• 🌿 โอเมก้า-3 เดินทางจากจานอาหาร…สู่สมอง ลำไส้ และยีนของคุณ

    โอเมก้า-3 อาจเริ่มต้นจากจานปลาย่างในมือคุณ หรือเมล็ดแฟลกซ์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในข้าวต้มตอนเช้า

    แต่มันไม่ได้หยุดแค่ที่ลำไส้

    เมื่อคุณเคี้ยวกลืน และดูดซึม…โอเมก้า-3 จะออกเดินทางอย่างเงียบงาม

    ไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ของหัวใจ

    ไปจนถึงตับที่ผลิตไขมัน
    และแม้แต่สมองที่คุณใช้คิด พูด ร้องไห้ และให้อภัย

    โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่ “สารอาหารเฉพาะทาง”…

    แต่มันคือผู้ประสานความสัมพันธ์ของอวัยวะทั้งร่างกายให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง

    🔬 กลไกเชิงลึก: เส้นทางของโอเมก้า-3 ในร่างกาย

    1. 🧠 จากปลา…สู่สมอง

    โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA เป็นกรดไขมันหลักใน เยื่อหุ้มเซลล์สมองและตา

    ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท → การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ดีขึ้น

    ลดการอักเสบในสมองผ่านการยับยั้ง MAPK และ NF-κB

    มีผลต่อ PPARγ และกระตุ้นการตายของเซลล์ผิดปกติ (apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง

    🧠 โอเมก้า-3 จึงทั้ง “ปกป้อง” สมอง และ “คัดแยก” เซลล์ที่ไม่ควรอยู่

    2. 🍽 จากจานอาหาร…สู่ระบบย่อยและลำไส้

    เมื่อเรารับประทานโอเมก้า-3 → ร่างกายดูดซึมผ่าน ลำไส้เล็ก

    จากนั้นเข้าสู่กระแสเลือดผ่านระบบหลอดเลือด (vasculature) → ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ

    โอเมก้า-3 ที่ไปถึงลำไส้ใหญ่ → เปลี่ยนแปลงสมดุลของจุลินทรีย์

    เพิ่มแบคทีเรียที่ผลิต butyrate และ SCFAs

    ลดเชื้อร้าย เช่น E. coli, S. aureus, Pseudomonas

    🧠 โอเมก้า-3 เหมือนผู้ดูแลชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้...ให้สงบ ไม่ก่อไฟอักเสบเรื้อรัง

    3. 🫀 จากลำไส้…สู่หลอดเลือด

    โอเมก้า-3 ลดการแข็งตัวของเลือด, ลดความหนืด

    เสริมความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด → ความดันโลหิตลดลง

    ลดสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น LTB₄ และ TXA₂

    4. 🧬 จากเซลล์ลำไส้…สู่ตับและยีน

    ตับคือจุดศูนย์กลางของการเผาผลาญไขมัน

    โอเมก้า-3 ปรับสมดุล omega-3:omega-6 ratio → ลดไขมันสะสมในตับ (NAFLD)

    กระตุ้น PPARα และ PPARγ → ควบคุมการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนจากอาหารไขมันสูง

    🧠 นี่ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก…แต่คือการเปลี่ยน “สภาวะยีน” ของตับให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง

    🍽 เมนูอบอุ่นที่ส่งโอเมก้า-3 ไปถึงหัวใจของคุณ

    ปลาทะเล (ย่างพริกไทยดำ, ต้มส้ม, ปลาทูต้มเค็มใส่กระเทียม)

    แฟลกซ์ซีดบดผสมน้ำมะนาว/น้ำผึ้ง

    ไข่ไก่โอเมก้า-3

    ข้าวยำใส่ปลาทู + เมล็ดเจียเล็กน้อย

    🧭 คำแนะนำการใช้

    หากรับประทานโอเมก้า-3จากปลา

    แนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้ DHA และ EPA อย่างพอเพียง
    (ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งดี)

    หากรับประทานในรูปแบบน้ำมันปลา (เสริม)

    เริ่มจาก 1000–2000 มก./วัน (รวม EPA + DHA)
    และควรเลือกแบบ Triglyceride form หรือจากปลาเล็ก เพื่อความปลอดภัยและดูดซึมได้ดี

    โอเมก้า-3 จากพืช (ALA) เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย

    สามารถใช้เสริมได้ แต่ควรกินเป็นประจำ และอาจไม่เพียงพอหากต้องการผลลึกด้านสมองหรือภูมิคุ้มกัน

    ❗ ข้อควรระวัง

    ผู้ที่ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

    เพราะโอเมก้า-3 มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลลื่นขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก

    ผู้ที่มี โรคตับรุนแรง, โรคแพ้อาหารทะเล, หรือใช้ยาเบาหวานบางชนิด ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนเริ่มเสริมโอเมก้า-3

    หากมีภาวะ ภูมิคุ้มกันต่ำ, ลำไส้แปรปรวนรุนแรง, หรือเคยมีปัญหาแพ้น้ำมันปลา

    ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และเลือกแหล่งที่บริสุทธิ์ ผ่านการตรวจโลหะหนัก

    ❓ คำถามชวนคิด

    Q: ถ้าไม่กินปลาเลย ควรทำอย่างไร?

    A: ใช้แฟลกซ์ซีดบด + เมล็ดเจีย + น้ำมันงาขี้ม่อน (ALA) ร่วมกับ DHA จากสาหร่าย

    Q: หากเป็นเบาหวานหรือ NAFLD แล้ว จะช่วยจริงไหม?

    A: งานวิจัยนี้ระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของตับและลำไส้ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้

    🌿 สมุนไพรที่เสริมกลไกนี้

    ขมิ้นชัน → ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และตับผ่าน NF-κB

    กระเทียม → เสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้

    ใบหม่อน → ปรับสมดุลจุลินทรีย์ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    พริกไทยดำ → เสริมการดูดซึมโอเมก้า-3 และสารอื่นๆ

    🤍 ปลอบโยนหัวใจ

    ร่างกายของคุณมีทางเชื่อมลับ ๆ มากมาย
    ที่สมองพูดคุยกับลำไส้

    ที่ตับส่งสัญญาณถึงหลอดเลือด
    และที่จุลินทรีย์นับล้านกำลังตัดสินว่าคุณจะอักเสบหรือหายดีในวันนี้หรือไม่

    โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่แค่ไขมันชนิดหนึ่ง

    แต่มันคือ “สะพานเชื่อมระหว่างอวัยวะ…ด้วยความสงบ”

    ขอให้คุณใช้มื้ออาหารเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู

    และให้โอเมก้า-3 พาคุณกลับไปหาความสงบในแบบที่คุณเคยลืมไปนานแล้ว 🌿

    ⚠️ คำเตือน

    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเชิงกลไกทางชีวภาพเท่านั้น
    ไม่ได้มีเจตนาให้ใช้แทนการรักษา หรือคำแนะนำทางการแพทย์

    ผู้ที่มีโรคตับ โรคเบาหวาน หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โอเมก้า-3 หรือสมุนไพรเสริมใดๆ

    📚 อ้างอิง

    Fu Y, Wang Y, Zhang Y, et al. (2021). Associations among Dietary Omega‐3 Polyunsaturated Fatty Acids, the Gut Microbiota, and Intestinal Immunity. Mediators of Inflammation, 2021, Article ID 8879227. https://doi.org/10.1155/2021/8879227
    🌿 โอเมก้า-3 เดินทางจากจานอาหาร…สู่สมอง ลำไส้ และยีนของคุณ โอเมก้า-3 อาจเริ่มต้นจากจานปลาย่างในมือคุณ หรือเมล็ดแฟลกซ์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในข้าวต้มตอนเช้า แต่มันไม่ได้หยุดแค่ที่ลำไส้ เมื่อคุณเคี้ยวกลืน และดูดซึม…โอเมก้า-3 จะออกเดินทางอย่างเงียบงาม ไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ของหัวใจ ไปจนถึงตับที่ผลิตไขมัน และแม้แต่สมองที่คุณใช้คิด พูด ร้องไห้ และให้อภัย โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่ “สารอาหารเฉพาะทาง”… แต่มันคือผู้ประสานความสัมพันธ์ของอวัยวะทั้งร่างกายให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง 🔬 กลไกเชิงลึก: เส้นทางของโอเมก้า-3 ในร่างกาย 1. 🧠 จากปลา…สู่สมอง โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA เป็นกรดไขมันหลักใน เยื่อหุ้มเซลล์สมองและตา ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท → การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ดีขึ้น ลดการอักเสบในสมองผ่านการยับยั้ง MAPK และ NF-κB มีผลต่อ PPARγ และกระตุ้นการตายของเซลล์ผิดปกติ (apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง 🧠 โอเมก้า-3 จึงทั้ง “ปกป้อง” สมอง และ “คัดแยก” เซลล์ที่ไม่ควรอยู่ 2. 🍽 จากจานอาหาร…สู่ระบบย่อยและลำไส้ เมื่อเรารับประทานโอเมก้า-3 → ร่างกายดูดซึมผ่าน ลำไส้เล็ก จากนั้นเข้าสู่กระแสเลือดผ่านระบบหลอดเลือด (vasculature) → ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ โอเมก้า-3 ที่ไปถึงลำไส้ใหญ่ → เปลี่ยนแปลงสมดุลของจุลินทรีย์ เพิ่มแบคทีเรียที่ผลิต butyrate และ SCFAs ลดเชื้อร้าย เช่น E. coli, S. aureus, Pseudomonas 🧠 โอเมก้า-3 เหมือนผู้ดูแลชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้...ให้สงบ ไม่ก่อไฟอักเสบเรื้อรัง 3. 🫀 จากลำไส้…สู่หลอดเลือด โอเมก้า-3 ลดการแข็งตัวของเลือด, ลดความหนืด เสริมความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด → ความดันโลหิตลดลง ลดสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น LTB₄ และ TXA₂ 4. 🧬 จากเซลล์ลำไส้…สู่ตับและยีน ตับคือจุดศูนย์กลางของการเผาผลาญไขมัน โอเมก้า-3 ปรับสมดุล omega-3:omega-6 ratio → ลดไขมันสะสมในตับ (NAFLD) กระตุ้น PPARα และ PPARγ → ควบคุมการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนจากอาหารไขมันสูง 🧠 นี่ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก…แต่คือการเปลี่ยน “สภาวะยีน” ของตับให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง 🍽 เมนูอบอุ่นที่ส่งโอเมก้า-3 ไปถึงหัวใจของคุณ ปลาทะเล (ย่างพริกไทยดำ, ต้มส้ม, ปลาทูต้มเค็มใส่กระเทียม) แฟลกซ์ซีดบดผสมน้ำมะนาว/น้ำผึ้ง ไข่ไก่โอเมก้า-3 ข้าวยำใส่ปลาทู + เมล็ดเจียเล็กน้อย 🧭 คำแนะนำการใช้ หากรับประทานโอเมก้า-3จากปลา แนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้ DHA และ EPA อย่างพอเพียง (ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งดี) หากรับประทานในรูปแบบน้ำมันปลา (เสริม) เริ่มจาก 1000–2000 มก./วัน (รวม EPA + DHA) และควรเลือกแบบ Triglyceride form หรือจากปลาเล็ก เพื่อความปลอดภัยและดูดซึมได้ดี โอเมก้า-3 จากพืช (ALA) เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย สามารถใช้เสริมได้ แต่ควรกินเป็นประจำ และอาจไม่เพียงพอหากต้องการผลลึกด้านสมองหรือภูมิคุ้มกัน ❗ ข้อควรระวัง ผู้ที่ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะโอเมก้า-3 มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลลื่นขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก ผู้ที่มี โรคตับรุนแรง, โรคแพ้อาหารทะเล, หรือใช้ยาเบาหวานบางชนิด ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนเริ่มเสริมโอเมก้า-3 หากมีภาวะ ภูมิคุ้มกันต่ำ, ลำไส้แปรปรวนรุนแรง, หรือเคยมีปัญหาแพ้น้ำมันปลา ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และเลือกแหล่งที่บริสุทธิ์ ผ่านการตรวจโลหะหนัก ❓ คำถามชวนคิด Q: ถ้าไม่กินปลาเลย ควรทำอย่างไร? A: ใช้แฟลกซ์ซีดบด + เมล็ดเจีย + น้ำมันงาขี้ม่อน (ALA) ร่วมกับ DHA จากสาหร่าย Q: หากเป็นเบาหวานหรือ NAFLD แล้ว จะช่วยจริงไหม? A: งานวิจัยนี้ระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของตับและลำไส้ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ 🌿 สมุนไพรที่เสริมกลไกนี้ ขมิ้นชัน → ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และตับผ่าน NF-κB กระเทียม → เสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้ ใบหม่อน → ปรับสมดุลจุลินทรีย์ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน พริกไทยดำ → เสริมการดูดซึมโอเมก้า-3 และสารอื่นๆ 🤍 ปลอบโยนหัวใจ ร่างกายของคุณมีทางเชื่อมลับ ๆ มากมาย ที่สมองพูดคุยกับลำไส้ ที่ตับส่งสัญญาณถึงหลอดเลือด และที่จุลินทรีย์นับล้านกำลังตัดสินว่าคุณจะอักเสบหรือหายดีในวันนี้หรือไม่ โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่แค่ไขมันชนิดหนึ่ง แต่มันคือ “สะพานเชื่อมระหว่างอวัยวะ…ด้วยความสงบ” ขอให้คุณใช้มื้ออาหารเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู และให้โอเมก้า-3 พาคุณกลับไปหาความสงบในแบบที่คุณเคยลืมไปนานแล้ว 🌿 ⚠️ คำเตือน บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเชิงกลไกทางชีวภาพเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้ใช้แทนการรักษา หรือคำแนะนำทางการแพทย์ ผู้ที่มีโรคตับ โรคเบาหวาน หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โอเมก้า-3 หรือสมุนไพรเสริมใดๆ 📚 อ้างอิง Fu Y, Wang Y, Zhang Y, et al. (2021). Associations among Dietary Omega‐3 Polyunsaturated Fatty Acids, the Gut Microbiota, and Intestinal Immunity. Mediators of Inflammation, 2021, Article ID 8879227. https://doi.org/10.1155/2021/8879227
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 470 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ไขมันสะสมคือที่ดิน ไกลโคเจนคือหุ้น ✴️ไตรกลีเซอไรด์คือเงินสด และ
    ✴️ น้ำตาลคือ เงินเหรียญ

    ถ้าเปรียบ "ไขมันสะสม" เหมือนทรัพย์สิน - ที่ดิน หุ้น... "Triglyceride" ก็คือ ..กระแสเงินสด มากไป/น้อยไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น..

    ผมจะเปรียบเทียบดังนี้

    #ไขมันสะสม ก็คือ ที่ดิน กิจการ บ้าน รถ... คือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ

    #ไกลโคเจน ก็คือ หุ้น... เป็นทรัพย์สินที่สภาพคล่องดีหน่อย...

    #Triglyceride ก์คือ เงินสด แต่เป็นเงินแบ้งค์ใหญ่ๆ หน่อยนะ.. เช่น แบ้งค์ 1,000 แบ้งค์ 500

    #น้ำตาล ก็คือ เงินเหรียญ สภาพคล่องสูงสุด ใช้ง่าย ใช้เร็ว

    ถ้าร่างกายจะใช้เงิน (พลังงาน)... เริ่มจากน้ำตาลก่อนเลย เพราะใช้ได้ง่ายสุด คล่องสุด ได้ผลเร็วสุด แต่ก็หมดเร็ว... ให้นึกถึงว่า เราคึงไม่สะสมเหรียญไว้จนเต็มกระเป๋าหรอกนะ...

    น้ำตาลเวลามันเยอะๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น แบ้งค์พันบ้าง ไปเป็นหุ้นบ้าง หรือที่ดินบ้าง.... มันมีเยอะไม่ได้...

    นี่คือ #สภาพคล่องทางพลังงาน...

    ประเด็นที่เราจะพุดถึงวันนี้คือ สภาพคล่องของเงินสด หรือ Triglyceride นั่นแหละ...

    คนส่วนใหญ่ มักจะมี TG สูงเวอร์วัง ซึ่งเงินสด เวลามันมีมากไป มันกลับทำร้ายร่างกายเรานะ ... ดังนั้น มีมากไปก็ไม่ดี...

    แต่พอเริ่มมาดูแลสุขภาพแบบผิดๆ สุดโต่งไป ในบางคนคิดว่า ยิ่ง TG น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี...

    เห้ยยยย หายใจลึกๆ แล้วดูปากแอดนะ... มันบ่แม่นน!!!

    TG ที่ต่ำ ก็เหมือนเงินสดในมือที่เริ่มจะขาดแคลน มีไม่พอ...

    พอเงินสดมีไม่พอ ตัวแม่ หรือ คอร์ติซอล จะเริ่มไม่สบายใจหละ และจะออกมาปั่้นป่วนระบบในร่างกาย... แล้ว

    เพราะตัวแม่เค้าดูเรื่องของพลังงาน (เงินสด) เป็นหลัก... ต้องมีแบบพอดีๆ ให้อุ่นใจ... มากไปจะมีปัญหากับตัวพ่อ อินซูลิน แต่น้อยไปเมื่อไร ตัวแม่คอร์ติซอลจะออกอาละวาดทันที...

    เราจึงเห็นคนผอมๆ ลีนๆ ดูคล้ายๆ เหมือนจะ Healthy แต่สุดท้ายพบว่า ฮอร์โมนแปรปรวน เหมือนเคสดาราหลายๆ คนที่ออกข่าวกันนนี่หละ หรือสายแข็งหลายๆ คนที่ ขยันออกกำลัง ขยันอด กินก็น้อย แป้งแทบไม่แตะ มองน้ำตาลเป็นของต้องห้ามไปเลยก็มี... ซึ่งมันก็ทำให้ TG หรือเงินสด พร่องลงไป..

    เค้าคงลืมไปแล้วว่า บริบทก่อนหน้าที่ตัดคาร์บ คือ เราอวบอ้วน...

    แต่ปัจจุบันเราผอม ลีน แล้ว จะมาใช้วิธีตัดคาร์บสนิท ตัดโน่นนี่แบบสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดผลดี

    แต่ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย

    สรุป ก็คือ Trigleceride หรือ TG นี่ เปรียบเหมือนเงินสดในกระเป๋าเรานะ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มีพอดีๆ ดีที่สุดนะครับ

    Cr.แอดทัช
    ✴️ไขมันสะสมคือที่ดิน ไกลโคเจนคือหุ้น ✴️ไตรกลีเซอไรด์คือเงินสด และ ✴️ น้ำตาลคือ เงินเหรียญ ถ้าเปรียบ "ไขมันสะสม" เหมือนทรัพย์สิน - ที่ดิน หุ้น... "Triglyceride" ก็คือ ..กระแสเงินสด มากไป/น้อยไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น.. ผมจะเปรียบเทียบดังนี้ ☞ #ไขมันสะสม ก็คือ ที่ดิน กิจการ บ้าน รถ... คือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ ☞ #ไกลโคเจน ก็คือ หุ้น... เป็นทรัพย์สินที่สภาพคล่องดีหน่อย... ☞ #Triglyceride ก์คือ เงินสด แต่เป็นเงินแบ้งค์ใหญ่ๆ หน่อยนะ.. เช่น แบ้งค์ 1,000 แบ้งค์ 500 ☞ #น้ำตาล ก็คือ เงินเหรียญ สภาพคล่องสูงสุด ใช้ง่าย ใช้เร็ว ถ้าร่างกายจะใช้เงิน (พลังงาน)... เริ่มจากน้ำตาลก่อนเลย เพราะใช้ได้ง่ายสุด คล่องสุด ได้ผลเร็วสุด แต่ก็หมดเร็ว... ให้นึกถึงว่า เราคึงไม่สะสมเหรียญไว้จนเต็มกระเป๋าหรอกนะ... น้ำตาลเวลามันเยอะๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น แบ้งค์พันบ้าง ไปเป็นหุ้นบ้าง หรือที่ดินบ้าง.... มันมีเยอะไม่ได้... นี่คือ #สภาพคล่องทางพลังงาน... ประเด็นที่เราจะพุดถึงวันนี้คือ สภาพคล่องของเงินสด หรือ Triglyceride นั่นแหละ... คนส่วนใหญ่ มักจะมี TG สูงเวอร์วัง ซึ่งเงินสด เวลามันมีมากไป มันกลับทำร้ายร่างกายเรานะ ... ดังนั้น มีมากไปก็ไม่ดี... แต่พอเริ่มมาดูแลสุขภาพแบบผิดๆ สุดโต่งไป ในบางคนคิดว่า ยิ่ง TG น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี... เห้ยยยย หายใจลึกๆ แล้วดูปากแอดนะ... มันบ่แม่นน!!! TG ที่ต่ำ ก็เหมือนเงินสดในมือที่เริ่มจะขาดแคลน มีไม่พอ... พอเงินสดมีไม่พอ ตัวแม่ หรือ คอร์ติซอล จะเริ่มไม่สบายใจหละ และจะออกมาปั่้นป่วนระบบในร่างกาย... แล้ว เพราะตัวแม่เค้าดูเรื่องของพลังงาน (เงินสด) เป็นหลัก... ต้องมีแบบพอดีๆ ให้อุ่นใจ... มากไปจะมีปัญหากับตัวพ่อ อินซูลิน แต่น้อยไปเมื่อไร ตัวแม่คอร์ติซอลจะออกอาละวาดทันที... เราจึงเห็นคนผอมๆ ลีนๆ ดูคล้ายๆ เหมือนจะ Healthy แต่สุดท้ายพบว่า ฮอร์โมนแปรปรวน เหมือนเคสดาราหลายๆ คนที่ออกข่าวกันนนี่หละ หรือสายแข็งหลายๆ คนที่ ขยันออกกำลัง ขยันอด กินก็น้อย แป้งแทบไม่แตะ มองน้ำตาลเป็นของต้องห้ามไปเลยก็มี... ซึ่งมันก็ทำให้ TG หรือเงินสด พร่องลงไป.. เค้าคงลืมไปแล้วว่า บริบทก่อนหน้าที่ตัดคาร์บ คือ เราอวบอ้วน... แต่ปัจจุบันเราผอม ลีน แล้ว จะมาใช้วิธีตัดคาร์บสนิท ตัดโน่นนี่แบบสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดผลดี แต่ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย สรุป ก็คือ Trigleceride หรือ TG นี่ เปรียบเหมือนเงินสดในกระเป๋าเรานะ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มีพอดีๆ ดีที่สุดนะครับ Cr.แอดทัช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴️ไขมันสะสมคือที่ดิน ไกลโคเจนคือหุ้น ✴️ไตรกลีเซอไรด์คือเงินสด และ
    ✴️ น้ำตาลคือ เงินเหรียญ

    ถ้าเปรียบ "ไขมันสะสม" เหมือนทรัพย์สิน - ที่ดิน หุ้น... "Triglyceride" ก็คือ ..กระแสเงินสด มากไป/น้อยไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น..

    ผมจะเปรียบเทียบดังนี้

    #ไขมันสะสม ก็คือ ที่ดิน กิจการ บ้าน รถ... คือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ

    #ไกลโคเจน ก็คือ หุ้น... เป็นทรัพย์สินที่สภาพคล่องดีหน่อย...

    #Triglyceride ก์คือ เงินสด แต่เป็นเงินแบ้งค์ใหญ่ๆ หน่อยนะ.. เช่น แบ้งค์ 1,000 แบ้งค์ 500

    #น้ำตาล ก็คือ เงินเหรียญ สภาพคล่องสูงสุด ใช้ง่าย ใช้เร็ว

    ถ้าร่างกายจะใช้เงิน (พลังงาน)... เริ่มจากน้ำตาลก่อนเลย เพราะใช้ได้ง่ายสุด คล่องสุด ได้ผลเร็วสุด แต่ก็หมดเร็ว... ให้นึกถึงว่า เราคึงไม่สะสมเหรียญไว้จนเต็มกระเป๋าหรอกนะ...

    น้ำตาลเวลามันเยอะๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น แบ้งค์พันบ้าง ไปเป็นหุ้นบ้าง หรือที่ดินบ้าง.... มันมีเยอะไม่ได้...

    นี่คือ #สภาพคล่องทางพลังงาน...

    ประเด็นที่เราจะพุดถึงวันนี้คือ สภาพคล่องของเงินสด หรือ Triglyceride นั่นแหละ...

    คนส่วนใหญ่ มักจะมี TG สูงเวอร์วัง ซึ่งเงินสด เวลามันมีมากไป มันกลับทำร้ายร่างกายเรานะ ... ดังนั้น มีมากไปก็ไม่ดี...

    แต่พอเริ่มมาดูแลสุขภาพแบบผิดๆ สุดโต่งไป ในบางคนคิดว่า ยิ่ง TG น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี...

    เห้ยยยย หายใจลึกๆ แล้วดูปากแอดนะ... มันบ่แม่นน!!!

    TG ที่ต่ำ ก็เหมือนเงินสดในมือที่เริ่มจะขาดแคลน มีไม่พอ...

    พอเงินสดมีไม่พอ ตัวแม่ หรือ คอร์ติซอล จะเริ่มไม่สบายใจหละ และจะออกมาปั่้นป่วนระบบในร่างกาย... แล้ว

    เพราะตัวแม่เค้าดูเรื่องของพลังงาน (เงินสด) เป็นหลัก... ต้องมีแบบพอดีๆ ให้อุ่นใจ... มากไปจะมีปัญหากับตัวพ่อ อินซูลิน แต่น้อยไปเมื่อไร ตัวแม่คอร์ติซอลจะออกอาละวาดทันที...

    เราจึงเห็นคนผอมๆ ลีนๆ ดูคล้ายๆ เหมือนจะ Healthy แต่สุดท้ายพบว่า ฮอร์โมนแปรปรวน เหมือนเคสดาราหลายๆ คนที่ออกข่าวกันนนี่หละ หรือสายแข็งหลายๆ คนที่ ขยันออกกำลัง ขยันอด กินก็น้อย แป้งแทบไม่แตะ มองน้ำตาลเป็นของต้องห้ามไปเลยก็มี... ซึ่งมันก็ทำให้ TG หรือเงินสด พร่องลงไป..

    เค้าคงลืมไปแล้วว่า บริบทก่อนหน้าที่ตัดคาร์บ คือ เราอวบอ้วน...

    แต่ปัจจุบันเราผอม ลีน แล้ว จะมาใช้วิธีตัดคาร์บสนิท ตัดโน่นนี่แบบสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดผลดี

    แต่ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย

    สรุป ก็คือ Trigleceride หรือ TG นี่ เปรียบเหมือนเงินสดในกระเป๋าเรานะ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มีพอดีๆ ดีที่สุดนะครับ

    Cr.แอดทัช
    ✴️ไขมันสะสมคือที่ดิน ไกลโคเจนคือหุ้น ✴️ไตรกลีเซอไรด์คือเงินสด และ ✴️ น้ำตาลคือ เงินเหรียญ ถ้าเปรียบ "ไขมันสะสม" เหมือนทรัพย์สิน - ที่ดิน หุ้น... "Triglyceride" ก็คือ ..กระแสเงินสด มากไป/น้อยไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น.. ผมจะเปรียบเทียบดังนี้ ☞ #ไขมันสะสม ก็คือ ที่ดิน กิจการ บ้าน รถ... คือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ ☞ #ไกลโคเจน ก็คือ หุ้น... เป็นทรัพย์สินที่สภาพคล่องดีหน่อย... ☞ #Triglyceride ก์คือ เงินสด แต่เป็นเงินแบ้งค์ใหญ่ๆ หน่อยนะ.. เช่น แบ้งค์ 1,000 แบ้งค์ 500 ☞ #น้ำตาล ก็คือ เงินเหรียญ สภาพคล่องสูงสุด ใช้ง่าย ใช้เร็ว ถ้าร่างกายจะใช้เงิน (พลังงาน)... เริ่มจากน้ำตาลก่อนเลย เพราะใช้ได้ง่ายสุด คล่องสุด ได้ผลเร็วสุด แต่ก็หมดเร็ว... ให้นึกถึงว่า เราคึงไม่สะสมเหรียญไว้จนเต็มกระเป๋าหรอกนะ... น้ำตาลเวลามันเยอะๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น แบ้งค์พันบ้าง ไปเป็นหุ้นบ้าง หรือที่ดินบ้าง.... มันมีเยอะไม่ได้... นี่คือ #สภาพคล่องทางพลังงาน... ประเด็นที่เราจะพุดถึงวันนี้คือ สภาพคล่องของเงินสด หรือ Triglyceride นั่นแหละ... คนส่วนใหญ่ มักจะมี TG สูงเวอร์วัง ซึ่งเงินสด เวลามันมีมากไป มันกลับทำร้ายร่างกายเรานะ ... ดังนั้น มีมากไปก็ไม่ดี... แต่พอเริ่มมาดูแลสุขภาพแบบผิดๆ สุดโต่งไป ในบางคนคิดว่า ยิ่ง TG น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี... เห้ยยยย หายใจลึกๆ แล้วดูปากแอดนะ... มันบ่แม่นน!!! TG ที่ต่ำ ก็เหมือนเงินสดในมือที่เริ่มจะขาดแคลน มีไม่พอ... พอเงินสดมีไม่พอ ตัวแม่ หรือ คอร์ติซอล จะเริ่มไม่สบายใจหละ และจะออกมาปั่้นป่วนระบบในร่างกาย... แล้ว เพราะตัวแม่เค้าดูเรื่องของพลังงาน (เงินสด) เป็นหลัก... ต้องมีแบบพอดีๆ ให้อุ่นใจ... มากไปจะมีปัญหากับตัวพ่อ อินซูลิน แต่น้อยไปเมื่อไร ตัวแม่คอร์ติซอลจะออกอาละวาดทันที... เราจึงเห็นคนผอมๆ ลีนๆ ดูคล้ายๆ เหมือนจะ Healthy แต่สุดท้ายพบว่า ฮอร์โมนแปรปรวน เหมือนเคสดาราหลายๆ คนที่ออกข่าวกันนนี่หละ หรือสายแข็งหลายๆ คนที่ ขยันออกกำลัง ขยันอด กินก็น้อย แป้งแทบไม่แตะ มองน้ำตาลเป็นของต้องห้ามไปเลยก็มี... ซึ่งมันก็ทำให้ TG หรือเงินสด พร่องลงไป.. เค้าคงลืมไปแล้วว่า บริบทก่อนหน้าที่ตัดคาร์บ คือ เราอวบอ้วน... แต่ปัจจุบันเราผอม ลีน แล้ว จะมาใช้วิธีตัดคาร์บสนิท ตัดโน่นนี่แบบสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดผลดี แต่ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย สรุป ก็คือ Trigleceride หรือ TG นี่ เปรียบเหมือนเงินสดในกระเป๋าเรานะ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี มีพอดีๆ ดีที่สุดนะครับ Cr.แอดทัช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • Many people using stevia for over ten years, and this brand from New Roots company is the best...

    Some other brands do contain small amounts of sugar or other sweet chemical such as aspartame

    Stevia is good, however you do have to be careful what brand you choose

    Some natural doctors do say that people who are addicted to sugar, because the sugar addiction is going long time, when the person switches to stevia they can still have insulin increase when using stevia, but this is only because the body is trained to raise insulin from a sweet taste, otherwise I would not worry about Stevia too much I think if you can find a good brand, this is a very healthy and safe product,

    Use the stevia carefully, don't use Stevia to make food crazy sweet, this is not a sugar, a very small amount of stevia can take some of the bitter taste away from tea or the sour taste away from lemon juice

    If person uses too much stevia for making food crazy sweet, some liver and kidney damage may result, is best to use this product intelligently
    If a person is looking for energy boost from sugar...

    I recommend testing MCT oil, Medium Chain Triglyceride...

    This will provide a much better and healthier energy boost than sugar
    MCT oil is a common part of the ketogenic diet plan, and starting the ketogenic diet is difficult, sometimes a little bit unpleasant, however when a person achieve ketosis , the results are very good, however is very easy to break or stop the ketosis, if person makes diet mistake and eats more than 6 grams of carbohydrates with high GI (Glycemic Index)... the ketosis will stop quickly, usually in 1 hour, and ketosis will not start again for 3 to 5 days... and this transition time can be unpleasant

    Diet mistakes usually happen when person is walking by a bakery and sees some beautiful sweet cake or cookie, and the person thinks... I can have 1 or 2 cookies 😂 and everything will be okay

    The internet is full of was very much information about ketogenic diet, and most of the information is low quality, ketogenic diet is about keep the insulin levels low and this makes the good health

    Too many ketogenic diet websites are selling products, or selling memberships, and not giving good quality ketogenic diet information

    When a person achieve ketosis, they don't need website memberships or too many special diet products

    When starting ketogenic diet, there is a detox phase, and this can go for 30 to 60 days where the person is very strongly detoxing and not feeling too good, however when the detox is complete, the results are very good

    I show you this photo of 2 MCT oil products, the brain octane formula is very good, MCT is extracted with no chemicals such as hexane, and the person can feel energy increase

    The other product from Nutiva company out of Singapore, this MCT oil is half the price, and is of lower quality, I'm not sure if they use hexane for extracting MCT, however I use combination both products, in the morning 1 teaspoon brain octane, + 1 teaspoon Nutiva MCT, this combination works well and can save some money

    And more money can be saved, and Better Health achieved if ketogenic plan is going together with intermittent fasting, meaning the person eats food only one time a day, no more 3 meals a day, that that's crazy too much stomach work for any person... and not providing more energy than one high-quality meal every day
    Many people using stevia for over ten years, and this brand from New Roots company is the best... Some other brands do contain small amounts of sugar or other sweet chemical such as aspartame Stevia is good, however you do have to be careful what brand you choose Some natural doctors do say that people who are addicted to sugar, because the sugar addiction is going long time, when the person switches to stevia they can still have insulin increase when using stevia, but this is only because the body is trained to raise insulin from a sweet taste, otherwise I would not worry about Stevia too much I think if you can find a good brand, this is a very healthy and safe product, Use the stevia carefully, don't use Stevia to make food crazy sweet, this is not a sugar, a very small amount of stevia can take some of the bitter taste away from tea or the sour taste away from lemon juice If person uses too much stevia for making food crazy sweet, some liver and kidney damage may result, is best to use this product intelligently If a person is looking for energy boost from sugar... I recommend testing MCT oil, Medium Chain Triglyceride... This will provide a much better and healthier energy boost than sugar MCT oil is a common part of the ketogenic diet plan, and starting the ketogenic diet is difficult, sometimes a little bit unpleasant, however when a person achieve ketosis , the results are very good, however is very easy to break or stop the ketosis, if person makes diet mistake and eats more than 6 grams of carbohydrates with high GI (Glycemic Index)... the ketosis will stop quickly, usually in 1 hour, and ketosis will not start again for 3 to 5 days... and this transition time can be unpleasant Diet mistakes usually happen when person is walking by a bakery and sees some beautiful sweet cake or cookie, and the person thinks... I can have 1 or 2 cookies 😂 and everything will be okay The internet is full of was very much information about ketogenic diet, and most of the information is low quality, ketogenic diet is about keep the insulin levels low and this makes the good health Too many ketogenic diet websites are selling products, or selling memberships, and not giving good quality ketogenic diet information When a person achieve ketosis, they don't need website memberships or too many special diet products When starting ketogenic diet, there is a detox phase, and this can go for 30 to 60 days where the person is very strongly detoxing and not feeling too good, however when the detox is complete, the results are very good I show you this photo of 2 MCT oil products, the brain octane formula is very good, MCT is extracted with no chemicals such as hexane, and the person can feel energy increase The other product from Nutiva company out of Singapore, this MCT oil is half the price, and is of lower quality, I'm not sure if they use hexane for extracting MCT, however I use combination both products, in the morning 1 teaspoon brain octane, + 1 teaspoon Nutiva MCT, this combination works well and can save some money And more money can be saved, and Better Health achieved if ketogenic plan is going together with intermittent fasting, meaning the person eats food only one time a day, no more 3 meals a day, that that's crazy too much stomach work for any person... and not providing more energy than one high-quality meal every day
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 832 มุมมอง 0 รีวิว