• “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้”

    ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ

    เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น”

    ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน

    Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี”

    Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming

    สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง

    https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    🧩 “5 สุดยอดแกดเจ็ตแห่งปี 2025 — บางชิ้นไม่ใหม่ แต่ ‘สมบูรณ์แบบ’ จนต้องยกนิ้วให้” ปี 2025 เป็นปีที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่ “ใหม่” แต่หลายแบรนด์เลือกที่จะ “ปรับปรุงของเดิมให้ดีที่สุด” และผลลัพธ์คือแกดเจ็ตที่ทั้งคุ้นเคยและน่าทึ่ง SlashGear ได้คัดเลือก 5 แกดเจ็ตที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรม แต่คือการออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จริง ๆ 🔰 เริ่มจาก Nintendo Switch 2 ที่แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นแรก แต่กลับขายได้ถึง 6 ล้านเครื่องภายในไม่กี่เดือน เพราะมันแก้ปัญหาเดิมได้หมด — เล่นเกม AAA ได้ลื่นขึ้น, Joy-Con แน่นขึ้นและใช้เป็นเมาส์ได้, แม้จะยังมี Joy-Con drift และต้องซื้อ microSD Express เพิ่ม แต่ก็ถือว่า “สมบูรณ์แบบในสิ่งที่มันเป็น” 🔰 ต่อมา iPhone Air ที่บางเฉียบจนหลายคนคิดว่าเป็นแค่โชว์ดีไซน์ แต่กลับทนทานเกินคาด — ทดสอบแรงกดถึง 215 ปอนด์ถึงจะแตก และรอดจากการตก 200 ฟุตได้แบบหน้าจอไม่พัง แม้จะมีข้อเสียเรื่องกล้องเดียว, ลำโพงเดียว, USB ช้า และ GPU อ่อน แต่ก็เป็นต้นแบบของมือถือยุคใหม่ที่เบาและใช้งานได้นาน 🔰 Sony WH-1000XM6 คือการแก้ไขข้อผิดพลาดจากรุ่น XM5 — กลับมาใช้ดีไซน์พับได้, ปรับคุณภาพเสียงและไมค์ให้ดีขึ้น, เพิ่มปุ่มที่ใช้งานง่ายขึ้น และเปลี่ยนเคสให้ใช้แม่เหล็กแทนซิป แม้แบตยังอยู่ที่ 30 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่คุณภาพโดยรวมถือว่า “พร้อมใช้งานยาว ๆ อีก 10 ปี” 🔰 Legion Go S (SteamOS Edition) คือเครื่องเกมพกพาที่ไม่ใช้ Windows แต่ใช้ SteamOS โดยตรง — ทำให้เล่นเกมลื่นกว่า, ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Lenovo ส่งเครื่อง Linux ออกสู่ตลาดโดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการ handheld gaming 🔰 สุดท้าย 8BitDo Ultimate 2 Wireless Controller ที่แม้จะเป็นรุ่นอัปเกรดเล็ก ๆ แต่กลับใส่ฟีเจอร์มาเต็ม — ปุ่มเสริม, trigger lock, dock ชาร์จแบบ low-latency, joystick แบบ TMR และ Hall-effect ที่แม่นยำและประหยัดพลังงาน ใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม และราคาลดเหลือเพียง $30 ในบางช่วง https://www.slashgear.com/1982586/coolest-gadgets-released-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Coolest Gadgets Released In 2025 - SlashGear
    A look at five standout gadgets released in 2025, from powerful handhelds to next-gen audio and ultra-thin phones that push design limits.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์”

    หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที:

    1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง

    2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที

    3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์

    4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย

    5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว

    https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    🔌 “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์” หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที: 1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง 2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที 3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์ 4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย 5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things You Should Never Plug Into Your Phone's USB Ports (And Why) - SlashGear
    Your smartphone's USB port means it's compatible with a wide range of USB-powered accessories, but you'll want to avoid connecting it to just anything.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Xbox Game Pass Ultimate ขึ้นราคา 50% — วิธียกเลิกหรือเปลี่ยนแพ็กเกจ ก่อนเงินในกระเป๋าจะหายไป”

    หลังจากเปิดตัวในปี 2017 ด้วยค่าบริการเพียง $9.99 ต่อเดือน Xbox Game Pass ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับเกมเมอร์ทั่วโลก ปัจจุบันมีเกมให้เล่นมากกว่า 400 รายการ และมีแพ็กเกจให้เลือกถึง 3 ระดับ ได้แก่ Essential ($9.99), Premium ($14.99) และ Ultimate ซึ่งเคยอยู่ที่ $19.99 แต่ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศขึ้นราคา Game Pass Ultimate เป็น $29.99 ต่อเดือน — เพิ่มขึ้นถึง 50% ทันทีในเดือนตุลาคม 2025 สำหรับผู้สมัครใหม่ และจะมีผลกับผู้ใช้เดิมในเดือนพฤศจิกายน

    การขึ้นราคาครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มพิจารณายกเลิกบริการ หรือเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจที่ถูกลง โดย Microsoft ได้เปิดทางให้ผู้ใช้สามารถจัดการได้ง่าย ๆ ผ่านหน้า Subscriptions ของบัญชี Xbox โดยสามารถเลือก “Cancel Subscription” เพื่อยกเลิก หรือ “Change Subscription Plan” เพื่อเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจ Essential หรือ Premium ได้ทันที

    แม้จะไม่มีการคืนเงินสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ หากยกเลิกก่อนหมดรอบบิล แต่ผู้ใช้ในบางประเทศอาจได้รับเงินคืนแบบ prorated ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีทางเลือกในการ “stack” รหัสสมาชิกล่วงหน้า เช่น ซื้อโค้ด 3 เดือนในราคาก่อนปรับ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มเกมใหม่กว่า 45 รายการใน Game Pass ซึ่งเป็นความพยายามของ Microsoft ในการเพิ่มมูลค่าให้กับบริการ แม้จะมาพร้อมกับราคาที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Xbox Game Pass Ultimate ขึ้นราคาจาก $19.99 เป็น $29.99 ต่อเดือน
    มีผลทันทีสำหรับผู้สมัครใหม่ และเริ่มใช้กับผู้ใช้เดิมในเดือนพฤศจิกายน 2025
    ผู้ใช้สามารถยกเลิกได้ผ่านหน้า Subscriptions โดยเลือก “Cancel Subscription”
    หรือเปลี่ยนแพ็กเกจเป็น Essential ($9.99) หรือ Premium ($14.99) ได้ทันที
    ผู้ใช้บางประเทศอาจได้รับเงินคืนแบบ prorated หากยกเลิกก่อนหมดรอบบิล
    Microsoft เพิ่มเกมใหม่กว่า 45 รายการใน Game Pass เพื่อเพิ่มมูลค่าบริการ
    สามารถ “stack” รหัสสมาชิกล่วงหน้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายก่อนราคาขึ้น
    การเปลี่ยนแพ็กเกจจะมีผลทันทีเมื่อยืนยัน และสามารถทำผ่านเว็บหรือแอป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การ “stack” รหัสสมาชิกสามารถทำได้สูงสุด 36 เดือน โดยใช้โค้ดจากร้านค้าภายนอก
    ราคาสะสมล่วงหน้า 3 ปีที่ราคาเดิม ($19.99) อยู่ที่ประมาณ $719.88
    หากจ่ายตามราคาใหม่ ($29.99) จะอยู่ที่ $1,079.64 — ต่างกันถึง $359.76
    Game Pass Ultimate รวมบริการ EA Play, cloud streaming และเกม PC/Console
    การเปลี่ยนชื่อแพ็กเกจใหม่: Core → Essential, Standard → Premium, Ultimate คงเดิม

    https://www.slashgear.com/1985040/cancel-xbox-game-pass-how-to-avoid-expensive-price-hike/
    🎮 “Xbox Game Pass Ultimate ขึ้นราคา 50% — วิธียกเลิกหรือเปลี่ยนแพ็กเกจ ก่อนเงินในกระเป๋าจะหายไป” หลังจากเปิดตัวในปี 2017 ด้วยค่าบริการเพียง $9.99 ต่อเดือน Xbox Game Pass ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับเกมเมอร์ทั่วโลก ปัจจุบันมีเกมให้เล่นมากกว่า 400 รายการ และมีแพ็กเกจให้เลือกถึง 3 ระดับ ได้แก่ Essential ($9.99), Premium ($14.99) และ Ultimate ซึ่งเคยอยู่ที่ $19.99 แต่ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศขึ้นราคา Game Pass Ultimate เป็น $29.99 ต่อเดือน — เพิ่มขึ้นถึง 50% ทันทีในเดือนตุลาคม 2025 สำหรับผู้สมัครใหม่ และจะมีผลกับผู้ใช้เดิมในเดือนพฤศจิกายน การขึ้นราคาครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มพิจารณายกเลิกบริการ หรือเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจที่ถูกลง โดย Microsoft ได้เปิดทางให้ผู้ใช้สามารถจัดการได้ง่าย ๆ ผ่านหน้า Subscriptions ของบัญชี Xbox โดยสามารถเลือก “Cancel Subscription” เพื่อยกเลิก หรือ “Change Subscription Plan” เพื่อเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจ Essential หรือ Premium ได้ทันที แม้จะไม่มีการคืนเงินสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ หากยกเลิกก่อนหมดรอบบิล แต่ผู้ใช้ในบางประเทศอาจได้รับเงินคืนแบบ prorated ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีทางเลือกในการ “stack” รหัสสมาชิกล่วงหน้า เช่น ซื้อโค้ด 3 เดือนในราคาก่อนปรับ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มเกมใหม่กว่า 45 รายการใน Game Pass ซึ่งเป็นความพยายามของ Microsoft ในการเพิ่มมูลค่าให้กับบริการ แม้จะมาพร้อมกับราคาที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Xbox Game Pass Ultimate ขึ้นราคาจาก $19.99 เป็น $29.99 ต่อเดือน ➡️ มีผลทันทีสำหรับผู้สมัครใหม่ และเริ่มใช้กับผู้ใช้เดิมในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ ผู้ใช้สามารถยกเลิกได้ผ่านหน้า Subscriptions โดยเลือก “Cancel Subscription” ➡️ หรือเปลี่ยนแพ็กเกจเป็น Essential ($9.99) หรือ Premium ($14.99) ได้ทันที ➡️ ผู้ใช้บางประเทศอาจได้รับเงินคืนแบบ prorated หากยกเลิกก่อนหมดรอบบิล ➡️ Microsoft เพิ่มเกมใหม่กว่า 45 รายการใน Game Pass เพื่อเพิ่มมูลค่าบริการ ➡️ สามารถ “stack” รหัสสมาชิกล่วงหน้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายก่อนราคาขึ้น ➡️ การเปลี่ยนแพ็กเกจจะมีผลทันทีเมื่อยืนยัน และสามารถทำผ่านเว็บหรือแอป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การ “stack” รหัสสมาชิกสามารถทำได้สูงสุด 36 เดือน โดยใช้โค้ดจากร้านค้าภายนอก ➡️ ราคาสะสมล่วงหน้า 3 ปีที่ราคาเดิม ($19.99) อยู่ที่ประมาณ $719.88 ➡️ หากจ่ายตามราคาใหม่ ($29.99) จะอยู่ที่ $1,079.64 — ต่างกันถึง $359.76 ➡️ Game Pass Ultimate รวมบริการ EA Play, cloud streaming และเกม PC/Console ➡️ การเปลี่ยนชื่อแพ็กเกจใหม่: Core → Essential, Standard → Premium, Ultimate คงเดิม https://www.slashgear.com/1985040/cancel-xbox-game-pass-how-to-avoid-expensive-price-hike/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Want To Cancel Xbox Game Pass To Avoid The Price Hike? Here's How You Do It - SlashGear
    You can cancel your Xbox Game Pass by logging into your account, opening the Subscriptions tab, selecting Manage, and clicking Cancel Subscription.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • “UPnP บน Xbox: ทางลัดสู่การเล่นออนไลน์ลื่นไหล หรือช่องโหว่ที่เปิดบ้านให้แฮกเกอร์?”

    ในยุคที่เกมออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้เล่น Xbox หลายคน การตั้งค่าเครือข่ายให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งค่า NAT (Network Address Translation) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่ง UPnP หรือ Universal Plug and Play คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Xbox สามารถเปิดพอร์ตที่จำเป็นสำหรับการเล่นเกมและแชทเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าด้วยตัวเอง

    UPnP ทำงานโดยให้ Xbox ส่งคำขอไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตที่จำเป็น เช่น สำหรับเกม Call of Duty หรือ Fortnite ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเกมไหลผ่านเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และทำให้ NAT type ของ Xbox เป็นแบบ “Open” ซึ่งเป็นสถานะที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นออนไลน์

    แต่ความสะดวกนี้ก็มีด้านมืด เพราะ UPnP ไม่มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เลย — มันเชื่อทุกคำขอจากอุปกรณ์ในเครือข่ายทันที ซึ่งหมายความว่า หากมีอุปกรณ์ที่ถูกแฮกอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน มันสามารถส่งคำขอปลอมไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในบ้านได้

    ช่องโหว่นี้เคยถูกใช้ในการโจมตีครั้งใหญ่ เช่น Mirai botnet ที่เจาะอุปกรณ์ IoT ผ่าน UPnP โดยไม่ต้องผ่าน firewall เลย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจึงแนะนำว่า หากคุณต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรปิด UPnP และตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเอง แม้จะยุ่งยากกว่า แต่คุณจะควบคุมได้เต็มที่ว่า “ประตูไหนเปิดให้ใคร”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    UPnP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ Xbox เปิดพอร์ตเครือข่ายโดยอัตโนมัติ
    ช่วยให้ NAT type เป็นแบบ “Open” ซึ่งดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมออนไลน์
    Xbox ใช้ UPnP เพื่อเชื่อมต่อกับเกมและแชทเสียงโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง
    หาก UPnP ไม่ทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาด “UPnP Not Successful” บน Xbox
    NAT แบบ Moderate หรือ Strict จะจำกัดการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น
    การตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
    UPnP เป็นฟีเจอร์ที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้นในเราเตอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xbox ใช้พอร์ต UDP: 88, 500, 3544, 4500 และ TCP/UDP: 3074 สำหรับการเชื่อมต่อ
    การตั้งค่า static IP บน Xbox ช่วยให้ port forwarding มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    บางเราเตอร์ต้องตั้งค่า DMZ หรือปรับ firewall เพื่อให้ Xbox เชื่อมต่อได้ดี
    Carrier-Grade NAT (CGNAT) จาก ISP บางรายอาจทำให้ NAT type เป็นแบบ Strict โดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง
    การตั้งค่า port forwarding ต้องใช้ข้อมูล IP, MAC address และ gateway ของ Xbox

    https://www.slashgear.com/1981414/xbox-upnp-router-feature-purpose-what-for-how-enable/
    🎮 “UPnP บน Xbox: ทางลัดสู่การเล่นออนไลน์ลื่นไหล หรือช่องโหว่ที่เปิดบ้านให้แฮกเกอร์?” ในยุคที่เกมออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้เล่น Xbox หลายคน การตั้งค่าเครือข่ายให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งค่า NAT (Network Address Translation) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่ง UPnP หรือ Universal Plug and Play คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Xbox สามารถเปิดพอร์ตที่จำเป็นสำหรับการเล่นเกมและแชทเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าด้วยตัวเอง UPnP ทำงานโดยให้ Xbox ส่งคำขอไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตที่จำเป็น เช่น สำหรับเกม Call of Duty หรือ Fortnite ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเกมไหลผ่านเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และทำให้ NAT type ของ Xbox เป็นแบบ “Open” ซึ่งเป็นสถานะที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นออนไลน์ แต่ความสะดวกนี้ก็มีด้านมืด เพราะ UPnP ไม่มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เลย — มันเชื่อทุกคำขอจากอุปกรณ์ในเครือข่ายทันที ซึ่งหมายความว่า หากมีอุปกรณ์ที่ถูกแฮกอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน มันสามารถส่งคำขอปลอมไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในบ้านได้ ช่องโหว่นี้เคยถูกใช้ในการโจมตีครั้งใหญ่ เช่น Mirai botnet ที่เจาะอุปกรณ์ IoT ผ่าน UPnP โดยไม่ต้องผ่าน firewall เลย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจึงแนะนำว่า หากคุณต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรปิด UPnP และตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเอง แม้จะยุ่งยากกว่า แต่คุณจะควบคุมได้เต็มที่ว่า “ประตูไหนเปิดให้ใคร” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ UPnP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ Xbox เปิดพอร์ตเครือข่ายโดยอัตโนมัติ ➡️ ช่วยให้ NAT type เป็นแบบ “Open” ซึ่งดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมออนไลน์ ➡️ Xbox ใช้ UPnP เพื่อเชื่อมต่อกับเกมและแชทเสียงโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง ➡️ หาก UPnP ไม่ทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาด “UPnP Not Successful” บน Xbox ➡️ NAT แบบ Moderate หรือ Strict จะจำกัดการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ➡️ การตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ➡️ UPnP เป็นฟีเจอร์ที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้นในเราเตอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xbox ใช้พอร์ต UDP: 88, 500, 3544, 4500 และ TCP/UDP: 3074 สำหรับการเชื่อมต่อ ➡️ การตั้งค่า static IP บน Xbox ช่วยให้ port forwarding มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ บางเราเตอร์ต้องตั้งค่า DMZ หรือปรับ firewall เพื่อให้ Xbox เชื่อมต่อได้ดี ➡️ Carrier-Grade NAT (CGNAT) จาก ISP บางรายอาจทำให้ NAT type เป็นแบบ Strict โดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง ➡️ การตั้งค่า port forwarding ต้องใช้ข้อมูล IP, MAC address และ gateway ของ Xbox https://www.slashgear.com/1981414/xbox-upnp-router-feature-purpose-what-for-how-enable/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is UPnP On Xbox, And Should You Have It Enabled? - SlashGear
    The wrong NAT type can ruin your planned night of gaming on an Xbox Series X or S, but it's an easy enough fix if you're getting a UPnP error.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป”

    YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด

    ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก

    เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี

    เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ

    อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง
    เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน
    ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก
    สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์
    seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว
    ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน
    ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป
    ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้

    https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    📱 “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป” YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง ➡️ เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน ➡️ ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก ➡️ สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ➡️ ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ ➡️ seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว ➡️ ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน ➡️ ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป ➡️ ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้ https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A Man Bought Two Refurbished iPhones From Temu - Here's What He Found When He Opened Them - SlashGear
    A teardown of two refurbished iPhone 14 Pros from Temu revealed pristine OEM parts but raised questions about pricing and platform risks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NASA กลับสู่ดวงจันทร์ในรอบ 50 ปี — Artemis II เตรียมส่งมนุษย์บินรอบดวงจันทร์ด้วยยาน ‘Integrity’ พร้อมภารกิจวิจัยสุขภาพในอวกาศลึก”

    หลังจากห่างหายไปนานกว่า 50 ปีนับจากยุค Apollo ล่าสุด NASA ได้ประกาศภารกิจ Artemis II ซึ่งจะเป็นการส่งมนุษย์บินรอบดวงจันทร์อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 โดยใช้ยาน Orion ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Integrity” เพื่อสะท้อนคุณค่าหลักของภารกิจ ได้แก่ ความไว้วางใจ ความเคารพ และความร่วมมือระหว่างประเทศ

    ภารกิจนี้จะมีนักบินอวกาศ 4 คน ได้แก่ Reid Wiseman, Victor Glover, Christina Koch จาก NASA และ Jeremy Hansen จาก Canadian Space Agency ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 10 วันในการทดสอบระบบของยาน Orion ในสภาพแวดล้อมอวกาศลึก โดยไม่มีการลงจอดบนดวงจันทร์ แต่จะบินรอบและกลับสู่โลกด้วยเส้นทางแบบ free-return trajectory เพื่อความปลอดภัย

    นอกจากการทดสอบระบบแล้ว Artemis II ยังมีภารกิจวิจัยด้านสุขภาพมนุษย์ในอวกาศลึกเป็นครั้งแรก เช่น การวัดผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ความเครียด การนอนหลับ และการทำงานร่วมกันในพื้นที่จำกัด โดยใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง AVATAR (organ-on-a-chip) ที่จำลองสภาพไขกระดูกมนุษย์ในอุปกรณ์ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ

    ข้อมูลจากภารกิจนี้จะถูกนำไปใช้ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยและการออกแบบระบบสำหรับภารกิจถัดไป เช่น Artemis III ที่มีเป้าหมายในการลงจอดบนดวงจันทร์ และภารกิจในอนาคตสู่ดาวอังคาร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Artemis II เป็นภารกิจแรกในรอบกว่า 50 ปีที่ส่งมนุษย์บินรอบดวงจันทร์
    ยาน Orion ได้รับการตั้งชื่อว่า “Integrity” เพื่อสะท้อนค่านิยมของภารกิจ
    นักบินอวกาศ 4 คนจากสหรัฐฯ และแคนาดาจะร่วมเดินทางในภารกิจนี้
    ใช้เส้นทาง free-return trajectory เพื่อความปลอดภัย หากระบบขับเคลื่อนไม่ทำงาน
    ภารกิจใช้เวลา 10 วัน โดยไม่มีการลงจอดบนดวงจันทร์
    ทดสอบระบบของยาน Orion ในสภาพแวดล้อมอวกาศลึก
    มีการวิจัยสุขภาพมนุษย์ เช่น ภูมิคุ้มกัน ความเครียด การนอน และการทำงานเป็นทีม
    ใช้เทคโนโลยี AVATAR เพื่อศึกษาผลกระทบของรังสีและแรงโน้มถ่วงต่ำต่อเซลล์มนุษย์
    ข้อมูลจากภารกิจจะนำไปใช้ปรับปรุงภารกิจ Artemis III และการเดินทางสู่ดาวอังคาร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Artemis II เป็นขั้นตอนต่อจาก Artemis I ที่เป็นภารกิจไร้คนขับในปี 2022
    ยาน Orion มีระบบป้องกันรังสีที่เหนือกว่าบนสถานีอวกาศนานาชาติ
    AVATAR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในงานวิจัยชีวการแพทย์บนโลกมาก่อน
    การวิจัยสุขภาพในอวกาศลึกช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจระยะยาว
    Artemis เป็นโครงการที่มีความร่วมมือระหว่าง NASA, ESA, CSA, JAXA และ UAE

    https://www.slashgear.com/1981114/why-nasa-doing-lunar-mission-after-50-years/
    🌕 “NASA กลับสู่ดวงจันทร์ในรอบ 50 ปี — Artemis II เตรียมส่งมนุษย์บินรอบดวงจันทร์ด้วยยาน ‘Integrity’ พร้อมภารกิจวิจัยสุขภาพในอวกาศลึก” หลังจากห่างหายไปนานกว่า 50 ปีนับจากยุค Apollo ล่าสุด NASA ได้ประกาศภารกิจ Artemis II ซึ่งจะเป็นการส่งมนุษย์บินรอบดวงจันทร์อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 โดยใช้ยาน Orion ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Integrity” เพื่อสะท้อนคุณค่าหลักของภารกิจ ได้แก่ ความไว้วางใจ ความเคารพ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ภารกิจนี้จะมีนักบินอวกาศ 4 คน ได้แก่ Reid Wiseman, Victor Glover, Christina Koch จาก NASA และ Jeremy Hansen จาก Canadian Space Agency ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 10 วันในการทดสอบระบบของยาน Orion ในสภาพแวดล้อมอวกาศลึก โดยไม่มีการลงจอดบนดวงจันทร์ แต่จะบินรอบและกลับสู่โลกด้วยเส้นทางแบบ free-return trajectory เพื่อความปลอดภัย นอกจากการทดสอบระบบแล้ว Artemis II ยังมีภารกิจวิจัยด้านสุขภาพมนุษย์ในอวกาศลึกเป็นครั้งแรก เช่น การวัดผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ความเครียด การนอนหลับ และการทำงานร่วมกันในพื้นที่จำกัด โดยใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง AVATAR (organ-on-a-chip) ที่จำลองสภาพไขกระดูกมนุษย์ในอุปกรณ์ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ข้อมูลจากภารกิจนี้จะถูกนำไปใช้ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยและการออกแบบระบบสำหรับภารกิจถัดไป เช่น Artemis III ที่มีเป้าหมายในการลงจอดบนดวงจันทร์ และภารกิจในอนาคตสู่ดาวอังคาร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Artemis II เป็นภารกิจแรกในรอบกว่า 50 ปีที่ส่งมนุษย์บินรอบดวงจันทร์ ➡️ ยาน Orion ได้รับการตั้งชื่อว่า “Integrity” เพื่อสะท้อนค่านิยมของภารกิจ ➡️ นักบินอวกาศ 4 คนจากสหรัฐฯ และแคนาดาจะร่วมเดินทางในภารกิจนี้ ➡️ ใช้เส้นทาง free-return trajectory เพื่อความปลอดภัย หากระบบขับเคลื่อนไม่ทำงาน ➡️ ภารกิจใช้เวลา 10 วัน โดยไม่มีการลงจอดบนดวงจันทร์ ➡️ ทดสอบระบบของยาน Orion ในสภาพแวดล้อมอวกาศลึก ➡️ มีการวิจัยสุขภาพมนุษย์ เช่น ภูมิคุ้มกัน ความเครียด การนอน และการทำงานเป็นทีม ➡️ ใช้เทคโนโลยี AVATAR เพื่อศึกษาผลกระทบของรังสีและแรงโน้มถ่วงต่ำต่อเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูลจากภารกิจจะนำไปใช้ปรับปรุงภารกิจ Artemis III และการเดินทางสู่ดาวอังคาร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Artemis II เป็นขั้นตอนต่อจาก Artemis I ที่เป็นภารกิจไร้คนขับในปี 2022 ➡️ ยาน Orion มีระบบป้องกันรังสีที่เหนือกว่าบนสถานีอวกาศนานาชาติ ➡️ AVATAR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในงานวิจัยชีวการแพทย์บนโลกมาก่อน ➡️ การวิจัยสุขภาพในอวกาศลึกช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจระยะยาว ➡️ Artemis เป็นโครงการที่มีความร่วมมือระหว่าง NASA, ESA, CSA, JAXA และ UAE https://www.slashgear.com/1981114/why-nasa-doing-lunar-mission-after-50-years/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NASA Is Conducting A Lunar Mission Over 50 Years Since Its Last One (Here's Why) - SlashGear
    For the first time in five decades, NASA is planning to send humans around the Moon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92%

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ

    แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical
    สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79%
    ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล
    ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง
    แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ
    ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9%
    ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
    กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก
    Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง
    ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่
    การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ
    การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain)

    https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    🔋 “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022 ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92% เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical ➡️ สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% ➡️ ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ➡️ ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ ➡️ ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% ➡️ ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ➡️ กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก ➡️ Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง ➡️ ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่ ➡️ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ ➡️ การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain) https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Recycling Method Helps Researchers Recover 99% Pure Lithium From Used EV Batteries - SlashGear
    Lithium-ion battery waste is a huge concern for the future, but researchers have found a recycling method capable of extracting 99% pure lithium.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน”

    ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้

    สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน

    การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน
    ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร
    ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric
    มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม
    ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก
    ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก.
    มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน
    การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก
    ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023
    โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง
    Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร
    ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน
    การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี

    https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    ✈️ “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน” ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้ สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน ➡️ ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ➡️ ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric ➡️ มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม ➡️ ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก ➡️ ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก. ➡️ มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน ➡️ การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก ➡️ ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023 ➡️ โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง ➡️ Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร ➡️ ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน ➡️ การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Russia Now Has Jet-Powered Attack Drones Immune To Electronic Warfare - SlashGear
    Jet propulsion drones, similar to the Shahed ones used in Iran, are being deployed by Russia against Ukraine. However, Ukraine may already have an answer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์”

    ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ

    Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย

    จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode

    ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน
    ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง
    รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส
    มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI
    ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ
    มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ
    แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน
    รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama
    น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม
    วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก
    รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh
    โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา
    AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้
    หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย

    https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    🎬 “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์” ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน ➡️ ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง ➡️ รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส ➡️ มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI ➡️ ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ ➡️ มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ ➡️ แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน ➡️ รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama ➡️ น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม ➡️ วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก ➡️ รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh ➡️ โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา ➡️ AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้ ➡️ หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Say Goodbye To Shaky Videos: We Tested Hohem's iSteady V3 Ultra Gimbal - SlashGear
    The Hohem iSteady V3 Ultra Gimbal is made to hold your phone while you capture video with a collection of advanced features, from AI to infinite pan tracking.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Chrysalis: ยานอวกาศยาว 36 ไมล์ที่จะพามนุษย์สู่ดาวอื่น — แต่ไม่มีวันกลับบ้าน”

    ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ — นั่นคือแนวคิดของ “Chrysalis” ยานอวกาศขนาดมหึมายาว 36 ไมล์ที่ออกแบบมาเพื่อพามนุษย์ 2,400 คนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาว Proxima Centauri b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4.25 ปีแสง หรือประมาณ 25 ล้านล้านไมล์

    Chrysalis ไม่ใช่แค่ยานอวกาศ แต่เป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่มีโครงสร้างแบบ nested layers คล้ายตุ๊กตารัสเซีย โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ — ชั้นในสุดเป็นฟาร์มและระบบชีวภาพจำลองของโลก เช่น ป่าร้อนและป่าเย็น ถัดออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวน ห้องสมุด และบ้านที่พิมพ์ด้วย 3D ส่วนชั้นนอกสุดเป็นโกดังเก็บทรัพยากรและอุปกรณ์ ซึ่งอาจควบคุมโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด

    เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีแรงโน้มถ่วง ยานจะหมุนช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี “Cosmos Dome” เป็นจุดชมวิวจักรวาลในสภาพไร้น้ำหนัก

    การเดินทางจะกินเวลาราว 400 ปี — หมายความว่าผู้โดยสารรุ่นแรกจะไม่มีวันเห็นจุดหมายปลายทาง ลูกหลานของพวกเขาจะเกิด เติบโต และตายบนยานนี้ โดยมีระบบการจัดการประชากรอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดช่วงอายุในการมีบุตรไว้ที่ 28–31 ปี และอนุญาตให้มีลูกได้ไม่เกินสองคน

    เพื่อเตรียมความพร้อม ทีมออกแบบเสนอให้ผู้โดยสารรุ่นแรกใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกาเป็นเวลา 70–80 ปี เพื่อฝึกความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและรุนแรง ก่อนขึ้นยานจริง

    แม้ Chrysalis จะยังเป็นแนวคิดในโครงการประกวด Project Hyperion แต่ก็ถือเป็นแบบจำลองที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้เทคโนโลยีที่ใกล้ความเป็นจริง เช่น nuclear fusion drive, ระบบ AI ร่วมบริหาร และโครงสร้างแบบ closed-loop ecosystem

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrysalis เป็นยานอวกาศแนวคิดที่ยาว 36 ไมล์ ออกแบบเพื่อเดินทางไปยัง Proxima Centauri b
    รองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,400 คน บนการเดินทางที่กินเวลาราว 400 ปี
    โครงสร้างแบบ concentric layers มีฟาร์ม, พื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม และโกดัง
    ใช้การหมุนเพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี Cosmos Dome เป็นจุดชมวิวจักรวาล
    ระบบประชากรจำกัดช่วงอายุในการมีบุตร และจำนวนลูกต่อคน
    เตรียมผู้โดยสารรุ่นแรกด้วยการใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกา 70–80 ปี
    ใช้ nuclear fusion drive เป็นแหล่งพลังงานและแรงขับเคลื่อน
    มีระบบบริหารร่วมระหว่างมนุษย์และ AI เพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคม
    เป็นแนวคิดที่ชนะการประกวด Project Hyperion Design Competition

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proxima Centauri b เป็นดาวเคราะห์ที่อาจมีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย
    Nuclear fusion drive ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Direct Fusion Drive ที่ใช้ helium-3 และ deuterium
    การสร้างยานขนาด 2.4 พันล้านตันต้องใช้จุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์
    การใช้ชีวิตแบบ multigenerational บนยานต้องมีระบบการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน
    โครงการนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการออกแบบระบบปิดสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

    https://www.slashgear.com/1979060/chrysalis-spacecraft-concept-details/
    🚀 “Chrysalis: ยานอวกาศยาว 36 ไมล์ที่จะพามนุษย์สู่ดาวอื่น — แต่ไม่มีวันกลับบ้าน” ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ — นั่นคือแนวคิดของ “Chrysalis” ยานอวกาศขนาดมหึมายาว 36 ไมล์ที่ออกแบบมาเพื่อพามนุษย์ 2,400 คนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาว Proxima Centauri b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4.25 ปีแสง หรือประมาณ 25 ล้านล้านไมล์ Chrysalis ไม่ใช่แค่ยานอวกาศ แต่เป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่มีโครงสร้างแบบ nested layers คล้ายตุ๊กตารัสเซีย โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ — ชั้นในสุดเป็นฟาร์มและระบบชีวภาพจำลองของโลก เช่น ป่าร้อนและป่าเย็น ถัดออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวน ห้องสมุด และบ้านที่พิมพ์ด้วย 3D ส่วนชั้นนอกสุดเป็นโกดังเก็บทรัพยากรและอุปกรณ์ ซึ่งอาจควบคุมโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีแรงโน้มถ่วง ยานจะหมุนช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี “Cosmos Dome” เป็นจุดชมวิวจักรวาลในสภาพไร้น้ำหนัก การเดินทางจะกินเวลาราว 400 ปี — หมายความว่าผู้โดยสารรุ่นแรกจะไม่มีวันเห็นจุดหมายปลายทาง ลูกหลานของพวกเขาจะเกิด เติบโต และตายบนยานนี้ โดยมีระบบการจัดการประชากรอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดช่วงอายุในการมีบุตรไว้ที่ 28–31 ปี และอนุญาตให้มีลูกได้ไม่เกินสองคน เพื่อเตรียมความพร้อม ทีมออกแบบเสนอให้ผู้โดยสารรุ่นแรกใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกาเป็นเวลา 70–80 ปี เพื่อฝึกความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและรุนแรง ก่อนขึ้นยานจริง แม้ Chrysalis จะยังเป็นแนวคิดในโครงการประกวด Project Hyperion แต่ก็ถือเป็นแบบจำลองที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้เทคโนโลยีที่ใกล้ความเป็นจริง เช่น nuclear fusion drive, ระบบ AI ร่วมบริหาร และโครงสร้างแบบ closed-loop ecosystem ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrysalis เป็นยานอวกาศแนวคิดที่ยาว 36 ไมล์ ออกแบบเพื่อเดินทางไปยัง Proxima Centauri b ➡️ รองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,400 คน บนการเดินทางที่กินเวลาราว 400 ปี ➡️ โครงสร้างแบบ concentric layers มีฟาร์ม, พื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม และโกดัง ➡️ ใช้การหมุนเพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี Cosmos Dome เป็นจุดชมวิวจักรวาล ➡️ ระบบประชากรจำกัดช่วงอายุในการมีบุตร และจำนวนลูกต่อคน ➡️ เตรียมผู้โดยสารรุ่นแรกด้วยการใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกา 70–80 ปี ➡️ ใช้ nuclear fusion drive เป็นแหล่งพลังงานและแรงขับเคลื่อน ➡️ มีระบบบริหารร่วมระหว่างมนุษย์และ AI เพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคม ➡️ เป็นแนวคิดที่ชนะการประกวด Project Hyperion Design Competition ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proxima Centauri b เป็นดาวเคราะห์ที่อาจมีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ➡️ Nuclear fusion drive ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Direct Fusion Drive ที่ใช้ helium-3 และ deuterium ➡️ การสร้างยานขนาด 2.4 พันล้านตันต้องใช้จุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ➡️ การใช้ชีวิตแบบ multigenerational บนยานต้องมีระบบการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน ➡️ โครงการนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการออกแบบระบบปิดสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว https://www.slashgear.com/1979060/chrysalis-spacecraft-concept-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This 36-Mile Spacecraft Would Take Humanity To The Stars – With No Way Back - SlashGear
    While it's unlikely to come to fruition, designs for the 2.4-billion-ton Chrysalis could see humanity embark on a four-century journey to a new star.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Windows 11 ไปใช้ Linux — เมื่อเสรีภาพ ความเร็ว และความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งจำเป็น”

    Jorge Aguilar นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Windows 11 ไปใช้ Linux หลังจากพบว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft นั้นเต็มไปด้วยปัญหา เช่น การอัปเดตที่ไม่สิ้นสุด, การทำงานช้า, และการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส

    เขาเริ่มต้นจากความต้องการระบบที่เบา ไม่กินทรัพยากร และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อน จนพบว่า Linux ตอบโจทย์ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนเครื่องเก่า, การควบคุมความเป็นส่วนตัว, หรือการปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันได้อย่างอิสระ

    Linux ไม่ติดตั้งแอปขยะหรือโฆษณาแบบที่ Windows มักแถมมา เช่น McAfee, Xbox, หรือ Edge และไม่มีการย้อนกลับการตั้งค่าด้วยการอัปเดตบังคับเหมือนที่ Microsoft ทำกับผู้ใช้ทั่วไป

    นอกจากนี้ Linux ยังสามารถทำให้เครื่องเก่ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยดิสโทรเบา ๆ อย่าง Lubuntu, MX Linux หรือ Linux Mint ที่สามารถรันได้ลื่นแม้มี RAM เพียง 4 GB

    ในด้านความเป็นส่วนตัว Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ที่ถ่ายภาพหน้าจอโดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นโอเพ่นซอร์ส ผู้ใช้สามารถตรวจสอบโค้ดได้เองว่าไม่มีการฝัง backdoor หรือระบบติดตามใด ๆ

    สุดท้ายคือเรื่องการปรับแต่ง — Linux เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ธีม, ฟอนต์, dock, ไปจนถึงการแก้ไข CSS หรือ source code ของเคอร์เนลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Windows ไม่เคยเปิดให้ทำอย่างเต็มที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linux ไม่มี bloatware หรือแอปขยะที่ติดมากับระบบ
    Windows ใช้ RAM มากกว่า 3 GB แม้ไม่ได้เปิดแอปใด ๆ
    การลบแอปหรือ telemetry ใน Windows มักถูกย้อนกลับด้วยอัปเดตบังคับ
    Linux เหมาะกับเครื่องเก่า เช่น เครื่องที่ไม่รองรับ Windows 11
    ดิสโทรเบา ๆ เช่น Lubuntu, MX Linux, Linux Mint รันได้ดีแม้มี RAM ต่ำ
    Linux ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่มี watermark หากไม่ได้ใส่ key
    Windows 11 Home ราคา $139 ส่วน Pro ราคา $199
    Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันของ Linux ได้อย่างเต็มที่
    Desktop environment ของ Linux เช่น KDE, GNOME, XFCE สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Linux ถูกใช้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพราะมีประสิทธิภาพสูงและเสถียร
    Windows Recall ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    Linux มีระบบเข้ารหัสดิสก์ที่ผู้ใช้ควบคุมได้เอง
    ดิสโทรอย่าง Tails และ Qubes ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยระดับสูง
    Linux มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    https://www.slashgear.com/1979066/reasons-why-should-use-linux-instead-of-windows/
    🧠 “5 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Windows 11 ไปใช้ Linux — เมื่อเสรีภาพ ความเร็ว และความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งจำเป็น” Jorge Aguilar นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Windows 11 ไปใช้ Linux หลังจากพบว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft นั้นเต็มไปด้วยปัญหา เช่น การอัปเดตที่ไม่สิ้นสุด, การทำงานช้า, และการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส เขาเริ่มต้นจากความต้องการระบบที่เบา ไม่กินทรัพยากร และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อน จนพบว่า Linux ตอบโจทย์ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนเครื่องเก่า, การควบคุมความเป็นส่วนตัว, หรือการปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันได้อย่างอิสระ Linux ไม่ติดตั้งแอปขยะหรือโฆษณาแบบที่ Windows มักแถมมา เช่น McAfee, Xbox, หรือ Edge และไม่มีการย้อนกลับการตั้งค่าด้วยการอัปเดตบังคับเหมือนที่ Microsoft ทำกับผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ Linux ยังสามารถทำให้เครื่องเก่ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยดิสโทรเบา ๆ อย่าง Lubuntu, MX Linux หรือ Linux Mint ที่สามารถรันได้ลื่นแม้มี RAM เพียง 4 GB ในด้านความเป็นส่วนตัว Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ที่ถ่ายภาพหน้าจอโดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นโอเพ่นซอร์ส ผู้ใช้สามารถตรวจสอบโค้ดได้เองว่าไม่มีการฝัง backdoor หรือระบบติดตามใด ๆ สุดท้ายคือเรื่องการปรับแต่ง — Linux เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ธีม, ฟอนต์, dock, ไปจนถึงการแก้ไข CSS หรือ source code ของเคอร์เนลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Windows ไม่เคยเปิดให้ทำอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linux ไม่มี bloatware หรือแอปขยะที่ติดมากับระบบ ➡️ Windows ใช้ RAM มากกว่า 3 GB แม้ไม่ได้เปิดแอปใด ๆ ➡️ การลบแอปหรือ telemetry ใน Windows มักถูกย้อนกลับด้วยอัปเดตบังคับ ➡️ Linux เหมาะกับเครื่องเก่า เช่น เครื่องที่ไม่รองรับ Windows 11 ➡️ ดิสโทรเบา ๆ เช่น Lubuntu, MX Linux, Linux Mint รันได้ดีแม้มี RAM ต่ำ ➡️ Linux ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่มี watermark หากไม่ได้ใส่ key ➡️ Windows 11 Home ราคา $139 ส่วน Pro ราคา $199 ➡️ Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันของ Linux ได้อย่างเต็มที่ ➡️ Desktop environment ของ Linux เช่น KDE, GNOME, XFCE สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Linux ถูกใช้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพราะมีประสิทธิภาพสูงและเสถียร ➡️ Windows Recall ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว ➡️ Linux มีระบบเข้ารหัสดิสก์ที่ผู้ใช้ควบคุมได้เอง ➡️ ดิสโทรอย่าง Tails และ Qubes ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยระดับสูง ➡️ Linux มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง https://www.slashgear.com/1979066/reasons-why-should-use-linux-instead-of-windows/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Reasons You Should Move To Linux Instead Of Windows 11 - SlashGear
    With support for Windows 10 ending in late 2025, you might be thinking of updating to Windows 11, but you'd be missing on all that Linux has to offer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนส่งออกเครื่องบินรบเพิ่มขึ้น — เมื่อ J-10C และ JF-17 กลายเป็นตัวเลือกใหม่ของประเทศกำลังพัฒนา”

    ในอดีต จีนเคยเป็นผู้รับเทคโนโลยีทางทหารจากโซเวียต แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จีนได้พัฒนาอุตสาหกรรมการบินของตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องบินรบที่มีความสามารถสูงในระดับโลก โดยมีโมเดลเด่นอย่าง Chengdu J-10, JF-17 Thunder, Shenyang J-16, J-35 และ J-20

    แม้เครื่องบินรบจีนส่วนใหญ่จะใช้ภายในประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มส่งออกเครื่องบินรบไปยังหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแอฟริกา เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ เมียนมา ซูดาน แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว

    ปากีสถานถือเป็นพันธมิตรหลักของจีนในด้านการทหาร โดยมีการใช้งานเครื่องบินรบจีนหลายรุ่น เช่น F-7 จำนวน 72 ลำ, J-10C จำนวน 20 ลำ และ JF-17 Thunder จำนวน 123 ลำ ซึ่งรุ่นหลังนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างจีนและปากีสถาน และผลิตในประเทศปากีสถานเอง

    บังกลาเทศใช้ Chengdu F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้งาน F-7 และ FTC-2000 สำหรับฝึกบิน ขณะที่ซูดานกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อ J-10CE ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกของ J-10C โดยมีรายงานว่าอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้

    แม้จีนจะยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบเทียบเท่าสหรัฐฯ (ซึ่งมีคำสั่งซื้อกว่า 996 ลำในปี 2024) แต่ก็มีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ต้องการอาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองแบบที่ผู้ผลิตตะวันตกมักกำหนด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนพัฒนาเครื่องบินรบของตนเอง เช่น J-10, JF-17, J-16, J-35 และ J-20
    ปากีสถานเป็นผู้นำเข้าหลักของเครื่องบินรบจีน เช่น F-7, J-10C และ JF-17
    JF-17 ผลิตในปากีสถาน โดยร่วมพัฒนากับ Chengdu Aircraft Corporation
    บังกลาเทศใช้ F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้ F-7 และ FTC-2000
    ซูดานอยู่ระหว่างจัดซื้อ J-10CE และอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้
    ประเทศในแอฟริกา เช่น แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว ใช้ F-7 และ K-8 สำหรับฝึกบิน
    จีนยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบ โดยมีคำสั่งซื้อเพียง 57 ลำในปี 2024
    สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำด้วยคำสั่งซื้อ 996 ลำ ตามด้วยฝรั่งเศสและรัสเซีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    J-10CE เป็นรุ่นส่งออกของ J-10C ที่มีความสามารถ multirole และใช้ขีปนาวุธ PL-15
    J-20 ถูกห้ามส่งออก เช่นเดียวกับ F-22 ของสหรัฐฯ
    ประเทศอย่างอียิปต์และ UAE สนใจเครื่องบินรบจีน หลังถูกปฏิเสธการขาย F-35 จากสหรัฐฯ
    จีนเสนออาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมือง ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
    การส่งออกอาวุธของจีนช่วยสร้างพันธมิตรและขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://www.slashgear.com/1978439/which-countries-use-chinese-fighter-jets/
    ✈️ “จีนส่งออกเครื่องบินรบเพิ่มขึ้น — เมื่อ J-10C และ JF-17 กลายเป็นตัวเลือกใหม่ของประเทศกำลังพัฒนา” ในอดีต จีนเคยเป็นผู้รับเทคโนโลยีทางทหารจากโซเวียต แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จีนได้พัฒนาอุตสาหกรรมการบินของตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องบินรบที่มีความสามารถสูงในระดับโลก โดยมีโมเดลเด่นอย่าง Chengdu J-10, JF-17 Thunder, Shenyang J-16, J-35 และ J-20 แม้เครื่องบินรบจีนส่วนใหญ่จะใช้ภายในประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มส่งออกเครื่องบินรบไปยังหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแอฟริกา เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ เมียนมา ซูดาน แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว ปากีสถานถือเป็นพันธมิตรหลักของจีนในด้านการทหาร โดยมีการใช้งานเครื่องบินรบจีนหลายรุ่น เช่น F-7 จำนวน 72 ลำ, J-10C จำนวน 20 ลำ และ JF-17 Thunder จำนวน 123 ลำ ซึ่งรุ่นหลังนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างจีนและปากีสถาน และผลิตในประเทศปากีสถานเอง บังกลาเทศใช้ Chengdu F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้งาน F-7 และ FTC-2000 สำหรับฝึกบิน ขณะที่ซูดานกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อ J-10CE ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกของ J-10C โดยมีรายงานว่าอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้ แม้จีนจะยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบเทียบเท่าสหรัฐฯ (ซึ่งมีคำสั่งซื้อกว่า 996 ลำในปี 2024) แต่ก็มีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ต้องการอาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองแบบที่ผู้ผลิตตะวันตกมักกำหนด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนพัฒนาเครื่องบินรบของตนเอง เช่น J-10, JF-17, J-16, J-35 และ J-20 ➡️ ปากีสถานเป็นผู้นำเข้าหลักของเครื่องบินรบจีน เช่น F-7, J-10C และ JF-17 ➡️ JF-17 ผลิตในปากีสถาน โดยร่วมพัฒนากับ Chengdu Aircraft Corporation ➡️ บังกลาเทศใช้ F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้ F-7 และ FTC-2000 ➡️ ซูดานอยู่ระหว่างจัดซื้อ J-10CE และอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้ ➡️ ประเทศในแอฟริกา เช่น แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว ใช้ F-7 และ K-8 สำหรับฝึกบิน ➡️ จีนยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบ โดยมีคำสั่งซื้อเพียง 57 ลำในปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำด้วยคำสั่งซื้อ 996 ลำ ตามด้วยฝรั่งเศสและรัสเซีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ J-10CE เป็นรุ่นส่งออกของ J-10C ที่มีความสามารถ multirole และใช้ขีปนาวุธ PL-15 ➡️ J-20 ถูกห้ามส่งออก เช่นเดียวกับ F-22 ของสหรัฐฯ ➡️ ประเทศอย่างอียิปต์และ UAE สนใจเครื่องบินรบจีน หลังถูกปฏิเสธการขาย F-35 จากสหรัฐฯ ➡️ จีนเสนออาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมือง ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ➡️ การส่งออกอาวุธของจีนช่วยสร้างพันธมิตรและขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ https://www.slashgear.com/1978439/which-countries-use-chinese-fighter-jets/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Which Countries Use Chinese Fighter Jets? - SlashGear
    China boasts an extensive arsenal of advanced fighter jets that include the Shenyang J-35, Shenyang J-16, Chengdu J-20, the JF-17 Thunder, and the Chengdu J-10.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แม่น้ำในอากาศกำลังเปลี่ยนทิศ — เมื่อเส้นทางความชื้นเคลื่อนสู่ขั้วโลก และโลกต้องเตรียมรับมือกับพายุที่ไม่เคยคาดคิด”

    ในระดับที่สูงเหนือศีรษะของเรา มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แม่น้ำในอากาศ” หรือ Atmospheric Rivers ซึ่งเป็นสายธารของไอน้ำที่ไหลผ่านชั้นบรรยากาศ และมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำของโลก โดยสามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ไหลออกจากปากแม่น้ำอเมซอนเลยทีเดียว

    ในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐฯ แม่น้ำในอากาศเหล่านี้ช่วยนำหิมะสู่เทือกเขา Sierra Nevada และเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำในแคลิฟอร์เนีย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงได้เช่นกัน

    จากการศึกษาล่าสุดในวารสาร Science Advances พบว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แม่น้ำในอากาศได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้นถึง 6–10 องศาละติจูด ซึ่งเทียบเท่ากับระยะทางระหว่างลอสแอนเจลิสถึงโอเรกอนตอนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุเหล่านี้ในการเติมน้ำประจำปีอาจเผชิญกับภัยแล้ง ในขณะที่พื้นที่ละติจูดสูงที่ไม่เคยเจอฝนหนักมาก่อน อาจต้องรับมือกับพายุที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม

    สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการหมุนเวียนของบรรยากาศ และทำให้กระแสเจ็ตสตรีมที่ควบคุมแม่น้ำในอากาศเปลี่ยนทิศทาง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสภาวะ La Niña อย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ฝนหรือภัยแล้ง แต่ยังรวมถึงการละลายของน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติก ซึ่งอาจเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก และทำให้แบบจำลองน้ำฝนเดิมไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แม่น้ำในอากาศคือสายธารของไอน้ำในชั้นบรรยากาศที่มีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำ
    สามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับแม่น้ำอเมซอน
    ในสหรัฐฯ ตะวันตกช่วยเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำและนำหิมะสู่เทือกเขา
    เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้น 6–10 องศาในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา
    ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุอาจขาดน้ำ และพื้นที่ใหม่อาจเจอพายุรุนแรง
    สาเหตุหลักคืออุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน
    การเปลี่ยนแปลงนี้เชื่อมโยงกับสภาวะ La Niña ที่เกิดต่อเนื่อง
    แม่น้ำในอากาศเพิ่มขึ้นในละติจูด 50°N และ 50°S แต่ลดลงใน 30°N และ 30°S
    ภายใต้สถานการณ์ปล่อยคาร์บอนสูง แม่น้ำในอากาศอาจเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2100

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แม่น้ำในอากาศมีบทบาทในหลายภูมิภาค เช่น สเปน, ชิลี, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร
    แคลิฟอร์เนียพึ่งพาแม่น้ำในอากาศถึง 50% ของปริมาณน้ำฝนต่อปี
    การละลายของน้ำแข็งจากพายุเหล่านี้อาจเร่งการสูญเสียธารน้ำแข็งในอาร์กติก
    แบบจำลองน้ำฝนและแผนที่น้ำท่วมเดิมอาจไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน
    การจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวตามทิศทางใหม่ของพายุ

    https://www.slashgear.com/1978371/atmospheric-rivers-pole-****-weather-impact-explained/
    🌧️ “แม่น้ำในอากาศกำลังเปลี่ยนทิศ — เมื่อเส้นทางความชื้นเคลื่อนสู่ขั้วโลก และโลกต้องเตรียมรับมือกับพายุที่ไม่เคยคาดคิด” ในระดับที่สูงเหนือศีรษะของเรา มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แม่น้ำในอากาศ” หรือ Atmospheric Rivers ซึ่งเป็นสายธารของไอน้ำที่ไหลผ่านชั้นบรรยากาศ และมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำของโลก โดยสามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ไหลออกจากปากแม่น้ำอเมซอนเลยทีเดียว ในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐฯ แม่น้ำในอากาศเหล่านี้ช่วยนำหิมะสู่เทือกเขา Sierra Nevada และเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำในแคลิฟอร์เนีย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงได้เช่นกัน จากการศึกษาล่าสุดในวารสาร Science Advances พบว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แม่น้ำในอากาศได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้นถึง 6–10 องศาละติจูด ซึ่งเทียบเท่ากับระยะทางระหว่างลอสแอนเจลิสถึงโอเรกอนตอนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุเหล่านี้ในการเติมน้ำประจำปีอาจเผชิญกับภัยแล้ง ในขณะที่พื้นที่ละติจูดสูงที่ไม่เคยเจอฝนหนักมาก่อน อาจต้องรับมือกับพายุที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการหมุนเวียนของบรรยากาศ และทำให้กระแสเจ็ตสตรีมที่ควบคุมแม่น้ำในอากาศเปลี่ยนทิศทาง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสภาวะ La Niña อย่างต่อเนื่อง ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ฝนหรือภัยแล้ง แต่ยังรวมถึงการละลายของน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติก ซึ่งอาจเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก และทำให้แบบจำลองน้ำฝนเดิมไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แม่น้ำในอากาศคือสายธารของไอน้ำในชั้นบรรยากาศที่มีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำ ➡️ สามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับแม่น้ำอเมซอน ➡️ ในสหรัฐฯ ตะวันตกช่วยเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำและนำหิมะสู่เทือกเขา ➡️ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้น 6–10 องศาในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ➡️ ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุอาจขาดน้ำ และพื้นที่ใหม่อาจเจอพายุรุนแรง ➡️ สาเหตุหลักคืออุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เชื่อมโยงกับสภาวะ La Niña ที่เกิดต่อเนื่อง ➡️ แม่น้ำในอากาศเพิ่มขึ้นในละติจูด 50°N และ 50°S แต่ลดลงใน 30°N และ 30°S ➡️ ภายใต้สถานการณ์ปล่อยคาร์บอนสูง แม่น้ำในอากาศอาจเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2100 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แม่น้ำในอากาศมีบทบาทในหลายภูมิภาค เช่น สเปน, ชิลี, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร ➡️ แคลิฟอร์เนียพึ่งพาแม่น้ำในอากาศถึง 50% ของปริมาณน้ำฝนต่อปี ➡️ การละลายของน้ำแข็งจากพายุเหล่านี้อาจเร่งการสูญเสียธารน้ำแข็งในอาร์กติก ➡️ แบบจำลองน้ำฝนและแผนที่น้ำท่วมเดิมอาจไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ➡️ การจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวตามทิศทางใหม่ของพายุ https://www.slashgear.com/1978371/atmospheric-rivers-pole-shit-weather-impact-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Atmospheric Phenomenon Is Drastically Changing Weather Around The World - SlashGear
    Over the past 40 years, atmospheric rivers carrying moisture from the tropics have migrated between 6 and 10 degrees closer to the Earth's poles.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ถ้ายิงปืนในอวกาศจะเกิดอะไรขึ้น? — เมื่อแรงปะทะกลายเป็นแรงผลัก และกระสุนไม่มีวันหยุด”

    หลายคนอาจคิดว่าปืนไม่สามารถยิงในอวกาศได้เพราะไม่มีออกซิเจน แต่ความจริงคือ “ยิงได้” เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัวเอง ทำให้สามารถจุดระเบิดได้แม้ในสุญญากาศ เช่นเดียวกับการยิงใต้น้ำ

    แม้จะไม่มีการทดลองจริงในอวกาศ แต่กฎฟิสิกส์โดยเฉพาะกฎข้อที่สามของนิวตัน (แรงปฏิกิริยา) สามารถอธิบายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ เมื่อยิงปืนในอวกาศ กระสุนจะพุ่งไปข้างหน้า และผู้ยิงจะถูกผลักไปในทิศทางตรงกันข้าม — โดยไม่มีแรงต้านจากอากาศหรือแรงโน้มถ่วงมาหยุด

    กระสุนในอวกาศจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าบนโลกเล็กน้อย เพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ และจะไม่หยุดเคลื่อนที่เลย เว้นแต่จะไปเจอแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ที่เปลี่ยนทิศทางหรือชะลอความเร็ว

    แม้อวกาศจะเป็นสุญญากาศ แต่ก็ไม่ว่างเปล่าเสียทีเดียว เพราะยังมีลมสุริยะและอะตอมลอยอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของกระสุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นนั้นน้อยมาก เพราะอวกาศกว้างใหญ่เกินกว่าจะเล็งโดนอะไรโดยบังเอิญ

    เสียงจากการยิงจะไม่ดังในอวกาศ แต่ผู้ยิงอาจ “ได้ยิน” การสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ และหากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นผนังยานหรือพื้น ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปืนสามารถยิงในอวกาศได้ เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัว
    การยิงปืนในอวกาศทำให้ผู้ยิงถูกผลักไปในทิศทางตรงข้ามกับกระสุน
    กระสุนจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ
    กระสุนจะไม่หยุดเคลื่อนที่ เว้นแต่เจอแรงโน้มถ่วงหรือวัตถุอื่น
    ลมสุริยะและอะตอมในอวกาศอาจเปลี่ยนทิศทางของกระสุน
    โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นมีน้อยมาก
    ผู้ยิงจะไม่ได้ยินเสียง แต่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ
    หากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กระสุนที่ยิงในวงโคจรอาจกลับมาชนผู้ยิงได้ หากอยู่ในวงโคจรเดียวกัน
    รัสเซียเคยทดลองอาวุธในอวกาศช่วงสงครามเย็น เช่นปืนบนยาน Soyuz
    ปืนแม่เหล็ก (railgun) เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานในอวกาศมากกว่า
    การยิงปืนในอวกาศอาจใช้เป็นวิธีเคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน หากไม่มีแรงขับอื่น
    การออกแบบอาวุธสำหรับอวกาศต้องคำนึงถึงแรงสะท้อนและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

    https://www.slashgear.com/1978143/what-would-happen-if-shot-gun-in-space/
    🔫 “ถ้ายิงปืนในอวกาศจะเกิดอะไรขึ้น? — เมื่อแรงปะทะกลายเป็นแรงผลัก และกระสุนไม่มีวันหยุด” หลายคนอาจคิดว่าปืนไม่สามารถยิงในอวกาศได้เพราะไม่มีออกซิเจน แต่ความจริงคือ “ยิงได้” เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัวเอง ทำให้สามารถจุดระเบิดได้แม้ในสุญญากาศ เช่นเดียวกับการยิงใต้น้ำ แม้จะไม่มีการทดลองจริงในอวกาศ แต่กฎฟิสิกส์โดยเฉพาะกฎข้อที่สามของนิวตัน (แรงปฏิกิริยา) สามารถอธิบายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ เมื่อยิงปืนในอวกาศ กระสุนจะพุ่งไปข้างหน้า และผู้ยิงจะถูกผลักไปในทิศทางตรงกันข้าม — โดยไม่มีแรงต้านจากอากาศหรือแรงโน้มถ่วงมาหยุด กระสุนในอวกาศจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าบนโลกเล็กน้อย เพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ และจะไม่หยุดเคลื่อนที่เลย เว้นแต่จะไปเจอแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ที่เปลี่ยนทิศทางหรือชะลอความเร็ว แม้อวกาศจะเป็นสุญญากาศ แต่ก็ไม่ว่างเปล่าเสียทีเดียว เพราะยังมีลมสุริยะและอะตอมลอยอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของกระสุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นนั้นน้อยมาก เพราะอวกาศกว้างใหญ่เกินกว่าจะเล็งโดนอะไรโดยบังเอิญ เสียงจากการยิงจะไม่ดังในอวกาศ แต่ผู้ยิงอาจ “ได้ยิน” การสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ และหากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นผนังยานหรือพื้น ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปืนสามารถยิงในอวกาศได้ เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัว ➡️ การยิงปืนในอวกาศทำให้ผู้ยิงถูกผลักไปในทิศทางตรงข้ามกับกระสุน ➡️ กระสุนจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ ➡️ กระสุนจะไม่หยุดเคลื่อนที่ เว้นแต่เจอแรงโน้มถ่วงหรือวัตถุอื่น ➡️ ลมสุริยะและอะตอมในอวกาศอาจเปลี่ยนทิศทางของกระสุน ➡️ โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นมีน้อยมาก ➡️ ผู้ยิงจะไม่ได้ยินเสียง แต่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ ➡️ หากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กระสุนที่ยิงในวงโคจรอาจกลับมาชนผู้ยิงได้ หากอยู่ในวงโคจรเดียวกัน ➡️ รัสเซียเคยทดลองอาวุธในอวกาศช่วงสงครามเย็น เช่นปืนบนยาน Soyuz ➡️ ปืนแม่เหล็ก (railgun) เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานในอวกาศมากกว่า ➡️ การยิงปืนในอวกาศอาจใช้เป็นวิธีเคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน หากไม่มีแรงขับอื่น ➡️ การออกแบบอาวุธสำหรับอวกาศต้องคำนึงถึงแรงสะท้อนและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน https://www.slashgear.com/1978143/what-would-happen-if-shot-gun-in-space/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Would Happen If You Shot A Gun In Space? Here's What You Need To Know - SlashGear
    Firing a gun in space, free from Earth's atmosphere and gravity, would result in the bullet and firer traveling indefinitely in opposite directions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ”

    กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง

    Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก

    แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง

    โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า

    Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark
    Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries
    ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง
    เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้
    มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ
    อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice”
    ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน
    การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย
    Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต
    การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    🦈 “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ” กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark ➡️ Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries ➡️ ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง ➡️ เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้ ➡️ มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ ➡️ อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice” ➡️ ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ➡️ โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน ➡️ การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย ➡️ Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต ➡️ การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Royal Australian Navy Has A Billion-Dollar Ghost Shark Submarine Fleet On The Way - SlashGear
    The Australian government has signed a five-year contract with Anduril Industries worth $1.12 billion to build an undisclosed number of Ghost Shark XL-AUVs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์

    หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99

    Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail

    ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้

    สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน
    Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน
    Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium
    Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB
    ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด
    ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้
    ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent
    Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk
    Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard
    Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้
    ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้
    GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี
    Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google

    https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    🤖 “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?” ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99 Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน ➡️ Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ➡️ Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium ➡️ Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB ➡️ ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด ➡️ ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้ ➡️ ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent ➡️ Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk ➡️ Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard ➡️ Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้ ➡️ ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้ ➡️ GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี ➡️ Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Gemini And ChatGPT Price Differences - Here's How Much They Cost - SlashGear
    Gemini costs $19.99/month for the AI Pro plan, while ChatGPT Plus runs $20/month. There are more tiers and plans available for both depending on the usage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก”

    ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์

    Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย

    นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว

    แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้

    โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์
    เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ
    ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ
    แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม
    แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030
    ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี
    ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50%
    การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม
    การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง
    การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่

    https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    ☀️ “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก” ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์ Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้ โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์ ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ ➡️ ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ ➡️ แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ➡️ แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030 ➡️ ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี ➡️ ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50% ➡️ การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม ➡️ การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่ https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California's Solar Experiment Is Working – Here's What That Could Mean For Everyone Else - SlashGear
    California is doing something unique with its investment in renewable energy, and seems to be proving beneficial not just for increasing solar power generation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USB-C บนแท็บเล็ต Android: พอร์ตเล็กที่เปลี่ยนแท็บเล็ตธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์”

    หลายคนอาจมองว่า USB-C บนแท็บเล็ต Android มีไว้แค่ชาร์จแบตหรือถ่ายโอนไฟล์ แต่ในความเป็นจริง พอร์ตเล็ก ๆ นี้สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ทั้งด้านเกม การทำงาน เสียง และการสร้างคอนเทนต์ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรซับซ้อน

    เริ่มจากสายเกมเมอร์ — เพียงเสียบจอยเกมผ่าน USB-C ก็สามารถเล่นเกมมือถือหรือเกมสตรีมจาก PC ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นจอย PS4, PS5, Xbox หรือจอยทั่วไปก็รองรับแทบทั้งหมด และบางรุ่นยังสามารถติดตั้งแบบ handheld ได้เหมือน Nintendo Switch

    สำหรับสายทำงาน USB-C สามารถเชื่อมต่อกับ dock หรือ hub เพื่อเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเครื่องทำงานเต็มรูปแบบ เช่น ต่อจอเสริม, เมาส์, คีย์บอร์ด, LAN และแม้แต่หูฟังแบบสาย โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Tab ที่รองรับโหมด DeX ซึ่งเปลี่ยนอินเทอร์เฟซให้เหมือนเดสก์ท็อป

    ด้านประสิทธิภาพ USB-C ยังสามารถจ่ายไฟให้กับพัดลมระบายความร้อนภายนอก ซึ่งช่วยลดการ throttle ของ CPU และเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ได้จริง โดยการติดตั้งพัดลมให้ตรงจุดที่ CPU อยู่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุด

    สายเสียงก็ไม่แพ้กัน — USB-C รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นสตูดิโอพกพาได้ทันที แม้จะต้องระวังเรื่องการกินแบตที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์เสียงระดับมืออาชีพ

    สุดท้าย สำหรับสายคอนเทนต์ USB-C ยังสามารถเชื่อมต่อไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอหรือประชุมออนไลน์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งไมค์ใหญ่หรืออุปกรณ์เสริมราคาแพง

    USB-C บนแท็บเล็ต Android รองรับการเชื่อมต่อจอยเกมหลากหลายรุ่น
    สามารถใช้แท็บเล็ตเป็นหน้าจอที่สองผ่านแอป spacedesk
    รองรับการเชื่อมต่อกับ dock/hub เพื่อใช้งานแท็บเล็ตแบบเดสก์ท็อป
    Samsung Galaxy Tab รองรับโหมด DeX สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ
    USB-C สามารถจ่ายไฟให้พัดลมระบายความร้อนภายนอกได้
    พัดลมช่วยลดการ throttle และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม
    รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard
    สามารถใช้ไมโครโฟนไร้สายผ่าน USB-C สำหรับการสร้างคอนเทนต์
    แท็บเล็ตสามารถเชื่อมต่อกับจอ, เมาส์, คีย์บอร์ด และ LAN ผ่าน hub

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    USB-C รองรับการส่งข้อมูล, พลังงาน และสัญญาณภาพในสายเดียว
    แท็บเล็ต Android รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ
    พัดลมระบายความร้อนแบบติดหลังช่วยให้แท็บเล็ตทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น
    DAC ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นสำหรับนักฟังเพลง
    ไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เป็นที่นิยมในวงการ TikTok และ YouTube

    https://www.slashgear.com/1974688/uses-for-android-tablet-usb-c-port/
    🔌 “USB-C บนแท็บเล็ต Android: พอร์ตเล็กที่เปลี่ยนแท็บเล็ตธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์” หลายคนอาจมองว่า USB-C บนแท็บเล็ต Android มีไว้แค่ชาร์จแบตหรือถ่ายโอนไฟล์ แต่ในความเป็นจริง พอร์ตเล็ก ๆ นี้สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ทั้งด้านเกม การทำงาน เสียง และการสร้างคอนเทนต์ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรซับซ้อน เริ่มจากสายเกมเมอร์ — เพียงเสียบจอยเกมผ่าน USB-C ก็สามารถเล่นเกมมือถือหรือเกมสตรีมจาก PC ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นจอย PS4, PS5, Xbox หรือจอยทั่วไปก็รองรับแทบทั้งหมด และบางรุ่นยังสามารถติดตั้งแบบ handheld ได้เหมือน Nintendo Switch สำหรับสายทำงาน USB-C สามารถเชื่อมต่อกับ dock หรือ hub เพื่อเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเครื่องทำงานเต็มรูปแบบ เช่น ต่อจอเสริม, เมาส์, คีย์บอร์ด, LAN และแม้แต่หูฟังแบบสาย โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Tab ที่รองรับโหมด DeX ซึ่งเปลี่ยนอินเทอร์เฟซให้เหมือนเดสก์ท็อป ด้านประสิทธิภาพ USB-C ยังสามารถจ่ายไฟให้กับพัดลมระบายความร้อนภายนอก ซึ่งช่วยลดการ throttle ของ CPU และเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ได้จริง โดยการติดตั้งพัดลมให้ตรงจุดที่ CPU อยู่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุด สายเสียงก็ไม่แพ้กัน — USB-C รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นสตูดิโอพกพาได้ทันที แม้จะต้องระวังเรื่องการกินแบตที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์เสียงระดับมืออาชีพ สุดท้าย สำหรับสายคอนเทนต์ USB-C ยังสามารถเชื่อมต่อไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอหรือประชุมออนไลน์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งไมค์ใหญ่หรืออุปกรณ์เสริมราคาแพง ➡️ USB-C บนแท็บเล็ต Android รองรับการเชื่อมต่อจอยเกมหลากหลายรุ่น ➡️ สามารถใช้แท็บเล็ตเป็นหน้าจอที่สองผ่านแอป spacedesk ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ dock/hub เพื่อใช้งานแท็บเล็ตแบบเดสก์ท็อป ➡️ Samsung Galaxy Tab รองรับโหมด DeX สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ ➡️ USB-C สามารถจ่ายไฟให้พัดลมระบายความร้อนภายนอกได้ ➡️ พัดลมช่วยลดการ throttle และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ➡️ สามารถใช้ไมโครโฟนไร้สายผ่าน USB-C สำหรับการสร้างคอนเทนต์ ➡️ แท็บเล็ตสามารถเชื่อมต่อกับจอ, เมาส์, คีย์บอร์ด และ LAN ผ่าน hub ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ USB-C รองรับการส่งข้อมูล, พลังงาน และสัญญาณภาพในสายเดียว ➡️ แท็บเล็ต Android รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ➡️ พัดลมระบายความร้อนแบบติดหลังช่วยให้แท็บเล็ตทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น ➡️ DAC ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นสำหรับนักฟังเพลง ➡️ ไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เป็นที่นิยมในวงการ TikTok และ YouTube https://www.slashgear.com/1974688/uses-for-android-tablet-usb-c-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Uses For Your Android Tablet's USB-C Port - SlashGear
    There are a number of unexpected ways to take advantage of your Android tablet's USB-C port.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ได้นานแค่ไหน? เทียบอายุการใช้งานกับรถน้ำมันแบบตรงไปตรงมา”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “แบตเตอรี่ของรถ EV จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” และ “มันจะคุ้มค่ากว่ารถน้ำมันจริงหรือ?” ล่าสุดมีการศึกษาหลายฉบับที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น

    งานวิจัยจาก Nature Energy วิเคราะห์ข้อมูลจากรถกว่า 29 ล้านคันในสหราชอาณาจักรช่วงปี 2005–2022 พบว่าแบตเตอรี่ของรถ EV มีแนวโน้มใช้งานได้นานขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแบตเตอรี่เสื่อมเพียง 1.8% ต่อปี เทียบกับ 2.3% ในปี 2019 ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10–20 ปี และ Nissan ก็ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่

    แม้รถน้ำมันจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 200,000 ไมล์ แต่ก็มีกรณีสุดโต่ง เช่น Toyota Tacoma ที่วิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ โดยเจ้าของขับส่งยาให้โรงพยาบาลวันละ 100,000 ไมล์ต่อปี ส่วนฝั่ง EV ก็มี Tesla Model S ที่วิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ โดยเจ้าของในเยอรมนีตั้งเป้าทำลายสถิติโลกที่ 3.26 ล้านไมล์

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของ EV คือ “ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่” ที่ยังสูงอยู่ โดยเฉพาะ Tesla ที่อาจต้องจ่ายถึง $10,000–$20,000 ต่อครั้ง และเจ้าของรถที่วิ่งไกลมากอาจต้องเปลี่ยนแบตหลายครั้งในช่วงอายุรถ ขณะที่เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีค่าซ่อมเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$10,000 เท่านั้น

    ข่าวดีคือราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก $400/kWh ในปี 2012 เหลือเพียง $111/kWh ในปี 2024 และมีแนวโน้มลดลงอีกในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ EV กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมเฉลี่ยเพียง 1.8% ต่อปี ลดลงจาก 2.3% ในปี 2019
    Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 10–20 ปี
    Nissan ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่
    รถน้ำมันมีอายุเฉลี่ย 200,000 ไมล์ แต่บางคันวิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์
    Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ และตั้งเป้าทำลายสถิติโลก
    ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ Tesla อยู่ที่ $10,000–$20,000 ต่อครั้ง
    ค่าเปลี่ยนเครื่องยนต์รถน้ำมันอยู่ที่ $2,000–$10,000
    ราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงจาก $400/kWh เหลือ $111/kWh ในปี 2024
    คาดว่าในปี 2030 ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $3,375–$5,000

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า
    EV ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือดูแลระบบไอเสีย
    แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) มีราคาถูกลงถึง $56/kWh ในบางรุ่น
    การชาร์จที่บ้านมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเติมน้ำมันอย่างมาก
    EV ได้รับเครดิตภาษีสูงสุดถึง $7,500 ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาซื้อจริงลดลง

    https://www.slashgear.com/1977447/electric-vehicle-vs-gas-car-battery-lifespan/
    🔋 “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ได้นานแค่ไหน? เทียบอายุการใช้งานกับรถน้ำมันแบบตรงไปตรงมา” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “แบตเตอรี่ของรถ EV จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” และ “มันจะคุ้มค่ากว่ารถน้ำมันจริงหรือ?” ล่าสุดมีการศึกษาหลายฉบับที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น งานวิจัยจาก Nature Energy วิเคราะห์ข้อมูลจากรถกว่า 29 ล้านคันในสหราชอาณาจักรช่วงปี 2005–2022 พบว่าแบตเตอรี่ของรถ EV มีแนวโน้มใช้งานได้นานขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแบตเตอรี่เสื่อมเพียง 1.8% ต่อปี เทียบกับ 2.3% ในปี 2019 ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10–20 ปี และ Nissan ก็ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่ แม้รถน้ำมันจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 200,000 ไมล์ แต่ก็มีกรณีสุดโต่ง เช่น Toyota Tacoma ที่วิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ โดยเจ้าของขับส่งยาให้โรงพยาบาลวันละ 100,000 ไมล์ต่อปี ส่วนฝั่ง EV ก็มี Tesla Model S ที่วิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ โดยเจ้าของในเยอรมนีตั้งเป้าทำลายสถิติโลกที่ 3.26 ล้านไมล์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของ EV คือ “ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่” ที่ยังสูงอยู่ โดยเฉพาะ Tesla ที่อาจต้องจ่ายถึง $10,000–$20,000 ต่อครั้ง และเจ้าของรถที่วิ่งไกลมากอาจต้องเปลี่ยนแบตหลายครั้งในช่วงอายุรถ ขณะที่เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีค่าซ่อมเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$10,000 เท่านั้น ข่าวดีคือราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก $400/kWh ในปี 2012 เหลือเพียง $111/kWh ในปี 2024 และมีแนวโน้มลดลงอีกในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ EV กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมเฉลี่ยเพียง 1.8% ต่อปี ลดลงจาก 2.3% ในปี 2019 ➡️ Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 10–20 ปี ➡️ Nissan ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่ ➡️ รถน้ำมันมีอายุเฉลี่ย 200,000 ไมล์ แต่บางคันวิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ ➡️ Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ และตั้งเป้าทำลายสถิติโลก ➡️ ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ Tesla อยู่ที่ $10,000–$20,000 ต่อครั้ง ➡️ ค่าเปลี่ยนเครื่องยนต์รถน้ำมันอยู่ที่ $2,000–$10,000 ➡️ ราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงจาก $400/kWh เหลือ $111/kWh ในปี 2024 ➡️ คาดว่าในปี 2030 ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $3,375–$5,000 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า ➡️ EV ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือดูแลระบบไอเสีย ➡️ แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) มีราคาถูกลงถึง $56/kWh ในบางรุ่น ➡️ การชาร์จที่บ้านมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเติมน้ำมันอย่างมาก ➡️ EV ได้รับเครดิตภาษีสูงสุดถึง $7,500 ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาซื้อจริงลดลง https://www.slashgear.com/1977447/electric-vehicle-vs-gas-car-battery-lifespan/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Long Do Electric Vehicle Batteries Last Vs. Gas Cars? - SlashGear
    One common question that EV skeptics may have is how long do the batteries last when compared to a gas car. Scientific studies show that they last quite a bit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USX-1 Defiant: เรือรบไร้คนขับลำแรกของสหรัฐฯ — จุดเปลี่ยนของสงครามทางทะเลในยุคอัตโนมัติ”

    DARPA ได้เปิดตัวเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ ชื่อว่า “USX-1 Defiant” ซึ่งเป็นเรือผิวน้ำขนาด 180 ฟุต ที่ถูกออกแบบมาให้ “ไม่มีมนุษย์บนเรือเลย” ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NOMARS (No Manning Required Ship) ที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือแม้แต่คนเดียว

    Defiant มีความสูง 42 ฟุต น้ำหนักเกือบ 265 ตัน และสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 20 นอต ที่สำคัญคือสามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า และมีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว เพื่อเพิ่มระยะปฏิบัติการให้ยาวนานขึ้น

    เรือลำนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างเรียบง่าย ทำให้สามารถผลิตและซ่อมบำรุงได้ในอู่เรือขนาดเล็กที่ปกติใช้กับเรือยอชต์หรือเรือลากจูง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการสร้างเรือรบได้อย่างมหาศาล

    หลังจากผ่านการทดสอบระบบขั้นสุดท้าย Defiant จะเข้าสู่การทดลองในทะเลแบบยาวนาน ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับสำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเรือรบอัตโนมัติรุ่นต่อไป

    เป้าหมายของกองทัพเรือคือการสร้าง “กองเรือแบบไฮบริด” ที่ผสมผสานระหว่างเรือที่มีลูกเรือและเรืออัตโนมัติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบ ลดความเสี่ยงต่อชีวิต และลดต้นทุนการสร้างเรือขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    USX-1 Defiant เป็นเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ
    พัฒนาโดย DARPA ภายใต้โครงการ NOMARS (No Manning Required Ship)
    ขนาด 180 ฟุต สูง 42 ฟุต น้ำหนัก 265 ตัน ความเร็วสูงสุด 20 นอต
    สามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า
    มีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว
    โครงสร้างเรือเรียบง่าย ผลิตและซ่อมได้ในอู่เรือขนาดเล็ก
    จะถูกส่งต่อให้สำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือหลังการทดลอง
    เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่กองเรือแบบไฮบริด
    ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ด้วยงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NOMARS เป็นโครงการที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือเลย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุน
    การไม่มีพื้นที่สำหรับมนุษย์ช่วยให้เรือมีขนาดเล็กลงและทนต่อสภาพทะเลได้ดีขึ้น
    Defiant สามารถทนคลื่นสูงถึง 30 ฟุต และกลับมาทำงานต่อได้หลังพายุ
    การใช้เรืออัตโนมัติช่วยกระจายกำลังรบ ลดการพึ่งพาเรือขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายง่าย
    เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในภารกิจข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีในอนาคต

    https://www.slashgear.com/1971599/united-states-navy-first-autonomous-warship-what-to-know-military/
    ⚓ “USX-1 Defiant: เรือรบไร้คนขับลำแรกของสหรัฐฯ — จุดเปลี่ยนของสงครามทางทะเลในยุคอัตโนมัติ” DARPA ได้เปิดตัวเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ ชื่อว่า “USX-1 Defiant” ซึ่งเป็นเรือผิวน้ำขนาด 180 ฟุต ที่ถูกออกแบบมาให้ “ไม่มีมนุษย์บนเรือเลย” ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NOMARS (No Manning Required Ship) ที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือแม้แต่คนเดียว Defiant มีความสูง 42 ฟุต น้ำหนักเกือบ 265 ตัน และสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 20 นอต ที่สำคัญคือสามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า และมีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว เพื่อเพิ่มระยะปฏิบัติการให้ยาวนานขึ้น เรือลำนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างเรียบง่าย ทำให้สามารถผลิตและซ่อมบำรุงได้ในอู่เรือขนาดเล็กที่ปกติใช้กับเรือยอชต์หรือเรือลากจูง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการสร้างเรือรบได้อย่างมหาศาล หลังจากผ่านการทดสอบระบบขั้นสุดท้าย Defiant จะเข้าสู่การทดลองในทะเลแบบยาวนาน ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับสำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเรือรบอัตโนมัติรุ่นต่อไป เป้าหมายของกองทัพเรือคือการสร้าง “กองเรือแบบไฮบริด” ที่ผสมผสานระหว่างเรือที่มีลูกเรือและเรืออัตโนมัติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบ ลดความเสี่ยงต่อชีวิต และลดต้นทุนการสร้างเรือขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ USX-1 Defiant เป็นเรือรบอัตโนมัติเต็มรูปแบบลำแรกของสหรัฐฯ ➡️ พัฒนาโดย DARPA ภายใต้โครงการ NOMARS (No Manning Required Ship) ➡️ ขนาด 180 ฟุต สูง 42 ฟุต น้ำหนัก 265 ตัน ความเร็วสูงสุด 20 นอต ➡️ สามารถปฏิบัติการในทะเลได้ต่อเนื่องนานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องเทียบท่า ➡️ มีระบบเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลที่ผ่านการทดสอบแล้ว ➡️ โครงสร้างเรือเรียบง่าย ผลิตและซ่อมได้ในอู่เรือขนาดเล็ก ➡️ จะถูกส่งต่อให้สำนักงาน PMS 406 ของกองทัพเรือหลังการทดลอง ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่กองเรือแบบไฮบริด ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ด้วยงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NOMARS เป็นโครงการที่มุ่งสร้างเรือที่ไม่ต้องมีลูกเรือเลย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุน ➡️ การไม่มีพื้นที่สำหรับมนุษย์ช่วยให้เรือมีขนาดเล็กลงและทนต่อสภาพทะเลได้ดีขึ้น ➡️ Defiant สามารถทนคลื่นสูงถึง 30 ฟุต และกลับมาทำงานต่อได้หลังพายุ ➡️ การใช้เรืออัตโนมัติช่วยกระจายกำลังรบ ลดการพึ่งพาเรือขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายง่าย ➡️ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในภารกิจข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีในอนาคต https://www.slashgear.com/1971599/united-states-navy-first-autonomous-warship-what-to-know-military/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What To Know About The Release Of The US' First Autonomous Warship - SlashGear
    This ship marks the U.S. Navy's transition toward a hybrid fleet of manned and unmanned vessels away.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย”

    ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ

    แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง

    AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด

    ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา

    แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่
    มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก
    การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง
    ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2
    ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น
    เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้
    รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส
    เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54
    ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น
    เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที
    ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50%
    การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra

    https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    🎧 “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย” ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่ ➡️ มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก ➡️ การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง ➡️ ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2 ➡️ ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้ ➡️ รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์ ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ➡️ เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54 ➡️ ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น ➡️ เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที ➡️ ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50% ➡️ การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple AirPods Never Quite Fit Me, But The New AirPods Pro 3 Changed That - SlashGear
    I was prepared to struggle with AirPods Pro 3, but they proved to fit my ears better than any previous iteration of Apple's earbuds. The smaller tips helped.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Instagram แจงปัญหา ‘Disabled Accounts Can’t Be Contacted’ — ไม่ใช่แค่บัญชีถูกปิด แต่เกิดจากบั๊กและการตั้งค่าที่ซับซ้อน”

    หลายคนที่ใช้ Instagram อาจเคยเจอข้อความแจ้งเตือนว่า “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เมื่อพยายามส่งโพสต์หรือข้อความไปยังเพื่อนหรือกลุ่ม ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะบางครั้งบัญชีที่เราติดต่อก็ยังดูเหมือนใช้งานได้ตามปกติ

    โดยทั่วไป ข้อความนี้จะปรากฏเมื่อคุณพยายามส่ง DM ไปยังบัญชีที่ถูกปิดใช้งาน (deactivated) หรือถูก Instagram ลบออกจากระบบเนื่องจากละเมิดนโยบาย แต่ในบางกรณี ข้อความนี้อาจเกิดจากบั๊กของแอป หรือการตั้งค่าที่ไม่อัปเดต เช่น การบล็อกหรือจำกัดบัญชีไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลดออก แต่ระบบยังไม่รีเฟรชสถานะ

    Instagram ยังไม่ได้ออกแพตช์เฉพาะสำหรับปัญหานี้ แต่มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่ผู้ใช้สามารถลองทำได้ เช่น การล็อกเอาต์แล้วล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิมแล้วเริ่มใหม่, ใช้บัญชีอื่นในการส่งข้อความ, หรือแม้แต่บล็อกแล้วปลดบล็อกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชสถานะของบัญชี

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำให้ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือบน iPad แทนแอปมือถือ หากสงสัยว่าแอปมีบั๊กเฉพาะเวอร์ชัน รวมถึงการเคลียร์ cache หรือ offload แอปเพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ข้อความ “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เกิดจากบัญชีที่ถูกปิดหรือบล็อก
    บางครั้งเกิดจากบั๊กของแอปที่ไม่รีเฟรชสถานะบัญชีหลังปลดบล็อก
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ ล็อกเอาต์/ล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิม, ใช้บัญชีอื่นส่งข้อความ
    การบล็อกแล้วปลดบล็อกใหม่ช่วยรีเฟรชสถานะบัญชีในระบบ
    ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือ iPad หากแอปมือถือมีปัญหา
    เคลียร์ cache (Android) หรือ offload แอป (iOS) เพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน
    หากยังไม่หาย อาจต้องรอการอัปเดตจาก Meta หรือแจ้งผ่าน Help Center

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    บัญชีที่ถูกปิดโดยผู้ใช้จะหายไปจากการค้นหา และชื่อจะกลายเป็น “Instagram User”
    บัญชีที่ถูก Instagram ปิดมักเกิดจากการละเมิด เช่น สแปม, คำพูดแสดงความเกลียดชัง, หรือการใช้บอต
    การจำกัด (Restrict) บัญชีจะทำให้ไม่สามารถส่งข้อความได้เช่นกัน
    Meta มีระบบ Account Center ที่เชื่อมโยงบัญชี Facebook และ Instagram ซึ่งอาจช่วยในการกู้คืน
    การส่งข้อความผ่านช่องทางอื่น เช่น Messenger หรืออีเมล อาจเป็นทางเลือกหากบัญชีถูกปิด

    https://www.slashgear.com/1975538/ways-to-solve-disabled-accounts-cant-be-contacted-error-instagram/
    📱 “Instagram แจงปัญหา ‘Disabled Accounts Can’t Be Contacted’ — ไม่ใช่แค่บัญชีถูกปิด แต่เกิดจากบั๊กและการตั้งค่าที่ซับซ้อน” หลายคนที่ใช้ Instagram อาจเคยเจอข้อความแจ้งเตือนว่า “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เมื่อพยายามส่งโพสต์หรือข้อความไปยังเพื่อนหรือกลุ่ม ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะบางครั้งบัญชีที่เราติดต่อก็ยังดูเหมือนใช้งานได้ตามปกติ โดยทั่วไป ข้อความนี้จะปรากฏเมื่อคุณพยายามส่ง DM ไปยังบัญชีที่ถูกปิดใช้งาน (deactivated) หรือถูก Instagram ลบออกจากระบบเนื่องจากละเมิดนโยบาย แต่ในบางกรณี ข้อความนี้อาจเกิดจากบั๊กของแอป หรือการตั้งค่าที่ไม่อัปเดต เช่น การบล็อกหรือจำกัดบัญชีไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลดออก แต่ระบบยังไม่รีเฟรชสถานะ Instagram ยังไม่ได้ออกแพตช์เฉพาะสำหรับปัญหานี้ แต่มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่ผู้ใช้สามารถลองทำได้ เช่น การล็อกเอาต์แล้วล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิมแล้วเริ่มใหม่, ใช้บัญชีอื่นในการส่งข้อความ, หรือแม้แต่บล็อกแล้วปลดบล็อกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชสถานะของบัญชี นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำให้ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือบน iPad แทนแอปมือถือ หากสงสัยว่าแอปมีบั๊กเฉพาะเวอร์ชัน รวมถึงการเคลียร์ cache หรือ offload แอปเพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ข้อความ “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เกิดจากบัญชีที่ถูกปิดหรือบล็อก ➡️ บางครั้งเกิดจากบั๊กของแอปที่ไม่รีเฟรชสถานะบัญชีหลังปลดบล็อก ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ ล็อกเอาต์/ล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิม, ใช้บัญชีอื่นส่งข้อความ ➡️ การบล็อกแล้วปลดบล็อกใหม่ช่วยรีเฟรชสถานะบัญชีในระบบ ➡️ ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือ iPad หากแอปมือถือมีปัญหา ➡️ เคลียร์ cache (Android) หรือ offload แอป (iOS) เพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน ➡️ หากยังไม่หาย อาจต้องรอการอัปเดตจาก Meta หรือแจ้งผ่าน Help Center ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ บัญชีที่ถูกปิดโดยผู้ใช้จะหายไปจากการค้นหา และชื่อจะกลายเป็น “Instagram User” ➡️ บัญชีที่ถูก Instagram ปิดมักเกิดจากการละเมิด เช่น สแปม, คำพูดแสดงความเกลียดชัง, หรือการใช้บอต ➡️ การจำกัด (Restrict) บัญชีจะทำให้ไม่สามารถส่งข้อความได้เช่นกัน ➡️ Meta มีระบบ Account Center ที่เชื่อมโยงบัญชี Facebook และ Instagram ซึ่งอาจช่วยในการกู้คืน ➡️ การส่งข้อความผ่านช่องทางอื่น เช่น Messenger หรืออีเมล อาจเป็นทางเลือกหากบัญชีถูกปิด https://www.slashgear.com/1975538/ways-to-solve-disabled-accounts-cant-be-contacted-error-instagram/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Ways To Solve The 'Disabled Accounts Can't Be Contacted' Error On Instagram - SlashGear
    Here is how to solve the "Disabled Accounts Can't Be Contacted" error on Instagram, assuming the account hasn't blocked your or been disabled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX ส่งดาวเทียม Nusantara Lima ขึ้นสู่วงโคจร — อินโดนีเซียเตรียมพลิกโฉมการเชื่อมต่อทั่วอาเซียน”

    วันที่ 11 กันยายน 2025 เวลา 21:56 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ Cape Canaveral รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima (SNL) ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสามครั้งเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การปล่อยครั้งนี้ถือเป็นภารกิจที่ 114 ของ Falcon 9 ในปีเดียว และเป็นการใช้งานบูสเตอร์ตัวเดิมเป็นครั้งที่ 23 ซึ่งสามารถลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    ดาวเทียม Nusantara Lima เป็นดาวเทียมสื่อสารความเร็วสูงที่สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP มีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ถือเป็นดาวเทียมที่มีความจุสูงที่สุดในเอเชีย ณ เวลานี้ โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารครอบคลุมทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย

    ดาวเทียมนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเคมีและไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับความสูง 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก โดยจะใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตำแหน่งและทดสอบระบบ ก่อนเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2026

    โครงการนี้ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะกว่า 17,000 แห่งของประเทศ และเสริมความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม การรับมือภัยพิบัติ และการป้องกันประเทศ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025
    เป็นการใช้งานบูสเตอร์ครั้งที่ 23 และลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้สำเร็จ
    ดาวเทียมมีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps
    สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP ที่มีอายุการใช้งานกว่า 15 ปี
    ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (เคมี + ไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    เข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก
    ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์และมาเลเซีย
    ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) บริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย
    มีสถานีภาคพื้นดิน 8 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ
    คาดว่าจะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียม geosynchronous จะหมุนตามโลก ทำให้สามารถ “ลอยนิ่ง” เหนือพื้นที่เป้าหมาย
    อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
    การใช้ Ka-band และ spot beams ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
    ดาวเทียม Nusantara Lima จะเสริมการทำงานของ SATRIA-1 ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2024
    โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    https://www.slashgear.com/1974684/spacex-launches-indonesia-nusantara-lima-mission-what-to-know/
    🚀 “SpaceX ส่งดาวเทียม Nusantara Lima ขึ้นสู่วงโคจร — อินโดนีเซียเตรียมพลิกโฉมการเชื่อมต่อทั่วอาเซียน” วันที่ 11 กันยายน 2025 เวลา 21:56 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ Cape Canaveral รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima (SNL) ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสามครั้งเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การปล่อยครั้งนี้ถือเป็นภารกิจที่ 114 ของ Falcon 9 ในปีเดียว และเป็นการใช้งานบูสเตอร์ตัวเดิมเป็นครั้งที่ 23 ซึ่งสามารถลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง ดาวเทียม Nusantara Lima เป็นดาวเทียมสื่อสารความเร็วสูงที่สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP มีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ถือเป็นดาวเทียมที่มีความจุสูงที่สุดในเอเชีย ณ เวลานี้ โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารครอบคลุมทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ดาวเทียมนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเคมีและไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับความสูง 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก โดยจะใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตำแหน่งและทดสอบระบบ ก่อนเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2026 โครงการนี้ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะกว่า 17,000 แห่งของประเทศ และเสริมความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม การรับมือภัยพิบัติ และการป้องกันประเทศ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ เป็นการใช้งานบูสเตอร์ครั้งที่ 23 และลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้สำเร็จ ➡️ ดาวเทียมมีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ➡️ สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP ที่มีอายุการใช้งานกว่า 15 ปี ➡️ ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (เคมี + ไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก ➡️ ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ➡️ ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) บริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย ➡️ มีสถานีภาคพื้นดิน 8 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ ➡️ คาดว่าจะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียม geosynchronous จะหมุนตามโลก ทำให้สามารถ “ลอยนิ่ง” เหนือพื้นที่เป้าหมาย ➡️ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ➡️ การใช้ Ka-band และ spot beams ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูง ➡️ ดาวเทียม Nusantara Lima จะเสริมการทำงานของ SATRIA-1 ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2024 ➡️ โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ https://www.slashgear.com/1974684/spacex-launches-indonesia-nusantara-lima-mission-what-to-know/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Here's What To Know About The SpaceX Launch For Nusantara Lima Mission - SlashGear
    SpaceX's Nusantara Lima mission, which launched the Nusantara Lima satellite for Indonesia's PT Pasifik Satelit Nusantara, went off without a hitch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ”

    Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22

    Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ

    แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ

    Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล

    นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin
    เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX
    รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ
    สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T
    ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock
    มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว
    วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล
    รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่
    MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง
    MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed
    Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril
    ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ

    https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    ✈️ “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ” Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22 Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin ➡️ เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX ➡️ รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ ➡️ สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T ➡️ ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock ➡️ มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว ➡️ วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล ➡️ รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่ ➡️ MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง ➡️ MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed ➡️ Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril ➡️ ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Lockheed Martin's Skunk Works Project Is No Longer A Secret: Meet The Vectis Combat Drone - SlashGear
    The Lockheed Martin Vectis drone is a combat-ready aircraft revealed in an uncharacteristically public manner, and is also reportedly headed for open market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • “WD-40 ไม่ใช่คำตอบเสมอไป — 5 สิ่งที่ไม่ควรใช้เด็ดขาด แม้จะดูเหมือนช่วยได้”

    WD-40 เป็นผลิตภัณฑ์สารพัดประโยชน์ที่หลายคนมีติดบ้านไว้เสมอ ไม่ว่าจะใช้หยุดเสียงประตูดัง, คลายสกรูฝืด, หรือไล่น้ำออกจากชิ้นส่วนโลหะ แต่แม้จะดูเหมือนเป็น “น้ำวิเศษ” สำหรับงานช่างทั่วไป ก็ยังมีบางสถานการณ์ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ WD-40 อย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าประโยชน์

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 กรณีที่ไม่ควรใช้ WD-40 โดยเฉพาะกับวัสดุที่ไวต่อสารเคมี เช่น ยาง พลาสติก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และบริเวณที่มีความร้อนสูง รวมถึงระบบล็อกที่ต้องการการหล่อลื่นเฉพาะทาง

    ตัวอย่างเช่น การใช้ WD-40 กับขอบยางประตูบ้าน อาจทำให้ยางเสื่อมสภาพและเปราะแตก เพราะสารละลายใน WD-40 จะดึงน้ำมันออกจากเนื้อยาง ทำให้หมดความยืดหยุ่น ส่วนพลาสติกบางชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนตหรือโพลีสไตรีน ก็อาจเกิดการแตกร้าวเมื่อสัมผัสกับ WD-40 เป็นเวลานาน

    นอกจากนี้ WD-40 ยังเป็นสารไวไฟสูง ไม่ควรใช้ใกล้แหล่งความร้อนหรือเปลวไฟ เช่น เตาแก๊ส ฮีตเตอร์ หรือเครื่องอบผ้า และไม่ควรใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะอาจทิ้งคราบนำไฟฟ้าไว้ ทำให้เกิดการลัดวงจรหรือไฟไหม้ได้

    สุดท้าย การใช้ WD-40 กับระบบล็อก เช่น ลูกบิดประตู อาจทำให้กลไกภายในเสียหาย เพราะมันไม่ใช่สารหล่อลื่นที่เหมาะสม และยังดึงน้ำมันเดิมออกไป ทำให้ล็อกฝืดกว่าเดิมในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WD-40 ไม่ควรใช้กับวัสดุยาง เช่น ขอบประตูหรือซีลกันน้ำ
    สารละลายใน WD-40 ทำให้ยางเสื่อมสภาพและเปราะแตก
    พลาสติกบางชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนต และโพลีสไตรีน อาจแตกร้าวเมื่อสัมผัส WD-40
    WD-40 เป็นสารไวไฟสูง ไม่ควรใช้ใกล้แหล่งความร้อนหรือเปลวไฟ
    ไม่ควรใช้ WD-40 กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะอาจเกิดการลัดวงจร
    การใช้ WD-40 กับระบบล็อกอาจทำให้กลไกเสียหายและฝืดกว่าเดิม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WD-40 มีสูตรพิเศษสำหรับงานเฉพาะ เช่น contact cleaner สำหรับอิเล็กทรอนิกส์
    กรณีล็อกฝืด ควรใช้ผงกราไฟต์หรือสารหล่อลื่นแบบแห้งแทน
    พลาสติกที่ทน WD-40 ได้ดี เช่น โพลีเอทิลีน ยังควรทดสอบก่อนใช้งาน
    การเก็บ WD-40 ควรอยู่ในที่เย็น อากาศถ่ายเท และไม่โดนแสงแดดโดยตรง
    การใช้ WD-40 บ่อยเกินไปอาจทำให้ชิ้นส่วนสะสมคราบและฝุ่นมากขึ้น

    https://www.slashgear.com/1975491/things-should-not-use-wd-40-on/
    🛠️ “WD-40 ไม่ใช่คำตอบเสมอไป — 5 สิ่งที่ไม่ควรใช้เด็ดขาด แม้จะดูเหมือนช่วยได้” WD-40 เป็นผลิตภัณฑ์สารพัดประโยชน์ที่หลายคนมีติดบ้านไว้เสมอ ไม่ว่าจะใช้หยุดเสียงประตูดัง, คลายสกรูฝืด, หรือไล่น้ำออกจากชิ้นส่วนโลหะ แต่แม้จะดูเหมือนเป็น “น้ำวิเศษ” สำหรับงานช่างทั่วไป ก็ยังมีบางสถานการณ์ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ WD-40 อย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าประโยชน์ บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 กรณีที่ไม่ควรใช้ WD-40 โดยเฉพาะกับวัสดุที่ไวต่อสารเคมี เช่น ยาง พลาสติก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และบริเวณที่มีความร้อนสูง รวมถึงระบบล็อกที่ต้องการการหล่อลื่นเฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น การใช้ WD-40 กับขอบยางประตูบ้าน อาจทำให้ยางเสื่อมสภาพและเปราะแตก เพราะสารละลายใน WD-40 จะดึงน้ำมันออกจากเนื้อยาง ทำให้หมดความยืดหยุ่น ส่วนพลาสติกบางชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนตหรือโพลีสไตรีน ก็อาจเกิดการแตกร้าวเมื่อสัมผัสกับ WD-40 เป็นเวลานาน นอกจากนี้ WD-40 ยังเป็นสารไวไฟสูง ไม่ควรใช้ใกล้แหล่งความร้อนหรือเปลวไฟ เช่น เตาแก๊ส ฮีตเตอร์ หรือเครื่องอบผ้า และไม่ควรใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะอาจทิ้งคราบนำไฟฟ้าไว้ ทำให้เกิดการลัดวงจรหรือไฟไหม้ได้ สุดท้าย การใช้ WD-40 กับระบบล็อก เช่น ลูกบิดประตู อาจทำให้กลไกภายในเสียหาย เพราะมันไม่ใช่สารหล่อลื่นที่เหมาะสม และยังดึงน้ำมันเดิมออกไป ทำให้ล็อกฝืดกว่าเดิมในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WD-40 ไม่ควรใช้กับวัสดุยาง เช่น ขอบประตูหรือซีลกันน้ำ ➡️ สารละลายใน WD-40 ทำให้ยางเสื่อมสภาพและเปราะแตก ➡️ พลาสติกบางชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนต และโพลีสไตรีน อาจแตกร้าวเมื่อสัมผัส WD-40 ➡️ WD-40 เป็นสารไวไฟสูง ไม่ควรใช้ใกล้แหล่งความร้อนหรือเปลวไฟ ➡️ ไม่ควรใช้ WD-40 กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะอาจเกิดการลัดวงจร ➡️ การใช้ WD-40 กับระบบล็อกอาจทำให้กลไกเสียหายและฝืดกว่าเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WD-40 มีสูตรพิเศษสำหรับงานเฉพาะ เช่น contact cleaner สำหรับอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ กรณีล็อกฝืด ควรใช้ผงกราไฟต์หรือสารหล่อลื่นแบบแห้งแทน ➡️ พลาสติกที่ทน WD-40 ได้ดี เช่น โพลีเอทิลีน ยังควรทดสอบก่อนใช้งาน ➡️ การเก็บ WD-40 ควรอยู่ในที่เย็น อากาศถ่ายเท และไม่โดนแสงแดดโดยตรง ➡️ การใช้ WD-40 บ่อยเกินไปอาจทำให้ชิ้นส่วนสะสมคราบและฝุ่นมากขึ้น https://www.slashgear.com/1975491/things-should-not-use-wd-40-on/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things WD-40 Should Never Be Used On - SlashGear
    WD-40 is handy but not always the right choice. Learn five times you should skip it, from locks and electronics to rubber, plastic, and heat sources.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts