• พระผู้ใหญ่ใฝ่ราคะ เย่อกามในผ้าเหลือง

    ยุคเสื่อมพระพุทธศาสนาไทย จากเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง นครปฐม ติดพันสาวเว็บพนัน สู่ปรากฎการณ์ที่พิธีกรข่าว วารินทร์ สัจจเดว ตั้งขึ้นว่า "วันอาสาราคะลาสึกบูชา" พระสงฆ์ที่ครองสมณศักดิ์ระดับสูงหลายคณะภาค ร่วมใช้สีกาคนเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย พร้อมใจกันลาสิกขาโดยละม่อม หลังตำรวจตรวจยึดโทรศัพท์จากสีกา พบภาพสัมพันธ์ต้องห้ามกว่า 8 หมื่นไฟล์ การันตีด้วยผลงานเจ้าอาวาสวัดดังทั่วไทย ไล่ตั้งแต่วัดตรีทศเทพ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ วัดพระพุทธฉาย สระบุรี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฉะเชิงเทรา หนังสือพิมพ์หัวสีไทยรัฐถึงกับใช้คำว่า "เย่อกามในผ้าเหลือง"

    ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดยหลวงตาเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. เช็กหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างสีกากอล์ฟ วัย 35 ปี สาวคนสนิทอดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ หรือเจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร วัย 54 ปี ลาสิกขาสายฟ้าแลบที่ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. แล้วพบว่าสีกากอล์ฟมีเซ็กซ์กับพระชั้นผู้ใหญ่อีกหลายรูป ตรวจค้นบ้านพบจีวรนับสิบผืน เมื่อยึดมือถือ 5 เครื่องไปตรวจสอบเป็นต้องผงะ พบคลิปพระผู้ใหญ่เย่อกามกว่า 8 หมื่นภาพ ชุดสืบสวนต้องดูกันตาแฉะ เพื่อนำไปขยายผลดำเนินคดี

    ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง แต่เมื่อเป็นปลาตัวใหญ่เลยเหม็นนานกว่า สังคมไทยในฐานะเมืองพุทธถึงกับเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา บางคนถึงกับเลิกเข้าวัด เลิกบริจาคเงินให้กับวัด หันไปบริจาคให้โรงพยาบาลและโรงเรียนแทน ขณะเดียวกัน ยังมีการตั้งคำถามถึงการที่สาธุชนถวายเงินให้กับพระโดยตรง รวมทั้งการจัดงานประจำปีและงานบุญต่างๆ ที่ทำรายได้จากการประมูลร้านค้า และเงินบริจาคที่เป็นเงินสดจำนวนมหาศาล กลายเป็นการสร้างความมั่งคั่งแก่พระชั้นผู้ใหญ่บางรูป ต่อยอดสู่การเป็นพุทธพาณิชย์เต็มตัว ลืมเลือนแม้แต่บทสวดมนต์ "อะระหะโต ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส"

    พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ เตือนใจว่า แม้พระชั้นผู้ใหญ่รู้ธรรมะสูงก็ยังพลั้งเผลอได้ จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ความสุขชั่วคราวจากการทุจริต การทำชั่วบางอย่างนำไปสู่ความล่มจม เป็นบทเรียนสอนให้ไม่ประมาท มีสติ เกิดปัญญา จะไม่นับถือพระก็ได้แต่อย่าทิ้งพระรัตนตรัย การบูชาที่แท้จริงคือการปฏิบัติบูชา อย่าเพียงแค่บูชาดอกไม้ธูปเทียน ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ระบุว่า ถือเป็นเรื่องรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ปัจจัยมาจาก 3 ส. คือ สติ สตางค์ และสล็อต พร้อมขอชาวพุทธอย่าทิ้งศาสนาไว้ข้างหลัง อนาคตสังคมอาจวิกฤต

    #Newskit
    พระผู้ใหญ่ใฝ่ราคะ เย่อกามในผ้าเหลือง ยุคเสื่อมพระพุทธศาสนาไทย จากเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง นครปฐม ติดพันสาวเว็บพนัน สู่ปรากฎการณ์ที่พิธีกรข่าว วารินทร์ สัจจเดว ตั้งขึ้นว่า "วันอาสาราคะลาสึกบูชา" พระสงฆ์ที่ครองสมณศักดิ์ระดับสูงหลายคณะภาค ร่วมใช้สีกาคนเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย พร้อมใจกันลาสิกขาโดยละม่อม หลังตำรวจตรวจยึดโทรศัพท์จากสีกา พบภาพสัมพันธ์ต้องห้ามกว่า 8 หมื่นไฟล์ การันตีด้วยผลงานเจ้าอาวาสวัดดังทั่วไทย ไล่ตั้งแต่วัดตรีทศเทพ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ วัดพระพุทธฉาย สระบุรี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฉะเชิงเทรา หนังสือพิมพ์หัวสีไทยรัฐถึงกับใช้คำว่า "เย่อกามในผ้าเหลือง" ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดยหลวงตาเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. เช็กหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างสีกากอล์ฟ วัย 35 ปี สาวคนสนิทอดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ หรือเจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร วัย 54 ปี ลาสิกขาสายฟ้าแลบที่ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. แล้วพบว่าสีกากอล์ฟมีเซ็กซ์กับพระชั้นผู้ใหญ่อีกหลายรูป ตรวจค้นบ้านพบจีวรนับสิบผืน เมื่อยึดมือถือ 5 เครื่องไปตรวจสอบเป็นต้องผงะ พบคลิปพระผู้ใหญ่เย่อกามกว่า 8 หมื่นภาพ ชุดสืบสวนต้องดูกันตาแฉะ เพื่อนำไปขยายผลดำเนินคดี ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง แต่เมื่อเป็นปลาตัวใหญ่เลยเหม็นนานกว่า สังคมไทยในฐานะเมืองพุทธถึงกับเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา บางคนถึงกับเลิกเข้าวัด เลิกบริจาคเงินให้กับวัด หันไปบริจาคให้โรงพยาบาลและโรงเรียนแทน ขณะเดียวกัน ยังมีการตั้งคำถามถึงการที่สาธุชนถวายเงินให้กับพระโดยตรง รวมทั้งการจัดงานประจำปีและงานบุญต่างๆ ที่ทำรายได้จากการประมูลร้านค้า และเงินบริจาคที่เป็นเงินสดจำนวนมหาศาล กลายเป็นการสร้างความมั่งคั่งแก่พระชั้นผู้ใหญ่บางรูป ต่อยอดสู่การเป็นพุทธพาณิชย์เต็มตัว ลืมเลือนแม้แต่บทสวดมนต์ "อะระหะโต ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส" พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ เตือนใจว่า แม้พระชั้นผู้ใหญ่รู้ธรรมะสูงก็ยังพลั้งเผลอได้ จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ความสุขชั่วคราวจากการทุจริต การทำชั่วบางอย่างนำไปสู่ความล่มจม เป็นบทเรียนสอนให้ไม่ประมาท มีสติ เกิดปัญญา จะไม่นับถือพระก็ได้แต่อย่าทิ้งพระรัตนตรัย การบูชาที่แท้จริงคือการปฏิบัติบูชา อย่าเพียงแค่บูชาดอกไม้ธูปเทียน ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ระบุว่า ถือเป็นเรื่องรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ปัจจัยมาจาก 3 ส. คือ สติ สตางค์ และสล็อต พร้อมขอชาวพุทธอย่าทิ้งศาสนาไว้ข้างหลัง อนาคตสังคมอาจวิกฤต #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เพจ สรยุทธ์ สุทัศนจินดา 9/7/68

    “‘ทักษิณ’ ลั่นเมืองไทยไม่มีทางตัน แค่มีคนอุดไว้ บอก นายกฯ อิ๊งค์ ยังอยากให้ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล แต่เขาใช้คลิปฮุนเซน เป็นจังหวะเตะลูก พร้อมแฉกลฮั้วสว.วางแผนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง สส. รับตกใจเห็นวิสัยทัศน์แยบยล ขาย สส.พ่วง สว. มั่นใจความบริสุทธิ์ลูกสาว หวังศาลรับฟัง ไม่ปิดประตู มีโอกาสกลืนเลือด 4 ปี๊บ จูบปาก ‘ภท.’ รอบสาม หากติดคณิตศาสตร์การเมือง ลั่น ผมหมูจะตาย มีแต่ช่วยคน จะกลัวผมทำไม ชี้ ผมต้องช่วยประเทศ จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เผย ไม่ได้คุยกับ ‘เนวิน - อนุทิน’ เลย มอง ภท. เป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน ลั่น พ่อนายกอยู่นี่ เชื่อการเมืองไม่มีสูญญากาศ แม้ ‘อิ๊งค์’ ถูกสั่งพักงาน ชม มท.1 คนใหม่ มาถูกทาง สั่งโยกย้ายทันทีหลังเริ่มงาน บอก river of no return หากจะรีเทิร์นต้องรอสมัยหน้า

    เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 9 กรกฎาคม ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ 55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟ ทอล์ก กับ 4 ผู้นำทางความคิด ร่วมชี้ทางรอดการเมือง ทางออกประเทศไทย 3 บก. ถาม บก.ที่ 4 ตอบ

    โดยก่อนเริ่มถ่ายทอดสด พิธีกรได้เชิญนายทักษิณขึ้นบนเวที โดยนายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้มาในฐานะพ่อนายกฯ ขณะเดียวกันพิธีได้ถามนายทักษิณว่า ไปไหนมาไหนต้องมีลูกสาวเกาะติดเป็นผู้ติดตามตลอด

    นายทักษิณ ยิ้มและกล่าวว่า “ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดลูกๆ 17 ปีที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกๆ กลับมาเขาก็ต้องมาคอยเป็นห่วงเป็นใย”

    จากนั้นเข้าสู่การถ่ายทอดสด โดยพิธีได้ถามว่า วันนี้ประเทศถึงทางตันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “แสดงว่ามีคนอุดไว้ มันถึงจะตัน เหตุเกิดที่ไหนดับที่นั่น”

    ส่วนเป็นกลุ่มใด องค์กรใดที่ไปอุดไว้ทำให้เกิดทางตัน นายทักษิณ กล่าวว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองไทยเรานี้ คนอยากเป็นนายกฯ ก็เยอะ ลูกชายไปเที่ยวเมืองนอกก็ประกาศเลยว่า พ่อจะต้องเป็นนายกฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตนจะเล่าให้ฟังคนที่อยากไปเป็นนายกฯ นี่ เขายอมทำทุกอย่าง เพราะอยากให้หมอดูแม่น เดี๋ยวหมอดูจะไม่แม่นไป

    เมื่อถามว่า เขาทำเพื่อหมอดูหรือเพื่อตัวเอง นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ด้วยกัน ส่วนจะได้เป็นนายกหรือไม่นั้นตนไม่รู้เพราะเห็นว่าลูกชายพูดแบบนั้น

    จากนั้นพิธีกร ถามว่าในแคนดิเดตนายกฯ ส่วนใหญ่มีแต่ลูกสาว แต่มีอยู่คนเดียว คือ น.หนูอนุทินแน่ๆ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดนะ

    พิธีย้อนถามถึงปัญหาทางตันที่เกิดขึ้น นายทักษิณ กล่าวว่า การเมืองมีหลายรูปแบบโดยเฉพาะเรื่องนิติสงครามเข้ามาด้วย บางทีก็เป็นเรื่องของตัวเลขในสภาฯ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมือง ทุกคนเก่งคณิตคณิตศาสตร์หมด มันไม่มีอะไรเกินกว่าที่ไม่สามารถแก้ได้ ตนบอกเลยว่าไม่ตัน

    เมื่อถามถึง การเอาที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกจากรัฐบาลจะทำให้เกิดทางตันหรือไม่ นายทักษิณ ย้ำว่าไม่ได้ขอให้ออก เพียงแต่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต้องมีผลงานเพราะชอบสู้ด้วยนโยบาย เพราะแถลงไปแล้วมันเป็นไปตามที่แถลงก็ต้องพยามผลักดัน แต่มันไปติดที่กระทรวงมหาดไทย ก็นโยบายหลายเรื่องทั้งยาเสพติดและการแก้ไขปัญหาความยากจน ทุกอย่างเรื่องหนี้ เรื่องโอทอป มันต้องอาศัยกลไกของมหาดไทยทั้งนั้น เเม้กระทั่ง เรื่องสร้างบ้านให้คนไทย ที่ต้องทำสัญญา 99 ปีก็ต้องไปผ่านมหาดไทย

    ”พูดให้ชัดเจน พรรคเพื่อไทยบอกว่าขอมหาดไทยคืน แต่เขาไม่ตกลง เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะออกหรือไม่ นายกเล่าให้ตนฟังว่า ยังอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ทำด้วยกัน พอดีมีเหตุฮุนเซน ก็ได้จังหวะเตะลูกพร้อม“

    พิธีกร ถามว่า เขามีการคอนเน็คติ้งกันหรือไม่ ระหว่างกัมพูชา ในไทยกับกัมพูชาในกัมพูชา นายทักษิณ กล่าวว่า ผมไม่กลัาจะไปปรักปรำใคร มันบังเอิญ

    นายทักษิณ ยังย้ำว่าการแก้ไขทางตันนั้นไม่มีปัญหาอะไรต้องแก้ไปด้วยคณิตศาสตร์ทางการเมือง พร้อมยืนยันเสถียรภาพรัฐบาล ยังไม่ใช่ตันเลย

    พิธีกรได้ถามถึงพรรคภูมิใจไทยที่ออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้วขย่มร่วมกับกลไกของ สว. จนทำให้นายกฯ ต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนจะเล่าให้ฟัง เรื่องการฮั้วสว. ซึ่งสวโดนกล่าวหา ว่ามีการฮั้ว ซึ่งพูดเพราะไปนะ ต้องใช้คำว่าโกงเลือกตั้ง เรื่องนี้จริยธรรมมันไม่มีแล้ว แล้วจะมาร้องจริยธรรมทำไม ในเมื่อคนร้องไม่มีจริยธรรมแล้วจะมาร้องจริยธรรมคนอื่น เป็นเรื่องที่จะทำยังไงให้รัฐบาลล่ม ให้ทันกรกฎาคน มันกลายเป็นว่า zero-sum game แล้วเป็น Race Against Time

    “ผมถามเรื่องสว.พรรคร่วมรัฐบาลจะเอายังไงกันดี ทุกคนบอกไม่มีใครยุ่ง แต่ตนเห็นมีรายงานการสืบสวนที่เขาเล่าให้ผมฟัง ว่ามีเตรียมการตั้งแต่เลือกตั้งสส. ตนตกใจสุดขีดว่าวิสัยทัศน์เขาดีมาก ที่สส.เลือกตั้งก่อน แล้วใครคุมสส. 15 คนจะได้โควตา สว.หนึ่งคน นายทักษิณ กล่าว

    พิธีกร ย้อนถามเรื่องเสียงในสภาฯ ที่ปริ่มน้ำจะต้องทำยังไง นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องบริหารและเพิ่มคนไป เดี๋ยวก็ต้องร้องเพลง ” ฉันป่าวนะเขามาเอง“ก็ไม่มีปัญหา พวกเราเป็นเบิร์ด เพราะรักทุกๆคน ปัญหาเขามีไว้ให้แก้เขาไม่ได้มีไว้ให้แบก ตนมองปัญหาเป็นความท้าทาย ถ้าคิดว่าเป็นปัญหาก็เครียดตายไม่ต้องนอน

    “ เราอยู่ในโลกที่มีกติกาก็ต้องเคารพกติกาแต่เมื่อศาลบอกว่าให้พักปฎิบัติหน้าที่เราก็พักซะ แต่คนมีหน้าที่ก็ทำไป เป็นเรื่องที่เราต้องทำตามกติกา ถ้าเราไม่เคารพกติกาไปบิดเบี้ยวกติกา มันก็อยู่ด้วยกันยาก “ นายทักษิณ กล่าว

    ส่วนถ้าคนชกนอกกติกา นายทักษิณ กล่าวว่า ตนก็กระทืบเท้าเขา จะกระทืบตัวเองทำไม

    นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า สมัยนี้นิติสงครามไม่เหมือนเดิม ไม่แรงกว่าเดิม สมัยก่อนมีระบบคอมแมนคอนโทรล สมัยนี้ร้องและทำหน้าที่พิจารณา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม ระบบยังมีกติกาของมันอยู่ แม้จะหยุมหยิม แต่มีหลักมีเกณฑ์กว่าสมัยก่อน ส่วนที่องค์กรอิสระไม่กี่คนมาตัดสิน จริงๆ แล้ว ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเราเข้ามาแล้วมีกติกาแบบนี้ ก็ต้องเดินไปก่อน โดนจนชินแล้ว เป็นเรื่องที่เราก็ต้องสู้ไป แก้ไป อะไรแก้ได้ก็แก้ อะไรแก้ไม่ได้ก็ต้องอยู่ในกติกานั้น

    นายทักษิณ มองว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อลดกระแสมากกว่า คนละเรื่องกับการตัดสิน ส่วนวิตกกังวลหรือไม่ว่าน.ส.แพทองธารจะพ้นจากหน้าที่นายกรัฐมนตรี แล้วทำให้เกมการเมืองถึงขั้นยุบสภาฯ นายทักษิณยืนยันว่าตนมั่นใจตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและมั่นใจความบริสุทธิ์ใจของลูกสาว เชื่อว่าศาลน่าจะรับฟังด้วยเหตุและผลว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็อธิบายได้หมดทุกอย่าง ส่วนพรรคที่ออกไป เพราะคิดว่าน.ส.แพทองธารไม่รอดนั้น ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรหรือไม่

    หากเขาไปสุมหัวจะตั้งรัฐบาลแล้ว นายทักษิณ บอกว่าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ตนเดาอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้เขาออก แต่เขาอยากออก แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็อย่าไปเสียใจกับมัน เราไม่สามารถควบคุมได้เพราะเราชวนเขาแล้ว เขาไม่เอา ไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็อยู่ได้ เพราะแลกกระทรวงอื่นเขาก็ไม่เอา เขาจะเอากระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้นั้นเพราะเรารู้อดีตเขา

    สำหรับกรณีที่หากย้อนกลับไปแล้วผิดหวังกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยรอบแรกปี 2551 ที่พรรค ภท. ไปตั้งพรรคของตัวเองแล้วไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกขั้วหนึ่ง ส่วนรอบนี้ก็ผิดหวังอีกนั้น นายทักษิณ บอกว่าการเมืองต้องเข้าใจว่าการเมืองบ้านเรามีกฎไว้เลี่ยง ผมกลับมาลืมอดีตหมดแล้ว พยายามจะเริ่มต้นใหม่ ส่วนจะมีรอบที่สามกับภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายทักษิณ บอกว่า การเมืองบ้านเรา วันนี้เป็นการออกแบบการเมืองที่แย่ที่สุด ตั้งแต่ทหารปฏิวัติมาเนี่ยแหละ เวลาเขาเขียนรัฐธรรมนูญ เขาเห็นหน้าผมอยู่ กันผมในทุกรูปแบบ กันจนผลสุดท้ายบ้านเมืองมีปัญหา การเมืองแบบหัวแตก พรรคเล็กพรรคน้อยเยอะแยะ ทำงานยาก ไม่เหมือนตอนตนแก้ปัญหาต้มยำกุ้ง เพราะเป็นพรรคใหญ่ ไม่มีระบบสัมปทานกระทรวง มาวันนี้มันแย่แล้ว ให้ไปบริหารแต่กับไปทำธุรการกับธุรกิจ ธุรการคือแต่งตั้งโยกย้าย ธุรกิจคือวางไข่ออกไข่ วันนี้กติกาแบบนี้สร้างวัฒนธรรม ไม่ทำไม่ผิด เมื่อถามย้ำ จะมีรอบสาม กับภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ ระบุการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เมื่อการเมืองออกแบบแบบนี้ ไม่สามารถที่จะบอกว่าจะอยู่คนเดียวในรัฐบาลนี้ สูตรคณิตศาสตร์ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นก็ต้องกลืนเลือด ซัก 3-4 ปี๊ป ก็ว่าไป ไม่ปิดโอกาสร่วมมือพรรคส้ม แต่วันนี้ยังไม่จำเป็น บอกสีน้ำเงินส้ม จับมือกันได้หลวมๆ เหตุเป็นปลาคนละน้ำ ชี้บริบทรัฐบาล มีหลายออฟชั่น

    นายทักษิณ ยังตอบคำถามกรณีตนเองเป็นทางตันหรือไม่ และปัญหาทั้งหมดเกิดเพราะท่านหรือไม่นั้น ว่า หลายคนอาจจะไม่ชอบหน้าเป็นพิเศษ จึงทำให้ตนมีขาประจำ ซึ่งตนเมินขาประจำที่เป็นมา 20 ปี พ่อเสียชีวิตก็ลืมถามว่าพ่อของใครมีปัญหากับพ่อของเขาหรือไม่ ส่วนที่เหตุใดจึงไม่สามารถโน้มน้าวคนกลุ่มนี้ได้นั้น ตนมองว่าหากคนกลุ่มนี้มาพูดคุยกับตน ซึ่งบางคนไม่รู้จักตนด้วยซ้ำ ไม่เคยเจอเห็นแต่ในทีวี แต่เมื่อเห็นก็รู้สึกหมั่นไส้แล้ว ซึ่งตนเป็นคนที่สร้างตัวจากไม่มีอะไรมาด้วยตัวเอง จึงไม่ค่อยอะไร

    ส่วนมาถามว่าเพราะอะไรถึงเห็นในทีวีแล้วหมั่นไส้ นายทักษิณ ระบุว่า ตนยังคงงงอยู่ ส่วนนายกฯ แพทองธาร เคยถามหรือไม่ว่าไปทำอะไรให้คนกลุ่มนั้น ถึงมาเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน นายทักษิณ ตอบสั้นๆ ว่า “ผมก็กวาดน้ำ อย่าไปคิดอะไรมาก”

    ส่วนในฐานะที่คลุกคลีกับการเมืองมา 51 ปี โอกาสที่พรรคสีแดงอย่างพรรคเพื่อไทยจะไปผสมกับพรรคประชาชนนายทักษิณ ระบุว่า “ในวันนี้ยังไม่มีมีความจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นศรัตรูกับพรรคใดพรรคหนึ่ง ยืนยันว่าไม่ได้เป็น แต่การจะทำงานกับใครต้องมั่นใจว่าเราไปด้วยกันได้ และไม่ขัดนโยบายหลักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถาบัน เรื่องเจ้านาย เพราะตนได้รับพระเมตตาสูงสุด ดังนั้นตนจะไม่มีทางที่จะไปทำงานกับใครที่กระทบกระเทือนกับสถาบัน

    หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาสีส้มไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นมาตรา 112 จะสามารถร่วมมือกันได้หรือไม่ นายทักษิณ ตอบ ”ไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกันเลย“

    สำหรับสีน้ำเงินกับสีส้มมีโอกาสจับมือกันได้หรือไม่ในขณะที่เป็น ตนมองว่า หากจะจับก็จับหลวมๆ เพราะเป็นปลาคนละน้ำ ส่วนน้ำของแดงกับส้มใกล้เคียงกว่ากันนั้นหรือไม่ หากพูดความจริงเป็นพรรคที่เกิดจากนโยบายพรรคที่เกิดจากการหาเสียงมาสไตล์เดียวกัน ถ้าเห็นไทยรักไทยอย่างไรพรรคส้มก็คล้ายๆ กัน

    อย่างนั้นส้มกับน้ำเงินปลาคนละน้ำ แต่แดงกับส้มปลาน้ำกันใช่หรือไม่ นายทักษิณ บอกว่า เป็นวงสีธรรมชาติ สีส้มเกิดจากสีแดงรวมกับสีเหลือง ถ้าแดงแยกไปประสมกับน้ำเงินจะเป็นสีม่วง และสีเหลืองผสมสีน้ำเงินเป็นสีเขียว ถ้าสีม่วงกับสีเหลืองไปผสมกันจะเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง สีไม่สวย ส่วนสีแดงผสมกับสีส้มจะเป็นสีแสด ซึ่งสีแสดมันแรงไป

    ส่วนที่อดีตนายกวิเคราะห์ ยังไม่จำเป็นที่จะจับมือกับสีส้ม เสียงอย่างพอ โดยนายทักษิณระบุว่า พรรคแกนนำรัฐบาลยังมีความสามัคคีทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าต้องคุมในสภามาให้โดสภาแค่นั้นเอง ไม่ให้โดดกฎหมายสำคัญ
    ส่วนหลังจากนั้นหนูเปล่านะเขามาเอง

    ส่วนกลไกการเมืองในปัจจุบัน เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในปัจจุบัน นายทักษิณ ระบุว่า มีปัญหาไว้ให้แก้เมื่อมีอุปสรรคต้องแก้ไป หากถามว่าถึงทางตันหรือไม่ไม่ตัน ส่วนกลไกบริบทปัจจุบันทำให้นายกรัฐมนตรีไปสู่การติดกับดัก และรักการนายกฯ ต้องประคองต่อ หรือหากไม่ลาออกก็ต้องยุบสภา รัฐบาลจะอายุสั้น นายทักษิณ ระบุว่า มีหลาย option 1.คือนายกแพทองธารทองคำรอด ก็สามารถกลับไปทำงานเต็มที่และทำยาว 2. แต่ถ้าสมมุติว่าไม่รอดมี 2 ทางเลือก คือเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หรือยุบสภา และตอนนี้นายชัยเกษมก็ยังฟิต อยู่ตีกอล์ฟสบายมาก

    เมื่อถามว่า ท่านดูอารมณ์ของคนไทย ที่ถูกตั้งคำถามเหมือนกัน เพื่อไทยที่เป็นแกนนำ มีอาวุธอยู่สองอาวุธ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ติดกับดักจริยธรรมของ ศาลรัฐธรรมนูญ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ติดกับดักของศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก ท่านคิดว่านายชัยเกษม ที่เป็นกลไกที่สาม จะเป็นทางรอดของประเทศหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังอยู่เอาออกไม่ได้ ตนยังเป็นสทร. เหมือนเดิม ผมไม่ยอม อายุ 76 ปียังหนุ่มอยู่ ขอให้บ้านเมืองรอด เอาเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก

    เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกับช่วงสิงหาคมปี 2566 มีทัวร์ลงเยอะ วิบากกรรมเยอะขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ตื่นเช้ามาวันนี้ต้องขึ้นศาลก็ขึ้นไป มันแก่แล้วปล่อยวางไปเยอะแล้ว ผมหยุดแล้วแต่ท่านไม่หยุด ตนต้องทำให้บ้านเมือง จะให้ทำอย่างไร ภาวะเศรษฐกิจในวันนี้ ถ้าตนไม่เสือกแล้วใครจะเสือก มันยากนะ วันนี้ปัญหาบ้านเมืองตนอยู่เฉยไม่ได้ ในฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและลูกเป็นนายกรัฐมนตรี มีอะไรก็ต้องช่วยกัน วันนี้ประชุมว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งตนออกนอกประเทศไม่ได้ถ้าออกได้จะสนุกกว่านี้

    เมื่อถามว่าอยากจะออกไปช่วย แล้วมีคดีมองว่าเหมือนมีใครมาล่ามขาไว้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นเรื่องต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว ตอนที่ปฏิวัติปี 2549 คดีของตนจะหมดอายุความก็เลยล็อคไว้ก่อน โดยใช้การสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับม. 112 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งตนไม่กังวล เราไม่มีอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นภาวะปกติ ก็คงไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาแต่เป็นภาวะพิเศษ

    เมื่อถามว่า ในกลไกบริบททางการเมือง ในปัจจุบันทั้งกลไกเรื่องฝ่ายค้าน กลไกนิติสงครามทางข้อกฎหมาย กลไกองค์การอิสระ จะมีกลไกมีอำนาจอะไรที่เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ที่จะทำให้การทำงานของรัฐบาลเดินต่อไปไม่ค่อยได้ สะดุดตลอด นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความหยุมหยิมของระบบ ซึ่งต้องแก้ระบบการเมืองที่วางไว้ องค์การอิสระที่อนุญาตให้ใครก็ได้มาร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่คดีหลบไปหมด ซึ่งอาจจะส่งเสริมอาชีพนักร้อง บางคนรับจ้างร้องหรือบางคนรับจ้างหยุดร้อง

    เมื่อถามว่า การกลับมาเป็น สทร. กลัวจะมีอำนาจอะไรหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า อย่ามากลัวตน หมูเรียกพี่ใครเจอตน ผมหมูจะตาย ไม่เคยฆ่าใครมีแต่ช่วยคน

    เมื่อถามว่า สายน้ำเงิน บอกว่าไม่กลัวลูกแต่กลัวพ่อนายทักษิณ กล่าวว่า ตนคุยชัดเจนจะตาย ถ้าชัดเจนแบบที่ตนบอกก็จบไปแล้ว

    เมื่อถามว่า มีการพูดคุยกับนายเนวิน หรือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่าไม่ได้คุยเลย เพราะเขาไม่คุยกับตน พรรคที่ร่วมรัฐบาล แปลสภาพมาเป็นฝ่ายค้าน

    เมื่อถามว่า ไม่รู้จะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายแค้น นายทักษิณ กล่าวว่า น่าจะแค้นมากกว่าค้าน เมื่อถามถึงเรื่องการทำงาน โดยเฉพาะในส่วนกระทรวงมหาดไทยที่เข้าไปดูแลกรมที่ดิน ประเมินเรื่องเขากระโดงอย่างไร นายทักษิณกล่าวว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา และกฎหมาย ซึ่งที่ดินอัลไพน์ก็โดนสั่งถอน ว่ากันไปตามกติกามีสิทธิ์ก็รักษาสิทธิ์ไป ใครนั่งทับสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องโดน ม. 157 และเดี๋ยวอีกไม่นานก็ต้องมีคนมาร้อง มท.1ใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็มาแล้ว เป็นอย่างที่เขาบอกว่าบ้านเมืองเราไม่ใช่ผู้เสียหายก็ร้องได้เลอะเทอะไปหมด

    ส่วนเรื่องการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ มีการโยกย้ายทันที ถือว่ามาถูกทางหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าต้องเห็นใจ เขามาจากกระทรวงกลาโหม มาถึงตรงนี้ต้องเด็ดขาด และมองว่ากลไกกระทรวงมหาดไทยเริ่มทำงานแล้ว ได้ข่าวรัฐมนตรีบอกว่าจะดุเอง บอกว่าไม่ต้องมาต้อนรับ หากผู้ว่าฯไม่ทำงานก็จะโดน

    ส่วนในแง่การทำงานระหว่างที่นางสาวแพทองธารถูกพักการทำหน้าที่ จะสร้างความมั่นใจให้คนอย่างไรว่ารัฐบาลยังไม่ถึงจุดอับ ทักษิณกล่าวว่า

    “พ่อนายกอยู่นี่ ยังไงก็ดูแลบ้านเมืองเต็มที่ มีอะไรก็บอกให้รัฐมนตรีช่วยกันทำเชื่อว่าไม่มีสูญญากาศ ส่วนที่บอกว่าข้าราชการจะเกียร์ว่างนั้นไม่ต้องว่าง ไม่ต้องรอสถานการณ์การเมือง อย่าไปคิดว่า river จะ return”

    เมื่อถามว่าระบบราชการหลังรัฐประหารเปลี่ยนไป นายทักษิณยอมรับว่า เปลี่ยนไป ข้าราชการบางคนบอกว่าจะกลับมา แต่ตนขอบอกว่า river of no return จะรีเทิร์นต้องรอเลือกตั้งสมัยหน้า

    เมื่อถามว่าคะแนนนิยมที่ลดลง น่าห่วงหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า การเมืองเป็นกระแส ต้องดูว่าในภาวะการณ์ไหน หากโดนรุมอย่างนี้ หากเป็นทางโซเชียลมีเดีย ซอมบี้ทั้งหลาย ก็จะมีการปั่นกันโกรธกัน สักเดี๋ยวก็หยุด

    ส่วนจะขับเคลื่อนโครงการใหญ่ได้อย่างไร ในช่วงที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพ นายทักษิณกล่าวว่าอะไรที่เคลื่อนได้ก็ต้องเคลื่อน อะไรที่เป็นรูทีนก็ต้องขับเคลื่อนทั้งเรื่องยาเสพติดการแก้หนี้การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องโครงการใหญ่ใหญ่อยู่ในแนยทางอยู่แล้วก็ต้องทำไปส่วนเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์วันนี้ถอนออกมาเพราะไม่อยากให้สับสน ซึ่งช่วงนี้ต้องเรียงลำดับความสำคัญก็ไม่เป็นไร”
    รีโพสต์เพจ สรยุทธ์ สุทัศนจินดา 9/7/68 “‘ทักษิณ’ ลั่นเมืองไทยไม่มีทางตัน แค่มีคนอุดไว้ บอก นายกฯ อิ๊งค์ ยังอยากให้ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล แต่เขาใช้คลิปฮุนเซน เป็นจังหวะเตะลูก พร้อมแฉกลฮั้วสว.วางแผนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง สส. รับตกใจเห็นวิสัยทัศน์แยบยล ขาย สส.พ่วง สว. มั่นใจความบริสุทธิ์ลูกสาว หวังศาลรับฟัง ไม่ปิดประตู มีโอกาสกลืนเลือด 4 ปี๊บ จูบปาก ‘ภท.’ รอบสาม หากติดคณิตศาสตร์การเมือง ลั่น ผมหมูจะตาย มีแต่ช่วยคน จะกลัวผมทำไม ชี้ ผมต้องช่วยประเทศ จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เผย ไม่ได้คุยกับ ‘เนวิน - อนุทิน’ เลย มอง ภท. เป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน ลั่น พ่อนายกอยู่นี่ เชื่อการเมืองไม่มีสูญญากาศ แม้ ‘อิ๊งค์’ ถูกสั่งพักงาน ชม มท.1 คนใหม่ มาถูกทาง สั่งโยกย้ายทันทีหลังเริ่มงาน บอก river of no return หากจะรีเทิร์นต้องรอสมัยหน้า เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 9 กรกฎาคม ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ 55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟ ทอล์ก กับ 4 ผู้นำทางความคิด ร่วมชี้ทางรอดการเมือง ทางออกประเทศไทย 3 บก. ถาม บก.ที่ 4 ตอบ โดยก่อนเริ่มถ่ายทอดสด พิธีกรได้เชิญนายทักษิณขึ้นบนเวที โดยนายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้มาในฐานะพ่อนายกฯ ขณะเดียวกันพิธีได้ถามนายทักษิณว่า ไปไหนมาไหนต้องมีลูกสาวเกาะติดเป็นผู้ติดตามตลอด นายทักษิณ ยิ้มและกล่าวว่า “ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดลูกๆ 17 ปีที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกๆ กลับมาเขาก็ต้องมาคอยเป็นห่วงเป็นใย” จากนั้นเข้าสู่การถ่ายทอดสด โดยพิธีได้ถามว่า วันนี้ประเทศถึงทางตันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “แสดงว่ามีคนอุดไว้ มันถึงจะตัน เหตุเกิดที่ไหนดับที่นั่น” ส่วนเป็นกลุ่มใด องค์กรใดที่ไปอุดไว้ทำให้เกิดทางตัน นายทักษิณ กล่าวว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองไทยเรานี้ คนอยากเป็นนายกฯ ก็เยอะ ลูกชายไปเที่ยวเมืองนอกก็ประกาศเลยว่า พ่อจะต้องเป็นนายกฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตนจะเล่าให้ฟังคนที่อยากไปเป็นนายกฯ นี่ เขายอมทำทุกอย่าง เพราะอยากให้หมอดูแม่น เดี๋ยวหมอดูจะไม่แม่นไป เมื่อถามว่า เขาทำเพื่อหมอดูหรือเพื่อตัวเอง นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ด้วยกัน ส่วนจะได้เป็นนายกหรือไม่นั้นตนไม่รู้เพราะเห็นว่าลูกชายพูดแบบนั้น จากนั้นพิธีกร ถามว่าในแคนดิเดตนายกฯ ส่วนใหญ่มีแต่ลูกสาว แต่มีอยู่คนเดียว คือ น.หนูอนุทินแน่ๆ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดนะ พิธีย้อนถามถึงปัญหาทางตันที่เกิดขึ้น นายทักษิณ กล่าวว่า การเมืองมีหลายรูปแบบโดยเฉพาะเรื่องนิติสงครามเข้ามาด้วย บางทีก็เป็นเรื่องของตัวเลขในสภาฯ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมือง ทุกคนเก่งคณิตคณิตศาสตร์หมด มันไม่มีอะไรเกินกว่าที่ไม่สามารถแก้ได้ ตนบอกเลยว่าไม่ตัน เมื่อถามถึง การเอาที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกจากรัฐบาลจะทำให้เกิดทางตันหรือไม่ นายทักษิณ ย้ำว่าไม่ได้ขอให้ออก เพียงแต่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต้องมีผลงานเพราะชอบสู้ด้วยนโยบาย เพราะแถลงไปแล้วมันเป็นไปตามที่แถลงก็ต้องพยามผลักดัน แต่มันไปติดที่กระทรวงมหาดไทย ก็นโยบายหลายเรื่องทั้งยาเสพติดและการแก้ไขปัญหาความยากจน ทุกอย่างเรื่องหนี้ เรื่องโอทอป มันต้องอาศัยกลไกของมหาดไทยทั้งนั้น เเม้กระทั่ง เรื่องสร้างบ้านให้คนไทย ที่ต้องทำสัญญา 99 ปีก็ต้องไปผ่านมหาดไทย ”พูดให้ชัดเจน พรรคเพื่อไทยบอกว่าขอมหาดไทยคืน แต่เขาไม่ตกลง เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะออกหรือไม่ นายกเล่าให้ตนฟังว่า ยังอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ทำด้วยกัน พอดีมีเหตุฮุนเซน ก็ได้จังหวะเตะลูกพร้อม“ พิธีกร ถามว่า เขามีการคอนเน็คติ้งกันหรือไม่ ระหว่างกัมพูชา ในไทยกับกัมพูชาในกัมพูชา นายทักษิณ กล่าวว่า ผมไม่กลัาจะไปปรักปรำใคร มันบังเอิญ นายทักษิณ ยังย้ำว่าการแก้ไขทางตันนั้นไม่มีปัญหาอะไรต้องแก้ไปด้วยคณิตศาสตร์ทางการเมือง พร้อมยืนยันเสถียรภาพรัฐบาล ยังไม่ใช่ตันเลย พิธีกรได้ถามถึงพรรคภูมิใจไทยที่ออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้วขย่มร่วมกับกลไกของ สว. จนทำให้นายกฯ ต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนจะเล่าให้ฟัง เรื่องการฮั้วสว. ซึ่งสวโดนกล่าวหา ว่ามีการฮั้ว ซึ่งพูดเพราะไปนะ ต้องใช้คำว่าโกงเลือกตั้ง เรื่องนี้จริยธรรมมันไม่มีแล้ว แล้วจะมาร้องจริยธรรมทำไม ในเมื่อคนร้องไม่มีจริยธรรมแล้วจะมาร้องจริยธรรมคนอื่น เป็นเรื่องที่จะทำยังไงให้รัฐบาลล่ม ให้ทันกรกฎาคน มันกลายเป็นว่า zero-sum game แล้วเป็น Race Against Time “ผมถามเรื่องสว.พรรคร่วมรัฐบาลจะเอายังไงกันดี ทุกคนบอกไม่มีใครยุ่ง แต่ตนเห็นมีรายงานการสืบสวนที่เขาเล่าให้ผมฟัง ว่ามีเตรียมการตั้งแต่เลือกตั้งสส. ตนตกใจสุดขีดว่าวิสัยทัศน์เขาดีมาก ที่สส.เลือกตั้งก่อน แล้วใครคุมสส. 15 คนจะได้โควตา สว.หนึ่งคน นายทักษิณ กล่าว พิธีกร ย้อนถามเรื่องเสียงในสภาฯ ที่ปริ่มน้ำจะต้องทำยังไง นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องบริหารและเพิ่มคนไป เดี๋ยวก็ต้องร้องเพลง ” ฉันป่าวนะเขามาเอง“ก็ไม่มีปัญหา พวกเราเป็นเบิร์ด เพราะรักทุกๆคน ปัญหาเขามีไว้ให้แก้เขาไม่ได้มีไว้ให้แบก ตนมองปัญหาเป็นความท้าทาย ถ้าคิดว่าเป็นปัญหาก็เครียดตายไม่ต้องนอน “ เราอยู่ในโลกที่มีกติกาก็ต้องเคารพกติกาแต่เมื่อศาลบอกว่าให้พักปฎิบัติหน้าที่เราก็พักซะ แต่คนมีหน้าที่ก็ทำไป เป็นเรื่องที่เราต้องทำตามกติกา ถ้าเราไม่เคารพกติกาไปบิดเบี้ยวกติกา มันก็อยู่ด้วยกันยาก “ นายทักษิณ กล่าว ส่วนถ้าคนชกนอกกติกา นายทักษิณ กล่าวว่า ตนก็กระทืบเท้าเขา จะกระทืบตัวเองทำไม นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า สมัยนี้นิติสงครามไม่เหมือนเดิม ไม่แรงกว่าเดิม สมัยก่อนมีระบบคอมแมนคอนโทรล สมัยนี้ร้องและทำหน้าที่พิจารณา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม ระบบยังมีกติกาของมันอยู่ แม้จะหยุมหยิม แต่มีหลักมีเกณฑ์กว่าสมัยก่อน ส่วนที่องค์กรอิสระไม่กี่คนมาตัดสิน จริงๆ แล้ว ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเราเข้ามาแล้วมีกติกาแบบนี้ ก็ต้องเดินไปก่อน โดนจนชินแล้ว เป็นเรื่องที่เราก็ต้องสู้ไป แก้ไป อะไรแก้ได้ก็แก้ อะไรแก้ไม่ได้ก็ต้องอยู่ในกติกานั้น นายทักษิณ มองว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อลดกระแสมากกว่า คนละเรื่องกับการตัดสิน ส่วนวิตกกังวลหรือไม่ว่าน.ส.แพทองธารจะพ้นจากหน้าที่นายกรัฐมนตรี แล้วทำให้เกมการเมืองถึงขั้นยุบสภาฯ นายทักษิณยืนยันว่าตนมั่นใจตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและมั่นใจความบริสุทธิ์ใจของลูกสาว เชื่อว่าศาลน่าจะรับฟังด้วยเหตุและผลว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็อธิบายได้หมดทุกอย่าง ส่วนพรรคที่ออกไป เพราะคิดว่าน.ส.แพทองธารไม่รอดนั้น ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรหรือไม่ หากเขาไปสุมหัวจะตั้งรัฐบาลแล้ว นายทักษิณ บอกว่าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ตนเดาอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้เขาออก แต่เขาอยากออก แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็อย่าไปเสียใจกับมัน เราไม่สามารถควบคุมได้เพราะเราชวนเขาแล้ว เขาไม่เอา ไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็อยู่ได้ เพราะแลกกระทรวงอื่นเขาก็ไม่เอา เขาจะเอากระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้นั้นเพราะเรารู้อดีตเขา สำหรับกรณีที่หากย้อนกลับไปแล้วผิดหวังกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยรอบแรกปี 2551 ที่พรรค ภท. ไปตั้งพรรคของตัวเองแล้วไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกขั้วหนึ่ง ส่วนรอบนี้ก็ผิดหวังอีกนั้น นายทักษิณ บอกว่าการเมืองต้องเข้าใจว่าการเมืองบ้านเรามีกฎไว้เลี่ยง ผมกลับมาลืมอดีตหมดแล้ว พยายามจะเริ่มต้นใหม่ ส่วนจะมีรอบที่สามกับภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายทักษิณ บอกว่า การเมืองบ้านเรา วันนี้เป็นการออกแบบการเมืองที่แย่ที่สุด ตั้งแต่ทหารปฏิวัติมาเนี่ยแหละ เวลาเขาเขียนรัฐธรรมนูญ เขาเห็นหน้าผมอยู่ กันผมในทุกรูปแบบ กันจนผลสุดท้ายบ้านเมืองมีปัญหา การเมืองแบบหัวแตก พรรคเล็กพรรคน้อยเยอะแยะ ทำงานยาก ไม่เหมือนตอนตนแก้ปัญหาต้มยำกุ้ง เพราะเป็นพรรคใหญ่ ไม่มีระบบสัมปทานกระทรวง มาวันนี้มันแย่แล้ว ให้ไปบริหารแต่กับไปทำธุรการกับธุรกิจ ธุรการคือแต่งตั้งโยกย้าย ธุรกิจคือวางไข่ออกไข่ วันนี้กติกาแบบนี้สร้างวัฒนธรรม ไม่ทำไม่ผิด เมื่อถามย้ำ จะมีรอบสาม กับภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ ระบุการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เมื่อการเมืองออกแบบแบบนี้ ไม่สามารถที่จะบอกว่าจะอยู่คนเดียวในรัฐบาลนี้ สูตรคณิตศาสตร์ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นก็ต้องกลืนเลือด ซัก 3-4 ปี๊ป ก็ว่าไป ไม่ปิดโอกาสร่วมมือพรรคส้ม แต่วันนี้ยังไม่จำเป็น บอกสีน้ำเงินส้ม จับมือกันได้หลวมๆ เหตุเป็นปลาคนละน้ำ ชี้บริบทรัฐบาล มีหลายออฟชั่น นายทักษิณ ยังตอบคำถามกรณีตนเองเป็นทางตันหรือไม่ และปัญหาทั้งหมดเกิดเพราะท่านหรือไม่นั้น ว่า หลายคนอาจจะไม่ชอบหน้าเป็นพิเศษ จึงทำให้ตนมีขาประจำ ซึ่งตนเมินขาประจำที่เป็นมา 20 ปี พ่อเสียชีวิตก็ลืมถามว่าพ่อของใครมีปัญหากับพ่อของเขาหรือไม่ ส่วนที่เหตุใดจึงไม่สามารถโน้มน้าวคนกลุ่มนี้ได้นั้น ตนมองว่าหากคนกลุ่มนี้มาพูดคุยกับตน ซึ่งบางคนไม่รู้จักตนด้วยซ้ำ ไม่เคยเจอเห็นแต่ในทีวี แต่เมื่อเห็นก็รู้สึกหมั่นไส้แล้ว ซึ่งตนเป็นคนที่สร้างตัวจากไม่มีอะไรมาด้วยตัวเอง จึงไม่ค่อยอะไร ส่วนมาถามว่าเพราะอะไรถึงเห็นในทีวีแล้วหมั่นไส้ นายทักษิณ ระบุว่า ตนยังคงงงอยู่ ส่วนนายกฯ แพทองธาร เคยถามหรือไม่ว่าไปทำอะไรให้คนกลุ่มนั้น ถึงมาเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน นายทักษิณ ตอบสั้นๆ ว่า “ผมก็กวาดน้ำ อย่าไปคิดอะไรมาก” ส่วนในฐานะที่คลุกคลีกับการเมืองมา 51 ปี โอกาสที่พรรคสีแดงอย่างพรรคเพื่อไทยจะไปผสมกับพรรคประชาชนนายทักษิณ ระบุว่า “ในวันนี้ยังไม่มีมีความจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นศรัตรูกับพรรคใดพรรคหนึ่ง ยืนยันว่าไม่ได้เป็น แต่การจะทำงานกับใครต้องมั่นใจว่าเราไปด้วยกันได้ และไม่ขัดนโยบายหลักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถาบัน เรื่องเจ้านาย เพราะตนได้รับพระเมตตาสูงสุด ดังนั้นตนจะไม่มีทางที่จะไปทำงานกับใครที่กระทบกระเทือนกับสถาบัน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาสีส้มไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นมาตรา 112 จะสามารถร่วมมือกันได้หรือไม่ นายทักษิณ ตอบ ”ไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกันเลย“ สำหรับสีน้ำเงินกับสีส้มมีโอกาสจับมือกันได้หรือไม่ในขณะที่เป็น ตนมองว่า หากจะจับก็จับหลวมๆ เพราะเป็นปลาคนละน้ำ ส่วนน้ำของแดงกับส้มใกล้เคียงกว่ากันนั้นหรือไม่ หากพูดความจริงเป็นพรรคที่เกิดจากนโยบายพรรคที่เกิดจากการหาเสียงมาสไตล์เดียวกัน ถ้าเห็นไทยรักไทยอย่างไรพรรคส้มก็คล้ายๆ กัน อย่างนั้นส้มกับน้ำเงินปลาคนละน้ำ แต่แดงกับส้มปลาน้ำกันใช่หรือไม่ นายทักษิณ บอกว่า เป็นวงสีธรรมชาติ สีส้มเกิดจากสีแดงรวมกับสีเหลือง ถ้าแดงแยกไปประสมกับน้ำเงินจะเป็นสีม่วง และสีเหลืองผสมสีน้ำเงินเป็นสีเขียว ถ้าสีม่วงกับสีเหลืองไปผสมกันจะเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง สีไม่สวย ส่วนสีแดงผสมกับสีส้มจะเป็นสีแสด ซึ่งสีแสดมันแรงไป ส่วนที่อดีตนายกวิเคราะห์ ยังไม่จำเป็นที่จะจับมือกับสีส้ม เสียงอย่างพอ โดยนายทักษิณระบุว่า พรรคแกนนำรัฐบาลยังมีความสามัคคีทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าต้องคุมในสภามาให้โดสภาแค่นั้นเอง ไม่ให้โดดกฎหมายสำคัญ ส่วนหลังจากนั้นหนูเปล่านะเขามาเอง ส่วนกลไกการเมืองในปัจจุบัน เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในปัจจุบัน นายทักษิณ ระบุว่า มีปัญหาไว้ให้แก้เมื่อมีอุปสรรคต้องแก้ไป หากถามว่าถึงทางตันหรือไม่ไม่ตัน ส่วนกลไกบริบทปัจจุบันทำให้นายกรัฐมนตรีไปสู่การติดกับดัก และรักการนายกฯ ต้องประคองต่อ หรือหากไม่ลาออกก็ต้องยุบสภา รัฐบาลจะอายุสั้น นายทักษิณ ระบุว่า มีหลาย option 1.คือนายกแพทองธารทองคำรอด ก็สามารถกลับไปทำงานเต็มที่และทำยาว 2. แต่ถ้าสมมุติว่าไม่รอดมี 2 ทางเลือก คือเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หรือยุบสภา และตอนนี้นายชัยเกษมก็ยังฟิต อยู่ตีกอล์ฟสบายมาก เมื่อถามว่า ท่านดูอารมณ์ของคนไทย ที่ถูกตั้งคำถามเหมือนกัน เพื่อไทยที่เป็นแกนนำ มีอาวุธอยู่สองอาวุธ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ติดกับดักจริยธรรมของ ศาลรัฐธรรมนูญ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ติดกับดักของศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก ท่านคิดว่านายชัยเกษม ที่เป็นกลไกที่สาม จะเป็นทางรอดของประเทศหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังอยู่เอาออกไม่ได้ ตนยังเป็นสทร. เหมือนเดิม ผมไม่ยอม อายุ 76 ปียังหนุ่มอยู่ ขอให้บ้านเมืองรอด เอาเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกับช่วงสิงหาคมปี 2566 มีทัวร์ลงเยอะ วิบากกรรมเยอะขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ตื่นเช้ามาวันนี้ต้องขึ้นศาลก็ขึ้นไป มันแก่แล้วปล่อยวางไปเยอะแล้ว ผมหยุดแล้วแต่ท่านไม่หยุด ตนต้องทำให้บ้านเมือง จะให้ทำอย่างไร ภาวะเศรษฐกิจในวันนี้ ถ้าตนไม่เสือกแล้วใครจะเสือก มันยากนะ วันนี้ปัญหาบ้านเมืองตนอยู่เฉยไม่ได้ ในฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและลูกเป็นนายกรัฐมนตรี มีอะไรก็ต้องช่วยกัน วันนี้ประชุมว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งตนออกนอกประเทศไม่ได้ถ้าออกได้จะสนุกกว่านี้ เมื่อถามว่าอยากจะออกไปช่วย แล้วมีคดีมองว่าเหมือนมีใครมาล่ามขาไว้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นเรื่องต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว ตอนที่ปฏิวัติปี 2549 คดีของตนจะหมดอายุความก็เลยล็อคไว้ก่อน โดยใช้การสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับม. 112 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งตนไม่กังวล เราไม่มีอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นภาวะปกติ ก็คงไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาแต่เป็นภาวะพิเศษ เมื่อถามว่า ในกลไกบริบททางการเมือง ในปัจจุบันทั้งกลไกเรื่องฝ่ายค้าน กลไกนิติสงครามทางข้อกฎหมาย กลไกองค์การอิสระ จะมีกลไกมีอำนาจอะไรที่เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ที่จะทำให้การทำงานของรัฐบาลเดินต่อไปไม่ค่อยได้ สะดุดตลอด นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความหยุมหยิมของระบบ ซึ่งต้องแก้ระบบการเมืองที่วางไว้ องค์การอิสระที่อนุญาตให้ใครก็ได้มาร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่คดีหลบไปหมด ซึ่งอาจจะส่งเสริมอาชีพนักร้อง บางคนรับจ้างร้องหรือบางคนรับจ้างหยุดร้อง เมื่อถามว่า การกลับมาเป็น สทร. กลัวจะมีอำนาจอะไรหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า อย่ามากลัวตน หมูเรียกพี่ใครเจอตน ผมหมูจะตาย ไม่เคยฆ่าใครมีแต่ช่วยคน เมื่อถามว่า สายน้ำเงิน บอกว่าไม่กลัวลูกแต่กลัวพ่อนายทักษิณ กล่าวว่า ตนคุยชัดเจนจะตาย ถ้าชัดเจนแบบที่ตนบอกก็จบไปแล้ว เมื่อถามว่า มีการพูดคุยกับนายเนวิน หรือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่าไม่ได้คุยเลย เพราะเขาไม่คุยกับตน พรรคที่ร่วมรัฐบาล แปลสภาพมาเป็นฝ่ายค้าน เมื่อถามว่า ไม่รู้จะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายแค้น นายทักษิณ กล่าวว่า น่าจะแค้นมากกว่าค้าน เมื่อถามถึงเรื่องการทำงาน โดยเฉพาะในส่วนกระทรวงมหาดไทยที่เข้าไปดูแลกรมที่ดิน ประเมินเรื่องเขากระโดงอย่างไร นายทักษิณกล่าวว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา และกฎหมาย ซึ่งที่ดินอัลไพน์ก็โดนสั่งถอน ว่ากันไปตามกติกามีสิทธิ์ก็รักษาสิทธิ์ไป ใครนั่งทับสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องโดน ม. 157 และเดี๋ยวอีกไม่นานก็ต้องมีคนมาร้อง มท.1ใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็มาแล้ว เป็นอย่างที่เขาบอกว่าบ้านเมืองเราไม่ใช่ผู้เสียหายก็ร้องได้เลอะเทอะไปหมด ส่วนเรื่องการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ มีการโยกย้ายทันที ถือว่ามาถูกทางหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าต้องเห็นใจ เขามาจากกระทรวงกลาโหม มาถึงตรงนี้ต้องเด็ดขาด และมองว่ากลไกกระทรวงมหาดไทยเริ่มทำงานแล้ว ได้ข่าวรัฐมนตรีบอกว่าจะดุเอง บอกว่าไม่ต้องมาต้อนรับ หากผู้ว่าฯไม่ทำงานก็จะโดน ส่วนในแง่การทำงานระหว่างที่นางสาวแพทองธารถูกพักการทำหน้าที่ จะสร้างความมั่นใจให้คนอย่างไรว่ารัฐบาลยังไม่ถึงจุดอับ ทักษิณกล่าวว่า “พ่อนายกอยู่นี่ ยังไงก็ดูแลบ้านเมืองเต็มที่ มีอะไรก็บอกให้รัฐมนตรีช่วยกันทำเชื่อว่าไม่มีสูญญากาศ ส่วนที่บอกว่าข้าราชการจะเกียร์ว่างนั้นไม่ต้องว่าง ไม่ต้องรอสถานการณ์การเมือง อย่าไปคิดว่า river จะ return” เมื่อถามว่าระบบราชการหลังรัฐประหารเปลี่ยนไป นายทักษิณยอมรับว่า เปลี่ยนไป ข้าราชการบางคนบอกว่าจะกลับมา แต่ตนขอบอกว่า river of no return จะรีเทิร์นต้องรอเลือกตั้งสมัยหน้า เมื่อถามว่าคะแนนนิยมที่ลดลง น่าห่วงหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า การเมืองเป็นกระแส ต้องดูว่าในภาวะการณ์ไหน หากโดนรุมอย่างนี้ หากเป็นทางโซเชียลมีเดีย ซอมบี้ทั้งหลาย ก็จะมีการปั่นกันโกรธกัน สักเดี๋ยวก็หยุด ส่วนจะขับเคลื่อนโครงการใหญ่ได้อย่างไร ในช่วงที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพ นายทักษิณกล่าวว่าอะไรที่เคลื่อนได้ก็ต้องเคลื่อน อะไรที่เป็นรูทีนก็ต้องขับเคลื่อนทั้งเรื่องยาเสพติดการแก้หนี้การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องโครงการใหญ่ใหญ่อยู่ในแนยทางอยู่แล้วก็ต้องทำไปส่วนเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์วันนี้ถอนออกมาเพราะไม่อยากให้สับสน ซึ่งช่วงนี้ต้องเรียงลำดับความสำคัญก็ไม่เป็นไร”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557
    เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 (ตอกโค็ด ส.) วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557 // พระดีพิธีใหญ่ ผ้าป่าสมทบทุนสร้างอาคารเรียน โรงเรียนวัดเกาะลังตา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณด้าน แคล้วคาด เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย โภคทรัพย์ เรียกทรัพย์และคุ้มครองป้องกันภัย ดีนัก เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงาน คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >>

    ** วัดเกาะลันตาเป็นวัดเก่าแก่ แห่งแรกเพียงแห่งเดียวของเกาะลันตาที่มีวิสุคามสีมา และลานสำหรับนั่งวิปัสสนาปฏิบัติกรรมฐาน วัดนี้เริ่มต้นจากการจัดตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2475 (สมัยรัชกาลที่ 7) โดยมีพระกลัน พินธุกำนันเต็งฮั้ว ตุลารักษ์ ผู้ใหญ่เชวง ตุลารักษ์ นายวิลาส โปตะการักษ์ ศึกษาธิการอำเภอ และประชาชนชาวไทยพุทธและชาวจีนในย่านชุมชนเก่าศรีรายา ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวพุทธ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557 เหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ รุ่น1 (ตอกโค็ด ส.) วัดเกาะลังตา จ.กระบี่ ปี2557 // พระดีพิธีใหญ่ ผ้าป่าสมทบทุนสร้างอาคารเรียน โรงเรียนวัดเกาะลังตา // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณด้าน แคล้วคาด เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย โภคทรัพย์ เรียกทรัพย์และคุ้มครองป้องกันภัย ดีนัก เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงาน คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >> ** วัดเกาะลันตาเป็นวัดเก่าแก่ แห่งแรกเพียงแห่งเดียวของเกาะลันตาที่มีวิสุคามสีมา และลานสำหรับนั่งวิปัสสนาปฏิบัติกรรมฐาน วัดนี้เริ่มต้นจากการจัดตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2475 (สมัยรัชกาลที่ 7) โดยมีพระกลัน พินธุกำนันเต็งฮั้ว ตุลารักษ์ ผู้ใหญ่เชวง ตุลารักษ์ นายวิลาส โปตะการักษ์ ศึกษาธิการอำเภอ และประชาชนชาวไทยพุทธและชาวจีนในย่านชุมชนเก่าศรีรายา ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวพุทธ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว

  • ..อีกมุม.

    ..การแจ้งเตือนภัย: การโจมตีของอัลอูเดดเป็นการจัดฉาก! ทรัมป์และปูตินเล่นตลกกันเอง!

    สิ่งที่เรียกว่า "การโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน" ที่ฐานทัพอัลอูเดดของสหรัฐฯ ในกาตาร์ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ มันเป็นพิธีกรรมที่จัดฉากขึ้น — กับดักของดีพสเตตที่ตั้งใจจะจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3... และล้มเหลว

    อิหร่านเตือนกาตาร์ล่วงหน้า ฐานทัพว่างเปล่า ไม่มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการทั้งหมดเป็นเรื่องของการใช้กลยุทธ์ — สงครามจิตวิทยาที่ตั้งใจจะล่อให้สหรัฐฯ ก่อเหตุนองเลือดเพื่อตอบโต้โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากทรัมป์ แต่ทรัมป์และปูตินรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร — และพลิกกลับด้าน

    กาตาร์โกหก โดยประณามการโจมตีต่อสาธารณชนในขณะที่ร่วมมือกับอิหร่านและกลุ่มนอกกฎหมายของเพนตากอนอย่างลับๆ เบื้องหลัง องค์กรโลกาภิวัตน์กำลังน้ำลายสอ — ภาวนาว่าสิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ของนาโต้ที่พวกเขาสามารถเข้าควบคุมได้
    ไทม์ไลน์ของการเตรียมการ:
    14 มิถุนายน: ทรัมป์พูดคุยกับปูตินเป็นการส่วนตัว ไฟดับทั้งหลัง
    17 มิถุนายน: สหรัฐฯ-อิสราเอลโจมตีทางอากาศในพื้นที่ว่างเปล่าของอิหร่าน
    18 มิถุนายน: รัสเซียไม่พูดอะไร
    19 มิถุนายน: รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านลงจอดที่มอสโก
    20 มิถุนายน: “ปฏิบัติการพรแห่งฟาตาห์” — อิหร่านโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ โดยได้รับการอนุมัติจากกาตาร์ล่วงหน้า

    นี่ไม่ใช่การตอบโต้ แต่เป็นการทดสอบ และกลุ่มดีพสเตตก็ล้มเหลว

    กาตาร์เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางของซีไอเอสำหรับเส้นทางการค้า การฟอกเงินของไอเอ็มเอฟ และปฏิบัติการการอพยพของชนชั้นนำ ตอนนี้พวกเขาพยายามทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อ พวกเขาไม่ใช่ พวกเขาเป็นผู้ให้การช่วยเหลือ — และทรัมป์ก็รู้ดี

    จำนวนขีปนาวุธของอิหร่านตรงกับระเบิดที่ทิ้งใส่พวกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนพอดี นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ — นั่นคือศาสตร์แห่งตัวเลขตามพิธีกรรม สงครามเชิงสัญลักษณ์ สไตล์โรธส์ไชลด์

    และเดิมพันล่ะ? หากอิหร่านติดตั้ง EMP หรืออาวุธนิวเคลียร์ใกล้กับอิสราเอล เกมของตะวันออกกลางก็จบลงแล้ว แต่สิ่งที่พวกโลกาภิวัตน์ต้องการก็คือการล่มสลายโดยสิ้นเชิง การรีเซ็ตทั้งหมด การควบคุมทั้งหมด พวกเขาคิดว่าความโกลาหลของสงครามจะหยุดยั้งทรัมป์จากการเปิดตัว QFS สกุลเงินที่หนุนด้วยทองคำ และการฟื้นฟูอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ

    แต่ทรัมป์ไม่กระพริบตา เขาปล่อยให้พวกเขาเล่นตามการเคลื่อนไหวของพวกเขา — และมันก็กลับตาลปัตร

    ข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐฯ รั่วไหลยืนยัน:
    – ดีพสเตตส่งข้อมูลเป้าหมายของสหรัฐฯ ให้อิหร่าน
    – โกลันของอิสราเอลอยู่ในสถานะเฝ้าระวัง — ไม่ใช่จากอิหร่าน แต่จากธงปลอมที่อาจเกิดขึ้น
    – กองเรือรัสเซียและอิหร่านกำลังติดตามเรือดำน้ำนิวเคลียร์ชั้นยอด — ภัยคุกคามที่แท้จริง
    – สนามบินหลวงของกาตาร์สว่างขึ้น 3 ครั้งใน 48 ชั่วโมง การอพยพ ตื่นตระหนก

    พวกเขารู้ว่าเกมจบลงแล้ว

    “การโจมตี” เป็นกับดัก สงครามที่พวกเขาต้องการกำลังคลี่คลาย

    แล้วทรัมป์ล่ะ? เขาถือตัวจุดชนวนระเบิดอยู่ — ไม่ใช่เพื่อทำลาย แต่เพื่อชำระล้าง
    นี่คือสงครามโลกครั้งที่ 3 — แต่ตอนนี้เป็นพวกหัวกะทิที่กำลังถูกตามล่า

    พวกเขาต้องการสงคราม พวกเขากลับได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นแทน

    ..อีกมุม. ..การแจ้งเตือนภัย: การโจมตีของอัลอูเดดเป็นการจัดฉาก! ทรัมป์และปูตินเล่นตลกกันเอง! สิ่งที่เรียกว่า "การโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน" ที่ฐานทัพอัลอูเดดของสหรัฐฯ ในกาตาร์ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ มันเป็นพิธีกรรมที่จัดฉากขึ้น — กับดักของดีพสเตตที่ตั้งใจจะจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3... และล้มเหลว อิหร่านเตือนกาตาร์ล่วงหน้า ฐานทัพว่างเปล่า ไม่มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการทั้งหมดเป็นเรื่องของการใช้กลยุทธ์ — สงครามจิตวิทยาที่ตั้งใจจะล่อให้สหรัฐฯ ก่อเหตุนองเลือดเพื่อตอบโต้โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากทรัมป์ แต่ทรัมป์และปูตินรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร — และพลิกกลับด้าน กาตาร์โกหก โดยประณามการโจมตีต่อสาธารณชนในขณะที่ร่วมมือกับอิหร่านและกลุ่มนอกกฎหมายของเพนตากอนอย่างลับๆ เบื้องหลัง องค์กรโลกาภิวัตน์กำลังน้ำลายสอ — ภาวนาว่าสิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ของนาโต้ที่พวกเขาสามารถเข้าควบคุมได้ ไทม์ไลน์ของการเตรียมการ: 14 มิถุนายน: ทรัมป์พูดคุยกับปูตินเป็นการส่วนตัว ไฟดับทั้งหลัง 17 มิถุนายน: สหรัฐฯ-อิสราเอลโจมตีทางอากาศในพื้นที่ว่างเปล่าของอิหร่าน 18 มิถุนายน: รัสเซียไม่พูดอะไร 19 มิถุนายน: รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านลงจอดที่มอสโก 20 มิถุนายน: “ปฏิบัติการพรแห่งฟาตาห์” — อิหร่านโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ โดยได้รับการอนุมัติจากกาตาร์ล่วงหน้า นี่ไม่ใช่การตอบโต้ แต่เป็นการทดสอบ และกลุ่มดีพสเตตก็ล้มเหลว กาตาร์เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางของซีไอเอสำหรับเส้นทางการค้า การฟอกเงินของไอเอ็มเอฟ และปฏิบัติการการอพยพของชนชั้นนำ ตอนนี้พวกเขาพยายามทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อ พวกเขาไม่ใช่ พวกเขาเป็นผู้ให้การช่วยเหลือ — และทรัมป์ก็รู้ดี จำนวนขีปนาวุธของอิหร่านตรงกับระเบิดที่ทิ้งใส่พวกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนพอดี นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ — นั่นคือศาสตร์แห่งตัวเลขตามพิธีกรรม สงครามเชิงสัญลักษณ์ สไตล์โรธส์ไชลด์ และเดิมพันล่ะ? หากอิหร่านติดตั้ง EMP หรืออาวุธนิวเคลียร์ใกล้กับอิสราเอล เกมของตะวันออกกลางก็จบลงแล้ว แต่สิ่งที่พวกโลกาภิวัตน์ต้องการก็คือการล่มสลายโดยสิ้นเชิง การรีเซ็ตทั้งหมด การควบคุมทั้งหมด พวกเขาคิดว่าความโกลาหลของสงครามจะหยุดยั้งทรัมป์จากการเปิดตัว QFS สกุลเงินที่หนุนด้วยทองคำ และการฟื้นฟูอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ แต่ทรัมป์ไม่กระพริบตา เขาปล่อยให้พวกเขาเล่นตามการเคลื่อนไหวของพวกเขา — และมันก็กลับตาลปัตร ข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐฯ รั่วไหลยืนยัน: – ดีพสเตตส่งข้อมูลเป้าหมายของสหรัฐฯ ให้อิหร่าน – โกลันของอิสราเอลอยู่ในสถานะเฝ้าระวัง — ไม่ใช่จากอิหร่าน แต่จากธงปลอมที่อาจเกิดขึ้น – กองเรือรัสเซียและอิหร่านกำลังติดตามเรือดำน้ำนิวเคลียร์ชั้นยอด — ภัยคุกคามที่แท้จริง – สนามบินหลวงของกาตาร์สว่างขึ้น 3 ครั้งใน 48 ชั่วโมง การอพยพ ตื่นตระหนก พวกเขารู้ว่าเกมจบลงแล้ว “การโจมตี” เป็นกับดัก สงครามที่พวกเขาต้องการกำลังคลี่คลาย แล้วทรัมป์ล่ะ? เขาถือตัวจุดชนวนระเบิดอยู่ — ไม่ใช่เพื่อทำลาย แต่เพื่อชำระล้าง นี่คือสงครามโลกครั้งที่ 3 — แต่ตอนนี้เป็นพวกหัวกะทิที่กำลังถูกตามล่า พวกเขาต้องการสงคราม พวกเขากลับได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นแทน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ข่าวอีกมุม.

    ..เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2025 หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางทหารภายใต้ชื่อรหัสปฏิบัติการสโตนไฟร์ได้ทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มดีพสเตตในเจนีวา เทลอาวีฟ และเทือกเขาร็อกกี้โคโลราโด

    ภายในพื้นที่สีแดงเหล่านี้ ได้แก่ ห้องโคลนนิ่งมนุษย์ ศูนย์ควบคุมจิตใจของอาร์พาเน็ต และบันทึกการค้ามนุษย์นอกโลก ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของหน่วยข่าวกรองทางทหารของทรัมป์แล้ว

    ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ถูกดักจับได้เผยให้เห็นการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วางแผนไว้สำหรับวันเสาร์ที่ 21 หรือวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน เป้าหมายคือ ดัลลาส แอตแลนตา ชิคาโก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายระบบ QFS ปิดเมือง และทำให้การสื่อสารเป็นอัมพาต มีการเตรียมเชื้อโรคสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงด้วย mRNA

    ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน กองทัพได้สกัดกั้นขบวนรถอาวุธชีวภาพสองขบวนใกล้กับเอลปาโซระหว่างทางไปยังไซต์ใต้ดินที่เชื่อมโยงกับโซรอสในออสติน เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกจากอิหร่านซึ่งปลอมตัวเป็นผู้รับจ้างถูกจับกุมตามพิธีสาร GITMO

    21 มิถุนายน 2025: ทรัมป์อนุมัติการโจมตีเต็มรูปแบบต่อสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน - ฟอร์โดว์ นาตันซ์ อิสฟาฮาน เรือดำน้ำและเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ได้ประจำการอยู่แล้ว ในเวลาเดียวกัน ระบบป้องกัน Star Link ก็เปิดใช้งานเพื่อต่อต้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการโจมตีทางไซเบอร์

    Cyber ​​Command ปิดช่องโหว่เฟิร์มแวร์ที่เชื่อมโยงกับไฟฟ้าดับล่าสุดในฟีนิกซ์ ดีทรอยต์ และฟลอริดา - ซ้อมรบเพื่อไฟฟ้าดับทั่วประเทศ

    วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน: ทรัมป์รักษาสันติภาพระหว่างอิหร่านและอิสราเอล
    วันอังคารที่ 24 มิถุนายน: อิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยทิ้งระเบิดที่เตหะราน อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่ระบอบการปกครองก็ล่มสลายไปแล้ว พลเรือนอิหร่านปฏิเสธสงคราม ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและเข้าร่วม GCR

    ทรัมป์รู้ดีว่าความโกลาหลดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดเตียงพยาบาล ทำลาย GESARA และปิดกั้นการออกอากาศฉุกเฉิน

    แต่กลับกระตุ้นให้เกิดการไต่สวนของ GITMO โหนด AI ที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของวาติกันถูกทำลาย เครือข่ายต่อต้านถูกเปิดใช้งานทั่วโลก

    ความพยายามของเนทันยาฮูในการสร้างอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น — สงครามกับจอร์แดน เลบานอน และปาเลสไตน์ — ถูกปฏิเสธโดยพันธมิตรในตะวันออกกลาง เพื่อเข้าร่วม Global Currency Reset สงครามไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป

    วันอังคารที่ 10 มิถุนายน การเปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันโดย QFS เริ่มต้นขึ้น ไม่มี CNN ไม่มี BBC มีเพียงหลักฐานดิบๆ เช่น การโคลนนิ่ง การค้ามนุษย์ การฟ้องร้องที่ปิดผนึก ทุกชื่อ ทุกอาชญากรรม

    ขณะนี้ทรัมป์ยืนเป็นผู้บัญชาการที่การประชุมสุดยอดนาโต ไม่ใช่หุ่นเชิด มีการจับกุมเกิดขึ้นทั่วประเทศ Five Eyes ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง พิธีกรสื่อ ผู้อำนวยการเอ็นจีโอ — ถูกตั้งข้อหาอาวุธชีวภาพ การทดลองกับมนุษย์ การโจรกรรมทางการเงิน

    เจ้าหน้าที่สหรัฐอย่างน้อย 14 คนและผู้บริหาร 5 คนถูกควบคุมตัวแล้ว
    EBS เตรียมพร้อมแล้ว: 87+ ประเทศพร้อมแล้ว การทดสอบครั้งสุดท้าย: 5 มิถุนายน

    การซ้อมดับไฟ 72 ชั่วโมงกำลังจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
    ทรัมป์นำ ผู้รักชาติเตรียมพร้อม
    ..ข่าวอีกมุม. ..เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2025 หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางทหารภายใต้ชื่อรหัสปฏิบัติการสโตนไฟร์ได้ทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มดีพสเตตในเจนีวา เทลอาวีฟ และเทือกเขาร็อกกี้โคโลราโด ภายในพื้นที่สีแดงเหล่านี้ ได้แก่ ห้องโคลนนิ่งมนุษย์ ศูนย์ควบคุมจิตใจของอาร์พาเน็ต และบันทึกการค้ามนุษย์นอกโลก ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของหน่วยข่าวกรองทางทหารของทรัมป์แล้ว ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ถูกดักจับได้เผยให้เห็นการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วางแผนไว้สำหรับวันเสาร์ที่ 21 หรือวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน เป้าหมายคือ ดัลลาส แอตแลนตา ชิคาโก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายระบบ QFS ปิดเมือง และทำให้การสื่อสารเป็นอัมพาต มีการเตรียมเชื้อโรคสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงด้วย mRNA ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน กองทัพได้สกัดกั้นขบวนรถอาวุธชีวภาพสองขบวนใกล้กับเอลปาโซระหว่างทางไปยังไซต์ใต้ดินที่เชื่อมโยงกับโซรอสในออสติน เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกจากอิหร่านซึ่งปลอมตัวเป็นผู้รับจ้างถูกจับกุมตามพิธีสาร GITMO 21 มิถุนายน 2025: ทรัมป์อนุมัติการโจมตีเต็มรูปแบบต่อสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน - ฟอร์โดว์ นาตันซ์ อิสฟาฮาน เรือดำน้ำและเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ได้ประจำการอยู่แล้ว ในเวลาเดียวกัน ระบบป้องกัน Star Link ก็เปิดใช้งานเพื่อต่อต้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการโจมตีทางไซเบอร์ Cyber ​​Command ปิดช่องโหว่เฟิร์มแวร์ที่เชื่อมโยงกับไฟฟ้าดับล่าสุดในฟีนิกซ์ ดีทรอยต์ และฟลอริดา - ซ้อมรบเพื่อไฟฟ้าดับทั่วประเทศ วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน: ทรัมป์รักษาสันติภาพระหว่างอิหร่านและอิสราเอล วันอังคารที่ 24 มิถุนายน: อิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยทิ้งระเบิดที่เตหะราน อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่ระบอบการปกครองก็ล่มสลายไปแล้ว พลเรือนอิหร่านปฏิเสธสงคราม ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและเข้าร่วม GCR ทรัมป์รู้ดีว่าความโกลาหลดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดเตียงพยาบาล ทำลาย GESARA และปิดกั้นการออกอากาศฉุกเฉิน แต่กลับกระตุ้นให้เกิดการไต่สวนของ GITMO โหนด AI ที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของวาติกันถูกทำลาย เครือข่ายต่อต้านถูกเปิดใช้งานทั่วโลก ความพยายามของเนทันยาฮูในการสร้างอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น — สงครามกับจอร์แดน เลบานอน และปาเลสไตน์ — ถูกปฏิเสธโดยพันธมิตรในตะวันออกกลาง เพื่อเข้าร่วม Global Currency Reset สงครามไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป วันอังคารที่ 10 มิถุนายน การเปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันโดย QFS เริ่มต้นขึ้น ไม่มี CNN ไม่มี BBC มีเพียงหลักฐานดิบๆ เช่น การโคลนนิ่ง การค้ามนุษย์ การฟ้องร้องที่ปิดผนึก ทุกชื่อ ทุกอาชญากรรม ขณะนี้ทรัมป์ยืนเป็นผู้บัญชาการที่การประชุมสุดยอดนาโต ไม่ใช่หุ่นเชิด มีการจับกุมเกิดขึ้นทั่วประเทศ Five Eyes ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง พิธีกรสื่อ ผู้อำนวยการเอ็นจีโอ — ถูกตั้งข้อหาอาวุธชีวภาพ การทดลองกับมนุษย์ การโจรกรรมทางการเงิน เจ้าหน้าที่สหรัฐอย่างน้อย 14 คนและผู้บริหาร 5 คนถูกควบคุมตัวแล้ว EBS เตรียมพร้อมแล้ว: 87+ ประเทศพร้อมแล้ว การทดสอบครั้งสุดท้าย: 5 มิถุนายน การซ้อมดับไฟ 72 ชั่วโมงกำลังจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ทรัมป์นำ ผู้รักชาติเตรียมพร้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าจะพูดเรื่องประเพณีแต่งงานจีนโบราณ แน่นอนมีหลายเรื่องให้คุยกันได้ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ ที่แฟนละคร <ตำนานหยุนซี> อาจเคยผ่านหูผ่านตา ลองมาดูกันจากบทสนทนาที่ถอดคำพูดมาจากละครเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ฉินอ๋องเล่า? ฉินอ๋องอยู่ที่ใด? ธรรมเนียมแต่โบราณมา ไม่มีสะใภ้ใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับมาเพียงลำพัง หากมิใช่โดนปลดจากตำแหน่งชายาอ๋องแล้ว ยังมีเหตุผลใด? โอ้ว... ข้ากล่าวผิดไป มีแต่งจึงมีปลด ท่านฉินอ๋องมิเคยแม้แต่จะเตะเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า คงมิอาจนับได้ว่าแต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องไปแล้วกระมัง?” หานรั่วเสวี่ยกล่าว

    บทสนทนาจากในละครข้างต้น เห็นได้ว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในประเพณีแต่งงานคือการ ‘เตะเกี้ยวเจ้าสาว’ ทำไมจึงมีธรรมเนียมนี้และมันมีความหมายอย่างใด?

    จริงแล้วการเตะคานเกี้ยวเจ้าสาวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวใน ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) ซึ่งเป็นพิธีการว่าด้วยงานแต่งงานที่สืบทอดมาจากยุคสมัยราชวงศ์โจว (1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แต่ในบทความภาษาไทยเกี่ยวกับพิธีการนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงการเตะคานเกี้ยว
    แต่พิธีการรับเจ้าสาวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามธรรมเนียมท้องถิ่น ในเรื่องการเตะคานเกี้ยวนี้ บางที่เตะคานเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่เตะสามครั้ง

    พิธีการเต็มๆ เท่าที่ Storyฯ เรียบเรียงข้อมูลมาได้ก็คือ... เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะเตะคานประตูเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวก็จะเตะคานประตูตอบจากภายในหนึ่งครั้ง มีความหมายว่าชายมิกลัวภรรยาและสตรีมิอ่อนแอ (男不惧内,女不示弱) จากนั้นเจ้าสาวก็จะโยนกุญแจหีบสมบัติ (สินสมรสที่ฝ่ายเจ้าสาวนำติดตัวมาด้วย) ออกมา เจ้าบ่าวรับมาแล้วก็ต้องชูกุญแจขึ้น นัยว่าให้ฟ้าเป็นสักขีพยาน เป็นเคล็ดขอให้ได้ลูกชายหลายๆ คน

    พอได้ฤกษ์ก็จะมีการหามเกี้ยวเข้าไปที่หน้าโถงพิธีการ จากนั้นเจ้าบ่าวใช้พัดเคาะหลังคาเกี้ยวสามครั้งและเตะคานเกี้ยวสามครั้ง เป็นการแสดงอำนาจ เพื่อว่าต่อไปภรรยาจะได้เชื่อฟังผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดิน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก: https://www.jintjint.com/series/legend-of-yun-xi-%E8%8A%B8%E6%B1%90%E4%BC%A0-ep-1-48-end-eng-sub/
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://www.xiaozhishi.net/zhishi/1042699.html
    https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%BF%87%E9%97%A8_(%E4%B8%AD%E5%BC%8F%E5%A9%9A%E7%A4%BC)

    (หมายเหตุ บทความภาษาไทยเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ อ่านได้ที่ http://www.ue-wedding.com/culture/)

    #ตำนานหยุนซี #ประเพณีแต่งงานจีน #ประเพณีจีน #เกี้ยวเจ้าสาว
    ถ้าจะพูดเรื่องประเพณีแต่งงานจีนโบราณ แน่นอนมีหลายเรื่องให้คุยกันได้ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ ที่แฟนละคร <ตำนานหยุนซี> อาจเคยผ่านหูผ่านตา ลองมาดูกันจากบทสนทนาที่ถอดคำพูดมาจากละครเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ... “ฉินอ๋องเล่า? ฉินอ๋องอยู่ที่ใด? ธรรมเนียมแต่โบราณมา ไม่มีสะใภ้ใหม่กลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานแต่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับมาเพียงลำพัง หากมิใช่โดนปลดจากตำแหน่งชายาอ๋องแล้ว ยังมีเหตุผลใด? โอ้ว... ข้ากล่าวผิดไป มีแต่งจึงมีปลด ท่านฉินอ๋องมิเคยแม้แต่จะเตะเกี้ยวเจ้าสาวของเจ้า คงมิอาจนับได้ว่าแต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องไปแล้วกระมัง?” หานรั่วเสวี่ยกล่าว บทสนทนาจากในละครข้างต้น เห็นได้ว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในประเพณีแต่งงานคือการ ‘เตะเกี้ยวเจ้าสาว’ ทำไมจึงมีธรรมเนียมนี้และมันมีความหมายอย่างใด? จริงแล้วการเตะคานเกี้ยวเจ้าสาวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายว่าด้วยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวใน ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ (三书六礼) ซึ่งเป็นพิธีการว่าด้วยงานแต่งงานที่สืบทอดมาจากยุคสมัยราชวงศ์โจว (1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แต่ในบทความภาษาไทยเกี่ยวกับพิธีการนี้ไม่ค่อยมีกล่าวถึงการเตะคานเกี้ยว แต่พิธีการรับเจ้าสาวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามธรรมเนียมท้องถิ่น ในเรื่องการเตะคานเกี้ยวนี้ บางที่เตะคานเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่เตะสามครั้ง พิธีการเต็มๆ เท่าที่ Storyฯ เรียบเรียงข้อมูลมาได้ก็คือ... เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะเตะคานประตูเกี้ยวเจ้าสาวหนึ่งครั้ง และเจ้าสาวก็จะเตะคานประตูตอบจากภายในหนึ่งครั้ง มีความหมายว่าชายมิกลัวภรรยาและสตรีมิอ่อนแอ (男不惧内,女不示弱) จากนั้นเจ้าสาวก็จะโยนกุญแจหีบสมบัติ (สินสมรสที่ฝ่ายเจ้าสาวนำติดตัวมาด้วย) ออกมา เจ้าบ่าวรับมาแล้วก็ต้องชูกุญแจขึ้น นัยว่าให้ฟ้าเป็นสักขีพยาน เป็นเคล็ดขอให้ได้ลูกชายหลายๆ คน พอได้ฤกษ์ก็จะมีการหามเกี้ยวเข้าไปที่หน้าโถงพิธีการ จากนั้นเจ้าบ่าวใช้พัดเคาะหลังคาเกี้ยวสามครั้งและเตะคานเกี้ยวสามครั้ง เป็นการแสดงอำนาจ เพื่อว่าต่อไปภรรยาจะได้เชื่อฟังผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดิน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.jintjint.com/series/legend-of-yun-xi-%E8%8A%B8%E6%B1%90%E4%BC%A0-ep-1-48-end-eng-sub/ Credit ข้อมูลจาก: https://www.xiaozhishi.net/zhishi/1042699.html https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%BF%87%E9%97%A8_(%E4%B8%AD%E5%BC%8F%E5%A9%9A%E7%A4%BC) (หมายเหตุ บทความภาษาไทยเกี่ยวกับ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ อ่านได้ที่ http://www.ue-wedding.com/culture/) #ตำนานหยุนซี #ประเพณีแต่งงานจีน #ประเพณีจีน #เกี้ยวเจ้าสาว
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด

    หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ
    พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้  

    มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข
    AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม

    การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม
    AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา  

    สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ
    การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้  

    AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน
    แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)  

    การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก
    AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ  

    หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI
    ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI  

    นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  

    พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม

    มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม
    แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม

    ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา
    คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง  

    เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม
    ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต  

    ความยึดมั่นถือมั่นและมายา
    แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้  

    ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม
    มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา  

    นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"  

    สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน

    จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:  

    1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว  

    2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง  

    3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น  

    4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา  

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด ☸️☸️ หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้   🤖 มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา   👓 สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้   🙆‍♂️ AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)   🧪 การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ   ☸️ หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI   นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม ‼️ มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม 👿 ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง   🛣️ เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต   🍷 ความยึดมั่นถือมั่นและมายา แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้   🤥 ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา   นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"   สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:   1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว   2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง   3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น   4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา   #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 441 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามโลกครั้งที่ 3: ตระกูลรอธส์ไชลด์เพิ่งจุดชนวนความขัดแย้งผ่านอิสราเอล
    การโจมตีอิหร่านไม่ใช่การตอบโต้ แต่เป็นพิธีกรรม

    นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิสราเอลกับอิหร่าน แต่เป็นเรื่องของพวกโลกาภิวัตน์ที่ดึงคันโยกสุดท้าย ชนชั้นสูงสายเลือดเดียวกันกับที่วางแผนสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และ "ความขัดแย้ง" ทั้งหมดนับแต่นั้นมา 17 มิถุนายน 2025 — วันที่ลัทธิความตายของตระกูลรอธส์ไชลด์-ไซออนิสต์ประกาศสงครามกับมนุษยชาติ

    การโจมตีของอิสราเอลได้รับการสนับสนุนเงินทุนล่วงหน้า ได้รับการอนุมัติล่วงหน้า และวางแผนไว้ล่วงหน้า การโจมตีทางอากาศที่กำหนดเป้าหมายที่นาตันซ์และฟอร์โดว์ไม่ได้เกี่ยวกับการป้องกัน แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดความโกลาหลทั่วโลกเพื่อทำลายระบบ พลเรือน 60 คน เด็ก 20 คน ถูกเผาในเตหะราน นั่นไม่ใช่การกระทำโดยอ้อม แต่เป็นนามบัตร ข้อความจากกลุ่มผู้มีอำนาจลูซิเฟอร์ที่แสวงหากำไรจากเลือด

    แหล่งข่าววงในของ CENTCOM ยืนยันว่าดาวเทียมทหารของสหรัฐฯ ถูกเปลี่ยนเส้นทางเพื่อสนับสนุนอิสราเอลไม่กี่วันก่อนที่ระเบิดลูกแรกจะถูกทิ้ง นี่ไม่ใช่การป้องกัน แต่เป็นการประสานงาน เป็นกับดักที่ตั้งใจจะบีบให้ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าสู่สงครามที่เขาไม่เคยต้องการ

    ศัตรูของทรัมป์เปิดฉากสงครามครั้งนี้เพื่อทำลายเขา พวกเขาไม่สามารถหยุดเขาในการเลือกตั้ง พวกเขาไม่สามารถควบคุมเขาด้วยโควิด การถอดถอน และการต่อสู้ทางกฎหมาย ตอนนี้พวกเขาต้องการบีบให้เขาสนับสนุนเครื่องจักรสงคราม เขาไม่ได้หวั่นไหว แต่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น

    เนทันยาฮูไม่ได้รับใช้อิสราเอล เขารับใช้คลาอุส ชวาบ แลร์รี ฟิงค์ และกลุ่มค้ายาในดาวอส อิสราเอลคือหุ่นเชิด ขีปนาวุธคือข้อความ

    การตอบสนองของอิหร่าน? โดรนและขีปนาวุธ 370 ลำ ไม่ใช่การแก้แค้น ความยุติธรรม การก่อวินาศกรรม การลอบสังหาร และการคว่ำบาตรหลายปี ตอนนี้? ตึกอพาร์ตเมนต์ของอิสราเอลถูกทำลาย โดมเหล็กล้นหลาม — ถูกรบกวนทางไซเบอร์โดยกองกำลังที่สนับสนุน BRICS รัสเซียและจีนกำลังเฝ้าดู — และพร้อมแล้ว

    ทำไมตอนนี้ เพราะกลุ่มโลกาภิวัตน์กำลังผลักดันขั้นตอนสุดท้าย:

    – ทำลายเปโตรดอลลาร์
    – เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลพร้อมการระบุตัวตนแบบไบโอเมตริก
    – ระงับบัญชีเงินเกษียณ “เพื่อความมั่นคงของชาติ”

    – อ้างเหตุผลในการเฝ้าระวังและเซ็นเซอร์ AI ภายใต้กฎอัยการศึก
    – ท่วมยุโรปด้วยผู้อพยพเพื่อทำลายการต่อต้านของชาตินิยม
    – ใช้สงครามโลกครั้งที่ 3 เพื่อลบล้างอำนาจอธิปไตยของชาติ — ตลอดไป

    กาซ่าเป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ ภารกิจที่แท้จริง: รีเซ็ตโลก บังคับให้มนุษยชาติควบคุมทั้งหมด แต่ความจริงกลับรั่วไหล:

    – ข่าวกรองของรัสเซียยืนยันว่าระเบิดของอิสราเอลกำหนดเป้าหมายพลเรือน
    – บุคคลภายในของ Mossad กำลังรั่วไหลแผนดังกล่าว
    – ผู้แจ้งเบาะแสของ CENTCOM ยอมรับว่าไม่เคยเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์

    ตอนนี้ทรัมป์กำลังทำงานร่วมกับ BRICS เบื้องหลัง การประชุมสุดยอดสันติภาพคู่ขนาน ไม่มี NATO ไม่มี UN ไม่มี WEF เป้าหมายคืออะไร? ยุติการสังหารหมู่ ทำลายระบบ ปลดปล่อยโลก

    ถึงชนชั้นสูง: พิธีกรรมของคุณล้มเหลว มนุษย์มองเห็นคุณ และพายุที่คุณต้องการ? มันกำลังหันกลับมาต่อต้านคุณ

    นี่ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการกบฏเพื่อรีเซ็ตโลก
    และครั้งนี้ คุณแพ้
    สงครามโลกครั้งที่ 3: ตระกูลรอธส์ไชลด์เพิ่งจุดชนวนความขัดแย้งผ่านอิสราเอล การโจมตีอิหร่านไม่ใช่การตอบโต้ แต่เป็นพิธีกรรม นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิสราเอลกับอิหร่าน แต่เป็นเรื่องของพวกโลกาภิวัตน์ที่ดึงคันโยกสุดท้าย ชนชั้นสูงสายเลือดเดียวกันกับที่วางแผนสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และ "ความขัดแย้ง" ทั้งหมดนับแต่นั้นมา 17 มิถุนายน 2025 — วันที่ลัทธิความตายของตระกูลรอธส์ไชลด์-ไซออนิสต์ประกาศสงครามกับมนุษยชาติ การโจมตีของอิสราเอลได้รับการสนับสนุนเงินทุนล่วงหน้า ได้รับการอนุมัติล่วงหน้า และวางแผนไว้ล่วงหน้า การโจมตีทางอากาศที่กำหนดเป้าหมายที่นาตันซ์และฟอร์โดว์ไม่ได้เกี่ยวกับการป้องกัน แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดความโกลาหลทั่วโลกเพื่อทำลายระบบ พลเรือน 60 คน เด็ก 20 คน ถูกเผาในเตหะราน นั่นไม่ใช่การกระทำโดยอ้อม แต่เป็นนามบัตร ข้อความจากกลุ่มผู้มีอำนาจลูซิเฟอร์ที่แสวงหากำไรจากเลือด แหล่งข่าววงในของ CENTCOM ยืนยันว่าดาวเทียมทหารของสหรัฐฯ ถูกเปลี่ยนเส้นทางเพื่อสนับสนุนอิสราเอลไม่กี่วันก่อนที่ระเบิดลูกแรกจะถูกทิ้ง นี่ไม่ใช่การป้องกัน แต่เป็นการประสานงาน เป็นกับดักที่ตั้งใจจะบีบให้ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าสู่สงครามที่เขาไม่เคยต้องการ ศัตรูของทรัมป์เปิดฉากสงครามครั้งนี้เพื่อทำลายเขา พวกเขาไม่สามารถหยุดเขาในการเลือกตั้ง พวกเขาไม่สามารถควบคุมเขาด้วยโควิด การถอดถอน และการต่อสู้ทางกฎหมาย ตอนนี้พวกเขาต้องการบีบให้เขาสนับสนุนเครื่องจักรสงคราม เขาไม่ได้หวั่นไหว แต่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น เนทันยาฮูไม่ได้รับใช้อิสราเอล เขารับใช้คลาอุส ชวาบ แลร์รี ฟิงค์ และกลุ่มค้ายาในดาวอส อิสราเอลคือหุ่นเชิด ขีปนาวุธคือข้อความ การตอบสนองของอิหร่าน? โดรนและขีปนาวุธ 370 ลำ ไม่ใช่การแก้แค้น ความยุติธรรม การก่อวินาศกรรม การลอบสังหาร และการคว่ำบาตรหลายปี ตอนนี้? ตึกอพาร์ตเมนต์ของอิสราเอลถูกทำลาย โดมเหล็กล้นหลาม — ถูกรบกวนทางไซเบอร์โดยกองกำลังที่สนับสนุน BRICS รัสเซียและจีนกำลังเฝ้าดู — และพร้อมแล้ว ทำไมตอนนี้ เพราะกลุ่มโลกาภิวัตน์กำลังผลักดันขั้นตอนสุดท้าย: – ทำลายเปโตรดอลลาร์ – เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลพร้อมการระบุตัวตนแบบไบโอเมตริก – ระงับบัญชีเงินเกษียณ “เพื่อความมั่นคงของชาติ” – อ้างเหตุผลในการเฝ้าระวังและเซ็นเซอร์ AI ภายใต้กฎอัยการศึก – ท่วมยุโรปด้วยผู้อพยพเพื่อทำลายการต่อต้านของชาตินิยม – ใช้สงครามโลกครั้งที่ 3 เพื่อลบล้างอำนาจอธิปไตยของชาติ — ตลอดไป กาซ่าเป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ ภารกิจที่แท้จริง: รีเซ็ตโลก บังคับให้มนุษยชาติควบคุมทั้งหมด แต่ความจริงกลับรั่วไหล: – ข่าวกรองของรัสเซียยืนยันว่าระเบิดของอิสราเอลกำหนดเป้าหมายพลเรือน – บุคคลภายในของ Mossad กำลังรั่วไหลแผนดังกล่าว – ผู้แจ้งเบาะแสของ CENTCOM ยอมรับว่าไม่เคยเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ตอนนี้ทรัมป์กำลังทำงานร่วมกับ BRICS เบื้องหลัง การประชุมสุดยอดสันติภาพคู่ขนาน ไม่มี NATO ไม่มี UN ไม่มี WEF เป้าหมายคืออะไร? ยุติการสังหารหมู่ ทำลายระบบ ปลดปล่อยโลก ถึงชนชั้นสูง: พิธีกรรมของคุณล้มเหลว มนุษย์มองเห็นคุณ และพายุที่คุณต้องการ? มันกำลังหันกลับมาต่อต้านคุณ นี่ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการกบฏเพื่อรีเซ็ตโลก และครั้งนี้ คุณแพ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟนคลับละครจีนย้อนยุคกำลังภายในจะเห็นว่ามียาผงชนิดหนึ่งที่ตัวละครส่วนใหญ่มีพกติดตัวไว้โรยแผล เพื่อนเพจสงสัยกันบ้างหรือไม่ มันคือยาอะไร? ทำไมมีแผลอะไรก็เอาออกมาโรย? ไม่แน่ใจว่านิยายจีนฉบับแปลไทยมีชื่อเรียกยานี้หรือไม่ แต่ฉบับภาษาจีนจะเรียกยานี้ว่า จินชวงเย่า (金疮药)

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ท่านหัวหน้ากองเฉิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จินเซี่ยถาม
    “ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าท่านมือปราบหยวนได้รับบาดเจ็บ นี้คือยาจินชวงเย่าที่ในวังทำขึ้นเพื่อหน่วยองครักษ์โดยเฉพาะ ดีกว่าข้างนอก ทาแล้วแผลจะสมานได้สมบูรณ์” เฉิงฝูกล่าวพลางวางขวดยาไว้บนโต๊ะ....

    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร>

    จินชวงเย่าเป็นผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล สูตรยาอาจมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่เรียกโดยรวมว่าจินชวงเย่า และจินชวงเย่าที่มีชื่อที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง เพราะว่ากันว่าระงับเลือดได้ชะงัดทันใจที่สุด มีชื่อเรียกว่า “เตาเจียนเย่า” (刀尖药)

    จินชวงเย่ามีตัวยาที่สำคัญมากคือ “หลงกู่” (龙骨 แปลว่ากระดูกมังกร) แต่มันไม่ใช่กระดูกของมังกรจริงๆ “หลงกู่” เป็นการเรียกรวมซากกระดูกโบราณที่ขุดพบ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว เป็นต้น (ดูภาพประกอบขวาล่าง) ว่ากันว่า ตอนที่ค้นพบซากกระดูกโบราณเหล่านี้ คนที่ค้นพบพยายามใช้มีดขูดลวดลายบนกระดูกออกด้วยความสงสัย แต่โดนมีดบาดมือ แต่ผงที่ขูดออกจากซากกระดูกกลับทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที จึงเอากระดูกเหล่านี้ไปขายให้ร้านยา จึงเป็นที่มาของการค้นพบว่าผงของหลงกู่บดละเอียดคือตัวยาสำคัญที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและลดการอักเสบของจินชวงเย่านั่นเอง

    ประวัติของจินชวงเย่ามีมานานตั้งแต่เมื่อใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ที่แน่ๆ คือมีบันทึกถึงจินชวงเย่าไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) และใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1636-1912) สาเหตุที่ใช้กันมากในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น เป็นเพราะในสมัยชิงต้องมีการโกนหัวจึงมักมีบาดแผลจากมีดโกน จินชวงเย่าจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน

    และในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเองที่จินชวงเย่าสาบสูญไป เหตุเพราะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลงานอักษรนามว่า หวางอี้หรง สังเกตเห็นว่าเทียบยาของตนนั้นมียาหลงกู่ แต่เขาไม่รู้จักมัน จึงเรียกเอามาดู และสังเกตเห็นว่าลวดลายบนหลงกู่ที่แท้เป็นอักขระโบราณ แม้เขาอ่านไม่ออกแต่เชื่อว่ามันเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า จึงออกกว้านซื้อเพื่อเก็บรักษาและใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ ต่อมาในราชสำนักมีการทำอย่างนี้อย่างเป็นทางการ หลงกู่จึงมีราคาสูงมากและขาดตลาดไป ไม่สามารถนำมาใช้ทำจินชวงเย่าอีกต่อไป และด้วยตอนนั้นมีวิวัฒนาการด้านการแพทย์มากขึ้น จึงมีการคิดค้นตัวยาอื่นๆ มาทดแทน จึงเลิกใช้ผงยาจินชวงเย่าที่มีแก่นยามาจากหลงกู่จนมันสาบสูญไป (Storyฯ สงสัยว่าแล้วใช้กระดูกทั่วไปแทนไม่ได้หรืออย่างไร แต่หาคำตอบไม่ได้)

    ปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าอักขระบนหลงกู่ ก็คืออักษรโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี1200–1050 ก่อนคริสตกาล) กระดูกเหล่านี้ถูกใช้บันทึกพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในยุคสมัยนั้น รวมถึงผลของพิธีทำนายต่างๆ และเหตุการณ์ทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ฝรั่งเรียกกระดูกเหล่านี้ว่า Oracle Bones

    ที่บ้าน Storyฯ มีผงยาห้ามเลือดของจีน แต่ไม่รู้ชื่อและส่วนผสม แต่หน้าตาให้ความรู้สึกเหมือนจินชวงเย่ามาก เวลาดูหนังจีนมักมโนว่ามันคือยาเดียวกัน แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันคงทำมาจากส่วนผสมอื่น เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายๆ คนคงมียาที่ว่านี้ที่บ้านเหมือนกัน ใครมีข้อมูลว่ามันคืออะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://siaoyin.com/Info/8157030203451210773
    https://www.sohu.com/a/458843590_120172967
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.youtube.com/watch?v=U5NtRnOis9Y
    https://www.163.com/dy/article/G6S7ODGT05439D1U.html
    https://www.bilibili.com/read/cv10911896
    https://www.nms.ac.uk/explore-our-collections/stories/world-cultures/oracle-bones/

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ยาจีนโบราณ #ยาห้ามเลือดจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ #หลงกู่ #ราชวงศ์ชิง #จินเซี่ย #ใต้เท้าลู่ #จินชวงเย่า
    แฟนคลับละครจีนย้อนยุคกำลังภายในจะเห็นว่ามียาผงชนิดหนึ่งที่ตัวละครส่วนใหญ่มีพกติดตัวไว้โรยแผล เพื่อนเพจสงสัยกันบ้างหรือไม่ มันคือยาอะไร? ทำไมมีแผลอะไรก็เอาออกมาโรย? ไม่แน่ใจว่านิยายจีนฉบับแปลไทยมีชื่อเรียกยานี้หรือไม่ แต่ฉบับภาษาจีนจะเรียกยานี้ว่า จินชวงเย่า (金疮药) ความมีอยู่ว่า ... “ท่านหัวหน้ากองเฉิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จินเซี่ยถาม “ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าท่านมือปราบหยวนได้รับบาดเจ็บ นี้คือยาจินชวงเย่าที่ในวังทำขึ้นเพื่อหน่วยองครักษ์โดยเฉพาะ ดีกว่าข้างนอก ทาแล้วแผลจะสมานได้สมบูรณ์” เฉิงฝูกล่าวพลางวางขวดยาไว้บนโต๊ะ.... - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> จินชวงเย่าเป็นผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล สูตรยาอาจมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่เรียกโดยรวมว่าจินชวงเย่า และจินชวงเย่าที่มีชื่อที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง เพราะว่ากันว่าระงับเลือดได้ชะงัดทันใจที่สุด มีชื่อเรียกว่า “เตาเจียนเย่า” (刀尖药) จินชวงเย่ามีตัวยาที่สำคัญมากคือ “หลงกู่” (龙骨 แปลว่ากระดูกมังกร) แต่มันไม่ใช่กระดูกของมังกรจริงๆ “หลงกู่” เป็นการเรียกรวมซากกระดูกโบราณที่ขุดพบ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว เป็นต้น (ดูภาพประกอบขวาล่าง) ว่ากันว่า ตอนที่ค้นพบซากกระดูกโบราณเหล่านี้ คนที่ค้นพบพยายามใช้มีดขูดลวดลายบนกระดูกออกด้วยความสงสัย แต่โดนมีดบาดมือ แต่ผงที่ขูดออกจากซากกระดูกกลับทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที จึงเอากระดูกเหล่านี้ไปขายให้ร้านยา จึงเป็นที่มาของการค้นพบว่าผงของหลงกู่บดละเอียดคือตัวยาสำคัญที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและลดการอักเสบของจินชวงเย่านั่นเอง ประวัติของจินชวงเย่ามีมานานตั้งแต่เมื่อใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ที่แน่ๆ คือมีบันทึกถึงจินชวงเย่าไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) และใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1636-1912) สาเหตุที่ใช้กันมากในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น เป็นเพราะในสมัยชิงต้องมีการโกนหัวจึงมักมีบาดแผลจากมีดโกน จินชวงเย่าจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน และในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเองที่จินชวงเย่าสาบสูญไป เหตุเพราะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลงานอักษรนามว่า หวางอี้หรง สังเกตเห็นว่าเทียบยาของตนนั้นมียาหลงกู่ แต่เขาไม่รู้จักมัน จึงเรียกเอามาดู และสังเกตเห็นว่าลวดลายบนหลงกู่ที่แท้เป็นอักขระโบราณ แม้เขาอ่านไม่ออกแต่เชื่อว่ามันเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า จึงออกกว้านซื้อเพื่อเก็บรักษาและใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ ต่อมาในราชสำนักมีการทำอย่างนี้อย่างเป็นทางการ หลงกู่จึงมีราคาสูงมากและขาดตลาดไป ไม่สามารถนำมาใช้ทำจินชวงเย่าอีกต่อไป และด้วยตอนนั้นมีวิวัฒนาการด้านการแพทย์มากขึ้น จึงมีการคิดค้นตัวยาอื่นๆ มาทดแทน จึงเลิกใช้ผงยาจินชวงเย่าที่มีแก่นยามาจากหลงกู่จนมันสาบสูญไป (Storyฯ สงสัยว่าแล้วใช้กระดูกทั่วไปแทนไม่ได้หรืออย่างไร แต่หาคำตอบไม่ได้) ปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าอักขระบนหลงกู่ ก็คืออักษรโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี1200–1050 ก่อนคริสตกาล) กระดูกเหล่านี้ถูกใช้บันทึกพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในยุคสมัยนั้น รวมถึงผลของพิธีทำนายต่างๆ และเหตุการณ์ทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ฝรั่งเรียกกระดูกเหล่านี้ว่า Oracle Bones ที่บ้าน Storyฯ มีผงยาห้ามเลือดของจีน แต่ไม่รู้ชื่อและส่วนผสม แต่หน้าตาให้ความรู้สึกเหมือนจินชวงเย่ามาก เวลาดูหนังจีนมักมโนว่ามันคือยาเดียวกัน แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันคงทำมาจากส่วนผสมอื่น เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายๆ คนคงมียาที่ว่านี้ที่บ้านเหมือนกัน ใครมีข้อมูลว่ามันคืออะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://siaoyin.com/Info/8157030203451210773 https://www.sohu.com/a/458843590_120172967 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.youtube.com/watch?v=U5NtRnOis9Y https://www.163.com/dy/article/G6S7ODGT05439D1U.html https://www.bilibili.com/read/cv10911896 https://www.nms.ac.uk/explore-our-collections/stories/world-cultures/oracle-bones/ #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ยาจีนโบราณ #ยาห้ามเลือดจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ #หลงกู่ #ราชวงศ์ชิง #จินเซี่ย #ใต้เท้าลู่ #จินชวงเย่า
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 441 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงปู่ทวด รุ่นปาฏิหาริย์ วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปี2549
    หลวงปู่ทวด รุ่นปาฏิหาริย์ เนื้อว่านผสมมวลสารวิเศษ ฝังข้าวสารหิน วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปี2549 // พระดีพิธีใหญ่ มีพระเกจิอาจารย์ปลุกเสกมากถึง 19,999 รูป พิมพ์คมชัดเนื้อว่านมวลสารจัดจ้าน //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ พระหายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณช่วยเสริมโชคลาภ อุดมสมบูรณ์ เมตตาค้าขาย ป้องกันภัยทุกชนิด การเงิน เมตตามหาเสน่ห์ โชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย ขจัดอุปสรรคภยันตรายต่างๆ โดยเฉพาะผู้ทำธุรกิจหรือทำอาชีพค้าขายก็จะร่ำรวย ตลอดจนช่วยเสริมเรื่องเดินทางแคล้วคลาด ปลอดภัย >>

    ** พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไฟพระฤกษ์ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกเมื่อ วันที่ 25 ธันวาคม 2549 มีพระเกจิอาจารย์ปลุกเสกมากถึง 19,999 รูป เป็นประวัติศาสตร์ของวงการพระเครื่องเมืองไทย ** พระดี พิธีใหญ่ วิธีการทำแบบโบราณกาล พิธีกรรมครบถ้วน กดมือทุกองค์ มวลสารที่นำมาจัดสร้างว่าน 108 ผงเกสร ผงปถมัง ผงตรีนิสิงเห ผงมหาราช ผงมหานิยม ผงนะหน้าทอง ผงอิติปิโส 108 ผงคัมภีร์กาฝากจากต้นไม้มงคล ผงสุวรรณมงคล ผงพลายตานี แร่มหามงคลอานุภาพคล้ายเหล็กไหลนำมาผสมเป็นพระเครื่อง พระรุ่นนี้อัดแน่นไปด้วยพุทธคุณ มีไว้ครอบครองย่อมเกิดผลแน่นอนที่สำคัญพิธีพุทธาภิเษก มีพระสงฆ์ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสกมากถึง 19,999 รูป มากเป็นประวัติศาสตร์การสร้างพระเครื่องของเมืองไทย >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ พระหายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงปู่ทวด รุ่นปาฏิหาริย์ วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปี2549 หลวงปู่ทวด รุ่นปาฏิหาริย์ เนื้อว่านผสมมวลสารวิเศษ ฝังข้าวสารหิน วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปี2549 // พระดีพิธีใหญ่ มีพระเกจิอาจารย์ปลุกเสกมากถึง 19,999 รูป พิมพ์คมชัดเนื้อว่านมวลสารจัดจ้าน //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ พระหายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณช่วยเสริมโชคลาภ อุดมสมบูรณ์ เมตตาค้าขาย ป้องกันภัยทุกชนิด การเงิน เมตตามหาเสน่ห์ โชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย ขจัดอุปสรรคภยันตรายต่างๆ โดยเฉพาะผู้ทำธุรกิจหรือทำอาชีพค้าขายก็จะร่ำรวย ตลอดจนช่วยเสริมเรื่องเดินทางแคล้วคลาด ปลอดภัย >> ** พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไฟพระฤกษ์ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกเมื่อ วันที่ 25 ธันวาคม 2549 มีพระเกจิอาจารย์ปลุกเสกมากถึง 19,999 รูป เป็นประวัติศาสตร์ของวงการพระเครื่องเมืองไทย ** พระดี พิธีใหญ่ วิธีการทำแบบโบราณกาล พิธีกรรมครบถ้วน กดมือทุกองค์ มวลสารที่นำมาจัดสร้างว่าน 108 ผงเกสร ผงปถมัง ผงตรีนิสิงเห ผงมหาราช ผงมหานิยม ผงนะหน้าทอง ผงอิติปิโส 108 ผงคัมภีร์กาฝากจากต้นไม้มงคล ผงสุวรรณมงคล ผงพลายตานี แร่มหามงคลอานุภาพคล้ายเหล็กไหลนำมาผสมเป็นพระเครื่อง พระรุ่นนี้อัดแน่นไปด้วยพุทธคุณ มีไว้ครอบครองย่อมเกิดผลแน่นอนที่สำคัญพิธีพุทธาภิเษก มีพระสงฆ์ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสกมากถึง 19,999 รูป มากเป็นประวัติศาสตร์การสร้างพระเครื่องของเมืองไทย >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ พระหายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้อัพขึ้นเฟซ เลยเห็นว่ามีในเพจอื่นมีคนเพิ่งเขียนถึงไปวันนี้ แต่อ่านดูแล้วไม่ขัดแต่ก็ไม่ตรงกันเสียหมด เลยคิดว่ายังคงลงเพจตามเดิมเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนเพจ เพียงแต่เลื่อนกำหนดมาอัพขึ้นเพจเร็วขึ้น

    เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์จีนเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> นี้จะทราบว่าในภาคอดีตนั้น นางเอกเป็นลูกศิษย์ของพระเอก Storyฯ เห็นพิธีกราบอาจารย์ของนางเอกก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ทันที

    Storyฯ เคยเห็นแต่ศิษย์ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับอาจารย์ แต่ในละครนางเอกถือถาดเข้ามามอบให้อาจารย์ หน้าตาสิ่งของบนถาดคือตามรูป (ขวากลาง) จึงเกิดความสงสัย... ถาดนี้คือ? ในหนังสือนิยายไม่มีพูดถึงรายละเอียดของฉากนี้ Storyฯ เลยไปทำการบ้านมา

    จีนโบราณมีธรรมเนียมการมอบของให้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียกว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ (六礼束脩 ซึ่งลิ่วหลี่แปลว่าหกพิธีการ ส่วนซู่ซิ่วหมายถึงเนื้อตากแห้งมัดเป็นพวงใช้แทนค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเล่าต่อด้านล่าง)

    ลิ่วหลี่ซู่ซิวประกอบด้วยของหกอย่าง (ดูรูปประกอบขวาล่าง) ดังนี้
    1. ผักขึ้นฉ่าย – ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘ฉินช่าย’ ซึ่งคำว่า ‘ฉิน’ พ้องเสียงกับคำว่าขยัน/ตั้งใจ หมายความว่า ลูกศิษย์จะขยันตั้งใจเรียน
    2. เมล็ดบัว - ซึ่งที่มาคือไส้เมล็ดบัวมีรสขม คำว่าไส้กับคำว่าใจคืออักษรเดียวกัน และ ‘ขมใจ’ ในภาษาจีนแปลได้ว่า เอาใจใส่/ตั้งใจ แม้จะยากลำบาก หมายความว่า ลูกศิษย์ทราบถึงความใส่ใจและความเพียรของอาจารย์ที่จะสั่งสอน
    3. ถั่วแดง - ซึ่งคำว่าแดงในภาษาจีนอ่านว่า ‘หง’ เป็นคำพ้องเสียงมาจากวลีที่ว่า หงอวิ้นเกาเจ้า (鸿运高照 แปลว่าโชคดีมาเยือน รุ่งเรืองเฉิดฉาย) เป็นการอวยพรให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ
    4. พุทราจีน - ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘หงเจ่า’ ซึ่งคำว่า ‘เจ่า’ พ้องเสียงกับคำว่าเช้า/เร็ว ความหมายในที่นี้คือให้ลูกศิษย์สำเร็จวิชาอย่างรวดเร็ว (早早高中)
    5. ลำไย – ภาษาจีนเรียกว่า ‘หลงเหยี่ยน’ หรือชื่อเก่ากว่านั้นคือ ‘กุ้ยหยวน’ และ ‘หยวน’ แปลว่ากลมหรือบริบูรณ์ หมายถึงให้ลูกศิษย์มีครบบริบูรณ์ทั้งผลงานและคุณธรรม (功德圆满)
    6. เนื้อหมูตากแห้ง – (อยากจะเรียกว่า ‘แดดเดียว’ แต่เดี๋ยวจะนึกถึงอาหารบ้านเรา) การให้เนื้อตากแห้งมีที่มาจากคำเล่าขานว่า ขงจื้อเคยกล่าวว่าหากใครนำเนื้อตากแห้งมามอบให้ เขาจะไม่ปฏิเสธการรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นการมอบเนื้อตากแห้งจึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจและความเคารพของลูกศิษย์ เป็นของขวัญ ‘แรกพบ’ ที่มอบให้อาจารย์ และต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าเล่าเรียน

    แต่ภาพในละครไม่เหมือนเป๊ะกับข้อมูลข้างต้น? (ดูรูปขวากลาง) Storyฯ เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่ม

    เลยพบว่าเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับขงจื้อนั้น มีการวิเคราะห์กันแพร่หลายว่า ขงจื้อหมายความเรื่องเนื้อตากแห้งอย่างนั้นจริงหรือไม่? เพราะจีนโบราณประโยคสั้นอักษรน้อย อาจตีความได้หลากหลาย จึงมีอีกการวิเคราะห์ว่า เนื่องด้วยขงจื้อไม่เคยแบ่งแยกฐานะและชนชั้น ดังนั้นความหมายจริงๆ ของขงจื้อคือว่า ใครก็ตามที่มากราบขอเป็นศิษย์ย่อมรับไว้ Storyฯ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะอย่างนี้หรือไม่ ถาดไหว้อาจารย์ในละครจึงขาดรายการนี้ไป

    และถ้าเพื่อนเพจสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในละครไม่มีถั่วแดง แต่เป็นลูกเกาลัด Storyฯ ลองไปหาข้อมูลดู ไม่ปรากฎว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ ให้ใช้เกาลัดแทนถั่วแดง แต่คำว่าลูกเกาลัดหรือ ‘ลี่’ นั้นภาษาจีนพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าตั้งขึ้น ในหลายโอกาสใช้แทนความหมายว่าสร้างรากฐานได้มั่นคง Storyฯ เลยสันนิษฐานว่าในละครคงมีความหมายนี้

    หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html
    https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.douban.com/group/topic/169323296/
    https://m.sohu.com/n/468143035/
    https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html
    https://wenda.huabaike.com/hywd/34686.html

    #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #ธรรมเนียมจีนโบราณ #ประเพณีจีน #กราบอาจารย์ #ลิ่วหลี่ซู่ซิว #ความหมายผักคึ่นฉ่าย #ความหมายถั่วแดง #ความหมายเมล็ดบัว #ความหมายพุทราจีน #ความหมายลำไย #ฉินช่าย #หงโต้ว #เหลียนจื่อ #กุ้ยหยวน #หงเจ่า
    เรื่องนี้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้อัพขึ้นเฟซ เลยเห็นว่ามีในเพจอื่นมีคนเพิ่งเขียนถึงไปวันนี้ แต่อ่านดูแล้วไม่ขัดแต่ก็ไม่ตรงกันเสียหมด เลยคิดว่ายังคงลงเพจตามเดิมเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนเพจ เพียงแต่เลื่อนกำหนดมาอัพขึ้นเพจเร็วขึ้น เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์จีนเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> นี้จะทราบว่าในภาคอดีตนั้น นางเอกเป็นลูกศิษย์ของพระเอก Storyฯ เห็นพิธีกราบอาจารย์ของนางเอกก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ทันที Storyฯ เคยเห็นแต่ศิษย์ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับอาจารย์ แต่ในละครนางเอกถือถาดเข้ามามอบให้อาจารย์ หน้าตาสิ่งของบนถาดคือตามรูป (ขวากลาง) จึงเกิดความสงสัย... ถาดนี้คือ? ในหนังสือนิยายไม่มีพูดถึงรายละเอียดของฉากนี้ Storyฯ เลยไปทำการบ้านมา จีนโบราณมีธรรมเนียมการมอบของให้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียกว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ (六礼束脩 ซึ่งลิ่วหลี่แปลว่าหกพิธีการ ส่วนซู่ซิ่วหมายถึงเนื้อตากแห้งมัดเป็นพวงใช้แทนค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเล่าต่อด้านล่าง) ลิ่วหลี่ซู่ซิวประกอบด้วยของหกอย่าง (ดูรูปประกอบขวาล่าง) ดังนี้ 1. ผักขึ้นฉ่าย – ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘ฉินช่าย’ ซึ่งคำว่า ‘ฉิน’ พ้องเสียงกับคำว่าขยัน/ตั้งใจ หมายความว่า ลูกศิษย์จะขยันตั้งใจเรียน 2. เมล็ดบัว - ซึ่งที่มาคือไส้เมล็ดบัวมีรสขม คำว่าไส้กับคำว่าใจคืออักษรเดียวกัน และ ‘ขมใจ’ ในภาษาจีนแปลได้ว่า เอาใจใส่/ตั้งใจ แม้จะยากลำบาก หมายความว่า ลูกศิษย์ทราบถึงความใส่ใจและความเพียรของอาจารย์ที่จะสั่งสอน 3. ถั่วแดง - ซึ่งคำว่าแดงในภาษาจีนอ่านว่า ‘หง’ เป็นคำพ้องเสียงมาจากวลีที่ว่า หงอวิ้นเกาเจ้า (鸿运高照 แปลว่าโชคดีมาเยือน รุ่งเรืองเฉิดฉาย) เป็นการอวยพรให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ 4. พุทราจีน - ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘หงเจ่า’ ซึ่งคำว่า ‘เจ่า’ พ้องเสียงกับคำว่าเช้า/เร็ว ความหมายในที่นี้คือให้ลูกศิษย์สำเร็จวิชาอย่างรวดเร็ว (早早高中) 5. ลำไย – ภาษาจีนเรียกว่า ‘หลงเหยี่ยน’ หรือชื่อเก่ากว่านั้นคือ ‘กุ้ยหยวน’ และ ‘หยวน’ แปลว่ากลมหรือบริบูรณ์ หมายถึงให้ลูกศิษย์มีครบบริบูรณ์ทั้งผลงานและคุณธรรม (功德圆满) 6. เนื้อหมูตากแห้ง – (อยากจะเรียกว่า ‘แดดเดียว’ แต่เดี๋ยวจะนึกถึงอาหารบ้านเรา) การให้เนื้อตากแห้งมีที่มาจากคำเล่าขานว่า ขงจื้อเคยกล่าวว่าหากใครนำเนื้อตากแห้งมามอบให้ เขาจะไม่ปฏิเสธการรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นการมอบเนื้อตากแห้งจึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจและความเคารพของลูกศิษย์ เป็นของขวัญ ‘แรกพบ’ ที่มอบให้อาจารย์ และต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าเล่าเรียน แต่ภาพในละครไม่เหมือนเป๊ะกับข้อมูลข้างต้น? (ดูรูปขวากลาง) Storyฯ เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่ม เลยพบว่าเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับขงจื้อนั้น มีการวิเคราะห์กันแพร่หลายว่า ขงจื้อหมายความเรื่องเนื้อตากแห้งอย่างนั้นจริงหรือไม่? เพราะจีนโบราณประโยคสั้นอักษรน้อย อาจตีความได้หลากหลาย จึงมีอีกการวิเคราะห์ว่า เนื่องด้วยขงจื้อไม่เคยแบ่งแยกฐานะและชนชั้น ดังนั้นความหมายจริงๆ ของขงจื้อคือว่า ใครก็ตามที่มากราบขอเป็นศิษย์ย่อมรับไว้ Storyฯ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะอย่างนี้หรือไม่ ถาดไหว้อาจารย์ในละครจึงขาดรายการนี้ไป และถ้าเพื่อนเพจสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในละครไม่มีถั่วแดง แต่เป็นลูกเกาลัด Storyฯ ลองไปหาข้อมูลดู ไม่ปรากฎว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ ให้ใช้เกาลัดแทนถั่วแดง แต่คำว่าลูกเกาลัดหรือ ‘ลี่’ นั้นภาษาจีนพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าตั้งขึ้น ในหลายโอกาสใช้แทนความหมายว่าสร้างรากฐานได้มั่นคง Storyฯ เลยสันนิษฐานว่าในละครคงมีความหมายนี้ หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.douban.com/group/topic/169323296/ https://m.sohu.com/n/468143035/ https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html https://wenda.huabaike.com/hywd/34686.html #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #ธรรมเนียมจีนโบราณ #ประเพณีจีน #กราบอาจารย์ #ลิ่วหลี่ซู่ซิว #ความหมายผักคึ่นฉ่าย #ความหมายถั่วแดง #ความหมายเมล็ดบัว #ความหมายพุทราจีน #ความหมายลำไย #ฉินช่าย #หงโต้ว #เหลียนจื่อ #กุ้ยหยวน #หงเจ่า
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ)
    สัทธรรมลำดับที่ : 1019
    ชื่อบทธรรม : -พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --พิธีปลงบาปด้วยลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ
    --พราหมณ์ ! อะไรกันหนอ ท่านจึงสระเกล้าในวัดอุโบสถ
    นุ่งห่ม ผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ กำหญ้ากุสะสด มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ?
    วันนี้เป็นวันอะไรของพวกสกุลพราหมณ์ ?
    --“พระโคดมผู้เจริญ ! วันนี้เป็นวันปัจโจโรหณี (ปลงบาป) ของ พวกสกุลพราหมณ์”
    http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=ปจฺโจโรหณี
    --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างไรกันเล่า ?
    --“พระโคดมผู้เจริญ ! ในกรณีนี้ พราหมณ์ทั้งหลายสระเกล้าในวันอุโบสถ
    นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ ฉาบแผ่นดินด้วยโคมัยสด
    ปูลาดด้วยหญ้ากุสะสด แล้วสำเร็จการ นอนระหว่างกองกูณฑ์และเรือนไฟ
    ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อไฟนั้นสามครั้ง ในราตรีนั้น กล่าวอยู่ว่า
    “ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ”
    ดังนี้
    หล่อเลี้ยงไฟไว้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น อันพอเพียง;
    ล่วงราตรีนั้นแล้ว เลี้ยงดูพราหมณ์ ทั้งหลายให้อิ่มหนำ ด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต.
    --พระโคดมผู้เจริญ ! พิธีปัจโจโรหณี ของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างนี้ แล”.
    --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างหนึ่ง.
    ส่วน พิธีปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น; กล่าวคือ
    --พราหมณ์! อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า
    “วิบากแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ นี้แล เป็น ธรรมลามกทั้งในทิฏฐิธรรม (ขณะนี้)
    และอภิสัมปรายะ (ขณะอื่น)”.
    ครั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ ละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ปลงลงเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ.
    (ในกรณีแห่ง
    มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ
    ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ
    ).

    --พราหมณ์ ! #ปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างนี้ แล.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/252/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย
    --“พระโคดมผู้เจริญ ! ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง
    ในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น.
    ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ มีค่าไม่เข้าถึงส่วนเสี้ยวที่สิบหกของ
    ปัจโจโรหณีในอริยวินัยนี้ ”.-

    [
    --ในสูตรนี้
    ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า
    “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”;
    --ส่วนในสูตรอื่นๆ
    (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90
    http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%97
    ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย
    http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย
    --ในสูตรอื่น
    ทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี
    http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=ปจฺโจโรหณิยา+พฺราหฺมณานํ
    (ทสก. อํ. ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96
    ].

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/204 - 206/119.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/204/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๑ - ๒๕๓/๑๑๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1019
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ) สัทธรรมลำดับที่ : 1019 ชื่อบทธรรม : -พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019 เนื้อความทั้งหมด :- --พิธีปลงบาปด้วยลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ --พราหมณ์ ! อะไรกันหนอ ท่านจึงสระเกล้าในวัดอุโบสถ นุ่งห่ม ผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ กำหญ้ากุสะสด มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ? วันนี้เป็นวันอะไรของพวกสกุลพราหมณ์ ? --“พระโคดมผู้เจริญ ! วันนี้เป็นวันปัจโจโรหณี (ปลงบาป) ของ พวกสกุลพราหมณ์” http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=ปจฺโจโรหณี --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างไรกันเล่า ? --“พระโคดมผู้เจริญ ! ในกรณีนี้ พราหมณ์ทั้งหลายสระเกล้าในวันอุโบสถ นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ ฉาบแผ่นดินด้วยโคมัยสด ปูลาดด้วยหญ้ากุสะสด แล้วสำเร็จการ นอนระหว่างกองกูณฑ์และเรือนไฟ ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อไฟนั้นสามครั้ง ในราตรีนั้น กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ” ดังนี้ หล่อเลี้ยงไฟไว้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น อันพอเพียง; ล่วงราตรีนั้นแล้ว เลี้ยงดูพราหมณ์ ทั้งหลายให้อิ่มหนำ ด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต. --พระโคดมผู้เจริญ ! พิธีปัจโจโรหณี ของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างนี้ แล”. --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างหนึ่ง. ส่วน พิธีปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น; กล่าวคือ --พราหมณ์! อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า “วิบากแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ นี้แล เป็น ธรรมลามกทั้งในทิฏฐิธรรม (ขณะนี้) และอภิสัมปรายะ (ขณะอื่น)”. ครั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ ละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ปลงลงเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ. (ในกรณีแห่ง มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ ). --พราหมณ์ ! #ปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างนี้ แล. http://etipitaka.com/read/pali/24/252/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย --“พระโคดมผู้เจริญ ! ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น. ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ มีค่าไม่เข้าถึงส่วนเสี้ยวที่สิบหกของ ปัจโจโรหณีในอริยวินัยนี้ ”.- [ --ในสูตรนี้ ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”; --ส่วนในสูตรอื่นๆ (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗) http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90 http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%97 ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี. http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย --ในสูตรอื่น ทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=ปจฺโจโรหณิยา+พฺราหฺมณานํ (ทสก. อํ. ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖) http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96 ]. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/204 - 206/119. http://etipitaka.com/read/thai/24/204/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๑ - ๒๕๓/๑๑๙. http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1019 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ)
    -พิธีปลงบาปด้วยลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ พราหมณ์ ! อะไรกันหนอ ท่านจึงสระเกล้าในวัดอุโบสถ นุ่งห่ม ผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ กำหญ้ากุสะสด มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ? วันนี้เป็นวันอะไรของพวกสกุลพราหมณ์ ? “พระโคดมผู้เจริญ ! วันนี้เป็นวันปัจโจโรหณี (ปลงบาป) ของ พวกสกุลพราหมณ์” พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างไรกันเล่า ? “พระโคดมผู้เจริญ ! ในกรณีนี้ พราหมณ์ทั้งหลายสระเกล้าในวันอุโบสถ นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ ฉาบแผ่นดินด้วยโคมัยสด ปูลาดด้วยหญ้ากุสะสด แล้วสำเร็จการ นอนระหว่างกองกูณฑ์และเรือนไฟ ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อไฟนั้นสามครั้ง ในราตรีนั้น กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ” ดังนี้ หล่อเลี้ยงไฟไว้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น อันพอเพียง; ล่วงราตรีนั้นแล้ว เลี้ยงดูพราหมณ์ ทั้งหลายให้อิ่มหนำ ด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต. พระโคดมผู้เจริญ ! พิธีปัจโจโรหณี ของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างนี้ แล”. พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างหนึ่ง. ส่วน พิธีปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น; กล่าวคือ พราหมณ์! อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า “วิบากแห่งมิจฉาทิฏฐินี้แล เป็น ธรรมลามกทั้งในทิฏฐิธรรม (ขณะนี้) และอภิสัมปรายะ (ขณะอื่น)”. ครั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ ละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ปลงลงเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ. (ในกรณีแห่งมิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง มิจฉาทิฏฐิ). พราหมณ์ ! ปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างนี้ แล. “พระโคดมผู้เจริญ ! ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น. ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ มีค่าไม่เข้าถึงส่วนเสี้ยวที่สิบหกของ ปัจโจโรหณีในอริยวินัยนี้ ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เขียนทดลองสารพัดวิธีมาทั้งชีวิต...พระเครื่อง สารพัดหลวงปู่หลวงพ่อ....สวดมนต์นั่งสมาธิ....พิธีกรรม ทำบุญ ของมงคลหลากหลาย...เสริมฮวงจุ้ยมากมาย..บนบานศาลกล่าวสารพัด....ต่อเนื่องกว่า 13 ...ปี ....คุณเชื่อไหม? ....ผ่านพ้นที่อะไร...
    _ ทำดีกับพ่อแม่ "ด้วยใจ" คือ เต็มใจ ยินดี ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ....
    _ พลังของตัวเลข...ที่มีอิทธิพลจริงๆ ในแง่ สถิติ ...ไม่ใช่ ความเชื่อ หรือ เขาบอกว่า..ต่อๆกัน.
    _ พลังของ "หิน" ที่หลายคนมองข้าม.....หินคือที่สะสมพลังงาน ดินฟ้าอากาศ แสงอาทิตย์ ...ตลอดหลายล้านปี....ย้อนไปยุคนอียิปต์ หรือ จีน (หยก) ....โน่น....คือ มีพลังงานจริง....ส่วนในด้านไหนบ้าง ...ก็ต้องพิสูจน์กันดู.
    _ สุดท้าย น้ำมันพญาว่าน ที่ผู้เขียนเสาะหา สะสม หวงแหน กว่า 30 ปี จากสารพัดเกจิอาจารย์...นำมารวม..และนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกทั่วประเทศต่อเนื่อง ตลอด 30 ปี...ไม่น้อยกว่า 50 พิธี....ตอนแรกเก็บสะสมด้วยใจชอบ เพราะเป็นสิ่งหายาก....ไม่เคยแบ่งใครเลย...ผ่านไป 30 ปี...นึกอย่างไรไม่รู้เอามาใช้เอง.....ปรากฏว่า ที่เขียนมา 3_4 อย่างนี้ ...พลิกชีวิตเลย.... โดยสถิติ และความเป็นจริง #ไม่ใข่ความเขื่อ#
    ผู้เขียนทดลองสารพัดวิธีมาทั้งชีวิต...พระเครื่อง สารพัดหลวงปู่หลวงพ่อ....สวดมนต์นั่งสมาธิ....พิธีกรรม ทำบุญ ของมงคลหลากหลาย...เสริมฮวงจุ้ยมากมาย..บนบานศาลกล่าวสารพัด....ต่อเนื่องกว่า 13 ...ปี ....คุณเชื่อไหม? ....ผ่านพ้นที่อะไร... _ ทำดีกับพ่อแม่ "ด้วยใจ" คือ เต็มใจ ยินดี ต่อเนื่องสม่ำเสมอ .... _ พลังของตัวเลข...ที่มีอิทธิพลจริงๆ ในแง่ สถิติ ...ไม่ใช่ ความเชื่อ หรือ เขาบอกว่า..ต่อๆกัน. _ พลังของ "หิน" ที่หลายคนมองข้าม.....หินคือที่สะสมพลังงาน ดินฟ้าอากาศ แสงอาทิตย์ ...ตลอดหลายล้านปี....ย้อนไปยุคนอียิปต์ หรือ จีน (หยก) ....โน่น....คือ มีพลังงานจริง....ส่วนในด้านไหนบ้าง ...ก็ต้องพิสูจน์กันดู. _ สุดท้าย น้ำมันพญาว่าน ที่ผู้เขียนเสาะหา สะสม หวงแหน กว่า 30 ปี จากสารพัดเกจิอาจารย์...นำมารวม..และนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกทั่วประเทศต่อเนื่อง ตลอด 30 ปี...ไม่น้อยกว่า 50 พิธี....ตอนแรกเก็บสะสมด้วยใจชอบ เพราะเป็นสิ่งหายาก....ไม่เคยแบ่งใครเลย...ผ่านไป 30 ปี...นึกอย่างไรไม่รู้เอามาใช้เอง.....ปรากฏว่า ที่เขียนมา 3_4 อย่างนี้ ...พลิกชีวิตเลย.... โดยสถิติ และความเป็นจริง #ไม่ใข่ความเขื่อ#
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป
    สัทธรรมลำดับที่ : 1015
    ชื่อบทธรรม :- อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1015
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป
    --ภิกษุ ท. ! ในบรรดาชนบททางทิศใต้ มีพิธีกรรม ชื่อโธวนะ(พิธีเครื่องชำระบาป)​.
    ในพิธีกรรมนั้น มีข้าว มีน้ำ มีของเคี้ยว ของบริโภค มีของควรลิ้ม ของควรดื่ม
    มีการฟ้อน การขับ และการประโคม.
    --ภิกษุ ท. ! พิธีกรรม ชื่อโธวนะ นั้น มีอยู่ มิใช่เรากล่าวว่าไม่มี
    แต่ว่าพิธีกรรมชื่อโธวนะนั้น เป็นของต่ำ
    เป็นของ ชาวบ้าน ควรแก่บุถุชน
    ไมใช่ของอารยชน ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์
    เพื่อความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม
    และนิพพาน.
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง #โธวนะอันประเสริฐ
    http://etipitaka.com/read/pali/24/232/?keywords=อริยํ+โธวนํ
    ที่เป็นไปพร้อมเพื่อ ความหน่ายทุกข์โดยส่วนเดียว
    เพื่อเป็นความคลายกำหนด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม
    และนิพพาน
    เป็นโธวนะที่เมื่อสัตว์
    ผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดาได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความเกิด,
    ผู้มีความแก่เป็นธรรมดาได้ อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความแก่,
    ผู้มีความตายเป็นธรรมดาได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความตาย,
    ผู้มีความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจได้อาศัยแล้ว
    ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความ ร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/232/?keywords=อริยํ+โธวนํ
    พวกเธอจงฟังคำนั้น จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
    (ต่อจากนั้น ทรงแสดงอเสขธรรม ๑๐ ประการ คือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
    ).-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/185/107
    http://etipitaka.com/read/thai/24/185/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๑/๑๐๗
    http://etipitaka.com/read/pali/24/231/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%97
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1015
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87
    ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป สัทธรรมลำดับที่ : 1015 ชื่อบทธรรม :- อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1015 เนื้อความทั้งหมด :- --อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป --ภิกษุ ท. ! ในบรรดาชนบททางทิศใต้ มีพิธีกรรม ชื่อโธวนะ(พิธีเครื่องชำระบาป)​. ในพิธีกรรมนั้น มีข้าว มีน้ำ มีของเคี้ยว ของบริโภค มีของควรลิ้ม ของควรดื่ม มีการฟ้อน การขับ และการประโคม. --ภิกษุ ท. ! พิธีกรรม ชื่อโธวนะ นั้น มีอยู่ มิใช่เรากล่าวว่าไม่มี แต่ว่าพิธีกรรมชื่อโธวนะนั้น เป็นของต่ำ เป็นของ ชาวบ้าน ควรแก่บุถุชน ไมใช่ของอารยชน ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ เพื่อความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน. --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง #โธวนะอันประเสริฐ http://etipitaka.com/read/pali/24/232/?keywords=อริยํ+โธวนํ ที่เป็นไปพร้อมเพื่อ ความหน่ายทุกข์โดยส่วนเดียว เพื่อเป็นความคลายกำหนด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน เป็นโธวนะที่เมื่อสัตว์ ผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดาได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความเกิด, ผู้มีความแก่เป็นธรรมดาได้ อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความแก่, ผู้มีความตายเป็นธรรมดาได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความตาย, ผู้มีความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความ ร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ. http://etipitaka.com/read/pali/24/232/?keywords=อริยํ+โธวนํ พวกเธอจงฟังคำนั้น จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว. (ต่อจากนั้น ทรงแสดงอเสขธรรม ๑๐ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ ).- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/185/107 http://etipitaka.com/read/thai/24/185/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๑/๑๐๗ http://etipitaka.com/read/pali/24/231/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%97 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1015 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87 ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป
    -อเสขธรรมสิบ ในฐานะพิธีเครื่องชำระบาป ภิกษุ ท. ! ในบรรดาชนบททางทิศใต้ มีพิธีกรรม ชื่อโธวนะ. ในพิธีกรรมนั้น มีข้าว มีน้ำ มีของเคี้ยว ของบริโภค มีของควรลิ้ม ของควรดื่ม มีการฟ้อน การขับ และการประโคม. ภิกษุ ท. ! พิธีกรรมชื่อโธวนะนั้น มีอยู่ มิใช่เรากล่าวว่าไม่มี แต่ว่าพิธีกรรมชื่อโธวนะนั้น เป็นของต่ำ เป็นของ ชาวบ้าน ควรแก่บุถุชน ไมใช่ของอารยชน ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็น ไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ เพื่อความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง โธวนะอันประเสริฐ ที่เป็นไปพร้อมเพื่อ ความหน่ายทุกข์โดยส่วนเดียว เพื่อเป็นความคลายกำหนด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน เป็นโธวนะที่เมื่อสัตว์ผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดาได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความเกิด, ผู้มีความแก่เป็นธรรมดาได้ อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความแก่, ผู้มีความตายเป็นธรรมดาได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความตาย, ผู้มีความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจได้อาศัยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความ ร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ. พวกเธอจงฟังคำนั้น จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว. (ต่อจากนั้น ทรงแสดงอเสขธรรม ๑๐ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เสาสัญญาณเเห่งความร่ำรวย
    #พิธีกรรมจิต เเละความศรัทธาในเงินสด

    การสร้างความร่ำรวยแท้จริงนั้น "ง่าย"

    อย่างที่ไม่เคยมีใครบอกคุณมาก่อน
    แต่ความง่ายนี้มีเงื่อนไขสำคัญ

    มันต้องกลายเป็น “กิจวัตร”
    ต้องทำซ้ำ ต้องย้ำต้องวน
    ต้องชัด และต้องศรัทธา

    #กุญแจสำคัญที่สุด คือ
    การล้างกระดานเก่าในจิต
    แล้วแทนที่ด้วยภาพใหม่
    ของความมั่งคั่ง

    จากนั้น #เปิดคลื่นวิทยุของจิต

    ให้รับ-ส่งแค่ช่องสัญญาณเดียว

    ช่องที่ชื่อว่า

    "ฉันมีเงิน ฉันร่ำรวย ฉันสำเร็จ"

    ซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งวันทั้งคืน

    อย่าปล่อยให้จิตเปิดรับทุกคลื่น
    เหมือนการฟังวิทยุหลายสถานี
    มีทั้งเพลง ข่าว โฆษณา
    ซึ่งมีสาระก็จริง แต่ไม่เข้มข้น
    และไม่ต่อเนื่องพอจะสร้างอะไรได้เลย

    เพราะมันเพียง
    สะกิดใจไม่กี่วินาที
    แล้วหายวับไป

    หากคุณอยากรวย ต้อง #ถักจิต
    เหมือน การทอผ้า ต้องนั่งทำซ้ำๆ ทุกวัน
    เหมือนการสร้างผืนผ้าขนาดใหญ่
    ที่ใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี

    หากเปรียบความร่ำรวยเป็นผืนผ้า

    คุณต้องยอมใช้ชีวิต
    ปักเข็มเส้นเดิมทุกวัน
    ไม่มีทางลัด

    #จิตที่แน่วแน่เท่านั้นที่รวยได้

    คุณต้องมีความหมกมุ่นระดับสูงสุด
    หมกมุ่นแบบนักธุรกิจ
    ที่คิดแค่เรื่องเงิน คิดหาเงิน เก็บเงิน
    ขยายเงิน ตั้งบริษัท สร้างอาณาจักร
    แล้วส่งต่อความมั่งคั่งให้รุ่นลูกหลาน

    เพราะจิตของคนรวยจะมีคลื่นเดียว

    “ฉันรวยและฉันกำลังรวย”

    แต่ในยุคนี้ อินเทอร์เน็ต
    ทำให้จิตคนยุคใหม่อ่อนแอ

    คลื่นสัญญาณถูกรบกวน
    จากข้อมูลสารพัดรูปแบบ
    ทำให้จิตสร้างอะไรไม่ได้เลย
    เพราะมันไม่แน่วแน่พอ
    ไม่มีคลื่นหลักของตัวเอง

    #ฟอร์มจิตให้กลายเป็นพลังสร้าง

    จะเปลี่ยนจิตให้สร้างสิ่งใดเป็นรูปธรรม
    ต้องใช้กลไกแบบเดียวกับ
    การดูละครซีรีส์ที่เราหลงใหล

    อ่านนิยายที่เรารู้สึกว่า “เราเองคือตัวเอก”
    มันต้องอิน ต้องย้ำ ต้องหมกมุ่น
    แล้วเราจะเริ่ม “กลายเป็นสิ่งนั้นจริงๆ”

    คนที่ไม่สำเร็จ เพราะจิตไม่ชัดเจน
    ไม่อิน ไม่เชื่อ ไม่ซ้ำ ใช้ชีวิตแบบดูผ่าน
    ฟังผ่าน แล้วก็หมดวันไปอย่างไร้พลัง

    เริ่มต้นความร่ำรวยจาก "พิธีกรรมเงินสด"

    หากคุณตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า
    “ฉันจะรวย” ให้ตั้งพิธีกรรมของคุณขึ้นมา
    ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

    1.หา #เครื่องยึดเหนี่ยว
    สัญลักษณ์ที่สั่นสะเทือนหัวใจ
    เช่น ทองคำแท่ง เงินสด ที่ดิน
    มาวางบนโต๊ะพิธีของคุณ
    เพื่อย้ำเตือนว่า นี่คือ
    เป้าหมายเดียวของชีวิตช่วงนี้

    2.#ถอนเงินสดออกจากออนไลน์
    อย่าปล่อยให้เงินอยู่แค่ในระบบดิจิทัล
    จิตจะไม่เห็นว่าตัวเองได้รับเงินเลย
    เพราะมันจำแค่ตอนโอนออก

    3.#ให้เงินสดอยู่ตรงหน้าคุณ 24 ชั่วโมง
    วางบนโต๊ะพิธี วางไว้ข้างหัวนอน
    วางตรงกระจกห้องน้ำ
    ถ้าคุณเห็นเงินทุกวัน
    จิตจะเริ่มซึมซับคลื่นความร่ำรวย

    4.#เมื่อเงินสดเริ่มมีแล้ว
    #ให้ขยับไปสู่ทองคำ
    ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อ “ดูดเงินเพิ่ม”
    ทอง คือ แม่เหล็กเงิน
    ถ้าคุณศรัทธา
    มันจะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก
    ดึงดูดความมั่งคั่ง

    5.#คิดวนซ้ำสร้างเงิน เก็บเงิน ซื้อทอง
    เพื่อดูดเงิน ทำจนจิตของคุณ
    เปลี่ยนสนามพลังจากขาดแคลนเป็นมั่งคั่ง

    คุณ คือ #เสาสัญญาณแห่งความร่ำรวย

    เมื่อจิตคุณเปลี่ยน
    พลังงทานทั้งเมืองจะเปลี่ยน
    พลังงานประเทศจะเปลี่ยน
    เพราะเศรษฐกิจรอบตัวคุณ
    จะต้องสนับสนุนให้คุณได้เงิน

    เพราะคุณ คือ #ผู้ถือคลื่นแห่งเงินสด

    ลูกค้าจะเข้ามา หุ้นส่วนจะมาหา
    งานจะไหลมา เพราะคุณ
    กำลังทำพิธีกรรมเงินซ้ำๆ อย่างมีพลัง
    จิตคุณชัดและไม่สั่นไหว

    อย่าอิจฉาใคร
    เพราะทุกคนที่รวยขึ้นรอบตัวคุณ
    คือ เครื่องสะท้อนว่า
    คุณกำลังอยู่ในสนามถูกต้องแล้ว

    บทส่งท้าย: #บูชาเงินสดอย่างมีศรัทธา

    จงดำเนินชีวิตใหม่ให้เหมือน

    #นักบวชแห่งเงินสด

    ผู้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา และยึดมั่น
    ในเส้นทางแห่งความมั่งคั่งทุกลมหายใจ

    #ตัดสิ่งไร้สาระทิ้งไป

    ปกป้องพลังจิตอย่างเข้มแข็ง
    ทำทุกอย่างให้ใจมีความสุข
    เพื่อให้กลายเป็นการสร้างเงินที่ยั่งยืน

    เพราะสุดท้ายแล้ว
    “ความสุขและความร่ำรวย”
    คือ สิ่งเดียวกัน คุณไม่มีวันรวยได้จริง
    หากไม่รักหนทางที่กำลังเดิน

    จงหมกมุ่น จงตั้งใจ จงลงมือ จงทำซ้ำ
    แล้วคุณจะไม่เพียงแค่ร่ำรวย
    แต่จะกลายเป็นต้นน้ำแห่งความมั่งคั่ง
    ให้กับผู้คนทั้งแผ่นดิน
    #เสาสัญญาณเเห่งความร่ำรวย #พิธีกรรมจิต เเละความศรัทธาในเงินสด การสร้างความร่ำรวยแท้จริงนั้น "ง่าย" อย่างที่ไม่เคยมีใครบอกคุณมาก่อน แต่ความง่ายนี้มีเงื่อนไขสำคัญ มันต้องกลายเป็น “กิจวัตร” ต้องทำซ้ำ ต้องย้ำต้องวน ต้องชัด และต้องศรัทธา #กุญแจสำคัญที่สุด คือ การล้างกระดานเก่าในจิต แล้วแทนที่ด้วยภาพใหม่ ของความมั่งคั่ง จากนั้น #เปิดคลื่นวิทยุของจิต ให้รับ-ส่งแค่ช่องสัญญาณเดียว ช่องที่ชื่อว่า "ฉันมีเงิน ฉันร่ำรวย ฉันสำเร็จ" ซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งวันทั้งคืน อย่าปล่อยให้จิตเปิดรับทุกคลื่น เหมือนการฟังวิทยุหลายสถานี มีทั้งเพลง ข่าว โฆษณา ซึ่งมีสาระก็จริง แต่ไม่เข้มข้น และไม่ต่อเนื่องพอจะสร้างอะไรได้เลย เพราะมันเพียง สะกิดใจไม่กี่วินาที แล้วหายวับไป หากคุณอยากรวย ต้อง #ถักจิต เหมือน การทอผ้า ต้องนั่งทำซ้ำๆ ทุกวัน เหมือนการสร้างผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่ใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี หากเปรียบความร่ำรวยเป็นผืนผ้า คุณต้องยอมใช้ชีวิต ปักเข็มเส้นเดิมทุกวัน ไม่มีทางลัด #จิตที่แน่วแน่เท่านั้นที่รวยได้ คุณต้องมีความหมกมุ่นระดับสูงสุด หมกมุ่นแบบนักธุรกิจ ที่คิดแค่เรื่องเงิน คิดหาเงิน เก็บเงิน ขยายเงิน ตั้งบริษัท สร้างอาณาจักร แล้วส่งต่อความมั่งคั่งให้รุ่นลูกหลาน เพราะจิตของคนรวยจะมีคลื่นเดียว “ฉันรวยและฉันกำลังรวย” แต่ในยุคนี้ อินเทอร์เน็ต ทำให้จิตคนยุคใหม่อ่อนแอ คลื่นสัญญาณถูกรบกวน จากข้อมูลสารพัดรูปแบบ ทำให้จิตสร้างอะไรไม่ได้เลย เพราะมันไม่แน่วแน่พอ ไม่มีคลื่นหลักของตัวเอง #ฟอร์มจิตให้กลายเป็นพลังสร้าง จะเปลี่ยนจิตให้สร้างสิ่งใดเป็นรูปธรรม ต้องใช้กลไกแบบเดียวกับ การดูละครซีรีส์ที่เราหลงใหล อ่านนิยายที่เรารู้สึกว่า “เราเองคือตัวเอก” มันต้องอิน ต้องย้ำ ต้องหมกมุ่น แล้วเราจะเริ่ม “กลายเป็นสิ่งนั้นจริงๆ” คนที่ไม่สำเร็จ เพราะจิตไม่ชัดเจน ไม่อิน ไม่เชื่อ ไม่ซ้ำ ใช้ชีวิตแบบดูผ่าน ฟังผ่าน แล้วก็หมดวันไปอย่างไร้พลัง เริ่มต้นความร่ำรวยจาก "พิธีกรรมเงินสด" หากคุณตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า “ฉันจะรวย” ให้ตั้งพิธีกรรมของคุณขึ้นมา ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 1.หา #เครื่องยึดเหนี่ยว สัญลักษณ์ที่สั่นสะเทือนหัวใจ เช่น ทองคำแท่ง เงินสด ที่ดิน มาวางบนโต๊ะพิธีของคุณ เพื่อย้ำเตือนว่า นี่คือ เป้าหมายเดียวของชีวิตช่วงนี้ 2.#ถอนเงินสดออกจากออนไลน์ อย่าปล่อยให้เงินอยู่แค่ในระบบดิจิทัล จิตจะไม่เห็นว่าตัวเองได้รับเงินเลย เพราะมันจำแค่ตอนโอนออก 3.#ให้เงินสดอยู่ตรงหน้าคุณ 24 ชั่วโมง วางบนโต๊ะพิธี วางไว้ข้างหัวนอน วางตรงกระจกห้องน้ำ ถ้าคุณเห็นเงินทุกวัน จิตจะเริ่มซึมซับคลื่นความร่ำรวย 4.#เมื่อเงินสดเริ่มมีแล้ว #ให้ขยับไปสู่ทองคำ ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อ “ดูดเงินเพิ่ม” ทอง คือ แม่เหล็กเงิน ถ้าคุณศรัทธา มันจะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก ดึงดูดความมั่งคั่ง 5.#คิดวนซ้ำสร้างเงิน เก็บเงิน ซื้อทอง เพื่อดูดเงิน ทำจนจิตของคุณ เปลี่ยนสนามพลังจากขาดแคลนเป็นมั่งคั่ง คุณ คือ #เสาสัญญาณแห่งความร่ำรวย เมื่อจิตคุณเปลี่ยน พลังงทานทั้งเมืองจะเปลี่ยน พลังงานประเทศจะเปลี่ยน เพราะเศรษฐกิจรอบตัวคุณ จะต้องสนับสนุนให้คุณได้เงิน เพราะคุณ คือ #ผู้ถือคลื่นแห่งเงินสด ลูกค้าจะเข้ามา หุ้นส่วนจะมาหา งานจะไหลมา เพราะคุณ กำลังทำพิธีกรรมเงินซ้ำๆ อย่างมีพลัง จิตคุณชัดและไม่สั่นไหว อย่าอิจฉาใคร เพราะทุกคนที่รวยขึ้นรอบตัวคุณ คือ เครื่องสะท้อนว่า คุณกำลังอยู่ในสนามถูกต้องแล้ว บทส่งท้าย: #บูชาเงินสดอย่างมีศรัทธา จงดำเนินชีวิตใหม่ให้เหมือน #นักบวชแห่งเงินสด ผู้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา และยึดมั่น ในเส้นทางแห่งความมั่งคั่งทุกลมหายใจ #ตัดสิ่งไร้สาระทิ้งไป ปกป้องพลังจิตอย่างเข้มแข็ง ทำทุกอย่างให้ใจมีความสุข เพื่อให้กลายเป็นการสร้างเงินที่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว “ความสุขและความร่ำรวย” คือ สิ่งเดียวกัน คุณไม่มีวันรวยได้จริง หากไม่รักหนทางที่กำลังเดิน จงหมกมุ่น จงตั้งใจ จงลงมือ จงทำซ้ำ แล้วคุณจะไม่เพียงแค่ร่ำรวย แต่จะกลายเป็นต้นน้ำแห่งความมั่งคั่ง ให้กับผู้คนทั้งแผ่นดิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 503 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตนักแสดงสิงคโปร์ คุก 40 เดือนพรากผู้เยาว์

    เรื่องอื้อฉาวในวงการบันเทิงสิงคโปร์ เมื่อ เอียน ฟาง เหวยจี้ (Ian Fang Weijie) อดีตนักแสดงสัญชาติจีนวัย 35 ปี ถูกศาลสิงคโปร์สั่งจำคุก 40 เดือนในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังคำพิพากษาได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 30,000 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 764,000 บาท) แต่จะต้องมารับโทษจำคุกในวันที่ 16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้

    สำหรับเหยื่อเป็นเยาวชนเพศหญิงวัย 15 ปี ขณะที่เขาเป็นครูสอนการแสดง พบกันครั้งแรกในงานวงการบันเทิงเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 ก่อนที่จะคุยกันทุกวันจนสนิทสนม ต่อมาวันที่ 6 มิ.ย. 2567 แม่ของเยาวชนรายนี้พาเธอมากักตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เนื่องจากติดโควิด-19 กระทั่งเวลา 21.00 น. ฟางไปเยี่ยมเธอและมีเพศสัมพันธ์กันครั้งแรกโดยไม่ป้องกัน แม้ฝ่ายหญิงจะร้องขอ

    ไม่ถึงสัปดาห์ต่อมา ฟางยังพาเธอออกจากโรงแรมที่กักตัวไปที่บ้านของฟาง และมีเซ็กซ์อีกครั้ง แม้ต่อมาเธอจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 เพราะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่ฟางยังตามไปเยี่ยมและมีเซ็กซ์ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัวอีกด้วย กระทั่งเธอพบว่าอวัยวะเพศมีอาการเจ็บ จึงไปพบแพทย์ ก่อนจะทราบว่าติดเชื้อฮิวแมนพัพพิลโลมาไวรัส (HPV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    เมื่อแม่ของเยาวชนรายนี้ทราบเรื่องจึงแจ้งความกับตำรวจเมื่อเดือน ส.ค.2567 โดยพบว่าฟางและเธอมีเซ็กซ์มาแล้ว 5 ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่ป้องกัน ใช้ถุงยางอนามัยเพียง 2 ครั้งตามที่ฝ่ายหญิงร้องขอ จากนั้นฟางพยายามติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียหลายครั้ง โน้มน้าวให้แม่ถอนแจ้งความ บอกว่าถ้าติดคุกจะฆ่าตัวตาย ขณะที่เหยื่อต้องรักษาอาการทางจิต เพราะสูญเสียความมั่นใจและไม่มีความสุขอีกต่อไป

    นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของฟางยังร้องต่อศาลสั่งห้ามเปิดเผยตัวตนของฟาง แต่ภายหลังอัยการร้องต่อศาลขอให้เปิดเผยตัวตน ในที่สุดศาลจึงพิพากษาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งข้อหาคุกคามจากการส่งข้อความไปหาเหยื่อ และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม

    สำหรับเอียน ฟาง เหวยจี้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2532 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ก่อนย้ายมาที่สิงคโปร์ เป็นอดีตนักแสดงค่ายมีเดียคอร์ป (Mediacorp) สื่อของสิงคโปร์ เข้าสู่วงการเมื่อปี 2554 มีผลงานทั้งภาพยนตร์ ละคร พิธีกรรายการวาไรตี้ และผลงานเพลง ได้แก่ ละครเรื่อง Don't Stop Believin' และภาพยนตร์เรื่อง Goodbye Mr. Loser แต่ไม่ต่อสัญญาและออกจากวงการเมื่อปี 2566 โดยผันตัวไปทำงานเป็นครูสอนการแสดงให้กับเยาวชนอายุระหว่าง 4 ถึง 14 ปี ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง

    #Newskit
    อดีตนักแสดงสิงคโปร์ คุก 40 เดือนพรากผู้เยาว์ เรื่องอื้อฉาวในวงการบันเทิงสิงคโปร์ เมื่อ เอียน ฟาง เหวยจี้ (Ian Fang Weijie) อดีตนักแสดงสัญชาติจีนวัย 35 ปี ถูกศาลสิงคโปร์สั่งจำคุก 40 เดือนในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังคำพิพากษาได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 30,000 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 764,000 บาท) แต่จะต้องมารับโทษจำคุกในวันที่ 16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ สำหรับเหยื่อเป็นเยาวชนเพศหญิงวัย 15 ปี ขณะที่เขาเป็นครูสอนการแสดง พบกันครั้งแรกในงานวงการบันเทิงเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 ก่อนที่จะคุยกันทุกวันจนสนิทสนม ต่อมาวันที่ 6 มิ.ย. 2567 แม่ของเยาวชนรายนี้พาเธอมากักตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เนื่องจากติดโควิด-19 กระทั่งเวลา 21.00 น. ฟางไปเยี่ยมเธอและมีเพศสัมพันธ์กันครั้งแรกโดยไม่ป้องกัน แม้ฝ่ายหญิงจะร้องขอ ไม่ถึงสัปดาห์ต่อมา ฟางยังพาเธอออกจากโรงแรมที่กักตัวไปที่บ้านของฟาง และมีเซ็กซ์อีกครั้ง แม้ต่อมาเธอจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 เพราะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่ฟางยังตามไปเยี่ยมและมีเซ็กซ์ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัวอีกด้วย กระทั่งเธอพบว่าอวัยวะเพศมีอาการเจ็บ จึงไปพบแพทย์ ก่อนจะทราบว่าติดเชื้อฮิวแมนพัพพิลโลมาไวรัส (HPV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อแม่ของเยาวชนรายนี้ทราบเรื่องจึงแจ้งความกับตำรวจเมื่อเดือน ส.ค.2567 โดยพบว่าฟางและเธอมีเซ็กซ์มาแล้ว 5 ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่ป้องกัน ใช้ถุงยางอนามัยเพียง 2 ครั้งตามที่ฝ่ายหญิงร้องขอ จากนั้นฟางพยายามติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียหลายครั้ง โน้มน้าวให้แม่ถอนแจ้งความ บอกว่าถ้าติดคุกจะฆ่าตัวตาย ขณะที่เหยื่อต้องรักษาอาการทางจิต เพราะสูญเสียความมั่นใจและไม่มีความสุขอีกต่อไป นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของฟางยังร้องต่อศาลสั่งห้ามเปิดเผยตัวตนของฟาง แต่ภายหลังอัยการร้องต่อศาลขอให้เปิดเผยตัวตน ในที่สุดศาลจึงพิพากษาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งข้อหาคุกคามจากการส่งข้อความไปหาเหยื่อ และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม สำหรับเอียน ฟาง เหวยจี้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2532 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ก่อนย้ายมาที่สิงคโปร์ เป็นอดีตนักแสดงค่ายมีเดียคอร์ป (Mediacorp) สื่อของสิงคโปร์ เข้าสู่วงการเมื่อปี 2554 มีผลงานทั้งภาพยนตร์ ละคร พิธีกรรายการวาไรตี้ และผลงานเพลง ได้แก่ ละครเรื่อง Don't Stop Believin' และภาพยนตร์เรื่อง Goodbye Mr. Loser แต่ไม่ต่อสัญญาและออกจากวงการเมื่อปี 2566 โดยผันตัวไปทำงานเป็นครูสอนการแสดงให้กับเยาวชนอายุระหว่าง 4 ถึง 14 ปี ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปี2536
    พระผงกลม องค์พ่อ หลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปี2536 // พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสกโดยพระคณะจารย์ สุดยอดในยุคนั้น // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ เสริมความมั่นคงในชีวิต เป็นสิริมงคล ให้สำเร็จด้านหน้าที่การงาน ให้ชีวิตราบรื่น สุขสมหวัง พบเจอแต่ความเจริญก้าวหน้า ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ เสริมพลังบุญ มีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปลอดภัย และมีโชคลาภ >>

    ** พระผงกลม องค์พ่อ หลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปี2536 พิธีก็มีการอัญเชิญองค์พ่อมาปลุกเสกทำพิธีกรรรมต่างๆทั้งหมดตั้งแต่การตัดไม้ การบรรจุดวงเมือง การตั้งเสาหลักเมือง และนิมนต์พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมาร่วมทำพิธีให้ครบถ้วนสมบูรณ์ พิธีกรรมต่างๆก็คล้ายคลึงกับการสร้างศาลที่นครฯเกจิที่มาร่วมพิธี เช่น หลวงพ่อยิด หลวงพ่อเกตุ หลวงพ่อเปิ่น หลวงพ่อหยอด หลวงพ่อพูล หลวงพ่ออิษฐ์ และอีกมากมาย รวมทั้งสายองค์พ่อจตุคาม ผู้สร้างชุดเดียวกับที่สร้างหลักเมืองนครฯปี 30 >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปี2536 พระผงกลม องค์พ่อ หลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปี2536 // พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสกโดยพระคณะจารย์ สุดยอดในยุคนั้น // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ เสริมความมั่นคงในชีวิต เป็นสิริมงคล ให้สำเร็จด้านหน้าที่การงาน ให้ชีวิตราบรื่น สุขสมหวัง พบเจอแต่ความเจริญก้าวหน้า ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ เสริมพลังบุญ มีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปลอดภัย และมีโชคลาภ >> ** พระผงกลม องค์พ่อ หลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปี2536 พิธีก็มีการอัญเชิญองค์พ่อมาปลุกเสกทำพิธีกรรรมต่างๆทั้งหมดตั้งแต่การตัดไม้ การบรรจุดวงเมือง การตั้งเสาหลักเมือง และนิมนต์พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมาร่วมทำพิธีให้ครบถ้วนสมบูรณ์ พิธีกรรมต่างๆก็คล้ายคลึงกับการสร้างศาลที่นครฯเกจิที่มาร่วมพิธี เช่น หลวงพ่อยิด หลวงพ่อเกตุ หลวงพ่อเปิ่น หลวงพ่อหยอด หลวงพ่อพูล หลวงพ่ออิษฐ์ และอีกมากมาย รวมทั้งสายองค์พ่อจตุคาม ผู้สร้างชุดเดียวกับที่สร้างหลักเมืองนครฯปี 30 >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากทุกคนบนโลกเกิดมาพร้อมกับต้นไม้ที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ต้องดูแลตลอดชีวิต สิ่งที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและแง่ที่ต้องแก้ไข:

    ### **ผลกระทบเชิงบวก:**
    1. **สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว**
    - ประชากรโลก 8 พันล้านคน = ต้นไม้เพิ่มขึ้น 8 พันล้านต้น (หรือมากกว่านั้นหากคนปลูกเพิ่ม)
    - ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อน ปรับสมดุลระบบนิเวศ

    2. **การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ**
    - คนจะตระหนักถึงการพึ่งพาต้นไม้มากขึ้น เช่น รู้จักวงจรชีวิตพืช ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลาย
    - อาจเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพธรรมชาติ เช่น การจัดพิธีกรรมเมื่อต้นไม้ของตนตาย

    3. **เศรษฐกิจใหม่ที่เกิดจาก "ตลาดต้นไม้ส่วนตัว"**
    - ต้นไม้กลายเป็นสินทรัพย์ซื้อขาย/มรดกได้ (เช่น ต้นโอ๊กอายุ 100 ปีอาจมีมูลค่าสูง)
    - เกิดอาชีพใหม่ เช่น "ที่ปรึกษาดูแลต้นไม้ส่วนตัว" "นักออกแบบสวนส่วนบุคคล"

    4. **นวัตกรรมเพื่อการดูแลต้นไม้**
    - เทคโนโลยีติดตามสุขภาพต้นไม้ (เซ็นเซอร์วัดดิน แอป提醒การรดน้ำ)
    - การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ

    ### **ความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิด:**
    1. **ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร**
    - คนในเมืองอาจไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ → เกิดตลาดเช่าพื้นที่ปลูก
    - ต้นไม้หายากบางชนิดอาจกลายเป็นสัญลักษณ์สถานะทางสังคม

    2. **ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย**
    - หากต้นไม้ของใครโตเกินไปและสร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน (เช่น รากชอนไช)
    - กรณีต้นไม้ตายก่อนเจ้าของ: จะมีบทลงโทษหรือไม่?

    3. **ผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม**
    - หากทุกคนปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน (เช่น ไม้เศรษฐกิจ) อาจลดความหลากหลายทางชีวภาพ
    - สปีชีส์พันธุ์รุกรานอาจแพร่กระจายหากไม่ควบคุม

    4. **ความเครียดจากการดูแล**
    - บางคนอาจรู้สึกว่าต้นไม้เป็น "ภาระ" ตลอดชีวิต
    - อาจเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับต้นไม้ (เช่น ขโมยต้นไม้เก่าแก่ ลอบทำลายต้นไม้ของศัตรู)

    ### **แนวโน้มทางสังคมที่อาจตามมา:**
    - **การเมืองสีเขียวเข้มข้นขึ้น:** พรรคการเมืองอาจเสนอนโยบายเช่น "เงินอุดหนุนดูแลต้นไม้"
    - **ศิลปะ/วัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นเจ้าของต้นไม้:** เช่น นวนิยายเกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของคนและต้นไม้
    - **ความเชื่อใหม่:** อาจมีศาสนาที่นับถือต้นไม้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ

    ### **ข้อสรุป:**
    โลกจะเปลี่ยนไปในทางที่ "เขียว" ขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนใหม่ๆ เกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ มนุษย์อาจพัฒนาความเป็นเจ้าของที่ลึกซึ้งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง
    หากทุกคนบนโลกเกิดมาพร้อมกับต้นไม้ที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ต้องดูแลตลอดชีวิต สิ่งที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและแง่ที่ต้องแก้ไข: ### **ผลกระทบเชิงบวก:** 1. **สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว** - ประชากรโลก 8 พันล้านคน = ต้นไม้เพิ่มขึ้น 8 พันล้านต้น (หรือมากกว่านั้นหากคนปลูกเพิ่ม) - ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อน ปรับสมดุลระบบนิเวศ 2. **การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ** - คนจะตระหนักถึงการพึ่งพาต้นไม้มากขึ้น เช่น รู้จักวงจรชีวิตพืช ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลาย - อาจเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพธรรมชาติ เช่น การจัดพิธีกรรมเมื่อต้นไม้ของตนตาย 3. **เศรษฐกิจใหม่ที่เกิดจาก "ตลาดต้นไม้ส่วนตัว"** - ต้นไม้กลายเป็นสินทรัพย์ซื้อขาย/มรดกได้ (เช่น ต้นโอ๊กอายุ 100 ปีอาจมีมูลค่าสูง) - เกิดอาชีพใหม่ เช่น "ที่ปรึกษาดูแลต้นไม้ส่วนตัว" "นักออกแบบสวนส่วนบุคคล" 4. **นวัตกรรมเพื่อการดูแลต้นไม้** - เทคโนโลยีติดตามสุขภาพต้นไม้ (เซ็นเซอร์วัดดิน แอป提醒การรดน้ำ) - การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ ### **ความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิด:** 1. **ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร** - คนในเมืองอาจไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ → เกิดตลาดเช่าพื้นที่ปลูก - ต้นไม้หายากบางชนิดอาจกลายเป็นสัญลักษณ์สถานะทางสังคม 2. **ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย** - หากต้นไม้ของใครโตเกินไปและสร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน (เช่น รากชอนไช) - กรณีต้นไม้ตายก่อนเจ้าของ: จะมีบทลงโทษหรือไม่? 3. **ผลกระทบต่อระบบนิเวศเดิม** - หากทุกคนปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน (เช่น ไม้เศรษฐกิจ) อาจลดความหลากหลายทางชีวภาพ - สปีชีส์พันธุ์รุกรานอาจแพร่กระจายหากไม่ควบคุม 4. **ความเครียดจากการดูแล** - บางคนอาจรู้สึกว่าต้นไม้เป็น "ภาระ" ตลอดชีวิต - อาจเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับต้นไม้ (เช่น ขโมยต้นไม้เก่าแก่ ลอบทำลายต้นไม้ของศัตรู) ### **แนวโน้มทางสังคมที่อาจตามมา:** - **การเมืองสีเขียวเข้มข้นขึ้น:** พรรคการเมืองอาจเสนอนโยบายเช่น "เงินอุดหนุนดูแลต้นไม้" - **ศิลปะ/วัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นเจ้าของต้นไม้:** เช่น นวนิยายเกี่ยวกับชีวิตคู่ขนานของคนและต้นไม้ - **ความเชื่อใหม่:** อาจมีศาสนาที่นับถือต้นไม้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ ### **ข้อสรุป:** โลกจะเปลี่ยนไปในทางที่ "เขียว" ขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนใหม่ๆ เกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ มนุษย์อาจพัฒนาความเป็นเจ้าของที่ลึกซึ้งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มากกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • " ทุกคนย่อมมีทางเลือกของตนเอง ที่จะสามารถตัดผลกรรมหรือแก้ผลกรรมอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้ มิใช่ด้วยการประกอบพิธีกรรม หรือด้วยการอ้อนวอนร้องขอให้ผู้ใดผู้หนึ่งมาดลบันดาล

    หากแต่ด้วยการมีสติรู้ตัว งดเว้นจากการกระทำ การพูด และการคิดชั่ว นับเสียแต่บัดนี้ แล้วมีสัมปชัญญะ รู้คิดในอันที่จะทำสิ่งที่ดีงามให้ทวียิ่งขึ้นอยู่ทุกขณะจิต ในที่สุดก็ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย นำพาให้ได้รับผลอันพึงปรารถนาในเบื้องหน้า "
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    " ทุกคนย่อมมีทางเลือกของตนเอง ที่จะสามารถตัดผลกรรมหรือแก้ผลกรรมอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้ มิใช่ด้วยการประกอบพิธีกรรม หรือด้วยการอ้อนวอนร้องขอให้ผู้ใดผู้หนึ่งมาดลบันดาล หากแต่ด้วยการมีสติรู้ตัว งดเว้นจากการกระทำ การพูด และการคิดชั่ว นับเสียแต่บัดนี้ แล้วมีสัมปชัญญะ รู้คิดในอันที่จะทำสิ่งที่ดีงามให้ทวียิ่งขึ้นอยู่ทุกขณะจิต ในที่สุดก็ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย นำพาให้ได้รับผลอันพึงปรารถนาในเบื้องหน้า " สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • Evolution
    พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
    9 พ.ค. 2567
    =====================
    .
    ประเด็นหนึ่งที่ผมมักพูดให้นักเรียนผมฟัง หลายชั้นเรียน หลายคาบวิชา หลายกิจกรรม ต่างกรรมต่างวาระ ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา คือประเด็นที่ว่าด้วยกระบวนการส่งผ่านความรู้
    .
    โลกที่เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะกระบวนการส่งต่อความรู้นี่แหละ ผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือให้ใช้ขีดเขียนบันทึก
    .
    บรรพบุรุษของมนุษย์เซเปี้ยนส์รุ่นแรกๆ ที่อพยพจากแอฟริกาเมื่อราวแสนกว่าปีก่อน นักวิชาการเชื่อกันว่าพวกเขามีภาษาพูดของตนเองแล้ว ก่อนจะอพยพไปยังดินแดนส่วนอื่นๆ ในโลก ที่จุดนั้น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบก็เริ่มต้นขึ้น ลองถอยไปคิดถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนหน้านั้นที่ทำให้มนุษย์โบราณรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ นั่นคือเมื่อพวกเขาค้นพบการจุดไฟเป็นครั้งแรก จะด้วยวิธีการปั่นให้เสียดสีกันของไม้ หรือการใช้หินกระเทาะกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องสอนกันเพื่อให้ทำได้ถูกต้อง ปฐมบทของเทคโนโลยีได้บังเกิดขึ้น เพื่อให้อยู่รอด ลูกหลานพวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการพวกนี้
    .
    เครื่องมือมากมายเริ่มถูกคิดค้นเรื่อยมา นับแต่ขวานหิน หลาวไม้ ฯลฯ เมื่อถึงยุคที่เซเปี้ยนส์พ่อคนฉลาดปรากฏขึ้นบนโลก พวกเขามีเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาว รู้จักว่าอะไรเป็นยา อะไรเป็นพิษ สังเกตุธรรมชาติและฤดูกาล สังเกตุพฤติกรรมสัตว์และวงจรของมัน จนแม้กระทั่งก้าวหน้าจนสามารถหลอมโลหะ..
    .
    แน่นอนว่าในบรรดาความรู้ทั้งหลายที่ค้นพบ ภาษาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์ทำงานเป็นทีมได้ หากไม่มีภาษามนุษย์จะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีการประสานงานสั่งการในการเข้าโจมตีเป็นทีม ผลพวงก็อย่างที่เราได้รู้ พวกมันถูกล่าจนสูญพันธ์ไปหมด เห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมของมนุษย์โบราณพวกนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เมื่อมีภาษา การเรียนการสอนในโลกครั้งแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อมีความรู้ จากนี้พวกเขาจะพร้อมไปพิชิตโลก
    .
    ทั้งสิ้นทั้งปวง นับแต่เทคโนโลยีแรกเกิดขึ้น การจุดไฟ การทำเครื่องมือ แทกติคในการล่า ข้อมูลเกี่ยวกับพืช สัตว์ อาหาร ฤดูกาล อันตรายต่างๆ ฯลฯ จะถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ ทักษะต่างๆ ในชีวิต การแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดในสถานะการณ์ต่างๆ จะถูกถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจากคนรุ่นก่อนที่มีประสบการณ์โชกโชนมาแล้ว เช่น จากพ่อ จากปู่ ไปสู่ลูก สู่หลาน ไม่ใช่แค่การบอกเล่าสั่งสอน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำ เฝ้าประกบตั้งแต่การล่าสัตว์ตัวแรก ไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งมีความพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยลำพังและสอนต่อแก่ผู้อื่น พัฒนาจนมีทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ อันจะนำพาให้ชีวิตรอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากปฐมบทนี้ มนุษย์สั่งสมความรู้แล้วส่งต่อมาเรื่อย แตกแขนงเป็นสรรพวิชาความรู้ต่างๆ มากมายเหลือคณานับ
    .
    ถ้าเราลองมาพิจารณาดูสักมุมมองหนึ่ง เช่นด้านศิลปะ ที่จุดแรกของการสร้างสรรค์ นึกภาพว่าเมื่อครูคนแรกได้ค้นพบว่า ดินบางชนิดมีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสีในการวาดภาพได้ ครูคนหนึ่งค้นพบเทคนิคแรกของ stencil ด้วยการเอาดินพวกนั้นผสมน้ำอมเข้าไว้ในปากแล้วพ่นใส่ผ่านมือทำให้เกิดเป็นภาพรอยมือปรากฏบนผนังถ้ำ บางคนใช้นิ้วมือจิ้มดินสีเขียนเป็นภาพคนและสัตว์ แน่นอนว่ามีการสอนต่อกัน เราได้เห็นภาพเขียนโบราณที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในหลายแห่งทั่วโลก จุดเริ่มต้นนี้ หากไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการประดิษฐ์พู่กัน หมึก และสีมากมายหลายชนิดขึ้นในโลก ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องมือ วิธีการอันน่าทึ่งต่างๆ และแนวคิดในการสร้างสรรค์อันน่าอัศจรรย์ของศิลปะในโลก
    .
    กระบวนการเรียนรู้และส่งต่อนั้น มันมีลำดับขั้นที่เป็นผลต่อเนื่อง เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นได้ เมื่อครูศิลปะคนแรกของโลกเรียนรู้ สมมุติเล่นๆ ให้เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างการค้นพบดินสอว่าเป็นเครื่องมือศิลปะอันแรกอย่างหนึ่ง ครูคนแรกผู้นี้อาจใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาในการค้นหาวัสดุหลายอย่างที่จะนำมาขีดเขียนให้เป็นเส้นสายสีดำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องทดลองถ่านหลายชนิด รวมทั้งจะต้องแก้ปัญหาว่าถ่านชนิดที่เอามาใช้ จะทำอย่างไรไม่ให้เลอะมือ ไม่เปราะและหักง่ายเกินไป ลองคิดจินตนาการว่า เมื่อแรกเริ่มมีดินสอนั้น ผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาน่าจะต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้ดินสอหนึ่งแท่ง คนยุคหลังที่เกิดขึ้นมาก็มีดินสอรออยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าคนที่คิดค้นมันต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา
    .
    นี่แค่พูดถึงเครื่องมือ แต่เมื่อพูดถึงว่าครูศิลปะคนแรกที่นำดินสอมาเขียนรูป เขายังจะต้องฝึกฝนทักษะในการที่จะควบคุมดินสอนั้นให้เกิดเส้นสายลวดลายต่างๆ ต้องเข้าใจผลที่เกิดจากดินสอที่ถูกเหลาจนคม ผลจากการที่ดินสอทู่ลง ผลจากการตะแคงดินสอใช้ด้านข้างถูให้เกิดแถบที่อ่อนนุ่มกว่า.. กระบวนการทั้งหลายในการพัฒนาทักษะของการใช้ดินสอเช่นนี้ เมื่อผ่านห้วงเวลาทั้งชีวิตของครูศิลปะผู้นี้ อาจหลอมรวมเวลาหลายปี เมื่อครูผู้นี้เริ่มสอน เขาอาจใช้ชีวิตในการวาดรูปด้วยดินสอมาเป็นเวลายี่สิบปี เนื่องจากเขาคือครูคนแรกอย่างที่เราสมมุติ ทั้งโลกและตัวเขาไม่มีต้นทุนมาก่อน ยี่สิบปีของเขาคือเวลาที่เริ่มต้นสั่งสมของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาเริ่มสอนให้แก่ศิษย์คนแรก ประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาของเขาตลอดยี่สิบปี สามารถถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิคุณวุฒิเท่าใด มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้แก่ศิษย์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ห้าปี
    .
    กระบวนการส่งต่อจึงสำคัญเช่นนี้ อย่างที่สมมุติตัวอย่าง ศิษย์ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ทักษะความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อน เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูคั้นเอาแก่นที่บ่มเพาะมาแล้วมาสอนให้ จากนั้น.. ถ้าไม่ใช่ศิษย์ที่ล้มเหลว เขาก็คงจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตของเขาต่อไปในการหาความรู้เพิ่มเติมต่อยอดจากความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อนที่ส่งผ่านมาให้เขา เมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มเป็นครูให้กับคนรุ่นต่อจากเขาบ้าง เขาอาจมีประสบการณ์ความรู้และทักษะของเขาเพิ่มเติมมาอีกยี่สิบปี รวมกับความรู้ที่รับมาจากครูคนแรกยี่สิบปี เท่ากับสี่สิบปี ดังนั้นศิษย์ที่มาเรียนกับเขา จะใช้เวลาแค่สี่ปีในการเรียนความรู้ที่สั่งสมมาสี่สิบปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่นก็จะทบทวีเช่นนี้เป็นอัตราทวีคูณ เร็วขึ้นจนแต่ละครั้งเป็นก้าวกระโดด จนกระทั่งมนุษย์ไปอวกาศ..
    .
    ลองคิดดูว่า หากปราศจากการส่งต่อความรู้เช่นนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ต้องไปค้นหาเรียนรู้นับจากศูนย์ด้วยตัวเอง มนุษย์คงไม่พัฒนามาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนฐานความรู้ที่สั่งสมและส่งผ่านมานับพันปี ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเกิดขึ้นมาแล้วรู้ทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องเรียน หรือความรู้จะผุดโผล่ออกมาเองได้จากอากาศธาตุ
    .
    ด้วยกระบวนการส่งต่อความรู้เช่นนี้นี่เอง จากวันที่มนุษย์มีภาษาและประสานงานกันล่าแมมมอธ มาถึงวันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ ด้วยสรรพความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ นับพันปี โลกจึงก่อเกิดเป็นศาสตร์วิทยาการมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผมจึงพูดบ่อยๆ กับนักเรียนของผมว่า การสอน การถ่ายทอดความรู้ ที่จริงไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำด้วยความใส่ใจยิ่ง แม้ท่านมิได้มีอาชีพเป็นครูโดยตรง ท่านก็ควรจะมีคุณสมบัติอันมีประโยชน์บางอย่างที่สั่งสมมาพอจะสอนได้ อย่างน้อยก็คือการอบรมบุตรหลานให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพแก่โลก ภาระนี้จะทำให้มนุษย์ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา และระดับของจิตใจ
    .
    จริงอยู่ที่ความแก่ ความเก่า เป็นสภาวะทางสังขารอันไม่เที่ยงแท้
    แต่คนฉลาดอย่างเช่นไอน์สไตน์ แม้เมื่อชราลงจนอาจไม่มีแรงก้าวเดิน
    เขาก็จะเสียชีวิตลงในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเขายังคงอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย
    คนแก่ ไม่ได้แปลว่า คนโง่ เช่นเดียวกับ คนหนุ่ม ไม่ได้แปลว่า ฉลาด
    โบราณว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ฉันใดฉันนั้น
    .
    บรรดาวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกท่านได้เสพได้ใช้ได้ปรนเปรอในวันนี้
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมาจากการถากถางค้นพบของคนรุ่นก่อนท่านทั้งนั้น
    ลองนึกดูว่า หากท่านไปเกิดอยู่บนเกาะร้างสักแห่งที่ไม่มีใครให้ความรู้
    ท่านจะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินหรือผู้มีชื่อเสียงได้หรือไม่
    ตัวท่านเองนอกจากต้องสำนึกแล้ว ก็จะต้องถามตัวเองด้วยว่า
    ท่านจะพึงกระทำหน้าที่ของมนุษย์ในการจะส่งความรู้ให้รุ่นต่อไปหรือไม่
    และได้ทำคุณประโยชน์ใดให้แก่มนุษย์รุ่นต่อจากท่านบ้าง
    ท่านได้ต่อยอดความรู้นับพันปีที่ได้งอกเงยอยู่ในตัวท่านอย่างไร
    เพื่อที่ว่าวันนึงเมื่อท่านกลายเป็น คนแก่อีกคนหนึ่ง
    คนรุ่นใหม่จะได้รำลึกถึงท่านในคุณูปการที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลกนี้
    .
    .
    Evolution พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 9 พ.ค. 2567 ===================== . ประเด็นหนึ่งที่ผมมักพูดให้นักเรียนผมฟัง หลายชั้นเรียน หลายคาบวิชา หลายกิจกรรม ต่างกรรมต่างวาระ ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา คือประเด็นที่ว่าด้วยกระบวนการส่งผ่านความรู้ . โลกที่เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะกระบวนการส่งต่อความรู้นี่แหละ ผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือให้ใช้ขีดเขียนบันทึก . บรรพบุรุษของมนุษย์เซเปี้ยนส์รุ่นแรกๆ ที่อพยพจากแอฟริกาเมื่อราวแสนกว่าปีก่อน นักวิชาการเชื่อกันว่าพวกเขามีภาษาพูดของตนเองแล้ว ก่อนจะอพยพไปยังดินแดนส่วนอื่นๆ ในโลก ที่จุดนั้น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบก็เริ่มต้นขึ้น ลองถอยไปคิดถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนหน้านั้นที่ทำให้มนุษย์โบราณรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ นั่นคือเมื่อพวกเขาค้นพบการจุดไฟเป็นครั้งแรก จะด้วยวิธีการปั่นให้เสียดสีกันของไม้ หรือการใช้หินกระเทาะกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องสอนกันเพื่อให้ทำได้ถูกต้อง ปฐมบทของเทคโนโลยีได้บังเกิดขึ้น เพื่อให้อยู่รอด ลูกหลานพวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการพวกนี้ . เครื่องมือมากมายเริ่มถูกคิดค้นเรื่อยมา นับแต่ขวานหิน หลาวไม้ ฯลฯ เมื่อถึงยุคที่เซเปี้ยนส์พ่อคนฉลาดปรากฏขึ้นบนโลก พวกเขามีเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาว รู้จักว่าอะไรเป็นยา อะไรเป็นพิษ สังเกตุธรรมชาติและฤดูกาล สังเกตุพฤติกรรมสัตว์และวงจรของมัน จนแม้กระทั่งก้าวหน้าจนสามารถหลอมโลหะ.. . แน่นอนว่าในบรรดาความรู้ทั้งหลายที่ค้นพบ ภาษาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์ทำงานเป็นทีมได้ หากไม่มีภาษามนุษย์จะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีการประสานงานสั่งการในการเข้าโจมตีเป็นทีม ผลพวงก็อย่างที่เราได้รู้ พวกมันถูกล่าจนสูญพันธ์ไปหมด เห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมของมนุษย์โบราณพวกนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เมื่อมีภาษา การเรียนการสอนในโลกครั้งแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อมีความรู้ จากนี้พวกเขาจะพร้อมไปพิชิตโลก . ทั้งสิ้นทั้งปวง นับแต่เทคโนโลยีแรกเกิดขึ้น การจุดไฟ การทำเครื่องมือ แทกติคในการล่า ข้อมูลเกี่ยวกับพืช สัตว์ อาหาร ฤดูกาล อันตรายต่างๆ ฯลฯ จะถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ ทักษะต่างๆ ในชีวิต การแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดในสถานะการณ์ต่างๆ จะถูกถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจากคนรุ่นก่อนที่มีประสบการณ์โชกโชนมาแล้ว เช่น จากพ่อ จากปู่ ไปสู่ลูก สู่หลาน ไม่ใช่แค่การบอกเล่าสั่งสอน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำ เฝ้าประกบตั้งแต่การล่าสัตว์ตัวแรก ไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งมีความพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยลำพังและสอนต่อแก่ผู้อื่น พัฒนาจนมีทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ อันจะนำพาให้ชีวิตรอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากปฐมบทนี้ มนุษย์สั่งสมความรู้แล้วส่งต่อมาเรื่อย แตกแขนงเป็นสรรพวิชาความรู้ต่างๆ มากมายเหลือคณานับ . ถ้าเราลองมาพิจารณาดูสักมุมมองหนึ่ง เช่นด้านศิลปะ ที่จุดแรกของการสร้างสรรค์ นึกภาพว่าเมื่อครูคนแรกได้ค้นพบว่า ดินบางชนิดมีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสีในการวาดภาพได้ ครูคนหนึ่งค้นพบเทคนิคแรกของ stencil ด้วยการเอาดินพวกนั้นผสมน้ำอมเข้าไว้ในปากแล้วพ่นใส่ผ่านมือทำให้เกิดเป็นภาพรอยมือปรากฏบนผนังถ้ำ บางคนใช้นิ้วมือจิ้มดินสีเขียนเป็นภาพคนและสัตว์ แน่นอนว่ามีการสอนต่อกัน เราได้เห็นภาพเขียนโบราณที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในหลายแห่งทั่วโลก จุดเริ่มต้นนี้ หากไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการประดิษฐ์พู่กัน หมึก และสีมากมายหลายชนิดขึ้นในโลก ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องมือ วิธีการอันน่าทึ่งต่างๆ และแนวคิดในการสร้างสรรค์อันน่าอัศจรรย์ของศิลปะในโลก . กระบวนการเรียนรู้และส่งต่อนั้น มันมีลำดับขั้นที่เป็นผลต่อเนื่อง เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นได้ เมื่อครูศิลปะคนแรกของโลกเรียนรู้ สมมุติเล่นๆ ให้เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างการค้นพบดินสอว่าเป็นเครื่องมือศิลปะอันแรกอย่างหนึ่ง ครูคนแรกผู้นี้อาจใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาในการค้นหาวัสดุหลายอย่างที่จะนำมาขีดเขียนให้เป็นเส้นสายสีดำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องทดลองถ่านหลายชนิด รวมทั้งจะต้องแก้ปัญหาว่าถ่านชนิดที่เอามาใช้ จะทำอย่างไรไม่ให้เลอะมือ ไม่เปราะและหักง่ายเกินไป ลองคิดจินตนาการว่า เมื่อแรกเริ่มมีดินสอนั้น ผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาน่าจะต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้ดินสอหนึ่งแท่ง คนยุคหลังที่เกิดขึ้นมาก็มีดินสอรออยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าคนที่คิดค้นมันต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา . นี่แค่พูดถึงเครื่องมือ แต่เมื่อพูดถึงว่าครูศิลปะคนแรกที่นำดินสอมาเขียนรูป เขายังจะต้องฝึกฝนทักษะในการที่จะควบคุมดินสอนั้นให้เกิดเส้นสายลวดลายต่างๆ ต้องเข้าใจผลที่เกิดจากดินสอที่ถูกเหลาจนคม ผลจากการที่ดินสอทู่ลง ผลจากการตะแคงดินสอใช้ด้านข้างถูให้เกิดแถบที่อ่อนนุ่มกว่า.. กระบวนการทั้งหลายในการพัฒนาทักษะของการใช้ดินสอเช่นนี้ เมื่อผ่านห้วงเวลาทั้งชีวิตของครูศิลปะผู้นี้ อาจหลอมรวมเวลาหลายปี เมื่อครูผู้นี้เริ่มสอน เขาอาจใช้ชีวิตในการวาดรูปด้วยดินสอมาเป็นเวลายี่สิบปี เนื่องจากเขาคือครูคนแรกอย่างที่เราสมมุติ ทั้งโลกและตัวเขาไม่มีต้นทุนมาก่อน ยี่สิบปีของเขาคือเวลาที่เริ่มต้นสั่งสมของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาเริ่มสอนให้แก่ศิษย์คนแรก ประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาของเขาตลอดยี่สิบปี สามารถถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิคุณวุฒิเท่าใด มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้แก่ศิษย์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ห้าปี . กระบวนการส่งต่อจึงสำคัญเช่นนี้ อย่างที่สมมุติตัวอย่าง ศิษย์ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ทักษะความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อน เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูคั้นเอาแก่นที่บ่มเพาะมาแล้วมาสอนให้ จากนั้น.. ถ้าไม่ใช่ศิษย์ที่ล้มเหลว เขาก็คงจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตของเขาต่อไปในการหาความรู้เพิ่มเติมต่อยอดจากความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อนที่ส่งผ่านมาให้เขา เมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มเป็นครูให้กับคนรุ่นต่อจากเขาบ้าง เขาอาจมีประสบการณ์ความรู้และทักษะของเขาเพิ่มเติมมาอีกยี่สิบปี รวมกับความรู้ที่รับมาจากครูคนแรกยี่สิบปี เท่ากับสี่สิบปี ดังนั้นศิษย์ที่มาเรียนกับเขา จะใช้เวลาแค่สี่ปีในการเรียนความรู้ที่สั่งสมมาสี่สิบปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่นก็จะทบทวีเช่นนี้เป็นอัตราทวีคูณ เร็วขึ้นจนแต่ละครั้งเป็นก้าวกระโดด จนกระทั่งมนุษย์ไปอวกาศ.. . ลองคิดดูว่า หากปราศจากการส่งต่อความรู้เช่นนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ต้องไปค้นหาเรียนรู้นับจากศูนย์ด้วยตัวเอง มนุษย์คงไม่พัฒนามาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนฐานความรู้ที่สั่งสมและส่งผ่านมานับพันปี ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเกิดขึ้นมาแล้วรู้ทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องเรียน หรือความรู้จะผุดโผล่ออกมาเองได้จากอากาศธาตุ . ด้วยกระบวนการส่งต่อความรู้เช่นนี้นี่เอง จากวันที่มนุษย์มีภาษาและประสานงานกันล่าแมมมอธ มาถึงวันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ ด้วยสรรพความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ นับพันปี โลกจึงก่อเกิดเป็นศาสตร์วิทยาการมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผมจึงพูดบ่อยๆ กับนักเรียนของผมว่า การสอน การถ่ายทอดความรู้ ที่จริงไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำด้วยความใส่ใจยิ่ง แม้ท่านมิได้มีอาชีพเป็นครูโดยตรง ท่านก็ควรจะมีคุณสมบัติอันมีประโยชน์บางอย่างที่สั่งสมมาพอจะสอนได้ อย่างน้อยก็คือการอบรมบุตรหลานให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพแก่โลก ภาระนี้จะทำให้มนุษย์ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา และระดับของจิตใจ . จริงอยู่ที่ความแก่ ความเก่า เป็นสภาวะทางสังขารอันไม่เที่ยงแท้ แต่คนฉลาดอย่างเช่นไอน์สไตน์ แม้เมื่อชราลงจนอาจไม่มีแรงก้าวเดิน เขาก็จะเสียชีวิตลงในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเขายังคงอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย คนแก่ ไม่ได้แปลว่า คนโง่ เช่นเดียวกับ คนหนุ่ม ไม่ได้แปลว่า ฉลาด โบราณว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ฉันใดฉันนั้น . บรรดาวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกท่านได้เสพได้ใช้ได้ปรนเปรอในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมาจากการถากถางค้นพบของคนรุ่นก่อนท่านทั้งนั้น ลองนึกดูว่า หากท่านไปเกิดอยู่บนเกาะร้างสักแห่งที่ไม่มีใครให้ความรู้ ท่านจะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินหรือผู้มีชื่อเสียงได้หรือไม่ ตัวท่านเองนอกจากต้องสำนึกแล้ว ก็จะต้องถามตัวเองด้วยว่า ท่านจะพึงกระทำหน้าที่ของมนุษย์ในการจะส่งความรู้ให้รุ่นต่อไปหรือไม่ และได้ทำคุณประโยชน์ใดให้แก่มนุษย์รุ่นต่อจากท่านบ้าง ท่านได้ต่อยอดความรู้นับพันปีที่ได้งอกเงยอยู่ในตัวท่านอย่างไร เพื่อที่ว่าวันนึงเมื่อท่านกลายเป็น คนแก่อีกคนหนึ่ง คนรุ่นใหม่จะได้รำลึกถึงท่านในคุณูปการที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลกนี้ . .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 638 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวใน <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่ามีหลายฉากที่ดำเนินเรื่องผ่านการนั่งเรียนหนังสือของสามสาวตระกูลเสิ้ง ซึ่งพวกนางเข้าเรียนพร้อมพี่ชายในโรงเรียนส่วนบุคคลของครอบครัวสกุลเสิ้ง หรือที่เรียกว่า ‘เจียสู’ (家塾/Family School)

    เจียสูคืออะไร?

    เจียสูมีมาตั้งแต่สมัยชุนชิว (กว่าเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล) จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังมีอยู่ เป็นการจัดห้องเรียนขึ้นที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอน โดยปกติแล้วอาจารย์จะพำนักอยู่ในเรือนตระกูลนั้นเลย มีค่าจ้าง ที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเฉพาะตระกูลที่มีฐานะ (ปกติเป็นตระกูลขุนนาง) จึงจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะทำอย่างนี้ได้

    ในละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นี้ มีฉีเหิงและกู้ถิงเยี่ยซึ่งเป็นบุรุษนอกสกุลมาร่วมเรียนด้วย ในนิยายบอกว่าฉีเหิงมาร่วมเรียนเพราะเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อยู่แล้ว ในขณะที่กู้ถิงเยี่ยเป็นญาติของตระกูลเสิ้งจึงมาร่วมเรียนได้ และที่ยอมมาเรียนที่เจียสูของตระกูลเสิ้งที่เป็นขุนนางยศต่ำกว่าครอบครัวของพวกเขาก็เพราะอาจารย์ท่านนี้ดังมาก ปกติไม่รับสอนตามเจียสู แต่ที่มาสอนให้ตระกูลเสิ้งก็เพื่อทดแทนบุญคุณ

    แต่ Storyฯ เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่าทำไมพวกเขาทำได้ในเมื่อสตรีตระกูลสูงศักดิ์สมัยโบราณต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนห้ามพบปะผู้ชายนอกสกุล?

    ในบทประพันธ์ <ความฝันในหอแดง> ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนคลาสสิคมีการอธิบายโดยตัวละครเอกไว้ว่า คนในเครือวงศ์ตระกูลที่ไม่มีกำลังทรัพย์จ้างอาจารย์ส่วนตัวก็มาเรียนที่เจียสูได้ หรือหากใครมีญาติที่เป็นนักเรียนอยู่แล้วก็มาเรียนด้วยกันที่เจียสูนี้ได้ ซึ่งการเรียนในเจียสูเป็นการเรียนรวมคละวัยคละเพศชายหญิง

    เนื่องจากลูกหลานฝ่ายชายมีเป้าหมายคือลงสนามสอบราชบัณฑิตด้วย ดังนั้นหลักสูตรที่สอนจะเข้มข้นมาก แล้วเขาเรียนอะไร? หลักสูตรทั่วไปคือ ‘ซื่อซู อู่จิง’ (四书五经 / Four Books and Five Classics / สี่หนังสือห้าคัมภีร์) ซึ่ง ‘สี่หนังสือ’ นี้คือหนังสือว่าด้วยปรัชญาต่างๆ ของขงจื้อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ นั้นหมายถึง
    - ซือจิง (บทกวีและบทร้อยกรอง)
    - ซูจิง (บทความและประวัติศาสตร์)
    - อี้จิง (โหราศาสตร์)
    - ชุนชิว (บันทึกเหตุการณ์สำคัญและพงศาวดาร)
    - หลี่จี้ (พิธีกรรมและประเพณี)

    เจียสูเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนเอกชน นอกจากเจียสูนี้ เอกชนยังมีการลงขันเปิดเป็นโรงเรียนกันในหมู่บ้าน (เรียกว่า ชุนสู/村塾) หรืออาจมีเจ้าภาพที่ได้รับเงินบริจาคจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น (เรียกว่า อี้สู/义塾) หรืออาจเป็นตัวอาจารย์เองเปิดสอนหนังสือโดยเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน

    สตรีจีนโบราณไม่มีโอกาสได้เรียนในสำนักศึกษาหลวง และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องจรรยาของสตรี โคลงกลอนและการดนตรี หากไม่ได้เรียนตามโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเรียนกันที่บ้านตามมีตามเกิดหรือไม่ได้เรียน นอกจากนี้ ยังมีที่ศึกษาเองในระหว่างที่ออกบวชเป็นชี หรืออีกสุดขั้วหนึ่งคือการเรียนในหอนางโลมสำหรับนางโลมที่ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวเพื่อทำมาหากิน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://kknews.cc/zh-my/entertainment/4k6q6zg.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.fxjyb.com/xiandai/276.html
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/77983438
    https://m.lunwendata.com/show.php?id=34312
    https://kknews.cc/history/pvkjmzj.html
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=e3ce1325253f66e731416fc1
    http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF206(49)/EF206(49)-5.pdf
    #หมิงหลัน #การเรียนเอกชนจีนโบราณ #การเรียนสตรีจีนโบราณ #สี่หนังสือห้าคัมภีร์ #เจียสู
    กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวใน <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่ามีหลายฉากที่ดำเนินเรื่องผ่านการนั่งเรียนหนังสือของสามสาวตระกูลเสิ้ง ซึ่งพวกนางเข้าเรียนพร้อมพี่ชายในโรงเรียนส่วนบุคคลของครอบครัวสกุลเสิ้ง หรือที่เรียกว่า ‘เจียสู’ (家塾/Family School) เจียสูคืออะไร? เจียสูมีมาตั้งแต่สมัยชุนชิว (กว่าเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล) จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังมีอยู่ เป็นการจัดห้องเรียนขึ้นที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอน โดยปกติแล้วอาจารย์จะพำนักอยู่ในเรือนตระกูลนั้นเลย มีค่าจ้าง ที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเฉพาะตระกูลที่มีฐานะ (ปกติเป็นตระกูลขุนนาง) จึงจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะทำอย่างนี้ได้ ในละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นี้ มีฉีเหิงและกู้ถิงเยี่ยซึ่งเป็นบุรุษนอกสกุลมาร่วมเรียนด้วย ในนิยายบอกว่าฉีเหิงมาร่วมเรียนเพราะเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อยู่แล้ว ในขณะที่กู้ถิงเยี่ยเป็นญาติของตระกูลเสิ้งจึงมาร่วมเรียนได้ และที่ยอมมาเรียนที่เจียสูของตระกูลเสิ้งที่เป็นขุนนางยศต่ำกว่าครอบครัวของพวกเขาก็เพราะอาจารย์ท่านนี้ดังมาก ปกติไม่รับสอนตามเจียสู แต่ที่มาสอนให้ตระกูลเสิ้งก็เพื่อทดแทนบุญคุณ แต่ Storyฯ เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่าทำไมพวกเขาทำได้ในเมื่อสตรีตระกูลสูงศักดิ์สมัยโบราณต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนห้ามพบปะผู้ชายนอกสกุล? ในบทประพันธ์ <ความฝันในหอแดง> ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนคลาสสิคมีการอธิบายโดยตัวละครเอกไว้ว่า คนในเครือวงศ์ตระกูลที่ไม่มีกำลังทรัพย์จ้างอาจารย์ส่วนตัวก็มาเรียนที่เจียสูได้ หรือหากใครมีญาติที่เป็นนักเรียนอยู่แล้วก็มาเรียนด้วยกันที่เจียสูนี้ได้ ซึ่งการเรียนในเจียสูเป็นการเรียนรวมคละวัยคละเพศชายหญิง เนื่องจากลูกหลานฝ่ายชายมีเป้าหมายคือลงสนามสอบราชบัณฑิตด้วย ดังนั้นหลักสูตรที่สอนจะเข้มข้นมาก แล้วเขาเรียนอะไร? หลักสูตรทั่วไปคือ ‘ซื่อซู อู่จิง’ (四书五经 / Four Books and Five Classics / สี่หนังสือห้าคัมภีร์) ซึ่ง ‘สี่หนังสือ’ นี้คือหนังสือว่าด้วยปรัชญาต่างๆ ของขงจื้อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ นั้นหมายถึง - ซือจิง (บทกวีและบทร้อยกรอง) - ซูจิง (บทความและประวัติศาสตร์) - อี้จิง (โหราศาสตร์) - ชุนชิว (บันทึกเหตุการณ์สำคัญและพงศาวดาร) - หลี่จี้ (พิธีกรรมและประเพณี) เจียสูเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนเอกชน นอกจากเจียสูนี้ เอกชนยังมีการลงขันเปิดเป็นโรงเรียนกันในหมู่บ้าน (เรียกว่า ชุนสู/村塾) หรืออาจมีเจ้าภาพที่ได้รับเงินบริจาคจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น (เรียกว่า อี้สู/义塾) หรืออาจเป็นตัวอาจารย์เองเปิดสอนหนังสือโดยเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน สตรีจีนโบราณไม่มีโอกาสได้เรียนในสำนักศึกษาหลวง และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องจรรยาของสตรี โคลงกลอนและการดนตรี หากไม่ได้เรียนตามโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเรียนกันที่บ้านตามมีตามเกิดหรือไม่ได้เรียน นอกจากนี้ ยังมีที่ศึกษาเองในระหว่างที่ออกบวชเป็นชี หรืออีกสุดขั้วหนึ่งคือการเรียนในหอนางโลมสำหรับนางโลมที่ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวเพื่อทำมาหากิน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://kknews.cc/zh-my/entertainment/4k6q6zg.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.fxjyb.com/xiandai/276.html https://zhuanlan.zhihu.com/p/77983438 https://m.lunwendata.com/show.php?id=34312 https://kknews.cc/history/pvkjmzj.html https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=e3ce1325253f66e731416fc1 http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF206(49)/EF206(49)-5.pdf #หมิงหลัน #การเรียนเอกชนจีนโบราณ #การเรียนสตรีจีนโบราณ #สี่หนังสือห้าคัมภีร์ #เจียสู
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 719 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาทิตย์นี้มาโพสต์เร็วหน่อย เรามาคุยต่อกับ <ตำนานหมิงหลัน> เพราะละครเรื่องนี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางวัฒนธรรมให้เรียนรู้พอควร วันนี้ว่าด้วยฉากแต่งงานของพระนาง

    ความมีอยู่ว่า
    “ได้ยินมานานว่าผู้บังคับบัญชากู้เก่งด้านวรรณกรรม งั้นมาแต่งกลอนเร่งเจ้าสาวกันหน่อยดีกว่า ทุกคนรู้สึกว่าดี ถึงจะอนุญาตให้เข้าประตูมารับเจ้าสาวได้” คุณชายเขยห้ากล่าว
    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> (ตามที่มีแปลซับไทยจ้า)

    เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะคุ้นเคยดีกับธรรมเนียมที่ขบวนเจ้าบ่าวจะโดน ‘กั้นประตู’ ก่อนเข้าไปรับเจ้าสาวที่แต่งตัวเสร็จรออยู่แล้ว โดยปัจจุบันอาจต้องเล่นเกมต่างๆ เพื่อแลกกับการเปิดประตู และที่แน่ๆ ต้องมีแจกซองอั่งเปา

    ธรรมเนียมนี้ถูก ‘แปลงร่าง’ มาจากประเพณีเดิมตอนรับตัวเจ้าสาวในจีนโบราณ ในบันทึกประเพณีสมัยราชวงศ์เหนือใต้มีการระบุว่า หนึ่งในขั้นตอนการรับตัวเจ้าสาวคือมีการตะโกนเรียกเร่งให้นางแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จออกมาไวๆ ขั้นตอนนี้เรียกว่า ‘ชุยจวง’ (催装) เนื่องจากสมัยจีนโบราณจริงๆ แล้วมักจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินในตอนเย็นก่อนมืด ซึ่งโดยปกติเจ้าสาวจะใช้เวลาแต่งตัวแต่งหน้านานมาก จึงมีการเร่งให้เจ้าสาวออกมาก่อนฟ้าจะมืด และเกิดการ ‘แกล้ง’ ขบวนเจ้าบ่าวก่อนจะเปิดประตูให้รับเจ้าสาวได้ ถึงขนาดใช้ไม้พลองหวดเจ้าบ่าวก็มี (!) ซึ่งการกลั่นแกล้งเหล่านี้เจ้าบ่าวต้องยอมรับแต่โดยดีและมีชื่อเรียกวิธีปฏิบัตินี้ว่า ‘เซี่ยซวี่’ (下婿 แปลตรงตัวได้ประมาณว่าเขยยอมเป็นเบี้ยล่าง)

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ถังที่การอักษรและโคลงกลอนรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก จึงเกิดเป็นธรรมเนียมการแต่ง ‘กลอนเร่งเจ้าสาว’ หรือที่เรียกว่า ‘ชุยจวงซือ’ (催妆诗) สำหรับชนชั้นสูงที่มีการศึกษา โดยเจ้าบ่าวจะแต่งกลอนเองก็ได้หรือให้เพื่อนเจ้าบ่าวแต่งก็ได้ เมื่อแต่งกลอนเสร็จแล้วก็จะมีคนนำไปเล่าให้เจ้าสาวฟังถึงในห้องเพื่อว่านางจะได้รีบออกมา

    กลอนเร่งเจ้าสาวจะมีเนื้อหาแตกต่างจากบทกวีสมัยถังทั่วไป โดยเอกลักษณ์ของมันคือมีเนื้อหาออกแนวเกี้ยวพาราสีหรือชมความงามเจ้าสาว ได้อารมณ์ประมาณว่า เจ้าอย่าเอียงอายรีบออกมาเถิดเราจะได้รีบไปกัน! จะเห็นว่าบทกลอนเร่งเจ้าสาวในเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> ก็ได้อารมณ์นี้เช่นกัน

    และเนื่องจากในสมัยราชวงศ์ซ่งมีการนิยมบทกวีในลักษณะ ‘ฉือ’ (词) มากกว่า ‘ซือ’ (诗) (Storyฯ เคยเขียนถึงความแตกต่างของบทกวีสองประเภทนี้ไปแล้วในตอนชื่อนิยายหมิงหลัน) ดังนั้นในสมัยซ่งจึงมีการแต่งกลอนเร่งเจ้าสาวในแบบสไตล์ ‘ฉือ’ ด้วย เรียกว่า ‘ชุยจวงฉือ’

    เมื่ออยู่ในห้องหอแล้วจะมีขั้นตอนการปลดพัดเจ้าสาวเรียกว่า ‘เชวี่ยซ่าน’ (却扇) แต่ในละครทำอย่างง่ายๆ หากทำแบบเต็มพิธีการจริงๆ ในสมัยถังเขาจะให้เจ้าบ่าวแต่งกลอนอีกรอบค่ะ เรียกว่า ‘เชวี่ยซ่านซือ’ หากเจ้าสาวพอใจจึงจะวางพัดลง แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่มีว่าเขาอนุญาตให้เพื่อนเจ้าบ่าวตามเข้ามาช่วยแต่งกลอนหรือไม่ (555) ดูไปแล้ว กว่าจะรับตัวเจ้าสาวได้นี่ไม่ง่ายเลย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/295145859_100301735
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://rijifang.com/index.php/post/9230.html
    https://www.52lishi.com/article/65423.html
    https://www.zhihu.com/question/446052944/answer/1747492245
    http://travel.china.com.cn/txt/2020-11/10/content_76894055.html

    #หมิงหลัน #กู้ถิงเยี่ย #งานแต่งงานจีนโบราณ #กวีจีน #ประเพณีจีนโบราณ #เซี่ยซวี่ #กลอนเร่งเจ้าสาว #ชุยจวง #ชุยจวงซือ #ชุยจวงฉือ #เชวี่ยซ่าน
    อาทิตย์นี้มาโพสต์เร็วหน่อย เรามาคุยต่อกับ <ตำนานหมิงหลัน> เพราะละครเรื่องนี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางวัฒนธรรมให้เรียนรู้พอควร วันนี้ว่าด้วยฉากแต่งงานของพระนาง ความมีอยู่ว่า “ได้ยินมานานว่าผู้บังคับบัญชากู้เก่งด้านวรรณกรรม งั้นมาแต่งกลอนเร่งเจ้าสาวกันหน่อยดีกว่า ทุกคนรู้สึกว่าดี ถึงจะอนุญาตให้เข้าประตูมารับเจ้าสาวได้” คุณชายเขยห้ากล่าว - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> (ตามที่มีแปลซับไทยจ้า) เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะคุ้นเคยดีกับธรรมเนียมที่ขบวนเจ้าบ่าวจะโดน ‘กั้นประตู’ ก่อนเข้าไปรับเจ้าสาวที่แต่งตัวเสร็จรออยู่แล้ว โดยปัจจุบันอาจต้องเล่นเกมต่างๆ เพื่อแลกกับการเปิดประตู และที่แน่ๆ ต้องมีแจกซองอั่งเปา ธรรมเนียมนี้ถูก ‘แปลงร่าง’ มาจากประเพณีเดิมตอนรับตัวเจ้าสาวในจีนโบราณ ในบันทึกประเพณีสมัยราชวงศ์เหนือใต้มีการระบุว่า หนึ่งในขั้นตอนการรับตัวเจ้าสาวคือมีการตะโกนเรียกเร่งให้นางแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จออกมาไวๆ ขั้นตอนนี้เรียกว่า ‘ชุยจวง’ (催装) เนื่องจากสมัยจีนโบราณจริงๆ แล้วมักจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินในตอนเย็นก่อนมืด ซึ่งโดยปกติเจ้าสาวจะใช้เวลาแต่งตัวแต่งหน้านานมาก จึงมีการเร่งให้เจ้าสาวออกมาก่อนฟ้าจะมืด และเกิดการ ‘แกล้ง’ ขบวนเจ้าบ่าวก่อนจะเปิดประตูให้รับเจ้าสาวได้ ถึงขนาดใช้ไม้พลองหวดเจ้าบ่าวก็มี (!) ซึ่งการกลั่นแกล้งเหล่านี้เจ้าบ่าวต้องยอมรับแต่โดยดีและมีชื่อเรียกวิธีปฏิบัตินี้ว่า ‘เซี่ยซวี่’ (下婿 แปลตรงตัวได้ประมาณว่าเขยยอมเป็นเบี้ยล่าง) ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ถังที่การอักษรและโคลงกลอนรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก จึงเกิดเป็นธรรมเนียมการแต่ง ‘กลอนเร่งเจ้าสาว’ หรือที่เรียกว่า ‘ชุยจวงซือ’ (催妆诗) สำหรับชนชั้นสูงที่มีการศึกษา โดยเจ้าบ่าวจะแต่งกลอนเองก็ได้หรือให้เพื่อนเจ้าบ่าวแต่งก็ได้ เมื่อแต่งกลอนเสร็จแล้วก็จะมีคนนำไปเล่าให้เจ้าสาวฟังถึงในห้องเพื่อว่านางจะได้รีบออกมา กลอนเร่งเจ้าสาวจะมีเนื้อหาแตกต่างจากบทกวีสมัยถังทั่วไป โดยเอกลักษณ์ของมันคือมีเนื้อหาออกแนวเกี้ยวพาราสีหรือชมความงามเจ้าสาว ได้อารมณ์ประมาณว่า เจ้าอย่าเอียงอายรีบออกมาเถิดเราจะได้รีบไปกัน! จะเห็นว่าบทกลอนเร่งเจ้าสาวในเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> ก็ได้อารมณ์นี้เช่นกัน และเนื่องจากในสมัยราชวงศ์ซ่งมีการนิยมบทกวีในลักษณะ ‘ฉือ’ (词) มากกว่า ‘ซือ’ (诗) (Storyฯ เคยเขียนถึงความแตกต่างของบทกวีสองประเภทนี้ไปแล้วในตอนชื่อนิยายหมิงหลัน) ดังนั้นในสมัยซ่งจึงมีการแต่งกลอนเร่งเจ้าสาวในแบบสไตล์ ‘ฉือ’ ด้วย เรียกว่า ‘ชุยจวงฉือ’ เมื่ออยู่ในห้องหอแล้วจะมีขั้นตอนการปลดพัดเจ้าสาวเรียกว่า ‘เชวี่ยซ่าน’ (却扇) แต่ในละครทำอย่างง่ายๆ หากทำแบบเต็มพิธีการจริงๆ ในสมัยถังเขาจะให้เจ้าบ่าวแต่งกลอนอีกรอบค่ะ เรียกว่า ‘เชวี่ยซ่านซือ’ หากเจ้าสาวพอใจจึงจะวางพัดลง แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่มีว่าเขาอนุญาตให้เพื่อนเจ้าบ่าวตามเข้ามาช่วยแต่งกลอนหรือไม่ (555) ดูไปแล้ว กว่าจะรับตัวเจ้าสาวได้นี่ไม่ง่ายเลย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.sohu.com/a/295145859_100301735 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://rijifang.com/index.php/post/9230.html https://www.52lishi.com/article/65423.html https://www.zhihu.com/question/446052944/answer/1747492245 http://travel.china.com.cn/txt/2020-11/10/content_76894055.html #หมิงหลัน #กู้ถิงเยี่ย #งานแต่งงานจีนโบราณ #กวีจีน #ประเพณีจีนโบราณ #เซี่ยซวี่ #กลอนเร่งเจ้าสาว #ชุยจวง #ชุยจวงซือ #ชุยจวงฉือ #เชวี่ยซ่าน
    WWW.SOHU.COM
    《知否?知否?应是绿肥红瘦》过百亿的播放量能说明什么?_顾廷烨
    作为近150万字的长篇小说,实在是有些长,我并没有看完,也理解作者的不易,本身作为兼职作者,平时工作也比较繁忙,可能只有夜晚的四五个小时可以利用,也会有家里的各种繁杂琐事时不时骚扰,从写法来看,看得出…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 718 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก**

    ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)**
    ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ):

    1. **มหาวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ
    - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์

    2. **ภิกขุนีวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ

    3. **มหาวรรค**
    - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม

    4. **จุลวรรค**
    - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน

    5. **ปริวาร**
    - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย

    ---

    ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)**
    รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya):

    1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว)
    - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร

    2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง)
    - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร

    3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง)
    - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์

    4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม)
    - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2)

    5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ)
    - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น
    - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ)
    - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า)
    - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์)

    ---

    ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)**
    ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์:

    1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม)
    2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม)
    3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18)
    4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล)
    5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม)
    6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน)
    7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24)

    ---

    ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ**
    - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์
    - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4)
    - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน)

    พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก

    หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก** ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)** ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ): 1. **มหาวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์ 2. **ภิกขุนีวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ 3. **มหาวรรค** - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม 4. **จุลวรรค** - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน 5. **ปริวาร** - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย --- ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)** รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya): 1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว) - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร 2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง) - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร 3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง) - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์ 4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม) - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2) 5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ) - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ) - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า) - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์) --- ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)** ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์: 1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม) 2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม) 3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18) 4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล) 5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม) 6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน) 7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24) --- ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ** - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์ - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4) - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน) พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงพ่อศรีแก้ว รุ่นแรก พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี ปี2523
    หลวงพ่อศรีแก้ว เนื้อผงว่านเงินล้าน 108 รุ่นแรก พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี ปี2523 // พระเครื่อง ยุคแรก ๆ ของ พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสกในโบสถ์วัดห้วยเงาะ // พระสถาพสวยมาก พร้อมกล่องเดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ // รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ไม่ขาด แก้ปีชง ป้องกันภัย ป้องกันภูติ ผีวิญญาณต่างๆ เจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา และขจัด ภูตผีปีศาจ สิ่งอัปมงคลไม่กล้าเข้ามารบกวน และช่วยบันดาลโชคลาภโภคทรัพย์ให้แก่ผู้บูชา >>

    ** พระดีพิธีใหญ่ นับเป็นพระเครื่องรุ่นแรกของทางวัดห้วยเงาะ เพราะทางวัดห้วยเงาะ สร้างขึ้นเพื่อหาปัจจัยสำหรับสร้างวิหารจตุรมุขเพื่อประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อศรีแก้ว โดยพุทธาภิเษก วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2523 ตรงกับวัน เสาร์ แรม5ค่ำ เดือน 5 พระคณาจารย์ผู้ทรงศีล9รูปนั่งปรก ท่ามกลางประชาชนผู้มาร่วมพิธีเนืองแน่น ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขณะที่พิธีกรรมพุทธาภิเษกดำเนินไปท่ามกลางพระเกจิอาจารย์นั่งปรกแสงเทียนนวหรคุณ ณ แสงเทียนชัย แสงเทียนวิปัสสีที่กำลังปรกติธรรมดาอยู่ภายในปริมณฑณก็พวยพุ่งเป็นลำแสงขึ้นสู่เพดานพระอุโบสถอย่างน่าอัศจรรย์ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พร้อมกล่องเดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงพ่อศรีแก้ว รุ่นแรก พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี ปี2523 หลวงพ่อศรีแก้ว เนื้อผงว่านเงินล้าน 108 รุ่นแรก พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี ปี2523 // พระเครื่อง ยุคแรก ๆ ของ พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสกในโบสถ์วัดห้วยเงาะ // พระสถาพสวยมาก พร้อมกล่องเดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ // รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ไม่ขาด แก้ปีชง ป้องกันภัย ป้องกันภูติ ผีวิญญาณต่างๆ เจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา และขจัด ภูตผีปีศาจ สิ่งอัปมงคลไม่กล้าเข้ามารบกวน และช่วยบันดาลโชคลาภโภคทรัพย์ให้แก่ผู้บูชา >> ** พระดีพิธีใหญ่ นับเป็นพระเครื่องรุ่นแรกของทางวัดห้วยเงาะ เพราะทางวัดห้วยเงาะ สร้างขึ้นเพื่อหาปัจจัยสำหรับสร้างวิหารจตุรมุขเพื่อประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อศรีแก้ว โดยพุทธาภิเษก วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2523 ตรงกับวัน เสาร์ แรม5ค่ำ เดือน 5 พระคณาจารย์ผู้ทรงศีล9รูปนั่งปรก ท่ามกลางประชาชนผู้มาร่วมพิธีเนืองแน่น ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขณะที่พิธีกรรมพุทธาภิเษกดำเนินไปท่ามกลางพระเกจิอาจารย์นั่งปรกแสงเทียนนวหรคุณ ณ แสงเทียนชัย แสงเทียนวิปัสสีที่กำลังปรกติธรรมดาอยู่ภายในปริมณฑณก็พวยพุ่งเป็นลำแสงขึ้นสู่เพดานพระอุโบสถอย่างน่าอัศจรรย์ >> ** พระสถาพสวยมาก พร้อมกล่องเดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • Storyฯ เพิ่งได้มีโอกาสดูละครเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ซึ่งเป็นเรื่องราวสมัยราชวงศ์หมิง สิ่งที่สะดุดตามากคือท่าทำความเคารพ รู้สึกว่าทำออกมาได้ดีมากในหลายฉาก วันนี้เลยมาคุยให้ฟังกันสั้นๆ

    ฉากที่สะดุดตา Storyฯ มากคือฉากพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของพระเอกนางเอก ลักษณะการคำนับคือยกมือขึ้นประสานทับกันระดับหน้าอกโดยฝ่ามือหันเข้าหาตัว จากนั้นดันมือออกไปให้ห่างตัวพร้อมกับค้อมตัวลง (ดูรูปประกอบ)

    การโค้งคำนับแบบนี้มีชื่อเรียกค่ะ คือ ‘จั๊วอี๊’ (作揖)

    จั๊วอี๊เป็นการคำนับอย่างเป็นทางการโดยไม่คุกเข่าลง ด้วยการยกมือขึ้นแบบที่กล่าวมาข้างต้น (อาจวางมือทาบซ้อนกันหรือกุมมือก็ได้) หากเป็นชายจะเป็นมือซ้ายทับมือขวา และหากเป็นหญิงจะเป็นขวาทับซ้าย (สังเกตเปรียบเทียบได้จากรูป) จากนั้นก้มหลังตรงจากเอวลงมาพร้อมกับดันมือออกไปข้างหน้าเล็กน้อย

    ในบันทึกทางพิธีการสมัยราชวงศ์โจว (1050-256 ปีก่อนคริสตกาล) มีการจำแนกจั๊วอี๊ออกเป็นอีกหลายลักษณะ คือ
    - ‘ถู่อี๊’ (土揖) คือการโค้งเล็กน้อย (ประมาณ 30 องศา) แล้วมือโน้มลงต่ำเล็กน้อย เป็นการเคารพคนที่มีอาวุโสน้อยกว่าหรือศักดิ์ด้อยกว่า;
    - ‘สืออี๊’(時揖) คือการโค้งต่ำ (ประมาณ 60 องศา) โดยที่ระดับมือยังอยู่ที่หน้าอก เป็นการเคารพคนที่อาวุโสกว่า;
    - ‘เทียนอี๊’(天揖) คือการโค้งเล็กน้อย (ประมาณ 30 องศา) และมือยกขึ้นสูงเล็กน้อย เป็นการเคารพคนที่เสมอศักดิ์;
    - ‘เท่ออี๊’ (特揖) คือคำนับอีกฝ่ายทีละคนแทนที่จะคำนับครั้งเดียวต่อคนทั้งกลุ่ม;
    - ‘หลี่ว์อี๊’(旅揖) คือคำนับในแบบที่แตกต่างกันตามศักดิ์ของฝ่ายตรงข้าม;
    - ‘ผางซานอี๊’(旁三揖) คือการคำนับสามครั้งต่อคนทั้งกลุ่ม; และ
    - ‘ฉางอี๊’ (长揖) คือการคำนับแบบโค้งตัวลงต่ำมาก มือยืดออกไปมากขึ้นและยกขึ้นสูง เป็นการเคารพแบบสูงสุดของการทำจั๊วอี๊ แต่ยังเทียบไม่ได้กับการคุกเข่าคำนับ จึงมีวลีที่ว่า ‘ฉางอี๊ปู๋ไป้’ (长揖不拜) อันหมายถึงการแสดงความทะนงตนด้วยการเคารพนอบน้อมแต่ไม่ยอมคุกเข่าให้

    แต่ในกรณีที่เป็นการทำความเคารพในงานศพจะสลับมือกัน คือเป็นขวาทับซ้ายสำหรับชาย และซ้ายทับขวาสำหรับหญิงแทน

    จริงๆ แล้วตามบันทึกและภาพวาดทางประวัติศาสตร์กลับไม่ค่อยปรากฏสตรีมีการทำจั๊วอี๊สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังลงมา แล้วผู้หญิงเขาทำความเคารพอย่างไร? ในละครเรื่องเดียวกันจะเห็นผู้หญิงกำมือวางซ้อนกัน (ขวาบนซ้ายล่าง) อยู่ระดับเอวแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย (ดูรูปประกอบ) ท่านี้เรียกว่า ‘ว่านฝู’ (万福) ซึ่งใช้ปกติทั่วไปในยุคสมัยหมิงยกเว้นกรณีที่เป็นทางการอย่างยิ่ง อย่างเช่นในเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ที่นางเอกทำจั๊วอี๊ในพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน

    ทั้งจั๊วอี๊และว่านฝูที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการทำความเคารพแบบของชาวจีนเชื้อสายฮั่น ไม่ใช่แมนจู ดังนั้นเพื่อนเพจที่ดูละครสมัยราชวงศ์ชิงจะไม่เห็นท่าทำความเคารพแบบนี้แม้ว่าในสมัยชิงจะมีท่าทำความเคารพที่เรียกว่าว่านฝูเหมือนกัน

    เขียนเพิ่มเมื่อวันที่ 11/6: ท่าทำความเคารพของจั๊วอี๊ที่ถูกต้องคือประสานมือก่อนแล้วค่อยดันมือออกไป (เหมือนที่ Storyฯ ได้บรรยายภาพที่เห็นในละครนะคะ ไม่ใช่กางแขนออกแล้วประสานไว้ไกลๆ เป็นวงใหญ่) อันนี้เป็นนัยว่าเรากำลังยื่นมือออกไปเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเปิดใจกับเราและเรากำลังเปิดใจให้กับเขา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://today.line.me/tw/v2/article/l5nNxB
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.hk/item/%E4%BD%9C%E6%8F%96/6203317
    https://kknews.cc/history/4lyoojx.html
    https://new.qq.com/omn/20190803/20190803A08S2B00.html
    https://www.newton.com.tw/wiki/%E4%BD%9C%E6%8F%96

    #จั๊วอี๊ #จัวอี #การคำนับแบบจีน #ว่านฝู #ราชวงศ์หมิง
    Storyฯ เพิ่งได้มีโอกาสดูละครเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ซึ่งเป็นเรื่องราวสมัยราชวงศ์หมิง สิ่งที่สะดุดตามากคือท่าทำความเคารพ รู้สึกว่าทำออกมาได้ดีมากในหลายฉาก วันนี้เลยมาคุยให้ฟังกันสั้นๆ ฉากที่สะดุดตา Storyฯ มากคือฉากพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของพระเอกนางเอก ลักษณะการคำนับคือยกมือขึ้นประสานทับกันระดับหน้าอกโดยฝ่ามือหันเข้าหาตัว จากนั้นดันมือออกไปให้ห่างตัวพร้อมกับค้อมตัวลง (ดูรูปประกอบ) การโค้งคำนับแบบนี้มีชื่อเรียกค่ะ คือ ‘จั๊วอี๊’ (作揖) จั๊วอี๊เป็นการคำนับอย่างเป็นทางการโดยไม่คุกเข่าลง ด้วยการยกมือขึ้นแบบที่กล่าวมาข้างต้น (อาจวางมือทาบซ้อนกันหรือกุมมือก็ได้) หากเป็นชายจะเป็นมือซ้ายทับมือขวา และหากเป็นหญิงจะเป็นขวาทับซ้าย (สังเกตเปรียบเทียบได้จากรูป) จากนั้นก้มหลังตรงจากเอวลงมาพร้อมกับดันมือออกไปข้างหน้าเล็กน้อย ในบันทึกทางพิธีการสมัยราชวงศ์โจว (1050-256 ปีก่อนคริสตกาล) มีการจำแนกจั๊วอี๊ออกเป็นอีกหลายลักษณะ คือ - ‘ถู่อี๊’ (土揖) คือการโค้งเล็กน้อย (ประมาณ 30 องศา) แล้วมือโน้มลงต่ำเล็กน้อย เป็นการเคารพคนที่มีอาวุโสน้อยกว่าหรือศักดิ์ด้อยกว่า; - ‘สืออี๊’(時揖) คือการโค้งต่ำ (ประมาณ 60 องศา) โดยที่ระดับมือยังอยู่ที่หน้าอก เป็นการเคารพคนที่อาวุโสกว่า; - ‘เทียนอี๊’(天揖) คือการโค้งเล็กน้อย (ประมาณ 30 องศา) และมือยกขึ้นสูงเล็กน้อย เป็นการเคารพคนที่เสมอศักดิ์; - ‘เท่ออี๊’ (特揖) คือคำนับอีกฝ่ายทีละคนแทนที่จะคำนับครั้งเดียวต่อคนทั้งกลุ่ม; - ‘หลี่ว์อี๊’(旅揖) คือคำนับในแบบที่แตกต่างกันตามศักดิ์ของฝ่ายตรงข้าม; - ‘ผางซานอี๊’(旁三揖) คือการคำนับสามครั้งต่อคนทั้งกลุ่ม; และ - ‘ฉางอี๊’ (长揖) คือการคำนับแบบโค้งตัวลงต่ำมาก มือยืดออกไปมากขึ้นและยกขึ้นสูง เป็นการเคารพแบบสูงสุดของการทำจั๊วอี๊ แต่ยังเทียบไม่ได้กับการคุกเข่าคำนับ จึงมีวลีที่ว่า ‘ฉางอี๊ปู๋ไป้’ (长揖不拜) อันหมายถึงการแสดงความทะนงตนด้วยการเคารพนอบน้อมแต่ไม่ยอมคุกเข่าให้ แต่ในกรณีที่เป็นการทำความเคารพในงานศพจะสลับมือกัน คือเป็นขวาทับซ้ายสำหรับชาย และซ้ายทับขวาสำหรับหญิงแทน จริงๆ แล้วตามบันทึกและภาพวาดทางประวัติศาสตร์กลับไม่ค่อยปรากฏสตรีมีการทำจั๊วอี๊สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังลงมา แล้วผู้หญิงเขาทำความเคารพอย่างไร? ในละครเรื่องเดียวกันจะเห็นผู้หญิงกำมือวางซ้อนกัน (ขวาบนซ้ายล่าง) อยู่ระดับเอวแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย (ดูรูปประกอบ) ท่านี้เรียกว่า ‘ว่านฝู’ (万福) ซึ่งใช้ปกติทั่วไปในยุคสมัยหมิงยกเว้นกรณีที่เป็นทางการอย่างยิ่ง อย่างเช่นในเรื่อง <ร้อยรักปักดวงใจ> ที่นางเอกทำจั๊วอี๊ในพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ทั้งจั๊วอี๊และว่านฝูที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการทำความเคารพแบบของชาวจีนเชื้อสายฮั่น ไม่ใช่แมนจู ดังนั้นเพื่อนเพจที่ดูละครสมัยราชวงศ์ชิงจะไม่เห็นท่าทำความเคารพแบบนี้แม้ว่าในสมัยชิงจะมีท่าทำความเคารพที่เรียกว่าว่านฝูเหมือนกัน เขียนเพิ่มเมื่อวันที่ 11/6: ท่าทำความเคารพของจั๊วอี๊ที่ถูกต้องคือประสานมือก่อนแล้วค่อยดันมือออกไป (เหมือนที่ Storyฯ ได้บรรยายภาพที่เห็นในละครนะคะ ไม่ใช่กางแขนออกแล้วประสานไว้ไกลๆ เป็นวงใหญ่) อันนี้เป็นนัยว่าเรากำลังยื่นมือออกไปเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเปิดใจกับเราและเรากำลังเปิดใจให้กับเขา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://today.line.me/tw/v2/article/l5nNxB Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.hk/item/%E4%BD%9C%E6%8F%96/6203317 https://kknews.cc/history/4lyoojx.html https://new.qq.com/omn/20190803/20190803A08S2B00.html https://www.newton.com.tw/wiki/%E4%BD%9C%E6%8F%96 #จั๊วอี๊ #จัวอี #การคำนับแบบจีน #ว่านฝู #ราชวงศ์หมิง
    TODAY.LINE.ME
    鍾漢良、譚松韻《錦心似玉》開播倒數,「庶女逆襲」超勵志,老夫少妻寵溺甜炸! | Bella儂儂 | LINE TODAY
    2020年許多陸劇都已就定位,目前正被排在待播的佇列,最近由鍾漢良、譚松韻主演的《錦心似玉》就已經邁入開播倒數,不過男主角從原本的宋威龍換角成鍾漢良,與女主角譚松韻配對卻被大家吐槽沒有CP感?大家就來看看這部戲還有什麼精彩亮點吧! 延伸閱讀:2020網友熱議6部陸劇推薦!甜寵神劇、懸疑推理、都市溫馨,每部讓人想一看再看 「庶女逆襲」劇情設定 source:#锦心似玉#-weibo 《錦心似玉》改編自紅遍中國網路的吱吱小說《庶女攻略》,「庶女逆襲」的安排,與唐嫣主演的《錦繡未央》、趙麗穎的《知否知否應是綠肥紅瘦》,劇情設定相同,女主角不再是天真無害的甜白傻,而是一步一步晉級打怪的「庶女逆襲」
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 653 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts