• เรื่องเล่าจากปลอกเท้าเด็กถึงหม้ออบอัจฉริยะ: เมื่อแกดเจ็ตเล็ก ๆ กลายเป็นฮีโร่ของชีวิตประจำวัน

    ในยุคที่เทคโนโลยีถูกพูดถึงแต่เรื่อง AI, สมาร์ตโฟนเรือธง หรือหุ่นยนต์สุดล้ำ มีอุปกรณ์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ขึ้นพาดหัวข่าว แต่กลับได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใช้จริงอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยแก้ปัญหาเล็ก ๆ ที่เราพบทุกวัน

    อุปกรณ์อัจฉริยะที่ถูกมองข้ามแต่มีประโยชน์จริง
    Rabbit Air A3: ฟอกอากาศพร้อมรายงานคุณภาพแบบเรียลไทม์
    Petcube GPS Tracker: ติดตามสัตว์เลี้ยงแบบเรียลไทม์ พร้อมโหมด Lost Dog
    KeySmart SmartCard: ขนาดเท่าบัตรเครดิต ใช้ Find My และชาร์จไร้สาย
    Tovala Smart Oven: สแกน QR code ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ
    Petkit Eversweet: น้ำพุสัตว์เลี้ยงพร้อม motion sensor และแจ้งเตือน
    Yoto Player: เครื่องเล่นหนังสือเสียงสำหรับเด็ก ไม่มีหน้าจอ
    Skylight Frame: กรอบรูปดิจิทัลที่รับภาพจากแอป
    Owlet Dream Sock: วัดชีพจรและออกซิเจนของทารก
    Oral B iO: แปรงสีฟันอัจฉริยะพร้อมเซนเซอร์แรงกด
    Smart Nora: อุปกรณ์ลดการกรนแบบไม่รบกวนการนอน
    X-Sense Smoke Detector: แจ้งเตือนผ่านมือถือ แยกแยะควันจากอาหาร
    Dyson Co-anda2x: เครื่องจัดแต่งผมอัจฉริยะพร้อม RFID และโปรไฟล์ผู้ใช้
    Itigoitie Smart Pot: กระถางต้นไม้ที่แจ้งเตือนความต้องการของพืช

    https://www.slashgear.com/1959415/overlooked-smart-gadgets-users-say-worth-trying/
    🎙️ เรื่องเล่าจากปลอกเท้าเด็กถึงหม้ออบอัจฉริยะ: เมื่อแกดเจ็ตเล็ก ๆ กลายเป็นฮีโร่ของชีวิตประจำวัน ในยุคที่เทคโนโลยีถูกพูดถึงแต่เรื่อง AI, สมาร์ตโฟนเรือธง หรือหุ่นยนต์สุดล้ำ มีอุปกรณ์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ขึ้นพาดหัวข่าว แต่กลับได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใช้จริงอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยแก้ปัญหาเล็ก ๆ ที่เราพบทุกวัน ✅ อุปกรณ์อัจฉริยะที่ถูกมองข้ามแต่มีประโยชน์จริง ➡️ Rabbit Air A3: ฟอกอากาศพร้อมรายงานคุณภาพแบบเรียลไทม์ ➡️ Petcube GPS Tracker: ติดตามสัตว์เลี้ยงแบบเรียลไทม์ พร้อมโหมด Lost Dog ➡️ KeySmart SmartCard: ขนาดเท่าบัตรเครดิต ใช้ Find My และชาร์จไร้สาย ➡️ Tovala Smart Oven: สแกน QR code ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ ➡️ Petkit Eversweet: น้ำพุสัตว์เลี้ยงพร้อม motion sensor และแจ้งเตือน ➡️ Yoto Player: เครื่องเล่นหนังสือเสียงสำหรับเด็ก ไม่มีหน้าจอ ➡️ Skylight Frame: กรอบรูปดิจิทัลที่รับภาพจากแอป ➡️ Owlet Dream Sock: วัดชีพจรและออกซิเจนของทารก ➡️ Oral B iO: แปรงสีฟันอัจฉริยะพร้อมเซนเซอร์แรงกด ➡️ Smart Nora: อุปกรณ์ลดการกรนแบบไม่รบกวนการนอน ➡️ X-Sense Smoke Detector: แจ้งเตือนผ่านมือถือ แยกแยะควันจากอาหาร ➡️ Dyson Co-anda2x: เครื่องจัดแต่งผมอัจฉริยะพร้อม RFID และโปรไฟล์ผู้ใช้ ➡️ Itigoitie Smart Pot: กระถางต้นไม้ที่แจ้งเตือนความต้องการของพืช https://www.slashgear.com/1959415/overlooked-smart-gadgets-users-say-worth-trying/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Overlooked Smart Gadgets Users Say Are Worth Trying For Yourself - SlashGear
    These underrated smart gadgets may seem quirky, but users say they quietly solve daily hassles and prove more useful than their flashy tech counterparts.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากฝุ่นในกระเป๋าถึงปืนกาวร้อน: เมื่อการทำความสะอาดพอร์ต USB กลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดี

    นยุคที่มือถือกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของมนุษย์ การดูแลรักษาอุปกรณ์ให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ “ช่องชาร์จ” หรือ USB port ที่มักจะเต็มไปด้วยฝุ่น เส้นใยผ้า หรือเศษสิ่งสกปรกจากการพกพาในกระเป๋าและเสื้อผ้า ซึ่งอาจทำให้ชาร์จไม่เข้า หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นไม่ได้

    ปัญหาคือช่อง USB มีขนาดเล็กและลึก ทำให้การทำความสะอาดไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนจึงหันไปใช้วิธีสุดโต่ง เช่น “ปืนกาวร้อน” โดยยิงกาวลงไปในพอร์ต รอให้เย็น แล้วดึงออกพร้อมเศษฝุ่น ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลในบางกรณี แต่จริง ๆ แล้วเสี่ยงต่อความเสียหายอย่างมาก

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากาวร้อนอาจแทรกเข้าไปในวงจรภายใน ทำให้เกิดความเสียหายถาวร หรือทำให้พอร์ตไม่กันน้ำอีกต่อไป นอกจากนี้ หากกาวแห้งติดค้างในพอร์ต ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าเดิม

    วิธีที่ปลอดภัยกว่าคือการใช้ “ลมอัด” หรือ compressed air โดยฉีดลมเข้าไปในพอร์ตด้วยแรงเบาและมุมเอียง เพื่อไล่ฝุ่นออกโดยไม่ทำให้ชิ้นส่วนภายในเสียหาย หรือใช้ “ไม้จิ้มฟันพลาสติกหรือไม้” ค่อย ๆ เขี่ยฝุ่นออกอย่างระมัดระวัง โดยไม่ใช้โลหะที่อาจทำให้วงจรลัด

    หากมีคราบเหนียวหรือฝุ่นฝังแน่น สามารถใช้สำลีพันปลายไม้จิ้มฟัน ชุบแอลกอฮอล์เล็กน้อย แล้วเช็ดเบา ๆ เพื่อทำความสะอาดเพิ่มเติม โดยต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ปิดอยู่และไม่มีความชื้นตกค้าง

    https://www.slashgear.com/1963657/can-you-use-hot-glue-to-clean-phone-usb-port/
    🎙️ เรื่องเล่าจากฝุ่นในกระเป๋าถึงปืนกาวร้อน: เมื่อการทำความสะอาดพอร์ต USB กลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดี นยุคที่มือถือกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของมนุษย์ การดูแลรักษาอุปกรณ์ให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ “ช่องชาร์จ” หรือ USB port ที่มักจะเต็มไปด้วยฝุ่น เส้นใยผ้า หรือเศษสิ่งสกปรกจากการพกพาในกระเป๋าและเสื้อผ้า ซึ่งอาจทำให้ชาร์จไม่เข้า หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นไม่ได้ ปัญหาคือช่อง USB มีขนาดเล็กและลึก ทำให้การทำความสะอาดไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนจึงหันไปใช้วิธีสุดโต่ง เช่น “ปืนกาวร้อน” โดยยิงกาวลงไปในพอร์ต รอให้เย็น แล้วดึงออกพร้อมเศษฝุ่น ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลในบางกรณี แต่จริง ๆ แล้วเสี่ยงต่อความเสียหายอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากาวร้อนอาจแทรกเข้าไปในวงจรภายใน ทำให้เกิดความเสียหายถาวร หรือทำให้พอร์ตไม่กันน้ำอีกต่อไป นอกจากนี้ หากกาวแห้งติดค้างในพอร์ต ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าเดิม วิธีที่ปลอดภัยกว่าคือการใช้ “ลมอัด” หรือ compressed air โดยฉีดลมเข้าไปในพอร์ตด้วยแรงเบาและมุมเอียง เพื่อไล่ฝุ่นออกโดยไม่ทำให้ชิ้นส่วนภายในเสียหาย หรือใช้ “ไม้จิ้มฟันพลาสติกหรือไม้” ค่อย ๆ เขี่ยฝุ่นออกอย่างระมัดระวัง โดยไม่ใช้โลหะที่อาจทำให้วงจรลัด หากมีคราบเหนียวหรือฝุ่นฝังแน่น สามารถใช้สำลีพันปลายไม้จิ้มฟัน ชุบแอลกอฮอล์เล็กน้อย แล้วเช็ดเบา ๆ เพื่อทำความสะอาดเพิ่มเติม โดยต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ปิดอยู่และไม่มีความชื้นตกค้าง https://www.slashgear.com/1963657/can-you-use-hot-glue-to-clean-phone-usb-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Can You Really Use A Hot Glue Gun To Clean Out Your Phone's USB Port? - SlashGear
    If you've seen people on the web using a hot glue gun to clean their phone's ports, think twice before you try it yourself. It could lead to bigger issues.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “5 เครื่องมือ AI ช่วยสมัครงานที่ดีที่สุดในปี 2025 — จากจัดการเรซูเม่ถึงสมัครอัตโนมัติ แต่ต้องใช้ด้วยความระวัง”

    ในยุคที่การหางานกลายเป็นภารกิจที่กินพลังชีวิตมากกว่าที่คิด ทั้งการเขียนเรซูเม่ให้ตรงกับแต่ละตำแหน่ง การตอบคำถามคัดกรอง และการติดตามสถานะการสมัคร — AI ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ไร้ข้อจำกัด

    บทความจาก SlashGear ได้จัดอันดับเครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับการสมัครงานในปี 2025 โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เคยทำงานด้าน HR และการวิเคราะห์ฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการเรซูเม่ การตรวจสอบ ATS ไปจนถึงการสมัครงานแบบอัตโนมัติ

    เครื่องมือที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่:
    - Huntr สำหรับการติดตามสถานะการสมัครและจัดการเรซูเม่หลายเวอร์ชัน
    - Enhancv สำหรับตรวจสอบว่าเรซูเม่ผ่านระบบ ATS ได้หรือไม่
    - JobCopilot สำหรับการสมัครงานอัตโนมัติแบบไม่ต้องกรอกซ้ำ
    - LinkedIn Job Match AI สำหรับการจับคู่ตำแหน่งงานกับโปรไฟล์ของผู้สมัคร
    - Kickresume สำหรับการปรับแต่งเรซูเม่ให้ตรงกับประกาศงานและดูเป็นมืออาชีพ

    แม้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการสมัครงาน แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับระบบ AI, ความเสี่ยงจากการสมัครงานที่ไม่ตรงเป้าหมาย และการถูกกรองออกโดยระบบของบริษัทที่ไม่รับเรซูเม่ที่สร้างด้วย AI

    เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสมัครงาน
    Huntr: ติดตามสถานะการสมัคร, จัดการเรซูเม่, เก็บข้อมูลประกาศงาน
    Enhancv: ตรวจสอบเรซูเม่ให้ผ่านระบบ ATS, วิเคราะห์ความยาว, bullet points, การใช้คำซ้ำ
    JobCopilot: สมัครงานอัตโนมัติ, ตอบคำถามคัดกรองครั้งเดียว, มีแดชบอร์ดติดตาม
    LinkedIn Job Match AI: วิเคราะห์ความเหมาะสมของโปรไฟล์กับตำแหน่งงาน, ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ Premium
    Kickresume: สร้างและปรับแต่งเรซูเม่ด้วย AI, เลือกรับคำแนะนำเฉพาะจุด, รองรับการเขียน cover letter

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ATS (Applicant Tracking System) เป็นระบบที่บริษัทใช้กรองเรซูเม่ก่อนถึงมือ HR
    Resume ที่ไม่ผ่าน ATS จะถูกคัดออกทันที แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม
    AI resume optimization ช่วยให้ผ่านการกรองเบื้องต้นและเพิ่มโอกาสเข้าสัมภาษณ์
    เครื่องมืออย่าง Careerflow, LoopCV, Sonara.ai ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเดียวกัน

    https://www.slashgear.com/1942696/best-ai-tools-applying-to-jobs-ranked/
    🤖 “5 เครื่องมือ AI ช่วยสมัครงานที่ดีที่สุดในปี 2025 — จากจัดการเรซูเม่ถึงสมัครอัตโนมัติ แต่ต้องใช้ด้วยความระวัง” ในยุคที่การหางานกลายเป็นภารกิจที่กินพลังชีวิตมากกว่าที่คิด ทั้งการเขียนเรซูเม่ให้ตรงกับแต่ละตำแหน่ง การตอบคำถามคัดกรอง และการติดตามสถานะการสมัคร — AI ได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ไร้ข้อจำกัด บทความจาก SlashGear ได้จัดอันดับเครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับการสมัครงานในปี 2025 โดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เคยทำงานด้าน HR และการวิเคราะห์ฟีเจอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดการเรซูเม่ การตรวจสอบ ATS ไปจนถึงการสมัครงานแบบอัตโนมัติ เครื่องมือที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่: - Huntr สำหรับการติดตามสถานะการสมัครและจัดการเรซูเม่หลายเวอร์ชัน - Enhancv สำหรับตรวจสอบว่าเรซูเม่ผ่านระบบ ATS ได้หรือไม่ - JobCopilot สำหรับการสมัครงานอัตโนมัติแบบไม่ต้องกรอกซ้ำ - LinkedIn Job Match AI สำหรับการจับคู่ตำแหน่งงานกับโปรไฟล์ของผู้สมัคร - Kickresume สำหรับการปรับแต่งเรซูเม่ให้ตรงกับประกาศงานและดูเป็นมืออาชีพ แม้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการสมัครงาน แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับระบบ AI, ความเสี่ยงจากการสมัครงานที่ไม่ตรงเป้าหมาย และการถูกกรองออกโดยระบบของบริษัทที่ไม่รับเรซูเม่ที่สร้างด้วย AI ✅ เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสมัครงาน ➡️ Huntr: ติดตามสถานะการสมัคร, จัดการเรซูเม่, เก็บข้อมูลประกาศงาน ➡️ Enhancv: ตรวจสอบเรซูเม่ให้ผ่านระบบ ATS, วิเคราะห์ความยาว, bullet points, การใช้คำซ้ำ ➡️ JobCopilot: สมัครงานอัตโนมัติ, ตอบคำถามคัดกรองครั้งเดียว, มีแดชบอร์ดติดตาม ➡️ LinkedIn Job Match AI: วิเคราะห์ความเหมาะสมของโปรไฟล์กับตำแหน่งงาน, ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ Premium ➡️ Kickresume: สร้างและปรับแต่งเรซูเม่ด้วย AI, เลือกรับคำแนะนำเฉพาะจุด, รองรับการเขียน cover letter ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ATS (Applicant Tracking System) เป็นระบบที่บริษัทใช้กรองเรซูเม่ก่อนถึงมือ HR ➡️ Resume ที่ไม่ผ่าน ATS จะถูกคัดออกทันที แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม ➡️ AI resume optimization ช่วยให้ผ่านการกรองเบื้องต้นและเพิ่มโอกาสเข้าสัมภาษณ์ ➡️ เครื่องมืออย่าง Careerflow, LoopCV, Sonara.ai ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเดียวกัน https://www.slashgear.com/1942696/best-ai-tools-applying-to-jobs-ranked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Of The Best AI Tools For Applying To Jobs, Ranked - SlashGear
    5 of the best AI tools to streamline your job search, from resume optimization and application tracking to LinkedIn job matching and auto-apply options.
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • “AirTag ติดตามกระเป๋าได้ แต่ปลอดภัยพอสำหรับขึ้นเครื่องหรือไม่? — TSA ยืนยันใช้ได้ แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของแบตเตอรี่ลิเธียม”

    ตั้งแต่ Apple เปิดตัว AirTag ในปี 2021 อุปกรณ์ติดตามขนาดเท่าเหรียญนี้ก็กลายเป็นของคู่ใจของนักเดินทางทั่วโลก เพราะสามารถติดตามกระเป๋าเดินทาง เด็ก สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่รถยนต์ได้ผ่านเครือข่าย Find My ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ Apple กว่าร้อยล้านเครื่องทั่วโลก

    แต่เมื่อพูดถึงการนำขึ้นเครื่องบิน หลายคนอาจสงสัยว่า AirTag ซึ่งใช้แบตเตอรี่ลิเธียมแบบ CR2032 จะถูกห้ามหรือไม่ เพราะ TSA และ FAA มีข้อกำหนดเข้มงวดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในยุคที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้จากแบตเตอรี่บนเครื่องบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข่าวดีคือ AirTag ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้ทั้งในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องและกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง เนื่องจากแบตเตอรี่ CR2032 มีลิเธียมเพียง 0.109 กรัม ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัด 2 กรัมที่ TSA กำหนดไว้สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมแบบไม่สามารถชาร์จได้

    อย่างไรก็ตาม กฎนี้ใช้เฉพาะกับแบตเตอรี่ที่ “ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์” เท่านั้น หากเป็นแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเปล่า จะต้องใส่ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเท่านั้น และต้องบรรจุอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการลัดวงจร

    FAA รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2025 มีเหตุการณ์เกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมบนเครื่องบินถึง 534 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมจนเกิด “thermal runaway” — การระเบิดของพลังงานที่สะสมไว้ในแบตเตอรี่แบบไม่คาดคิด

    ดังนั้น แม้ AirTag จะปลอดภัยและได้รับอนุญาต แต่ผู้โดยสารควรเข้าใจข้อจำกัดและปฏิบัติตามแนวทางการบรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเคร่งครัด

    https://www.slashgear.com/1962927/are-airtags-allowed-in-carry-on-luggage-tsa-rules-guide/
    🧳 “AirTag ติดตามกระเป๋าได้ แต่ปลอดภัยพอสำหรับขึ้นเครื่องหรือไม่? — TSA ยืนยันใช้ได้ แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของแบตเตอรี่ลิเธียม” ตั้งแต่ Apple เปิดตัว AirTag ในปี 2021 อุปกรณ์ติดตามขนาดเท่าเหรียญนี้ก็กลายเป็นของคู่ใจของนักเดินทางทั่วโลก เพราะสามารถติดตามกระเป๋าเดินทาง เด็ก สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่รถยนต์ได้ผ่านเครือข่าย Find My ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ Apple กว่าร้อยล้านเครื่องทั่วโลก แต่เมื่อพูดถึงการนำขึ้นเครื่องบิน หลายคนอาจสงสัยว่า AirTag ซึ่งใช้แบตเตอรี่ลิเธียมแบบ CR2032 จะถูกห้ามหรือไม่ เพราะ TSA และ FAA มีข้อกำหนดเข้มงวดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในยุคที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้จากแบตเตอรี่บนเครื่องบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีคือ AirTag ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้ทั้งในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องและกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง เนื่องจากแบตเตอรี่ CR2032 มีลิเธียมเพียง 0.109 กรัม ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัด 2 กรัมที่ TSA กำหนดไว้สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมแบบไม่สามารถชาร์จได้ อย่างไรก็ตาม กฎนี้ใช้เฉพาะกับแบตเตอรี่ที่ “ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์” เท่านั้น หากเป็นแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเปล่า จะต้องใส่ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเท่านั้น และต้องบรรจุอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการลัดวงจร FAA รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2025 มีเหตุการณ์เกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมบนเครื่องบินถึง 534 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมจนเกิด “thermal runaway” — การระเบิดของพลังงานที่สะสมไว้ในแบตเตอรี่แบบไม่คาดคิด ดังนั้น แม้ AirTag จะปลอดภัยและได้รับอนุญาต แต่ผู้โดยสารควรเข้าใจข้อจำกัดและปฏิบัติตามแนวทางการบรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเคร่งครัด https://www.slashgear.com/1962927/are-airtags-allowed-in-carry-on-luggage-tsa-rules-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Are You Allowed To Keep AirTags In Carry-On Luggage? TSA's Rules, Explained - SlashGear
    TSA and FAA allow AirTags in both carry-on and checked luggage since their CR2032 battery is well under the 100 Wh/2 g lithium limit.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • “Honor Magic V5: มือถือพับได้ที่บางที่สุดในโลก พร้อมแบต 5,820mAh และกล้อง 100x — แต่ยังเข้าอเมริกาไม่ได้!”

    ถ้าคุณกำลังมองหามือถือพับได้ที่ไม่ใช่แค่ “พับได้” แต่ยังบางเฉียบ แบตอึด กล้องแรง และใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้แบบลื่นไหล — Honor Magic V5 คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 แม้จะยังไม่วางขายในสหรัฐฯ ก็ตาม

    Magic V5 เปิดตัวในยุโรปและเอเชีย พร้อมสเปกระดับเรือธง: ชิป Snapdragon 8 Elite, RAM 16GB, ความจุ 512GB และแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 5,820mAh ที่ใช้งานได้ถึง 2 วันเต็ม รองรับชาร์จเร็ว 66W และชาร์จไร้สาย 50W พร้อม reverse charging ด้วย

    หน้าจอด้านในขนาด 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ส่วนหน้าจอด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว ก็ยังรองรับ HDR และ Dolby Vision ทั้งคู่มีรีเฟรชเรต 120Hz และรองรับปากกา Stylus พร้อมเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอยขีดข่วน

    กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว: กล้องหลัก 50MP, กล้อง Ultra-wide 50MP และกล้อง Telephoto 64MP ที่ซูมได้ 3.5x แบบออปติคอล และสูงสุด 100x แบบดิจิทัล พร้อมระบบกันสั่น OIS และ AI Zoom ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้ในระยะไกล ส่วนกล้องหน้า 20MP มีทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K

    จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ multitasking แบบใหม่ที่เรียกว่า “Quick Layout” ซึ่งให้ผู้ใช้เปิด 2–3 แอปพร้อมกันได้ทันที โดยใช้การจัดวางแบบ 90/10 หรือแบบแยกแนวตั้งแนวนอน เหมาะกับการทำงานหรือดูคอนเทนต์หลายอย่างพร้อมกัน

    ตัวเครื่องบางเพียง 8.8 มม. เมื่อพับ และ 4.1 มม. เมื่อกางออก น้ำหนัก 217 กรัม พร้อมบอดี้ที่ทนทานระดับ IP58/IP59 กันน้ำและฝุ่นได้ดีเยี่ยม มีให้เลือก 4 สี: Ivory White, Black, Dawn Gold และ Reddish Brown

    สเปกหลักของ Honor Magic V5
    ชิป Snapdragon 8 Elite + GPU Adreno 830
    RAM 16GB + ROM 512GB
    แบตเตอรี่ 5,820mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W และไร้สาย 50W
    รองรับ reverse charging และระบบจัดการพลังงานแบบใหม่

    หน้าจอและดีไซน์
    หน้าจอด้านใน 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความละเอียด 2172×2352
    หน้าจอด้านนอก 6.43 นิ้ว OLED ความละเอียด 2376×1060
    ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ทั้งสองจอ
    รองรับ Stylus และเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอย

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัก 50MP f/1.6 + Ultra-wide 50MP f/2.0 + Telephoto 64MP f/2.5
    ซูมออปติคอล 3.5x และดิจิทัลสูงสุด 100x
    กล้องหน้า 20MP ทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K
    ระบบ AI Zoom, Motion Sensing Capture และ Enhanced Portraits

    ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์
    รัน Android 15 + MagicOS 9.0.1
    รองรับ multitasking แบบ Quick Layout เปิด 2–3 แอปพร้อมกัน
    มีฟีเจอร์ AI เช่น real-time translation, transcription, image-to-video
    รองรับ Google Gemini AI และระบบ Multi-Flex

    ความทนทานและการออกแบบ
    ตัวเครื่องบาง 8.8 มม. (พับ) / 4.1 มม. (กาง) น้ำหนัก 217 กรัม
    กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58/IP59
    บานพับ Super Steel Hinge รองรับการพับมากกว่า 500,000 ครั้ง
    มีให้เลือก 4 สี พร้อมดีไซน์แบบหนังเทียมและโลหะพรีเมียม

    ราคาและการวางจำหน่าย
    วางขายในยุโรปและเอเชีย ราคาเริ่มต้น £1,699.99 / €1,999.90
    ยังไม่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ
    มีจำหน่ายผ่าน Honor Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก

    https://www.slashgear.com/1963624/honor-magic-v5-review-foldable/
    📱 “Honor Magic V5: มือถือพับได้ที่บางที่สุดในโลก พร้อมแบต 5,820mAh และกล้อง 100x — แต่ยังเข้าอเมริกาไม่ได้!” ถ้าคุณกำลังมองหามือถือพับได้ที่ไม่ใช่แค่ “พับได้” แต่ยังบางเฉียบ แบตอึด กล้องแรง และใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้แบบลื่นไหล — Honor Magic V5 คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 แม้จะยังไม่วางขายในสหรัฐฯ ก็ตาม Magic V5 เปิดตัวในยุโรปและเอเชีย พร้อมสเปกระดับเรือธง: ชิป Snapdragon 8 Elite, RAM 16GB, ความจุ 512GB และแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 5,820mAh ที่ใช้งานได้ถึง 2 วันเต็ม รองรับชาร์จเร็ว 66W และชาร์จไร้สาย 50W พร้อม reverse charging ด้วย หน้าจอด้านในขนาด 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ส่วนหน้าจอด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว ก็ยังรองรับ HDR และ Dolby Vision ทั้งคู่มีรีเฟรชเรต 120Hz และรองรับปากกา Stylus พร้อมเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอยขีดข่วน กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว: กล้องหลัก 50MP, กล้อง Ultra-wide 50MP และกล้อง Telephoto 64MP ที่ซูมได้ 3.5x แบบออปติคอล และสูงสุด 100x แบบดิจิทัล พร้อมระบบกันสั่น OIS และ AI Zoom ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้ในระยะไกล ส่วนกล้องหน้า 20MP มีทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ multitasking แบบใหม่ที่เรียกว่า “Quick Layout” ซึ่งให้ผู้ใช้เปิด 2–3 แอปพร้อมกันได้ทันที โดยใช้การจัดวางแบบ 90/10 หรือแบบแยกแนวตั้งแนวนอน เหมาะกับการทำงานหรือดูคอนเทนต์หลายอย่างพร้อมกัน ตัวเครื่องบางเพียง 8.8 มม. เมื่อพับ และ 4.1 มม. เมื่อกางออก น้ำหนัก 217 กรัม พร้อมบอดี้ที่ทนทานระดับ IP58/IP59 กันน้ำและฝุ่นได้ดีเยี่ยม มีให้เลือก 4 สี: Ivory White, Black, Dawn Gold และ Reddish Brown ✅ สเปกหลักของ Honor Magic V5 ➡️ ชิป Snapdragon 8 Elite + GPU Adreno 830 ➡️ RAM 16GB + ROM 512GB ➡️ แบตเตอรี่ 5,820mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W และไร้สาย 50W ➡️ รองรับ reverse charging และระบบจัดการพลังงานแบบใหม่ ✅ หน้าจอและดีไซน์ ➡️ หน้าจอด้านใน 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความละเอียด 2172×2352 ➡️ หน้าจอด้านนอก 6.43 นิ้ว OLED ความละเอียด 2376×1060 ➡️ ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ทั้งสองจอ ➡️ รองรับ Stylus และเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอย ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัก 50MP f/1.6 + Ultra-wide 50MP f/2.0 + Telephoto 64MP f/2.5 ➡️ ซูมออปติคอล 3.5x และดิจิทัลสูงสุด 100x ➡️ กล้องหน้า 20MP ทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K ➡️ ระบบ AI Zoom, Motion Sensing Capture และ Enhanced Portraits ✅ ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ ➡️ รัน Android 15 + MagicOS 9.0.1 ➡️ รองรับ multitasking แบบ Quick Layout เปิด 2–3 แอปพร้อมกัน ➡️ มีฟีเจอร์ AI เช่น real-time translation, transcription, image-to-video ➡️ รองรับ Google Gemini AI และระบบ Multi-Flex ✅ ความทนทานและการออกแบบ ➡️ ตัวเครื่องบาง 8.8 มม. (พับ) / 4.1 มม. (กาง) น้ำหนัก 217 กรัม ➡️ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58/IP59 ➡️ บานพับ Super Steel Hinge รองรับการพับมากกว่า 500,000 ครั้ง ➡️ มีให้เลือก 4 สี พร้อมดีไซน์แบบหนังเทียมและโลหะพรีเมียม ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ วางขายในยุโรปและเอเชีย ราคาเริ่มต้น £1,699.99 / €1,999.90 ➡️ ยังไม่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ ➡️ มีจำหน่ายผ่าน Honor Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก https://www.slashgear.com/1963624/honor-magic-v5-review-foldable/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Honor Magic V5: Better Value And A Monster Battery, But Can It Beat The Competition? - SlashGear
    Honor Magic V5 delivers the best big foldable smartphone yet, complete with performance to beat most -- but is it worth the cash?
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • “ดาวเทียมล้นวงโคจร! สหรัฐฯ ครองแชมป์ด้วย 9,203 ดวง ขณะที่โลกเพิ่มขึ้นวันละ 7 ตัน — จาก Sputnik สู่ยุค Starlink และสงครามอวกาศ”

    ย้อนกลับไปปี 1957 เมื่อ Sputnik 1 กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โคจรรอบโลกอย่างโดดเดี่ยว — วันนี้มันคงรู้สึกเหงาไม่ออก เพราะมีวัตถุมนุษย์สร้างกว่า 45,000 ชิ้นลอยอยู่ในอวกาศ และในจำนวนนี้มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ถึง 13,727 ดวงจาก 82 ประเทศทั่วโลก

    สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งผู้นำแบบทิ้งห่าง ด้วยจำนวนดาวเทียมถึง 9,203 ดวง มากกว่ารัสเซียที่ตามมาเป็นอันดับสองถึง 6 เท่า ส่วนจีนมี 1,121 ดวง และสหราชอาณาจักรมี 722 ดวง โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีดาวเทียมใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 2,695 ดวง — เทียบกับปี 2020 ที่มีเพียง 3,371 ดวงเท่านั้น1

    ดาวเทียมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่ส่งสัญญาณทีวีหรือพยากรณ์อากาศ แต่ยังใช้ในงานที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน, การติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทร, การควบคุมโครงข่ายพลังงาน, การสื่อสารทางทหาร, และแม้แต่การพาเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก

    ในด้านการทหาร สหรัฐฯ ก็ยังนำโด่งด้วยดาวเทียมทางทหารถึง 247 ดวง ตามด้วยจีน 157 ดวง และรัสเซีย 110 ดวง3 ดาวเทียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสอดแนม, แจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธ, สื่อสารภาคสนาม, และแม้แต่การป้องกันไซเบอร์

    แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมก็ทำให้เกิดปัญหา “ขยะอวกาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรง โดยมีวัตถุที่ถูกติดตามแล้วกว่า 32,750 ชิ้น และมีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — ทำให้วงโคจรของโลกกลายเป็นพื้นที่แออัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ

    สถานการณ์ดาวเทียมในปัจจุบัน
    มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ 13,727 ดวง จาก 82 ประเทศและองค์กร
    สหรัฐฯ มีมากที่สุดที่ 9,203 ดวง ตามด้วยรัสเซีย 1,471 ดวง และจีน 1,121 ดวง1
    ปี 2024 มีดาวเทียมใหม่เพิ่มขึ้น 2,695 ดวง เทียบกับ 3,371 ดวงในปี 2020

    การใช้งานดาวเทียม
    ใช้ในระบบนำทาง, อินเทอร์เน็ต, การพยากรณ์อากาศ, การสื่อสาร
    ใช้ในธุรกรรมการเงิน เช่น การส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านดาวเทียม
    ใช้ในงานวิจัย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble และการติดตามมหาสมุทร
    ใช้ในพิธีกรรม เช่น การนำเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก

    ดาวเทียมทางทหาร
    สหรัฐฯ มีดาวเทียมทางทหาร 247 ดวง มากที่สุดในโลก3
    จีนมี 157 ดวง, รัสเซีย 110 ดวง, ฝรั่งเศส 17 ดวง, อิสราเอล 12 ดวง
    ใช้ในการสอดแนม, แจ้งเตือนภัย, GPS, และการสื่อสารภาคสนาม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียมของสหรัฐฯ มีทั้งเชิงพาณิชย์, วิจัย, และทหาร รวมกว่า 11,655 ดวง
    ระบบดาวเทียมเช่น Starlink ของ Elon Musk มีบทบาทสำคัญในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
    ระบบ SATCOM ถูกใช้ในสงคราม เช่น Operation Desert Storm ปี 19912
    ประเทศอื่นที่มีดาวเทียมจำนวนมาก ได้แก่ รัสเซีย (7,187 ดวง), จีน (5,330 ดวง), สหราชอาณาจักร (735 ดวง), ฝรั่งเศส (604 ดวง)

    คำเตือนจากการเพิ่มขึ้นของดาวเทียม
    ขยะอวกาศมีมากกว่า 32,750 ชิ้นที่ถูกติดตามแล้ว — เสี่ยงต่อการชนกันในวงโคจร
    มีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — เพิ่มความแออัดในอวกาศ
    การควบคุมการปล่อยดาวเทียมยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ชัดเจน
    ดาวเทียมทางทหารอาจถูกใช้ในสงครามไซเบอร์หรือการสอดแนมประชาชน
    หากไม่มีการจัดการขยะอวกาศอย่างจริงจัง อาจเกิด “Kessler Syndrome” ที่ทำให้วงโคจรใช้งานไม่ได้

    https://www.slashgear.com/1961880/how-many-satellites-are-in-space-which-country-has-the-most/
    🛰️ “ดาวเทียมล้นวงโคจร! สหรัฐฯ ครองแชมป์ด้วย 9,203 ดวง ขณะที่โลกเพิ่มขึ้นวันละ 7 ตัน — จาก Sputnik สู่ยุค Starlink และสงครามอวกาศ” ย้อนกลับไปปี 1957 เมื่อ Sputnik 1 กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โคจรรอบโลกอย่างโดดเดี่ยว — วันนี้มันคงรู้สึกเหงาไม่ออก เพราะมีวัตถุมนุษย์สร้างกว่า 45,000 ชิ้นลอยอยู่ในอวกาศ และในจำนวนนี้มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ถึง 13,727 ดวงจาก 82 ประเทศทั่วโลก สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งผู้นำแบบทิ้งห่าง ด้วยจำนวนดาวเทียมถึง 9,203 ดวง มากกว่ารัสเซียที่ตามมาเป็นอันดับสองถึง 6 เท่า ส่วนจีนมี 1,121 ดวง และสหราชอาณาจักรมี 722 ดวง โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีดาวเทียมใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 2,695 ดวง — เทียบกับปี 2020 ที่มีเพียง 3,371 ดวงเท่านั้น1 ดาวเทียมเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่ส่งสัญญาณทีวีหรือพยากรณ์อากาศ แต่ยังใช้ในงานที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน, การติดตามกระแสน้ำในมหาสมุทร, การควบคุมโครงข่ายพลังงาน, การสื่อสารทางทหาร, และแม้แต่การพาเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก ในด้านการทหาร สหรัฐฯ ก็ยังนำโด่งด้วยดาวเทียมทางทหารถึง 247 ดวง ตามด้วยจีน 157 ดวง และรัสเซีย 110 ดวง3 ดาวเทียมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสอดแนม, แจ้งเตือนการยิงขีปนาวุธ, สื่อสารภาคสนาม, และแม้แต่การป้องกันไซเบอร์ แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเพิ่มขึ้นของดาวเทียมก็ทำให้เกิดปัญหา “ขยะอวกาศ” ที่กำลังทวีความรุนแรง โดยมีวัตถุที่ถูกติดตามแล้วกว่า 32,750 ชิ้น และมีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — ทำให้วงโคจรของโลกกลายเป็นพื้นที่แออัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ ✅ สถานการณ์ดาวเทียมในปัจจุบัน ➡️ มีดาวเทียมที่ยังทำงานอยู่ 13,727 ดวง จาก 82 ประเทศและองค์กร ➡️ สหรัฐฯ มีมากที่สุดที่ 9,203 ดวง ตามด้วยรัสเซีย 1,471 ดวง และจีน 1,121 ดวง1 ➡️ ปี 2024 มีดาวเทียมใหม่เพิ่มขึ้น 2,695 ดวง เทียบกับ 3,371 ดวงในปี 2020 ✅ การใช้งานดาวเทียม ➡️ ใช้ในระบบนำทาง, อินเทอร์เน็ต, การพยากรณ์อากาศ, การสื่อสาร ➡️ ใช้ในธุรกรรมการเงิน เช่น การส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านดาวเทียม ➡️ ใช้ในงานวิจัย เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble และการติดตามมหาสมุทร ➡️ ใช้ในพิธีกรรม เช่น การนำเถ้ากระดูกมนุษย์ไปโคจรรอบโลก ✅ ดาวเทียมทางทหาร ➡️ สหรัฐฯ มีดาวเทียมทางทหาร 247 ดวง มากที่สุดในโลก3 ➡️ จีนมี 157 ดวง, รัสเซีย 110 ดวง, ฝรั่งเศส 17 ดวง, อิสราเอล 12 ดวง ➡️ ใช้ในการสอดแนม, แจ้งเตือนภัย, GPS, และการสื่อสารภาคสนาม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียมของสหรัฐฯ มีทั้งเชิงพาณิชย์, วิจัย, และทหาร รวมกว่า 11,655 ดวง ➡️ ระบบดาวเทียมเช่น Starlink ของ Elon Musk มีบทบาทสำคัญในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ➡️ ระบบ SATCOM ถูกใช้ในสงคราม เช่น Operation Desert Storm ปี 19912 ➡️ ประเทศอื่นที่มีดาวเทียมจำนวนมาก ได้แก่ รัสเซีย (7,187 ดวง), จีน (5,330 ดวง), สหราชอาณาจักร (735 ดวง), ฝรั่งเศส (604 ดวง) ‼️ คำเตือนจากการเพิ่มขึ้นของดาวเทียม ⛔ ขยะอวกาศมีมากกว่า 32,750 ชิ้นที่ถูกติดตามแล้ว — เสี่ยงต่อการชนกันในวงโคจร ⛔ มีฮาร์ดแวร์ใหม่ถูกส่งขึ้นไปถึง 7 ตันต่อวัน — เพิ่มความแออัดในอวกาศ ⛔ การควบคุมการปล่อยดาวเทียมยังไม่มีมาตรฐานสากลที่ชัดเจน ⛔ ดาวเทียมทางทหารอาจถูกใช้ในสงครามไซเบอร์หรือการสอดแนมประชาชน ⛔ หากไม่มีการจัดการขยะอวกาศอย่างจริงจัง อาจเกิด “Kessler Syndrome” ที่ทำให้วงโคจรใช้งานไม่ได้ https://www.slashgear.com/1961880/how-many-satellites-are-in-space-which-country-has-the-most/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Many Satellites Are In Space And Which Country Has The Most? - SlashGear
    Around 13,700 satellites orbit Earth, and with over 9,000, the U.S. owns the most. It's way ahead of any other nation, including Russia, China, and the U.K.
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • “GPU ใกล้พัง? สัญญาณเตือน 5 ข้อที่คุณไม่ควรมองข้าม ก่อนเครื่องดับกลางเกม!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเล่นเกมโปรดอยู่ดีๆ แล้วภาพกระตุก เสียงพัดลมดังแปลกๆ หรือจู่ๆ เครื่องก็ดับไปเฉยๆ… นั่นอาจไม่ใช่แค่บั๊กธรรมดา แต่เป็นสัญญาณว่า “การ์ดจอของคุณกำลังจะลาโลก” แล้ว!

    GPU หรือการ์ดจอ เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะสำหรับสายเกมเมอร์ นักตัดต่อวิดีโอ หรือคนที่ใช้หลายจอพร้อมกัน เพราะทุกอย่างตั้งแต่ภาพพื้นหลัง Windows ไปจนถึงการเรนเดอร์ 3D ล้วนใช้ GPU ช่วยประมวลผลทั้งสิ้น

    บทความนี้ได้รวบรวม “5 สัญญาณเตือน” ที่บ่งบอกว่า GPU ของคุณอาจใกล้พัง พร้อมคำแนะนำในการตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้น ก่อนที่คุณจะต้องควักเงินซื้อใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว

    สัญญาณที่บ่งบอกว่า GPU กำลังจะพัง
    1️⃣ ภาพผิดปกติ (Graphical Glitches): มีเส้น สีเพี้ยน หรือ texture หายระหว่างเล่นเกมหรือดูวิดีโอ
    2️⃣ เสียงแปลกๆ (Strange Noises): พัดลมมีเสียงผิดปกติ เช่น เสียงหอน เสียงเคาะ หรือเงียบผิดปกติ
    3️⃣ ประสิทธิภาพลดลง (Reduced Performance): FPS ตก, render ช้า, หรือ VRAM แสดงค่าเป็น 0 MB
    4️⃣ เครื่องค้างหรือดับ (Crashes/Freezes): เกิด BSOD, รีสตาร์ทเอง, หรือค้างระหว่างใช้งาน
    5️⃣ จอไม่ติด (No Display): เปิดเครื่องแล้วไม่มีภาพขึ้นจอ อาจเกิดจาก GPU ไม่ส่งสัญญาณภาพ

    วิธีตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้น
    ลองเปลี่ยนสาย HDMI/DisplayPort เพื่อเช็กว่าไม่ใช่ปัญหาสาย
    ใช้โปรแกรม GPU-Z หรือ Furmark ตรวจสอบสถานะ GPU
    ตรวจสอบการเชื่อมต่อของการ์ดจอกับเมนบอร์ดและ PSU
    ลองใช้กราฟิกออนบอร์ด (ถ้ามี) เพื่อแยกปัญหา
    อัปเดตหรือถอนการติดตั้งไดรเวอร์ GPU แล้วติดตั้งใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อุณหภูมิสูงเกินไปเป็นสาเหตุหลักของการ์ดจอพัง โดยเฉพาะในเครื่องที่ระบายอากาศไม่ดี
    การโอเวอร์คล็อก (Overclocking) โดยไม่ควบคุมความร้อนอาจเร่งการเสื่อมของ GPU
    พื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ภาคใต้ของไทย อาจทำให้วงจรเสื่อมเร็วขึ้น
    การ์ดจอที่มี coil whine (เสียงหอนจากขดลวด) ไม่ถือว่าเป็นปัญหา แม้จะน่ารำคาญ

    https://www.slashgear.com/1957629/warning-signs-gpu-dying-lifespan-length-examined/
    🔥 “GPU ใกล้พัง? สัญญาณเตือน 5 ข้อที่คุณไม่ควรมองข้าม ก่อนเครื่องดับกลางเกม!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเล่นเกมโปรดอยู่ดีๆ แล้วภาพกระตุก เสียงพัดลมดังแปลกๆ หรือจู่ๆ เครื่องก็ดับไปเฉยๆ… นั่นอาจไม่ใช่แค่บั๊กธรรมดา แต่เป็นสัญญาณว่า “การ์ดจอของคุณกำลังจะลาโลก” แล้ว! GPU หรือการ์ดจอ เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะสำหรับสายเกมเมอร์ นักตัดต่อวิดีโอ หรือคนที่ใช้หลายจอพร้อมกัน เพราะทุกอย่างตั้งแต่ภาพพื้นหลัง Windows ไปจนถึงการเรนเดอร์ 3D ล้วนใช้ GPU ช่วยประมวลผลทั้งสิ้น บทความนี้ได้รวบรวม “5 สัญญาณเตือน” ที่บ่งบอกว่า GPU ของคุณอาจใกล้พัง พร้อมคำแนะนำในการตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้น ก่อนที่คุณจะต้องควักเงินซื้อใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว ✅ สัญญาณที่บ่งบอกว่า GPU กำลังจะพัง 1️⃣ ภาพผิดปกติ (Graphical Glitches): มีเส้น สีเพี้ยน หรือ texture หายระหว่างเล่นเกมหรือดูวิดีโอ 2️⃣ เสียงแปลกๆ (Strange Noises): พัดลมมีเสียงผิดปกติ เช่น เสียงหอน เสียงเคาะ หรือเงียบผิดปกติ 3️⃣ ประสิทธิภาพลดลง (Reduced Performance): FPS ตก, render ช้า, หรือ VRAM แสดงค่าเป็น 0 MB 4️⃣ เครื่องค้างหรือดับ (Crashes/Freezes): เกิด BSOD, รีสตาร์ทเอง, หรือค้างระหว่างใช้งาน 5️⃣ จอไม่ติด (No Display): เปิดเครื่องแล้วไม่มีภาพขึ้นจอ อาจเกิดจาก GPU ไม่ส่งสัญญาณภาพ ✅ วิธีตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้น ➡️ ลองเปลี่ยนสาย HDMI/DisplayPort เพื่อเช็กว่าไม่ใช่ปัญหาสาย ➡️ ใช้โปรแกรม GPU-Z หรือ Furmark ตรวจสอบสถานะ GPU ➡️ ตรวจสอบการเชื่อมต่อของการ์ดจอกับเมนบอร์ดและ PSU ➡️ ลองใช้กราฟิกออนบอร์ด (ถ้ามี) เพื่อแยกปัญหา ➡️ อัปเดตหรือถอนการติดตั้งไดรเวอร์ GPU แล้วติดตั้งใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อุณหภูมิสูงเกินไปเป็นสาเหตุหลักของการ์ดจอพัง โดยเฉพาะในเครื่องที่ระบายอากาศไม่ดี ➡️ การโอเวอร์คล็อก (Overclocking) โดยไม่ควบคุมความร้อนอาจเร่งการเสื่อมของ GPU ➡️ พื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ภาคใต้ของไทย อาจทำให้วงจรเสื่อมเร็วขึ้น ➡️ การ์ดจอที่มี coil whine (เสียงหอนจากขดลวด) ไม่ถือว่าเป็นปัญหา แม้จะน่ารำคาญ https://www.slashgear.com/1957629/warning-signs-gpu-dying-lifespan-length-examined/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Warning Signs That Your GPU Is Dying - SlashGear
    Graphic cards are some of the most expensive components in desktop PCs, and recognizing when they're about to die can save you a lot of money.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • “เบอร์ No Caller ID โทรมาแล้วอยากโทรกลับ? รู้ไว้ก่อนจะเสียเวลา!”

    ลองนึกภาพว่าคุณได้รับสายจากเบอร์ที่ขึ้นว่า “No Caller ID” — ไม่มีชื่อ ไม่มีเบอร์ ไม่มีอะไรเลย แล้วคุณอยากรู้ว่าใครโทรมา จะโทรกลับได้ไหม? คำตอบคือ...ไม่ได้ครับ

    เบอร์ “No Caller ID” คือการที่ผู้โทรใช้ฟีเจอร์ซ่อนหมายเลขก่อนโทรออก เช่นในสหรัฐฯ ใช้รหัส *67 เพื่อบอกเครือข่ายว่าไม่ต้องส่งหมายเลขไปยังปลายทาง ซึ่งต่างจาก “Unknown Caller” หรือ “Private Number” ที่อาจเกิดจากปัญหาทางเทคนิคหรือการบล็อกเบอร์

    เมื่อคุณได้รับสายแบบนี้ หมายเลขจะไม่ถูกบันทึกไว้ในระบบ ไม่อยู่ใน call log และไม่สามารถกดโทรกลับได้ เพราะโทรศัพท์ของคุณไม่มีข้อมูลหมายเลขให้โทรกลับเลย

    แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าเบอร์ลับนี้โทรมาก่อกวน หรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย ก็ยังมีวิธีจัดการ เช่น ใช้บริการ Call Trace (*57) ที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์บางรายมีให้ ซึ่งจะส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายและสามารถใช้เป็นหลักฐานกับตำรวจได้ในกรณีที่จำเป็น

    นอกจากนี้ยังมีวิธีป้องกัน เช่น เปิดฟีเจอร์ “Silence Unknown Callers” บน iPhone หรือใช้แอปบล็อกเบอร์จากผู้ให้บริการ เช่น AT&T ActiveArmor, T-Mobile Scam Shield หรือ Verizon Call Filter รวมถึงแอป third-party ที่ช่วยกรองสายได้แบบเรียลไทม์

    แต่ต้องระวัง เพราะบางครั้งเบอร์ที่ซ่อนอาจเป็นสายจากโรงพยาบาล หน่วยงานรัฐ หรือธุรกิจที่มีเหตุผลในการปิดเบอร์ หากคุณบล็อกเบอร์ลับทั้งหมด อาจพลาดสายสำคัญได้

    ความหมายของ “No Caller ID”
    เป็นการซ่อนหมายเลขโดยผู้โทรตั้งใจ ไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค
    ใช้รหัสเช่น *67 เพื่อบอกเครือข่ายไม่ให้ส่งหมายเลข
    หมายเลขจะไม่ปรากฏใน call log และไม่สามารถโทรกลับได้

    วิธีจัดการกับเบอร์ No Caller ID
    ใช้บริการ Call Trace (*57) เพื่อส่งข้อมูลไปยังผู้ให้บริการ
    ติดต่อเครือข่ายเพื่อเปิดฟีเจอร์บล็อกสายลับ เช่น Anonymous Call Rejection
    ใช้ฟีเจอร์ “Silence Unknown Callers” บน iPhone
    Android มีตัวเลือกบล็อกเบอร์ลับในแอปโทรศัพท์
    แอป third-party ช่วยกรองสายและรายงานสแปมแบบเรียลไทม์

    ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก
    ในบางประเทศสามารถใช้รหัส *69 เพื่อดูหมายเลขล่าสุดที่โทรเข้า
    แอปเช่น Truecaller หรือ Hiya สามารถช่วยระบุเบอร์ลับได้ในบางกรณี
    เบอร์ที่ซ่อนอาจเป็นสายจากโรงพยาบาลหรือหน่วยงานรัฐที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

    คำเตือนในการรับมือกับเบอร์ No Caller ID
    ไม่สามารถโทรกลับได้โดยตรง เพราะไม่มีหมายเลขให้โทร
    การใช้บริการ Call Trace อาจมีค่าใช้จ่ายและใช้ได้เฉพาะบางเครือข่าย
    การบล็อกเบอร์ลับทั้งหมดอาจทำให้พลาดสายสำคัญจากหน่วยงานหรือแพทย์
    แอป third-party อาจไม่สามารถระบุเบอร์ลับได้เสมอไป และมีข้อจำกัดตามภูมิภาค

    https://www.slashgear.com/1960219/can-you-call-back-a-no-caller-id-number/
    📵 “เบอร์ No Caller ID โทรมาแล้วอยากโทรกลับ? รู้ไว้ก่อนจะเสียเวลา!” ลองนึกภาพว่าคุณได้รับสายจากเบอร์ที่ขึ้นว่า “No Caller ID” — ไม่มีชื่อ ไม่มีเบอร์ ไม่มีอะไรเลย แล้วคุณอยากรู้ว่าใครโทรมา จะโทรกลับได้ไหม? คำตอบคือ...ไม่ได้ครับ เบอร์ “No Caller ID” คือการที่ผู้โทรใช้ฟีเจอร์ซ่อนหมายเลขก่อนโทรออก เช่นในสหรัฐฯ ใช้รหัส *67 เพื่อบอกเครือข่ายว่าไม่ต้องส่งหมายเลขไปยังปลายทาง ซึ่งต่างจาก “Unknown Caller” หรือ “Private Number” ที่อาจเกิดจากปัญหาทางเทคนิคหรือการบล็อกเบอร์ เมื่อคุณได้รับสายแบบนี้ หมายเลขจะไม่ถูกบันทึกไว้ในระบบ ไม่อยู่ใน call log และไม่สามารถกดโทรกลับได้ เพราะโทรศัพท์ของคุณไม่มีข้อมูลหมายเลขให้โทรกลับเลย แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าเบอร์ลับนี้โทรมาก่อกวน หรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย ก็ยังมีวิธีจัดการ เช่น ใช้บริการ Call Trace (*57) ที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์บางรายมีให้ ซึ่งจะส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายและสามารถใช้เป็นหลักฐานกับตำรวจได้ในกรณีที่จำเป็น นอกจากนี้ยังมีวิธีป้องกัน เช่น เปิดฟีเจอร์ “Silence Unknown Callers” บน iPhone หรือใช้แอปบล็อกเบอร์จากผู้ให้บริการ เช่น AT&T ActiveArmor, T-Mobile Scam Shield หรือ Verizon Call Filter รวมถึงแอป third-party ที่ช่วยกรองสายได้แบบเรียลไทม์ แต่ต้องระวัง เพราะบางครั้งเบอร์ที่ซ่อนอาจเป็นสายจากโรงพยาบาล หน่วยงานรัฐ หรือธุรกิจที่มีเหตุผลในการปิดเบอร์ หากคุณบล็อกเบอร์ลับทั้งหมด อาจพลาดสายสำคัญได้ ✅ ความหมายของ “No Caller ID” ➡️ เป็นการซ่อนหมายเลขโดยผู้โทรตั้งใจ ไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค ➡️ ใช้รหัสเช่น *67 เพื่อบอกเครือข่ายไม่ให้ส่งหมายเลข ➡️ หมายเลขจะไม่ปรากฏใน call log และไม่สามารถโทรกลับได้ ✅ วิธีจัดการกับเบอร์ No Caller ID ➡️ ใช้บริการ Call Trace (*57) เพื่อส่งข้อมูลไปยังผู้ให้บริการ ➡️ ติดต่อเครือข่ายเพื่อเปิดฟีเจอร์บล็อกสายลับ เช่น Anonymous Call Rejection ➡️ ใช้ฟีเจอร์ “Silence Unknown Callers” บน iPhone ➡️ Android มีตัวเลือกบล็อกเบอร์ลับในแอปโทรศัพท์ ➡️ แอป third-party ช่วยกรองสายและรายงานสแปมแบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก ➡️ ในบางประเทศสามารถใช้รหัส *69 เพื่อดูหมายเลขล่าสุดที่โทรเข้า ➡️ แอปเช่น Truecaller หรือ Hiya สามารถช่วยระบุเบอร์ลับได้ในบางกรณี ➡️ เบอร์ที่ซ่อนอาจเป็นสายจากโรงพยาบาลหรือหน่วยงานรัฐที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ‼️ คำเตือนในการรับมือกับเบอร์ No Caller ID ⛔ ไม่สามารถโทรกลับได้โดยตรง เพราะไม่มีหมายเลขให้โทร ⛔ การใช้บริการ Call Trace อาจมีค่าใช้จ่ายและใช้ได้เฉพาะบางเครือข่าย ⛔ การบล็อกเบอร์ลับทั้งหมดอาจทำให้พลาดสายสำคัญจากหน่วยงานหรือแพทย์ ⛔ แอป third-party อาจไม่สามารถระบุเบอร์ลับได้เสมอไป และมีข้อจำกัดตามภูมิภาค https://www.slashgear.com/1960219/can-you-call-back-a-no-caller-id-number/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Can You Call Back A 'No Caller ID' Number? - SlashGear
    With "No Caller ID," the caller has used a feature that hides their identity at the network level. Because of that, there's no way to dial back directly.
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • “USB ไม่พอ? เพิ่มพอร์ตให้ PS5 ง่ายๆ ด้วยฮับที่เหมาะกับการเล่นเกมยุคใหม่!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเริ่มเล่นเกมบน PS5 ที่คุณรัก แต่พบว่า...พอร์ต USB ทั้ง 4 ช่องถูกใช้หมดแล้ว — ชาร์จจอย, ต่อกล้อง, เสียบหูฟังไร้สาย และเชื่อมต่อ PS VR2 แล้วจะเสียบฮาร์ดดิสก์เสริมตรงไหน?

    นั่นคือปัญหาที่ผู้ใช้ PS5 หลายคนเจอ และข่าวนี้มีคำตอบ: ใช้ “USB Hub” เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ตให้กับเครื่องของคุณ โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือเสียบสลับอุปกรณ์ไปมาให้ยุ่งยาก

    PS5 มีพอร์ต USB ทั้งหมด 4 ช่อง (2 ด้านหน้า, 2 ด้านหลัง) ซึ่งรองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps แต่เมื่อใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, จอยหลายตัว, กล้อง หรือ VR — พื้นที่ก็ไม่พอ

    ทางออกคือการเลือก USB Hub ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ เช่น:
    - ถ้าใช้กับอุปกรณ์เบาๆ อย่างคีย์บอร์ดหรือหูฟังไร้สาย: ฮับธรรมดา USB 2.0 ก็เพียงพอ
    - ถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2: ต้องใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (Powered USB Hub)
    - ถ้าอยากให้ฮับกลมกลืนกับดีไซน์เครื่อง: มีฮับที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ PS5 เช่น Megadream หรือ IQIKU

    นอกจากนี้ยังมีฮับที่รองรับ USB 3.0 หรือ 3.2 ซึ่งให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

    พอร์ต USB บน PS5
    มีทั้งหมด 4 ช่อง: ด้านหน้า 2 (Type-C และ Type-A), ด้านหลัง 2 (Type-A)
    รองรับความเร็ว Hi-Speed และ SuperSpeed (สูงสุด 10Gbps)
    ใช้สำหรับชาร์จจอย, ต่อกล้อง, หูฟัง, PS VR2 และฮาร์ดดิสก์ภายนอก

    การเพิ่มพอร์ตด้วย USB Hub
    USB Hub คืออุปกรณ์ที่แปลง 1 พอร์ตให้กลายเป็นหลายพอร์ต
    ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้
    ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ PS5 — ฮับทั่วไปก็ใช้ได้
    ตัวอย่างฮับยอดนิยม:   
    - Ugreen USB 3.0 Hub (4.7 ดาว, $9.99)   
    - Megadream 6-Port Hub (USB 2.0, $16.99)   
    - PowerA 4-Port Powered Hub (USB 3.0, $29.99)
    ฮับแบบมีไฟเลี้ยงเหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์

    ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก
    Anker Ultra Slim 4-Port USB 3.0 Hub เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ PS5
    IQIKU PS5 USB Hub รองรับการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์เบาๆ
    StarTech และ UGREEN มีฮับที่รองรับ USB-C ความเร็วสูงถึง 10Gbps
    ฮับบางรุ่นออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ PS5 โดยเฉพาะ

    คำเตือนในการเลือกใช้งาน USB Hub
    ฮับ USB 2.0 ไม่สามารถใช้กับฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2 ได้
    ฮับแบบไม่มีไฟเลี้ยงอาจไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง
    การใช้ฮับที่ไม่รองรับความเร็วสูง อาจทำให้การโหลดเกมหรือส่งข้อมูลช้าลง
    ฮับบางรุ่นอาจมีดีไซน์ไม่เข้ากับเครื่อง PS5 และเกะกะพื้นที่ใช้งาน

    https://www.slashgear.com/1959486/how-to-add-more-usb-ports-to-ps5/
    🎮 “USB ไม่พอ? เพิ่มพอร์ตให้ PS5 ง่ายๆ ด้วยฮับที่เหมาะกับการเล่นเกมยุคใหม่!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเริ่มเล่นเกมบน PS5 ที่คุณรัก แต่พบว่า...พอร์ต USB ทั้ง 4 ช่องถูกใช้หมดแล้ว — ชาร์จจอย, ต่อกล้อง, เสียบหูฟังไร้สาย และเชื่อมต่อ PS VR2 แล้วจะเสียบฮาร์ดดิสก์เสริมตรงไหน? นั่นคือปัญหาที่ผู้ใช้ PS5 หลายคนเจอ และข่าวนี้มีคำตอบ: ใช้ “USB Hub” เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ตให้กับเครื่องของคุณ โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือเสียบสลับอุปกรณ์ไปมาให้ยุ่งยาก PS5 มีพอร์ต USB ทั้งหมด 4 ช่อง (2 ด้านหน้า, 2 ด้านหลัง) ซึ่งรองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps แต่เมื่อใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, จอยหลายตัว, กล้อง หรือ VR — พื้นที่ก็ไม่พอ ทางออกคือการเลือก USB Hub ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ เช่น: - ถ้าใช้กับอุปกรณ์เบาๆ อย่างคีย์บอร์ดหรือหูฟังไร้สาย: ฮับธรรมดา USB 2.0 ก็เพียงพอ - ถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2: ต้องใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (Powered USB Hub) - ถ้าอยากให้ฮับกลมกลืนกับดีไซน์เครื่อง: มีฮับที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ PS5 เช่น Megadream หรือ IQIKU นอกจากนี้ยังมีฮับที่รองรับ USB 3.0 หรือ 3.2 ซึ่งให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ✅ พอร์ต USB บน PS5 ➡️ มีทั้งหมด 4 ช่อง: ด้านหน้า 2 (Type-C และ Type-A), ด้านหลัง 2 (Type-A) ➡️ รองรับความเร็ว Hi-Speed และ SuperSpeed (สูงสุด 10Gbps) ➡️ ใช้สำหรับชาร์จจอย, ต่อกล้อง, หูฟัง, PS VR2 และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ✅ การเพิ่มพอร์ตด้วย USB Hub ➡️ USB Hub คืออุปกรณ์ที่แปลง 1 พอร์ตให้กลายเป็นหลายพอร์ต ➡️ ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ ➡️ ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ PS5 — ฮับทั่วไปก็ใช้ได้ ➡️ ตัวอย่างฮับยอดนิยม:    - Ugreen USB 3.0 Hub (4.7 ดาว, $9.99)    - Megadream 6-Port Hub (USB 2.0, $16.99)    - PowerA 4-Port Powered Hub (USB 3.0, $29.99) ➡️ ฮับแบบมีไฟเลี้ยงเหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก ➡️ Anker Ultra Slim 4-Port USB 3.0 Hub เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ PS5 ➡️ IQIKU PS5 USB Hub รองรับการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์เบาๆ ➡️ StarTech และ UGREEN มีฮับที่รองรับ USB-C ความเร็วสูงถึง 10Gbps ➡️ ฮับบางรุ่นออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ PS5 โดยเฉพาะ ‼️ คำเตือนในการเลือกใช้งาน USB Hub ⛔ ฮับ USB 2.0 ไม่สามารถใช้กับฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2 ได้ ⛔ ฮับแบบไม่มีไฟเลี้ยงอาจไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง ⛔ การใช้ฮับที่ไม่รองรับความเร็วสูง อาจทำให้การโหลดเกมหรือส่งข้อมูลช้าลง ⛔ ฮับบางรุ่นอาจมีดีไซน์ไม่เข้ากับเครื่อง PS5 และเกะกะพื้นที่ใช้งาน https://www.slashgear.com/1959486/how-to-add-more-usb-ports-to-ps5/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Add More USB Ports To Your PS5 - SlashGear
    You can add more USB ports to your PS5 using a USB hub. Choose between basic splitters for low-power devices or powered hubs for external drives.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบรกเกอร์ธรรมดาสู่ผู้ช่วยบ้านอัจฉริยะ: เมื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานรวมอยู่ในชิ้นเดียว

    ในยุคที่บ้านกำลังกลายเป็น “สมาร์ทโฮม” หลายคนมองข้ามอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเบรกเกอร์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ Smart Circuit Breaker กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันสามารถควบคุมไฟฟ้าได้จากแอปมือถือ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานผิดปกติ และช่วยลดค่าไฟได้จริง

    ตัวอย่างเช่น Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และสั่งปิดวงจรได้ทันทีผ่านแอป นอกจากนี้ยังสามารถระบุว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าใดกินไฟมากเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

    ผู้ใช้หลายคนรีวิวว่า Smart Circuit Breaker ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ เช่นรุ่น Marstek ที่มีฟีเจอร์วัดพลังงาน และรุ่น Ensoft ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อปลั๊กหรืออุปกรณ์ใดใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย พร้อมสั่งปิดจากระยะไกลได้ทันที

    แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่อง “ราคา” ที่สูงกว่ารุ่นธรรมดาหลายเท่า และ “การติดตั้ง” ที่บางคนบ่นว่าเอกสารคู่มืออ่านยาก หรือหาข้อมูลออนไลน์ไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัยไซเบอร์” เพราะอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

    ในภาคอุตสาหกรรม Smart Circuit Breaker ยังถูกพัฒนาให้ใช้ AI และ IoT เพื่อวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าแบบล่วงหน้า ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น และปรับการทำงานแบบ “self-healing” ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่

    ความสามารถของ Smart Circuit Breaker
    ควบคุมการตัดไฟผ่านแอปมือถือแบบเรียลไทม์
    ตรวจสอบการใช้พลังงานของแต่ละอุปกรณ์
    แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย
    ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    รุ่นที่ได้รับความนิยม
    Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง: ควบคุมผ่านมือถือและตรวจสอบพลังงาน
    Marstek: มีระบบวัดพลังงานและควบคุมวงจร
    Ensoft: แจ้งเตือนและสั่งปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเกิน

    การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม
    ใช้ AI วิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหาย
    มีระบบ self-healing ที่ปรับการทำงานอัตโนมัติ
    ใช้ IoT และ cloud dashboard เพื่อควบคุมจากระยะไกล

    https://www.slashgear.com/1958961/smart-circuit-breakers-worth-installing/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบรกเกอร์ธรรมดาสู่ผู้ช่วยบ้านอัจฉริยะ: เมื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานรวมอยู่ในชิ้นเดียว ในยุคที่บ้านกำลังกลายเป็น “สมาร์ทโฮม” หลายคนมองข้ามอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเบรกเกอร์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ Smart Circuit Breaker กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันสามารถควบคุมไฟฟ้าได้จากแอปมือถือ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานผิดปกติ และช่วยลดค่าไฟได้จริง ตัวอย่างเช่น Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และสั่งปิดวงจรได้ทันทีผ่านแอป นอกจากนี้ยังสามารถระบุว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าใดกินไฟมากเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ผู้ใช้หลายคนรีวิวว่า Smart Circuit Breaker ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ เช่นรุ่น Marstek ที่มีฟีเจอร์วัดพลังงาน และรุ่น Ensoft ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อปลั๊กหรืออุปกรณ์ใดใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย พร้อมสั่งปิดจากระยะไกลได้ทันที แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่อง “ราคา” ที่สูงกว่ารุ่นธรรมดาหลายเท่า และ “การติดตั้ง” ที่บางคนบ่นว่าเอกสารคู่มืออ่านยาก หรือหาข้อมูลออนไลน์ไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัยไซเบอร์” เพราะอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ในภาคอุตสาหกรรม Smart Circuit Breaker ยังถูกพัฒนาให้ใช้ AI และ IoT เพื่อวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าแบบล่วงหน้า ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น และปรับการทำงานแบบ “self-healing” ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ✅ ความสามารถของ Smart Circuit Breaker ➡️ ควบคุมการตัดไฟผ่านแอปมือถือแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจสอบการใช้พลังงานของแต่ละอุปกรณ์ ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย ➡️ ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ รุ่นที่ได้รับความนิยม ➡️ Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง: ควบคุมผ่านมือถือและตรวจสอบพลังงาน ➡️ Marstek: มีระบบวัดพลังงานและควบคุมวงจร ➡️ Ensoft: แจ้งเตือนและสั่งปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเกิน ✅ การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหาย ➡️ มีระบบ self-healing ที่ปรับการทำงานอัตโนมัติ ➡️ ใช้ IoT และ cloud dashboard เพื่อควบคุมจากระยะไกล https://www.slashgear.com/1958961/smart-circuit-breakers-worth-installing/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Are Smart Circuit Breakers Really Worth Installing? Here's What Users Say - SlashGear
    Along with smart technology used throughout your home appliances, upgrading your breaker box with smart circuit breakers is essential to modernizing your home.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Egg Minder ถึงกล้องที่ไม่มี 2FA: เมื่อเทคโนโลยีในบ้านกลายเป็นดาบสองคม

    ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ การเพิ่มสมาร์ทดีไวซ์เข้าไปในบ้านดูเหมือนจะเป็นทางลัดสู่ความสะดวกสบาย แต่บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์บางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันอาจสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์

    ตัวอย่างแรกคืออุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิกเพื่อใช้งาน เช่นชุด SmartHome ของ Telus ที่รวมกล้อง, ไฟ, และเทอร์โมสแตตไว้ในแพ็กเกจรายเดือน แม้จะดูคุ้มในตอนแรก แต่ฟีเจอร์หลักหลายอย่างถูกล็อกไว้หลัง paywall และหากเลิกจ่าย อุปกรณ์อาจกลายเป็นของไร้ประโยชน์ทันที

    อีกกลุ่มคืออุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่นกล้องจาก Wyze หรือ Google Nest ที่สูญเสียฟีเจอร์สำคัญเมื่อเน็ตหลุด ซึ่งอาจทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านไร้ประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญ

    ที่น่าขำแต่จริงคือ Egg Minder—ถาดใส่ไข่ที่เชื่อมต่อแอปเพื่อบอกว่าไข่ไหนเก่า แต่กลับมีปัญหาเรื่องการซิงก์ข้อมูล, การแสดงวันหมดอายุผิด และต้องให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเอง ทำให้มันกลายเป็นภาระมากกว่าผู้ช่วย

    ด้านความปลอดภัย กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มีระบบ two-factor authentication (2FA) ก็เป็นอีกจุดอ่อนสำคัญ เช่นกล้อง Echo ที่ไม่บังคับใช้ 2FA ทำให้ผู้ไม่หวังดีอาจเข้าถึงระบบได้ง่ายขึ้น

    สุดท้ายคือสถานีตรวจอากาศ AcuRite ที่แม้จะมีแผงโซลาร์ แต่ใช้แค่กับพัดลมภายใน ขณะที่หน้าจอยังต้องใช้แบตเตอรี่ และหากต้องการดูข้อมูลผ่านมือถือ ต้องเสียบสาย USB กับคอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งไม่สะดวกเลยเมื่อเทียบกับรุ่นที่เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้โดยตรง

    สมาร์ทดีไวซ์ที่ควรหลีกเลี่ยง
    อุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิก เช่น Telus SmartHome bundle
    อุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่น Wyze, Google Nest
    Egg Minder ที่ต้องกรอกข้อมูลเองและซิงก์ผิดพลาดบ่อย
    กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มี 2FA เช่น Echo Camera
    สถานีอากาศ AcuRite ที่ไม่สามารถดูข้อมูลผ่านมือถือโดยตรง

    ปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง
    ฟีเจอร์หลักถูกล็อกหลังระบบสมาชิก
    อุปกรณ์หยุดทำงานเมื่อเน็ตหลุด
    แอปซิงก์ข้อมูลผิดพลาดและต้องกรอกเอง
    ไม่มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน
    ต้องเสียบสาย USB เพื่อดูข้อมูลจากสถานีอากาศ

    ทางเลือกที่ควรพิจารณา
    เลือกอุปกรณ์ที่ไม่มีระบบสมาชิก
    ใช้อุปกรณ์ที่ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    เลือกกล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่มี 2FA
    ใช้สถานีอากาศที่เชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Wi-Fi

    https://www.slashgear.com/1956282/smart-devices-to-avoid-at-home/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Egg Minder ถึงกล้องที่ไม่มี 2FA: เมื่อเทคโนโลยีในบ้านกลายเป็นดาบสองคม ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ การเพิ่มสมาร์ทดีไวซ์เข้าไปในบ้านดูเหมือนจะเป็นทางลัดสู่ความสะดวกสบาย แต่บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์บางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันอาจสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์ ตัวอย่างแรกคืออุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิกเพื่อใช้งาน เช่นชุด SmartHome ของ Telus ที่รวมกล้อง, ไฟ, และเทอร์โมสแตตไว้ในแพ็กเกจรายเดือน แม้จะดูคุ้มในตอนแรก แต่ฟีเจอร์หลักหลายอย่างถูกล็อกไว้หลัง paywall และหากเลิกจ่าย อุปกรณ์อาจกลายเป็นของไร้ประโยชน์ทันที อีกกลุ่มคืออุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่นกล้องจาก Wyze หรือ Google Nest ที่สูญเสียฟีเจอร์สำคัญเมื่อเน็ตหลุด ซึ่งอาจทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านไร้ประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญ ที่น่าขำแต่จริงคือ Egg Minder—ถาดใส่ไข่ที่เชื่อมต่อแอปเพื่อบอกว่าไข่ไหนเก่า แต่กลับมีปัญหาเรื่องการซิงก์ข้อมูล, การแสดงวันหมดอายุผิด และต้องให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเอง ทำให้มันกลายเป็นภาระมากกว่าผู้ช่วย ด้านความปลอดภัย กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มีระบบ two-factor authentication (2FA) ก็เป็นอีกจุดอ่อนสำคัญ เช่นกล้อง Echo ที่ไม่บังคับใช้ 2FA ทำให้ผู้ไม่หวังดีอาจเข้าถึงระบบได้ง่ายขึ้น สุดท้ายคือสถานีตรวจอากาศ AcuRite ที่แม้จะมีแผงโซลาร์ แต่ใช้แค่กับพัดลมภายใน ขณะที่หน้าจอยังต้องใช้แบตเตอรี่ และหากต้องการดูข้อมูลผ่านมือถือ ต้องเสียบสาย USB กับคอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งไม่สะดวกเลยเมื่อเทียบกับรุ่นที่เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้โดยตรง ✅ สมาร์ทดีไวซ์ที่ควรหลีกเลี่ยง ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องสมัครสมาชิก เช่น Telus SmartHome bundle ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เช่น Wyze, Google Nest ➡️ Egg Minder ที่ต้องกรอกข้อมูลเองและซิงก์ผิดพลาดบ่อย ➡️ กล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่ไม่มี 2FA เช่น Echo Camera ➡️ สถานีอากาศ AcuRite ที่ไม่สามารถดูข้อมูลผ่านมือถือโดยตรง ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง ➡️ ฟีเจอร์หลักถูกล็อกหลังระบบสมาชิก ➡️ อุปกรณ์หยุดทำงานเมื่อเน็ตหลุด ➡️ แอปซิงก์ข้อมูลผิดพลาดและต้องกรอกเอง ➡️ ไม่มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน ➡️ ต้องเสียบสาย USB เพื่อดูข้อมูลจากสถานีอากาศ ✅ ทางเลือกที่ควรพิจารณา ➡️ เลือกอุปกรณ์ที่ไม่มีระบบสมาชิก ➡️ ใช้อุปกรณ์ที่ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ เลือกกล้องหรืออุปกรณ์ล็อกที่มี 2FA ➡️ ใช้สถานีอากาศที่เชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Wi-Fi https://www.slashgear.com/1956282/smart-devices-to-avoid-at-home/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Smart Devices You Should Avoid Having In Your Home - SlashGear
    Some smart devices create more hassle than help, from subscription-locked gadgets to weak security features and impractical trackers.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากหลอด LED ถึงแผงโซลาร์บนหลังคา: เมื่อความคิดเล่น ๆ กลายเป็นบทเรียนเรื่องพลังงานและประสิทธิภาพ

    หลายคนสงสัยว่า “ถ้าแสงแดดทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ แล้วแสงจากหลอดไฟจะทำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องตามด้วยคำว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแม้แผงโซลาร์จะตอบสนองต่อแสงประดิษฐ์ได้ แต่ประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ

    แสงแดดมีช่วงคลื่นกว้างตั้งแต่รังสี UV ไปจนถึงอินฟราเรด (400–1200 นาโนเมตร) ซึ่งครอบคลุมพลังงานที่แผงโซลาร์สามารถดูดซับได้ดี ขณะที่แสงจากหลอดไฟ เช่น LED หรือฟลูออเรสเซนต์ มีช่วงคลื่นแคบกว่า (300–800 นาโนเมตร) และความเข้มต่ำกว่า ทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงอย่างมาก

    แม้หลอด LED จะสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องวางใกล้มาก และใช้พลังงานจากไฟบ้านเพื่อให้หลอดทำงาน ซึ่งกลายเป็นการใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้จากแผง—เรียกได้ว่า “ขาดทุนพลังงาน”

    ในทางปฏิบัติ แผงโซลาร์จะหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตก แต่ระบบโซลาร์สมัยใหม่มีแบตเตอรี่เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางคืน และยังมีระบบ “net metering” ที่ให้ผู้ใช้ขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบไฟฟ้าในตอนกลางวัน เพื่อชดเชยการใช้ไฟตอนกลางคืน

    การติดตั้งแผงโซลาร์ยังได้รับเครดิตภาษีในสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งช่วยลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ลงได้มาก และหลังจากคืนทุนแล้ว ผู้ใช้จะได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว

    หลักการทำงานของแผงโซลาร์
    แสงแดดกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้าแบบ DC
    อินเวอร์เตอร์แปลงเป็นไฟฟ้าแบบ AC เพื่อใช้ในบ้าน
    พลังงานส่วนเกินสามารถเก็บในแบตเตอรี่หรือส่งกลับเข้าระบบไฟฟ้า

    การใช้แสงประดิษฐ์กับแผงโซลาร์
    แสงจากหลอดไฟสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้
    ช่วงคลื่นของแสงประดิษฐ์แคบกว่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ
    ต้องวางหลอดไฟใกล้แผงมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการติดตั้งจริง

    ทางเลือกหลังพระอาทิตย์ตก
    ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานที่ผลิตได้ตอนกลางวัน
    ใช้ระบบ net metering เพื่อขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบ
    ช่วยลดค่าไฟตอนกลางคืน แม้จะไม่สามารถพึ่งพาได้ 100%

    สิทธิประโยชน์ด้านภาษี
    เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ หมดอายุปลายปี 2025
    ลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
    หลังคืนทุนแล้ว ได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1958212/can-light-bulb-power-solar-panel/
    🎙️ เรื่องเล่าจากหลอด LED ถึงแผงโซลาร์บนหลังคา: เมื่อความคิดเล่น ๆ กลายเป็นบทเรียนเรื่องพลังงานและประสิทธิภาพ หลายคนสงสัยว่า “ถ้าแสงแดดทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้ แล้วแสงจากหลอดไฟจะทำได้ไหม?” คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องตามด้วยคำว่า “ไม่คุ้ม” เพราะแม้แผงโซลาร์จะตอบสนองต่อแสงประดิษฐ์ได้ แต่ประสิทธิภาพต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงธรรมชาติ แสงแดดมีช่วงคลื่นกว้างตั้งแต่รังสี UV ไปจนถึงอินฟราเรด (400–1200 นาโนเมตร) ซึ่งครอบคลุมพลังงานที่แผงโซลาร์สามารถดูดซับได้ดี ขณะที่แสงจากหลอดไฟ เช่น LED หรือฟลูออเรสเซนต์ มีช่วงคลื่นแคบกว่า (300–800 นาโนเมตร) และความเข้มต่ำกว่า ทำให้แผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงอย่างมาก แม้หลอด LED จะสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องวางใกล้มาก และใช้พลังงานจากไฟบ้านเพื่อให้หลอดทำงาน ซึ่งกลายเป็นการใช้พลังงานมากกว่าที่ผลิตได้จากแผง—เรียกได้ว่า “ขาดทุนพลังงาน” ในทางปฏิบัติ แผงโซลาร์จะหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตก แต่ระบบโซลาร์สมัยใหม่มีแบตเตอรี่เก็บพลังงานไว้ใช้ตอนกลางคืน และยังมีระบบ “net metering” ที่ให้ผู้ใช้ขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบไฟฟ้าในตอนกลางวัน เพื่อชดเชยการใช้ไฟตอนกลางคืน การติดตั้งแผงโซลาร์ยังได้รับเครดิตภาษีในสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งช่วยลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ลงได้มาก และหลังจากคืนทุนแล้ว ผู้ใช้จะได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว ✅ หลักการทำงานของแผงโซลาร์ ➡️ แสงแดดกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้าแบบ DC ➡️ อินเวอร์เตอร์แปลงเป็นไฟฟ้าแบบ AC เพื่อใช้ในบ้าน ➡️ พลังงานส่วนเกินสามารถเก็บในแบตเตอรี่หรือส่งกลับเข้าระบบไฟฟ้า ✅ การใช้แสงประดิษฐ์กับแผงโซลาร์ ➡️ แสงจากหลอดไฟสามารถกระตุ้นแผงโซลาร์ได้ ➡️ ช่วงคลื่นของแสงประดิษฐ์แคบกว่าธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ ➡️ ต้องวางหลอดไฟใกล้แผงมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการติดตั้งจริง ✅ ทางเลือกหลังพระอาทิตย์ตก ➡️ ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานที่ผลิตได้ตอนกลางวัน ➡️ ใช้ระบบ net metering เพื่อขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับไปยังระบบ ➡️ ช่วยลดค่าไฟตอนกลางคืน แม้จะไม่สามารถพึ่งพาได้ 100% ✅ สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ➡️ เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ หมดอายุปลายปี 2025 ➡️ ลดต้นทุนจากประมาณ $30,000 ได้อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ หลังคืนทุนแล้ว ได้พลังงานราคาถูกหรือฟรีในระยะยาว https://www.slashgear.com/1958212/can-light-bulb-power-solar-panel/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Can A Light Bulb Power A Solar Panel? - SlashGear
    One of the biggest concerns with solar power is how it works when the sun is down or obscured. So in the event the sun isn't out, can you just use a light bulb?
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ

    แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ

    แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน

    ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย

    ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว

    ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า
    แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์
    แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์
    PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4%

    ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน
    Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp
    McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp
    Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS

    การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW)
    1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS
    รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp
    ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ
    แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า
    น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว
    แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว ✅ ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า ➡️ แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์ ➡️ แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์ ➡️ PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4% ✅ ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน ➡️ Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp ➡️ McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp ➡️ Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS ✅ การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW) ➡️ 1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS ➡️ รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp ➡️ ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น ✅ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ ➡️ แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า ➡️ น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว ➡️ แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Confusing Difference Between American And European Horsepower - SlashGear
    Thanks to differences to the metric and imperial system of measurements, horsepower doesn't mean the exact same thing in all parts of the world.
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล

    Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ

    ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น

    Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก

    แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า

    Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา

    จุดเด่นของ Zen Browser
    พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium
    เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก
    มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น

    ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป
    ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน
    Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน
    Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ
    Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar

    ความสัมพันธ์กับ Arc Browser
    มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces
    Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security
    Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง

    ความโปร่งใสและการสนับสนุน
    ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้
    พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง
    เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส

    https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา ✅ จุดเด่นของ Zen Browser ➡️ พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium ➡️ เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก ➡️ มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ✅ ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป ➡️ ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน ➡️ Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน ➡️ Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ ➡️ Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar ✅ ความสัมพันธ์กับ Arc Browser ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces ➡️ Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security ➡️ Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง ✅ ความโปร่งใสและการสนับสนุน ➡️ ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ ➡️ พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง ➡️ เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Many People Are Switching To This Web Browser - Here's Why - SlashGear
    Zen is a beautiful Free and Open Source Firefox-based alternative to Google Chrome, but has some limitations such as the inability to play DRM-protected media.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก VLF ถึง OKM: เมื่อการตรวจจับโลหะกลายเป็นศาสตร์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    ถ้าคุณเคยดูรายการล่าสมบัติแล้วสงสัยว่า “เครื่องตรวจจับโลหะของฉันจะเจออะไรลึกแค่ไหน?” คำตอบคือ—ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากกว่าที่คิด

    เครื่องตรวจจับโลหะทั่วไปแบบ VLF (Very Low Frequency) สามารถตรวจจับเหรียญหรือเครื่องประดับที่ฝังอยู่ลึกประมาณ 10–16 นิ้วได้สบาย ๆ โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำในการส่งและรับสัญญาณจากวัตถุที่มีคุณสมบัติเป็นโลหะ

    แต่ถ้าเป้าหมายคือกล่องโลหะขนาดใหญ่หรือท่อใต้ดิน คุณต้องใช้เครื่องแบบ PI (Pulse Induction) ซึ่งสามารถทะลุผ่านดินที่มีแร่ธาตุสูงได้ และตรวจจับวัตถุขนาดใหญ่ที่ลึกหลายฟุต

    ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเครื่องระดับมืออาชีพ เช่น Fisher Gemini 3 ที่ใช้ระบบ “two-box” แยก transmitter และ receiver เพื่อเพิ่มความลึกในการตรวจจับได้ถึง 20 ฟุต หรือ Garrett GTI 2500 ที่มี Depth Multiplier สำหรับค้นหาวัตถุขนาดใหญ่โดยไม่สนใจเศษโลหะเล็ก ๆ

    และถ้าคุณจริงจังกับการค้นหาสมบัติหรือโบราณวัตถุ OKM eXp 6000 จากเยอรมนีคือสุดยอดของวงการ—เป็นเครื่องสแกนพื้นแบบ 3D ที่สามารถตรวจจับวัตถุได้ลึกถึง 82 ฟุต และเคยถูกใช้ในรายการ The Curse of Oak Island

    ปัจจัยที่ส่งผลต่อความลึกของการตรวจจับ ได้แก่ ขนาดของขดลวด (coil), ความถี่ของคลื่น, วัสดุของวัตถุ (ทองแดงและเงินให้สัญญาณแรงกว่าทองคำ), ทิศทางของวัตถุในดิน (แนวราบตรวจจับง่ายกว่าแนวตั้ง), และสภาพของดิน (ดินที่มีแร่เหล็กหรือเกลือจะรบกวนสัญญาณ)

    https://www.slashgear.com/1956784/how-deep-can-a-metal-detector-detect-tutorial/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก VLF ถึง OKM: เมื่อการตรวจจับโลหะกลายเป็นศาสตร์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าคุณเคยดูรายการล่าสมบัติแล้วสงสัยว่า “เครื่องตรวจจับโลหะของฉันจะเจออะไรลึกแค่ไหน?” คำตอบคือ—ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากกว่าที่คิด เครื่องตรวจจับโลหะทั่วไปแบบ VLF (Very Low Frequency) สามารถตรวจจับเหรียญหรือเครื่องประดับที่ฝังอยู่ลึกประมาณ 10–16 นิ้วได้สบาย ๆ โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำในการส่งและรับสัญญาณจากวัตถุที่มีคุณสมบัติเป็นโลหะ แต่ถ้าเป้าหมายคือกล่องโลหะขนาดใหญ่หรือท่อใต้ดิน คุณต้องใช้เครื่องแบบ PI (Pulse Induction) ซึ่งสามารถทะลุผ่านดินที่มีแร่ธาตุสูงได้ และตรวจจับวัตถุขนาดใหญ่ที่ลึกหลายฟุต ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเครื่องระดับมืออาชีพ เช่น Fisher Gemini 3 ที่ใช้ระบบ “two-box” แยก transmitter และ receiver เพื่อเพิ่มความลึกในการตรวจจับได้ถึง 20 ฟุต หรือ Garrett GTI 2500 ที่มี Depth Multiplier สำหรับค้นหาวัตถุขนาดใหญ่โดยไม่สนใจเศษโลหะเล็ก ๆ และถ้าคุณจริงจังกับการค้นหาสมบัติหรือโบราณวัตถุ OKM eXp 6000 จากเยอรมนีคือสุดยอดของวงการ—เป็นเครื่องสแกนพื้นแบบ 3D ที่สามารถตรวจจับวัตถุได้ลึกถึง 82 ฟุต และเคยถูกใช้ในรายการ The Curse of Oak Island ปัจจัยที่ส่งผลต่อความลึกของการตรวจจับ ได้แก่ ขนาดของขดลวด (coil), ความถี่ของคลื่น, วัสดุของวัตถุ (ทองแดงและเงินให้สัญญาณแรงกว่าทองคำ), ทิศทางของวัตถุในดิน (แนวราบตรวจจับง่ายกว่าแนวตั้ง), และสภาพของดิน (ดินที่มีแร่เหล็กหรือเกลือจะรบกวนสัญญาณ) https://www.slashgear.com/1956784/how-deep-can-a-metal-detector-detect-tutorial/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Deep Can A Metal Detector Typically Detect? - SlashGear
    Most consumer metal detectors find coin-sized objects 8–16 inches deep, but pro models can find items several feet down. In some cases, as much as 80 feet.
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด

    Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง

    แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น

    จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก

    การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์

    เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch
    ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode
    Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด
    ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง

    ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple
    ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm)
    ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก)
    การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า

    ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ
    ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก
    มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน
    สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น

    การใช้งานในชีวิตประจำวัน
    ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ
    มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน

    https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์ ✅ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch ➡️ ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode ➡️ Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด ➡️ ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง ✅ ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple ➡️ ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm) ➡️ ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก) ➡️ การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า ✅ ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ ➡️ ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก ➡️ มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน ➡️ สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ✅ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ➡️ ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ ➡️ มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Just How Accurate Is The Heart Rate Monitor In The Apple Watch? - SlashGear
    Apple Watch uses optical sensors to track heart rate with strong accuracy during rest and workouts, though it’s not a medical-grade device.
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากซิมการ์ดถึง eSIM: เมื่อการปลดล็อกมือถือกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าทางเลือก

    หลายคนอาจเคยซื้อสมาร์ทโฟน Android ผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย เช่น Verizon, AT&T หรือ T-Mobile โดยจ่ายราคาถูกลงผ่านสัญญาผ่อนรายเดือน ซึ่งสะดวกและน่าดึงดูด แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ โทรศัพท์เหล่านี้มักจะ “ล็อกเครือข่าย” ทำให้ไม่สามารถใช้ซิมจากเครือข่ายอื่นได้ทันที

    ในทางกลับกัน โทรศัพท์ที่ “ปลดล็อก” แล้วจะสามารถใช้กับซิมใดก็ได้ทั่วโลก ซึ่งเหมาะมากสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกมัดกับสัญญาระยะยาว โดย FCC (คณะกรรมการการสื่อสารแห่งสหรัฐฯ) ยังออกข้อบังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเครื่องเมื่อสัญญาสิ้นสุด

    วิธีเช็กว่าเครื่องของคุณปลดล็อกหรือยังนั้นง่ายมาก—ถ้ายังใช้ซิมการ์ดแบบดั้งเดิม คุณสามารถยืมซิมจากเพื่อนหรือครอบครัวแล้วใส่เข้าไปในเครื่อง หากสามารถโทรออกได้โดยไม่มี error แสดงว่าเครื่องปลดล็อกแล้ว

    อีกวิธีคือเข้าไปที่ Settings > Network > SIMs แล้วลองปิด “Automatically select network” หากเครื่องแสดงเครือข่ายมากกว่าหนึ่ง แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อกแล้ว

    ในยุคที่ eSIM กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ การปลดล็อกเครื่องยิ่งสำคัญ เพราะ eSIM สามารถเปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง และในปี 2025 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google และ Huawei ต่างรองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย

    ความหมายของการปลดล็อกเครื่อง
    โทรศัพท์ที่ปลดล็อกสามารถใช้กับซิมจากทุกเครือข่าย
    เหมาะสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกสัญญาระยะยาว
    FCC บังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเมื่อสัญญาหมด

    วิธีเช็กสถานะการปลดล็อก
    ใส่ซิมจากเครือข่ายอื่นแล้วลองโทรออก หากใช้งานได้แสดงว่าเครื่องปลดล็อก
    เข้า Settings > Network > SIMs แล้วปิด “Automatically select network”
    หากเห็นหลายเครือข่าย แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อก

    บริบทของ eSIM ในปี 2025
    eSIM คือซิมแบบฝังในเครื่องที่เปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code
    สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google, Huawei รองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย
    eSIM ช่วยให้เปลี่ยนเครือข่ายได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง

    เครื่องมือเสริมในการตรวจสอบ
    เว็บไซต์เช่น IMEI.info สามารถตรวจสอบสถานะการปลดล็อกได้
    ผู้ใช้สามารถติดต่อผู้ให้บริการโดยตรงพร้อม IMEI เพื่อขอข้อมูล
    IMEI สามารถดูได้จาก Settings > About Phone > IMEI

    https://www.slashgear.com/1956283/how-tell-android-phone-carrier-unlocked/
    🎙️ เรื่องเล่าจากซิมการ์ดถึง eSIM: เมื่อการปลดล็อกมือถือกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าทางเลือก หลายคนอาจเคยซื้อสมาร์ทโฟน Android ผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย เช่น Verizon, AT&T หรือ T-Mobile โดยจ่ายราคาถูกลงผ่านสัญญาผ่อนรายเดือน ซึ่งสะดวกและน่าดึงดูด แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ โทรศัพท์เหล่านี้มักจะ “ล็อกเครือข่าย” ทำให้ไม่สามารถใช้ซิมจากเครือข่ายอื่นได้ทันที ในทางกลับกัน โทรศัพท์ที่ “ปลดล็อก” แล้วจะสามารถใช้กับซิมใดก็ได้ทั่วโลก ซึ่งเหมาะมากสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกมัดกับสัญญาระยะยาว โดย FCC (คณะกรรมการการสื่อสารแห่งสหรัฐฯ) ยังออกข้อบังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเครื่องเมื่อสัญญาสิ้นสุด วิธีเช็กว่าเครื่องของคุณปลดล็อกหรือยังนั้นง่ายมาก—ถ้ายังใช้ซิมการ์ดแบบดั้งเดิม คุณสามารถยืมซิมจากเพื่อนหรือครอบครัวแล้วใส่เข้าไปในเครื่อง หากสามารถโทรออกได้โดยไม่มี error แสดงว่าเครื่องปลดล็อกแล้ว อีกวิธีคือเข้าไปที่ Settings > Network > SIMs แล้วลองปิด “Automatically select network” หากเครื่องแสดงเครือข่ายมากกว่าหนึ่ง แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อกแล้ว ในยุคที่ eSIM กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ การปลดล็อกเครื่องยิ่งสำคัญ เพราะ eSIM สามารถเปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง และในปี 2025 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google และ Huawei ต่างรองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย ✅ ความหมายของการปลดล็อกเครื่อง ➡️ โทรศัพท์ที่ปลดล็อกสามารถใช้กับซิมจากทุกเครือข่าย ➡️ เหมาะสำหรับนักเดินทางหรือผู้ที่ไม่ต้องการผูกสัญญาระยะยาว ➡️ FCC บังคับให้ผู้ให้บริการต้องช่วยปลดล็อกเมื่อสัญญาหมด ✅ วิธีเช็กสถานะการปลดล็อก ➡️ ใส่ซิมจากเครือข่ายอื่นแล้วลองโทรออก หากใช้งานได้แสดงว่าเครื่องปลดล็อก ➡️ เข้า Settings > Network > SIMs แล้วปิด “Automatically select network” ➡️ หากเห็นหลายเครือข่าย แสดงว่าเครื่องน่าจะปลดล็อก ✅ บริบทของ eSIM ในปี 2025 ➡️ eSIM คือซิมแบบฝังในเครื่องที่เปิดใช้งานผ่านแอปหรือ QR code ➡️ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple, Samsung, Google, Huawei รองรับ eSIM อย่างแพร่หลาย ➡️ eSIM ช่วยให้เปลี่ยนเครือข่ายได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดจริง ✅ เครื่องมือเสริมในการตรวจสอบ ➡️ เว็บไซต์เช่น IMEI.info สามารถตรวจสอบสถานะการปลดล็อกได้ ➡️ ผู้ใช้สามารถติดต่อผู้ให้บริการโดยตรงพร้อม IMEI เพื่อขอข้อมูล ➡️ IMEI สามารถดูได้จาก Settings > About Phone > IMEI https://www.slashgear.com/1956283/how-tell-android-phone-carrier-unlocked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Is Your Android Phone Carrier Unlocked? Here's How To Tell - SlashGear
    To check if your Android phone is unlocked, try swapping in another SIM card or test your network settings. If calls work, your device is unlocked.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Pegasus ถึง P6300: เมื่อ ASUS ไม่ได้แค่สร้างอุปกรณ์ แต่สร้างแรงบันดาลใจ

    ชื่อ “ASUS” มาจากคำว่า “Pegasus” ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ผู้ก่อตั้ง ASUS เลือกตัดคำว่า “Peg” ออกเพื่อให้ชื่อแบรนด์อยู่ต้น ๆ ของลิสต์ตัวอักษรในยุคที่การจัดเรียงตามตัวอักษรมีผลต่อการมองเห็นในตลาดเทคโนโลยีช่วงปี 1980s

    ASUS เริ่มต้นในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ดสองรุ่นคือ Cache386/33 และ 486/25 ก่อนจะเปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยมระดับโลก และช่วยผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต IT

    ในปี 1997 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊ก P6300 ซึ่งกลายเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นไปใช้งานในสถานีอวกาศ Mir แม้สเปกจะล้าสมัยในวันนี้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อเสียงด้านความทนทานและความน่าเชื่อถือ

    จากนั้น ASUS ก็เดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่โน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003, เมนบอร์ดแบบ multi-GPU ในปี 2004, โน้ตบุ๊กที่มีกล้องหมุนได้ในปี 2005, ไปจนถึงการเปิดตัวแบรนด์ Republic of Gamers (ROG) ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กที่บางที่สุดในโลกในปี 2007

    ในปี 2008 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก และในทศวรรษ 2010s ก็ยังคงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การ์ดจอแบบพัดลมคู่, เมนบอร์ดที่ควบคุมผ่านแอปมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดกะทัดรัดที่ทรงพลังที่สุดในโลก

    ความหมายของชื่อ ASUS
    มาจาก Pegasus ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก
    สื่อถึงความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย
    ตัดคำว่า “Peg” เพื่อให้ชื่ออยู่ต้นลิสต์ตัวอักษรในยุค 1980s

    จุดเริ่มต้นของแบรนด์
    ก่อตั้งในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ด Cache386/33 และ 486/25
    เปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยม
    ช่วยผลักดันให้ไต้หวันเป็นศูนย์กลางการผลิต IT

    นวัตกรรมที่โดดเด่น
    P6300 เป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นสถานีอวกาศ Mir
    เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003 และกล้องหมุนได้ในปี 2005
    เปิดตัวแบรนด์ ROG ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กไม้ไผ่ในปี 2008
    สร้างการ์ดจอพัดลมคู่, เมนบอร์ดควบคุมผ่านมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดเล็กแต่ทรงพลัง

    วิสัยทัศน์ของแบรนด์
    ยึดหลัก “sky’s the limit” ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
    เน้นความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และการออกแบบที่ล้ำสมัย
    สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการเล่นเกม

    https://www.slashgear.com/1956274/what-asus-stands-for-tech-company/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pegasus ถึง P6300: เมื่อ ASUS ไม่ได้แค่สร้างอุปกรณ์ แต่สร้างแรงบันดาลใจ ชื่อ “ASUS” มาจากคำว่า “Pegasus” ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ผู้ก่อตั้ง ASUS เลือกตัดคำว่า “Peg” ออกเพื่อให้ชื่อแบรนด์อยู่ต้น ๆ ของลิสต์ตัวอักษรในยุคที่การจัดเรียงตามตัวอักษรมีผลต่อการมองเห็นในตลาดเทคโนโลยีช่วงปี 1980s ASUS เริ่มต้นในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ดสองรุ่นคือ Cache386/33 และ 486/25 ก่อนจะเปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยมระดับโลก และช่วยผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต IT ในปี 1997 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊ก P6300 ซึ่งกลายเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นไปใช้งานในสถานีอวกาศ Mir แม้สเปกจะล้าสมัยในวันนี้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อเสียงด้านความทนทานและความน่าเชื่อถือ จากนั้น ASUS ก็เดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่โน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003, เมนบอร์ดแบบ multi-GPU ในปี 2004, โน้ตบุ๊กที่มีกล้องหมุนได้ในปี 2005, ไปจนถึงการเปิดตัวแบรนด์ Republic of Gamers (ROG) ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กที่บางที่สุดในโลกในปี 2007 ในปี 2008 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก และในทศวรรษ 2010s ก็ยังคงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การ์ดจอแบบพัดลมคู่, เมนบอร์ดที่ควบคุมผ่านแอปมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดกะทัดรัดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ✅ ความหมายของชื่อ ASUS ➡️ มาจาก Pegasus ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก ➡️ สื่อถึงความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ➡️ ตัดคำว่า “Peg” เพื่อให้ชื่ออยู่ต้นลิสต์ตัวอักษรในยุค 1980s ✅ จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ➡️ ก่อตั้งในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ด Cache386/33 และ 486/25 ➡️ เปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยม ➡️ ช่วยผลักดันให้ไต้หวันเป็นศูนย์กลางการผลิต IT ✅ นวัตกรรมที่โดดเด่น ➡️ P6300 เป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นสถานีอวกาศ Mir ➡️ เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003 และกล้องหมุนได้ในปี 2005 ➡️ เปิดตัวแบรนด์ ROG ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กไม้ไผ่ในปี 2008 ➡️ สร้างการ์ดจอพัดลมคู่, เมนบอร์ดควบคุมผ่านมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดเล็กแต่ทรงพลัง ✅ วิสัยทัศน์ของแบรนด์ ➡️ ยึดหลัก “sky’s the limit” ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ➡️ เน้นความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และการออกแบบที่ล้ำสมัย ➡️ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการเล่นเกม https://www.slashgear.com/1956274/what-asus-stands-for-tech-company/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Do You Know What The ASUS Brand Name Actually Stands For? - SlashGear
    The ASUS name is derived from the last four letters of Pegasus, the winged horse of Greek mythology, symbolizing wisdom and speed.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเรือที่จ่ายไฟ: เมื่อ Karpowership เปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉิน

    Powership คือเรือที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยสามารถใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, หรือแม้แต่เชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อผลิตไฟฟ้าและส่งเข้าสู่โครงข่ายบนฝั่งผ่านสายไฟแรงสูง โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบกเลยแม้แต่นิดเดียว

    บริษัทที่เป็นเจ้าของและผู้ให้บริการหลักคือ Karpowership จากตุรกี ซึ่งมีเรือกว่า 50 ลำในปัจจุบัน และกำลังขยายกำลังผลิตจาก 10,000 MW เป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เรือแต่ละลำสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ไปจนถึง 500 MW โดยใช้เทคโนโลยีแบบ plug-and-play ที่สามารถติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน

    เรือรุ่นใหญ่ที่สุดคือ Khan Class เช่น Osman Khan ที่มีความยาวถึง 300 เมตร และบรรทุกเชื้อเพลิงได้ถึง 38,000 ตัน ใช้เครื่องยนต์แบบ dual-fuel ที่สามารถสลับเชื้อเพลิงตามความพร้อมในพื้นที่ เช่น ก๊าซธรรมชาติในบราซิล หรือดีเซลในโมซัมบิก

    นอกจากความเร็วในการติดตั้งแล้ว Powership ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า, ลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเก่า และไม่ต้องใช้พื้นที่บนบก—เหมาะกับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานจำกัด เช่น อินโดนีเซีย, เซเนกัล, เลบานอน, อิรัก และคิวบา

    ล่าสุด Karpowership ยังร่วมมือกับ Seatrium เพื่อพัฒนาเรือรุ่นใหม่ที่ติดตั้งระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อรองรับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดในอนาคต

    ความสามารถของ Powership
    ผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ถึง 500 MW ต่อเรือ
    ใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, เชื้อเพลิงชีวภาพ
    ติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน

    บริษัท Karpowership และการขยายตัว
    มีเรือกว่า 50 ลำ รวมกำลังผลิตกว่า 10,000 MW
    เป้าหมายคือขยายเป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปี
    ให้บริการในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

    เทคโนโลยีและความยืดหยุ่น
    ใช้เครื่องยนต์ dual-fuel ที่ปรับตามเชื้อเพลิงในพื้นที่
    ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบก ลดความเสี่ยงด้าน EPC
    มีระบบ CCUS และเทอร์ไบน์ในเรือรุ่นใหม่เพื่อรองรับพลังงานสะอาด

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    อินโดนีเซียใช้ Powership จ่ายไฟให้ 4 เกาะ รวมถึง 80% ของความต้องการ
    บราซิลและเซเนกัลใช้เรือ LNGTS เพื่อจ่ายไฟจากทะเลสู่ฝั่ง
    โมซัมบิกและอิรักใช้เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย

    https://www.slashgear.com/1955619/what-is-a-power-ship-and-why-do-some-countries-need-them/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเรือที่จ่ายไฟ: เมื่อ Karpowership เปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นแหล่งพลังงานฉุกเฉิน Powership คือเรือที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยสามารถใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, หรือแม้แต่เชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อผลิตไฟฟ้าและส่งเข้าสู่โครงข่ายบนฝั่งผ่านสายไฟแรงสูง โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบกเลยแม้แต่นิดเดียว บริษัทที่เป็นเจ้าของและผู้ให้บริการหลักคือ Karpowership จากตุรกี ซึ่งมีเรือกว่า 50 ลำในปัจจุบัน และกำลังขยายกำลังผลิตจาก 10,000 MW เป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เรือแต่ละลำสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ไปจนถึง 500 MW โดยใช้เทคโนโลยีแบบ plug-and-play ที่สามารถติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน เรือรุ่นใหญ่ที่สุดคือ Khan Class เช่น Osman Khan ที่มีความยาวถึง 300 เมตร และบรรทุกเชื้อเพลิงได้ถึง 38,000 ตัน ใช้เครื่องยนต์แบบ dual-fuel ที่สามารถสลับเชื้อเพลิงตามความพร้อมในพื้นที่ เช่น ก๊าซธรรมชาติในบราซิล หรือดีเซลในโมซัมบิก นอกจากความเร็วในการติดตั้งแล้ว Powership ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า, ลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเก่า และไม่ต้องใช้พื้นที่บนบก—เหมาะกับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานจำกัด เช่น อินโดนีเซีย, เซเนกัล, เลบานอน, อิรัก และคิวบา ล่าสุด Karpowership ยังร่วมมือกับ Seatrium เพื่อพัฒนาเรือรุ่นใหม่ที่ติดตั้งระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อรองรับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดในอนาคต ✅ ความสามารถของ Powership ➡️ ผลิตไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 30 MW ถึง 500 MW ต่อเรือ ➡️ ใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น น้ำมันเตา, ก๊าซธรรมชาติ, เชื้อเพลิงชีวภาพ ➡️ ติดตั้งและเริ่มจ่ายไฟได้ภายใน 30 วัน ✅ บริษัท Karpowership และการขยายตัว ➡️ มีเรือกว่า 50 ลำ รวมกำลังผลิตกว่า 10,000 MW ➡️ เป้าหมายคือขยายเป็น 21,000 MW ภายในไม่กี่ปี ➡️ ให้บริการในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ✅ เทคโนโลยีและความยืดหยุ่น ➡️ ใช้เครื่องยนต์ dual-fuel ที่ปรับตามเชื้อเพลิงในพื้นที่ ➡️ ไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าบนบก ลดความเสี่ยงด้าน EPC ➡️ มีระบบ CCUS และเทอร์ไบน์ในเรือรุ่นใหม่เพื่อรองรับพลังงานสะอาด ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ อินโดนีเซียใช้ Powership จ่ายไฟให้ 4 เกาะ รวมถึง 80% ของความต้องการ ➡️ บราซิลและเซเนกัลใช้เรือ LNGTS เพื่อจ่ายไฟจากทะเลสู่ฝั่ง ➡️ โมซัมบิกและอิรักใช้เพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย https://www.slashgear.com/1955619/what-is-a-power-ship-and-why-do-some-countries-need-them/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is A Powership And Why Do Some Countries Need Them? - SlashGear
    Powerships are essentially floating power stations that can anchor offshore and plug in to produce electricity to supplement the local power grid.
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก OZMO Roller: เมื่อม็อปแนวนอนกลายเป็นอดีต และแนวตั้งคืออนาคตของการทำความสะอาด

    ในโลกของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มาพร้อมฟังก์ชันม็อปพื้น หลายรุ่นใช้แผ่นม็อปหมุนแนวนอนที่อาจแค่ลากคราบไปมาโดยไม่ยกออกจริง ๆ แต่ YEEDI M14 PLUS ได้รับรางวัล SlashGear Innovation Award เพราะพลิกแนวคิดนี้ด้วย OZMO Roller Mopping Technology ที่พัฒนาโดยร่วมมือกับ Tineco

    แทนที่จะหมุนแนวนอน OZMO Roller ใช้ลูกกลิ้งแนวตั้งที่หมุนด้วยความเร็ว 200 RPM พร้อมแรงกด 4,000 Pa และมีหัวฉีดน้ำ 16 จุดที่ยิงน้ำ 200 ครั้งต่อนาที เพื่อขัดคราบฝังแน่นและดูดน้ำสกปรกกลับทันที—ไม่ทิ้งคราบ ไม่ทิ้งกลิ่น และไม่ต้องล้างม็อปด้วยมือ

    ระบบนี้ยังควบคุมด้วย AI ที่ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถเล็งเป้าคราบ, ยืดแขนเข้าไปในมุมแคบ และหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบบแปรง ZeroTangle 3.0 ที่ป้องกันขนพันกัน และแรงดูดสูงถึง 18,000 Pa ที่สามารถดูดฝุ่นและเศษขยะได้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่

    เมื่อทำงานเสร็จ หุ่นยนต์จะกลับไปยัง Omni-Station ที่สามารถล้างม็อปด้วยน้ำร้อน 75°C, เป่าแห้งด้วยลมร้อน 63°C, เทน้ำสกปรกทิ้ง, เติมน้ำสะอาด และดูดฝุ่นออกจากถังเก็บ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องให้เจ้าของบ้านแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว

    เทคโนโลยี OZMO Roller Mopping
    ลูกกลิ้งแนวตั้งหมุนที่ 200 RPM พร้อมแรงกด 4,000 Pa
    หัวฉีดน้ำ 16 จุดยิงน้ำ 200 ครั้งต่อนาทีเพื่อขัดคราบฝังแน่น
    ระบบดูดน้ำสกปรกกลับทันทีเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

    ความสามารถด้านการดูดฝุ่น
    แรงดูดสูงสุด 18,000 Pa สำหรับเศษขยะทุกขนาด
    ระบบ ZeroTangle 3.0 ป้องกันขนพันแปรง
    แปรงหลักแบบ Cyclone และแปรงข้างแบบ ARClean

    ระบบนำทางและการปรับแต่ง
    Tru-Edge 2.0 สำหรับทำความสะอาดขอบและมุม
    AIVI 3D 3.0 สำหรับหลบสิ่งกีดขวางและจำแนกพื้นผิว
    ปรับลำดับการทำงาน เช่น เริ่มจากพรมก่อนพื้นแข็ง

    Omni-Station ที่ดูแลตัวเองได้
    ล้างม็อปด้วยน้ำร้อน 75°C และเป่าแห้งด้วยลมร้อน 63°C
    เทน้ำสกปรกและเติมน้ำสะอาดอัตโนมัติ
    ดูดฝุ่นออกจากถังเก็บโดยไม่ต้องเปิดฝาเอง
    ใช้งานได้นานถึง 150 วันก่อนต้องดูแลเอง

    https://www.slashgear.com/sponsored/1949546/robot-vacuum-roller-mop-innovation-award-yeedi-m14-plus/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก OZMO Roller: เมื่อม็อปแนวนอนกลายเป็นอดีต และแนวตั้งคืออนาคตของการทำความสะอาด ในโลกของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มาพร้อมฟังก์ชันม็อปพื้น หลายรุ่นใช้แผ่นม็อปหมุนแนวนอนที่อาจแค่ลากคราบไปมาโดยไม่ยกออกจริง ๆ แต่ YEEDI M14 PLUS ได้รับรางวัล SlashGear Innovation Award เพราะพลิกแนวคิดนี้ด้วย OZMO Roller Mopping Technology ที่พัฒนาโดยร่วมมือกับ Tineco แทนที่จะหมุนแนวนอน OZMO Roller ใช้ลูกกลิ้งแนวตั้งที่หมุนด้วยความเร็ว 200 RPM พร้อมแรงกด 4,000 Pa และมีหัวฉีดน้ำ 16 จุดที่ยิงน้ำ 200 ครั้งต่อนาที เพื่อขัดคราบฝังแน่นและดูดน้ำสกปรกกลับทันที—ไม่ทิ้งคราบ ไม่ทิ้งกลิ่น และไม่ต้องล้างม็อปด้วยมือ ระบบนี้ยังควบคุมด้วย AI ที่ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถเล็งเป้าคราบ, ยืดแขนเข้าไปในมุมแคบ และหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบบแปรง ZeroTangle 3.0 ที่ป้องกันขนพันกัน และแรงดูดสูงถึง 18,000 Pa ที่สามารถดูดฝุ่นและเศษขยะได้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เมื่อทำงานเสร็จ หุ่นยนต์จะกลับไปยัง Omni-Station ที่สามารถล้างม็อปด้วยน้ำร้อน 75°C, เป่าแห้งด้วยลมร้อน 63°C, เทน้ำสกปรกทิ้ง, เติมน้ำสะอาด และดูดฝุ่นออกจากถังเก็บ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องให้เจ้าของบ้านแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว ✅ เทคโนโลยี OZMO Roller Mopping ➡️ ลูกกลิ้งแนวตั้งหมุนที่ 200 RPM พร้อมแรงกด 4,000 Pa ➡️ หัวฉีดน้ำ 16 จุดยิงน้ำ 200 ครั้งต่อนาทีเพื่อขัดคราบฝังแน่น ➡️ ระบบดูดน้ำสกปรกกลับทันทีเพื่อป้องกันการปนเปื้อน ✅ ความสามารถด้านการดูดฝุ่น ➡️ แรงดูดสูงสุด 18,000 Pa สำหรับเศษขยะทุกขนาด ➡️ ระบบ ZeroTangle 3.0 ป้องกันขนพันแปรง ➡️ แปรงหลักแบบ Cyclone และแปรงข้างแบบ ARClean ✅ ระบบนำทางและการปรับแต่ง ➡️ Tru-Edge 2.0 สำหรับทำความสะอาดขอบและมุม ➡️ AIVI 3D 3.0 สำหรับหลบสิ่งกีดขวางและจำแนกพื้นผิว ➡️ ปรับลำดับการทำงาน เช่น เริ่มจากพรมก่อนพื้นแข็ง ✅ Omni-Station ที่ดูแลตัวเองได้ ➡️ ล้างม็อปด้วยน้ำร้อน 75°C และเป่าแห้งด้วยลมร้อน 63°C ➡️ เทน้ำสกปรกและเติมน้ำสะอาดอัตโนมัติ ➡️ ดูดฝุ่นออกจากถังเก็บโดยไม่ต้องเปิดฝาเอง ➡️ ใช้งานได้นานถึง 150 วันก่อนต้องดูแลเอง https://www.slashgear.com/sponsored/1949546/robot-vacuum-roller-mop-innovation-award-yeedi-m14-plus/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    YEEDI M14 PLUS Earns SlashGear Innovation Award For Its Game-Changing Roller Mop Technology - SlashGear
    Want a better way to keep your floors spotless? Find out what makes the roller mop technology on the YEEDI M14 PLUS robot vacuum so unique.
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากดาวเทียมที่ยังหมุนอยู่: เมื่อการหยุดใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องจ่ายเงินเพื่อไม่ให้หลุดจากระบบ

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ Starlink สามารถ “พักบริการ” ได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายรายเดือนในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ฤดูหนาวที่ไม่มีคนอยู่บ้าน หรือช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปใช้ Starlink Roam แต่ในเดือนกันยายน 2025 Starlink ได้เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่: หากต้องการพักบริการแบบไม่ใช้งานเต็มสปีด จะต้องจ่าย $5 ต่อเดือนเพื่อเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “Standby Mode”

    Standby Mode จะลดความเร็วอินเทอร์เน็ตลงเหลือ 500 Kbps ซึ่งเพียงพอสำหรับการส่งข้อความ, โทรศัพท์ผ่าน Wi-Fi, หรือการสื่อสารฉุกเฉินในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณมือถือ นอกจากนี้ยังคงได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้จานดาวเทียมทำงานได้อย่างราบรื่น

    ผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์ pause จะได้รับอีเมลแจ้งให้เลือกว่าจะเข้าสู่ Standby Mode หรือไม่ โดยต้องตอบรับภายในวันที่ 13 กันยายน 2025 มิฉะนั้น Starlink จะ “ยกเลิกสายบริการที่พักไว้” ซึ่งหมายความว่าอาจต้องสมัครใหม่และเสียค่าธรรมเนียมในการเปิดใช้งานอีกครั้ง

    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับแผน Residential, Roam และ Priority เท่านั้น ส่วนแผน Business, Enterprise และบัญชีที่ได้จากโปรโมชันจะไม่สามารถใช้ Standby Mode ได้

    https://www.slashgear.com/1956244/starlink-standby-mode-how-works-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากดาวเทียมที่ยังหมุนอยู่: เมื่อการหยุดใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องจ่ายเงินเพื่อไม่ให้หลุดจากระบบ ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ Starlink สามารถ “พักบริการ” ได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายรายเดือนในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ฤดูหนาวที่ไม่มีคนอยู่บ้าน หรือช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปใช้ Starlink Roam แต่ในเดือนกันยายน 2025 Starlink ได้เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่: หากต้องการพักบริการแบบไม่ใช้งานเต็มสปีด จะต้องจ่าย $5 ต่อเดือนเพื่อเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “Standby Mode” Standby Mode จะลดความเร็วอินเทอร์เน็ตลงเหลือ 500 Kbps ซึ่งเพียงพอสำหรับการส่งข้อความ, โทรศัพท์ผ่าน Wi-Fi, หรือการสื่อสารฉุกเฉินในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณมือถือ นอกจากนี้ยังคงได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้จานดาวเทียมทำงานได้อย่างราบรื่น ผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์ pause จะได้รับอีเมลแจ้งให้เลือกว่าจะเข้าสู่ Standby Mode หรือไม่ โดยต้องตอบรับภายในวันที่ 13 กันยายน 2025 มิฉะนั้น Starlink จะ “ยกเลิกสายบริการที่พักไว้” ซึ่งหมายความว่าอาจต้องสมัครใหม่และเสียค่าธรรมเนียมในการเปิดใช้งานอีกครั้ง ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับแผน Residential, Roam และ Priority เท่านั้น ส่วนแผน Business, Enterprise และบัญชีที่ได้จากโปรโมชันจะไม่สามารถใช้ Standby Mode ได้ https://www.slashgear.com/1956244/starlink-standby-mode-how-works-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Does Starlink's Standby Mode Work? - SlashGear
    Starlink's new Standby Mode replaces the old Pause feature; it costs $5 monthly and adds an unlimited low-speed data connection.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก PartyBoost: เมื่อปุ่มเล็ก ๆ บน JBL กลายเป็นตัวเชื่อมเสียงให้ล้อมรอบคุณ

    หลายคนอาจเคยเห็นปุ่มรูป ∞ บนลำโพง JBL แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร คำตอบคือ “PartyBoost”—ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ลำโพง JBL หลายตัวสามารถเชื่อมต่อกันแบบไร้สาย และเล่นเพลงพร้อมกันได้สูงสุดถึง 99 ตัวในโหมด Party Mode หรือจับคู่สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode

    ฟีเจอร์นี้เหมาะกับสถานการณ์หลากหลาย เช่น ปาร์ตี้ริมสระน้ำที่วาง Flip 6 ไว้ข้างสระ และ Charge 5 ไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้เพื่อให้เสียงกระจายทั่วพื้นที่โดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่ หรือจะใช้สองตัวในห้องนั่งเล่นเพื่อสร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา

    การใช้งานก็ง่ายมาก: เปิดลำโพง JBL ที่รองรับ PartyBoost อย่างน้อยสองตัว, เชื่อมต่อ Bluetooth กับตัวใดตัวหนึ่ง, เปิดเพลง, แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว จากนั้นใช้แอป JBL Portable เพื่อเลือกโหมดที่ต้องการ

    ฟีเจอร์ PartyBoost บนลำโพง JBL
    เชื่อมต่อลำโพงได้สูงสุด 99 ตัวในโหมด Party Mode
    ใช้สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode
    ปุ่มอินฟินิตี้คือตัวเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้

    การใช้งาน PartyBoost
    เปิดลำโพงที่รองรับ PartyBoost เช่น Flip 5/6, Charge 5, Xtreme 3
    เชื่อมต่อ Bluetooth กับลำโพงตัวแรก
    กดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว แล้วใช้แอป JBL Portable เลือกโหมด

    ประโยชน์ของ PartyBoost
    ขยายพื้นที่เสียงโดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่
    สร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา
    เหมาะกับปาร์ตี้กลางแจ้งหรือการใช้งานในบ้าน

    ความสามารถของลำโพง JBL ที่รองรับ
    ทนทานต่อฝุ่นและน้ำ เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง
    ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย
    เสียงคุณภาพดีเมื่อใช้งานเดี่ยว และยอดเยี่ยมเมื่อเชื่อมต่อหลายตัว

    https://www.slashgear.com/1955729/what-does-infinity-button-do-jbl-speaker/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก PartyBoost: เมื่อปุ่มเล็ก ๆ บน JBL กลายเป็นตัวเชื่อมเสียงให้ล้อมรอบคุณ หลายคนอาจเคยเห็นปุ่มรูป ∞ บนลำโพง JBL แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร คำตอบคือ “PartyBoost”—ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ลำโพง JBL หลายตัวสามารถเชื่อมต่อกันแบบไร้สาย และเล่นเพลงพร้อมกันได้สูงสุดถึง 99 ตัวในโหมด Party Mode หรือจับคู่สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode ฟีเจอร์นี้เหมาะกับสถานการณ์หลากหลาย เช่น ปาร์ตี้ริมสระน้ำที่วาง Flip 6 ไว้ข้างสระ และ Charge 5 ไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้เพื่อให้เสียงกระจายทั่วพื้นที่โดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่ หรือจะใช้สองตัวในห้องนั่งเล่นเพื่อสร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา การใช้งานก็ง่ายมาก: เปิดลำโพง JBL ที่รองรับ PartyBoost อย่างน้อยสองตัว, เชื่อมต่อ Bluetooth กับตัวใดตัวหนึ่ง, เปิดเพลง, แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว จากนั้นใช้แอป JBL Portable เพื่อเลือกโหมดที่ต้องการ ✅ ฟีเจอร์ PartyBoost บนลำโพง JBL ➡️ เชื่อมต่อลำโพงได้สูงสุด 99 ตัวในโหมด Party Mode ➡️ ใช้สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode ➡️ ปุ่มอินฟินิตี้คือตัวเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ✅ การใช้งาน PartyBoost ➡️ เปิดลำโพงที่รองรับ PartyBoost เช่น Flip 5/6, Charge 5, Xtreme 3 ➡️ เชื่อมต่อ Bluetooth กับลำโพงตัวแรก ➡️ กดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว แล้วใช้แอป JBL Portable เลือกโหมด ✅ ประโยชน์ของ PartyBoost ➡️ ขยายพื้นที่เสียงโดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่ ➡️ สร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา ➡️ เหมาะกับปาร์ตี้กลางแจ้งหรือการใช้งานในบ้าน ✅ ความสามารถของลำโพง JBL ที่รองรับ ➡️ ทนทานต่อฝุ่นและน้ำ เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง ➡️ ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย ➡️ เสียงคุณภาพดีเมื่อใช้งานเดี่ยว และยอดเยี่ยมเมื่อเชื่อมต่อหลายตัว https://www.slashgear.com/1955729/what-does-infinity-button-do-jbl-speaker/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does The Infinity Button Do On A JBL Speaker? - SlashGear
    The infinity (PartyBoost) button on JBL speakers links upto 99 compatible units into a synchronized “party mode,” streaming the same audio across all devices.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Safe Mode: เมื่อ PS5 เปิดติดแต่ไม่แสดงภาพ และวิธีแก้ที่ไม่ต้องส่งซ่อม

    ในช่วงที่ราคาของ PS5 พุ่งสูงขึ้น ผู้ใช้บางคนกลับต้องเจอกับปัญหาที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่า—เครื่องเปิดติดแต่หน้าจอขึ้นเป็นสีดำ ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง ไม่มีอะไรเลย ซึ่งอาจดูเหมือนว่าเครื่องเสีย แต่จริง ๆ แล้วมีหลายสาเหตุที่สามารถแก้ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งช่าง

    สาเหตุหลักที่พบได้บ่อยคือสาย HDMI ที่เสียหรือเสียบไม่แน่น รวมถึงพอร์ต HDMI ที่สกปรกหรือชำรุดทั้งฝั่ง PS5 และทีวี นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากการตั้งค่าภาพที่ไม่ตรงกัน เช่น หากเคยใช้กับจอที่รองรับ HDR หรือความละเอียดสูง แล้วเปลี่ยนมาใช้จอธรรมดา เครื่องอาจพยายามส่งสัญญาณที่จอใหม่ไม่รองรับ

    อีกหนึ่งตัวการคือโหมดพักเครื่อง (Rest Mode) ซึ่งบางครั้งทำให้ระบบไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ และเกิดอาการค้างจนภาพไม่ขึ้น รวมถึงกรณีที่ข้อมูลระบบเสียหาย หรือเครื่องร้อนเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน

    ข่าวดีคือ ปัญหาส่วนใหญ่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น ตรวจสอบสาย HDMI, เปลี่ยนพอร์ต, รีสตาร์ทเครื่อง หรือเข้าสู่ Safe Mode เพื่อปรับค่าภาพใหม่, รีบิลด์ฐานข้อมูล หรือแม้แต่รีเซ็ตระบบ (ซึ่งควรใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย)

    สาเหตุทั่วไปของ PS5 Black Screen
    สาย HDMI เสียหรือเสียบไม่แน่น
    พอร์ต HDMI สกปรกหรือชำรุด
    การตั้งค่าภาพไม่ตรงกับจอที่ใช้งาน
    ระบบค้างจาก Rest Mode หรือข้อมูลเสียหาย

    วิธีแก้เบื้องต้นที่ควรลองก่อนส่งซ่อม
    ตรวจสอบทีวีว่าเปิดอยู่และตั้งค่าพอร์ตถูกต้อง
    เปลี่ยนสาย HDMI หรือพอร์ตที่ใช้งาน
    รีสตาร์ทเครื่องโดยกดปุ่ม Power จนได้ยินสองเสียงบี๊บ
    ถอดปลั๊กแล้วรอ 20 นาที ก่อนเสียบกลับและเปิดใหม่

    การใช้ Safe Mode เพื่อแก้ปัญหา
    เข้าสู่ Safe Mode โดยกดปุ่ม Power จนได้ยินเสียงบี๊บสองครั้ง
    ใช้เมนู Change Video Output หรือ Change Resolution เพื่อแก้ปัญหาภาพ
    ใช้ Rebuild Database เพื่อแก้ข้อมูลเสียหาย
    หากยังไม่หาย อาจต้อง Reset หรือ Reinstall System Software

    ทางเลือกเมื่อวิธีเบื้องต้นไม่ได้ผล
    รีเซ็ตระบบจะลบเกมและข้อมูลทั้งหมด—ควรสำรองก่อน
    สามารถอัปเดตระบบผ่าน USB หากไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
    หากยังไม่หาย อาจเกิดจากปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น HDMI chip หรือ power supply

    https://www.slashgear.com/1955501/how-to-fix-ps5-black-screen-issue-what-causes-problem/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Safe Mode: เมื่อ PS5 เปิดติดแต่ไม่แสดงภาพ และวิธีแก้ที่ไม่ต้องส่งซ่อม ในช่วงที่ราคาของ PS5 พุ่งสูงขึ้น ผู้ใช้บางคนกลับต้องเจอกับปัญหาที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่า—เครื่องเปิดติดแต่หน้าจอขึ้นเป็นสีดำ ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง ไม่มีอะไรเลย ซึ่งอาจดูเหมือนว่าเครื่องเสีย แต่จริง ๆ แล้วมีหลายสาเหตุที่สามารถแก้ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งช่าง สาเหตุหลักที่พบได้บ่อยคือสาย HDMI ที่เสียหรือเสียบไม่แน่น รวมถึงพอร์ต HDMI ที่สกปรกหรือชำรุดทั้งฝั่ง PS5 และทีวี นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากการตั้งค่าภาพที่ไม่ตรงกัน เช่น หากเคยใช้กับจอที่รองรับ HDR หรือความละเอียดสูง แล้วเปลี่ยนมาใช้จอธรรมดา เครื่องอาจพยายามส่งสัญญาณที่จอใหม่ไม่รองรับ อีกหนึ่งตัวการคือโหมดพักเครื่อง (Rest Mode) ซึ่งบางครั้งทำให้ระบบไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ และเกิดอาการค้างจนภาพไม่ขึ้น รวมถึงกรณีที่ข้อมูลระบบเสียหาย หรือเครื่องร้อนเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน ข่าวดีคือ ปัญหาส่วนใหญ่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น ตรวจสอบสาย HDMI, เปลี่ยนพอร์ต, รีสตาร์ทเครื่อง หรือเข้าสู่ Safe Mode เพื่อปรับค่าภาพใหม่, รีบิลด์ฐานข้อมูล หรือแม้แต่รีเซ็ตระบบ (ซึ่งควรใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย) ✅ สาเหตุทั่วไปของ PS5 Black Screen ➡️ สาย HDMI เสียหรือเสียบไม่แน่น ➡️ พอร์ต HDMI สกปรกหรือชำรุด ➡️ การตั้งค่าภาพไม่ตรงกับจอที่ใช้งาน ➡️ ระบบค้างจาก Rest Mode หรือข้อมูลเสียหาย ✅ วิธีแก้เบื้องต้นที่ควรลองก่อนส่งซ่อม ➡️ ตรวจสอบทีวีว่าเปิดอยู่และตั้งค่าพอร์ตถูกต้อง ➡️ เปลี่ยนสาย HDMI หรือพอร์ตที่ใช้งาน ➡️ รีสตาร์ทเครื่องโดยกดปุ่ม Power จนได้ยินสองเสียงบี๊บ ➡️ ถอดปลั๊กแล้วรอ 20 นาที ก่อนเสียบกลับและเปิดใหม่ ✅ การใช้ Safe Mode เพื่อแก้ปัญหา ➡️ เข้าสู่ Safe Mode โดยกดปุ่ม Power จนได้ยินเสียงบี๊บสองครั้ง ➡️ ใช้เมนู Change Video Output หรือ Change Resolution เพื่อแก้ปัญหาภาพ ➡️ ใช้ Rebuild Database เพื่อแก้ข้อมูลเสียหาย ➡️ หากยังไม่หาย อาจต้อง Reset หรือ Reinstall System Software ✅ ทางเลือกเมื่อวิธีเบื้องต้นไม่ได้ผล ➡️ รีเซ็ตระบบจะลบเกมและข้อมูลทั้งหมด—ควรสำรองก่อน ➡️ สามารถอัปเดตระบบผ่าน USB หากไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ➡️ หากยังไม่หาย อาจเกิดจากปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น HDMI chip หรือ power supply https://www.slashgear.com/1955501/how-to-fix-ps5-black-screen-issue-what-causes-problem/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Fix The PS5 Black Screen Issue (And What's Causing It, Explained) - SlashGear
    If your PS5 powers on but the screen stays black, check HDMI connections, Safe Mode settings, and software fixes to restore the display.
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก 5 แอป Android ที่ควรค่าแก่การรู้จัก: เมื่อฟีเจอร์ลับกลายเป็นพลังเสริมของมือถือ

    ในบทความจาก SlashGear ได้คัดเลือก 5 แอป Android ที่แม้จะไม่ติดอันดับยอดนิยมใน Play Store แต่กลับมีฟีเจอร์ที่ทรงพลังและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้ลึกขึ้น ทั้งในด้าน gesture, automation, image processing และการปรับแต่งปุ่มฮาร์ดแวร์ โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องรูทเครื่อง

    แอปแรกคือ Tap, Tap ซึ่งเป็นพอร์ตของฟีเจอร์ Quick Tap จาก Pixel ที่ให้คุณแตะด้านหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิดไฟฉาย, ถ่ายภาพหน้าจอ หรือเปิดแอป โดยรองรับทั้ง double-tap และ triple-tap พร้อมระบบ “gates” ที่ช่วยป้องกันการทำงานผิดจังหวะ เช่น ไม่ให้ถ่ายภาพหน้าจอขณะเปิดแอปธนาคาร

    แอปที่สองคือ ImageToolbox ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการภาพแบบครบวงจร รองรับการ resize, convert, ลบข้อมูล EXIF, ใส่ลายน้ำ, OCR, สร้าง PDF, สแกน QR และแม้แต่สร้าง ZIP จากภาพหลายไฟล์—ทั้งหมดนี้ทำได้บนมือถือโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์

    แอปที่สามคือ Key Mapper ซึ่งช่วยให้คุณ remap ปุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น ปุ่มเพิ่มเสียงให้กลายเป็นปุ่มเปิดไฟฉาย หรือเปิดแอปเฉพาะเมื่ออยู่ใน lock screen โดยรองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้าง พร้อมระบบ constraint ที่ช่วยจำกัดการทำงานในสถานการณ์เฉพาะ

    แอปที่สี่คือ MacroDroid ซึ่งเป็นแอป automation ที่ให้คุณสร้าง macro เพื่อให้มือถือทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไข เช่น เล่นเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถ หรือลบภาพหน้าจอทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

    แอปสุดท้ายคือ Action Notch ที่เปลี่ยน notch หรือกล้องหน้าให้กลายเป็นปุ่มเสมือน รองรับ gesture แบบแตะครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง และ swipe เพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น scroll to top, เปิด power menu หรือเรียก automation จาก MacroDroid

    Tap, Tap: แตะหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน
    รองรับกว่า 50 actions เช่น เปิดแอป, ถ่ายภาพหน้าจอ, เปิดไฟฉาย
    มีระบบ “gates” เพื่อป้องกันการทำงานผิดจังหวะ
    ต้อง sideload จาก GitHub เพราะไม่มีใน Play Store

    ImageToolbox: จัดการภาพแบบครบวงจร
    รองรับการ resize, convert, ลบ EXIF, watermark, OCR
    มีเครื่องมือสร้าง PDF, สแกน QR, สร้าง ZIP และ GIF
    ใช้งานง่ายผ่าน tab แยกหมวดหมู่ เช่น Edit, Create, Tools

    Key Mapper: รีแมปปุ่มฮาร์ดแวร์
    รองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง
    สามารถตั้ง constraint เช่น ทำงานเฉพาะในแอปหรือ lock screen
    ต้องปลดล็อกเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อ remap ปุ่มด้านข้าง

    MacroDroid: สร้าง automation แบบไม่ต้องเขียนโค้ด
    macro ประกอบด้วย trigger, action และ constraint
    รองรับ automation เช่น เปิดเพลง, ลบไฟล์, ส่งข้อความ
    มี community ให้แชร์ template และ macro ที่สร้างไว้

    Action Notch: เปลี่ยน notch เป็นปุ่มเสมือน
    รองรับ gesture แบบแตะ, กดค้าง, swipe ซ้าย/ขวา
    เรียกใช้งานเช่น scroll to top, เปิด power menu, trigger automation
    ปรับขนาด interactive zone ได้ เช่น ขยายไปถึง status bar

    https://www.slashgear.com/1952387/android-apps-that-deserve-more-attention/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 5 แอป Android ที่ควรค่าแก่การรู้จัก: เมื่อฟีเจอร์ลับกลายเป็นพลังเสริมของมือถือ ในบทความจาก SlashGear ได้คัดเลือก 5 แอป Android ที่แม้จะไม่ติดอันดับยอดนิยมใน Play Store แต่กลับมีฟีเจอร์ที่ทรงพลังและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้ลึกขึ้น ทั้งในด้าน gesture, automation, image processing และการปรับแต่งปุ่มฮาร์ดแวร์ โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องรูทเครื่อง แอปแรกคือ Tap, Tap ซึ่งเป็นพอร์ตของฟีเจอร์ Quick Tap จาก Pixel ที่ให้คุณแตะด้านหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิดไฟฉาย, ถ่ายภาพหน้าจอ หรือเปิดแอป โดยรองรับทั้ง double-tap และ triple-tap พร้อมระบบ “gates” ที่ช่วยป้องกันการทำงานผิดจังหวะ เช่น ไม่ให้ถ่ายภาพหน้าจอขณะเปิดแอปธนาคาร แอปที่สองคือ ImageToolbox ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการภาพแบบครบวงจร รองรับการ resize, convert, ลบข้อมูล EXIF, ใส่ลายน้ำ, OCR, สร้าง PDF, สแกน QR และแม้แต่สร้าง ZIP จากภาพหลายไฟล์—ทั้งหมดนี้ทำได้บนมือถือโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แอปที่สามคือ Key Mapper ซึ่งช่วยให้คุณ remap ปุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น ปุ่มเพิ่มเสียงให้กลายเป็นปุ่มเปิดไฟฉาย หรือเปิดแอปเฉพาะเมื่ออยู่ใน lock screen โดยรองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้าง พร้อมระบบ constraint ที่ช่วยจำกัดการทำงานในสถานการณ์เฉพาะ แอปที่สี่คือ MacroDroid ซึ่งเป็นแอป automation ที่ให้คุณสร้าง macro เพื่อให้มือถือทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไข เช่น เล่นเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถ หรือลบภาพหน้าจอทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แอปสุดท้ายคือ Action Notch ที่เปลี่ยน notch หรือกล้องหน้าให้กลายเป็นปุ่มเสมือน รองรับ gesture แบบแตะครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง และ swipe เพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น scroll to top, เปิด power menu หรือเรียก automation จาก MacroDroid ✅ Tap, Tap: แตะหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน ➡️ รองรับกว่า 50 actions เช่น เปิดแอป, ถ่ายภาพหน้าจอ, เปิดไฟฉาย ➡️ มีระบบ “gates” เพื่อป้องกันการทำงานผิดจังหวะ ➡️ ต้อง sideload จาก GitHub เพราะไม่มีใน Play Store ✅ ImageToolbox: จัดการภาพแบบครบวงจร ➡️ รองรับการ resize, convert, ลบ EXIF, watermark, OCR ➡️ มีเครื่องมือสร้าง PDF, สแกน QR, สร้าง ZIP และ GIF ➡️ ใช้งานง่ายผ่าน tab แยกหมวดหมู่ เช่น Edit, Create, Tools ✅ Key Mapper: รีแมปปุ่มฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง ➡️ สามารถตั้ง constraint เช่น ทำงานเฉพาะในแอปหรือ lock screen ➡️ ต้องปลดล็อกเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อ remap ปุ่มด้านข้าง ✅ MacroDroid: สร้าง automation แบบไม่ต้องเขียนโค้ด ➡️ macro ประกอบด้วย trigger, action และ constraint ➡️ รองรับ automation เช่น เปิดเพลง, ลบไฟล์, ส่งข้อความ ➡️ มี community ให้แชร์ template และ macro ที่สร้างไว้ ✅ Action Notch: เปลี่ยน notch เป็นปุ่มเสมือน ➡️ รองรับ gesture แบบแตะ, กดค้าง, swipe ซ้าย/ขวา ➡️ เรียกใช้งานเช่น scroll to top, เปิด power menu, trigger automation ➡️ ปรับขนาด interactive zone ได้ เช่น ขยายไปถึง status bar https://www.slashgear.com/1952387/android-apps-that-deserve-more-attention/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 More Great Android Apps Not Enough People Know About - SlashGear
    Not every Android app worth installing is popular — these ones will add convenience and utility to your smartphone experience and deserve to be more well known.
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Sanity: เมื่อ AI กลายเป็นทีมงานที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า แต่ยังช่วยให้เราส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า

    Vincent Quigley วิศวกรอาวุโสจาก Sanity ได้แชร์ประสบการณ์ 6 สัปดาห์ในการใช้ Claude Code ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะใน Zed editor ที่รองรับ Claude แบบ native แล้ว

    เขาเปรียบ Claude Code ว่าเป็น “นักพัฒนาฝึกหัดที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า” และนั่นคือเหตุผลที่ workflow ของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง: ไม่ใช่การรอให้ AI สร้างโค้ดที่สมบูรณ์ในครั้งเดียว แต่คือการทำงานร่วมกันแบบ iterative ที่เริ่มจาก “95% ขยะ” แล้วค่อย ๆ refine จนกลายเป็นโค้ดที่ใช้ได้จริง

    Vincent ใช้ Claude.md เป็นไฟล์บริบทที่รวม architecture, pattern, gotchas และลิงก์เอกสาร เพื่อให้ Claude เริ่มต้นจาก attempt ที่สองแทนที่จะต้องอธิบายใหม่ทุกครั้ง และยังเชื่อม Claude เข้ากับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only เพื่อให้ AI เข้าใจระบบได้ลึกขึ้น

    เขายังใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา และใช้ multibuffer ใน Zed เพื่อ review โค้ดแบบ granular—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk พร้อม task list ที่แสดงใน sidebar แบบ real-time

    แม้ Claude จะช่วย review โค้ดได้ดี แต่ Vincent ย้ำว่า “วิศวกรต้องรับผิดชอบโค้ดที่ตัวเองส่ง” ไม่ว่าจะเขียนเองหรือ AI เขียนให้ และการไม่มี emotional attachment กับโค้ดที่ไม่ได้พิมพ์เอง กลับทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น

    วิธีทำงานร่วมกับ Claude Code
    ใช้ Claude.md เพื่อสร้างบริบทให้ AI เข้าใจระบบ
    เชื่อม Claude กับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only
    ใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา

    การทำงานใน Zed ผ่าน ACP
    Claude Code ทำงานแบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP)
    รองรับ multibuffer review, syntax highlight, และ task list ใน sidebar
    สามารถใช้ slash command เพื่อสร้าง workflow แบบกำหนดเอง

    กระบวนการ iterative ที่ใช้ Claude
    Attempt แรก: 95% ขยะ แต่ช่วยให้เข้าใจระบบ
    Attempt สอง: เริ่มมีโครงสร้างที่ใช้ได้
    Attempt สาม: ได้โค้ดที่สามารถนำไป iterate ต่อได้จริง

    การ review โค้ดที่ AI สร้าง
    Claude ช่วยตรวจ test coverage, bug และเสนอ improvement
    วิศวกรต้อง review และรับผิดชอบโค้ดที่ส่ง
    ไม่มี emotional attachment ทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบมากขึ้น

    ผลลัพธ์และต้นทุน
    ส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า
    ลดเวลาทำ boilerplate และงานซ้ำ
    ค่าใช้จ่ายประมาณ $1000–1500 ต่อเดือนต่อวิศวกรที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ

    https://www.sanity.io/blog/first-attempt-will-be-95-garbage
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Sanity: เมื่อ AI กลายเป็นทีมงานที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า แต่ยังช่วยให้เราส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า Vincent Quigley วิศวกรอาวุโสจาก Sanity ได้แชร์ประสบการณ์ 6 สัปดาห์ในการใช้ Claude Code ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะใน Zed editor ที่รองรับ Claude แบบ native แล้ว เขาเปรียบ Claude Code ว่าเป็น “นักพัฒนาฝึกหัดที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า” และนั่นคือเหตุผลที่ workflow ของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง: ไม่ใช่การรอให้ AI สร้างโค้ดที่สมบูรณ์ในครั้งเดียว แต่คือการทำงานร่วมกันแบบ iterative ที่เริ่มจาก “95% ขยะ” แล้วค่อย ๆ refine จนกลายเป็นโค้ดที่ใช้ได้จริง Vincent ใช้ Claude.md เป็นไฟล์บริบทที่รวม architecture, pattern, gotchas และลิงก์เอกสาร เพื่อให้ Claude เริ่มต้นจาก attempt ที่สองแทนที่จะต้องอธิบายใหม่ทุกครั้ง และยังเชื่อม Claude เข้ากับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only เพื่อให้ AI เข้าใจระบบได้ลึกขึ้น เขายังใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา และใช้ multibuffer ใน Zed เพื่อ review โค้ดแบบ granular—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk พร้อม task list ที่แสดงใน sidebar แบบ real-time แม้ Claude จะช่วย review โค้ดได้ดี แต่ Vincent ย้ำว่า “วิศวกรต้องรับผิดชอบโค้ดที่ตัวเองส่ง” ไม่ว่าจะเขียนเองหรือ AI เขียนให้ และการไม่มี emotional attachment กับโค้ดที่ไม่ได้พิมพ์เอง กลับทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น ✅ วิธีทำงานร่วมกับ Claude Code ➡️ ใช้ Claude.md เพื่อสร้างบริบทให้ AI เข้าใจระบบ ➡️ เชื่อม Claude กับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only ➡️ ใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา ✅ การทำงานใน Zed ผ่าน ACP ➡️ Claude Code ทำงานแบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ➡️ รองรับ multibuffer review, syntax highlight, และ task list ใน sidebar ➡️ สามารถใช้ slash command เพื่อสร้าง workflow แบบกำหนดเอง ✅ กระบวนการ iterative ที่ใช้ Claude ➡️ Attempt แรก: 95% ขยะ แต่ช่วยให้เข้าใจระบบ ➡️ Attempt สอง: เริ่มมีโครงสร้างที่ใช้ได้ ➡️ Attempt สาม: ได้โค้ดที่สามารถนำไป iterate ต่อได้จริง ✅ การ review โค้ดที่ AI สร้าง ➡️ Claude ช่วยตรวจ test coverage, bug และเสนอ improvement ➡️ วิศวกรต้อง review และรับผิดชอบโค้ดที่ส่ง ➡️ ไม่มี emotional attachment ทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบมากขึ้น ✅ ผลลัพธ์และต้นทุน ➡️ ส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า ➡️ ลดเวลาทำ boilerplate และงานซ้ำ ➡️ ค่าใช้จ่ายประมาณ $1000–1500 ต่อเดือนต่อวิศวกรที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ https://www.sanity.io/blog/first-attempt-will-be-95-garbage
    WWW.SANITY.IO
    First attempt will be 95% garbage: A staff engineer's 6-week journey with Claude Code | Sanity
    This started as an internal Sanity workshop where I demoed how I actually use AI. Spoiler: it's running multiple agents like a small team with daily amnesia.
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
More Results