• https://www.youtube.com/watch?v=ZB-LhJf8kbI
    บทสนทนาในรถแท็กซี่
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาในรถแท็กซี่
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #taxi

    The conversations from the clip :

    Tourist: Hello, could you take me to the Grand Palace?
    Driver: Yes, of course! Please get in.
    Tourist: Thank you. Can you please turn on the meter?
    Driver: Oh, the Grand Palace is a bit far. How about 300 baht?
    Tourist: I’d prefer to go by meter, please.
    Driver: Alright, I’ll turn on the meter for you.
    Tourist: Thank you. Do you drive here every day?
    Driver: Yes, I drive in Bangkok every day. Lots of tourists like you go to the Grand Palace.
    Tourist: I can imagine! Is it usually busy around this time?
    Driver: Yes, especially in the mornings and evenings. Many people visit the temples.
    Tourist: I see. How long will it take to get there?
    Driver: Maybe 30 to 40 minutes, depending on traffic.
    Tourist: Alright, sounds good. Do you think it will be very crowded?
    Driver: Probably. But if you go early, it’s usually less crowded.
    Tourist: Good to know! Thank you for the advice.
    Driver: You’re welcome! Enjoy your time at the Grand Palace.

    นักท่องเที่ยว: สวัสดีค่ะ พาไปพระบรมมหาราชวังได้ไหมคะ?
    คนขับ: ได้ครับ เชิญขึ้นมาเลยครับ
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ เปิดมิเตอร์ให้ด้วยได้ไหมคะ?
    คนขับ: อ๋อ พระบรมมหาราชวังไกลอยู่นะครับ สัก 300 บาทดีไหมครับ?
    นักท่องเที่ยว: ขอไปตามมิเตอร์ดีกว่าค่ะ
    คนขับ: ได้ครับ ผมจะเปิดมิเตอร์ให้นะครับ
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ ขับที่นี่ทุกวันเลยหรือคะ?
    คนขับ: ใช่ครับ ผมขับในกรุงเทพทุกวัน มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่ไปพระบรมมหาราชวังเหมือนคุณนี่แหละครับ
    นักท่องเที่ยว: คงจะเป็นที่นิยมมากเลยนะคะ ช่วงนี้คนเยอะไหมคะ?
    คนขับ: ครับ ช่วงเช้า ๆ กับเย็น ๆ จะเยอะเป็นพิเศษ เพราะคนไปไหว้พระที่วัดกันเยอะ
    นักท่องเที่ยว: เข้าใจแล้วค่ะ ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงคะ?
    คนขับ: ประมาณ 30 ถึง 40 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับการจราจร
    นักท่องเที่ยว: โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ คิดว่าคนจะเยอะมากไหมคะ?
    คนขับ: น่าจะเยอะครับ แต่ถ้าคุณไปเช้า ๆ ก็จะคนน้อยกว่า
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
    คนขับ: ยินดีครับ ขอให้สนุกกับการเที่ยวพระบรมมหาราชวังนะครับ

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Palace (พา-ลิซ) n. แปลว่า พระราชวัง
    Meter (มี-เทอะ) n. แปลว่า มิเตอร์
    Tourist (ทัว-ริสท) n. แปลว่า นักท่องเที่ยว
    Driver (ไดร-เวอะ) n. แปลว่า คนขับ
    Traffic (แทรฟ-ฟิค) n. แปลว่า การจราจร
    Temple (เทม-เพิล) n. แปลว่า วัด
    Morning (มอ-นิง) n. แปลว่า ตอนเช้า
    Evening (อีฟ-นิง) n. แปลว่า ตอนเย็น
    Crowded (เครา-ดิด) adj. แปลว่า แออัด, คนเยอะ
    Advice (แอด-ไวซ) n. แปลว่า คำแนะนำ
    Far (ฟาร์) adj. แปลว่า ไกล
    Usually (ยู-ชวล-ลิ) adv. แปลว่า โดยปกติ
    Imagine (อิ-แมจ-จิน) v. แปลว่า จินตนาการ
    Every day (เอฟ-วะ-รี เดย์) adv. แปลว่า ทุกวัน
    Welcome (เวล-คัม) v. แปลว่า ยินดีต้อนรับ
    https://www.youtube.com/watch?v=ZB-LhJf8kbI บทสนทนาในรถแท็กซี่ (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาในรถแท็กซี่ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #taxi The conversations from the clip : Tourist: Hello, could you take me to the Grand Palace? Driver: Yes, of course! Please get in. Tourist: Thank you. Can you please turn on the meter? Driver: Oh, the Grand Palace is a bit far. How about 300 baht? Tourist: I’d prefer to go by meter, please. Driver: Alright, I’ll turn on the meter for you. Tourist: Thank you. Do you drive here every day? Driver: Yes, I drive in Bangkok every day. Lots of tourists like you go to the Grand Palace. Tourist: I can imagine! Is it usually busy around this time? Driver: Yes, especially in the mornings and evenings. Many people visit the temples. Tourist: I see. How long will it take to get there? Driver: Maybe 30 to 40 minutes, depending on traffic. Tourist: Alright, sounds good. Do you think it will be very crowded? Driver: Probably. But if you go early, it’s usually less crowded. Tourist: Good to know! Thank you for the advice. Driver: You’re welcome! Enjoy your time at the Grand Palace. นักท่องเที่ยว: สวัสดีค่ะ พาไปพระบรมมหาราชวังได้ไหมคะ? คนขับ: ได้ครับ เชิญขึ้นมาเลยครับ นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ เปิดมิเตอร์ให้ด้วยได้ไหมคะ? คนขับ: อ๋อ พระบรมมหาราชวังไกลอยู่นะครับ สัก 300 บาทดีไหมครับ? นักท่องเที่ยว: ขอไปตามมิเตอร์ดีกว่าค่ะ คนขับ: ได้ครับ ผมจะเปิดมิเตอร์ให้นะครับ นักท่องเที่ยว: ขอบคุณค่ะ ขับที่นี่ทุกวันเลยหรือคะ? คนขับ: ใช่ครับ ผมขับในกรุงเทพทุกวัน มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่ไปพระบรมมหาราชวังเหมือนคุณนี่แหละครับ นักท่องเที่ยว: คงจะเป็นที่นิยมมากเลยนะคะ ช่วงนี้คนเยอะไหมคะ? คนขับ: ครับ ช่วงเช้า ๆ กับเย็น ๆ จะเยอะเป็นพิเศษ เพราะคนไปไหว้พระที่วัดกันเยอะ นักท่องเที่ยว: เข้าใจแล้วค่ะ ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงคะ? คนขับ: ประมาณ 30 ถึง 40 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับการจราจร นักท่องเที่ยว: โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ คิดว่าคนจะเยอะมากไหมคะ? คนขับ: น่าจะเยอะครับ แต่ถ้าคุณไปเช้า ๆ ก็จะคนน้อยกว่า นักท่องเที่ยว: ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ คนขับ: ยินดีครับ ขอให้สนุกกับการเที่ยวพระบรมมหาราชวังนะครับ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Palace (พา-ลิซ) n. แปลว่า พระราชวัง Meter (มี-เทอะ) n. แปลว่า มิเตอร์ Tourist (ทัว-ริสท) n. แปลว่า นักท่องเที่ยว Driver (ไดร-เวอะ) n. แปลว่า คนขับ Traffic (แทรฟ-ฟิค) n. แปลว่า การจราจร Temple (เทม-เพิล) n. แปลว่า วัด Morning (มอ-นิง) n. แปลว่า ตอนเช้า Evening (อีฟ-นิง) n. แปลว่า ตอนเย็น Crowded (เครา-ดิด) adj. แปลว่า แออัด, คนเยอะ Advice (แอด-ไวซ) n. แปลว่า คำแนะนำ Far (ฟาร์) adj. แปลว่า ไกล Usually (ยู-ชวล-ลิ) adv. แปลว่า โดยปกติ Imagine (อิ-แมจ-จิน) v. แปลว่า จินตนาการ Every day (เอฟ-วะ-รี เดย์) adv. แปลว่า ทุกวัน Welcome (เวล-คัม) v. แปลว่า ยินดีต้อนรับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พระราชวังนิมเฟนบูร์ก #NymphenburgPalace #มิวนิค #เยอรมัน
    #พระราชวังนิมเฟนบูร์ก #NymphenburgPalace #มิวนิค #เยอรมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=dk018KPRm1Y
    บทสนทนานักท่องเที่ยวถามทางในกรุงเทพ
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนานักท่องเที่ยวถามทางในกรุงเทพ
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #basiclistening

    The conversations from the clip :
    Tourist: Excuse me, could you help me? I’m trying to find the Grand Palace.
    Student: Sure! You’re not far from it. Are you walking or taking a taxi?
    Tourist: I’m walking. Is it close by?
    Student: Yes, it’s about a 20-minute walk from here. You need to head straight down this road.
    Tourist: Oh, great! Do I just keep going straight?
    Student: Yes, but after about 10 minutes, you’ll see a big intersection. Turn left there.
    Tourist: Turn left at the intersection, got it. Is there a landmark to look out for?
    Student: Yes, there’s a 7-Eleven on the corner. You can’t miss it.
    Tourist: Perfect, thanks! And from there?
    Student: After you turn left, just follow the road. The entrance to the Grand Palace will be on your right.
    Tourist: That sounds easy enough! How long do you think it will take?
    Student: About 20 minutes if you walk at a normal pace.
    Tourist: Thank you so much for the help!
    Student: No problem! Enjoy your visit to the Grand Palace!
    Tourist: I will! Thanks again. Have a great day!
    Student: You too! Stay safe!

    นักท่องเที่ยว: ขอโทษครับ คุณช่วยผม ผมกำลังหาทางไปพระบรมมหาราชวังครับ
    นักศึกษา: ได้เลยค่ะ คุณอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนะค่ะ คุณเดินหรือจะนั่งแท็กซี่ไปค่ะ?
    นักท่องเที่ยว: ผมเดินครับ มันใกล้ไหมครับ?
    นักศึกษา: ใกล้อยู่ค่ะ ประมาณ 20 นาทีเดินจากตรงนี้ค่ะ คุณต้องเดินตรงไปตามถนนเส้นนี้เลยค่ะ
    นักท่องเที่ยว: โอ้ ดีเลยครับ แค่เดินตรงไปอย่างเดียวใช่ไหมครับ?
    นักศึกษา: ใช่ค่ะ แต่พอเดินไปประมาณ 10 นาที คุณจะเจอแยกใหญ่ ให้เลี้ยวซ้ายตรงนั้นค่ะ
    นักท่องเที่ยว: เลี้ยวซ้ายตรงแยกใหญ่ เข้าใจแล้วครับ มีจุดสังเกตอะไรไหมครับ?
    นักศึกษา: มีค่ะ ตรงหัวมุมจะมีร้าน 7-Eleven ค่ะ คุณจะเห็นแน่นอน
    นักท่องเที่ยว: สมบูรณ์แบบ ขอบคุณมากครับ แล้วจากตรงนั้นล่ะครับ?
    นักศึกษา: หลังจากเลี้ยวซ้ายแล้ว ก็เดินตามถนนไปเลยค่ะ ทางเข้าไปพระบรมมหาราชวังจะอยู่ทางขวามือค่ะ
    นักท่องเที่ยว: ฟังดูไม่ยากเลยครับ คิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนครับ?
    นักศึกษา: ประมาณ 20 นาที ถ้าเดินตามปกติค่ะ
    นักท่องเที่ยว: ขอบคุณมากนะครับสำหรับความช่วยเหลือ!
    นักศึกษา: ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้เที่ยวพระบรมมหาราชวังอย่างสนุกนะค่ะ!
    นักท่องเที่ยว: ผมจะทำตามนั้นครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ ขอให้คุณมีวันที่ดีนะครับ!
    นักศึกษา: คุณก็เช่นกันค่ะ เดินทางปลอดภัยนะค่ะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Palace (พาเลซ) noun. แปลว่า พระราชวัง
    Intersection (อินเทอร์เซคชัน) noun. แปลว่า สี่แยก
    Landmark (แลนด์มาร์ค) noun. แปลว่า จุดสังเกต
    Road (โรด) noun. แปลว่า ถนน
    Entrance (เอนทรานซ์) noun. แปลว่า ทางเข้า
    Corner (คอร์เนอร์) noun. แปลว่า มุมถนน
    Taxi (แท็กซี่) noun. แปลว่า รถแท็กซี่
    Walk (วอล์ค) verb. แปลว่า เดิน
    Turn (เทิร์น) verb. แปลว่า เลี้ยว
    Straight (สเตรท) adverb. แปลว่า ตรง
    Left (เลฟท์) adjective. แปลว่า ซ้าย
    Right (ไรท์) adjective. แปลว่า ขวา
    Head (เฮด) verb. แปลว่า มุ่งหน้า
    Minute (มินิท) noun. แปลว่า นาที
    Safe (เซฟ) adjective. แปลว่า ปลอดภัย
    https://www.youtube.com/watch?v=dk018KPRm1Y บทสนทนานักท่องเที่ยวถามทางในกรุงเทพ (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนานักท่องเที่ยวถามทางในกรุงเทพ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #basiclistening The conversations from the clip : Tourist: Excuse me, could you help me? I’m trying to find the Grand Palace. Student: Sure! You’re not far from it. Are you walking or taking a taxi? Tourist: I’m walking. Is it close by? Student: Yes, it’s about a 20-minute walk from here. You need to head straight down this road. Tourist: Oh, great! Do I just keep going straight? Student: Yes, but after about 10 minutes, you’ll see a big intersection. Turn left there. Tourist: Turn left at the intersection, got it. Is there a landmark to look out for? Student: Yes, there’s a 7-Eleven on the corner. You can’t miss it. Tourist: Perfect, thanks! And from there? Student: After you turn left, just follow the road. The entrance to the Grand Palace will be on your right. Tourist: That sounds easy enough! How long do you think it will take? Student: About 20 minutes if you walk at a normal pace. Tourist: Thank you so much for the help! Student: No problem! Enjoy your visit to the Grand Palace! Tourist: I will! Thanks again. Have a great day! Student: You too! Stay safe! นักท่องเที่ยว: ขอโทษครับ คุณช่วยผม ผมกำลังหาทางไปพระบรมมหาราชวังครับ นักศึกษา: ได้เลยค่ะ คุณอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนะค่ะ คุณเดินหรือจะนั่งแท็กซี่ไปค่ะ? นักท่องเที่ยว: ผมเดินครับ มันใกล้ไหมครับ? นักศึกษา: ใกล้อยู่ค่ะ ประมาณ 20 นาทีเดินจากตรงนี้ค่ะ คุณต้องเดินตรงไปตามถนนเส้นนี้เลยค่ะ นักท่องเที่ยว: โอ้ ดีเลยครับ แค่เดินตรงไปอย่างเดียวใช่ไหมครับ? นักศึกษา: ใช่ค่ะ แต่พอเดินไปประมาณ 10 นาที คุณจะเจอแยกใหญ่ ให้เลี้ยวซ้ายตรงนั้นค่ะ นักท่องเที่ยว: เลี้ยวซ้ายตรงแยกใหญ่ เข้าใจแล้วครับ มีจุดสังเกตอะไรไหมครับ? นักศึกษา: มีค่ะ ตรงหัวมุมจะมีร้าน 7-Eleven ค่ะ คุณจะเห็นแน่นอน นักท่องเที่ยว: สมบูรณ์แบบ ขอบคุณมากครับ แล้วจากตรงนั้นล่ะครับ? นักศึกษา: หลังจากเลี้ยวซ้ายแล้ว ก็เดินตามถนนไปเลยค่ะ ทางเข้าไปพระบรมมหาราชวังจะอยู่ทางขวามือค่ะ นักท่องเที่ยว: ฟังดูไม่ยากเลยครับ คิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนครับ? นักศึกษา: ประมาณ 20 นาที ถ้าเดินตามปกติค่ะ นักท่องเที่ยว: ขอบคุณมากนะครับสำหรับความช่วยเหลือ! นักศึกษา: ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้เที่ยวพระบรมมหาราชวังอย่างสนุกนะค่ะ! นักท่องเที่ยว: ผมจะทำตามนั้นครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ ขอให้คุณมีวันที่ดีนะครับ! นักศึกษา: คุณก็เช่นกันค่ะ เดินทางปลอดภัยนะค่ะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Palace (พาเลซ) noun. แปลว่า พระราชวัง Intersection (อินเทอร์เซคชัน) noun. แปลว่า สี่แยก Landmark (แลนด์มาร์ค) noun. แปลว่า จุดสังเกต Road (โรด) noun. แปลว่า ถนน Entrance (เอนทรานซ์) noun. แปลว่า ทางเข้า Corner (คอร์เนอร์) noun. แปลว่า มุมถนน Taxi (แท็กซี่) noun. แปลว่า รถแท็กซี่ Walk (วอล์ค) verb. แปลว่า เดิน Turn (เทิร์น) verb. แปลว่า เลี้ยว Straight (สเตรท) adverb. แปลว่า ตรง Left (เลฟท์) adjective. แปลว่า ซ้าย Right (ไรท์) adjective. แปลว่า ขวา Head (เฮด) verb. แปลว่า มุ่งหน้า Minute (มินิท) noun. แปลว่า นาที Safe (เซฟ) adjective. แปลว่า ปลอดภัย
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=y3AD4iT_C5c
    บทสนทนาท่องเที่ยวประเทศไทยบนเครื่องบิน
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาท่องเที่ยวประเทศไทยบนเครื่องบิน
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #basiclistening

    The conversations from the clip :

    Girl : Hi there! Are you traveling to Bangkok too?
    Boy : Yes, I am! It’s my first time visiting. How about you?
    Girl : I’ve been there a couple of times. It’s a great city! What are you planning to do there?
    Boy : I’m really excited to visit the temples and explore the markets. Any recommendations?
    Girl : Definitely visit the Grand Palace and Wat Pho. The Reclining Buddha is amazing!
    Boy : That sounds incredible! I also heard the street food in Bangkok is famous.
    Girl : Oh, you’re in for a treat! You must try pad thai and mango sticky rice. They’re delicious!
    Boy : I can’t wait! How’s the traffic in Bangkok? I’ve heard it can be pretty crazy.
    Girl : Yeah, it can be busy, especially during rush hour. But using the BTS Skytrain or taking a boat ride is a great way to avoid it.
    Boy : Good to know! I was thinking of taking a boat tour along the river.
    Girl : That’s a great idea! The Chao Phraya River has some beautiful views of the city.
    Boy : I’m looking forward to it! How long are you staying in Bangkok?
    Girl : Just for a few days before I head to Chiang Mai. How about you?
    Boy : I’ll be in Bangkok for a week, then I might explore some nearby islands.
    Girl : That sounds amazing! You’ll have a great time.

    Girl: สวัสดี! คุณกำลังเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยใช่ไหม?
    Boy: ใช่แล้ว! นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วคุณล่ะ?
    Girl: ฉันเคยไปมาแล้วสองสามครั้ง มันเป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม! คุณมีแผนจะทำอะไรที่นั่นบ้าง?
    Boy: ผมตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเยี่ยมชมวัดและสำรวจตลาด คุณมีที่ไหนแนะนำบ้างไหม?
    Girl: คุณต้องไปเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังและวัดโพธิ์แน่นอน พระพุทธไสยาสน์น่าทึ่งมาก!
    Boy: ฟังดูน่าอัศจรรย์มาก! ผมยังได้ยินมาว่าอาหารริมทางที่กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงมาก
    Girl: โอ้! คุณจะได้ลองของอร่อยแน่ ๆ คุณต้องลองผัดไทยและข้าวเหนียวมะม่วง มันอร่อยมาก!
    Boy: ผมรอไม่ไหวแล้ว! การจราจรในกรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้าง? ผมได้ยินว่ามันอาจจะวุ่นวายมาก
    Girl: ใช่ มันอาจจะหนาแน่น โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แต่การใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสหรือการนั่งเรือเป็นวิธีที่ดีในการหลีกเลี่ยง
    Boy: ดีที่รู้แบบนี้! ผมกำลังคิดว่าจะไปล่องเรือชมแม่น้ำ
    Girl: นั่นเป็นความคิดที่ดี! แม่น้ำเจ้าพระยามีวิวสวย ๆ ของเมือง
    Boy: ผมตั้งตารอเลย! คุณจะอยู่กรุงเทพฯ นานแค่ไหน?
    Girl: แค่ไม่กี่วันก่อนที่ฉันจะไปเชียงใหม่ แล้วคุณล่ะ?
    Boy: ผมจะอยู่กรุงเทพฯ สักหนึ่งสัปดาห์ แล้วอาจจะไปสำรวจเกาะใกล้เคียง
    Girl: ฟังดูเยี่ยมเลย! คุณต้องสนุกมากแน่ ๆ

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Temple (เทมเพิล) noun. แปลว่า วัด
    Market (มาร์เก็ต) noun. แปลว่า ตลาด
    Recommendation (เร็คเคอะเมนเดชัน) noun. แปลว่า คำแนะนำ
    Reclining Buddha (รีคลายนิง บุดด้า) noun. แปลว่า พระพุทธไสยาสน์
    Street food (สตรีท ฟู้ด) noun. แปลว่า อาหารริมทาง
    Famous (เฟมัส) adj. แปลว่า มีชื่อเสียง
    Delicious (ดิลิชัส) adj. แปลว่า อร่อย
    Traffic (แทรฟฟิก) noun. แปลว่า การจราจร
    Rush hour (รัช เอาเออร์) noun. แปลว่า ชั่วโมงเร่งด่วน
    BTS Skytrain (บีทีเอส สกายเทรน) noun. แปลว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส
    Boat ride (โบท ไรด์) noun. แปลว่า การนั่งเรือ
    River (ริเวอร์) noun. แปลว่า แม่น้ำ
    View (วิว) noun. แปลว่า วิว, ทัศนียภาพ
    Explore (เอ็กซพลอร์) verb. แปลว่า สำรวจ
    Nearby (เนียร์บาย) adj. แปลว่า ที่อยู่ใกล้
    https://www.youtube.com/watch?v=y3AD4iT_C5c บทสนทนาท่องเที่ยวประเทศไทยบนเครื่องบิน (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาท่องเที่ยวประเทศไทยบนเครื่องบิน มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #basiclistening The conversations from the clip : Girl : Hi there! Are you traveling to Bangkok too? Boy : Yes, I am! It’s my first time visiting. How about you? Girl : I’ve been there a couple of times. It’s a great city! What are you planning to do there? Boy : I’m really excited to visit the temples and explore the markets. Any recommendations? Girl : Definitely visit the Grand Palace and Wat Pho. The Reclining Buddha is amazing! Boy : That sounds incredible! I also heard the street food in Bangkok is famous. Girl : Oh, you’re in for a treat! You must try pad thai and mango sticky rice. They’re delicious! Boy : I can’t wait! How’s the traffic in Bangkok? I’ve heard it can be pretty crazy. Girl : Yeah, it can be busy, especially during rush hour. But using the BTS Skytrain or taking a boat ride is a great way to avoid it. Boy : Good to know! I was thinking of taking a boat tour along the river. Girl : That’s a great idea! The Chao Phraya River has some beautiful views of the city. Boy : I’m looking forward to it! How long are you staying in Bangkok? Girl : Just for a few days before I head to Chiang Mai. How about you? Boy : I’ll be in Bangkok for a week, then I might explore some nearby islands. Girl : That sounds amazing! You’ll have a great time. Girl: สวัสดี! คุณกำลังเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยใช่ไหม? Boy: ใช่แล้ว! นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วคุณล่ะ? Girl: ฉันเคยไปมาแล้วสองสามครั้ง มันเป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม! คุณมีแผนจะทำอะไรที่นั่นบ้าง? Boy: ผมตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเยี่ยมชมวัดและสำรวจตลาด คุณมีที่ไหนแนะนำบ้างไหม? Girl: คุณต้องไปเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังและวัดโพธิ์แน่นอน พระพุทธไสยาสน์น่าทึ่งมาก! Boy: ฟังดูน่าอัศจรรย์มาก! ผมยังได้ยินมาว่าอาหารริมทางที่กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงมาก Girl: โอ้! คุณจะได้ลองของอร่อยแน่ ๆ คุณต้องลองผัดไทยและข้าวเหนียวมะม่วง มันอร่อยมาก! Boy: ผมรอไม่ไหวแล้ว! การจราจรในกรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้าง? ผมได้ยินว่ามันอาจจะวุ่นวายมาก Girl: ใช่ มันอาจจะหนาแน่น โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แต่การใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสหรือการนั่งเรือเป็นวิธีที่ดีในการหลีกเลี่ยง Boy: ดีที่รู้แบบนี้! ผมกำลังคิดว่าจะไปล่องเรือชมแม่น้ำ Girl: นั่นเป็นความคิดที่ดี! แม่น้ำเจ้าพระยามีวิวสวย ๆ ของเมือง Boy: ผมตั้งตารอเลย! คุณจะอยู่กรุงเทพฯ นานแค่ไหน? Girl: แค่ไม่กี่วันก่อนที่ฉันจะไปเชียงใหม่ แล้วคุณล่ะ? Boy: ผมจะอยู่กรุงเทพฯ สักหนึ่งสัปดาห์ แล้วอาจจะไปสำรวจเกาะใกล้เคียง Girl: ฟังดูเยี่ยมเลย! คุณต้องสนุกมากแน่ ๆ Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Temple (เทมเพิล) noun. แปลว่า วัด Market (มาร์เก็ต) noun. แปลว่า ตลาด Recommendation (เร็คเคอะเมนเดชัน) noun. แปลว่า คำแนะนำ Reclining Buddha (รีคลายนิง บุดด้า) noun. แปลว่า พระพุทธไสยาสน์ Street food (สตรีท ฟู้ด) noun. แปลว่า อาหารริมทาง Famous (เฟมัส) adj. แปลว่า มีชื่อเสียง Delicious (ดิลิชัส) adj. แปลว่า อร่อย Traffic (แทรฟฟิก) noun. แปลว่า การจราจร Rush hour (รัช เอาเออร์) noun. แปลว่า ชั่วโมงเร่งด่วน BTS Skytrain (บีทีเอส สกายเทรน) noun. แปลว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส Boat ride (โบท ไรด์) noun. แปลว่า การนั่งเรือ River (ริเวอร์) noun. แปลว่า แม่น้ำ View (วิว) noun. แปลว่า วิว, ทัศนียภาพ Explore (เอ็กซพลอร์) verb. แปลว่า สำรวจ Nearby (เนียร์บาย) adj. แปลว่า ที่อยู่ใกล้
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • #marstallmuseum #nymphenburg #palace #มิวนิค #เยอรมัน #พระราชวัง #นิมเฟนบูร์ก #พิพิธภัณฑ์ #ราชรถ #รถลากเลื่อน
    #marstallmuseum #nymphenburg #palace #มิวนิค #เยอรมัน #พระราชวัง #นิมเฟนบูร์ก #พิพิธภัณฑ์ #ราชรถ #รถลากเลื่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 87 0 รีวิว
  • "พระสุวรรณเจดีย์ " วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อท่านเดินเข้าทางประตูทางทิศตะวันออกจะเห็นปราสาทพระเทพบิดร แต่ปัจจุบันก่อนที่เค้าจะปิดโควิด-๑๙ ประตูทิศนี้จะเป็นทางออกนะครับ พระสุวรรณเจดีย์ หรือเจดีย์ทองจะมีอยู่ ๒ องค์ อยู่ด้านหน้า"ปราสาทพระเทพบิดร"สองข้างบันไดตรงทางขึ้น ความเป็นมาดังนี้ รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดเกล้าให้สร้างเขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี องค์ด้านทิศเหนืออุทิศถวายพระราชมารดา เจดีย์ทั้งสององค์มีลักษณะและขนาดเหมือนกันทุกอย่างเป็นเจดีย์ทรงเครื่องย่อมุมไม้สิบสอง หุ้มด้วยแผ่นทองแดง หรือ จังโก้ ลงรักปิดทองทับอีกชั้นตลอดองค์เจดีย์ ตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม ฐานกว้าง ๘.๕๐ เมตร สูงจากพื้นประมาณ ๑๖ เมตร แต่ละชั้นลดสูงประมาณ๑ เมตร บุด้วยหินอ่อนจำหลักลายกากบาท เหนือฐานขึ้นไปเป็นรูปพญามาร(ยักษ์)และขุนกระบี่(ลิง) ทำด้วยปูนปั้นปิดกระจกสีแบกพระเจดีย์ทั้งหมด ๒๐ ตน เฉพาะตรงกลางฐานทั้ง ๔ ด้าน เป็นรูปขุนกระบี่ เหนือขึ้นไปเป็นฐานสิงห์ ๓ ชั้น แต่ละชั้นคั่นด้วยหน้ากระดาน ๖ ชั้น เป็นฐานบัวหงายรองรับองค์ครรภธาตุทรงจอมแห แต่งลายรูปดอกบัวอยู่กึ่งกลางทั้ง ๔ ต้น ถัดไปเป็นยอดรัตนบัลลังก์ทำเป็นบัวกลุ่ม ๙ ชั้น ยอดนภศูลเป็นโลหะฉลุโปร่งปิดทองทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ---------------------- #gr#grandpalacea#bangkokgrandpalaceh#thegrandpalaceh#thegrandpalacebangkokร#พระบรมมหาราชวังร#พระราชวังa#watphrakaewa#watphrasirattanasatsadarame#templeoftheemeraldbuddhah#theemeraldbuddhatempleั#วัดพระแก้วั#วัดพระแก้วมรกตั#วัดพระศรีรัตนศาสดารามร#พระแก้วร#พระแก้วมรกตa#bangkokh#thailandiampiya
    "พระสุวรรณเจดีย์ " วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อท่านเดินเข้าทางประตูทางทิศตะวันออกจะเห็นปราสาทพระเทพบิดร แต่ปัจจุบันก่อนที่เค้าจะปิดโควิด-๑๙ ประตูทิศนี้จะเป็นทางออกนะครับ พระสุวรรณเจดีย์ หรือเจดีย์ทองจะมีอยู่ ๒ องค์ อยู่ด้านหน้า"ปราสาทพระเทพบิดร"สองข้างบันไดตรงทางขึ้น ความเป็นมาดังนี้ รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดเกล้าให้สร้างเขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี องค์ด้านทิศเหนืออุทิศถวายพระราชมารดา เจดีย์ทั้งสององค์มีลักษณะและขนาดเหมือนกันทุกอย่างเป็นเจดีย์ทรงเครื่องย่อมุมไม้สิบสอง หุ้มด้วยแผ่นทองแดง หรือ จังโก้ ลงรักปิดทองทับอีกชั้นตลอดองค์เจดีย์ ตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม ฐานกว้าง ๘.๕๐ เมตร สูงจากพื้นประมาณ ๑๖ เมตร แต่ละชั้นลดสูงประมาณ๑ เมตร บุด้วยหินอ่อนจำหลักลายกากบาท เหนือฐานขึ้นไปเป็นรูปพญามาร(ยักษ์)และขุนกระบี่(ลิง) ทำด้วยปูนปั้นปิดกระจกสีแบกพระเจดีย์ทั้งหมด ๒๐ ตน เฉพาะตรงกลางฐานทั้ง ๔ ด้าน เป็นรูปขุนกระบี่ เหนือขึ้นไปเป็นฐานสิงห์ ๓ ชั้น แต่ละชั้นคั่นด้วยหน้ากระดาน ๖ ชั้น เป็นฐานบัวหงายรองรับองค์ครรภธาตุทรงจอมแห แต่งลายรูปดอกบัวอยู่กึ่งกลางทั้ง ๔ ต้น ถัดไปเป็นยอดรัตนบัลลังก์ทำเป็นบัวกลุ่ม ๙ ชั้น ยอดนภศูลเป็นโลหะฉลุโปร่งปิดทองทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ---------------------- #gr#grandpalacea#bangkokgrandpalaceh#thegrandpalaceh#thegrandpalacebangkokร#พระบรมมหาราชวังร#พระราชวังa#watphrakaewa#watphrasirattanasatsadarame#templeoftheemeraldbuddhah#theemeraldbuddhatempleั#วัดพระแก้วั#วัดพระแก้วมรกตั#วัดพระศรีรัตนศาสดารามร#พระแก้วร#พระแก้วมรกตa#bangkokh#thailandiampiya
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ใช้กล้องโทรศัพท์ซูมจากภายนอกพระอุโบสถ) เป็นพระพุทธรูปยืนแบบสมภังค์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง ๖ ศอกหล่อด้วยสัมฤทธิ์เป็นแกนในแล้วหุ้มทองคำหนัก ๖๓ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ทรงเครื่องต้นจักรพรรดิราชาธิราช พระพุทธรูปมีพระพักตร์เป็นรูปวงรี พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว แย้มสรวล และพระกรรณค่อนข้างยาว มีอุณาโลมบนพระนลาฏ ทรงชฎามงกุฎ ประกอบด้วยกรรเจียกจร พระพุทธรูปแสดงปางห้ามสมุทร หรืออภัย มุทราด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปช้างหน้า นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกันทั้ง ๔ นิ้ว องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา มีชายอุตราสงค์ซ้อนทบพาดเหนือพระอังสาช้ายปลายจรดพระนาภี เครื่องแต่งพระองค์ ประกอบด้วยกรองศอ อีกทั้งช่อดอกไม้ประดับ ด้านหน้าพระศอ สังวาลเฉวียง พระอังสาทั้งสองข้างประดับด้วยทับทรวงบริเวณ กึ่งกลางพระอุระ ทรงพาหุรัด ทองกร พระธำมรงค์ทุกนิ้วพระหัตถ์ ทรงสายรัดพระองค์ซึ่งมีปั้นเหน่งรูปดอกไม้แปดเหลี่ยมประดับเบื้องหน้า ด้านล่างของปั่นเหน่งมีสุวรรณกระถอบห้อยอยู่เบื้องหน้าของเจียระบาด และอันตรวาสก กับทั้ง มีชายไหว ชายแครงเป็นลายกนกใบเทศซ้อนกันสามชั้น ทรงทองพระบาทและฉลองพระบาทเชิงงอน พระพุทธรูปประทับยืนบนปัทมาสน์ประดับด้วยกลีบบัว และเกสรเหนือฐานแข้งสิงห์จำหลักลายมีสิงห์แบก ครุฑแบกและเทวดาแบก ลดหลั่นกันตามลำดับ พระพุทธปฏิมาองค์นี้สูงจากฐานถึงยอดมงกกุฎ ๓ เมตร กางกั้นด้วยสัปตปฎล สุวรรณฉัตรคันดาน ที่มา : หอสมุดพิกุลศิลปาคาร #พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ #พระพุทธเลิศหล้านภาไลย #พระยืน #ทอง #วัดพระแก้ว #พระบรมมหาราชวัง #grandpalacebangkok #thailand #bangkok
    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ใช้กล้องโทรศัพท์ซูมจากภายนอกพระอุโบสถ) เป็นพระพุทธรูปยืนแบบสมภังค์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง ๖ ศอกหล่อด้วยสัมฤทธิ์เป็นแกนในแล้วหุ้มทองคำหนัก ๖๓ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ทรงเครื่องต้นจักรพรรดิราชาธิราช พระพุทธรูปมีพระพักตร์เป็นรูปวงรี พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว แย้มสรวล และพระกรรณค่อนข้างยาว มีอุณาโลมบนพระนลาฏ ทรงชฎามงกุฎ ประกอบด้วยกรรเจียกจร พระพุทธรูปแสดงปางห้ามสมุทร หรืออภัย มุทราด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปช้างหน้า นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกันทั้ง ๔ นิ้ว องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา มีชายอุตราสงค์ซ้อนทบพาดเหนือพระอังสาช้ายปลายจรดพระนาภี เครื่องแต่งพระองค์ ประกอบด้วยกรองศอ อีกทั้งช่อดอกไม้ประดับ ด้านหน้าพระศอ สังวาลเฉวียง พระอังสาทั้งสองข้างประดับด้วยทับทรวงบริเวณ กึ่งกลางพระอุระ ทรงพาหุรัด ทองกร พระธำมรงค์ทุกนิ้วพระหัตถ์ ทรงสายรัดพระองค์ซึ่งมีปั้นเหน่งรูปดอกไม้แปดเหลี่ยมประดับเบื้องหน้า ด้านล่างของปั่นเหน่งมีสุวรรณกระถอบห้อยอยู่เบื้องหน้าของเจียระบาด และอันตรวาสก กับทั้ง มีชายไหว ชายแครงเป็นลายกนกใบเทศซ้อนกันสามชั้น ทรงทองพระบาทและฉลองพระบาทเชิงงอน พระพุทธรูปประทับยืนบนปัทมาสน์ประดับด้วยกลีบบัว และเกสรเหนือฐานแข้งสิงห์จำหลักลายมีสิงห์แบก ครุฑแบกและเทวดาแบก ลดหลั่นกันตามลำดับ พระพุทธปฏิมาองค์นี้สูงจากฐานถึงยอดมงกกุฎ ๓ เมตร กางกั้นด้วยสัปตปฎล สุวรรณฉัตรคันดาน ที่มา : หอสมุดพิกุลศิลปาคาร #พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ #พระพุทธเลิศหล้านภาไลย #พระยืน #ทอง #วัดพระแก้ว #พระบรมมหาราชวัง #grandpalacebangkok #thailand #bangkok
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 31 0 รีวิว
  • จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้….

    ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!!

    ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
    ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน
    ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน
    ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า……
    “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……”
    ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน
    เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore)
    เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..…

    เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน
    2001 ที่ Ljubljana, Slovenia
    คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น
    ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม)
    แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ
    เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

    ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร?
    เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย”
    ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้
    เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร……

    ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย
    และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ
    ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ

    ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม
    พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

    หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย
    บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง)
    อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน
    ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ
    ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน
    และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan
    ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง
    เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น
    ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต
    เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000
    ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี
    ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า
    “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ
    และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…”

    การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช)
    ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม
    และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน
    ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน)
    ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ
    ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ…

    รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย)
    แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น
    อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง…
    และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน
    American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า
    “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……”
    “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..”
    “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..”
    แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป

    สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม
    และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน
    ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน
    เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า
    “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “
    และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย

    แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า
    นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ
    ABM (Anti-Ballistic Missile)
    เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี..

    การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน
    ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก)
    โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที
    ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
    แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู
    และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้
    พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา
    ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย
    และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า
    ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!!

    ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์
    เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก)
    เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร
    เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม
    คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์
    ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……”
    เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร

    ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ
    ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
    เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?”
    คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ……
    ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย
    วิตก……
    กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก
    เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ

    ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา
    ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย
    กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
    ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!!
    การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย
    แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน
    มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
    แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี

    ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่
    ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน
    ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ
    ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข
    แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ)
    เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย

    คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..”
    ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น
    ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว
    เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!!
    และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…)
    ว่า……

    “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………”

    **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006

    Wiwanda W. Vichit
    จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้…. ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!! ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า…… “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……” ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore) เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..… เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน 2001 ที่ Ljubljana, Slovenia คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม) แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย” ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้ เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร…… ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง) อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000 ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…” การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช) ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน) ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ… รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย) แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง… และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……” “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..” “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..” แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “ และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ ABM (Anti-Ballistic Missile) เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี.. การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้ พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!! ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์ เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก) เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์ ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……” เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?” คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ…… ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย วิตก…… กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!! การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ) เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..” ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!! และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…) ว่า…… “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………” **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • Queen - Bohemian Rhapsody (Buckingham Palace Garden, 2002)
    Queen - Bohemian Rhapsody (Buckingham Palace Garden, 2002)
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 47 0 รีวิว
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2749 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน
    ผ้าไหมพื้นเรียบ ทอพิเศษ ถมดิ้นทอง พระภูษาลายพุ่มข้าวบินฑ์ยกทอง
    ทรงห่มผ้าทรงสะพักประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
    [28 กรกฎาคม 2567]
    .
    คำว่าพุ่มข้าวบิณฑ์ในทางช่างศิลป์ไทยแต่เดิมกำหนดเอารูปแบบ สวดทรงจากบาตรพระ โดยใช้สมมุติฐานเอาไว้ว่าถ้าพระภิกษุนำเอาบาตรออกบิณฑบาตตอนเช้าตรู่เพื่อเลี้ยง ชีพอันเป็นกิจวัตรหากผู้คนที่ตัก ข้าวใส่บาตรพระจนเต็มและพูนสูงขึ้นจนถึงที่สุดแล้ว(เป็น การสมมุติ เชิงศิลปะ) ทั้งนี้ไม่ต้องปิดฝาบาตรรูปทรงภายนอกของบาตรและข้าวที่บิณฑบาตได้ก็จะเข้ารูปส่งท้ายกับดอกบัวตูม เพราะถ้าพิจารณาดู แล้วส่วนก้นบาดของพระเป็นแบบมนๆ ค่อนข้างแหลมแหลม ถ้าวางไว้เฉพาะบาทบาทจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งวางให้ตรงๆไม่ได้ จึงต้องเชิงบาทเข้ารอบ รับจึงจะวางตรงได้ ช่วงที่เกิดจาก ท่าบิณฑบาตนี้ ท่านโบราณอาจารย์ในทางการช่างศิลปะไทยได้ขนานนามไว้ว่า “ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์”
    .
    ชุดไทยบรมพิมาน : ตั้งตามชื่อพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน เสื้อแขนยาว คอกลมมีขอบตั้ง ตัวเสื้อและซิ่นติดกันเป็นชุดเดียว ตัดเย็บด้วยผ้าไหมที่มีทองแกมหรือ ยกทองทั้งตัวก็ได้ นุ่งจีบแล้วใช้เข็มขัดไทยคาด
    ----
    THAI NATIONAL ATTIRE IN THAI BOROMPHIMAN WITH
    THAI METAL-THREAD BROCADE PHUM KAO BIN MOTIF
    AND DECORATE’ S SHOULDER SASH OF THE MOST ILLUSTIOUS ORDER OF THE ROYAL HOUSE OF CHAKRI
    .
    Phum Khao Bin In Thai artisans, originally the style was specified. Praying from the monk's bowl Using the assumption that if the monks took their alms bowls to go out for alms early in the morning to earn a living as a routine practice, if the people who scooped rice into the monk's alms bowls were full and piled up to the max (this is an artistic supposition). There is no need to close the lid of the alms bowl. The outer shape of the alms bowl and the rice received will be shaped like a lotus bud. Because if you look at it, the bottom of the bowl is round and rather pointed. If placed only on the footpath, it will tilt to one side and cannot be placed straight. Therefore, you have to put your feet around it to be able to place it straight. The part that occurs from this alms-giving posture, the ancient teachers in Thai art called it the “rice bundle shape”.
    .
    Thai Boromphiman is a one-piece dress with long- sleeved plain bodice and stand collar. The silk and metal-thread brocade skirt with a sewn-in front pleat reflects the pleated hip wrappers worn by the women of the court in the nineteenth century. The style is named after Borom Phiman Mansion, on the grounds of the Grand Palace, and is worn for formal events and official ceremonies; it can also be worn by royal brides.
    ____________________________________
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี
    Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    ฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน ผ้าไหมพื้นเรียบ ทอพิเศษ ถมดิ้นทอง พระภูษาลายพุ่มข้าวบินฑ์ยกทอง ทรงห่มผ้าทรงสะพักประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ [28 กรกฎาคม 2567] . คำว่าพุ่มข้าวบิณฑ์ในทางช่างศิลป์ไทยแต่เดิมกำหนดเอารูปแบบ สวดทรงจากบาตรพระ โดยใช้สมมุติฐานเอาไว้ว่าถ้าพระภิกษุนำเอาบาตรออกบิณฑบาตตอนเช้าตรู่เพื่อเลี้ยง ชีพอันเป็นกิจวัตรหากผู้คนที่ตัก ข้าวใส่บาตรพระจนเต็มและพูนสูงขึ้นจนถึงที่สุดแล้ว(เป็น การสมมุติ เชิงศิลปะ) ทั้งนี้ไม่ต้องปิดฝาบาตรรูปทรงภายนอกของบาตรและข้าวที่บิณฑบาตได้ก็จะเข้ารูปส่งท้ายกับดอกบัวตูม เพราะถ้าพิจารณาดู แล้วส่วนก้นบาดของพระเป็นแบบมนๆ ค่อนข้างแหลมแหลม ถ้าวางไว้เฉพาะบาทบาทจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งวางให้ตรงๆไม่ได้ จึงต้องเชิงบาทเข้ารอบ รับจึงจะวางตรงได้ ช่วงที่เกิดจาก ท่าบิณฑบาตนี้ ท่านโบราณอาจารย์ในทางการช่างศิลปะไทยได้ขนานนามไว้ว่า “ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์” . ชุดไทยบรมพิมาน : ตั้งตามชื่อพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน เสื้อแขนยาว คอกลมมีขอบตั้ง ตัวเสื้อและซิ่นติดกันเป็นชุดเดียว ตัดเย็บด้วยผ้าไหมที่มีทองแกมหรือ ยกทองทั้งตัวก็ได้ นุ่งจีบแล้วใช้เข็มขัดไทยคาด ---- THAI NATIONAL ATTIRE IN THAI BOROMPHIMAN WITH THAI METAL-THREAD BROCADE PHUM KAO BIN MOTIF AND DECORATE’ S SHOULDER SASH OF THE MOST ILLUSTIOUS ORDER OF THE ROYAL HOUSE OF CHAKRI . Phum Khao Bin In Thai artisans, originally the style was specified. Praying from the monk's bowl Using the assumption that if the monks took their alms bowls to go out for alms early in the morning to earn a living as a routine practice, if the people who scooped rice into the monk's alms bowls were full and piled up to the max (this is an artistic supposition). There is no need to close the lid of the alms bowl. The outer shape of the alms bowl and the rice received will be shaped like a lotus bud. Because if you look at it, the bottom of the bowl is round and rather pointed. If placed only on the footpath, it will tilt to one side and cannot be placed straight. Therefore, you have to put your feet around it to be able to place it straight. The part that occurs from this alms-giving posture, the ancient teachers in Thai art called it the “rice bundle shape”. . Thai Boromphiman is a one-piece dress with long- sleeved plain bodice and stand collar. The silk and metal-thread brocade skirt with a sewn-in front pleat reflects the pleated hip wrappers worn by the women of the court in the nineteenth century. The style is named after Borom Phiman Mansion, on the grounds of the Grand Palace, and is worn for formal events and official ceremonies; it can also be worn by royal brides. ____________________________________ #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 690 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน
    ผ้าไหมยกดอก ลายพุทธชาดรวงผึ้ง
    [ 27 กรกฎาคม 2567]
    .
    ลายพุทธชาดรวงผึ้ง เป็นลายคล้ายดอกพุดที่นำมาร้อยเป็นตาข่ายในรูปแบบต่างๆในงานร้อยมาลัยของไทย บ่งบอกถึงลวดลายความเป็นไทยละเอียดสวยงาม วิจิตรบรรจง
    .
    ชุดไทยบรมพิมาน : ตั้งตามชื่อพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน เสื้อแขนยาว คอกลมมีขอบตั้ง ตัวเสื้อและซิ่นติดกันเป็นชุดเดียว ตัดเย็บด้วยผ้าไหมที่มีทองแกมหรือ ยกทองทั้งตัวก็ได้ นุ่งจีบแล้วใช้เข็มขัดไทยคาด
    ----
    HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEARS THAI NATIONAL ATTIRE IN THAI BOROMPHIMAN WITH THAI BROCADE
    PHUTTHA CHARD RUANG PHUENG MOTIF
    .
    Phuttha Chad Ruang Phueng Motif is a pattern similar to the jasmine flower that is woven into a net in various forms in Thai garland weaving. It reflects the delicate, beautiful, and intricate Thai patterns.

    Thai Boromphiman is a one-piece dress with long- sleeved plain bodice and stand collar. The silk and metal-thread brocade skirt with a sewn-in front pleat reflects the pleated hip wrappers worn by the women of the court in the nineteenth century. The style is named after Borom Phiman Mansion, on the grounds of the Grand Palace, and is worn for formal events and official ceremonies; it can also be worn by royal brides.
    ____________________________________
    ##พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน ผ้าไหมยกดอก ลายพุทธชาดรวงผึ้ง [ 27 กรกฎาคม 2567] . ลายพุทธชาดรวงผึ้ง เป็นลายคล้ายดอกพุดที่นำมาร้อยเป็นตาข่ายในรูปแบบต่างๆในงานร้อยมาลัยของไทย บ่งบอกถึงลวดลายความเป็นไทยละเอียดสวยงาม วิจิตรบรรจง . ชุดไทยบรมพิมาน : ตั้งตามชื่อพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน เสื้อแขนยาว คอกลมมีขอบตั้ง ตัวเสื้อและซิ่นติดกันเป็นชุดเดียว ตัดเย็บด้วยผ้าไหมที่มีทองแกมหรือ ยกทองทั้งตัวก็ได้ นุ่งจีบแล้วใช้เข็มขัดไทยคาด ---- HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEARS THAI NATIONAL ATTIRE IN THAI BOROMPHIMAN WITH THAI BROCADE PHUTTHA CHARD RUANG PHUENG MOTIF . Phuttha Chad Ruang Phueng Motif is a pattern similar to the jasmine flower that is woven into a net in various forms in Thai garland weaving. It reflects the delicate, beautiful, and intricate Thai patterns. Thai Boromphiman is a one-piece dress with long- sleeved plain bodice and stand collar. The silk and metal-thread brocade skirt with a sewn-in front pleat reflects the pleated hip wrappers worn by the women of the court in the nineteenth century. The style is named after Borom Phiman Mansion, on the grounds of the Grand Palace, and is worn for formal events and official ceremonies; it can also be worn by royal brides. ____________________________________ ##พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 649 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 กรกฎาคม 2567
    ในหลวง พระราชินี เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

    #KingVajiralongkorn #QueenSuthida presided over to the religious service marked the annual Asalha Puja, the First Sermon at the Temple of Emerald Buddha in the Grand Palace.

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี
    20 กรกฎาคม 2567 ในหลวง พระราชินี เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง #KingVajiralongkorn #QueenSuthida presided over to the religious service marked the annual Asalha Puja, the First Sermon at the Temple of Emerald Buddha in the Grand Palace. #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 กรกฎาคม 2567
    ในหลวง พระราชินี เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

    #KingVajiralongkorn #QueenSuthida presided over to the religious service marked the annual Asalha Puja, the First Sermon at the Temple of Emerald Buddha in the Grand Palace.

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี
    20 กรกฎาคม 2567 ในหลวง พระราชินี เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง #KingVajiralongkorn #QueenSuthida presided over to the religious service marked the annual Asalha Puja, the First Sermon at the Temple of Emerald Buddha in the Grand Palace. #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว