• ลัทธิอวดรวย ค่านิยมบิดเบี้ยว : Sondhitalk EP286 VDO
    ชีวิตเทา ๆ ของ “ดิว อริสรา” กับคนรอบตัว
    #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิ #จับประเด็น #คลองปานามา
    ThaiTimes คือแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ช่วยให้คุณ:
    - แพลตฟอร์มที่ไม่โดนปิดกั้น
    - แชร์รูปภาพและวิดีโอ
    - ติดตามข่าวสารล่าสุดจากคนที่คุณติดตาม
    แอป Thaitimes มีให้ Download ได้แล้วทั้งใน iOS และใน android
    iOS : https://apps.apple.com/th/app/thaitimes-social/id6502225132
    Google Play :https://play.google.com/store/apps/details...
    และ https://thaitimes.co
    ลัทธิอวดรวย ค่านิยมบิดเบี้ยว : Sondhitalk EP286 VDO ชีวิตเทา ๆ ของ “ดิว อริสรา” กับคนรอบตัว #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิ #จับประเด็น #คลองปานามา ThaiTimes คือแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ช่วยให้คุณ: - แพลตฟอร์มที่ไม่โดนปิดกั้น - แชร์รูปภาพและวิดีโอ - ติดตามข่าวสารล่าสุดจากคนที่คุณติดตาม แอป Thaitimes มีให้ Download ได้แล้วทั้งใน iOS และใน android iOS : https://apps.apple.com/th/app/thaitimes-social/id6502225132 Google Play :https://play.google.com/store/apps/details... และ https://thaitimes.co
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 491 มุมมอง 21 1 รีวิว
  • จุดจบวัฒนธรรมพิการ ศาลสั่งประหาร! “อั้ม-อนาวิน แก้วเก็บ” มือยิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด”

    ✍️ จากวัฒนธรรมรับน้องผิดเพี้ยน สู่บทสรุปคดีสะเทือนขวัญ วัยรุ่นไทยควรได้บทเรียนอะไร จากโศกนาฏกรรมนี้? ศาลสั่งประหาร “อั้ม-อนาวิน” คดียิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” สะเทือนใจทั้งประเทศ จุดจบวัฒนธรรมพิการต้องจบที่รุ่นเรา เหยื่อบริสุทธิ์จากวัฒนธรรมรับน้องผิดๆ จุดเริ่มต้นของการล้มล้างความรุนแรง แฝงในระบบการศึกษาไทย

    🔵 ความสูญเสียที่ต้องไม่สูญเปล่า วันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นวันที่หลายคนจดจำ เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาชั้นต้นให้ “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อั้ม” มือยิงผู้บริสุทธิ์สองราย ได้แก่ “ครูเจี๊ยบ” และ “น้องหยอด” จากเหตุการณ์เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2566

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “คดีฆาตกรรม” แต่สะท้อนปัญหาฝังลึกในสังคม คือ “วัฒนธรรมรับน้องอันรุนแรง” ที่ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และส่งต่อกันมาโดยไร้การตรวจสอบ ❌

    🔴 “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวันกลับมา คดีเริ่มต้นจากความตั้งใจของกลุ่มอดีตเด็กช่าง ที่ต้องการ “สร้างผลงาน” เพื่อไปอวดในวันรับน้องของสถาบันแห่งหนึ่ง โดยนายอนาวิน วางแผนมาก่อนแล้วว่า จะก่อเหตุในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันก่อนวันรับน้อง 1 วัน

    📍 สถานที่เกิดเหตุ หน้าธนาคาร TTB สาขาคลองเตย ใจกลางกรุงเทพฯ

    🔫 เหยื่อ
    - นางสาวศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนเวนต์
    - นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย

    การยิงเกิดจาก “กระสุนพลาดเป้า” ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะยิงน้องหยอด แต่กลับทำให้ครูเจี๊ยบเสียชีวิตทันที 😢

    🟠 บทเรียนจากการล่า 24 ผู้ต้องหา ปฏิบัติการ “ปิดเมือง” หลังเกิดเหตุ ตำรวจเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ “ปิดเมืองล่ามือยิง” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่าจะจับตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คนจาก 26 หมายจับ 💣

    🔍 ตรวจสอบกล้องวงจรกว่า 1,000 ตัว
    🚔 ปิดล้อม 14 จุดทั่วกรุงและปริมณฑล
    🔫 ตรวจสอบกลุ่มแชตลับ 103 คน มีแผนฆ่า มีระบบดูแลคนใน
    📱 ใช้ไลน์กลุ่มลับ 84 คน วางแผนคล้าย "องค์กรอาชญากรรม"

    หนึ่งในตำรวจสืบสวนเล่าว่า การไล่ล่าครั้งนี้ “ยิ่งกว่านิยายไล่ล่าตี๋ใหญ่” เพราะผู้ต้องหาหนีอย่างแนบเนียน เปลี่ยนสีรถ, เปลี่ยนทะเบียน, เปลี่ยนเสื้อผ้า, วางจุดลวงสับสนเจ้าหน้าที่

    🟡 จุดแตกหัก จับกุม “อั้ม-อนาวิน” บนดอยปุย 🎯 หลังไล่ล่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ตำรวจไล่ติดตามจนกระทั่งพบตัว “อนาวิน” พร้อม “กฤติ” เพื่อนร่วมขบวนการ ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันที่ 19 ธันวาคม 2566

    👮‍♂️ ตำรวจคุกเข่าร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากตามล่ามา 1 เดือนเต็ม 🥹

    🟢 ศาลตัดสิน “ประหารชีวิต” เพื่อยุติวัฏจักร วันที่ 28 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ล้านบาท

    👉 ความผิดตามกฎหมาย
    - ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
    - มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ยิงปืนในที่ชุมชน
    - สมคบก่ออาชญากรรม

    🔵 วัฒนธรรมรับน้อง = จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม จากการสอบปากคำ “อั้ม-อนาวิน” ยอมรับว่า ต้องการสร้าง “ผลงาน” เพื่อเอาไปโชว์ในวันรับน้อง ซึ่งมาจากการปลูกฝังของรุ่นพี่ 💣

    พร้อมมีการพูดคุยผ่านไลน์กลุ่มลับว่า “ใครฆ่าอริได้ จะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม”

    “ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก... ที่พาน้องไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกล” นี่คือคำพูดในแชตลับที่ชวนให้ขนลุก 😨
    มันไม่ใช่แค่ “การแกล้ง” หรือ “กิจกรรมรุ่นพี่-รุ่นน้อง” อีกต่อไป แต่เป็นการหล่อหลอมความรุนแรง

    🔴 จุดจบของ “วัฒนธรรมพิการ” ต้องจบที่รุ่นเรา คดีนี้เป็น ภาพสะท้อนของปัญหาสังคมไทย ที่สั่งสมมานาน
    วัฒนธรรมรับน้องที่ขาดจรรยาบรรณ สร้างเงื่อนไขของการยอมรับผ่านความรุนแรง อวดอำนาจเหนือผู้อื่น

    🧠 คำถามที่ต้องถามคือ...

    👉 วัฒนธรรมที่ต้องมีคนตาย ถึงจะได้รับการยอมรับ เราจะยังเรียกมันว่า “วัฒนธรรม” ได้อีกหรือ?

    🟣 บทสรุป ความยุติธรรม และภารกิจต่อไปของสังคม คดีนี้ไม่เพียงปิดฉากด้วย “คำสั่งประหารชีวิต” แต่มันคือเสียงร้องของสังคมที่ว่า…

    🔊 ถึงเวลา “ล้มล้างวัฒนธรรมพิการ”
    🔊 ถึงเวลาทบทวนระบบสถาบัน ที่หล่อหลอมความรุนแรงให้เป็นเรื่องปกติ
    🔊 ถึงเวลาสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281803 มี.ค. 2568

    📢 #จุดจบวัฒนธรรมพิการ #คดีครูเจี๊ยบ #น้องหยอดอุเทน #อนาวินแก้วเก็บ #ประหารชีวิต #อาชญากรรมไทย #ยิงกลางกรุง #รับน้องผิดๆ #ยุติธรรมไทย #ตำรวจไทยไล่ล่า
    จุดจบวัฒนธรรมพิการ ศาลสั่งประหาร! “อั้ม-อนาวิน แก้วเก็บ” มือยิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ✍️ จากวัฒนธรรมรับน้องผิดเพี้ยน สู่บทสรุปคดีสะเทือนขวัญ วัยรุ่นไทยควรได้บทเรียนอะไร จากโศกนาฏกรรมนี้? ศาลสั่งประหาร “อั้ม-อนาวิน” คดียิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” สะเทือนใจทั้งประเทศ จุดจบวัฒนธรรมพิการต้องจบที่รุ่นเรา เหยื่อบริสุทธิ์จากวัฒนธรรมรับน้องผิดๆ จุดเริ่มต้นของการล้มล้างความรุนแรง แฝงในระบบการศึกษาไทย 🔵 ความสูญเสียที่ต้องไม่สูญเปล่า วันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นวันที่หลายคนจดจำ เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาชั้นต้นให้ “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อั้ม” มือยิงผู้บริสุทธิ์สองราย ได้แก่ “ครูเจี๊ยบ” และ “น้องหยอด” จากเหตุการณ์เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2566 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “คดีฆาตกรรม” แต่สะท้อนปัญหาฝังลึกในสังคม คือ “วัฒนธรรมรับน้องอันรุนแรง” ที่ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และส่งต่อกันมาโดยไร้การตรวจสอบ ❌ 🔴 “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวันกลับมา คดีเริ่มต้นจากความตั้งใจของกลุ่มอดีตเด็กช่าง ที่ต้องการ “สร้างผลงาน” เพื่อไปอวดในวันรับน้องของสถาบันแห่งหนึ่ง โดยนายอนาวิน วางแผนมาก่อนแล้วว่า จะก่อเหตุในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันก่อนวันรับน้อง 1 วัน 📍 สถานที่เกิดเหตุ หน้าธนาคาร TTB สาขาคลองเตย ใจกลางกรุงเทพฯ 🔫 เหยื่อ - นางสาวศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนเวนต์ - นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย การยิงเกิดจาก “กระสุนพลาดเป้า” ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะยิงน้องหยอด แต่กลับทำให้ครูเจี๊ยบเสียชีวิตทันที 😢 🟠 บทเรียนจากการล่า 24 ผู้ต้องหา ปฏิบัติการ “ปิดเมือง” หลังเกิดเหตุ ตำรวจเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ “ปิดเมืองล่ามือยิง” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่าจะจับตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คนจาก 26 หมายจับ 💣 🔍 ตรวจสอบกล้องวงจรกว่า 1,000 ตัว 🚔 ปิดล้อม 14 จุดทั่วกรุงและปริมณฑล 🔫 ตรวจสอบกลุ่มแชตลับ 103 คน มีแผนฆ่า มีระบบดูแลคนใน 📱 ใช้ไลน์กลุ่มลับ 84 คน วางแผนคล้าย "องค์กรอาชญากรรม" หนึ่งในตำรวจสืบสวนเล่าว่า การไล่ล่าครั้งนี้ “ยิ่งกว่านิยายไล่ล่าตี๋ใหญ่” เพราะผู้ต้องหาหนีอย่างแนบเนียน เปลี่ยนสีรถ, เปลี่ยนทะเบียน, เปลี่ยนเสื้อผ้า, วางจุดลวงสับสนเจ้าหน้าที่ 🟡 จุดแตกหัก จับกุม “อั้ม-อนาวิน” บนดอยปุย 🎯 หลังไล่ล่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ตำรวจไล่ติดตามจนกระทั่งพบตัว “อนาวิน” พร้อม “กฤติ” เพื่อนร่วมขบวนการ ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันที่ 19 ธันวาคม 2566 👮‍♂️ ตำรวจคุกเข่าร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากตามล่ามา 1 เดือนเต็ม 🥹 🟢 ศาลตัดสิน “ประหารชีวิต” เพื่อยุติวัฏจักร วันที่ 28 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ล้านบาท 👉 ความผิดตามกฎหมาย - ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน - มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต - ยิงปืนในที่ชุมชน - สมคบก่ออาชญากรรม 🔵 วัฒนธรรมรับน้อง = จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม จากการสอบปากคำ “อั้ม-อนาวิน” ยอมรับว่า ต้องการสร้าง “ผลงาน” เพื่อเอาไปโชว์ในวันรับน้อง ซึ่งมาจากการปลูกฝังของรุ่นพี่ 💣 พร้อมมีการพูดคุยผ่านไลน์กลุ่มลับว่า “ใครฆ่าอริได้ จะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม” “ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก... ที่พาน้องไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกล” นี่คือคำพูดในแชตลับที่ชวนให้ขนลุก 😨 มันไม่ใช่แค่ “การแกล้ง” หรือ “กิจกรรมรุ่นพี่-รุ่นน้อง” อีกต่อไป แต่เป็นการหล่อหลอมความรุนแรง 🔴 จุดจบของ “วัฒนธรรมพิการ” ต้องจบที่รุ่นเรา คดีนี้เป็น ภาพสะท้อนของปัญหาสังคมไทย ที่สั่งสมมานาน วัฒนธรรมรับน้องที่ขาดจรรยาบรรณ สร้างเงื่อนไขของการยอมรับผ่านความรุนแรง อวดอำนาจเหนือผู้อื่น 🧠 คำถามที่ต้องถามคือ... 👉 วัฒนธรรมที่ต้องมีคนตาย ถึงจะได้รับการยอมรับ เราจะยังเรียกมันว่า “วัฒนธรรม” ได้อีกหรือ? 🟣 บทสรุป ความยุติธรรม และภารกิจต่อไปของสังคม คดีนี้ไม่เพียงปิดฉากด้วย “คำสั่งประหารชีวิต” แต่มันคือเสียงร้องของสังคมที่ว่า… 🔊 ถึงเวลา “ล้มล้างวัฒนธรรมพิการ” 🔊 ถึงเวลาทบทวนระบบสถาบัน ที่หล่อหลอมความรุนแรงให้เป็นเรื่องปกติ 🔊 ถึงเวลาสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281803 มี.ค. 2568 📢 #จุดจบวัฒนธรรมพิการ #คดีครูเจี๊ยบ #น้องหยอดอุเทน #อนาวินแก้วเก็บ #ประหารชีวิต #อาชญากรรมไทย #ยิงกลางกรุง #รับน้องผิดๆ #ยุติธรรมไทย #ตำรวจไทยไล่ล่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?” โดยมีเนื้อหาดังนี้

    ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ได้รับการโอนหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้า จำนวนรวมกันประมาณ 4,434 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ทำหนังสือสัญญาใช้เงิน (PN) ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่กำหนดวันครบชำระเงิน เพื่อให้เป็นหลักฐานเสมือนการซื้อหุ้นโดยยังไม่จ่ายเงิน (เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ไม่กำหนดวันชำระคืน)

    มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม นางสาวแพทองธาร ในปี 2559 ขณะที่อายุเพียงประมาณ 30 ปีจึงอยากซื้อหุ้นจำนวนมากจากบุคคลในครอบครัวและผู้เกี่ยวดอง
    โดยที่ตนไม่มีเงินที่จะจ่าย แต่ไปออกหนังสือสัญญาใช้เงินเป็นการกู้ยืมเงินที่จะจ่ายค่าหุ้นจำนวน 4,434 ล้านบาท

    เรื่องนี้ต้องเข้าใจ พฤติกรรมของคนในตระกูลชินวัตร รู้ที่มาที่ไปของหุ้น จึงพอจะวิเคราะห์และตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า

    ในปี 2544 เมื่อนายทักษิณจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ประสงค์จะไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางรายการ จึงได้โอนหุ้นจำนวนหนึ่งซุกไว้ในชื่อของ คนสวน คนรับใช้ คนขับรถ และคนเฝ้ายาม จนเกิดคดีซุกหุ้น ดังที่ปรากฎคดีกับนายทักษิณมาแล้ว

    เวลาต่อมา ได้โอนหุ้นจากชื่อของ “ลูกจ้าง”ในบ้านทั้งสามคน ไปให้กับ “ลูกจริง” ทั้ง 3คน แต่เนื่องจากลูกสาวคนเล็กคือแพทองธาร ขณะนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่สามารถบริหารจัดการหุ้นในบริษัทต่างๆได้ จึงอาจจะโอนฝากไว้ที่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุงและป้า

    ต่อมาในปี 2559 เมื่อแพทองธาร บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสงค์ให้ญาติที่ถือหุ้นไว้โอนหุ้นมากลับมาให้ แต่ขณะนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในต้นปี 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บภาษีมรดก ซึ่งระบุให้

    การให้สินทรัพย์ ในระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถือเป็นรายได้ของผู้รับ หากมีมูลค่าเกิน 20ล้านบาทส่วนที่เกิน20ล้านจะต้องเสียภาษีเงินได้ 5%
    แต่ หากเป็นพี่ น้อง ลุง ป้า หากมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10ล้าน บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ 5%

    วิธีการหลีกเลี่ยงหลบภาษี หรือบริหารภาษี ให้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่าย คือทำนิติกรรมอำพรางโดยให้ดูเสมือนเป็นการซื้อขาย

    ผู้รับโอนจึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งก็คือทำสัญญากู้ยืม แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีการกำหนดวันชำระเงิน
    จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด นางสาวแพทองธาร จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่กำหนดเวลาชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย) เพื่อให้ดูเป็นเรื่องการซื้อขายไม่ใช่การให้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐจำนวนมากกว่า 200 ล้านบาท หรือไม่

    น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ ยอดหนี้ (ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
    “ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..”

    คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ได้แสดงชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร

    อีกทั้งคำอธิบายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ (ใครใครเขาก็ทำกัน ) ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสุจริตหรือไม่

    หลายสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม่ได้เพราะจะต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและคนจำนวนมาก ใช่หรือไม่?

    ประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าครอบครัวรักกันมาก ทำไมจึงใช้วิธีซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา โดยเฉพาะในช่วงที่นางสาวแพทองธาร จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ จำนวน 22,410,000 หุ้น ไปให้ผู้เป็นแม่ ด้วยวิธีการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การซื้อขายแทนการให้ เช่นเดียวกันใช่หรือไม่

    ถ้าจะพิจารณาจากอดีต คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ

    ยิ่งไปกว่านั้นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญาในการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามมาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กรณี ช่วยบุตรชายและบุตรสาว ของนายทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีกรณีหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว

    หากกรมสรรพากรและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถูกต้องตามกฏหมายและเหมาะสมตามจริยธรรม ต่อไปการที่จะมีผู้โอนทรัพย์สินให้บุคคลในครอบครัว ก็ทำทีเป็นซื้อขายแล้วทำหนังสือสัญญาใช้เงิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่ต้องระบุวันจ่ายเงิน (หนังสือสัญญาไม่ต้องจ่ายเงิน) ทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายส่งผลให้ ภาษีมรดกที่กำหนดให้ผู้รับมรดกจะต้องจ่ายเป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย
    เท่ากับว่าฝ่ายบริหารโดยกรมสรรพากรได้ตีความให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติบังคับใช้ไม่ได้อีกต่อไป.
    27 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?” โดยมีเนื้อหาดังนี้ ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ได้รับการโอนหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้า จำนวนรวมกันประมาณ 4,434 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ทำหนังสือสัญญาใช้เงิน (PN) ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่กำหนดวันครบชำระเงิน เพื่อให้เป็นหลักฐานเสมือนการซื้อหุ้นโดยยังไม่จ่ายเงิน (เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ไม่กำหนดวันชำระคืน) มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม นางสาวแพทองธาร ในปี 2559 ขณะที่อายุเพียงประมาณ 30 ปีจึงอยากซื้อหุ้นจำนวนมากจากบุคคลในครอบครัวและผู้เกี่ยวดอง โดยที่ตนไม่มีเงินที่จะจ่าย แต่ไปออกหนังสือสัญญาใช้เงินเป็นการกู้ยืมเงินที่จะจ่ายค่าหุ้นจำนวน 4,434 ล้านบาท เรื่องนี้ต้องเข้าใจ พฤติกรรมของคนในตระกูลชินวัตร รู้ที่มาที่ไปของหุ้น จึงพอจะวิเคราะห์และตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า ในปี 2544 เมื่อนายทักษิณจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ประสงค์จะไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางรายการ จึงได้โอนหุ้นจำนวนหนึ่งซุกไว้ในชื่อของ คนสวน คนรับใช้ คนขับรถ และคนเฝ้ายาม จนเกิดคดีซุกหุ้น ดังที่ปรากฎคดีกับนายทักษิณมาแล้ว เวลาต่อมา ได้โอนหุ้นจากชื่อของ “ลูกจ้าง”ในบ้านทั้งสามคน ไปให้กับ “ลูกจริง” ทั้ง 3คน แต่เนื่องจากลูกสาวคนเล็กคือแพทองธาร ขณะนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่สามารถบริหารจัดการหุ้นในบริษัทต่างๆได้ จึงอาจจะโอนฝากไว้ที่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุงและป้า ต่อมาในปี 2559 เมื่อแพทองธาร บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสงค์ให้ญาติที่ถือหุ้นไว้โอนหุ้นมากลับมาให้ แต่ขณะนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในต้นปี 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บภาษีมรดก ซึ่งระบุให้ การให้สินทรัพย์ ในระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถือเป็นรายได้ของผู้รับ หากมีมูลค่าเกิน 20ล้านบาทส่วนที่เกิน20ล้านจะต้องเสียภาษีเงินได้ 5% แต่ หากเป็นพี่ น้อง ลุง ป้า หากมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10ล้าน บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ 5% วิธีการหลีกเลี่ยงหลบภาษี หรือบริหารภาษี ให้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่าย คือทำนิติกรรมอำพรางโดยให้ดูเสมือนเป็นการซื้อขาย ผู้รับโอนจึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งก็คือทำสัญญากู้ยืม แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีการกำหนดวันชำระเงิน จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด นางสาวแพทองธาร จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่กำหนดเวลาชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย) เพื่อให้ดูเป็นเรื่องการซื้อขายไม่ใช่การให้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐจำนวนมากกว่า 200 ล้านบาท หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ ยอดหนี้ (ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว “ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..” คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ได้แสดงชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร อีกทั้งคำอธิบายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ (ใครใครเขาก็ทำกัน ) ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสุจริตหรือไม่ หลายสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม่ได้เพราะจะต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและคนจำนวนมาก ใช่หรือไม่? ประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าครอบครัวรักกันมาก ทำไมจึงใช้วิธีซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา โดยเฉพาะในช่วงที่นางสาวแพทองธาร จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ จำนวน 22,410,000 หุ้น ไปให้ผู้เป็นแม่ ด้วยวิธีการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การซื้อขายแทนการให้ เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ ถ้าจะพิจารณาจากอดีต คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ ยิ่งไปกว่านั้นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญาในการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามมาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กรณี ช่วยบุตรชายและบุตรสาว ของนายทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีกรณีหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว หากกรมสรรพากรและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถูกต้องตามกฏหมายและเหมาะสมตามจริยธรรม ต่อไปการที่จะมีผู้โอนทรัพย์สินให้บุคคลในครอบครัว ก็ทำทีเป็นซื้อขายแล้วทำหนังสือสัญญาใช้เงิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่ต้องระบุวันจ่ายเงิน (หนังสือสัญญาไม่ต้องจ่ายเงิน) ทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายส่งผลให้ ภาษีมรดกที่กำหนดให้ผู้รับมรดกจะต้องจ่ายเป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย เท่ากับว่าฝ่ายบริหารโดยกรมสรรพากรได้ตีความให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติบังคับใช้ไม่ได้อีกต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27-03-68/03 : หมี CNN / "เสือกเฉพาะเรื่อง" EP2

    "เปิดแผนสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่มรึงเองยังไม่กล้าจะคิด?" หลายคนไม่เชื่อ หลายคนหมดศรัทธากับแผ่นดินนี้ แต่ช้าก่อน โปรดฟัง และคิดตามนี้ โลกยุคเก่านำโดยสหรัฐและฝูงเหี้ย ใช้ปชต.ตอแหลบังคับให้ชาติประเทศที่ 3 หรือด้อยพัฒนา ต้องปฎิบัติตามเพื่อคำว่า "สากล" มาดูปีนี้ พศ.นี้ 2025 ใครนำโลก ใครคือขั้วใหม่ รัสเซีย จีน เค้าเป็นปชต.เต็มรูปแบบมั้ยล่ะ? ตอบว่าไม่ ทุกอย่างรัสเซียใช้สภาดูม่าออกกฎหมายบังคับทั้งประเทศ จีนใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ปกครองแผ่นดินมายาวนาน หลังปฎิวัติใหญ่สำเร็จ ดังนั้น รูปแบบการปกครองจึงต้องเปลี่ยนไปตามเจ้ามือโลกใหม่ไงล่ะ ถามว่า หากมรึงเป็นปชต.จ๋า จะเอาแต่โหวดอย่างเดียว เค้าก็ไม่ว่ามรึงดอก ตราบใดที่มรึงยังไม่ขัดแข้งขัดขาเค้า หรือรับใช้เป็นขี้ข้าเหี้ยขั้วเก่าไม่เลิก เค้าก็ไม่เอามรึงไงล่ะ เพราะวัตถุดิบโลก อาหารโลก พลังงานโลก อยู่ในมือขั้วใหม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ใครกล้างัดกันล่ะ ขนาดสหรัฐ และยุโรป ยังต้องกราบตรีน ดังนั้น ในอดีต สยามประเทศปกครองโดยกษัตริย์ จนมาถึงยุคปล้นพระราชอำนาจ พศ.2475 ครั้นไทยเราจะกลับไปใช้การปกครองเดิม ถามว่าเจ้ามือโลกใหม่จะมีปัญหามั้ย? ตอบว่าไม่ แถมเชิญให้ไว เข้าใจยัง? ทุกอย่างในโลก มันอยู่ที่เจ้ามือ ไอ้สัส! เมือไทยนำโด่ง เปลี่ยนการปกครอง กลับไปใช้ระบบกษัตริย์ ยุโรป และแอฟริกา อาจจะตามมาทันที เพราะเบื่อการเมืองบัดซบมาเต็มกลืนแล้ว ตอนนี้ ทราบหรือไม่ ยุโรปจะมีการนำระบบกษัตริย์กลับมาอีกครั้ง หลัง EU แตกจ๊ะ เพราะอะไร เพราะเจ้ามือเก่ามันไม่อยู่แล้วไง เจ้ามือเก่าไม่มีเงินจ่ายแล้ว ปชต.อยู่ได้เพราะเงินจ๊ะ เมื่อ BRICS กลายเป็นศูนย์กลางโลก ใยต้องกังวลว่าจะต้องเป็นการปกครองแบบใดอีก เพราะทุกชาติถูกปลดแอกจากเหี้ยหมดแล้ว มรึงยังจะอยากเป็นทาสไปตลอดชีวิตรึไง ทุกชาติจะหันกลับมาใช้การปกครองที่เหมาะกับตัวเอง โดยมีรัสเซีย จีน ให้การสนับสนุน สิ่งที่มรึงมองไม่เห็นแต่กูมองเห็น เป็นเพราะ "เจ้ามือ" ไงล่ะ หัวนำ ใครก็ตาม หัวเหี้ย โลกก็เหี้ย หัวดี โลกก็สดใส ยิ่งการเมืองปาหี่บ้านเรา ยิ่งมีกระแสโหยหา "มอบพระราชอำนาจคืนให้พ่อท่าน" อย่าเอาอีกเลย ไอ้นักการเมืองหัวกวยเนี่ย? เอามาให้แดร๊กแผ่นดิน กินหัวคิวไม่เลิกเหรอ? ส่วนอีควายไทยบัดซบ 24 ล้านตัว จะเงิบแดร๊ก เมื่อคนทั้งแผ่นดิน ยกมือกราบไหว้ "ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน" มรึงจะกลายเป็นส่วนเกินของสังคมทันที ปชต.จะหายสาปสูญไปตลอดกาล ทุกอย่างอยู่ที่เจ้ามือจ๊ะ ไม่ได้เปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยน แต่เปลี่ยนเพราะเหี้ยมันตาย และเจ้ามือใหม่ ไม่ต้องการปชต.ตอแหล ชัดน่ะ? ที่มาว่าทำไม มรึงถึงยังไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เพราะกูพูดในสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า อันมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงโลกนั่นเอง โลกนำ สยามตาม เข้าใจตรงกันน่ะ? ส่วนเรื่องผนวกดินแดนเพิ่ม กูไม่ได้พูดเล่น เอามันส์ เมื่อไทยเป็นฮับ อยากได้เงินบาทไทยที่แข็งโป๊กมั้ย ที่นิยมใช้กันทั้งอาเซียน ก็ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกัน เริ่มแรก อาจจะเป็นรัฐอิสระ ที่แยกตัวออกมาจากพม่า และบางส่วนจากอีขะแมร์ บางส่วนจากลาว แต่ต่อไป หากไทยรุ่งเรืองจนขีดสุด ใครล่ะ ไม่อยากจะเป็นเมืองใต้อาณัติที่มีอนาคตสดใสรออยู่ มันจะมาเอง มรึงไม่ต้องไปไล่ล่าอะไรทั้งนั้น ของมันดี ใครก็อยากจะเข้า BRICS นี่แหละ จะทำให้ไทยรวมแผ่นดินพ่อเดิม ยุคพ่อร.5 กลับมา เหมือนที่ปูตินจะได้อดีตโซเวียตเดิมกลับมา เหมือนที่สีจิ้นผิงจะได้ไต้หวันกลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างมันมาทิศทางเดียวกันหมด อะไรที่เป็นของเรา มันก็คือของเราอยู่วันยันค่ำ ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ 100 ปี ก็ตาม?

    หมี CNN(ความกังวลของมรึง มันอยู่ในอกพ่ออยู่หัว นับตั้งแต่รัชกาลที่ 3 มานานแล้ว พ่อสอนลูก ส่งไม้ต่อ แล้วเมื่อถึงเวลา ยุคศิวิไล ไทยเราจะได้ผนวกรวมแผ่นดินเดิมกลับคืนสู่ดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้ง วันนี้ มรึงยังไม่เชื่อ แต่อีกไม่นาน มรึงจะเริ่มเห็นแสงสีทองตามที่กูบอก ไม่มีผิด เพราะกูนั่งไทม์แมชชีนไปกับโดราเอมอน ไปดูมาแล้ว อะไรน่ะ โนบิตะได้แต่งงานกับชิซูกะหรือไม่ อ๋อ..เสร็จอีโดราเอม่อนจ๊ะ 555+)
    27 มีนาคม 68
    17.24 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    27-03-68/03 : หมี CNN / "เสือกเฉพาะเรื่อง" EP2 "เปิดแผนสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่มรึงเองยังไม่กล้าจะคิด?" หลายคนไม่เชื่อ หลายคนหมดศรัทธากับแผ่นดินนี้ แต่ช้าก่อน โปรดฟัง และคิดตามนี้ โลกยุคเก่านำโดยสหรัฐและฝูงเหี้ย ใช้ปชต.ตอแหลบังคับให้ชาติประเทศที่ 3 หรือด้อยพัฒนา ต้องปฎิบัติตามเพื่อคำว่า "สากล" มาดูปีนี้ พศ.นี้ 2025 ใครนำโลก ใครคือขั้วใหม่ รัสเซีย จีน เค้าเป็นปชต.เต็มรูปแบบมั้ยล่ะ? ตอบว่าไม่ ทุกอย่างรัสเซียใช้สภาดูม่าออกกฎหมายบังคับทั้งประเทศ จีนใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ปกครองแผ่นดินมายาวนาน หลังปฎิวัติใหญ่สำเร็จ ดังนั้น รูปแบบการปกครองจึงต้องเปลี่ยนไปตามเจ้ามือโลกใหม่ไงล่ะ ถามว่า หากมรึงเป็นปชต.จ๋า จะเอาแต่โหวดอย่างเดียว เค้าก็ไม่ว่ามรึงดอก ตราบใดที่มรึงยังไม่ขัดแข้งขัดขาเค้า หรือรับใช้เป็นขี้ข้าเหี้ยขั้วเก่าไม่เลิก เค้าก็ไม่เอามรึงไงล่ะ เพราะวัตถุดิบโลก อาหารโลก พลังงานโลก อยู่ในมือขั้วใหม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ใครกล้างัดกันล่ะ ขนาดสหรัฐ และยุโรป ยังต้องกราบตรีน ดังนั้น ในอดีต สยามประเทศปกครองโดยกษัตริย์ จนมาถึงยุคปล้นพระราชอำนาจ พศ.2475 ครั้นไทยเราจะกลับไปใช้การปกครองเดิม ถามว่าเจ้ามือโลกใหม่จะมีปัญหามั้ย? ตอบว่าไม่ แถมเชิญให้ไว เข้าใจยัง? ทุกอย่างในโลก มันอยู่ที่เจ้ามือ ไอ้สัส! เมือไทยนำโด่ง เปลี่ยนการปกครอง กลับไปใช้ระบบกษัตริย์ ยุโรป และแอฟริกา อาจจะตามมาทันที เพราะเบื่อการเมืองบัดซบมาเต็มกลืนแล้ว ตอนนี้ ทราบหรือไม่ ยุโรปจะมีการนำระบบกษัตริย์กลับมาอีกครั้ง หลัง EU แตกจ๊ะ เพราะอะไร เพราะเจ้ามือเก่ามันไม่อยู่แล้วไง เจ้ามือเก่าไม่มีเงินจ่ายแล้ว ปชต.อยู่ได้เพราะเงินจ๊ะ เมื่อ BRICS กลายเป็นศูนย์กลางโลก ใยต้องกังวลว่าจะต้องเป็นการปกครองแบบใดอีก เพราะทุกชาติถูกปลดแอกจากเหี้ยหมดแล้ว มรึงยังจะอยากเป็นทาสไปตลอดชีวิตรึไง ทุกชาติจะหันกลับมาใช้การปกครองที่เหมาะกับตัวเอง โดยมีรัสเซีย จีน ให้การสนับสนุน สิ่งที่มรึงมองไม่เห็นแต่กูมองเห็น เป็นเพราะ "เจ้ามือ" ไงล่ะ หัวนำ ใครก็ตาม หัวเหี้ย โลกก็เหี้ย หัวดี โลกก็สดใส ยิ่งการเมืองปาหี่บ้านเรา ยิ่งมีกระแสโหยหา "มอบพระราชอำนาจคืนให้พ่อท่าน" อย่าเอาอีกเลย ไอ้นักการเมืองหัวกวยเนี่ย? เอามาให้แดร๊กแผ่นดิน กินหัวคิวไม่เลิกเหรอ? ส่วนอีควายไทยบัดซบ 24 ล้านตัว จะเงิบแดร๊ก เมื่อคนทั้งแผ่นดิน ยกมือกราบไหว้ "ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน" มรึงจะกลายเป็นส่วนเกินของสังคมทันที ปชต.จะหายสาปสูญไปตลอดกาล ทุกอย่างอยู่ที่เจ้ามือจ๊ะ ไม่ได้เปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยน แต่เปลี่ยนเพราะเหี้ยมันตาย และเจ้ามือใหม่ ไม่ต้องการปชต.ตอแหล ชัดน่ะ? ที่มาว่าทำไม มรึงถึงยังไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เพราะกูพูดในสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า อันมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงโลกนั่นเอง โลกนำ สยามตาม เข้าใจตรงกันน่ะ? ส่วนเรื่องผนวกดินแดนเพิ่ม กูไม่ได้พูดเล่น เอามันส์ เมื่อไทยเป็นฮับ อยากได้เงินบาทไทยที่แข็งโป๊กมั้ย ที่นิยมใช้กันทั้งอาเซียน ก็ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกัน เริ่มแรก อาจจะเป็นรัฐอิสระ ที่แยกตัวออกมาจากพม่า และบางส่วนจากอีขะแมร์ บางส่วนจากลาว แต่ต่อไป หากไทยรุ่งเรืองจนขีดสุด ใครล่ะ ไม่อยากจะเป็นเมืองใต้อาณัติที่มีอนาคตสดใสรออยู่ มันจะมาเอง มรึงไม่ต้องไปไล่ล่าอะไรทั้งนั้น ของมันดี ใครก็อยากจะเข้า BRICS นี่แหละ จะทำให้ไทยรวมแผ่นดินพ่อเดิม ยุคพ่อร.5 กลับมา เหมือนที่ปูตินจะได้อดีตโซเวียตเดิมกลับมา เหมือนที่สีจิ้นผิงจะได้ไต้หวันกลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างมันมาทิศทางเดียวกันหมด อะไรที่เป็นของเรา มันก็คือของเราอยู่วันยันค่ำ ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ 100 ปี ก็ตาม? หมี CNN(ความกังวลของมรึง มันอยู่ในอกพ่ออยู่หัว นับตั้งแต่รัชกาลที่ 3 มานานแล้ว พ่อสอนลูก ส่งไม้ต่อ แล้วเมื่อถึงเวลา ยุคศิวิไล ไทยเราจะได้ผนวกรวมแผ่นดินเดิมกลับคืนสู่ดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้ง วันนี้ มรึงยังไม่เชื่อ แต่อีกไม่นาน มรึงจะเริ่มเห็นแสงสีทองตามที่กูบอก ไม่มีผิด เพราะกูนั่งไทม์แมชชีนไปกับโดราเอมอน ไปดูมาแล้ว อะไรน่ะ โนบิตะได้แต่งงานกับชิซูกะหรือไม่ อ๋อ..เสร็จอีโดราเอม่อนจ๊ะ 555+) 27 มีนาคม 68 17.24 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • มองแต่ผลประโยชน์!!! "นายกฯ" แถลง ครม.ผ่าน "ร่างพรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ" ขอสังคมมองภาพกว้าง เป็นโอกาสประเทศ
    https://www.thai-tai.tv/news/17873/
    มองแต่ผลประโยชน์!!! "นายกฯ" แถลง ครม.ผ่าน "ร่างพรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ" ขอสังคมมองภาพกว้าง เป็นโอกาสประเทศ https://www.thai-tai.tv/news/17873/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 27 มีนาคม เวลา 13.30 น. ตามเวลาเกาหลี ทนายความ พูจีซอก จากสำนักงานกฎหมาย Buyou ได้จัดแถลงข่าว ณ Space Share ใกล้สถานีคังนัม ย่านซอโชดง กรุงโซล ในนามของครอบครัวผู้ล่วงลับ คิมแซรน นักแสดงสาวที่จากไปก่อนวัยอันควร โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อขอความเห็นใจจากสังคม และชี้แจงข้อเท็จจริงที่ทำให้ครอบครัวต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส

    “ช่วงหลังมานี้ มีการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของคิมแซรนอย่างไม่ยั้งคิดบนโลกออนไลน์แทบทุกวัน นำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์และการคาดเดาอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจต่อครอบครัวของผู้ล่วงลับ” ทนายพูเปิดเผย

    เขาระบุว่าจุดประสงค์ของการแถลงข่าวครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเปิดเผยสาเหตุการตัดสินใจจบชีวิตของคิมแซรน แต่เพื่อขอให้สังคมหยุดโจมตีครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมย้ำว่าทางครอบครัวไม่ต้องการยืดเยื้อหรือโต้แย้งเรื่องข้อเท็จจริงในสื่ออีกต่อไป

    ทนายพูยังเปิดเผยว่า ครอบครัวจำเป็นต้องเปิดเผยว่า คิมซูฮยอน นักแสดงหนุ่มชื่อดัง เคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคิมแซรนตั้งแต่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยเหตุที่จำต้องเปิดเผยเรื่องนี้ เนื่องจากครอบครัวกำลังเตรียมดำเนินคดีทางกฎหมายกับยูทูบเบอร์ อีจินโฮ ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลเท็จและดูหมิ่นผู้ล่วงลับจนทำให้เธอทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างหนัก

    อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคิมซูฮยอนกลับปฏิเสธว่าไม่เคยคบหากับคิมแซรน ก่อนที่จะมีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ และถึงแม้จะมีหลักฐานดังกล่าวแล้ว เขาก็ยังไม่เคยออกมาขอโทษใดๆ และยืนกรานว่าเริ่มคบกันหลังคิมแซรนเป็นผู้ใหญ่แล้ว

    ทนายยังกล่าวหาร่วมว่าอีจินโฮและบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จงใจขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคิมแซรน พร้อมใส่ความโดยไร้หลักฐานอย่างต่อเนื่อง

    ล่าสุดในงานแถลง ทนายพูได้เปิดเผยภาพข้อความแชต KakaoTalk ระหว่างคิมแซรนและคิมซูฮยอนลงวันที่ 24 มิถุนายน 2559 (ขณะคิมแซรนอายุเพียง 17 ปี) ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เกินกว่าความเป็นพี่น้องหรือเพื่อนร่วมงาน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000029159

    #MGROnline #คิมซูฮยอน #คิมแซรน #คิมแซรอน #KimSooHyun #KimSaeron
    วันที่ 27 มีนาคม เวลา 13.30 น. ตามเวลาเกาหลี ทนายความ พูจีซอก จากสำนักงานกฎหมาย Buyou ได้จัดแถลงข่าว ณ Space Share ใกล้สถานีคังนัม ย่านซอโชดง กรุงโซล ในนามของครอบครัวผู้ล่วงลับ คิมแซรน นักแสดงสาวที่จากไปก่อนวัยอันควร โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อขอความเห็นใจจากสังคม และชี้แจงข้อเท็จจริงที่ทำให้ครอบครัวต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส • “ช่วงหลังมานี้ มีการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของคิมแซรนอย่างไม่ยั้งคิดบนโลกออนไลน์แทบทุกวัน นำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์และการคาดเดาอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจต่อครอบครัวของผู้ล่วงลับ” ทนายพูเปิดเผย • เขาระบุว่าจุดประสงค์ของการแถลงข่าวครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเปิดเผยสาเหตุการตัดสินใจจบชีวิตของคิมแซรน แต่เพื่อขอให้สังคมหยุดโจมตีครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมย้ำว่าทางครอบครัวไม่ต้องการยืดเยื้อหรือโต้แย้งเรื่องข้อเท็จจริงในสื่ออีกต่อไป • ทนายพูยังเปิดเผยว่า ครอบครัวจำเป็นต้องเปิดเผยว่า คิมซูฮยอน นักแสดงหนุ่มชื่อดัง เคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคิมแซรนตั้งแต่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยเหตุที่จำต้องเปิดเผยเรื่องนี้ เนื่องจากครอบครัวกำลังเตรียมดำเนินคดีทางกฎหมายกับยูทูบเบอร์ อีจินโฮ ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลเท็จและดูหมิ่นผู้ล่วงลับจนทำให้เธอทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างหนัก • อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคิมซูฮยอนกลับปฏิเสธว่าไม่เคยคบหากับคิมแซรน ก่อนที่จะมีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ และถึงแม้จะมีหลักฐานดังกล่าวแล้ว เขาก็ยังไม่เคยออกมาขอโทษใดๆ และยืนกรานว่าเริ่มคบกันหลังคิมแซรนเป็นผู้ใหญ่แล้ว • ทนายยังกล่าวหาร่วมว่าอีจินโฮและบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จงใจขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคิมแซรน พร้อมใส่ความโดยไร้หลักฐานอย่างต่อเนื่อง • ล่าสุดในงานแถลง ทนายพูได้เปิดเผยภาพข้อความแชต KakaoTalk ระหว่างคิมแซรนและคิมซูฮยอนลงวันที่ 24 มิถุนายน 2559 (ขณะคิมแซรนอายุเพียง 17 ปี) ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เกินกว่าความเป็นพี่น้องหรือเพื่อนร่วมงาน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000029159 • #MGROnline #คิมซูฮยอน #คิมแซรน #คิมแซรอน #KimSooHyun #KimSaeron
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักเศรษฐศาสตร์อัดยับ ครม.สุมหัว เร่งรีบ รวบรัดดันกาสิโนไม่เห็นหัวประชาชน หวั่นเกิดหายนะอย่างใหญ่หลวงในสังคมไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/17862/
    นักเศรษฐศาสตร์อัดยับ ครม.สุมหัว เร่งรีบ รวบรัดดันกาสิโนไม่เห็นหัวประชาชน หวั่นเกิดหายนะอย่างใหญ่หลวงในสังคมไทย https://www.thai-tai.tv/news/17862/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ของ OpenAI สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นศิลปะสไตล์ Studio Ghibli ที่สวยงามและแปลกใหม่ ซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องลิขสิทธิ์และข้อผิดพลาดทางเทคนิค เหตุการณ์นี้แสดงถึงศักยภาพของ AI ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ แต่ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับความถูกต้องและผลกระทบทางกฎหมายที่ต้องพิจารณา

    ความเห็นจาก Hayao Miyazaki:
    - ผู้กำกับ Studio Ghibli อย่าง Hayao Miyazaki เคยแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับอนิเมชั่นที่สร้างจาก AI โดยกล่าวในปี 2016 ว่าการสร้างภาพเหล่านี้เป็นการ “ดูถูกชีวิต” อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นก่อนที่ AI จะพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างภาพได้ใกล้เคียงผลงานของ Ghibli อย่างมากในปัจจุบัน.

    ปฏิกิริยาในสังคมออนไลน์:
    - ผู้คนในโลกออนไลน์แสดงความทึ่งในภาพที่ AI สร้างขึ้น และมีการแชร์ภาพเหล่านี้อย่างกว้างขวาง หลายคนยังขอคำแนะนำว่าพวกเขาจะสร้างภาพเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ AI ของ OpenAI ถูกจำกัดด้วยนโยบายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ จึงไม่สามารถสร้างภาพบางประเภทได้.

    ข้อจำกัดและความผิดพลาดของ AI:
    - แม้ว่าภาพจะดูน่าทึ่ง แต่ยังพบข้อผิดพลาด เช่น การสร้างภาพที่มีมือสองข้างเหมือนกันในภาพบุคคล ทำให้แสดงถึงความจำกัดของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน.

    ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์:
    - แม้ภาพส่วนใหญ่จะถูกสร้างในลักษณะที่อยู่ในขอบเขต “fair use” แต่คาดว่าการแชร์ภาพเหล่านี้อาจทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์บางคนเริ่มออกคำสั่งลบภาพในเร็ว ๆ นี้.

    https://www.techspot.com/news/107306-people-turning-iconic-photos-art-style-studio-ghibli.html
    AI ของ OpenAI สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นศิลปะสไตล์ Studio Ghibli ที่สวยงามและแปลกใหม่ ซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องลิขสิทธิ์และข้อผิดพลาดทางเทคนิค เหตุการณ์นี้แสดงถึงศักยภาพของ AI ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ แต่ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับความถูกต้องและผลกระทบทางกฎหมายที่ต้องพิจารณา ความเห็นจาก Hayao Miyazaki: - ผู้กำกับ Studio Ghibli อย่าง Hayao Miyazaki เคยแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับอนิเมชั่นที่สร้างจาก AI โดยกล่าวในปี 2016 ว่าการสร้างภาพเหล่านี้เป็นการ “ดูถูกชีวิต” อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นก่อนที่ AI จะพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างภาพได้ใกล้เคียงผลงานของ Ghibli อย่างมากในปัจจุบัน. ปฏิกิริยาในสังคมออนไลน์: - ผู้คนในโลกออนไลน์แสดงความทึ่งในภาพที่ AI สร้างขึ้น และมีการแชร์ภาพเหล่านี้อย่างกว้างขวาง หลายคนยังขอคำแนะนำว่าพวกเขาจะสร้างภาพเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ AI ของ OpenAI ถูกจำกัดด้วยนโยบายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ จึงไม่สามารถสร้างภาพบางประเภทได้. ข้อจำกัดและความผิดพลาดของ AI: - แม้ว่าภาพจะดูน่าทึ่ง แต่ยังพบข้อผิดพลาด เช่น การสร้างภาพที่มีมือสองข้างเหมือนกันในภาพบุคคล ทำให้แสดงถึงความจำกัดของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน. ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์: - แม้ภาพส่วนใหญ่จะถูกสร้างในลักษณะที่อยู่ในขอบเขต “fair use” แต่คาดว่าการแชร์ภาพเหล่านี้อาจทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์บางคนเริ่มออกคำสั่งลบภาพในเร็ว ๆ นี้. https://www.techspot.com/news/107306-people-turning-iconic-photos-art-style-studio-ghibli.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    People are turning iconic photos into art in the style of Studio Ghibli after ChatGPT update
    OpenAI just updated ChatGPT's image generator, and users have begun flooding social media with famous pictures reproduced in the anime style of Studio Ghibli. The results are...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวิจัยร่วมระหว่าง OpenAI และ MIT ได้เปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้แชตบอตอย่าง ChatGPT ที่สามารถนำไปสู่ "อาการเสพติด" และผลกระทบทางอารมณ์ต่อผู้ใช้ จากการศึกษาการโต้ตอบกว่า 4 ล้านครั้งและการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ 4,000 คน นักวิจัยพบว่าแชตบอตที่มีลักษณะ "คล้ายมนุษย์" และความสามารถในการสนทนาที่เป็นกันเอง อาจทำให้ผู้ใช้มอง AI เหมือนเพื่อน ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายมีพฤติกรรมพึ่งพิงสูง

    ลักษณะเชิงจิตวิทยาของแชตบอต:
    - การใช้ภาษาที่เหมือนมนุษย์ การสนทนาที่คล่องตัว และการตอบสนองแบบเป็นกันเอง ทำให้ผู้ใช้บางคนมองแชตบอตในมุมมองที่เกินจริง จนถึงขั้นตั้งชื่อหรือสร้างความผูกพันคล้ายเพื่อน.

    ความนิยมและความเสี่ยง:
    - ชุมชนออนไลน์ที่สนทนาเกี่ยวกับ AI companions มีขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว เช่น ใน Reddit ที่กลุ่มพูดคุยนี้มียอดสมาชิกกว่า 2.3 ล้านคน แต่ในขณะเดียวกัน นักวิจัยก็เตือนถึงปัญหา เช่น การแยกตัวจากสังคม การคาดหวังที่ไม่สมจริง และปัญหาสุขภาพจิต.

    คำเตือนและสัญญาณเสี่ยง:
    - อาการที่บ่งชี้ว่าอาจกำลังเสพติดแชตบอต ได้แก่ การคิดถึงแชตบอตอยู่เสมอ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงเมื่อไม่ได้ใช้ หรือควบคุมพฤติกรรมการใช้งานไม่ได้.

    ผลกระทบในระยะยาว:
    - แม้ว่าแชตบอตจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่การพัฒนาที่มุ่งสร้างความผูกพันอาจเพิ่มโอกาสของการใช้งานที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจที่อาจใช้กลยุทธ์เพิ่มความดึงดูดเชิงจิตวิทยา.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/some-chatgpt-users-are-addicted-and-will-suffer-withdrawal-symptoms-if-cut-off-say-researchers
    งานวิจัยร่วมระหว่าง OpenAI และ MIT ได้เปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้แชตบอตอย่าง ChatGPT ที่สามารถนำไปสู่ "อาการเสพติด" และผลกระทบทางอารมณ์ต่อผู้ใช้ จากการศึกษาการโต้ตอบกว่า 4 ล้านครั้งและการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ 4,000 คน นักวิจัยพบว่าแชตบอตที่มีลักษณะ "คล้ายมนุษย์" และความสามารถในการสนทนาที่เป็นกันเอง อาจทำให้ผู้ใช้มอง AI เหมือนเพื่อน ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายมีพฤติกรรมพึ่งพิงสูง ลักษณะเชิงจิตวิทยาของแชตบอต: - การใช้ภาษาที่เหมือนมนุษย์ การสนทนาที่คล่องตัว และการตอบสนองแบบเป็นกันเอง ทำให้ผู้ใช้บางคนมองแชตบอตในมุมมองที่เกินจริง จนถึงขั้นตั้งชื่อหรือสร้างความผูกพันคล้ายเพื่อน. ความนิยมและความเสี่ยง: - ชุมชนออนไลน์ที่สนทนาเกี่ยวกับ AI companions มีขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว เช่น ใน Reddit ที่กลุ่มพูดคุยนี้มียอดสมาชิกกว่า 2.3 ล้านคน แต่ในขณะเดียวกัน นักวิจัยก็เตือนถึงปัญหา เช่น การแยกตัวจากสังคม การคาดหวังที่ไม่สมจริง และปัญหาสุขภาพจิต. คำเตือนและสัญญาณเสี่ยง: - อาการที่บ่งชี้ว่าอาจกำลังเสพติดแชตบอต ได้แก่ การคิดถึงแชตบอตอยู่เสมอ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงเมื่อไม่ได้ใช้ หรือควบคุมพฤติกรรมการใช้งานไม่ได้. ผลกระทบในระยะยาว: - แม้ว่าแชตบอตจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่การพัฒนาที่มุ่งสร้างความผูกพันอาจเพิ่มโอกาสของการใช้งานที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจที่อาจใช้กลยุทธ์เพิ่มความดึงดูดเชิงจิตวิทยา. https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/some-chatgpt-users-are-addicted-and-will-suffer-withdrawal-symptoms-if-cut-off-say-researchers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Some ChatGPT users are addicted and will suffer withdrawal symptoms if cut off, say researchers
    OpenAI and MIT worked together on a study of four million interactions over 28 days.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ปลื้มคำชี้แจง"นายก" ลุยต่อโรยเกลือซ้ำ! : [THE-MESSAGE]

    นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เผยถึงการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ยอมรับคุมเสียงฝ่ายค้านไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ ไม่ปลื้มคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ขอรอดูปฏิบัติการเอาคืนจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่กังวล เตรียมโรยเกลือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณี เลี่ยงภาษีและโรงแรมเขาใหญ่ เมินโดนเปรียบเทียบฝ่ายค้านสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันหลายเรื่องเป็นเนื้อหาใหม่ เฉลยคำ "ปีศาจ" ที่อภิปรายคือ "ชนชั้นนำ" ที่อิงแอบกลุ่มทุน เอารัดเอาเปรียบสังคม
    ไม่ปลื้มคำชี้แจง"นายก" ลุยต่อโรยเกลือซ้ำ! : [THE-MESSAGE] นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เผยถึงการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ยอมรับคุมเสียงฝ่ายค้านไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ ไม่ปลื้มคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ขอรอดูปฏิบัติการเอาคืนจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่กังวล เตรียมโรยเกลือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณี เลี่ยงภาษีและโรงแรมเขาใหญ่ เมินโดนเปรียบเทียบฝ่ายค้านสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันหลายเรื่องเป็นเนื้อหาใหม่ เฉลยคำ "ปีศาจ" ที่อภิปรายคือ "ชนชั้นนำ" ที่อิงแอบกลุ่มทุน เอารัดเอาเปรียบสังคม
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • จีนส่งสัญญาณความล้ำ ว่าโลกโซเชียล ณ เวลานี้ เต็มไปด้วยคอนเทนต์ขยะ ของคนอวดรวย ได้เวลาต้องจัดการเสียที

    #ลัทธิอวดรวย #ภัยสังคมโฉมใหม่ #มิจฉาชีพยุคดิจิตอล #โลกโซเชียลอวดรวย #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    จีนส่งสัญญาณความล้ำ ว่าโลกโซเชียล ณ เวลานี้ เต็มไปด้วยคอนเทนต์ขยะ ของคนอวดรวย ได้เวลาต้องจัดการเสียที #ลัทธิอวดรวย #ภัยสังคมโฉมใหม่ #มิจฉาชีพยุคดิจิตอล #โลกโซเชียลอวดรวย #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    Love
    Haha
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1434 มุมมอง 51 0 รีวิว
  • น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยันการครอบครองที่ดินของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ เป็นไปตามกฎหมาย ร่ายยาวการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำไปไกลกว่านั้น ความเสียหายที่เกิดกับประชาชนลดจากวันละ 100 ล้านบาท เหลือ 50 ล้านบาท
    ส่วนดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่กำลังเผชิญมรสุมการคัดค้านจากหลายองค์กร เป้าหมายระยะยาวยกระดับสังคมไทยเป็นสังคมดิจิทัล ซึ่ง เชื่อมั่นภายใน 1 วาระของรัฐบาลนี้ จะเกิดผลเป็นรูปธรรม ปกก็ตรง เป้าก็โดน ย้ำ ปมชั้น 14 ยังไม่เป็นนายก ลาออกจากความเป็นลูกไม่ได้ ขอให้ทุกคนดูที่ความสามารถ
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยันการครอบครองที่ดินของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ เป็นไปตามกฎหมาย ร่ายยาวการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำไปไกลกว่านั้น ความเสียหายที่เกิดกับประชาชนลดจากวันละ 100 ล้านบาท เหลือ 50 ล้านบาท ส่วนดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่กำลังเผชิญมรสุมการคัดค้านจากหลายองค์กร เป้าหมายระยะยาวยกระดับสังคมไทยเป็นสังคมดิจิทัล ซึ่ง เชื่อมั่นภายใน 1 วาระของรัฐบาลนี้ จะเกิดผลเป็นรูปธรรม ปกก็ตรง เป้าก็โดน ย้ำ ปมชั้น 14 ยังไม่เป็นนายก ลาออกจากความเป็นลูกไม่ได้ ขอให้ทุกคนดูที่ความสามารถ
    Haha
    Sad
    Like
    Angry
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 746 มุมมอง 59 1 รีวิว
  • 👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️

    📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว...

    👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • สังคมมีกดเกน ใยย้ำยี่พี่น้อง ไม่อาย ใจคน
    สังคมมีกดเกน ใยย้ำยี่พี่น้อง ไม่อาย ใจคน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิงส์ไม่ได้ปกป้องไอ้แม้ว แต่อยากถามไอ้โรมมันว่า เพื่อนร่วมอุดมการณ์สามกีบของมึง ที่ชื่อ ทนายอานนท์ นำพา จำคุก 18 ปี 19 เดือน แต่แม่มโพสเฟซบุ๊คทุกวัน บางวันหลายโพส มึงตอบสังคมด้วยว่า ใครเอามือถือไปให้มันโพส
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อานนท์นำพา
    #โรม
    คิงส์ไม่ได้ปกป้องไอ้แม้ว แต่อยากถามไอ้โรมมันว่า เพื่อนร่วมอุดมการณ์สามกีบของมึง ที่ชื่อ ทนายอานนท์ นำพา จำคุก 18 ปี 19 เดือน แต่แม่มโพสเฟซบุ๊คทุกวัน บางวันหลายโพส มึงตอบสังคมด้วยว่า ใครเอามือถือไปให้มันโพส #คิงส์โพธิ์แดง #อานนท์นำพา #โรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫

    📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

    🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า...

    "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯

    📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨

    พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว

    นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️

    พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย

    😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต

    ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า…

    ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥

    ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน

    👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น...

    - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊
    - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐
    - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉

    รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫

    อาการที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวง (Paranoia)
    - ความคิดหลงผิด (Delusions)
    - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง

    ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔

    ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่
    - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️
    - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭
    - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽
    - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

    ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์

    ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️

    การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️

    🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯

    อาการเด่นที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม
    - อารมณ์ไม่คงที่
    - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน
    - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง

    💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

    🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้
    📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด
    📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา
    📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
    📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที

    🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย

    กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568

    📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫 📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน 🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า... "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯 📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️ พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย 😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥 ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน 👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น... - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊 - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐 - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉 รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫 อาการที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวง (Paranoia) - ความคิดหลงผิด (Delusions) - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่ - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️ - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭 - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽 - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️ การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️ 🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯 อาการเด่นที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม - อารมณ์ไม่คงที่ - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง 💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร 🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้ 📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด 📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา 📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที 🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568 📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภาผู้บริโภคจี้คปภ.ทบทวน Co-payment ผลักภาระประชาชน : คนเคาะข่าว 24-03-68
    : นิมิตร์ เทียนอุดม รองประธานสภาผู้บริโภค
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #สภาผู้บริโภค #CoPayment #คปภ #สิทธิผู้บริโภค #ภาระประชาชน #ประกันสุขภาพ #นโยบายรัฐ #นิมิตร์เทียนอุดม #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวสังคม #สุขภาพการเงิน #ความเป็นธรรม #ThaiTimes #วิเคราะห์นโยบาย
    สภาผู้บริโภคจี้คปภ.ทบทวน Co-payment ผลักภาระประชาชน : คนเคาะข่าว 24-03-68 : นิมิตร์ เทียนอุดม รองประธานสภาผู้บริโภค ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #สภาผู้บริโภค #CoPayment #คปภ #สิทธิผู้บริโภค #ภาระประชาชน #ประกันสุขภาพ #นโยบายรัฐ #นิมิตร์เทียนอุดม #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวสังคม #สุขภาพการเงิน #ความเป็นธรรม #ThaiTimes #วิเคราะห์นโยบาย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • ทำเอาแฟนๆ ตกอกตกใจไปตามๆ กัน หลังจากที่ “ติ๊ก ชีโร่” มนัสวิน นันทเสน โพสต์ภาพปืนลงเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมข้อความ “โปรดติดตาม ตอนต่อไป ว่าใจ จะไปได้ไกลแค่ไหน ภายในไม่กี่วันนี้ มีคำตอบให้ครับ ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณที่สนับสนุนกันครับ” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวทำคนในสังคมเป็นห่วง ตร.ต้องส่งสายตรวจไปตรวจสอบที่บ้านของติ๊ก ก่อนพบว่าทุกอย่างปกติดี

    ล่าสุด อ้อ พรรทิรา ภรรยา ติ๊ก ชิโร่ ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์ดังกล่าว รับจบคนเดียว ยันติ๊กไม่ได้รู้เรื่องด้วยนำภาพในเอ็มวีมาโพสต์ ขอโทษสื่อสารไม่ชัดเจน

    “หากโพสต์ล่าสุด ทำให้บุคคลรอบข้างผู้เป็นที่รักและปรารถนาดีต่อพี่ติ๊ก ต้องเป็นห่วง ตรงนี้อ้อต้องขออภัยทุกๆ คนจริงๆ นะคะ ที่นำภาพใน mv มาลงโดยไม่ได้สื่อสารให้ชัดเจน ขอขอบคุณในความห่วงใย แล้วเรามาติดตามผลงานพี่ติ๊กด้วยกันไปนานๆ นะคะ อ้อขอกราบขอโทษทุกๆ คนด้วยนะคะ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000027911

    #MGROnline #ติ๊กชีโร่
    ทำเอาแฟนๆ ตกอกตกใจไปตามๆ กัน หลังจากที่ “ติ๊ก ชีโร่” มนัสวิน นันทเสน โพสต์ภาพปืนลงเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมข้อความ “โปรดติดตาม ตอนต่อไป ว่าใจ จะไปได้ไกลแค่ไหน ภายในไม่กี่วันนี้ มีคำตอบให้ครับ ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณที่สนับสนุนกันครับ” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวทำคนในสังคมเป็นห่วง ตร.ต้องส่งสายตรวจไปตรวจสอบที่บ้านของติ๊ก ก่อนพบว่าทุกอย่างปกติดี • ล่าสุด อ้อ พรรทิรา ภรรยา ติ๊ก ชิโร่ ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์ดังกล่าว รับจบคนเดียว ยันติ๊กไม่ได้รู้เรื่องด้วยนำภาพในเอ็มวีมาโพสต์ ขอโทษสื่อสารไม่ชัดเจน • “หากโพสต์ล่าสุด ทำให้บุคคลรอบข้างผู้เป็นที่รักและปรารถนาดีต่อพี่ติ๊ก ต้องเป็นห่วง ตรงนี้อ้อต้องขออภัยทุกๆ คนจริงๆ นะคะ ที่นำภาพใน mv มาลงโดยไม่ได้สื่อสารให้ชัดเจน ขอขอบคุณในความห่วงใย แล้วเรามาติดตามผลงานพี่ติ๊กด้วยกันไปนานๆ นะคะ อ้อขอกราบขอโทษทุกๆ คนด้วยนะคะ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000027911 • #MGROnline #ติ๊กชีโร่
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทเกอร์ วูดส์ อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก ยืนยันคบหา วาเนสซา อดีตภรรยาของ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

    "พญาเสือ" โพสต์ภาพคู่รัก 2 ภาพบนเพจ "อินสตาแกรม" สื่อสังคมออนไลน์ พร้อมคำบรรยาย "ความรักเสมือนอากาศรอบตัว ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ข้างคุณ"

    "เรามองถึงการเดินทางของชีวิตคู่ ตอนนี้เราขอความเป็นส่วนตัวจากทุกๆ คน"

    ไทเกอร์ วัย 49 ปี กับ วาเนสซา วัย 47 ปี เริ่มต้นจากสถานะเพื่อน แล้วเลื่อนขั้นเป็นมากกว่าเพื่อน

    ตามกระแสข่าว ทั้งคู่คบกันตั้งแต่ก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้า แต่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/sport/detail/9680000027812

    #MGROnline #ไทเกอร์วูดส์ #อดีตนักกอล์ฟหมายเลข1ของโลก #วาเนสซา #อดีตภรรยา #โดนัลด์ทรัมป์จูเนียร์ #ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
    ไทเกอร์ วูดส์ อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก ยืนยันคบหา วาเนสซา อดีตภรรยาของ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา • "พญาเสือ" โพสต์ภาพคู่รัก 2 ภาพบนเพจ "อินสตาแกรม" สื่อสังคมออนไลน์ พร้อมคำบรรยาย "ความรักเสมือนอากาศรอบตัว ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ข้างคุณ" • "เรามองถึงการเดินทางของชีวิตคู่ ตอนนี้เราขอความเป็นส่วนตัวจากทุกๆ คน" • ไทเกอร์ วัย 49 ปี กับ วาเนสซา วัย 47 ปี เริ่มต้นจากสถานะเพื่อน แล้วเลื่อนขั้นเป็นมากกว่าเพื่อน • ตามกระแสข่าว ทั้งคู่คบกันตั้งแต่ก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้า แต่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/sport/detail/9680000027812 • #MGROnline #ไทเกอร์วูดส์ #อดีตนักกอล์ฟหมายเลข1ของโลก #วาเนสซา #อดีตภรรยา #โดนัลด์ทรัมป์จูเนียร์ #ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 24-3-68
    .
    เช้าวันจันทร์วันนี้มีเรื่องที่ท่านผู้ชมให้ความสนใจอย่างมากหลาย ๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็น "ดิว อริสรา", เรื่องปัญหาและผลกระทบจากการก่อสร้างทางด่วนบนถนนพระราม 2 รวมไปถึงวิกฤตของระบบสาธารณสุขไทย ระบบประกันสังคม, ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ,ระบบบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ที่หลายท่านคงยังไม่ทราบว่า เมื่อเจาะลงลึก ๆ ไปแล้ว "หนักกว่าที่ทุกคนคิดหลายเท่า"
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=-SkM1o-lGjo
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ดิวอริสรา
    สนธิเล่าเรื่อง 24-3-68 . เช้าวันจันทร์วันนี้มีเรื่องที่ท่านผู้ชมให้ความสนใจอย่างมากหลาย ๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็น "ดิว อริสรา", เรื่องปัญหาและผลกระทบจากการก่อสร้างทางด่วนบนถนนพระราม 2 รวมไปถึงวิกฤตของระบบสาธารณสุขไทย ระบบประกันสังคม, ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ,ระบบบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ที่หลายท่านคงยังไม่ทราบว่า เมื่อเจาะลงลึก ๆ ไปแล้ว "หนักกว่าที่ทุกคนคิดหลายเท่า" . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=-SkM1o-lGjo . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ดิวอริสรา
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกจ้างกินเงินเดือนจากภาษีทุกฝ่าย ควรรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด สุจริต สมเกียรติ สมศักดิ์ศรีตามความรับผิดชอบ มิใช่ทำงานเช้าชามเย็นชาม..

    ประเทศเข้าสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เพราะนักการเมืองเลว ก็มีสาเหตุหลักเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของลูกจ้างรัฐบาลทำงานไม่สมศักดิ์ศรี ร่วมมือกับนักการเมืองชั่ว..ทำร้ายบ้านเมือง
    ลูกจ้างกินเงินเดือนจากภาษีทุกฝ่าย ควรรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด สุจริต สมเกียรติ สมศักดิ์ศรีตามความรับผิดชอบ มิใช่ทำงานเช้าชามเย็นชาม.. ประเทศเข้าสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เพราะนักการเมืองเลว ก็มีสาเหตุหลักเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของลูกจ้างรัฐบาลทำงานไม่สมศักดิ์ศรี ร่วมมือกับนักการเมืองชั่ว..ทำร้ายบ้านเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียหมดความอดทน หลังยุติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน!?!

    “รัสเซียขอสงวนสิทธิ์ที่จะตอบโต้อย่างเท่าเทียมกันในกรณีที่ยูเครนโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง”
    — มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียแสดงความเห็นเกี่ยวกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของยูเครนต่อสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานของรัสเซีย

    "แม้จะมีข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการงดเว้นการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งแต่เดิมเป็นข้อตกลงที่เคียฟเองก็สนับสนุน แต่พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มทรยศต่อรัสเซีย

    เมื่อวันที่ 19 มีนาคม คลังน้ำมันในคูบันถูกโจมตี ตามด้วยการโจมตีสถานีวัดก๊าซซูดจาในภูมิภาคเคิร์สก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์โหดร้ายอีกหลายครั้งที่โดรนของยูเครนโจมตีอาคารที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกทางสังคมโดยเจตนา

    การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบเหล่านี้ได้เน้นย้ำถึงการที่เคียฟไม่ใส่ใจต่อข้อตกลงและการขาดความมุ่งมั่นในการบรรลุสันติภาพ เช่นเดียวกับในปี 2022

    ❗️ เราขอเตือนอย่างชัดเจนว่า หากระบอบการปกครองเคียฟยังคงดำเนินต่อไปในแนวทางทำลายล้าง รัสเซียขอสงวนสิทธิ์ที่จะตอบโต้ ด้วยมาตรการที่เท่าเทียมกัน"
    รัสเซียหมดความอดทน หลังยุติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน!?! “รัสเซียขอสงวนสิทธิ์ที่จะตอบโต้อย่างเท่าเทียมกันในกรณีที่ยูเครนโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง” — มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียแสดงความเห็นเกี่ยวกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของยูเครนต่อสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานของรัสเซีย "แม้จะมีข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการงดเว้นการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งแต่เดิมเป็นข้อตกลงที่เคียฟเองก็สนับสนุน แต่พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มทรยศต่อรัสเซีย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม คลังน้ำมันในคูบันถูกโจมตี ตามด้วยการโจมตีสถานีวัดก๊าซซูดจาในภูมิภาคเคิร์สก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์โหดร้ายอีกหลายครั้งที่โดรนของยูเครนโจมตีอาคารที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกทางสังคมโดยเจตนา การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบเหล่านี้ได้เน้นย้ำถึงการที่เคียฟไม่ใส่ใจต่อข้อตกลงและการขาดความมุ่งมั่นในการบรรลุสันติภาพ เช่นเดียวกับในปี 2022 ❗️ เราขอเตือนอย่างชัดเจนว่า หากระบอบการปกครองเคียฟยังคงดำเนินต่อไปในแนวทางทำลายล้าง รัสเซียขอสงวนสิทธิ์ที่จะตอบโต้ ด้วยมาตรการที่เท่าเทียมกัน"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • 58 ปี "คดีตุ๊กตา" ขืนใจสาวรับใช้ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “หญิงข่มขืนหญิง” ได้หรือไม่? 📚⚖️

    ✨ย้อนรอย “คดีตุ๊กตา” ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เปิดประเด็นการข่มขืนโดย “ผู้หญิงต่อผู้หญิง” ครั้งแรกของไทย ศึกษาเหตุการณ์รายละเอียดคดี บทสรุปทางกฎหมาย ที่ยังสะเทือนวงการกฎหมายถึงปัจจุบัน ✨

    เมื่อ “หญิงข่มขืนหญิง” ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป หากเอ่ยถึงคดีข่มขืน หลายคนอาจนึกถึงภาพของชายกระทำต่อหญิง แต่ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กลับมีคำพิพากษาหนึ่ง ที่เปิดโลกความเข้าใจในมุมมองใหม่ ⚖️

    โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2510 กับ “คดีตุ๊กตา” ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาอันลือลั่นว่า “หญิงก็เป็นตัวการร่วม ในการข่มขืนหญิงได้” คำวินิจฉัยครั้งนั้น ไม่เพียงเขย่าระบบยุติธรรมไทย แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ให้สังคมไทยในเวลานั้น

    “คดีตุ๊กตา” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในยุคนั้นตั้งขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ "พิมล กาฬสีห์" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในนามปากกา “ตุ๊กตา” ถูกอัยการยื่นฟ้อง ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราร่วมกับภรรยา "นภาพันธ์ กาฬสีห์" ต่อ "เพ็ชร ทัวิพัฒน์" หญิงสาวคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ที่บ้านพักในตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร

    แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 58 ปี แต่คำพิพากษาในคดีนี้ยั งคงได้รับการกล่าวขานในวงการกฎหมาย และสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกรณีแรกที่ “ศาลฎีกา” ของไทยยืนยันว่า หญิงสามารถร่วมเป็นตัวการข่มขืนหญิงได้

    📌 ทำไมคดีนี้จึงสำคัญ? ประเด็นที่สั่นคลอนสังคม คดีนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพล ที่บุคคลมีชื่อเสียงอาจมีต่อผู้ด้อยโอกาส เปิดประเด็นว่า “ข่มขืน” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเพศชายเท่านั้น

    ศาลยืนยันว่า ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วม ในการกระทำผิดฐานข่มขืนได้ แม้จะไม่ได้ลงมือข่มขืนเองก็ตาม

    📌 จุดเปลี่ยนด้านกฎหมาย คำพิพากษานี้ทำให้เกิดการตีความ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ว่า “ผู้ใด” หมายรวมถึงบุคคลทุกเพศ ไม่ใช่จำกัดแค่เพศชาย

    ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคดีตุ๊กตา
    🗓️ คืนวันอาทิตย์ที่่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 "เพ็ชร์ ทิวาพัฒน์" หญิงสาวผู้เสียหายวัย 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นสาวรับใช้ ในคืนนั้น เพ็ชรถูกนภาพันธ์เรียกขึ้นไปนวดให้พิมล บนชั้นสองของบ้าน

    นภาพันธ์ช่วยจับมือของเพ็ชร ไปจับอวัยวะเพศของพิมล และร่วมกดร่างเพ็ชรไว้ให้สามีข่มขืน เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ เกิดขึ้นซ้ำถึง 5 ครั้ง ในคืนนั้น

    🗓️ เช้ามืดวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพ็ชรหนีออกจากบ้าน และไปแจ้งความที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมสองสามีภรรยา และส่งเพ็ชรตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลตรวจพิสูจน์พบร่องรอยการข่มขืนอย่างชัดเจน อัยการจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง

    ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของผู้เสียหายมีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับพยานหลักฐาน และผลตรวจทางการแพทย์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2 ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี

    ➡️ แต่... จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์

    ศาลอุทธรณ์:ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า “ยินยอม” กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่า เชื่อว่าผู้เสียหาย สมัครใจร่วมประเวณีเอง เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้หญิง ไม่ควรถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมข่มขืน

    ➡️ อัยการในฐานะโจทก์ ฎีกาต่อ...

    ศาลฎีกา:พลิกคำพิพากษา ตอกย้ำ “หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนได้” ในการพิจารณาครั้งสำคัญ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
    ✅ พิพากษาว่า ผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ
    ✅ การมีส่วนร่วมของจำเลยที่ 2 ในการจับผู้เสียหาย และบังคับให้สามีข่มขืน ถือเป็นการ “ร่วมกันข่มขืน”
    ✅ ศาลฎีกายืนยันว่า ตามกฎหมายไทย หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนหญิงได้

    ➡️ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี 1 เดือน
    ➡️ จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษจำคุก 2 ปี

    การตีความทางกฎหมายที่สำคัญ มาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใด” ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น...
    🔹 คำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้ระบุเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีพฤติการณ์ร่วมกันในการข่มขืน ก็ถือว่ามีความผิดฐาน “ตัวการ” ได้
    🔹 แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนเอง แต่หากช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หรือบังคับเหยื่อ ก็ถือว่า “ร่วมกันกระทำผิด”

    ทำไมศาลฎีกาจึงพิพากษาเช่นนั้น?
    ✅ พฤติกรรมของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่า ร่วมกดขาและจับผู้เสียหาย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืน
    ✅ ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง หรือบอกว่าจะ “เพิ่มเงินเดือน” หากไม่ต่อต้าน
    ✅ บังคับผู้เสียหายให้อมอวัยวะเพศ และสั่งให้กลืนน้ำอสุจิของสามี

    ✨ ผลกระทบต่อสังคม และวงการกฎหมาย เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ก่อนหน้านั้น สังคมมองว่า “ข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่มีแต่เพศชาย เป็นผู้กระทำ

    ✨ คดีตุ๊กตาสร้างการตระหนักใหม่ว่า อาชญากรรมทางเพศ เกิดจากผู้กระทำได้ทุกเพศ อิทธิพลต่อการตีความกฎหมาย ศาลไทยขยายขอบเขตความผิดของมาตรา 276 ให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในคดีอาญาเกี่ยวกับเพศที่ซับซ้อนมากขึ้น

    “คดีตุ๊กตา” กับมรดกทางกฎหมายที่ยั่งยืน ผ่านมา 58 ปี คดีตุ๊กตายังเป็นกรณีศึกษา ในวงการกฎหมายและสังคม ที่สอนให้เข้าใจถึง ความซับซ้อนของความรุนแรงทางเพศ และบทบาทของกฎหมาย ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสังคมไทยอีกต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221140 มี.ค. 2568

    🏷️ #คดีตุ๊กตา #ข่มขืนในไทย #หญิงข่มขืนหญิงได้ #พิมลกาฬสีห์ #ศาลฎีกาไทย #กฎหมายอาญา #สิทธิมนุษยชน #ข่มขืนกระทำชำเรา #ข่าวดังในอดีต #คดีอาชญากรรมไทย
    58 ปี "คดีตุ๊กตา" ขืนใจสาวรับใช้ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “หญิงข่มขืนหญิง” ได้หรือไม่? 📚⚖️ ✨ย้อนรอย “คดีตุ๊กตา” ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เปิดประเด็นการข่มขืนโดย “ผู้หญิงต่อผู้หญิง” ครั้งแรกของไทย ศึกษาเหตุการณ์รายละเอียดคดี บทสรุปทางกฎหมาย ที่ยังสะเทือนวงการกฎหมายถึงปัจจุบัน ✨ เมื่อ “หญิงข่มขืนหญิง” ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป หากเอ่ยถึงคดีข่มขืน หลายคนอาจนึกถึงภาพของชายกระทำต่อหญิง แต่ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กลับมีคำพิพากษาหนึ่ง ที่เปิดโลกความเข้าใจในมุมมองใหม่ ⚖️ โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2510 กับ “คดีตุ๊กตา” ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาอันลือลั่นว่า “หญิงก็เป็นตัวการร่วม ในการข่มขืนหญิงได้” คำวินิจฉัยครั้งนั้น ไม่เพียงเขย่าระบบยุติธรรมไทย แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ให้สังคมไทยในเวลานั้น “คดีตุ๊กตา” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในยุคนั้นตั้งขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ "พิมล กาฬสีห์" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในนามปากกา “ตุ๊กตา” ถูกอัยการยื่นฟ้อง ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราร่วมกับภรรยา "นภาพันธ์ กาฬสีห์" ต่อ "เพ็ชร ทัวิพัฒน์" หญิงสาวคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ที่บ้านพักในตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 58 ปี แต่คำพิพากษาในคดีนี้ยั งคงได้รับการกล่าวขานในวงการกฎหมาย และสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกรณีแรกที่ “ศาลฎีกา” ของไทยยืนยันว่า หญิงสามารถร่วมเป็นตัวการข่มขืนหญิงได้ 📌 ทำไมคดีนี้จึงสำคัญ? ประเด็นที่สั่นคลอนสังคม คดีนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพล ที่บุคคลมีชื่อเสียงอาจมีต่อผู้ด้อยโอกาส เปิดประเด็นว่า “ข่มขืน” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเพศชายเท่านั้น ศาลยืนยันว่า ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วม ในการกระทำผิดฐานข่มขืนได้ แม้จะไม่ได้ลงมือข่มขืนเองก็ตาม 📌 จุดเปลี่ยนด้านกฎหมาย คำพิพากษานี้ทำให้เกิดการตีความ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ว่า “ผู้ใด” หมายรวมถึงบุคคลทุกเพศ ไม่ใช่จำกัดแค่เพศชาย ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคดีตุ๊กตา 🗓️ คืนวันอาทิตย์ที่่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 "เพ็ชร์ ทิวาพัฒน์" หญิงสาวผู้เสียหายวัย 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นสาวรับใช้ ในคืนนั้น เพ็ชรถูกนภาพันธ์เรียกขึ้นไปนวดให้พิมล บนชั้นสองของบ้าน นภาพันธ์ช่วยจับมือของเพ็ชร ไปจับอวัยวะเพศของพิมล และร่วมกดร่างเพ็ชรไว้ให้สามีข่มขืน เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ เกิดขึ้นซ้ำถึง 5 ครั้ง ในคืนนั้น 🗓️ เช้ามืดวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพ็ชรหนีออกจากบ้าน และไปแจ้งความที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมสองสามีภรรยา และส่งเพ็ชรตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลตรวจพิสูจน์พบร่องรอยการข่มขืนอย่างชัดเจน อัยการจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของผู้เสียหายมีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับพยานหลักฐาน และผลตรวจทางการแพทย์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2 ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี ➡️ แต่... จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์:ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า “ยินยอม” กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่า เชื่อว่าผู้เสียหาย สมัครใจร่วมประเวณีเอง เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้หญิง ไม่ควรถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมข่มขืน ➡️ อัยการในฐานะโจทก์ ฎีกาต่อ... ศาลฎีกา:พลิกคำพิพากษา ตอกย้ำ “หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนได้” ในการพิจารณาครั้งสำคัญ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ✅ พิพากษาว่า ผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ ✅ การมีส่วนร่วมของจำเลยที่ 2 ในการจับผู้เสียหาย และบังคับให้สามีข่มขืน ถือเป็นการ “ร่วมกันข่มขืน” ✅ ศาลฎีกายืนยันว่า ตามกฎหมายไทย หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนหญิงได้ ➡️ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี 1 เดือน ➡️ จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษจำคุก 2 ปี การตีความทางกฎหมายที่สำคัญ มาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใด” ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น... 🔹 คำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้ระบุเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีพฤติการณ์ร่วมกันในการข่มขืน ก็ถือว่ามีความผิดฐาน “ตัวการ” ได้ 🔹 แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนเอง แต่หากช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หรือบังคับเหยื่อ ก็ถือว่า “ร่วมกันกระทำผิด” ทำไมศาลฎีกาจึงพิพากษาเช่นนั้น? ✅ พฤติกรรมของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่า ร่วมกดขาและจับผู้เสียหาย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืน ✅ ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง หรือบอกว่าจะ “เพิ่มเงินเดือน” หากไม่ต่อต้าน ✅ บังคับผู้เสียหายให้อมอวัยวะเพศ และสั่งให้กลืนน้ำอสุจิของสามี ✨ ผลกระทบต่อสังคม และวงการกฎหมาย เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ก่อนหน้านั้น สังคมมองว่า “ข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่มีแต่เพศชาย เป็นผู้กระทำ ✨ คดีตุ๊กตาสร้างการตระหนักใหม่ว่า อาชญากรรมทางเพศ เกิดจากผู้กระทำได้ทุกเพศ อิทธิพลต่อการตีความกฎหมาย ศาลไทยขยายขอบเขตความผิดของมาตรา 276 ให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในคดีอาญาเกี่ยวกับเพศที่ซับซ้อนมากขึ้น “คดีตุ๊กตา” กับมรดกทางกฎหมายที่ยั่งยืน ผ่านมา 58 ปี คดีตุ๊กตายังเป็นกรณีศึกษา ในวงการกฎหมายและสังคม ที่สอนให้เข้าใจถึง ความซับซ้อนของความรุนแรงทางเพศ และบทบาทของกฎหมาย ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสังคมไทยอีกต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221140 มี.ค. 2568 🏷️ #คดีตุ๊กตา #ข่มขืนในไทย #หญิงข่มขืนหญิงได้ #พิมลกาฬสีห์ #ศาลฎีกาไทย #กฎหมายอาญา #สิทธิมนุษยชน #ข่มขืนกระทำชำเรา #ข่าวดังในอดีต #คดีอาชญากรรมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน (ตอนที่ 1)
    .
    การทำงานคือหน้าที่ของทุกคนตามธรรมชาติ การดิ้นรนเก็บของป่า ล่าสัตว์ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ของครอบครัว และของสังคมมนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์ ก็คือการทำงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ต่างไปจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือการเป็นลูกจ้างของรัฐหรือเอกชนในปัจจุบัน เพื่อหาเงินมาซื้ออาหารยังชีวิต และซื้อหาความสุขสบายต่างๆ
    .
    ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ทำหน้าที่นี้ เพื่อเลี้ยงตนเอง บุคคลอื่นในครอบครัวและในสังคมก็ต้องแบกรับภาระแทน ดังนั้น การทำงานจึงเป็นสิ่งที่มีเกียรติเพราะเป็นการดูแลตนเอง และช่วยมิให้คนอื่นต้งเดือดร้อนแบกรับภาระอุ้มชูตนโดยไม่จำเป็น หรือพูดอีกอย่างว่า การทำงานช่วยให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย
    .
    เมื่อทำงาน ก็มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย สำหรับผู้ที่มีความรู้และพยายามเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีความบากบั่นมานะ ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ก็จะมีรายได้สูง และมีช่วงเวลาในการทำงานหารายได้ยาวนาน สร้างความสุขกายและใจ และความมั่นคงในชีวิตให้แก่ตนเอง และครอบครัวได้ยาวนานไปด้วย
    .
    อย่างไรก็ดี การทำงานหาเงินแต่ละบาทนั้น มิใช่เรื่องง่าย หากเป็นลูกจ้าง การที่นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างให้นั้น ลูกจ้างต้องทำงานให้ได้อย่างคุ้มค่ากับการจ้าง และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ การมีรายได้จากกำไรก็ต้องมาจากการขายสินค้าหรือบริการที่มีผู้ต้องการซื้อ ยิ่งไปกว่านั้น รายรับจากการขายจะต้องสูงกว่าต้นทุนอีกด้วย
    .
    การทำให้ตนเองสามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่า หรือขายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในราคาอันเป็นที่ยอมรับได้ และมีกำไรอีกด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอควร ดังนั้น การหาเงินจึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความรู้ ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องไขว่คว้าหาความรู้ และพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อเตรียมพร้อม
    .
    เงินนั้นมิได้ "งอกบนต้นไม้" ทุกคนต้องดิ้นรนต่อสู้หามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากกายและใจ การหวังพึ่งความเมตตาของคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมานั้น คือการอาศัยจมูกคนอื่นหายใจโดยแท้ เป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี และอยู่บนความประมาทอย่างยิ่ง เพราะหากผู้ให้เปลี่ยนใจ เงินจะขาดมีอย่างฉับพลัน
    .
    เมื่อเงินหามาได้ยากเย็นและด้วยต้นทุนที่สูงเช่นนี้ เงินจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า การใช้จ่ายทุกบาทจึงควรเป็นไปอย่างรอบคอบ และให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับแรงงานที่เสียไป
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน (ตอนที่ 1) . การทำงานคือหน้าที่ของทุกคนตามธรรมชาติ การดิ้นรนเก็บของป่า ล่าสัตว์ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ของครอบครัว และของสังคมมนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์ ก็คือการทำงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ต่างไปจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือการเป็นลูกจ้างของรัฐหรือเอกชนในปัจจุบัน เพื่อหาเงินมาซื้ออาหารยังชีวิต และซื้อหาความสุขสบายต่างๆ . ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ทำหน้าที่นี้ เพื่อเลี้ยงตนเอง บุคคลอื่นในครอบครัวและในสังคมก็ต้องแบกรับภาระแทน ดังนั้น การทำงานจึงเป็นสิ่งที่มีเกียรติเพราะเป็นการดูแลตนเอง และช่วยมิให้คนอื่นต้งเดือดร้อนแบกรับภาระอุ้มชูตนโดยไม่จำเป็น หรือพูดอีกอย่างว่า การทำงานช่วยให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย . เมื่อทำงาน ก็มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย สำหรับผู้ที่มีความรู้และพยายามเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีความบากบั่นมานะ ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ก็จะมีรายได้สูง และมีช่วงเวลาในการทำงานหารายได้ยาวนาน สร้างความสุขกายและใจ และความมั่นคงในชีวิตให้แก่ตนเอง และครอบครัวได้ยาวนานไปด้วย . อย่างไรก็ดี การทำงานหาเงินแต่ละบาทนั้น มิใช่เรื่องง่าย หากเป็นลูกจ้าง การที่นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างให้นั้น ลูกจ้างต้องทำงานให้ได้อย่างคุ้มค่ากับการจ้าง และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ การมีรายได้จากกำไรก็ต้องมาจากการขายสินค้าหรือบริการที่มีผู้ต้องการซื้อ ยิ่งไปกว่านั้น รายรับจากการขายจะต้องสูงกว่าต้นทุนอีกด้วย . การทำให้ตนเองสามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่า หรือขายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในราคาอันเป็นที่ยอมรับได้ และมีกำไรอีกด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอควร ดังนั้น การหาเงินจึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความรู้ ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องไขว่คว้าหาความรู้ และพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อเตรียมพร้อม . เงินนั้นมิได้ "งอกบนต้นไม้" ทุกคนต้องดิ้นรนต่อสู้หามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากกายและใจ การหวังพึ่งความเมตตาของคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมานั้น คือการอาศัยจมูกคนอื่นหายใจโดยแท้ เป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี และอยู่บนความประมาทอย่างยิ่ง เพราะหากผู้ให้เปลี่ยนใจ เงินจะขาดมีอย่างฉับพลัน . เมื่อเงินหามาได้ยากเย็นและด้วยต้นทุนที่สูงเช่นนี้ เงินจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า การใช้จ่ายทุกบาทจึงควรเป็นไปอย่างรอบคอบ และให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับแรงงานที่เสียไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts