• “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!”

    ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ

    บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง

    อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens

    ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง

    นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้

    นวัตกรรมจาก Amies Technologies
    เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP
    ระบบ laser annealing และ wafer inspection
    ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก

    นวัตกรรมจาก SiCarrier
    ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด
    เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30%
    ลดเวลา hardware development 40%
    มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน
    ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง

    วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology
    photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster
    สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm
    แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว
    มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ
    รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย

    อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight
    ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz
    ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้
    เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    🇨🇳 “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!” ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ✅ นวัตกรรมจาก Amies Technologies ➡️ เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP ➡️ ระบบ laser annealing และ wafer inspection ➡️ ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก ✅ นวัตกรรมจาก SiCarrier ➡️ ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30% ➡️ ลดเวลา hardware development 40% ➡️ มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน ➡️ ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง ✅ วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology ➡️ photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster ➡️ สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ➡️ แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว ➡️ มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ ➡️ รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย ✅ อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight ➡️ ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz ➡️ ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ➡️ เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล หลังถูกแฮ็กนานนับสิบปี” — เมื่อภัยคุกคามไซเบอร์จากจีนลึกและนานจนต้องคิดถึงการ ‘ล้างระบบ’ ทั้งหมด

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล (data hub) ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลลับ หลังพบว่าถูกแฮ็กโดยกลุ่มที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนมานานกว่าทศวรรษ

    การโจมตีเริ่มต้นหลังบริษัทที่ควบคุมศูนย์ข้อมูลนี้ถูกขายให้กับบริษัทจีน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าข้อมูลระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ” (official-sensitive) อาจถูกเข้าถึง แม้จะไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” (top secret) รั่วไหลก็ตาม

    แม้สุดท้ายรัฐบาลจะไม่ทำลายศูนย์ข้อมูล แต่ก็ต้องใช้มาตรการขั้นสูงในการปกป้องข้อมูล และอดีตนายกรัฐมนตรี Boris Johnson ถึงกับสั่งให้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยคุกคามจากจีน ซึ่งไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ชี้ว่า การทำลายศูนย์ข้อมูลอาจเป็นทางเดียวที่จะมั่นใจได้ว่าไม่มี “ประตูหลัง” หรือมัลแวร์หลงเหลืออยู่ เพราะการตรวจสอบศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้แน่ใจว่า “สะอาด” นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

    รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูลที่ถูกแฮ็ก
    เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลลับระดับชาติ

    การแฮ็กเกิดขึ้นหลังบริษัทเจ้าของศูนย์ข้อมูลถูกขายให้บริษัทจีน
    ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงรวมถึงระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ”
    แต่ไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” รั่วไหล

    รัฐบาลเลือกใช้มาตรการป้องกันอื่นแทนการทำลาย
    เช่น การอุดช่องโหว่และตรวจสอบระบบอย่างละเอียด

    Boris Johnson เคยสั่งจัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยไซเบอร์จากจีน
    รายงานนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ

    https://www.csoonline.com/article/4074876/government-considered-destroying-its-data-hub-after-decade-long-intrusion.html
    🕵️‍♂️ “รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล หลังถูกแฮ็กนานนับสิบปี” — เมื่อภัยคุกคามไซเบอร์จากจีนลึกและนานจนต้องคิดถึงการ ‘ล้างระบบ’ ทั้งหมด รัฐบาลสหราชอาณาจักรเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล (data hub) ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลลับ หลังพบว่าถูกแฮ็กโดยกลุ่มที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนมานานกว่าทศวรรษ การโจมตีเริ่มต้นหลังบริษัทที่ควบคุมศูนย์ข้อมูลนี้ถูกขายให้กับบริษัทจีน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าข้อมูลระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ” (official-sensitive) อาจถูกเข้าถึง แม้จะไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” (top secret) รั่วไหลก็ตาม แม้สุดท้ายรัฐบาลจะไม่ทำลายศูนย์ข้อมูล แต่ก็ต้องใช้มาตรการขั้นสูงในการปกป้องข้อมูล และอดีตนายกรัฐมนตรี Boris Johnson ถึงกับสั่งให้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยคุกคามจากจีน ซึ่งไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ชี้ว่า การทำลายศูนย์ข้อมูลอาจเป็นทางเดียวที่จะมั่นใจได้ว่าไม่มี “ประตูหลัง” หรือมัลแวร์หลงเหลืออยู่ เพราะการตรวจสอบศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้แน่ใจว่า “สะอาด” นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ✅ รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูลที่ถูกแฮ็ก ➡️ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลลับระดับชาติ ✅ การแฮ็กเกิดขึ้นหลังบริษัทเจ้าของศูนย์ข้อมูลถูกขายให้บริษัทจีน ➡️ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงรวมถึงระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ” ➡️ แต่ไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” รั่วไหล ✅ รัฐบาลเลือกใช้มาตรการป้องกันอื่นแทนการทำลาย ➡️ เช่น การอุดช่องโหว่และตรวจสอบระบบอย่างละเอียด ✅ Boris Johnson เคยสั่งจัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยไซเบอร์จากจีน ➡️ รายงานนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ https://www.csoonline.com/article/4074876/government-considered-destroying-its-data-hub-after-decade-long-intrusion.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Government considered destroying its data hub after decade-long intrusion
    Attack highlights the constant threat from state-sponsored cyber attacks on governments and businesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย

    Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

    ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ

    Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน
    ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์
    ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ

    การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น
    อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
    ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron
    แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ

    ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ
    ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    🇨🇳 “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ ✅ Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน ➡️ ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ ➡️ ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ ✅ การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น ➡️ อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ✅ การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ➡️ ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ ✅ Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron ➡️ แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ ✅ ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ ➡️ ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่

    นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย

    แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ

    ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง

    ข้อมูลในข่าว
    Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ
    พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air
    Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision
    iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย
    Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026
    อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ
    Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์
    ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน
    Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI
    ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่
    Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    🍎 “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ ➡️ พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision ➡️ iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย ➡️ Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 ➡️ อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน ➡️ Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI ➡️ ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่ ➡️ Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    WCCFTECH.COM
    China's Government Just Gave Apple Its Strong Support For Continuing Operations In The Country
    According to Global Times' interpretation, China just gave a strong nod to Apple's domestic operations in the country.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ

    กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

    การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม

    หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN

    สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน

    ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    ข้อมูลในข่าว
    Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
    ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell
    Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่
    เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย
    ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN
    พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets
    สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน
    ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น
    เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    🌪️ “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ➡️ ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell ➡️ Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่ ➡️ เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย ➡️ ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN ➡️ พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets ➡️ สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ➡️ ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น ➡️ เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    SECURITYONLINE.INFO
    China-Backed Flax Typhoon APT Maintained Year-Long Access by Turning ArcGIS SOE into Web Shell Backdoor
    ReliaQuest exposed Flax Typhoon for a year-long breach, where the China-backed APT turned a legitimate ArcGIS Java SOE into a web shell and embedded it in backups to ensure persistence.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 13

    ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม

    หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC)

    สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง

    อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ

    อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก !
    ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย

    Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา

    Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater !

    ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย

    Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี

    ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi

    แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา
    หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ !

    ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ

    Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร

    ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง !

    เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ

    และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา !

    ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย

    สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว

    และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 13 ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC) สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก ! ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater ! ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ ! ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ! เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา ! ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights — บริษัทแคนาดาที่เปิดโปง Huawei ใช้เทคโนโลยี TSMC ฝ่าฝืนมาตรการสหรัฐฯ”

    รัฐบาลจีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัท TechInsights จากแคนาดา โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” หลังจากบริษัทดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจาก TSMC และผู้ผลิตชิปต่างประเทศในผลิตภัณฑ์ของ Huawei แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ

    TechInsights เป็นบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการ “แยกชิ้นส่วน” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายใน โดยรายงานล่าสุดของบริษัทพบว่า Huawei ยังคงใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

    กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า TechInsights และบริษัทในเครือทั่วโลกจะถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรหรือบุคคลในจีน โดยให้เหตุผลว่า TechInsightsมีส่วนร่วมใน “ความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับไต้หวัน” และ “ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน”

    การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก TechInsights เผยแพร่รายงานที่แสดงให้เห็นว่า Huawei ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้จะพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเองก็ตาม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ”
    TechInsights เปิดเผยว่า Huawei ใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix
    ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏในชิป AI รุ่น Ascend 910C ของ Huawei
    การเปิดเผยขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ
    กระทรวงพาณิชย์จีนห้าม TechInsights ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรในจีน
    เหตุผลที่จีนให้คือความร่วมมือทางเทคนิคกับไต้หวันและการให้ข้อมูลที่เป็นภัยต่อจีน
    TechInsights เป็นบริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019
    TSMC และ Samsung อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
    Ascend 910C เป็นชิป AI ระดับสูงที่ใช้ในงานประมวลผลแบบ deep learning
    การแยกชิ้นส่วน (teardown) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ตรวจสอบแหล่งที่มาของชิ้นส่วน
    การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มุ่งลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bans-research-company-that-helped-unearth-huaweis-use-of-tsmc-tech-despite-u-s-bans-techinsights-added-to-unreliable-entity-list-by-state-authorities
    🚫 “จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights — บริษัทแคนาดาที่เปิดโปง Huawei ใช้เทคโนโลยี TSMC ฝ่าฝืนมาตรการสหรัฐฯ” รัฐบาลจีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัท TechInsights จากแคนาดา โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” หลังจากบริษัทดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจาก TSMC และผู้ผลิตชิปต่างประเทศในผลิตภัณฑ์ของ Huawei แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ TechInsights เป็นบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการ “แยกชิ้นส่วน” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายใน โดยรายงานล่าสุดของบริษัทพบว่า Huawei ยังคงใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า TechInsights และบริษัทในเครือทั่วโลกจะถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรหรือบุคคลในจีน โดยให้เหตุผลว่า TechInsightsมีส่วนร่วมใน “ความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับไต้หวัน” และ “ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน” การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก TechInsights เผยแพร่รายงานที่แสดงให้เห็นว่า Huawei ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้จะพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเองก็ตาม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” ➡️ TechInsights เปิดเผยว่า Huawei ใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ➡️ ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏในชิป AI รุ่น Ascend 910C ของ Huawei ➡️ การเปิดเผยขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนห้าม TechInsights ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรในจีน ➡️ เหตุผลที่จีนให้คือความร่วมมือทางเทคนิคกับไต้หวันและการให้ข้อมูลที่เป็นภัยต่อจีน ➡️ TechInsights เป็นบริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019 ➡️ TSMC และ Samsung อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ➡️ Ascend 910C เป็นชิป AI ระดับสูงที่ใช้ในงานประมวลผลแบบ deep learning ➡️ การแยกชิ้นส่วน (teardown) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ตรวจสอบแหล่งที่มาของชิ้นส่วน ➡️ การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มุ่งลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bans-research-company-that-helped-unearth-huaweis-use-of-tsmc-tech-despite-u-s-bans-techinsights-added-to-unreliable-entity-list-by-state-authorities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนขยายการควบคุมแร่หายาก — พีซี ฮาร์ดดิสก์ และจอภาพทั่วโลกอาจสะดุดจากนโยบายใหม่”

    จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth elements) โดยเพิ่มรายการแร่และเทคโนโลยีการแปรรูปเข้าไปในข้อจำกัดใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2025 โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” และจะไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเซมิคอนดักเตอร์

    แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่มเติม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium รวมถึงความรู้ทางเทคนิคในการผลิตแม่เหล็กจากแร่เหล่านี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น HDD, พัดลมระบายความร้อน, และจอภาพ LED/LCD ที่ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium

    ภายใต้กฎใหม่ บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน หากแม่เหล็กที่ผลิตมีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีน หรือใช้กระบวนการสกัดของจีน แม้จะเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อยก็ตาม

    ผลกระทบที่ชัดเจนคือ HDD ความจุสูงที่ใช้แม่เหล็ก NdFeB (neodymium-iron-boron) ซึ่งต้องผสมกับ dysprosium หรือ praseodymium เพื่อให้ทนความร้อนได้ดี หากการส่งออกถูกจำกัด อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการส่งมอบล่าช้า

    จอภาพก็ไม่รอด เพราะ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงที่ต้องอาศัย europium และ terbium ซึ่งอยู่ในรายการควบคุมใหม่เช่นกัน ส่วนกระบวนการขัดผิวเวเฟอร์ซิลิคอนที่ใช้ cerium oxide slurry ก็อาจได้รับผลกระทบหากจีนขยายข้อจำกัดไปถึงอุปกรณ์รีไซเคิลและแปรรูป

    Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพีซีและฮาร์ดแวร์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยมีผลในเดือนธันวาคม 20252
    แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่ม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium และเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็ก
    บริษัทต่างชาติต้องขออนุญาตหากใช้แร่จากจีนหรือกระบวนการสกัดของจีน
    HDD ใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ต้องผสม dysprosium หรือ praseodymium เพื่อทนความร้อน
    LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ซึ่งถูกควบคุม
    Cerium oxide slurry ที่ใช้ขัดเวเฟอร์ซิลิคอนอาจถูกกระทบหากข้อจำกัดขยาย
    Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากกว่า 70% และการแปรรูปกว่า 90% ของโลก
    แม่เหล็ก NdFeB เป็นหัวใจของมอเตอร์ใน HDD, พัดลม, และอุปกรณ์อุตสาหกรรม
    สารเรืองแสงจากแร่หายากใช้ในจอภาพเพื่อให้สีสดและความสว่างสูง
    การขัดเวเฟอร์ซิลิคอนเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิปและแผงวงจร
    การควบคุมแร่หายากเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตของจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-expands-rare-earth-export-controls
    🧲 “จีนขยายการควบคุมแร่หายาก — พีซี ฮาร์ดดิสก์ และจอภาพทั่วโลกอาจสะดุดจากนโยบายใหม่” จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth elements) โดยเพิ่มรายการแร่และเทคโนโลยีการแปรรูปเข้าไปในข้อจำกัดใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2025 โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” และจะไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเซมิคอนดักเตอร์ แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่มเติม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium รวมถึงความรู้ทางเทคนิคในการผลิตแม่เหล็กจากแร่เหล่านี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น HDD, พัดลมระบายความร้อน, และจอภาพ LED/LCD ที่ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ภายใต้กฎใหม่ บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน หากแม่เหล็กที่ผลิตมีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีน หรือใช้กระบวนการสกัดของจีน แม้จะเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อยก็ตาม ผลกระทบที่ชัดเจนคือ HDD ความจุสูงที่ใช้แม่เหล็ก NdFeB (neodymium-iron-boron) ซึ่งต้องผสมกับ dysprosium หรือ praseodymium เพื่อให้ทนความร้อนได้ดี หากการส่งออกถูกจำกัด อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการส่งมอบล่าช้า จอภาพก็ไม่รอด เพราะ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงที่ต้องอาศัย europium และ terbium ซึ่งอยู่ในรายการควบคุมใหม่เช่นกัน ส่วนกระบวนการขัดผิวเวเฟอร์ซิลิคอนที่ใช้ cerium oxide slurry ก็อาจได้รับผลกระทบหากจีนขยายข้อจำกัดไปถึงอุปกรณ์รีไซเคิลและแปรรูป Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพีซีและฮาร์ดแวร์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยมีผลในเดือนธันวาคม 20252 ➡️ แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่ม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium และเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็ก ➡️ บริษัทต่างชาติต้องขออนุญาตหากใช้แร่จากจีนหรือกระบวนการสกัดของจีน ➡️ HDD ใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ต้องผสม dysprosium หรือ praseodymium เพื่อทนความร้อน ➡️ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ซึ่งถูกควบคุม ➡️ Cerium oxide slurry ที่ใช้ขัดเวเฟอร์ซิลิคอนอาจถูกกระทบหากข้อจำกัดขยาย ➡️ Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากกว่า 70% และการแปรรูปกว่า 90% ของโลก ➡️ แม่เหล็ก NdFeB เป็นหัวใจของมอเตอร์ใน HDD, พัดลม, และอุปกรณ์อุตสาหกรรม ➡️ สารเรืองแสงจากแร่หายากใช้ในจอภาพเพื่อให้สีสดและความสว่างสูง ➡️ การขัดเวเฟอร์ซิลิคอนเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิปและแผงวงจร ➡️ การควบคุมแร่หายากเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตของจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-expands-rare-earth-export-controls
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เตือนภัย — กลุ่มแฮกเกอร์จากรัฐต่างชาติใช้ AI เป็นเครื่องมือโจมตีไซเบอร์แบบครบวงจร”

    รายงานล่าสุดจาก OpenAI ในเดือนตุลาคม 2025 ชื่อว่า “Disrupting Malicious Uses of AI” เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล: กลุ่มภัยคุกคามจากรัฐต่างชาติ เช่น รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน กำลังใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT และโมเดลอื่น ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการโจมตีไซเบอร์ การหลอกลวง และปฏิบัติการชักจูงทางข้อมูล (influence operations)

    OpenAI พบว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการโจมตี แต่ใช้ AI เพื่อทำให้กระบวนการเดิมเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น เช่น เขียนมัลแวร์ ปรับแต่งข้อความฟิชชิ่ง หรือจัดการเนื้อหาหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย โดยใช้ ChatGPT ในขั้นตอนวางแผนและใช้โมเดลอื่นในขั้นตอนปฏิบัติ

    ตัวอย่างที่พบ ได้แก่:

    กลุ่มรัสเซียใช้ ChatGPT เพื่อเขียนโค้ดสำหรับ remote-access tools และ credential stealers โดยหลบเลี่ยงข้อจำกัดของโมเดลด้วยการขอคำแนะนำทีละส่วน

    กลุ่มเกาหลีเหนือใช้ ChatGPT เพื่อ debug โค้ดและสร้างข้อความฟิชชิ่งเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี

    กลุ่มจีนใช้ ChatGPT เพื่อสร้างเนื้อหาฟิชชิ่งหลายภาษา และช่วย debug มัลแวร์ โดยมีเป้าหมายโจมตีสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    นอกจากนี้ยังพบการใช้ AI ในเครือข่ายหลอกลวงขนาดใหญ่ในประเทศกัมพูชา เมียนมา และไนจีเรีย เช่น ใช้ ChatGPT เพื่อแปลข้อความ สร้างโปรไฟล์บริษัทลงทุนปลอม และจัดการกลุ่มแชตปลอมใน WhatsApp

    ที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการสอดแนม โดยมีบัญชีที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนขอให้ ChatGPT ช่วยร่างข้อเสนอสำหรับระบบติดตามบุคคล เช่น “แบบจำลองเตือนภัยการเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์” โดยใช้ข้อมูลการเดินทางและตำรวจ

    OpenAI ยืนยันว่าโมเดลของตนตอบกลับเฉพาะข้อมูลสาธารณะ และได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ไปแล้วกว่า 40 เครือข่าย พร้อมร่วมมือกับ Microsoft Threat Intelligence เพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI เผยรายงาน “Disrupting Malicious Uses of AI” เดือนตุลาคม 2025
    พบการใช้ AI โดยกลุ่มภัยคุกคามจากรัฐ เช่น รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน
    ใช้ ChatGPT เพื่อวางแผนโจมตี เช่น เขียนโค้ดมัลแวร์และข้อความฟิชชิ่ง
    กลุ่มจีนใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาฟิชชิ่งหลายภาษาและ debug มัลแวร์
    กลุ่มรัสเซียใช้หลายบัญชี ChatGPT เพื่อสร้าง remote-access tools
    กลุ่มเกาหลีเหนือใช้ AI เพื่อพัฒนา VPN และ browser extensions
    เครือข่ายหลอกลวงในกัมพูชา เมียนมา และไนจีเรียใช้ AI เพื่อจัดการกลุ่มแชตปลอม
    พบการใช้ AI เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการสอดแนม เช่น ติดตามชาวอุยกูร์
    OpenAI ปิดบัญชีที่ละเมิดแล้วกว่า 40 เครือข่าย และร่วมมือกับ Microsoft

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WormGPT, FraudGPT และ SpamGPT เป็นโมเดล AI ที่ถูกใช้ในงานโจมตีโดยเฉพาะ
    MatrixPDF เป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนไฟล์ PDF ธรรมดาให้กลายเป็นมัลแวร์
    Influence operations คือการใช้ข้อมูลเพื่อชักจูงความคิดเห็นสาธารณะ
    “Stop News” และ “Nine emdash Line” เป็นแคมเปญที่ใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาโปรรัสเซียและวิจารณ์ประเทศในเอเชีย
    AI ถูกใช้ในการวางแผนโจมตีแบบ kill chain ตั้งแต่ reconnaissance ถึง execution

    https://hackread.com/openai-ai-tools-exploitation-threat-groups/
    🧠 “OpenAI เตือนภัย — กลุ่มแฮกเกอร์จากรัฐต่างชาติใช้ AI เป็นเครื่องมือโจมตีไซเบอร์แบบครบวงจร” รายงานล่าสุดจาก OpenAI ในเดือนตุลาคม 2025 ชื่อว่า “Disrupting Malicious Uses of AI” เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล: กลุ่มภัยคุกคามจากรัฐต่างชาติ เช่น รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน กำลังใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT และโมเดลอื่น ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการโจมตีไซเบอร์ การหลอกลวง และปฏิบัติการชักจูงทางข้อมูล (influence operations) OpenAI พบว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการโจมตี แต่ใช้ AI เพื่อทำให้กระบวนการเดิมเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น เช่น เขียนมัลแวร์ ปรับแต่งข้อความฟิชชิ่ง หรือจัดการเนื้อหาหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย โดยใช้ ChatGPT ในขั้นตอนวางแผนและใช้โมเดลอื่นในขั้นตอนปฏิบัติ ตัวอย่างที่พบ ได้แก่: 🔰 กลุ่มรัสเซียใช้ ChatGPT เพื่อเขียนโค้ดสำหรับ remote-access tools และ credential stealers โดยหลบเลี่ยงข้อจำกัดของโมเดลด้วยการขอคำแนะนำทีละส่วน 🔰 กลุ่มเกาหลีเหนือใช้ ChatGPT เพื่อ debug โค้ดและสร้างข้อความฟิชชิ่งเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี 🔰 กลุ่มจีนใช้ ChatGPT เพื่อสร้างเนื้อหาฟิชชิ่งหลายภาษา และช่วย debug มัลแวร์ โดยมีเป้าหมายโจมตีสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนี้ยังพบการใช้ AI ในเครือข่ายหลอกลวงขนาดใหญ่ในประเทศกัมพูชา เมียนมา และไนจีเรีย เช่น ใช้ ChatGPT เพื่อแปลข้อความ สร้างโปรไฟล์บริษัทลงทุนปลอม และจัดการกลุ่มแชตปลอมใน WhatsApp ที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการสอดแนม โดยมีบัญชีที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนขอให้ ChatGPT ช่วยร่างข้อเสนอสำหรับระบบติดตามบุคคล เช่น “แบบจำลองเตือนภัยการเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์” โดยใช้ข้อมูลการเดินทางและตำรวจ OpenAI ยืนยันว่าโมเดลของตนตอบกลับเฉพาะข้อมูลสาธารณะ และได้ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ไปแล้วกว่า 40 เครือข่าย พร้อมร่วมมือกับ Microsoft Threat Intelligence เพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI เผยรายงาน “Disrupting Malicious Uses of AI” เดือนตุลาคม 2025 ➡️ พบการใช้ AI โดยกลุ่มภัยคุกคามจากรัฐ เช่น รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน ➡️ ใช้ ChatGPT เพื่อวางแผนโจมตี เช่น เขียนโค้ดมัลแวร์และข้อความฟิชชิ่ง ➡️ กลุ่มจีนใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาฟิชชิ่งหลายภาษาและ debug มัลแวร์ ➡️ กลุ่มรัสเซียใช้หลายบัญชี ChatGPT เพื่อสร้าง remote-access tools ➡️ กลุ่มเกาหลีเหนือใช้ AI เพื่อพัฒนา VPN และ browser extensions ➡️ เครือข่ายหลอกลวงในกัมพูชา เมียนมา และไนจีเรียใช้ AI เพื่อจัดการกลุ่มแชตปลอม ➡️ พบการใช้ AI เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการสอดแนม เช่น ติดตามชาวอุยกูร์ ➡️ OpenAI ปิดบัญชีที่ละเมิดแล้วกว่า 40 เครือข่าย และร่วมมือกับ Microsoft ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WormGPT, FraudGPT และ SpamGPT เป็นโมเดล AI ที่ถูกใช้ในงานโจมตีโดยเฉพาะ ➡️ MatrixPDF เป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนไฟล์ PDF ธรรมดาให้กลายเป็นมัลแวร์ ➡️ Influence operations คือการใช้ข้อมูลเพื่อชักจูงความคิดเห็นสาธารณะ ➡️ “Stop News” และ “Nine emdash Line” เป็นแคมเปญที่ใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาโปรรัสเซียและวิจารณ์ประเทศในเอเชีย ➡️ AI ถูกใช้ในการวางแผนโจมตีแบบ kill chain ตั้งแต่ reconnaissance ถึง execution https://hackread.com/openai-ai-tools-exploitation-threat-groups/
    HACKREAD.COM
    OpenAI Finds Growing Exploitation of AI Tools by Foreign Threat Groups
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทั้งหมดเกิดจากวิถีปกครองของนักการเมืองบวกคนข้าราชการไทยทั้งระบบ ต่างคนต่างทำหน้าที่พะนะ อย่ามายุ่งเกี่ยวหน้าที่ข้าราชการกูนะ,มันจึงบรรลัยไง,ต่อมเอะเกิดคนข้าราชการต้องเชื่อมโยงจัดการสิ่งเป็นภัยบนบ้านบนเมืองตนร่วมกันได้ ยุ่งเกี่ยวกันได้หากฝ่ายข้าราชการนั้นมันบัดสบทัังระดับพื้นๆถึงระดับบัดสบรรุนแรง,กฎหมายมากมายเอื้ออำนวยคนต่างชาติเสียเกินเหตุ เต็มบ้านเต็มเมืองไทย หากจะยึดประเทศไทยมันรวมหัวกันได้เลย แบบไส้ศึกในอดีตที่มีคนอื่นในเมืองในกองทัพตนมากเกินไป,
    ..เราต้องคัดกรอกคนเข้าเมืองแล้ว ต้องมีวีซ่าระดับปลอดภัยจริง,ตาสีตาสา ฝรั่งต่างชาติคนคุณภาพต่ำก็สามารถเข้าประเทศไทยได้แบบนี้ใช้ไม่ได้,การตรวจสอบคุณภาพคนต่างประเทศเข้าเมืองไทยต้องคัดกรอกกันใหม่,โดยผลักดันออกจากประเทศไทยทั้งหมด สแกนคนเถื่อนคนต่างด้าวคนต่างถิ่นทุกๆตารางนิ้วทั่วไทย ใครให้ที่หลบซ่อนติดคุกไม่รอลงอาญาทันที,อย่างน้อย1อาทิตย์ห้ามประกันตัว,หากสืบส่วนพบว่าจงใจนำเข้าคนต่างด้าว จงใจฝ่าฝืนรัฐบาลสั่งการห้ามให้ที่พักพิงคนต่างชาติต่างด้าวกรณีนโยบายผลักดันทุกๆคนต่างถิ่นต่างชาติออกจากประเทศไทยทั้งหมดเพื่อเคลียร์ความมั่นคงทางด้านความปลอดภัยของคนไทยทุกๆมิติก่อนอย่างมีนัยยะสำคัญต่อบ้านเมืองเราในยุคสมัยเวลานี้,คนไทยต้องถูกปกป้องเต็มที่ก่อน,เรา..ประเทศไทยจะเหลือคนไทยเพรียวๆ หากเกินเหตุชั่วเลวใดๆอีกการกำจัดคนไทยที่มีสันดานใฝ่ชั่วเลวก็จะง่ายขึ้นไปอีก,ไร้มือที่สามต่างชาติต่างด้าวใดๆมาแทรกแซงนั้นเอง.
    ..เรา..ประเทศไทยต้องเด็ดขาดจริงๆ ยิ่งวัคซีนโควิดสามารถกระตุ้นจิตใจผู้คนให้ผิดปกติผ่านคลื่น5Gได้ด้วยผ่านนาโนบอทที่ฉีดเข้าไปร่วมิกับวัคซีนโควิด,ที่คนทั่วไปอาจเรียกว่าพวกโรคประสาท,แต่แท้จริง คนพวกนี้กำลังจะกลายพันธุ์เป็นซอมบี้แบบไม่รู้ตัว .แดกมนุษย์ด้วยกันเองแบบไม่รู้ตัวในช่วงแรก,เหมือนๆใครสั่งให้ทำประมาณนั้นที่มันๆแก้ตัวกัน,นี้ไม่รวมแก๊งค้ามนุษย์ค้าอวัยวะจริงๆโดยมาจากแก๊งสแกมเมอร์นี้ล่ะที่หลอกลวงเหยื่อมาทำงาน จากนั้นทรมาน ทำงานให้มัน ทั้งหลอกคนอื่นๆต่อไป บังคับค้ากาม เมื่อทั้งหมด หมดสภาพก็ฆ่าทิ้งชำแหละค้าอวัยวะมนุษย์ขายต่อไป,รัฐบาลไทยและอาเชียนทำห่าอะไรอยู่ ชาติอาเชียนทำไมกากขนาดนี้ ไม่ร่วมกันกำจัดสิ่งเหล่านี้จริงจัง รวมทั้งชาติเอเชียเราด้วย เหี้ยทั้งเอเชีย บ้าบอทำสงครามมหาอำนาจชาติหมามัน,เขมร พม่า ในเวลานี้คือแหล่งอาชญากรรมค้ามนุษย์สากลระดับโลก แต่เหี้ยไม่จัดการเด็ดหัวพวกนี้เลย, คนจีนชั่วเลวก็มากมาย,ไทยเราต้องส่งกลับคนจีนทุกๆหมดออกจากประเทศก่อนเช่นกัน เจาะจงเพราะวีระกรรมจีนชั่วจีนเทามันไง,คนจีนจะเข้าประเทศไทยได้ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน,หากกระทำผิดชั่วเลวใดๆ,รัฐบาลจีนต้องรับผิดชอบทั้งหมดที่ก่อเหตุชั่วในไทยเรา เป็นต้น นี้ต้องสแกนคุณภาพคนเข้าประเทศไทยแบบนี้ อย่างเป็นทางการ,เราปกครองผิดวิธีแล้วในตอนนี้.


    https://youtube.com/shorts/0VpGOC6JfjI?si=pw6BSbIuHlWGpFpf
    ทั้งหมดเกิดจากวิถีปกครองของนักการเมืองบวกคนข้าราชการไทยทั้งระบบ ต่างคนต่างทำหน้าที่พะนะ อย่ามายุ่งเกี่ยวหน้าที่ข้าราชการกูนะ,มันจึงบรรลัยไง,ต่อมเอะเกิดคนข้าราชการต้องเชื่อมโยงจัดการสิ่งเป็นภัยบนบ้านบนเมืองตนร่วมกันได้ ยุ่งเกี่ยวกันได้หากฝ่ายข้าราชการนั้นมันบัดสบทัังระดับพื้นๆถึงระดับบัดสบรรุนแรง,กฎหมายมากมายเอื้ออำนวยคนต่างชาติเสียเกินเหตุ เต็มบ้านเต็มเมืองไทย หากจะยึดประเทศไทยมันรวมหัวกันได้เลย แบบไส้ศึกในอดีตที่มีคนอื่นในเมืองในกองทัพตนมากเกินไป, ..เราต้องคัดกรอกคนเข้าเมืองแล้ว ต้องมีวีซ่าระดับปลอดภัยจริง,ตาสีตาสา ฝรั่งต่างชาติคนคุณภาพต่ำก็สามารถเข้าประเทศไทยได้แบบนี้ใช้ไม่ได้,การตรวจสอบคุณภาพคนต่างประเทศเข้าเมืองไทยต้องคัดกรอกกันใหม่,โดยผลักดันออกจากประเทศไทยทั้งหมด สแกนคนเถื่อนคนต่างด้าวคนต่างถิ่นทุกๆตารางนิ้วทั่วไทย ใครให้ที่หลบซ่อนติดคุกไม่รอลงอาญาทันที,อย่างน้อย1อาทิตย์ห้ามประกันตัว,หากสืบส่วนพบว่าจงใจนำเข้าคนต่างด้าว จงใจฝ่าฝืนรัฐบาลสั่งการห้ามให้ที่พักพิงคนต่างชาติต่างด้าวกรณีนโยบายผลักดันทุกๆคนต่างถิ่นต่างชาติออกจากประเทศไทยทั้งหมดเพื่อเคลียร์ความมั่นคงทางด้านความปลอดภัยของคนไทยทุกๆมิติก่อนอย่างมีนัยยะสำคัญต่อบ้านเมืองเราในยุคสมัยเวลานี้,คนไทยต้องถูกปกป้องเต็มที่ก่อน,เรา..ประเทศไทยจะเหลือคนไทยเพรียวๆ หากเกินเหตุชั่วเลวใดๆอีกการกำจัดคนไทยที่มีสันดานใฝ่ชั่วเลวก็จะง่ายขึ้นไปอีก,ไร้มือที่สามต่างชาติต่างด้าวใดๆมาแทรกแซงนั้นเอง. ..เรา..ประเทศไทยต้องเด็ดขาดจริงๆ ยิ่งวัคซีนโควิดสามารถกระตุ้นจิตใจผู้คนให้ผิดปกติผ่านคลื่น5Gได้ด้วยผ่านนาโนบอทที่ฉีดเข้าไปร่วมิกับวัคซีนโควิด,ที่คนทั่วไปอาจเรียกว่าพวกโรคประสาท,แต่แท้จริง คนพวกนี้กำลังจะกลายพันธุ์เป็นซอมบี้แบบไม่รู้ตัว .แดกมนุษย์ด้วยกันเองแบบไม่รู้ตัวในช่วงแรก,เหมือนๆใครสั่งให้ทำประมาณนั้นที่มันๆแก้ตัวกัน,นี้ไม่รวมแก๊งค้ามนุษย์ค้าอวัยวะจริงๆโดยมาจากแก๊งสแกมเมอร์นี้ล่ะที่หลอกลวงเหยื่อมาทำงาน จากนั้นทรมาน ทำงานให้มัน ทั้งหลอกคนอื่นๆต่อไป บังคับค้ากาม เมื่อทั้งหมด หมดสภาพก็ฆ่าทิ้งชำแหละค้าอวัยวะมนุษย์ขายต่อไป,รัฐบาลไทยและอาเชียนทำห่าอะไรอยู่ ชาติอาเชียนทำไมกากขนาดนี้ ไม่ร่วมกันกำจัดสิ่งเหล่านี้จริงจัง รวมทั้งชาติเอเชียเราด้วย เหี้ยทั้งเอเชีย บ้าบอทำสงครามมหาอำนาจชาติหมามัน,เขมร พม่า ในเวลานี้คือแหล่งอาชญากรรมค้ามนุษย์สากลระดับโลก แต่เหี้ยไม่จัดการเด็ดหัวพวกนี้เลย, คนจีนชั่วเลวก็มากมาย,ไทยเราต้องส่งกลับคนจีนทุกๆหมดออกจากประเทศก่อนเช่นกัน เจาะจงเพราะวีระกรรมจีนชั่วจีนเทามันไง,คนจีนจะเข้าประเทศไทยได้ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน,หากกระทำผิดชั่วเลวใดๆ,รัฐบาลจีนต้องรับผิดชอบทั้งหมดที่ก่อเหตุชั่วในไทยเรา เป็นต้น นี้ต้องสแกนคุณภาพคนเข้าประเทศไทยแบบนี้ อย่างเป็นทางการ,เราปกครองผิดวิธีแล้วในตอนนี้. https://youtube.com/shorts/0VpGOC6JfjI?si=pw6BSbIuHlWGpFpf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรก — ใช้พลังงานลดลง 90% พร้อมพลังงานหมุนเวียน 95%”

    ในยุคที่ AI และคลาวด์ต้องการพลังงานมหาศาล ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่กินไฟมากที่สุดแห่งหนึ่ง ล่าสุดบริษัท Highlander จากจีนได้เปิดตัวโครงการศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก บริเวณชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2025

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — Microsoft เคยทดลองวางเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำที่สกอตแลนด์ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์ ส่วนจีนเริ่มโครงการแรกที่เกาะไหหลำในปี 2022 และยังดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน

    ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำของ Highlander ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล และเชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา โดยใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง ทำให้กว่า 95% ของพลังงานทั้งหมดมาจากแหล่งหมุนเวียน

    ข้อได้เปรียบหลักคือการใช้กระแสน้ำทะเลในการระบายความร้อน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลบนบกที่ต้องใช้ระบบปรับอากาศหรือการระเหยน้ำ

    ลูกค้ารายแรกของโครงการนี้คือ China Telecom และบริษัทคอมพิวติ้ง AI ของรัฐ โดยรัฐบาลจีนสนับสนุนโครงการนี้ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 40 ล้านหยวนในโครงการที่ไหหลำ และมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing” เพื่อกระจายการประมวลผลทั่วประเทศ

    อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลเตือนว่า การปล่อยความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำอาจส่งผลต่อระบบนิเวศ เช่น ดึงดูดหรือผลักไสสัตว์น้ำบางชนิด และยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การโจมตีด้วยคลื่นเสียงผ่านน้ำ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาครอบคลุมในระดับมหภาค

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Highlander เปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกที่เซี่ยงไฮ้
    ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล
    เชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา
    ใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง โดยกว่า 95% มาจากแหล่งหมุนเวียน
    ลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90%
    ลูกค้ารายแรกคือ China Telecom และบริษัท AI ของรัฐ
    โครงการได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนกว่า 40 ล้านหยวน
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing”
    Microsoft เคยทดลองแนวคิดนี้ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำช่วยลดการใช้พื้นที่บนบกและมีความเสถียรด้านอุณหภูมิ
    การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของอุตสาหกรรมดิจิทัล
    การวางเซิร์ฟเวอร์ใกล้ชายฝั่งช่วยลด latency ในการให้บริการ
    Microsoft พบว่าเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำมีอัตราความเสียหายน้อยกว่าบนบก
    การออกแบบแคปซูลต้องคำนึงถึงแรงดันน้ำ ความเค็ม และการสั่นสะเทือน

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-to-launch-commercial-underwater-data-center-facility-expected-to-consume-90-percent-less-power-for-cooling
    🌊 “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรก — ใช้พลังงานลดลง 90% พร้อมพลังงานหมุนเวียน 95%” ในยุคที่ AI และคลาวด์ต้องการพลังงานมหาศาล ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่กินไฟมากที่สุดแห่งหนึ่ง ล่าสุดบริษัท Highlander จากจีนได้เปิดตัวโครงการศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก บริเวณชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2025 แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — Microsoft เคยทดลองวางเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำที่สกอตแลนด์ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์ ส่วนจีนเริ่มโครงการแรกที่เกาะไหหลำในปี 2022 และยังดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำของ Highlander ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล และเชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา โดยใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง ทำให้กว่า 95% ของพลังงานทั้งหมดมาจากแหล่งหมุนเวียน ข้อได้เปรียบหลักคือการใช้กระแสน้ำทะเลในการระบายความร้อน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลบนบกที่ต้องใช้ระบบปรับอากาศหรือการระเหยน้ำ ลูกค้ารายแรกของโครงการนี้คือ China Telecom และบริษัทคอมพิวติ้ง AI ของรัฐ โดยรัฐบาลจีนสนับสนุนโครงการนี้ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 40 ล้านหยวนในโครงการที่ไหหลำ และมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing” เพื่อกระจายการประมวลผลทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลเตือนว่า การปล่อยความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำอาจส่งผลต่อระบบนิเวศ เช่น ดึงดูดหรือผลักไสสัตว์น้ำบางชนิด และยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การโจมตีด้วยคลื่นเสียงผ่านน้ำ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาครอบคลุมในระดับมหภาค ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Highlander เปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกที่เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล ➡️ เชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา ➡️ ใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง โดยกว่า 95% มาจากแหล่งหมุนเวียน ➡️ ลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ารายแรกคือ China Telecom และบริษัท AI ของรัฐ ➡️ โครงการได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนกว่า 40 ล้านหยวน ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing” ➡️ Microsoft เคยทดลองแนวคิดนี้ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำช่วยลดการใช้พื้นที่บนบกและมีความเสถียรด้านอุณหภูมิ ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของอุตสาหกรรมดิจิทัล ➡️ การวางเซิร์ฟเวอร์ใกล้ชายฝั่งช่วยลด latency ในการให้บริการ ➡️ Microsoft พบว่าเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำมีอัตราความเสียหายน้อยกว่าบนบก ➡️ การออกแบบแคปซูลต้องคำนึงถึงแรงดันน้ำ ความเค็ม และการสั่นสะเทือน https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-to-launch-commercial-underwater-data-center-facility-expected-to-consume-90-percent-less-power-for-cooling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI สหรัฐฯ ทิ้งห่างจีน — ผลทดสอบ 19 ด้านชี้ชัด DeepSeek ยังตามหลัง OpenAI และ Anthropic แบบไม่เห็นฝุ่น”

    สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก หลังจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) เผยผลการทดสอบเปรียบเทียบโมเดล AI ระหว่างฝั่งอเมริกันและจีน โดยโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic เอาชนะ DeepSeek จากจีนในทุกหมวดหมู่ รวม 19 ด้าน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป การเขียนโปรแกรม ไปจนถึงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ hijack และ jailbreak

    รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump สำหรับ “AI Action Plan” ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานด้าน AI จนทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำในด้านนี้ พร้อมเตือนว่า “การพึ่งพา AI จากประเทศคู่แข่งคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ”

    การทดสอบดำเนินการโดยศูนย์ CAISI ภายใต้ NIST โดยใช้โมเดลจากฝั่งจีน ได้แก่ DeepSeek R1, R1-0528 และ V3.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5, GPT-5-mini, GPT-oss จาก OpenAI และ Opus 4 จาก Anthropic ผลปรากฏว่าโมเดลสหรัฐฯ ทำคะแนนสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้าน cybersecurity และ software engineering ที่โมเดลสหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% และยังมีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35%

    ที่น่ากังวลคือ DeepSeek มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูงมาก — โมเดล R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูกโจมตีด้วยเทคนิค jailbreak ในขณะที่โมเดลสหรัฐฯ ตอบสนองเพียง 8% นอกจากนี้ยังพบว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า และมีความลำเอียงทางการเมือง โดยหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน และมักตอบสนองตามแนวทางรัฐบาลจีน

    แม้ DeepSeek จะออกโมเดลใหม่ V3.2 แล้วในสัปดาห์เดียวกัน แต่ CAISI เตือนว่า “การใช้งานโมเดลเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้พัฒนาแอป ผู้บริโภค และความมั่นคงของสหรัฐฯ”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NIST ทดสอบโมเดล AI จากสหรัฐฯ และจีนรวม 19 หมวดหมู่
    โมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ชนะ DeepSeek ทุกด้าน
    ด้าน software engineering และ cybersecurity สหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80%
    โมเดลสหรัฐฯ มีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35%
    DeepSeek R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูก jailbreak
    โมเดลจีนถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า
    พบการเซ็นเซอร์เนื้อหาและความลำเอียงทางการเมืองใน DeepSeek
    CAISI เตือนว่าการใช้โมเดลจีนอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง
    รัฐมนตรี Lutnick ขอบคุณ Trump สำหรับ AI Action Plan ที่ผลักดันการพัฒนา AI สหรัฐฯ
    DeepSeek มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1,000% ตั้งแต่ต้นปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    jailbreak คือเทคนิคที่ใช้หลอกให้ AI ทำสิ่งที่ขัดกับข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    hijack agent คือการควบคุม AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล
    CAISI เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ NIST ที่ดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของ AI
    GPT-5 และ Opus 4 เป็นโมเดลระดับสูงที่ใช้ในงานวิจัยและองค์กรขนาดใหญ่
    การเซ็นเซอร์ใน AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-commerce-sec-lutnick-says-american-ai-dominates-deepseek-thanks-trump-for-ai-action-plan-openai-and-anthropic-beat-chinese-models-across-19-different-benchmarks
    🇺🇸🤖 “AI สหรัฐฯ ทิ้งห่างจีน — ผลทดสอบ 19 ด้านชี้ชัด DeepSeek ยังตามหลัง OpenAI และ Anthropic แบบไม่เห็นฝุ่น” สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก หลังจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) เผยผลการทดสอบเปรียบเทียบโมเดล AI ระหว่างฝั่งอเมริกันและจีน โดยโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic เอาชนะ DeepSeek จากจีนในทุกหมวดหมู่ รวม 19 ด้าน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป การเขียนโปรแกรม ไปจนถึงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ hijack และ jailbreak รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump สำหรับ “AI Action Plan” ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานด้าน AI จนทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำในด้านนี้ พร้อมเตือนว่า “การพึ่งพา AI จากประเทศคู่แข่งคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ” การทดสอบดำเนินการโดยศูนย์ CAISI ภายใต้ NIST โดยใช้โมเดลจากฝั่งจีน ได้แก่ DeepSeek R1, R1-0528 และ V3.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5, GPT-5-mini, GPT-oss จาก OpenAI และ Opus 4 จาก Anthropic ผลปรากฏว่าโมเดลสหรัฐฯ ทำคะแนนสูงกว่าทุกด้าน โดยเฉพาะงานด้าน cybersecurity และ software engineering ที่โมเดลสหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% และยังมีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35% ที่น่ากังวลคือ DeepSeek มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูงมาก — โมเดล R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูกโจมตีด้วยเทคนิค jailbreak ในขณะที่โมเดลสหรัฐฯ ตอบสนองเพียง 8% นอกจากนี้ยังพบว่า DeepSeek มีแนวโน้มถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า และมีความลำเอียงทางการเมือง โดยหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน และมักตอบสนองตามแนวทางรัฐบาลจีน แม้ DeepSeek จะออกโมเดลใหม่ V3.2 แล้วในสัปดาห์เดียวกัน แต่ CAISI เตือนว่า “การใช้งานโมเดลเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้พัฒนาแอป ผู้บริโภค และความมั่นคงของสหรัฐฯ” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NIST ทดสอบโมเดล AI จากสหรัฐฯ และจีนรวม 19 หมวดหมู่ ➡️ โมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ชนะ DeepSeek ทุกด้าน ➡️ ด้าน software engineering และ cybersecurity สหรัฐฯ ทำได้ดีกว่า 20–80% ➡️ โมเดลสหรัฐฯ มีต้นทุนการใช้งานต่ำกว่าถึง 35% ➡️ DeepSeek R1-0528 ตอบสนองต่อคำสั่งอันตรายถึง 94% เมื่อถูก jailbreak ➡️ โมเดลจีนถูก hijack ได้ง่ายกว่า 12 เท่า ➡️ พบการเซ็นเซอร์เนื้อหาและความลำเอียงทางการเมืองใน DeepSeek ➡️ CAISI เตือนว่าการใช้โมเดลจีนอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง ➡️ รัฐมนตรี Lutnick ขอบคุณ Trump สำหรับ AI Action Plan ที่ผลักดันการพัฒนา AI สหรัฐฯ ➡️ DeepSeek มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 1,000% ตั้งแต่ต้นปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ jailbreak คือเทคนิคที่ใช้หลอกให้ AI ทำสิ่งที่ขัดกับข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ➡️ hijack agent คือการควบคุม AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล ➡️ CAISI เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ NIST ที่ดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของ AI ➡️ GPT-5 และ Opus 4 เป็นโมเดลระดับสูงที่ใช้ในงานวิจัยและองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ การเซ็นเซอร์ใน AI อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-commerce-sec-lutnick-says-american-ai-dominates-deepseek-thanks-trump-for-ai-action-plan-openai-and-anthropic-beat-chinese-models-across-19-different-benchmarks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 6 – จมูกคนอื่น
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 6 “จมูกคนอื่น”
    เมื่อตุรกีออกประกาศเชิญชวนให้บรรดา พวกนักสร้างระบบเครื่องมือรบ ให้มายื่นประมูลเครื่องมือป้องกันตนเอง ที่เรียกว่า Long Range Air and Missle Defense System ใครจะยิงจรวดแบบไหน มาจากทางไหน เครื่องมือนี้จับได้ทำลายหมด ตุรกีบอกฉันควรมีของใช้ส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ตะบี้ตะบันไปตลอดชาติ ถ้ามันจมูกบี้ไป แล้วตูจะหายใจยังไงวะ เออ ! อันนี้มีเหตุผล ฟังขึ้น แม้ดูจะออกลูกกะล่อนนิด ๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
    โครงการนี้ยาวนาน ตุรกีคิดมานานแล้ว และทำอย่างเปิดเผย ตอนแรกอเมริกา NATO และ EU ต่างก็หน้างอ ทำไมตุรกีไม่ปรึกษา ทำไมตุรกีไม่ขออนุญาต ตุรกีบอกขอโทษ ตุรกีคิดว่ายังมีอธิปไตยเหนือบ้านเมืองตนเองอยู่นะ แม้กระผมจะยอมนายท่านไปหลายเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องหายใจด้วยจมูกของผม นี่มันเรื่องส่วนตัวจริง ๆ
    หลังจากสุมหัวคิดกันดูแล้ว อเมริกาและ EU ก็บอกว่าเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราก็ยื่นประมูลสร้างไอ้เครื่องป้องกันบ้าบอนี้เข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปบีบคอมันให้มันเลือกเรา มันจะยากเย็นอะไร
    ตุรกีออกประกาศเชิญชวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เกือบ 4 ปีแล้ว พิจารณาอะไร มันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น มันควรจะประกาศได้แล้วว่าใครชนะประมูล- แต่ตุรกีก็ไม่ประกาศ อะไรมันปิดปากค้ำคออยู่ หรือตุรกีรอดูอะไร หรือตุรกีกำลังเล่นบท “ตุรกี” ให้ดูอยู่
    ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับ เรื่องกระทืบซีเรีย เรื่องเส้นทางเดินท่อแก๊ส เรื่องการเลือกตั้ง เรื่องคอรับชั่นในประเทศ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ตุรกีกลับใช้ช่วงเวลานั้นประกาศเสียงเรียบ ๆ ว่า ขณะนี้เราได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เบื้องต้นผู้ที่เราน่าจะเลือกให้มาทำเครื่องหายใจของเราเอง น่าจะเป็นบริษัทของประเทศจีน !
    เขาว่าวันนั้น ขนาดเสียงจิ้งจกไต่ผ่านเพดานห้องทำงานรูปไข่ของนาย Obama (หมายถึง Oval Room ครับ ลุงนิทานไม่ได้ทะลึ่ง) ทหารรักษาการณ์ข้างนอกประตูหน้า White House ยังได้ยินเลย ทุกอย่างเงียบสงบ ลมไม่กล้าพัด เจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ เกรงว่าแม้ลมหายใจ ก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือนได้ อาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะที่ White House หรอก เขาว่าห้องทำงานของท่านนายพลใหญ่ หัวหน้าใหญ่ของ NATO ก็เป็นเหมือนกัน
    ในคำแถลงของตุรกีบอกว่า จีนโดยบริษัท CPMIEC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ยินดีที่จะรับเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมือ ที่เรียกว่า Long Range Air and Missile Defense System (T-LORAMIDS) ตามคำเชิญชวนของตุรกี เมื่อ ค.ศ. 2009 ที่ให้บุคคลภายนอกเสนอการทำงานแบบ off-the-shelf vesion ของ (T-LORAMIDS) ในระบบที่สามารถเข้ากับอุปกรณ์การทำงานทั้งปวงของตุรกีได้ ในราคาประมาณ 3.4 พันล้านเหรียญ (เท่านั้นเอง) เป็นการสร้างจมูกส่วนตัวของตุรกี ที่ว่าไปแล้วในราคาไม่แพงเลย ฮา
    นาย Murad Bayer เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การจัดซื้อจัดจ้างของตุรกี แถลงเพิ่มเติมว่าข้อเสนอของ CPMIEC ดีกว่าผู้เข้าแข่งประมูลทั้งหมด รวมทั้ง Raytheon/Lockheed-Martin ของอเมริกา กลุ่ม Italian/French และของรัสเซีย นาย Bayer บอกว่า เขาจะเจรจารายละเอียดขั้นสุดท้ายและสรุปผลกับ CPMIEC ให้เสร็จสิ้นก่อนครั้งแรกของปี ค.ศ. 2014
    จิ้งจกแมงสาบเริ่มออกเดินต่อ หลังจากตัวชากันไปพักใหญ่ วุฒิสมาชิกอเมริกัน ส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2013 ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry และรัฐมนตรีกลาโหม Chuck Hagel ดำเนินการทุกวิถีทาง ทางการฑูต เพื่อกดดันไม่ให้ตุรกีตกลงกับ CPMIEC ทำจมูกให้ตุรกี และแจ้ง NATO ถึงจุดยืนของอเมริกาว่า ต้องยืนยันว่าระบบที่ CPMIEC ทำนั้น ไม่มีวันจะใช้ร่วมกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้นของ NATO ได้ และดูว่าจมูกที่จีนเสนอมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมพวกเราถึงสร้างจมูกอย่างเขาไม่ได้ ทำไม่ตุรกีไม่ชอบจมูกฝรั่ง แต่ไปชอบจมูกจีน ! ไปหาคำตอบกันมาให้ได้
    4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังทูตอเมริกา ประจำตุรกี ว่าในกรณีที่ตุรกียังยืนยันจะใช้จมูกจีน แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของจีนจะต้องมาเดินขวักไขว่ เข้านอกออกในอยู่ในทุกสถานที่และองค์กรต่าง ๆ ของตุรกี ในด้านความมั่นคงจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร
    นอกจากการเข้ากันไม่ได้ของระบบที่จีนจะทำ กับระบบของอเมริกาและ NATO แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่จีนจะเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบของตุรกี ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับอเมริกาและ NATO ได้อีกด้วย จีนบอก อั๊วทำจมูกให้ตุรกี แต่อั๊วได้กลิ่นอเมริกา กับยุโรปหมดเลย ฮ่า ฮ่า เอิ้ก
    คำถามสำคัญที่ทุกคนคิดในใจดัง ๆ คือ ตุรกีกำลังคิดอะไร อเมริกาลงทุนกับตุรกีไปขนาดไหน ตุรกีย่อมรู้อยู่แก่ใจ และตุรกีก็คงตอบอยู่ในใจเช่นกันว่า อเมริกาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน ว่าตุรกีทำอะไร เพื่ออเมริกาบ้าง
    นับเป็นโจทก์ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ตุรกีทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นว่าตุรกีนั้น เป็นสมาชิกของ NATOแต่จะใช้จีน ซึ่งอยู่นอก NATO มาสร้างระบบที่เชื่อมถึง NATO ได้ และที่สำคัญ CPMIEC เป็นบริษัทที่อยู่ในข่ายการคว่ำ บาตรของอเมริกา ตามกฎหมาย Iran, North Korea and Syria Nonproliferation Act (P.L 106-178 as amended) ตุรกีสมกับเป็นลูกครึ่ง ลูกกลม ลูกกลิ้ง จริง ๆ เอ๊ะ ! หรือนี่คือบทของ นกสองหัว !
    อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Gul ได้ออกมาแถลงว่า เรื่องทำจมูกโดยจีนนี้ ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปนะ เราเพียงแค่คัดรายชื่อผู้เสนอทำงานให้เหลือน้อยลง เรารู้ดีเรื่องความเป็นห่วงของ NATO เรารู้ดีเรื่องการเป็นคู่แข่งกันระหว่างตะวันตกกับจีน เราก็เป็น 1 ใน NATO นะ เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ก่อน
    ในรายงานของ CRS ฉบับวันที่ 27 มี.ค ค.ศ. 2014 ได้มีพูดถึงเรื่องการทำจมูกตุรกี โดยจีนนี้ อย่างยืดยาว ตอนหนึ่งในรายงานระบุว่า แม้แต่ทางกองทัพของตุรกีเอง ก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าจะได้จมูกเก่าที่ใช้แล้ว และไม่เหมาะที่จะนำไปสู่รบกับอะไร ได้ “second – hand, not battle-tested and cheap Chinese missiles” อืม เจ็บมากนะ เด็ก ๆ ของอาเฮียอ่านแล้ว แจ้งให้เจ้านายทราบด้วย
    แล้วประมาณกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 รัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งครอบครัว และนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Erdogan รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา ถูกจับข้อหารับสินบน จากนั้นการเมืองภายในประเทศของตุรกีก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ตัวนายกรัฐมนตรี Erdogan เอง ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการโกง สื่อตีข่าวทุกวัน ขนาดมีการปล่อยเสียงการคุยกันระหว่าง นาย Erdogan กับลูกชาย ชื่อ Bilal ถึงการโอนเงินจำนวนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามอง
    นาย Erdogan ให้ข่าวว่า ข้อกล่าวหาตัวเขาและลูกชาย เกี่ยวกับเรื่องการโกงนี้ เป็นการกำกับและจัดฉากของนาย Fethullah Gulen ซึ่งสมคบและเลี้ยงดูโดยอเมริกา สนุกจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนิยายรักแล้ว แต่เป็นนิยายชีวิต เข้ม ข้น โหด มัน ฮา (ยังไม่รู้ใครจะได้ฮา)
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 6 – จมูกคนอื่น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 6 “จมูกคนอื่น” เมื่อตุรกีออกประกาศเชิญชวนให้บรรดา พวกนักสร้างระบบเครื่องมือรบ ให้มายื่นประมูลเครื่องมือป้องกันตนเอง ที่เรียกว่า Long Range Air and Missle Defense System ใครจะยิงจรวดแบบไหน มาจากทางไหน เครื่องมือนี้จับได้ทำลายหมด ตุรกีบอกฉันควรมีของใช้ส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ตะบี้ตะบันไปตลอดชาติ ถ้ามันจมูกบี้ไป แล้วตูจะหายใจยังไงวะ เออ ! อันนี้มีเหตุผล ฟังขึ้น แม้ดูจะออกลูกกะล่อนนิด ๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ โครงการนี้ยาวนาน ตุรกีคิดมานานแล้ว และทำอย่างเปิดเผย ตอนแรกอเมริกา NATO และ EU ต่างก็หน้างอ ทำไมตุรกีไม่ปรึกษา ทำไมตุรกีไม่ขออนุญาต ตุรกีบอกขอโทษ ตุรกีคิดว่ายังมีอธิปไตยเหนือบ้านเมืองตนเองอยู่นะ แม้กระผมจะยอมนายท่านไปหลายเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องหายใจด้วยจมูกของผม นี่มันเรื่องส่วนตัวจริง ๆ หลังจากสุมหัวคิดกันดูแล้ว อเมริกาและ EU ก็บอกว่าเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราก็ยื่นประมูลสร้างไอ้เครื่องป้องกันบ้าบอนี้เข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปบีบคอมันให้มันเลือกเรา มันจะยากเย็นอะไร ตุรกีออกประกาศเชิญชวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เกือบ 4 ปีแล้ว พิจารณาอะไร มันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น มันควรจะประกาศได้แล้วว่าใครชนะประมูล- แต่ตุรกีก็ไม่ประกาศ อะไรมันปิดปากค้ำคออยู่ หรือตุรกีรอดูอะไร หรือตุรกีกำลังเล่นบท “ตุรกี” ให้ดูอยู่ ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับ เรื่องกระทืบซีเรีย เรื่องเส้นทางเดินท่อแก๊ส เรื่องการเลือกตั้ง เรื่องคอรับชั่นในประเทศ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ตุรกีกลับใช้ช่วงเวลานั้นประกาศเสียงเรียบ ๆ ว่า ขณะนี้เราได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เบื้องต้นผู้ที่เราน่าจะเลือกให้มาทำเครื่องหายใจของเราเอง น่าจะเป็นบริษัทของประเทศจีน ! เขาว่าวันนั้น ขนาดเสียงจิ้งจกไต่ผ่านเพดานห้องทำงานรูปไข่ของนาย Obama (หมายถึง Oval Room ครับ ลุงนิทานไม่ได้ทะลึ่ง) ทหารรักษาการณ์ข้างนอกประตูหน้า White House ยังได้ยินเลย ทุกอย่างเงียบสงบ ลมไม่กล้าพัด เจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ เกรงว่าแม้ลมหายใจ ก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือนได้ อาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะที่ White House หรอก เขาว่าห้องทำงานของท่านนายพลใหญ่ หัวหน้าใหญ่ของ NATO ก็เป็นเหมือนกัน ในคำแถลงของตุรกีบอกว่า จีนโดยบริษัท CPMIEC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ยินดีที่จะรับเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมือ ที่เรียกว่า Long Range Air and Missile Defense System (T-LORAMIDS) ตามคำเชิญชวนของตุรกี เมื่อ ค.ศ. 2009 ที่ให้บุคคลภายนอกเสนอการทำงานแบบ off-the-shelf vesion ของ (T-LORAMIDS) ในระบบที่สามารถเข้ากับอุปกรณ์การทำงานทั้งปวงของตุรกีได้ ในราคาประมาณ 3.4 พันล้านเหรียญ (เท่านั้นเอง) เป็นการสร้างจมูกส่วนตัวของตุรกี ที่ว่าไปแล้วในราคาไม่แพงเลย ฮา นาย Murad Bayer เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การจัดซื้อจัดจ้างของตุรกี แถลงเพิ่มเติมว่าข้อเสนอของ CPMIEC ดีกว่าผู้เข้าแข่งประมูลทั้งหมด รวมทั้ง Raytheon/Lockheed-Martin ของอเมริกา กลุ่ม Italian/French และของรัสเซีย นาย Bayer บอกว่า เขาจะเจรจารายละเอียดขั้นสุดท้ายและสรุปผลกับ CPMIEC ให้เสร็จสิ้นก่อนครั้งแรกของปี ค.ศ. 2014 จิ้งจกแมงสาบเริ่มออกเดินต่อ หลังจากตัวชากันไปพักใหญ่ วุฒิสมาชิกอเมริกัน ส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2013 ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry และรัฐมนตรีกลาโหม Chuck Hagel ดำเนินการทุกวิถีทาง ทางการฑูต เพื่อกดดันไม่ให้ตุรกีตกลงกับ CPMIEC ทำจมูกให้ตุรกี และแจ้ง NATO ถึงจุดยืนของอเมริกาว่า ต้องยืนยันว่าระบบที่ CPMIEC ทำนั้น ไม่มีวันจะใช้ร่วมกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้นของ NATO ได้ และดูว่าจมูกที่จีนเสนอมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมพวกเราถึงสร้างจมูกอย่างเขาไม่ได้ ทำไม่ตุรกีไม่ชอบจมูกฝรั่ง แต่ไปชอบจมูกจีน ! ไปหาคำตอบกันมาให้ได้ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังทูตอเมริกา ประจำตุรกี ว่าในกรณีที่ตุรกียังยืนยันจะใช้จมูกจีน แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของจีนจะต้องมาเดินขวักไขว่ เข้านอกออกในอยู่ในทุกสถานที่และองค์กรต่าง ๆ ของตุรกี ในด้านความมั่นคงจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร นอกจากการเข้ากันไม่ได้ของระบบที่จีนจะทำ กับระบบของอเมริกาและ NATO แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่จีนจะเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบของตุรกี ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับอเมริกาและ NATO ได้อีกด้วย จีนบอก อั๊วทำจมูกให้ตุรกี แต่อั๊วได้กลิ่นอเมริกา กับยุโรปหมดเลย ฮ่า ฮ่า เอิ้ก คำถามสำคัญที่ทุกคนคิดในใจดัง ๆ คือ ตุรกีกำลังคิดอะไร อเมริกาลงทุนกับตุรกีไปขนาดไหน ตุรกีย่อมรู้อยู่แก่ใจ และตุรกีก็คงตอบอยู่ในใจเช่นกันว่า อเมริกาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน ว่าตุรกีทำอะไร เพื่ออเมริกาบ้าง นับเป็นโจทก์ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ตุรกีทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นว่าตุรกีนั้น เป็นสมาชิกของ NATOแต่จะใช้จีน ซึ่งอยู่นอก NATO มาสร้างระบบที่เชื่อมถึง NATO ได้ และที่สำคัญ CPMIEC เป็นบริษัทที่อยู่ในข่ายการคว่ำ บาตรของอเมริกา ตามกฎหมาย Iran, North Korea and Syria Nonproliferation Act (P.L 106-178 as amended) ตุรกีสมกับเป็นลูกครึ่ง ลูกกลม ลูกกลิ้ง จริง ๆ เอ๊ะ ! หรือนี่คือบทของ นกสองหัว ! อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Gul ได้ออกมาแถลงว่า เรื่องทำจมูกโดยจีนนี้ ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปนะ เราเพียงแค่คัดรายชื่อผู้เสนอทำงานให้เหลือน้อยลง เรารู้ดีเรื่องความเป็นห่วงของ NATO เรารู้ดีเรื่องการเป็นคู่แข่งกันระหว่างตะวันตกกับจีน เราก็เป็น 1 ใน NATO นะ เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ก่อน ในรายงานของ CRS ฉบับวันที่ 27 มี.ค ค.ศ. 2014 ได้มีพูดถึงเรื่องการทำจมูกตุรกี โดยจีนนี้ อย่างยืดยาว ตอนหนึ่งในรายงานระบุว่า แม้แต่ทางกองทัพของตุรกีเอง ก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าจะได้จมูกเก่าที่ใช้แล้ว และไม่เหมาะที่จะนำไปสู่รบกับอะไร ได้ “second – hand, not battle-tested and cheap Chinese missiles” อืม เจ็บมากนะ เด็ก ๆ ของอาเฮียอ่านแล้ว แจ้งให้เจ้านายทราบด้วย แล้วประมาณกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 รัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งครอบครัว และนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Erdogan รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา ถูกจับข้อหารับสินบน จากนั้นการเมืองภายในประเทศของตุรกีก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ตัวนายกรัฐมนตรี Erdogan เอง ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการโกง สื่อตีข่าวทุกวัน ขนาดมีการปล่อยเสียงการคุยกันระหว่าง นาย Erdogan กับลูกชาย ชื่อ Bilal ถึงการโอนเงินจำนวนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามอง นาย Erdogan ให้ข่าวว่า ข้อกล่าวหาตัวเขาและลูกชาย เกี่ยวกับเรื่องการโกงนี้ เป็นการกำกับและจัดฉากของนาย Fethullah Gulen ซึ่งสมคบและเลี้ยงดูโดยอเมริกา สนุกจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนิยายรักแล้ว แต่เป็นนิยายชีวิต เข้ม ข้น โหด มัน ฮา (ยังไม่รู้ใครจะได้ฮา) สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Alibaba จับมือ NVIDIA สวนกระแสคำสั่งปักกิ่ง — เดินเกม AI ระดับโลก แม้ถูกห้ามซื้อชิป”

    แม้รัฐบาลจีนจะออกคำสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Alibaba และ ByteDance ซื้อชิป AI จาก NVIDIA โดยเฉพาะรุ่น H20 และ RTX Pro 6000D ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่ Alibaba กลับประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อขยายศูนย์ข้อมูลและพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกอย่างเต็มตัว

    ความร่วมมือครั้งนี้เน้นการใช้ซอฟต์แวร์ NVIDIA Physical AI stack บนแพลตฟอร์ม PAI (Platform for AI) ของ Alibaba Cloud ซึ่งอาจไม่เข้าข่ายละเมิดคำสั่งห้ามซื้อฮาร์ดแวร์โดยตรง เพราะเป็นการใช้ซอฟต์แวร์ ไม่ใช่การซื้อชิปโดยตรง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่า Alibaba จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในโครงการใหม่หรือไม่

    Alibaba ยังเปิดเผยแผนการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในหลายประเทศ เช่น บราซิล ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และดูไบ ภายในปีหน้า เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย CEO Eddie Wu ระบุว่า “ความเร็วของการเติบโตในอุตสาหกรรม AI เกินความคาดหมายของเราไปมาก”

    แม้ Alibaba จะมีชิป AI ของตัวเอง และพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายประสิทธิภาพสูงที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี interconnect ของ NVIDIA แต่การจับมือกันครั้งนี้สะท้อนว่า Alibaba ยังเห็นคุณค่าในซอฟต์แวร์และระบบของ NVIDIA ที่สามารถเร่งการพัฒนา AI ได้ในระดับโลก

    นักวิเคราะห์มองว่า หากดีลนี้เดินหน้าได้โดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาลจีนหรือสหรัฐฯ จะเป็นการเปิดทางให้ NVIDIA ยังคงมีบทบาทในตลาดจีนผ่านช่องทางซอฟต์แวร์ และช่วยให้ Alibaba ขยายอิทธิพลด้าน AI ไปทั่วโลก แม้จะถูกจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ภายในประเทศ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alibaba ประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อขยายศูนย์ข้อมูลและพัฒนาแพลตฟอร์ม AI
    ใช้ NVIDIA Physical AI stack บนแพลตฟอร์ม PAI ของ Alibaba Cloud
    ยังไม่มีการยืนยันว่าจะใช้ GPU ของ NVIDIA ในโครงการใหม่หรือไม่
    รัฐบาลจีนห้ามบริษัทเทคโนโลยีซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D จาก NVIDIA
    Alibaba มีชิป AI ของตัวเอง และระบบเครือข่ายที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีของ NVIDIA
    แผนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 8 ประเทศภายในปีหน้า
    CEO Eddie Wu ระบุว่าอุตสาหกรรม AI เติบโตเร็วกว่าที่คาด
    ความร่วมมือครั้งนี้อาจช่วยให้ NVIDIA ยังคงมีบทบาทในตลาดจีนผ่านซอฟต์แวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คำสั่งห้ามของจีนออกโดย Cyberspace Administration of China เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ
    NVIDIA เคยออกแบบชิปรุ่นพิเศษสำหรับจีนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากสหรัฐฯ
    Alibaba และ Baidu มีการพัฒนาชิป AI ภายในองค์กร เช่น Hanguang และ Kunlun
    การใช้ซอฟต์แวร์ของ NVIDIA ยังเป็นจุดแข็งที่คู่แข่งในจีนยังตามไม่ทัน
    การขยายศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศช่วยลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/alibaba-announces-partnership-with-nvidia-despite-beijings-bans-chinese-e-commerce-giant-is-prioritizing-ai-with-plans-for-global-expansion
    🌏 “Alibaba จับมือ NVIDIA สวนกระแสคำสั่งปักกิ่ง — เดินเกม AI ระดับโลก แม้ถูกห้ามซื้อชิป” แม้รัฐบาลจีนจะออกคำสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Alibaba และ ByteDance ซื้อชิป AI จาก NVIDIA โดยเฉพาะรุ่น H20 และ RTX Pro 6000D ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่ Alibaba กลับประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อขยายศูนย์ข้อมูลและพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกอย่างเต็มตัว ความร่วมมือครั้งนี้เน้นการใช้ซอฟต์แวร์ NVIDIA Physical AI stack บนแพลตฟอร์ม PAI (Platform for AI) ของ Alibaba Cloud ซึ่งอาจไม่เข้าข่ายละเมิดคำสั่งห้ามซื้อฮาร์ดแวร์โดยตรง เพราะเป็นการใช้ซอฟต์แวร์ ไม่ใช่การซื้อชิปโดยตรง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่า Alibaba จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในโครงการใหม่หรือไม่ Alibaba ยังเปิดเผยแผนการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในหลายประเทศ เช่น บราซิล ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และดูไบ ภายในปีหน้า เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย CEO Eddie Wu ระบุว่า “ความเร็วของการเติบโตในอุตสาหกรรม AI เกินความคาดหมายของเราไปมาก” แม้ Alibaba จะมีชิป AI ของตัวเอง และพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายประสิทธิภาพสูงที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี interconnect ของ NVIDIA แต่การจับมือกันครั้งนี้สะท้อนว่า Alibaba ยังเห็นคุณค่าในซอฟต์แวร์และระบบของ NVIDIA ที่สามารถเร่งการพัฒนา AI ได้ในระดับโลก นักวิเคราะห์มองว่า หากดีลนี้เดินหน้าได้โดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาลจีนหรือสหรัฐฯ จะเป็นการเปิดทางให้ NVIDIA ยังคงมีบทบาทในตลาดจีนผ่านช่องทางซอฟต์แวร์ และช่วยให้ Alibaba ขยายอิทธิพลด้าน AI ไปทั่วโลก แม้จะถูกจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ภายในประเทศ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alibaba ประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อขยายศูนย์ข้อมูลและพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ➡️ ใช้ NVIDIA Physical AI stack บนแพลตฟอร์ม PAI ของ Alibaba Cloud ➡️ ยังไม่มีการยืนยันว่าจะใช้ GPU ของ NVIDIA ในโครงการใหม่หรือไม่ ➡️ รัฐบาลจีนห้ามบริษัทเทคโนโลยีซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D จาก NVIDIA ➡️ Alibaba มีชิป AI ของตัวเอง และระบบเครือข่ายที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีของ NVIDIA ➡️ แผนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 8 ประเทศภายในปีหน้า ➡️ CEO Eddie Wu ระบุว่าอุตสาหกรรม AI เติบโตเร็วกว่าที่คาด ➡️ ความร่วมมือครั้งนี้อาจช่วยให้ NVIDIA ยังคงมีบทบาทในตลาดจีนผ่านซอฟต์แวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คำสั่งห้ามของจีนออกโดย Cyberspace Administration of China เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ ➡️ NVIDIA เคยออกแบบชิปรุ่นพิเศษสำหรับจีนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ➡️ Alibaba และ Baidu มีการพัฒนาชิป AI ภายในองค์กร เช่น Hanguang และ Kunlun ➡️ การใช้ซอฟต์แวร์ของ NVIDIA ยังเป็นจุดแข็งที่คู่แข่งในจีนยังตามไม่ทัน ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศช่วยลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/alibaba-announces-partnership-with-nvidia-despite-beijings-bans-chinese-e-commerce-giant-is-prioritizing-ai-with-plans-for-global-expansion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเร่งเครื่องสู่ยุค Brain-Computer Interface — ตั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ หวังสร้างผู้นำระดับโลกภายในปี 2030

    จีนกำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) ด้วยการประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่สำหรับอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ BCI โดยมาตรฐานนี้มีชื่อว่า “YY/T 1987–2025” และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานให้กับอุตสาหกรรม BCI ทั้งในด้านการวิจัย การผลิต และการใช้งานเชิงพาณิชย์

    BCI คือเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับเครื่องจักรโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาต การควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด หรือแม้แต่การเล่นเกมด้วยสมอง โดยจีนได้แสดงความก้าวหน้าในด้านนี้ผ่านการทดลองที่ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมแข่งรถหรือเกมแนวแอ็กชันได้อย่างคล่องแคล่ว

    รัฐบาลจีนได้วางแผน 17 ขั้นตอนตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการพาณิชย์ และคาดว่าจะสามารถแก้ไขอุปสรรคทางเทคนิคส่วนใหญ่ได้ภายในปี 2027 พร้อมตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่งภายในปี 2030

    การตั้งมาตรฐานในระดับประเทศเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้จีนควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ BCI แต่ยังเป็นการวางตำแหน่งให้จีนเป็นผู้กำหนดทิศทางของเทคโนโลยีนี้ในระดับโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อการแข่งขันกับบริษัทตะวันตก เช่น Neuralink ของ Elon Musk

    จีนประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับอุปกรณ์ BCI
    มาตรฐานชื่อ YY/T 1987–2025 มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2026
    ครอบคลุมอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมสมองกับเครื่องจักร

    เป้าหมายคือการเป็นผู้นำด้าน BCI ภายในปี 2030
    คาดว่าจะเคลียร์อุปสรรคทางเทคนิคภายในปี 2027
    ตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่ง

    รัฐบาลจีนวางแผน 17 ขั้นตอนจาก R&D สู่การพาณิชย์
    ประสานงานระหว่างกระทรวง หน่วยงานกำกับ และภาคเอกชน
    มุ่งเน้นการใช้งานในด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม และการบริโภค

    ตัวอย่างความก้าวหน้าในจีน
    ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมซับซ้อนได้ด้วย BCI
    มีการทดลองใช้ในเกม Black Myth: Wukong และ Honor of Kings

    การตั้งมาตรฐานช่วยสร้างความได้เปรียบในตลาดโลก
    ผู้กำหนดมาตรฐานสามารถควบคุมทิศทางเทคโนโลยี
    เพิ่มโอกาสในการยอมรับและใช้งานในระดับสากล

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/china-targets-brain-computer-interface-race-with-new-standard-new-bci-standard-could-lead-to-breakthroughs-as-soon-as-2027
    📰 จีนเร่งเครื่องสู่ยุค Brain-Computer Interface — ตั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ หวังสร้างผู้นำระดับโลกภายในปี 2030 จีนกำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) ด้วยการประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่สำหรับอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ BCI โดยมาตรฐานนี้มีชื่อว่า “YY/T 1987–2025” และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานให้กับอุตสาหกรรม BCI ทั้งในด้านการวิจัย การผลิต และการใช้งานเชิงพาณิชย์ BCI คือเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับเครื่องจักรโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาต การควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด หรือแม้แต่การเล่นเกมด้วยสมอง โดยจีนได้แสดงความก้าวหน้าในด้านนี้ผ่านการทดลองที่ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมแข่งรถหรือเกมแนวแอ็กชันได้อย่างคล่องแคล่ว รัฐบาลจีนได้วางแผน 17 ขั้นตอนตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการพาณิชย์ และคาดว่าจะสามารถแก้ไขอุปสรรคทางเทคนิคส่วนใหญ่ได้ภายในปี 2027 พร้อมตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่งภายในปี 2030 การตั้งมาตรฐานในระดับประเทศเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้จีนควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ BCI แต่ยังเป็นการวางตำแหน่งให้จีนเป็นผู้กำหนดทิศทางของเทคโนโลยีนี้ในระดับโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อการแข่งขันกับบริษัทตะวันตก เช่น Neuralink ของ Elon Musk ✅ จีนประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับอุปกรณ์ BCI ➡️ มาตรฐานชื่อ YY/T 1987–2025 มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2026 ➡️ ครอบคลุมอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมสมองกับเครื่องจักร ✅ เป้าหมายคือการเป็นผู้นำด้าน BCI ภายในปี 2030 ➡️ คาดว่าจะเคลียร์อุปสรรคทางเทคนิคภายในปี 2027 ➡️ ตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่ง ✅ รัฐบาลจีนวางแผน 17 ขั้นตอนจาก R&D สู่การพาณิชย์ ➡️ ประสานงานระหว่างกระทรวง หน่วยงานกำกับ และภาคเอกชน ➡️ มุ่งเน้นการใช้งานในด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม และการบริโภค ✅ ตัวอย่างความก้าวหน้าในจีน ➡️ ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมซับซ้อนได้ด้วย BCI ➡️ มีการทดลองใช้ในเกม Black Myth: Wukong และ Honor of Kings ✅ การตั้งมาตรฐานช่วยสร้างความได้เปรียบในตลาดโลก ➡️ ผู้กำหนดมาตรฐานสามารถควบคุมทิศทางเทคโนโลยี ➡️ เพิ่มโอกาสในการยอมรับและใช้งานในระดับสากล https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/china-targets-brain-computer-interface-race-with-new-standard-new-bci-standard-could-lead-to-breakthroughs-as-soon-as-2027
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เจอแรงกระแทกจากจีนอีกครั้ง — CEO ยอมรับ “ผิดหวัง” หลังถูกแบนชิป AI H20 แม้พัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดย Huang กล่าวในงานแถลงข่าวที่ลอนดอนว่า “ธุรกิจของเรากับจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะ”

    ชิป H20 ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของจีน หลังสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden เคยสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนในปี 2023 แต่เมื่อ Trump กลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ก็มีการเจรจาใหม่ โดย Nvidia ยอมจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อจำกัด

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่อง “backdoor” และการติดตามชิปจากระยะไกล ทำให้ Cyberspace Administration of China (CAC) สั่งให้บริษัทใหญ่ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดการสั่งซื้อและทดสอบชิป H20 โดยอ้างว่าเทคโนโลยีของ Nvidia อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของข้อมูลภายในประเทศ

    Huang ยืนยันว่า H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และจีนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพียงพอสำหรับการใช้งานทางทหารอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ต้องอดทน” และ “เข้าใจว่ามีวาระใหญ่กว่าที่ต้องจัดการระหว่างจีนกับสหรัฐฯ”

    Nvidia ถูกแบนชิป AI H20 ในจีน
    Cyberspace Administration of China สั่งบริษัทเทคโนโลยีหยุดซื้อและทดสอบ
    ชิป H20 ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน

    Jensen Huang แสดงความผิดหวังต่อการแบน
    ระบุว่า “ธุรกิจในจีนเหมือนรถไฟเหาะ”
    ยืนยันว่า H20 ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร

    ชิป H20 เคยถูกห้ามส่งออกโดยรัฐบาล Biden
    Nvidia พัฒนา H20 เพื่อลดสเปกให้ผ่านข้อจำกัด
    รัฐบาล Trump เจรจาใหม่ให้ Nvidia จ่าย 15% ของรายได้เพื่อแลกกับการขาย

    จีนกังวลเรื่อง backdoor และการติดตามชิปจากระยะไกล
    มีข้อสงสัยว่า H20 อาจมีระบบติดตามหรือ kill switch
    Nvidia ปฏิเสธว่าชิปไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    ตลาด AI ในจีนยังมีขนาดใหญ่มาก
    Huang ระบุว่ามีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์
    เป็นตลาด AI ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจากการแบน
    การแบนอาจกระทบรายได้ของ Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้การคาดการณ์ธุรกิจยากขึ้น
    การกล่าวหาว่ามี backdoor อาจกระทบความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Nvidia ทั่วโลก
    การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/our-business-in-china-has-been-a-bit-of-a-rollercoaster-nvidia-ceo-disappointed-in-further-chinese-ban-on-buying-its-ai-chips
    📰 Nvidia เจอแรงกระแทกจากจีนอีกครั้ง — CEO ยอมรับ “ผิดหวัง” หลังถูกแบนชิป AI H20 แม้พัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดย Huang กล่าวในงานแถลงข่าวที่ลอนดอนว่า “ธุรกิจของเรากับจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะ” ชิป H20 ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของจีน หลังสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden เคยสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนในปี 2023 แต่เมื่อ Trump กลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ก็มีการเจรจาใหม่ โดย Nvidia ยอมจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อจำกัด อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่อง “backdoor” และการติดตามชิปจากระยะไกล ทำให้ Cyberspace Administration of China (CAC) สั่งให้บริษัทใหญ่ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดการสั่งซื้อและทดสอบชิป H20 โดยอ้างว่าเทคโนโลยีของ Nvidia อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของข้อมูลภายในประเทศ Huang ยืนยันว่า H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และจีนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพียงพอสำหรับการใช้งานทางทหารอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ต้องอดทน” และ “เข้าใจว่ามีวาระใหญ่กว่าที่ต้องจัดการระหว่างจีนกับสหรัฐฯ” ✅ Nvidia ถูกแบนชิป AI H20 ในจีน ➡️ Cyberspace Administration of China สั่งบริษัทเทคโนโลยีหยุดซื้อและทดสอบ ➡️ ชิป H20 ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ✅ Jensen Huang แสดงความผิดหวังต่อการแบน ➡️ ระบุว่า “ธุรกิจในจีนเหมือนรถไฟเหาะ” ➡️ ยืนยันว่า H20 ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร ✅ ชิป H20 เคยถูกห้ามส่งออกโดยรัฐบาล Biden ➡️ Nvidia พัฒนา H20 เพื่อลดสเปกให้ผ่านข้อจำกัด ➡️ รัฐบาล Trump เจรจาใหม่ให้ Nvidia จ่าย 15% ของรายได้เพื่อแลกกับการขาย ✅ จีนกังวลเรื่อง backdoor และการติดตามชิปจากระยะไกล ➡️ มีข้อสงสัยว่า H20 อาจมีระบบติดตามหรือ kill switch ➡️ Nvidia ปฏิเสธว่าชิปไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ ตลาด AI ในจีนยังมีขนาดใหญ่มาก ➡️ Huang ระบุว่ามีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นตลาด AI ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจากการแบน ⛔ การแบนอาจกระทบรายได้ของ Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์ ⛔ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้การคาดการณ์ธุรกิจยากขึ้น ⛔ การกล่าวหาว่ามี backdoor อาจกระทบความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Nvidia ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/our-business-in-china-has-been-a-bit-of-a-rollercoaster-nvidia-ceo-disappointed-in-further-chinese-ban-on-buying-its-ai-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม

    คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว

    แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว

    จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia
    รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน
    บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent

    ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ
    เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads
    ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro

    สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน
    โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง
    หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว

    บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้
    แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน
    การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า
    อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง
    บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    📰 จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว ✅ จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia ➡️ รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ➡️ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ✅ ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ ➡️ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ➡️ ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ✅ สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ➡️ โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ➡️ หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว ✅ บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ ➡️ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน ⛔ การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า ⛔ อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง ⛔ บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jack Ma กลับมาแล้ว — ปลุก Alibaba ด้วย AI และสงครามราคา เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่”

    หลังจากหายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่ปี 2020 เพราะวิจารณ์ระบบการเงินจีนอย่างตรงไปตรงมา Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมภารกิจ “Make Alibaba Great Again” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลเต็มรูปแบบในเบื้องหลัง

    Ma กลับมาในช่วงที่ Alibaba กำลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดจาก JD.com และ Meituan โดยเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์) เพื่ออัดฉีดเงินอุดหนุนและดึงลูกค้ากลับมา โดยเฉพาะในตลาด food delivery ที่ Alibaba มีส่วนแบ่ง 43% ตามหลัง Meituan ที่ 47%

    นอกจากสงครามราคากับคู่แข่ง Ma ยังผลักดันการลงทุนใน AI อย่างหนัก โดย Alibaba ประกาศแผนลงทุนกว่า 380,000 ล้านหยวนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน และชิป T-head ที่พัฒนาเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia

    การกลับมาของ Ma ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรที่เคยตกต่ำในช่วงที่เขาหายไป พนักงานหลายคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นเขากลับมาพูดในงานของ Ant Group และ Alibaba Cloud เพราะรู้สึกว่า “จิตวิญญาณของบริษัทกลับมาแล้ว”

    แม้ Ma จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขายังคงสวมบัตรพนักงานและเดินในแคมปัสอย่างเปิดเผย ส่งข้อความถึงผู้บริหาร ขออัปเดตด้าน AI วันละหลายครั้ง และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เช่น การสนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ใหม่

    อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ Ma ก็มีความเสี่ยง เพราะการอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุม “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” และการลงทุนใน AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jack Ma กลับมาอย่างไม่เป็นทางการใน Alibaba หลังหายไปตั้งแต่ปี 2020
    เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผน “Make Alibaba Great Again” และการอัดฉีดเงินอุดหนุน 50,000 ล้านหยวน
    ผลักดันการลงทุนใน AI และคลาวด์กว่า 380,000 ล้านหยวนภายใน 3 ปี
    เปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่และชิป T-head ที่พัฒนาเอง
    สนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์

    ผลกระทบต่อองค์กรและตลาด
    พนักงานรู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นหลัง Ma กลับมา
    หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นกว่า 88% ในปี 2025
    รายได้จากคลาวด์โตขึ้น 26% ในไตรมาสล่าสุด
    Alibaba มีส่วนแบ่งตลาด food delivery 43% ตามหลัง Meituan

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ma เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นสัญลักษณ์ของยุคเทคโนโลยีเสรี
    การหายตัวของเขาเกิดหลังวิจารณ์ระบบการเงินจีนและการล้ม IPO ของ Ant Group
    การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปิดรับผู้ก่อตั้งเทคโนโลยีอีกครั้ง
    Alibaba เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Ma ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อาจทำให้โครงสร้างการรายงานภายในสับสน
    การอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายรัฐเรื่อง “การแข่งขันที่เป็นธรรม”
    การลงทุนใน AI ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และมีต้นทุนสูง
    การเปลี่ยนผู้นำและกลยุทธ์อาจสร้างแรงเสียดทานภายในองค์กร
    การกลับมาของ Ma อาจถูกมองว่าเป็น “ความพยายามครั้งสุดท้าย” ในการกู้ชื่อเสียง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/16/jack-ma-returns-with-a-vengeance-to-make-alibaba-great-again
    🦁 “Jack Ma กลับมาแล้ว — ปลุก Alibaba ด้วย AI และสงครามราคา เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่” หลังจากหายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่ปี 2020 เพราะวิจารณ์ระบบการเงินจีนอย่างตรงไปตรงมา Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมภารกิจ “Make Alibaba Great Again” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลเต็มรูปแบบในเบื้องหลัง Ma กลับมาในช่วงที่ Alibaba กำลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดจาก JD.com และ Meituan โดยเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์) เพื่ออัดฉีดเงินอุดหนุนและดึงลูกค้ากลับมา โดยเฉพาะในตลาด food delivery ที่ Alibaba มีส่วนแบ่ง 43% ตามหลัง Meituan ที่ 47% นอกจากสงครามราคากับคู่แข่ง Ma ยังผลักดันการลงทุนใน AI อย่างหนัก โดย Alibaba ประกาศแผนลงทุนกว่า 380,000 ล้านหยวนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน และชิป T-head ที่พัฒนาเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia การกลับมาของ Ma ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรที่เคยตกต่ำในช่วงที่เขาหายไป พนักงานหลายคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นเขากลับมาพูดในงานของ Ant Group และ Alibaba Cloud เพราะรู้สึกว่า “จิตวิญญาณของบริษัทกลับมาแล้ว” แม้ Ma จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขายังคงสวมบัตรพนักงานและเดินในแคมปัสอย่างเปิดเผย ส่งข้อความถึงผู้บริหาร ขออัปเดตด้าน AI วันละหลายครั้ง และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เช่น การสนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ใหม่ อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ Ma ก็มีความเสี่ยง เพราะการอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุม “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” และการลงทุนใน AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jack Ma กลับมาอย่างไม่เป็นทางการใน Alibaba หลังหายไปตั้งแต่ปี 2020 ➡️ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผน “Make Alibaba Great Again” และการอัดฉีดเงินอุดหนุน 50,000 ล้านหยวน ➡️ ผลักดันการลงทุนใน AI และคลาวด์กว่า 380,000 ล้านหยวนภายใน 3 ปี ➡️ เปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่และชิป T-head ที่พัฒนาเอง ➡️ สนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ ✅ ผลกระทบต่อองค์กรและตลาด ➡️ พนักงานรู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นหลัง Ma กลับมา ➡️ หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นกว่า 88% ในปี 2025 ➡️ รายได้จากคลาวด์โตขึ้น 26% ในไตรมาสล่าสุด ➡️ Alibaba มีส่วนแบ่งตลาด food delivery 43% ตามหลัง Meituan ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ma เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นสัญลักษณ์ของยุคเทคโนโลยีเสรี ➡️ การหายตัวของเขาเกิดหลังวิจารณ์ระบบการเงินจีนและการล้ม IPO ของ Ant Group ➡️ การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปิดรับผู้ก่อตั้งเทคโนโลยีอีกครั้ง ➡️ Alibaba เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Ma ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อาจทำให้โครงสร้างการรายงานภายในสับสน ⛔ การอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายรัฐเรื่อง “การแข่งขันที่เป็นธรรม” ⛔ การลงทุนใน AI ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และมีต้นทุนสูง ⛔ การเปลี่ยนผู้นำและกลยุทธ์อาจสร้างแรงเสียดทานภายในองค์กร ⛔ การกลับมาของ Ma อาจถูกมองว่าเป็น “ความพยายามครั้งสุดท้าย” ในการกู้ชื่อเสียง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/16/jack-ma-returns-with-a-vengeance-to-make-alibaba-great-again
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Jack Ma returns with a vengeance to 'Make Alibaba Great Again'
    During China's yearslong crackdown on the tech sector, Alibaba Group Holding Ltd's internal messaging boards lit up with dreams to "MAGA" – Make Alibaba Great Again. Now, the company is deploying one of its most potent weapons to accomplish that mission: Jack Ma.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..CCPจีนคอมมิวนิสต์อันตรายโคตรๆ,คอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการตัวพ่อ,ยิงเอาAIหุ่นยนต์มาติดตามผู้คนอีก จะฝังชิปจะสแกนอะไรๆก็ตามคือการควบคุมมนุษย์ ติดตามตัว ไล่ล่าเหยื่ออยู่ไหนไปจับได้ตรงจุดที่เหยื่อมนุษย์นั้นอยู่นั้นเอง,ผิดกฎหมายคอมมิวนิสต์มันคือโทษตายรออยู่,อวัยวะคือได้เก็บเกี่ยวแน่นอน,ccpจีนจริงๆคือพวกฝ่ายมืดก็ด้วย,จับมนุษย์ไปชำแหละก็มีจริงโดยพวกมัน,อะดริโนโครมคือยาอายุวัฒนะตัวจริง,แอปจีน มือถือจีน กล้องจีน หุ่นยนต์จีน AIจีนจึงอันตรายมากเพราะccpปกครองในจีนมากว่าจีนฝ่ายดีปกครอง,จีนฝ่ายดีกำลังต่อสู้กับจีนccpฝ่ายไม่ดีภายในประเทศจีนเอง,จีนเทาคือจีนของccpฝ่ายไม่ดีหนีออกมาจากจีนทั้งแบบตั้งใจออกมาเองและหนีออกมาจริงจากการถูกไล่ล่าของรัฐบาลจีนฝ่ายดี,แต่ภาพรวมจีนอันตรายของจริง,เราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรกันแน่,คนไทยหากหลงไปใช้แอปจีน ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มันจำจนตายAIของมันไม่ลบข้อมูลคุณทิ้งหรอก,หมายหัวคุณก็หมายหัวแบบนั้น บล็อคคุณก็บล็อคแบบนั้น ดูติ๊กต๊อกคือตัวอย่าง บทจะปิดบัญชีคุณมันปิดเลย,อายัดตะกร้าขายของคุณมันอายัดเลย,คอมมิวนิสต์ระดับแอป,ถ้าไม่มีอเมริกาถ่วงดุลอำนาจก็อันตรายเช่นกัน,แม้อเมริกาเหี้ยปล้นบ่อน้ำมันในไทยเราส่วนมากส่วนใหญ่,จีนก็ใช่ว่าไม่ปล้นชิงทรัพยากรมีค่ามากมายด้วย บ่อน้ำมันมันก็ได้สัมปทานเหมือนกัน อีสานโรงงานจีนตรึม เหมืองแร่โปแตสก็จีนได้ไปไม่น้อยในอีสาน ผูกขาดเลยก็ว่า ยุคใครค้นข้อมูลก็รู้,
    ..ตัวพ่อไม่น้อยหน้าอเมริกาที่ปล้นชิงไทยในทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทยก็จีนนี้ล่ะ,กดดันธรรมดาที่ไหน ของฟรีไม่มีในโลก ไทยต้องแลกอะไรสาระพัดกับจีนก็ด้วย,ลาวเป็นของจีนแล้วเกือบหมดประเทศ แร่เอิร์ธที่พบในลาว ทำไปทำมาตกเป็นของจีนหมดอีกล่ะ รัสเชียด้วย เอาอาวุธมาให้ลาวทำดีกับลาวหมายแร่เอิร์ธก็ได้และแร่อื่นๆตรึมเต็มลาวที่จีนสแกนจากดาวเทียมค้นพบนานแล้ว หามุกมายึดลาวแบบไหนที่ผู้นำโง่ๆให้ตกหลุมจีนนั้นล่ะ,ขนทรัพยากรมีค่าแร่ธาตุออกจากลาวไปแปรรูปที่จีนตรึม รวมซื้อคนลาวชั่งกิโลไปแดกด้วย ชำแหละค้ามนุษย์ค้าอวัยวะคนลาวสบายใจเลย,จีนจึงอันตรายมากๆจะยุคสมัยใดๆก็ตามทั้งยุคสมัยใหม่คนจีนรุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมแรปทีเลี่ยนก็มีไม่น้อย โคลนคนจีนมหาศาลอีก,มาใช้แรงงานโดยเฉพาะ ใช้เสร็จฆ่ากินฆ่าแดกเลยเพราะไม่มีสำนึกจิตใจอะไรแค่โคลน,ทั้งโคลนทั้งหุ่นยนต์ผลิตมาทำลายโลกทีละน้อย แอบซ่อนใต้ดินตรึม,คนเหล็กมาแน่,
    ..เขมร พม่า จีนแรปทีเลี่ยนค้าแดกมนุษย์มีเยอะมาก,เอเชียอาเชียนต้องตื่นรู้และร่วมกันสแกนกำจัดอย่างจริงจัง,ต้องทำให้แต่ละประเทศสงบให้ได้ก่อนเราจะพูดคุยและลงมือกำจัดอมนุษย์พวกนี้ในแต่ละชาติได้,เริ่มจากเขมรก่อน,ฮุนเซนแท้จริงคือแรปทีเลี่ยนดีๆนี้ล่ะก็ได้ สายมืดผู้รับใช้ตัวจริงของอีลิทเลว,มันเปิดเผยตัวตนชัดเจนในยุคเวลานี้เพราะโคตรพ่อโคตรแมร่งมันสั่งให้เปิดเผยตัวตนแล้วหลังยุคโควิดมานั้นเอง,ความดุเดือดไล่ล่ากำจัดจึงเกิดขึ้น สงครามฝ่ายดีและฝ่ายชั่วจึงอุบัติขึ้นจริงจัง,พม่าอ่องชานโดนทำลาย แหล่งค้ามนุษย์ก็กระเจิงด้วย,โดยแม่ทัพพม่ายึดอำนาจ,จึงหนีมาเขมรอพยพมาเกือบหมด,เขมรจึงลุกเป็นไฟ แหล่งค้ามนุษย์ชำแหละมนุษย์ส่งออกจึงย้ายมาเขมร,ส่วนจีนตัวพ่อค้ามนุษย์อยู่แล้วซึ่งจีนฝ่ายดีต้องจัดการจริงจังภายในตนเอง,อเมริกาก็เหี้ยใช่น้อยโคตรพ่อโคตรแม่ตัวแดกเด็กฮับค้ามนุษย์ของโลก ส่งออกไปดวงจันทร์ด้วย,ไม่ต่างจากวาติกันยุโรปหรืออิสราเอลยูเครนฮับประจำโซนยุโรป,
    ..คนไทยเราต้องสามัคคีจริงๆ,กำจัดเขมรให้สิ้นซากก่อน,อาเชียนจะสงบทันที อีลิทจะปั่นป่วนอาเชียนยาก ภาคใต้เราก็มันนั่นล่ะทำ,รัฐบาลนี้ทรยศเราก็จบมันเลย,ยึดอำนาจด้วยทหารพระราชาเสีย ทหารพระราชาคุ้มครองความสงบมั่นคงไว้เบื้องต้นในวิกฤติโลกปัจจุบันนี้ เราสามารถปกป้องประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤติได้,ถ้าปล่อยให้นักการเมืองเหี้ยนี้ปกครองอีกอันตรายมาก,จะตัดสินใจยึดอำนาจหรือไม่ดูที่นายกฯหนูกล้ายกเลิกmou43,44ในคณะครม.ตนประชุมครั้งแรกมั้ย,ถ้าไม่ยกเลิก ตัดสินใจได้เลยว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามอธิปไตยดินแดนแผ่นดินไทยชัดเจน มีเจตนาต้องการทำให้เสียแผ่นดินไทยถึง1:150,000แล้ว ผิด ม.119 ชัดเจนเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติไทยเสมือนเขมรที่รุกรานไทยในปัจจุบัน.

    https://youtube.com/watch?v=o6UDZvG0uTQ&si=B738trQKOn4osC2A
    ..CCPจีนคอมมิวนิสต์อันตรายโคตรๆ,คอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการตัวพ่อ,ยิงเอาAIหุ่นยนต์มาติดตามผู้คนอีก จะฝังชิปจะสแกนอะไรๆก็ตามคือการควบคุมมนุษย์ ติดตามตัว ไล่ล่าเหยื่ออยู่ไหนไปจับได้ตรงจุดที่เหยื่อมนุษย์นั้นอยู่นั้นเอง,ผิดกฎหมายคอมมิวนิสต์มันคือโทษตายรออยู่,อวัยวะคือได้เก็บเกี่ยวแน่นอน,ccpจีนจริงๆคือพวกฝ่ายมืดก็ด้วย,จับมนุษย์ไปชำแหละก็มีจริงโดยพวกมัน,อะดริโนโครมคือยาอายุวัฒนะตัวจริง,แอปจีน มือถือจีน กล้องจีน หุ่นยนต์จีน AIจีนจึงอันตรายมากเพราะccpปกครองในจีนมากว่าจีนฝ่ายดีปกครอง,จีนฝ่ายดีกำลังต่อสู้กับจีนccpฝ่ายไม่ดีภายในประเทศจีนเอง,จีนเทาคือจีนของccpฝ่ายไม่ดีหนีออกมาจากจีนทั้งแบบตั้งใจออกมาเองและหนีออกมาจริงจากการถูกไล่ล่าของรัฐบาลจีนฝ่ายดี,แต่ภาพรวมจีนอันตรายของจริง,เราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรกันแน่,คนไทยหากหลงไปใช้แอปจีน ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มันจำจนตายAIของมันไม่ลบข้อมูลคุณทิ้งหรอก,หมายหัวคุณก็หมายหัวแบบนั้น บล็อคคุณก็บล็อคแบบนั้น ดูติ๊กต๊อกคือตัวอย่าง บทจะปิดบัญชีคุณมันปิดเลย,อายัดตะกร้าขายของคุณมันอายัดเลย,คอมมิวนิสต์ระดับแอป,ถ้าไม่มีอเมริกาถ่วงดุลอำนาจก็อันตรายเช่นกัน,แม้อเมริกาเหี้ยปล้นบ่อน้ำมันในไทยเราส่วนมากส่วนใหญ่,จีนก็ใช่ว่าไม่ปล้นชิงทรัพยากรมีค่ามากมายด้วย บ่อน้ำมันมันก็ได้สัมปทานเหมือนกัน อีสานโรงงานจีนตรึม เหมืองแร่โปแตสก็จีนได้ไปไม่น้อยในอีสาน ผูกขาดเลยก็ว่า ยุคใครค้นข้อมูลก็รู้, ..ตัวพ่อไม่น้อยหน้าอเมริกาที่ปล้นชิงไทยในทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทยก็จีนนี้ล่ะ,กดดันธรรมดาที่ไหน ของฟรีไม่มีในโลก ไทยต้องแลกอะไรสาระพัดกับจีนก็ด้วย,ลาวเป็นของจีนแล้วเกือบหมดประเทศ แร่เอิร์ธที่พบในลาว ทำไปทำมาตกเป็นของจีนหมดอีกล่ะ รัสเชียด้วย เอาอาวุธมาให้ลาวทำดีกับลาวหมายแร่เอิร์ธก็ได้และแร่อื่นๆตรึมเต็มลาวที่จีนสแกนจากดาวเทียมค้นพบนานแล้ว หามุกมายึดลาวแบบไหนที่ผู้นำโง่ๆให้ตกหลุมจีนนั้นล่ะ,ขนทรัพยากรมีค่าแร่ธาตุออกจากลาวไปแปรรูปที่จีนตรึม รวมซื้อคนลาวชั่งกิโลไปแดกด้วย ชำแหละค้ามนุษย์ค้าอวัยวะคนลาวสบายใจเลย,จีนจึงอันตรายมากๆจะยุคสมัยใดๆก็ตามทั้งยุคสมัยใหม่คนจีนรุ่นไฮบริดจ์ลูกผสมแรปทีเลี่ยนก็มีไม่น้อย โคลนคนจีนมหาศาลอีก,มาใช้แรงงานโดยเฉพาะ ใช้เสร็จฆ่ากินฆ่าแดกเลยเพราะไม่มีสำนึกจิตใจอะไรแค่โคลน,ทั้งโคลนทั้งหุ่นยนต์ผลิตมาทำลายโลกทีละน้อย แอบซ่อนใต้ดินตรึม,คนเหล็กมาแน่, ..เขมร พม่า จีนแรปทีเลี่ยนค้าแดกมนุษย์มีเยอะมาก,เอเชียอาเชียนต้องตื่นรู้และร่วมกันสแกนกำจัดอย่างจริงจัง,ต้องทำให้แต่ละประเทศสงบให้ได้ก่อนเราจะพูดคุยและลงมือกำจัดอมนุษย์พวกนี้ในแต่ละชาติได้,เริ่มจากเขมรก่อน,ฮุนเซนแท้จริงคือแรปทีเลี่ยนดีๆนี้ล่ะก็ได้ สายมืดผู้รับใช้ตัวจริงของอีลิทเลว,มันเปิดเผยตัวตนชัดเจนในยุคเวลานี้เพราะโคตรพ่อโคตรแมร่งมันสั่งให้เปิดเผยตัวตนแล้วหลังยุคโควิดมานั้นเอง,ความดุเดือดไล่ล่ากำจัดจึงเกิดขึ้น สงครามฝ่ายดีและฝ่ายชั่วจึงอุบัติขึ้นจริงจัง,พม่าอ่องชานโดนทำลาย แหล่งค้ามนุษย์ก็กระเจิงด้วย,โดยแม่ทัพพม่ายึดอำนาจ,จึงหนีมาเขมรอพยพมาเกือบหมด,เขมรจึงลุกเป็นไฟ แหล่งค้ามนุษย์ชำแหละมนุษย์ส่งออกจึงย้ายมาเขมร,ส่วนจีนตัวพ่อค้ามนุษย์อยู่แล้วซึ่งจีนฝ่ายดีต้องจัดการจริงจังภายในตนเอง,อเมริกาก็เหี้ยใช่น้อยโคตรพ่อโคตรแม่ตัวแดกเด็กฮับค้ามนุษย์ของโลก ส่งออกไปดวงจันทร์ด้วย,ไม่ต่างจากวาติกันยุโรปหรืออิสราเอลยูเครนฮับประจำโซนยุโรป, ..คนไทยเราต้องสามัคคีจริงๆ,กำจัดเขมรให้สิ้นซากก่อน,อาเชียนจะสงบทันที อีลิทจะปั่นป่วนอาเชียนยาก ภาคใต้เราก็มันนั่นล่ะทำ,รัฐบาลนี้ทรยศเราก็จบมันเลย,ยึดอำนาจด้วยทหารพระราชาเสีย ทหารพระราชาคุ้มครองความสงบมั่นคงไว้เบื้องต้นในวิกฤติโลกปัจจุบันนี้ เราสามารถปกป้องประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤติได้,ถ้าปล่อยให้นักการเมืองเหี้ยนี้ปกครองอีกอันตรายมาก,จะตัดสินใจยึดอำนาจหรือไม่ดูที่นายกฯหนูกล้ายกเลิกmou43,44ในคณะครม.ตนประชุมครั้งแรกมั้ย,ถ้าไม่ยกเลิก ตัดสินใจได้เลยว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามอธิปไตยดินแดนแผ่นดินไทยชัดเจน มีเจตนาต้องการทำให้เสียแผ่นดินไทยถึง1:150,000แล้ว ผิด ม.119 ชัดเจนเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติไทยเสมือนเขมรที่รุกรานไทยในปัจจุบัน. https://youtube.com/watch?v=o6UDZvG0uTQ&si=B738trQKOn4osC2A
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนควรเลิกใช้ GPU จากสหรัฐฯ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนโมเดลพัฒนา AI ปัจจุบันอาจ ‘อันตรายถึงชีวิต’ หากไม่เปลี่ยนแนวทาง”

    Wei Shaojun รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน และที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้จีนและประเทศในเอเชียหยุดพึ่งพา GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI โดยเฉพาะการฝึกโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ DeepSeek ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการเลียนแบบแนวทางของสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงระยะยาวทั้งด้านเทคโนโลยีและความมั่นคง

    Wei กล่าวในเวทีที่สิงคโปร์ว่า โมเดลการพัฒนา AI แบบอิง GPU นั้น “อาจถึงขั้นอันตราย” หากไม่เปลี่ยนแนวทาง เพราะมันทำให้ประเทศในเอเชียขาดอำนาจในการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง และติดกับดักการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ประสิทธิภาพสูงไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023

    แม้จีนจะยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันในด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ Wei ยกตัวอย่าง DeepSeek ซึ่งสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่แข่งขันกับ OpenAI ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงเป็นหลักฐานว่า “อัลกอริธึมที่ดี” สำคัญกว่าฮาร์ดแวร์ล้ำสมัย

    เขาเสนอให้จีนพัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับการฝึกโมเดล AI แทนการใช้ GPU ที่เดิมออกแบบมาเพื่อกราฟิก พร้อมย้ำว่าจีนมีเงินทุนและความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะสร้างระบบนิเวศด้านเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มาหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากคำแถลงของ Wei Shaojun
    เรียกร้องให้จีนและเอเชียหยุดใช้ GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI
    วิจารณ์ว่าการเลียนแบบแนวทางสหรัฐฯ ทำให้ขาดอำนาจควบคุมเทคโนโลยี
    เสนอให้พัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับ LLM แทน GPU ที่ออกแบบเพื่อกราฟิก
    ยกตัวอย่าง DeepSeek เป็นหลักฐานว่าจีนสามารถพัฒนาอัลกอริธึมได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง

    สถานการณ์ด้านฮาร์ดแวร์และการส่งออก
    สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI และ HPC ไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023
    Nvidia H20 ถูกลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่จีนยังไม่ไว้วางใจ
    จีนมีความคืบหน้าในการผลิตชิป แต่ยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันหลายปี
    รัฐบาลจีนผลักดันให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ GPU จากสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia ครองตลาด AI ด้วย CUDA และ Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อ deep learning
    GPU ของ Nvidia กลายเป็นมาตรฐานในวงการ AI เพราะประสิทธิภาพสูงและ ecosystem ครบ
    ASIC เฉพาะทางสำหรับ AI ยังไม่แพร่หลาย แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
    DeepSeek และ Meituan เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI โดยเน้นอัลกอริธึมมากกว่าฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/top-china-silicon-figure-calls-on-country-to-stop-using-nvidia-gpus-for-ai-says-current-ai-development-model-could-become-lethal-if-not-addressed
    🇨🇳 “จีนควรเลิกใช้ GPU จากสหรัฐฯ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนโมเดลพัฒนา AI ปัจจุบันอาจ ‘อันตรายถึงชีวิต’ หากไม่เปลี่ยนแนวทาง” Wei Shaojun รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน และที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้จีนและประเทศในเอเชียหยุดพึ่งพา GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI โดยเฉพาะการฝึกโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ DeepSeek ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการเลียนแบบแนวทางของสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงระยะยาวทั้งด้านเทคโนโลยีและความมั่นคง Wei กล่าวในเวทีที่สิงคโปร์ว่า โมเดลการพัฒนา AI แบบอิง GPU นั้น “อาจถึงขั้นอันตราย” หากไม่เปลี่ยนแนวทาง เพราะมันทำให้ประเทศในเอเชียขาดอำนาจในการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง และติดกับดักการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ประสิทธิภาพสูงไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023 แม้จีนจะยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันในด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ Wei ยกตัวอย่าง DeepSeek ซึ่งสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่แข่งขันกับ OpenAI ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงเป็นหลักฐานว่า “อัลกอริธึมที่ดี” สำคัญกว่าฮาร์ดแวร์ล้ำสมัย เขาเสนอให้จีนพัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับการฝึกโมเดล AI แทนการใช้ GPU ที่เดิมออกแบบมาเพื่อกราฟิก พร้อมย้ำว่าจีนมีเงินทุนและความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะสร้างระบบนิเวศด้านเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มาหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากคำแถลงของ Wei Shaojun ➡️ เรียกร้องให้จีนและเอเชียหยุดใช้ GPU จาก Nvidia และ AMD ในการพัฒนา AI ➡️ วิจารณ์ว่าการเลียนแบบแนวทางสหรัฐฯ ทำให้ขาดอำนาจควบคุมเทคโนโลยี ➡️ เสนอให้พัฒนาโปรเซสเซอร์เฉพาะทางสำหรับ LLM แทน GPU ที่ออกแบบเพื่อกราฟิก ➡️ ยกตัวอย่าง DeepSeek เป็นหลักฐานว่าจีนสามารถพัฒนาอัลกอริธึมได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง ✅ สถานการณ์ด้านฮาร์ดแวร์และการส่งออก ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI และ HPC ไปยังจีนตั้งแต่ปี 2023 ➡️ Nvidia H20 ถูกลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่จีนยังไม่ไว้วางใจ ➡️ จีนมีความคืบหน้าในการผลิตชิป แต่ยังตามหลังสหรัฐฯ และไต้หวันหลายปี ➡️ รัฐบาลจีนผลักดันให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ GPU จากสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia ครองตลาด AI ด้วย CUDA และ Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อ deep learning ➡️ GPU ของ Nvidia กลายเป็นมาตรฐานในวงการ AI เพราะประสิทธิภาพสูงและ ecosystem ครบ ➡️ ASIC เฉพาะทางสำหรับ AI ยังไม่แพร่หลาย แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ➡️ DeepSeek และ Meituan เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI โดยเน้นอัลกอริธึมมากกว่าฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/top-china-silicon-figure-calls-on-country-to-stop-using-nvidia-gpus-for-ai-says-current-ai-development-model-could-become-lethal-if-not-addressed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก”

    ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025

    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ

    Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai

    เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference

    จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance
    เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance
    รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน
    ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า
    ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana

    การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana)
    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics
    ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่
    Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก
    Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis

    การใช้งานและการเข้าถึง
    เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao
    ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance
    ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt
    รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย
    Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference
    Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference
    รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    🖼️ “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก” ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference ✅ จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance ➡️ เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance ➡️ รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน ➡️ ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ➡️ ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana ✅ การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana) ➡️ ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics ➡️ ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่ ➡️ Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก ➡️ Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis ✅ การใช้งานและการเข้าถึง ➡️ เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao ➡️ ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt ➡️ รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย ➡️ Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference ➡️ Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference ➡️ รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ByteDance unveils new AI image model to rival Google DeepMind’s ‘Nano Banana’
    ByteDance claims that Seedream 4.0 beat Gemini 2.5 Flash Image for image generation and editing on its internal evaluation benchmark.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Claude ถึง Zhipu: เมื่อการควบคุม AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความไว้วางใจ

    Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้ประกาศอัปเดตเงื่อนไขการให้บริการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยระบุว่าจะ “ปิดกั้นการเข้าถึง” Claude สำหรับบริษัทใดก็ตามที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็น “จีนถือหุ้นเกิน 50%” ไม่ว่าจะจดทะเบียนอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม

    นี่ไม่ใช่การแบนผู้ใช้จากประเทศจีนโดยตรง แต่เป็นการตัดสิทธิ์ตาม ownership structure ซึ่งหมายความว่าแม้บริษัทจะตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือยุโรป หากมีผู้ถือหุ้นจีนเป็นหลัก ก็จะถูกตัดออกจากการใช้งาน Claude ทันที

    Anthropic ระบุว่าเหตุผลหลักคือ “ความเสี่ยงด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และความมั่นคง” โดยเฉพาะความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับให้บริษัทในเครือส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยข่าวกรองหรือกองทัพ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ AI ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม

    ผลกระทบทางธุรกิจไม่เล็ก—Anthropic ยอมรับว่าจะสูญเสียรายได้ในระดับ “หลายร้อยล้านดอลลาร์” แต่ยืนยันว่าการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัยต่อความมั่นคงนั้นสำคัญกว่า

    ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังข่าวเผยแพร่ บริษัท Zhipu ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน ได้เปิดตัว “Claude Migration Toolkit” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายจาก Claude ไปยัง GLM-4.5 ได้ทันที พร้อมแจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude ถึง 3 เท่า

    ก่อนหน้านี้ Alibaba ก็เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI ในจีน และตอนนี้ดูเหมือนว่าบริษัทจีนกำลังเร่งสร้าง ecosystem ของตัวเองเพื่อรับมือกับการถูกตัดออกจาก AI ระดับโลก

    การอัปเดตนโยบายของ Anthropic
    ปิดกั้นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นจีนเกิน 50% ไม่ว่าจดทะเบียนที่ใด
    ครอบคลุมถึงบริษัทแม่, บริษัทย่อย, และ joint ventures
    ใช้ ownership filter แทน geolocation เป็นครั้งแรกในวงการ AI

    เหตุผลด้านความมั่นคง
    กังวลว่ารัฐจีนอาจบังคับให้บริษัทส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยงานรัฐ
    เสี่ยงต่อการนำ AI ไปใช้ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม
    Anthropic ยืนยันว่าเป็นการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัย

    ผลกระทบทางธุรกิจ
    สูญเสียรายได้ระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์
    กระทบผู้ใช้ในหลายประเทศที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นจีน
    ยังไม่ชัดเจนว่าจะบังคับใช้นโยบายนี้ผ่าน cloud reseller อย่างไร

    การตอบสนองจากฝั่งจีน
    Zhipu เปิดตัว Claude Migration Toolkit พร้อม API GLM-4.5
    แจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude 3 เท่า
    Alibaba เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/anthropic-blocks-chinese-firms-from-claude
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Claude ถึง Zhipu: เมื่อการควบคุม AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความไว้วางใจ Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้ประกาศอัปเดตเงื่อนไขการให้บริการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยระบุว่าจะ “ปิดกั้นการเข้าถึง” Claude สำหรับบริษัทใดก็ตามที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็น “จีนถือหุ้นเกิน 50%” ไม่ว่าจะจดทะเบียนอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม นี่ไม่ใช่การแบนผู้ใช้จากประเทศจีนโดยตรง แต่เป็นการตัดสิทธิ์ตาม ownership structure ซึ่งหมายความว่าแม้บริษัทจะตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือยุโรป หากมีผู้ถือหุ้นจีนเป็นหลัก ก็จะถูกตัดออกจากการใช้งาน Claude ทันที Anthropic ระบุว่าเหตุผลหลักคือ “ความเสี่ยงด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และความมั่นคง” โดยเฉพาะความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับให้บริษัทในเครือส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยข่าวกรองหรือกองทัพ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ AI ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม ผลกระทบทางธุรกิจไม่เล็ก—Anthropic ยอมรับว่าจะสูญเสียรายได้ในระดับ “หลายร้อยล้านดอลลาร์” แต่ยืนยันว่าการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัยต่อความมั่นคงนั้นสำคัญกว่า ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังข่าวเผยแพร่ บริษัท Zhipu ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน ได้เปิดตัว “Claude Migration Toolkit” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายจาก Claude ไปยัง GLM-4.5 ได้ทันที พร้อมแจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude ถึง 3 เท่า ก่อนหน้านี้ Alibaba ก็เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI ในจีน และตอนนี้ดูเหมือนว่าบริษัทจีนกำลังเร่งสร้าง ecosystem ของตัวเองเพื่อรับมือกับการถูกตัดออกจาก AI ระดับโลก ✅ การอัปเดตนโยบายของ Anthropic ➡️ ปิดกั้นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นจีนเกิน 50% ไม่ว่าจดทะเบียนที่ใด ➡️ ครอบคลุมถึงบริษัทแม่, บริษัทย่อย, และ joint ventures ➡️ ใช้ ownership filter แทน geolocation เป็นครั้งแรกในวงการ AI ✅ เหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ กังวลว่ารัฐจีนอาจบังคับให้บริษัทส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วยงานรัฐ ➡️ เสี่ยงต่อการนำ AI ไปใช้ในงานด้านอาวุธอัตโนมัติหรือการสอดแนม ➡️ Anthropic ยืนยันว่าเป็นการป้องกันการใช้งานในบริบทที่เป็นภัย ✅ ผลกระทบทางธุรกิจ ➡️ สูญเสียรายได้ระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ ➡️ กระทบผู้ใช้ในหลายประเทศที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นจีน ➡️ ยังไม่ชัดเจนว่าจะบังคับใช้นโยบายนี้ผ่าน cloud reseller อย่างไร ✅ การตอบสนองจากฝั่งจีน ➡️ Zhipu เปิดตัว Claude Migration Toolkit พร้อม API GLM-4.5 ➡️ แจก 20 ล้าน token ฟรี และ throughput สูงกว่า Claude 3 เท่า ➡️ Alibaba เคยเปิดตัว Qwen-plus เพื่อรับมือกับการจำกัด API ของ OpenAI https://www.tomshardware.com/tech-industry/anthropic-blocks-chinese-firms-from-claude
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Anthropic blocks Chinese-controlled firms from Claude AI — cites 'legal, regulatory, and security risks'
    Anthropic says that it wants to ensure that “authoritarian” and “adversarial” regimes cannot access its models.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล

    TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว

    แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน

    TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล

    ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป

    การเติบโตของ TikTok ในยุโรป
    มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ
    เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
    คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    สถานะของ TikTok ทั่วโลก
    มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
    เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง
    ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B

    ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล
    ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน
    หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน
    มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน

    การตอบสนองของ TikTok
    ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน
    ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023
    กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ✅ การเติบโตของ TikTok ในยุโรป ➡️ มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ➡️ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด ✅ สถานะของ TikTok ทั่วโลก ➡️ มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง ➡️ ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B ✅ ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล ➡️ ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน ➡️ หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน ➡️ มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน ✅ การตอบสนองของ TikTok ➡️ ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน ➡️ ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023 ➡️ กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TikTok users top 200 million in Europe, firm says
    LONDON (Reuters) -TikTok has more than 200 million monthly users in Europe, or roughly one in three citizens on the continent, the short video app platform said on Friday, the latest sign of its rapid growth among teenagers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก B30A: เมื่อชิปที่ถูกลดสเปกกลายเป็นของหายากที่จีนยอมจ่ายแพงขึ้น 2 เท่า

    Nvidia กำลังเตรียมส่งมอบ B30A ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น—มากกว่ารุ่นก่อนหน้า H20 ที่ขายอยู่ที่ $10,000–$12,000 ถึงเท่าตัว2 แม้จะเป็นเวอร์ชันที่ถูกลดสเปกจาก B300 ตัวเต็ม แต่บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba กลับมองว่า “คุ้มค่า” เพราะ B30A ยังให้ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 6 เท่า และยังคงรองรับซอฟต์แวร์ของ Nvidia ได้ดี

    B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ซึ่งเป็นการลดขนาดจาก B300 ที่ใช้ dual-die เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพครึ่งหนึ่งของ B300 ในทุกระดับ precision ตั้งแต่ FP4 ไปจนถึง TF32

    แม้รัฐบาลจีนจะพยายามผลักดันให้บริษัทในประเทศใช้ชิปภายในประเทศมากขึ้น และมีคำแนะนำให้หยุดซื้อ H20 แต่ความต้องการยังคงสูงมาก จนเกิดการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำให้เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตส่งออกที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

    ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เริ่มลดการผลิต H20 และรอการอนุมัติส่งออก B30A อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกลายเป็นตัวแทนหลักของบริษัทในตลาดจีน หากได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    การเปิดตัวและคุณสมบัติของ B30A
    เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน
    ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ลดสเปกจาก B300
    ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ถึง 6 เท่า แม้จะถูกลดสเปก

    ราคาของ B30A และความต้องการในจีน
    ราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น เท่าตัวของ H20
    บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba ยอมจ่ายเพราะยังคุ้มค่า
    ความต้องการสูงแม้จะมีคำแนะนำจากรัฐบาลให้หยุดซื้อ

    สถานการณ์การส่งออกและการอนุมัติ
    Nvidia รอการอนุมัติส่งออก B30A จากรัฐบาลสหรัฐฯ
    เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปี
    Nvidia เริ่มลดการผลิต H20 และเตรียมเปลี่ยนไปใช้ B30A

    บริบททางภูมิรัฐศาสตร์และอุตสาหกรรม
    การลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านใน 3 เดือน
    รัฐบาลจีนผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ทันที
    Nvidia ยังเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีนในระยะสั้นถึงกลาง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidias-next-gen-ai-chip-could-double-the-price-of-h20-if-china-export-is-approved-chinese-firms-still-consider-nvidias-b30a-a-good-deal
    🎙️ เรื่องเล่าจาก B30A: เมื่อชิปที่ถูกลดสเปกกลายเป็นของหายากที่จีนยอมจ่ายแพงขึ้น 2 เท่า Nvidia กำลังเตรียมส่งมอบ B30A ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น—มากกว่ารุ่นก่อนหน้า H20 ที่ขายอยู่ที่ $10,000–$12,000 ถึงเท่าตัว2 แม้จะเป็นเวอร์ชันที่ถูกลดสเปกจาก B300 ตัวเต็ม แต่บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba กลับมองว่า “คุ้มค่า” เพราะ B30A ยังให้ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 6 เท่า และยังคงรองรับซอฟต์แวร์ของ Nvidia ได้ดี B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ซึ่งเป็นการลดขนาดจาก B300 ที่ใช้ dual-die เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพครึ่งหนึ่งของ B300 ในทุกระดับ precision ตั้งแต่ FP4 ไปจนถึง TF32 แม้รัฐบาลจีนจะพยายามผลักดันให้บริษัทในประเทศใช้ชิปภายในประเทศมากขึ้น และมีคำแนะนำให้หยุดซื้อ H20 แต่ความต้องการยังคงสูงมาก จนเกิดการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำให้เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตส่งออกที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เริ่มลดการผลิต H20 และรอการอนุมัติส่งออก B30A อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกลายเป็นตัวแทนหลักของบริษัทในตลาดจีน หากได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ การเปิดตัวและคุณสมบัติของ B30A ➡️ เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell แบบ single-die ลดสเปกจาก B300 ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ถึง 6 เท่า แม้จะถูกลดสเปก ✅ ราคาของ B30A และความต้องการในจีน ➡️ ราคาสูงถึง $20,000–$25,000 ต่อชิ้น เท่าตัวของ H20 ➡️ บริษัทจีนอย่าง ByteDance และ Alibaba ยอมจ่ายเพราะยังคุ้มค่า ➡️ ความต้องการสูงแม้จะมีคำแนะนำจากรัฐบาลให้หยุดซื้อ ✅ สถานการณ์การส่งออกและการอนุมัติ ➡️ Nvidia รอการอนุมัติส่งออก B30A จากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เกิด backlog การอนุมัติใบอนุญาตที่หนักที่สุดในรอบ 30 ปี ➡️ Nvidia เริ่มลดการผลิต H20 และเตรียมเปลี่ยนไปใช้ B30A ✅ บริบททางภูมิรัฐศาสตร์และอุตสาหกรรม ➡️ การลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า $1 พันล้านใน 3 เดือน ➡️ รัฐบาลจีนผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ทันที ➡️ Nvidia ยังเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีนในระยะสั้นถึงกลาง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidias-next-gen-ai-chip-could-double-the-price-of-h20-if-china-export-is-approved-chinese-firms-still-consider-nvidias-b30a-a-good-deal
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts