• เรื่องเล่าจาก Claude ถึง Zhipu: เมื่อการควบคุม AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความไว้วางใจ

    Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้ประกาศอัปเดตเงื่อนไขการให้บริการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยระบุว่าจะ “ปิดกั้นการเข้าถึง” Claude สำหรับบริษัทใดก็ตามที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็น “จีนถือหุ้นเกิน 50%” ไม่ว่าจะจดทะเบียนอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม

    นี่ไม่ใช่การแบนผู้ใช้จากประเทศจีนโดยตรง แต่เป็นการตัดสิทธิ์ตาม ownership structure ซึ่งหมายความว่าแม้บริษัทจะตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือยุโรป หากมีผู้ถือหุ้นจีนเป็นหลัก ก็จะถูกตัดออกจากการใช้งาน Claude ทันที

    Anthropic ระบุว่าเหตุผลหลักคือ “ความเสี่ยงด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และความมั่นคง” โดยเฉพาะความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับให้บริษัทในเครือส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยข่าวกรองหรือกองทัพ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ AI ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม

    ผลกระทบทางธุรกิจไม่เล็ก—Anthropic ยอมรับว่าจะสูญเสียรายได้ในระดับ “หลายร้อยล้านดอลลาร์” แต่ยืนยันว่าการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัยต่อความมั่นคงนั้นสำคัญกว่า

    ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังข่าวเผยแพร่ บริษัท Zhipu ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน ได้เปิดตัว “Claude Migration Toolkit” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายจาก Claude ไปยัง GLM-4.5 ได้ทันที พร้อมแจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude ถึง 3 เท่า

    ก่อนหน้านี้ Alibaba ก็เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI ในจีน และตอนนี้ดูเหมือนว่าบริษัทจีนกำลังเร่งสร้าง ecosystem ของตัวเองเพื่อรับมือกับการถูกตัดออกจาก AI ระดับโลก

    การอัปเดตนโยบายของ Anthropic
    ปิดกั้นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นจีนเกิน 50% ไม่ว่าจดทะเบียนที่ใด
    ครอบคลุมถึงบริษัทแม่, บริษัทย่อย, และ joint ventures
    ใช้ ownership filter แทน geolocation เป็นครั้งแรกในวงการ AI

    เหตุผลด้านความมั่นคง
    กังวลว่ารัฐจีนอาจบังคับให้บริษัทส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยงานรัฐ
    เสี่ยงต่อการนำ AI ไปใช้ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม
    Anthropic ยืนยันว่าเป็นการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัย

    ผลกระทบทางธุรกิจ
    สูญเสียรายได้ระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์
    กระทบผู้ใช้ในหลายประเทศที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นจีน
    ยังไม่ชัดเจนว่าจะบังคับใช้นโยบายนี้ผ่าน cloud reseller อย่างไร

    การตอบสนองจากฝั่งจีน
    Zhipu เปิดตัว Claude Migration Toolkit พร้อม API GLM-4.5
    แจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude 3 เท่า
    Alibaba เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/anthropic-blocks-chinese-firms-from-claude
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Claude ถึง Zhipu: เมื่อการควบคุม AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความไว้วางใจ Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้ประกาศอัปเดตเงื่อนไขการให้บริการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยระบุว่าจะ “ปิดกั้นการเข้าถึง” Claude สำหรับบริษัทใดก็ตามที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็น “จีนถือหุ้นเกิน 50%” ไม่ว่าจะจดทะเบียนอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม นี่ไม่ใช่การแบนผู้ใช้จากประเทศจีนโดยตรง แต่เป็นการตัดสิทธิ์ตาม ownership structure ซึ่งหมายความว่าแม้บริษัทจะตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือยุโรป หากมีผู้ถือหุ้นจีนเป็นหลัก ก็จะถูกตัดออกจากการใช้งาน Claude ทันที Anthropic ระบุว่าเหตุผลหลักคือ “ความเสี่ยงด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และความมั่นคง” โดยเฉพาะความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับให้บริษัทในเครือส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยข่าวกรองหรือกองทัพ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ AI ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม ผลกระทบทางธุรกิจไม่เล็ก—Anthropic ยอมรับว่าจะสูญเสียรายได้ในระดับ “หลายร้อยล้านดอลลาร์” แต่ยืนยันว่าการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัยต่อความมั่นคงนั้นสำคัญกว่า ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังข่าวเผยแพร่ บริษัท Zhipu ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน ได้เปิดตัว “Claude Migration Toolkit” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายจาก Claude ไปยัง GLM-4.5 ได้ทันที พร้อมแจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude ถึง 3 เท่า ก่อนหน้านี้ Alibaba ก็เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI ในจีน และตอนนี้ดูเหมือนว่าบริษัทจีนกำลังเร่งสร้าง ecosystem ของตัวเองเพื่อรับมือกับการถูกตัดออกจาก AI ระดับโลก ✅ การอัปเดตนโยบายของ Anthropic ➡️ ปิดกั้นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นจีนเกิน 50% ไม่ว่าจดทะเบียนที่ใด ➡️ ครอบคลุมถึงบริษัทแม่, บริษัทย่อย, และ joint ventures ➡️ ใช้ ownership filter แทน geolocation เป็นครั้งแรกในวงการ AI ✅ เหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ กังวลว่ารัฐจีนอาจบังคับให้บริษัทส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยงานรัฐ ➡️ เสี่ยงต่อการนำ AI ไปใช้ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม ➡️ Anthropic ยืนยันว่าเป็นการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัย ✅ ผลกระทบทางธุรกิจ ➡️ สูญเสียรายได้ระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ ➡️ กระทบผู้ใช้ในหลายประเทศที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นจีน ➡️ ยังไม่ชัดเจนว่าจะบังคับใช้นโยบายนี้ผ่าน cloud reseller อย่างไร ✅ การตอบสนองจากฝั่งจีน ➡️ Zhipu เปิดตัว Claude Migration Toolkit พร้อม API GLM-4.5 ➡️ แจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude 3 เท่า ➡️ Alibaba เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI https://www.tomshardware.com/tech-industry/anthropic-blocks-chinese-firms-from-claude
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Anthropic blocks Chinese-controlled firms from Claude AI — cites 'legal, regulatory, and security risks'
    Anthropic says that it wants to ensure that “authoritarian” and “adversarial” regimes cannot access its models.
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล

    TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว

    แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน

    TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล

    ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป

    การเติบโตของ TikTok ในยุโรป
    มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ
    เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
    คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    สถานะของ TikTok ทั่วโลก
    มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
    เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง
    ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B

    ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล
    ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน
    หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน
    มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน

    การตอบสนองของ TikTok
    ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน
    ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023
    กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ✅ การเติบโตของ TikTok ในยุโรป ➡️ มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ➡️ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด ✅ สถานะของ TikTok ทั่วโลก ➡️ มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง ➡️ ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B ✅ ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล ➡️ ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน ➡️ หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน ➡️ มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน ✅ การตอบสนองของ TikTok ➡️ ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน ➡️ ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023 ➡️ กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TikTok users top 200 million in Europe, firm says
    LONDON (Reuters) -TikTok has more than 200 million monthly users in Europe, or roughly one in three citizens on the continent, the short video app platform said on Friday, the latest sign of its rapid growth among teenagers.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก B30A: เมื่อชิปที่ถูกลดสเปกกลายเป็นของหายากที่จีนยอมจ่ายแพงขึ้น 2 เท่า

    Nvidia กำลังเตรียมส่งมอบ B30A ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น—มากกว่ารุ่นก่อนหน้า H20 ที่ขายอยู่ที่ $10,000–$12,000 ถึงเท่าตัว2 แม้จะเป็นเวอร์ชันที่ถูกลดสเปกจาก B300 ตัวเต็ม แต่บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba กลับมองว่า “คุ้มค่า” เพราะ B30A ยังให้ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 6 เท่า และยังคงรองรับซอฟต์แวร์ของ Nvidia ได้ดี

    B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ซึ่งเป็นการลดขนาดจาก B300 ที่ใช้ dual-die เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพครึ่งหนึ่งของ B300 ในทุกระดับ precision ตั้งแต่ FP4 ไปจนถึง TF32

    แม้รัฐบาลจีนจะพยายามผลักดันให้บริษัทในประเทศใช้ชิปภายในประเทศมากขึ้น และมีคำแนะนำให้หยุดซื้อ H20 แต่ความต้องการยังคงสูงมาก จนเกิดการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำให้เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตส่งออกที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

    ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เริ่มลดการผลิต H20 และรอการอนุมัติส่งออก B30A อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกลายเป็นตัวแทนหลักของบริษัทในตลาดจีน หากได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    การเปิดตัวและคุณสมบัติของ B30A
    เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน
    ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ลดสเปกจาก B300
    ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ถึง 6 เท่า แม้จะถูกลดสเปก

    ราคาของ B30A และความต้องการในจีน
    ราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น เท่าตัวของ H20
    บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba ยอมจ่ายเพราะยังคุ้มค่า
    ความต้องการสูงแม้จะมีคำแนะนำจากรัฐบาลให้หยุดซื้อ

    สถานการณ์การส่งออกและการอนุมัติ
    Nvidia รอการอนุมัติส่งออก B30A จากรัฐบาลสหรัฐฯ
    เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปี
    Nvidia เริ่มลดการผลิต H20 และเตรียมเปลี่ยนไปใช้ B30A

    บริบททางภูมิรัฐศาสตร์และอุตสาหกรรม
    การลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านใน 3 เดือน
    รัฐบาลจีนผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ทันที
    Nvidia ยังเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีนในระยะสั้นถึงกลาง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidias-next-gen-ai-chip-could-double-the-price-of-h20-if-china-export-is-approved-chinese-firms-still-consider-nvidias-b30a-a-good-deal
    🎙️ เรื่องเล่าจาก B30A: เมื่อชิปที่ถูกลดสเปกกลายเป็นของหายากที่จีนยอมจ่ายแพงขึ้น 2 เท่า Nvidia กำลังเตรียมส่งมอบ B30A ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น—มากกว่ารุ่นก่อนหน้า H20 ที่ขายอยู่ที่ $10,000–$12,000 ถึงเท่าตัว2 แม้จะเป็นเวอร์ชันที่ถูกลดสเปกจาก B300 ตัวเต็ม แต่บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba กลับมองว่า “คุ้มค่า” เพราะ B30A ยังให้ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 6 เท่า และยังคงรองรับซอฟต์แวร์ของ Nvidia ได้ดี B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ซึ่งเป็นการลดขนาดจาก B300 ที่ใช้ dual-die เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพครึ่งหนึ่งของ B300 ในทุกระดับ precision ตั้งแต่ FP4 ไปจนถึง TF32 แม้รัฐบาลจีนจะพยายามผลักดันให้บริษัทในประเทศใช้ชิปภายในประเทศมากขึ้น และมีคำแนะนำให้หยุดซื้อ H20 แต่ความต้องการยังคงสูงมาก จนเกิดการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำให้เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตส่งออกที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เริ่มลดการผลิต H20 และรอการอนุมัติส่งออก B30A อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกลายเป็นตัวแทนหลักของบริษัทในตลาดจีน หากได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ การเปิดตัวและคุณสมบัติของ B30A ➡️ เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ลดสเปกจาก B300 ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ถึง 6 เท่า แม้จะถูกลดสเปก ✅ ราคาของ B30A และความต้องการในจีน ➡️ ราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น เท่าตัวของ H20 ➡️ บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba ยอมจ่ายเพราะยังคุ้มค่า ➡️ ความต้องการสูงแม้จะมีคำแนะนำจากรัฐบาลให้หยุดซื้อ ✅ สถานการณ์การส่งออกและการอนุมัติ ➡️ Nvidia รอการอนุมัติส่งออก B30A จากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปี ➡️ Nvidia เริ่มลดการผลิต H20 และเตรียมเปลี่ยนไปใช้ B30A ✅ บริบททางภูมิรัฐศาสตร์และอุตสาหกรรม ➡️ การลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านใน 3 เดือน ➡️ รัฐบาลจีนผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ทันที ➡️ Nvidia ยังเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีนในระยะสั้นถึงกลาง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidias-next-gen-ai-chip-could-double-the-price-of-h20-if-china-export-is-approved-chinese-firms-still-consider-nvidias-b30a-a-good-deal
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคูปองพลังประมวลผล: เมื่อรัฐบาลจีนแจกเครดิตให้บริษัทเล็ก ๆ ใช้ GPU ระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์

    ในปี 2025 รัฐบาลจีนเริ่มขยายโครงการ “คูปองพลังประมวลผล” ไปยังหลายเมืองทั่วประเทศ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป และซานตง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) เข้าถึงการฝึกโมเดล AI ได้ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก

    ตัวอย่างเช่น เซี่ยงไฮ้จัดสรรงบประมาณกว่า 600 ล้านหยวน (~84 ล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนค่าเช่า GPU สูงสุดถึง 80% สำหรับการฝึกโมเดล AI และยังมีอีก 100 ล้านหยวนสำหรับการฝึก LLM โดยเฉพาะ ส่วนเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองนำร่องตั้งแต่ปี 2023 ก็ขยายโครงการไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบอีก 100 ล้านหยวน

    คูปองเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับศูนย์ข้อมูลระดับชาติหรือท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” ที่ใช้ไฟฟ้าราคาถูกในตะวันตกเพื่อรองรับความต้องการจากเมืองชายฝั่ง

    โครงการนี้เกิดจากนโยบาย “Implementation Opinions on Promoting the High-Quality Development of the Data Labeling Industry” ที่ประกาศในเดือนธันวาคม 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน R&D ของบริษัทเล็ก และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่มากถึง 70–80%

    โครงการคูปองพลังประมวลผลของจีน
    แจกคูปองให้ SMEs ใช้ GPU สำหรับฝึกโมเดล AI ในราคาถูก
    ครอบคลุมเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป ซานตง
    เซี่ยงไฮ้ให้ส่วนลดสูงสุด 80% และมีงบเฉพาะสำหรับ LLM training

    เป้าหมายของโครงการ
    ลดต้นทุน R&D สำหรับบริษัทขนาดเล็ก
    เพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่
    สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ภายในประเทศ

    โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ
    ใช้ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing”
    ศูนย์ข้อมูลบางแห่งมีการใช้งานเพียง 20–30% ก่อนโครงการนี้
    มีแผนสร้างเครือข่าย unified compute ระดับประเทศเพื่อกระจายโหลด

    การขยายตัวของโครงการ
    เฉิงตูขยายคูปองไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบ 100 ล้านหยวน
    ซานตงจัดสรรงบเบื้องต้น 30 ล้านหยวน และเตรียมเพิ่มอีก 1 พันล้านหยวน
    ปักกิ่งเริ่มเปิดรับสมัครผู้ขอรับคูปองแล้ว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-subsidizes-ai-computing-for-small-domestic-companies-computing-power-vouchers-spread-across-multiple-chinese-cities
    🎙️ เรื่องเล่าจากคูปองพลังประมวลผล: เมื่อรัฐบาลจีนแจกเครดิตให้บริษัทเล็ก ๆ ใช้ GPU ระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ในปี 2025 รัฐบาลจีนเริ่มขยายโครงการ “คูปองพลังประมวลผล” ไปยังหลายเมืองทั่วประเทศ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป และซานตง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) เข้าถึงการฝึกโมเดล AI ได้ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เซี่ยงไฮ้จัดสรรงบประมาณกว่า 600 ล้านหยวน (~84 ล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนค่าเช่า GPU สูงสุดถึง 80% สำหรับการฝึกโมเดล AI และยังมีอีก 100 ล้านหยวนสำหรับการฝึก LLM โดยเฉพาะ ส่วนเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองนำร่องตั้งแต่ปี 2023 ก็ขยายโครงการไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบอีก 100 ล้านหยวน คูปองเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับศูนย์ข้อมูลระดับชาติหรือท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” ที่ใช้ไฟฟ้าราคาถูกในตะวันตกเพื่อรองรับความต้องการจากเมืองชายฝั่ง โครงการนี้เกิดจากนโยบาย “Implementation Opinions on Promoting the High-Quality Development of the Data Labeling Industry” ที่ประกาศในเดือนธันวาคม 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน R&D ของบริษัทเล็ก และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่มากถึง 70–80% ✅ โครงการคูปองพลังประมวลผลของจีน ➡️ แจกคูปองให้ SMEs ใช้ GPU สำหรับฝึกโมเดล AI ในราคาถูก ➡️ ครอบคลุมเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป ซานตง ➡️ เซี่ยงไฮ้ให้ส่วนลดสูงสุด 80% และมีงบเฉพาะสำหรับ LLM training ✅ เป้าหมายของโครงการ ➡️ ลดต้นทุน R&D สำหรับบริษัทขนาดเล็ก ➡️ เพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่ ➡️ สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ภายในประเทศ ✅ โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ ➡️ ใช้ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” ➡️ ศูนย์ข้อมูลบางแห่งมีการใช้งานเพียง 20–30% ก่อนโครงการนี้ ➡️ มีแผนสร้างเครือข่าย unified compute ระดับประเทศเพื่อกระจายโหลด ✅ การขยายตัวของโครงการ ➡️ เฉิงตูขยายคูปองไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบ 100 ล้านหยวน ➡️ ซานตงจัดสรรงบเบื้องต้น 30 ล้านหยวน และเตรียมเพิ่มอีก 1 พันล้านหยวน ➡️ ปักกิ่งเริ่มเปิดรับสมัครผู้ขอรับคูปองแล้ว https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-subsidizes-ai-computing-for-small-domestic-companies-computing-power-vouchers-spread-across-multiple-chinese-cities
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Nanjing: เมื่อ TSMC ต้องขออนุญาตทุกครั้งเพื่อส่งเครื่องมือไปยังโรงงานของตัวเอง

    ในช่วงปลายปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ์ Validated End User (VEU) ของ TSMC สำหรับโรงงาน Fab 16 ที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน ซึ่งเดิมทีอนุญาตให้ TSMC สามารถนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากบริษัทอเมริกัน เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง

    เมื่อ VEU ถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ทุกการส่งออกเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสารเคมีไปยัง Fab 16 จะต้องผ่านการตรวจสอบแบบรายรายการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมี “แนวโน้มปฏิเสธ” เป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานของโรงงานนี้

    แม้ TSMC จะยืนยันว่าจะพยายามดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบีบให้บริษัทต้องหันไปใช้เครื่องมือจากผู้ผลิตจีน เช่น AMEC, Naura, Kingsemi หรือ Piotech ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องมือระดับ 16nm ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ lithography ที่ยังไม่มีผู้ผลิตจีนรายใดสามารถทำได้ในระดับที่ TSMC ต้องการ

    ผลกระทบต่อ TSMC อาจไม่รุนแรงเท่ากับ Samsung หรือ SK hynix ที่มี footprint ในจีนมากกว่า แต่การลดกำลังผลิตของ Fab 16 จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตจีนอย่าง SMIC และ HuaHong ที่อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันนโยบาย self-sufficiency ของรัฐบาลจีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/u-s-govt-revokes-tsmcs-authorization-to-ship-tools-to-its-fabs-in-china-special-export-license-to-be-pulled-by-end-of-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nanjing: เมื่อ TSMC ต้องขออนุญาตทุกครั้งเพื่อส่งเครื่องมือไปยังโรงงานของตัวเอง ในช่วงปลายปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ์ Validated End User (VEU) ของ TSMC สำหรับโรงงาน Fab 16 ที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน ซึ่งเดิมทีอนุญาตให้ TSMC สามารถนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากบริษัทอเมริกัน เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง เมื่อ VEU ถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ทุกการส่งออกเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสารเคมีไปยัง Fab 16 จะต้องผ่านการตรวจสอบแบบรายรายการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมี “แนวโน้มปฏิเสธ” เป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานของโรงงานนี้ แม้ TSMC จะยืนยันว่าจะพยายามดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบีบให้บริษัทต้องหันไปใช้เครื่องมือจากผู้ผลิตจีน เช่น AMEC, Naura, Kingsemi หรือ Piotech ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องมือระดับ 16nm ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ lithography ที่ยังไม่มีผู้ผลิตจีนรายใดสามารถทำได้ในระดับที่ TSMC ต้องการ ผลกระทบต่อ TSMC อาจไม่รุนแรงเท่ากับ Samsung หรือ SK hynix ที่มี footprint ในจีนมากกว่า แต่การลดกำลังผลิตของ Fab 16 จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตจีนอย่าง SMIC และ HuaHong ที่อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันนโยบาย self-sufficiency ของรัฐบาลจีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/u-s-govt-revokes-tsmcs-authorization-to-ship-tools-to-its-fabs-in-china-special-export-license-to-be-pulled-by-end-of-2025
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027

    แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น

    ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง

    ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว

    แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน
    มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry”
    ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน
    ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030

    รายละเอียดของแผน 17 ข้อ
    พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ
    ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน
    สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time
    ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค

    ความคืบหน้าทางเทคนิค
    ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ
    ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด
    มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว

    การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค
    สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว
    วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
    คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    🎙️ เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027 แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว ✅ แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน ➡️ มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry” ➡️ ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน ➡️ ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030 ✅ รายละเอียดของแผน 17 ข้อ ➡️ พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน ➡️ สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ➡️ ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค ✅ ความคืบหน้าทางเทคนิค ➡️ ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ ➡️ ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด ➡️ มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว ✅ การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค ➡️ สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว ➡️ วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ➡️ คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China plans to outpace Neuralink with a state-backed brain chip blitz — seven ministries, a 17-point roadmap, and clinical trials where patients play chess
    Plan aims to streamline approval by bringing regulators in at the beginning, potentially shaving years off the lab-to-market timeline.
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • แอปฟรีที่คุณโหลด อาจไม่ฟรีสำหรับข้อมูลของคุณ

    ในยุคที่ทุกคนมีแอปติดมือถือมากกว่าติดเงินในบัญชี แอปต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein กลับกลายเป็น “นักสะสมข้อมูล” ที่เก็บทุกอย่างตั้งแต่ชื่อ เบอร์โทร ไปจนถึงตำแหน่งที่คุณอยู่และแอปที่คุณใช้

    จากการศึกษาของบริษัท Incogni พบว่า แอปต่างประเทศ 10 อันดับแรกที่ถูกดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มีการเก็บข้อมูลเฉลี่ย 15–24 ประเภทต่อผู้ใช้ และแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณาแบบเจาะจงและการสร้างโปรไฟล์ผู้บริโภค

    TikTok ถูกระบุว่าเก็บข้อมูลมากที่สุดถึง 24 ประเภท รวมถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ส่วน Temu ซึ่งเป็นแอปช้อปปิ้งราคาถูกที่มาแรงที่สุดในปี 2023 ถูกกล่าวหาว่าเข้าถึงระบบปฏิบัติการมือถือได้ลึกกว่าที่ผู้ใช้รู้ เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และแม้แต่ไฟล์เอกสาร โดยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแอปหลังจากติดตั้งแล้ว

    Alibaba และ Shein ก็ไม่น้อยหน้า โดยมีการเก็บและแชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณา และในบางกรณีอาจนำไปสู่การปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลราคามาตรฐานที่ผู้บริโภคคุ้นเคย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แอปเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเจ้าของจากจีน และมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนในระดับที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” มากกว่าปัญหาความเป็นส่วนตัว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    แอปต่างประเทศยอดนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein เก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างกว้างขวาง
    TikTok เก็บข้อมูลมากถึง 24 ประเภท รวมถึงชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์
    Temu เข้าถึงระบบมือถือได้ลึก เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์เอกสาร
    Alibaba และ Shein แชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อโฆษณา
    แอปเหล่านี้ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างโปรไฟล์ผู้ใช้และปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
    แอปจากจีนมีการดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มากถึง 755 ล้านครั้งจากทั้งหมด 1 พันล้านครั้ง
    แอปอื่น ๆ เช่น AliExpress, DramaBox และ ABPV ก็มีการเก็บตำแหน่งและประวัติการซื้อ
    การศึกษาชี้ว่าแอปเหล่านี้แชร์ข้อมูลเฉลี่ย 5–6 ประเภทกับบุคคลที่สาม
    ข้อมูลที่แชร์นำไปสู่การเพิ่มสแปมและการโฆษณาแบบเจาะจง
    ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการเปิดเผยและควบคุมการใช้ข้อมูลผู้ใช้ให้ชัดเจน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Temu ถูกฟ้องโดยอัยการหลายรัฐในสหรัฐฯ ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวและมีพฤติกรรมคล้ายมัลแวร์
    แอป Temu เคยถูก Apple และ Google ระงับการให้บริการชั่วคราวจากปัญหาด้านความปลอดภัย
    แอปจากจีนบางตัวสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมหลังติดตั้งเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
    การเก็บข้อมูลตำแหน่งแบบละเอียดและข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นของแอป
    การเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

    https://hackread.com/study-tiktok-alibaba-temu-collect-us-user-data/
    📱 แอปฟรีที่คุณโหลด อาจไม่ฟรีสำหรับข้อมูลของคุณ ในยุคที่ทุกคนมีแอปติดมือถือมากกว่าติดเงินในบัญชี แอปต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein กลับกลายเป็น “นักสะสมข้อมูล” ที่เก็บทุกอย่างตั้งแต่ชื่อ เบอร์โทร ไปจนถึงตำแหน่งที่คุณอยู่และแอปที่คุณใช้ จากการศึกษาของบริษัท Incogni พบว่า แอปต่างประเทศ 10 อันดับแรกที่ถูกดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มีการเก็บข้อมูลเฉลี่ย 15–24 ประเภทต่อผู้ใช้ และแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณาแบบเจาะจงและการสร้างโปรไฟล์ผู้บริโภค TikTok ถูกระบุว่าเก็บข้อมูลมากที่สุดถึง 24 ประเภท รวมถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ส่วน Temu ซึ่งเป็นแอปช้อปปิ้งราคาถูกที่มาแรงที่สุดในปี 2023 ถูกกล่าวหาว่าเข้าถึงระบบปฏิบัติการมือถือได้ลึกกว่าที่ผู้ใช้รู้ เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และแม้แต่ไฟล์เอกสาร โดยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแอปหลังจากติดตั้งแล้ว Alibaba และ Shein ก็ไม่น้อยหน้า โดยมีการเก็บและแชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณา และในบางกรณีอาจนำไปสู่การปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลราคามาตรฐานที่ผู้บริโภคคุ้นเคย สิ่งที่น่ากังวลคือ แอปเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเจ้าของจากจีน และมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนในระดับที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” มากกว่าปัญหาความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ แอปต่างประเทศยอดนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein เก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ➡️ TikTok เก็บข้อมูลมากถึง 24 ประเภท รวมถึงชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ➡️ Temu เข้าถึงระบบมือถือได้ลึก เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์เอกสาร ➡️ Alibaba และ Shein แชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อโฆษณา ➡️ แอปเหล่านี้ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างโปรไฟล์ผู้ใช้และปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ➡️ แอปจากจีนมีการดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มากถึง 755 ล้านครั้งจากทั้งหมด 1 พันล้านครั้ง ➡️ แอปอื่น ๆ เช่น AliExpress, DramaBox และ ABPV ก็มีการเก็บตำแหน่งและประวัติการซื้อ ➡️ การศึกษาชี้ว่าแอปเหล่านี้แชร์ข้อมูลเฉลี่ย 5–6 ประเภทกับบุคคลที่สาม ➡️ ข้อมูลที่แชร์นำไปสู่การเพิ่มสแปมและการโฆษณาแบบเจาะจง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการเปิดเผยและควบคุมการใช้ข้อมูลผู้ใช้ให้ชัดเจน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Temu ถูกฟ้องโดยอัยการหลายรัฐในสหรัฐฯ ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวและมีพฤติกรรมคล้ายมัลแวร์ ➡️ แอป Temu เคยถูก Apple และ Google ระงับการให้บริการชั่วคราวจากปัญหาด้านความปลอดภัย ➡️ แอปจากจีนบางตัวสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมหลังติดตั้งเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ➡️ การเก็บข้อมูลตำแหน่งแบบละเอียดและข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นของแอป ➡️ การเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ https://hackread.com/study-tiktok-alibaba-temu-collect-us-user-data/
    HACKREAD.COM
    Study Reveals TikTok, Alibaba, Temu Collect Extensive User Data in America
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี

    ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้

    หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ
    รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20
    บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20
    รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15%
    NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn
    NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน
    B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก
    NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร
    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน
    จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20
    NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน
    จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13%
    การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์

    https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    🎙️ NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้ หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ ➡️ รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15% ➡️ NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn ➡️ NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน ➡️ B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก ➡️ NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร ➡️ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน ➡️ จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20 ➡️ NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน ➡️ จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13% ➡️ การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี ➡️ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์ https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Reportedly Halts H20 GPU Production After The Chinese Politburo Becomes Hostile To The Chip
    NVIDIA is reportedly throwing in the proverbial towel on its China-specific H20 GPU as a number of potent headwinds coalesce.
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • CHIPS Act ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลืออีกต่อไป — รัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intel และบริษัทชิปอื่น ๆ

    เดิมที CHIPS Act ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแนวคิดใหม่ที่พลิกเกม: แทนที่จะให้เงินเปล่า รัฐบาลควร “ซื้อหุ้น” ในบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน

    แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน และอาจได้รับเงินกู้เพิ่มอีก $11 พันล้าน แต่รัฐบาลกำลังพิจารณาถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนดังกล่าว

    หากแนวทางนี้ขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung หรือ GlobalFoundries ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมชิปไปอย่างสิ้นเชิง

    แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนการลงทุนแบบ VC แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น บริษัทต่างชาติอย่าง Samsung หรือ TSMC อาจไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นง่าย ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของประเทศตนเอง และอาจซับซ้อนทางการเมือง

    อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนเพียง 80 ไมล์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทชิป
    Howard Lutnick เสนอให้ถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน
    แนวคิดนี้อาจขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung และ GlobalFoundries
    เป้าหมายคือให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ให้เงินเปล่า
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้เงินสนับสนุน Samsung $4.75B, Micron $6.2B และ TSMC $6.6B
    Lutnick ระบุว่า “เราไม่สามารถพึ่งพาไต้หวันในการผลิตชิปขั้นสูงได้อีกต่อไป”
    แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังเจรจาใหม่กับบริษัทที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลก่อนหน้านี้
    การถือหุ้นจะไม่ให้สิทธิ์ในการบริหาร แต่จะให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์
    มีการเปรียบเทียบกับการถือหุ้นของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยถือหุ้นในบริษัทเอกชนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น GM และ AIG
    TSMC มีผู้ถือหุ้นจากหลายประเทศ เช่น รัฐบาลไต้หวันและกองทุนจากสิงคโปร์
    การถือหุ้นของรัฐอาจช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้กับ Intel ที่กำลังขาดทุน
    Nvidia เคยทำข้อตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่ง 15% จากการขายชิป H20 ให้จีน
    Pentagon เตรียมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหมืองเพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กหายาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chips-act-funding-could-herald-an-era-where-the-u-s-is-not-offering-grants-but-buying-equity-lutnicks-semiconductor-strategy-might-not-end-with-intel
    🎙️ CHIPS Act ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลืออีกต่อไป — รัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intel และบริษัทชิปอื่น ๆ เดิมที CHIPS Act ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแนวคิดใหม่ที่พลิกเกม: แทนที่จะให้เงินเปล่า รัฐบาลควร “ซื้อหุ้น” ในบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน และอาจได้รับเงินกู้เพิ่มอีก $11 พันล้าน แต่รัฐบาลกำลังพิจารณาถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนดังกล่าว หากแนวทางนี้ขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung หรือ GlobalFoundries ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมชิปไปอย่างสิ้นเชิง แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนการลงทุนแบบ VC แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น บริษัทต่างชาติอย่าง Samsung หรือ TSMC อาจไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นง่าย ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของประเทศตนเอง และอาจซับซ้อนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนเพียง 80 ไมล์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทชิป ➡️ Howard Lutnick เสนอให้ถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน ➡️ แนวคิดนี้อาจขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung และ GlobalFoundries ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ให้เงินเปล่า ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้เงินสนับสนุน Samsung $4.75B, Micron $6.2B และ TSMC $6.6B ➡️ Lutnick ระบุว่า “เราไม่สามารถพึ่งพาไต้หวันในการผลิตชิปขั้นสูงได้อีกต่อไป” ➡️ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังเจรจาใหม่กับบริษัทที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ➡️ การถือหุ้นจะไม่ให้สิทธิ์ในการบริหาร แต่จะให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์ ➡️ มีการเปรียบเทียบกับการถือหุ้นของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยถือหุ้นในบริษัทเอกชนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น GM และ AIG ➡️ TSMC มีผู้ถือหุ้นจากหลายประเทศ เช่น รัฐบาลไต้หวันและกองทุนจากสิงคโปร์ ➡️ การถือหุ้นของรัฐอาจช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้กับ Intel ที่กำลังขาดทุน ➡️ Nvidia เคยทำข้อตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่ง 15% จากการขายชิป H20 ให้จีน ➡️ Pentagon เตรียมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหมืองเพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กหายาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/chips-act-funding-could-herald-an-era-where-the-u-s-is-not-offering-grants-but-buying-equity-lutnicks-semiconductor-strategy-might-not-end-with-intel
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei

    DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน

    แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ

    สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง

    แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง

    DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2
    เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
    ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ

    ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C
    มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า
    ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA
    ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ

    การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA
    ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2
    ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน
    เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้

    ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า
    การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด
    ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
    รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    🧠 DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง ✅ DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2 ➡️ เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ➡️ ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ ✅ ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C ➡️ มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า ➡️ ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ ✅ การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA ➡️ ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2 ➡️ ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน ➡️ เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้ ✅ ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า ➡️ การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง ➡️ รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    WCCFTECH.COM
    DeepSeek's R2 AI Model Is Reportedly Delayed After Chinese Authorities Encouraged the Firm to Use Huawei's AI Chips; Beijing Is Still in Need of NVIDIA's Alternatives
    Well, relying on Huawei's AI chips didn't go well for DeepSeek, as the AI firm has failed to train the R2 model on Chinese chips.
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน

    ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023

    แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่

    สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน

    แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล

    ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว

    รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20
    โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง

    หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
    เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ

    Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น
    ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม

    แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC

    ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    💻🌏 เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023 แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่ สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว ✅ รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20 ➡️ โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง ✅ หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ➡️ เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ ✅ Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม ✅ แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC ✅ ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    0 Comments 0 Shares 338 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแดนมังกร: แผน “เมกะเมอร์เจอร์” ของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่สะดุดกลางทาง

    จีนมีเป้าหมายใหญ่ในการรวมบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์และชิปให้กลายเป็น “แชมป์แห่งชาติ” ที่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และยุโรปได้ โดยหวังว่าจะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ และสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งในประเทศเอง

    แต่แผนการนี้กลับสะดุดอย่างหนัก เพราะมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการประเมินมูลค่าที่ไม่ลงตัว ความขัดแย้งทางการเมือง และช่องว่างทางเทคโนโลยีที่ยังห่างไกลจากคู่แข่งระดับโลก

    แม้จะมีความพยายามจากหน่วยงานรัฐอย่าง NDRC ที่พยายามรวมบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือผลิตชิปให้เป็นหนึ่งเดียว แต่การเจรจากลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างผู้ขายที่ไม่อยากขายต่ำกว่าราคาตลาด กับผู้ซื้อที่ไม่อยากจ่ายแพงเกินจริง

    ในขณะเดียวกัน บริษัทขนาดเล็กจำนวนมากในจีนก็ล้มละลายหรือถอนตัวจากตลาด IPO ทำให้รัฐบาลต้องหันมาเน้นการควบรวมกิจการแทนการลงทุนกระจาย เพื่อรวมทรัพยากรและบุคลากรไว้ในบริษัทที่มีศักยภาพสูง

    ถึงแม้ภาพรวมจะดูไม่สดใส แต่ก็ยังมีข่าวดีบ้าง เช่น Naura Technology เข้าซื้อหุ้นใน Kingsemi เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านอุปกรณ์เคลือบโฟโตลิโธกราฟี

    จีนพยายามรวมบริษัทผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ให้เป็นหนึ่งเดียว
    เพื่อแข่งกับ Applied Materials, KLA และ Lam Research จากสหรัฐฯ

    หน่วยงาน NDRC เป็นผู้ผลักดันแผนการรวมกิจการ
    หวังลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความเข้ากันได้ของเครื่องมือ

    Naura Technology เข้าซื้อหุ้น 9.49% ใน Kingsemi มูลค่า $235 ล้าน
    เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านอุปกรณ์เคลือบโฟโตลิโธกราฟี

    มีการประกาศควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว 26 รายการในปี 2025
    รวมถึงการควบรวมระหว่าง Sugon และ Hygon

    รัฐบาลจีนต้องการสร้าง “แชมป์แห่งชาติ” ที่มีขนาดใหญ่และแข่งขันระดับโลกได้
    เพื่อดึงดูดเงินทุนและรวมบุคลากรไว้ในบริษัทที่มีศักยภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-semiconductor-megamerger-strategy-reportedly-stalling-new-report-says-high-level-merger-plans-to-strengthen-domestic-chip-industry-face-multiple-headwinds
    🇨🇳🔧 เรื่องเล่าจากแดนมังกร: แผน “เมกะเมอร์เจอร์” ของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่สะดุดกลางทาง จีนมีเป้าหมายใหญ่ในการรวมบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์และชิปให้กลายเป็น “แชมป์แห่งชาติ” ที่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และยุโรปได้ โดยหวังว่าจะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ และสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งในประเทศเอง แต่แผนการนี้กลับสะดุดอย่างหนัก เพราะมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการประเมินมูลค่าที่ไม่ลงตัว ความขัดแย้งทางการเมือง และช่องว่างทางเทคโนโลยีที่ยังห่างไกลจากคู่แข่งระดับโลก แม้จะมีความพยายามจากหน่วยงานรัฐอย่าง NDRC ที่พยายามรวมบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือผลิตชิปให้เป็นหนึ่งเดียว แต่การเจรจากลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างผู้ขายที่ไม่อยากขายต่ำกว่าราคาตลาด กับผู้ซื้อที่ไม่อยากจ่ายแพงเกินจริง ในขณะเดียวกัน บริษัทขนาดเล็กจำนวนมากในจีนก็ล้มละลายหรือถอนตัวจากตลาด IPO ทำให้รัฐบาลต้องหันมาเน้นการควบรวมกิจการแทนการลงทุนกระจาย เพื่อรวมทรัพยากรและบุคลากรไว้ในบริษัทที่มีศักยภาพสูง ถึงแม้ภาพรวมจะดูไม่สดใส แต่ก็ยังมีข่าวดีบ้าง เช่น Naura Technology เข้าซื้อหุ้นใน Kingsemi เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านอุปกรณ์เคลือบโฟโตลิโธกราฟี ✅ จีนพยายามรวมบริษัทผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ให้เป็นหนึ่งเดียว ➡️ เพื่อแข่งกับ Applied Materials, KLA และ Lam Research จากสหรัฐฯ ✅ หน่วยงาน NDRC เป็นผู้ผลักดันแผนการรวมกิจการ ➡️ หวังลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความเข้ากันได้ของเครื่องมือ ✅ Naura Technology เข้าซื้อหุ้น 9.49% ใน Kingsemi มูลค่า $235 ล้าน ➡️ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านอุปกรณ์เคลือบโฟโตลิโธกราฟี ✅ มีการประกาศควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว 26 รายการในปี 2025 ➡️ รวมถึงการควบรวมระหว่าง Sugon และ Hygon ✅ รัฐบาลจีนต้องการสร้าง “แชมป์แห่งชาติ” ที่มีขนาดใหญ่และแข่งขันระดับโลกได้ ➡️ เพื่อดึงดูดเงินทุนและรวมบุคลากรไว้ในบริษัทที่มีศักยภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-semiconductor-megamerger-strategy-reportedly-stalling-new-report-says-high-level-merger-plans-to-strengthen-domestic-chip-industry-face-multiple-headwinds
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก AI: Huawei เปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา GPU เพื่อท้าชน Nvidia

    ในโลกของการประมวลผล AI ที่ Nvidia ครองตลาดมานานด้วยแพลตฟอร์ม CUDA ที่ปิดซอร์สและผูกขาด Huawei กำลังเดินเกมใหม่เพื่อท้าทายอำนาจนั้น ด้วยการประกาศเปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา CANN (Compute Architecture for Neural Networks) สำหรับชิป Ascend AI GPU ของตนเอง

    CANN เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ได้ง่ายขึ้น โดยมีอินเทอร์เฟซหลายระดับคล้ายกับ CUDA ของ Nvidia แต่ต่างกันตรงที่ Huawei เลือกเปิดซอร์ส เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถเข้าถึง ปรับแต่ง และขยายความสามารถได้อย่างอิสระ

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่หน่วยงาน CAC ของจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia จากข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัย บริษัท AI ชั้นนำ และพันธมิตรธุรกิจในจีน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend โดยหวังว่าจะเร่งการพัฒนาและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ

    แม้ CANN จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี แต่การเปิดซอร์สครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว

    Huawei ประกาศเปิดซอร์สชุดเครื่องมือ CANN สำหรับชิป Ascend AI GPU
    เพื่อแข่งขันกับ CUDA ของ Nvidia ที่เป็นระบบปิด

    CANN เป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ heterogeneous
    มีอินเทอร์เฟซหลายระดับสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI

    Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ชั้นนำในจีน
    เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend

    การเปิดซอร์ส CANN เกิดขึ้นหลังจากจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia
    จากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการติดตามข้อมูล

    Huawei หวังว่า CANN จะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มการใช้งานในประเทศ
    โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและองค์กรที่ต้องการทางเลือกจาก CUDA

    CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ผูกขาดกับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia
    นักพัฒนาต้องใช้ GPU ของ Nvidia เท่านั้น

    Huawei Ascend 910C เป็นชิปที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Nvidia
    โดยเฉพาะในงาน inference และการประมวลผลแบบเรียลไทม์

    การเปิดซอร์สช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือได้เอง
    เพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาบริษัทเดียว

    รัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ
    เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-is-making-its-ascend-ai-gpu-software-toolkit-open-source-to-better-compete-against-cuda
    🧠💻 เรื่องเล่าจากโลก AI: Huawei เปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา GPU เพื่อท้าชน Nvidia ในโลกของการประมวลผล AI ที่ Nvidia ครองตลาดมานานด้วยแพลตฟอร์ม CUDA ที่ปิดซอร์สและผูกขาด Huawei กำลังเดินเกมใหม่เพื่อท้าทายอำนาจนั้น ด้วยการประกาศเปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา CANN (Compute Architecture for Neural Networks) สำหรับชิป Ascend AI GPU ของตนเอง CANN เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ได้ง่ายขึ้น โดยมีอินเทอร์เฟซหลายระดับคล้ายกับ CUDA ของ Nvidia แต่ต่างกันตรงที่ Huawei เลือกเปิดซอร์ส เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถเข้าถึง ปรับแต่ง และขยายความสามารถได้อย่างอิสระ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่หน่วยงาน CAC ของจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia จากข้อกังวลด้านความปลอดภัย Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัย บริษัท AI ชั้นนำ และพันธมิตรธุรกิจในจีน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend โดยหวังว่าจะเร่งการพัฒนาและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ แม้ CANN จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี แต่การเปิดซอร์สครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว ✅ Huawei ประกาศเปิดซอร์สชุดเครื่องมือ CANN สำหรับชิป Ascend AI GPU ➡️ เพื่อแข่งขันกับ CUDA ของ Nvidia ที่เป็นระบบปิด ✅ CANN เป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ heterogeneous ➡️ มีอินเทอร์เฟซหลายระดับสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ✅ Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ชั้นนำในจีน ➡️ เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend ✅ การเปิดซอร์ส CANN เกิดขึ้นหลังจากจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia ➡️ จากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการติดตามข้อมูล ✅ Huawei หวังว่า CANN จะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ➡️ โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและองค์กรที่ต้องการทางเลือกจาก CUDA ✅ CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ผูกขาดกับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia ➡️ นักพัฒนาต้องใช้ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ✅ Huawei Ascend 910C เป็นชิปที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Nvidia ➡️ โดยเฉพาะในงาน inference และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ✅ การเปิดซอร์สช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือได้เอง ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาบริษัทเดียว ✅ รัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ ➡️ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-is-making-its-ascend-ai-gpu-software-toolkit-open-source-to-better-compete-against-cuda
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Huawei is making its Ascend AI GPU software toolkit open-source to better compete against CUDA
    Huawei is getting better at making AI GPUs. Now it wants to increase adoption of its technology on the software side
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • อาเซียนการละคร หยุดยิงหลังเที่ยงคืน

    เคยมีคำกล่าวว่า ปลายทางของสงครามมักจะจบลงที่การเจรจา เฉกเช่นการประชุมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย ระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี กับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเป็นคนกลาง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ได้ข้อสรุปว่าไทยและกัมพูชาจะหยุดยิงหลังเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค.

    จากนั้นจะหารือระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 4 และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค. เวลา 07.00 น. ต่อด้วยประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 ส.ค.โดยมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ อีกทั้งจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย ท่ามกลางสักขีพยานทั้งจากตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีน

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงไม่น่าไว้วางใจ เพราะยังตรวจพบทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่แนวหน้า มีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาหลายหน่วย มีการคุกคามทางไซเบอร์ และมีแนวโน้มใช้อาวุธทางลึกอย่างขีปนาวุธ PHL03 ขณะที่สังคมไทยยังคาใจกับการกระทำของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์และทหารจะถูกลืมหรือไม่ นอกจากต้องเจ็บปวดกับการเจรจาแทบจะไม่คิดถึงหัวใจคนไทยแล้ว ไทยจะเสียดินแดนโดยพฤตินัยให้กับกัมพูชาเพราะถูกยึดพื้นที่บางส่วนหรือไม่

    หรือท้ายที่สุดอาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่งของการเมืองโลก ที่ต่างฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ยื่นคำขาดว่าถ้าสองฝ่ายไม่หยุดยิงจะไม่เจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะใช้เป็นผลงานชูเรื่องสันติภาพ เช่นเดียวกับนายกฯ อันวาร์ของมาเลเซีย จะสร้างผลงานเป็นพระเอกในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชาก็ได้คะแนนนิยมจากการปลุกกระแสชาตินิยม ทิ้งบาดแผลความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับกัมพูชาไม่มีวันเหมือนเดิม

    ทหารกัมพูชาใช้อาวุธหนักอย่าง BM-21 โจมตีพลเรือนในไทยอย่างไม่เลือกหน้า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ก่อนปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ตลอดแนวชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.ค. ประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 38 ราย (สาหัส 11 ราย) โรงพยาบาลเสียหาย 19 แห่ง ชาวบ้านต้องอพยพกว่า 150,000 คน บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ส่วนทหารเสียชีวิตนับสิบราย

    #Newskit
    อาเซียนการละคร หยุดยิงหลังเที่ยงคืน เคยมีคำกล่าวว่า ปลายทางของสงครามมักจะจบลงที่การเจรจา เฉกเช่นการประชุมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย ระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี กับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเป็นคนกลาง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ได้ข้อสรุปว่าไทยและกัมพูชาจะหยุดยิงหลังเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค. จากนั้นจะหารือระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 4 และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค. เวลา 07.00 น. ต่อด้วยประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 ส.ค.โดยมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ อีกทั้งจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย ท่ามกลางสักขีพยานทั้งจากตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงไม่น่าไว้วางใจ เพราะยังตรวจพบทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่แนวหน้า มีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาหลายหน่วย มีการคุกคามทางไซเบอร์ และมีแนวโน้มใช้อาวุธทางลึกอย่างขีปนาวุธ PHL03 ขณะที่สังคมไทยยังคาใจกับการกระทำของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์และทหารจะถูกลืมหรือไม่ นอกจากต้องเจ็บปวดกับการเจรจาแทบจะไม่คิดถึงหัวใจคนไทยแล้ว ไทยจะเสียดินแดนโดยพฤตินัยให้กับกัมพูชาเพราะถูกยึดพื้นที่บางส่วนหรือไม่ หรือท้ายที่สุดอาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่งของการเมืองโลก ที่ต่างฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ยื่นคำขาดว่าถ้าสองฝ่ายไม่หยุดยิงจะไม่เจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะใช้เป็นผลงานชูเรื่องสันติภาพ เช่นเดียวกับนายกฯ อันวาร์ของมาเลเซีย จะสร้างผลงานเป็นพระเอกในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชาก็ได้คะแนนนิยมจากการปลุกกระแสชาตินิยม ทิ้งบาดแผลความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับกัมพูชาไม่มีวันเหมือนเดิม ทหารกัมพูชาใช้อาวุธหนักอย่าง BM-21 โจมตีพลเรือนในไทยอย่างไม่เลือกหน้า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ก่อนปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ตลอดแนวชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.ค. ประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 38 ราย (สาหัส 11 ราย) โรงพยาบาลเสียหาย 19 แห่ง ชาวบ้านต้องอพยพกว่า 150,000 คน บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ส่วนทหารเสียชีวิตนับสิบราย #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 566 Views 0 Reviews
  • ปักกิ่งเน้นย้ำจุดยืนที่เป็นกลางและยุติธรรม ในเหตุปะทะตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ตามรายงานของโกลบอลไทมส์ สื่อของรัฐบาลจีนในวันจันทร์(28ก.ค.) อ้างคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกร

    เมื่อถูกถามเกี่ยวกับจุดยืนของจีน หลังกัมพูชาและไทยยังคงสู้รบกันอยู่ แม้เมื่อเร็วๆนี้ทั้ง 2 ฝ่ายแสดงถึงความตั้งใจหยุดยิงและยุติความขัดแย้ง ภายใต้ความพยายามเป็นคนกลางของนานาชาติ

    ในเรื่องนี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนบอกในวันอาทิตย์(27ก.ค.) ว่ากัมพูชาและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่อาจย้ายหนีกันได้ และต่างเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของจีน การยึดมั่นต่อความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมถึงบริหารจัดการความเห็นต่างอย่างเหมาะสม จะช่วยรับใช้ผลประโยชน์พื้นฐานในระยะยาวของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

    โฆษกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวต่อว่า จีนรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่งต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนชาวกัมพูชาและไทย อันมีต้นตอจากความขัดแย้ง และขอแสดงความเสียใจด้วยความจริงใจ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000071067

    #Thaitimes #MGROnline #ไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    ปักกิ่งเน้นย้ำจุดยืนที่เป็นกลางและยุติธรรม ในเหตุปะทะตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ตามรายงานของโกลบอลไทมส์ สื่อของรัฐบาลจีนในวันจันทร์(28ก.ค.) อ้างคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกร • เมื่อถูกถามเกี่ยวกับจุดยืนของจีน หลังกัมพูชาและไทยยังคงสู้รบกันอยู่ แม้เมื่อเร็วๆนี้ทั้ง 2 ฝ่ายแสดงถึงความตั้งใจหยุดยิงและยุติความขัดแย้ง ภายใต้ความพยายามเป็นคนกลางของนานาชาติ • ในเรื่องนี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนบอกในวันอาทิตย์(27ก.ค.) ว่ากัมพูชาและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่อาจย้ายหนีกันได้ และต่างเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของจีน การยึดมั่นต่อความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมถึงบริหารจัดการความเห็นต่างอย่างเหมาะสม จะช่วยรับใช้ผลประโยชน์พื้นฐานในระยะยาวของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค • โฆษกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวต่อว่า จีนรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่งต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนชาวกัมพูชาและไทย อันมีต้นตอจากความขัดแย้ง และขอแสดงความเสียใจด้วยความจริงใจ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000071067 • #Thaitimes #MGROnline #ไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    0 Comments 0 Shares 369 Views 0 Reviews

  • ..เขมรเป็นประเทศที่ทั้งอาเชียนไม่เอาไม่คบด้วย,มีแต่คนทรยศประจำประเทศไทยคบและเดอะแก๊งฝรั่งชั่วเลวคบเพื่อยึดบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรา,UNคือบ้านเดอะแก๊งโจรระดับโลกองค์กรซุ่มโจรสากลขนาดใหญ่ปล้นอย่างชอบธรรมทั่วโลก,ดูบริบทที่เข้าข้างอิสราเอลนั้นล่ะชัดเจนสุด,ไม่มีความยุติธรรมห่าจริงอะไรหรอก,ขี้ข้าdeep stateตระกูลรอธไชล์ผู้ร่วมหลักในการก่อตั้งUNแค่นั้น,สมุนโจรไม่ฟ้องหัวหน้าโจร,ไทยเราจะมีความยุติธรรมอะไร,อเมริกาผีบ้าเสือกมาบอกให้เราหยุดยิงโน้น ทั้งที่เขมรแท้ๆเปิดก่อน,นี้คือความระยำสันดานของอเมริกาชัดเจน,ผลประโยชน์ต้องเอาให้อเมริกาก่อนด้วยแบบฐานทัพอเมริกาในพังงาจะเอาให้ได้ ยึดแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระทันที,เสือกบอกอีกว่าไทยตะค้าขายกับใครต้องขออนุญาตอเมริกาก่อนนี้จะยึดปกครองอธิปไตยไทยเลยนะ,
    ..ประเทศไทยเรามาปกครองระบบใหม่กันเถอะ ทิ้งระบบฝรั่งมันไป มันอ้างบุญคุณว่าใช้ระบบมันปกครองประเทศอยู่ตลอดเวลา,เรามาเปลี่ยนเป็นระบบธรรมาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขกันเถอะ,ทหารยึดอำนาจปฏิวัติผ่านกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเราเลย รวมอำนาจปกครองใหม่หมดในภาวะสงครามนี้,รัฐบาลนีัไม่มีความน่าไว้วางใจอีกต่อไปแล้วในการปกครอง,งบฉุกเฉินทางทหารเราสามารถบริหารให้คล่องตัวทันทีเพราะรัฐบาลมันไม่ใส่ใจแล้วไม่สนใจอธิปไตยไทยจะเป็นห่าอะไรหรอกเพราะคดีพ่อมันชั้น14วุ่นวายเป็นอันมากตลอดสส.ทั้งสภาอาจสิ้นสถานะด้วยทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้ต้นเดือนหน้าก็ว่า,เห็นชัดว่าก่อการหาจังหวะก่อการก่อนวันที่28ก.ค.68ชัดเจน วันเกิดฟ้าเรานั่นเอง,เหี้ยมันพยายามสมคบกับเขมรเอาทุกๆทางหักหน้าฟ้าเราตลอดแม้เล็กๆน้อยๆก็เอาด้วยกระทบให้ได้ด้วย,
    ..ยุทธวิธีกลศึกตลอดช่วงสงครามกับเขมรด้วย เครื่องมือเครื่องไม้เราต้องพร้อมเสริมทัพตลอดลดความสูญเสียทหารราบเรา คือโดรนลาดตะเวนสำรวจและโดรนจู่โจมต้องมี ตลอดแนวชายแดนต้องไม่ต่ำกว่าจังหวัดละ1,000ตัว ตีให้โดรนพลีชีพด้วย รวม10,000ตัวพร้อมปฏิบัติการทันที,ถ้าสั่งจากรัฐบาลจีนหรือรัสเชีย จีนอาจตัวละ5-6ล้านบาทแบบGtG,ก็5-6หมื่นล้านบาทถือว่าคุ้มมาก,และอนาคตเราสามารถดัดแปลงตกแต่งโดรนนี้ให้ปลอดภัยด้านความมั่นคงข้อมูลได้ตลอดอัพเรเวลให้ดียิ่งๆขึ้นได้หรือไทยเราสร้างโดรนพลีชีพโดรนลาดตะเวนสำรวจโดรนจู่โจมได้มากขนาดไหนทันแล้วก็สามารถนำเข้าสั่งมาลงหน้างานเลย,,ลดการปะทะการสูญเสียทหารเราทันที10,000คนแต่ประสิทธิภาพการรุกศัตรู1:20คือเทียบ200,000พลทหารเราได้สบาย.,งบฉุกเฉินเบิกล่วงหน้าได้เลย,การยึดอำนาจจึงสำคัญมาก ไม่ต้องมาห่วงการหักหลังของคนทรยศภายในตนเองอีกต่อไป,สร้างระบบปกครองใหม่ด้วย,เจรจาการอเมริกาเรื่องตั้งฐานทัพกองทัพอเมริกาในพังงาก็สามารถปฏิเสธได้เพื่อเป็นกลางทางสงครามโลกหากอเมริการบกับจีนจริง.

    https://youtube.com/watch?v=dfsn6-6TunQ&si=f9NBhnXn7I4wwq5y
    https://youtube.com/watch?v=dfsn6-6TunQ&si=f9NBhnXn7I4wwq5y
    ..เขมรเป็นประเทศที่ทั้งอาเชียนไม่เอาไม่คบด้วย,มีแต่คนทรยศประจำประเทศไทยคบและเดอะแก๊งฝรั่งชั่วเลวคบเพื่อยึดบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรา,UNคือบ้านเดอะแก๊งโจรระดับโลกองค์กรซุ่มโจรสากลขนาดใหญ่ปล้นอย่างชอบธรรมทั่วโลก,ดูบริบทที่เข้าข้างอิสราเอลนั้นล่ะชัดเจนสุด,ไม่มีความยุติธรรมห่าจริงอะไรหรอก,ขี้ข้าdeep stateตระกูลรอธไชล์ผู้ร่วมหลักในการก่อตั้งUNแค่นั้น,สมุนโจรไม่ฟ้องหัวหน้าโจร,ไทยเราจะมีความยุติธรรมอะไร,อเมริกาผีบ้าเสือกมาบอกให้เราหยุดยิงโน้น ทั้งที่เขมรแท้ๆเปิดก่อน,นี้คือความระยำสันดานของอเมริกาชัดเจน,ผลประโยชน์ต้องเอาให้อเมริกาก่อนด้วยแบบฐานทัพอเมริกาในพังงาจะเอาให้ได้ ยึดแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระทันที,เสือกบอกอีกว่าไทยตะค้าขายกับใครต้องขออนุญาตอเมริกาก่อนนี้จะยึดปกครองอธิปไตยไทยเลยนะ, ..ประเทศไทยเรามาปกครองระบบใหม่กันเถอะ ทิ้งระบบฝรั่งมันไป มันอ้างบุญคุณว่าใช้ระบบมันปกครองประเทศอยู่ตลอดเวลา,เรามาเปลี่ยนเป็นระบบธรรมาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขกันเถอะ,ทหารยึดอำนาจปฏิวัติผ่านกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเราเลย รวมอำนาจปกครองใหม่หมดในภาวะสงครามนี้,รัฐบาลนีัไม่มีความน่าไว้วางใจอีกต่อไปแล้วในการปกครอง,งบฉุกเฉินทางทหารเราสามารถบริหารให้คล่องตัวทันทีเพราะรัฐบาลมันไม่ใส่ใจแล้วไม่สนใจอธิปไตยไทยจะเป็นห่าอะไรหรอกเพราะคดีพ่อมันชั้น14วุ่นวายเป็นอันมากตลอดสส.ทั้งสภาอาจสิ้นสถานะด้วยทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้ต้นเดือนหน้าก็ว่า,เห็นชัดว่าก่อการหาจังหวะก่อการก่อนวันที่28ก.ค.68ชัดเจน วันเกิดฟ้าเรานั่นเอง,เหี้ยมันพยายามสมคบกับเขมรเอาทุกๆทางหักหน้าฟ้าเราตลอดแม้เล็กๆน้อยๆก็เอาด้วยกระทบให้ได้ด้วย, ..ยุทธวิธีกลศึกตลอดช่วงสงครามกับเขมรด้วย เครื่องมือเครื่องไม้เราต้องพร้อมเสริมทัพตลอดลดความสูญเสียทหารราบเรา คือโดรนลาดตะเวนสำรวจและโดรนจู่โจมต้องมี ตลอดแนวชายแดนต้องไม่ต่ำกว่าจังหวัดละ1,000ตัว ตีให้โดรนพลีชีพด้วย รวม10,000ตัวพร้อมปฏิบัติการทันที,ถ้าสั่งจากรัฐบาลจีนหรือรัสเชีย จีนอาจตัวละ5-6ล้านบาทแบบGtG,ก็5-6หมื่นล้านบาทถือว่าคุ้มมาก,และอนาคตเราสามารถดัดแปลงตกแต่งโดรนนี้ให้ปลอดภัยด้านความมั่นคงข้อมูลได้ตลอดอัพเรเวลให้ดียิ่งๆขึ้นได้หรือไทยเราสร้างโดรนพลีชีพโดรนลาดตะเวนสำรวจโดรนจู่โจมได้มากขนาดไหนทันแล้วก็สามารถนำเข้าสั่งมาลงหน้างานเลย,,ลดการปะทะการสูญเสียทหารเราทันที10,000คนแต่ประสิทธิภาพการรุกศัตรู1:20คือเทียบ200,000พลทหารเราได้สบาย.,งบฉุกเฉินเบิกล่วงหน้าได้เลย,การยึดอำนาจจึงสำคัญมาก ไม่ต้องมาห่วงการหักหลังของคนทรยศภายในตนเองอีกต่อไป,สร้างระบบปกครองใหม่ด้วย,เจรจาการอเมริกาเรื่องตั้งฐานทัพกองทัพอเมริกาในพังงาก็สามารถปฏิเสธได้เพื่อเป็นกลางทางสงครามโลกหากอเมริการบกับจีนจริง. https://youtube.com/watch?v=dfsn6-6TunQ&si=f9NBhnXn7I4wwq5y https://youtube.com/watch?v=dfsn6-6TunQ&si=f9NBhnXn7I4wwq5y
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้

    Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก

    จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน:
    - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ
    - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม
    - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา

    เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom

    แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่:
    - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล
    - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย

    แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที

    การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน
    เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ

    ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization
    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน

    การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ
    เช่น AWS, Azure และ Google Cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้ Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน: - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่: - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💡 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที 💡 การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน ➡️ เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ 💡 ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน 💡 การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ ➡️ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    0 Comments 0 Shares 351 Views 0 Reviews
  • ฮุนเซนไม่ได้หนี
    ส่งเครื่องบินไปขนอาวุธจากจีนเทา รัฐบาลจีนทราบแล้วโปรดแสดงจุดยืนเป็นกลางไม่เลือกข้างด้วย
    #7ดอกจิก
    ฮุนเซนไม่ได้หนี ส่งเครื่องบินไปขนอาวุธจากจีนเทา รัฐบาลจีนทราบแล้วโปรดแสดงจุดยืนเป็นกลางไม่เลือกข้างด้วย #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโรงงานที่กำลังโตแต่ยังไม่พร้อม: เมื่อ CXMT พยายามผลิต DDR5 ท่ามกลางแรงกดดันจากเทคโนโลยีและการเมือง

    CXMT เริ่มผลิต DDR5 ตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung ที่ใช้ 10nm-class node รุ่นที่ 3 ทำให้:
    - ขนาดชิปใหญ่ขึ้น 40%
    - ต้นทุนการผลิตสูงกว่า
    - ไม่สามารถ “ท่วมตลาด” ด้วยราคาถูกได้ตามที่หลายฝ่ายกังวล

    นอกจากนี้ยังพบปัญหา:
    - ความไม่เสถียรเมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูง (60°C) และต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
    - ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา — ซึ่งมีต้นทุนสูง
    - แม้จะปรับปรุงแล้วและคุณภาพใกล้เคียงกับ Nanya แต่ yield ยังต่ำเพียง 50% ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์

    CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170,000 wafer ต่อเดือนในปี 2024 เป็น 280,000 wafer ภายในปลายปี 2025 โดยใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีน — แต่การพึ่งพาเครื่องมือจากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรป อาจทำให้แผนนี้สะดุด หากถูกจำกัดการส่งออกหรือการซ่อมบำรุง

    CXMT เลื่อนการผลิต DDR5 แบบปริมาณมากไปเป็นปลายปี 2025
    เดิมคาดว่าจะเริ่มกลางปี แต่ yield ยังต่ำเพียง 50%

    ใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่ง
    ทำให้ชิปใหญ่ขึ้น 40% และต้นทุนสูงกว่า Samsung

    พบปัญหาความไม่เสถียรที่อุณหภูมิสูงและต่ำ
    ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา

    คุณภาพของ DDR5 ล่าสุดใกล้เคียงกับ Nanya จากไต้หวัน
    หากได้รับการรับรองจากผู้ผลิต PC จะถือว่า “ปิดช่องว่าง” กับคู่แข่ง

    CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170K → 280K wafer ต่อเดือนภายในปี 2025
    ใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีนเพื่อสร้างความพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์

    Localization ของเครื่องมือในโรงงาน CXMT ยังอยู่ที่ 20%
    พึ่งพาอุปกรณ์จากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรปเป็นหลัก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/chinas-cxmt-reportedly-delays-mass-production-of-ddr5-chips-to-late-2025-state-backed-manufacturer-could-still-be-disruptive-market-force
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงานที่กำลังโตแต่ยังไม่พร้อม: เมื่อ CXMT พยายามผลิต DDR5 ท่ามกลางแรงกดดันจากเทคโนโลยีและการเมือง CXMT เริ่มผลิต DDR5 ตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung ที่ใช้ 10nm-class node รุ่นที่ 3 ทำให้: - ขนาดชิปใหญ่ขึ้น 40% - ต้นทุนการผลิตสูงกว่า - ไม่สามารถ “ท่วมตลาด” ด้วยราคาถูกได้ตามที่หลายฝ่ายกังวล นอกจากนี้ยังพบปัญหา: - ความไม่เสถียรเมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูง (60°C) และต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง - ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา — ซึ่งมีต้นทุนสูง - แม้จะปรับปรุงแล้วและคุณภาพใกล้เคียงกับ Nanya แต่ yield ยังต่ำเพียง 50% ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170,000 wafer ต่อเดือนในปี 2024 เป็น 280,000 wafer ภายในปลายปี 2025 โดยใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีน — แต่การพึ่งพาเครื่องมือจากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรป อาจทำให้แผนนี้สะดุด หากถูกจำกัดการส่งออกหรือการซ่อมบำรุง ✅ CXMT เลื่อนการผลิต DDR5 แบบปริมาณมากไปเป็นปลายปี 2025 ➡️ เดิมคาดว่าจะเริ่มกลางปี แต่ yield ยังต่ำเพียง 50% ✅ ใช้เทคโนโลยี G4 node ขนาด 16nm ซึ่งล้าหลังกว่าคู่แข่ง ➡️ ทำให้ชิปใหญ่ขึ้น 40% และต้นทุนสูงกว่า Samsung ✅ พบปัญหาความไม่เสถียรที่อุณหภูมิสูงและต่ำ ➡️ ต้องออกแบบ photomask ใหม่เพื่อแก้ปัญหา ✅ คุณภาพของ DDR5 ล่าสุดใกล้เคียงกับ Nanya จากไต้หวัน ➡️ หากได้รับการรับรองจากผู้ผลิต PC จะถือว่า “ปิดช่องว่าง” กับคู่แข่ง ✅ CXMT มีแผนขยายกำลังผลิตจาก 170K → 280K wafer ต่อเดือนภายในปี 2025 ➡️ ใช้เงินทุนจากรัฐบาลจีนเพื่อสร้างความพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์ ✅ Localization ของเครื่องมือในโรงงาน CXMT ยังอยู่ที่ 20% ➡️ พึ่งพาอุปกรณ์จากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรปเป็นหลัก https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/chinas-cxmt-reportedly-delays-mass-production-of-ddr5-chips-to-late-2025-state-backed-manufacturer-could-still-be-disruptive-market-force
    0 Comments 0 Shares 313 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม

    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม

    ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย:
    - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials)
    - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams)
    - แผนที่ทางภูมิศาสตร์
    - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII)

    ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย

    ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation)

    กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ

    Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน
    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ

    ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร
    รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ

    สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง
    อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น

    DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ
    โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า

    Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat
    แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก

    จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน
    เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม

    การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ
    แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ

    การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต
    เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted

    ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่
    ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้

    ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี
    เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม 🧠 ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย: - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials) - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams) - แผนที่ทางภูมิศาสตร์ - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation) กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ ✅ Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน ➡️ ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ ✅ ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร ➡️ รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ ✅ สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง ➡️ อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น ✅ DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ ➡️ โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า ✅ Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat ➡️ แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก ✅ จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน ➡️ เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม ‼️ การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ ⛔ แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ ‼️ การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต ⛔ เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted ‼️ ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้ ‼️ ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี ⛔ เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน

    DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ

    แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล

    รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น:
    - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
    - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ
    - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม

    ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม

    ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025
    - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน
    - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล
    - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว
    - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ
    - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล
    - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ
    - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น: - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025 - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Czechia warns that DeepSeek can share all user information with the Chinese government
    U.S. lawmakers issued similar warnings after the China-based AI company released its eponymous chatbot.
    0 Comments 0 Shares 514 Views 0 Reviews
  • หัวหน้าฝ่ายวางแผนของรัฐบาลจีนเผย เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่าเกิน 140 ล้านล้านหยวน (19.5 ล้านล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 636 ล้านล้านบาทในปีนี้ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของจีนเตรียมแผนขับเคลื่อนประเทศหลังจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีปัจจุบันสิ้นสุดลงในช่วงปลายปี 2025

    จีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐฯ รวมไปถึงแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่ยังแก้ไม่ตก

    “เมื่อมองย้อนกลับไปที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ความท้าทายที่เราเผชิญนั้นรุนแรงกว่าที่คาดไว้ แต่ความสำเร็จก็เกินความคาดหมาย” เจิ้ง ซานเจี๋ย (Zheng Shanjie) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีน ระบุในงานแถลงข่าว

    เจิ้ง ชี้ถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้นภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี 2021–2025 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ นวัตกรรมเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000064644

    #Thaitimes #MGROnline #เศรษฐกิจจีน
    หัวหน้าฝ่ายวางแผนของรัฐบาลจีนเผย เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่าเกิน 140 ล้านล้านหยวน (19.5 ล้านล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 636 ล้านล้านบาทในปีนี้ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของจีนเตรียมแผนขับเคลื่อนประเทศหลังจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีปัจจุบันสิ้นสุดลงในช่วงปลายปี 2025 • จีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐฯ รวมไปถึงแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่ยังแก้ไม่ตก • “เมื่อมองย้อนกลับไปที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ความท้าทายที่เราเผชิญนั้นรุนแรงกว่าที่คาดไว้ แต่ความสำเร็จก็เกินความคาดหมาย” เจิ้ง ซานเจี๋ย (Zheng Shanjie) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีน ระบุในงานแถลงข่าว • เจิ้ง ชี้ถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้นภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี 2021–2025 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ นวัตกรรมเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000064644 • #Thaitimes #MGROnline #เศรษฐกิจจีน
    0 Comments 0 Shares 383 Views 0 Reviews
  • ก่อนหน้านี้เรามักเห็นจีนใช้ชิป Intel หรือ AMD เป็นหลักในดาต้าเซ็นเตอร์ หรือหน่วยงานวิจัย แต่ รัฐบาลจีนก็กระตุ้นอย่างหนักให้พัฒนา “ชิปพื้นบ้าน (homegrown)” ขึ้นมาใช้เองในระยะยาว โดย Loongson คือหนึ่งในบริษัทที่ถือธงนำทัพด้านนี้

    ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว Loongson 3E6000 ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม LoongArch 6000 พร้อมแกนประมวลผล LA664 รวมทั้งหมด 64 คอร์ 128 เธรด, ความเร็วสูงสุด 2.2 GHz, แคช 32MB และรองรับ DDR4-3200 แบบ quad-channel

    จุดน่าสนใจคือ ตัวชิปนี้ใช้เทคนิค “quad-chiplet” คือรวม 4 ชิปย่อยเชื่อมกันด้วยเทคโนโลยีที่ชื่อ LoongLink (คล้ายกับ Infinity Fabric หรือ NVLink) — ทำให้สร้างชิป 64 คอร์ได้แม้กระบวนการผลิตของจีนจะยังตามหลังตะวันตก

    แม้ยังมีจุดอ่อนด้าน floating-point แต่ผลการทดสอบใน Spec CPU 2017 ระบุว่า Loongson 3E6000 ทำคะแนน integer ได้สูงกว่า Xeon 8380 ถึง 35% (แต่แพ้ในด้าน floating-point อยู่ 14%)

    และที่สำคัญ…Loongson ยังพัฒนาแผนถัดไปไว้แล้ว เช่นรุ่น 3B6600 (8 คอร์, 3GHz) และ 3B7000 (แรงกว่านี้อีก) ที่ใช้คอร์รุ่นใหม่ LA864 ซึ่งหวังว่าจะชน Intel Raptor Lake หรือ AMD Zen 4 ได้เลยครับ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/new-homegrown-china-server-chips-unveiled-with-impressive-specs-loongsons-3c6000-cpu-comes-armed-with-64-cores-128-threads-and-performance-to-rival-xeon-8380
    ก่อนหน้านี้เรามักเห็นจีนใช้ชิป Intel หรือ AMD เป็นหลักในดาต้าเซ็นเตอร์ หรือหน่วยงานวิจัย แต่ รัฐบาลจีนก็กระตุ้นอย่างหนักให้พัฒนา “ชิปพื้นบ้าน (homegrown)” ขึ้นมาใช้เองในระยะยาว โดย Loongson คือหนึ่งในบริษัทที่ถือธงนำทัพด้านนี้ ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว Loongson 3E6000 ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม LoongArch 6000 พร้อมแกนประมวลผล LA664 รวมทั้งหมด 64 คอร์ 128 เธรด, ความเร็วสูงสุด 2.2 GHz, แคช 32MB และรองรับ DDR4-3200 แบบ quad-channel จุดน่าสนใจคือ ตัวชิปนี้ใช้เทคนิค “quad-chiplet” คือรวม 4 ชิปย่อยเชื่อมกันด้วยเทคโนโลยีที่ชื่อ LoongLink (คล้ายกับ Infinity Fabric หรือ NVLink) — ทำให้สร้างชิป 64 คอร์ได้แม้กระบวนการผลิตของจีนจะยังตามหลังตะวันตก แม้ยังมีจุดอ่อนด้าน floating-point แต่ผลการทดสอบใน Spec CPU 2017 ระบุว่า Loongson 3E6000 ทำคะแนน integer ได้สูงกว่า Xeon 8380 ถึง 35% (แต่แพ้ในด้าน floating-point อยู่ 14%) และที่สำคัญ…Loongson ยังพัฒนาแผนถัดไปไว้แล้ว เช่นรุ่น 3B6600 (8 คอร์, 3GHz) และ 3B7000 (แรงกว่านี้อีก) ที่ใช้คอร์รุ่นใหม่ LA864 ซึ่งหวังว่าจะชน Intel Raptor Lake หรือ AMD Zen 4 ได้เลยครับ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/new-homegrown-china-server-chips-unveiled-with-impressive-specs-loongsons-3c6000-cpu-comes-armed-with-64-cores-128-threads-and-performance-to-rival-xeon-8380
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • iSoftStone อาจไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปเคยได้ยิน แต่มันคือหนึ่งในม้ามืดที่มาจากสายงาน B2B โดยเฉพาะด้านการศึกษา, ภาครัฐ และองค์กรขนาดกลางในจีน ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดองค์กรขนาดใหญ่จะซบเซา

    ใน Q1 ปี 2025 พวกเขาขายพีซีไปถึง 890,000 เครื่อง — เพิ่มจาก 420,000 เครื่องในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (โต 111% ภายในปีเดียว!) ซึ่งมากพอจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 10% แล้ว — ใกล้แซง Huawei ที่ 12% และแซง Apple กับ HP ไปแล้วเรียบร้อย

    นอกจาก B2B แล้ว iSoftStone ยังลงมาเล่นในตลาดเกมแรง ๆ ด้วย — ซึ่งเซกเมนต์นี้ในจีนยังโตปีละ 24% โดยเฉพาะฝั่งเครื่องแรงระดับสูง (High-End Gaming)

    แม้ตอนนี้ iSoftStone จะยังขายแค่ในจีน แต่มีประสบการณ์ทำโปรเจกต์ใหญ่ในต่างประเทศ เช่น ศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า จะบุกตลาดโลกในไม่ช้านี้ — โดยเฉพาะเมื่อจีนต้องการดันแบรนด์ในประเทศให้แข็งแกร่งเพื่อแข่งขันกับ Lenovo, Dell, Apple และ HP

    https://www.techradar.com/pro/huge-pc-vendor-youve-never-heard-of-is-set-to-become-second-biggest-player-in-china-ahead-of-apple-hp-heres-why-it-matters
    iSoftStone อาจไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปเคยได้ยิน แต่มันคือหนึ่งในม้ามืดที่มาจากสายงาน B2B โดยเฉพาะด้านการศึกษา, ภาครัฐ และองค์กรขนาดกลางในจีน ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดองค์กรขนาดใหญ่จะซบเซา ใน Q1 ปี 2025 พวกเขาขายพีซีไปถึง 890,000 เครื่อง — เพิ่มจาก 420,000 เครื่องในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (โต 111% ภายในปีเดียว!) ซึ่งมากพอจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 10% แล้ว — ใกล้แซง Huawei ที่ 12% และแซง Apple กับ HP ไปแล้วเรียบร้อย นอกจาก B2B แล้ว iSoftStone ยังลงมาเล่นในตลาดเกมแรง ๆ ด้วย — ซึ่งเซกเมนต์นี้ในจีนยังโตปีละ 24% โดยเฉพาะฝั่งเครื่องแรงระดับสูง (High-End Gaming) แม้ตอนนี้ iSoftStone จะยังขายแค่ในจีน แต่มีประสบการณ์ทำโปรเจกต์ใหญ่ในต่างประเทศ เช่น ศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า จะบุกตลาดโลกในไม่ช้านี้ — โดยเฉพาะเมื่อจีนต้องการดันแบรนด์ในประเทศให้แข็งแกร่งเพื่อแข่งขันกับ Lenovo, Dell, Apple และ HP https://www.techradar.com/pro/huge-pc-vendor-youve-never-heard-of-is-set-to-become-second-biggest-player-in-china-ahead-of-apple-hp-heres-why-it-matters
    WWW.TECHRADAR.COM
    Unknown outside China, iSoftStone is now the country’s third-largest PC brand
    iSoftStone enjoyed a 111% increase in unit shipments in just one year
    0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews
More Results