• **สุขภาพดีด้วยกาแฟดำ: เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อคนรักสุขภาพ**
    .
    ทำไมกาแฟดำถึงเป็นตัวช่วยของสายสุขภาพ? เพราะนอกจากช่วยให้ตื่นตัว ยังช่วยลดความหิว เหมาะกับคนที่ไม่กินอาหารเช้า ตามแบบมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ แต่ถ้าคุณกินอาหารเช้าเป็นประจำ การใช้กาแฟดำช่วย จะทำให้ปรับพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น
    .
    *ประโยชน์ของกาแฟดำเพื่อสุขภาพดี:*
    ✅ ควบคุมน้ำหนัก ลดความอยากอาหาร
    ✅ เพิ่มพลังงาน พร้อมลุยงานทั้งวัน
    ✅ ลดความเครียด เสริมอารมณ์ดี
    ✅ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดเสี่ยงโรคหัวใจ
    ✅ ช่วยลดความเสี่ยงโรคเกาต์และมะเร็ง
    .
    แล้วคุณล่ะ เคยใช้กาแฟดำเพื่อสุขภาพดีหรือมีเคล็ดลับอะไรบ้าง? คอมเมนต์มาแชร์กันเลย!
    .
    ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามเพจด้วยนะ!
    .
    #สุขภาพดี #กาแฟดำ #สายสุขภาพ #ลดน้ำหนัก #เคล็ดลับสุขภาพ
    **สุขภาพดีด้วยกาแฟดำ: เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อคนรักสุขภาพ** . ทำไมกาแฟดำถึงเป็นตัวช่วยของสายสุขภาพ? เพราะนอกจากช่วยให้ตื่นตัว ยังช่วยลดความหิว เหมาะกับคนที่ไม่กินอาหารเช้า ตามแบบมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ แต่ถ้าคุณกินอาหารเช้าเป็นประจำ การใช้กาแฟดำช่วย จะทำให้ปรับพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น . *ประโยชน์ของกาแฟดำเพื่อสุขภาพดี:* ✅ ควบคุมน้ำหนัก ลดความอยากอาหาร ✅ เพิ่มพลังงาน พร้อมลุยงานทั้งวัน ✅ ลดความเครียด เสริมอารมณ์ดี ✅ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดเสี่ยงโรคหัวใจ ✅ ช่วยลดความเสี่ยงโรคเกาต์และมะเร็ง . แล้วคุณล่ะ เคยใช้กาแฟดำเพื่อสุขภาพดีหรือมีเคล็ดลับอะไรบ้าง? คอมเมนต์มาแชร์กันเลย! . ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามเพจด้วยนะ! . #สุขภาพดี #กาแฟดำ #สายสุขภาพ #ลดน้ำหนัก #เคล็ดลับสุขภาพ
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • **สุขภาพดีด้วยกาแฟดำ: เครื่องดื่มมหัศจรรย์เพื่อคนรักสุขภาพ☕💪**

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมกาแฟดำถึงเป็นเครื่องดื่มคู่ใจของสายสุขภาพ? 🧐 เพราะนอกจากจะช่วยให้ตื่นตัวแล้ว ยังมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพแบบคาดไม่ถึง โดยเฉพาะสำหรับสาย *Intermittent Fasting* ที่ไม่อยากกินอาหารเช้า
    .
    รู้หรือไม่? มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ไม่เคยกินอาหารเช้า สมองดึกดำบรรพ์ของเราจึงไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเช้าตามนาฬิกา แต่ถ้าคุณเป็นคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำและอยากลองปรับพฤติกรรม การใช้ "กาแฟดำ" เป็นตัวช่วย จะทำให้คุณผ่านช่วงเวลาหิวได้ง่ายขึ้น!
    .
    💥 *ประโยชน์สุดปังของกาแฟดำเพื่อสุขภาพดี:*
    ✅ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความอยากอาหาร
    ✅ กระตุ้นพลังงาน สร้างเอเนอร์จี้พร้อมลุยงาน
    ✅ ลดความเครียด ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น
    ✅ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
    ✅ ป้องกันโรคเกาต์ และช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็ง
    .
    แล้วคุณล่ะ เคยใช้ "กาแฟดำ" เป็นตัวช่วยเพื่อสุขภาพดีไหม? หรือมีเคล็ดลับอะไรเด็ดๆ มาแชร์กันบ้าง ☕💬 มาร่วมพูดคุยกันใต้โพสต์เลย! 💖
    .
    ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดไลค์ ❤️ กดแชร์ 📲 และกดติดตามเพจเพื่อไม่พลาดสาระดีๆ นะจ๊ะ 🙏
    .
    #สุขภาพดี #กาแฟดำ #สายสุขภาพ #ลดน้ำหนัก #เคล็ดลับสุขภาพ
    **สุขภาพดีด้วยกาแฟดำ: เครื่องดื่มมหัศจรรย์เพื่อคนรักสุขภาพ☕💪** เคยสงสัยไหมว่าทำไมกาแฟดำถึงเป็นเครื่องดื่มคู่ใจของสายสุขภาพ? 🧐 เพราะนอกจากจะช่วยให้ตื่นตัวแล้ว ยังมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพแบบคาดไม่ถึง โดยเฉพาะสำหรับสาย *Intermittent Fasting* ที่ไม่อยากกินอาหารเช้า . รู้หรือไม่? มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ไม่เคยกินอาหารเช้า สมองดึกดำบรรพ์ของเราจึงไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเช้าตามนาฬิกา แต่ถ้าคุณเป็นคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำและอยากลองปรับพฤติกรรม การใช้ "กาแฟดำ" เป็นตัวช่วย จะทำให้คุณผ่านช่วงเวลาหิวได้ง่ายขึ้น! . 💥 *ประโยชน์สุดปังของกาแฟดำเพื่อสุขภาพดี:* ✅ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความอยากอาหาร ✅ กระตุ้นพลังงาน สร้างเอเนอร์จี้พร้อมลุยงาน ✅ ลดความเครียด ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ✅ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ✅ ป้องกันโรคเกาต์ และช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็ง . แล้วคุณล่ะ เคยใช้ "กาแฟดำ" เป็นตัวช่วยเพื่อสุขภาพดีไหม? หรือมีเคล็ดลับอะไรเด็ดๆ มาแชร์กันบ้าง ☕💬 มาร่วมพูดคุยกันใต้โพสต์เลย! 💖 . ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดไลค์ ❤️ กดแชร์ 📲 และกดติดตามเพจเพื่อไม่พลาดสาระดีๆ นะจ๊ะ 🙏 . #สุขภาพดี #กาแฟดำ #สายสุขภาพ #ลดน้ำหนัก #เคล็ดลับสุขภาพ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • การผลิตเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis)

    เกิดขึ้นในไขกระดูกภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอีริโทรโพอีติน (erythropoietin-EPO) ไฟโบรบลาสต์ระหว่างหลอดไตสร้างอีริโทรโพอีติน เพื่อตอบสนองต่อการส่งออกซิเจน ที่ลดลง (เช่น ในโรคโลหิตจางหรือภาวะขาดออกซิเจน) นอกจากอีริโทรโพอีตินแล้ว การผลิตเม็ดเลือดแดงยังต้องการสารตั้งต้นที่เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลตและฮีม

    เม็ดเลือดแดงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 120 วัน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะสูญเสียเยื่อหุ้มเซลล์และส่วนใหญ่จะถูกกำจัดออกจากระบบไหลเวียนเลือดโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินเซลล์ของม้ามและในตับด้วย ฮีโมโกลบินจะถูกย่อยสลายโดยระบบฮีมออกซิเจเนสเป็นหลัก โดยจะรักษา (และนำกลับมาใช้ใหม่) ของธาตุเหล็ก ย่อยสลายฮีมให้เป็นบิลิรูบินผ่านขั้นตอนของเอนไซม์ชุดหนึ่ง และนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ การรักษาจำนวนเม็ดเลือดแดงให้คงที่นั้นต้องอาศัยการสร้างเซลล์ใหม่ 1/120 เซลล์ทุกวัน และเม็ดเลือดแดงผลิตได้เฉลี่ยนาทีละ 25 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ (เรติคิวโลไซต์-reticulocytes) จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและคิดเป็น 0.5 ถึง 2.5% ของประชากรเม็ดเลือดแดงรอบนอกในผู้ใหญ่

    เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริต (Hct) จะลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของระดับเม็ดเลือดแดงต่ำคือการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรังอันเป็นผลจากการมีประจำเดือน

    ธาตุเหล็กมีมากในอาหารดังต่อไปนี้

    หอย

    หอยเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ หอยทุกชนิดมีธาตุเหล็กสูง แต่หอยตลับ หอยนางรม และหอยแมลงภู่เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีโดยเฉพาะ

    ตัวอย่างเช่น หอยตลับ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) อาจมีธาตุเหล็กสูงถึง 3 มก. ซึ่งคิดเป็น 17% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม ปริมาณธาตุเหล็กในหอยตลับนั้นผันผวนมาก และหอยตลับบางชนิดอาจมีธาตุเหล็กน้อยกว่ามาก

    ธาตุเหล็กในหอยตลับคือธาตุเหล็กในรูปแบบฮีม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งพบในพืช

    ในความเป็นจริง หอยเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ที่ดีต่อหัวใจ

    EPA และ FDA แนะนำให้กินอาหารทะเล 2 ถึง 3 จานต่อสัปดาห์จากรายการ "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ซึ่งรวมถึงหอยเช่น หอยตลับ หอยนางรม และหอยเชลล์

    ผักโขม

    มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายแต่มีแคลอรี่น้อยมาก

    ผักโขมดิบประมาณ 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. หรือ 15% ของ DV ( คำแนะนำการบริโภคต่อวัน)
    แม้ว่านี่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งดูดซึมได้ไม่ดีนัก แต่ผักโขมก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมาก

    ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ลดการอักเสบ และปกป้องดวงตาของคุณจากโรคต่างๆ

    การรับประทานผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ ที่มีไขมันจะช่วยให้ร่างกายดูดซับแคโรทีนอยด์ได้ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกกับผักโขม

    ตับและเครื่องในอื่นๆ

    มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประเภทที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ตับ ไต สมอง และหัวใจ ซึ่งล้วนมีธาตุเหล็กสูง

    ตัวอย่างเช่น ตับวัว 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.5 มก. หรือ 36% ของ DV

    เครื่องในสัตว์ยังมีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี ทองแดง และซีลีเนียม

    ตับมีวิตามินเอสูงเป็นพิเศษ โดยให้มากถึง 1,049% ของ DV ต่อ 3.5 ออนซ์

    ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องในสัตว์ยังเป็นแหล่งโคลีนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพสมองและตับที่หลายคนไม่ได้รับอย่างเพียงพอ

    พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ถั่วเลนทิลปรุงสุก 1 ถ้วย (198 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 37% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    ถั่ว

    ถั่วดำ ถั่วเนวี่ และถั่วแดง ล้วนช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายได้รับได้อย่างง่ายดาย

    ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (86 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.8 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    พืชตระกูลถั่วยังเป็นแหล่งโฟเลต แมกนีเซียม และโพแทสเซียมที่ดีอีกด้วย

    นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าถั่วและพืชตระกูลถั่วชนิดอื่นๆ สามารถลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมได้อีกด้วย

    นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดี พืชตระกูลถั่วมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้สูงมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดการบริโภคแคลอรี่ และส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนัก การอักเสบ และความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

    แต่มีข้อควรระวังคือ ถั่วทุกชนิดนำไปสู่กรดไหลย้อน

    เนื้อแดง

    มีคุณค่าทางโภชนาการและน่าพอใจ เนื้อบด 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    เนื้อสัตว์ยังอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินบีหลายชนิด

    นักวิจัยแนะนำว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลาเป็นประจำอาจมีแนวโน้มขาดธาตุเหล็กน้อยลง

    ในความเป็นจริง เนื้อแดงอาจเป็นแหล่งธาตุเหล็กฮีมที่หาได้ง่ายที่สุด จึงอาจทำให้เนื้อแดงเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางได้

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดงน้อยกว่า 2 ออนซ์ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โพแทสเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอมากกว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดง 2 ถึง 3 ออนซ์ต่อวัน

    เมล็ดฟักทอง

    เป็นอาหารว่างที่อร่อยและพกพาสะดวก

    เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.5 มก. ซึ่งคิดเป็น 14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค สังกะสี และแมงกานีส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอาหารที่พบบ่อย

    เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีแมกนีเซียม 40% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า

    บรอกโคลี

    มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก บรอกโคลีปรุงสุก 1 ถ้วย (156 กรัม) มีธาตุเหล็ก 1 มก. ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
    นอกจากนี้ บร็อคโคลี 1 มื้อยังมีวิตามินซี 112% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

    ปริมาณที่รับประทานเท่ากันนี้ยังมีโฟเลตสูงและมีไฟเบอร์ 5 กรัม รวมถึงวิตามินเคอีกด้วย บร็อคโคลีเป็นสมาชิกของตระกูลผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งรวมถึงกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ คะน้า และกะหล่ำปลี

    ผักตระกูลกะหล่ำมีอินโดล ซัลโฟราเฟน และกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อว่าช่วยป้องกันมะเร็ง

    โกโก้และช็อกโกแลตดำ

    มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญคล้ายกับสารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่

    การศึกษายังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีผลดีต่อคอเลสเตอรอลและอาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง

    อย่างไรก็ตาม โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้ถูกผลิตมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เชื่อกันว่าสารประกอบที่เรียกว่าฟลาโวนอลเป็นสารที่รับผิดชอบต่อประโยชน์ของพวกเขาและปริมาณฟลาโวนอลในช็อกโกแลตดำสูงกว่าช็อกโกแลตนมมาก

    ดังนั้น จึงควรบริโภคช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

    ปลา

    เป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ

    อันที่จริง ปลาทูน่ากระป๋อง 3 ออนซ์ (85 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.4 มก. ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

    ปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีต่อหัวใจชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งเสริมสุขภาพสมอง เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่แข็งแรง

    นอกจากปลาทูน่าแล้ว ปลาแฮดด็อก ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนแล้ว ยังมีปลาอีกไม่กี่ชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งคุณสามารถนำมารับประทานได้

    วิตามินบี 12

    วิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่แดง โยเกิร์ต

    ปริมาณที่ควรได้รับ

    วัยเด็ก 4-8 ปี 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยรุ่น 9-12 ปี 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยรุ่น 13-18 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
    วัยผู้ใหญ่ 19-71 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
    โฟเลตหรือกรดโฟลิก ( Folic acid)

    โฟเลตหรือกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นสารอาหารที่หาง่าย สามารถพบได้ใน ผักสดใบเขียว คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักปวยเล้ง บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ อะโวคาโด เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย

    โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะ

    โฟเลตกับความจำเป็นในชีวิตวัยต่างๆ

    -หญิงสาว โฟลิกจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยทดแทนการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงเมื่อรับประทานร่วมกับพาบาและวิตามินบี และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสตรีอีกด้วย

    -หญิงตั้งครรภ์ นอกจากช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อการเจริญของลูกในครรภ์และเตรียมสำรองเลือดเผื่อไว้ตอนคลอดแล้ว โฟลิกยังช่วยการสร้างเนื้อเยื่อของลูกในครรภ์ สร้างเซลล์ประสาทสมองช่วยลดความพิการแต่กำเนิด ช่วยความฉลาดและเชาว์ปัญญาของลูกที่จะเกิดมาและยังช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร

    -โฟเลตในเด็กทารก ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกายและสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมรวมถึงสีผิวของทารก

    สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก
    -ทุกเพศทุกวัย โฟเลตจะช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์ป้องกันเบาหวาน

    -ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง

    - กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ

    -ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    -ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

    -กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมันและการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค

    -ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ในรายที่รู้สึกเบื่ออาหาร

    -โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลงด้วย

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำสำหรับเม็ดเลือดแดง

    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า
    Glap
    Whole c

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    การผลิตเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis) เกิดขึ้นในไขกระดูกภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอีริโทรโพอีติน (erythropoietin-EPO) ไฟโบรบลาสต์ระหว่างหลอดไตสร้างอีริโทรโพอีติน เพื่อตอบสนองต่อการส่งออกซิเจน ที่ลดลง (เช่น ในโรคโลหิตจางหรือภาวะขาดออกซิเจน) นอกจากอีริโทรโพอีตินแล้ว การผลิตเม็ดเลือดแดงยังต้องการสารตั้งต้นที่เพียงพอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลตและฮีม เม็ดเลือดแดงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 120 วัน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะสูญเสียเยื่อหุ้มเซลล์และส่วนใหญ่จะถูกกำจัดออกจากระบบไหลเวียนเลือดโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินเซลล์ของม้ามและในตับด้วย ฮีโมโกลบินจะถูกย่อยสลายโดยระบบฮีมออกซิเจเนสเป็นหลัก โดยจะรักษา (และนำกลับมาใช้ใหม่) ของธาตุเหล็ก ย่อยสลายฮีมให้เป็นบิลิรูบินผ่านขั้นตอนของเอนไซม์ชุดหนึ่ง และนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ การรักษาจำนวนเม็ดเลือดแดงให้คงที่นั้นต้องอาศัยการสร้างเซลล์ใหม่ 1/120 เซลล์ทุกวัน และเม็ดเลือดแดงผลิตได้เฉลี่ยนาทีละ 25 ล้านเซลล์ เม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ (เรติคิวโลไซต์-reticulocytes) จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและคิดเป็น 0.5 ถึง 2.5% ของประชากรเม็ดเลือดแดงรอบนอกในผู้ใหญ่ เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริต (Hct) จะลดลงเล็กน้อยแต่ไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของระดับเม็ดเลือดแดงต่ำคือการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรังอันเป็นผลจากการมีประจำเดือน ธาตุเหล็กมีมากในอาหารดังต่อไปนี้ หอย หอยเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ หอยทุกชนิดมีธาตุเหล็กสูง แต่หอยตลับ หอยนางรม และหอยแมลงภู่เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น หอยตลับ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) อาจมีธาตุเหล็กสูงถึง 3 มก. ซึ่งคิดเป็น 17% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณธาตุเหล็กในหอยตลับนั้นผันผวนมาก และหอยตลับบางชนิดอาจมีธาตุเหล็กน้อยกว่ามาก ธาตุเหล็กในหอยตลับคือธาตุเหล็กในรูปแบบฮีม ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งพบในพืช ในความเป็นจริง หอยเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ที่ดีต่อหัวใจ EPA และ FDA แนะนำให้กินอาหารทะเล 2 ถึง 3 จานต่อสัปดาห์จากรายการ "ทางเลือกที่ดีที่สุด" ซึ่งรวมถึงหอยเช่น หอยตลับ หอยนางรม และหอยเชลล์ ผักโขม มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายแต่มีแคลอรี่น้อยมาก ผักโขมดิบประมาณ 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. หรือ 15% ของ DV ( คำแนะนำการบริโภคต่อวัน) แม้ว่านี่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมซึ่งดูดซึมได้ไม่ดีนัก แต่ผักโขมก็อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมาก ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ลดการอักเสบ และปกป้องดวงตาของคุณจากโรคต่างๆ การรับประทานผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ ที่มีไขมันจะช่วยให้ร่างกายดูดซับแคโรทีนอยด์ได้ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกกับผักโขม ตับและเครื่องในอื่นๆ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประเภทที่นิยมรับประทาน ได้แก่ ตับ ไต สมอง และหัวใจ ซึ่งล้วนมีธาตุเหล็กสูง ตัวอย่างเช่น ตับวัว 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.5 มก. หรือ 36% ของ DV เครื่องในสัตว์ยังมีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี ทองแดง และซีลีเนียม ตับมีวิตามินเอสูงเป็นพิเศษ โดยให้มากถึง 1,049% ของ DV ต่อ 3.5 ออนซ์ ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องในสัตว์ยังเป็นแหล่งโคลีนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพสมองและตับที่หลายคนไม่ได้รับอย่างเพียงพอ พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ถั่วเลนทิลปรุงสุก 1 ถ้วย (198 กรัม) มีธาตุเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 37% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ถั่ว ถั่วดำ ถั่วเนวี่ และถั่วแดง ล้วนช่วยเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายได้รับได้อย่างง่ายดาย ถั่วดำปรุงสุก 1 ถ้วย (86 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.8 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน พืชตระกูลถั่วยังเป็นแหล่งโฟเลต แมกนีเซียม และโพแทสเซียมที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าถั่วและพืชตระกูลถั่วชนิดอื่นๆ สามารถลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ พืชตระกูลถั่วยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ดี พืชตระกูลถั่วมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้สูงมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดการบริโภคแคลอรี่ และส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลต่อน้ำหนัก การอักเสบ และความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง แต่มีข้อควรระวังคือ ถั่วทุกชนิดนำไปสู่กรดไหลย้อน เนื้อแดง มีคุณค่าทางโภชนาการและน่าพอใจ เนื้อบด 3.5 ออนซ์ (100 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.7 มก. ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน เนื้อสัตว์ยังอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินบีหลายชนิด นักวิจัยแนะนำว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลาเป็นประจำอาจมีแนวโน้มขาดธาตุเหล็กน้อยลง ในความเป็นจริง เนื้อแดงอาจเป็นแหล่งธาตุเหล็กฮีมที่หาได้ง่ายที่สุด จึงอาจทำให้เนื้อแดงเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางได้ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดงน้อยกว่า 2 ออนซ์ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โพแทสเซียม และวิตามินดีไม่เพียงพอมากกว่าผู้หญิงที่กินเนื้อแดง 2 ถึง 3 ออนซ์ต่อวัน เมล็ดฟักทอง เป็นอาหารว่างที่อร่อยและพกพาสะดวก เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีธาตุเหล็ก 2.5 มก. ซึ่งคิดเป็น 14% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ เมล็ดฟักทองยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค สังกะสี และแมงกานีส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมกนีเซียมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นภาวะขาดแคลนอาหารที่พบบ่อย เมล็ดฟักทอง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีแมกนีเซียม 40% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลิน เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า บรอกโคลี มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก บรอกโคลีปรุงสุก 1 ถ้วย (156 กรัม) มีธาตุเหล็ก 1 มก. ซึ่งคิดเป็น 6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ บร็อคโคลี 1 มื้อยังมีวิตามินซี 112% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น ปริมาณที่รับประทานเท่ากันนี้ยังมีโฟเลตสูงและมีไฟเบอร์ 5 กรัม รวมถึงวิตามินเคอีกด้วย บร็อคโคลีเป็นสมาชิกของตระกูลผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งรวมถึงกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ คะน้า และกะหล่ำปลี ผักตระกูลกะหล่ำมีอินโดล ซัลโฟราเฟน และกลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่เชื่อว่าช่วยป้องกันมะเร็ง โกโก้และช็อกโกแลตดำ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญคล้ายกับสารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่ การศึกษายังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีผลดีต่อคอเลสเตอรอลและอาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม โกโก้และช็อกโกแลตไม่ได้ถูกผลิตมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เชื่อกันว่าสารประกอบที่เรียกว่าฟลาโวนอลเป็นสารที่รับผิดชอบต่อประโยชน์ของพวกเขาและปริมาณฟลาโวนอลในช็อกโกแลตดำสูงกว่าช็อกโกแลตนมมาก ดังนั้น จึงควรบริโภคช็อกโกแลตที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 70% เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ปลา เป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ อันที่จริง ปลาทูน่ากระป๋อง 3 ออนซ์ (85 กรัม) มีธาตุเหล็กประมาณ 1.4 มก. ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีต่อหัวใจชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งเสริมสุขภาพสมอง เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่แข็งแรง นอกจากปลาทูน่าแล้ว ปลาแฮดด็อก ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนแล้ว ยังมีปลาอีกไม่กี่ชนิดที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งคุณสามารถนำมารับประทานได้ วิตามินบี 12 วิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาท หากขาดจะเกิดอาการโลหิตจางได้ มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ พบในกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่แดง โยเกิร์ต ปริมาณที่ควรได้รับ วัยเด็ก 4-8 ปี 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน วัยรุ่น 9-12 ปี 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน วัยรุ่น 13-18 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน วัยผู้ใหญ่ 19-71 ปี 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน โฟเลตหรือกรดโฟลิก ( Folic acid) โฟเลตหรือกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นสารอาหารที่หาง่าย สามารถพบได้ใน ผักสดใบเขียว คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักปวยเล้ง บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ อะโวคาโด เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะ โฟเลตกับความจำเป็นในชีวิตวัยต่างๆ -หญิงสาว โฟลิกจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยทดแทนการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงเมื่อรับประทานร่วมกับพาบาและวิตามินบี และยังพบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสตรีอีกด้วย -หญิงตั้งครรภ์ นอกจากช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อการเจริญของลูกในครรภ์และเตรียมสำรองเลือดเผื่อไว้ตอนคลอดแล้ว โฟลิกยังช่วยการสร้างเนื้อเยื่อของลูกในครรภ์ สร้างเซลล์ประสาทสมองช่วยลดความพิการแต่กำเนิด ช่วยความฉลาดและเชาว์ปัญญาของลูกที่จะเกิดมาและยังช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร -โฟเลตในเด็กทารก ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกายและสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมรวมถึงสีผิวของทารก สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก -ทุกเพศทุกวัย โฟเลตจะช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์ป้องกันเบาหวาน -ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง - กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ -ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น -ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีนและใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ -กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมันและการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค -ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ในรายที่รู้สึกเบื่ออาหาร -โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลงด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำสำหรับเม็ดเลือดแดง น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Glap Whole c ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • **🥦 สุขภาพดี = ไม่ต้องกินอาหารเช้า จริงดิ!? 🤯**

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมลดน้ำหนักแทบตาย แต่พุงยังอยู่!? ทั้งที่กินอาหารเช้าตามตำราเป๊ะ! 😵‍💫 ความจริงที่ช็อกคือ **"อาหารเช้าไม่จำเป็น!"** 💥
    .
    📌 **มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อตื่นแล้วกินทันที**
    บรรพบุรุษเรายังต้องล่าก่อนค่อยกิน! สมองและร่างกายตื่นตัวสุดตอน *ยังไม่ได้กินอะไร*
    .
    📌 **IF 16 ชั่วโมง = ไขมันหาย พุงลด 🔥**
    การเว้นช่วงกินให้นานขึ้น = ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนการสะสม!
    .
    📌 **"อาหารเช้าสำคัญสุด" = แผนการตลาดล้วน ๆ 📢**
    อุตสาหกรรมอาหารล้างสมองเราให้กินเช้าเยอะ ๆ จะได้ขายซีเรียลได้ไงล่ะ! 🤡
    .
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    .
    🚀 **แล้วคุณล่ะ? พร้อมทิ้งอาหารเช้าเพื่อสุขภาพดีขึ้นไหม?**
    ใครเคยลอง IF แล้วมาคุยกันหน่อย! ⬇️⬇️

    #สุขภาพดี
    #ลดพุง
    #Fasting
    #IntermittentFasting
    #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี
    **🥦 สุขภาพดี = ไม่ต้องกินอาหารเช้า จริงดิ!? 🤯** เคยสงสัยไหมว่าทำไมลดน้ำหนักแทบตาย แต่พุงยังอยู่!? ทั้งที่กินอาหารเช้าตามตำราเป๊ะ! 😵‍💫 ความจริงที่ช็อกคือ **"อาหารเช้าไม่จำเป็น!"** 💥 . 📌 **มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อตื่นแล้วกินทันที** บรรพบุรุษเรายังต้องล่าก่อนค่อยกิน! สมองและร่างกายตื่นตัวสุดตอน *ยังไม่ได้กินอะไร* . 📌 **IF 16 ชั่วโมง = ไขมันหาย พุงลด 🔥** การเว้นช่วงกินให้นานขึ้น = ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนการสะสม! . 📌 **"อาหารเช้าสำคัญสุด" = แผนการตลาดล้วน ๆ 📢** อุตสาหกรรมอาหารล้างสมองเราให้กินเช้าเยอะ ๆ จะได้ขายซีเรียลได้ไงล่ะ! 🤡 . พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG . 🚀 **แล้วคุณล่ะ? พร้อมทิ้งอาหารเช้าเพื่อสุขภาพดีขึ้นไหม?** ใครเคยลอง IF แล้วมาคุยกันหน่อย! ⬇️⬇️ #สุขภาพดี #ลดพุง #Fasting #IntermittentFasting #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • 🥗 เคยได้ยินไหมว่า "ไม่กินอาหารเช้า" อาจทำให้สุขภาพดีกว่า? 🤯 ช็อกใช่ไหมล่ะ!

    💡 ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารทันทีที่ตื่นนอนเลย 💪 ลองคิดดู... สมัยก่อนบรรพบุรุษเราต้องออกล่าสัตว์ 🏃‍♂️ หาอาหารก่อนที่จะได้กินเลยนะ
    .
    ✨ เคล็ดลับเด็ดคือการ Fasting 16 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า IF นี่แหละ! ⏰ วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น 🔥 แถมยังช่วยลดระดับอินซูลินด้วย 📉
    .
    😱 รู้ไหมว่าที่เราเชื่อกันว่า "อาหารเช้าสำคัญที่สุด" จริงๆ แล้วเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด 🏢 ของบริษัทอาหารในอเมริกาเท่านั้นเอง! เขาอยากขายซีเรียล 🥣 ขนมปัง 🍞 และอาหารเช้าให้เรานั่นเอง
    .
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    .
    🤔 แล้วคุณล่ะ? ยังจะกินมื้อเช้าเหมือนเดิมไหม หรือจะลองเปลี่ยนมาดูแลสุขภาพด้วยการ IF ดูบ้าง?
    .
    💭 มาแชร์กันหน่อย! เคยลอง IF ไหม? รู้สึกยังไงบ้าง? 💪
    .
    #สุขภาพดี #ลดพุง #Fasting #IntermittentFasting #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี 🎯
    🥗 เคยได้ยินไหมว่า "ไม่กินอาหารเช้า" อาจทำให้สุขภาพดีกว่า? 🤯 ช็อกใช่ไหมล่ะ! 💡 ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารทันทีที่ตื่นนอนเลย 💪 ลองคิดดู... สมัยก่อนบรรพบุรุษเราต้องออกล่าสัตว์ 🏃‍♂️ หาอาหารก่อนที่จะได้กินเลยนะ . ✨ เคล็ดลับเด็ดคือการ Fasting 16 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า IF นี่แหละ! ⏰ วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น 🔥 แถมยังช่วยลดระดับอินซูลินด้วย 📉 . 😱 รู้ไหมว่าที่เราเชื่อกันว่า "อาหารเช้าสำคัญที่สุด" จริงๆ แล้วเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด 🏢 ของบริษัทอาหารในอเมริกาเท่านั้นเอง! เขาอยากขายซีเรียล 🥣 ขนมปัง 🍞 และอาหารเช้าให้เรานั่นเอง . พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG . 🤔 แล้วคุณล่ะ? ยังจะกินมื้อเช้าเหมือนเดิมไหม หรือจะลองเปลี่ยนมาดูแลสุขภาพด้วยการ IF ดูบ้าง? . 💭 มาแชร์กันหน่อย! เคยลอง IF ไหม? รู้สึกยังไงบ้าง? 💪 . #สุขภาพดี #ลดพุง #Fasting #IntermittentFasting #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี 🎯
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • 🥦 สุขภาพดี เริ่มต้นที่การ "ไม่กิน" อาหารเช้า จริงหรือ⁉️
    .
    เคยสงสัยไหมว่าทำไมหลายคนพยายามลดน้ำหนัก แต่กลับมีพุงน้อย ๆ ติดตัวตลอด ทั้งที่เขาก็กินอาหารเช้าเหมือนที่เราเคยถูกสอนมา? 🤔
    .
    ความจริงที่อาจทำให้คุณช็อกคือ **"อาหารเช้าไม่จำเป็นต่อร่างกาย!"** 💥 หลักฐานชี้ชัดว่าคนที่มีไขมันสะสมโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง มักเป็นกลุ่มที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
    .
    📌 **มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินทันทีหลังตื่น**
    ย้อนกลับไปในยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อบรรพบุรุษของเราตื่นขึ้นมา พวกเขาต้องออกล่าสัตว์ หาอาหาร ใช้พลังงานก่อน แล้วค่อยกิน สมองและร่างกายของเราจึงพัฒนาให้ตื่นตัวและมีพลังงานสูงสุดในช่วงที่ยัง "ไม่ได้กิน"
    .
    📌 **Fasting 16 ชั่วโมง = สูตรลับสุขภาพดี**
    การอดอาหารเป็นช่วง ๆ หรือ Intermittent Fasting (IF) 16 ชั่วโมง เป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานสะสมแทนการสะสมไขมันเพิ่ม 🔥 เมื่อเราเว้นช่วงการกินให้นานขึ้น ระดับอินซูลินลดลง ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าเดิม
    .
    📌 **อุตสาหกรรมอาหารเช้าคือมายาคติที่ถูกสร้างขึ้น**
    อุตสาหกรรมอาหารในอเมริกาสร้างวาทกรรมว่า **"อาหารเช้าคือมื้อสำคัญที่สุดของวัน"** 📢 แต่รู้ไหมว่าทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อขายซีเรียล ขนมปัง และอาหารเช้าต่าง ๆ เท่านั้น! การถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าต้องกินมื้อเช้าจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะ "ธุรกิจ" ไม่ใช่ "สุขภาพ"
    .
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG
    .
    🚀 **แล้วคุณล่ะ? ยังเชื่อว่าอาหารเช้าสำคัญอยู่ไหม หรือพร้อมจะเปลี่ยนแนวคิดเพื่อสุขภาพดีขึ้น?**
    📣 มาแชร์ความคิดเห็นกัน! คุณเคยลอง Fasting 16 ชั่วโมงไหม แล้วรู้สึกอย่างไร? มาคุยกันหน่อย! ⬇️⬇️

    #สุขภาพดี
    #ลดพุง
    #Fasting
    #IntermittentFasting
    #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี
    🥦 สุขภาพดี เริ่มต้นที่การ "ไม่กิน" อาหารเช้า จริงหรือ⁉️ . เคยสงสัยไหมว่าทำไมหลายคนพยายามลดน้ำหนัก แต่กลับมีพุงน้อย ๆ ติดตัวตลอด ทั้งที่เขาก็กินอาหารเช้าเหมือนที่เราเคยถูกสอนมา? 🤔 . ความจริงที่อาจทำให้คุณช็อกคือ **"อาหารเช้าไม่จำเป็นต่อร่างกาย!"** 💥 หลักฐานชี้ชัดว่าคนที่มีไขมันสะสมโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง มักเป็นกลุ่มที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น? . 📌 **มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินทันทีหลังตื่น** ย้อนกลับไปในยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อบรรพบุรุษของเราตื่นขึ้นมา พวกเขาต้องออกล่าสัตว์ หาอาหาร ใช้พลังงานก่อน แล้วค่อยกิน สมองและร่างกายของเราจึงพัฒนาให้ตื่นตัวและมีพลังงานสูงสุดในช่วงที่ยัง "ไม่ได้กิน" . 📌 **Fasting 16 ชั่วโมง = สูตรลับสุขภาพดี** การอดอาหารเป็นช่วง ๆ หรือ Intermittent Fasting (IF) 16 ชั่วโมง เป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานสะสมแทนการสะสมไขมันเพิ่ม 🔥 เมื่อเราเว้นช่วงการกินให้นานขึ้น ระดับอินซูลินลดลง ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าเดิม . 📌 **อุตสาหกรรมอาหารเช้าคือมายาคติที่ถูกสร้างขึ้น** อุตสาหกรรมอาหารในอเมริกาสร้างวาทกรรมว่า **"อาหารเช้าคือมื้อสำคัญที่สุดของวัน"** 📢 แต่รู้ไหมว่าทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อขายซีเรียล ขนมปัง และอาหารเช้าต่าง ๆ เท่านั้น! การถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าต้องกินมื้อเช้าจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะ "ธุรกิจ" ไม่ใช่ "สุขภาพ" . พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG พิกัด อาหารสุขภาพ Tokoyo ลด 40%📌 https://s.shopee.co.th/gBABCNyIG . 🚀 **แล้วคุณล่ะ? ยังเชื่อว่าอาหารเช้าสำคัญอยู่ไหม หรือพร้อมจะเปลี่ยนแนวคิดเพื่อสุขภาพดีขึ้น?** 📣 มาแชร์ความคิดเห็นกัน! คุณเคยลอง Fasting 16 ชั่วโมงไหม แล้วรู้สึกอย่างไร? มาคุยกันหน่อย! ⬇️⬇️ #สุขภาพดี #ลดพุง #Fasting #IntermittentFasting #ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣Whery well1แถม1 พร้อมส่ง!!
    #โปรตีนไดเอท
    #โปรตีนลดน้ำหนัก
    #โปรตีนพืช เวย์โปรตีน #เวย์ลดน้ำหนัก คุมน้ำหนัก 📌ตัวนี้เอาอยู่
    ในราคา ฿350 - ฿1,540
    📣สั่งซื้อกดลิงค์เลยค่ะ
    📌 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/AKLRq21cq0
    📣Whery well1แถม1 พร้อมส่ง!! #โปรตีนไดเอท #โปรตีนลดน้ำหนัก #โปรตีนพืช เวย์โปรตีน #เวย์ลดน้ำหนัก คุมน้ำหนัก 📌ตัวนี้เอาอยู่ ในราคา ฿350 - ฿1,540 📣สั่งซื้อกดลิงค์เลยค่ะ 📌 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/AKLRq21cq0
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ลำไส้แปรปรวน - Irritable Bowel Syndrome

    (IBS)

    IBS เป็นกลุ่มอาการในลำไส้ที่อาจรวมถึงตะคริวในช่องท้อง ท้องร่วง ท้องผูก ท้องอืด และมีแก๊ส กลุ่มอาการในลำไส้มักเกิดขึ้นร่วมกันแต่ อาการจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและระยะเวลาในแต่ละคน

    ประเภทของ IBS แบ่งตามอาการเฉพาะที่เกิดขึ้น เช่น อาการท้องผูกและน้ำหนักลด

    IBS อาจทำให้เกิดความเสียหายในลำไส้ได้และนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จากการศึกษาปี 2022 IBS ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในทางเดินอาหาร แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตของคุณ

    อาการของ IBS มักประกอบด้วย:

    • ตะคริว

    • อาการปวดท้อง

    • ท้องอืดและมีแก๊ส

    • อาการท้องผูก

    • ท้องเสีย

    • คลื่นไส้และอาเจียน

    • เหนื่อยล้าและอ่อนแรง

    • อารมณ์เปลี่ยนแปลง ซึมเศร้า และวิตกกังวล

    มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายสำหรับIBS

    IBS ในผู้หญิง

    IBS มีแนวโน้มที่จะพบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ โดยมักจะมีอาการปวดท้องและท้องผูกมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการมากขึ้นหรือแย่ลงในช่วงมีประจำเดือน

    IBS ในผู้ชาย

    อาการของ IBS ในเพศชายอาจเหมือนกับอาการในเพศหญิง แต่อาจเน้นไปที่อาการท้องเสียมากกว่าตามการวิจัย

    ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ที่เป็นโรค IBS จะมีอาการท้องผูกและท้องร่วง อาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและมีแก๊สมักจะหายไปหลังจากที่คุณถ่ายอุจจาระ อาการไม่ได้เกิดขึ้นถาวรเสมอไป พวกเขาสามารถแก้ไขได้

    อาการปวด IBS

    อาจรู้สึกเหมือนเป็นตะคริว เย็นวูบวาบ เสียวซ่าน คุณจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2 อย่างต่อไปนี้:

    • บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยหลังการถ่ายอุจจาระ

    • ความถี่ในการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไป

    • รูปลักษณ์ของอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป
    กระบวนการทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับ IBS อาจแตกต่างกันไป แต่อาจประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:

    • การเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าลงหรือกระตุก ทำให้เกิดตะคริวอย่างเจ็บปวด

    • ระดับเซโรโทนินในลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้

    สาเหตุของโรค

    สาเหตุที่เป็นไปได้

    - ลำไส้ใหญ่หรือระบบภูมิคุ้มกันที่ไวเกินไปหลังการติดเชื้อเแบคทีเรียในทางเดินอาหาร
    - การรับประทานยาลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง
    - การรับประทานสมุนไพรเพื่อการขับถ่ายอาทิ มะขามแขก น้ำมันละหุ่ง เป็นต้น
    - การได้รับยาปฏิชีวนะ
    - การได้รับยาบางชนิดเพื่อรักษาสภาวะทางการแพทย์เป็นระยะเวลานาน
    - การขาดเมือกในลำไส้
    -การขาดจุลชีพฝั่งดีในลำไส้
    - การเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยรสเผ็ดและรสเปรี้ยว
    - ความเครียดเรื้อรัง ระบบประสาทของคุณควบคุมการเคลื่อนไหวอัตโนมัติหรือการเคลื่อนไหวของระบบย่อยอาหารในระดับที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่าความเครียดส่งผลต่อเส้นประสาท ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากเกินไป

    หากคุณมี IBS ลำไส้ใหญ่ของคุณอาจตอบสนองต่อการหยุดชะงักของระบบย่อยอาหารมากเกินไป เชื่อกันว่า IBS ได้รับผลกระทบจากระบบภูมิคุ้มกันซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากความเครียดเช่นกัน

    การวินิจฉัย

    แพทย์ของคุณอาจวินิจฉัย IBS ตามอาการของคุณได้ พวกเขายังอาจทำตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งขั้นตอนเพื่อแยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ของอาการของคุณ:

    • กำหนดรูปแบบการรับประทานอาหารบางอย่างหรือหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่เฉพาะเจาะจงเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อแยกแยะการแพ้อาหาร

    • สั่งการทดสอบตัวอย่างอุจจาระของคุณเพื่อขจัดการติดเชื้อ

    • สั่งการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจางและขจัดโรคช่องท้อง

    • สั่งการส่องกล้องลำไส้ใหญ่

    โดยทั่วไปแพทย์ของคุณจะสั่งการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เฉพาะในกรณีที่สงสัยว่ามีอาการลำไส้ใหญ่บวม โรคลำไส้อักเสบ (โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบแบบเป็นแผล) หรือมะเร็งเป็นสาเหตุของอาการของคุณ

    อาหารอะไรบ้างที่กระตุ้นการเกิด IBS

    อาหารบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อยสำหรับผู้ป่วย IBS อาหารเหล่านี้บางชนิดอาจส่งผลต่อคุณมากกว่าอาหารอื่นๆ

    การจดบันทึกรายการอาหารไว้สักพักเพื่อเรียนรู้ว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดอาจช่วยได้ อาหารบางอย่างที่คุณอาจจำกัดหรือยกเว้น ได้แก่:

    • ถั่วทุกชนิดและทุกรูปแบบ

    • อาหารที่มีซอร์บิทอล แมนนิทอล หรือไซลิทอล

    • หัวหอม กระเทียม มะเขือ มะเขือเทศและผักที่มีรสเปรี้ยวหรือเผ็ด

    • ผลไม้ทุกชนิด

    • อาหารประเภทนม

    • เห็ดและยิสต์

    การเยียวยาที่บ้าน

    การเยียวยาที่บ้านหรือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการ IBS ของคุณได้โดยไม่ต้องใช้ยา ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเหล่านี้ได้แก่:

    • มีส่วนร่วมในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    • จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเนื่องจากคาเฟอีนไปกระตุ้นลำไส้

    • การลดความเครียด (การบำบัดด้วยการพูดคุย การฝึกสติ การสะกดจิต และการฝึกสมาธิ)

    • รับประทานโปรไบโอติก ( จุลินทรีย์ "ดี" ที่มักพบในลำไส้) เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและแก็ส

    • เพิ่มปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร หรืออาหารเสริม

    • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและรับประทานอย่างช้าๆ คุณอาจพบว่าการย่อยอาหารในปริมาณน้อยง่ายกว่าการรับประทานอาหารในปริมาณมาก

    • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (2 ลิตร) (เช่น น้ำเปล่า ชาสมุนไพร น้ำซุป) เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ

    • ลองรับประทานอาหาร ที่มี FODMAP ต่ำในระยะสั้นเพื่อช่วยระบุอาหารที่กระตุ้นอาการ FODMAP เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเฉพาะที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการในลำไส้ อาหารที่มี FODMAP สูง ได้แก่ แอปเปิล หัวหอม กระเทียม ข้าวสาลี แล็กโทส แอลกอฮอล์และน้ำตาล

    • เลือกผักที่ปรุงสุกแล้วมากกว่าผักดิบ

    • เลือกโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไข่ ไก่ ปลา และโยเกิร์ตธรรมดาที่ไม่มีแลคโตส

    • ปรุงอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น การอบ การคั่ว การนึ่งและการต้ม สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงอาการไม่สบายตัวได้เช่นกัน

    • หากคุณมีอาการท้องผูก ควรพิจารณารับประทานใยอาหาร บางประเภท เช่น กระเจี๊ยบเขียว มันสําปะหลัง และไซเลียม หลีกเลี่ยงรำข้าวสาลีและลูกพรุน ซึ่งเป็นใยอาหารที่ย่อยง่าย อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและปวดท้อง

    • จำกัด การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเช่น บร็อคโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำบรัสเซลส์ หากผักหรือพืชเหล่านี้กระตุ้นให้คุณมีอาการ

    • จำกัดปริมาณ น้ำตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานเทียม เช่น ซอร์บิทอล แมนนิทอล ไซลิทอล มอลทิทอล และอีริทริทอล

    • หลีกเลี่ยงภาวะแพ้กลูเตนและโรคซีลิแอค บางคนอาจแพ้คาร์โบไฮเดรตในข้าวสาลี(กลูเตน)

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Paa vill
    Zyem
    Synbc
    K cal
    Butterfly
    Cr. Santi Manadee
    #ลำไส้แปรปรวน - Irritable Bowel Syndrome (IBS) IBS เป็นกลุ่มอาการในลำไส้ที่อาจรวมถึงตะคริวในช่องท้อง ท้องร่วง ท้องผูก ท้องอืด และมีแก๊ส กลุ่มอาการในลำไส้มักเกิดขึ้นร่วมกันแต่ อาการจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและระยะเวลาในแต่ละคน ประเภทของ IBS แบ่งตามอาการเฉพาะที่เกิดขึ้น เช่น อาการท้องผูกและน้ำหนักลด IBS อาจทำให้เกิดความเสียหายในลำไส้ได้และนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จากการศึกษาปี 2022 IBS ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในทางเดินอาหาร แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตของคุณ อาการของ IBS มักประกอบด้วย: • ตะคริว • อาการปวดท้อง • ท้องอืดและมีแก๊ส • อาการท้องผูก • ท้องเสีย • คลื่นไส้และอาเจียน • เหนื่อยล้าและอ่อนแรง • อารมณ์เปลี่ยนแปลง ซึมเศร้า และวิตกกังวล มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายสำหรับIBS IBS ในผู้หญิง IBS มีแนวโน้มที่จะพบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ โดยมักจะมีอาการปวดท้องและท้องผูกมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการมากขึ้นหรือแย่ลงในช่วงมีประจำเดือน IBS ในผู้ชาย อาการของ IBS ในเพศชายอาจเหมือนกับอาการในเพศหญิง แต่อาจเน้นไปที่อาการท้องเสียมากกว่าตามการวิจัย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ที่เป็นโรค IBS จะมีอาการท้องผูกและท้องร่วง อาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและมีแก๊สมักจะหายไปหลังจากที่คุณถ่ายอุจจาระ อาการไม่ได้เกิดขึ้นถาวรเสมอไป พวกเขาสามารถแก้ไขได้ อาการปวด IBS อาจรู้สึกเหมือนเป็นตะคริว เย็นวูบวาบ เสียวซ่าน คุณจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2 อย่างต่อไปนี้: • บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยหลังการถ่ายอุจจาระ • ความถี่ในการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไป • รูปลักษณ์ของอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป กระบวนการทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับ IBS อาจแตกต่างกันไป แต่อาจประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้: • การเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าลงหรือกระตุก ทำให้เกิดตะคริวอย่างเจ็บปวด • ระดับเซโรโทนินในลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ สาเหตุของโรค สาเหตุที่เป็นไปได้ - ลำไส้ใหญ่หรือระบบภูมิคุ้มกันที่ไวเกินไปหลังการติดเชื้อเแบคทีเรียในทางเดินอาหาร - การรับประทานยาลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง - การรับประทานสมุนไพรเพื่อการขับถ่ายอาทิ มะขามแขก น้ำมันละหุ่ง เป็นต้น - การได้รับยาปฏิชีวนะ - การได้รับยาบางชนิดเพื่อรักษาสภาวะทางการแพทย์เป็นระยะเวลานาน - การขาดเมือกในลำไส้ -การขาดจุลชีพฝั่งดีในลำไส้ - การเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยรสเผ็ดและรสเปรี้ยว - ความเครียดเรื้อรัง ระบบประสาทของคุณควบคุมการเคลื่อนไหวอัตโนมัติหรือการเคลื่อนไหวของระบบย่อยอาหารในระดับที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่าความเครียดส่งผลต่อเส้นประสาท ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากเกินไป หากคุณมี IBS ลำไส้ใหญ่ของคุณอาจตอบสนองต่อการหยุดชะงักของระบบย่อยอาหารมากเกินไป เชื่อกันว่า IBS ได้รับผลกระทบจากระบบภูมิคุ้มกันซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากความเครียดเช่นกัน การวินิจฉัย แพทย์ของคุณอาจวินิจฉัย IBS ตามอาการของคุณได้ พวกเขายังอาจทำตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งขั้นตอนเพื่อแยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ของอาการของคุณ: • กำหนดรูปแบบการรับประทานอาหารบางอย่างหรือหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่เฉพาะเจาะจงเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อแยกแยะการแพ้อาหาร • สั่งการทดสอบตัวอย่างอุจจาระของคุณเพื่อขจัดการติดเชื้อ • สั่งการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจางและขจัดโรคช่องท้อง • สั่งการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ โดยทั่วไปแพทย์ของคุณจะสั่งการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เฉพาะในกรณีที่สงสัยว่ามีอาการลำไส้ใหญ่บวม โรคลำไส้อักเสบ (โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบแบบเป็นแผล) หรือมะเร็งเป็นสาเหตุของอาการของคุณ อาหารอะไรบ้างที่กระตุ้นการเกิด IBS อาหารบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อยสำหรับผู้ป่วย IBS อาหารเหล่านี้บางชนิดอาจส่งผลต่อคุณมากกว่าอาหารอื่นๆ การจดบันทึกรายการอาหารไว้สักพักเพื่อเรียนรู้ว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดอาจช่วยได้ อาหารบางอย่างที่คุณอาจจำกัดหรือยกเว้น ได้แก่: • ถั่วทุกชนิดและทุกรูปแบบ • อาหารที่มีซอร์บิทอล แมนนิทอล หรือไซลิทอล • หัวหอม กระเทียม มะเขือ มะเขือเทศและผักที่มีรสเปรี้ยวหรือเผ็ด • ผลไม้ทุกชนิด • อาหารประเภทนม • เห็ดและยิสต์ การเยียวยาที่บ้าน การเยียวยาที่บ้านหรือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการ IBS ของคุณได้โดยไม่ต้องใช้ยา ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเหล่านี้ได้แก่: • มีส่วนร่วมในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ • จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเนื่องจากคาเฟอีนไปกระตุ้นลำไส้ • การลดความเครียด (การบำบัดด้วยการพูดคุย การฝึกสติ การสะกดจิต และการฝึกสมาธิ) • รับประทานโปรไบโอติก ( จุลินทรีย์ "ดี" ที่มักพบในลำไส้) เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและแก็ส • เพิ่มปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร หรืออาหารเสริม • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและรับประทานอย่างช้าๆ คุณอาจพบว่าการย่อยอาหารในปริมาณน้อยง่ายกว่าการรับประทานอาหารในปริมาณมาก • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (2 ลิตร) (เช่น น้ำเปล่า ชาสมุนไพร น้ำซุป) เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ • ลองรับประทานอาหาร ที่มี FODMAP ต่ำในระยะสั้นเพื่อช่วยระบุอาหารที่กระตุ้นอาการ FODMAP เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเฉพาะที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการในลำไส้ อาหารที่มี FODMAP สูง ได้แก่ แอปเปิล หัวหอม กระเทียม ข้าวสาลี แล็กโทส แอลกอฮอล์และน้ำตาล • เลือกผักที่ปรุงสุกแล้วมากกว่าผักดิบ • เลือกโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไข่ ไก่ ปลา และโยเกิร์ตธรรมดาที่ไม่มีแลคโตส • ปรุงอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น การอบ การคั่ว การนึ่งและการต้ม สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงอาการไม่สบายตัวได้เช่นกัน • หากคุณมีอาการท้องผูก ควรพิจารณารับประทานใยอาหาร บางประเภท เช่น กระเจี๊ยบเขียว มันสําปะหลัง และไซเลียม หลีกเลี่ยงรำข้าวสาลีและลูกพรุน ซึ่งเป็นใยอาหารที่ย่อยง่าย อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและปวดท้อง • จำกัด การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเช่น บร็อคโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำบรัสเซลส์ หากผักหรือพืชเหล่านี้กระตุ้นให้คุณมีอาการ • จำกัดปริมาณ น้ำตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานเทียม เช่น ซอร์บิทอล แมนนิทอล ไซลิทอล มอลทิทอล และอีริทริทอล • หลีกเลี่ยงภาวะแพ้กลูเตนและโรคซีลิแอค บางคนอาจแพ้คาร์โบไฮเดรตในข้าวสาลี(กลูเตน) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Paa vill Zyem Synbc K cal Butterfly Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥 **ทำไมโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันพอกตับถึงถามหา?** 🤔❓

    🚨 สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน **“ภาวะดื้ออินซูลิน”** 🚫🩸 ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱⚠️

    ❌ ถ้าปล่อยไว้… **ระดับน้ำตาลพุ่ง** 📈🍬 เสี่ยง **โรคเรื้อรังเพียบ**! ⚡🩺
    ✅ ถึงเวลาปรับพฤติกรรม 💪🥗 ออกกำลังกาย 🏃‍♂️ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง!

    📩 **ปรึกษาฟรี! ให้เราช่วยดูแลสุขภาพของคุณ** 💙✨ ทักหาเราได้เลย! 💬💡

    #ดื้ออินซูลิน #ไขมันพอกตับ #ลดน้ำหนัก #เบาหวาน #สุขภาพดีไม่มีขาย #ลดพุง #ปรึกษาสุขภาพฟรี #feelgreat #joeyoungfit #thaitimes
    🔥 **ทำไมโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันพอกตับถึงถามหา?** 🤔❓ 🚨 สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน **“ภาวะดื้ออินซูลิน”** 🚫🩸 ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱⚠️ ❌ ถ้าปล่อยไว้… **ระดับน้ำตาลพุ่ง** 📈🍬 เสี่ยง **โรคเรื้อรังเพียบ**! ⚡🩺 ✅ ถึงเวลาปรับพฤติกรรม 💪🥗 ออกกำลังกาย 🏃‍♂️ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง! 📩 **ปรึกษาฟรี! ให้เราช่วยดูแลสุขภาพของคุณ** 💙✨ ทักหาเราได้เลย! 💬💡 #ดื้ออินซูลิน #ไขมันพอกตับ #ลดน้ำหนัก #เบาหวาน #สุขภาพดีไม่มีขาย #ลดพุง #ปรึกษาสุขภาพฟรี #feelgreat #joeyoungfit #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories)

    อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย

    สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่

    แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี

    ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี

    แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน

    แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน

    ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่:

    • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง

    • อาหารขยะและอาหารจานด่วน

    • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว

    • เค้กและโดนัท

    ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี

    เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้

    ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น
    สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง

    เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories) อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่ แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่: • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง • อาหารขยะและอาหารจานด่วน • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว • เค้กและโดนัท ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีสร้างความกตัญญูและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อในแบบที่ไม่ฝืนใจ

    1. เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณทำได้และสบายใจ

    การซื้อของให้พ่อหรือช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาต้องการ เช่น จ่ายค่าของใช้ที่จำเป็น หรือช่วยดูแลเรื่องสุขภาพ แม้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นการแสดงความกตัญญูที่จับต้องได้

    ท่องไว้ว่า "นี่คือสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้" และค่อยๆ เพิ่มการแสดงออกเมื่อรู้สึกพร้อม



    2. แยกสิ่งที่เขาเคยทำออกจากตัวเขาในปัจจุบัน

    สิ่งที่พ่อเคยทำในอดีต อาจเป็นเงื่อนไขชีวิตของเขาในเวลานั้น แต่วันนี้เขาอาจเป็นเพียงคนธรรมดาที่ต้องการการยอมรับจากลูก

    หากยังติดใจกับอดีต ลองพิจารณา "โทษที่เกิดจากการเก็บความขุ่นมัว" และค่อยๆ ลดน้ำหนักมันลง



    3. เปลี่ยนมุมมองผ่านการกระทำที่เป็นกุศลร่วมกัน

    หากการพูดคุยยังยาก ลองเริ่มด้วยการชวนทำสิ่งที่เป็นกุศล เช่น ชวนไปทำบุญ ใส่บาตร หรือแนะนำหนังสือธรรมะที่อ่านง่าย

    การทำสิ่งที่ดีร่วมกันจะช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ที่อบอุ่นขึ้น โดยไม่ต้องพยายามฝืนแสดงความสนิทสนม



    4. ลดความคาดหวังกับตัวเอง

    อย่ากดดันตัวเองว่าต้องรู้สึกดีหรือสนิทกับพ่อทันที การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกต้องใช้เวลา

    สิ่งสำคัญคือการทำเท่าที่คุณทำได้ และปรับตัวเล็กๆ น้อยๆ ไปทีละขั้น



    5. เจริญเมตตาและฝึกใจให้เบาขึ้น

    ก่อนเจอหน้าพ่อ ให้ลองแผ่เมตตาในใจว่า "ขอให้พ่อมีความสุข ปราศจากทุกข์" การทำซ้ำๆ จะช่วยลดความขุ่นมัวในใจคุณ

    ฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ เมื่อเจอพ่อ และตั้งใจสังเกตใจตัวเองโดยไม่ต้องบังคับความรู้สึก



    6. เปลี่ยนวิธีสื่อสารทีละน้อย

    หากพูดดีๆ ได้ยาก ให้เริ่มจากการส่งข้อความสั้นๆ เช่น ทักทายตอนเช้า หรือแสดงความห่วงใยเรื่องสุขภาพ

    ใช้คำง่ายๆ เช่น "กินข้าวยัง?" หรือ "สุขภาพเป็นยังไงบ้าง?" สิ่งเล็กๆ เหล่านี้อาจช่วยลดความเย็นชาได้



    7. ให้เวลาเป็นตัวช่วย

    ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เปลี่ยนความสัมพันธ์ที่สะสมมานาน ค่อยๆ หยอดการกระทำเล็กๆ น้อยๆ และปล่อยให้ใจของคุณปรับตัวเอง

    การแสดงออกเล็กๆ ทีละน้อยจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติขึ้น





    ---

    สรุป:
    การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คุณทำได้และสบายใจ เช่น การช่วยเหลือ ซื้อของให้ หรือชวนทำสิ่งดีร่วมกัน เมื่อสะสมการกระทำดีๆ เหล่านี้ ใจของคุณจะค่อยๆ ปรับตัว และความสัมพันธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นตามธรรมชาติ

    วิธีสร้างความกตัญญูและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อในแบบที่ไม่ฝืนใจ 1. เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณทำได้และสบายใจ การซื้อของให้พ่อหรือช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาต้องการ เช่น จ่ายค่าของใช้ที่จำเป็น หรือช่วยดูแลเรื่องสุขภาพ แม้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นการแสดงความกตัญญูที่จับต้องได้ ท่องไว้ว่า "นี่คือสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้" และค่อยๆ เพิ่มการแสดงออกเมื่อรู้สึกพร้อม 2. แยกสิ่งที่เขาเคยทำออกจากตัวเขาในปัจจุบัน สิ่งที่พ่อเคยทำในอดีต อาจเป็นเงื่อนไขชีวิตของเขาในเวลานั้น แต่วันนี้เขาอาจเป็นเพียงคนธรรมดาที่ต้องการการยอมรับจากลูก หากยังติดใจกับอดีต ลองพิจารณา "โทษที่เกิดจากการเก็บความขุ่นมัว" และค่อยๆ ลดน้ำหนักมันลง 3. เปลี่ยนมุมมองผ่านการกระทำที่เป็นกุศลร่วมกัน หากการพูดคุยยังยาก ลองเริ่มด้วยการชวนทำสิ่งที่เป็นกุศล เช่น ชวนไปทำบุญ ใส่บาตร หรือแนะนำหนังสือธรรมะที่อ่านง่าย การทำสิ่งที่ดีร่วมกันจะช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ที่อบอุ่นขึ้น โดยไม่ต้องพยายามฝืนแสดงความสนิทสนม 4. ลดความคาดหวังกับตัวเอง อย่ากดดันตัวเองว่าต้องรู้สึกดีหรือสนิทกับพ่อทันที การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกต้องใช้เวลา สิ่งสำคัญคือการทำเท่าที่คุณทำได้ และปรับตัวเล็กๆ น้อยๆ ไปทีละขั้น 5. เจริญเมตตาและฝึกใจให้เบาขึ้น ก่อนเจอหน้าพ่อ ให้ลองแผ่เมตตาในใจว่า "ขอให้พ่อมีความสุข ปราศจากทุกข์" การทำซ้ำๆ จะช่วยลดความขุ่นมัวในใจคุณ ฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ เมื่อเจอพ่อ และตั้งใจสังเกตใจตัวเองโดยไม่ต้องบังคับความรู้สึก 6. เปลี่ยนวิธีสื่อสารทีละน้อย หากพูดดีๆ ได้ยาก ให้เริ่มจากการส่งข้อความสั้นๆ เช่น ทักทายตอนเช้า หรือแสดงความห่วงใยเรื่องสุขภาพ ใช้คำง่ายๆ เช่น "กินข้าวยัง?" หรือ "สุขภาพเป็นยังไงบ้าง?" สิ่งเล็กๆ เหล่านี้อาจช่วยลดความเย็นชาได้ 7. ให้เวลาเป็นตัวช่วย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เปลี่ยนความสัมพันธ์ที่สะสมมานาน ค่อยๆ หยอดการกระทำเล็กๆ น้อยๆ และปล่อยให้ใจของคุณปรับตัวเอง การแสดงออกเล็กๆ ทีละน้อยจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติขึ้น --- สรุป: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับพ่อ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คุณทำได้และสบายใจ เช่น การช่วยเหลือ ซื้อของให้ หรือชวนทำสิ่งดีร่วมกัน เมื่อสะสมการกระทำดีๆ เหล่านี้ ใจของคุณจะค่อยๆ ปรับตัว และความสัมพันธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นตามธรรมชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จีนเพิ่งส่งโปรโตคอลการสื่อสารไร้สายที่ทรงพลังที่สุดในโลกขึ้นสู่อวกาศ! เทคโนโลยีนี้เรียกว่า NearLink หรือ "Xing Shan" ซึ่งเป็นโมดูลการสื่อสารไร้สายสำหรับจรวดที่สามารถลดความล่าช้าในการส่งข้อมูลจากระดับมิลลิวินาทีลงไปถึงระดับไมโครวินาทีได้เลย

    NearLink ถูกพัฒนาโดย Beijing Aerospace Wanyuan Science & Technology ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ China Aerospace Corporation (CASC) เทคโนโลยีนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความล่าช้าต่ำ ความเร็วสูง และความต้านทานต่อการรบกวน การใช้เทคโนโลยีนี้ในจรวดจะช่วยลดน้ำหนักของจรวดหนักและลดค่าใช้จ่ายในการปล่อยจรวดได้อย่างมาก

    ทีมวิจัยได้ปรับปรุงระยะการสื่อสารและความเสถียรของ NearLink เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในอวกาศ ตัวอย่างเช่น ในจรวดนั้นมีเครือข่ายสายเคเบิลเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ สามารถมีน้ำหนักถึง 500 กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับรถสำรวจดวงจันทร์ "Yutu" สามคัน การแทนที่สายเคเบิลเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีไร้สายจะช่วยประหยัดพื้นที่และลดน้ำหนักบรรทุกได้อย่างมาก

    แม้ว่าในทางทฤษฎีระบบจรวดไร้สายจะมีข้อดีมากมาย แต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง ทีมวิจัยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการรับรองความเป็นอิสระและความปลอดภัยของเทคโนโลยีอวกาศของจีน NearLink เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยบริษัทจีนทั้งหมด ทำให้ระบบนี้เป็นระบบที่จีนสามารถควบคุมแนวทางการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/16/space-version-of-chinas-nearlink-wireless-module-cuts-latency-to-microseconds
    นักวิทยาศาสตร์จีนเพิ่งส่งโปรโตคอลการสื่อสารไร้สายที่ทรงพลังที่สุดในโลกขึ้นสู่อวกาศ! เทคโนโลยีนี้เรียกว่า NearLink หรือ "Xing Shan" ซึ่งเป็นโมดูลการสื่อสารไร้สายสำหรับจรวดที่สามารถลดความล่าช้าในการส่งข้อมูลจากระดับมิลลิวินาทีลงไปถึงระดับไมโครวินาทีได้เลย NearLink ถูกพัฒนาโดย Beijing Aerospace Wanyuan Science & Technology ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ China Aerospace Corporation (CASC) เทคโนโลยีนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความล่าช้าต่ำ ความเร็วสูง และความต้านทานต่อการรบกวน การใช้เทคโนโลยีนี้ในจรวดจะช่วยลดน้ำหนักของจรวดหนักและลดค่าใช้จ่ายในการปล่อยจรวดได้อย่างมาก ทีมวิจัยได้ปรับปรุงระยะการสื่อสารและความเสถียรของ NearLink เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในอวกาศ ตัวอย่างเช่น ในจรวดนั้นมีเครือข่ายสายเคเบิลเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ สามารถมีน้ำหนักถึง 500 กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับรถสำรวจดวงจันทร์ "Yutu" สามคัน การแทนที่สายเคเบิลเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีไร้สายจะช่วยประหยัดพื้นที่และลดน้ำหนักบรรทุกได้อย่างมาก แม้ว่าในทางทฤษฎีระบบจรวดไร้สายจะมีข้อดีมากมาย แต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง ทีมวิจัยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการรับรองความเป็นอิสระและความปลอดภัยของเทคโนโลยีอวกาศของจีน NearLink เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยบริษัทจีนทั้งหมด ทำให้ระบบนี้เป็นระบบที่จีนสามารถควบคุมแนวทางการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/16/space-version-of-chinas-nearlink-wireless-module-cuts-latency-to-microseconds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Space version of China’s NearLink wireless module ‘cuts latency to microseconds’
    ‘Aerospace NearLink’, which recently completed a test flight, is expected to reduce the weight of heavy rockets and lower launch costs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตับสัตว์

    ตับเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน

    ตับคืออะไร

    ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในมนุษย์และสัตว์ โดยทั่วไปแล้วตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและมีหน้าที่สำคัญหลายประการ รวมถึง:

    • ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร

    • จัดเก็บไกลโคเจน ธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ

    • กรองและกำจัดยาและสารพิษออกจากเลือด

    ในสัตว์ที่ไม่ป่วย ตับคืออวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเองทุกวัน จึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

    แม้ว่าตับจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ตับก็เป็นอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นสูง

    ตับ 100 กรัม ให้ :

    • พลังงาน 189 แคลอรี่

    • โปรตีน 29 กรัม

    • ไขมัน 5 กรัม

    • คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม

    ตับมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ตับของสัตว์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ แหล่งที่พบได้ทั่วไปคือ ตับวัว ไก่ เป็ด เนื้อแกะ และหมู

    ตับเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด

    ต่อไปนี้คือสารอาหารที่พบในตับวัว 100 กรัม

    • วิตามินบี 12: 2,917% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่แข็งแรงอีกด้วย

    • วิตามินเอ: 104% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น การทำงานของภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างถูกต้อง

    • ไรโบฟลาวิน (B2): 261% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไรโบฟลาวินมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย

    • โฟเลต (B9): 63% ของ DV โฟเลตเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์และการสร้าง DNA

    • ธาตุเหล็ก: 36% ของ DV ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กในตับคือธาตุเหล็กในกลุ่มฮีม ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายที่สุด

    • ทองแดง: 1,578% ของ DV ทองแดงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งจะช่วยควบคุมการผลิตพลังงาน การเผาผลาญธาตุเหล็ก และการทำงานของสมอง

    • โคลีน: ตับให้โคลีน 77% ของ DV โคลีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของตับ

    ตับเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง

    โปรตีนมีความสำคัญต่อชีวิตและพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย

    ตับวัวมากกว่าหนึ่งในสี่ประกอบด้วยโปรตีน เนื่องจากเป็นโปรตีนจากสัตว์ จึงมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด

    กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบเป็นโปรตีน ร่างกายสามารถสร้างกรดอะมิโนบางชนิดได้ แต่กรดอะมิโนที่จำเป็นจะต้องมาจากอาหาร

    การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยลดความหิวและความอยากอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าโปรตีนช่วยบรรเทาความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต

    ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หรือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ในการทำงาน

    การที่มีอัตราการเผาผลาญที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณใช้แคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานร่วมกับการลดปริมาณแคลอรี่

    สุดท้ายการรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในขณะที่ลดน้ำหนักได้

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาบางกรณีเตือนว่าการบริโภคโปรตีนในระยะยาวมากเกินไป โดยเฉพาะจากโปรตีนจากสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไต กระดูก หรือตับ และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงควรรับประทานให้เหมาะสมที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ (อ่านตอนโปรตีนในหัวข้อ Fixx pro)

    ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการรับประทานตับ

    หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานตับและสงสัยว่าตับไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่

    คำถามที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาหรือไม่

    แม้ว่าตับจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่

    ผู้คนเคยเชื่อว่าคอเลสเตอรอลในอาหารทำให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลในอาหารและคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นไม่ตรงไปตรงมา

    คำแนะนำปัจจุบันยังคงแนะนำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอยู่ในบริบทของการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ

    ประชากรประมาณหนึ่งในสี่ดูเหมือนจะไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมากกว่า สำหรับคนเหล่านี้ การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้

    นอกจากความกังวลอื่นๆ แล้ว การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเครื่องในสัตว์สูงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่การศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม
    ตับอาจไม่เหมาะกับทุกคน

    มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการรับประทานตับ

    หญิงตั้งครรภ์

    ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับประทานตับในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเกิดจากปริมาณวิตามินเอ

    การรับประทานวิตามินเอที่ก่อตัวก่อนกำหนดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นชนิดที่พบในตับ มีความเชื่อมโยงกับข้อบกพร่องแต่กำเนิดในการศึกษาวิจัยในปี 1995

    ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่ผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้คือ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอลแอคทีฟเอควล (mcg RAE) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริมเกินปริมาณดังกล่าวต่อวัน

    อย่างไรก็ตาม ตับวัว 1 ออนซ์ (28.5 กรัม) มีวิตามินเอ 2,650 ไมโครกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับวิตามินเอสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับประทานได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามปริมาณวิตามินเอ

    การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแผนการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ

    ผู้ที่เป็นโรคเกาต์

    โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูง อาการของโรคได้แก่ ปวด ข้อแข็ง และบวม

    ตับมีสารพิวรีนสูง ซึ่งก่อให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงตับ เครื่องในสัตว์ และปลาดุกจึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณเป็นโรคเกาต์

    วิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ

    ตับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ

    ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ:

    • การทอดในกระทะ: ตับจะได้ผลดีเมื่อทอดในกระทะพร้อมกับหัวหอม

    • การแช่ตับในน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวก่อนปรุงอาหาร: การทำเช่นนี้จะลดรสชาติที่เข้มข้นของตับได้

    สภาวะของร่างกายที่ควรรับประทานตับ

    -กำลังเจริญเติบโตและใช้สมอง
    -เป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคจะทำลายเม็ดเลือดแดง
    -สูญเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากการมีประจำเดือน การผ่าตัด หรือประสบอุบัติเหตุ
    -มีภาวะโลหิตจาง
    - ผู้ที่มีอาการโคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือหรือบ้านหมุน
    - ผู้ที่มีความรู้สึกว่าหนาวง่ายเกินไป

    ปริมาณที่แนะนำ
    ถ้าเป็นตับวัวหรือตับหมู รับประทานประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อต่อวัน
    ถ้าเป็นตับไก่หรือตับเป็ด รับประทานประมาณ 1 ไม้เสียบย่าง
    และควรรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr.Santi Manadee
    #ตับสัตว์ ตับเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน ตับคืออะไร ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในมนุษย์และสัตว์ โดยทั่วไปแล้วตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและมีหน้าที่สำคัญหลายประการ รวมถึง: • ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร • จัดเก็บไกลโคเจน ธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ • กรองและกำจัดยาและสารพิษออกจากเลือด ในสัตว์ที่ไม่ป่วย ตับคืออวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเองทุกวัน จึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าตับจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ตับก็เป็นอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นสูง ตับ 100 กรัม ให้ : • พลังงาน 189 แคลอรี่ • โปรตีน 29 กรัม • ไขมัน 5 กรัม • คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม ตับมีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ตับของสัตว์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ แหล่งที่พบได้ทั่วไปคือ ตับวัว ไก่ เป็ด เนื้อแกะ และหมู ตับเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด ต่อไปนี้คือสารอาหารที่พบในตับวัว 100 กรัม • วิตามินบี 12: 2,917% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV) วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่แข็งแรงอีกด้วย • วิตามินเอ: 104% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น การทำงานของภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างถูกต้อง • ไรโบฟลาวิน (B2): 261% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไรโบฟลาวินมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย • โฟเลต (B9): 63% ของ DV โฟเลตเป็นสารอาหารจำเป็นที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์และการสร้าง DNA • ธาตุเหล็ก: 36% ของ DV ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กในตับคือธาตุเหล็กในกลุ่มฮีม ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายที่สุด • ทองแดง: 1,578% ของ DV ทองแดงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งจะช่วยควบคุมการผลิตพลังงาน การเผาผลาญธาตุเหล็ก และการทำงานของสมอง • โคลีน: ตับให้โคลีน 77% ของ DV โคลีนมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการทำงานของตับ ตับเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง โปรตีนมีความสำคัญต่อชีวิตและพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ตับวัวมากกว่าหนึ่งในสี่ประกอบด้วยโปรตีน เนื่องจากเป็นโปรตีนจากสัตว์ จึงมีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบเป็นโปรตีน ร่างกายสามารถสร้างกรดอะมิโนบางชนิดได้ แต่กรดอะมิโนที่จำเป็นจะต้องมาจากอาหาร การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยลดความหิวและความอยากอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าโปรตีนช่วยบรรเทาความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หรือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ในการทำงาน การที่มีอัตราการเผาผลาญที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณใช้แคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานร่วมกับการลดปริมาณแคลอรี่ สุดท้ายการรับประทานโปรตีนในปริมาณสูงสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อในขณะที่ลดน้ำหนักได้ ในขณะเดียวกัน การศึกษาบางกรณีเตือนว่าการบริโภคโปรตีนในระยะยาวมากเกินไป โดยเฉพาะจากโปรตีนจากสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไต กระดูก หรือตับ และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นจึงควรรับประทานให้เหมาะสมที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ (อ่านตอนโปรตีนในหัวข้อ Fixx pro) ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการรับประทานตับ หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประทานตับและสงสัยว่าตับไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่ คำถามที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือปริมาณคอเลสเตอรอลเป็นปัญหาหรือไม่ แม้ว่าตับจะมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ ผู้คนเคยเชื่อว่าคอเลสเตอรอลในอาหารทำให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลในอาหารและคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นไม่ตรงไปตรงมา คำแนะนำปัจจุบันยังคงแนะนำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอยู่ในบริบทของการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการ ประชากรประมาณหนึ่งในสี่ดูเหมือนจะไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมากกว่า สำหรับคนเหล่านี้ การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้ นอกจากความกังวลอื่นๆ แล้ว การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเครื่องในสัตว์สูงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่การศึกษานี้ยังมีขอบเขตจำกัด และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ตับอาจไม่เหมาะกับทุกคน มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจต้องการหลีกเลี่ยงการรับประทานตับ หญิงตั้งครรภ์ ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับประทานตับในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเกิดจากปริมาณวิตามินเอ การรับประทานวิตามินเอที่ก่อตัวก่อนกำหนดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นชนิดที่พบในตับ มีความเชื่อมโยงกับข้อบกพร่องแต่กำเนิดในการศึกษาวิจัยในปี 1995 ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่ผู้ใหญ่สามารถรับประทานได้คือ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอลแอคทีฟเอควล (mcg RAE) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริมเกินปริมาณดังกล่าวต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตับวัว 1 ออนซ์ (28.5 กรัม) มีวิตามินเอ 2,650 ไมโครกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับวิตามินเอสูงสุดที่ร่างกายสามารถรับประทานได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามปริมาณวิตามินเอ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับแผนการรับประทานอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากกรดยูริกในเลือดมีปริมาณสูง อาการของโรคได้แก่ ปวด ข้อแข็ง และบวม ตับมีสารพิวรีนสูง ซึ่งก่อให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงตับ เครื่องในสัตว์ และปลาดุกจึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณเป็นโรคเกาต์ วิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ ตับมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีรวมตับไว้ในอาหารของคุณ: • การทอดในกระทะ: ตับจะได้ผลดีเมื่อทอดในกระทะพร้อมกับหัวหอม • การแช่ตับในน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวก่อนปรุงอาหาร: การทำเช่นนี้จะลดรสชาติที่เข้มข้นของตับได้ สภาวะของร่างกายที่ควรรับประทานตับ -กำลังเจริญเติบโตและใช้สมอง -เป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคจะทำลายเม็ดเลือดแดง -สูญเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากการมีประจำเดือน การผ่าตัด หรือประสบอุบัติเหตุ -มีภาวะโลหิตจาง - ผู้ที่มีอาการโคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือหรือบ้านหมุน - ผู้ที่มีความรู้สึกว่าหนาวง่ายเกินไป ปริมาณที่แนะนำ ถ้าเป็นตับวัวหรือตับหมู รับประทานประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อต่อวัน ถ้าเป็นตับไก่หรือตับเป็ด รับประทานประมาณ 1 ไม้เสียบย่าง และควรรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 653 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14/1/68

    ซุปเปอร์ฟู้ด! 5 ธัญพืชคุณค่าโภชนาการใยอาหารสูง มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก

    ซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood) อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่บริโภค โดยซุปเปอร์ฟู้ดมักจะช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้อยากให้ทุกคนรู้จักธัญพืชที่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด หาซื้อง่าย ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รักษาสมดุลสุขภาพ
    5 ธัญพืชซุปเปอร์ฟู้ด

    1.เมล็ดเจีย (Chia Seeds)
    ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่าในเมล็ดเจียมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 อยู่ร้อยละ 62.48

    และมีกรดไลโนเลอิก (linoleic acid : LA) หรือโอเมก้า-6 อยู่ร้อยละ 22.43 ของกรดไขมันทั้งหมดในเมล็ดเจีย นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกเนเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วย ในกระแสช่วงนี้มีผู้นิยมบริโภคเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนักซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่าการรับประทานเมล็ดเจียขนาด 35 - 40 ก./วัน สามารถลดความระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด และลดน้ำหนักได้ แต่การศึกษายังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน

    2.ควินัว (Quinoa)
    มีโปรตีนสูง ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด มีแร่ธาตุสำคัญและอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีใยอาหารสูง
    นอกจากนี้ ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน มีไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย

    3.เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseeds)
    แหล่งของลิกแนน (สารต้านอนุมูลอิสระ)กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก

    4.ลูกเดือย (Job’s Tears)
    จัดเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยบำรุงสายตา
    แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง

    5.ข้าวกล้อง (Brown Rice)

    ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2บรรเทาอาการอ่อนเพลีย มีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)มีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ แป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น
    อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ แพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
    ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพบาบาลพญาไท พหลโยธิน,medthai และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง
    14/1/68 ซุปเปอร์ฟู้ด! 5 ธัญพืชคุณค่าโภชนาการใยอาหารสูง มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก ซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood) อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่บริโภค โดยซุปเปอร์ฟู้ดมักจะช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้อยากให้ทุกคนรู้จักธัญพืชที่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด หาซื้อง่าย ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รักษาสมดุลสุขภาพ 5 ธัญพืชซุปเปอร์ฟู้ด 1.เมล็ดเจีย (Chia Seeds) ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่าในเมล็ดเจียมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 อยู่ร้อยละ 62.48 และมีกรดไลโนเลอิก (linoleic acid : LA) หรือโอเมก้า-6 อยู่ร้อยละ 22.43 ของกรดไขมันทั้งหมดในเมล็ดเจีย นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกเนเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วย ในกระแสช่วงนี้มีผู้นิยมบริโภคเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนักซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่าการรับประทานเมล็ดเจียขนาด 35 - 40 ก./วัน สามารถลดความระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด และลดน้ำหนักได้ แต่การศึกษายังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน 2.ควินัว (Quinoa) มีโปรตีนสูง ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด มีแร่ธาตุสำคัญและอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีใยอาหารสูง นอกจากนี้ ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน มีไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย 3.เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseeds) แหล่งของลิกแนน (สารต้านอนุมูลอิสระ)กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก 4.ลูกเดือย (Job’s Tears) จัดเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยบำรุงสายตา แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง 5.ข้าวกล้อง (Brown Rice) ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2บรรเทาอาการอ่อนเพลีย มีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)มีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ แป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ แพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพบาบาลพญาไท พหลโยธิน,medthai และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 675 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍"

    🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍

    ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ

    🤔 ทำไมต้อง Verri?
    1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ:
    - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์
    - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย
    - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯

    2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม:
    - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้
    - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป

    3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ:
    ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก!
    ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก
    ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน
    ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ
    ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย

    🧪 กลไกการทำงาน:
    Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ

    วิธีดื่ม Verri:
    1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว
    2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น
    3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉
    🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท!
    🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด)
    📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!!

    📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    โทร: 064-9924168
    Line ID: 0649924168

    #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍" 🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍 ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ 🤔 ทำไมต้อง Verri? 1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ: - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์ - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯 2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม: - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้ - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป 3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ: ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก! ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย 🧪 กลไกการทำงาน: Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ วิธีดื่ม Verri: 1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว 2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น 3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉 🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท! 🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด) 📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!! 📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: โทร: 064-9924168 Line ID: 0649924168 #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 896 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍"

    🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍

    ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ

    🤔 ทำไมต้อง Verri?
    1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ:
    - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์
    - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย
    - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯

    2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม:
    - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้
    - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป

    3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ:
    ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก!
    ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก
    ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน
    ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ
    ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย

    🧪 กลไกการทำงาน:
    Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ

    วิธีดื่ม Verri:
    1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว
    2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น
    3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉
    🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท!
    🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด)
    📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!!

    📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    โทร: 064-9924168
    Line ID: 0649924168

    #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    "Verri Pineapple Vinegar: สุขภาพดีเริ่มต้นที่การย่อย ด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรดภูแล 100% 🍍" 🔬 ทำความรู้จักกับ Verri: นวัตกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% 🍍 ในยุคที่เราต้องการลดการพึ่งพายา การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ Verri คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการลดการใช้ยาลดกรดโดยไม่ทิ้งประสิทธิภาพ 🤔 ทำไมต้อง Verri? 1️⃣ กระบวนการผลิตสุดพิเศษ: - ไร้สารเคมี หมักตามธรรมชาติ 100% ได้น้ำส้มสายชูสับปะรดที่สมบูรณ์ - มีปริมาณกรดอะซิติคที่เป็นประโยชน์ 5% เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างกาย - มีตะกอน "mother" ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นน้ำส้มสายชูหมักแท้ 💯 2️⃣ รสชาติและกลิ่นที่น่าดื่ม: - กลิ่นหอมจากสับปะรดภูแลแท้ - ดื่มง่าย ไม่แสบคอเหมือนน้ำส้มสายชูหมักทั่วไป 3️⃣ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ: ✅ ลดอาการกรดไหลย้อนและลมในกระเพาะ ตั้งแต่แก้วแรก! ✅ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูก ✅ ลดความเมื่อยล้า ตื่นมาสดชื่นทุกวัน ✅ ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญ ✅ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ✅ ปรับสมดุล pH ในร่างกาย 🧪 กลไกการทำงาน: Verri อุดมไปด้วยเอนไซม์และสารอาหารจากสับปะรด ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ส่งเสริมการย่อยอาหาร และลดอาการระคายเคืองของกระเพาะ วิธีดื่ม Verri: 1️⃣ ผสม Verri 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว 2️⃣ ดื่มหลังอาหารเช้าหรือเย็น 3️⃣ ทำต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 🎉 โปรโมชั่นพิเศษ! 🎉 🔹 1 ขวด (500 ml) ใช้ได้ 33 วัน: จาก 420 บาท เหลือเพียง 390 บาท! 🔹🔹 2 ขวด สุดคุ้ม: จาก 840 บาท เหลือเพียง 690 บาท (345 บาท/ขวด) 📦 ส่งฟรี! เก็บเงินปลายทางได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 🚀 พร้อมเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของคุณแล้วหรือยัง? สั่ง Verri วันนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า!!! 📞 สั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: โทร: 064-9924168 Line ID: 0649924168 #VerriPineappleVinegar #สุขภาพกระเพาะ #ลดกรดธรรมชาติ #อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ #สับปะรดเชียงราย #ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค #น้ำส้มสายชูหมัก #ลดกรดไหลย้อน #ท้องอืดท้องเฟ้อ #สมุนไพรเพื่อสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก #detox #ระบบย่อยอาหาร #healthylifestyle #naturalremedies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 876 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24/12/67

    โรคขี้เกียจเดินของผู้สูงวัย. โรคซาร์โคเพเนีย (Sarcopenia) คือ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และ ความแข็งแรงเป็นผลมาจากการแก่ตัว หรือ การเป็นผู้สูงอายุที่ขี้เกียจเดิน

    ผู้สูงอายุทุกท่าน ระวัง “ซาร์โคเพเนีย” จะมาเยือนท่าน

    1. พยายามยืน/เดิน ให้มากขึ้น นั่ง/นอน เท่าที่จำเป็น

    2. หลังอายุ 60 ~ 70 ปี ยากที่จะลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ออกกำลังกาย และพึ่งพา การกินให้น้อยลงเพื่อลดน้ำหนัก! กล้ามเนื้อทั้งหมดอาจหายไป มันอันตรายมากนะ

    3. การเดิน การขี่จักรยาน เป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เจ็บเข่า

    4. ถ้าผู้สูงอายุป่วย และเข้าโรงพยาบาล การนอนเพียง 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ จะเสียมวลกล้ามเนื้ออย่างน้อย 5%

    5. ปกติผู้สูงอายุ จำนวนมาก ที่ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง ที่จ้างผู้ช่วยคอยดูแล คอยพยุง จะยิ่งสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเร็วขึ้น

    6. ตราบใดที่ผู้สูงอายุ พยายามเดิน หรือเคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ่อยๆ กล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกายจะเกี่ยวข้อง! รวมไปถึงการกลืนอาหาร ก็จักดีขึ้น

    7. โรคซาร์โคเพเนีย นั้น ความจริง น่ากลัวมากกว่าโรคกระดูกพรุน
    เพราะ โรคซาร์โคเพเนียไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย

    8. ผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยเดิน หรือ ขาเคลื่อนไหวน้อย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง

    ดังนั้น อย่างน้อย ฝึกนั่งสควอต (ยืน/นั่ง ยอง วันละ 20-30 ครั้ง) หรือ ยืนขึ้นทันที เมื่อก้นของคุณ สัมผัสที่นั่งบนเก้าอี้ วันละ 20-30 ครั้งก็ยังดี

    ดังนั้น วันนี้ คุณต้องใส่ใจกับ ซาร์โคเพเนีย!แล้วนะ

    ขึ้น & ลงบันได ... การเดิน ในทุกวัน สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้! เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น…สำหรับทุกคนเมื่อเป็นผู้สูงวัย...

    ▪การศึกษา จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์กพบว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ของการไม่เดิน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา สามารถ *ลดประสิทธิภาพของขาลงได้ถึง 1 ใน 3* ซึ่งเท่ากับอายุเพิ่มขึ้น 20 - 30 ปี !! *งั้นเดินไปเถอะ*

    ▪เมื่อใด กล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแอลง เราจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวในภายหลัง

    ▪ดังนั้น การเดินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

    ▪ 50% ของกระดูก & 50% ของกล้ามเนื้อ อยู่ในสองขาของเรา

    ▪ข้อต่อ & กระดูกที่ใหญ่ที่สุด & แข็งแรงที่สุด ก็อยู่ที่ขาของเรา *ดังนั้น พยายามเดินให้ได้ ในทุกวัน*
    cr:กลุ่มไลน์
    #เพจสุขภาพและความงามโดยเยาว์
    24/12/67 โรคขี้เกียจเดินของผู้สูงวัย. โรคซาร์โคเพเนีย (Sarcopenia) คือ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และ ความแข็งแรงเป็นผลมาจากการแก่ตัว หรือ การเป็นผู้สูงอายุที่ขี้เกียจเดิน ผู้สูงอายุทุกท่าน ระวัง “ซาร์โคเพเนีย” จะมาเยือนท่าน 1. พยายามยืน/เดิน ให้มากขึ้น นั่ง/นอน เท่าที่จำเป็น 2. หลังอายุ 60 ~ 70 ปี ยากที่จะลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ออกกำลังกาย และพึ่งพา การกินให้น้อยลงเพื่อลดน้ำหนัก! กล้ามเนื้อทั้งหมดอาจหายไป มันอันตรายมากนะ 3. การเดิน การขี่จักรยาน เป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เจ็บเข่า 4. ถ้าผู้สูงอายุป่วย และเข้าโรงพยาบาล การนอนเพียง 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ จะเสียมวลกล้ามเนื้ออย่างน้อย 5% 5. ปกติผู้สูงอายุ จำนวนมาก ที่ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง ที่จ้างผู้ช่วยคอยดูแล คอยพยุง จะยิ่งสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเร็วขึ้น 6. ตราบใดที่ผู้สูงอายุ พยายามเดิน หรือเคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ่อยๆ กล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกายจะเกี่ยวข้อง! รวมไปถึงการกลืนอาหาร ก็จักดีขึ้น 7. โรคซาร์โคเพเนีย นั้น ความจริง น่ากลัวมากกว่าโรคกระดูกพรุน เพราะ โรคซาร์โคเพเนียไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย 8. ผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยเดิน หรือ ขาเคลื่อนไหวน้อย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง ดังนั้น อย่างน้อย ฝึกนั่งสควอต (ยืน/นั่ง ยอง วันละ 20-30 ครั้ง) หรือ ยืนขึ้นทันที เมื่อก้นของคุณ สัมผัสที่นั่งบนเก้าอี้ วันละ 20-30 ครั้งก็ยังดี ดังนั้น วันนี้ คุณต้องใส่ใจกับ ซาร์โคเพเนีย!แล้วนะ ขึ้น & ลงบันได ... การเดิน ในทุกวัน สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้! เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น…สำหรับทุกคนเมื่อเป็นผู้สูงวัย... ▪การศึกษา จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์กพบว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ของการไม่เดิน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา สามารถ *ลดประสิทธิภาพของขาลงได้ถึง 1 ใน 3* ซึ่งเท่ากับอายุเพิ่มขึ้น 20 - 30 ปี !! *งั้นเดินไปเถอะ* ▪เมื่อใด กล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแอลง เราจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวในภายหลัง ▪ดังนั้น การเดินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ▪ 50% ของกระดูก & 50% ของกล้ามเนื้อ อยู่ในสองขาของเรา ▪ข้อต่อ & กระดูกที่ใหญ่ที่สุด & แข็งแรงที่สุด ก็อยู่ที่ขาของเรา *ดังนั้น พยายามเดินให้ได้ ในทุกวัน* cr:กลุ่มไลน์ #เพจสุขภาพและความงามโดยเยาว์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7/12/67

    การเดินออกกำลังกายในบ้าน (Walking Exercise) ถือเป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และเหมาะกับคนทุกวัย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการเริ่มต้นการออกกำลังกายเบา ๆ การเดินในบ้านมีประโยชน์หลากหลาย เช่น:

    ประโยชน์ของการเดินในบ้าน
    1.ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในร่างกาย
    เผาผลาญพลังงานได้ดีและต่อเนื่อง ช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย
    2. เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย
    ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและหัวใจ
    3. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและปอด
    การเดินช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและเพิ่มออกซิเจนในร่างกาย
    4. ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
    ลดโอกาสเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
    5. เพิ่มความฟิตและความสมดุลของร่างกาย
    เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการป้องกันการล้มและเสริมสมดุล

    ออกกำลังสำหรับมือใหม่ และ ผู้สูงอายุ ปลอดภัย ไม่หนักจนเกินไป

    เสริมสร้างระบบหัวใจและปรับปรุงความสามารถของปอด: การออกกำลังกายคาร์ดิโอช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจสามารถส่งเลือดไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น และปรับปรุงการทำงานของปอดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ลดความดันโลหิต: การออกกำลังกายที่เน้นการออกแรงของหัวใจช่วยลดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด

    เพิ่มระดับพลังงาน: การออกกำลังกายคาร์ดิโอช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีความกระปรี้กระเปร่า

    ลดน้ำหนัก: การออกกำลังกายที่เน้นการใช้พลังงานเช่นการวิ่งหรือเดินเร็วช่วยลดน้ำหนักได้ โดยลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย

    เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: การออกกำลังกายคาร์ดิโอช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเจ็บป่วย

    สร้างกระแสเลือดดีขึ้น: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรงและยืดหยุ่น ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น

    ช่วยลดความเครียดและซึมเศร้า: การออกกำลังกายที่เน้นการออกแรงของหัวใจช่วยเพิ่มระดับสารเคมีที่ทำให้รู้สึกสบาย ช่วยลดความเครียดและซึมเศร้า

    ** โปรดทราบ : ผลที่เกิดขึ้นจะเฉพาะบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ **
    ------------------------------------------------------------------------------------------
    โดย นพ. กฤติณห์ นิ่มศิริเรืองผล (หมอเฟม)
    นพ.วรภัทร ศุภกรมงคล (หมอเฟริส)
    หมอทำงานเฉพาะทาง ด้านกระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ

    สามารถพูดคุย สอบถาม แลกเปลี่ยนได้ ใน คอมเมนต์
    Facebook :   / decendoc  
    Line official : https://lin.ee/pT8Jtdl

    https://youtu.be/iaYP7kT19Lo?si=7Xl6drobuF3yhMZs


    7/12/67 การเดินออกกำลังกายในบ้าน (Walking Exercise) ถือเป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และเหมาะกับคนทุกวัย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการเริ่มต้นการออกกำลังกายเบา ๆ การเดินในบ้านมีประโยชน์หลากหลาย เช่น: ประโยชน์ของการเดินในบ้าน 1.ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในร่างกาย เผาผลาญพลังงานได้ดีและต่อเนื่อง ช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย 2. เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและหัวใจ 3. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและปอด การเดินช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและเพิ่มออกซิเจนในร่างกาย 4. ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง ลดโอกาสเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ 5. เพิ่มความฟิตและความสมดุลของร่างกาย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการป้องกันการล้มและเสริมสมดุล ออกกำลังสำหรับมือใหม่ และ ผู้สูงอายุ ปลอดภัย ไม่หนักจนเกินไป เสริมสร้างระบบหัวใจและปรับปรุงความสามารถของปอด: การออกกำลังกายคาร์ดิโอช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจสามารถส่งเลือดไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น และปรับปรุงการทำงานของปอดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความดันโลหิต: การออกกำลังกายที่เน้นการออกแรงของหัวใจช่วยลดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มระดับพลังงาน: การออกกำลังกายคาร์ดิโอช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีความกระปรี้กระเปร่า ลดน้ำหนัก: การออกกำลังกายที่เน้นการใช้พลังงานเช่นการวิ่งหรือเดินเร็วช่วยลดน้ำหนักได้ โดยลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: การออกกำลังกายคาร์ดิโอช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเจ็บป่วย สร้างกระแสเลือดดีขึ้น: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรงและยืดหยุ่น ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดความเครียดและซึมเศร้า: การออกกำลังกายที่เน้นการออกแรงของหัวใจช่วยเพิ่มระดับสารเคมีที่ทำให้รู้สึกสบาย ช่วยลดความเครียดและซึมเศร้า ** โปรดทราบ : ผลที่เกิดขึ้นจะเฉพาะบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ ** ------------------------------------------------------------------------------------------ โดย นพ. กฤติณห์ นิ่มศิริเรืองผล (หมอเฟม) นพ.วรภัทร ศุภกรมงคล (หมอเฟริส) หมอทำงานเฉพาะทาง ด้านกระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ สามารถพูดคุย สอบถาม แลกเปลี่ยนได้ ใน คอมเมนต์ Facebook :   / decendoc   Line official : https://lin.ee/pT8Jtdl https://youtu.be/iaYP7kT19Lo?si=7Xl6drobuF3yhMZs
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • บล.คิงส์ฟอร์ด-หมอบุญ..ที่แท้คนกันเอง / สุนันท์ ศรีจันทราแถลงการณ์ด่วนของบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด ปฏิเสธว่า ไม่เคยเกี่ยวข้อง รวมถึงไม่เคยทำสัญญาใดๆ หรือการเป็นที่ปรึกษาโครงการ และไม่เคยให้พนักงานของบริษัทไปแนะนำหรือชักชวนนักลงทุนมาร่วมลงทุนในโครงการของ "หมอบุญ วนาสิน" ถูกลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือลงในทันทีหลังจากสื่อผู้จัดการออนไลน์ ตีแผ่ภาพนายประจวบ ศิริรัตน์บุญขจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด นั่งบนโต๊ะถ่ายรูปคู่กับหมอบุญ ในการเซ็นสัญญา หมอบุญ แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน นำบริษัท ไทย เมดิคัล โกลฟ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นการเซ็นสัญญารับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไทย เมดิคัล โกลฟ จำกัด ซึ่งหมอบุญถือหุ้นใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 แต่ทั้ง บล.คิงส์ฟอร์ดและหมอบุญ ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่สามารถผลักดันบริษัท ไทย เมดิคัล โกลฟเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ และบริษัทแห่งนี้ก็เงียบหายไปตามกาลเวลาภาพนายประจวบ ที่ปรากฏหราร่วมโต๊ะเซ็นสัญญารับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นหลักฐานยืนยันว่า ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด รู้จักหมอบุญเป็นอย่างดี รู้จักกันมาหลายปี และเคยร่วมธุรกรรมกันมาแล้วแต่ความสัมพันธ์จะต่อเนื่อง และเชื่อมโยงมาถึงการกู้เงินและการชักชวนนักลงทุนมาลงทุนในโครงการต่างๆ ของหมอบุญ ซึ่งหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตำรวจจะสอบสวนขยายผลจนสิ้นสงสัยว่าผู้ร่วมขบวนการฉ้อโกงประชาชนกับหมอบุญ สร้างความเสียหายระดับหมื่นล้านบาท และยังมีความผิดฐานฟอกเงินเข้าไปด้วย มีเพียง 9 คนที่ถูกออกหมายจับแล้ว ไม่มีคนอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือร่วมในแก๊งโกงของหมอบุญอีกคดีแชร์ลูกโซ่ดิไอคอนของบอสพอล ตำรวจสอบสวนขยายผล จนมีผู้ต้องหาที่ถูกจับคุมตัวจำนวนมาก รวมทั้งเหล่าดาราชื่อดังคดีฉ้อโกงของหมอบุญ ผู้ต้องหาอาจไม่ได้มีเพียงหมอบุญ และพวกรวม 9 คนเท่านั้นไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ดต้องดิ้นพล่าน ออกแถลงการณ์ด่วน ปฏิเสธไม่เคยทำสัญญาใด ไม่เคยเกี่ยวกับกับการชักชวนคนมาลงทุนในโครงการต่างๆ ของหมอบุญเพราะผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจจับกุมตัวแล้ว 8 คน มีพนักงานระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ติดร่างแหไปด้วย 2 คน คือนางอัจจิมา พาณิชย์เกรียงไกร และนายภาคย์ วัฒนาพร ซึ่งเคยเป็นคณะผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ชุดที่นายประจวบเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ น.ส.ชญานี โปรขันเงิน เป็นกรรมการผู้จัดการนางอัจจิมา และนายภาคย์ เข้าร่วมธุรกรรม ชักชวนให้นักลงทุนมาร่วมลงทุนในโครงการหมอบุญ โดยผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ดคนอื่นๆ ไม่มีส่วนรู้เห็นจริงหรือไม่ คำตอบอยู่ที่ผลการสอบสวนของตำรวจนางอัจจิมา และนายภาคย์ ในฐานะพนักงานระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ ย่อมมีความน่าเชื่อถือ และสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่ข่ายแชร์ลูกโซ่ ชักชวนให้ลูกค้ามาลงทุนในโครงการหมอบุญได้ง่ายแต่บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ประกาศตัดตอนนางอัจจิมา และนายภาคย์แล้ว โดยสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และตั้งคณะกรรมการสอบสวนพนักงานทั้งสองคน จนกว่าข้อเท็จจริงต่างๆ จะปรากฏตำรวจได้สอบเค้นนางอัจจิมา และนายภาคย์ เพื่อขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการหลอกต้มประชาชนของหมอบุญแล้ว และได้ข้อมูลที่เชื่อมโยงผู้อยู่ในข่ายร่วมขบวนการเพิ่มเติม เพียงแต่รอรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีขบวนการหลอกลวงประชาชน ความเสียหายนับหมื่นล้านบาท ผู้เสียหายนับไม่ถ้วน ผู้ต้องหาอาจไม่จบลงที่หมอบุญ และพวกรวม 9 คนเท่านั้น แต่อาจมีหมายจับเพิ่ม ซึ่งไม่รู้ว่า ใครบ้างที่จะเดินเข้าคุกตาม 8 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมแล้วคดีหมอบุญ ยังต้องลุ้นระทึกกันต่อไปว่า การสอบสวนขยายผลของตำรวจ จะนำไปสู่การออกหมายจับใครต่อใครบ้าง และบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ดพ้นมลทินไปแล้วจริงหรือไม่https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000114116
    บล.คิงส์ฟอร์ด-หมอบุญ..ที่แท้คนกันเอง / สุนันท์ ศรีจันทราแถลงการณ์ด่วนของบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด ปฏิเสธว่า ไม่เคยเกี่ยวข้อง รวมถึงไม่เคยทำสัญญาใดๆ หรือการเป็นที่ปรึกษาโครงการ และไม่เคยให้พนักงานของบริษัทไปแนะนำหรือชักชวนนักลงทุนมาร่วมลงทุนในโครงการของ "หมอบุญ วนาสิน" ถูกลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือลงในทันทีหลังจากสื่อผู้จัดการออนไลน์ ตีแผ่ภาพนายประจวบ ศิริรัตน์บุญขจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด นั่งบนโต๊ะถ่ายรูปคู่กับหมอบุญ ในการเซ็นสัญญา หมอบุญ แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน นำบริษัท ไทย เมดิคัล โกลฟ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นการเซ็นสัญญารับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไทย เมดิคัล โกลฟ จำกัด ซึ่งหมอบุญถือหุ้นใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 แต่ทั้ง บล.คิงส์ฟอร์ดและหมอบุญ ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่สามารถผลักดันบริษัท ไทย เมดิคัล โกลฟเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ และบริษัทแห่งนี้ก็เงียบหายไปตามกาลเวลาภาพนายประจวบ ที่ปรากฏหราร่วมโต๊ะเซ็นสัญญารับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นหลักฐานยืนยันว่า ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด รู้จักหมอบุญเป็นอย่างดี รู้จักกันมาหลายปี และเคยร่วมธุรกรรมกันมาแล้วแต่ความสัมพันธ์จะต่อเนื่อง และเชื่อมโยงมาถึงการกู้เงินและการชักชวนนักลงทุนมาลงทุนในโครงการต่างๆ ของหมอบุญ ซึ่งหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตำรวจจะสอบสวนขยายผลจนสิ้นสงสัยว่าผู้ร่วมขบวนการฉ้อโกงประชาชนกับหมอบุญ สร้างความเสียหายระดับหมื่นล้านบาท และยังมีความผิดฐานฟอกเงินเข้าไปด้วย มีเพียง 9 คนที่ถูกออกหมายจับแล้ว ไม่มีคนอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือร่วมในแก๊งโกงของหมอบุญอีกคดีแชร์ลูกโซ่ดิไอคอนของบอสพอล ตำรวจสอบสวนขยายผล จนมีผู้ต้องหาที่ถูกจับคุมตัวจำนวนมาก รวมทั้งเหล่าดาราชื่อดังคดีฉ้อโกงของหมอบุญ ผู้ต้องหาอาจไม่ได้มีเพียงหมอบุญ และพวกรวม 9 คนเท่านั้นไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ดต้องดิ้นพล่าน ออกแถลงการณ์ด่วน ปฏิเสธไม่เคยทำสัญญาใด ไม่เคยเกี่ยวกับกับการชักชวนคนมาลงทุนในโครงการต่างๆ ของหมอบุญเพราะผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจจับกุมตัวแล้ว 8 คน มีพนักงานระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ติดร่างแหไปด้วย 2 คน คือนางอัจจิมา พาณิชย์เกรียงไกร และนายภาคย์ วัฒนาพร ซึ่งเคยเป็นคณะผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ชุดที่นายประจวบเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ น.ส.ชญานี โปรขันเงิน เป็นกรรมการผู้จัดการนางอัจจิมา และนายภาคย์ เข้าร่วมธุรกรรม ชักชวนให้นักลงทุนมาร่วมลงทุนในโครงการหมอบุญ โดยผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ดคนอื่นๆ ไม่มีส่วนรู้เห็นจริงหรือไม่ คำตอบอยู่ที่ผลการสอบสวนของตำรวจนางอัจจิมา และนายภาคย์ ในฐานะพนักงานระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์ ย่อมมีความน่าเชื่อถือ และสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่ข่ายแชร์ลูกโซ่ ชักชวนให้ลูกค้ามาลงทุนในโครงการหมอบุญได้ง่ายแต่บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ประกาศตัดตอนนางอัจจิมา และนายภาคย์แล้ว โดยสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และตั้งคณะกรรมการสอบสวนพนักงานทั้งสองคน จนกว่าข้อเท็จจริงต่างๆ จะปรากฏตำรวจได้สอบเค้นนางอัจจิมา และนายภาคย์ เพื่อขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการหลอกต้มประชาชนของหมอบุญแล้ว และได้ข้อมูลที่เชื่อมโยงผู้อยู่ในข่ายร่วมขบวนการเพิ่มเติม เพียงแต่รอรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีขบวนการหลอกลวงประชาชน ความเสียหายนับหมื่นล้านบาท ผู้เสียหายนับไม่ถ้วน ผู้ต้องหาอาจไม่จบลงที่หมอบุญ และพวกรวม 9 คนเท่านั้น แต่อาจมีหมายจับเพิ่ม ซึ่งไม่รู้ว่า ใครบ้างที่จะเดินเข้าคุกตาม 8 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมแล้วคดีหมอบุญ ยังต้องลุ้นระทึกกันต่อไปว่า การสอบสวนขยายผลของตำรวจ จะนำไปสู่การออกหมายจับใครต่อใครบ้าง และบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ดพ้นมลทินไปแล้วจริงหรือไม่https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000114116
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 650 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถั่วแดง(แช่น้ำ)..อาหารลดน้ำหนัก


    เมื่อนำถั่วแดง(หลวง)..มาซาว ล้างน้ำสะอาดหลายๆรอบ แล้วแช่ในน้ำอาคาไลน์ pH=8.5 เป็นเวลา 12 ชั่วโมง โดยไม่ผ่านความร้อน #ถั่วถูกกระตุ้นด้วยความชื้น ทำให้เกิดเอ็นไซม์การงอก ดูดน้ำเข้าไปเกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมี เปลี่ยนสารอาหารภายในเมล็ด เช่น #เปลี่ยนโปรตีนให้เป็นกรดอะมีโน #เปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคส วิตามิน และเกลือเเร่ต่างๆ

    น้ำด่าง ทำหน้าเป็นตัวทำละลายที่ดีมากกว่าน้ำก๊อก ช่วยล้างกำจัด #สารพิษป้องกันเมล็ด เช่น Phytic acid, Polyphenol และ #ทำลายเอ็นไซม์ที่ไม่ดี..ออกไป #เปลี่ยนโปรตีนให้อยู่ในรูปที่ร่างกายคนเรา ดูดซึม นำไปใช้ได้เมล็ดถั่วจะ #ปล่อยเอ็นไซม์Lipase ออกมาช่วยให้ร่างกายเราสามารถย่อยไขมันตัวดี ทำลายไขมันตัวร้าย ร่างกายจึงปลอดภัยจากปัญหาไขมันในเส้นเลือด โรคหลอดเลือดและหัวใจ.

    เมื่อแช่ครบเวลา ถั่วจะนิ่ม มีรสมัน หากมั่นใจในกระบวนการปลอดเชื้อ ไม่มีจุลินทรีย์อื่น ให้ล้างน้ำเปล่า กินดิบๆได้สารอาหาร และ #มีเอ็นไซม์(พลังชีวิต)ครบถ้วน

    ถ้าไม่มั่นใจในความสะอาด ให้ต้มถั่วให้เดือด..ป้องกันโรคท้องเสีย ท้องเดิน โดยกินแบบDead Food แนะนำให้ใช้กระบวนการลดค่าน้ำตาลและพาสเจอร์ไรซ์ โดยเติมน้ำมันมะพร้าวในขณะที่ต้ม (สัดส่วน = 1ช้อนโต๊ะ ต่อ ถั่ว 1 ถ้วย) พอต้มถั่วสุก ทิ้งไว้ให้เย็น นำเข้าตู้เย็น แช่เย็น 12 ชั่วโมง แล้วนำมาอุ่นกิน จะทำให้แป้งในเมล็ดถั่ว เปลี่ยนเป็นโมเลกุลที่ซับซ้อน ย่อยยาก #ป้องกันการดูดซึมในลำไส้เล็ก #เป็นอาหารชั้นดีของโปรไบโอติกแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ และแบคทีเรียเหล่านี้จะขับถ่ายออกมาเป็นกรด ซึ่ง #สามารถทำลายและยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคนานาชนิดได้ ที่เรียกว่า.."ภูมิคุ้มกัน"(นั่นเอง).
    

    จุดสำคัญ คือ คุณสมบัติที่เส้นใยอาหารสูงดูดซับน้ำและพองตัวได้ดี ทำให้รู้สึกอิ่มทน อิ่มนาน ลดอาการหิวโหย กินจุบกินจิบ..ลงได้
    .
    .
    Pachäree Wõng
    November20, 2024
    Sausalito, California.
    ถั่วแดง(แช่น้ำ)..อาหารลดน้ำหนัก เมื่อนำถั่วแดง(หลวง)..มาซาว ล้างน้ำสะอาดหลายๆรอบ แล้วแช่ในน้ำอาคาไลน์ pH=8.5 เป็นเวลา 12 ชั่วโมง โดยไม่ผ่านความร้อน #ถั่วถูกกระตุ้นด้วยความชื้น ทำให้เกิดเอ็นไซม์การงอก ดูดน้ำเข้าไปเกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมี เปลี่ยนสารอาหารภายในเมล็ด เช่น #เปลี่ยนโปรตีนให้เป็นกรดอะมีโน #เปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคส วิตามิน และเกลือเเร่ต่างๆ น้ำด่าง ทำหน้าเป็นตัวทำละลายที่ดีมากกว่าน้ำก๊อก ช่วยล้างกำจัด #สารพิษป้องกันเมล็ด เช่น Phytic acid, Polyphenol และ #ทำลายเอ็นไซม์ที่ไม่ดี..ออกไป #เปลี่ยนโปรตีนให้อยู่ในรูปที่ร่างกายคนเรา ดูดซึม นำไปใช้ได้เมล็ดถั่วจะ #ปล่อยเอ็นไซม์Lipase ออกมาช่วยให้ร่างกายเราสามารถย่อยไขมันตัวดี ทำลายไขมันตัวร้าย ร่างกายจึงปลอดภัยจากปัญหาไขมันในเส้นเลือด โรคหลอดเลือดและหัวใจ. เมื่อแช่ครบเวลา ถั่วจะนิ่ม มีรสมัน หากมั่นใจในกระบวนการปลอดเชื้อ ไม่มีจุลินทรีย์อื่น ให้ล้างน้ำเปล่า กินดิบๆได้สารอาหาร และ #มีเอ็นไซม์(พลังชีวิต)ครบถ้วน ถ้าไม่มั่นใจในความสะอาด ให้ต้มถั่วให้เดือด..ป้องกันโรคท้องเสีย ท้องเดิน โดยกินแบบDead Food แนะนำให้ใช้กระบวนการลดค่าน้ำตาลและพาสเจอร์ไรซ์ โดยเติมน้ำมันมะพร้าวในขณะที่ต้ม (สัดส่วน = 1ช้อนโต๊ะ ต่อ ถั่ว 1 ถ้วย) พอต้มถั่วสุก ทิ้งไว้ให้เย็น นำเข้าตู้เย็น แช่เย็น 12 ชั่วโมง แล้วนำมาอุ่นกิน จะทำให้แป้งในเมล็ดถั่ว เปลี่ยนเป็นโมเลกุลที่ซับซ้อน ย่อยยาก #ป้องกันการดูดซึมในลำไส้เล็ก #เป็นอาหารชั้นดีของโปรไบโอติกแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ และแบคทีเรียเหล่านี้จะขับถ่ายออกมาเป็นกรด ซึ่ง #สามารถทำลายและยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคนานาชนิดได้ ที่เรียกว่า.."ภูมิคุ้มกัน"(นั่นเอง).  จุดสำคัญ คือ คุณสมบัติที่เส้นใยอาหารสูงดูดซับน้ำและพองตัวได้ดี ทำให้รู้สึกอิ่มทน อิ่มนาน ลดอาการหิวโหย กินจุบกินจิบ..ลงได้ . . Pachäree Wõng November20, 2024 Sausalito, California.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 876 มุมมอง 0 รีวิว
  • กินผลไม้ลดน้ำหนักได้ไหม
    กินผลไม้ลดน้ำหนักได้ไหม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • (ย่อ)ทุกเรื่องเกี่ยวกับ ชา
    茶 สำเนียงจีนกลาง+กวางตุ้งออกเสียง Chá (ฉา)

    จีนฮกเกี้ยนหรือคนแต้จิ๋ว สำเนียง"หมิ่นหนาน" ออกเสียงว่า "แต๊"
    (ประวัติ)ครั้งแรก..จีน ได้ส่งออกใบชาไปยุโรป ที่ท่าเรือเซี่ยเหมิน 厦门 ในมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน)โดยเรือชาวดัตช์(ฮอลันดา) เป็นที่มาที่ทำให้ฝาหรั่ง เรียก "ชา" ตามสำเนียงของคนฮกเกี้ยนคือ "แต๊" อังกฤษสะกด Tea

    สรรพคุณ (ดื่มได้ ไม่เกินวันละ 2 แก้ว)
    1. ชาอู่หลงมีสารโพลีฟีนอล ( Polyphenols) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วน
    2. ชาเขียว มี Anti-Oxidants ช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์ ต้านผิวแก่จากแสงแดด
    3. ชาขาว มีสารโพลีฟีนอล +Anti-Oxidants ต้านผิวแก่
    4. ชาสเปียร์มิ้นท์ เด่นในการต้านAndrogen ในสตรีที่มีปัญหาถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome)
    (ย่อ)ทุกเรื่องเกี่ยวกับ ชา 茶 สำเนียงจีนกลาง+กวางตุ้งออกเสียง Chá (ฉา) จีนฮกเกี้ยนหรือคนแต้จิ๋ว สำเนียง"หมิ่นหนาน" ออกเสียงว่า "แต๊" (ประวัติ)ครั้งแรก..จีน ได้ส่งออกใบชาไปยุโรป ที่ท่าเรือเซี่ยเหมิน 厦门 ในมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน)โดยเรือชาวดัตช์(ฮอลันดา) เป็นที่มาที่ทำให้ฝาหรั่ง เรียก "ชา" ตามสำเนียงของคนฮกเกี้ยนคือ "แต๊" อังกฤษสะกด Tea สรรพคุณ (ดื่มได้ ไม่เกินวันละ 2 แก้ว) 1. ชาอู่หลงมีสารโพลีฟีนอล ( Polyphenols) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วน 2. ชาเขียว มี Anti-Oxidants ช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์ ต้านผิวแก่จากแสงแดด 3. ชาขาว มีสารโพลีฟีนอล +Anti-Oxidants ต้านผิวแก่ 4. ชาสเปียร์มิ้นท์ เด่นในการต้านAndrogen ในสตรีที่มีปัญหาถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • (ย่อ)ทุกเรื่อง เกี่ยวกับ "น้ำชา" 茶
    .................................................................

    茶 สำเนียงจีนกลาง+กวางตุ้ง และภาษาไทย ออกเสียงคล้ายกัน ว่า Chá (ฉา)
    จีนฮกเกี้ยนหรือคนแต้จิ๋ว สำเนียง"หมิ่นหนาน" ออกเสียงว่า "แต๊"

    (ประวัติ)ครั้งแรก..จีน ได้ส่งออกใบชาไปยุโรป ที่ท่าเรือเซี่ยเหมิน 厦门 ในมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน)ด้วยเรือชาวดัตช์(ฮอลันดา) เป็นที่มาที่ทำให้ฝาหรั่ง เรียก "ชา" ตามสำเนียงของคนฮกเกี้ยนคือ " แต๊ " อังกฤษสะกด Tea

    สรรพคุณ (ดื่มชาได้ ไม่เกินวันละ 2 แก้ว)
    1. ชาอู่หลง มีสารโพลีฟีนอล ( Polyphenols) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วน
    2. ชาเขียว มี Anti-Oxidants
    ช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์ ต้านผิวแก่จากแสงแดด
    3. ชาขาว มีสารโพลีฟีนอล +Anti-Oxidants ต้านผิวแก่
    4. ชาสเปียร์มิ้นท์ เด่นในการต้านAndrogen ในสตรีที่มีปัญหาถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome)
    .
    .
    Pachäree Wõng 黄香山
    October17, 2024
    Sausalito, California.
    (ย่อ)ทุกเรื่อง เกี่ยวกับ "น้ำชา" 茶 ................................................................. 茶 สำเนียงจีนกลาง+กวางตุ้ง และภาษาไทย ออกเสียงคล้ายกัน ว่า Chá (ฉา) จีนฮกเกี้ยนหรือคนแต้จิ๋ว สำเนียง"หมิ่นหนาน" ออกเสียงว่า "แต๊" (ประวัติ)ครั้งแรก..จีน ได้ส่งออกใบชาไปยุโรป ที่ท่าเรือเซี่ยเหมิน 厦门 ในมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน)ด้วยเรือชาวดัตช์(ฮอลันดา) เป็นที่มาที่ทำให้ฝาหรั่ง เรียก "ชา" ตามสำเนียงของคนฮกเกี้ยนคือ " แต๊ " อังกฤษสะกด Tea สรรพคุณ (ดื่มชาได้ ไม่เกินวันละ 2 แก้ว) 1. ชาอู่หลง มีสารโพลีฟีนอล ( Polyphenols) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วน 2. ชาเขียว มี Anti-Oxidants ช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์ ต้านผิวแก่จากแสงแดด 3. ชาขาว มีสารโพลีฟีนอล +Anti-Oxidants ต้านผิวแก่ 4. ชาสเปียร์มิ้นท์ เด่นในการต้านAndrogen ในสตรีที่มีปัญหาถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome) . . Pachäree Wõng 黄香山 October17, 2024 Sausalito, California.
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • มากินข้าวกันค่ะ
    เทมเป้กับน้ำพริกปลาทู
    พามารู้จักเทมเป้กันค่ะ

    โปรตีนสูง. แร่ธาตุและสารอาหารมากมาย

    #โปรตีนสูงย่อยง่ายเหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ
    #โปรตีนที่ร่างกายนำไปใช้ได้เลย. คาร์บต่ำ
    #ใช้ทดแทนเนื้อสัตว์
    #เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องหารลดน้ำหนัก
    อิ่มนาน ลดการอยากอาหาร
    #ผู้ที่มีปัญหาขับถ่ายท้องผูก. เพราะมีกากใยสูง
    มีโพรไบโอติกและพรีไบโอติกจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำใส้
    #บำรุงผิวพรรณชลอแก่. #ต้านอนุมูลอิสระ
    #ปรับฮอร์โมน ช่วยต้านอาการวัยทอง
    #มีวิตามินบี12 ที่พบในเนื้อสัตว์
    #บำรุงสมอง #บำรุงหลอดเลือด #บำรุงหัวใจ
    #แคลเซี่ยมสูง บำรุงกระดูก
    #อร่อยทานได้ทุกเพศทุกวัย
    #เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงเนี้อสัตว์. #มังสวิรัติ
    #ทานเจ. #วีแกน

    💢💢💢💢💢💢💢💢💢💢
    มากินข้าวกันค่ะ เทมเป้กับน้ำพริกปลาทู พามารู้จักเทมเป้กันค่ะ โปรตีนสูง. แร่ธาตุและสารอาหารมากมาย #โปรตีนสูงย่อยง่ายเหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ #โปรตีนที่ร่างกายนำไปใช้ได้เลย. คาร์บต่ำ #ใช้ทดแทนเนื้อสัตว์ #เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องหารลดน้ำหนัก อิ่มนาน ลดการอยากอาหาร #ผู้ที่มีปัญหาขับถ่ายท้องผูก. เพราะมีกากใยสูง มีโพรไบโอติกและพรีไบโอติกจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำใส้ #บำรุงผิวพรรณชลอแก่. #ต้านอนุมูลอิสระ #ปรับฮอร์โมน ช่วยต้านอาการวัยทอง #มีวิตามินบี12 ที่พบในเนื้อสัตว์ #บำรุงสมอง #บำรุงหลอดเลือด #บำรุงหัวใจ #แคลเซี่ยมสูง บำรุงกระดูก #อร่อยทานได้ทุกเพศทุกวัย #เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงเนี้อสัตว์. #มังสวิรัติ #ทานเจ. #วีแกน 💢💢💢💢💢💢💢💢💢💢
    Like
    Love
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 966 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts