• นักข่าวเขมรแค่พูดความจริง ฮุนเซนสั่งเล่นงานแบบนี้… (22/8/68)

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    #กัมพูชา
    #ฮุนเซน
    #นักข่าว
    #เสรีภาพสื่อ
    #เขมร
    #ข่าวต่างประเทศ
    #CambodiaNews
    #FreePress
    นักข่าวเขมรแค่พูดความจริง ฮุนเซนสั่งเล่นงานแบบนี้… (22/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #thaitimes #news1 #shorts #กัมพูชา #ฮุนเซน #นักข่าว #เสรีภาพสื่อ #เขมร #ข่าวต่างประเทศ #CambodiaNews #FreePress
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เมื่อการ “ค้นหา” กลายเป็นอาชญากรรม – และเสรีภาพออนไลน์ในรัสเซียก็หายไปอีกขั้น

    Artyom วัยรุ่นชาวรัสเซียคนหนึ่งเล่าว่า เขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ แต่หลังวันที่ 1 กันยายน 2025 เขาอาจต้องระวังทุกคลิก เพราะกฎหมายใหม่ของรัสเซียระบุว่า “การค้นหาเนื้อหาสุดโต่ง” บนอินเทอร์เน็ตถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับ

    คำว่า “สุดโต่ง” ในบริบทของรัสเซียมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายไปจนถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น Alexei Navalny หรือแม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้

    กฎหมายนี้ลงโทษผู้ที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาดังกล่าว โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 3,000 ถึง 5,000 รูเบิล (ประมาณ 37–63 ดอลลาร์) แม้จะใช้ VPN ก็ไม่รอด หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนา

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า กฎหมายนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” และอาจนำไปสู่การควบคุมแบบจีน ที่ประชาชนต้องกลัวแม้แต่การค้นหาข้อมูล

    แม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลบางคนก็ยังแสดงความกังวล โดยมี ส.ส. ถึง 60 คนในสภาดูมาที่ลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในรัสเซีย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัสเซียออกกฎหมายใหม่ลงโทษผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาสุดโต่ง
    คำว่า “สุดโต่ง” ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายค้าน และ LGBTQ
    โทษปรับอยู่ระหว่าง 3,000–5,000 รูเบิล สำหรับบุคคลทั่วไป
    การใช้ VPN ไม่ช่วย หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาในการค้นหา
    กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2025
    มี ส.ส. 60 คนลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ในสภาดูมา
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายนี้ละเมิดหลักการ “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ”
    ประชาชนหลายคนเริ่มกลัวการค้นหาข้อมูล แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป
    กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตหลังสงครามยูเครน
    มีการแบนโฆษณา VPN และเพิ่มโทษสำหรับผู้ให้บริการ VPN

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์จาก Amnesty International ว่าคลุมเครือและเปิดช่องให้ใช้โดยพลการ
    Yekaterina Mizulina จาก Safe Internet League เตือนว่ากฎหมายอาจกระทบการทำงานของตำรวจเอง
    การควบคุมอินเทอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022
    เว็บไซต์ข่าวอิสระ เช่น The Moscow Times ถูกจัดเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์”
    นักวิชาการเปรียบเทียบการควบคุมนี้กับระบบเซ็นเซอร์ของจีน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/online-behaviour-under-scrutiny-as-russia-hunts-039extremists039
    🎙️ เมื่อการ “ค้นหา” กลายเป็นอาชญากรรม – และเสรีภาพออนไลน์ในรัสเซียก็หายไปอีกขั้น Artyom วัยรุ่นชาวรัสเซียคนหนึ่งเล่าว่า เขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ แต่หลังวันที่ 1 กันยายน 2025 เขาอาจต้องระวังทุกคลิก เพราะกฎหมายใหม่ของรัสเซียระบุว่า “การค้นหาเนื้อหาสุดโต่ง” บนอินเทอร์เน็ตถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับ คำว่า “สุดโต่ง” ในบริบทของรัสเซียมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายไปจนถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น Alexei Navalny หรือแม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ กฎหมายนี้ลงโทษผู้ที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาดังกล่าว โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 3,000 ถึง 5,000 รูเบิล (ประมาณ 37–63 ดอลลาร์) แม้จะใช้ VPN ก็ไม่รอด หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า กฎหมายนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” และอาจนำไปสู่การควบคุมแบบจีน ที่ประชาชนต้องกลัวแม้แต่การค้นหาข้อมูล แม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลบางคนก็ยังแสดงความกังวล โดยมี ส.ส. ถึง 60 คนในสภาดูมาที่ลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในรัสเซีย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัสเซียออกกฎหมายใหม่ลงโทษผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาสุดโต่ง ➡️ คำว่า “สุดโต่ง” ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายค้าน และ LGBTQ ➡️ โทษปรับอยู่ระหว่าง 3,000–5,000 รูเบิล สำหรับบุคคลทั่วไป ➡️ การใช้ VPN ไม่ช่วย หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาในการค้นหา ➡️ กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2025 ➡️ มี ส.ส. 60 คนลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ในสภาดูมา ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายนี้ละเมิดหลักการ “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” ➡️ ประชาชนหลายคนเริ่มกลัวการค้นหาข้อมูล แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป ➡️ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตหลังสงครามยูเครน ➡️ มีการแบนโฆษณา VPN และเพิ่มโทษสำหรับผู้ให้บริการ VPN ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์จาก Amnesty International ว่าคลุมเครือและเปิดช่องให้ใช้โดยพลการ ➡️ Yekaterina Mizulina จาก Safe Internet League เตือนว่ากฎหมายอาจกระทบการทำงานของตำรวจเอง ➡️ การควบคุมอินเทอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022 ➡️ เว็บไซต์ข่าวอิสระ เช่น The Moscow Times ถูกจัดเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์” ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบการควบคุมนี้กับระบบเซ็นเซอร์ของจีน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/online-behaviour-under-scrutiny-as-russia-hunts-039extremists039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online behaviour under scrutiny as Russia hunts 'extremists'
    Since launching its offensive in Ukraine in 2022, Russia has drastically restricted press freedom and freedom of speech online.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวคิดเรื่อง ‘เสรีภาพสื่อ’ ที่ประเทศสมาชิกนาโตประกาศถึงความชอบธรรมอย่างไม่สิ้นสุดนั้นหมดความหมายไปในทันที เมื่ออิสราเอลการกระทำอันโหดร้ายต่อสื่ออีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาสังหารนักข่าวในพื้นที่ฉนวนกาซามากมายโดยไม่มีชาติใดกล้าออกมาประณาม

    เมื่อใดก็ตามที่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร หรือสหภาพยุโรปพูดถึงเรื่องเสรีภาพสื่อหรือสิทธิมนุษยชน นั่นเป็นเพียงอาวุธที่ใช้โจมตีประเทศที่เป็น ‘ศัตรู’ พวกเขาเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของฝ่ายนาโตหรือพันธมิตรนาโต พวกเขาจะเหยียบย่ำทำลายเสรีภาพสื่ออย่างไรก็ได้ แม้แต่การใช้ขีปนาวุธ
    แนวคิดเรื่อง ‘เสรีภาพสื่อ’ ที่ประเทศสมาชิกนาโตประกาศถึงความชอบธรรมอย่างไม่สิ้นสุดนั้นหมดความหมายไปในทันที เมื่ออิสราเอลการกระทำอันโหดร้ายต่อสื่ออีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาสังหารนักข่าวในพื้นที่ฉนวนกาซามากมายโดยไม่มีชาติใดกล้าออกมาประณาม เมื่อใดก็ตามที่สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร หรือสหภาพยุโรปพูดถึงเรื่องเสรีภาพสื่อหรือสิทธิมนุษยชน นั่นเป็นเพียงอาวุธที่ใช้โจมตีประเทศที่เป็น ‘ศัตรู’ พวกเขาเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของฝ่ายนาโตหรือพันธมิตรนาโต พวกเขาจะเหยียบย่ำทำลายเสรีภาพสื่ออย่างไรก็ได้ แม้แต่การใช้ขีปนาวุธ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 36 0 รีวิว
  • สมาคมนักข่าวฯ ออกแถลงการณ์เตือนทีมงานนายกฯ ปมเผยแพร่ภาพสื่อมวลชนหลังตั้งคำถามประเด็นไทย-กัมพูชา ชี้เข้าข่ายคุกคาม สร้างบรรยากาศหวาดกลัว เรียกร้องรัฐเคารพเสรีภาพสื่อและคุ้มครองความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000054856

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สมาคมนักข่าวฯ ออกแถลงการณ์เตือนทีมงานนายกฯ ปมเผยแพร่ภาพสื่อมวลชนหลังตั้งคำถามประเด็นไทย-กัมพูชา ชี้เข้าข่ายคุกคาม สร้างบรรยากาศหวาดกลัว เรียกร้องรัฐเคารพเสรีภาพสื่อและคุ้มครองความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000054856 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 508 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเมืองไทยมีความซับซ้อนและมีปัญหาหลายด้านที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ปัญหาหลักๆ และแนวทางการแก้ไขอาจรวมถึง以下几个方面:

    ### 1. **ปัญหาความแตกแยกและความขัดแย้งทางการเมือง**
    - **สาเหตุ**: ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เช่น คณะรัฐประหาร ประชาชน และพรรคการเมือง
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ส่งเสริม **การเจรจาและปรองดอง** ระหว่างกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกัน
    - ลดการใช้อำนาจรัฐเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
    - สร้างกลไกแก้ไขความขัดแย้งที่เป็นกลาง เช่น คณะกรรมการอิสระ

    ### 2. **ระบบเลือกตั้งที่ไม่สมบูรณ์**
    - **สาเหตุ**: ระบบเลือกตั้งอาจไม่สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง เช่น การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคใหญ่
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ปรับปรุง **ระบบเลือกตั้ง** ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น ใช้ระบบสัดส่วนผสม (Mixed-Member Proportional: MMP)
    - เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีส่วนร่วมในสภา
    - ป้องกันการทุจริตเลือกตั้งด้วยเทคโนโลยีและกลไกตรวจสอบ

    ### 3. **ปัญหาอำนาจนอกระบบ (อำนาจนอกการเมือง)**
    - **สาเหตุ**: การแทรกแซงทางการเมืองโดยสถาบันอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - เสริมสร้าง **หลักนิติธรรม** และลดบทบาทของอำนาจนอกระบบในการเมือง
    - ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้กองทัพและองค์กรอิสระอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน

    ### 4. **การทุจริตและระบบอุปถัมภ์**
    - **สาเหตุ**: การคอร์รัปชันในวงราชการและระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้การเมืองไทยไม่โปร่งใส
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - เสริมสร้าง **กลไกตรวจสอบ** เช่น ปรับปรุงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.)
    - เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data) เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้
    - ส่งเสริมวัฒนธรรมการต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับการศึกษา

    ### 5. **การกระจายอำนาจที่ไม่ทั่วถึง**
    - **สาเหตุ**: อำนาจยังรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และรัฐบาลกลาง ทำให้ท้องถิ่นขาดอิสระ
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - **กระจายอำนาจการปกครอง** ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น
    - ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณเอง

    ### 6. **ปัญหาการเซ็นเซอร์และเสรีภาพสื่อ**
    - **สาเหตุ**: การควบคุมสื่อโดยรัฐ และการใช้กฎหมายเช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพื่อจำกัดเสรีภาพ
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อ
    - ส่งเสริมสื่ออิสระและปลอดจากการแทรกแซงของรัฐ

    ### 7. **การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม**
    - **สาเหตุ**: กระบวนการยุติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ปรับปรุงระบบตุลาการให้เป็นอิสระและเป็นกลาง
    - ตรวจสอบการใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

    ### 8. **การมีส่วนร่วมของประชาชน**
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ส่งเสริม **ประชาธิปไตยทางตรง** เช่น การลงประชามติในประเด็นสำคัญ
    - ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรับฟังความเห็นประชาชน (E-Participation)

    ### **สรุป**
    การเมืองไทยต้องการการปฏิรูปหลายด้าน ทั้งระบบเลือกตั้ง การลดอำนาจนอกระบบ การต่อต้านคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจ และการส่งเสริมเสรีภาพ หากแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การเมืองไทยมีความมั่นคงและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

    คุณคิดว่าประเด็นไหนสำคัญที่สุดหรือควรเริ่มแก้ไขก่อน?
    การเมืองไทยมีความซับซ้อนและมีปัญหาหลายด้านที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ปัญหาหลักๆ และแนวทางการแก้ไขอาจรวมถึง以下几个方面: ### 1. **ปัญหาความแตกแยกและความขัดแย้งทางการเมือง** - **สาเหตุ**: ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เช่น คณะรัฐประหาร ประชาชน และพรรคการเมือง - **แนวทางแก้ไข**: - ส่งเสริม **การเจรจาและปรองดอง** ระหว่างกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกัน - ลดการใช้อำนาจรัฐเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม - สร้างกลไกแก้ไขความขัดแย้งที่เป็นกลาง เช่น คณะกรรมการอิสระ ### 2. **ระบบเลือกตั้งที่ไม่สมบูรณ์** - **สาเหตุ**: ระบบเลือกตั้งอาจไม่สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง เช่น การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคใหญ่ - **แนวทางแก้ไข**: - ปรับปรุง **ระบบเลือกตั้ง** ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น ใช้ระบบสัดส่วนผสม (Mixed-Member Proportional: MMP) - เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีส่วนร่วมในสภา - ป้องกันการทุจริตเลือกตั้งด้วยเทคโนโลยีและกลไกตรวจสอบ ### 3. **ปัญหาอำนาจนอกระบบ (อำนาจนอกการเมือง)** - **สาเหตุ**: การแทรกแซงทางการเมืองโดยสถาบันอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง - **แนวทางแก้ไข**: - เสริมสร้าง **หลักนิติธรรม** และลดบทบาทของอำนาจนอกระบบในการเมือง - ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้กองทัพและองค์กรอิสระอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน ### 4. **การทุจริตและระบบอุปถัมภ์** - **สาเหตุ**: การคอร์รัปชันในวงราชการและระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้การเมืองไทยไม่โปร่งใส - **แนวทางแก้ไข**: - เสริมสร้าง **กลไกตรวจสอบ** เช่น ปรับปรุงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) - เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data) เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ - ส่งเสริมวัฒนธรรมการต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับการศึกษา ### 5. **การกระจายอำนาจที่ไม่ทั่วถึง** - **สาเหตุ**: อำนาจยังรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และรัฐบาลกลาง ทำให้ท้องถิ่นขาดอิสระ - **แนวทางแก้ไข**: - **กระจายอำนาจการปกครอง** ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น - ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณเอง ### 6. **ปัญหาการเซ็นเซอร์และเสรีภาพสื่อ** - **สาเหตุ**: การควบคุมสื่อโดยรัฐ และการใช้กฎหมายเช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพื่อจำกัดเสรีภาพ - **แนวทางแก้ไข**: - ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อ - ส่งเสริมสื่ออิสระและปลอดจากการแทรกแซงของรัฐ ### 7. **การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม** - **สาเหตุ**: กระบวนการยุติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง - **แนวทางแก้ไข**: - ปรับปรุงระบบตุลาการให้เป็นอิสระและเป็นกลาง - ตรวจสอบการใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ### 8. **การมีส่วนร่วมของประชาชน** - **แนวทางแก้ไข**: - ส่งเสริม **ประชาธิปไตยทางตรง** เช่น การลงประชามติในประเด็นสำคัญ - ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรับฟังความเห็นประชาชน (E-Participation) ### **สรุป** การเมืองไทยต้องการการปฏิรูปหลายด้าน ทั้งระบบเลือกตั้ง การลดอำนาจนอกระบบ การต่อต้านคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจ และการส่งเสริมเสรีภาพ หากแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การเมืองไทยมีความมั่นคงและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คุณคิดว่าประเด็นไหนสำคัญที่สุดหรือควรเริ่มแก้ไขก่อน?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 รีวิว
  • 56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก
    ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย

    รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ

    ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั

    ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่"

    “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย
    🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464
    เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต
    จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ

    ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว”

    นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501)

    ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน"

    เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง!
    วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์
    ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง
    ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน

    แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น
    นายอิสระ
    มะงุมมะงาหรา
    ธนุธร
    ดร.x XYZ

    🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ

    ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว
    หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์

    อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

    เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม"

    จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ
    ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว
    ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน
    ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

    อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์"

    นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย
    นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486)
    เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง
    🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค

    "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..."
    "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..."

    จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา
    ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน

    "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ"

    แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น

    แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม
    ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ

    "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา

    วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง

    🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์"
    แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ

    ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน"

    สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล”
    นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์
    เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา
    จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์
    ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม

    คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน"

    “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568

    #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ 📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั 💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่" “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย 🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต 🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501) 💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน" เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง! 📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์ 🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น ✨ นายอิสระ ✨ มะงุมมะงาหรา ✨ ธนุธร ✨ ดร.x XYZ 🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว 📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์ 📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา 🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม" จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ 💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว 🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์" นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย 📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486) 🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง 🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..." "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..." จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา 📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ" แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น 📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม 📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง 🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์" แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน" สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล” ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์ ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์ ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม 🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน" “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568 🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1607 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อแจ้งตำรวจบุกจับสื่อ แต่องค์กรสื่อที่เรียกร้องเสรีภาพสื่อไม่หือไม่อือซักแอะ ประชาธิปไตยของโคตรคนดีย์
    สื่อแจ้งตำรวจบุกจับสื่อ แต่องค์กรสื่อที่เรียกร้องเสรีภาพสื่อไม่หือไม่อือซักแอะ ประชาธิปไตยของโคตรคนดีย์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk อัด Volodymyr Zelenskyy ผู้นำยูเครนแบบจุกๆ สามดอกเน้นๆ
    .
    ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X เขียนว่า "Zelenskyy ไม่ต้องการสันติภาพ เขาต้องการเงินและอำนาจ"
    ซึ่ง Musk ตอบกลับด้วยอีโมจิ "100" เพื่อแสดงถึงความเห็นด้วย
    .
    ต่อมาเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแถลงการณ์ของประธานาธิบดี Zelenskyy ยูเครนว่าคะแนนความนิยมของเขาอยู่ที่ 57%
    Musk โพสต์ข้อความตอบกลับว่า "ถ้าอย่างนั้น เขาคงดีใจกับความคิดที่จะมีการเลือกตั้ง ถ้าเขาเป็นที่นิยมขนาดนั้น!"
    .
    ปิดท้ายด้วยการตอบกลับข้อความความของ Rapid Response 47 ที่ว่า
    "ในอเมริกา เราจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก 4 ปี แม้แต่ในยามสงคราม
    เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามกลางเมือง
    เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
    ก่อนที่ประธานาธิบดี Zelenskyy จะมาสั่งสอนประธานาธิบดีอเมริกันอีก เขาควรจัดการเลือกตั้งด้วย"
    Musk สนับสนุนว่า "Zelenskyy ไม่สามารถอ้างว่าเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของประชาชนยูเครนได้ ถ้าไม่ฟื้นฟูเสรีภาพสื่อและยังคงยกเลิกการเลือกตั้ง!"
    พรุ่งนี้ถ้า Elon Musk จะเดินไปปิด Starlink ของยูเครนก็คงไม่แปลกใจแล้วล่ะ
    Elon Musk อัด Volodymyr Zelenskyy ผู้นำยูเครนแบบจุกๆ สามดอกเน้นๆ . ผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X เขียนว่า "Zelenskyy ไม่ต้องการสันติภาพ เขาต้องการเงินและอำนาจ" ซึ่ง Musk ตอบกลับด้วยอีโมจิ "100" เพื่อแสดงถึงความเห็นด้วย . ต่อมาเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแถลงการณ์ของประธานาธิบดี Zelenskyy ยูเครนว่าคะแนนความนิยมของเขาอยู่ที่ 57% Musk โพสต์ข้อความตอบกลับว่า "ถ้าอย่างนั้น เขาคงดีใจกับความคิดที่จะมีการเลือกตั้ง ถ้าเขาเป็นที่นิยมขนาดนั้น!" . ปิดท้ายด้วยการตอบกลับข้อความความของ Rapid Response 47 ที่ว่า "ในอเมริกา เราจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก 4 ปี แม้แต่ในยามสงคราม เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามกลางเมือง เราจัดการเลือกตั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนที่ประธานาธิบดี Zelenskyy จะมาสั่งสอนประธานาธิบดีอเมริกันอีก เขาควรจัดการเลือกตั้งด้วย" Musk สนับสนุนว่า "Zelenskyy ไม่สามารถอ้างว่าเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของประชาชนยูเครนได้ ถ้าไม่ฟื้นฟูเสรีภาพสื่อและยังคงยกเลิกการเลือกตั้ง!" พรุ่งนี้ถ้า Elon Musk จะเดินไปปิด Starlink ของยูเครนก็คงไม่แปลกใจแล้วล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 510 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตัดงบ USAID ส่งผลกระทบถึงสื่อทั่วโลก นักข่าวหลายพันชีวิต รวมทั้งสื่อหลายร้อยแห่งอาจต้องปิดตัวลง!

    องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน (RSF) เปิดเผยว่า การตัดเงินช่วยเหลือนี้ จะกระทบกับวงการสื่อ และนักข่าวหลายพันคน เพราะที่ผ่านมา USAID เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนนักข่าวกว่า 6,200 คน สื่อที่ไม่ใช่ของรัฐอีก 707 แห่ง และองค์กรพัฒนาเอกชนที่เน้นด้านสื่อ 279 แห่ง ในกว่า 30 ประเทศ (ข้อมูลปี 2023)

    สื่อในยูเครน อิหร่าน เบลารุส ระส่ำหนัก หลังโดนตัดเงินทุน!
    RSF เน้นย้ำว่า สื่ออิสระเหล่านี้ทำงานอย่างเสรีมีอิสระของเนื้อหา นอกจากนี้ USAID ยังเป็นผู้บริจาคหลักให้กับสื่ออิสระในยูเครน ซึ่งสื่อ 9 ใน 10 แห่งต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากองค์การนี้ โดยตอนนี้ สื่อของยูเครนหลายแห่งได้ประกาศระงับกิจกรรมและกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาอื่นๆ แล้ว

    ขณะเดียวกัน สื่อในประเทศอื่นๆ อย่างเบลารุส หรืออิหร่าน ก็ประกาศถึงการได้รับผลกระทบ และหยุดกิจกรรมบางส่วนไปแล้วเช่นกัน

    RSF ยังกล่าวอีกว่า สื่อเหล่านี้ เป็นนักข่าวอิสระโดยแท้จริง ที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่นในการตรวจสอบความโปร่งใสของการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ รวมไปถึงประเด็นเรื่องเสรีภาพ และการตรวจสอบรัฐบาลในหลายประเทศที่ยังคงมีความเป็นเผด็จการ ซึ่งเชื่อว่า การลดเงิน จะส่งผลต่อเสรีภาพสื่อ และการส่งเสริมประชาธิปไตยทั่วโลก
    การตัดงบ USAID ส่งผลกระทบถึงสื่อทั่วโลก นักข่าวหลายพันชีวิต รวมทั้งสื่อหลายร้อยแห่งอาจต้องปิดตัวลง! องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน (RSF) เปิดเผยว่า การตัดเงินช่วยเหลือนี้ จะกระทบกับวงการสื่อ และนักข่าวหลายพันคน เพราะที่ผ่านมา USAID เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนนักข่าวกว่า 6,200 คน สื่อที่ไม่ใช่ของรัฐอีก 707 แห่ง และองค์กรพัฒนาเอกชนที่เน้นด้านสื่อ 279 แห่ง ในกว่า 30 ประเทศ (ข้อมูลปี 2023) สื่อในยูเครน อิหร่าน เบลารุส ระส่ำหนัก หลังโดนตัดเงินทุน! RSF เน้นย้ำว่า สื่ออิสระเหล่านี้ทำงานอย่างเสรีมีอิสระของเนื้อหา นอกจากนี้ USAID ยังเป็นผู้บริจาคหลักให้กับสื่ออิสระในยูเครน ซึ่งสื่อ 9 ใน 10 แห่งต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากองค์การนี้ โดยตอนนี้ สื่อของยูเครนหลายแห่งได้ประกาศระงับกิจกรรมและกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาอื่นๆ แล้ว ขณะเดียวกัน สื่อในประเทศอื่นๆ อย่างเบลารุส หรืออิหร่าน ก็ประกาศถึงการได้รับผลกระทบ และหยุดกิจกรรมบางส่วนไปแล้วเช่นกัน RSF ยังกล่าวอีกว่า สื่อเหล่านี้ เป็นนักข่าวอิสระโดยแท้จริง ที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่นในการตรวจสอบความโปร่งใสของการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ รวมไปถึงประเด็นเรื่องเสรีภาพ และการตรวจสอบรัฐบาลในหลายประเทศที่ยังคงมีความเป็นเผด็จการ ซึ่งเชื่อว่า การลดเงิน จะส่งผลต่อเสรีภาพสื่อ และการส่งเสริมประชาธิปไตยทั่วโลก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิชาการสายโปรอเมริกา ไม่อยากให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS:

    เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการสายโปรอเมริกาที่จะต้องเข้าข้างอเมริกาครับ มี ๓ ประเด็นที่ควรพิจารณา

    ๑.ปรากฎการณ์ deglobalisation ก็ดี ปรากฎการณ์ dedollarisation ก็ดี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสหลังจากการที่ผู้นำหลายชาติที่สร้างกลุ่ม BRICS ขึ้นมา โดยเฉพาะรัสเซียและจีนพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยตรง แล้วพาชาวโลกที่เป็นสมาชิกหันไปเน้น localisation และ local currencies แทนทั้งนี้เพื่อลดการเป็นศูนย์กลางโลกของอเมริกาและอิทธิพลของกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ที่บงการโลกใบนี้ผ่านรัฐบาลอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา

    ๒.จริงอยู่แม้ว่าไทยจะได้ดุลย์การค้าจากอเมริกาและอียูบางประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าอเมริกาและอียูสามารถใช้ข้ออ้างเท็จ เช่น 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' 'รัฐบาลไทยเผด็จการ' หรือ 'การไร้เสรีภาพสื่อ' มาเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่นำเข้าอาหารทะเลจากไทย เป็นต้นได้

    ด้วยเหตุนี้ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้ประเทศไทยยังสามารถมีเอกราชในด้านนโยบายต่างประเทศและสามารถหาตลาดใหม่ๆ มารองรับ พร้อมทั้งลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากอเมริกาและอียูอย่างไม่เป็นธรรมได้

    ๓.ทรรศนคติของอาจารย์คนนี้หากรัฐบาลไทยหลงเชื่อตามจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของอเมริกาและอียูในเชิงนโยบายไปตลอด ผลก็คือแม้จะถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไปโดยไม่มีทางเลือกให้นั่นเองครับ
    ---------------------------------------------------------
    อาจารย์อธิบายว่า วันนี้เรามีคำใหม่คือ “ภาวะถดถอยของโลกาภิวัตน์” หรือ “ภาวะที่โลกาภิวัตน์ถูกหยุด” (Deglobalization) ซึ่งสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ คือผลกระทบกับ “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ทั่วโลก
    โจทย์ตรงนี้อาจจะต้องคิดต่อว่า ไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานนี้ เราจะจัดวางตัวเองอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
    การเข้าเป็นสมาชิก BRICS และ OECD ไม่ใช่ทางเลือกของไทยในช่วงที่สงครามการค้าระลอกใหม่เตรียมปะทุและโลกาภิวัตน์กำลังถดถอย เพราะตลาดของไทยไม่ได้อยู่กับจีนและรัสเซีย แต่ผลประโยชน์ของไทยในทางเศรษฐกิจอยู่กับสหรัฐและสหภาพยุโรป BRICS จึงไม่ใช่คำตอบ และไทยไม่สามารถเล่นบทแบบอินโดนีเซีย อินเดีย หรือแอฟริกาใต้ได้ เพราะไทย “มีต้นทุนต่ำ” คือสถานะทางเศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) ของไทยบนเวทีโลกอยู่ในระดับที่ใช้เป็นข้อต่อรองได้ไม่มากนัก การเข้าร่วมกลุ่มกับโลกใต้ (Global South) อาจไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คิด

    https://www.facebook.com/share/p/fVsomH5u1mcYVkPJ/



    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    นักวิชาการสายโปรอเมริกา ไม่อยากให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS: เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการสายโปรอเมริกาที่จะต้องเข้าข้างอเมริกาครับ มี ๓ ประเด็นที่ควรพิจารณา ๑.ปรากฎการณ์ deglobalisation ก็ดี ปรากฎการณ์ dedollarisation ก็ดี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสหลังจากการที่ผู้นำหลายชาติที่สร้างกลุ่ม BRICS ขึ้นมา โดยเฉพาะรัสเซียและจีนพัฒนาให้เกิดขึ้นโดยตรง แล้วพาชาวโลกที่เป็นสมาชิกหันไปเน้น localisation และ local currencies แทนทั้งนี้เพื่อลดการเป็นศูนย์กลางโลกของอเมริกาและอิทธิพลของกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ที่บงการโลกใบนี้ผ่านรัฐบาลอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา ๒.จริงอยู่แม้ว่าไทยจะได้ดุลย์การค้าจากอเมริกาและอียูบางประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าอเมริกาและอียูสามารถใช้ข้ออ้างเท็จ เช่น 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' 'รัฐบาลไทยเผด็จการ' หรือ 'การไร้เสรีภาพสื่อ' มาเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของไทย ด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่นำเข้าอาหารทะเลจากไทย เป็นต้นได้ ด้วยเหตุนี้ การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้ประเทศไทยยังสามารถมีเอกราชในด้านนโยบายต่างประเทศและสามารถหาตลาดใหม่ๆ มารองรับ พร้อมทั้งลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรจากอเมริกาและอียูอย่างไม่เป็นธรรมได้ ๓.ทรรศนคติของอาจารย์คนนี้หากรัฐบาลไทยหลงเชื่อตามจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของอเมริกาและอียูในเชิงนโยบายไปตลอด ผลก็คือแม้จะถูกอเมริกาและอียูคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็จะต้องก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไปโดยไม่มีทางเลือกให้นั่นเองครับ --------------------------------------------------------- อาจารย์อธิบายว่า วันนี้เรามีคำใหม่คือ “ภาวะถดถอยของโลกาภิวัตน์” หรือ “ภาวะที่โลกาภิวัตน์ถูกหยุด” (Deglobalization) ซึ่งสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ คือผลกระทบกับ “ห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) ทั่วโลก โจทย์ตรงนี้อาจจะต้องคิดต่อว่า ไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานนี้ เราจะจัดวางตัวเองอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ การเข้าเป็นสมาชิก BRICS และ OECD ไม่ใช่ทางเลือกของไทยในช่วงที่สงครามการค้าระลอกใหม่เตรียมปะทุและโลกาภิวัตน์กำลังถดถอย เพราะตลาดของไทยไม่ได้อยู่กับจีนและรัสเซีย แต่ผลประโยชน์ของไทยในทางเศรษฐกิจอยู่กับสหรัฐและสหภาพยุโรป BRICS จึงไม่ใช่คำตอบ และไทยไม่สามารถเล่นบทแบบอินโดนีเซีย อินเดีย หรือแอฟริกาใต้ได้ เพราะไทย “มีต้นทุนต่ำ” คือสถานะทางเศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) ของไทยบนเวทีโลกอยู่ในระดับที่ใช้เป็นข้อต่อรองได้ไม่มากนัก การเข้าร่วมกลุ่มกับโลกใต้ (Global South) อาจไม่ได้ตอบโจทย์อย่างที่คิด https://www.facebook.com/share/p/fVsomH5u1mcYVkPJ/ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 945 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้อาจต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตในข้อหากบฏ

    รัฐมนตรีกลาโหม คิม ยอง-ฮยอน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอก ยอล จนก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เมื่อกองกำลังติดอาวุธยึดรัฐสภา และห้ามกิจกรรมทางการเมืองและเสรีภาพสื่อ

    คิม ยอง-ฮยอน อาจต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาก่อกบฏ ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
    รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้อาจต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตในข้อหากบฏ รัฐมนตรีกลาโหม คิม ยอง-ฮยอน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอก ยอล จนก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เมื่อกองกำลังติดอาวุธยึดรัฐสภา และห้ามกิจกรรมทางการเมืองและเสรีภาพสื่อ คิม ยอง-ฮยอน อาจต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาก่อกบฏ ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานยุคทักษิณ ใบสั่งปปง.สอบสื่อฯ

    การเสียชีวิตของสื่อมวลชนอาวุโส โสภณ องค์การณ์ มีเรื่องเล่าขานบนเส้นทางน้ำหมึก ในยุคที่ยังไม่มีสื่อโซเชียลฯ มีเพียงหนังสือพิมพ์ทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน สะท้อนความเป็นไปของบ้านเมือง ย้อนกลับไปในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ปี 2544-2549 เสรีภาพสื่อมวลชนถูกกดดันจากโฆษณา สื่อไหนเชียร์รัฐบาลก็จะมีงบโฆษณาให้อย่างน้อย 20 ล้านบาท แต่ถ้าสื่อไหนวิจารณ์รัฐบาลก็จะถูกแทรกแซงต่างๆ นานา ตามไปกดดันนายทุนหนังสือพิมพ์ให้ปลดคอลัมนิสต์ หากไม่ทำตามก็จะสั่งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณาให้หมด

    ปี 2545 มีการตีแผ่เอกสารที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ขณะเป็นผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศและติดตามประเมินผล สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ออกคำสั่งลงวันที่ 25 ก.พ. 2545 ให้ธนาคารแจ้งข้อมูลรายการฝาก-ถอนเงินและยอดคงเหลือในบัญชีของบุคคลและนิติบุคคล 35 ราย และครอบครัว หนึ่งในนั้นคือสื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ได้แก่ เครือเนชั่น นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นายเทพชัย หย่อง นายโสภณ องค์การณ์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นายโรจน์ งามแม้น (เปลว สีเงิน) นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า

    คำสั่งดังกล่าวเป็นที่วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ผอ.ศูนย์สารสนเทศฯ ไม่มีอำนาจออกคำสั่ง และถ้าตรวจสอบต้องปรากฏว่ามีการทำความผิดอาญาใน 7 ความผิดมูลฐาน แม้นายทักษิณปฎิเสธว่าไม่มีการตรวจสอบทรัพย์สินสื่อมวลชนและครอบครัว แต่ก็มีรายงานว่า คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการ

    ต่อมานายสุทธิชัย นายเทพชัย และนายโสภณ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2545 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งตรวจสอบข้อมูลธุรกรรม พร้อมขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว กระทั่งวันที่ 14 มี.ค. 2545 ศาลปกครองกลางออกคำสั่งทุเลาให้ยุติการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่น โดยสำนวนคดีพบว่าในการไต่สวน พ.ต.อ.สีหนาท อ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากบุคคลภายนอกเพราะสงสัยว่าจะฟอกเงิน แต่ศาลเห็นว่าเป็นบัตรสนเท่ห์ เชื่อถือไม่ได้ ซ้ำร้ายผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายอาจทำขึ้นมาเองเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2545 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้จำหน่ายคดี เนื่องจาก ป.ป.ง.มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่าสั่งยุติการตรวจสอบกับธนาคารพาณิชย์แล้ว ขณะที่ พ.ต.อ.สีหนาท แก้เกมให้ พ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน แจ้งความดำเนินคดีบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น และคมชัดลึก ข้อหาเผยความลับของทางราชการ แต่อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง

    #Newskit #ทักษิณชินวัตร #สื่อมวลชน
    ตำนานยุคทักษิณ ใบสั่งปปง.สอบสื่อฯ การเสียชีวิตของสื่อมวลชนอาวุโส โสภณ องค์การณ์ มีเรื่องเล่าขานบนเส้นทางน้ำหมึก ในยุคที่ยังไม่มีสื่อโซเชียลฯ มีเพียงหนังสือพิมพ์ทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน สะท้อนความเป็นไปของบ้านเมือง ย้อนกลับไปในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ปี 2544-2549 เสรีภาพสื่อมวลชนถูกกดดันจากโฆษณา สื่อไหนเชียร์รัฐบาลก็จะมีงบโฆษณาให้อย่างน้อย 20 ล้านบาท แต่ถ้าสื่อไหนวิจารณ์รัฐบาลก็จะถูกแทรกแซงต่างๆ นานา ตามไปกดดันนายทุนหนังสือพิมพ์ให้ปลดคอลัมนิสต์ หากไม่ทำตามก็จะสั่งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณาให้หมด ปี 2545 มีการตีแผ่เอกสารที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ขณะเป็นผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศและติดตามประเมินผล สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ออกคำสั่งลงวันที่ 25 ก.พ. 2545 ให้ธนาคารแจ้งข้อมูลรายการฝาก-ถอนเงินและยอดคงเหลือในบัญชีของบุคคลและนิติบุคคล 35 ราย และครอบครัว หนึ่งในนั้นคือสื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ได้แก่ เครือเนชั่น นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นายเทพชัย หย่อง นายโสภณ องค์การณ์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นายโรจน์ งามแม้น (เปลว สีเงิน) นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า คำสั่งดังกล่าวเป็นที่วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ผอ.ศูนย์สารสนเทศฯ ไม่มีอำนาจออกคำสั่ง และถ้าตรวจสอบต้องปรากฏว่ามีการทำความผิดอาญาใน 7 ความผิดมูลฐาน แม้นายทักษิณปฎิเสธว่าไม่มีการตรวจสอบทรัพย์สินสื่อมวลชนและครอบครัว แต่ก็มีรายงานว่า คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการ ต่อมานายสุทธิชัย นายเทพชัย และนายโสภณ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2545 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งตรวจสอบข้อมูลธุรกรรม พร้อมขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว กระทั่งวันที่ 14 มี.ค. 2545 ศาลปกครองกลางออกคำสั่งทุเลาให้ยุติการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่น โดยสำนวนคดีพบว่าในการไต่สวน พ.ต.อ.สีหนาท อ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากบุคคลภายนอกเพราะสงสัยว่าจะฟอกเงิน แต่ศาลเห็นว่าเป็นบัตรสนเท่ห์ เชื่อถือไม่ได้ ซ้ำร้ายผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายอาจทำขึ้นมาเองเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2545 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้จำหน่ายคดี เนื่องจาก ป.ป.ง.มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่าสั่งยุติการตรวจสอบกับธนาคารพาณิชย์แล้ว ขณะที่ พ.ต.อ.สีหนาท แก้เกมให้ พ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน แจ้งความดำเนินคดีบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น และคมชัดลึก ข้อหาเผยความลับของทางราชการ แต่อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง #Newskit #ทักษิณชินวัตร #สื่อมวลชน
    Like
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1434 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด้วยความระลึกถึง โสภณ องค์การณ์

    สมัยวัยรุ่นเท่าที่จำความได้ "โสภณ องค์การณ์" เป็นหนึ่งในคนข่าวที่โลดแล่นกับสื่อเครือเนชั่นยาวนานกว่า 30 ปีในหลายบทบาท ทั้งบนหน้าจอเนชั่นแชนแนล ยูบีซี 8 ซึ่งคนมีอันจะกินถึงจะดูได้ หรือแบบจับต้องได้ตอนเข้าห้องสมุดโรงเรียน อ่านคอลัมน์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ หรือหนังสือพิมพ์คมชัดลึก วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในยุคนั้นเรียกว่า "ซีอีโอแกงโฮะ" หรือ "ซีอีโอละพ่อ" พร้อมกับคำลงท้ายบทความ "อิอิอิ" เป็นเอกลักษณ์

    ด้วยความเป็นคอลัมนิสต์ วิจารณ์การเมืองตรงไปตรงมา เมื่อมาเจอรัฐบาลทักษิณแทรกแซงสื่อหลายรูปแบบ ที่น่าอึ้งก็คือเมื่อปี 2545 มีใบสั่งให้ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ จากสำนักงาน ป.ป.ง. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินสื่อมวลชนจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะเครือเนชั่น ไทยโพสต์ แนวหน้า แล้วหนึ่งในนั้นมีชื่อ "โสภณ องค์การณ์" แต่ศาลปกครองมีคำสั่งทุเลา ตอนหลัง ป.ป.ง.บอกว่าสั่งยุติตรวจสอบแล้ว จึงจำหน่ายคดีออกไป

    เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำเสรีภาพสื่อยุคนั้นตกต่ำ ฟางเส้นสุดท้าย คือการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดย สนธิ ลิ้มทองกุล และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ นำไปสู่การขับไล่นายกฯ ทักษิณมาตั้งแต่ปี 2548 และไม่ไว้วางใจทักษิณนานกว่า 20 ปี

    กล่าวถึงความทรงจำ ซึ่งขออนุญาตเรียกว่าพี่โส สมัยจัดรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ทางสถานีโทรทัศน์นิวส์วัน ร่วมกับคุณนุ๊ก กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ ในปี 2560-2561 ได้มีโอกาสฟังพี่โสโฟนอินวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ในเบรคสุดท้ายก่อนจบรายการทุกสัปดาห์ แต่หลังจากกลับไปทำงานข่าวออนไลน์เหมือนเดิม ซึ่งยอมรับว่าการจัดรายการโทรทัศน์ตอนนั้นทำได้ไม่ดีนัก เวลาเจอหน้าพี่โสที่บ้านเจ้าพระยา ก็ทักทายสวัสดี บางครั้งพี่โสนำหมูปิ้งจากร้านของพี่โส มาให้ชาวผู้จัดการ-นิวส์วันชิมกันถึงออฟฟิศ

    พี่โสอยู่ชายคาผู้จัดการ-นิวส์วันมาตั้งแต่ปี 2552 เริ่มจากจัดรายการโทรทัศน์ เช่น News Hour Weekend คู่กับคุณนงวดี ถนิมมาลย์ เคาะข่าวริมโขง สภาท่าพระอาทิตย์ ก่อนที่จะหยุดเขียนบทความประจำให้กับคมชัดลึกเมื่อสิ้นปี 2553 แล้วมาเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และผู้จัดการสุดสัปดาห์ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา พร้อมกับจัดรายการหลายรายการ เช่น ชวนคิดชวนคุย เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ มีผลงานให้ได้ติดตามมานานถึง 15 ปี

    เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนรู้สึกตกใจที่ทราบข่าวว่าพี่โสประสบอุบัติเหตุ พบว่าเส้นเลือดออกที่ก้านสมอง ไม่รู้สึกตัวหลายวัน กระทั่งใจหายที่ทราบว่าพี่โสจากไปด้วยอายุ 75 ปี ขอแสดงความเสียใจ และเป็นกำลังใจให้ครอบครัวพี่โสยืนหยัดชีวิตต่อไป

    กิตตินันท์ นาคทอง

    #Newskit
    ด้วยความระลึกถึง โสภณ องค์การณ์ สมัยวัยรุ่นเท่าที่จำความได้ "โสภณ องค์การณ์" เป็นหนึ่งในคนข่าวที่โลดแล่นกับสื่อเครือเนชั่นยาวนานกว่า 30 ปีในหลายบทบาท ทั้งบนหน้าจอเนชั่นแชนแนล ยูบีซี 8 ซึ่งคนมีอันจะกินถึงจะดูได้ หรือแบบจับต้องได้ตอนเข้าห้องสมุดโรงเรียน อ่านคอลัมน์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ หรือหนังสือพิมพ์คมชัดลึก วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในยุคนั้นเรียกว่า "ซีอีโอแกงโฮะ" หรือ "ซีอีโอละพ่อ" พร้อมกับคำลงท้ายบทความ "อิอิอิ" เป็นเอกลักษณ์ ด้วยความเป็นคอลัมนิสต์ วิจารณ์การเมืองตรงไปตรงมา เมื่อมาเจอรัฐบาลทักษิณแทรกแซงสื่อหลายรูปแบบ ที่น่าอึ้งก็คือเมื่อปี 2545 มีใบสั่งให้ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ จากสำนักงาน ป.ป.ง. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินสื่อมวลชนจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะเครือเนชั่น ไทยโพสต์ แนวหน้า แล้วหนึ่งในนั้นมีชื่อ "โสภณ องค์การณ์" แต่ศาลปกครองมีคำสั่งทุเลา ตอนหลัง ป.ป.ง.บอกว่าสั่งยุติตรวจสอบแล้ว จึงจำหน่ายคดีออกไป เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำเสรีภาพสื่อยุคนั้นตกต่ำ ฟางเส้นสุดท้าย คือการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดย สนธิ ลิ้มทองกุล และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ นำไปสู่การขับไล่นายกฯ ทักษิณมาตั้งแต่ปี 2548 และไม่ไว้วางใจทักษิณนานกว่า 20 ปี กล่าวถึงความทรงจำ ซึ่งขออนุญาตเรียกว่าพี่โส สมัยจัดรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ทางสถานีโทรทัศน์นิวส์วัน ร่วมกับคุณนุ๊ก กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ ในปี 2560-2561 ได้มีโอกาสฟังพี่โสโฟนอินวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ในเบรคสุดท้ายก่อนจบรายการทุกสัปดาห์ แต่หลังจากกลับไปทำงานข่าวออนไลน์เหมือนเดิม ซึ่งยอมรับว่าการจัดรายการโทรทัศน์ตอนนั้นทำได้ไม่ดีนัก เวลาเจอหน้าพี่โสที่บ้านเจ้าพระยา ก็ทักทายสวัสดี บางครั้งพี่โสนำหมูปิ้งจากร้านของพี่โส มาให้ชาวผู้จัดการ-นิวส์วันชิมกันถึงออฟฟิศ พี่โสอยู่ชายคาผู้จัดการ-นิวส์วันมาตั้งแต่ปี 2552 เริ่มจากจัดรายการโทรทัศน์ เช่น News Hour Weekend คู่กับคุณนงวดี ถนิมมาลย์ เคาะข่าวริมโขง สภาท่าพระอาทิตย์ ก่อนที่จะหยุดเขียนบทความประจำให้กับคมชัดลึกเมื่อสิ้นปี 2553 แล้วมาเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และผู้จัดการสุดสัปดาห์ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา พร้อมกับจัดรายการหลายรายการ เช่น ชวนคิดชวนคุย เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ มีผลงานให้ได้ติดตามมานานถึง 15 ปี เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนรู้สึกตกใจที่ทราบข่าวว่าพี่โสประสบอุบัติเหตุ พบว่าเส้นเลือดออกที่ก้านสมอง ไม่รู้สึกตัวหลายวัน กระทั่งใจหายที่ทราบว่าพี่โสจากไปด้วยอายุ 75 ปี ขอแสดงความเสียใจ และเป็นกำลังใจให้ครอบครัวพี่โสยืนหยัดชีวิตต่อไป กิตตินันท์ นาคทอง #Newskit
    Sad
    Love
    Like
    45
    6 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1858 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เรืองไกร" งัดข่าวและคลิป "แพทองธาร" แสดงอารมณ์ฉุนสื่ออ้างถามยุแยงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร้อง กกต.สอบ ผิดฐานขัดขวางเสรีภาพสื่อตาม รธน.มาตรา184 (4) หรือไม่

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000098442

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "เรืองไกร" งัดข่าวและคลิป "แพทองธาร" แสดงอารมณ์ฉุนสื่ออ้างถามยุแยงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร้อง กกต.สอบ ผิดฐานขัดขวางเสรีภาพสื่อตาม รธน.มาตรา184 (4) หรือไม่ อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000098442 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    12
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1978 มุมมอง 0 รีวิว
  • PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Sad
    Angry
    Haha
    15
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1665 มุมมอง 0 รีวิว
  • (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน)

    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน) PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1783 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!!

    ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!!

    ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ
    Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……”
    นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ……

    การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก
    ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร?
    สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน
    เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ
    เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน)
    คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง……

    การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท”
    (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น
    เขาคือนายทหารนอกประจำการ

    ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!!

    วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง
    เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้……
    แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้
    เขาจึงบอกว่า
    “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
    สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!!

    งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง
    แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน)
    ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย
    แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ……

    วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today
    ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power)
    เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา

    เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB
    หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!!

    แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
    เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์……
    เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา

    เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ
    ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…)
    เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้

    สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ
    ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก…
    แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส..
    แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
    แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต
    มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ
    ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว

    วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า
    “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……”

    วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991
    เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
    การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา
    ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!!
    แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB
    (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น)
    หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน……

    ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน
    มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB
    ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร
    ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย…
    แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง
    ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้
    ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา……

    สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน
    ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย
    ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ
    แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!!

    วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
    ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ
    พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……)
    ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า
    “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……”
    ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ”

    เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร
    ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ……

    ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง
    และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า
    Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้
    หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส
    ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย

    วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน……
    ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน
    และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!!

    แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน
    ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000
    นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
    รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย
    ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง
    แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย……
    เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล
    คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา……
    เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ
    และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
    ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ)

    วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย……
    เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น…

    ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!!

    Wiwanda W. Vichit
    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!! ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!! ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……” นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ…… การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร? สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน) คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง…… การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท” (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น เขาคือนายทหารนอกประจำการ ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!! วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้…… แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้ เขาจึงบอกว่า “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!! งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน) ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ…… วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power) เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!! แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์…… เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…) เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก… แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส.. แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……” วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991 เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!! แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น) หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน…… ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย… แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้ ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา…… สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!! วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……) ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……” ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ” เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้ ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ…… ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้ หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน…… ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!! แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000 นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย…… เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา…… เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ) วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย…… เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น… ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1605 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลอเมริกาสั่งห้ามสก็อตต์ ริทเทอร์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว RT และ Sputnik ของรัสเซียอีกเพราะวิจารณ์ตรงไปตรงมา หลักๆ คือแฉอาชญากรรมของรัฐบาลอเมริกาให้ชาวโลกรู้

    การไล่ปิดปากสื่อนี้ผิดรัฐธรรมนูญอเมริกานะครับเพราะเสรีภาพสื่อเป็นรากฐานของประชาธิปไตย แต่นักการเมืองไทย นักรัฐศาสตร์ไทยรวมทั้งเหล่าสื่อ ประเภทสากกะเบือไม่ออกดอกทั้งหลายของไทยไม่พากันเอาไปวิจารณ์เพราะกลัวภาพลักษณ์ประชาธิปไตยของอเมริกาเสียหาย

    พวกนี้เกิดมาเป็นขี้ช้าฝรั่งเขาครับ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อมวลชนหรือนักการเมืองเหมือนๆ กันหมด สากกะเบือไม่ออกดอก จะยังไงเสียก็เป็นแค่สากกะเบือไม่ออกดอกวันยังค่ำครับ


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    รัฐบาลอเมริกาสั่งห้ามสก็อตต์ ริทเทอร์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว RT และ Sputnik ของรัสเซียอีกเพราะวิจารณ์ตรงไปตรงมา หลักๆ คือแฉอาชญากรรมของรัฐบาลอเมริกาให้ชาวโลกรู้ การไล่ปิดปากสื่อนี้ผิดรัฐธรรมนูญอเมริกานะครับเพราะเสรีภาพสื่อเป็นรากฐานของประชาธิปไตย แต่นักการเมืองไทย นักรัฐศาสตร์ไทยรวมทั้งเหล่าสื่อ ประเภทสากกะเบือไม่ออกดอกทั้งหลายของไทยไม่พากันเอาไปวิจารณ์เพราะกลัวภาพลักษณ์ประชาธิปไตยของอเมริกาเสียหาย พวกนี้เกิดมาเป็นขี้ช้าฝรั่งเขาครับ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อมวลชนหรือนักการเมืองเหมือนๆ กันหมด สากกะเบือไม่ออกดอก จะยังไงเสียก็เป็นแค่สากกะเบือไม่ออกดอกวันยังค่ำครับ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐ-รัสเซียแลกตัวนักโทษครั้งใหญ่ .. อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่16รายกับรัสเซีย และรัสเซียได้คืน 8 ราย

    1 กรกฎาคม 2567 -รายงานข่าวจากสื่อBloomberg ระบุว่า อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าว( Evan Gershkovich)ของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน(Paul Whelan)อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนหนึ่งใน 16 รายที่คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งประวัติศาสตร์กับรัสเซีย ขณะที่ทำเนียบขาวไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักโทษนี้

    สื่อ RIA ของรัฐบาลรัสเซีย รายงานด้วยว่าทนายความของ Alexander Vinnik ชาวรัสเซียที่ถูกจำคุกอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษในเร็วๆ นี้โดยปฏิเสธที่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเขา

    RIA รายงานว่าข้อมูลของชาวรัสเซีย 4 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในสหรัฐฯ ได้แก่ วินนิก แม็กซิม มาร์เชนโก วาดิม โคโนชเชนโก และวลาดิสลาฟ คลูชิน ซึ่งรายชื่อทั้งสี่หายไปจากฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง

    ส่วนอดีตนาวิกโยธินสหรัฐ พอล วีแลนถูกจับกุมในปี 2018 และต่อมาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็นสายลับ โดยเขา ครอบครัวของเขา และรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาถูกตัดสินจำคุก 16 ปี และรัฐบาลสหรัฐฯชี้ว่าเขา "ถูกคุมขังโดยมิชอบ" แต่ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้รับปล่อยตัวเขาได้ในการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งก่อนๆ ซึ่งได้แก่ เทรเวอร์ รีด ชาวอเมริกัน และบริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์ แห่ง WNBA ซึ่งทั้งคู่ได้รับการปล่อยตัวในการแลกเปลี่ยนนักโทษในปี 2022

    สำหรับ เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกจับกุม ในเยคาเตรินเบิร์กเมื่อเดือนมีนาคม 2023 และถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของสหรัฐหาข่าวเกี่ยวกับกองทัพรัสเซีย เขากลายเป็นนักข่าวชาวอเมริกันคนแรกที่ถูกคุมขังในรัสเซียนับตั้งแต่สงครามและถูกตัดสินจำคุก 16 ปีในกรกฎาคม

    สื่อBloomberg เป็นคนแรกที่รายงานข่าวการแลกตัวนักโทษดังกล่าว โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า รัฐบาลของไบเดน กลุ่มเสรีภาพสื่อ และ นายจ้างของเกอร์ชโควิช ต่างเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาและยกฟ้องโทษโดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา

    ก่อนหน้านี้ ไบเดนกล่าวว่าเขายินดีที่จะตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษเพื่อปล่อยตัวเกอร์ชโควิช ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเคยใช้มาก่อน กรณีปล่อยตัว กรีนเนอร์เพื่อแลกกับวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย ซึ่งได้รับฉายาว่า “พ่อค้าแห่งความตาย”

    ในบทสัมภาษณ์กับทักเกอร์ คาร์ลสัน อดีตพิธีกรรายการ Fox News เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิมีร์ ปูตินระบุว่าเขายินดีที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษ และมีการคาดเดาว่ามอสโกว์ต้องการให้วาดิม คราซิคอฟ กลับประเทศ ซึ่งกำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเยอรมนีในข้อหาสังหารพลเมืองจอร์เจียที่ต่อสู้กับรัสเซียในเชชเนียเมื่อปี 2019

    นอกจากนี้ Bloomberg ยังรายงานด้วยว่าVladimir Kara-Murza ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ เขาถูกตัดสินจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏหลังจากวิจารณ์การรุกรานยูเครนของประเทศรัสเซีย ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนี้ด้วย

    การแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งสุดท้ายระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเกิดขึ้นในปี 2022 เพื่อปล่อยตัว บริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์แห่ง WNBA

    สำหรับครั้งนี้ นักโทษทั้ง 24 คน ซึ่งบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง บางคนไม่ใช่ ประกอบไปด้วยนักข่าวและนักการเมืองผู้เห็นต่าง ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ แฮกเกอร์คอมพิวเตอร์ และนักต้มตุ๋น รวมถึงชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม

    โดยรัสเซียปล่อยตัวนักโทษสหรัฐ 16 คน รวมถึงอีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินและผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยขององค์กรจากมิชิแกน ทั้งคู่ต้องเผชิญกับโทษจำคุกเป็นเวลานานหลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในระบบกฎหมายของรัสเซียที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหนักในข้อหาจารกรรม ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ มอสโกยังได้ปล่อยตัวนักข่าวจาก Radio Free Europe/Radio Liberty อย่าง Alsu Kurmasheva ซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐฯ-รัสเซียที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับกองทัพรัสเซียเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งครอบครัวและนายจ้างของเธอได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และ Vladimir Kara-Murza คอลัมนิสต์วอชิงตันโพสต์นักวิจารณ์เครมลินและนักเขียนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งต้องโทษจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏซึ่งหลายคนมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง

    ส่วนในบรรดานักโทษ 8 รายที่รัสเซียได้ตัวกลับคืนมานั้น วาดิม คราซิคอฟ เป็นคนฉาวโฉ่ที่สุด ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในเยอรมนีเมื่อปี 2021 ในข้อหาสังหารอดีตกบฏเชชเนียในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเบอร์ลินเมื่อ 2 ปีก่อน โดยเห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งของหน่วยงานความมั่นคงของมอสโก นอกจากนี้ เขายังได้รับตัวเจ้าหน้าที่ "ที่แฝงตัว" 2 คนที่ถูกจำคุกในสโลวีเนีย ชาย 3 คนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในสหรัฐฯ และชาย 2 คนที่เพิ่งเดินทางกลับจากนอร์เวย์และโปแลนด์

    https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-08-01/us-reporter-released-by-russia-in-multi-country-prisoner-swap

    #Thaitimes

    สหรัฐ-รัสเซียแลกตัวนักโทษครั้งใหญ่ .. อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่16รายกับรัสเซีย และรัสเซียได้คืน 8 ราย 1 กรกฎาคม 2567 -รายงานข่าวจากสื่อBloomberg ระบุว่า อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าว( Evan Gershkovich)ของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน(Paul Whelan)อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนหนึ่งใน 16 รายที่คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งประวัติศาสตร์กับรัสเซีย ขณะที่ทำเนียบขาวไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักโทษนี้ สื่อ RIA ของรัฐบาลรัสเซีย รายงานด้วยว่าทนายความของ Alexander Vinnik ชาวรัสเซียที่ถูกจำคุกอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษในเร็วๆ นี้โดยปฏิเสธที่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเขา RIA รายงานว่าข้อมูลของชาวรัสเซีย 4 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในสหรัฐฯ ได้แก่ วินนิก แม็กซิม มาร์เชนโก วาดิม โคโนชเชนโก และวลาดิสลาฟ คลูชิน ซึ่งรายชื่อทั้งสี่หายไปจากฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง ส่วนอดีตนาวิกโยธินสหรัฐ พอล วีแลนถูกจับกุมในปี 2018 และต่อมาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็นสายลับ โดยเขา ครอบครัวของเขา และรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาถูกตัดสินจำคุก 16 ปี และรัฐบาลสหรัฐฯชี้ว่าเขา "ถูกคุมขังโดยมิชอบ" แต่ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้รับปล่อยตัวเขาได้ในการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งก่อนๆ ซึ่งได้แก่ เทรเวอร์ รีด ชาวอเมริกัน และบริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์ แห่ง WNBA ซึ่งทั้งคู่ได้รับการปล่อยตัวในการแลกเปลี่ยนนักโทษในปี 2022 สำหรับ เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกจับกุม ในเยคาเตรินเบิร์กเมื่อเดือนมีนาคม 2023 และถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของสหรัฐหาข่าวเกี่ยวกับกองทัพรัสเซีย เขากลายเป็นนักข่าวชาวอเมริกันคนแรกที่ถูกคุมขังในรัสเซียนับตั้งแต่สงครามและถูกตัดสินจำคุก 16 ปีในกรกฎาคม สื่อBloomberg เป็นคนแรกที่รายงานข่าวการแลกตัวนักโทษดังกล่าว โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า รัฐบาลของไบเดน กลุ่มเสรีภาพสื่อ และ นายจ้างของเกอร์ชโควิช ต่างเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาและยกฟ้องโทษโดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา ก่อนหน้านี้ ไบเดนกล่าวว่าเขายินดีที่จะตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษเพื่อปล่อยตัวเกอร์ชโควิช ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเคยใช้มาก่อน กรณีปล่อยตัว กรีนเนอร์เพื่อแลกกับวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย ซึ่งได้รับฉายาว่า “พ่อค้าแห่งความตาย” ในบทสัมภาษณ์กับทักเกอร์ คาร์ลสัน อดีตพิธีกรรายการ Fox News เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิมีร์ ปูตินระบุว่าเขายินดีที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษ และมีการคาดเดาว่ามอสโกว์ต้องการให้วาดิม คราซิคอฟ กลับประเทศ ซึ่งกำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเยอรมนีในข้อหาสังหารพลเมืองจอร์เจียที่ต่อสู้กับรัสเซียในเชชเนียเมื่อปี 2019 นอกจากนี้ Bloomberg ยังรายงานด้วยว่าVladimir Kara-Murza ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ เขาถูกตัดสินจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏหลังจากวิจารณ์การรุกรานยูเครนของประเทศรัสเซีย ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนี้ด้วย การแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งสุดท้ายระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเกิดขึ้นในปี 2022 เพื่อปล่อยตัว บริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์แห่ง WNBA สำหรับครั้งนี้ นักโทษทั้ง 24 คน ซึ่งบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง บางคนไม่ใช่ ประกอบไปด้วยนักข่าวและนักการเมืองผู้เห็นต่าง ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ แฮกเกอร์คอมพิวเตอร์ และนักต้มตุ๋น รวมถึงชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม โดยรัสเซียปล่อยตัวนักโทษสหรัฐ 16 คน รวมถึงอีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินและผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยขององค์กรจากมิชิแกน ทั้งคู่ต้องเผชิญกับโทษจำคุกเป็นเวลานานหลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในระบบกฎหมายของรัสเซียที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหนักในข้อหาจารกรรม ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ มอสโกยังได้ปล่อยตัวนักข่าวจาก Radio Free Europe/Radio Liberty อย่าง Alsu Kurmasheva ซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐฯ-รัสเซียที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับกองทัพรัสเซียเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งครอบครัวและนายจ้างของเธอได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และ Vladimir Kara-Murza คอลัมนิสต์วอชิงตันโพสต์นักวิจารณ์เครมลินและนักเขียนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งต้องโทษจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏซึ่งหลายคนมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ส่วนในบรรดานักโทษ 8 รายที่รัสเซียได้ตัวกลับคืนมานั้น วาดิม คราซิคอฟ เป็นคนฉาวโฉ่ที่สุด ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในเยอรมนีเมื่อปี 2021 ในข้อหาสังหารอดีตกบฏเชชเนียในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเบอร์ลินเมื่อ 2 ปีก่อน โดยเห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งของหน่วยงานความมั่นคงของมอสโก นอกจากนี้ เขายังได้รับตัวเจ้าหน้าที่ "ที่แฝงตัว" 2 คนที่ถูกจำคุกในสโลวีเนีย ชาย 3 คนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในสหรัฐฯ และชาย 2 คนที่เพิ่งเดินทางกลับจากนอร์เวย์และโปแลนด์ https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-08-01/us-reporter-released-by-russia-in-multi-country-prisoner-swap #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1004 มุมมอง 0 รีวิว