• 129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม

    📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨

    🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑
    พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3)

    🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่
    เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน")
    เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน
    เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย)

    🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜
    🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน
    🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน
    🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา

    พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ
    👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี"

    🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾
    แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น
    ✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
    ✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น
    ✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้

    💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้

    🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน
    🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม
    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น
    ✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง
    ✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน
    ✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด

    🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
    พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย
    🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง
    🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก
    🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน

    ⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้
    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี

    แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง

    🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร
    ✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน
    ✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา
    ✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน
    ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน

    เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞

    📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    ❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่?
    ✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร

    ❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร?
    ✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

    ❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต?
    ✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439

    ❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี?
    ✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439)

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568

    🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์
    129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม 📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨ 🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑 พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3) 🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน") เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย) 🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜 🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ 👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี" 🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾 แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น ✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น ✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้ 💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้ 🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน 🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น ✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง ✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน ✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด 🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย 🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง 🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก 🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน ⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง 🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร ✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน ✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา ✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞 📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs) ❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่? ✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร? ✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต? ✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 ❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี? ✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439) ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568 🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวงคนเกิดปีมะเส็ง กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง

    https://youtube.com/shorts/4f_buvH5BSo

    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    ดูดวงคนเกิดปีมะเส็ง กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง https://youtube.com/shorts/4f_buvH5BSo ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวงคนเกิดปีมะโรง กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง

    https://youtube.com/shorts/93ybz_jTYD8

    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    ดูดวงคนเกิดปีมะโรง กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง https://youtube.com/shorts/93ybz_jTYD8 ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวงคนเกิดปีเถาะ กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง

    https://youtube.com/shorts/PCFTmxieVJ0

    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    ดูดวงคนเกิดปีเถาะ กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง https://youtube.com/shorts/PCFTmxieVJ0 ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวงคนเกิดปีขาล กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง

    https://youtube.com/shorts/nAx0I0eGv7A

    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    ดูดวงคนเกิดปีขาล กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง https://youtube.com/shorts/nAx0I0eGv7A ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวงคนเกิดปีฉลู กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง

    https://youtube.com/shorts/Dcd3QbHiPt0

    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    ดูดวงคนเกิดปีฉลู กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง https://youtube.com/shorts/Dcd3QbHiPt0 ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวงคนเกิดปีชวด กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง

    https://youtube.com/shorts/70hyH187BMQ

    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    ดูดวงคนเกิดปีชวด กุมภาพันธ์ 2568 #ดูดวง https://youtube.com/shorts/70hyH187BMQ ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดุดวง 12 นักษัตร เดือนกุมภาพันธ์ 2568
    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล
    ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้
    ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง
    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    https://youtu.be/OJIujfUuxhc
    ดูดวง 12 นักษัตร เดือนกุมภาพันธ์ 2568
    00:00 บทนำ
    01:33 ดวง ปีชวด (หนู)
    03:30 ดวง ปีฉลู (วัว)
    05:17 ดวง ปีขาล (เสือ)
    07:02 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย)
    08:49 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่)
    10:40 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก)
    12:35 ดวง ปีมะเมีย (ม้า)
    14:11 ดวง ปีมะแม (แพะ)
    15:55 ดวง ปีวอก (ลิง)
    18:00 ดวง ปีระกา (ไก่)
    19:47 ดวง ปีจอ (หมา)
    21:41 ดวง ปีกุน (หมู)

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568
    #ดูดวง

    ดุดวง 12 นักษัตร เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข คำทำนายนี้มีผล ในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นเดือนโบ่ว เอี้ยง นักษัตร ขาล พลังไม้ ธาตุดิน เป็นเดือนเริ่มต้นของ ปีอิก จี๋ ปีมะเส็งพลังไฟ ธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการเริ่มต้น ส่งเสริมสิ่งใหม่ การลงทุนลงแรง การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนขาลจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน https://youtu.be/OJIujfUuxhc ดูดวง 12 นักษัตร เดือนกุมภาพันธ์ 2568 00:00 บทนำ 01:33 ดวง ปีชวด (หนู) 03:30 ดวง ปีฉลู (วัว) 05:17 ดวง ปีขาล (เสือ) 07:02 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย) 08:49 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่) 10:40 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก) 12:35 ดวง ปีมะเมีย (ม้า) 14:11 ดวง ปีมะแม (แพะ) 15:55 ดวง ปีวอก (ลิง) 18:00 ดวง ปีระกา (ไก่) 19:47 ดวง ปีจอ (หมา) 21:41 ดวง ปีกุน (หมู) คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 3กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568 #ดูดวง
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..."

    ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ

    เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า

    "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว

    ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ

    ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง

    ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..."

    สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน

    ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ

    อ้างอิง:

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html

    อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/

    คลิปรายการของไทยโพสต์:
    https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..." ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..." สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ อ้างอิง: พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/ คลิปรายการของไทยโพสต์: https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สูญเสีย #ความสามารถ ในการ #พึ่งพาตนเอง #อาหาร #พอเพียง #หากิน #เพาะปลูก #กสิกรรมธรรมชาติ
    https://youtu.be/JQCu6NSjaps
    #สูญเสีย #ความสามารถ ในการ #พึ่งพาตนเอง #อาหาร #พอเพียง #หากิน #เพาะปลูก #กสิกรรมธรรมชาติ https://youtu.be/JQCu6NSjaps
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • แก้ชง...ถูกเวลา ถูกองค์

    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่า วันขึ้นปีใหม่เปรียบเสมือนเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากได้ริเริ่ม กระทำสิ่งมงคลแก่ชีวิตย่อมเสริมส่งชะตาของตนได้ตลอดทั้งปี ดั่งเช่น การไหว้แก้ชงในช่วงต้นปีจะช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายภัยเวรของตนได้ อีกทั้งยังช่วยประทานพรความสุขสิริมงคลแก่ชีวิตให้ไม่ตกต่ำย่ำแย่สาหัสจนเกินไป โดยไม่เคยรับรู้เลยว่าวันเริ่มต้นปีใหม่ทางโหราศาสตร์จีนที่แท้จริงนั้นคือวันใด บ้างก็เข้าใจว่าเป็นวันที่ 1 มกราคมของทุกปี บ้างก็คิดว่าเป็นวัน 初一 (ชิวอิก)ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งความเข้าใจเหล่านั้นค่อนข้างจะคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก เพราะหากแก้ชงผิดช่วงห้วงเวลาย่อมส่งผลกระทบต่อการไหว้ให้ถูกต้องถูกองค์ต่อองค์เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา 太歲爺 (ไท๊ส่วยเอี๊ย) ประจำปีใหม่นั้นๆไปด้วย
    โหราศาสตร์จีนโบราณจะประกอบด้วยฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยจะเริ่มฤดูใบไม้ผลิเป็นต้นแห่งฤดูกาลประมาณช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆปีตามที่ชาวจีนเรียกสาร์ทๆนี้ว่า สาร์ท "立春"(หลิบชุน) เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการผลัดเปลี่ยนนักษัตรประจำปีในแต่ละปี

    ประเทศจีนเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่เก่าก่อน ฤดูใบไม้ผลิจึงเปรียบเสมือนธาตุไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งการก่อเกิดของมวลสรรพสิ่ง ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเพาะปลูกส่งผลให้เกิดผลิตผลเป็นจำนวนมาก ญาติพี่น้องลูกหลานที่อยู่ต่างถิ่นจะเดินทางกลับมาช่วยกันหว่านไถเพาะปลูก จึงถือโอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการผลัดเปลี่ยนนักษัตรประจำปี ซึ่งในปีพ.ศ.2568 นี้จะตรงกับวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น. ถึงจะนับได้ว่าเข้าสู่ปีมะเส็งไม้乙巳(อิกจี๋) ธาตุไฟ เต็มตัวอย่างแท้จริง

    สำหรับท่านที่แก้ชงก่อนหน้าสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วควรกลับไปแก้ชงอีกครั้ง หลังวันและเวลาดังกล่าว เพื่อแสดงตนเป็นลูกหลานพร้อมขอขมาและกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าเฝ้าดูแลดวงชะตา“太歲爺”(ไท๊ส่วยเอี๊ย) ประจำปีจร 2568 มะเส็งไม้“乙巳”(อิกจี๋) ธาตุไฟ ที่มีพระนามว่า“吳遂大星軍”(โง้วซุ้ยไต่แชกุง) จึงจะแก้ชงได้ถูกต้องถูกองค์
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    แก้ชง...ถูกเวลา ถูกองค์ ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่า วันขึ้นปีใหม่เปรียบเสมือนเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากได้ริเริ่ม กระทำสิ่งมงคลแก่ชีวิตย่อมเสริมส่งชะตาของตนได้ตลอดทั้งปี ดั่งเช่น การไหว้แก้ชงในช่วงต้นปีจะช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายภัยเวรของตนได้ อีกทั้งยังช่วยประทานพรความสุขสิริมงคลแก่ชีวิตให้ไม่ตกต่ำย่ำแย่สาหัสจนเกินไป โดยไม่เคยรับรู้เลยว่าวันเริ่มต้นปีใหม่ทางโหราศาสตร์จีนที่แท้จริงนั้นคือวันใด บ้างก็เข้าใจว่าเป็นวันที่ 1 มกราคมของทุกปี บ้างก็คิดว่าเป็นวัน 初一 (ชิวอิก)ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งความเข้าใจเหล่านั้นค่อนข้างจะคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก เพราะหากแก้ชงผิดช่วงห้วงเวลาย่อมส่งผลกระทบต่อการไหว้ให้ถูกต้องถูกองค์ต่อองค์เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา 太歲爺 (ไท๊ส่วยเอี๊ย) ประจำปีใหม่นั้นๆไปด้วย โหราศาสตร์จีนโบราณจะประกอบด้วยฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยจะเริ่มฤดูใบไม้ผลิเป็นต้นแห่งฤดูกาลประมาณช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆปีตามที่ชาวจีนเรียกสาร์ทๆนี้ว่า สาร์ท "立春"(หลิบชุน) เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการผลัดเปลี่ยนนักษัตรประจำปีในแต่ละปี ประเทศจีนเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่เก่าก่อน ฤดูใบไม้ผลิจึงเปรียบเสมือนธาตุไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งการก่อเกิดของมวลสรรพสิ่ง ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเพาะปลูกส่งผลให้เกิดผลิตผลเป็นจำนวนมาก ญาติพี่น้องลูกหลานที่อยู่ต่างถิ่นจะเดินทางกลับมาช่วยกันหว่านไถเพาะปลูก จึงถือโอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการผลัดเปลี่ยนนักษัตรประจำปี ซึ่งในปีพ.ศ.2568 นี้จะตรงกับวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น. ถึงจะนับได้ว่าเข้าสู่ปีมะเส็งไม้乙巳(อิกจี๋) ธาตุไฟ เต็มตัวอย่างแท้จริง สำหรับท่านที่แก้ชงก่อนหน้าสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วควรกลับไปแก้ชงอีกครั้ง หลังวันและเวลาดังกล่าว เพื่อแสดงตนเป็นลูกหลานพร้อมขอขมาและกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าเฝ้าดูแลดวงชะตา“太歲爺”(ไท๊ส่วยเอี๊ย) ประจำปีจร 2568 มะเส็งไม้“乙巳”(อิกจี๋) ธาตุไฟ ที่มีพระนามว่า“吳遂大星軍”(โง้วซุ้ยไต่แชกุง) จึงจะแก้ชงได้ถูกต้องถูกองค์ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระดาษไป๋ลู่

    สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องกระดาษโบราณ

    ในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการสืบคดีในวังเพื่อหาคนที่เขียนข้อความที่มีความเกี่ยวพันกับก๊วนกบฏ และหนึ่งในหลักฐานที่ใช้คือกระดาษไป๋ลู่ (白鹿纸 ใช่ค่ะ... ไป๋ลู่อักษรเดียวกับชื่อนักแสดงหญิงที่หลายคนคุ้นเคย แปลว่ากวางขาว) มีการอธิบายไว้ในซีรีส์ว่า กระดาษไป๋ลู่มีใช้เพียงในวัง มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าแจกจ่ายไปให้ใครเมื่อไหร่เป็นจำนวนเท่าใด

    ข้อมูลเกี่ยวกับกระดาษไป๋ลู่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ระบุแต่เพียงว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้ในวัง เป็นกระดาษที่ผลิตยากมาก เนื้อดีเหมาะกับการเขียนหรือวาดรูป เป็นกระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง มีขนาดมาตรฐานคือยาวหนึ่งจ้างสองฉื่อ (คือยาวประมาณ 3.7 เมตร) จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดาษ ‘จ้างเอ้อร์เซวียน’ (丈二宣) ขนาดมาตรฐานปัจจุบันคือ 1.5 x 3.7 เมตร

    แล้วกระดาษเซวียนจื่อ (宣纸) คืออะไร?

    กระดาษเซวียนจื่อจัดอยู่ในกลุ่มกระดาษที่ทำจากเยื่อเปลือกไม้ ซึ่งกระดาษจีนโบราณจะจัดแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต คือ 1. กระดาษใยปอ/ใยป่าน (麻 纸 / หมาจื่อ) ทำจากเส้นใยปอและใยป่าน 2. กระดาษเยื่อเปลือกไม้ (皮纸 / ผีจื่อ) คือทำจากเยื่อเปลือกไม้ชนิดต่างๆ 3. กระดาษเยื่อไผ่ (竹 纸 / จู๋จื่อ) และ 4. กระดาษใยฝ้าย (棉 纸 / เหมียนจื่อ)

    กระดาษเยื่อเปลือกไม้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสมัยถัง มีการพัฒนาขึ้นหลายชนิด เป็นกลุ่มกระดาษที่มีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนื้อกระดาษแตกต่างกันไปตามชนิดของเปลือกไม้ที่ใช้และน้ำที่ใช้ รวมถึงอาจใช้เส้นใยปอหรือใยฝ้ายมาผสมให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นที่มาว่าทำไมในซีรีส์/นิยายจีนโบราณจึงมีการดูจากเนื้อกระดาษแล้วสามารถบอกได้ว่ามาจากพื้นที่ใดเพราะต้นไม้บางชนิดจะพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น กระดาษเยื่อเปลือกไม้มีทั้งเนื้อหยาบที่สามารถทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ และเนื้อละเอียดที่ใช้ในงานเขียนหรืองานวาดที่ต้องใช้ความละเอียดมาก ว่ากันว่านักเขียนและนักวาดบางคนคิดค้นกระดาษเนื้อพิเศษของตนเองขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย

    กรรมวิธีการผลิตกระดาษเยื่อเปลือกไม้ก็คล้ายกับการทำกระดาษสาบ้านเรา คือเอาไม้ไปแช่ในน้ำแล้วทุบแตกจนเปื่อย คัดเอาเยื่อออกมาต้ม อาจใส่ส่วนผสมอื่นเช่นเกลือหรือน้ำหัวไชเท้าเพื่อเสริมความเนียนและความคงทนของกระดาษ เคี่ยวและบดแล้วนำมากรอง จากนั้นเอามาปูบางๆ บนพิมพ์แล้วตากแห้ง แห้งแล้วก็นำมาเรียงและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ แน่นอนว่านี่เป็นการเล่าโดยคร่าว ไม่สามารถสะท้อนถึงความพิถีพิถันของแต่ละขั้นตอนและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งความพิถีพิถันดังกล่าวเป็นหัวใจของการผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน

    กระดาษเซวียนจื่อเกิดขึ้นในสมัยถัง มีที่มาจากพื้นที่เซวียนโจว (แถบหวงซาน เขตพื้นที่มณฑลอันฮุยปัจจุบัน) เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้สองชนิดคือ 1) เปลือกของไม้ชิงถาน (青檀 / Blue Sandalwood) อยู่ในกลุ่มไม้จันทร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ขึ้นตามธรรมชาติ และเปลือกไม้จันทร์ชนิดอื่นไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนในการผลิตกระดาษเซวียนจื่อนี้ได้ มันเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กระดาษมีความเหนียว คงสภาพได้ดีไม่ยับง่าย ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทำให้กระดาษมีความคงทน และ 2) ต้นข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซาเถียนเต้า’ (沙田稻) โดยเป็นส่วนผสมที่ให้ความนุ่มต่อกระดาษด้วยเส้นใยที่สั้นกว่าไม้ชิงถาน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเพาะปลูกต้นข้าวชนิดนี้แล้ว ดังนั้นกระดาษเซวียนจื่อที่มีขายปัจจุบันจะมีเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนของโบราณและกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณได้สาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง

    กรรมวิธีการเตรียมเยื่อไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันเล็กน้อย แยกกันทำแล้วค่อยนำมาเคี่ยวผสมกัน และส่วนผสมของเยื่อไม้ทั้งสองและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจะทำให้ได้เนื้อกระดาษเซวียนจื่อที่หลากหลายมาก มีความละเอียดและเนียนหยาบแตกต่างกัน มีความสามารถดูดซึมน้ำหมึกได้ต่างกัน (แน่นอนว่าผงหมึกก็มีความแตกต่าง แบ่งแยกเป็นของแพงและของถูก ฯลฯ) มีสีขาวเหลืองอ่อนแก่แตกต่างกัน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับงานเขียนและงานวาดเพราะดูดซึมหมึกได้ดีและผิวเนียนเรียบกว่ากระดาษจากใยปอ/ใยป่านหรือกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดอื่น และมีความคงทนกว่า จึงถูกยกย่องเป็น ‘กระดาษพันปี’

    กระดาษเซวียนจื่อแบ่งได้เป็นสามเกรดหลักตามสัดส่วนของเยื่อเปลือกไม้ชิงถาน และกระดาษไป๋ลู่คือกระดาษเซวียนจื่อเกรดดีที่สุด คือมีส่วนผสมของเปลือกไม้ชิงถานไม่ต่ำกว่า 80% มีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต เป็นกระดาษที่ดูดซับน้ำหมึกได้ดี ทำให้ลายเส้นอักษรคมชัดแต่ไม่กระด้าง แสดงความพลิ้วไหวของลายเส้นได้ดี มีการบรรยายว่าเนื้อกระดาษเนียนนุ่มดุจไหม สีขาวนวลดุจหยก

    ว่ากันว่า กระดาษไป๋ลู่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนโดยนักพรตคนหนึ่งสำหรับไว้ใช้เอง ต่อมาถูกนำมาใช้ในวังเรียกว่ากระดาษไป๋ลู่หรือกวางขาวเพราะมีเส้นลายที่ดูเป็นลายหนังกวางซึ่งถูกมองว่าเป็นลายมงคล ต่อมามีคนที่ผลิตได้ไม่กี่ตระกูล จึงเป็นกระดาษที่มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและหายากมาก

    กระดาษมีหน่วยนับเป็น ‘เตา’ (刀 แปลว่ามีด) ซึ่ง Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าในละครแปลไว้อย่างไร แต่หนึ่งเตาสมัยโบราณคือกระดาษจำนวน 25 แผ่น มีที่มาของการเรียกอย่างนี้ก็คือ หนึ่งมีดสามารถตัดกระดาษโดยไม่เบี้ยวที่ 25 แผ่นนั่นเอง (หมายเหตุ ด้วยวิวัฒนาการผลิต ปัจจุบันหนึ่งเตาคือหนึ่งรีมหรือ 100 แผ่น)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://new.qq.com/rain/a/20231130A00YSS00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1263914
    http://www.chinapaper.net/jjnews/show-353.html
    http://www.chinapaper.net/jjnews/show-222.html
    https://baike.baidu.com/item/檀皮宣纸/1802446
    https://baike.baidu.com/item/宣纸/329910
    https://www.sohu.com/a/362150345_616747

    #เล่ห์รักวังคุนหนิง #ไป๋ลู่จื่อ #กระดาษไป๋ลู่ #กระดาษจีน #เซวียนจื่อ #การผลิตกระดาษจีน #กระดาษเยื่อเปลือกไม้
    กระดาษไป๋ลู่ สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องกระดาษโบราณ ในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการสืบคดีในวังเพื่อหาคนที่เขียนข้อความที่มีความเกี่ยวพันกับก๊วนกบฏ และหนึ่งในหลักฐานที่ใช้คือกระดาษไป๋ลู่ (白鹿纸 ใช่ค่ะ... ไป๋ลู่อักษรเดียวกับชื่อนักแสดงหญิงที่หลายคนคุ้นเคย แปลว่ากวางขาว) มีการอธิบายไว้ในซีรีส์ว่า กระดาษไป๋ลู่มีใช้เพียงในวัง มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าแจกจ่ายไปให้ใครเมื่อไหร่เป็นจำนวนเท่าใด ข้อมูลเกี่ยวกับกระดาษไป๋ลู่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ระบุแต่เพียงว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้ในวัง เป็นกระดาษที่ผลิตยากมาก เนื้อดีเหมาะกับการเขียนหรือวาดรูป เป็นกระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง มีขนาดมาตรฐานคือยาวหนึ่งจ้างสองฉื่อ (คือยาวประมาณ 3.7 เมตร) จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดาษ ‘จ้างเอ้อร์เซวียน’ (丈二宣) ขนาดมาตรฐานปัจจุบันคือ 1.5 x 3.7 เมตร แล้วกระดาษเซวียนจื่อ (宣纸) คืออะไร? กระดาษเซวียนจื่อจัดอยู่ในกลุ่มกระดาษที่ทำจากเยื่อเปลือกไม้ ซึ่งกระดาษจีนโบราณจะจัดแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต คือ 1. กระดาษใยปอ/ใยป่าน (麻 纸 / หมาจื่อ) ทำจากเส้นใยปอและใยป่าน 2. กระดาษเยื่อเปลือกไม้ (皮纸 / ผีจื่อ) คือทำจากเยื่อเปลือกไม้ชนิดต่างๆ 3. กระดาษเยื่อไผ่ (竹 纸 / จู๋จื่อ) และ 4. กระดาษใยฝ้าย (棉 纸 / เหมียนจื่อ) กระดาษเยื่อเปลือกไม้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสมัยถัง มีการพัฒนาขึ้นหลายชนิด เป็นกลุ่มกระดาษที่มีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนื้อกระดาษแตกต่างกันไปตามชนิดของเปลือกไม้ที่ใช้และน้ำที่ใช้ รวมถึงอาจใช้เส้นใยปอหรือใยฝ้ายมาผสมให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นที่มาว่าทำไมในซีรีส์/นิยายจีนโบราณจึงมีการดูจากเนื้อกระดาษแล้วสามารถบอกได้ว่ามาจากพื้นที่ใดเพราะต้นไม้บางชนิดจะพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น กระดาษเยื่อเปลือกไม้มีทั้งเนื้อหยาบที่สามารถทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ และเนื้อละเอียดที่ใช้ในงานเขียนหรืองานวาดที่ต้องใช้ความละเอียดมาก ว่ากันว่านักเขียนและนักวาดบางคนคิดค้นกระดาษเนื้อพิเศษของตนเองขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย กรรมวิธีการผลิตกระดาษเยื่อเปลือกไม้ก็คล้ายกับการทำกระดาษสาบ้านเรา คือเอาไม้ไปแช่ในน้ำแล้วทุบแตกจนเปื่อย คัดเอาเยื่อออกมาต้ม อาจใส่ส่วนผสมอื่นเช่นเกลือหรือน้ำหัวไชเท้าเพื่อเสริมความเนียนและความคงทนของกระดาษ เคี่ยวและบดแล้วนำมากรอง จากนั้นเอามาปูบางๆ บนพิมพ์แล้วตากแห้ง แห้งแล้วก็นำมาเรียงและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ แน่นอนว่านี่เป็นการเล่าโดยคร่าว ไม่สามารถสะท้อนถึงความพิถีพิถันของแต่ละขั้นตอนและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งความพิถีพิถันดังกล่าวเป็นหัวใจของการผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน กระดาษเซวียนจื่อเกิดขึ้นในสมัยถัง มีที่มาจากพื้นที่เซวียนโจว (แถบหวงซาน เขตพื้นที่มณฑลอันฮุยปัจจุบัน) เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้สองชนิดคือ 1) เปลือกของไม้ชิงถาน (青檀 / Blue Sandalwood) อยู่ในกลุ่มไม้จันทร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ขึ้นตามธรรมชาติ และเปลือกไม้จันทร์ชนิดอื่นไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนในการผลิตกระดาษเซวียนจื่อนี้ได้ มันเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กระดาษมีความเหนียว คงสภาพได้ดีไม่ยับง่าย ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทำให้กระดาษมีความคงทน และ 2) ต้นข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซาเถียนเต้า’ (沙田稻) โดยเป็นส่วนผสมที่ให้ความนุ่มต่อกระดาษด้วยเส้นใยที่สั้นกว่าไม้ชิงถาน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเพาะปลูกต้นข้าวชนิดนี้แล้ว ดังนั้นกระดาษเซวียนจื่อที่มีขายปัจจุบันจะมีเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนของโบราณและกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณได้สาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง กรรมวิธีการเตรียมเยื่อไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันเล็กน้อย แยกกันทำแล้วค่อยนำมาเคี่ยวผสมกัน และส่วนผสมของเยื่อไม้ทั้งสองและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจะทำให้ได้เนื้อกระดาษเซวียนจื่อที่หลากหลายมาก มีความละเอียดและเนียนหยาบแตกต่างกัน มีความสามารถดูดซึมน้ำหมึกได้ต่างกัน (แน่นอนว่าผงหมึกก็มีความแตกต่าง แบ่งแยกเป็นของแพงและของถูก ฯลฯ) มีสีขาวเหลืองอ่อนแก่แตกต่างกัน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับงานเขียนและงานวาดเพราะดูดซึมหมึกได้ดีและผิวเนียนเรียบกว่ากระดาษจากใยปอ/ใยป่านหรือกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดอื่น และมีความคงทนกว่า จึงถูกยกย่องเป็น ‘กระดาษพันปี’ กระดาษเซวียนจื่อแบ่งได้เป็นสามเกรดหลักตามสัดส่วนของเยื่อเปลือกไม้ชิงถาน และกระดาษไป๋ลู่คือกระดาษเซวียนจื่อเกรดดีที่สุด คือมีส่วนผสมของเปลือกไม้ชิงถานไม่ต่ำกว่า 80% มีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต เป็นกระดาษที่ดูดซับน้ำหมึกได้ดี ทำให้ลายเส้นอักษรคมชัดแต่ไม่กระด้าง แสดงความพลิ้วไหวของลายเส้นได้ดี มีการบรรยายว่าเนื้อกระดาษเนียนนุ่มดุจไหม สีขาวนวลดุจหยก ว่ากันว่า กระดาษไป๋ลู่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนโดยนักพรตคนหนึ่งสำหรับไว้ใช้เอง ต่อมาถูกนำมาใช้ในวังเรียกว่ากระดาษไป๋ลู่หรือกวางขาวเพราะมีเส้นลายที่ดูเป็นลายหนังกวางซึ่งถูกมองว่าเป็นลายมงคล ต่อมามีคนที่ผลิตได้ไม่กี่ตระกูล จึงเป็นกระดาษที่มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและหายากมาก กระดาษมีหน่วยนับเป็น ‘เตา’ (刀 แปลว่ามีด) ซึ่ง Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าในละครแปลไว้อย่างไร แต่หนึ่งเตาสมัยโบราณคือกระดาษจำนวน 25 แผ่น มีที่มาของการเรียกอย่างนี้ก็คือ หนึ่งมีดสามารถตัดกระดาษโดยไม่เบี้ยวที่ 25 แผ่นนั่นเอง (หมายเหตุ ด้วยวิวัฒนาการผลิต ปัจจุบันหนึ่งเตาคือหนึ่งรีมหรือ 100 แผ่น) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://new.qq.com/rain/a/20231130A00YSS00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1263914 http://www.chinapaper.net/jjnews/show-353.html http://www.chinapaper.net/jjnews/show-222.html https://baike.baidu.com/item/檀皮宣纸/1802446 https://baike.baidu.com/item/宣纸/329910 https://www.sohu.com/a/362150345_616747 #เล่ห์รักวังคุนหนิง #ไป๋ลู่จื่อ #กระดาษไป๋ลู่ #กระดาษจีน #เซวียนจื่อ #การผลิตกระดาษจีน #กระดาษเยื่อเปลือกไม้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • พันธุ์เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน!
    "ทุเรียนจีน" แพ้ "ทุเรียนไทย" กระจุย
    นักวิทย์จีนอึ้ง สารอาหารต่างกันลิบลับ
    .
    วันนี้ (22 ธ.ค.) สื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกงรายงานว่าจากผลการตรวจสอบสารอาหารของทุเรียนที่เพาะปลูกบนเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ของจีนนั้น พบว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าทุเรียนพันธุ์เดียวกันที่นำเข้าจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก
    .
    สำหรับการศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรก ๆ ในเรื่องนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำยกตัวอย่างว่า "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" ที่ปลูกในประเทศจีนนั้นไม่มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเลย ในขณะที่ทุเรียนหมอนทองที่ปลูกในไทยอุดมด้วยสารเคอร์ซิตินจำนวนมาก
    .
    นอกจากนี้ ทุเรียนที่ปลูกบนเกาะไหหลำพันธุ์เดียวที่มีสารเคอร์ซิตินอยู่บ้างคือ "ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว" แต่สารเคอร์ซิตินที่มีนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุเรียนก้านยานที่ปลูกประะเทศไทยถึง 520 เท่า และต่ำกว่าพันธุ์หมอนทองของไทยถึง 540,000 เท่า !
    .
    ในส่วนของกรดแกลลิก (Gallic Acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง นักวิจัยของจีนพบว่า ไม่พบสารดังกล่าวในพันธุ์ก้านยาวที่ปลูกในจีน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ แต่ระดับของกรดแกลลิกในพันธุ์หมอนทองนั้น “ต่ำกว่าระดับที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้มาก”
    .
    ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาคุณค่าทางอาหารของ "ทุเรียนไทย" ในปี 2551 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" มีกรดแกลลิกราว 2,072 ไมโครกรัมต่อทุเรียน 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนซึ่งมีกรดแกลลิกเพียงแค่ 22.85 นาโนกรัม ถึง 906 เท่า
    .
    จาง จิง หัวหน้าคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซานย่าหนานฝานแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำ (海南大学南繁学院) ให้เหตุผลว่า “ความแตกต่างของสภาพอากาศและปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารในดินอาจส่งผลต่อการสะสมสารอาหารในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยอาจส่งผลให้มีสารบางชนิดในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่บางชนิดอาจไม่มีเลย” เธอกล่าว
    .
    ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสารภาษาจีน Food and Fermentation Industries (食品与发酵工业) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา นักวิจัยระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในทุเรียน 3 ชนิดที่ศึกษา ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว และมูซังคิง ได้แก่ โพรไซยานิดิน บี 1, คาเทชิน และเคอร์ซิติน

    “ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าก้านยาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองที่แข็งแกร่งที่สุด (จากทั้งสามชนิด)” นักวิจัยจีนระบุ
    .
    ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทุเรียนมากที่สุดในโลก โดยจีนนำเข้าทุเรียนมากถึง 95% ของทั่วโลก โดยต่อมาในปี 2561 จีนได้ดำเนินการเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ที่เกาะไหหลำ ซึ่งเป็พื้นที่เพียงแห่งเดียวที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกผลไม้เขตร้อนชนิดนี้
    .
    จริง ๆ แล้ว จีนเริ่มมีการเพาะพันธุ์ทุเรียนอย่างจริงจังที่มณฑลไห่หนาน หรือ เกาะไหหลำเมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2501 โดยมีการนำต้นกล้าทุเรียนจากประเทศมาเลเซียเข้ามาปลูกบนเกาะ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการปลูก และการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด จึงมีต้นทุเรียนเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 60 ปี นักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรของจีนได้ทำการผสมเกสรเทียม ปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกทุเรียนจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ เกาะไหหลำมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 10,000 ไร่ ให้ผลผลิตทุเรียนมากถึง 40,000 ตันต่อปี แต่ว่าก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าทุเรียนของจีนที่คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้าน 4 แสนตันต่อปี
    .
    คลิกฟัง Podcast บูรพาไม่แพ้ Ep.96 : ไหวไหม? ทุเรียน Made in China ท้าแข่งทุเรียนไทย
    >> https://www.youtube.com/watch?v=6khyvzCT5H0
    .
    .
    อ้างอิง :
    • Scientists find key nutrient missing in China-grown durian
    https://www.scmp.com/news/china/science/article/3291480/scientists-find-key-nutrient-missing-china-grown-durian
    • ภาพประกอบจากwww.xinhuathai.com
    พันธุ์เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน! "ทุเรียนจีน" แพ้ "ทุเรียนไทย" กระจุย นักวิทย์จีนอึ้ง สารอาหารต่างกันลิบลับ . วันนี้ (22 ธ.ค.) สื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกงรายงานว่าจากผลการตรวจสอบสารอาหารของทุเรียนที่เพาะปลูกบนเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ของจีนนั้น พบว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าทุเรียนพันธุ์เดียวกันที่นำเข้าจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก . สำหรับการศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรก ๆ ในเรื่องนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำยกตัวอย่างว่า "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" ที่ปลูกในประเทศจีนนั้นไม่มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเลย ในขณะที่ทุเรียนหมอนทองที่ปลูกในไทยอุดมด้วยสารเคอร์ซิตินจำนวนมาก . นอกจากนี้ ทุเรียนที่ปลูกบนเกาะไหหลำพันธุ์เดียวที่มีสารเคอร์ซิตินอยู่บ้างคือ "ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว" แต่สารเคอร์ซิตินที่มีนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุเรียนก้านยานที่ปลูกประะเทศไทยถึง 520 เท่า และต่ำกว่าพันธุ์หมอนทองของไทยถึง 540,000 เท่า ! . ในส่วนของกรดแกลลิก (Gallic Acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง นักวิจัยของจีนพบว่า ไม่พบสารดังกล่าวในพันธุ์ก้านยาวที่ปลูกในจีน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ แต่ระดับของกรดแกลลิกในพันธุ์หมอนทองนั้น “ต่ำกว่าระดับที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้มาก” . ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาคุณค่าทางอาหารของ "ทุเรียนไทย" ในปี 2551 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" มีกรดแกลลิกราว 2,072 ไมโครกรัมต่อทุเรียน 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนซึ่งมีกรดแกลลิกเพียงแค่ 22.85 นาโนกรัม ถึง 906 เท่า . จาง จิง หัวหน้าคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซานย่าหนานฝานแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำ (海南大学南繁学院) ให้เหตุผลว่า “ความแตกต่างของสภาพอากาศและปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารในดินอาจส่งผลต่อการสะสมสารอาหารในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยอาจส่งผลให้มีสารบางชนิดในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่บางชนิดอาจไม่มีเลย” เธอกล่าว . ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสารภาษาจีน Food and Fermentation Industries (食品与发酵工业) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา นักวิจัยระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในทุเรียน 3 ชนิดที่ศึกษา ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว และมูซังคิง ได้แก่ โพรไซยานิดิน บี 1, คาเทชิน และเคอร์ซิติน “ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าก้านยาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองที่แข็งแกร่งที่สุด (จากทั้งสามชนิด)” นักวิจัยจีนระบุ . ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทุเรียนมากที่สุดในโลก โดยจีนนำเข้าทุเรียนมากถึง 95% ของทั่วโลก โดยต่อมาในปี 2561 จีนได้ดำเนินการเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ที่เกาะไหหลำ ซึ่งเป็พื้นที่เพียงแห่งเดียวที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกผลไม้เขตร้อนชนิดนี้ . จริง ๆ แล้ว จีนเริ่มมีการเพาะพันธุ์ทุเรียนอย่างจริงจังที่มณฑลไห่หนาน หรือ เกาะไหหลำเมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2501 โดยมีการนำต้นกล้าทุเรียนจากประเทศมาเลเซียเข้ามาปลูกบนเกาะ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการปลูก และการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด จึงมีต้นทุเรียนเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 60 ปี นักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรของจีนได้ทำการผสมเกสรเทียม ปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกทุเรียนจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ เกาะไหหลำมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 10,000 ไร่ ให้ผลผลิตทุเรียนมากถึง 40,000 ตันต่อปี แต่ว่าก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าทุเรียนของจีนที่คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้าน 4 แสนตันต่อปี . คลิกฟัง Podcast บูรพาไม่แพ้ Ep.96 : ไหวไหม? ทุเรียน Made in China ท้าแข่งทุเรียนไทย >> https://www.youtube.com/watch?v=6khyvzCT5H0 . . อ้างอิง : • Scientists find key nutrient missing in China-grown durian https://www.scmp.com/news/china/science/article/3291480/scientists-find-key-nutrient-missing-china-grown-durian • ภาพประกอบจากwww.xinhuathai.com
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 742 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูดวง 12 นักษัตร เดือนมกราคม 2568
    ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือน มกราคม 2568 ของคนที่เกิดทั้ง 12 นักษัตร ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข

    เดือน มกราคม เป็นเดือน เต็ง ทิ่ว นักษัตร ฉลู พลังดิน ธาตุไฟ เป็นเดือนสุดท้ายของ ปีกะซิ้ง ปีมะโรง พลังดินธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังก่อเกิดเสริมการเตรียมพร้อม ในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจด้านการผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูกอสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง

    ในเดือนนี้ นักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนฉลูจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด ขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    https://www.youtube.com/watch?v=ZHks-mZySNo

    ดูดวง 12 นักษัตร เดือนธันวาคม 2567
    00:00 บทนำ
    01:26 ดวง ปีชวด (หนู)
    02:54 ดวง ปีฉลู (วัว)
    04:23 ดวง ปีขาล (เสือ)
    05:42 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย)
    06:58 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่)
    08:18 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก)
    09:51 ดวง ปีมะเมีย (ม้า)
    11:23 ดวง ปีมะแม (แพะ)
    13:08 ดวง ปีวอก (ลิง)
    14:37 ดวง ปีระกา (ไก่)
    16:09 ดวง ปีจอ (หมา)
    17:36 ดวง ปีกุน (หมู)

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 5 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568
    ดูดวง 12 นักษัตร เดือนมกราคม 2568 ทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือน มกราคม 2568 ของคนที่เกิดทั้ง 12 นักษัตร ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข เดือน มกราคม เป็นเดือน เต็ง ทิ่ว นักษัตร ฉลู พลังดิน ธาตุไฟ เป็นเดือนสุดท้ายของ ปีกะซิ้ง ปีมะโรง พลังดินธาตุไม้ ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังก่อเกิดเสริมการเตรียมพร้อม ในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจด้านการผลิตอาหาร สินค้าการเกษตร การเพาะปลูกอสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิง ในเดือนนี้ นักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนฉลูจะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด ขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน https://www.youtube.com/watch?v=ZHks-mZySNo ดูดวง 12 นักษัตร เดือนธันวาคม 2567 00:00 บทนำ 01:26 ดวง ปีชวด (หนู) 02:54 ดวง ปีฉลู (วัว) 04:23 ดวง ปีขาล (เสือ) 05:42 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย) 06:58 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่) 08:18 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก) 09:51 ดวง ปีมะเมีย (ม้า) 11:23 ดวง ปีมะแม (แพะ) 13:08 ดวง ปีวอก (ลิง) 14:37 ดวง ปีระกา (ไก่) 16:09 ดวง ปีจอ (หมา) 17:36 ดวง ปีกุน (หมู) คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 5 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌱 ปฏิทินการปลูกผักประจำเดือนธันวาคม 🌱รู้หรือไม่ว่าเดือนธันวาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกผักหลายชนิด เพราะสภาพอากาศเย็นสบาย ทำให้ผักเจริญเติบโตได้ดี ไม่ต้องดูแลซับซ้อนเท่าฤดูร้อน ☁️✨ ผักแนะนำให้ปลูกในเดือนนี้ ได้แก่ • กระหล่ำปลี และ กระหล่ำดอก: เติบโตได้ดีในอากาศเย็น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • ผักคะน้า และ ผักกวางตุ้งไต้หวัน: ปลูกง่าย โตเร็ว เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำเกษตร • แตงกวา และ ผักกาดขาว: ดูแลไม่ยาก แต่ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • พริก และ มะเขือเทศ: ชอบแดดจัดแต่ไม่ร้อนจนเกินไป เดือนนี้จึงเหมาะสำหรับการเพาะปลูก • หัวไชเท้า และ ต้นหอม: ปลูกไว้ในแปลงเล็ก ๆ ก็ได้ผลผลิตที่สดใหม่ ใช้เวลาไม่นาน🌿 ข้อดีของการปลูกผักตามฤดูกาล 🌿1️⃣ ผักโตเร็วและให้ผลผลิตดี เพราะสภาพอากาศเหมาะสม2️⃣ ลดปัญหาแมลงศัตรูพืชที่มากับอากาศร้อนชื้น3️⃣ ประหยัดต้นทุนในการดูแล เช่น ค่าน้ำ ค่าแรง และสารเคมี4️⃣ ปลูกผักกินเองที่บ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและปลอดภัยจากสารตกค้าง📌 สำหรับเกษตรกรมือใหม่หรือคนที่อยากปลูกผักไว้กินเอง ลองเลือกผักที่เหมาะกับฤดูกาลแบบนี้ รับรองได้ผลผลิตดี ไม่เสียแรงแน่นอน!ติดตามเพจ “เกษตรน้อย” เพื่อสาระดี ๆ และเคล็ดลับการทำเกษตรในทุกฤดูกาล 🌾เพราะเราอยากเห็นทุกครัวเรือนมีผักสดปลอดภัยไว้รับประทาน 🥦#เกษตรน้อย #ร้านเกษตรน้อย #เกษตรกร #เกษตรพอเพียง #เกษตรอินทรีย์ #ปลูกผักปลอดสาร #ปฏิทินปลูกผัก #ผักสวนครัว #ผักปลอดสารพิษ #กะหล่ําปี #กะหล่ำดอ #คะน้า #ผักบุ้งไฟแดง #ผักกาดขาว #แตงกวา #ผักชี #มะเขือเทศ #พริก
    🌱 ปฏิทินการปลูกผักประจำเดือนธันวาคม 🌱รู้หรือไม่ว่าเดือนธันวาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกผักหลายชนิด เพราะสภาพอากาศเย็นสบาย ทำให้ผักเจริญเติบโตได้ดี ไม่ต้องดูแลซับซ้อนเท่าฤดูร้อน ☁️✨ ผักแนะนำให้ปลูกในเดือนนี้ ได้แก่ • กระหล่ำปลี และ กระหล่ำดอก: เติบโตได้ดีในอากาศเย็น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • ผักคะน้า และ ผักกวางตุ้งไต้หวัน: ปลูกง่าย โตเร็ว เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำเกษตร • แตงกวา และ ผักกาดขาว: ดูแลไม่ยาก แต่ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ • พริก และ มะเขือเทศ: ชอบแดดจัดแต่ไม่ร้อนจนเกินไป เดือนนี้จึงเหมาะสำหรับการเพาะปลูก • หัวไชเท้า และ ต้นหอม: ปลูกไว้ในแปลงเล็ก ๆ ก็ได้ผลผลิตที่สดใหม่ ใช้เวลาไม่นาน🌿 ข้อดีของการปลูกผักตามฤดูกาล 🌿1️⃣ ผักโตเร็วและให้ผลผลิตดี เพราะสภาพอากาศเหมาะสม2️⃣ ลดปัญหาแมลงศัตรูพืชที่มากับอากาศร้อนชื้น3️⃣ ประหยัดต้นทุนในการดูแล เช่น ค่าน้ำ ค่าแรง และสารเคมี4️⃣ ปลูกผักกินเองที่บ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและปลอดภัยจากสารตกค้าง📌 สำหรับเกษตรกรมือใหม่หรือคนที่อยากปลูกผักไว้กินเอง ลองเลือกผักที่เหมาะกับฤดูกาลแบบนี้ รับรองได้ผลผลิตดี ไม่เสียแรงแน่นอน!ติดตามเพจ “เกษตรน้อย” เพื่อสาระดี ๆ และเคล็ดลับการทำเกษตรในทุกฤดูกาล 🌾เพราะเราอยากเห็นทุกครัวเรือนมีผักสดปลอดภัยไว้รับประทาน 🥦#เกษตรน้อย #ร้านเกษตรน้อย #เกษตรกร #เกษตรพอเพียง #เกษตรอินทรีย์ #ปลูกผักปลอดสาร #ปฏิทินปลูกผัก #ผักสวนครัว #ผักปลอดสารพิษ #กะหล่ําปี #กะหล่ำดอ #คะน้า #ผักบุ้งไฟแดง #ผักกาดขาว #แตงกวา #ผักชี #มะเขือเทศ #พริก
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 797 มุมมอง 0 รีวิว
  • ค้าน กม.อากาศสะอาด ทำลายอาชีพไร่ยาสูบ วอนทบทวนเร่งด่วน
    .
    การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรจังหวัดเชียงใหม่ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นอกจากจะประกาศลงทุนพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือราว 2 หมื่นล้านบาทแล้ว อีกด้านหนึ่งยังมีปัญหาที่ชาวบ้านกำลังรอให้รัฐบาลแก้ไข คือ ปัญหาการเพาะปลูกพืชยาสูบ
    .
    โดยตัวแทนภาคียาสูบแห่งประเทศไทยและเครือข่ายชาวไร่ยาสูบบ่มเองจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ร่วม 100 คน เข้ายื่นหนังสือกับ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่จะเก็บค่าธรรมเนียมบำรุงกองทุนอากาศสะอาดจากสินค้ายาสูบในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งจะส่งผลให้ชาวไร่ยาสูบ 22,000 ครอบครัวทั้งภาคเหนือและภาคอีสานต้องหมดอาชีพ
    .
    นายอรุณ โปธิตา ตัวแทนชาวไร่ยาสูบบ่มเองจังหวัดเชียงใหม่ ชี้แจงว่า แม้เห็นด้วยกับการสร้างอากาศสะอาด แต่การเก็บเงินเพิ่มจากสินค้ายาสูบ เป็นการซ้ำเติมปัญหารายได้ตกต่ำของชาวไร่ยาสูบ เพราะการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจะทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็น 115 บาทอย่างต่ำ ราคาบุหรี่ที่สูงขนาดนี้ทำให้คนสูบบุหรี่หันไปซื้อบุหรี่เถื่อนซึ่งขายกันที่ราคา 20-30 บาทเท่านั้น บุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ก็คงจะขายสู้ไม่ได้ การรับซื้อใบยาจากชาวไร่ยาสูบจะหายไปทันที 93% ส่งผลให้รายได้ของชาวไร่และอาชีพยาสูบแทบจะหายไปจากประเทศไทยทันที
    .
    ด้านนายขจรศักดิ์ เมฆขจร ตัวแทนเครือข่ายชาวไร่บ่มเองอีกราย เสริมว่า “พวกเราผิดหวังมากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดดึงดันจะเก็บเงินเพิ่มจากสินค้าบุหรี่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข้อสังเกตว่าการเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในลักษณะนี้อาจผิดวินัยการเงินการคลัง แต่ก็ยังพยายามเลี่ยงบาลีว่าเป็นการเก็บค่าธรรมเนียม โดยไม่สนใจถึงผลกระทบต่อชาวไร่ยาสูบ รายได้ภาษี และการดำเนินงานของ ยสท. และขาดความรู้ความเข้าใจโครงสร้างภาษีของสินค้าที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ คิดแต่เพียงจะเก็บเงินเพิ่มอย่างเดียว
    ..............
    Sondhi X
    ค้าน กม.อากาศสะอาด ทำลายอาชีพไร่ยาสูบ วอนทบทวนเร่งด่วน . การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรจังหวัดเชียงใหม่ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นอกจากจะประกาศลงทุนพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือราว 2 หมื่นล้านบาทแล้ว อีกด้านหนึ่งยังมีปัญหาที่ชาวบ้านกำลังรอให้รัฐบาลแก้ไข คือ ปัญหาการเพาะปลูกพืชยาสูบ . โดยตัวแทนภาคียาสูบแห่งประเทศไทยและเครือข่ายชาวไร่ยาสูบบ่มเองจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ร่วม 100 คน เข้ายื่นหนังสือกับ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่จะเก็บค่าธรรมเนียมบำรุงกองทุนอากาศสะอาดจากสินค้ายาสูบในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งจะส่งผลให้ชาวไร่ยาสูบ 22,000 ครอบครัวทั้งภาคเหนือและภาคอีสานต้องหมดอาชีพ . นายอรุณ โปธิตา ตัวแทนชาวไร่ยาสูบบ่มเองจังหวัดเชียงใหม่ ชี้แจงว่า แม้เห็นด้วยกับการสร้างอากาศสะอาด แต่การเก็บเงินเพิ่มจากสินค้ายาสูบ เป็นการซ้ำเติมปัญหารายได้ตกต่ำของชาวไร่ยาสูบ เพราะการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจะทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็น 115 บาทอย่างต่ำ ราคาบุหรี่ที่สูงขนาดนี้ทำให้คนสูบบุหรี่หันไปซื้อบุหรี่เถื่อนซึ่งขายกันที่ราคา 20-30 บาทเท่านั้น บุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ก็คงจะขายสู้ไม่ได้ การรับซื้อใบยาจากชาวไร่ยาสูบจะหายไปทันที 93% ส่งผลให้รายได้ของชาวไร่และอาชีพยาสูบแทบจะหายไปจากประเทศไทยทันที . ด้านนายขจรศักดิ์ เมฆขจร ตัวแทนเครือข่ายชาวไร่บ่มเองอีกราย เสริมว่า “พวกเราผิดหวังมากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดดึงดันจะเก็บเงินเพิ่มจากสินค้าบุหรี่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข้อสังเกตว่าการเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในลักษณะนี้อาจผิดวินัยการเงินการคลัง แต่ก็ยังพยายามเลี่ยงบาลีว่าเป็นการเก็บค่าธรรมเนียม โดยไม่สนใจถึงผลกระทบต่อชาวไร่ยาสูบ รายได้ภาษี และการดำเนินงานของ ยสท. และขาดความรู้ความเข้าใจโครงสร้างภาษีของสินค้าที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ คิดแต่เพียงจะเก็บเงินเพิ่มอย่างเดียว .............. Sondhi X
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 925 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อุตสาหกรรมที่ชี้เป็นชี้ตาย" หมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือโลก และหากเกิดปัญหาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยปกติจะหมายถึงอุตสาหกรรมหลัก เช่น:1. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ2. อุตสาหกรรมพลังงาน3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ4. อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร5. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์6. อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์7. อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์8. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง9. อุตสาหกรรมโทรคมนาคม10. อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน11. อุตสาหกรรมเหมืองแร่12. อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ13. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี14. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร15. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอาวุธ16. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์17. อุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ18. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ19. อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ20. อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อ21. อุตสาหกรรมการศึกษาและการฝึกอบรม22. อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม)23. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ24. อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์25. อุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์26. อุตสาหกรรมเกมและการพัฒนาแอปพลิเคชัน27. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ28. อุตสาหกรรมการขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานนี่คืออุตสาหกรรมเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ:29. อุตสาหกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสีย30. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ31. อุตสาหกรรมการประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเล32. อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง33. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์34. อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬา35. อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว36. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งภายใน37. อุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์และการเรียนรู้ดิจิทัล38. อุตสาหกรรมการค้าปลีก (ทั้งแบบดั้งเดิมและออนไลน์)39. อุตสาหกรรมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย)40. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ41. อุตสาหกรรมการพัฒนาและขายซอฟต์แวร์42. อุตสาหกรรมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง43. อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน (เช่น บริษัทประกันภัย)44. อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์45. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตแบตเตอรี่46. อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์47. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรม)48. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ49. อุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)50. อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (Data Centers)51. อุตสาหกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง52. อุตสาหกรรมการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)53. อุตสาหกรรมการวิเคราะห์และวิจัยตลาด54. อุตสาหกรรมการทดสอบและควบคุมคุณภาพ55. อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์56. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์57. อุตสาหกรรมการแพทย์ทางเลือกและการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม58. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการจัดการโครงข่ายพลังงาน (Smart Grid)59. อุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับ60. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะและห่วงโซ่อุปทาน61. อุตสาหกรรมการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรูหรา62. อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุ63. อุตสาหกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว64. อุตสาหกรรมระบบการเกษตรแบบยั่งยืนและเทคโนโลยีเกษตร (AgriTech)65. อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและการบริการ (Hospitality)66. อุตสาหกรรมสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ67. อุตสาหกรรมการจัดการและบำบัดน้ำ
    "อุตสาหกรรมที่ชี้เป็นชี้ตาย" หมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือโลก และหากเกิดปัญหาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยปกติจะหมายถึงอุตสาหกรรมหลัก เช่น:1. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ2. อุตสาหกรรมพลังงาน3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ4. อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร5. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์6. อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์7. อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์8. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง9. อุตสาหกรรมโทรคมนาคม10. อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน11. อุตสาหกรรมเหมืองแร่12. อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ13. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี14. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร15. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอาวุธ16. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์17. อุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ18. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ19. อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ20. อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อ21. อุตสาหกรรมการศึกษาและการฝึกอบรม22. อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม)23. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ24. อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์25. อุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์26. อุตสาหกรรมเกมและการพัฒนาแอปพลิเคชัน27. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ28. อุตสาหกรรมการขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานนี่คืออุตสาหกรรมเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ:29. อุตสาหกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสีย30. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ31. อุตสาหกรรมการประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเล32. อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง33. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์34. อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬา35. อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว36. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งภายใน37. อุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์และการเรียนรู้ดิจิทัล38. อุตสาหกรรมการค้าปลีก (ทั้งแบบดั้งเดิมและออนไลน์)39. อุตสาหกรรมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย)40. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ41. อุตสาหกรรมการพัฒนาและขายซอฟต์แวร์42. อุตสาหกรรมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง43. อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน (เช่น บริษัทประกันภัย)44. อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์45. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตแบตเตอรี่46. อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์47. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรม)48. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ49. อุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)50. อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (Data Centers)51. อุตสาหกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง52. อุตสาหกรรมการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)53. อุตสาหกรรมการวิเคราะห์และวิจัยตลาด54. อุตสาหกรรมการทดสอบและควบคุมคุณภาพ55. อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์56. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์57. อุตสาหกรรมการแพทย์ทางเลือกและการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม58. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการจัดการโครงข่ายพลังงาน (Smart Grid)59. อุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับ60. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะและห่วงโซ่อุปทาน61. อุตสาหกรรมการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรูหรา62. อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุ63. อุตสาหกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว64. อุตสาหกรรมระบบการเกษตรแบบยั่งยืนและเทคโนโลยีเกษตร (AgriTech)65. อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและการบริการ (Hospitality)66. อุตสาหกรรมสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ67. อุตสาหกรรมการจัดการและบำบัดน้ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 871 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 พฤศจิกายน วันพระบิดาแห่งฝนหลวง////////////////////วันพระบิดาแห่งฝนหลวง ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี 65 ปีแห่งการกำเนิดฝนหลวงพระราชทาน นับจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2498 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริที่จะคิดค้น วิจัย หาวิธีการทำฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่ประสบภัยแล้ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 เฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน ในฐานะทรงเป็น "พระบิดาแห่งฝนหลวง" และกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น "วันพระบิดาแห่งฝนหลวง" เพื่อร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ และจารึกไว้เป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริโครงการฝนหลวงขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ทรงศึกษาค้นคว้าและวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการ อุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ โครงการพระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ซึ่งต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และใช้ในการเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งที่มีสาเหตุจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าช้าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติ หรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทำให้ทรงพบเห็นว่า ภาวะแห้งแล้งได้มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตามลำดับ เพราะการตัดไม้ทำลายป่า เป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรในทุกภาคของประเทศ ส่งผลถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ คิดเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ทั้งนี้ ระหว่างทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน และทางอากาศยาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสังเกตเห็นว่า มีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดเป็นฝนตกได้ ดังนั้น ตั้งแต่พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้า และวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ จนทรงมั่นพระราชหฤทัย ก่อนพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น และในปีถัดมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการบนท้องฟ้า กระทั่งในปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบินปราบศัตรูพืชกรมการข้าว เพื่อให้การสนับสนุนในการสนองพระราชประสงค์ โดยในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการและหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลองคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองแห่งแรก ต่อมา ได้มีปฏิบัติการโดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆทดลองเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็วแล้ว และจากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน ก็ได้รับรายงานยืนยันจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่บริเวณวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด การทดลองดังกล่าวจึงเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และความสำเร็จดังกล่าวยังส่งผลให้มีการพัฒนา ปรับปรุง และต่อยอดโครงการฝนหลวงมาจนถึงปัจจุบัน
    14 พฤศจิกายน วันพระบิดาแห่งฝนหลวง////////////////////วันพระบิดาแห่งฝนหลวง ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี 65 ปีแห่งการกำเนิดฝนหลวงพระราชทาน นับจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2498 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริที่จะคิดค้น วิจัย หาวิธีการทำฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่ประสบภัยแล้ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 เฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน ในฐานะทรงเป็น "พระบิดาแห่งฝนหลวง" และกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น "วันพระบิดาแห่งฝนหลวง" เพื่อร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ และจารึกไว้เป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริโครงการฝนหลวงขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ทรงศึกษาค้นคว้าและวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการ อุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ โครงการพระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ซึ่งต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และใช้ในการเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งที่มีสาเหตุจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าช้าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติ หรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทำให้ทรงพบเห็นว่า ภาวะแห้งแล้งได้มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตามลำดับ เพราะการตัดไม้ทำลายป่า เป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรในทุกภาคของประเทศ ส่งผลถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ คิดเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ทั้งนี้ ระหว่างทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน และทางอากาศยาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสังเกตเห็นว่า มีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดเป็นฝนตกได้ ดังนั้น ตั้งแต่พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้า และวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ จนทรงมั่นพระราชหฤทัย ก่อนพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น และในปีถัดมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการบนท้องฟ้า กระทั่งในปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบินปราบศัตรูพืชกรมการข้าว เพื่อให้การสนับสนุนในการสนองพระราชประสงค์ โดยในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการและหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลองคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองแห่งแรก ต่อมา ได้มีปฏิบัติการโดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆทดลองเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็วแล้ว และจากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน ก็ได้รับรายงานยืนยันจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่บริเวณวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด การทดลองดังกล่าวจึงเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และความสำเร็จดังกล่าวยังส่งผลให้มีการพัฒนา ปรับปรุง และต่อยอดโครงการฝนหลวงมาจนถึงปัจจุบัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 868 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย (อย.) ได้เผยแพร่ผลการตรวจสอบองุ่นพันธุ์ไชน์มัสแคท (Shine Muscat) ที่สุ่มตัวอย่างจากตลาดภายในประเทศ พบว่ามีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานถึง 95.8% จากตัวอย่างที่ตรวจสอบทั้งหมด 24 ตัวอย่าง

    รายงานระบุว่า ในจำนวนนี้ 9 ตัวอย่างถูกยืนยันว่าเป็นองุ่นนำเข้าจากประเทศจีน ส่วนอีก 15 ตัวอย่างยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน เหตุการณ์นี้ได้สร้างความกังวลในด้านความปลอดภัยของอาหารในหมู่ผู้บริโภคอย่างมาก

    องุ่นไชน์มัสแคทเป็นพันธุ์องุ่นที่ได้รับการพัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยรสชาติหวานหอมและเนื้อกรอบ ทำให้ได้รับความนิยมสูงในตลาดผลไม้พรีเมียม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “Hermès แห่งวงการองุ่น” ด้วยราคาที่สูงและคุณภาพที่โดดเด่น

    องุ่นไชน์มัสแคทได้รับการนำเข้าไปเพาะปลูกในหลายประเทศ รวมถึงจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในจีนที่มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกอย่างมาก ส่งผลให้ราคาขององุ่นพันธุ์นี้ลดลงตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม การเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนสุกเต็มที่ ทำให้ระดับความหวานไม่เพียงพอ และมีการใช้สารเคมีเพื่อเร่งการเติบโตของผลผลิต

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยอาหารในจีนระบุว่า ในกระบวนการปลูกองุ่นไชน์มัสแคทนั้น มีการใช้สารเคมีเพื่อควบคุมศัตรูพืชและโรคต่างๆ ประมาณ 5-10 ครั้งในช่วงการเจริญเติบโตขององุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นองุ่นกำลังออกดอกและมีผลอ่อน ทั้งนี้ หากใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและเว้นระยะห่างการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสม จะทำให้สารเคมีตกค้างอยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยระยะห่างระหว่างการฉีดพ่นสารเคมีกับการเก็บเกี่ยวจะช่วยให้สารเคมีสลายตัวในระยะเวลาที่เหมาะสม

    นายหวังเฉียง ผู้เชี่ยวชาญด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์เกษตรจากจีนกล่าวว่า หากมีการใช้สารเคมีตามระเบียบที่กำหนด และเว้นระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม สารตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคทจะไม่เกินมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการบริโภค โดยเสริมว่า "สารเคมีหลายชนิดมีครึ่งชีวิต (half-life) ที่สลายตัวภายใน 7-14 วัน และสามารถถูกชะล้างออกไปด้วยน้ำฝนหรือแสงแดด ซึ่งจะช่วยลดสารตกค้างได้"

    #MGROnline #องุ่นไชน์มัสแคท
    สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย (อย.) ได้เผยแพร่ผลการตรวจสอบองุ่นพันธุ์ไชน์มัสแคท (Shine Muscat) ที่สุ่มตัวอย่างจากตลาดภายในประเทศ พบว่ามีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานถึง 95.8% จากตัวอย่างที่ตรวจสอบทั้งหมด 24 ตัวอย่าง • รายงานระบุว่า ในจำนวนนี้ 9 ตัวอย่างถูกยืนยันว่าเป็นองุ่นนำเข้าจากประเทศจีน ส่วนอีก 15 ตัวอย่างยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน เหตุการณ์นี้ได้สร้างความกังวลในด้านความปลอดภัยของอาหารในหมู่ผู้บริโภคอย่างมาก • องุ่นไชน์มัสแคทเป็นพันธุ์องุ่นที่ได้รับการพัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยรสชาติหวานหอมและเนื้อกรอบ ทำให้ได้รับความนิยมสูงในตลาดผลไม้พรีเมียม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “Hermès แห่งวงการองุ่น” ด้วยราคาที่สูงและคุณภาพที่โดดเด่น • องุ่นไชน์มัสแคทได้รับการนำเข้าไปเพาะปลูกในหลายประเทศ รวมถึงจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในจีนที่มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกอย่างมาก ส่งผลให้ราคาขององุ่นพันธุ์นี้ลดลงตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม การเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนสุกเต็มที่ ทำให้ระดับความหวานไม่เพียงพอ และมีการใช้สารเคมีเพื่อเร่งการเติบโตของผลผลิต • นักวิจัยด้านความปลอดภัยอาหารในจีนระบุว่า ในกระบวนการปลูกองุ่นไชน์มัสแคทนั้น มีการใช้สารเคมีเพื่อควบคุมศัตรูพืชและโรคต่างๆ ประมาณ 5-10 ครั้งในช่วงการเจริญเติบโตขององุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นองุ่นกำลังออกดอกและมีผลอ่อน ทั้งนี้ หากใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและเว้นระยะห่างการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสม จะทำให้สารเคมีตกค้างอยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยระยะห่างระหว่างการฉีดพ่นสารเคมีกับการเก็บเกี่ยวจะช่วยให้สารเคมีสลายตัวในระยะเวลาที่เหมาะสม • นายหวังเฉียง ผู้เชี่ยวชาญด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์เกษตรจากจีนกล่าวว่า หากมีการใช้สารเคมีตามระเบียบที่กำหนด และเว้นระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม สารตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคทจะไม่เกินมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการบริโภค โดยเสริมว่า "สารเคมีหลายชนิดมีครึ่งชีวิต (half-life) ที่สลายตัวภายใน 7-14 วัน และสามารถถูกชะล้างออกไปด้วยน้ำฝนหรือแสงแดด ซึ่งจะช่วยลดสารตกค้างได้" • #MGROnline #องุ่นไชน์มัสแคท
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นข่าวองุ่นพันธุ์หนึ่งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตรวจพบมีสารตกค้างมากถึง 50 ชนิด
    90% นำเข้าจากจีน ที่เหลือไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้

    ช่วงที่เกิดเหตุกลุ่มฮามาสถล่มอิสราเอล แรงงานชาวไทยต้องกลับประเทศ ลูกค้าคนหนึ่งเล่าว่า น้องชายของเธอก็เคยไปทำงานที่อิสราเอลเหมือนกัน ไปได้ปีกว่าก็กลับไทย ทั้งกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงสงกรานต์ และถือโอกาสหาหมอด้วย เนื่องจากเหนื่อยง่าย ป่วยบ่อย และค่ารักษาที่นั่นแพง
    เมื่อน้องชายของเธอเอ็กซเรย์ปอดแล้วพบว่า ปอดหายไปหนึ่งข้าง นั่นเกิดจากการทำงาน น้องชายเธอเล่าให้เธอฟัง ที่นั่นใช้ยาตั้งแต่เพาะเมล็ดพันธุ์ แช่เมล็ดด้วยน้ำยาอะไรสักอย่าง พอพืชเริ่มโตก็ต้องพ่นยาเป็นประจำ เพราะพื้นที่เพาะปลูกแห้งแล้ง ต้องต่อสู้กับธรรมชาติอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องฉีดพ่น ทั้งยาฆ่าแมลง ฮอร์โมนบำรุง ขณะที่ทำงานไม่มีเครื่องมือป้องกันสารพิษ หากอยากได้ต้องซื้อเอง แต่แพงมาก เหล่าคนงานไม่ค่อยมีใครกล้ากินพืชที่เพาะปลูก เพราะกลัวสารพิษ
    ถึงแม้ระยะเวลาที่ไปทำงานแค่ปีกว่า สามารถชดใช้คืนค่าตั๋ว ค่าเดินทาง และซื้อบ้าน ซื้อรถได้ครบที่ต้องการ แต่น้องชายก็มีอายุไม่ยืน หลังจากรักษาอยู่หลายเดือนน้องชายเธอก็จากไป ภรรยาน้องชายเสียใจมาก รำพันว่าไม่คุ้มเลยที่เอาชีวิตไปเสี่ยง

    ตอนฉันยังเด็ก ฉันก็ลูกชาวสวนผักคนหนึ่ง ถ้าผักเริ่มมีแมลงก่อกวน จะฉีดพ่นยาทันที ถึงแม้อีกสองวันจะต้องตัดขายแล้วก็ต้องทำ ผักที่ใบสวยย่อมราคาดีกว่าผักที่แคะแกร็น ใบเป็นรู หรือแหว่ง แต่นั่นไม่ได้แปลว่า ผักที่ใบเป็นรู มีรอยแทะแหว่งจะไม่โดนฉีดพ่นยา นั่นน่ะยิ่งหนักใหญ่เลย แต่เมื่อทำได้ดีที่สุดแค่นั้น ก็ต้องขายไปแบบนั้น ถูกกดราคาเช่นนั้นไป อย่าคิดว่าผักมีตำหนิ คือผักที่ปลูกธรรมชาติ ปลอดสารพิษเสมอไป

    แล้วเกี่ยวอะไรกับองุ่น
    ๑. การปลูกพืชผลเชิงพานิชย์ ต้องใช้สารเคมีอยู่แล้ว ถึงแม้ประเทศที่เจริญแล้ว มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแล้วก็ยังต้องใช้
    ๒. ถ้า 90% มาจากจีน แล้วที่เหลือไม่สามารถระบุได้ เป็นไปได้หรือ ของนำเข้าจากต่างประเทศมีหรือจะระบุแหล่งที่มาไม่ได้ รู้แต่ไม่บอก หรือบอกไม่ได้มากกว่า และนั่นก็หมายความว่า ใครๆ เขาก็ใช้กัน
    ๓. ขณะที่นำเข้ามาต้องมีการสุ่มตรวจก่อนไม่หรือ แต่นี่กระจายลงมาถึงมือแม่ค้าแล้วค่อยออกข่าวเตือน ดูเหมือนหวังดี แต่จริงๆ กำลังช่วยเหลือผู้ที่นำเข้ามาอยู่หรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขาดทุน แต่องุ่นบนแผงแม่ค้าเน่าหมด เพราะขายไม่ได้
    ๔. นี่คือข่าวประเภท ดิสเครดิต ใช่หรือไม่ จีนโดนไปเต็มๆ

    ช่วงก่อนเข้าเทศกาลกินเจ มีญาติผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยือน เอาองุ่นพันธุ์นี้มาฝากด้วย ตั้งหนึ่งลังแน่ะ ฉันไม่ใช่คนชอบกินองุ่น ยังว่ามันอร่อย หวาน กรอบดีจัง แล้วก็ยังอยู่ดี ไม่มีโรคภัยอะไรด้วย

    เห็นข่าวองุ่นพันธุ์หนึ่งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตรวจพบมีสารตกค้างมากถึง 50 ชนิด 90% นำเข้าจากจีน ที่เหลือไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ ช่วงที่เกิดเหตุกลุ่มฮามาสถล่มอิสราเอล แรงงานชาวไทยต้องกลับประเทศ ลูกค้าคนหนึ่งเล่าว่า น้องชายของเธอก็เคยไปทำงานที่อิสราเอลเหมือนกัน ไปได้ปีกว่าก็กลับไทย ทั้งกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงสงกรานต์ และถือโอกาสหาหมอด้วย เนื่องจากเหนื่อยง่าย ป่วยบ่อย และค่ารักษาที่นั่นแพง เมื่อน้องชายของเธอเอ็กซเรย์ปอดแล้วพบว่า ปอดหายไปหนึ่งข้าง นั่นเกิดจากการทำงาน น้องชายเธอเล่าให้เธอฟัง ที่นั่นใช้ยาตั้งแต่เพาะเมล็ดพันธุ์ แช่เมล็ดด้วยน้ำยาอะไรสักอย่าง พอพืชเริ่มโตก็ต้องพ่นยาเป็นประจำ เพราะพื้นที่เพาะปลูกแห้งแล้ง ต้องต่อสู้กับธรรมชาติอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องฉีดพ่น ทั้งยาฆ่าแมลง ฮอร์โมนบำรุง ขณะที่ทำงานไม่มีเครื่องมือป้องกันสารพิษ หากอยากได้ต้องซื้อเอง แต่แพงมาก เหล่าคนงานไม่ค่อยมีใครกล้ากินพืชที่เพาะปลูก เพราะกลัวสารพิษ ถึงแม้ระยะเวลาที่ไปทำงานแค่ปีกว่า สามารถชดใช้คืนค่าตั๋ว ค่าเดินทาง และซื้อบ้าน ซื้อรถได้ครบที่ต้องการ แต่น้องชายก็มีอายุไม่ยืน หลังจากรักษาอยู่หลายเดือนน้องชายเธอก็จากไป ภรรยาน้องชายเสียใจมาก รำพันว่าไม่คุ้มเลยที่เอาชีวิตไปเสี่ยง ตอนฉันยังเด็ก ฉันก็ลูกชาวสวนผักคนหนึ่ง ถ้าผักเริ่มมีแมลงก่อกวน จะฉีดพ่นยาทันที ถึงแม้อีกสองวันจะต้องตัดขายแล้วก็ต้องทำ ผักที่ใบสวยย่อมราคาดีกว่าผักที่แคะแกร็น ใบเป็นรู หรือแหว่ง แต่นั่นไม่ได้แปลว่า ผักที่ใบเป็นรู มีรอยแทะแหว่งจะไม่โดนฉีดพ่นยา นั่นน่ะยิ่งหนักใหญ่เลย แต่เมื่อทำได้ดีที่สุดแค่นั้น ก็ต้องขายไปแบบนั้น ถูกกดราคาเช่นนั้นไป อย่าคิดว่าผักมีตำหนิ คือผักที่ปลูกธรรมชาติ ปลอดสารพิษเสมอไป แล้วเกี่ยวอะไรกับองุ่น ๑. การปลูกพืชผลเชิงพานิชย์ ต้องใช้สารเคมีอยู่แล้ว ถึงแม้ประเทศที่เจริญแล้ว มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแล้วก็ยังต้องใช้ ๒. ถ้า 90% มาจากจีน แล้วที่เหลือไม่สามารถระบุได้ เป็นไปได้หรือ ของนำเข้าจากต่างประเทศมีหรือจะระบุแหล่งที่มาไม่ได้ รู้แต่ไม่บอก หรือบอกไม่ได้มากกว่า และนั่นก็หมายความว่า ใครๆ เขาก็ใช้กัน ๓. ขณะที่นำเข้ามาต้องมีการสุ่มตรวจก่อนไม่หรือ แต่นี่กระจายลงมาถึงมือแม่ค้าแล้วค่อยออกข่าวเตือน ดูเหมือนหวังดี แต่จริงๆ กำลังช่วยเหลือผู้ที่นำเข้ามาอยู่หรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขาดทุน แต่องุ่นบนแผงแม่ค้าเน่าหมด เพราะขายไม่ได้ ๔. นี่คือข่าวประเภท ดิสเครดิต ใช่หรือไม่ จีนโดนไปเต็มๆ ช่วงก่อนเข้าเทศกาลกินเจ มีญาติผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยือน เอาองุ่นพันธุ์นี้มาฝากด้วย ตั้งหนึ่งลังแน่ะ ฉันไม่ใช่คนชอบกินองุ่น ยังว่ามันอร่อย หวาน กรอบดีจัง แล้วก็ยังอยู่ดี ไม่มีโรคภัยอะไรด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขื่อนบางลาง จ.ยะลา
    ตั้งอยู่ที่บ้านบางลาง ตำบลเขื่อนบางลาง เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำอเนกประสงค์แห่งแรกในภาคใต้ที่สร้างปิดกั้นแม่น้ำปัตตานี เป็นเขื่อนแบบหินทิ้งแกนดินเหนียว สูง 85 เมตร สันเขื่อนยาว 422 เมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ 1,420 ล้านลูกบาศก์เมตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนบางลาง เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2524 บริเวณเหนือเขื่อนมีจุดชมทิวทัศน์ ซึ่งมองเห็นทัศนียภาพของเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และทิวเขาโดยรอบได้สวยงาม

    ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการก่อสร้างเขื่อนบางลางเมื่อปี 2521 ได้ทรงมีพระราชดำริให้ กฟผ. พิจารณานำน้ำที่ล้นจากฝายลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนบางลางมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก เพื่อเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำในท้องถิ่นที่เกิดประโยชน์เต็มที่

    กฟผ. ได้สนองพระราชดำริโดยก่อสร้างโรงไฟฟ้าใต้ภูเขาแห่งแรกของประเทศไทยที่หมู่ บ้านสันติ 1 ตำบลเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อปี 2524 ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 1.275 เมกะวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง และท่อส่งน้ำ ยาว 1800 เมตร สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนตุลาคม 2525 ให้พลังงานไฟฟ้าปีละประมาณ 6 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง

    โรงไฟฟ้าพลังน้ำบ้านสันติ มีการควบคุมการเดินเครื่องเป็นแบบระบบอัตโนมัติสามารถสั่งการและควบคุมการ เดินเครื่องได้โดยตรงจากโรงไฟฟ้าเขื่อนบางลาง จึงเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาช่วย ซึ่งดำเนินการโดยวิศวกรและช่างชาวไทยทั้งสิ้น
    นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนบางลาง ยังมีประโยชน์ไว้สำหรับในพื้นที่เพาะปลูกของ จังหวัดยะลา และปัตตานีด้วย รวมถึงช่วยบรรเทาน้ำท่วมในบริเวณตอนล่างของลุ่มน้ำปัตตานีได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญในภาคใต้อีกด้วย

    ที่นี่มีวิวสวยงามอย่างมาก เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ โดยเราสามารถล่องแพ หรือ นั่งเรือชมวิวของป่าฮาลาที่อยู่ใกล้เขื่อน และชมเกาะแก่งเหนือ เขื่อนบางลาง ได้แบบชิลๆ ได้สัมผัสธรรมชาติของป่าฮาลา ที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้แปลกๆน่าศึกษาอีกด้วย
    #เที่ยวยะลา
    #คิดถึงธรรมชาติ

    เขื่อนบางลาง จ.ยะลา ตั้งอยู่ที่บ้านบางลาง ตำบลเขื่อนบางลาง เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำอเนกประสงค์แห่งแรกในภาคใต้ที่สร้างปิดกั้นแม่น้ำปัตตานี เป็นเขื่อนแบบหินทิ้งแกนดินเหนียว สูง 85 เมตร สันเขื่อนยาว 422 เมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ 1,420 ล้านลูกบาศก์เมตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนบางลาง เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2524 บริเวณเหนือเขื่อนมีจุดชมทิวทัศน์ ซึ่งมองเห็นทัศนียภาพของเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และทิวเขาโดยรอบได้สวยงาม ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการก่อสร้างเขื่อนบางลางเมื่อปี 2521 ได้ทรงมีพระราชดำริให้ กฟผ. พิจารณานำน้ำที่ล้นจากฝายลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนบางลางมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก เพื่อเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำในท้องถิ่นที่เกิดประโยชน์เต็มที่ กฟผ. ได้สนองพระราชดำริโดยก่อสร้างโรงไฟฟ้าใต้ภูเขาแห่งแรกของประเทศไทยที่หมู่ บ้านสันติ 1 ตำบลเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อปี 2524 ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 1.275 เมกะวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง และท่อส่งน้ำ ยาว 1800 เมตร สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนตุลาคม 2525 ให้พลังงานไฟฟ้าปีละประมาณ 6 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง โรงไฟฟ้าพลังน้ำบ้านสันติ มีการควบคุมการเดินเครื่องเป็นแบบระบบอัตโนมัติสามารถสั่งการและควบคุมการ เดินเครื่องได้โดยตรงจากโรงไฟฟ้าเขื่อนบางลาง จึงเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาช่วย ซึ่งดำเนินการโดยวิศวกรและช่างชาวไทยทั้งสิ้น นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนบางลาง ยังมีประโยชน์ไว้สำหรับในพื้นที่เพาะปลูกของ จังหวัดยะลา และปัตตานีด้วย รวมถึงช่วยบรรเทาน้ำท่วมในบริเวณตอนล่างของลุ่มน้ำปัตตานีได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญในภาคใต้อีกด้วย ที่นี่มีวิวสวยงามอย่างมาก เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ โดยเราสามารถล่องแพ หรือ นั่งเรือชมวิวของป่าฮาลาที่อยู่ใกล้เขื่อน และชมเกาะแก่งเหนือ เขื่อนบางลาง ได้แบบชิลๆ ได้สัมผัสธรรมชาติของป่าฮาลา ที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้แปลกๆน่าศึกษาอีกด้วย #เที่ยวยะลา #คิดถึงธรรมชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือหุ้น OKJ เจ้าของแบรนด์ “โอ้กะจู๋” เผยสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อฟาร์มสารภี ซึ่งคิดเป็น 13% ของกำลังการผลิตผักสลัดทั้งหมด แม้จะเกิดความเสียหายในบางส่วน แต่บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือเรียบร้อย โดยเพิ่มกำลังการผลิตที่ฟาร์มสันอุ้ม และรับซื้อผลผลิตเพิ่มเติมจากเกษตรกรเครือข่าย

    ขณะที่ครัวกลางและฟาร์มหลักในพื้นที่อื่นๆ ยังคงดำเนินงานตามปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีประกันความเสี่ยง และมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงชั่วคราว คาดว่าพื้นที่ฟาร์มที่เสียหายจะกลับมาเพาะปลูกได้ภายใน 2 เดือน และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ แต่อย่างใดู

    #Thaitimes
    บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือหุ้น OKJ เจ้าของแบรนด์ “โอ้กะจู๋” เผยสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อฟาร์มสารภี ซึ่งคิดเป็น 13% ของกำลังการผลิตผักสลัดทั้งหมด แม้จะเกิดความเสียหายในบางส่วน แต่บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือเรียบร้อย โดยเพิ่มกำลังการผลิตที่ฟาร์มสันอุ้ม และรับซื้อผลผลิตเพิ่มเติมจากเกษตรกรเครือข่าย ขณะที่ครัวกลางและฟาร์มหลักในพื้นที่อื่นๆ ยังคงดำเนินงานตามปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีประกันความเสี่ยง และมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงชั่วคราว คาดว่าพื้นที่ฟาร์มที่เสียหายจะกลับมาเพาะปลูกได้ภายใน 2 เดือน และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ แต่อย่างใดู #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • 6 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตร วิเคราะห์ น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในรอบร้อยปี ว่าสาเหตุสำคัญคือฝนตกหนักบนดอยที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว...

    1.สาเหตุของน้ำท่วมหนักในเมืองเชียงใหม่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันโดยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 มีฝนหนักติดต่อกัน3วันวัดปริมาณน้ำฝนได้200ถึง300มิลลิเมตรทั้งที่ไม่มีพายุเข้าแต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนลงมาจากแผ่นดินใหญ่มาปะทะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ(อากาศร้อน) ที่พาดผ่านทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตอำ เภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริมและอำเภอพร้าวจนเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตงและอำเภอเมืองเชียงใหม่โดยทั้งแม่น้ำแม่งัด แม่น้ำแม่แตงและแม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำไหลเชี่ยวกรากลงมาท่วมพื้นที่เมืองเชียงใหม่

    2.แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียง ใหม่ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรร จบทางฝั่งซ้ายและน้ำแม่แตงไหลมาบรร จบทางฝั่งขวาเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มผ่านอำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่อำเภอป่าซาง จัง หวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้ายและจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้โดย มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวาที่อำเภอฮอดก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป
    เมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันยาวนานในพื้นที่ต้นน้ำจะเป็นผลให้ระดับน้ำและปริ มาณน้ำในแม่ปิงสะสมตัวเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง เกิดอุทกภัยสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำเพิ่มสูงเกินความจุของลำน้ำโดยความจุของน้ำปิงที่ตัวเมืองเชียงใหม่คือ 440 ลบ.เมตร/วินาที และระ ดับวิกฤติที่น้ำจะเริ่มล้นฝั่งไหลท่วมอยู่ที่ 3.70 เมตร

    3. ปี2566/67 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 285,004 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาวมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 19,878 ไร่ และอำเภอแม่แตงมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ1636.75ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกบนดอยสูง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวด เร็วและเชี่ยวกรากไหลลงมาท่วมพื้นที่ราบเชิงเขาได้
    ...หากฝนตกบนภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าใหญ่ น้ำฝนจะขังอยู่ในป่าประมาณเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนไหลลงข้างล่าง และค่อยๆไหลรินไปหล่อเลี้ยงผู้คนด้านล่างตลอดทั้งปี แต่หากเป็นภูเขาหัวโล้น น้ำฝนจะขังอยู่หนึ่งส่วน อีกเก้าส่วนไหลลงข้างล่างทำให้เกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวง...

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/pfkBEHemaUuFdGYg/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    6 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตร วิเคราะห์ น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในรอบร้อยปี ว่าสาเหตุสำคัญคือฝนตกหนักบนดอยที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว... 1.สาเหตุของน้ำท่วมหนักในเมืองเชียงใหม่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันโดยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 มีฝนหนักติดต่อกัน3วันวัดปริมาณน้ำฝนได้200ถึง300มิลลิเมตรทั้งที่ไม่มีพายุเข้าแต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนลงมาจากแผ่นดินใหญ่มาปะทะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ(อากาศร้อน) ที่พาดผ่านทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตอำ เภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริมและอำเภอพร้าวจนเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตงและอำเภอเมืองเชียงใหม่โดยทั้งแม่น้ำแม่งัด แม่น้ำแม่แตงและแม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำไหลเชี่ยวกรากลงมาท่วมพื้นที่เมืองเชียงใหม่ 2.แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียง ใหม่ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรร จบทางฝั่งซ้ายและน้ำแม่แตงไหลมาบรร จบทางฝั่งขวาเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มผ่านอำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่อำเภอป่าซาง จัง หวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้ายและจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้โดย มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวาที่อำเภอฮอดก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป เมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันยาวนานในพื้นที่ต้นน้ำจะเป็นผลให้ระดับน้ำและปริ มาณน้ำในแม่ปิงสะสมตัวเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง เกิดอุทกภัยสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำเพิ่มสูงเกินความจุของลำน้ำโดยความจุของน้ำปิงที่ตัวเมืองเชียงใหม่คือ 440 ลบ.เมตร/วินาที และระ ดับวิกฤติที่น้ำจะเริ่มล้นฝั่งไหลท่วมอยู่ที่ 3.70 เมตร 3. ปี2566/67 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 285,004 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาวมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 19,878 ไร่ และอำเภอแม่แตงมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ1636.75ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกบนดอยสูง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวด เร็วและเชี่ยวกรากไหลลงมาท่วมพื้นที่ราบเชิงเขาได้ ...หากฝนตกบนภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าใหญ่ น้ำฝนจะขังอยู่ในป่าประมาณเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนไหลลงข้างล่าง และค่อยๆไหลรินไปหล่อเลี้ยงผู้คนด้านล่างตลอดทั้งปี แต่หากเป็นภูเขาหัวโล้น น้ำฝนจะขังอยู่หนึ่งส่วน อีกเก้าส่วนไหลลงข้างล่างทำให้เกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวง... ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/pfkBEHemaUuFdGYg/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1134 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับ “โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง” ๑๕ โครงการ ครอบคลุม ๑๑ จังหวัด ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง

    จากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง เป็นประจำทุกปี ประกอบกับการขยายตัวของชุมชน ทำให้ความต้องการใช้น้ำอุปโภคบริโภคมีมากขึ้น ระบบประปาเดิมไม่สามารถจ่ายน้ำได้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ รวมถึงแหล่งน้ำจาก ผิวดินซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบางพื้นที่ประสบปัญหาคุณภาพน้ำ ส่งผลทำให้ราษฎรประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ซึ่งบางพื้นที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบรรทุกน้ำแจกจ่ายหลายล้านบาทต่อปี
    กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้สนองพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในการแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง ดำเนินการสำรวจพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ออกแบบ และวางแผนจัดทำโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหา ภัยแล้ง โดยการก่อสร้างระบบประปาบาดาลในบริเวณพื้นที่ที่มีศักยภาพน้ำบาดาลที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีน้ำอุปโภคบริโภค ประกอบกับการยินยอมของราษฎรให้ใช้พื้นที่สำหรับดำเนินงานโครงการ และความพร้อมในการรับมอบเป็นผู้ดูแลระบบหลังดำเนินการแล้วเสร็จ โดยการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลอย่าง มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

    .............................................................................................
    เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๙
    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังอ่างเก็บน้ำแม่ลี้ วัดบ้านนากลาง ตำบลลี้ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพระราชกระแสว่า “ปัญหาเดือดร้อนเรื่องขาดแคลนน้ำสำหรับบริโภคและสำหรับเพาะปลูก ควรรีบทำการสำรวจแหล่งน้ำใต้ดิน ตลอดจนทำแผนที่แสดงแหล่งน้ำให้ละเอียด”

    #น้ำคือชีวิต#โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ#น้ำบาดาล#สยามโสภา#thaitimes

    https://youtu.be/F_etB7slcU0?si=ChL7TfEPf-prd6XH
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับ “โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง” ๑๕ โครงการ ครอบคลุม ๑๑ จังหวัด ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง จากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง เป็นประจำทุกปี ประกอบกับการขยายตัวของชุมชน ทำให้ความต้องการใช้น้ำอุปโภคบริโภคมีมากขึ้น ระบบประปาเดิมไม่สามารถจ่ายน้ำได้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ รวมถึงแหล่งน้ำจาก ผิวดินซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบางพื้นที่ประสบปัญหาคุณภาพน้ำ ส่งผลทำให้ราษฎรประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ซึ่งบางพื้นที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบรรทุกน้ำแจกจ่ายหลายล้านบาทต่อปี กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้สนองพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในการแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง ดำเนินการสำรวจพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ออกแบบ และวางแผนจัดทำโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหา ภัยแล้ง โดยการก่อสร้างระบบประปาบาดาลในบริเวณพื้นที่ที่มีศักยภาพน้ำบาดาลที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีน้ำอุปโภคบริโภค ประกอบกับการยินยอมของราษฎรให้ใช้พื้นที่สำหรับดำเนินงานโครงการ และความพร้อมในการรับมอบเป็นผู้ดูแลระบบหลังดำเนินการแล้วเสร็จ โดยการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลอย่าง มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ............................................................................................. เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังอ่างเก็บน้ำแม่ลี้ วัดบ้านนากลาง ตำบลลี้ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพระราชกระแสว่า “ปัญหาเดือดร้อนเรื่องขาดแคลนน้ำสำหรับบริโภคและสำหรับเพาะปลูก ควรรีบทำการสำรวจแหล่งน้ำใต้ดิน ตลอดจนทำแผนที่แสดงแหล่งน้ำให้ละเอียด” #น้ำคือชีวิต​ #โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ​ #น้ำบาดาล​ #สยามโสภา​ #thaitimes https://youtu.be/F_etB7slcU0?si=ChL7TfEPf-prd6XH
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1109 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP.7 วิถีสุพรรณ สร้างสรรค์มั่งคง - สุขนิยาม สยามโสภา (สุพรรณบุรี)
    》》
    https://youtu.be/7ejG-2nRzmo?si=v2auD9FcYL_rSDdi
    《《
    ■ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน
    》》มีพระพุทธรูปบนผนังหน้าผา ที่สูงใหญ่เป็นหนึ่ง ในที่สุดของโลก
    》》เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในวิถีของเกษตรกรชาวนา ที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจ
    》》สนันสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงควายไทย
    》》ได้รับพระราชทานโครงการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร
    》》และยังมีแหล่งเพาะปลูกแห้ว ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
    ■■■■■■■■■■■■
    #TV5HDONLINE#สยามโสภา#วิถีสุพรรณ#เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย#ศูนย์อนุรักษ์ควายไทย#เที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี#thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    EP.7 วิถีสุพรรณ สร้างสรรค์มั่งคง - สุขนิยาม สยามโสภา (สุพรรณบุรี) 》》 https://youtu.be/7ejG-2nRzmo?si=v2auD9FcYL_rSDdi 《《 ■ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศไทย บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน 》》มีพระพุทธรูปบนผนังหน้าผา ที่สูงใหญ่เป็นหนึ่ง ในที่สุดของโลก 》》เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในวิถีของเกษตรกรชาวนา ที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจ 》》สนันสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงควายไทย 》》ได้รับพระราชทานโครงการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร 》》และยังมีแหล่งเพาะปลูกแห้ว ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ■■■■■■■■■■■■ #TV5HDONLINE​ #สยามโสภา​ #วิถีสุพรรณ​ #เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย​ #ศูนย์อนุรักษ์ควายไทย​ #เที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี​ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Love
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1949 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts