Happy and Healthy Elderly.
สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันดูแลสุขภาพของ Gen X
  • 1 คนติดตามเรื่องนี้
  • 72 โพสต์
  • 44 รูปภาพ
  • 0 วิดีโอ
  • 0 รีวิว
  • Lifestyle
  • Happy and Healthy Elderly
  • 0656496425
  • Bangkok
อัปเดตล่าสุด
  • ⚕️🚶‍♀️🚶 การเดินรักษาขา
    ของคุณให้แข็งแรง:
    บทความที่ต้องอ่าน *

    * ▪️เมื่อเราแก่ตัวลงเท้าของเราจะต้องแข็งแรงอยู่เสมอ *

    * ▪️หากไม่ขยับขาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ความแข็งแรงของขาจะลดลง 10 ปี *

    * ▪️หากกล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแรง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานแม้ว่าเราจะออกกำลังกายฟื้นฟูในภายหลังก็ตาม *

    * ▪️ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่นการเดินจึงสำคัญมาก *

    * ▪️น้ำหนักตัวทั้งหมด/การลงน้ำหนักอยู่ที่ขา *
    * ▪️เท้าเป็น * เสาหลัก * ในการรับน้ำหนักของร่างกายมนุษย์

    * ▪️เป็นที่น่าสนใจว่า 50% ของกระดูกมนุษย์ และกล้ามเนื้อ 50% อยู่ที่ขาทั้งสองข้าง *

    * ▪️ข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแรงที่สุดของร่างกายมนุษย์ก็อยู่ที่ขาด้วย *

    * ▪️เท้าเป็น * ศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย *

    * ▪️ขาทั้งสองข้างมีเส้นประสาท 50% ของร่างกายมนุษย์ 50% ของเส้นเลือดและ 50% ของเลือดที่ไหลผ่าน *

    * ▪️เป็นเครือข่ายการไหลเวียนโลหิตขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับร่างกาย *

    * ▪️เฉพาะเมื่อเท้าแข็งแรงแล้ว * กระแสเลือด * * จะไหลเวียนได้อย่างราบรื่นดังนั้นคนที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรงจะมี * หัวใจที่แข็งแรงอย่างแน่นอน *

    * ▪️อายุเริ่มจากเท้าขึ้นไป *

    * ▪️เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความแม่นยำและความเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับขาจะลดลง _ ไม่เหมือนตอนที่คนเรายังเด็ก *

    * ▪️การออกกำลังขาไม่มีสายเกินไป แม้อายุ 60 ปีขึ้นไป *

    * ▪️เพียงแค่ทำให้ขาแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ก็สามารถชลอการแก่ได้ *

    ▪️กรุณาเดิน * อย่างน้อย 30-40 นาที * * ทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าขาของคุณได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอและเพื่อให้แน่ใจว่ากล้ามเนื้อขาของคุณยังคงแข็งแรง *

    * ▪️โปรดแบ่งปันกับเพื่อนผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวของคุณ *
    ⚕️🚶‍♀️🚶 การเดินรักษาขา ของคุณให้แข็งแรง: บทความที่ต้องอ่าน * * ▪️เมื่อเราแก่ตัวลงเท้าของเราจะต้องแข็งแรงอยู่เสมอ * * ▪️หากไม่ขยับขาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ความแข็งแรงของขาจะลดลง 10 ปี * * ▪️หากกล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแรง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานแม้ว่าเราจะออกกำลังกายฟื้นฟูในภายหลังก็ตาม * * ▪️ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่นการเดินจึงสำคัญมาก * * ▪️น้ำหนักตัวทั้งหมด/การลงน้ำหนักอยู่ที่ขา * * ▪️เท้าเป็น * เสาหลัก * ในการรับน้ำหนักของร่างกายมนุษย์ * ▪️เป็นที่น่าสนใจว่า 50% ของกระดูกมนุษย์ และกล้ามเนื้อ 50% อยู่ที่ขาทั้งสองข้าง * * ▪️ข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแรงที่สุดของร่างกายมนุษย์ก็อยู่ที่ขาด้วย * * ▪️เท้าเป็น * ศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย * * ▪️ขาทั้งสองข้างมีเส้นประสาท 50% ของร่างกายมนุษย์ 50% ของเส้นเลือดและ 50% ของเลือดที่ไหลผ่าน * * ▪️เป็นเครือข่ายการไหลเวียนโลหิตขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับร่างกาย * * ▪️เฉพาะเมื่อเท้าแข็งแรงแล้ว * กระแสเลือด * * จะไหลเวียนได้อย่างราบรื่นดังนั้นคนที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรงจะมี * หัวใจที่แข็งแรงอย่างแน่นอน * * ▪️อายุเริ่มจากเท้าขึ้นไป * * ▪️เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความแม่นยำและความเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับขาจะลดลง _ ไม่เหมือนตอนที่คนเรายังเด็ก * * ▪️การออกกำลังขาไม่มีสายเกินไป แม้อายุ 60 ปีขึ้นไป * * ▪️เพียงแค่ทำให้ขาแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ก็สามารถชลอการแก่ได้ * ▪️กรุณาเดิน * อย่างน้อย 30-40 นาที * * ทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าขาของคุณได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอและเพื่อให้แน่ใจว่ากล้ามเนื้อขาของคุณยังคงแข็งแรง * * ▪️โปรดแบ่งปันกับเพื่อนผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวของคุณ *
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❌️😡⚕️ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน
    โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช

    หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ

    "Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

    ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

    แฝดที่ดี

    เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ

    1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

    2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ

    3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

    4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

    5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ

    แฝดที่ร้าย

    แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

    1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

    2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

    3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

    4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

    5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

    ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

    เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

    ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ
    ❌️😡⚕️ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ "Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ แฝดที่ดี เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ 1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย 2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ 3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ 4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ 5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ แฝดที่ร้าย แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ 1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ 2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน 3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้ 4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย 5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌#ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานในลักษณะที่ซ้ำ ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป หรือมีท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ก้มคอ พิงพนัก พิมพ์คีย์บอร์ดนาน ๆ ส่งผลให้เกิดความตึงของกล้ามเนื้อ และเส้นประสาท โดยเฉพาะที่บริเวณคอ บ่า ไหล่ หลัง และข้อมือ

    อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
    • ปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ หลัง
    • ชา ปวดร้าวลงแขนหรือมือ (อาจเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ)
    • ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึง
    • อ่อนแรงในแขนหรือมือ
    • อาการนอนไม่หลับจากความไม่สบายตัว

    สาเหตุหลัก:
    • นั่งทำงานท่าเดิมนานเกินไป
    • ท่าทางการนั่งไม่ถูกหลัก (เช่น หลังค่อม คอเอียง)
    • โต๊ะ เก้าอี้ หรือหน้าจอคอมไม่เหมาะกับสรีระ
    • ขาดการยืดเหยียด หรือพักระหว่างการทำงาน

    ✅️ แนวทางการป้องกันและบรรเทา:
    • ลุกยืดเหยียดทุก 30-60 นาที
    • ปรับท่านั่งและอุปกรณ์ให้เหมาะสม
    • ออกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อและเสริมความแข็งแรง
    • การทำกายภาพบำบัดหรือนวดผ่อนคลายเฉพาะจุด

    หากมีอาการต่อเนื่อง หรือรุนแรง ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อกระดูกและเส้นประสาท.
    📌#ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานในลักษณะที่ซ้ำ ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป หรือมีท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ก้มคอ พิงพนัก พิมพ์คีย์บอร์ดนาน ๆ ส่งผลให้เกิดความตึงของกล้ามเนื้อ และเส้นประสาท โดยเฉพาะที่บริเวณคอ บ่า ไหล่ หลัง และข้อมือ อาการที่พบบ่อย ได้แก่: • ปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ หลัง • ชา ปวดร้าวลงแขนหรือมือ (อาจเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ) • ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึง • อ่อนแรงในแขนหรือมือ • อาการนอนไม่หลับจากความไม่สบายตัว สาเหตุหลัก: • นั่งทำงานท่าเดิมนานเกินไป • ท่าทางการนั่งไม่ถูกหลัก (เช่น หลังค่อม คอเอียง) • โต๊ะ เก้าอี้ หรือหน้าจอคอมไม่เหมาะกับสรีระ • ขาดการยืดเหยียด หรือพักระหว่างการทำงาน ✅️ แนวทางการป้องกันและบรรเทา: • ลุกยืดเหยียดทุก 30-60 นาที • ปรับท่านั่งและอุปกรณ์ให้เหมาะสม • ออกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อและเสริมความแข็งแรง • การทำกายภาพบำบัดหรือนวดผ่อนคลายเฉพาะจุด หากมีอาการต่อเนื่อง หรือรุนแรง ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อกระดูกและเส้นประสาท.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองดู แมกนีเซียม คอมเพล็กซ์ Magnesium Complex (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) (ตรา ซีอีโอ แฟคตอรี่) ในราคา ฿490 - ฿1,339 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/6pnzY0Q7Xy
    ลองดู แมกนีเซียม คอมเพล็กซ์ Magnesium Complex (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) (ตรา ซีอีโอ แฟคตอรี่) ในราคา ฿490 - ฿1,339 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/6pnzY0Q7Xy
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌Vistra B-Complex Plus Minerals (30 Tablets) แพ็คคู่ 36 กรัม ในราคา ฿375 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/9zl1Lpd2vI
    📌Vistra B-Complex Plus Minerals (30 Tablets) แพ็คคู่ 36 กรัม ในราคา ฿375 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/9zl1Lpd2vI
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👍ถ้าการออกกำลังทำเป็นยาได้ มันจะเป็นยาที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา📌

    การออกกำลังกาย สามารถป้องกันโรคได้ ท้้ง 3 ระดับ ครับ

    👉Primary Prevention – ป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค

    👇Secondary Prevention – ป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม

    👉Tertiary Prevention – ฟื้นฟูหลังเป็นโรค ไม่ให้ทรุดลง

    📌แต่ละ โรค มีข้อแนะนำการออกกำลังกายที่แตกต่างกันในรายละเอียด สรุปสั้นๆ

    1. 🦴 ข้อเสื่อม (Arthritis)

    ควรทำ: 🚶‍♂️เดินช้า | 🚴‍♀️ปั่นจักรยาน | 🏊‍♂️ว่ายน้ำ | 🏋️‍♀️เวทเบา

    เพราะ: ลดแรงกระแทก ลดน้ำหนักตัว เสริมกล้ามเนื้อรอบข้อ ลดอักเสบ

    2. 🎗️ มะเร็ง (Cancer – เต้านม, ลำไส้, ต่อมลูกหมาก)

    ควรทำ: 🚶‍♀️เดินเร็ว | 🏋️‍♀️ยกเวทเบา | 🍽️ควบคุมอาหาร

    เพราะ: ลดไขมัน ลดฮอร์โมนที่กระตุ้นเซลล์มะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน

    3. 🌬️ ถุงลมโป่งพอง (COPD)

    ควรทำ: 🚴‍♂️ปั่นจักรยานเบา | 🏋️‍♀️เวทเบา
    เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ปรับลมหายใจให้มีประสิทธิภาพ
    (ควรออกช่วงที่ใช้ยาขยายหลอดลมหรือมีออกซิเจน)

    4. 🩸 ไตวายเรื้อรัง (Chronic Renal Failure)

    ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏋️เวทเบา

    เพราะ: ลดความดัน คุมเบาหวาน ลดกล้ามเนื้อลีบ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน

    5. ❤️ หัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)

    ควรทำ: 🚶เดินช้า | 🏋️‍♂️เวทเบา | 🚴ปั่นจักรยานเบา

    เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูหัวใจ ลดอาการอ่อนแรง

    6. 💓 หลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease)

    ควรทำ: 🚶‍♀️เดินเร็ว | 🚴‍♀️ปั่นจักรยาน | 🏋️‍♀️เวทเบา

    เพราะ: ลดไขมัน เพิ่มสมรรถภาพหัวใจ ป้องกันโรคซ้ำ

    7. 🧠 สมองเสื่อม (Dementia)

    ควรทำ: 🚶เดิน | ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️‍♀️เวทเบา

    เพราะ: เพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง ลดล้ม ชะลอภาวะเสื่อม

    8. ☁️ ซึมเศร้า (Depression)

    ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏃‍♀️วิ่งเบา | 🧘‍♀️โยคะ | 🏋️‍♂️เวท

    เพราะ: กระตุ้นสารแห่งความสุข ลดเครียด เพิ่มการเข้าสังคม

    9. 🦴 กระดูกพรุน (Osteoporosis)

    ควรทำ: 🦘กระโดดเบา ๆ (ถ้าไม่ปวดข้อ) | ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️เวท

    เพราะ: เพิ่มมวลกระดูก เสริมความแข็งแรง ลดความกลัวล้ม

    10. 🦵 หลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Vascular Disease)

    ควรทำ: เครื่องปั่นจักรยาน ด้วยแขน | 🚶เดินจนปวด แล้วพัก

    เพราะ: กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดอาการปวดขา

    11. 🧠 โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

    ควรทำ: ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️เวทเบา | 🚶‍♀️เดิน (ถ้าปลอดภัย)

    เพราะ: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว ลดล้ม (ต้องดูแลใกล้ชิด)

    12. 🍬 เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

    ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏋️‍♀️เวทเบา (วันเว้นวัน)

    เพราะ: คุมน้ำตาล ลดไขมัน เพิ่มกล้ามเนื้อ ใช้กลูโคสดีขึ้น
    (เลี่ยงแรงกระแทกถ้ามีปลายประสาทเสื่อม)

    13. 🦶 เส้นเลือดดำขาไหลเวียนไม่ดี (Venous Insufficiency)

    ควรทำ: 🚶‍♀️เดิน | 🦵ยกขา | 🏋️‍♂️ฝึกกล้ามเนื้อขา

    เพราะ: ช่วยส่งเลือดกลับหัวใจ ลดบวม ลดเสี่ยงอักเสบ
    ❤️❤️❤️

    ดังนั้น ยิ่งมีโรคเยอะ ยิ่งได้ประโยชน์เยอะจากการออกกำลังนะครับ ไม่ใช่ควรอยู่เฉยๆ ไม่กล้าออกกำลัง เพราะยิ่งทำให้สุขภาพไม่ดีและโรคแย่ลงครับ

    การออกกำลังจึงเป็น ยาที่ดีที่สุด อันนึงเลยครับ
    👍ถ้าการออกกำลังทำเป็นยาได้ มันจะเป็นยาที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา📌 การออกกำลังกาย สามารถป้องกันโรคได้ ท้้ง 3 ระดับ ครับ 👉Primary Prevention – ป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค 👇Secondary Prevention – ป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม 👉Tertiary Prevention – ฟื้นฟูหลังเป็นโรค ไม่ให้ทรุดลง 📌แต่ละ โรค มีข้อแนะนำการออกกำลังกายที่แตกต่างกันในรายละเอียด สรุปสั้นๆ 1. 🦴 ข้อเสื่อม (Arthritis) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินช้า | 🚴‍♀️ปั่นจักรยาน | 🏊‍♂️ว่ายน้ำ | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: ลดแรงกระแทก ลดน้ำหนักตัว เสริมกล้ามเนื้อรอบข้อ ลดอักเสบ 2. 🎗️ มะเร็ง (Cancer – เต้านม, ลำไส้, ต่อมลูกหมาก) ควรทำ: 🚶‍♀️เดินเร็ว | 🏋️‍♀️ยกเวทเบา | 🍽️ควบคุมอาหาร เพราะ: ลดไขมัน ลดฮอร์โมนที่กระตุ้นเซลล์มะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน 3. 🌬️ ถุงลมโป่งพอง (COPD) ควรทำ: 🚴‍♂️ปั่นจักรยานเบา | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ปรับลมหายใจให้มีประสิทธิภาพ (ควรออกช่วงที่ใช้ยาขยายหลอดลมหรือมีออกซิเจน) 4. 🩸 ไตวายเรื้อรัง (Chronic Renal Failure) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏋️เวทเบา เพราะ: ลดความดัน คุมเบาหวาน ลดกล้ามเนื้อลีบ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน 5. ❤️ หัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure) ควรทำ: 🚶เดินช้า | 🏋️‍♂️เวทเบา | 🚴ปั่นจักรยานเบา เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูหัวใจ ลดอาการอ่อนแรง 6. 💓 หลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) ควรทำ: 🚶‍♀️เดินเร็ว | 🚴‍♀️ปั่นจักรยาน | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: ลดไขมัน เพิ่มสมรรถภาพหัวใจ ป้องกันโรคซ้ำ 7. 🧠 สมองเสื่อม (Dementia) ควรทำ: 🚶เดิน | ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: เพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง ลดล้ม ชะลอภาวะเสื่อม 8. ☁️ ซึมเศร้า (Depression) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏃‍♀️วิ่งเบา | 🧘‍♀️โยคะ | 🏋️‍♂️เวท เพราะ: กระตุ้นสารแห่งความสุข ลดเครียด เพิ่มการเข้าสังคม 9. 🦴 กระดูกพรุน (Osteoporosis) ควรทำ: 🦘กระโดดเบา ๆ (ถ้าไม่ปวดข้อ) | ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️เวท เพราะ: เพิ่มมวลกระดูก เสริมความแข็งแรง ลดความกลัวล้ม 10. 🦵 หลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Vascular Disease) ควรทำ: เครื่องปั่นจักรยาน ด้วยแขน | 🚶เดินจนปวด แล้วพัก เพราะ: กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดอาการปวดขา 11. 🧠 โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ควรทำ: ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️เวทเบา | 🚶‍♀️เดิน (ถ้าปลอดภัย) เพราะ: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว ลดล้ม (ต้องดูแลใกล้ชิด) 12. 🍬 เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏋️‍♀️เวทเบา (วันเว้นวัน) เพราะ: คุมน้ำตาล ลดไขมัน เพิ่มกล้ามเนื้อ ใช้กลูโคสดีขึ้น (เลี่ยงแรงกระแทกถ้ามีปลายประสาทเสื่อม) 13. 🦶 เส้นเลือดดำขาไหลเวียนไม่ดี (Venous Insufficiency) ควรทำ: 🚶‍♀️เดิน | 🦵ยกขา | 🏋️‍♂️ฝึกกล้ามเนื้อขา เพราะ: ช่วยส่งเลือดกลับหัวใจ ลดบวม ลดเสี่ยงอักเสบ ❤️❤️❤️ ดังนั้น ยิ่งมีโรคเยอะ ยิ่งได้ประโยชน์เยอะจากการออกกำลังนะครับ ไม่ใช่ควรอยู่เฉยๆ ไม่กล้าออกกำลัง เพราะยิ่งทำให้สุขภาพไม่ดีและโรคแย่ลงครับ การออกกำลังจึงเป็น ยาที่ดีที่สุด อันนึงเลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ไขมันสะสมคือที่ดิน ไกลโคเจนคือหุ้น ✴️ไตรกลีเซอไรด์คือเงินสด และ
    ✴️ น้ำตาลคือ เงินเหรียญ

    ถ้าเปรียบ "ไขมันสะสม" เหมือนทรัพย์สิน - ที่ดิน หุ้น... "Triglyceride" ก็คือ ..กระแสเงินสด มากไป/น้อยไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น..

    ผมจะเปรียบเทียบดังนี้

    #ไขมันสะสม ก็คือ ที่ดิน กิจการ บ้าน รถ... คือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ

    #ไกลโคเจน ก็คือ หุ้น... เป็นทรัพย์สินที่สภาพคล่องดีหน่อย...

    #Triglyceride ก์คือ เงินสด แต่เป็นเงินแบ้งค์ใหญ่ๆ หน่อยนะ.. เช่น แบ้งค์ 1,000 แบ้งค์ 500

    #น้ำตาล ก็คือ เงินเหรียญ สภาพคล่องสูงสุด ใช้ง่าย ใช้เร็ว

    ถ้าร่างกายจะใช้เงิน (พลังงาน)... เริ่มจากน้ำตาลก่อนเลย เพราะใช้ได้ง่ายสุด คล่องสุด ได้ผลเร็วสุด แต่ก็หมดเร็ว... ให้นึกถึงว่า เราคึงไม่สะสมเหรียญไว้จนเต็มกระเป๋าหรอกนะ...

    น้ำตาลเวลามันเยอะๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น แบ้งค์พันบ้าง ไปเป็นหุ้นบ้าง หรือที่ดินบ้าง.... มันมีเยอะไม่ได้...

    นี่คือ #สภาพคล่องทางพลังงาน...

    ประเด็นที่เราจะพุดถึงวันนี้คือ สภาพคล่องของเงินสด หรือ Triglyceride นั่นแหละ...

    คนส่วนใหญ่ มักจะมี TG สูงเวอร์วัง ซึ่งเงินสด เวลามันมีมากไป มันกลับทำร้ายร่างกายเรานะ ... ดังนั้น มีมากไปก็ไม่ดี...

    แต่พอเริ่มมาดูแลสุขภาพแบบผิดๆ สุดโต่งไป ในบางคนคิดว่า ยิ่ง TG น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี...

    เห้ยยยย หายใจลึกๆ แล้วดูปากแอดนะ... มันบ่แม่นน!!!

    TG ที่ต่ำ ก็เหมือนเงินสดในมือที่เริ่มจะขาดแคลน มีไม่พอ...

    พอเงินสดมีไม่พอ ตัวแม่ หรือ คอร์ติซอล จะเริ่มไม่สบายใจหละ และจะออกมาปั่้นป่วนระบบในร่างกาย... แล้ว

    เพราะตัวแม่เค้าดูเรื่องของพลังงาน (เงินสด) เป็นหลัก... ต้องมีแบบพอดีๆ ให้อุ่นใจ... มากไปจะมีปัญหากับตัวพ่อ อินซูลิน แต่น้อยไปเมื่อไร ตัวแม่คอร์ติซอลจะออกอาละวาดทันที...

    เราจึงเห็นคนผอมๆ ลีนๆ ดูคล้ายๆ เหมือนจะ Healthy แต่สุดท้ายพบว่า ฮอร์โมนแปรปรวน เหมือนเคสดาราหลายๆ คนที่ออกข่าวกันนนี่หละ หรือสายแข็งหลายๆ คนที่ ขยันออกกำลัง ขยันอด กินก็น้อย แป้งแทบไม่แตะ มองน้ำตาลเป็นของต้องห้ามไปเลยก็มี... ซึ่งมันก็ทำให้ TG หรือเงินสด พร่องลงไป..

    เค้าคงลืมไปแล้วว่า บริบทก่อนหน้าที่ตัดคาร์บ คือ เราอวบอ้วน...

    แต่ปัจจุบันเราผอม ลีน แล้ว จะมาใช้วิธีตัดคาร์บสนิท ตัดโน่นนี่แบบสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดผลดี

    แต่ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย

    สรุป ก็คือ Trigleceride หรือ TG นี่ เปรียบเหมือนเงินสดในกระเป๋าเรานะ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มีพอดีๆ ดีที่สุดนะครับ

    Cr.แอดทัช
    ✴️ไขมันสะสมคือที่ดิน ไกลโคเจนคือหุ้น ✴️ไตรกลีเซอไรด์คือเงินสด และ ✴️ น้ำตาลคือ เงินเหรียญ ถ้าเปรียบ "ไขมันสะสม" เหมือนทรัพย์สิน - ที่ดิน หุ้น... "Triglyceride" ก็คือ ..กระแสเงินสด มากไป/น้อยไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น.. ผมจะเปรียบเทียบดังนี้ ☞ #ไขมันสะสม ก็คือ ที่ดิน กิจการ บ้าน รถ... คือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ ☞ #ไกลโคเจน ก็คือ หุ้น... เป็นทรัพย์สินที่สภาพคล่องดีหน่อย... ☞ #Triglyceride ก์คือ เงินสด แต่เป็นเงินแบ้งค์ใหญ่ๆ หน่อยนะ.. เช่น แบ้งค์ 1,000 แบ้งค์ 500 ☞ #น้ำตาล ก็คือ เงินเหรียญ สภาพคล่องสูงสุด ใช้ง่าย ใช้เร็ว ถ้าร่างกายจะใช้เงิน (พลังงาน)... เริ่มจากน้ำตาลก่อนเลย เพราะใช้ได้ง่ายสุด คล่องสุด ได้ผลเร็วสุด แต่ก็หมดเร็ว... ให้นึกถึงว่า เราคึงไม่สะสมเหรียญไว้จนเต็มกระเป๋าหรอกนะ... น้ำตาลเวลามันเยอะๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น แบ้งค์พันบ้าง ไปเป็นหุ้นบ้าง หรือที่ดินบ้าง.... มันมีเยอะไม่ได้... นี่คือ #สภาพคล่องทางพลังงาน... ประเด็นที่เราจะพุดถึงวันนี้คือ สภาพคล่องของเงินสด หรือ Triglyceride นั่นแหละ... คนส่วนใหญ่ มักจะมี TG สูงเวอร์วัง ซึ่งเงินสด เวลามันมีมากไป มันกลับทำร้ายร่างกายเรานะ ... ดังนั้น มีมากไปก็ไม่ดี... แต่พอเริ่มมาดูแลสุขภาพแบบผิดๆ สุดโต่งไป ในบางคนคิดว่า ยิ่ง TG น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี... เห้ยยยย หายใจลึกๆ แล้วดูปากแอดนะ... มันบ่แม่นน!!! TG ที่ต่ำ ก็เหมือนเงินสดในมือที่เริ่มจะขาดแคลน มีไม่พอ... พอเงินสดมีไม่พอ ตัวแม่ หรือ คอร์ติซอล จะเริ่มไม่สบายใจหละ และจะออกมาปั่้นป่วนระบบในร่างกาย... แล้ว เพราะตัวแม่เค้าดูเรื่องของพลังงาน (เงินสด) เป็นหลัก... ต้องมีแบบพอดีๆ ให้อุ่นใจ... มากไปจะมีปัญหากับตัวพ่อ อินซูลิน แต่น้อยไปเมื่อไร ตัวแม่คอร์ติซอลจะออกอาละวาดทันที... เราจึงเห็นคนผอมๆ ลีนๆ ดูคล้ายๆ เหมือนจะ Healthy แต่สุดท้ายพบว่า ฮอร์โมนแปรปรวน เหมือนเคสดาราหลายๆ คนที่ออกข่าวกันนนี่หละ หรือสายแข็งหลายๆ คนที่ ขยันออกกำลัง ขยันอด กินก็น้อย แป้งแทบไม่แตะ มองน้ำตาลเป็นของต้องห้ามไปเลยก็มี... ซึ่งมันก็ทำให้ TG หรือเงินสด พร่องลงไป.. เค้าคงลืมไปแล้วว่า บริบทก่อนหน้าที่ตัดคาร์บ คือ เราอวบอ้วน... แต่ปัจจุบันเราผอม ลีน แล้ว จะมาใช้วิธีตัดคาร์บสนิท ตัดโน่นนี่แบบสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดผลดี แต่ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย สรุป ก็คือ Trigleceride หรือ TG นี่ เปรียบเหมือนเงินสดในกระเป๋าเรานะ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มีพอดีๆ ดีที่สุดนะครับ Cr.แอดทัช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 449 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♥️To Gen-Y and Gen -X♥️
    👉“เหวี่ยงง่าย หงุดหงิดหนัก อารมณ์แปรปรวน…ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าฮอร์โมนกำลังจะพัง!”

    😡คุณเคยไหมครับ…
    ตื่นเช้ามาแบบยังไม่ทันมีใครทำอะไร ก็รู้สึกหงุดหงิด
    ขับรถอยู่ก็รู้สึกอยากตะโกนใส่ทุกคันที่แทรกหน้า
    หรือบางวันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

    บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
    ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่า “เราไม่ได้อยากเหวี่ยงใคร”
    แต่มันก็ยั้งไม่อยู่จริงๆ

    👉และเมื่ออาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ
    หลายคนกลับคิดว่า…
    “เป็นเพราะฉันเครียดมั้ง”
    “แค่เหนื่อยเฉยๆ เดี๋ยวก็หาย”
    แต่ความจริงคือ มันไม่หายครับ ถ้าต้นเหตุมันยังอยู่

    🟢 ผู้หญิงวัย 40+ กับคลื่นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากใจ แต่เกิดจาก “ฮอร์โมน”

    🟢 เมื่อร่างกายเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause)
    ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
    แต่ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนจะ “แปรปรวน” มากกว่า “ลดลงเฉยๆ”
    ซึ่งทำให้สมองและระบบประสาทรับผลกระทบโดยตรง

    ✨️งานวิจัยจาก Harvard Medical School ระบุว่า
    “ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ความทรงจำ และสมาธิ”
    เมื่อฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวนแบบฉับพลัน เหวี่ยงง่าย และรู้สึกไม่มั่นคงทางใจได้โดยไม่รู้ตัว

    ❓️ทำไมผู้หญิงวัย 40+ ถึงอารมณ์แกว่งได้ง่ายกว่าที่คิด?
    1. ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็ว → สมองไวต่อความเครียด
    2. การหลับไม่ลึก → ฮอร์โมนความสุขหลั่งไม่พอ
    3. ระบบเผาผลาญช้าลง → ร่างกายรู้สึกหนัก เหนื่อยง่าย → หงุดหงิด
    4. โภชนาการที่ไม่สมดุล → ขาดกรดไขมันดีและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์

    🟢ไม่ใช่ป่วยทางจิต ไม่ใช่เป็นอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายส่งสัญญาณว่า “ฉันกำลังต้องการความเข้าใจ”

    การเข้าใจอาการอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน”
    แต่คือการ “ฟังร่างกายอย่างเข้าใจ”
    และเลือกดูแลตัวเองแบบไม่ต้องรู้สึกผิด

    🎯 5 เทคนิคง่ายๆ ปรับสมดุลอารมณ์ในวัย 40+

    1. งดน้ำตาล & คาเฟอีนช่วงบ่ายถึงค่ำ

    น้ำตาลและกาแฟทำให้ฮอร์โมน Cortisol พุ่งสูงในช่วงที่ควรจะลดลง ส่งผลให้สมองตึง อารมณ์พุ่ง

    2. กินอาหารไขมันดี & แมกนีเซียมสูง

    อะโวคาโด, เมล็ดแฟลกซ์, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียว ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และลดอาการซึมเศร้า

    3. เดินกลางแดดเช้าอย่างน้อย 10 นาที/วัน

    แสงแดดกระตุ้นเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้นตอนกลางคืน

    4. ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing)

    ใช้เวลา 5 นาที/วัน หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 4 วินาที และออก 6 วินาที
    ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเหวี่ยงได้จริง

    5. ฝึกขอบคุณเล็กๆ ก่อนนอน

    เขียน 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน
    จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบและทำให้ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น

    ♥️สรุป
    ถ้าท่านรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่มั่นคงในช่วงวัย 40+
    อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่าใจไม่แข็ง หรือว่าเป็นคนไม่ดี
    เพราะความจริง…ท่านแค่ต้องการ “การดูแลจากภายใน”

    ฮอร์โมนที่แปรปรวน คือธรรมชาติของร่างกาย
    แต่เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ด้วยความเข้าใจและความรักตัวเองอย่างถูกวิธี

    ดูแลหัวใจให้ดี แล้วใจจะดูแลเราตอบแทนกลับมาเสมอครับ
    ♥️To Gen-Y and Gen -X♥️ 👉“เหวี่ยงง่าย หงุดหงิดหนัก อารมณ์แปรปรวน…ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าฮอร์โมนกำลังจะพัง!” 😡คุณเคยไหมครับ… ตื่นเช้ามาแบบยังไม่ทันมีใครทำอะไร ก็รู้สึกหงุดหงิด ขับรถอยู่ก็รู้สึกอยากตะโกนใส่ทุกคันที่แทรกหน้า หรือบางวันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่า “เราไม่ได้อยากเหวี่ยงใคร” แต่มันก็ยั้งไม่อยู่จริงๆ 👉และเมื่ออาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ หลายคนกลับคิดว่า… “เป็นเพราะฉันเครียดมั้ง” “แค่เหนื่อยเฉยๆ เดี๋ยวก็หาย” แต่ความจริงคือ มันไม่หายครับ ถ้าต้นเหตุมันยังอยู่ 🟢 ผู้หญิงวัย 40+ กับคลื่นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากใจ แต่เกิดจาก “ฮอร์โมน” 🟢 เมื่อร่างกายเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนจะ “แปรปรวน” มากกว่า “ลดลงเฉยๆ” ซึ่งทำให้สมองและระบบประสาทรับผลกระทบโดยตรง ✨️งานวิจัยจาก Harvard Medical School ระบุว่า “ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ความทรงจำ และสมาธิ” เมื่อฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวนแบบฉับพลัน เหวี่ยงง่าย และรู้สึกไม่มั่นคงทางใจได้โดยไม่รู้ตัว ❓️ทำไมผู้หญิงวัย 40+ ถึงอารมณ์แกว่งได้ง่ายกว่าที่คิด? 1. ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็ว → สมองไวต่อความเครียด 2. การหลับไม่ลึก → ฮอร์โมนความสุขหลั่งไม่พอ 3. ระบบเผาผลาญช้าลง → ร่างกายรู้สึกหนัก เหนื่อยง่าย → หงุดหงิด 4. โภชนาการที่ไม่สมดุล → ขาดกรดไขมันดีและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ 🟢ไม่ใช่ป่วยทางจิต ไม่ใช่เป็นอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายส่งสัญญาณว่า “ฉันกำลังต้องการความเข้าใจ” การเข้าใจอาการอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน” แต่คือการ “ฟังร่างกายอย่างเข้าใจ” และเลือกดูแลตัวเองแบบไม่ต้องรู้สึกผิด 🎯 5 เทคนิคง่ายๆ ปรับสมดุลอารมณ์ในวัย 40+ 1. งดน้ำตาล & คาเฟอีนช่วงบ่ายถึงค่ำ น้ำตาลและกาแฟทำให้ฮอร์โมน Cortisol พุ่งสูงในช่วงที่ควรจะลดลง ส่งผลให้สมองตึง อารมณ์พุ่ง 2. กินอาหารไขมันดี & แมกนีเซียมสูง อะโวคาโด, เมล็ดแฟลกซ์, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียว ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และลดอาการซึมเศร้า 3. เดินกลางแดดเช้าอย่างน้อย 10 นาที/วัน แสงแดดกระตุ้นเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้นตอนกลางคืน 4. ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing) ใช้เวลา 5 นาที/วัน หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 4 วินาที และออก 6 วินาที ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเหวี่ยงได้จริง 5. ฝึกขอบคุณเล็กๆ ก่อนนอน เขียน 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบและทำให้ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น ♥️สรุป ถ้าท่านรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่มั่นคงในช่วงวัย 40+ อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่าใจไม่แข็ง หรือว่าเป็นคนไม่ดี เพราะความจริง…ท่านแค่ต้องการ “การดูแลจากภายใน” ฮอร์โมนที่แปรปรวน คือธรรมชาติของร่างกาย แต่เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ด้วยความเข้าใจและความรักตัวเองอย่างถูกวิธี ดูแลหัวใจให้ดี แล้วใจจะดูแลเราตอบแทนกลับมาเสมอครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♥️To Gen-Xสิ่งที่ควรรู้♥️
    👉“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS”
    👇คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม?
    • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ
    • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ
    • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ

    ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ
    แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน

    👉อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก

    👉ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน”
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์

    เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า…

    Vasomotor Symptoms
    = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว

    ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย
    • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ
    • ระบบเผาผลาญรวน
    • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว

    👉และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม❌️ นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ
    อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ👉สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า ฉันกำลังเสียสมดุล
    👉อาการร้อนวูบวาบเจอสั่น
    👉 เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดง อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็น😡"ภาวะเรื้อรัง" ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว มันเกี่ยวข้องกับหัวใจความดันมะเร็ง ✴️และความเสื่อมของระบบประสาทแบบที่หลายคนไม่เคยรู้

    ✴️5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ

    1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น
    • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น
    • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก

    2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป
    • ลดการอักเสบภายใน
    • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น
    • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน

    3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที
    • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล
    • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น

    4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน
    • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์
    • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน
    • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป

    5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน
    • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย
    • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    ♥️To Gen-Xสิ่งที่ควรรู้♥️ 👉“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS” 👇คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม? • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน 👉อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก 👉ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์ เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า… Vasomotor Symptoms = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ • ระบบเผาผลาญรวน • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว 👉และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม❌️ นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ👉สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า ฉันกำลังเสียสมดุล 👉อาการร้อนวูบวาบเจอสั่น 👉 เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดง อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็น😡"ภาวะเรื้อรัง" ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว มันเกี่ยวข้องกับหัวใจความดันมะเร็ง ✴️และความเสื่อมของระบบประสาทแบบที่หลายคนไม่เคยรู้ ✴️5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ 1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก 2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป • ลดการอักเสบภายใน • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน 3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น 4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป 5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙄“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS”
    👉คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม❓️
    • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ
    • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ
    • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ

    ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ
    แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน


    📌อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก?

    ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน”
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์

    เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า…

    Vasomotor Symptoms
    = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว

    ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย
    • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ
    • ระบบเผาผลาญรวน
    • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว

    และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ
    อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
    ✴️ 5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ

    1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น
    • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น
    • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก

    2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป
    • ลดการอักเสบภายใน
    • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น
    • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน

    3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที
    • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล
    • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น

    4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน
    • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์
    • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน
    • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป

    5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน
    • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย
    • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    👉นี่คือสัญญาณที่ร่างกายบอกว่า “ฉันกำลังเสียสมดุล”

    อาการร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน
    อาจไม่ได้แสดงอันตรายทันที
    แต่ถ้าปล่อยไว้ มันจะเป็น “ภาวะเรื้อรัง” ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข

    และในระยะยาว…
    มันเกี่ยวข้องกับ “หัวใจ ความดัน มะเร็ง และความเสื่อมของระบบประสาท” แบบที่หลายคนไม่เคยรู้


    🙄“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS” 👉คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม❓️ • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน 📌อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก? ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์ เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า… Vasomotor Symptoms = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ • ระบบเผาผลาญรวน • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ✴️ 5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ 1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก 2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป • ลดการอักเสบภายใน • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน 3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น 4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป 5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก 👉นี่คือสัญญาณที่ร่างกายบอกว่า “ฉันกำลังเสียสมดุล” อาการร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดงอันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้ มันจะเป็น “ภาวะเรื้อรัง” ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว… มันเกี่ยวข้องกับ “หัวใจ ความดัน มะเร็ง และความเสื่อมของระบบประสาท” แบบที่หลายคนไม่เคยรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • 😡❓️ “เหวี่ยงง่าย หงุดหงิดหนัก อารมณ์แปรปรวน…ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าฮอร์โมนกำลังจะพัง!”

    😡คุณเคยไหมครับ…
    ตื่นเช้ามาแบบยังไม่ทันมีใครทำอะไร ก็รู้สึกหงุดหงิด
    ขับรถอยู่ก็รู้สึกอยากตะโกนใส่ทุกคันที่แทรกหน้า
    หรือบางวันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

    👉บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
    ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่า “เราไม่ได้อยากเหวี่ยงใคร”
    แต่มันก็ยั้งไม่อยู่จริงๆ

    และเมื่ออาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ
    หลายคนกลับคิดว่า…
    “เป็นเพราะฉันเครียดมั้ง”
    “แค่เหนื่อยเฉยๆ เดี๋ยวก็หาย”
    แต่ความจริงคือ มันไม่หายครับ ถ้าต้นเหตุมันยังอยู่

    ✴️ผู้หญิงวัย 40+ กับคลื่นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากใจ แต่เกิดจาก “ฮอร์โมน”

    เมื่อร่างกายเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause)
    ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
    แต่ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนจะ “แปรปรวน” มากกว่า “ลดลงเฉยๆ”
    ซึ่งทำให้สมองและระบบประสาทรับผลกระทบโดยตรง

    👉งานวิจัยจาก Harvard Medical School ระบุว่า
    “ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ความทรงจำ และสมาธิ”
    เมื่อฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวนแบบฉับพลัน เหวี่ยงง่าย และรู้สึกไม่มั่นคงทางใจได้โดยไม่รู้ตัว

    ❓️ทำไมผู้หญิงวัย 40+ ถึงอารมณ์แกว่งได้ง่ายกว่าที่คิด?
    1. ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็ว → สมองไวต่อความเครียด
    2. การหลับไม่ลึก → ฮอร์โมนความสุขหลั่งไม่พอ
    3. ระบบเผาผลาญช้าลง → ร่างกายรู้สึกหนัก เหนื่อยง่าย → หงุดหงิด
    4. โภชนาการที่ไม่สมดุล → ขาดกรดไขมันดีและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์


    ไม่ใช่ป่วยทางจิต ไม่ใช่เป็นอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายส่งสัญญาณว่า “ฉันกำลังต้องการความเข้าใจ”

    การเข้าใจอาการอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน”
    แต่คือการ “ฟังร่างกายอย่างเข้าใจ”
    และเลือกดูแลตัวเองแบบไม่ต้องรู้สึกผิด


    ✴️✴️5 เทคนิคง่ายๆ ปรับสมดุลอารมณ์ในวัย 40+

    1. งดน้ำตาล & คาเฟอีนช่วงบ่ายถึงค่ำ

    น้ำตาลและกาแฟทำให้ฮอร์โมน Cortisol พุ่งสูงในช่วงที่ควรจะลดลง ส่งผลให้สมองตึง อารมณ์พุ่ง

    2. กินอาหารไขมันดี & แมกนีเซียมสูง

    อะโวคาโด, เมล็ดแฟลกซ์, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียว ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และลดอาการซึมเศร้า

    3. เดินกลางแดดเช้าอย่างน้อย 10 นาที/วัน

    แสงแดดกระตุ้นเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้นตอนกลางคืน

    4. ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing)

    ใช้เวลา 5 นาที/วัน หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 4 วินาที และออก 6 วินาที
    ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเหวี่ยงได้จริง

    5. ฝึกขอบคุณเล็กๆ ก่อนนอน

    👉เขียน 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน
    จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบและทำให้ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น
    ✴️สรุป

    ถ้าท่านรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่มั่นคงในช่วงวัย 40+
    อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่าใจไม่แข็ง หรือว่าเป็นคนไม่ดี
    เพราะความจริง…ท่านแค่ต้องการ “การดูแลจากภายใน”

    👉ฮอร์โมนที่แปรปรวน คือธรรมชาติของร่างกาย
    แต่เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ด้วยความเข้าใจและความรักตัวเองอย่างถูกวิธี

    ❤️ดูแลหัวใจให้ดี แล้วใจจะดูแลเราตอบแทนกลับมาเสมอครับ

    😡❓️ “เหวี่ยงง่าย หงุดหงิดหนัก อารมณ์แปรปรวน…ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าฮอร์โมนกำลังจะพัง!” 😡คุณเคยไหมครับ… ตื่นเช้ามาแบบยังไม่ทันมีใครทำอะไร ก็รู้สึกหงุดหงิด ขับรถอยู่ก็รู้สึกอยากตะโกนใส่ทุกคันที่แทรกหน้า หรือบางวันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล 👉บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่า “เราไม่ได้อยากเหวี่ยงใคร” แต่มันก็ยั้งไม่อยู่จริงๆ และเมื่ออาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ หลายคนกลับคิดว่า… “เป็นเพราะฉันเครียดมั้ง” “แค่เหนื่อยเฉยๆ เดี๋ยวก็หาย” แต่ความจริงคือ มันไม่หายครับ ถ้าต้นเหตุมันยังอยู่ ✴️ผู้หญิงวัย 40+ กับคลื่นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากใจ แต่เกิดจาก “ฮอร์โมน” เมื่อร่างกายเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนจะ “แปรปรวน” มากกว่า “ลดลงเฉยๆ” ซึ่งทำให้สมองและระบบประสาทรับผลกระทบโดยตรง 👉งานวิจัยจาก Harvard Medical School ระบุว่า “ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ความทรงจำ และสมาธิ” เมื่อฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวนแบบฉับพลัน เหวี่ยงง่าย และรู้สึกไม่มั่นคงทางใจได้โดยไม่รู้ตัว ❓️ทำไมผู้หญิงวัย 40+ ถึงอารมณ์แกว่งได้ง่ายกว่าที่คิด? 1. ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็ว → สมองไวต่อความเครียด 2. การหลับไม่ลึก → ฮอร์โมนความสุขหลั่งไม่พอ 3. ระบบเผาผลาญช้าลง → ร่างกายรู้สึกหนัก เหนื่อยง่าย → หงุดหงิด 4. โภชนาการที่ไม่สมดุล → ขาดกรดไขมันดีและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ ไม่ใช่ป่วยทางจิต ไม่ใช่เป็นอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายส่งสัญญาณว่า “ฉันกำลังต้องการความเข้าใจ” การเข้าใจอาการอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน” แต่คือการ “ฟังร่างกายอย่างเข้าใจ” และเลือกดูแลตัวเองแบบไม่ต้องรู้สึกผิด ✴️✴️5 เทคนิคง่ายๆ ปรับสมดุลอารมณ์ในวัย 40+ 1. งดน้ำตาล & คาเฟอีนช่วงบ่ายถึงค่ำ น้ำตาลและกาแฟทำให้ฮอร์โมน Cortisol พุ่งสูงในช่วงที่ควรจะลดลง ส่งผลให้สมองตึง อารมณ์พุ่ง 2. กินอาหารไขมันดี & แมกนีเซียมสูง อะโวคาโด, เมล็ดแฟลกซ์, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียว ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และลดอาการซึมเศร้า 3. เดินกลางแดดเช้าอย่างน้อย 10 นาที/วัน แสงแดดกระตุ้นเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้นตอนกลางคืน 4. ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing) ใช้เวลา 5 นาที/วัน หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 4 วินาที และออก 6 วินาที ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเหวี่ยงได้จริง 5. ฝึกขอบคุณเล็กๆ ก่อนนอน 👉เขียน 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบและทำให้ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น ✴️สรุป ถ้าท่านรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่มั่นคงในช่วงวัย 40+ อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่าใจไม่แข็ง หรือว่าเป็นคนไม่ดี เพราะความจริง…ท่านแค่ต้องการ “การดูแลจากภายใน” 👉ฮอร์โมนที่แปรปรวน คือธรรมชาติของร่างกาย แต่เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ด้วยความเข้าใจและความรักตัวเองอย่างถูกวิธี ❤️ดูแลหัวใจให้ดี แล้วใจจะดูแลเราตอบแทนกลับมาเสมอครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💔 นอนไม่หลับอาจไม่ใช่แค่ปัญหาเล็กๆ…แต่มันคือ “ไฟกะพริบ” ที่ร่างกายส่งสัญญาณให้เราฟัง

    👉มีผู้หญิงวัย 40+ จำนวนไม่น้อยที่นอนไม่หลับ
    “ช่วงนี้นอนไม่หลับเลยค่ะ ผมเริ่มบาง ใจสั่น รู้สึกอ่อนเพลียทั้งวัน”
    บางคนก็แค่คิดว่า “อาจเครียด อาจเหนื่อย เดี๋ยวก็คงหาย”
    แต่ความจริง…มันลึกกว่านั้นครับ

    เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัย 40+ ระบบ “ฮอร์โมนเพศหญิง” อย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว
    ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญกับระบบนอนหลับ สมอง หัวใจ ผิวพรรณ และแม้แต่ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    และนี่คือเหตุผลที่ “นอนไม่หลับ” กลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของหลายโรคร้าย



    งานวิจัยระดับโลกพูดตรงกันว่า…

    ผู้หญิงวัยกลางคนที่นอนไม่เพียงพอหรือหลับไม่ลึก มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจสูงขึ้นถึง 50-70%【Harvard Medical School, 2021】

    เพราะขณะนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน “เมลาโทนิน” และ “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งช่วย
    • ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย
    • กำจัดสารพิษจากระบบประสาท
    • และ “ควบคุมการแบ่งเซลล์ผิดปกติ” ซึ่งเป็นต้นทางของเซลล์มะเร็ง

    หากคุณนอนไม่หลับนานๆ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ “อักเสบเรื้อรัง”
    อาการเหล่านี้มักจะตามมาเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ทันสังเกต
    • เพลียทั้งวัน
    • น้ำหนักเพิ่มง่าย
    • ขี้หงุดหงิด
    • สมองเบลอ
    • และ “ภูมิต้านทานลดลง”



    แล้วจะเริ่มฟื้นฟูอย่างไรดี? โดยไม่ต้องพึ่งยา

    ผมขอแบ่งเป็น 3 ด้านง่ายๆ ที่คุณทำได้เองที่บ้านเลยครับ

    1. เปลี่ยน “กิจวัตรก่อนนอน” ให้ร่างกายรู้ว่า…ถึงเวลาพักแล้ว
    • ปิดหน้าจอมือถืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน
    • อาบน้ำอุ่นก่อนนอน ช่วยลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด)
    • ใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ หรือเปิดเสียง white noise ผ่อนคลายสมอง
    • หายใจลึกๆ แบบ 4-7-8 (4 วินาที-กลั้น 7-หายใจออก 😎

    2. ดูแลฮอร์โมนด้วยอาหารที่ใช่
    • ลดน้ำตาล แป้งขัดขาว เพราะมันทำให้ “อินซูลิน” แปรปรวน → รบกวนสมดุลฮอร์โมน
    • เสริมผักใบเขียว ไขมันดี (น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง) และโปรตีนพอดีๆ
    • ลองทำ IF แบบนุ่มๆ เช่น 12/12 หรือ 14/10 → ให้ระบบย่อยได้พัก และช่วยฟื้นฮอร์โมนได้จริง

    3. ตื่นให้ตรงเวลา และรับแดดเช้า
    • การรับแสงแดดตอนเช้า 10-15 นาที จะกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนิน และช่วยให้คุณหลับลึกในตอนกลางคืน
    • แสงเช้า = นาฬิกาชีวิต → ปรับวงจรการหลับ-ตื่นของร่างกายอย่างธรรมชาติ



    อย่าปล่อยให้ “นอนไม่หลับ” เป็นเรื่องเล็ก

    เพราะบางครั้ง…การปล่อยผ่าน อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการดูแลตัวเอง
    แค่คุณเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ เหล่านี้ ชีวิตก็จะเริ่มเปลี่ยนครับ
    คุณจะรู้สึกได้ว่า “สมองโล่งขึ้น” “ร่างกายสดชื่นขึ้น” และ “จิตใจเบาสบายขึ้น” อย่างเป็นธรรมชาติ

    และผมเชื่อเสมอว่า
    คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบอดทนกับอาการเหล่านี้อีกต่อไป

    ขอแค่คุณเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มดูแลตัวเองจากคืนนี้เลยครับ
    💔 นอนไม่หลับอาจไม่ใช่แค่ปัญหาเล็กๆ…แต่มันคือ “ไฟกะพริบ” ที่ร่างกายส่งสัญญาณให้เราฟัง 👉มีผู้หญิงวัย 40+ จำนวนไม่น้อยที่นอนไม่หลับ “ช่วงนี้นอนไม่หลับเลยค่ะ ผมเริ่มบาง ใจสั่น รู้สึกอ่อนเพลียทั้งวัน” บางคนก็แค่คิดว่า “อาจเครียด อาจเหนื่อย เดี๋ยวก็คงหาย” แต่ความจริง…มันลึกกว่านั้นครับ เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัย 40+ ระบบ “ฮอร์โมนเพศหญิง” อย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญกับระบบนอนหลับ สมอง หัวใจ ผิวพรรณ และแม้แต่ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และนี่คือเหตุผลที่ “นอนไม่หลับ” กลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของหลายโรคร้าย ⸻ งานวิจัยระดับโลกพูดตรงกันว่า… ผู้หญิงวัยกลางคนที่นอนไม่เพียงพอหรือหลับไม่ลึก มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และโรคหัวใจสูงขึ้นถึง 50-70%【Harvard Medical School, 2021】 เพราะขณะนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน “เมลาโทนิน” และ “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งช่วย • ฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย • กำจัดสารพิษจากระบบประสาท • และ “ควบคุมการแบ่งเซลล์ผิดปกติ” ซึ่งเป็นต้นทางของเซลล์มะเร็ง หากคุณนอนไม่หลับนานๆ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ “อักเสบเรื้อรัง” อาการเหล่านี้มักจะตามมาเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ทันสังเกต • เพลียทั้งวัน • น้ำหนักเพิ่มง่าย • ขี้หงุดหงิด • สมองเบลอ • และ “ภูมิต้านทานลดลง” ⸻ แล้วจะเริ่มฟื้นฟูอย่างไรดี? โดยไม่ต้องพึ่งยา ผมขอแบ่งเป็น 3 ด้านง่ายๆ ที่คุณทำได้เองที่บ้านเลยครับ 1. เปลี่ยน “กิจวัตรก่อนนอน” ให้ร่างกายรู้ว่า…ถึงเวลาพักแล้ว • ปิดหน้าจอมือถืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน • อาบน้ำอุ่นก่อนนอน ช่วยลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) • ใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ หรือเปิดเสียง white noise ผ่อนคลายสมอง • หายใจลึกๆ แบบ 4-7-8 (4 วินาที-กลั้น 7-หายใจออก 😎 2. ดูแลฮอร์โมนด้วยอาหารที่ใช่ • ลดน้ำตาล แป้งขัดขาว เพราะมันทำให้ “อินซูลิน” แปรปรวน → รบกวนสมดุลฮอร์โมน • เสริมผักใบเขียว ไขมันดี (น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง) และโปรตีนพอดีๆ • ลองทำ IF แบบนุ่มๆ เช่น 12/12 หรือ 14/10 → ให้ระบบย่อยได้พัก และช่วยฟื้นฮอร์โมนได้จริง 3. ตื่นให้ตรงเวลา และรับแดดเช้า • การรับแสงแดดตอนเช้า 10-15 นาที จะกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนิน และช่วยให้คุณหลับลึกในตอนกลางคืน • แสงเช้า = นาฬิกาชีวิต → ปรับวงจรการหลับ-ตื่นของร่างกายอย่างธรรมชาติ ⸻ อย่าปล่อยให้ “นอนไม่หลับ” เป็นเรื่องเล็ก เพราะบางครั้ง…การปล่อยผ่าน อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการดูแลตัวเอง แค่คุณเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ เหล่านี้ ชีวิตก็จะเริ่มเปลี่ยนครับ คุณจะรู้สึกได้ว่า “สมองโล่งขึ้น” “ร่างกายสดชื่นขึ้น” และ “จิตใจเบาสบายขึ้น” อย่างเป็นธรรมชาติ และผมเชื่อเสมอว่า คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบอดทนกับอาการเหล่านี้อีกต่อไป ขอแค่คุณเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มดูแลตัวเองจากคืนนี้เลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 649 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 แชมพูสูตรใบคราม Ness🍃สูตรเข้มข้น
    👉ลดผมหงอก
    👉กระตุ้นเส้นผมดกดำ
    ❌️ ลดปัญหาผมร่วงผมมัน คันรังแค💜🍃250 ml ในราคา ฿267 - ฿678 👇👇ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/2fx0soPAFY
    📌 แชมพูสูตรใบคราม Ness🍃สูตรเข้มข้น 👉ลดผมหงอก 👉กระตุ้นเส้นผมดกดำ ❌️ ลดปัญหาผมร่วงผมมัน คันรังแค💜🍃250 ml ในราคา ฿267 - ฿678 👇👇ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/2fx0soPAFY
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👍มัดรวมครีมโลชั่นกันแดดคุณภาพดี📣สั่งซื้อกดลิ้งค์เลยค่ะมีรูปในคอมเม้นต์
    โลชั่นกันแดดไม่ใช่แค่ไอเทมเสริมความงาม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในประเทศไทย เพื่อปกป้องผิวจาก แสงแดด มลภาวะ และปัญหาผิวต่างๆ การใช้กันแดดทุกวันช่วยให้ผิวสุขภาพดี กระจ่างใส และลดความเสี่ยงของปัญหาผิวระยะยาว อย่ารอให้ผิวเสียก่อนเริ่มปกป้อง ลงกันแดดทุกวัน!
    📌 Banana Boat Sport Ultra Sunscreen Lotion SPF50+ PA+++ 90ml บานาน่า โบ๊ท โลชั่นกันแดด สำหรับผิวกาย ในราคา ฿99 - ฿318 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/8KbQfJmm2u
    📌 กันแดด AR SPF30 เอ อาร์ แอดวานซ์ ซัน โพรเทค บอดี้ โลชั่น ในราคา ฿53 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/7zyaGWxdsi
    📌 [โค้ดลดเพิ่ม 15%] นีเวีย ซัน กันแดดผิวกาย โพรเท็คแอนด์มอยซ์เจอร์ บอดี้ โลชั่น เอสพีเอฟ30 พีเอ+++ 125 มล. NIVEA ในราคา ฿329 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/7V2JfBx3VA
    📌 Jabs กันแดด แจ๊บส์ ไบรท์บูสเตอร์ ยูวี โพรเทคชั่น บอดี้โลชั่น SPF50 PA+++ 450มล. x1 ในราคา ฿185 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/8KbQeWCXWS
    📌โลชั่นกันเเดดมะพร้าว Coconut Suncreen Lotion สูตรเข้มข้น ผิวขาวใส พร้อมสู้เเดด กลิ่นตัวหอม กันเเดดได้ 50 เท่า วิตซี +++ ในราคา ฿89 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/3LCkhCBqRW
    📌 [แพ็คคู่] MizuMi UV Bright Body Serum (180 ml) เซรั่มกันแดดทาผิวกาย เบาสบายผิว หอมละมุน ในราคา ฿390 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/1Vl6VEKZTG
    📌 แพ็กคู่สุดคุ้ม! ลอรีอัล ปารีส ยูวี ดีเฟนเดอร์ อินวิซิเบิ้ล รีซิส เดลี่ ซันสกรีนX2 (กันแดด,กันแดดลอรีอัล) ในราคา ฿799 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/6pmcqkcXie
    📌 DEOdore’ ACNE CLEAR and Brightening Body Serum เซรั่มลดรอยสิวหลัง ในราคา ฿350 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/9f6oDZoNLK
    📌 Mizumi UV Body Serum มิซึมิ ครีมกันแดดสำหรับผิวกาย (UV Bright/Fragrance Free/Cooling) ในราคา ฿45 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/4VOi42J5SS
    📌 VENITA ครีมกันแดดเวนิต้า Venita Anti-Acne Care Sunscreen SPF50/PA+++plus เนื้อครีมเจล ซึมเร็ว ในราคา ฿130 - ฿259 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/4q1YSVkgQFลอ📌 ครีมกันแดด สำหรับผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ใช้ทาได้ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่ ไม่ขาว ไม่ลอย ไม่แพ้ นำเข้าจากาเกาหลี ในราคา ฿490 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/8Uuqp2kuee
    👍มัดรวมครีมโลชั่นกันแดดคุณภาพดี📣สั่งซื้อกดลิ้งค์เลยค่ะมีรูปในคอมเม้นต์ โลชั่นกันแดดไม่ใช่แค่ไอเทมเสริมความงาม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในประเทศไทย เพื่อปกป้องผิวจาก แสงแดด มลภาวะ และปัญหาผิวต่างๆ การใช้กันแดดทุกวันช่วยให้ผิวสุขภาพดี กระจ่างใส และลดความเสี่ยงของปัญหาผิวระยะยาว อย่ารอให้ผิวเสียก่อนเริ่มปกป้อง ลงกันแดดทุกวัน! 📌 Banana Boat Sport Ultra Sunscreen Lotion SPF50+ PA+++ 90ml บานาน่า โบ๊ท โลชั่นกันแดด สำหรับผิวกาย ในราคา ฿99 - ฿318 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/8KbQfJmm2u 📌 กันแดด AR SPF30 เอ อาร์ แอดวานซ์ ซัน โพรเทค บอดี้ โลชั่น ในราคา ฿53 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/7zyaGWxdsi 📌 [โค้ดลดเพิ่ม 15%] นีเวีย ซัน กันแดดผิวกาย โพรเท็คแอนด์มอยซ์เจอร์ บอดี้ โลชั่น เอสพีเอฟ30 พีเอ+++ 125 มล. NIVEA ในราคา ฿329 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/7V2JfBx3VA 📌 Jabs กันแดด แจ๊บส์ ไบรท์บูสเตอร์ ยูวี โพรเทคชั่น บอดี้โลชั่น SPF50 PA+++ 450มล. x1 ในราคา ฿185 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/8KbQeWCXWS 📌โลชั่นกันเเดดมะพร้าว Coconut Suncreen Lotion สูตรเข้มข้น ผิวขาวใส พร้อมสู้เเดด กลิ่นตัวหอม กันเเดดได้ 50 เท่า วิตซี +++ ในราคา ฿89 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/3LCkhCBqRW 📌 [แพ็คคู่] MizuMi UV Bright Body Serum (180 ml) เซรั่มกันแดดทาผิวกาย เบาสบายผิว หอมละมุน ในราคา ฿390 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/1Vl6VEKZTG 📌 แพ็กคู่สุดคุ้ม! ลอรีอัล ปารีส ยูวี ดีเฟนเดอร์ อินวิซิเบิ้ล รีซิส เดลี่ ซันสกรีนX2 (กันแดด,กันแดดลอรีอัล) ในราคา ฿799 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/6pmcqkcXie 📌 DEOdore’ ACNE CLEAR and Brightening Body Serum เซรั่มลดรอยสิวหลัง ในราคา ฿350 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/9f6oDZoNLK 📌 Mizumi UV Body Serum มิซึมิ ครีมกันแดดสำหรับผิวกาย (UV Bright/Fragrance Free/Cooling) ในราคา ฿45 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/4VOi42J5SS 📌 VENITA ครีมกันแดดเวนิต้า Venita Anti-Acne Care Sunscreen SPF50/PA+++plus เนื้อครีมเจล ซึมเร็ว ในราคา ฿130 - ฿259 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/4q1YSVkgQFลอ📌 ครีมกันแดด สำหรับผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ใช้ทาได้ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่ ไม่ขาว ไม่ลอย ไม่แพ้ นำเข้าจากาเกาหลี ในราคา ฿490 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/8Uuqp2kuee
    11 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 842 มุมมอง 0 รีวิว

  • ❌️รังสี UVA สามารถทะลุเข้าไปถึงชั้นลึกของผิว ทำลายคอลลาเจนและกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำที่รักษายาก กันแดดที่มี SPF 50+ PA++++ สามารถลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวเหล่านี้ได้
    ❌️UVB เป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง การได้รับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานโดยไม่ใช้กันแดดจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงนี้ ดังนั้น โลชั่นกันแดดเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ
    📌โลชั่นกันแดดไม่ใช่แค่ไอเทมเสริมความงาม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในประเทศไทย เพื่อปกป้องผิวจาก แสงแดด มลภาวะ และปัญหาผิวต่างๆ การใช้กันแดดทุกวันช่วยให้ผิวสุขภาพดี กระจ่างใส และลดความเสี่ยงของปัญหาผิวระยะยาว อย่ารอให้ผิวเสียก่อนเริ่มปกป้อง ลงกันแดดทุกวัน!
    ❌️รังสี UVA สามารถทะลุเข้าไปถึงชั้นลึกของผิว ทำลายคอลลาเจนและกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำที่รักษายาก กันแดดที่มี SPF 50+ PA++++ สามารถลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวเหล่านี้ได้ ❌️UVB เป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง การได้รับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานโดยไม่ใช้กันแดดจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงนี้ ดังนั้น โลชั่นกันแดดเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ 📌โลชั่นกันแดดไม่ใช่แค่ไอเทมเสริมความงาม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในประเทศไทย เพื่อปกป้องผิวจาก แสงแดด มลภาวะ และปัญหาผิวต่างๆ การใช้กันแดดทุกวันช่วยให้ผิวสุขภาพดี กระจ่างใส และลดความเสี่ยงของปัญหาผิวระยะยาว อย่ารอให้ผิวเสียก่อนเริ่มปกป้อง ลงกันแดดทุกวัน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣 โลชั่นกันเเดดมะพร้าว Coconut Suncreen Lotion สูตรเข้มข้น ผิวขาวใส พร้อมสู้เเดด กลิ่นตัวหอม กันเเดดได้ 50 เท่า วิตซี +++ ในราคา ฿89 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/3LCkhCBqRW
    📣 โลชั่นกันเเดดมะพร้าว Coconut Suncreen Lotion สูตรเข้มข้น ผิวขาวใส พร้อมสู้เเดด กลิ่นตัวหอม กันเเดดได้ 50 เท่า วิตซี +++ ในราคา ฿89 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/3LCkhCBqRW
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข"
    ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ

    เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ

    ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า

    1. อนาคต
    ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง

    2. อนามัย
    เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี

    3. อารมณ์
    ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด

    4. ออกกำลังกาย
    จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว

    5. อาหาร
    อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี

    6. อากาศ
    ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น

    7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

    8. อดิเรก
    ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

    9. อบอุ่น
    พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น

    9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี

    ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว

    และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย

    Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ

    ภาพ: ปี 2564 (internet)

    ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข" ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า 1. อนาคต ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง 2. อนามัย เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี 3. อารมณ์ ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด 4. ออกกำลังกาย จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว 5. อาหาร อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี 6. อากาศ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น 7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 8. อดิเรก ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด 9. อบอุ่น พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น 9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ ภาพ: ปี 2564 (internet) ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 956 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣📣To Gen-Y ,Gen X เตรียมตัวรับมือแล้วหรือยัง❓️
    ✅️การป้องกัน ดีกว่า การแก้ไข
    ✅️ป้ายยา:: มีผลิตภัณฑ์บำรุง ดูแลร่างกาย หลายอย่าง เลือกช๊อป ตามสบายเลยค่ะ
    📌ประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลกในจำนวนประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไป

    จากข้อมูลปี 2024 ประเทศไทยมีประชากรที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไปถึง 42,845 คน ติดอันดับที่ 5 ของโลก แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างชัดเจน

    สาเหตุที่ทำให้คนไทยอายุยืน

    1. อาหารและโภชนาการ

    อาหารไทยอุดมไปด้วยสมุนไพร เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

    การบริโภคผักและผลไม้สด รวมถึงอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลาและข้าวกล้อง

    2. วัฒนธรรมและวิถีชีวิต

    สังคมไทยให้ความสำคัญกับครอบครัว ทำให้ผู้สูงอายุมีการดูแลและได้รับความรักจากลูกหลาน

    การทำบุญและปฏิบัติธรรมช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอายุยืน

    3. การแพทย์และสาธารณสุข

    ระบบสาธารณสุขของไทยเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะโครงการ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" หรือ "บัตรทอง"

    มีแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำงานร่วมกัน ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง

    แนวโน้มของประเทศไทยในอนาคต

    ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งหมายความว่าประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้ต้องมีการปรับตัวในหลายด้าน เช่น

    การพัฒนาระบบสาธารณสุขให้รองรับผู้สูงวัย

    การออกแบบเมืองให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ

    การสนับสนุนให้ผู้สูงวัยสามารถทำงานหรือมีกิจกรรมที่เสริมสร้างสุขภาพ

    จากสถิตินี้ทำให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับอนาคตของประเทศ

    ที่มา: VGraps

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    📣📣To Gen-Y ,Gen X เตรียมตัวรับมือแล้วหรือยัง❓️ ✅️การป้องกัน ดีกว่า การแก้ไข ✅️ป้ายยา:: มีผลิตภัณฑ์บำรุง ดูแลร่างกาย หลายอย่าง เลือกช๊อป ตามสบายเลยค่ะ 📌ประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลกในจำนวนประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไป จากข้อมูลปี 2024 ประเทศไทยมีประชากรที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไปถึง 42,845 คน ติดอันดับที่ 5 ของโลก แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างชัดเจน สาเหตุที่ทำให้คนไทยอายุยืน 1. อาหารและโภชนาการ อาหารไทยอุดมไปด้วยสมุนไพร เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ การบริโภคผักและผลไม้สด รวมถึงอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลาและข้าวกล้อง 2. วัฒนธรรมและวิถีชีวิต สังคมไทยให้ความสำคัญกับครอบครัว ทำให้ผู้สูงอายุมีการดูแลและได้รับความรักจากลูกหลาน การทำบุญและปฏิบัติธรรมช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอายุยืน 3. การแพทย์และสาธารณสุข ระบบสาธารณสุขของไทยเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะโครงการ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" หรือ "บัตรทอง" มีแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำงานร่วมกัน ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แนวโน้มของประเทศไทยในอนาคต ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งหมายความว่าประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้ต้องมีการปรับตัวในหลายด้าน เช่น การพัฒนาระบบสาธารณสุขให้รองรับผู้สูงวัย การออกแบบเมืองให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ การสนับสนุนให้ผู้สูงวัยสามารถทำงานหรือมีกิจกรรมที่เสริมสร้างสุขภาพ จากสถิตินี้ทำให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับอนาคตของประเทศ ที่มา: VGraps Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 805 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌ผลิตภัณฑ์ออแกนิคที่ดีต่อเส้นผมของเรา
    📣สั่งซื้อกดลิ่งค์ในคอมเม้นท์
    📌ผลิตภัณฑ์ออแกนิคที่ดีต่อเส้นผมของเรา 📣สั่งซื้อกดลิ่งค์ในคอมเม้นท์
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👍ความสะดวก สบาย เรียบง่าย สไตล์มินิมอล ประหยัดแรง ประหยัดเวลาในภาวะที่เร่งรีบในปัจจุบัน ✅️✅️ด้วยเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย📣สั่งซื้อกดลิ้งในคอมเม้นท์ค่ะ
    👍ความสะดวก สบาย เรียบง่าย สไตล์มินิมอล ประหยัดแรง ประหยัดเวลาในภาวะที่เร่งรีบในปัจจุบัน ✅️✅️ด้วยเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย📣สั่งซื้อกดลิ้งในคอมเม้นท์ค่ะ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌ข้าวไรซ์เบอรี่ ผลิตภัณฑ์ออแกนิคที่ดีต่อร่างกาย
    📣สั่งซื้อกดลิ้งค์ในคอมเม้นท์ค่ะ
    📌ข้าวไรซ์เบอรี่ ผลิตภัณฑ์ออแกนิคที่ดีต่อร่างกาย 📣สั่งซื้อกดลิ้งค์ในคอมเม้นท์ค่ะ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว

  • ✅️หน้าร้อนนี้ต้องมี! พัดลมชาร์จได้พร้อมละอองน้ำ เย็นสดชื่นกว่า ปรับระดับลมได้ พกไปได้ทุกที่ ไม่ต้องง้อแอร์ ประหยัดไฟ เย็นสบายแบบพรีเมียม!
    ✅️หน้าร้อนนี้ต้องมี! พัดลมชาร์จได้พร้อมละอองน้ำ เย็นสดชื่นกว่า ปรับระดับลมได้ พกไปได้ทุกที่ ไม่ต้องง้อแอร์ ประหยัดไฟ เย็นสบายแบบพรีเมียม!
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣ชีวิตเร่งรีบ ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง❓️✅️ ให้เครื่องนวดอัจฉริยะช่วย! นวดคอ บ่า ไหล่ หลัง เอว และขา คลายปวดเมื่อยในไม่กี่นาที เพื่อความสบายที่คุณควรได้รับ
    ลองด📌 เครื่องนวดคอ บ่า ไหล่ ไฟฟ้าอัจฉริยะ Neck And Shoulder Massager (สีแดง) ในราคา ฿1,999 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/5VHAdNIVdI
    📣ชีวิตเร่งรีบ ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง❓️✅️ ให้เครื่องนวดอัจฉริยะช่วย! นวดคอ บ่า ไหล่ หลัง เอว และขา คลายปวดเมื่อยในไม่กี่นาที เพื่อความสบายที่คุณควรได้รับ ลองด📌 เครื่องนวดคอ บ่า ไหล่ ไฟฟ้าอัจฉริยะ Neck And Shoulder Massager (สีแดง) ในราคา ฿1,999 ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/5VHAdNIVdI
    5 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม