงขึ้นต่อๆเนื่องแน่นอน ลำพังคนในชาติไทยเองอาจใช้กันถึง2-3รอบกว่าจะหมด,ระหว่างจัดหาสำรองสมดุลไว้ต่อเนื่อง แต่ต่างชาติ&ต่างด้าวมีมามากขึ้นมันแน่นอนว่าไม่พอแน่นอน,ขาดดุล และค่าใช้จ่ายจัดซื้อแพงขึ้นบวกพวกจอมจะโกงจะปั่นราคายาก็จอบจะตีปั่นราคาทำกำไรโกงราคายาอยู่ปกติแล้วอีก,ยิ่งราคายายิ่วสูงขึ้น อาทิปกติยาแก้อักเสบ4เม็ดบาท,ขายเม็ดละ4-5บาทกันเลยก็ว่า,หรือแผงละ40-50บาทแล้วในปัจจุบัน1แผงมี10เม็ด,ยาพาราฯแก้ปวด 4เม็ดบาท ปัจจุบันกระบุกเล็ๆ100เม็ด55-60บาทแล้ว,มันเอาเปรียบประชาชนคนไทยจริงๆอนาคตคือราคาคนต่างชาติ&ต่างด้าวเลยก็ว่า,รัฐบาลแบกรับภาระคนไทยตนยังไม่ไหวในทุกๆคนแล้วยังแสดงอวดตนอวดตัวรับพม่ามาเลี้ยงดูตามUNสั่งอีกก็ว่า เขมรลาวญวนแกวมอญขอมดำหม่องกะเหรี่ยงที่มิใช่คนไทยเรา เราให้คนเหล่านี้มาแย่งชิงยาคนไทยที่มีจำกัดใช้ได้ที่ไหน เช่นมี10เม็ด เอายาให้พม่าเขมรลาวญวนขอมดำไปใช้จนหมด คนไทยพอจะอยากใช้จำเป็นต้องใช้เสือกมีไม่พอ ตายทับแผ่นดินไทยตนให้คนต่างด้าวพวกนี้เหยียบความตายเราอย่างหน้ายิ้มตาบานเนรคุณที่เราๆเห็นๆเป็นข่าวก็ว่า,มันใช่เหรอ,อยากเลือกตั้งเหมือนคนไทย อยากเป็นนั้นนี้นายกฯบนแผ่นดินไทยเลยถ้าเรียกร้องได้ ด่าคนไทยด้วยโน้น,ทั้งที่มาหาตังบนแผ่นดินไทยธรรมดาที่ไหน,เชียงรายน้ำท่วมก็เนรคุณตอบแทนแผ่นดินไทยด้วยการขโมยของชาวเชียงรายเราอย่างใจเย็นๆร่มๆสบายออกลักทรัพย์ขโมยของกันเลย ถ้ากทม.เราน้ำเหนือมาท่วมเต็ม พวกมันคงปล้นจี้ฆ่าข่มขืนคนกทม.และผู้ประสบภัยอย่างใจต่างด้าวแน่ๆไม่ได้มีจิตใจรักคนไทยรักแผ่นดินไทยกตัญญูห่าอะไรหรอก, ..การเร่งผลักดันจับกุมเก็บกวาดคนต่างด้าว จบสัญญาสิ้นปีนี้สมควรมาแล้วผลักดันออกนอกประเทศทั้งหมดโดนรวดเร็วหรือส่งมอบให้UNเอาไปทั้งหมดยิ่งดี,อนาคตเราจะสามารถควบคุมภัยต่างๆได้ง่ายขึ้น มีเฉพาะคนไทยในบ้านเราเองปลอดภัย99.99%แน่นอน,ยิ่งสงครามโลกมาอีกที่3ก็ว่า,ความโกลาหลพวกห่านี้จะก่อการมีสูงแน่นอน หมายล้มสถาบันกษัตริย์เราด้วยกับฝรั่งเลวอีลิทชั่วคนทรยศแผ่นดินไทยมันเดอะแก๊งนี้มาแน่นอน,จีนที่ท่านลอร์ดลงทุนในทุกๆฝ่ายอีก ใครชนะศึกจะเป็นฝ่ายไหน ท่านลอร์ดชนะด้วยหมด ,รอธไชล์ดลงทุนในจีนตรึมระดับการปกครองก็ccpจีนปะปนตรึม ทุนจีนที่มาตีไทยก็อาจท่านลอร์ดทีมนอมินีเดอะแก๊งท่านอีกสายนี้ล่ะ ,มาในนามอเมริกามุกเก่าเชยแล้ว,มามุกใหม่หนุนเผด็จการบ้างแทนประชาธิปไตยอาจง่ายกว่าเดิมเด็ดขาดตามอีลิทสั่งการได้หมด. ..คลังยาเราหากตรองดีๆมีนัยยะทำลายด้านปัจจัยสี่ด้วย ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค.ทำให้ลำบากขาดแคลนแผนทำลายอีกด้าน.. ..รัฐฐะเราจึงสมควรเปิดเสรีกัญชาเลย&กัญชาเสรีกันจริงๆ,ปลูกส่งโรงพยาบาลรัฐเราสกัดทางยาใช้ครอบจักรวาลก็ว่ากันเลย,จนเหลือใช้ภายในประเทศเรา,คนไทยปลูกได้เลยคนละ2ไร่.ไม่ผิดกฎหมาย,ฝิ่นเสรีก็ด้วย,ปลูกส่งโรงพยาบาลไปเลย,สกัดสมุนไพรครอบด้านทางยารักษาโรคฟรีๆลดค่าใช้จ่ายนำเข้ากว่าหลายล้านล้านต่อปีเข้าประเทศ,รุ่นยาแก้ปวดเชิงสมุนไพรไทยได้แบบฟรีๆเต็มๆ,ปลูกคนละ2ไร่ไปเลยเช่นกัน 1ไร่แรกทั้งไร่กัญชาทั้งไร่ฝิ่นเก็บผลผลิตส่งให้โรงพยาบาลรัฐเราฟรีๆสกัดทำยารักษาโรคคนไทยเราเลยเช่นกัน.
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 96 Views 0 Reviews
  • รูปนี้สื่ออะไรครับ?

    ในปัจจุบัน โลกนี้ทั้งโลก มีกลุ่มยิวไซออนิสต์ ๓๘ คนบงการนโยบายสำคัญๆ เพื่อจัดระเบียบโลกอยู่ โดยควบคุมผ่านรัฐบาลอเมริกาและรัฐบาลอียู จากนั้น อียูก็ควบคุมประเทศอื่นๆ ไปทั่วโลก วลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียเข้าใจทะลุปรุโปร่งจึงร่วมกับสีจิ้นผิงคิดสร้าง BRICS ขึ้นมาสู้

    ๒ ใน ๓๘ คนที่บริหารนโยบายโลกอยู่ขณะนี้คือบิลล์ เกตส์และจอร์จ โซรอส บิลล์ เกตส์กำลังหาทางลดจำนวนประชากรโลก ส่วนจอร์จ โซรอสกำลังป่วนประเทศอื่นๆ ให้วุ่นวายด้วยผู้อพยพ ใช้เงินจากมูลนิธิ Open Society ของตนสนับสนุน NGOs ต่างๆ หลายร้อยองค์กรภายในประเทศต่างๆ เพื่อผลักดันให้ผู้อพยพเข้าไปยังประเทศเป้าหมายให้ได้

    สำหรับอเมริกา โจ ไบเดนไม่ได้ปฏิบัติงานอะไรมาก ส่วนใหญ่บารัค โอบามาทำให้อยู่เบื้องหลัง จริงๆ แล้ว โจ ไบเดนเป็นแค่หุ่นเชิดของพรรคเดโมแครตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มยิวไซออนิสต์เท่านั้น

    สื่อต่างๆ ถูกรัฐบาลอเมริกาควบคุม ภายใต้การบงการของกลุ่มยิวไซออนิสต์ หลักๆ คือปิดกั้นเนื้อหาข่าวของรัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ ฯลฯ และปล่อยข่าวโฆษณาชวนเชื่อของพวกตนเป็นหลัก แล้วสื่อกระแสหลักของไทยก็รับงานมาปล่อยข่าวเหล่านี้ต่อ

    ประเทศไทยนี้เหยาะแหยะมาก หน่วยความมั่นคงและรัฐบาลทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะรัฐบาล พากันแย่งอำนาจกันจนไม่ค่อยใส่ใจปัญหาความมั่นคงนัก


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    รูปนี้สื่ออะไรครับ? ในปัจจุบัน โลกนี้ทั้งโลก มีกลุ่มยิวไซออนิสต์ ๓๘ คนบงการนโยบายสำคัญๆ เพื่อจัดระเบียบโลกอยู่ โดยควบคุมผ่านรัฐบาลอเมริกาและรัฐบาลอียู จากนั้น อียูก็ควบคุมประเทศอื่นๆ ไปทั่วโลก วลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียเข้าใจทะลุปรุโปร่งจึงร่วมกับสีจิ้นผิงคิดสร้าง BRICS ขึ้นมาสู้ ๒ ใน ๓๘ คนที่บริหารนโยบายโลกอยู่ขณะนี้คือบิลล์ เกตส์และจอร์จ โซรอส บิลล์ เกตส์กำลังหาทางลดจำนวนประชากรโลก ส่วนจอร์จ โซรอสกำลังป่วนประเทศอื่นๆ ให้วุ่นวายด้วยผู้อพยพ ใช้เงินจากมูลนิธิ Open Society ของตนสนับสนุน NGOs ต่างๆ หลายร้อยองค์กรภายในประเทศต่างๆ เพื่อผลักดันให้ผู้อพยพเข้าไปยังประเทศเป้าหมายให้ได้ สำหรับอเมริกา โจ ไบเดนไม่ได้ปฏิบัติงานอะไรมาก ส่วนใหญ่บารัค โอบามาทำให้อยู่เบื้องหลัง จริงๆ แล้ว โจ ไบเดนเป็นแค่หุ่นเชิดของพรรคเดโมแครตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มยิวไซออนิสต์เท่านั้น สื่อต่างๆ ถูกรัฐบาลอเมริกาควบคุม ภายใต้การบงการของกลุ่มยิวไซออนิสต์ หลักๆ คือปิดกั้นเนื้อหาข่าวของรัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ ฯลฯ และปล่อยข่าวโฆษณาชวนเชื่อของพวกตนเป็นหลัก แล้วสื่อกระแสหลักของไทยก็รับงานมาปล่อยข่าวเหล่านี้ต่อ ประเทศไทยนี้เหยาะแหยะมาก หน่วยความมั่นคงและรัฐบาลทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะรัฐบาล พากันแย่งอำนาจกันจนไม่ค่อยใส่ใจปัญหาความมั่นคงนัก ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 80 Views 1 Reviews
  • มาแล้วววว……ติ่งขา……อาลีนาที่หนูอยากได้……รบเป็นรบ รักเป็นรักนะ พี่ปูเนี่ยยย……!!!

    ตอนสิบแปด……ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ……รัสเซียทุบทุกงาน…!!!

    ในที่สุดปูตินแก้ความสงสัยให้กับทุกคน…หลังจากที่พรรคของเขาได้รับคะแนนถล่มทะลายในสภาตอนเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภาในปลายปี ว่า…แคนดิเดทที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป คือ Dmitry Medvedev
    ส่วนตัวเขาจะไปนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน……
    ซึ่งเป็นแผนงานที่รู้กันเพียงไม่กี่คน……
    แต่ในแวดวงข้างนอก……ไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนคิดว่า ปูตินจะต้องลงจากอำนาจ ……และ คนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี น่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง เช่น Mikhail Fradkov (นายกรัฐมนตรี)

    ฝ่ายตรงข้ามเริ่มขุดคุ้ย โจมตีปูตินด้วยการลงข่าวดิสเครดิตรายวัน เช่นเมื่อ วันที่ 11 เมษายน 2008 สามอาทิตย์ก่อนที่เมดเดเวฟจะขึ้นทำพิธีสาบานตน
    หนังสือพิมพ์รายวันของมอสโคว์ ในคอลัมน์ของ Sergei Topol
    ได้กระแซะด้วยข้อความแบบซุบซิบเล็กๆเพียง 641 คำ……
    แต่มันเหมือนระเบิดลงในสนามข่าว ที่ไตเติ้ลเขียนว่า
    “The Sarkozy Syndrome” หรือ อาการโรคซาร์โกซี่ระบาด
    คือ นาย Nicholas Sarkozy คือประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มากรัก
    เขาแต่งงาน แล้วหย่า แล้วแต่ง แล้วหย่า ที่เพิ่งหย่าไปกับภรรยาคนที่สาม ประธานาธิบดีปูตินของเรามั่นคงกับภรรยาเดียวมาตลอดการครองตำแหน่งผู้นำ……แต่เมื่อท่านจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว……บางอย่างอาจเปลี่ยนไปก็ได้..”

    ข่าวนี้กระเทือนไปทั่ว ทั้งความอยากรู้ของประชาชนและคนในแวดวงการเมือง
    เพราะมันก็คือความจริง……ที่ปูตินได้หย่ากับลุดมิลาไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา……และที่เป็นรู้กันในวงในว่า เขามีแผนที่จะแต่งงานใหม่กับ Alina Kabayeva ยิมนาสติกเหรียญทองที่เป็นขวัญใจของประชาชนในเดือนมิถุนายน
    และได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2002
    ในช่วงการหาเสียงของ 2007 เธอก็ยังปรากฎตัวในที่ต่างๆพร้อมๆกับกลุ่มแถวหน้าของพรรค

    ตั้งแต่ปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้เก็บทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวไว้เป็นความลับ
    ลูกสาวทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างส่วนตัว เงียบๆมีหน่วยอารักขาตลอดเวลา ไม่มีการออกข่าวใดๆ
    ทั้งคู่เรียนดนตรีที่ปูตินชอบ คือ ไวโอลินและเปียโน และได้ทำเพลงบรรจุซีดีให้พ่อไว้ฟัง……นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเพลินเพลินในยามว่าง และก่อนนอน
    ลุดมิลา……ไม่เคยชอบชีวิตของการเป็นจุดสนใจ เธอทำหน้าที่ของสตรีหมายเลขหนึ่งในการเดินทางต่างประเทศกับปูติน
    แต่เมื่อกลับมาอยู่ในรัสเซีย เธอทำงานทางด้านการสอนภาษาให้กับโครงการชาวรัสเซียชนบทที่อยู่ชายแดนของประเทศที่ถูกเฉือนออกไปเมื่อโซเวียตล่มสลาย
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบความกลไกของครอบครัวรัสเชี่ยนทั่วไป……แต่นับวันยิ่งห่างเหิน……

    ปูตินตามที่ลุดมิลาเลยปรับทุกข์ให้เพื่อนฟัง คือ มีแอบเจ้าชู้
    เคยพานักข่าวสาวสวยไปทานอาหารกลางวันเมื่อครั้งที่เริ่มฉายแสงในการเมืองมอสโคว์
    แต่…ไม่มีใครกล้าลงในดีเทล เพราะในยุคนั้นท่านผู้นำจะต้องไม่มีเรื่องด่างพล้อยใดๆในชีวิตครอบครัว
    แต่มาถึงยุคที่เป็นข่าว……ตอนนั้นโลกเปลี่ยนไป เพราะผู้นำแต่ละคนล้วนแล้วแต่จี๊ดจ๊าด นอกจากซาร์โกซี่ แล้วยังมี
    บิล คลินตัน ตามด้วยสุดๆคือ Vaclav Havel ประธานาธิบดีแห่ง Czech Republic (ในตำแหน่ง 1993-2003) ที่พอเมียตายปุ๊บ ก็แต่งงานใหม่กับดาราแม่หม้ายที่มีบทหวือหวาโป๊เปลือยในปีต่อมาทันที แล้วเอามาปั้นแต่งให้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน……

    หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปของข่าวที่ร้อนแรง ปูตินได้ไปเยือนอิตาลี
    และนักข่าวอิตาเลี่ยนได้ยิงคำถามนี้ขึ้นมา ว่า จริงเท็จประการใด?
    ปูตินที่เคยปิดปากสนิทเลี่ยงที่จะไม่พูดต่อไปไม่ได้ เขาตอบว่า
    “ทุกอย่างที่คุณได้ข่าวมา ไม่ใช่ความจริง ในเรื่องที่ลูกๆผมได้ย้ายไปอยู่ที่เยอรมัน แล้วเรื่องผู้หญิง……ผมไม่ปฏิเสธว่าผมชอบผู้หญิงรัสเซีย เพราะผู้หญิงของเราเก่งกาจและสวยที่สุด..
    เรียกว่า เทียบได้กับสาวๆอิตาเลี่ยนได้เลย……”
    ตอนนี้นักข่าวสาวอิตาเลี่ยนปรบมือแบบถูกอกถูกใจ
    เขาพูดต่อไปว่า…
    “แต่ในเมื่อผมเป็นนักการเมือง ชีวิตก็เหมือนกับอยู่ในบ้านเรือนแก้ว ที่ใครๆก็มองเห็นได้ แต่มันก็ควรที่จะมีขอบเขตของ
    ความเป็นส่วนตัวบ้าง ในตรงนี้…ผมขอ……ขอมีชีวิตส่วนตัวที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ…เรามาคุยเรื่องอื่นที่น่าสนใจดีกว่า เช่นสงครามในเชเชน…โอเค๊..!!!”

    ในวันเดียวกันนั้นที่เขากลับไปยังรัสเซีย…หนังสือพิมพ์เจ้ากรรมที่เป็นต้นตอข่าว ได้ประกาศปิดตัวลงเพราะสภาพคล่อง……
    แต่ไม่มีใครเชื่อว่านั่นคือสาเหตุ…!!!!

    ไม่มีใครรู้ว่า ความสัมพันธ์ของปูตินกับอาลีนานั้นลึกซึ้งขนาดไหน แต่ดูได้จากระดับที่เธอก้าวขึ้นมาจากนักยิมเหรียญทองสู่เส้นสายทางการเมืองที่รุ่งขึ้นไปทุกที ในการเข้าเป็นกรรมการบอร์ดในหลายที่ เช่นธนาคาร, สื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์
    และเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานของกีฬาโอลิมปิคใน Sochi ที่จะมาถึง

    เมื่อ Medvedev ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ปูตินก็เปรียบเสมือนเติ้งเสี่ยวผิงของจีน ที่เป็นมันสมองทั้งหมดของพรรคในช่วงห้าปีสุดท้ายของการอยู่ในตำแหน่งที่ได้พลิกผันประเทศจีนให้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้

    แต่ก่อนอื่น…ปูนินต้องจัดการกับเรื่องข่าวที่กวนใจก่อน โดยงานแรกของเมดเวเดพที่จะต้องทำคือ ออกกฎหมายเรื่องของการหมิ่นประมาทโดยสื่อที่ทำให้เสี่ยมเสียชื่อเสียง มีการเพิ่มโทษทั้งปรับทั้งจำขั้นสูงสุด

    ในวันที่ 7 สิงหาคม 2008 ที่ประธานาธิบดีคนใหม่หมาดๆเพียงสามอาทิตย์กำลังไปพักผ่อนล่องเรือที่ Volga River ในเขตเมือง Kazan
    ตอนตีหนึ่งของวันที่ 8 เขาได้รับโทรศัพท์ด่วนจากกลาโหมว่า
    Mikhail Saakachvili ประธานาธิบดีสาธารณรัฐ Georgia (โปรตะวันตก) ได้ส่งทหารทำการบุกพื้นที่ทางใต้ คือ South Ossetia ซึ่งอยู่ในเขตของจอร์เจียตามแผนที่ แต่ประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับจอร์เจีย เพราะโปรรัสเซีย
    รวมทั้ง เขต Abkhazia ทางฝั่งทะเลดำก็เช่นกัน ตามแผนที่ว

    เรื่องความขัดแย้งนี้เป็นมานานหลายปีแล้ว แต่มาประทุในตอนนี้เพราะ Mikhail Saakachvili (จะเรียกว่า MS) คิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือเพราะปูตินไม่ได้เป็นปธน. แล้ว
    และเมดเวเดพก็ไม่น่าจะมีน้ำยาอะไร……หนุ่มใสซื่อ ที่
    ฟังแต่เพลงร๊อค
    ทันที่ที่ทราบข่าว…เมดเวเดพรีบติดต่อถึงปูติน แต่เป็นช่วงที่ปูตินได้จากมอสโคว์ไปยังเบจิง เพื่อไปร่วมในงานเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พร้อมๆกับผู้นำชาติอื่นๆเช่น บุช
    จึงยังติดต่อไม่ได้……เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรลงไป
    จนทางผู้บัญชาการทหารบกได้โทรมาบอกว่า ตอนนี้ค่ายทหารของเราได้ถูกโจมตีหนัก
    เขาจึงตัดสินใจตอบไปว่า…”ส่งกำลังเข้าบุกเดี๋ยวนี้…!!!”

    กองทัพรัสเซียที่รอฟังคำสั่งมาสองวัน จึงถาโถมเข้าพร้อมกันทั้งบกและอากาศเข้าตีทุกทาง…
    ข่าวได้ถึงปูตินหลังจากที่รัสเซียเคลื่อนทัพสู่จอร์เจีย
    สิ่งแรกคือ.……เขาโกรธ MS แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่บังอาจใช้เวลาที่เขาเดินทางไกล……เข้าดำเนินการ
    และฉุนเมดเวเดฟที่ไม่ทำการวางแผนทำศึก สั่งบุกแบบสั้นๆ
    ปรากฏว่า กองทัพอากาศรัสเซียได้เข้าโจมตีถล่มไปถึงเขตอื่นๆในจอร์เจียเป็นวงกว้างเกินจำเป็น

    ประธานาธิบดีบุชก็ได้ข่าวการโจมตีเช่นกัน (ด้วยความยินดี เพราะอเมริกาอยู่เบื้องหลังในการนี้) รีบมากระซิบปูตินด้วยท่าทางอิ่มเอมใจว่า….เราจะอยู่เคียงข้างพวกเขา
    “พวกเขา” บุชหมายถึง จอร์เจีย……
    ที่รัสเซียรู้อยู่เต็มอกว่า อเมริกาได้อยู่เบื้องหลังของรัฐบาล MS
    มีการฝึกทหารร่วมกัน และ สัญญาในเรื่องเข้าสู่ NATO เพื่อที่จะเข้ามาแทรกแซงรัสเซีย

    แต่สิ่งที่ MS ไม่รู้ว่า การที่เอาอกเอาใจอเมริกาถึงขั้นส่งทหารไปช่วยรบในอิรักนั้น……เสียเปล่า……
    เรื่องที่ อเมริกาหรือนาโต้จะเข้ามาช่วยทำสงครามกับรัสเซียเพื่อจอร์เจียนั้น……เป็นความฝันล้วนๆ
    ในช่วงพิธีเปิดงานใน “ Bird Nest” สเตเดี้ยม……บุชและล่ามได้ขอเลื่อนตัวมานั่งใกล้ๆกับปูติน ทักทายกับตามปรกติ
    บุชเอียงหน้ามากระซิบว่า
    “ผมได้ข่าวมาว่า MS เป็นคนเลือดร้อน คราวนี้ถ้าจะเอาจริง”
    “เหรอ…งั้นก็เหมือนผมเลย เลือดร้อนเหมือนกัน ร้อนระเบิดเลย”
    “ใครบอก……นายเป็นคน “เลือดเย็น” ต่างหาก” บุชประชด……

    วันรุ่งขึ้น ปูตินบินกลับรัสเซีย แต่ไม่ใช่มอสโคว์ เขาไปที่ North Ossetia ที่กองทัพตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ และคราวนี้คือการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด คือ ยึดคืนดินแดนในส่วนนี้อย่างเด็ดขาด
    ทางจอร์เจียที่หวังว่า นาโต้และอเมริกาจะมาช่วย เพราะเคยได้ให้ความหวังไว้ถึงขั้นมาช่วยฝึกให้ ……ไม่เห็นมา..!!
    เลยต้องร้องขอไป.……
    สิ่งที่อเมริกาทำได้ คือ……จัดเที่ยวบินส่งทหารจอร์เจียสองพันคนที่ไปช่วยในอิรักกลับมา……และเพิ่มอาวุธแถมมาให้อีกนิดหน่อย
    และให้เที่ยวบินนั้น……รับทหารอเมริกันที่มาช่วยฝึกที่ตกค้างอยู่กลับไป.……โดยอ้างว่า……ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง
    กองทัพรัสเซียตีหนักไปถึงยังเมืองหลวง Tbilisi ที่ในที่สุด
    MD ต้องยอมขอเจรจาสงบศึก…
    ผลคือ จอร์เจียต้องรับรองเอกราชของสองเขต South Ossetia
    และ Abkhazia และต้องเอาโทษกับประธานาธิบดี MS
    โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซาร์โกซี่มาเป็นตัวกลางเจรจา
    ในขณะที่คน “เลือดเย็น” กำลังกัดกราม ว่า……
    “มันจะต้องถูกแขวนคอสถานเดียว”

    ซาร์โกซี่รีบค้าน…
    “อย่าถึงขึ้นเอาโทษกับ MS เลย เพราะเขาได้รับเลือกตั้งมา ประชาชนชาวโลกจะคิดอย่างไร?
    ปูตินย้อนทันทีว่า……
    “ก็แล้วไง……อเมริกายังแขวนคอซัดดัม ฮุสเซนได้เลยนี่…!!!”
    แต่ทางฝรั่งเศสได้มีลิ้นเจรจาทางการทูต ได้สยบอารมณ์ของปูตินว่า……
    “แล้วนายอยากจะให้ชื่อมีจดจำในประวัติศาสตร์แบบบุชพ่อ
    บุชลูกหรือ..?!!

    สรุปว่า ดินแดนทั้งสองส่วนนี้ เป็นเอกราชจากจอร์เจีย มีประธานาธิบดีของตัวเอง (แต่ในความสนับสนุนของรัสเซีย) รัสเซียถอนทหารออกจากพื้นที่……
    ทั้งหมดใช้เวลารบเพียง ห้าวัน……(รวมเจรจาด้วย 12 วัน คือ 1-12 สิงหาคม 2008)

    ~~เรื่องราวของจอร์เจีย คือ หนังที่ฉายซ้ำกับยูเครนในตอนนี้ และถ้าอเมริกาได้สร้างตัวอย่างว่าช่วยเหลือจริงจังกับจอร์เจียถึงขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย……หลายคนเชื่อว่า ปูตินคงต้องคิดหนักในการยึดไครเมีย……

    ในช่วงปลายปีนั้น ทางอเมริกาได้มีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Barack Obama อันเป็นสิ้นสุดของบุช
    ซึ่งทางเมดเวเดฟ……ได้ออกแถลงการณ์อย่างหนักแน่นว่า
    สงครามในจอร์เจียคือผลพวงของการแทรกแซงของอเมริกาที่พยายามจะเข้ามาตั้งฐานทัพในพื้นที่รอบรัสเซีย และ มันเป็นการผลักดันที่รัสเซียจะต้องตอบโต้ด้วยการสร้างฐานนิวเคลียร์ที่ Kaliningrad

    หลังจากสงครามจอร์เจีย……เศรษฐกิจของรัสเซียบูมขึ้นมาในทุกอย่าง พลังงานราคาขึ้น ส่งออกทุกชนิดตั้งแต่โลหะ อาหารจนถึงเฟอร์นิเจอร์ จนรัสเซียได้จ่ายหนี้ได้หมด รวมทั้งมีเงินในคลังเป็นแสนๆล้าน และเงินคงคลังอีกจำนวนมหาศาล

    แต่นั่นคือ….แสงสว่างก่อนที่พายุมืดคล้ำกำลังจะเข้ามา…ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน….!!!

    Wiwanda W. Vichit
    มาแล้วววว……ติ่งขา……อาลีนาที่หนูอยากได้……รบเป็นรบ รักเป็นรักนะ พี่ปูเนี่ยยย……!!! ตอนสิบแปด……ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ……รัสเซียทุบทุกงาน…!!! ในที่สุดปูตินแก้ความสงสัยให้กับทุกคน…หลังจากที่พรรคของเขาได้รับคะแนนถล่มทะลายในสภาตอนเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภาในปลายปี ว่า…แคนดิเดทที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป คือ Dmitry Medvedev ส่วนตัวเขาจะไปนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน…… ซึ่งเป็นแผนงานที่รู้กันเพียงไม่กี่คน…… แต่ในแวดวงข้างนอก……ไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนคิดว่า ปูตินจะต้องลงจากอำนาจ ……และ คนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี น่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง เช่น Mikhail Fradkov (นายกรัฐมนตรี) ฝ่ายตรงข้ามเริ่มขุดคุ้ย โจมตีปูตินด้วยการลงข่าวดิสเครดิตรายวัน เช่นเมื่อ วันที่ 11 เมษายน 2008 สามอาทิตย์ก่อนที่เมดเดเวฟจะขึ้นทำพิธีสาบานตน หนังสือพิมพ์รายวันของมอสโคว์ ในคอลัมน์ของ Sergei Topol ได้กระแซะด้วยข้อความแบบซุบซิบเล็กๆเพียง 641 คำ…… แต่มันเหมือนระเบิดลงในสนามข่าว ที่ไตเติ้ลเขียนว่า “The Sarkozy Syndrome” หรือ อาการโรคซาร์โกซี่ระบาด คือ นาย Nicholas Sarkozy คือประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มากรัก เขาแต่งงาน แล้วหย่า แล้วแต่ง แล้วหย่า ที่เพิ่งหย่าไปกับภรรยาคนที่สาม ประธานาธิบดีปูตินของเรามั่นคงกับภรรยาเดียวมาตลอดการครองตำแหน่งผู้นำ……แต่เมื่อท่านจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว……บางอย่างอาจเปลี่ยนไปก็ได้..” ข่าวนี้กระเทือนไปทั่ว ทั้งความอยากรู้ของประชาชนและคนในแวดวงการเมือง เพราะมันก็คือความจริง……ที่ปูตินได้หย่ากับลุดมิลาไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา……และที่เป็นรู้กันในวงในว่า เขามีแผนที่จะแต่งงานใหม่กับ Alina Kabayeva ยิมนาสติกเหรียญทองที่เป็นขวัญใจของประชาชนในเดือนมิถุนายน และได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2002 ในช่วงการหาเสียงของ 2007 เธอก็ยังปรากฎตัวในที่ต่างๆพร้อมๆกับกลุ่มแถวหน้าของพรรค ตั้งแต่ปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้เก็บทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวไว้เป็นความลับ ลูกสาวทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างส่วนตัว เงียบๆมีหน่วยอารักขาตลอดเวลา ไม่มีการออกข่าวใดๆ ทั้งคู่เรียนดนตรีที่ปูตินชอบ คือ ไวโอลินและเปียโน และได้ทำเพลงบรรจุซีดีให้พ่อไว้ฟัง……นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเพลินเพลินในยามว่าง และก่อนนอน ลุดมิลา……ไม่เคยชอบชีวิตของการเป็นจุดสนใจ เธอทำหน้าที่ของสตรีหมายเลขหนึ่งในการเดินทางต่างประเทศกับปูติน แต่เมื่อกลับมาอยู่ในรัสเซีย เธอทำงานทางด้านการสอนภาษาให้กับโครงการชาวรัสเซียชนบทที่อยู่ชายแดนของประเทศที่ถูกเฉือนออกไปเมื่อโซเวียตล่มสลาย ทั้งคู่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบความกลไกของครอบครัวรัสเชี่ยนทั่วไป……แต่นับวันยิ่งห่างเหิน…… ปูตินตามที่ลุดมิลาเลยปรับทุกข์ให้เพื่อนฟัง คือ มีแอบเจ้าชู้ เคยพานักข่าวสาวสวยไปทานอาหารกลางวันเมื่อครั้งที่เริ่มฉายแสงในการเมืองมอสโคว์ แต่…ไม่มีใครกล้าลงในดีเทล เพราะในยุคนั้นท่านผู้นำจะต้องไม่มีเรื่องด่างพล้อยใดๆในชีวิตครอบครัว แต่มาถึงยุคที่เป็นข่าว……ตอนนั้นโลกเปลี่ยนไป เพราะผู้นำแต่ละคนล้วนแล้วแต่จี๊ดจ๊าด นอกจากซาร์โกซี่ แล้วยังมี บิล คลินตัน ตามด้วยสุดๆคือ Vaclav Havel ประธานาธิบดีแห่ง Czech Republic (ในตำแหน่ง 1993-2003) ที่พอเมียตายปุ๊บ ก็แต่งงานใหม่กับดาราแม่หม้ายที่มีบทหวือหวาโป๊เปลือยในปีต่อมาทันที แล้วเอามาปั้นแต่งให้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน…… หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปของข่าวที่ร้อนแรง ปูตินได้ไปเยือนอิตาลี และนักข่าวอิตาเลี่ยนได้ยิงคำถามนี้ขึ้นมา ว่า จริงเท็จประการใด? ปูตินที่เคยปิดปากสนิทเลี่ยงที่จะไม่พูดต่อไปไม่ได้ เขาตอบว่า “ทุกอย่างที่คุณได้ข่าวมา ไม่ใช่ความจริง ในเรื่องที่ลูกๆผมได้ย้ายไปอยู่ที่เยอรมัน แล้วเรื่องผู้หญิง……ผมไม่ปฏิเสธว่าผมชอบผู้หญิงรัสเซีย เพราะผู้หญิงของเราเก่งกาจและสวยที่สุด.. เรียกว่า เทียบได้กับสาวๆอิตาเลี่ยนได้เลย……” ตอนนี้นักข่าวสาวอิตาเลี่ยนปรบมือแบบถูกอกถูกใจ เขาพูดต่อไปว่า… “แต่ในเมื่อผมเป็นนักการเมือง ชีวิตก็เหมือนกับอยู่ในบ้านเรือนแก้ว ที่ใครๆก็มองเห็นได้ แต่มันก็ควรที่จะมีขอบเขตของ ความเป็นส่วนตัวบ้าง ในตรงนี้…ผมขอ……ขอมีชีวิตส่วนตัวที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ…เรามาคุยเรื่องอื่นที่น่าสนใจดีกว่า เช่นสงครามในเชเชน…โอเค๊..!!!” ในวันเดียวกันนั้นที่เขากลับไปยังรัสเซีย…หนังสือพิมพ์เจ้ากรรมที่เป็นต้นตอข่าว ได้ประกาศปิดตัวลงเพราะสภาพคล่อง…… แต่ไม่มีใครเชื่อว่านั่นคือสาเหตุ…!!!! ไม่มีใครรู้ว่า ความสัมพันธ์ของปูตินกับอาลีนานั้นลึกซึ้งขนาดไหน แต่ดูได้จากระดับที่เธอก้าวขึ้นมาจากนักยิมเหรียญทองสู่เส้นสายทางการเมืองที่รุ่งขึ้นไปทุกที ในการเข้าเป็นกรรมการบอร์ดในหลายที่ เช่นธนาคาร, สื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ และเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานของกีฬาโอลิมปิคใน Sochi ที่จะมาถึง เมื่อ Medvedev ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินก็เปรียบเสมือนเติ้งเสี่ยวผิงของจีน ที่เป็นมันสมองทั้งหมดของพรรคในช่วงห้าปีสุดท้ายของการอยู่ในตำแหน่งที่ได้พลิกผันประเทศจีนให้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ แต่ก่อนอื่น…ปูนินต้องจัดการกับเรื่องข่าวที่กวนใจก่อน โดยงานแรกของเมดเวเดพที่จะต้องทำคือ ออกกฎหมายเรื่องของการหมิ่นประมาทโดยสื่อที่ทำให้เสี่ยมเสียชื่อเสียง มีการเพิ่มโทษทั้งปรับทั้งจำขั้นสูงสุด ในวันที่ 7 สิงหาคม 2008 ที่ประธานาธิบดีคนใหม่หมาดๆเพียงสามอาทิตย์กำลังไปพักผ่อนล่องเรือที่ Volga River ในเขตเมือง Kazan ตอนตีหนึ่งของวันที่ 8 เขาได้รับโทรศัพท์ด่วนจากกลาโหมว่า Mikhail Saakachvili ประธานาธิบดีสาธารณรัฐ Georgia (โปรตะวันตก) ได้ส่งทหารทำการบุกพื้นที่ทางใต้ คือ South Ossetia ซึ่งอยู่ในเขตของจอร์เจียตามแผนที่ แต่ประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับจอร์เจีย เพราะโปรรัสเซีย รวมทั้ง เขต Abkhazia ทางฝั่งทะเลดำก็เช่นกัน ตามแผนที่ว เรื่องความขัดแย้งนี้เป็นมานานหลายปีแล้ว แต่มาประทุในตอนนี้เพราะ Mikhail Saakachvili (จะเรียกว่า MS) คิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือเพราะปูตินไม่ได้เป็นปธน. แล้ว และเมดเวเดพก็ไม่น่าจะมีน้ำยาอะไร……หนุ่มใสซื่อ ที่ ฟังแต่เพลงร๊อค ทันที่ที่ทราบข่าว…เมดเวเดพรีบติดต่อถึงปูติน แต่เป็นช่วงที่ปูตินได้จากมอสโคว์ไปยังเบจิง เพื่อไปร่วมในงานเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พร้อมๆกับผู้นำชาติอื่นๆเช่น บุช จึงยังติดต่อไม่ได้……เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรลงไป จนทางผู้บัญชาการทหารบกได้โทรมาบอกว่า ตอนนี้ค่ายทหารของเราได้ถูกโจมตีหนัก เขาจึงตัดสินใจตอบไปว่า…”ส่งกำลังเข้าบุกเดี๋ยวนี้…!!!” กองทัพรัสเซียที่รอฟังคำสั่งมาสองวัน จึงถาโถมเข้าพร้อมกันทั้งบกและอากาศเข้าตีทุกทาง… ข่าวได้ถึงปูตินหลังจากที่รัสเซียเคลื่อนทัพสู่จอร์เจีย สิ่งแรกคือ.……เขาโกรธ MS แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่บังอาจใช้เวลาที่เขาเดินทางไกล……เข้าดำเนินการ และฉุนเมดเวเดฟที่ไม่ทำการวางแผนทำศึก สั่งบุกแบบสั้นๆ ปรากฏว่า กองทัพอากาศรัสเซียได้เข้าโจมตีถล่มไปถึงเขตอื่นๆในจอร์เจียเป็นวงกว้างเกินจำเป็น ประธานาธิบดีบุชก็ได้ข่าวการโจมตีเช่นกัน (ด้วยความยินดี เพราะอเมริกาอยู่เบื้องหลังในการนี้) รีบมากระซิบปูตินด้วยท่าทางอิ่มเอมใจว่า….เราจะอยู่เคียงข้างพวกเขา “พวกเขา” บุชหมายถึง จอร์เจีย…… ที่รัสเซียรู้อยู่เต็มอกว่า อเมริกาได้อยู่เบื้องหลังของรัฐบาล MS มีการฝึกทหารร่วมกัน และ สัญญาในเรื่องเข้าสู่ NATO เพื่อที่จะเข้ามาแทรกแซงรัสเซีย แต่สิ่งที่ MS ไม่รู้ว่า การที่เอาอกเอาใจอเมริกาถึงขั้นส่งทหารไปช่วยรบในอิรักนั้น……เสียเปล่า…… เรื่องที่ อเมริกาหรือนาโต้จะเข้ามาช่วยทำสงครามกับรัสเซียเพื่อจอร์เจียนั้น……เป็นความฝันล้วนๆ ในช่วงพิธีเปิดงานใน “ Bird Nest” สเตเดี้ยม……บุชและล่ามได้ขอเลื่อนตัวมานั่งใกล้ๆกับปูติน ทักทายกับตามปรกติ บุชเอียงหน้ามากระซิบว่า “ผมได้ข่าวมาว่า MS เป็นคนเลือดร้อน คราวนี้ถ้าจะเอาจริง” “เหรอ…งั้นก็เหมือนผมเลย เลือดร้อนเหมือนกัน ร้อนระเบิดเลย” “ใครบอก……นายเป็นคน “เลือดเย็น” ต่างหาก” บุชประชด…… วันรุ่งขึ้น ปูตินบินกลับรัสเซีย แต่ไม่ใช่มอสโคว์ เขาไปที่ North Ossetia ที่กองทัพตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ และคราวนี้คือการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด คือ ยึดคืนดินแดนในส่วนนี้อย่างเด็ดขาด ทางจอร์เจียที่หวังว่า นาโต้และอเมริกาจะมาช่วย เพราะเคยได้ให้ความหวังไว้ถึงขั้นมาช่วยฝึกให้ ……ไม่เห็นมา..!! เลยต้องร้องขอไป.…… สิ่งที่อเมริกาทำได้ คือ……จัดเที่ยวบินส่งทหารจอร์เจียสองพันคนที่ไปช่วยในอิรักกลับมา……และเพิ่มอาวุธแถมมาให้อีกนิดหน่อย และให้เที่ยวบินนั้น……รับทหารอเมริกันที่มาช่วยฝึกที่ตกค้างอยู่กลับไป.……โดยอ้างว่า……ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง กองทัพรัสเซียตีหนักไปถึงยังเมืองหลวง Tbilisi ที่ในที่สุด MD ต้องยอมขอเจรจาสงบศึก… ผลคือ จอร์เจียต้องรับรองเอกราชของสองเขต South Ossetia และ Abkhazia และต้องเอาโทษกับประธานาธิบดี MS โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซาร์โกซี่มาเป็นตัวกลางเจรจา ในขณะที่คน “เลือดเย็น” กำลังกัดกราม ว่า…… “มันจะต้องถูกแขวนคอสถานเดียว” ซาร์โกซี่รีบค้าน… “อย่าถึงขึ้นเอาโทษกับ MS เลย เพราะเขาได้รับเลือกตั้งมา ประชาชนชาวโลกจะคิดอย่างไร? ปูตินย้อนทันทีว่า…… “ก็แล้วไง……อเมริกายังแขวนคอซัดดัม ฮุสเซนได้เลยนี่…!!!” แต่ทางฝรั่งเศสได้มีลิ้นเจรจาทางการทูต ได้สยบอารมณ์ของปูตินว่า…… “แล้วนายอยากจะให้ชื่อมีจดจำในประวัติศาสตร์แบบบุชพ่อ บุชลูกหรือ..?!! สรุปว่า ดินแดนทั้งสองส่วนนี้ เป็นเอกราชจากจอร์เจีย มีประธานาธิบดีของตัวเอง (แต่ในความสนับสนุนของรัสเซีย) รัสเซียถอนทหารออกจากพื้นที่…… ทั้งหมดใช้เวลารบเพียง ห้าวัน……(รวมเจรจาด้วย 12 วัน คือ 1-12 สิงหาคม 2008) ~~เรื่องราวของจอร์เจีย คือ หนังที่ฉายซ้ำกับยูเครนในตอนนี้ และถ้าอเมริกาได้สร้างตัวอย่างว่าช่วยเหลือจริงจังกับจอร์เจียถึงขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย……หลายคนเชื่อว่า ปูตินคงต้องคิดหนักในการยึดไครเมีย…… ในช่วงปลายปีนั้น ทางอเมริกาได้มีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Barack Obama อันเป็นสิ้นสุดของบุช ซึ่งทางเมดเวเดฟ……ได้ออกแถลงการณ์อย่างหนักแน่นว่า สงครามในจอร์เจียคือผลพวงของการแทรกแซงของอเมริกาที่พยายามจะเข้ามาตั้งฐานทัพในพื้นที่รอบรัสเซีย และ มันเป็นการผลักดันที่รัสเซียจะต้องตอบโต้ด้วยการสร้างฐานนิวเคลียร์ที่ Kaliningrad หลังจากสงครามจอร์เจีย……เศรษฐกิจของรัสเซียบูมขึ้นมาในทุกอย่าง พลังงานราคาขึ้น ส่งออกทุกชนิดตั้งแต่โลหะ อาหารจนถึงเฟอร์นิเจอร์ จนรัสเซียได้จ่ายหนี้ได้หมด รวมทั้งมีเงินในคลังเป็นแสนๆล้าน และเงินคงคลังอีกจำนวนมหาศาล แต่นั่นคือ….แสงสว่างก่อนที่พายุมืดคล้ำกำลังจะเข้ามา…ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน….!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • 📢 นักประสาทวิทยาชื่อดังแฉว่า “โรคสมาธิสั้นไม่มีอยู่จริง แต่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อล่อเด็กให้เสพยา” ❗

    โรคสมาธิสั้น (ADHD) ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นผลงานคิดค้นโดยบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลเพื่อหลอกล่อเด็กเล็กและผู้เปราะบางให้ใช้ยาจิตเวชที่มีราคาสูง ตามที่นักชีววิทยาพฤติกรรมชั้นนำของอเมริกา ดร. ริชาร์ด ซอล กล่าว
    “โรคที่เรียกว่านี้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีการวินิจฉัยและการใช้ยาเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก”ดร.ซอลกล่าวต่อ“ผู้ใหญ่มากกว่าร้อยละ 4 และเด็กร้อยละ 11 ในสหรัฐฯ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น”
    https://thepeoplesvoice.tv/top-neurologist-blows-whistle-adhd-does-not-exist-it-was-invented-to-hook-kids-on-drugs/
    📢 นักประสาทวิทยาชื่อดังแฉว่า “โรคสมาธิสั้นไม่มีอยู่จริง แต่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อล่อเด็กให้เสพยา” ❗ โรคสมาธิสั้น (ADHD) ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นผลงานคิดค้นโดยบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลเพื่อหลอกล่อเด็กเล็กและผู้เปราะบางให้ใช้ยาจิตเวชที่มีราคาสูง ตามที่นักชีววิทยาพฤติกรรมชั้นนำของอเมริกา ดร. ริชาร์ด ซอล กล่าว “โรคที่เรียกว่านี้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีการวินิจฉัยและการใช้ยาเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก”ดร.ซอลกล่าวต่อ“ผู้ใหญ่มากกว่าร้อยละ 4 และเด็กร้อยละ 11 ในสหรัฐฯ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น” https://thepeoplesvoice.tv/top-neurologist-blows-whistle-adhd-does-not-exist-it-was-invented-to-hook-kids-on-drugs/
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • ร่วมลงชื่อคัดค้านมติ ครม.กรณีฟอกขาวแรงงานพม่า ที่นี่
    https://chng.it/k8kM8CJZYr
    หรือค้นหาใน Google ด้วยคำว่า "คัดค้านแรงงานเถื่อน"

    สื่อสารให้ถูกนะครับ มีการสื่อสารผิดว่าไล่พม่ากลับ จริงๆคือ คัดค้านแรงงงานเถื่อน มติครม. ให้ต่างด้าวทำบัตรถูกกฎหมาย (บัตรสีชมพู) เพื่อทำงานในไทยครับ

    ต้องการรายชื่อประมาณ 50,000 คน เพื่อยื่นต่อศาลทุเลามติ ครม.วันที่ 24 กันยายน 2567
    https://passport.co.th/cabinet-resolution/2024-09-24/

    ปล. คนนึงสามารถลงชื่อให้คนอื่นได้นะครับ แต่ต้องเปลี่ยนอีเมล และต้องใช้ข้อมูลจริงครับ โดยหลังจากลงชื่อแต่ละชื่อแล้ว ที่ด้านบนเว็บ ออกจากระบบบัญชี แล้วสามารถลงชื่อใหม่ได้
    #ไทยไม่ทน #แรงงานต่างด้าว #แรงงานพม่า #มติครม.

    แนวทางในการแก้ปัญหาที่ควรจะเป็นคือนำคนที่เข้ามาผิดกฎหมายทั้งหมด กลับไปและทำ MOU ใหม่แบบสมัยรัฐบาลลุงตู่ เพื่อได้ข้อมูลประวัติของแรงงานที่ถูกต้อง ไม่เป็นอาชญากร หรือกบฏที่รัฐบาลพม่าหมายหัว …ป้องกันความขัดแย้งระหว่างประเทศ
    ร่วมลงชื่อคัดค้านมติ ครม.กรณีฟอกขาวแรงงานพม่า ที่นี่ https://chng.it/k8kM8CJZYr หรือค้นหาใน Google ด้วยคำว่า "คัดค้านแรงงานเถื่อน" สื่อสารให้ถูกนะครับ มีการสื่อสารผิดว่าไล่พม่ากลับ จริงๆคือ คัดค้านแรงงงานเถื่อน มติครม. ให้ต่างด้าวทำบัตรถูกกฎหมาย (บัตรสีชมพู) เพื่อทำงานในไทยครับ ต้องการรายชื่อประมาณ 50,000 คน เพื่อยื่นต่อศาลทุเลามติ ครม.วันที่ 24 กันยายน 2567 https://passport.co.th/cabinet-resolution/2024-09-24/ ปล. คนนึงสามารถลงชื่อให้คนอื่นได้นะครับ แต่ต้องเปลี่ยนอีเมล และต้องใช้ข้อมูลจริงครับ โดยหลังจากลงชื่อแต่ละชื่อแล้ว ที่ด้านบนเว็บ ออกจากระบบบัญชี แล้วสามารถลงชื่อใหม่ได้ #ไทยไม่ทน #แรงงานต่างด้าว #แรงงานพม่า #มติครม. แนวทางในการแก้ปัญหาที่ควรจะเป็นคือนำคนที่เข้ามาผิดกฎหมายทั้งหมด กลับไปและทำ MOU ใหม่แบบสมัยรัฐบาลลุงตู่ เพื่อได้ข้อมูลประวัติของแรงงานที่ถูกต้อง ไม่เป็นอาชญากร หรือกบฏที่รัฐบาลพม่าหมายหัว …ป้องกันความขัดแย้งระหว่างประเทศ
    Like
    Haha
    6
    0 Comments 1 Shares 521 Views 376 0 Reviews
More Results