• Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

    Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีน รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของ Wall Street เนื่องจากบริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลาง ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางการค้าโลก

    ✅ Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2025 อยู่ที่ 236.45 พันล้านหยวน ($32.79 พันล้านดอลลาร์)
    - ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 237.24 พันล้านหยวน

    ✅ บริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค
    - เนื่องจาก เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญความท้าทาย

    ✅ Alibaba เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอีคอมเมิร์ซ
    - คู่แข่งอย่าง JD.com และ Pinduoduo กำลังขยายตลาดอย่างรวดเร็ว

    ✅ นักลงทุนจับตาดูแนวโน้มของ Alibaba ในไตรมาสถัดไป
    - คาดว่า บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/15/alibaba-misses-quarterly-revenue-estimates
    Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีน รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของ Wall Street เนื่องจากบริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลาง ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางการค้าโลก ✅ Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2025 อยู่ที่ 236.45 พันล้านหยวน ($32.79 พันล้านดอลลาร์) - ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 237.24 พันล้านหยวน ✅ บริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค - เนื่องจาก เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญความท้าทาย ✅ Alibaba เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอีคอมเมิร์ซ - คู่แข่งอย่าง JD.com และ Pinduoduo กำลังขยายตลาดอย่างรวดเร็ว ✅ นักลงทุนจับตาดูแนวโน้มของ Alibaba ในไตรมาสถัดไป - คาดว่า บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/15/alibaba-misses-quarterly-revenue-estimates
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba misses quarterly revenue estimates
    (Reuters) -Chinese e-commerce giant Alibaba reported quarterly revenue that missed Wall Street estimates on Thursday, as the firm works on new strategies to keep consumers spending amid persistent economic weakness and global trade uncertainties.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีนอย่างหนัก แม้ว่าจะมีความพยายามในการกระจายฐานการผลิตไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย แต่กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน

    ก่อนที่ Donald Trump จะเข้าสู่การเมือง Apple และพันธมิตรได้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ทั่วจีนเพื่อประกอบ iPhones ซึ่ง Trump เคยหาเสียงโดยสัญญาว่าจะบังคับให้ Apple ย้ายการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ แต่จนถึงปัจจุบัน Apple ยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลัก

    แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนของการผลิตไปยัง อินเดียและเวียดนาม แต่ Apple ยังคงต้องพึ่งพา ซัพพลายเชนของจีน ซึ่งมีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง

    ✅ Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีน
    - กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน
    - แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย

    ✅ ความพยายามในการกระจายฐานการผลิต
    - Apple ได้เริ่มผลิต iPhones ใน อินเดีย มากขึ้น
    - มีการลงทุนใน โรงงานผลิตชิ้นส่วนในเวียดนามและไทย

    ✅ บทบาทของจีนในซัพพลายเชนของ Apple
    - จีนมี เครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพสูง
    - Apple ยังคงต้องพึ่งพา แรงงานและเทคโนโลยีของจีน

    ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    - การพึ่งพาจีนอาจส่งผลต่อ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    - หาก Apple ลดการผลิตในจีน อาจส่งผลต่อ เศรษฐกิจจีนและตลาดแรงงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/03/could-apple-exist-without-its-ties-to-china-probably-not
    Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีนอย่างหนัก แม้ว่าจะมีความพยายามในการกระจายฐานการผลิตไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย แต่กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน ก่อนที่ Donald Trump จะเข้าสู่การเมือง Apple และพันธมิตรได้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ทั่วจีนเพื่อประกอบ iPhones ซึ่ง Trump เคยหาเสียงโดยสัญญาว่าจะบังคับให้ Apple ย้ายการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ แต่จนถึงปัจจุบัน Apple ยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลัก แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนของการผลิตไปยัง อินเดียและเวียดนาม แต่ Apple ยังคงต้องพึ่งพา ซัพพลายเชนของจีน ซึ่งมีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง ✅ Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีน - กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน - แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย ✅ ความพยายามในการกระจายฐานการผลิต - Apple ได้เริ่มผลิต iPhones ใน อินเดีย มากขึ้น - มีการลงทุนใน โรงงานผลิตชิ้นส่วนในเวียดนามและไทย ✅ บทบาทของจีนในซัพพลายเชนของ Apple - จีนมี เครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพสูง - Apple ยังคงต้องพึ่งพา แรงงานและเทคโนโลยีของจีน ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - การพึ่งพาจีนอาจส่งผลต่อ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน - หาก Apple ลดการผลิตในจีน อาจส่งผลต่อ เศรษฐกิจจีนและตลาดแรงงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/03/could-apple-exist-without-its-ties-to-china-probably-not
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนใช้การเจรจาเกี่ยวกับมาตรการรีดภาษีที่กำลังดำเนินการอยู่ กดดันบรรดาคู่หูการค้าของสหรัฐฯ ให้จำกัดการคบค้าสมาคมกับจีน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดในประเด็นนี้

    ความคิดนี้คือการกดดันรีดเอาคำสัญญาจากบรรดาคู่หูการค้าของสหรัฐฯ ให้โดดเดี่ยวเศรษฐกิจของจีน เพื่อแลกกับการลดอุปสรรคทางการค้าและการรีดภาษีที่กำหนดโดยทำเนียบขาว โดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล บอกว่าพวกเจ้าหน้าที่อเมริกมีแผนใช้การเจรจากับประเทศต่างๆกว่า 70 ชาติ ขอให้ชาติต่างเหล่านั้นไม่อนุญาตให้จีนส่งออกสินค้าผ่านประเทศของพวกเขา ขัดขวางเหล่าบริษัทของจีนจากการโยกย้ายเข้าไปอยู่ในดินแดนของชาติต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ และไม่ยอมให้สินค้าอุตสาหกรรมราคาถูกของจีนแทรกซึมเข้าสู่เศรษฐกิจของพวกเขา

    มาตรการเหล่านี้มีเจตนาตอกลิ่มเข้าใส่เศรษฐกิจที่ง่อนแง่นอยู่ก่อนแล้วของจีน และบีบให้ปักกิ่งยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วยอำนาจงัดข้อที่น้อยลง ในความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างทรัมป์ กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ทั้งนี้ข้อเรียกร้องอย่างเจาะจงอาจต่างกันไปในแต่ละชาติ เนื่องจากจากระดับความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนที่ต่างกันออกไป

    ทำเนียบขาวยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000035822

    #MGROnline #โดนัลด์ทรัมป์
    รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนใช้การเจรจาเกี่ยวกับมาตรการรีดภาษีที่กำลังดำเนินการอยู่ กดดันบรรดาคู่หูการค้าของสหรัฐฯ ให้จำกัดการคบค้าสมาคมกับจีน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดในประเด็นนี้ • ความคิดนี้คือการกดดันรีดเอาคำสัญญาจากบรรดาคู่หูการค้าของสหรัฐฯ ให้โดดเดี่ยวเศรษฐกิจของจีน เพื่อแลกกับการลดอุปสรรคทางการค้าและการรีดภาษีที่กำหนดโดยทำเนียบขาว โดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล บอกว่าพวกเจ้าหน้าที่อเมริกมีแผนใช้การเจรจากับประเทศต่างๆกว่า 70 ชาติ ขอให้ชาติต่างเหล่านั้นไม่อนุญาตให้จีนส่งออกสินค้าผ่านประเทศของพวกเขา ขัดขวางเหล่าบริษัทของจีนจากการโยกย้ายเข้าไปอยู่ในดินแดนของชาติต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ และไม่ยอมให้สินค้าอุตสาหกรรมราคาถูกของจีนแทรกซึมเข้าสู่เศรษฐกิจของพวกเขา • มาตรการเหล่านี้มีเจตนาตอกลิ่มเข้าใส่เศรษฐกิจที่ง่อนแง่นอยู่ก่อนแล้วของจีน และบีบให้ปักกิ่งยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วยอำนาจงัดข้อที่น้อยลง ในความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างทรัมป์ กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ทั้งนี้ข้อเรียกร้องอย่างเจาะจงอาจต่างกันไปในแต่ละชาติ เนื่องจากจากระดับความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนที่ต่างกันออกไป • ทำเนียบขาวยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000035822 • #MGROnline #โดนัลด์ทรัมป์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลจีนตั้งเป้าเพิ่มงบวิจัยและพัฒนาในปี 2025 เป็น 55 พันล้านดอลลาร์ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์, AI, และควอนตัมคอมพิวติ้ง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก งบนี้ยังครอบคลุมการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านโครงการสินเชื่อและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ แม้ว่าผลลัพธ์อาจใช้เวลาพัฒนาไปอีกหลายปี

    จุดมุ่งหมายและโครงการสำคัญ:
    - งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในโครงการ "Science and Technology Innovation 2030" ซึ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น วงจรรวม (Integrated Circuits) และ AI.
    - โครงการดังกล่าวไม่เพียงเน้นผลลัพธ์ในระยะสั้น แต่ยังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในด้านการค้นคว้าพื้นฐาน (Fundamental Research) เพื่อการแข่งขันในอนาคต.

    การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs):
    - รัฐบาลมีแผนสนับสนุน SMEs ที่มีศักยภาพด้านนวัตกรรมด้วยโครงการสินเชื่อพิเศษและกลไกการแบ่งปันความเสี่ยงผ่านกองทุนรับประกันการเงินระดับประเทศ.
    - นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่.

    ความสำคัญในบริบทโลก:
    - การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยให้จีนก้าวทันหรือแม้กระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯ ในการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI

    แม้ว่าการลงทุนนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในสถานการณ์ที่การเติบโตชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์มองว่าผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-to-spend-usd55-billion-on-r-and-d-in-2025-semiconductor-ai-and-quantum-computing-fields-to-benefit
    รัฐบาลจีนตั้งเป้าเพิ่มงบวิจัยและพัฒนาในปี 2025 เป็น 55 พันล้านดอลลาร์ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์, AI, และควอนตัมคอมพิวติ้ง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก งบนี้ยังครอบคลุมการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านโครงการสินเชื่อและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ แม้ว่าผลลัพธ์อาจใช้เวลาพัฒนาไปอีกหลายปี จุดมุ่งหมายและโครงการสำคัญ: - งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในโครงการ "Science and Technology Innovation 2030" ซึ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น วงจรรวม (Integrated Circuits) และ AI. - โครงการดังกล่าวไม่เพียงเน้นผลลัพธ์ในระยะสั้น แต่ยังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในด้านการค้นคว้าพื้นฐาน (Fundamental Research) เพื่อการแข่งขันในอนาคต. การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs): - รัฐบาลมีแผนสนับสนุน SMEs ที่มีศักยภาพด้านนวัตกรรมด้วยโครงการสินเชื่อพิเศษและกลไกการแบ่งปันความเสี่ยงผ่านกองทุนรับประกันการเงินระดับประเทศ. - นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่. ความสำคัญในบริบทโลก: - การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยให้จีนก้าวทันหรือแม้กระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯ ในการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI แม้ว่าการลงทุนนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในสถานการณ์ที่การเติบโตชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์มองว่าผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-to-spend-usd55-billion-on-r-and-d-in-2025-semiconductor-ai-and-quantum-computing-fields-to-benefit
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China to spend $55 billion on R&D in 2025 — Semiconductor, AI and quantum computing fields to benefit
    China set to inject $55 billion in research and development of fundamental technologies and innovating enterprises.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 601 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.112 : ถอดรหัส 10 คำสำคัญ ทำนายอนาคตจีน
    .
    ในวันนี้ “บูรพาไม่แพ้” จะมาร่วมกันถอดรหัสแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับใหม่ของจีน โดยผ่าน คำสำคัญ หรือ Keywords ที่อยู่ในรายงานผลการทำงานของ “รัฐบาลจีน” ซึ่ง “คำสำคัญ” เหล่านี้จะทำให้เรารับรู้ได้ว่า รัฐบาลจีนมีนโยบายการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างไร ?
    .
    แน่นอนว่านโยบายของรัฐบาลจีน จะส่งผลต่อประเทศไทย และส่งผลต่อโลกด้วย เพราะว่า ทุกวันนี้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่อยู่ใกล้ชิดกับไทยเรามาก ทั้ยังมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นที่ 2 ของโลก และเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยเราด้วย
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=G4b_z6lSRLo
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #อนาคตจีน #รัฐบาลจีน #คำสำคัญ #เศรษฐกิจจีน
    บูรพาไม่แพ้ Ep.112 : ถอดรหัส 10 คำสำคัญ ทำนายอนาคตจีน . ในวันนี้ “บูรพาไม่แพ้” จะมาร่วมกันถอดรหัสแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับใหม่ของจีน โดยผ่าน คำสำคัญ หรือ Keywords ที่อยู่ในรายงานผลการทำงานของ “รัฐบาลจีน” ซึ่ง “คำสำคัญ” เหล่านี้จะทำให้เรารับรู้ได้ว่า รัฐบาลจีนมีนโยบายการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างไร ? . แน่นอนว่านโยบายของรัฐบาลจีน จะส่งผลต่อประเทศไทย และส่งผลต่อโลกด้วย เพราะว่า ทุกวันนี้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่อยู่ใกล้ชิดกับไทยเรามาก ทั้ยังมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นที่ 2 ของโลก และเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยเราด้วย . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=G4b_z6lSRLo . #บูรพาไม่แพ้ #อนาคตจีน #รัฐบาลจีน #คำสำคัญ #เศรษฐกิจจีน
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 1 รีวิว
  • ทรัมป์ทิ้งบอมบ์รอบใหม่ ขู่รีดภาษีศุลกากรรถนำเข้า 25% และจัดเก็บในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าสำหรับผลิตภัณฑ์ยาและเซมิคอนดักเตอร์ ด้านจีนประณามมาตรการภาษีและการข่มขู่ของทรัมป์ระหว่างการประชุมองค์การการค้าโลกว่า เป็นการคุกคามระบบการค้าและทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย
    .
    นับจากเข้ารับตำแหน่งปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของพวกประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดบางแห่งโดยอ้างว่า เพื่อตอบโต้กับแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่เอาเปรียบและไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ นอกจากนั้น ในหลายกรณีก็ระบุเหตุผลว่าเพื่อผลักดันนโยบายสำคัญของอเมริกา อย่างเช่นการปราบปรามการอพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทุกรายการจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% และปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกันในขนาดขอบเขตที่แคบกว่า จากนั้นทรัมป์ยังสั่งขึ้นภาษีที่เก็บจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมนำเข้าจากทุกประเทศในอัตรา 25%
    .
    ล่าสุดในวันอังคาร (18 ก.พ.) ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในอัตราประมาณ 25% โดยจะบังคับใช้ในราววันที่ 2 เมษายน
    .
    สำหรับสินค้าพวกยาและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทรัมป์เคยบอกไว้ว่าจะพิจารณาเพิ่มภาษีในช่วงเวลาเดียวกับรถยนต์นั้น ทรัมป์ขยายความในคราวนี้ว่า จะเก็บสูงขึ้นในอัตรา 25% หรือสูงกว่านั้น แล้วจากนั้นจะเพิ่มขึ้นสูงมากภายใน 1 ปี แต่เขายังไม่ระบุว่าจะเริ่มเมื่อใด
    .
    เขายังบอกว่า ต้องการให้เวลาพวกบริษัทที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจะได้กลับลำมาทำธุรกิจในอเมริกา และเสริมด้วยว่า ประเทศคู่ค้าของวอชิงตันก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีเพิ่มได้ด้วยการเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ตาม พวกผู้เชี่ยวชาญย้ำคำเตือนที่ได้ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ที่ว่ามาตรการเพิ่มภาษีศุลกาการจากสินค้านำเข้านั้น คนอเมริกันเองมีแนวโน้มต้องแบกรับมากกว่าพวกผู้ส่งออกต่างชาติ เนื่องจากคนที่ต้องควักเงินจ่ายภาษีจริงๆ ก็คือผู้นำเข้าในอเมริกา และพวกเขาก็มักแบ่งเบาภาระนี้ด้วยการขึ้นราคาสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ
    .
    เฉพาะรถยนต์นั้น ปัจจุบันรถยนต์ราว 50% ที่ขายในอเมริกาเป็นรถที่ผลิตภายในประเทศ ขณะที่รถนำเข้าประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกแบรนด์ระดับอินเตอร์ไปตั้งโรงงานประกอบกันที่นั่น นอกจากนั้นยังมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนีที่เป็นซัปพลายเออร์รายสำคัญ
    .
    เอเชียจับตามาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อย่างระมัดระวังมาก เนื่องจากมีซัปพลายเออร์หลักบางแห่งของอุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกาตั้งอยู่
    .
    โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธว่า ญี่ปุ่นได้หยิบยกประเด็นภาษีศุลกากรรถยนต์หารือกับอเมริกาแล้ว และรัฐบาลจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมควบคู่กับการตรวจสอบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของมาตรการภาษีดังกล่าว
    .
    ทางด้านไต้หวันที่เป็นฮับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลกและถูกทรัมป์กล่าวหาว่า ปล้นอุตสาหกรรมชิปไปจากอเมริกานั้น ก็แสดงท่าทีตื่นตัวเฝ้าระวัง ถึงแม้กระทรวงเศรษฐกิจแถลงว่า ขอบเขตผลิตภัณฑ์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษียังไม่มีความชัดเจน และรัฐบาลจะติดตามทิศทางนโยบายของอเมริกาต่อไป รวมทั้งจะให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมท้องถิ่นที่ได้รับความเดือดร้อน
    .
    ก่อนหน้านี้ไทเปประกาศแล้วว่า จะเพิ่มการลงทุนในอเมริกาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของทรัมป์
    .
    ผู้นำอเมริกายังแสดงความยินดีที่สหภาพยุโรป ลดภาษีศุลกากรรถยนต์จาก 10% เหลือ 2.5% เท่ากับอเมริกา และบอกว่า ถ้าทุกประเทศทำแบบนี้ การค้าทั่วโลกจะแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง หลี่ เฉิงกัง เอกอัครราชทูตจีนประจำองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ประณามมาตรการภาษีศุลกากรและการข่มขู่ของทรัมป์ ในระหว่างการประชุมคณะมนตรีใหญ่ดับเบิลยูทีโอในวันอังคารโดยระบุว่า การขึ้นภาษีอย่างแรงและการดำเนินการฝ่ายเดียวของทรัมป์เช่นนี้ ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อระบบการค้าโลก ทำให้เศรษฐกิจไร้ความแน่นอนมากขึ้น การค้าโลกสะดุด เสี่ยงเกิดภาวะเฟ้อในอเมริกา บิดเบือนตลาด หรือแม้กระทั่งทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
    .
    ทว่า เดวิด บิสบี นักการทูตของอเมริกาตอบโต้ว่า เศรษฐกิจจีนเป็นระบบเศรษฐกิจนักล่าที่ไม่ได้อิงกับตลาด และเสริมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่เข้าเป็นสมาชิก จีนละเมิด เพิกเฉย และหลบเลี่ยงกฎของดับเบิลยูทีโอมาหลายครั้ง
    .
    ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในดับเบิลยูทีโอเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตันละเมิดกฎ ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ปักกิ่งไม่สมควรได้รับสถานะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งได้รับการปฏิบัติพิเศษภายใต้กฎของดับเบิลยูทีโอ
    .
    นอกจากนั้น การที่คณะบริหารของทรัมป์ประกาศแผนถอนตัวจากองค์กรระดับโลกหลายแห่ง ยังเท่ากับว่า ดับเบิลยูทีโอไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำเนียบขาวคำนึงถึงมากนัก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016777
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ทิ้งบอมบ์รอบใหม่ ขู่รีดภาษีศุลกากรรถนำเข้า 25% และจัดเก็บในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าสำหรับผลิตภัณฑ์ยาและเซมิคอนดักเตอร์ ด้านจีนประณามมาตรการภาษีและการข่มขู่ของทรัมป์ระหว่างการประชุมองค์การการค้าโลกว่า เป็นการคุกคามระบบการค้าและทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย . นับจากเข้ารับตำแหน่งปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของพวกประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดบางแห่งโดยอ้างว่า เพื่อตอบโต้กับแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่เอาเปรียบและไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ นอกจากนั้น ในหลายกรณีก็ระบุเหตุผลว่าเพื่อผลักดันนโยบายสำคัญของอเมริกา อย่างเช่นการปราบปรามการอพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย . ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทุกรายการจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% และปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกันในขนาดขอบเขตที่แคบกว่า จากนั้นทรัมป์ยังสั่งขึ้นภาษีที่เก็บจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมนำเข้าจากทุกประเทศในอัตรา 25% . ล่าสุดในวันอังคาร (18 ก.พ.) ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในอัตราประมาณ 25% โดยจะบังคับใช้ในราววันที่ 2 เมษายน . สำหรับสินค้าพวกยาและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทรัมป์เคยบอกไว้ว่าจะพิจารณาเพิ่มภาษีในช่วงเวลาเดียวกับรถยนต์นั้น ทรัมป์ขยายความในคราวนี้ว่า จะเก็บสูงขึ้นในอัตรา 25% หรือสูงกว่านั้น แล้วจากนั้นจะเพิ่มขึ้นสูงมากภายใน 1 ปี แต่เขายังไม่ระบุว่าจะเริ่มเมื่อใด . เขายังบอกว่า ต้องการให้เวลาพวกบริษัทที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจะได้กลับลำมาทำธุรกิจในอเมริกา และเสริมด้วยว่า ประเทศคู่ค้าของวอชิงตันก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีเพิ่มได้ด้วยการเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในอเมริกา . อย่างไรก็ตาม พวกผู้เชี่ยวชาญย้ำคำเตือนที่ได้ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ที่ว่ามาตรการเพิ่มภาษีศุลกาการจากสินค้านำเข้านั้น คนอเมริกันเองมีแนวโน้มต้องแบกรับมากกว่าพวกผู้ส่งออกต่างชาติ เนื่องจากคนที่ต้องควักเงินจ่ายภาษีจริงๆ ก็คือผู้นำเข้าในอเมริกา และพวกเขาก็มักแบ่งเบาภาระนี้ด้วยการขึ้นราคาสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ . เฉพาะรถยนต์นั้น ปัจจุบันรถยนต์ราว 50% ที่ขายในอเมริกาเป็นรถที่ผลิตภายในประเทศ ขณะที่รถนำเข้าประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกแบรนด์ระดับอินเตอร์ไปตั้งโรงงานประกอบกันที่นั่น นอกจากนั้นยังมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนีที่เป็นซัปพลายเออร์รายสำคัญ . เอเชียจับตามาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อย่างระมัดระวังมาก เนื่องจากมีซัปพลายเออร์หลักบางแห่งของอุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกาตั้งอยู่ . โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธว่า ญี่ปุ่นได้หยิบยกประเด็นภาษีศุลกากรรถยนต์หารือกับอเมริกาแล้ว และรัฐบาลจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมควบคู่กับการตรวจสอบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของมาตรการภาษีดังกล่าว . ทางด้านไต้หวันที่เป็นฮับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลกและถูกทรัมป์กล่าวหาว่า ปล้นอุตสาหกรรมชิปไปจากอเมริกานั้น ก็แสดงท่าทีตื่นตัวเฝ้าระวัง ถึงแม้กระทรวงเศรษฐกิจแถลงว่า ขอบเขตผลิตภัณฑ์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษียังไม่มีความชัดเจน และรัฐบาลจะติดตามทิศทางนโยบายของอเมริกาต่อไป รวมทั้งจะให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมท้องถิ่นที่ได้รับความเดือดร้อน . ก่อนหน้านี้ไทเปประกาศแล้วว่า จะเพิ่มการลงทุนในอเมริกาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของทรัมป์ . ผู้นำอเมริกายังแสดงความยินดีที่สหภาพยุโรป ลดภาษีศุลกากรรถยนต์จาก 10% เหลือ 2.5% เท่ากับอเมริกา และบอกว่า ถ้าทุกประเทศทำแบบนี้ การค้าทั่วโลกจะแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม . ในอีกด้านหนึ่ง หลี่ เฉิงกัง เอกอัครราชทูตจีนประจำองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ประณามมาตรการภาษีศุลกากรและการข่มขู่ของทรัมป์ ในระหว่างการประชุมคณะมนตรีใหญ่ดับเบิลยูทีโอในวันอังคารโดยระบุว่า การขึ้นภาษีอย่างแรงและการดำเนินการฝ่ายเดียวของทรัมป์เช่นนี้ ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อระบบการค้าโลก ทำให้เศรษฐกิจไร้ความแน่นอนมากขึ้น การค้าโลกสะดุด เสี่ยงเกิดภาวะเฟ้อในอเมริกา บิดเบือนตลาด หรือแม้กระทั่งทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย . ทว่า เดวิด บิสบี นักการทูตของอเมริกาตอบโต้ว่า เศรษฐกิจจีนเป็นระบบเศรษฐกิจนักล่าที่ไม่ได้อิงกับตลาด และเสริมว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่เข้าเป็นสมาชิก จีนละเมิด เพิกเฉย และหลบเลี่ยงกฎของดับเบิลยูทีโอมาหลายครั้ง . ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในดับเบิลยูทีโอเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตันละเมิดกฎ ขณะที่วอชิงตันระบุว่า ปักกิ่งไม่สมควรได้รับสถานะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งได้รับการปฏิบัติพิเศษภายใต้กฎของดับเบิลยูทีโอ . นอกจากนั้น การที่คณะบริหารของทรัมป์ประกาศแผนถอนตัวจากองค์กรระดับโลกหลายแห่ง ยังเท่ากับว่า ดับเบิลยูทีโอไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำเนียบขาวคำนึงถึงมากนัก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016777 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2834 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตา ! สีจิ้นผิงจัดสัมมนา'เดิมพันสูง'ร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจีน

    ประธานาธิบดี #สีจิ้นผิง เป็นเจ้าภาพจัด #การประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจีน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ( 17 ก.พ.) โดยมีผู้นำบริษัทหัวเว่ย อาลีบาบา บีวายดีและธุรกิจชั้นนำอื่น ๆ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

    ในภาพบรรยากาศการประชุมซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีสื่อของรัฐออกอากาศนั้นจะเห็นผู้เข้าร่วม อาทิ นายเหล่ย จวิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเสียวหมี่ นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป นายหวัง เฉวียนฝู ประธานและซีอีโอบริษัทบีวายดีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีส์

    ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ อาทิ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง นาย หวั่ง ฮู้หนิง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด และรองนายกรัฐมนตรี ติง เชวียเสียง

    ในช่วงปีที่ผ่านมา จีนมีนำเสนอและหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนอยู่หลายครั้งเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ ประกอบกับเกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ จากภายนอก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2

    ศูนย์วิจัยนโยบายทรีเวียม ( Trivium) ในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้มี “เดิมพันสูง” เพราะถ้าสีจิ้นผิงสามารถโน้มน้าวให้ผู้เข้าร่วมการประชุมและตลาดมั่นใจได้ว่าขณะนี้เขาให้การสนับสนุนภาคธุรกิจแล้วก็ย่อมจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนมีวิถีทางที่ดีขึ้น แต่หากผู้นำจีนใช้เวทีสัมมนานี้เพื่อเน้นย้ำกับบริษัทเอกชนว่า ความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ การประชุมสัมมนาครั้งนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปอีก

    ประธานาธิบดีของจีนไม่จัดการประชุมสัมมนาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก โดยครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงเคยเข้าร่วมคือในเดือนกันยายน ปี 2561 ซึ่งสถานะของภาคเอกชนกำลังเป็นที่วิตกกังวลหนัก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างและกลุ่มทำงานของรัฐสภามีการพบปะกับผู้ประกอบการอยู่เป็นประจำ

    ภาคเอกชนจีนมีการลงทุนในปี 2567 ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดลดลงเหลือ 50.08% จาก 56.42% ในปี 2562

    อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดคือความสำเร็จของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ DeepSeek ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีช่องทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนนักลงทุนก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง

    ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์
    ภาพประกอบข่าว
    ผู้นำภาคธุรกิจมารวมตัวกันในการประชุมระดับสูงซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ – ภาพ : ซินหัว
    จับตา ! สีจิ้นผิงจัดสัมมนา'เดิมพันสูง'ร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจีน ประธานาธิบดี #สีจิ้นผิง เป็นเจ้าภาพจัด #การประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจีน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ( 17 ก.พ.) โดยมีผู้นำบริษัทหัวเว่ย อาลีบาบา บีวายดีและธุรกิจชั้นนำอื่น ๆ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ในภาพบรรยากาศการประชุมซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีสื่อของรัฐออกอากาศนั้นจะเห็นผู้เข้าร่วม อาทิ นายเหล่ย จวิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเสียวหมี่ นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป นายหวัง เฉวียนฝู ประธานและซีอีโอบริษัทบีวายดีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีส์ ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ อาทิ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง นาย หวั่ง ฮู้หนิง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด และรองนายกรัฐมนตรี ติง เชวียเสียง ในช่วงปีที่ผ่านมา จีนมีนำเสนอและหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนอยู่หลายครั้งเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ ประกอบกับเกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ จากภายนอก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ศูนย์วิจัยนโยบายทรีเวียม ( Trivium) ในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้มี “เดิมพันสูง” เพราะถ้าสีจิ้นผิงสามารถโน้มน้าวให้ผู้เข้าร่วมการประชุมและตลาดมั่นใจได้ว่าขณะนี้เขาให้การสนับสนุนภาคธุรกิจแล้วก็ย่อมจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนมีวิถีทางที่ดีขึ้น แต่หากผู้นำจีนใช้เวทีสัมมนานี้เพื่อเน้นย้ำกับบริษัทเอกชนว่า ความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ การประชุมสัมมนาครั้งนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปอีก ประธานาธิบดีของจีนไม่จัดการประชุมสัมมนาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก โดยครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงเคยเข้าร่วมคือในเดือนกันยายน ปี 2561 ซึ่งสถานะของภาคเอกชนกำลังเป็นที่วิตกกังวลหนัก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างและกลุ่มทำงานของรัฐสภามีการพบปะกับผู้ประกอบการอยู่เป็นประจำ ภาคเอกชนจีนมีการลงทุนในปี 2567 ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดลดลงเหลือ 50.08% จาก 56.42% ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดคือความสำเร็จของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ DeepSeek ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีช่องทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนนักลงทุนก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ ภาพประกอบข่าว ผู้นำภาคธุรกิจมารวมตัวกันในการประชุมระดับสูงซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ – ภาพ : ซินหัว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 810 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่องเที่ยวไทยป่นปี้พินาศ จีนหวั่นไม่ปลอดภัย จนท.รัฐเอื้อจีนเทา+อุ๊งอิ๊งค์ปัดสวะข่าวปลอม
    .
    จากกรณีของ นายหวัง ซิง หรือที่เรียกว่า ซิงซิง ดาราจีนที่ถูกหลอกลวง กักขัง โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพม่า ต่อมาได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ท่านผู้ชมรู้ไหม แทนที่ประเทศไทยจะเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นกระแสคนจีนหวาดกลัวประเทศไทยไปแล้ว คนจีนยกเลิกทัวร์ช่วงตรุษจีนอย่างมากมาย คนจีนจำนวนมากเชื่อแล้วว่าเจ้าหน้าที่ไทยหลับตาข้างนึงสมคบกับจีนเทา
    .
    นักท่องเที่ยวจีนพากันยกเลิกตั๋วเครื่องบินและแผนการมาเที่ยวไทยคิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อยเกือบๆ 30% ของยอดจอง ประเมินว่าประเทศไทยจะสูญเสียรายได้ถึง 5,000 ล้านบาท ยอดการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยในแพลตฟอร์มของจีนลดลงมากกว่า 40%
    .
    แม้ว่านางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกจดหมายภาษาจีนเผยแพร่ไปในสื่อสังคมออนไลน์จีนเมื่อวันเสาร์11ม.ค. โดยใช้วาทะยอดนิยม ไม่เคยเบื่อที่จะใช้ ว่า "จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" แต่ว่าคนจีนเห็นว่า ในแต่ละปีชาวจีนหลายหมื่นคนถูกล่อลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีต้นทาง โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน
    .
    ขณะที่อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ก็ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับชาวบ้านเขา ไม่เข้าใจปัญหาเชิงระบบ มิหนำซ้ำยังทะลึ่งออกมาบอกว่าเป็นความเข้าใจผิด ข่าวปลอม คือไม่รู้เลยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ปัดสวะบอกว่าเป็นข่าวปลอม
    .
    คุณอุ๊งอิ๊งค์ครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความเข้าใจผิดหรือข่าวปลอมแต่อย่างใด เพราะเป็นปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทุนจีนสีเทาที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และเป็นฐานในการหลอกลวงพวกเดียวกันเอง รวมทั้งคนไทย ชาติไทย ชาติอื่น ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นเส้นทางการค้ามนุษย์ของขบวนการหลอกลวง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง คุณอุ๊งอิ๊งค์ นี่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เป็นระบบ ผมเห็นใจท่าน สงสารท่าน และสมนำหน้าท่านด้วย พูดอะไรไม่คิดเลย ถ้าท่านบอกว่าท่านจะลงไปแก้ไขที่ระบบพวกนี้ ยังน่าฟังหน่อย ท่านพูดลอยๆ อีก 6 เดือน จบแน่นอน คอลเซ็นเตอร์
    .
    แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านล้วนใช้อินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า เส้นทางการเงินจากประเทศไทย การปัดสวะให้พ้นตัว อ้างว่าจีนหลอกจีน เหมือนเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตเมื่อปี 2561ที่พล.อ.ประวิตร ต้องออกมาขอโทษในที่สุด
    .
    ประชาชนชาวจีนยังโยงข่าวที่ประชุม ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ รวมทั้งนายกฯ ตัวจริง ทักษิณ ชินวัตร คุยโวโอ้อวดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวเจริญเติบโตมาก และ GDP จะสูงมาก แต่ชาวจีนกลับวิจารณ์ว่า มีบ่อนการพนันถูกกฎหมายจะยิ่งทำให้ประเทศไทยน่ากลัวมากขึ้น
    .
    คุณอุ๊งอิ๊งค์ครับ คุณภูมิธรรมครับ และท่านนายกฯ ตัวจริงครับ ทักษิณ ชินวัตร ท่านหยุดบ้าบอคอแตกเรื่องเกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สักพักได้มั้ย ท่านมาสัมผัสความเป็นจริงหน่อย รัฐบาลไทยต้องคุยกับจีน พม่า กองกำลังกะเหรี่ยงที่คุมแถวเมียวดี แม่สอด ฉ่วยก๊กโก ว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ เพราะประเทศไทยได้รับความเสียหาย เสียชื่อ
    .
    สรุป ประเทศไทยไม่สามารถจะปัดความรับผิดชอบได้ว่าขบวนการอาชญากรรมอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้อยู่ในบ้านเรา เพราะว่าประเทศไทยและคนไทยก็รับเคราะห์เช่นเดียวกัน การตัดรากถอนโคนปัญหา ถึงจะเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงให้คนไทยได้ดีที่สุด และปกป้องคนไทยเองด้วย
    .
    เวลาคนจีนนั่งเครื่องมาไทยต้องได้รับการแจกใบปลิว 2-3 หน้า ให้ความรู้เรื่องขบวนการจีนเทาหลอกว่าจะได้เงิน อย่าไปเชื่อ เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนไม่ค่อยดีเหมือนแต่ก่อน ทำให้คนมีความหวัง มาขุดทองในภูมิภาคนี้มาก แต่หลายคนกลับเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
    .
    ตำรวจ และ ตม. ต้องจัดการจีนเทาเด็ดขาด จีนเทาอยู่ได้ในประเทศไทยเพราะตำรวจ พวกที่ซื้อบ้านแถวนั้นรอรับแขกแถวชายแดน พวกตำรวจภูธรภาค 6 กับพวกผู้กำกับแม่สอด นั่นล่ะตัวดี
    ท่องเที่ยวไทยป่นปี้พินาศ จีนหวั่นไม่ปลอดภัย จนท.รัฐเอื้อจีนเทา+อุ๊งอิ๊งค์ปัดสวะข่าวปลอม . จากกรณีของ นายหวัง ซิง หรือที่เรียกว่า ซิงซิง ดาราจีนที่ถูกหลอกลวง กักขัง โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพม่า ต่อมาได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ท่านผู้ชมรู้ไหม แทนที่ประเทศไทยจะเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นกระแสคนจีนหวาดกลัวประเทศไทยไปแล้ว คนจีนยกเลิกทัวร์ช่วงตรุษจีนอย่างมากมาย คนจีนจำนวนมากเชื่อแล้วว่าเจ้าหน้าที่ไทยหลับตาข้างนึงสมคบกับจีนเทา . นักท่องเที่ยวจีนพากันยกเลิกตั๋วเครื่องบินและแผนการมาเที่ยวไทยคิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อยเกือบๆ 30% ของยอดจอง ประเมินว่าประเทศไทยจะสูญเสียรายได้ถึง 5,000 ล้านบาท ยอดการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยในแพลตฟอร์มของจีนลดลงมากกว่า 40% . แม้ว่านางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกจดหมายภาษาจีนเผยแพร่ไปในสื่อสังคมออนไลน์จีนเมื่อวันเสาร์11ม.ค. โดยใช้วาทะยอดนิยม ไม่เคยเบื่อที่จะใช้ ว่า "จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" แต่ว่าคนจีนเห็นว่า ในแต่ละปีชาวจีนหลายหมื่นคนถูกล่อลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีต้นทาง โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน . ขณะที่อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ก็ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับชาวบ้านเขา ไม่เข้าใจปัญหาเชิงระบบ มิหนำซ้ำยังทะลึ่งออกมาบอกว่าเป็นความเข้าใจผิด ข่าวปลอม คือไม่รู้เลยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ปัดสวะบอกว่าเป็นข่าวปลอม . คุณอุ๊งอิ๊งค์ครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความเข้าใจผิดหรือข่าวปลอมแต่อย่างใด เพราะเป็นปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทุนจีนสีเทาที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และเป็นฐานในการหลอกลวงพวกเดียวกันเอง รวมทั้งคนไทย ชาติไทย ชาติอื่น ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นเส้นทางการค้ามนุษย์ของขบวนการหลอกลวง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง คุณอุ๊งอิ๊งค์ นี่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เป็นระบบ ผมเห็นใจท่าน สงสารท่าน และสมนำหน้าท่านด้วย พูดอะไรไม่คิดเลย ถ้าท่านบอกว่าท่านจะลงไปแก้ไขที่ระบบพวกนี้ ยังน่าฟังหน่อย ท่านพูดลอยๆ อีก 6 เดือน จบแน่นอน คอลเซ็นเตอร์ . แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านล้วนใช้อินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า เส้นทางการเงินจากประเทศไทย การปัดสวะให้พ้นตัว อ้างว่าจีนหลอกจีน เหมือนเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตเมื่อปี 2561ที่พล.อ.ประวิตร ต้องออกมาขอโทษในที่สุด . ประชาชนชาวจีนยังโยงข่าวที่ประชุม ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ รวมทั้งนายกฯ ตัวจริง ทักษิณ ชินวัตร คุยโวโอ้อวดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวเจริญเติบโตมาก และ GDP จะสูงมาก แต่ชาวจีนกลับวิจารณ์ว่า มีบ่อนการพนันถูกกฎหมายจะยิ่งทำให้ประเทศไทยน่ากลัวมากขึ้น . คุณอุ๊งอิ๊งค์ครับ คุณภูมิธรรมครับ และท่านนายกฯ ตัวจริงครับ ทักษิณ ชินวัตร ท่านหยุดบ้าบอคอแตกเรื่องเกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สักพักได้มั้ย ท่านมาสัมผัสความเป็นจริงหน่อย รัฐบาลไทยต้องคุยกับจีน พม่า กองกำลังกะเหรี่ยงที่คุมแถวเมียวดี แม่สอด ฉ่วยก๊กโก ว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ เพราะประเทศไทยได้รับความเสียหาย เสียชื่อ . สรุป ประเทศไทยไม่สามารถจะปัดความรับผิดชอบได้ว่าขบวนการอาชญากรรมอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้อยู่ในบ้านเรา เพราะว่าประเทศไทยและคนไทยก็รับเคราะห์เช่นเดียวกัน การตัดรากถอนโคนปัญหา ถึงจะเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงให้คนไทยได้ดีที่สุด และปกป้องคนไทยเองด้วย . เวลาคนจีนนั่งเครื่องมาไทยต้องได้รับการแจกใบปลิว 2-3 หน้า ให้ความรู้เรื่องขบวนการจีนเทาหลอกว่าจะได้เงิน อย่าไปเชื่อ เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนไม่ค่อยดีเหมือนแต่ก่อน ทำให้คนมีความหวัง มาขุดทองในภูมิภาคนี้มาก แต่หลายคนกลับเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ . ตำรวจ และ ตม. ต้องจัดการจีนเทาเด็ดขาด จีนเทาอยู่ได้ในประเทศไทยเพราะตำรวจ พวกที่ซื้อบ้านแถวนั้นรอรับแขกแถวชายแดน พวกตำรวจภูธรภาค 6 กับพวกผู้กำกับแม่สอด นั่นล่ะตัวดี
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1458 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กลุ่มสื่อทางการจีนได้เผยแพร่คลิปวิดีโออวยพรปีใหม่ของ "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีจีน ซึ่งกล่าวอวยพรปีใหม่ 2025 ต่อชาวจีน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสรุปความสำเร็จและผลการดำเนินงานที่สำคัญของตนเองและรัฐบาลจีนในปี 2024 และวิสัยทัศน์การพัฒนาในอนาคต โดยมีเนื้อหาดังนี้

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วปีใหม่ใกล้จะมาถึง ข้าพเจ้าขออวยพรปีใหม่ให้ผู้คนทั้งหลายจากกรุงปักกิ่ง ปี 2024 เราร่วมกันผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ร่วมกันฝ่าแดดลมฝน เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าปี 2024 เป็นปีที่ไม่ธรรมดา และน่าประทับใจจนยากที่จะลืมเลือนได้

    ปี 2024 จีนรับมือการเปลี่ยนแปลงทั้งในและต่างประเทศอย่างแข็งขัน โดยใช้นโยบายจำนวนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงอย่างมั่นคง เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวและมุ่งสู่ทิศทางที่ดี คาดว่ามวลรวมผลิตภัณฑ์ภายในประเทศในปี 2024 จะเกิน 130 ล้านล้านหยวน ผลิตผลทางธัญญาหารจะเกินกว่า 0.7 ล้านล้านกิโลกรัม ในคลังอาหารของจีนมีธัญญาหารที่จีนผลิตเองมากขึ้น ด้านการพัฒนาในภูมิภาคมีสถานการณ์ที่ประสานและสอดคล้องกัน โดยมีพื้นฐานที่มั่นคง ความเป็นเมืองใหม่และการสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองในชนบทได้พัฒนาร่วมกันอย่างครอบคลุม ส่วนการพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำได้ลงลึก สร้างสรรค์จีนให้เป็นประเทศที่สวยงามเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/china/detail/9680000000028

    #MGROnline #สีจิ้นผิง #ประธานาธิบดีจีน
    #กลุ่มสื่อทางการจีนได้เผยแพร่คลิปวิดีโออวยพรปีใหม่ของ "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีจีน ซึ่งกล่าวอวยพรปีใหม่ 2025 ต่อชาวจีน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสรุปความสำเร็จและผลการดำเนินงานที่สำคัญของตนเองและรัฐบาลจีนในปี 2024 และวิสัยทัศน์การพัฒนาในอนาคต โดยมีเนื้อหาดังนี้ • เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วปีใหม่ใกล้จะมาถึง ข้าพเจ้าขออวยพรปีใหม่ให้ผู้คนทั้งหลายจากกรุงปักกิ่ง ปี 2024 เราร่วมกันผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ร่วมกันฝ่าแดดลมฝน เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าปี 2024 เป็นปีที่ไม่ธรรมดา และน่าประทับใจจนยากที่จะลืมเลือนได้ • ปี 2024 จีนรับมือการเปลี่ยนแปลงทั้งในและต่างประเทศอย่างแข็งขัน โดยใช้นโยบายจำนวนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงอย่างมั่นคง เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวและมุ่งสู่ทิศทางที่ดี คาดว่ามวลรวมผลิตภัณฑ์ภายในประเทศในปี 2024 จะเกิน 130 ล้านล้านหยวน ผลิตผลทางธัญญาหารจะเกินกว่า 0.7 ล้านล้านกิโลกรัม ในคลังอาหารของจีนมีธัญญาหารที่จีนผลิตเองมากขึ้น ด้านการพัฒนาในภูมิภาคมีสถานการณ์ที่ประสานและสอดคล้องกัน โดยมีพื้นฐานที่มั่นคง ความเป็นเมืองใหม่และการสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองในชนบทได้พัฒนาร่วมกันอย่างครอบคลุม ส่วนการพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำได้ลงลึก สร้างสรรค์จีนให้เป็นประเทศที่สวยงามเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/china/detail/9680000000028 • #MGROnline #สีจิ้นผิง #ประธานาธิบดีจีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 708 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนข่าวสด อย่าตกเป็นเครื่องมือตะวันตก
    ปั่นกระแส“ว้าแดงรุกล้ำ ปลุกไทยสู้รบ”
    .
    ข่าวการรุกล้ำดินแดนไทยของทหารว้าเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในภาคเหนือของรัฐฉานกำลังเริ่มจะคลี่คลาย มีสัญญาณบวกเกิดขึ้นหลายสัญญาณ หลังจากที่จีนออกหน้าเป็นตัวกลางให้มีการเจรจาสันติภาพกันระหว่างกองทัพพม่า กับกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ที่สู้รบกันดุเดือดมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน
    .
    การมีการสู้รบทางภาคเหนือของรัฐฉาน เชื่อกันว่ามีอเมริกาและประเทศตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพราะพื้นที่สู้รบอยู่บนเส้นทางคมนาคมหลักของระเบียงเศรษฐกิจจีน พม่า ที่จีนตั้งใจจะใช้เป็นทางออกทะเลสู่มหาสมุทรอินเดีย
    .
    กองทัพว้า เป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง เรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ของกองทัพทั้งสองที่กำลังรบอยู่กับกองทัพพม่า
    .
    กองทัพว้า มีความใกล้ชิดกับทั้งจีนและกองทัพพม่า ในกระบวนการเจรจาสันติภาพในภาคเหนือของรัฐฉานที่มีจีนเป็นตัวกลาง กองทัพว้ามีบทบาทร่วมกดดันให้กองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ยุติการสู้รบกับกองทัพพม่า โดยใช้วิธีตัดความช่วยเหลือทุกด้านที่กองทัพว้าเคยให้กับกองทัพทั้งสองตามคำร้องขอของจีน
    .
    เรื่องกองกำลังว้าแดงแถวแม่ฮ่องสอนรุกเข้ามาที่ไทย เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เป็นเรื่องที่เราเคยล้ำเส้นเขา เขาล้ำเส้นเรา ว้าแดงคือคนพื้นที่ที่อยู่ตรงนั้นมานานแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ใช้เทคโนโลยีจีน มีรถถัง มีขีปนาวุธ เพราะจีนหนุนว้าแดงเพื่อให้ปราบชนกลุ่มน้อยที่ไปเข้ายืนข้างทางตะวันตก แล้วหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ก็ตกเป็นเครื่องมือของทางตะวันตกอย่างเต็มตัว
    .
    ข่าวสด ครับ ฟังทางนี้นะครับ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า วิทยุเอเชียเสรี เป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของรัฐบาลสหรัฐฯ นี่เอง แท้จริงแล้วไม่ใช่สื่อเสรี แต่เป็นสื่อทำตามธงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นั่นเอง
    .
    ในภาพใหญ่ เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกใช้เพื่อดำเนินการกดดันและปิดล้อมการแผ่อิทธิพลของจีนอย่างแน่นอน โดยใช้ประเทศไทยเราเป็นหมากเบี้ย ปั่นให้เราทะเลาะกับว้านั่นเอง น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ตกเป็นเครื่องมือของตะวันตกโดยไม่รู้ตัว
    เตือนข่าวสด อย่าตกเป็นเครื่องมือตะวันตก ปั่นกระแส“ว้าแดงรุกล้ำ ปลุกไทยสู้รบ” . ข่าวการรุกล้ำดินแดนไทยของทหารว้าเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในภาคเหนือของรัฐฉานกำลังเริ่มจะคลี่คลาย มีสัญญาณบวกเกิดขึ้นหลายสัญญาณ หลังจากที่จีนออกหน้าเป็นตัวกลางให้มีการเจรจาสันติภาพกันระหว่างกองทัพพม่า กับกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ที่สู้รบกันดุเดือดมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน . การมีการสู้รบทางภาคเหนือของรัฐฉาน เชื่อกันว่ามีอเมริกาและประเทศตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพราะพื้นที่สู้รบอยู่บนเส้นทางคมนาคมหลักของระเบียงเศรษฐกิจจีน พม่า ที่จีนตั้งใจจะใช้เป็นทางออกทะเลสู่มหาสมุทรอินเดีย . กองทัพว้า เป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อกองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง เรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ของกองทัพทั้งสองที่กำลังรบอยู่กับกองทัพพม่า . กองทัพว้า มีความใกล้ชิดกับทั้งจีนและกองทัพพม่า ในกระบวนการเจรจาสันติภาพในภาคเหนือของรัฐฉานที่มีจีนเป็นตัวกลาง กองทัพว้ามีบทบาทร่วมกดดันให้กองทัพโกก้าง และกองทัพตะอาง ยุติการสู้รบกับกองทัพพม่า โดยใช้วิธีตัดความช่วยเหลือทุกด้านที่กองทัพว้าเคยให้กับกองทัพทั้งสองตามคำร้องขอของจีน . เรื่องกองกำลังว้าแดงแถวแม่ฮ่องสอนรุกเข้ามาที่ไทย เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เป็นเรื่องที่เราเคยล้ำเส้นเขา เขาล้ำเส้นเรา ว้าแดงคือคนพื้นที่ที่อยู่ตรงนั้นมานานแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ใช้เทคโนโลยีจีน มีรถถัง มีขีปนาวุธ เพราะจีนหนุนว้าแดงเพื่อให้ปราบชนกลุ่มน้อยที่ไปเข้ายืนข้างทางตะวันตก แล้วหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ก็ตกเป็นเครื่องมือของทางตะวันตกอย่างเต็มตัว . ข่าวสด ครับ ฟังทางนี้นะครับ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า วิทยุเอเชียเสรี เป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของรัฐบาลสหรัฐฯ นี่เอง แท้จริงแล้วไม่ใช่สื่อเสรี แต่เป็นสื่อทำตามธงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นั่นเอง . ในภาพใหญ่ เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกใช้เพื่อดำเนินการกดดันและปิดล้อมการแผ่อิทธิพลของจีนอย่างแน่นอน โดยใช้ประเทศไทยเราเป็นหมากเบี้ย ปั่นให้เราทะเลาะกับว้านั่นเอง น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ตกเป็นเครื่องมือของตะวันตกโดยไม่รู้ตัว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 730 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇨🇳 จีนคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโต ๕% ในปีนี้
    .
    JUST IN: 🇨🇳 China's economy is expected to grow by 5% this year.
    .
    11:29 PM · Dec 15, 2024 · 127.3K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1868332441586241542
    🇨🇳 จีนคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโต ๕% ในปีนี้ . JUST IN: 🇨🇳 China's economy is expected to grow by 5% this year. . 11:29 PM · Dec 15, 2024 · 127.3K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1868332441586241542
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนค้นพบแหล่งทองคำสำรองมูลค่า 600,000 ล้านหยวน (82,900 ล้านดอลลาร์) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลาง สำนักข่าวซินหัวของรัฐรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567จีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2566 ตามข้อมูลจากสภาทองคำโลกโดยมีการบริโภคทองคำ 741.732 เมตริกตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 268.068 ตัน ซึ่งหมายความว่าต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศสถาบันธรณีวิทยาหูหนานค้นพบเส้นแร่ทองคำมากกว่า 40 เส้นที่ความลึกมากกว่า 2,000 เมตรในเขตผิงเจียง โดยพบแหล่งแร่ทองคำรวม 300.2 ตันในพื้นที่สำรวจหลัก และมีเกรดสูงสุดที่ 138 กรัมต่อเมตริกตัน ซินหัวกล่าวกลุ่มดังกล่าวคาดการณ์ว่ามีทองคำสำรองมากกว่า 1,000 ตันในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร ตามรายงานของซินหัวโดยทั่วไปสำรองทองคำหมายถึงส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่สามารถสกัดได้ในทางเศรษฐกิจราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 639.48 หยวนต่อกรัมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ด้วยการค้นพบในมณฑลหูหนาน จีนตอกย้ำความเป็นผู้นำในภาคเหมืองแร่ทองคำ การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ใหม่ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในแถวหน้าของการผลิตทั่วโลกแม้ว่าความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านความยั่งยืนยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมทองคำของจีนบ่งชี้ว่าประเทศพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแหล่งทองคำใหม่ที่ค้นพบในมณฑลหูหนานไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศในการกำหนดอนาคตของตลาดทองคำทั่วโลก ผลกระทบของการค้นพบนี้อาจสะท้อนให้เห็นต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า พลวัตทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม
    จีนค้นพบแหล่งทองคำสำรองมูลค่า 600,000 ล้านหยวน (82,900 ล้านดอลลาร์) ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลาง สำนักข่าวซินหัวของรัฐรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567จีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2566 ตามข้อมูลจากสภาทองคำโลกโดยมีการบริโภคทองคำ 741.732 เมตริกตันในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 268.068 ตัน ซึ่งหมายความว่าต้องพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศสถาบันธรณีวิทยาหูหนานค้นพบเส้นแร่ทองคำมากกว่า 40 เส้นที่ความลึกมากกว่า 2,000 เมตรในเขตผิงเจียง โดยพบแหล่งแร่ทองคำรวม 300.2 ตันในพื้นที่สำรวจหลัก และมีเกรดสูงสุดที่ 138 กรัมต่อเมตริกตัน ซินหัวกล่าวกลุ่มดังกล่าวคาดการณ์ว่ามีทองคำสำรองมากกว่า 1,000 ตันในระดับความลึกมากกว่า 3,000 เมตร ตามรายงานของซินหัวโดยทั่วไปสำรองทองคำหมายถึงส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่สามารถสกัดได้ในทางเศรษฐกิจราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 639.48 หยวนต่อกรัมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ด้วยการค้นพบในมณฑลหูหนาน จีนตอกย้ำความเป็นผู้นำในภาคเหมืองแร่ทองคำ การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ใหม่ๆ ทำให้ประเทศอยู่ในแถวหน้าของการผลิตทั่วโลกแม้ว่าความท้าทายต่างๆ เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันด้านความยั่งยืนยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมทองคำของจีนบ่งชี้ว่าประเทศพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพแหล่งทองคำใหม่ที่ค้นพบในมณฑลหูหนานไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศในการกำหนดอนาคตของตลาดทองคำทั่วโลก ผลกระทบของการค้นพบนี้อาจสะท้อนให้เห็นต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า พลวัตทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 827 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาพ่าย “สงครามเทคโนโลยี” จีนแซงหน้า.ประโยคติดปากกับสโลแกนของนายทรัมป์ คือ "ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง" หรือ Make America Great Again ผมไม่รู้ว่าลึกๆ นายทรัมป์ ให้ความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกายังถือว่าตัวเองยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 28.7 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเราวัดขนาดเศรษฐกิจเทียบกับอำนาจการซื้อ คือขนาดเศรษฐกิจ กับอำนาจการซื้อ PPP (Purchasing Power Priority)ถ้าวัดกันตรงนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าแซงหน้าอเมริกาเรื่องอำนาจในการซื้อข้าวซื้อของ .แต่สิ่งสำคัญกว่าขนาดหรือตัวเลขเศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกว่า "เทคโนโลยีที่มาชี้ขาด" (Critical Technology) มีคำเปรียบเปรยว่า รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้ จีนกลายเป็นศูนย์กลางการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21.เมื่อเดือนสิงหาคม หรือ2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย ที่เขาเรียกว่า Australian Politics Policy Institute ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง"เทคโนโลยีชี้ขาด"(Critical Technology Tracker)ว่า จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ พลังงาน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ของโลกเกือบ 90% หรือมีมากถึง 57 หมวดหมู่ จาก 64 หมวดหมู่เทคโนโลยี แต่ยังเหลืออยู่ 7 สาขา ที่อเมริกายังเป็นผู้นำเช่น สาขาประมวลผลภาษาธรรมชาติ สาขาพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ,เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีบำบัด,วัคซีน ,ดาวเทียมขนาดเล็ก,Quantum Computing และนาฬิกาอะตอม.สื่อThe Economist รายงานและ Voice of America รายงานเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ออกมายอมรับว่าจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำ เขาพบว่าอเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่งด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาดเรียบร้อยแล้ว .ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันชี้ให้เราเห็นว่าช่วงเวลาสำคัญที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง การกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21 การเติบโตของจีนเป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเป็นเรื่องราวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ นี่คือบทเรียนที่สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกต้องรีบทำความเข้าใจ.นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นนามธรรม เพราะธุรกิจอเมริกาที่ควบคุมทุกอย่างในการแข่งขัน ตอนนี้ต้องมาเผชิญความจริงที่ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่าตัวเอง อเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่ง.ทั้งนี้และทั้งนั้นอนาคตเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือแข่งขัน หรือสงครามแห่งความขัดแย้ง ความแข็งแกร่งและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมของจีนผลักดันให้จีนก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำยุคใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลก ท้าทายระเบียบโลกเก่าที่นำโดยสหรัฐฯ
    อเมริกาพ่าย “สงครามเทคโนโลยี” จีนแซงหน้า.ประโยคติดปากกับสโลแกนของนายทรัมป์ คือ "ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง" หรือ Make America Great Again ผมไม่รู้ว่าลึกๆ นายทรัมป์ ให้ความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกายังถือว่าตัวเองยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 28.7 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเราวัดขนาดเศรษฐกิจเทียบกับอำนาจการซื้อ คือขนาดเศรษฐกิจ กับอำนาจการซื้อ PPP (Purchasing Power Priority)ถ้าวัดกันตรงนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าแซงหน้าอเมริกาเรื่องอำนาจในการซื้อข้าวซื้อของ .แต่สิ่งสำคัญกว่าขนาดหรือตัวเลขเศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกว่า "เทคโนโลยีที่มาชี้ขาด" (Critical Technology) มีคำเปรียบเปรยว่า รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้ จีนกลายเป็นศูนย์กลางการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21.เมื่อเดือนสิงหาคม หรือ2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย ที่เขาเรียกว่า Australian Politics Policy Institute ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง"เทคโนโลยีชี้ขาด"(Critical Technology Tracker)ว่า จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ พลังงาน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ของโลกเกือบ 90% หรือมีมากถึง 57 หมวดหมู่ จาก 64 หมวดหมู่เทคโนโลยี แต่ยังเหลืออยู่ 7 สาขา ที่อเมริกายังเป็นผู้นำเช่น สาขาประมวลผลภาษาธรรมชาติ สาขาพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ,เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีบำบัด,วัคซีน ,ดาวเทียมขนาดเล็ก,Quantum Computing และนาฬิกาอะตอม.สื่อThe Economist รายงานและ Voice of America รายงานเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ออกมายอมรับว่าจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำ เขาพบว่าอเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่งด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาดเรียบร้อยแล้ว .ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันชี้ให้เราเห็นว่าช่วงเวลาสำคัญที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง การกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21 การเติบโตของจีนเป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเป็นเรื่องราวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ นี่คือบทเรียนที่สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกต้องรีบทำความเข้าใจ.นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นนามธรรม เพราะธุรกิจอเมริกาที่ควบคุมทุกอย่างในการแข่งขัน ตอนนี้ต้องมาเผชิญความจริงที่ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่าตัวเอง อเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่ง.ทั้งนี้และทั้งนั้นอนาคตเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือแข่งขัน หรือสงครามแห่งความขัดแย้ง ความแข็งแกร่งและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมของจีนผลักดันให้จีนก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำยุคใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลก ท้าทายระเบียบโลกเก่าที่นำโดยสหรัฐฯ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1001 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุบสถิติ! ต่างชาติแห่ลงทุนตราสารหนี้หยวนทะลุ 6.4 แสนล้านดอลลาร์

    25 ตุลาคม 2567-imctnews รายงาน จีนเผยทุนสำรองพุ่ง 3.31 ล้านล้านดอลลาร์ ส่องโอกาสทองเศรษฐกิจจีนโต นักวิเคราะห์ชี้ยังมีช่องว่างอีกมาก

    ตลาดการเงินจีนคึกคักหลังนักลงทุนต่างชาติเทเงินลงทุนสุทธิในตราสารหนี้ทะลุ 80,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2024 ส่งผลให้ยอดถือครองตราสารหนี้ในรูปเงินหยวนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 640,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 21.1 ล้านล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแตะ 3.3164 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 78,400 ล้านดอลลาร์จากปีก่อน

    นักวิจัยจากสถาบันสังคมศาสตร์ปักกิ่งมองบวก ชี้เงินหยวนมีเสถียรภาพต่อเนื่อง 3 เดือน ด้านรองหัวหน้าสำนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราจีนเผยสัดส่วนการลงทุนต่างชาติยังมีเพียง 3-4% เท่านั้น เหลือช่องว่างอีกมากในการดึงดูดนักลงทุน พร้อมระบุการลงทุนต่างชาติไม่เพียงนำเม็ดเงิน แต่ยังนำเทคโนโลยี ประสบการณ์ และโอกาสการขยายตลาดมาสู่จีน

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/z1mDoVWihf5Uvcr6/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ทุบสถิติ! ต่างชาติแห่ลงทุนตราสารหนี้หยวนทะลุ 6.4 แสนล้านดอลลาร์ 25 ตุลาคม 2567-imctnews รายงาน จีนเผยทุนสำรองพุ่ง 3.31 ล้านล้านดอลลาร์ ส่องโอกาสทองเศรษฐกิจจีนโต นักวิเคราะห์ชี้ยังมีช่องว่างอีกมาก ตลาดการเงินจีนคึกคักหลังนักลงทุนต่างชาติเทเงินลงทุนสุทธิในตราสารหนี้ทะลุ 80,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2024 ส่งผลให้ยอดถือครองตราสารหนี้ในรูปเงินหยวนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 640,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 21.1 ล้านล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแตะ 3.3164 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 78,400 ล้านดอลลาร์จากปีก่อน นักวิจัยจากสถาบันสังคมศาสตร์ปักกิ่งมองบวก ชี้เงินหยวนมีเสถียรภาพต่อเนื่อง 3 เดือน ด้านรองหัวหน้าสำนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราจีนเผยสัดส่วนการลงทุนต่างชาติยังมีเพียง 3-4% เท่านั้น เหลือช่องว่างอีกมากในการดึงดูดนักลงทุน พร้อมระบุการลงทุนต่างชาติไม่เพียงนำเม็ดเงิน แต่ยังนำเทคโนโลยี ประสบการณ์ และโอกาสการขยายตลาดมาสู่จีน ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/z1mDoVWihf5Uvcr6/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1054 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
    ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ
    อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย

    นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก
    เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน
    คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
    ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ
    ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม
    ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท
    และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา

    SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก
    จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย
    ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
    ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก
    ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน

    ปัจจัยภายในประเทศ :

    1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก :
    ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ
    ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
    เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด
    ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต
    กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD)
    ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี
    เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD
    ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ
    และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์
    และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย
    จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า
    การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก
    ไทยทั้งหมดในปี 2566

    2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า :
    ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก
    ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า
    ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย
    ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ
    ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้
    อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก
    ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์
    สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก)

    ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก
    ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23%
    ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
    ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38%
    เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า
    ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
    มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้
    ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง
    และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า
    แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
    ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน

    3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง :
    การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ
    ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น
    ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน
    ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย
    สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
    และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้

    จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก
    ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์
    สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้?

    SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน
    จากต่างชาติที่ลดลง :

    1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ
    22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม
    เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ
    ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า
    และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ
    เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า
    เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

    2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง :
    FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย
    เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก
    รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง
    ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ
    อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3,
    และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank)

    สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก

    (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย
    ยังมีมากที่สุดในอาเซียน

    (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
    กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
    เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป
    และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น

    (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง

    (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง
    นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน
    วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง
    และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ

    (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน
    ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง
    และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า

    ปัจจัยภายนอก :

    การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ

    ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ
    ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
    กับสินค้าจีน

    2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี
    สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม

    3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว
    ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ
    ต่อการค้าโลก

    4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง
    สำคัญทั่วโลก

    (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย
    และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์


    ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย
    อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน
    ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้
    ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ
    ที่เปราะบาง

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว
    หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน
    โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน
    ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น
    และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว
    เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ
    ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย
    แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย
    ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง
    การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ

    การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า
    ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์
    ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง
    แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า
    ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า
    ไปคันแล้วคันเล่า

    ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน ปัจจัยภายในประเทศ : 1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก : ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก ไทยทั้งหมดในปี 2566 2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า : ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก) ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23% ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38% เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้ ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน 3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง : การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้ จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์ สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้? SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน จากต่างชาติที่ลดลง : 1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ 22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง : FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3, และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย ยังมีมากที่สุดในอาเซียน (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า ปัจจัยภายนอก : การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา กับสินค้าจีน 2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ ต่อการค้าโลก 4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สำคัญทั่วโลก (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้ ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ ที่เปราะบาง อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์ ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า ไปคันแล้วคันเล่า ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1747 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเผย 'จีดีพี' ขยายตัว 4.8% ในช่วง 9 เดือนแรก 2567
    .
    ซินหัว - วันนี้ (18 ต.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-กันยายนของปี 2567 เติบโตร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบปีต่อปี
    .
    รายงานระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ราว 94.97 ล้านล้านหยวน (ราว 442 ล้านล้านบาท)
    ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบปีต่อปี ในไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของปี 2567
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า GDP ของจีนในปีที่แล้ว คือ ปี 2566 อยู่ที่ 126.06 ล้านล้านหยวน (ราว 637 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยสูงกว่าเป้าหมายประจำปีที่กำหนดไว้ราวร้อยละ 5
    .
    (แฟ้มภาพซินหัว : สถานีรถไฟใต้ดินในนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตงทางตอนใต้ของจีน วันที่ 22 ก.ย. 2024)
    จีนเผย 'จีดีพี' ขยายตัว 4.8% ในช่วง 9 เดือนแรก 2567 . ซินหัว - วันนี้ (18 ต.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-กันยายนของปี 2567 เติบโตร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบปีต่อปี . รายงานระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ราว 94.97 ล้านล้านหยวน (ราว 442 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบปีต่อปี ในไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของปี 2567 . ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า GDP ของจีนในปีที่แล้ว คือ ปี 2566 อยู่ที่ 126.06 ล้านล้านหยวน (ราว 637 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยสูงกว่าเป้าหมายประจำปีที่กำหนดไว้ราวร้อยละ 5 . (แฟ้มภาพซินหัว : สถานีรถไฟใต้ดินในนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตงทางตอนใต้ของจีน วันที่ 22 ก.ย. 2024)
    Like
    8
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงาน
    ภาวะเศรษฐกิจโลก และ เศรษฐกิจไทย
    ประจำเดือน กันยายน 2567 พบว่า

    🚩เศรษฐกิจโลก กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น
    โดยเฉพาะจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
    และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

    🚩ส่วนเศรษฐกิจไทย ยังคงคาดการณ์การเติบโต
    ทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปี 2567 ไว้ที่ 2.6%
    โดยคาดการณ์ว่า ครึ่งหลังของปี 2567
    เศรษฐกิจไทย จะเติบโตได้ดีขึ้นจากการส่งออก
    การลงทุน การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐ

    ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงาน ภาวะเศรษฐกิจโลก และ เศรษฐกิจไทย ประจำเดือน กันยายน 2567 พบว่า 🚩เศรษฐกิจโลก กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 🚩ส่วนเศรษฐกิจไทย ยังคงคาดการณ์การเติบโต ทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปี 2567 ไว้ที่ 2.6% โดยคาดการณ์ว่า ครึ่งหลังของปี 2567 เศรษฐกิจไทย จะเติบโตได้ดีขึ้นจากการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 931 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 ตุลาคม - วันชาติจีน
    จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦
    ...........................................
    ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism
    จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ
    1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย
    2) แบ่งเท่ากัน
    ...........................................
    PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย
    ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า
    " LET SOME PEOPLE GET RICH"
    แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้)
    จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้

    ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ.
    2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!!
    ......................................................................

    ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ
    นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
    นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ
    1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc.
    2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ
    3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง)

    จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า
    ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย "

    แว๊ว---ช่าย หมาย ?
    .
    Pachäree Wõng
    October1st, 2024
    San Francisco, CA94108
    1 ตุลาคม - วันชาติจีน จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย The Chinese Dream 中国梦 ........................................... ในพัฒนาประเทศ ตามหลักของ Marxism-Communism จีน มีนโยบาย 2 PHASE ต่อเนื่องกัน คือ 1) ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย 2) แบ่งเท่ากัน ........................................... PHASE-I #นโยบายจีนสร้างประเทศให้ร่ำรวย ตามแนวคิดของ Deng Xiao Ping ที่วางยุทธศาสตร์ ไว้ว่า " LET SOME PEOPLE GET RICH" แปลอังกฤษเป็นไทย ได้ว่า ต้องทำประเทศให้ร่ำรวย ด้วยการเปิดเสรี ให้คนจีนที่มีความสามารถ นำการพัฒนาความมั่งคั่งให้ประเทศจีน (ด้วยนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ หรือ แมวสีอะไรก็ได้..ขอให้จับหนูได้) จีน..จึงกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ขายดี สร้างให้ประเทศร่ำรวย ดังที่ทุกคนในโลก..ได้รับรู้ ขณะนี้..สถานการณ์Covid-19 ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ได้ทดลอง "ปิดประเทศ" แล้วใช้ระบบเศรษฐกิจแบบ Dual-Circulation กล่าวคือ จีน แบ่งเศรษฐกิจออกเป็นการหมุนเวียนภายในประเทศ และ การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. ผลปรากฎว่า.. 1) ผลของเศรษฐกิจการหมุนเวียนภายในประเทศ จีนผลิต จีนใช้ จีนเจริญ (อยู่ได้..อย่างสบายมาก)อุดมสมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ. 2) การหมุนเวียนเศรษฐกิจจีนนอกประเทศ ยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่. !!! ...................................................................... ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ท่านจักรพรรดิ์ Xi JinPing ตัดสินใจ นำประเทศจีน เข้าสู่ PHASE-II คือ นโยบาย COMMON PROSPERITY แปลเป็นไทยได้ว่า #ได้เวลาที่จะแบ่งความร่ำรวยให้ทุกคนเท่าเทียมกัน นี่แหละ..คือ ที่มาของ..นโยบายรัฐบาลจีน ที่สำคัญ 3 ประการ 1) ควบคุมกิจการเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ANT GROUP, TenCent, ALiBaBa...etc. 2) ควบคุมการศึกษา เช่น ปราบ TUTOR ในเมืองใหญ่ เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค #ทำให้เด็กจีนได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และ #รักชาติยิ่งชีพ 3) ควบคุมอบายมุข เหล้า บุหรี่ และ เกมส์(ยาเสพติดยุคดิจิตอล เทียบเท่า ฝิ่น ในราชวงศ์ชิง) จากบทความข้างต้น ท่านคงเข้าใจแล้วนะ ว่า ต่อจากวินาที นี้.. " จีน กำลังเข้าสู่..เส้นชัย " แว๊ว---ช่าย หมาย ? . Pachäree Wõng October1st, 2024 San Francisco, CA94108
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 805 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥24/09/2567
    ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุด
    เป็นประวัติการณ์ในวันนี้
    หลังจากจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
    เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
    ส่งผลให้หุ้นในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
    และยุโรปพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์
    เช่น น้ำมัน, ทองแดง, เหล็ก, และ ทองคำ ราคาดีดตัวขึ้น

    🚩โดยผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน พาน กงเซิง
    ประกาศแผนลดต้นทุนการกู้ยืม และอัดฉีดเงิน
    เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจีนมากขึ้น
    รวมถึงลดภาระการผ่อนชำระเงินกู้ของครัวเรือน

    🚩นอกจากนี้ พานยังกล่าวอีกว่า จีนจะออกเครื่องมือ
    นโยบายการเงินเชิงโครงสร้างเป็นครั้งแรก
    เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุน

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    💥💥24/09/2567 ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุด เป็นประวัติการณ์ในวันนี้ หลังจากจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ส่งผลให้หุ้นในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย และยุโรปพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน, ทองแดง, เหล็ก, และ ทองคำ ราคาดีดตัวขึ้น 🚩โดยผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน พาน กงเซิง ประกาศแผนลดต้นทุนการกู้ยืม และอัดฉีดเงิน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจีนมากขึ้น รวมถึงลดภาระการผ่อนชำระเงินกู้ของครัวเรือน 🚩นอกจากนี้ พานยังกล่าวอีกว่า จีนจะออกเครื่องมือ นโยบายการเงินเชิงโครงสร้างเป็นครั้งแรก เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุน ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1024 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ปัญหาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นของจีน
    เป็นอุปสรรคแอบแฝงสำคัญ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    🚩โดยการบริโภคของจีนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนั้น
    สืบเนื่องมาจากภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์
    ของประเทศ และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ
    การเงินของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงหนี้สิน

    🚩ความมั่งคั่งของครัวเรือนชาวจีนส่วนใหญ่เนื่องจาก
    เข้าสู่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงสองทศวรรษ
    ที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเริ่มปราบปรามผู้พัฒนา
    อสังหาริมทรัพย์ ที่มีการพึ่งพาหนี้สินสูงในปี 2563

    🚩ขณะนี้ มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นกำลังลดลง
    และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ลดการซื้อที่ดินลง
    ทำให้รายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นลดลงอย่างมาก
    โดยเฉพาะในระดับอำเภอและเทศมณฑล
    ตามที่นักวิเคราะห์ของ S&P Global Ratings กล่าว

    🚩คาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนของปีนี้เป็นต้นไป
    การเงินของรัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เวลาสามถึงห้าปี
    จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ

    ที่มา : cnbc

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    🔥🔥ปัญหาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นของจีน เป็นอุปสรรคแอบแฝงสำคัญ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 🚩โดยการบริโภคของจีนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนั้น สืบเนื่องมาจากภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ ของประเทศ และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ การเงินของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงหนี้สิน 🚩ความมั่งคั่งของครัวเรือนชาวจีนส่วนใหญ่เนื่องจาก เข้าสู่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงสองทศวรรษ ที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเริ่มปราบปรามผู้พัฒนา อสังหาริมทรัพย์ ที่มีการพึ่งพาหนี้สินสูงในปี 2563 🚩ขณะนี้ มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นกำลังลดลง และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ลดการซื้อที่ดินลง ทำให้รายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในระดับอำเภอและเทศมณฑล ตามที่นักวิเคราะห์ของ S&P Global Ratings กล่าว 🚩คาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนของปีนี้เป็นต้นไป การเงินของรัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เวลาสามถึงห้าปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจจีน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1178 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจ่อแบนบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ในประเทศจีน 6 เดือน ปมตรวจสอบบัญชีบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลายและคดีฉ้อโกง

    22 สิงหาคม 2567-รายงานข่าว Financial Times ระบุว่า PwC ประเทศจีน ได้แจ้งลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะสั่งปรับเงิน และระงับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ หลังมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande อดีตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน

    การตัดสินบทลงโทษที่รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติในงบการเงินของ Hengda Real Estate บริษัทลูกของ Evergrande ในเดือนมีนาคม โดยพบว่าบริษัทรายงานรายได้เกินจริง

    โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่ 2.13 แสนล้านหยวน หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวมในปี 2562 ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.5 แสนล้านหยวน หรือ 78.5% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังออกหุ้นกู้โดยอ้างอิงงบการเงินเท็จ โดย PwC ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีขณะนั้น กลับรับรองว่างบการเงินถูกต้อง ซึ่งแสดงว่าบริษัทบกพร่องในการตรวจสอบบัญชี

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่ Evergrande จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศครั้งแรก จนนำมาสู่วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบทลงโทษมีผลบังคับใช้ PwC จะไม่สามารถลงนามรับรองงบการเงิน และการเสนอขายหุ้น IPO รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในบทลงโทษ

    การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับของจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทไม่น้อย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม พบว่า PwC เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ได้รับความนิยมในจีนมากที่สุด โดยมีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนวางใจใช้บริการมากถึง 110 แห่ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่บริษัทถูก ก.ล.ต. จีน สอบสวนในเดือนมีนาคม มีบริษัทอย่างน้อย 50 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน ได้ขอให้ PwC ยกเลิกการตรวจสอบบัญชีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้ในปีนี้ PwC ประเทศจีน สูญเสียรายได้ทางบัญชีไปแล้วอย่างน้อยสองในสามจากบริษัทจดทะเบียนในจีน เช่น ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Bank of China ที่หันไปใช้บริการบริษัทคู่แข่ง EY สำหรับการตรวจสอบบัญชีประจำปี เนื่องจากได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังจีนว่า PwC จะถูกหน่วยงานกำกับของจีนสั่งปรับเงินฐานมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้

    แม้รายได้จากบริษัทจดทะเบียนและรัฐวิสาหกิจในจีนจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ PwC ประเทศจีน แต่การถูกหน่วยงานกำกับของจีนตรวจสอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบริษัทในฐานะหนึ่งใน Big Four ผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับโลก

    ขณะนี้บริษัทจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent โดยการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทสามารถดำเนินการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2567 ให้เสร็จสิ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลูกค้าบางรายทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อผูกมัดให้ใช้บริการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568

    ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

    #Thaitimes
    จีนจ่อแบนบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ในประเทศจีน 6 เดือน ปมตรวจสอบบัญชีบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลายและคดีฉ้อโกง 22 สิงหาคม 2567-รายงานข่าว Financial Times ระบุว่า PwC ประเทศจีน ได้แจ้งลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะสั่งปรับเงิน และระงับการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นเวลา 6 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้ หลังมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande อดีตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน การตัดสินบทลงโทษที่รุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิดปกติในงบการเงินของ Hengda Real Estate บริษัทลูกของ Evergrande ในเดือนมีนาคม โดยพบว่าบริษัทรายงานรายได้เกินจริง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่ 2.13 แสนล้านหยวน หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวมในปี 2562 ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้เพิ่มขึ้น 3.5 แสนล้านหยวน หรือ 78.5% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังออกหุ้นกู้โดยอ้างอิงงบการเงินเท็จ โดย PwC ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีขณะนั้น กลับรับรองว่างบการเงินถูกต้อง ซึ่งแสดงว่าบริษัทบกพร่องในการตรวจสอบบัญชี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่ Evergrande จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศครั้งแรก จนนำมาสู่วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบทลงโทษมีผลบังคับใช้ PwC จะไม่สามารถลงนามรับรองงบการเงิน และการเสนอขายหุ้น IPO รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในบทลงโทษ การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับของจีน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทไม่น้อย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม พบว่า PwC เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ได้รับความนิยมในจีนมากที่สุด โดยมีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนวางใจใช้บริการมากถึง 110 แห่ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่บริษัทถูก ก.ล.ต. จีน สอบสวนในเดือนมีนาคม มีบริษัทอย่างน้อย 50 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน ได้ขอให้ PwC ยกเลิกการตรวจสอบบัญชีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้ในปีนี้ PwC ประเทศจีน สูญเสียรายได้ทางบัญชีไปแล้วอย่างน้อยสองในสามจากบริษัทจดทะเบียนในจีน เช่น ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Bank of China ที่หันไปใช้บริการบริษัทคู่แข่ง EY สำหรับการตรวจสอบบัญชีประจำปี เนื่องจากได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังจีนว่า PwC จะถูกหน่วยงานกำกับของจีนสั่งปรับเงินฐานมีความผิดในคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของ Evergrande ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ แม้รายได้จากบริษัทจดทะเบียนและรัฐวิสาหกิจในจีนจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ PwC ประเทศจีน แต่การถูกหน่วยงานกำกับของจีนตรวจสอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบริษัทในฐานะหนึ่งใน Big Four ผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับโลก ขณะนี้บริษัทจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent โดยการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทสามารถดำเนินการตรวจสอบบัญชีประจำปี 2567 ให้เสร็จสิ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลูกค้าบางรายทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อผูกมัดให้ใช้บริการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 843 มุมมอง 0 รีวิว