• โกโก้ป๋า

    วัตถุประสงค์

    เพื่อปรับปรุงหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาหารจี๊ด ๆ ในหลอดเลือดและถูกบอกว่า...โรคนี้รักษาไม่หายต้องปล่อยไปตามยถากรรม แต่หลังจากให้ผู้ที่มีอาการไปหาซื้อกินเองจนอาการหายดี จึงคิดทำขึ้นเนื่องจากเห็นว่าที่ขายกันอยู่ราคาสูงเกินไปและมีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้และฟลาโวนอลต่ำไป

    ส่วนผสมที่ตั้งใจจะคัดสรรมาให้

    ผงดาร์กโกโก้แท้ เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากเบลเยี่ยม ปราศจากการแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ไม่แต่งสีหรือปรุงรสชาติ ไม่ใส่ครีมเทียม ไม่ใส่นม

    ไบโอฟลาโวนอยจากแคนาดา ที่ตั้งใจจะใส่ลงไป และดีที่สุดในโลก เท่าที่จะหาได้

    ขนาดบรรจุ ซองละ 10 กรัม มี 30 ซองใน 1กล่อง ราคา 480 บาท

    BELIEVE THE TRUTH

    ตอน...โกโก้และหลอดเลือดที่เสียหายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    Flavanols ในโกโก้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพของหลอดเลือดช่วยลดความเครียดในหัวใจ

    AMERICAN COLLEGE OF CARDIOLOGY

    หลังจากที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลอดเลือดที่ชำรุดทรุดโทรมก็ลับมาทำงานได้ตามปกติ
    นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการปรับปรุงนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับการออกกำลังกายและการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่จะคิดว่า “ไม่ใช่แค่การคิดนอกกะลาแต่ภายในถ้วยโกโก้”เพื่อเป็นแนวทางในการปัดเป่าโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    “การรักษาด้วยยาเพียงลำพังไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้” กล่าวโดย นายแพทย์Malte Kelmศาสตราจารย์และประธานด้านโรคหัวใจ วิทยาปอด(pulmonology)และเวชศาสตร์หลอดเลือดที่โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย Aachen เยอรมนี "แพทย์ควรจะมองหาการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อช่วยในการจัดการกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน"

    ในการศึกษา Dr.Kelm และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้โกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการสังเกตผลของโกโก้ที่มีปริมาณ flavanols ในหลอดเลือดแตกต่างกันในผู้ป่วย 10 รายที่มีเบาหวานชนิดที่ 2

    การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการบริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นระยะเวลานานเทียบกับโกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการสุ่มเลือกให้ดื่มโกโก้ที่มี flavolsols 321 มิลลิกรัมและ 25 มิลลิกรัมต่อถ้วย 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 วัน ทั้งสองประเภทของโกโก้มีรสชาติและดูเหมือนกันแม้จะมีความแตกต่างของปริมาณฟลาโวนอล
    การทำงานของเส้นเลือดถูกทดสอบในวันแรกก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ และอีกสองชั่วโมงหลังจากดื่มเครื่องดื่ม การทดสอบทำซ้ำก่อนและหลังการบริโภคโกโก้ในวันที่ 8 และวันที่ 30 ของการศึกษา

    เพื่อการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นของโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูง...นักวิจัยได้ใช้การทดสอบที่เรียกว่า "flow-mediated dilation" (FMD) ซึ่งประเมินความสามารถของหลอดเลือดในการขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเลือด ออกซิเจนและสารอาหาร การทดสอบ FMD เกี่ยวข้องกับการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนโดยใช้อัลตราซาวนด์ ในคนที่มีสุขภาพดีเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงหรือ endothelium จะตรวจจับการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นและส่งสัญญาณทางเคมีเพื่อบอกให้หลอดเลือดแดงขยายตัว ในห้องปฏิบัติการของดร. เคลม์ การตอบสนองในคนที่มีสุขภาพดีในวัยเดียวกันที่เข้าร่วมในการศึกษามีการขยายตัวของเส้นผ่าศูนย์กลางหลอดเลือดเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์
    นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความทรุดโทรมของหลอดเลือดแดงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ หลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สองชั่วโมงหลังจากดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงการตอบสนองต่อ FMD เท่ากับ 4.8 เปอร์เซ็นต์

    เมื่อเวลาผ่านไปผลการวิจัยเหล่านั้นก็ดีขึ้น หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มโกโก้ที่มีระดับฟลาโวนอลสูง 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 วัน อัตราการตอบสนองของ FMD เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มต้นและ5.7 เปอร์เซ็นต์ที่ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานโกโก้

    ในวันที่ 30 การตอบสนองต่อ FMD ดีขึ้นเป็น 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่ระดับพื้นฐานและ 5.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากกินโกโก้...และการปรับปรุงทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติ

    ในหมู่ผู้ป่วยที่บริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลต่ำ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตอบสนองของ FMD หลังการกินโกโก้ในวันที่ 8 และ 30
    การตรวจวัด FMD สามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อ FMD ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาส
    หลอดเลือดหัวใจและแม้แต่ความตายจากโรคหัวใจ

    Dr.Kelm คาดการณ์ว่าฟลาโวนอลในโกโก้ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อ FMD โดยการเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นสัญญาณทางเคมีที่บอกให้หลอดเลือดแดงผ่อนคลายและขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายของหลอดเลือดแดงจะทำให้ความเครียดของหัวใจและหลอดเลือดลดลง

    การใช้โกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลสูงในการศึกษานี้ไม่ได้มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Dr.Kelm เตือนว่า การศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องกินโกโก้อย่างบ้าคลั่ง... แต่การที่มีฟลาโวนอลในอาหารถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถหาแนวทางในการกินช็อกโกแลตเพื่อให้มีสุขภาพดีได้ แต่การศึกษานี้ไม่เกี่ยวกับช็อกโกแลตและไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เป็นเบาหวานกินช็อกโกแลตให้มากขึ้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่อะไรที่เป็นหัวใจที่แท้จริงของ การอภิปรายเรื่อง cocoa flavanols : สารประกอบธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโกโก้ เขากล่าวว่า "ในขณะที่การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็น ผลของเราแสดงให้เห็นว่า flavanols ในอาหารอาจมีผลกระทบที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน "

    Umberto Campia, MD ผู้ร่วมเขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ในฉบับเดียวกันของ JACC กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นประชากรที่เหมาะสำหรับศึกษาผลของ flavanols ต่อการทำงานของเส้นเลือดแดงเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อ endothelium และเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
    “การบำบัดใดๆที่ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้นย่อมสำคัญเสมอ” Dr. Campia นักวิจัยจากสถาบันวิจัย MedStar ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวว่า "เยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของร่างกาย" เขากล่าว "มันรักษาสุขภาพของหลอดเลือดแดงและป้องกันการอุดตันที่อาจทำให้เกิดหัวใจวาย และอัมพาตย์"

    "การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญและกระตุ้นความคิด" เขากล่าว "ตอนนี้เรามีหลักฐานมากมายว่า flavanols ในโกโก้มีผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดแดง นี่เป็นรากฐานที่เราต้องการสำหรับการทำการศึกษาในอนาคตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งจะพิจารณาถึงผลของ flavanols ใสโกโก้ ไม่ใช่แค่การทำงานของ endothelial เท่านั้นแต่ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดร้ายแรงอื่น ๆ "

    American College of Cardiology เป็นผู้นำในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและการป้องกันโรคที่ดีที่สุด วิทยาลัยเป็นองค์กรด้านการแพทย์ที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสมาชิก 34,000 คน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมสามารถดูได้ทางออนไลน์ที่ www.acc.org

    และเพิ่งระลึกไว้ว่า

    เมื่อหลอดเลือดดี แปลว่าท่อลำเลียงสารอาหารและอากาศดี อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะดีไปด้วย

    Cr. Santi Manadee
    โกโก้ป๋า วัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาหารจี๊ด ๆ ในหลอดเลือดและถูกบอกว่า...โรคนี้รักษาไม่หายต้องปล่อยไปตามยถากรรม แต่หลังจากให้ผู้ที่มีอาการไปหาซื้อกินเองจนอาการหายดี จึงคิดทำขึ้นเนื่องจากเห็นว่าที่ขายกันอยู่ราคาสูงเกินไปและมีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้และฟลาโวนอลต่ำไป ส่วนผสมที่ตั้งใจจะคัดสรรมาให้ ผงดาร์กโกโก้แท้ เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากเบลเยี่ยม ปราศจากการแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ไม่แต่งสีหรือปรุงรสชาติ ไม่ใส่ครีมเทียม ไม่ใส่นม ไบโอฟลาโวนอยจากแคนาดา ที่ตั้งใจจะใส่ลงไป และดีที่สุดในโลก เท่าที่จะหาได้ ขนาดบรรจุ ซองละ 10 กรัม มี 30 ซองใน 1กล่อง ราคา 480 บาท BELIEVE THE TRUTH ตอน...โกโก้และหลอดเลือดที่เสียหายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน Flavanols ในโกโก้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพของหลอดเลือดช่วยลดความเครียดในหัวใจ AMERICAN COLLEGE OF CARDIOLOGY หลังจากที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลอดเลือดที่ชำรุดทรุดโทรมก็ลับมาทำงานได้ตามปกติ นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการปรับปรุงนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับการออกกำลังกายและการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่จะคิดว่า “ไม่ใช่แค่การคิดนอกกะลาแต่ภายในถ้วยโกโก้”เพื่อเป็นแนวทางในการปัดเป่าโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน “การรักษาด้วยยาเพียงลำพังไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้” กล่าวโดย นายแพทย์Malte Kelmศาสตราจารย์และประธานด้านโรคหัวใจ วิทยาปอด(pulmonology)และเวชศาสตร์หลอดเลือดที่โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย Aachen เยอรมนี "แพทย์ควรจะมองหาการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อช่วยในการจัดการกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน" ในการศึกษา Dr.Kelm และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้โกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการสังเกตผลของโกโก้ที่มีปริมาณ flavanols ในหลอดเลือดแตกต่างกันในผู้ป่วย 10 รายที่มีเบาหวานชนิดที่ 2 การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการบริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นระยะเวลานานเทียบกับโกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการสุ่มเลือกให้ดื่มโกโก้ที่มี flavolsols 321 มิลลิกรัมและ 25 มิลลิกรัมต่อถ้วย 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 วัน ทั้งสองประเภทของโกโก้มีรสชาติและดูเหมือนกันแม้จะมีความแตกต่างของปริมาณฟลาโวนอล การทำงานของเส้นเลือดถูกทดสอบในวันแรกก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ และอีกสองชั่วโมงหลังจากดื่มเครื่องดื่ม การทดสอบทำซ้ำก่อนและหลังการบริโภคโกโก้ในวันที่ 8 และวันที่ 30 ของการศึกษา เพื่อการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นของโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูง...นักวิจัยได้ใช้การทดสอบที่เรียกว่า "flow-mediated dilation" (FMD) ซึ่งประเมินความสามารถของหลอดเลือดในการขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเลือด ออกซิเจนและสารอาหาร การทดสอบ FMD เกี่ยวข้องกับการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนโดยใช้อัลตราซาวนด์ ในคนที่มีสุขภาพดีเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงหรือ endothelium จะตรวจจับการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นและส่งสัญญาณทางเคมีเพื่อบอกให้หลอดเลือดแดงขยายตัว ในห้องปฏิบัติการของดร. เคลม์ การตอบสนองในคนที่มีสุขภาพดีในวัยเดียวกันที่เข้าร่วมในการศึกษามีการขยายตัวของเส้นผ่าศูนย์กลางหลอดเลือดเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์ นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความทรุดโทรมของหลอดเลือดแดงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ หลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สองชั่วโมงหลังจากดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงการตอบสนองต่อ FMD เท่ากับ 4.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไปผลการวิจัยเหล่านั้นก็ดีขึ้น หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มโกโก้ที่มีระดับฟลาโวนอลสูง 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 วัน อัตราการตอบสนองของ FMD เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มต้นและ5.7 เปอร์เซ็นต์ที่ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานโกโก้ ในวันที่ 30 การตอบสนองต่อ FMD ดีขึ้นเป็น 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่ระดับพื้นฐานและ 5.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากกินโกโก้...และการปรับปรุงทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติ ในหมู่ผู้ป่วยที่บริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลต่ำ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตอบสนองของ FMD หลังการกินโกโก้ในวันที่ 8 และ 30 การตรวจวัด FMD สามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อ FMD ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาส หลอดเลือดหัวใจและแม้แต่ความตายจากโรคหัวใจ Dr.Kelm คาดการณ์ว่าฟลาโวนอลในโกโก้ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อ FMD โดยการเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นสัญญาณทางเคมีที่บอกให้หลอดเลือดแดงผ่อนคลายและขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายของหลอดเลือดแดงจะทำให้ความเครียดของหัวใจและหลอดเลือดลดลง การใช้โกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลสูงในการศึกษานี้ไม่ได้มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Dr.Kelm เตือนว่า การศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องกินโกโก้อย่างบ้าคลั่ง... แต่การที่มีฟลาโวนอลในอาหารถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถหาแนวทางในการกินช็อกโกแลตเพื่อให้มีสุขภาพดีได้ แต่การศึกษานี้ไม่เกี่ยวกับช็อกโกแลตและไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เป็นเบาหวานกินช็อกโกแลตให้มากขึ้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่อะไรที่เป็นหัวใจที่แท้จริงของ การอภิปรายเรื่อง cocoa flavanols : สารประกอบธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโกโก้ เขากล่าวว่า "ในขณะที่การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็น ผลของเราแสดงให้เห็นว่า flavanols ในอาหารอาจมีผลกระทบที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน " Umberto Campia, MD ผู้ร่วมเขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ในฉบับเดียวกันของ JACC กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นประชากรที่เหมาะสำหรับศึกษาผลของ flavanols ต่อการทำงานของเส้นเลือดแดงเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อ endothelium และเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด “การบำบัดใดๆที่ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้นย่อมสำคัญเสมอ” Dr. Campia นักวิจัยจากสถาบันวิจัย MedStar ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวว่า "เยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของร่างกาย" เขากล่าว "มันรักษาสุขภาพของหลอดเลือดแดงและป้องกันการอุดตันที่อาจทำให้เกิดหัวใจวาย และอัมพาตย์" "การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญและกระตุ้นความคิด" เขากล่าว "ตอนนี้เรามีหลักฐานมากมายว่า flavanols ในโกโก้มีผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดแดง นี่เป็นรากฐานที่เราต้องการสำหรับการทำการศึกษาในอนาคตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งจะพิจารณาถึงผลของ flavanols ใสโกโก้ ไม่ใช่แค่การทำงานของ endothelial เท่านั้นแต่ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดร้ายแรงอื่น ๆ " American College of Cardiology เป็นผู้นำในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและการป้องกันโรคที่ดีที่สุด วิทยาลัยเป็นองค์กรด้านการแพทย์ที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสมาชิก 34,000 คน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมสามารถดูได้ทางออนไลน์ที่ www.acc.org และเพิ่งระลึกไว้ว่า เมื่อหลอดเลือดดี แปลว่าท่อลำเลียงสารอาหารและอากาศดี อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะดีไปด้วย Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนไทยกับการดูแลร่างกายจากฝุ่น
    บทความโดย อาจารย์แพทย์แผนไทยคมสัน ทินกร ณ อยุธยา
    คราวนี้หนักหน่วง ฝุ่นมันเข้าทางหู ตา คอ จมูก กาย ทำให้เกิดอาการมากมาย แสบตา ตาแดง แสบคอ แสบอก ผื่นขึ้น ไอเป็นเลือด ท้ายเป็นมะเร็งปอด
    การดูแลป้องกัน
    เมื่อเราเอาของเสียเข้าผ่านทางลมหายใจเข้า(อัสสาสะ)เราก็ต้องเอาออกผ่านทางลมหายใจออก(ปัสสาสะ)
    สำหรับการแพทย์แผนไทยใช้การเวชปฎิบัติสุมยา การรับทานน้ำกระสายยา รวมถึงยาทาใช้ภายนอก และอาหารเป็นยา ดังจะแจงไว้ต่อไปนี้
    การสุมยาล้างฝุ่น:
    สุมยาหรือโปงยาก็เรียก เป็นเวชวิธีข้างเปียก การสุมยานั้นใช้ไอความร้อนชื้นในการนำยา กลไกนั้นใช้ไอร้อนนำยาเข้าในผ่านระบบทางเดินหายใจ เพื่อผลักเสลดเสียที่มึฝุ่นสกปรกเกาะอยู่ให้ออกจากระบบทางเดินหายใจทั้งหมด
    ทำให้หายใจคล่องขึ้นสะดวกขึ้น เวชวิธีสุมจะใช้เครื่องยาที่มีน้ำมันหอมระเหยซึ่งจะออกมาได้ ต้องอาศัยความร้อนเข้าช่วย
    เครื่องยา:
    - เหง้าขิง/เหง้าข่า/เหง้าตะไคร้
    - ใบมะกรูดฉีกขยำ/หอมหัวแดงมากๆ/มะนาวบีบน้ำพร้อมเปลือก
    - พิมเสน หรือVICKS VAPORUB OINTMENT และ เกลือแกง
    เวชวิธี:
    - นำเครื่องยาสดทั้งหมดมาตำหยาบๆ
    - จากนั้นนำลงกะละมังสแตนเลสขยำทั้งหมดอีกครั้งจนนัวส่งกลิ่นหอม
    - เดาะพิมเสนและเกลือลงไปคลุกให้ดีอีกครั้ง
    - เติมน้ำเดือดจัดพอท่วมตัวยา
    - ก้มลงสูดดมไอระเหยของตัวยาเข้าทางโพรงจมูก
    - ใช้ผ้าผืนใหญ่โปงให้ทั่วตัวและกะละมังเพื่อให้ไอยาอวลอยู่ภายใน
    - ในระหว่างเวชจะเปิดหรือปิดเปลือกตาก็ได้
    - ให้หายใจเข้าหนักๆติดกัน หากเหนื่อยให้พักด้วยการหายใจเบาๆ
    - สักพักน้ำหู น้ำตา น้ำมูก น้ำคอจะไหลออกมา นำเสลดเสียออกมาด้วย
    - ให้ทำเช้าและเย็นจักดี ในแต่ละครั้งให้ทำจนรู้สึกร้อนไปหรือรู้สึกเหนื่อยไปจึ่งหยุดทำเสีย
    สรรพคุณเวชวิธี:
    - ลดอาการภูมิแพ้
    - ทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น
    - ช่วยลดอาการคัดจมูก น้ำมูกมาก
    - ลดอาการแสบตา ตาแดง
    - ทำให้โล่งในช่องคอจากเสลดเหนียว
    - นำเสลดเสียออกจากระบบทางเดินหายใจ
    ตำรับยา
    นอกจากนั้นในการแพทย์แผนไทยยังมีตำรับยาช่วยผ่อนของเสียออกจากระบบทางเดินหายใจ ตัวอย่างเช่นตำรับยาอุระตะกรัน เพื่อทำความสะอาดระบบทางเดินหายใจ ตำรับยานภากาศ เพื่อให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น ตำรับยาศอเสาวรส นำเสลดออกจากระบบช่องคอเป็นต้น
    น้ำกระสายยาต้านภัยฝุ่น:
    เครื่องยา
    - ว่านหอมแดง/พิกัดตรีผลา/หญ้าดอกขาว/รางจืดทั้งต้น
    วิธีปรุง
    - ต้มน้ำเดือดไฟอ่อนราวยี่สิบนาทีทิ้งให้เย็นแล้วกรอง
    - แต่งกลิ่นสี เจือด้วยน้ำคั้นใบเตยหอม
    - แต่งรส เปรี้ยวนำด้วยน้ำมะนาว หวานตามด้วยน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้ง
    วิธีทาน
    - ดื่มครั้งละแก้วเช้าและเย็นก่อนอาหาร
    อาหารต้านPM2.5:
    ผักใบเขียว/แครอท/ฟักทอง/มันเทศ/บรอคโคลี่/กระหล่ำปลี/กระหล่ำดอก/มะเขือเทศ
    รายการอาหารต้านภัยฝุ่น เสริมภูมิต้านทาน
    - ต้มจับฉ่ายสารพัดผักต้านฝุ่น
    - ผัดผักใบเขียว
    - ผัดบรอคโคลี่ใส่กระหล่ำดอก
    - แกงจืดกระหล่ำปลียัดไส้หมูกุ้ง
    - น้ำพริกตะไคร้แนมผักต้านฝุ่นลวกกะทิ
    - แกงมัสมั่นไก่ใส่ฟักทอง
    - แกงกะหรี่ไก่มันเทศ/แครอท
    - มะเขือเทศยัดไส้นึ่งราดซอสเปรี้ยวหวาน
    - ฟักทอง/มันเทศ บวดสด
    - ฟักทอง/มันเทศ เชื่อมราดหัวกะทิ
    ที่สำคัญจะพึ่งแต่ยาหรือการเวชปฎิบัติแต่เพียงเท่านั้นมิได้ ต้องพึ่งตนเป็นสำคัญพยายามหลีกเลี่ยงการรับฝุ่นเมื่ออยู่ภายนอกอาคารบ้านเรือน เอาป่ากลับมาไว้ในบ้านของเราเอง และเมื่อเกิดอาการป่วยรีบไปพบแพทย์จักแพทย์แผนใดสุดแล้วแต่จักเลือก
    ทำสิ่งที่รัฐแนะนำให้มากที่สุดเท่าที่วิถีชีวิตปกติจักอำนวยได้ ภาครัฐแลภาคเอกชนต้องเร่งช่วยกันสางปัญหาอันเกิดจากการพัฒนานั้นอย่างเร่งด่วน ปัญหามลภาวะคือปัญหาของเราทุกคนไม่ว่าจะจนจะรวยจะเด็กแรกเกิดจะผู้ใหญ่เป็น "ปัญหาติดดินของคนติดดินทุกคน"
    แผนไทยกับการดูแลร่างกายจากฝุ่น บทความโดย อาจารย์แพทย์แผนไทยคมสัน ทินกร ณ อยุธยา คราวนี้หนักหน่วง ฝุ่นมันเข้าทางหู ตา คอ จมูก กาย ทำให้เกิดอาการมากมาย แสบตา ตาแดง แสบคอ แสบอก ผื่นขึ้น ไอเป็นเลือด ท้ายเป็นมะเร็งปอด การดูแลป้องกัน เมื่อเราเอาของเสียเข้าผ่านทางลมหายใจเข้า(อัสสาสะ)เราก็ต้องเอาออกผ่านทางลมหายใจออก(ปัสสาสะ) สำหรับการแพทย์แผนไทยใช้การเวชปฎิบัติสุมยา การรับทานน้ำกระสายยา รวมถึงยาทาใช้ภายนอก และอาหารเป็นยา ดังจะแจงไว้ต่อไปนี้ การสุมยาล้างฝุ่น: สุมยาหรือโปงยาก็เรียก เป็นเวชวิธีข้างเปียก การสุมยานั้นใช้ไอความร้อนชื้นในการนำยา กลไกนั้นใช้ไอร้อนนำยาเข้าในผ่านระบบทางเดินหายใจ เพื่อผลักเสลดเสียที่มึฝุ่นสกปรกเกาะอยู่ให้ออกจากระบบทางเดินหายใจทั้งหมด ทำให้หายใจคล่องขึ้นสะดวกขึ้น เวชวิธีสุมจะใช้เครื่องยาที่มีน้ำมันหอมระเหยซึ่งจะออกมาได้ ต้องอาศัยความร้อนเข้าช่วย เครื่องยา: - เหง้าขิง/เหง้าข่า/เหง้าตะไคร้ - ใบมะกรูดฉีกขยำ/หอมหัวแดงมากๆ/มะนาวบีบน้ำพร้อมเปลือก - พิมเสน หรือVICKS VAPORUB OINTMENT และ เกลือแกง เวชวิธี: - นำเครื่องยาสดทั้งหมดมาตำหยาบๆ - จากนั้นนำลงกะละมังสแตนเลสขยำทั้งหมดอีกครั้งจนนัวส่งกลิ่นหอม - เดาะพิมเสนและเกลือลงไปคลุกให้ดีอีกครั้ง - เติมน้ำเดือดจัดพอท่วมตัวยา - ก้มลงสูดดมไอระเหยของตัวยาเข้าทางโพรงจมูก - ใช้ผ้าผืนใหญ่โปงให้ทั่วตัวและกะละมังเพื่อให้ไอยาอวลอยู่ภายใน - ในระหว่างเวชจะเปิดหรือปิดเปลือกตาก็ได้ - ให้หายใจเข้าหนักๆติดกัน หากเหนื่อยให้พักด้วยการหายใจเบาๆ - สักพักน้ำหู น้ำตา น้ำมูก น้ำคอจะไหลออกมา นำเสลดเสียออกมาด้วย - ให้ทำเช้าและเย็นจักดี ในแต่ละครั้งให้ทำจนรู้สึกร้อนไปหรือรู้สึกเหนื่อยไปจึ่งหยุดทำเสีย สรรพคุณเวชวิธี: - ลดอาการภูมิแพ้ - ทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น - ช่วยลดอาการคัดจมูก น้ำมูกมาก - ลดอาการแสบตา ตาแดง - ทำให้โล่งในช่องคอจากเสลดเหนียว - นำเสลดเสียออกจากระบบทางเดินหายใจ ตำรับยา นอกจากนั้นในการแพทย์แผนไทยยังมีตำรับยาช่วยผ่อนของเสียออกจากระบบทางเดินหายใจ ตัวอย่างเช่นตำรับยาอุระตะกรัน เพื่อทำความสะอาดระบบทางเดินหายใจ ตำรับยานภากาศ เพื่อให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น ตำรับยาศอเสาวรส นำเสลดออกจากระบบช่องคอเป็นต้น น้ำกระสายยาต้านภัยฝุ่น: เครื่องยา - ว่านหอมแดง/พิกัดตรีผลา/หญ้าดอกขาว/รางจืดทั้งต้น วิธีปรุง - ต้มน้ำเดือดไฟอ่อนราวยี่สิบนาทีทิ้งให้เย็นแล้วกรอง - แต่งกลิ่นสี เจือด้วยน้ำคั้นใบเตยหอม - แต่งรส เปรี้ยวนำด้วยน้ำมะนาว หวานตามด้วยน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้ง วิธีทาน - ดื่มครั้งละแก้วเช้าและเย็นก่อนอาหาร อาหารต้านPM2.5: ผักใบเขียว/แครอท/ฟักทอง/มันเทศ/บรอคโคลี่/กระหล่ำปลี/กระหล่ำดอก/มะเขือเทศ รายการอาหารต้านภัยฝุ่น เสริมภูมิต้านทาน - ต้มจับฉ่ายสารพัดผักต้านฝุ่น - ผัดผักใบเขียว - ผัดบรอคโคลี่ใส่กระหล่ำดอก - แกงจืดกระหล่ำปลียัดไส้หมูกุ้ง - น้ำพริกตะไคร้แนมผักต้านฝุ่นลวกกะทิ - แกงมัสมั่นไก่ใส่ฟักทอง - แกงกะหรี่ไก่มันเทศ/แครอท - มะเขือเทศยัดไส้นึ่งราดซอสเปรี้ยวหวาน - ฟักทอง/มันเทศ บวดสด - ฟักทอง/มันเทศ เชื่อมราดหัวกะทิ ที่สำคัญจะพึ่งแต่ยาหรือการเวชปฎิบัติแต่เพียงเท่านั้นมิได้ ต้องพึ่งตนเป็นสำคัญพยายามหลีกเลี่ยงการรับฝุ่นเมื่ออยู่ภายนอกอาคารบ้านเรือน เอาป่ากลับมาไว้ในบ้านของเราเอง และเมื่อเกิดอาการป่วยรีบไปพบแพทย์จักแพทย์แผนใดสุดแล้วแต่จักเลือก ทำสิ่งที่รัฐแนะนำให้มากที่สุดเท่าที่วิถีชีวิตปกติจักอำนวยได้ ภาครัฐแลภาคเอกชนต้องเร่งช่วยกันสางปัญหาอันเกิดจากการพัฒนานั้นอย่างเร่งด่วน ปัญหามลภาวะคือปัญหาของเราทุกคนไม่ว่าจะจนจะรวยจะเด็กแรกเกิดจะผู้ใหญ่เป็น "ปัญหาติดดินของคนติดดินทุกคน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพเพลิงไหม้อย่างรุนแรงที่เหมืองลิเธียม Mount Holland ฝั่งตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย

    รายงานเบื้องต้นของเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการสกัดลิเธียมจากสปอดูมีน(Spodumene)เพื่อผลิตลิเธียมไฮดรอกไซด์

    บริษัท Covalent Lithium, Wesfarmers และ SQM เป็นเจ้าของเหมืองแห่งนี้มีกำลังการผลิตสปอดูมีน (Spodumene) เข้มข้นได้ 380,000 ตันต่อปี ซึ่งสกัดเป็นลิเธียมไฮดรอกไซด์เกรดแบตเตอรี่ได้ 50,000 ตันต่อปี เทียบเท่าการผลิตพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 1 ล้านคัน

    ความเสียหายในครั้งนี้ ทำให้เหมืองต้องหยุดดำเนินการทันที และยังไม่มีกำหนดการกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทั่วโลกอย่างมาก เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญในการลดการพึ่งพาจีน ขณะที่ความต้องการลิเธียมคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้น 40 เท่าในปี 2035


    พิกัด -32.095424166368346, 119.76072408905549
    ภาพเพลิงไหม้อย่างรุนแรงที่เหมืองลิเธียม Mount Holland ฝั่งตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย รายงานเบื้องต้นของเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการสกัดลิเธียมจากสปอดูมีน(Spodumene)เพื่อผลิตลิเธียมไฮดรอกไซด์ บริษัท Covalent Lithium, Wesfarmers และ SQM เป็นเจ้าของเหมืองแห่งนี้มีกำลังการผลิตสปอดูมีน (Spodumene) เข้มข้นได้ 380,000 ตันต่อปี ซึ่งสกัดเป็นลิเธียมไฮดรอกไซด์เกรดแบตเตอรี่ได้ 50,000 ตันต่อปี เทียบเท่าการผลิตพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 1 ล้านคัน ความเสียหายในครั้งนี้ ทำให้เหมืองต้องหยุดดำเนินการทันที และยังไม่มีกำหนดการกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทั่วโลกอย่างมาก เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญในการลดการพึ่งพาจีน ขณะที่ความต้องการลิเธียมคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้น 40 เท่าในปี 2035 พิกัด -32.095424166368346, 119.76072408905549
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เสรีพิศุทธ์” ให้ข้อมูล ป.ป.ช.เพิ่มเติม ปม “ทักษิณ” นอนชั้น 14 เผยตอนเข้าเยี่ยมฟิตกว่าตนเสียอีก ชี้จุดตายไม่มีเวชระเบียบ หากป่วยวิกฤติจริง ไป รพ.ตำรวจต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ตรวจสมอง ตรวจหัวใจ ตรวจปอด ตรวจทุกอย่างก่อน แต่นี่ไม่มีเลย แนะจับตาศาลฎีการับไต่สวนปมส่งนักโทษออกจากเรือนจำโดยไม่แจ้งศาลก่อนหรือไม่ สั่งจำคุกผู้เกี่ยวข้องได้ทันที

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008522

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “เสรีพิศุทธ์” ให้ข้อมูล ป.ป.ช.เพิ่มเติม ปม “ทักษิณ” นอนชั้น 14 เผยตอนเข้าเยี่ยมฟิตกว่าตนเสียอีก ชี้จุดตายไม่มีเวชระเบียบ หากป่วยวิกฤติจริง ไป รพ.ตำรวจต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ตรวจสมอง ตรวจหัวใจ ตรวจปอด ตรวจทุกอย่างก่อน แต่นี่ไม่มีเลย แนะจับตาศาลฎีการับไต่สวนปมส่งนักโทษออกจากเรือนจำโดยไม่แจ้งศาลก่อนหรือไม่ สั่งจำคุกผู้เกี่ยวข้องได้ทันที อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008522 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 714 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีกหนึ่งข่าวเศร้าของวงการตลกเมืองไทย หลังมีการแจ้งข่าว "ยายชา เถิดเทิง" หรือ "บุญฤทธิ์ คุ้มเงินแสน" อดีตตลกดังชื่อ เสียชีวิตแล้ว หลังรักษาอาการป่วยมะเร็งที่ปอดมานาน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000007992

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    อีกหนึ่งข่าวเศร้าของวงการตลกเมืองไทย หลังมีการแจ้งข่าว "ยายชา เถิดเทิง" หรือ "บุญฤทธิ์ คุ้มเงินแสน" อดีตตลกดังชื่อ เสียชีวิตแล้ว หลังรักษาอาการป่วยมะเร็งที่ปอดมานาน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000007992 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    Like
    19
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝุ่น PM 2.5 ยุคนี้น่ากลัวกว่ายุคอัศวิน/ประยุทธ์ ยุคนั้นทำลายแค่ปอด ยุคนี้ทำลายถึงปาก ทำเอาพวกปากดียุคนั้นพูดไม่ออก
    ฝุ่น PM 2.5 ยุคนี้น่ากลัวกว่ายุคอัศวิน/ประยุทธ์ ยุคนั้นทำลายแค่ปอด ยุคนี้ทำลายถึงปาก ทำเอาพวกปากดียุคนั้นพูดไม่ออก
    Like
    Haha
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23/1/68

    PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง

    ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย

    4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง
    การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่

    แน่นหน้าอก หายใจลำบาก

    หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด

    เจ็บหน้าอก

    เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้

    ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด

    พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น

    การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต
    “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว

    หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม

    พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น

    ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน

    เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน
    ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง

    แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ

    มะเร็งปอดภาคเหนือสูง
    ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    23/1/68 PM 2.5 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช็ก 4 อาการเสี่ยงระดับรุนแรง ฝุ่น PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี โดยกรมอนามัย ระบุ ผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะสั้น ไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง ผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ส่วนผลกระทบระยะยาว ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ,ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ,เบาหวาน, มะเร็งปอด ,เสี่ยงแท้ง/คลอดก่อนกำหนด ,กระทบต่อพัฒนาการ/ระบบสมองของทารกและทารกแรกคลอดผิดปกติ/น้ำหนักน้อย 4 อาการ เสี่ยงระดับรุนแรง การประเมินตนเองผ่านคลินิกมลพิษออนไลน์ หากมีอาการ 1 ใน 4 รายการนี้เพียง 1 ข้อ ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หอบ หายใจเสียงดังวี๊ด เจ็บหน้าอก เหนื่อยมากจนต้องนั่งพักหรือทำงานไม่ได้ ฝุ่น PM 2.5 ทำร้ายเซลล์หลอดเลือด พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผอ.กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่ ต.ค.2567-ม.ค.2568 มีรายงานผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เฝ้าระวังประมาณ 1 ล้านราย มากที่สุดคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นราว 2 แสนราย เป็นต้น การได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง กรณีที่ป่วยอยู่แล้ว ในระยะยาวจะทำให้ป่วยรุนแรง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหอบหืดอยู่แล้ว แทนที่จะหายใจได้บ้างก็กลายเป็นหายใจลำบาก เพราะฝุ่นทำให้โรคไม่หายเสียที นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับสารเคมีตัวอื่นที่เกาะกับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ฝุ่น PM 2.5 เข้าไปได้ลึกถึงถุงลม สารเคมีที่มาจับกับฝุ่นก็ลงไปได้ลึกเท่านั้น ที่กังวลคือการก่อมะเร็งปอดในอนาคต “ผลกระทบจริงๆ ของฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำร้ายเซลล์หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้ผนังเส้นเลือดไม่แข็งแรง หรือกรณีที่เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกี่ยวกับสมองเพราะฝุ่น PM2.5 เข้าไปทำให้เส้นเลือดสมองไม่แข็งแรง ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย”พญ.ฉันทนากล่าว หากเป็นกรณีการอักเสบ เหมือนเป็นแผล ถ้าไม่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองอีก ก็สามารถหายได้ แต่กรณีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดก็จะเข้าสู่ภาวะโรคปกติ เช่น ยังต้องพ่นยาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องพ่นเยอะเหมือนช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 แต่ในส่วนของมะเร็งอาจจะต้องดูระยะยาว ต้องติดตาม พญ.ฉันทนา กล่าวอีกว่า มะเร็งปอดที่มาจากฝุ่น PM2.5 ยังต้องเก็บข้อมูลในระยะยาว แต่ก็เห็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศแล้ว แม้แต่ในไทยก็พบมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทั้งที่มีประวัติคลีนมาก ก็อาจเป็นเรื่องของฝุ่นเป็นหลัก ปัจจุบันคาดการณ์จากประเทศอื่นๆ ที่ทำวิจัย ส่วนในประเทศไทย กำลังมีการศึกษาวิจัยไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นไหม ยังไม่นานพอที่จะทำให้เห็นว่าเกี่ยวกับฝุ่น แต่ก็พอเห็นกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากฝุ่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 มาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ การเผาในที่โล่ง ซึ่งพบมากที่สุดในตอนนี้ ต่อมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่ง นอกจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีสารพิษที่น่ากลัว และน่ากังวลที่สามารถเกาะมากับ PM2.5 คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) โดยเฉพาะการเผาไหม้ที่เกิดจากการเผายาง หรือการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสาร PAHs เช่นกัน เสี่ยง โรคหัวใจ-สมองขาดเลือดเฉียบพลัน ขณะที่ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ค่า PM2.5 ที่บ้านริมน้ำวัดได้สูงสุดตอนเจ็ดโมงเช้าที่ 102.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) ค่ารายชั่วโมงที่ 75 มคก./ลบ.ม. สำหรับคนทั่วไปอาจจะถึงขั้น เจ็บได้ คือ แสบจมูกและคอ ระคายเคืองตาและผิวหนัง แต่ถ้าขึ้นไปถึง 150 มคก./ลบ.ม. อาจตายได้ จากโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดเฉียบพลัน สำหรับกลุ่มคนเปราะบาง ค่าเจ็บได้จะอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากโรคหืดและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ โรคหัวใจและสมองกำเริบ ส่วนค่าที่อาจตายได้จะอยู่ที่ 75 มคก./ลบ.ม. หรือเอาง่าย ๆ คือ ครึ่งหนึ่งของคนปกติ มะเร็งปอดภาคเหนือสูง ดังที่ทราบว่าภาคเหนือมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มานานนับ 10 ปี การศึกษาวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ในการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ นอกจากนี้ งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ยังบ่งบอกหลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็ง โดยการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ในอนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • #PM2.5กับสารอาหารเพื่อป้องกันและรักษา

    ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบทางเคมีมากมายทั้งสารระคายเคืองต่อสารก่อมะเร็ง และส่งผลให้เกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เพราะยิ่งมีขนาดเล็กลงก็ยิ่งเข้าสู่ร่างกายและเกาะติดกับปอดได้มากขึ้น โดยกระบวนการอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยเร่งการอักเสบในร่างกายและลดจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงตามมาด้วยความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ปอด เมื่อได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากจะเสื่อมสภาพและอาจตามมาด้วยโรคมะเร็งปอด

    ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับ PM 2.5 ได้

    สารอาหารที่ดี

    1. วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนพบได้ในแครอท บวบ ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ มันเทศ เป็นต้น วิตามินเอนอกจากช่วยส่งเสริมดวงตาแล้วยังช่วยระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสามารถต้านทานผลกระทบฝุ่นพิษได้

    2 . วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยลดความเสียหายทางพันธุกรรมของ DNA เมื่อสัมผัสกับอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ และการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการแพ้ต่อระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ อาการคันตา อาการคัน และความรู้สึกแสบร้อน อาการคันและแสบร้อน กลุ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ทับทิม ผักใบเขียวเข้ม ใบบัวบก ผักโขม หัวหอม นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ต่อวันสามารถช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศได้

    3. วิตามินอี พบได้ในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ไข่แดง ปลาตัวสีดำท้องขาว สิ่งเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ

    4. วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก สามารถลดโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ วิตามินกลุ่มนี้อยู่ในผักใบเขียวเข้ม ผักสีส้มที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น บรอกโคลี แครอท ฟักทอง และวิตามินบี 12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เนื้อแดง

    5. โอเมก้า 3 พบได้ใน อะโวคาโด วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันมะกอก ปลาต่าง ๆที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 การศึกษาทางคลินิกในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูงพบว่า การทานน้ำมันโอเมก้า 3 สูงเช่น Krill oil 2 กรัม/วันจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นเล็กๆ นี้

    6. ซัลโฟราเฟนพบได้ในบรอกโคลี และผักกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอกต่างๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษและป้องกันมะเร็ง มีรายงานการทดลองทางคลินิกทั้งในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ พบว่าการได้รับซัลเฟอร์จากนั้นจากบรอกโคลีอาจช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของฝุ่นได้

    7. N-acetyl cysteine ช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลมที่ไวต่อการกระตุ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดย N-acetyl cysteine ต้องการกรดอะมิโน cysteine เพื่อช่วยในการสังเคราะห์ อาหารที่มีกรดอะมิโน ได้แก่ หัวหอม ไข่ กระเทียม และเนื้อแดง

    N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอดอีกด้วย

    8.สารอาหารโพลีแซ็กคาไรด์ในกลุ่มเบต้ากลูแคนซึ่งสกัดได้จาก ยีสต์และเห็ด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น

    สมุนไพรไทยหลายชนิดยังมีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ PM 2.5 :

    มะขามป้อม-Phyllanthus Emblica สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการอักเสบและช่วยให้การทำงานของหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและการไหลเวียนที่ดี

    ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ซึ่งดีต่อการทำงานของปอด

    นอกจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตรต่อวัน การออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ สวมแว่นตาและสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อปกป้องหรือลดผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นอันตรายจากฝุ่น ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยฟอกอากาศในบ้านหรือในรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบได้

    อาหารเสริมที่แนะนำหากคุณมีความยุ่งยากในการรับประทานอาหารตามปกติ

    Glap
    Glube
    Paa super h
    Whole c

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #PM2.5กับสารอาหารเพื่อป้องกันและรักษา ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบทางเคมีมากมายทั้งสารระคายเคืองต่อสารก่อมะเร็ง และส่งผลให้เกิดโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ การศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM 2.5 หรือน้อยกว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เพราะยิ่งมีขนาดเล็กลงก็ยิ่งเข้าสู่ร่างกายและเกาะติดกับปอดได้มากขึ้น โดยกระบวนการอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยเร่งการอักเสบในร่างกายและลดจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงตามมาด้วยความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ปอด เมื่อได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากจะเสื่อมสภาพและอาจตามมาด้วยโรคมะเร็งปอด ดังนั้นการได้รับสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากขึ้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการได้รับ PM 2.5 ได้ สารอาหารที่ดี 1. วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนพบได้ในแครอท บวบ ผักบุ้ง ฟักทอง มันเทศ มันเทศ เป็นต้น วิตามินเอนอกจากช่วยส่งเสริมดวงตาแล้วยังช่วยระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสามารถต้านทานผลกระทบฝุ่นพิษได้ 2 . วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยลดความเสียหายทางพันธุกรรมของ DNA เมื่อสัมผัสกับอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ และการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดอาการแพ้ต่อระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ อาการคันตา อาการคัน และความรู้สึกแสบร้อน อาการคันและแสบร้อน กลุ่มอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น สตรอเบอร์รี่ ทับทิม ผักใบเขียวเข้ม ใบบัวบก ผักโขม หัวหอม นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ต่อวันสามารถช่วยลดระดับอนุมูลอิสระในผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศได้ 3. วิตามินอี พบได้ในอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ไข่แดง ปลาตัวสีดำท้องขาว สิ่งเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและต่อต้านอนุมูลอิสระ 4. วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก สามารถลดโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ วิตามินกลุ่มนี้อยู่ในผักใบเขียวเข้ม ผักสีส้มที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น บรอกโคลี แครอท ฟักทอง และวิตามินบี 12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เนื้อแดง 5. โอเมก้า 3 พบได้ใน อะโวคาโด วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันมะกอก ปลาต่าง ๆที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 การศึกษาทางคลินิกในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูงพบว่า การทานน้ำมันโอเมก้า 3 สูงเช่น Krill oil 2 กรัม/วันจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นเล็กๆ นี้ 6. ซัลโฟราเฟนพบได้ในบรอกโคลี และผักกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอกต่างๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษและป้องกันมะเร็ง มีรายงานการทดลองทางคลินิกทั้งในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ พบว่าการได้รับซัลเฟอร์จากนั้นจากบรอกโคลีอาจช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของฝุ่นได้ 7. N-acetyl cysteine ช่วยลดการหดเกร็งของหลอดลมที่ไวต่อการกระตุ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดย N-acetyl cysteine ต้องการกรดอะมิโน cysteine เพื่อช่วยในการสังเคราะห์ อาหารที่มีกรดอะมิโน ได้แก่ หัวหอม ไข่ กระเทียม และเนื้อแดง N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ N-acetyl cysteine ยังช่วยลดเสมหะและน้ำมูกในปอดอีกด้วย 8.สารอาหารโพลีแซ็กคาไรด์ในกลุ่มเบต้ากลูแคนซึ่งสกัดได้จาก ยีสต์และเห็ด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น สมุนไพรไทยหลายชนิดยังมีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ PM 2.5 : มะขามป้อม-Phyllanthus Emblica สารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการอักเสบและช่วยให้การทำงานของหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและการไหลเวียนที่ดี ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ซึ่งดีต่อการทำงานของปอด นอกจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตรต่อวัน การออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ สวมแว่นตาและสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง เพื่อปกป้องหรือลดผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นอันตรายจากฝุ่น ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยฟอกอากาศในบ้านหรือในรถยนต์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบได้ อาหารเสริมที่แนะนำหากคุณมีความยุ่งยากในการรับประทานอาหารตามปกติ Glap Glube Paa super h Whole c ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่าฝุ่น PM 2.5 นายกฯอยู่สวิส คนไทยรับมลพิษ
    .
    ฝุ่นพิษที่กำลังปกคลุมเมืองใหญ่ในประเทศไทยเวลานี้ที่ว่าหนาแล้วอาจจะยังไม่เท่ากับดราม่าการเมืองว่าด้วยเรื่องดังกล่าว เพราะตลอดวันที่ผ่านมาเกิดวิวาทะที่ตอบโต้กันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ภายหลังผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' ออกมาระบุว่า "ในขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังสูดอากาศดีที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเต็มปอด ระหว่างเดินทางเชิญชวนนักลงทุนเพื่อหวังให้ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศ แต่คนไทยจำนวนหลายล้านคนก็กำลังหายใจรับอากาศพิษขั้นวิกฤตรุนแรงเข้าสู่ปอด"
    .
    เพียงไม่กี่ประโยคที่ออกมา ปรากฎว่าบรรดาคนในรัฐบาลและส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบโต้หัวหน้าพรรคประชาชน อย่าง 'จิรายุ ห่วงทรัพย์' โฆษกรัฐบาล แย้งว่า "นายณัฐพงษ์เป็นผู้นำฝ่ายค้าน รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ เดินทางไปทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยในการประชุมสำคัญระดับโลก และยังใช้เวลาก่อนการประชุมเดินสายพบปะหารือกับนักธุรกิจระดับโลกเพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศไทย ก็ยังไม่วาย ผมจึงขอเรียกร้องให้นายณัฐพงษ์ต้องเรียนรู้ อยู่ให้ได้ว่าหน้าที่ของผู้นำฝ่ายค้านที่มีคุณภาพและเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองเป็นอย่างไร"
    .
    ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 8.00 น. จากเว็บไซต์ IQAir และการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษ พบว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีมลพิษฝุ่นเยอะที่สุดในโลกเป็นลำดับที่ 9 จาก 124 ประเทศ ด้าน ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ได้รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร เวลา 07.00 น. ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)
    ..............
    Sondhi X
    ดราม่าฝุ่น PM 2.5 นายกฯอยู่สวิส คนไทยรับมลพิษ . ฝุ่นพิษที่กำลังปกคลุมเมืองใหญ่ในประเทศไทยเวลานี้ที่ว่าหนาแล้วอาจจะยังไม่เท่ากับดราม่าการเมืองว่าด้วยเรื่องดังกล่าว เพราะตลอดวันที่ผ่านมาเกิดวิวาทะที่ตอบโต้กันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ภายหลังผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' ออกมาระบุว่า "ในขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังสูดอากาศดีที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเต็มปอด ระหว่างเดินทางเชิญชวนนักลงทุนเพื่อหวังให้ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศ แต่คนไทยจำนวนหลายล้านคนก็กำลังหายใจรับอากาศพิษขั้นวิกฤตรุนแรงเข้าสู่ปอด" . เพียงไม่กี่ประโยคที่ออกมา ปรากฎว่าบรรดาคนในรัฐบาลและส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบโต้หัวหน้าพรรคประชาชน อย่าง 'จิรายุ ห่วงทรัพย์' โฆษกรัฐบาล แย้งว่า "นายณัฐพงษ์เป็นผู้นำฝ่ายค้าน รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ เดินทางไปทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยในการประชุมสำคัญระดับโลก และยังใช้เวลาก่อนการประชุมเดินสายพบปะหารือกับนักธุรกิจระดับโลกเพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศไทย ก็ยังไม่วาย ผมจึงขอเรียกร้องให้นายณัฐพงษ์ต้องเรียนรู้ อยู่ให้ได้ว่าหน้าที่ของผู้นำฝ่ายค้านที่มีคุณภาพและเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองเป็นอย่างไร" . ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 8.00 น. จากเว็บไซต์ IQAir และการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษ พบว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีมลพิษฝุ่นเยอะที่สุดในโลกเป็นลำดับที่ 9 จาก 124 ประเทศ ด้าน ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ได้รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร เวลา 07.00 น. ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    Wow
    Angry
    13
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1511 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 ปี สิ้นวีรบุรุษสะพานมัฆวาน “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มือปราบกบฏยังเติร์ก

    ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญ ผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์การเมือง และการทหารของชาติไป นั่นคือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “บิ๊กซัน” วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย และปราบกบฏยังเติร์ก อย่างกล้าหาญ

    พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยตรีพิณ กำลังเอก และนางสาคร กำลังเอก ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยายามในการศึกษา

    การศึกษาของพลเอกอาทิตย์ เริ่มต้นที่โรงเรียนพรหมวิทยามูล ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร

    ด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร จึงได้เข้าศึกษาใน โรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 (ตทบ. 5) ระหว่างปี พ.ศ. 2487–2491 โดยรุ่นเดียวกันนี้ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นสำคัญ อาทิ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกบรรจบ บุนนาค

    วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนาน
    หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์โดดเด่นคือ การประท้วงใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนรวมตัวกัน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส

    ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์มียศเพียงร้อยเอก และเป็นหนึ่งในทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้สั่งห้ามทหาร ทำร้ายประชาชน โดยเด็ดขาด

    การเปิดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ให้ขบวนประท้วง เดินผ่านไปยังทำเนียบรัฐบาล ได้โดยสงบ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ และการใช้เหตุผลเหนือกำลังอาวุธ

    กบฏยังเติร์ก บทบาทผู้นำในช่วงวิกฤต
    อีกเหตุการณ์ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์ ได้รับการยกย่องคือ การเข้าร่วมปราบ กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 เมษายน พ.ศ. 2524

    กลุ่มกบฏซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนายทหารรุ่น “จปร. 7” มีเป้าหมายที่จะยึดอำนาจ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการเคลื่อนกำลังทหารถึง 42 กองพัน ถือว่าเป็นความพยายามรัฐประหาร ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย

    ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มกบฏ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และความไว้วางใจจากพลเอกเปรม

    ผลลัพธ์ของกบฏ
    การก่อกบฏสิ้นสุดลง โดยไม่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกเปรมสามารถจัดการสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มกบฏ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

    บทบาทของพลเอกอาทิตย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และในเวลาต่อมาได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก

    ความสัมพันธ์กับพลเอกเปรม จากมิตรสู่ความขัดแย้ง
    ในช่วงที่พลเอกเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกอาทิตย์ ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับตึงเครียดในช่วงปี พ.ศ. 2527 เมื่อพลเอกอาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

    ความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การที่พลเอกอาทิตย์ ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2529 ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนแรง

    หลังเกษียณ ชีวิตในวงการการเมือง
    หลังจากเกษียณราชการ พลเอกอาทิตย์ได้เข้าสู่การเมือง โดยการก่อตั้ง พรรคปวงชนชาวไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

    อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายชีวิตทางการเมือง กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535)

    การจากไปของ “บิ๊กซัน”
    พลเอกอาทิตย์ป่วยเรื้อรัง จากอาการติดเชื้อในปอด และเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ด้วยวัย 89 ปี

    พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ไทย ในหลายด้าน ทั้งในฐานะนักปกป้องประชาธิปไตย วีรบุรุษสะพานมัฆวาน และผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์การเมือง

    แม้จะมีช่วงเวลา ที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นในหน้าที่ และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังคงทำให้ชื่อของบิ๊กซัน เป็นที่จดจำ

    🎖️ ความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน! 🎖️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190919 ม.ค. 2568

    #บิ๊กซัน #อาทิตย์กำลังเอก #วีรบุรุษสะพานมัฆวาน #กบฏยังเติร์ก #ประวัติศาสตร์ไทย #ผู้นำแห่งชาติ #ไทยในอดีต #การเมืองไทย #กองทัพไทย #10ปีแห่งการจากไป
    10 ปี สิ้นวีรบุรุษสะพานมัฆวาน “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มือปราบกบฏยังเติร์ก ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญ ผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์การเมือง และการทหารของชาติไป นั่นคือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “บิ๊กซัน” วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย และปราบกบฏยังเติร์ก อย่างกล้าหาญ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยตรีพิณ กำลังเอก และนางสาคร กำลังเอก ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยายามในการศึกษา การศึกษาของพลเอกอาทิตย์ เริ่มต้นที่โรงเรียนพรหมวิทยามูล ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร ด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร จึงได้เข้าศึกษาใน โรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 (ตทบ. 5) ระหว่างปี พ.ศ. 2487–2491 โดยรุ่นเดียวกันนี้ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นสำคัญ อาทิ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกบรรจบ บุนนาค วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนาน หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์โดดเด่นคือ การประท้วงใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนรวมตัวกัน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์มียศเพียงร้อยเอก และเป็นหนึ่งในทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้สั่งห้ามทหาร ทำร้ายประชาชน โดยเด็ดขาด การเปิดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ให้ขบวนประท้วง เดินผ่านไปยังทำเนียบรัฐบาล ได้โดยสงบ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ และการใช้เหตุผลเหนือกำลังอาวุธ กบฏยังเติร์ก บทบาทผู้นำในช่วงวิกฤต อีกเหตุการณ์ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์ ได้รับการยกย่องคือ การเข้าร่วมปราบ กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 เมษายน พ.ศ. 2524 กลุ่มกบฏซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนายทหารรุ่น “จปร. 7” มีเป้าหมายที่จะยึดอำนาจ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการเคลื่อนกำลังทหารถึง 42 กองพัน ถือว่าเป็นความพยายามรัฐประหาร ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มกบฏ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และความไว้วางใจจากพลเอกเปรม ผลลัพธ์ของกบฏ การก่อกบฏสิ้นสุดลง โดยไม่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกเปรมสามารถจัดการสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มกบฏ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ บทบาทของพลเอกอาทิตย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และในเวลาต่อมาได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก ความสัมพันธ์กับพลเอกเปรม จากมิตรสู่ความขัดแย้ง ในช่วงที่พลเอกเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกอาทิตย์ ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับตึงเครียดในช่วงปี พ.ศ. 2527 เมื่อพลเอกอาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การที่พลเอกอาทิตย์ ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2529 ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนแรง หลังเกษียณ ชีวิตในวงการการเมือง หลังจากเกษียณราชการ พลเอกอาทิตย์ได้เข้าสู่การเมือง โดยการก่อตั้ง พรรคปวงชนชาวไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายชีวิตทางการเมือง กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535) การจากไปของ “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ป่วยเรื้อรัง จากอาการติดเชื้อในปอด และเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ด้วยวัย 89 ปี พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ไทย ในหลายด้าน ทั้งในฐานะนักปกป้องประชาธิปไตย วีรบุรุษสะพานมัฆวาน และผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์การเมือง แม้จะมีช่วงเวลา ที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นในหน้าที่ และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังคงทำให้ชื่อของบิ๊กซัน เป็นที่จดจำ 🎖️ ความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน! 🎖️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190919 ม.ค. 2568 #บิ๊กซัน #อาทิตย์กำลังเอก #วีรบุรุษสะพานมัฆวาน #กบฏยังเติร์ก #ประวัติศาสตร์ไทย #ผู้นำแห่งชาติ #ไทยในอดีต #การเมืองไทย #กองทัพไทย #10ปีแห่งการจากไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 674 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เสมหะในลำคอมากเกินไป (excess mucus)

    เมื่อคุณหายใจ อาจจะมีสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส ฝุ่นละอองและเศษต่างๆ เกาะติดอยู่ในโพรงจมูกของคุณ จากนั้นร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวออกมากำจัดและจะขับออกจากร่างกายไป บางครั้ง ร่างกายของคุณอาจสร้างเสมหะในลำคอมากเกินไป ทำให้ต้องกำจัดเสมหะออกบ่อยครั้ง

    เสมหะเกิดขึ้นในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนล่างเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ โดยเกิดจากเยื่อเมือกที่ไหลจากจมูกไปยังปอด

    การที่ร่างกายมีการกระทำแบบนี้ เขามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจของคุณโดยการหล่อลื่นและกรองเสมหะ

    มีภาวะสุขภาพหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตเมือกในคอมากเกินไป เช่น:

    • กรดไหลย้อน

    • ภูมิแพ้

    • หอบหืด

    • การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดธรรมดา

    • โรคปอด เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม โรคซีสต์ฟิโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

    การผลิตเมือกในคอมากเกินไปอาจเกิดจากไลฟ์สไตล์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น:

    -สภาพแวดล้อมในร่มที่แห้ง

    -สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน

    -การบริโภคน้ำและของเหลวอื่นๆ น้อยเกินไป

    -การบริโภคของเหลวมากเกินไปซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลว เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    -ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดและสารยับยั้ง ACE เช่น ลิซิโนพริล

    -การสูบบุหรี่

    จะกำจัดเมือกในคอได้อย่างไร

    หากการผลิตเมือกในคอมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สบายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาอย่างครบถ้วน

    วิธีการเยียวยาที่บ้านสำหรับเสมหะในลำคอ

    • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น: สามารถช่วยขจัดเสมหะจากด้านหลังลำคอและอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้

    • ประคบร้อนบริเวณโพรงจมูกด้านนอกและบริเวณลำคอ: สามารถทำให้เสมหะเบาบางลงได้

    • สูดดมน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ร้อน ยูคาลิปตัส เปเปอร์มินต์ เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม หอมแดง

    •เพิ่มความชื้นในอากาศ: ความชื้นในอากาศสามารถช่วยให้เสมหะของคุณบางลงได้

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า สามารถช่วยคลายการคัดจมูกและช่วยให้เสมหะไหลได้ ของเหลวที่อุ่นอาจมีประสิทธิผล แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

    • ยกศีรษะขึ้น: การนอนราบอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะสะสมอยู่ด้านหลังลำคอ

    • หลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูก: แม้ว่ายาแก้คัดจมูกจะทำให้สารคัดหลั่งแห้ง แต่ก็อาจทำให้การขับเสมหะออกได้ยากขึ้น

    • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง น้ำหอม สารเคมี และมลพิษ: สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ร่างกายผลิตเสมหะเพิ่มขึ้น

    • หากคุณสูบบุหรี่ ให้พยายามเลิกบุหรี่ การเลิกบุหรี่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

    • ลองรับประทานอาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน: กระเทียม ข่า ขิง ขมิ้น ตะใคร้ พริกและผักที่มีกากใยสูง อาจช่วยลดเสมหะได้

    อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจทำให้เสมหะแย่ลง

    ต้องกังวลเกี่ยวกับเสมหะในลำคอเมื่อใด

    การมีเสมหะไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นวิธีที่ร่างกายขับสารระคายเคืองในลำคอและโพรงจมูก

    อย่างไรก็ตาม หากคุณไอออกมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออาการอื่น

    นัดพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้:

    • เสมหะไม่หายไป

    • เสมหะเหนียวขึ้น

    • เสมหะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนสี

    • คุณมีไข้

    • คุณมีอาการเจ็บหน้าอก

    • คุณหายใจไม่ออก

    • คุณไอเป็นเลือด

    • คุณมีอาการหายใจมีเสียงหวีด

    สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการป่วยที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดบวม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Glube
    Whole c
    ชาขิงขมิ้น

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    Cr. Santi Manadee
    #เสมหะในลำคอมากเกินไป (excess mucus) เมื่อคุณหายใจ อาจจะมีสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส ฝุ่นละอองและเศษต่างๆ เกาะติดอยู่ในโพรงจมูกของคุณ จากนั้นร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวออกมากำจัดและจะขับออกจากร่างกายไป บางครั้ง ร่างกายของคุณอาจสร้างเสมหะในลำคอมากเกินไป ทำให้ต้องกำจัดเสมหะออกบ่อยครั้ง เสมหะเกิดขึ้นในจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนล่างเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ โดยเกิดจากเยื่อเมือกที่ไหลจากจมูกไปยังปอด การที่ร่างกายมีการกระทำแบบนี้ เขามีจุดประสงค์เพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจของคุณโดยการหล่อลื่นและกรองเสมหะ มีภาวะสุขภาพหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตเมือกในคอมากเกินไป เช่น: • กรดไหลย้อน • ภูมิแพ้ • หอบหืด • การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดธรรมดา • โรคปอด เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดบวม โรคซีสต์ฟิโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) การผลิตเมือกในคอมากเกินไปอาจเกิดจากไลฟ์สไตล์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ เช่น: -สภาพแวดล้อมในร่มที่แห้ง -สภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน -การบริโภคน้ำและของเหลวอื่นๆ น้อยเกินไป -การบริโภคของเหลวมากเกินไปซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลว เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดและสารยับยั้ง ACE เช่น ลิซิโนพริล -การสูบบุหรี่ จะกำจัดเมือกในคอได้อย่างไร หากการผลิตเมือกในคอมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สบายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยและแผนการรักษาอย่างครบถ้วน วิธีการเยียวยาที่บ้านสำหรับเสมหะในลำคอ • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น: สามารถช่วยขจัดเสมหะจากด้านหลังลำคอและอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ • ประคบร้อนบริเวณโพรงจมูกด้านนอกและบริเวณลำคอ: สามารถทำให้เสมหะเบาบางลงได้ • สูดดมน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ร้อน ยูคาลิปตัส เปเปอร์มินต์ เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม หอมแดง •เพิ่มความชื้นในอากาศ: ความชื้นในอากาศสามารถช่วยให้เสมหะของคุณบางลงได้ • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า สามารถช่วยคลายการคัดจมูกและช่วยให้เสมหะไหลได้ ของเหลวที่อุ่นอาจมีประสิทธิผล แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน • ยกศีรษะขึ้น: การนอนราบอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะสะสมอยู่ด้านหลังลำคอ • หลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูก: แม้ว่ายาแก้คัดจมูกจะทำให้สารคัดหลั่งแห้ง แต่ก็อาจทำให้การขับเสมหะออกได้ยากขึ้น • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง น้ำหอม สารเคมี และมลพิษ: สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้ร่างกายผลิตเสมหะเพิ่มขึ้น • หากคุณสูบบุหรี่ ให้พยายามเลิกบุหรี่ การเลิกบุหรี่มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง • ลองรับประทานอาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน: กระเทียม ข่า ขิง ขมิ้น ตะใคร้ พริกและผักที่มีกากใยสูง อาจช่วยลดเสมหะได้ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งอาจทำให้เสมหะแย่ลง ต้องกังวลเกี่ยวกับเสมหะในลำคอเมื่อใด การมีเสมหะไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นวิธีที่ร่างกายขับสารระคายเคืองในลำคอและโพรงจมูก อย่างไรก็ตาม หากคุณไอออกมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออาการอื่น นัดพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้: • เสมหะไม่หายไป • เสมหะเหนียวขึ้น • เสมหะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนสี • คุณมีไข้ • คุณมีอาการเจ็บหน้าอก • คุณหายใจไม่ออก • คุณไอเป็นเลือด • คุณมีอาการหายใจมีเสียงหวีด สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการป่วยที่รุนแรงกว่า เช่น ปอดบวม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Glube Whole c ชาขิงขมิ้น ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หนาวกับโภชนาการ

    ธรรมชาติได้จัดสรรไว้อย่างลงตัว ถ้าเราสังเกตก็จะเห็นได้ว่าในฤดูหนาวพืชพันธุ์เหล่านี้จะเจริญงอกงามกว่าในฤดูกาลอื่น

    กระชาย กะเพรา กุยช่าย กระเทียม หัวหอม ขิง ข่า ตะใคร้ ขมิ้น ผักชี ยี่หร่า โหระพา พริก พริกไทย อบเชย หน่อไม้ฝรั่ง บีทรูท กะหล่ำ แครอท สาหร่าย ฟักทอง ผักโขม ถั่วฝักยาว เผือก มัน

    เนื่องจากพวกเขาเป็นอาหารฤทธิ์ร้อนที่มอบความอบอุ่นให้กับร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น

    ดังนั้น เราๆท่านๆจึงควรเลือกหาเมนูที่ประกอบด้วยพวกเขาและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เนื่องจากจะมีปัญหากับปอดของพวกท่านได้

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    Cr. Santi Manadee
    #หนาวกับโภชนาการ ธรรมชาติได้จัดสรรไว้อย่างลงตัว ถ้าเราสังเกตก็จะเห็นได้ว่าในฤดูหนาวพืชพันธุ์เหล่านี้จะเจริญงอกงามกว่าในฤดูกาลอื่น กระชาย กะเพรา กุยช่าย กระเทียม หัวหอม ขิง ข่า ตะใคร้ ขมิ้น ผักชี ยี่หร่า โหระพา พริก พริกไทย อบเชย หน่อไม้ฝรั่ง บีทรูท กะหล่ำ แครอท สาหร่าย ฟักทอง ผักโขม ถั่วฝักยาว เผือก มัน เนื่องจากพวกเขาเป็นอาหารฤทธิ์ร้อนที่มอบความอบอุ่นให้กับร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้น เราๆท่านๆจึงควรเลือกหาเมนูที่ประกอบด้วยพวกเขาและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เนื่องจากจะมีปัญหากับปอดของพวกท่านได้ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • #PM2จุด5

    หากถามว่า pm2.5 เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้นหรือ จะขอตอบแบบสั้นๆ ว่า 'เพราะพฤติกรรมของมนุษย์จำพวกหนึ่ง' แต่หากจะเขียนแค่นี้มันก็จะดูกระไรอยู่ จึงจะขอเปิดประเด็นดังต่อไปนี้..

    ก่อนที่จะเปิดประเด็นเรื่อง pm จะขออธิบายความก่อนว่า pm มันคืออิหยัง

    PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งฝุ่นละอองชนิดนี้ถือว่าเป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะว่าเส้นผมที่มีขนาดเล็กแล้ว ไอ่ตัว PM2.5 ยังเล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า ทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอดและหลอดเลือดได้ง่าย จึงส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว

    ซึ่งช่วงประมาณกลางฤดูหนาวจะเริ่มมีเข้าฝุ่นเข้ามาปกคลุมแต่ละพื้นที่

    และหากถามว่าอันใดเป็นเหตุ 'ทำให้เกิดฝุ่นเฉกเช่นนี้' ซึ่งจะขอตอบเลยว่า การเผาขยะบ้าง เผานาบ้าง (เพราะถ้าหญ้าเยอะ เวลาไถจะไม่ค่อยเข้า โดยเฉพาะนาหว่าน ต้นข้าวจะหนามาก
    และยิ่งเป็นนาปรัง ซึ่งหากปลูกต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่มีเวลาให้ตอข้าวย่อยสลายเอง ฉะนั้นจึงต้องเผา) หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่ได้พูดถึง

    ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีภาวะโลกร้อนและเกิดฝุ่น PM 2.5 อย่างฉับพลัน

    เราลองมาวิเคราะห์การแก้ปัญหาของหน่วยงานกันอีกนิดนึง

    เทศบาลบางแห่งจะออกกฎเลยว่า "ห้ามเผาขยะหากเผาปรับหลักพัน" หรือออกป้ายรณรงค์ตามสี่แยกไฟแดง มีภาพกราฟฟิกให้ดูน่ากลัว แต่บางหนบางแห่งเขาก็ยังแอบเผากันอยู่

    เพราะฉะนั้นให้ลองพิจารณากันอีกครั้งว่า 'ควรแก้ปัญหาอย่างไร ถึงจะเหมาะสมที่สุด และไม่ให้เกิด PM 2.5 ขึ้นอีก' อาจจะพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.อย่างเคร่งครัด หรือจัดเสวนาให้นักวิชาการร่วมกันพิจารณาการแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
    .
    #PM2จุด5 หากถามว่า pm2.5 เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้นหรือ จะขอตอบแบบสั้นๆ ว่า 'เพราะพฤติกรรมของมนุษย์จำพวกหนึ่ง' แต่หากจะเขียนแค่นี้มันก็จะดูกระไรอยู่ จึงจะขอเปิดประเด็นดังต่อไปนี้.. ก่อนที่จะเปิดประเด็นเรื่อง pm จะขออธิบายความก่อนว่า pm มันคืออิหยัง PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งฝุ่นละอองชนิดนี้ถือว่าเป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะว่าเส้นผมที่มีขนาดเล็กแล้ว ไอ่ตัว PM2.5 ยังเล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า ทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอดและหลอดเลือดได้ง่าย จึงส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ซึ่งช่วงประมาณกลางฤดูหนาวจะเริ่มมีเข้าฝุ่นเข้ามาปกคลุมแต่ละพื้นที่ และหากถามว่าอันใดเป็นเหตุ 'ทำให้เกิดฝุ่นเฉกเช่นนี้' ซึ่งจะขอตอบเลยว่า การเผาขยะบ้าง เผานาบ้าง (เพราะถ้าหญ้าเยอะ เวลาไถจะไม่ค่อยเข้า โดยเฉพาะนาหว่าน ต้นข้าวจะหนามาก และยิ่งเป็นนาปรัง ซึ่งหากปลูกต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่มีเวลาให้ตอข้าวย่อยสลายเอง ฉะนั้นจึงต้องเผา) หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่ได้พูดถึง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีภาวะโลกร้อนและเกิดฝุ่น PM 2.5 อย่างฉับพลัน เราลองมาวิเคราะห์การแก้ปัญหาของหน่วยงานกันอีกนิดนึง เทศบาลบางแห่งจะออกกฎเลยว่า "ห้ามเผาขยะหากเผาปรับหลักพัน" หรือออกป้ายรณรงค์ตามสี่แยกไฟแดง มีภาพกราฟฟิกให้ดูน่ากลัว แต่บางหนบางแห่งเขาก็ยังแอบเผากันอยู่ เพราะฉะนั้นให้ลองพิจารณากันอีกครั้งว่า 'ควรแก้ปัญหาอย่างไร ถึงจะเหมาะสมที่สุด และไม่ให้เกิด PM 2.5 ขึ้นอีก' อาจจะพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.อย่างเคร่งครัด หรือจัดเสวนาให้นักวิชาการร่วมกันพิจารณาการแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • #impromptuspeech

    ต้องย้อนไปในช่วงวัย 8 ขวด ในความที่เป็นเด็ก'ช่างพูด' แม้จะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ครูคงเห็นแวว จึงเสนอให้ไปทดลองแข่งทักษะวิชาการในด้านนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า 'Impromptu Speech' มากเท่าไหร่นัก แต่มีความคิดหนึ่งมันปรากฎในมโนทวารว่า ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก เพราะฉะนั้นผมจึงตอบรับคำเชิญจากครูที่เคารพ

    หลังจากบทสนทนาในวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณ 7 วัน ครูเรียกให้ไปพบเพื่อรับสคริป์ จะได้เอาไปท่องจำเพราะการ Impromptu Speech เป็นภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่ได้ต้องฝึกหัดมันมักจะเกี่ยวกับ introduce myself (เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน) และ my family (ครอบครัวของฉัน)

    ความรู้สึกตอนที่ฝึกต่อหน้าครู ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่โชคยังดีที่มียังมีซับอยู่ใต้ข้อความแต่ละประโยค ซึ่งในตอนนั้นครูยังให้กำลังใจด้วยการพูดประมาณว่าให้ยึดถือสํานวนสุภาษิต 'ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น' แหมมม ถ้ายึดสำนวนนี้คงได้สำเร็จอย่างที่ใจหวังเป็นแน่แท้

    เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ไม่อยากอารัมภบทมากจนเกินไป ขอตัดภาพไปที่วันพวกเราแข่งเลยละกัน แต่ก็จะขออธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า "เมื่อก่อนการแข่งขันทักษะวิชาการสมัยประถมผมอยู่นั้น เขาจะแบ่งออกอยู่เป็น 4 ช่วงคือ แข่งระดับศูนย์การศึกษา ระดับเขตพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ ซึ่งนักแข่งทุกผู้ทุกคนก็จะคาดหวังระดับชาติกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    หากพูดถึงการแข่งขันระดับศูนย์การศึกษา ในวันนั้นผู้ที่ลงแข่ง Impromptu Speech มี 3 โรงเรียน โดยหนึ่งในนั้นมีโรงเรียนของผมนี่เอง ซึ่งตอนที่ออกไปพูดต่อหน้ากรรมการ ในใจคิดว่า 'เราจะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดครูจะว่าไง' ส่วนทางร่างกายมันสั่งว่าให้สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ talk เรื่องที่ตัวเองฝึกมาแบบไม่มีอะไรติดขัดเลยซักกะนิดเดียว เมื่อออกจากห้อง ความมั่นใจมันพลุ่งพล่านมาจากไหนก็ไม่รู้เพราะรู้สึกมีเซ้นว่าเราจะชนะอย่างเป็นแน่ พอถึงวันประกาศผล จะไม่บอกว่าชนะหรือไม่ชนะแต่จะบอกแค่ว่าคุณได้ไปต่อ

    การเตรียมตัวแข่งในระดับเขตพื้นที่ พวกเราได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้นคิดว่าเป็นการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะท่องทุกวัน ฝึกทุกวัน จนจำขึ้นใจ แต่ทั้งครูและผมยังไม่รู้ว่าการแข่งในระดับเขตนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น

    เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันแข่งขัน ก่อนที่จะ talk กรรมการให้จับฉลากเพื่อให้พูดตามหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งสามารถจับฉลากได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยที่ครั้งแรกจับได้หัวข้อที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยแม้แต่นิด พอครั้งที่ 2 ภาวนาว่าจะได้หัวข้อที่เราต้องการ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวข้อที่ได้มันจำไม่ค่อยจะแม่น จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเลือกหัวข้อที่จำได้แม่นที่สุด แล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรเลยทั้งสิ้น

    พอพูดจบ กรรมการที่มีศักดิ์เป็นครูฝรั่งก็ทำท่าทำทางเหมือนมีคำถามอยู่ในหัวใจ 'How old are you.' คำถามง่ายๆที่สามารถนำหัวใจเคลื่อนย้ายลงไปที่ตาตุ่มได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันแปลว่าอะไร ก็เลยตอบไปแบบมั่วๆว่า 'My name is phattaradnai katiwong' บรรยากาศที่อึมครึมกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของกรรมการทั้ง 5 คน ความรู้สึกกังวลกับคำถามกลับแปรผันเป็นความมึนงงสงสัยว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน

    พอออกมาจากห้อง ก็เลยเล่าให้ครูฟัง เมื่อรับรู้รับทราบแล้วครูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน แล้วก็เอ่ยประโยคนึงออกมาประมาณว่า 'ครั้งหน้าเอาใหม่นะเดี๋ยวครูจะฝึกประโยคสนทนาของเธอด้วย' แหมทำไปได้

    หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองไปนั่งคาเฟ่กินกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่อ.แม่อาย อย่างสบายใจเฉิบ

    แต่ขอบอกเลยว่าประสบการณ์การแข่งขันอะไรต่างๆ มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก ยังมีด้านอื่นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงมากอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายต้องการให้เล่า ผมนั้นก็จะหาเวลาดั้นด้นขึ้นมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วย ความสบายใจอย่างเป็นที่สุด
    ----
    ภาพนี้ไปเสาะหานานมาก
    กว่าจะประสบพบเจอ
    #impromptuspeech ต้องย้อนไปในช่วงวัย 8 ขวด ในความที่เป็นเด็ก'ช่างพูด' แม้จะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ครูคงเห็นแวว จึงเสนอให้ไปทดลองแข่งทักษะวิชาการในด้านนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า 'Impromptu Speech' มากเท่าไหร่นัก แต่มีความคิดหนึ่งมันปรากฎในมโนทวารว่า ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก เพราะฉะนั้นผมจึงตอบรับคำเชิญจากครูที่เคารพ หลังจากบทสนทนาในวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณ 7 วัน ครูเรียกให้ไปพบเพื่อรับสคริป์ จะได้เอาไปท่องจำเพราะการ Impromptu Speech เป็นภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่ได้ต้องฝึกหัดมันมักจะเกี่ยวกับ introduce myself (เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน) และ my family (ครอบครัวของฉัน) ความรู้สึกตอนที่ฝึกต่อหน้าครู ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่โชคยังดีที่มียังมีซับอยู่ใต้ข้อความแต่ละประโยค ซึ่งในตอนนั้นครูยังให้กำลังใจด้วยการพูดประมาณว่าให้ยึดถือสํานวนสุภาษิต 'ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น' แหมมม ถ้ายึดสำนวนนี้คงได้สำเร็จอย่างที่ใจหวังเป็นแน่แท้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ไม่อยากอารัมภบทมากจนเกินไป ขอตัดภาพไปที่วันพวกเราแข่งเลยละกัน แต่ก็จะขออธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า "เมื่อก่อนการแข่งขันทักษะวิชาการสมัยประถมผมอยู่นั้น เขาจะแบ่งออกอยู่เป็น 4 ช่วงคือ แข่งระดับศูนย์การศึกษา ระดับเขตพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ ซึ่งนักแข่งทุกผู้ทุกคนก็จะคาดหวังระดับชาติกันทั้งหมดทั้งสิ้น หากพูดถึงการแข่งขันระดับศูนย์การศึกษา ในวันนั้นผู้ที่ลงแข่ง Impromptu Speech มี 3 โรงเรียน โดยหนึ่งในนั้นมีโรงเรียนของผมนี่เอง ซึ่งตอนที่ออกไปพูดต่อหน้ากรรมการ ในใจคิดว่า 'เราจะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดครูจะว่าไง' ส่วนทางร่างกายมันสั่งว่าให้สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ talk เรื่องที่ตัวเองฝึกมาแบบไม่มีอะไรติดขัดเลยซักกะนิดเดียว เมื่อออกจากห้อง ความมั่นใจมันพลุ่งพล่านมาจากไหนก็ไม่รู้เพราะรู้สึกมีเซ้นว่าเราจะชนะอย่างเป็นแน่ พอถึงวันประกาศผล จะไม่บอกว่าชนะหรือไม่ชนะแต่จะบอกแค่ว่าคุณได้ไปต่อ การเตรียมตัวแข่งในระดับเขตพื้นที่ พวกเราได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้นคิดว่าเป็นการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะท่องทุกวัน ฝึกทุกวัน จนจำขึ้นใจ แต่ทั้งครูและผมยังไม่รู้ว่าการแข่งในระดับเขตนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันแข่งขัน ก่อนที่จะ talk กรรมการให้จับฉลากเพื่อให้พูดตามหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งสามารถจับฉลากได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยที่ครั้งแรกจับได้หัวข้อที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยแม้แต่นิด พอครั้งที่ 2 ภาวนาว่าจะได้หัวข้อที่เราต้องการ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวข้อที่ได้มันจำไม่ค่อยจะแม่น จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเลือกหัวข้อที่จำได้แม่นที่สุด แล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรเลยทั้งสิ้น พอพูดจบ กรรมการที่มีศักดิ์เป็นครูฝรั่งก็ทำท่าทำทางเหมือนมีคำถามอยู่ในหัวใจ 'How old are you.' คำถามง่ายๆที่สามารถนำหัวใจเคลื่อนย้ายลงไปที่ตาตุ่มได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันแปลว่าอะไร ก็เลยตอบไปแบบมั่วๆว่า 'My name is phattaradnai katiwong' บรรยากาศที่อึมครึมกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของกรรมการทั้ง 5 คน ความรู้สึกกังวลกับคำถามกลับแปรผันเป็นความมึนงงสงสัยว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน พอออกมาจากห้อง ก็เลยเล่าให้ครูฟัง เมื่อรับรู้รับทราบแล้วครูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน แล้วก็เอ่ยประโยคนึงออกมาประมาณว่า 'ครั้งหน้าเอาใหม่นะเดี๋ยวครูจะฝึกประโยคสนทนาของเธอด้วย' แหมทำไปได้ หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองไปนั่งคาเฟ่กินกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่อ.แม่อาย อย่างสบายใจเฉิบ แต่ขอบอกเลยว่าประสบการณ์การแข่งขันอะไรต่างๆ มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก ยังมีด้านอื่นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงมากอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายต้องการให้เล่า ผมนั้นก็จะหาเวลาดั้นด้นขึ้นมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วย ความสบายใจอย่างเป็นที่สุด ---- ภาพนี้ไปเสาะหานานมาก กว่าจะประสบพบเจอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • พี่คิงส์รู้สึกไม่จาบาย รู้สึกปอดจะมีปัญหา เหมือนจะเป็นไข๊หวั่ดสายพันธ์ABCD วันนี้ขอพักหนึ่งวัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    พี่คิงส์รู้สึกไม่จาบาย รู้สึกปอดจะมีปัญหา เหมือนจะเป็นไข๊หวั่ดสายพันธ์ABCD วันนี้ขอพักหนึ่งวัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศใต้

    เดือนนี้ ตัดสินใจในเชิงธุรกิจจะเสียหายผิดพลาดผิดหวัง จะเกิดปัญหานินทาว่าร้ายเป็นเหตุซ่อนเงื่อนหักหลังแตกแยกทางการค้าอย่างรุนแรง ทำธุรกิจผิดกฎหมายจะส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องขึ้นศาลมีคดีความติดตัวเป็นเหตุให้ติดคุกติดตะรางถูกจองจำได้ จะเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุให้เลือดตกยางออกบาดเจ็บจนเสียเลือดเสียเนื้อด้วยอาวุธและของมีคม ชายหนุ่มไม่ควรหมกมุ่นเรื่องเพศเกินไปจะเกิดเรื่องชู้สาวให้อื้อฉาวจนผู้หญิงเสียผู้เสียคน ชีวิตคู่ไม่ราบรื่นครอบครัวแตกแยกเกิดปัญหาทั้งภายในภายนอกต่อกัน ควรระวังสุขภาพจะมีปัญหาที่ปาก ลิ้น ปอด คอ ฟัน มดลูก รังไข่ ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อีกทั้งมีโอกาสพบภูติผีปีศาจหลอกหลอน

    เสริมความมงคล : ตั้งแจกันแก้วใส่ไผ่กวนอิม 3 ต้น
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศใต้ เดือนนี้ ตัดสินใจในเชิงธุรกิจจะเสียหายผิดพลาดผิดหวัง จะเกิดปัญหานินทาว่าร้ายเป็นเหตุซ่อนเงื่อนหักหลังแตกแยกทางการค้าอย่างรุนแรง ทำธุรกิจผิดกฎหมายจะส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องขึ้นศาลมีคดีความติดตัวเป็นเหตุให้ติดคุกติดตะรางถูกจองจำได้ จะเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุให้เลือดตกยางออกบาดเจ็บจนเสียเลือดเสียเนื้อด้วยอาวุธและของมีคม ชายหนุ่มไม่ควรหมกมุ่นเรื่องเพศเกินไปจะเกิดเรื่องชู้สาวให้อื้อฉาวจนผู้หญิงเสียผู้เสียคน ชีวิตคู่ไม่ราบรื่นครอบครัวแตกแยกเกิดปัญหาทั้งภายในภายนอกต่อกัน ควรระวังสุขภาพจะมีปัญหาที่ปาก ลิ้น ปอด คอ ฟัน มดลูก รังไข่ ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อีกทั้งมีโอกาสพบภูติผีปีศาจหลอกหลอน เสริมความมงคล : ตั้งแจกันแก้วใส่ไผ่กวนอิม 3 ต้น ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4 สัญญาณ-ธรรมชาติ..เตือน ก่อนตาย
    จากงานวิจัยใน British Medical Journal ความว่า
    หากว่า ร่างกายมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ จะเสียชีวิตภายใน 10 ปี
    1. คนที่เดินเร็วจะมีอายุยืนกว่าคนเดินช้า 15-20 ปี
    ตัวชี้วัดนี้ เกี่ยวข้องกับ ระบบการเผาผลาญ ระบบกล้ามเนื้อ การทำงานของหัวใจและปอด การไหลเวียนของเลือด
    2. ความสามารถในการนั่ง และ ยืน เป็นผลมาจากความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น ข้อต่อ ทดลอบได้ง่ายๆโดย กอดอกลุก+นั่งบนเก้าอี้ภายใน 30 วินาที ชายลุก+นั่งต้องได้ 14 ครั้ง หญิง 12 ครั้ง
    3. แรงบีบมือที่ดี สะท้อนถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยรวม วัดได้โดย Handgrip Dynamometer ผู้ชายวัดได้ไม่ต่ำกว่า 28.5 kg. หญิง 18.5 kg.
    4. กิจกรรมส่วนตัวทำด้วยตัวเอง เช่น ใส่กางเกงไม่ลืมรูดซิป ไปตลาด ทำครัว หุงหาอาหารเองได้ สวมถุงเท้าเองแลัวลุกขึ้นเอง***ต้องไม่มีอาการหน้ามืด**
    4 สัญญาณ-ธรรมชาติ..เตือน ก่อนตาย จากงานวิจัยใน British Medical Journal ความว่า หากว่า ร่างกายมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ จะเสียชีวิตภายใน 10 ปี 1. คนที่เดินเร็วจะมีอายุยืนกว่าคนเดินช้า 15-20 ปี ตัวชี้วัดนี้ เกี่ยวข้องกับ ระบบการเผาผลาญ ระบบกล้ามเนื้อ การทำงานของหัวใจและปอด การไหลเวียนของเลือด 2. ความสามารถในการนั่ง และ ยืน เป็นผลมาจากความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น ข้อต่อ ทดลอบได้ง่ายๆโดย กอดอกลุก+นั่งบนเก้าอี้ภายใน 30 วินาที ชายลุก+นั่งต้องได้ 14 ครั้ง หญิง 12 ครั้ง 3. แรงบีบมือที่ดี สะท้อนถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยรวม วัดได้โดย Handgrip Dynamometer ผู้ชายวัดได้ไม่ต่ำกว่า 28.5 kg. หญิง 18.5 kg. 4. กิจกรรมส่วนตัวทำด้วยตัวเอง เช่น ใส่กางเกงไม่ลืมรูดซิป ไปตลาด ทำครัว หุงหาอาหารเองได้ สวมถุงเท้าเองแลัวลุกขึ้นเอง***ต้องไม่มีอาการหน้ามืด**
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุขภาพดี..อายุยืน 120 ปี ควรหลีกเลี่ยง

    1. น้ำอัดลม ทำลายกระดูก และ ฟัน
    2. อาหารแปรรูป ทำลายระบบย่อยอาหาร
    3. แอลกอฮอล์ ทำลายสมอง
    4. สารกันบูด ทำลายตับ
    5. ยาปฏิชีวนะ ทำลายไต
    6. ฝุ่น ควัน บุหรี่ ทำลายปอด
    สุขภาพดี..อายุยืน 120 ปี ควรหลีกเลี่ยง 1. น้ำอัดลม ทำลายกระดูก และ ฟัน 2. อาหารแปรรูป ทำลายระบบย่อยอาหาร 3. แอลกอฮอล์ ทำลายสมอง 4. สารกันบูด ทำลายตับ 5. ยาปฏิชีวนะ ทำลายไต 6. ฝุ่น ควัน บุหรี่ ทำลายปอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

    เดือนนี้ มีโชคอันเกี่ยวเนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจรจาความใดจะประสบผลสำเร็จแบ่งปันผลประโยขน์ลงตัว เจริญรุ่งเรืองร่ำรวย มีโชคด้านการเงิน ส่งผลดีต่อข้าราชการหากมีการปรับปรุงโยกย้ายจะได้รับตำแหน่งขั้นที่สูงขึ้น มีอำนาจวาสนายศฐาบรรดาศักดิ์รับบำเหน็จบำนาญ ครอบครัวมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยลูกหลานอยู่ในโอวาทสร้างความสมานฉันท์เพื่อความปรองดอง แต่จะส่งผลร้ายต่อภรรยาและลูกหลานให้เจ็บไข้ได้ป่วย อาจเหลือแต่ชายสูงวัยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นพ่อม้าย ไม่มีใครคอยช่วยดูแล ดังนั้นต้องใส่ใจสุขภาพร่างกายของตนเอง โดยเฉพาะที่ขาขวา ปอด กระดูก ศีรษะตลอดจนเส้นเลือดในสมอง ทั้งต้องระมัดระวังอุบัติเหตุตกจากที่สูงอีกด้วย

    เสริมมงคล : แขวนเหรียญจีนโบราณ 6 เหรียญ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนนี้ มีโชคอันเกี่ยวเนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจรจาความใดจะประสบผลสำเร็จแบ่งปันผลประโยขน์ลงตัว เจริญรุ่งเรืองร่ำรวย มีโชคด้านการเงิน ส่งผลดีต่อข้าราชการหากมีการปรับปรุงโยกย้ายจะได้รับตำแหน่งขั้นที่สูงขึ้น มีอำนาจวาสนายศฐาบรรดาศักดิ์รับบำเหน็จบำนาญ ครอบครัวมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยลูกหลานอยู่ในโอวาทสร้างความสมานฉันท์เพื่อความปรองดอง แต่จะส่งผลร้ายต่อภรรยาและลูกหลานให้เจ็บไข้ได้ป่วย อาจเหลือแต่ชายสูงวัยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นพ่อม้าย ไม่มีใครคอยช่วยดูแล ดังนั้นต้องใส่ใจสุขภาพร่างกายของตนเอง โดยเฉพาะที่ขาขวา ปอด กระดูก ศีรษะตลอดจนเส้นเลือดในสมอง ทั้งต้องระมัดระวังอุบัติเหตุตกจากที่สูงอีกด้วย เสริมมงคล : แขวนเหรียญจีนโบราณ 6 เหรียญ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อรุณสวัสดิ์
    เมื่อคืนแห็นคล้ายๆคนนี้รึเปล่าน้า
    ร้องห่มร้องไห้ อาลัยแบงค์ยิ่งนัก
    แต่ของแทร่คือ
    ตัวพ่อเบอร์ต้นแห่งการย่ำยีชีวิตแบงค์เลสเตอร์
    ก็ไอ่นักเลงหัวฆวยตัวนี้แหละ
    ตอนเล่นงานน้องพวกเมิงมีความสุขSUS SUS
    กร่างชิ๊บหาย พอวันนี้สังคมรู้
    เกิดปอดแแหก ไล่ลบคลิป
    ตีหน้าเศร้า เล่าความเท้จ
    จากนักเลงหัวฆวย สู่นักแสดงไม่เนียน
    คอมเม้นไปทิศทางเดียวกัน "ปลลลอออมมม ไม่เนียน"
    ทุกคอนเท้นที่ไอ่เฮี้ยนี่ทำ สะใจตลาดล่างแต่ชั่งขาดจิตสำนึกยิ่งนัก
    ทุ๊ย!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนแห็นคล้ายๆคนนี้รึเปล่าน้า ร้องห่มร้องไห้ อาลัยแบงค์ยิ่งนัก แต่ของแทร่คือ ตัวพ่อเบอร์ต้นแห่งการย่ำยีชีวิตแบงค์เลสเตอร์ ก็ไอ่นักเลงหัวฆวยตัวนี้แหละ ตอนเล่นงานน้องพวกเมิงมีความสุขSUS SUS กร่างชิ๊บหาย พอวันนี้สังคมรู้ เกิดปอดแแหก ไล่ลบคลิป ตีหน้าเศร้า เล่าความเท้จ จากนักเลงหัวฆวย สู่นักแสดงไม่เนียน คอมเม้นไปทิศทางเดียวกัน "ปลลลอออมมม ไม่เนียน" ทุกคอนเท้นที่ไอ่เฮี้ยนี่ทำ สะใจตลาดล่างแต่ชั่งขาดจิตสำนึกยิ่งนัก ทุ๊ย! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากโพสต์ของ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) โพสต์ขเกี่ยวกับงานวิจัยวัคซีน mRNA สำหรับรักษามะเร็ง

    และ Dr.Somrot หมอสมรส ได้มาแสดงความเห็นไว้ในโพสต์ของ ดร.อนันต์ ดังนี้:
    ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ในฐานะที่เป็นมะเร็งเอง ก็แอบมีหวัง😇 🙏🏻
    ขออนุญาตแปลภาษาไทย ให้เพื่อนๆคนทั่วไปอ่านนะครับ (ChatGPT4o)
    สรุปใจความสำคัญ
    1. วัคซีนมะเร็งแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Vaccine): ใช้เทคโนโลยี mRNA เดียวกับที่ใช้ในวัคซีน COVID-19 โดยวัคซีนนี้ออกแบบให้เข้ารหัส neoantigens ซึ่งเป็นโปรตีนเฉพาะที่พบในเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด

    2. ผลการทดลองเบื้องต้น: การใช้วัคซีนร่วมกับยา checkpoint inhibitor ในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma ลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำได้เกือบ 50% และมีแนวโน้มช่วยยืดอายุผู้ป่วยเมื่อเทียบกับการใช้ยาชนิดเดียว นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยสามารถเข้าสู่ภาวะปลอดมะเร็งได้นานกว่า 3 ปี

    3. ขั้นตอนการผลิต: บริษัท Moderna พัฒนาวัคซีนในโรงงานขนาดใหญ่ โดยใช้เครื่องจักรอัจฉริยะที่ออกแบบวัคซีนเฉพาะบุคคลในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมทั้งใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลทางคลินิกและห้องทดลอง เพื่อคัดเลือก neoantigens ที่มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด

    4. ขอบเขตของการใช้งาน: วัคซีนถูกทดสอบในผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดมะเร็งในระยะเริ่มต้นและมีความเสี่ยงสูงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งระยะลุกลาม (metastasis) แต่ยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง

    5. ข้อดีและข้อจำกัด: วัคซีนเหมาะสมกับมะเร็งระยะเริ่มต้นหรือหลังผ่าตัด เนื่องจากสามารถควบคุมการเติบโตของมะเร็งที่หลงเหลือ แต่ยังขาดประสิทธิภาพในกรณีมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งเซลล์มะเร็งมีการปรับตัวและป้องกันตัวเองจากภูมิคุ้มกัน

    6. แนวทางในอนาคต: การพัฒนาวัคซีนยังต้องการการทดลองเพิ่มเติมในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น เพื่อยืนยันผลลัพธ์และรองรับการใช้งานจริงในตลาด นักวิจัยยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงวัคซีนให้ตอบสนองได้เร็วและครอบคลุมชนิดของมะเร็งที่หลากหลายขึ้น

    https://web.facebook.com/share/p/19cpPdVbFe/
    จากโพสต์ของ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) โพสต์ขเกี่ยวกับงานวิจัยวัคซีน mRNA สำหรับรักษามะเร็ง และ Dr.Somrot หมอสมรส ได้มาแสดงความเห็นไว้ในโพสต์ของ ดร.อนันต์ ดังนี้: ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ในฐานะที่เป็นมะเร็งเอง ก็แอบมีหวัง😇 🙏🏻 ขออนุญาตแปลภาษาไทย ให้เพื่อนๆคนทั่วไปอ่านนะครับ (ChatGPT4o) สรุปใจความสำคัญ 1. วัคซีนมะเร็งแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Vaccine): ใช้เทคโนโลยี mRNA เดียวกับที่ใช้ในวัคซีน COVID-19 โดยวัคซีนนี้ออกแบบให้เข้ารหัส neoantigens ซึ่งเป็นโปรตีนเฉพาะที่พบในเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด 2. ผลการทดลองเบื้องต้น: การใช้วัคซีนร่วมกับยา checkpoint inhibitor ในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma ลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำได้เกือบ 50% และมีแนวโน้มช่วยยืดอายุผู้ป่วยเมื่อเทียบกับการใช้ยาชนิดเดียว นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยสามารถเข้าสู่ภาวะปลอดมะเร็งได้นานกว่า 3 ปี 3. ขั้นตอนการผลิต: บริษัท Moderna พัฒนาวัคซีนในโรงงานขนาดใหญ่ โดยใช้เครื่องจักรอัจฉริยะที่ออกแบบวัคซีนเฉพาะบุคคลในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมทั้งใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลทางคลินิกและห้องทดลอง เพื่อคัดเลือก neoantigens ที่มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด 4. ขอบเขตของการใช้งาน: วัคซีนถูกทดสอบในผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดมะเร็งในระยะเริ่มต้นและมีความเสี่ยงสูงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น มะเร็งผิวหนัง (Melanoma) มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งระยะลุกลาม (metastasis) แต่ยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง 5. ข้อดีและข้อจำกัด: วัคซีนเหมาะสมกับมะเร็งระยะเริ่มต้นหรือหลังผ่าตัด เนื่องจากสามารถควบคุมการเติบโตของมะเร็งที่หลงเหลือ แต่ยังขาดประสิทธิภาพในกรณีมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งเซลล์มะเร็งมีการปรับตัวและป้องกันตัวเองจากภูมิคุ้มกัน 6. แนวทางในอนาคต: การพัฒนาวัคซีนยังต้องการการทดลองเพิ่มเติมในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น เพื่อยืนยันผลลัพธ์และรองรับการใช้งานจริงในตลาด นักวิจัยยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงวัคซีนให้ตอบสนองได้เร็วและครอบคลุมชนิดของมะเร็งที่หลากหลายขึ้น https://web.facebook.com/share/p/19cpPdVbFe/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนชีวิตประจำวันเดิมๆ
    ด้วยบรรยากาศแปลกใหม่
    เป็นสิ่งสำคัญมาก
    เราอาจคิดว่าการหยุดพักชั่วคราว
    ไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าการท่องเที่ยว
    เพียงหยุดพักชั่วครู่ สุดหายใจเต็มปอด
    แล้วไม่ลืมว่าพรุ่งนี้ต้องฮึดสู้ใหม่
    ต้องตั้งใจขึ้นอีกครั้ง

    จากหนังสือ |เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดนะ วันนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดนะ วันนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน
    การเปลี่ยนชีวิตประจำวันเดิมๆ ด้วยบรรยากาศแปลกใหม่ เป็นสิ่งสำคัญมาก เราอาจคิดว่าการหยุดพักชั่วคราว ไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าการท่องเที่ยว เพียงหยุดพักชั่วครู่ สุดหายใจเต็มปอด แล้วไม่ลืมว่าพรุ่งนี้ต้องฮึดสู้ใหม่ ต้องตั้งใจขึ้นอีกครั้ง จากหนังสือ |เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดนะ วันนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดนะ วันนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ดวงวันที่ 23-29 ธันวาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...#การงาน: งานค่อนข้างหนัก ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน #การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง และระวังจะมีคนนำเรื่องเดือดร้อนทางการเงินมาให้ #ความรัก:คนรักจะดูแลเป็นอย่างดีเหมือนเป็นพ่อแม่ ระวังคนรักจะเจ็บป่วยไม่สบาย คนโสด: จะมีคนเข้ามาและอาจได้โชคได้เงินจากเขาเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะเจอคนที่มีเจ้าของ #สุขภาพ: ปวดไหล่ปวดคอ แพ้อากาศ #การเดินทาง ให้หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน #โชคลาภ: จะมีโชคจากงาน เลขนำโชค 7/5/0 #สิ่งที่ควรระวัง:ให้ระวังถูกหลอกลวงเรื่องการเงิน ไม่ควรนำเงินไปลงทุนหรือให้คนอื่นยืม #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:รัตนสูตร/มหาสันติงหลวง/บทพระมหาจักรพรรดิ

    #คนเกิดวันอังคาร...#การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ ให้ระวังจะมีคนมาพูดไม่ดีหรือแสดงกิริยาไม่ดีใส่ หากมีโครงการอยากเปลี่ยนงานออกงานก็มีโอกาส #การเงิน: จะมีรายจ่ายจุกจิกจ่ายไม่รู้จักจบ จะหมดกับรถ ลูก ค่าใช้จ่ายแบบครบรอบเช่นค่าประกัน #ความรัก: จืดชืด เหมือนต่างคนต่างอยู่ หากมีปัญหาไม่เข้าใจอะไรกัน ก็จะต้องรีบปรับความเข้าใจกัน คนโสด: อาจมีคนที่เป็นเพศเดียวกันเข้ามาชอบเข้ามาจีบ #สุขภาพ: โรคในช่องท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ #การเดินทาง:ปลอดภัยดี #โชคลาภ: จะมีโชคจากงาน หรือได้โชคจากผู้อุปถัมภ์ เลขนำโชค 1/8/3 #สิ่งที่ควรระวัง: ให้ระวังคนที่มาพูดดีทำดี เพราะเขาอาจจะไม่ได้จริงใจกับเรา จะเข้ามาหวังผลประโยชน์ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:โพชฌังคปริตร/บารมี 10 ทัศ/บทพระมหาจักรพรรดิ

    #คนเกิดวันพุธ...#การงาน:ให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาอาจมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงาน #การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับคนในครอบครัว หรือมีค่าใช้จ่ายที่คาราคาซังต้องรีบไปเคลียร์หนี้สิน #ความรัก: ระวังปัญหาหึงหวงคิดมาก ฝ่ายไหนทำให้ไม่ไว้วางใจมีความลับ ต้องปรับปรุงตัวเองด่วน คนโสด: จะมีคนเข้ามาให้ความหวัง ดวงจะถูกโฉลกกับคนอายุแก่กว่า #สุขภาพ:ปวดขาข้อเข่า โรคในช่องท้องระบบสืบพันธุ์ #การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ให้หลีกเลี่ยงเดินทางทางน้ำ #โชคลาภ: ยังไม่ค่อยเด่นชัดเท่าไหร่มีสิ่งที่มาปิดกั้นดวงชะตาอาจจะเป็นเกี่ยวกับวิญญาณเด็ก เลขนำโชค 3/1 #สิ่งที่ควรระวัง:ให้ระวังปัญหาการเงินหนี้สิน หากติดหนี้ใครควรรีบใช้เขาให้หมด เพราะอาจจะเป็นปัญหาบานปลายใหญ่โต #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:บทพระมหาจักรพรรดิ/มหาสมัยสูตร/ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...#การงาน:ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น ให้ระวังเรื่องกฎระเบียบควรจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพราะจะมีคนคอยจ้องจับผิด #การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ หรือหมดกับของสวยงาม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของเกี่ยวกับผู้หญิง เสริมสวย #ความรัก: มีโอกาสทะเลาะกันรุนแรง ระวังจะทะเลาะกันเพราะสื่อโซเชียล คนโสด: จะมีคนเก่าๆเข้ามาพัวพันแต่เขาก็จะไม่ได้จริงจัง #สุขภาพ: โรคอ้วน เบาหวาน ไขมัน #การเดินทาง: ปลอดภัยดี #โชคลาภ:มีโชคลาภ เลขนำโชค 6/5/3 #สิ่งที่ควรระวัง: ใครที่ชีวิตติดขัดอยู่ทำอะไรก็ไม่ราบรื่น มีโอกาสว่าติดขัดจากเจ้ากรรมนายเวร และมีเรื่องที่ทำผิดศีลทควรจะต้องหมั่นสวดมนต์และรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:อิติปิโส/มหาเมตตาใหญ่/บทพระมหาจักรพรรดิ

    #คนเกิดวันศุกร์...#การงาน: ราบเรียบ ช่วงนี้จะรู้สึกเบื่อๆ ใครที่ทำงานไม่โปร่งใสไม่ถูกต้องมีโอกาสจะถูกตรวจสอบ #การเงิน:มาไวไปไวยังไม่ได้เก็บ จะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องประดับ เสื้อผ้า หนี้สิน #ความรัก: ระวังจะทะเลาะกันเพราะการโกหก การไม่รักษาสัจจะ ต่างคนต่างไม่ง้อกัน คนโสด: มีโอกาสที่จะมีคนเข้ามาแล้วได้พัฒนาความสัมพันธ์ #สุขภาพ:ปวดไหล่ปวดคอ โรคเครียดคิดมาก #การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ถ้าเดินทางไปทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำเรื่องที่ผิดศีล จะมีคนรู้เห็นจะถูกจับได้ #โชคลาภ: มีโชคลาภอาจได้จากคนรักหรือผู้อุปถัมภ์ เลขนำโชค 6/8/9 #สิ่งที่ควรระวัง: ให้ระวังอันตรายจากการขับขี่รถเร็ว หรือเสียค่าปรับ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:อนัตตลักขณสูตร/อภิธรรม/บทพระมหาจักรพรรดิ

    #คนเกิดวันเสาร์...#การงาน: คนว่างงานมีโอกาสได้งานไกลบ้าน คนมีงานทำอยู่แล้วช่วงนี้จะรู้สึกเบื่อๆ #การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร #ความรัก: ยังรักกันดี แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้กัน ควรหาเวลาไปเที่ยวด้วยกันบ้าง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรือบางคนอาจจะมีความสุขกับสัตว์เลี้ยง ยังไม่อยากที่จะมีแฟนแบบจริงจัง #สุขภาพ:ให้ระวังการเจ็บป่วยจากการทำงานหนัก ระวังโรคในช่องท้อง #การเดินทาง: ปลอดภัยดี #โชคลาภ: จะมีสิ่งมาปิดกั้นดวงชะตา เลขนำโชค 5/7/6 #สิ่งที่ควรระวัง:ใครที่บนแล้วไม่ได้แก้ ให้รีบไปแก้ ใครติดกรรมกับวิญญาณเด็ก ให้พยายามทำบุญและสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขาทุกวัน แนะนำสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิและรัตนปริตร #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:จุลชัยยะคาถา/ขันธปริตร/บทพระมหาจักรพรรดิ/รัตนปริตร

    #คนเกิดวันอาทิตย์...#การงาน:มีโอกาสได้เดินทางเกี่ยวกับเรื่องงาน ไม่ควรลงทุนร่วมหุ้นกับใครเพราะมีเกณฑ์ถูกหลอกลวง จะถูกแตกแยกทะเลาะกับหุ้นส่วน #การเงิน:มีโอกาสได้เงินได้โชคจากงานหรือได้จากคนรักคนที่เข้ามาชอบ จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับหนี้สิน #ความรัก: จะไม่ค่อยมีเวลาให้กันต่างคนต่างทำงาน ใครที่อยู่ไกลกัน ระวังมีปัญหาหึงหวงคิดมาก คนโสด: จะมีคนเข้ามาให้ชุ่มชื่นหัวใจแต่ระวังเขามาหวังผลประโยชน์จากเรา #สุขภาพ: เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ปอด หลอดลม โรคหวัด #การเดินทาง: ปลอดภัยดีแต่จะรู้สึกเหนื่อย #โชคลาภ: มีโชคลาภ เลขนำโชค 6/2/4 เสี่ยงจากเลขบ้านเลขใกล้ตัว #สิ่งที่ควรระวัง:ระวังจะมีคนมาหลอกลวงทางการเงินไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:อาทิตตปริยายสูตร/กรณียเมตตาสูตร/บทพระมหาจักรพรรดิ
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงวันที่ 23-29 ธันวาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...#การงาน: งานค่อนข้างหนัก ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน #การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ การเดินทาง และระวังจะมีคนนำเรื่องเดือดร้อนทางการเงินมาให้ #ความรัก:คนรักจะดูแลเป็นอย่างดีเหมือนเป็นพ่อแม่ ระวังคนรักจะเจ็บป่วยไม่สบาย คนโสด: จะมีคนเข้ามาและอาจได้โชคได้เงินจากเขาเหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะเจอคนที่มีเจ้าของ #สุขภาพ: ปวดไหล่ปวดคอ แพ้อากาศ #การเดินทาง ให้หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน #โชคลาภ: จะมีโชคจากงาน เลขนำโชค 7/5/0 #สิ่งที่ควรระวัง:ให้ระวังถูกหลอกลวงเรื่องการเงิน ไม่ควรนำเงินไปลงทุนหรือให้คนอื่นยืม #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:รัตนสูตร/มหาสันติงหลวง/บทพระมหาจักรพรรดิ #คนเกิดวันอังคาร...#การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ ให้ระวังจะมีคนมาพูดไม่ดีหรือแสดงกิริยาไม่ดีใส่ หากมีโครงการอยากเปลี่ยนงานออกงานก็มีโอกาส #การเงิน: จะมีรายจ่ายจุกจิกจ่ายไม่รู้จักจบ จะหมดกับรถ ลูก ค่าใช้จ่ายแบบครบรอบเช่นค่าประกัน #ความรัก: จืดชืด เหมือนต่างคนต่างอยู่ หากมีปัญหาไม่เข้าใจอะไรกัน ก็จะต้องรีบปรับความเข้าใจกัน คนโสด: อาจมีคนที่เป็นเพศเดียวกันเข้ามาชอบเข้ามาจีบ #สุขภาพ: โรคในช่องท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ #การเดินทาง:ปลอดภัยดี #โชคลาภ: จะมีโชคจากงาน หรือได้โชคจากผู้อุปถัมภ์ เลขนำโชค 1/8/3 #สิ่งที่ควรระวัง: ให้ระวังคนที่มาพูดดีทำดี เพราะเขาอาจจะไม่ได้จริงใจกับเรา จะเข้ามาหวังผลประโยชน์ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:โพชฌังคปริตร/บารมี 10 ทัศ/บทพระมหาจักรพรรดิ #คนเกิดวันพุธ...#การงาน:ให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาอาจมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงาน #การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับคนในครอบครัว หรือมีค่าใช้จ่ายที่คาราคาซังต้องรีบไปเคลียร์หนี้สิน #ความรัก: ระวังปัญหาหึงหวงคิดมาก ฝ่ายไหนทำให้ไม่ไว้วางใจมีความลับ ต้องปรับปรุงตัวเองด่วน คนโสด: จะมีคนเข้ามาให้ความหวัง ดวงจะถูกโฉลกกับคนอายุแก่กว่า #สุขภาพ:ปวดขาข้อเข่า โรคในช่องท้องระบบสืบพันธุ์ #การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ให้หลีกเลี่ยงเดินทางทางน้ำ #โชคลาภ: ยังไม่ค่อยเด่นชัดเท่าไหร่มีสิ่งที่มาปิดกั้นดวงชะตาอาจจะเป็นเกี่ยวกับวิญญาณเด็ก เลขนำโชค 3/1 #สิ่งที่ควรระวัง:ให้ระวังปัญหาการเงินหนี้สิน หากติดหนี้ใครควรรีบใช้เขาให้หมด เพราะอาจจะเป็นปัญหาบานปลายใหญ่โต #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:บทพระมหาจักรพรรดิ/มหาสมัยสูตร/ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร #คนเกิดวันพฤหัสบดี...#การงาน:ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน อาจได้รับผิดชอบงานแทนคนอื่น ให้ระวังเรื่องกฎระเบียบควรจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพราะจะมีคนคอยจ้องจับผิด #การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ หรือหมดกับของสวยงาม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของเกี่ยวกับผู้หญิง เสริมสวย #ความรัก: มีโอกาสทะเลาะกันรุนแรง ระวังจะทะเลาะกันเพราะสื่อโซเชียล คนโสด: จะมีคนเก่าๆเข้ามาพัวพันแต่เขาก็จะไม่ได้จริงจัง #สุขภาพ: โรคอ้วน เบาหวาน ไขมัน #การเดินทาง: ปลอดภัยดี #โชคลาภ:มีโชคลาภ เลขนำโชค 6/5/3 #สิ่งที่ควรระวัง: ใครที่ชีวิตติดขัดอยู่ทำอะไรก็ไม่ราบรื่น มีโอกาสว่าติดขัดจากเจ้ากรรมนายเวร และมีเรื่องที่ทำผิดศีลทควรจะต้องหมั่นสวดมนต์และรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:อิติปิโส/มหาเมตตาใหญ่/บทพระมหาจักรพรรดิ #คนเกิดวันศุกร์...#การงาน: ราบเรียบ ช่วงนี้จะรู้สึกเบื่อๆ ใครที่ทำงานไม่โปร่งใสไม่ถูกต้องมีโอกาสจะถูกตรวจสอบ #การเงิน:มาไวไปไวยังไม่ได้เก็บ จะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องประดับ เสื้อผ้า หนี้สิน #ความรัก: ระวังจะทะเลาะกันเพราะการโกหก การไม่รักษาสัจจะ ต่างคนต่างไม่ง้อกัน คนโสด: มีโอกาสที่จะมีคนเข้ามาแล้วได้พัฒนาความสัมพันธ์ #สุขภาพ:ปวดไหล่ปวดคอ โรคเครียดคิดมาก #การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่ถ้าเดินทางไปทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำเรื่องที่ผิดศีล จะมีคนรู้เห็นจะถูกจับได้ #โชคลาภ: มีโชคลาภอาจได้จากคนรักหรือผู้อุปถัมภ์ เลขนำโชค 6/8/9 #สิ่งที่ควรระวัง: ให้ระวังอันตรายจากการขับขี่รถเร็ว หรือเสียค่าปรับ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:อนัตตลักขณสูตร/อภิธรรม/บทพระมหาจักรพรรดิ #คนเกิดวันเสาร์...#การงาน: คนว่างงานมีโอกาสได้งานไกลบ้าน คนมีงานทำอยู่แล้วช่วงนี้จะรู้สึกเบื่อๆ #การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับลูก เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร #ความรัก: ยังรักกันดี แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้กัน ควรหาเวลาไปเที่ยวด้วยกันบ้าง คนโสด: อยู่แบบเหงาๆ หรือบางคนอาจจะมีความสุขกับสัตว์เลี้ยง ยังไม่อยากที่จะมีแฟนแบบจริงจัง #สุขภาพ:ให้ระวังการเจ็บป่วยจากการทำงานหนัก ระวังโรคในช่องท้อง #การเดินทาง: ปลอดภัยดี #โชคลาภ: จะมีสิ่งมาปิดกั้นดวงชะตา เลขนำโชค 5/7/6 #สิ่งที่ควรระวัง:ใครที่บนแล้วไม่ได้แก้ ให้รีบไปแก้ ใครติดกรรมกับวิญญาณเด็ก ให้พยายามทำบุญและสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขาทุกวัน แนะนำสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิและรัตนปริตร #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:จุลชัยยะคาถา/ขันธปริตร/บทพระมหาจักรพรรดิ/รัตนปริตร #คนเกิดวันอาทิตย์...#การงาน:มีโอกาสได้เดินทางเกี่ยวกับเรื่องงาน ไม่ควรลงทุนร่วมหุ้นกับใครเพราะมีเกณฑ์ถูกหลอกลวง จะถูกแตกแยกทะเลาะกับหุ้นส่วน #การเงิน:มีโอกาสได้เงินได้โชคจากงานหรือได้จากคนรักคนที่เข้ามาชอบ จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับหนี้สิน #ความรัก: จะไม่ค่อยมีเวลาให้กันต่างคนต่างทำงาน ใครที่อยู่ไกลกัน ระวังมีปัญหาหึงหวงคิดมาก คนโสด: จะมีคนเข้ามาให้ชุ่มชื่นหัวใจแต่ระวังเขามาหวังผลประโยชน์จากเรา #สุขภาพ: เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ปอด หลอดลม โรคหวัด #การเดินทาง: ปลอดภัยดีแต่จะรู้สึกเหนื่อย #โชคลาภ: มีโชคลาภ เลขนำโชค 6/2/4 เสี่ยงจากเลขบ้านเลขใกล้ตัว #สิ่งที่ควรระวัง:ระวังจะมีคนมาหลอกลวงทางการเงินไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ #บทสวดมนต์ที่แนะนำ:อาทิตตปริยายสูตร/กรณียเมตตาสูตร/บทพระมหาจักรพรรดิ ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1218 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts