• 433 ปี ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย ศึกแห่งเกียรติยศขององค์ดำ-องค์ขาว 🇹🇭🐘

    ย้อนไปเมื่อ 433 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องจารึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์ “ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย” ที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ในการต่อสู้กับทัพพม่า ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

    สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ เพื่ออาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึง ศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ไทย ผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และประชาชนชาวไทย การยุทธหัตถีครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีการเล่าขาน และรำลึกถึงจนถึงทุกวันนี้

    สงครามบนหลังช้างที่สะท้อนศักดิ์ศรี
    ยุทธหัตถี หมายถึง การทำสงครามบนหลังช้าง โดยผู้บัญชาการสูงสุด ของกองทัพทั้งสองฝ่าย จะเผชิญหน้ากันบนหลังช้างศึก เป็นการต่อสู้ ที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถ การฝึกฝน ความกล้าหาญของกษัตริย์ และช้างศึก การชนช้างนี้ถือว่า เป็นการทำศึกที่มีเกียรติยศ และเป็นที่ยอมรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย พม่า และกัมพูชา

    ในยุคโบราณ ช้างถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ การทำยุทธหัตถี จึงไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้ เพื่อชัยชนะทางการทหารเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของผู้ปกครอง ที่นำทัพด้วยตัวเอง

    สงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ. 2135 มีต้นเหตุจากการที่กรุงหงสาวดี (พม่า) มีความต้องการ จะยึดครองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้านันทบุเรง ผู้ปกครองหงสาวดีในเวลานั้น จึงส่งกองทัพใหญ่กว่า 240,000 นาย นำโดย พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด) และมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโร เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา

    พระองค์ดำทรงทราบถึง การเคลื่อนทัพของพม่า จึงทรงระดมกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเตรียมการป้องกันเมือง พร้อมกับทรงออกคำประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการต่อต้านการปกครองของพม่า อย่างเต็มตัว

    เมื่อกองทัพของมังสามเกียด เคลื่อนมาถึงสุพรรณบุรี พระองค์ดำทรงนำทัพหลวงไปตั้งค่าย ที่ตำบลหนองสาหร่าย พร้อมกับพระองค์ขาว

    เช้าวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง องค์ดำและองค์ขาว ทรงเครื่องพิชัยยุทธเต็มยศ พร้อมด้วยช้างศึกทรง 2 เชือก คือ

    เจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ช้างทรงของพระองค์ดำ
    เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ช้างทรงของพระองค์ขาว

    ทั้งสองพระองค์ทรงนำช้างศึกเข้าสู่สนามรบ แต่ระหว่างที่เคลื่อนทัพเกิดความวุ่นวาย ทำให้ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ หลุดเข้าไปในวงล้อมของทัพพม่า และเผชิญหน้ากับมังสามเกียด และมางจาชโร โดยตรง

    เผชิญหน้าบนหลังช้าง
    พระองค์ดำทรงเรียกท้ามังสามเกียด ซึ่งสนิทสนมกันตั้งแต่วัยพระเยาว์ เมื่อครั้งองค์ดำ ทรงเป็นองค์ประกัน อยู่ที่กรุงหงสาวดี ให้มาทำยุทธหัตถี ด้วยพระดำรัส ที่แสดงถึงความองอาจว่า

    “พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด”

    มังสามเกียดจึงไสช้าง เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อถึงจังหวะสำคัญ พระองค์ดำทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟันเข้าที่พระอังสะขวา ของมังสามเกียด จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง

    ในขณะเดียวกัน พระองค์ขาวทรงฟันมางจาชโร จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้างเช่นกัน เป็นการปิดฉาก ศึกยุทธหัตถีอันยิ่งใหญ่

    ชัยชนะของพระองค์ดำ ในยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และสร้างความเกรงขามให้แก่กรุงหงสาวดี จนไม่มีการรุกรานอีก เป็นเวลาหลายปี

    หลังสงคราม พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไป ในศึกครั้งนี้ และกรุงศรีอยุธยาก็ได้สร้าง พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้

    ความสำคัญของยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทย
    สัญลักษณ์ของเอกราช ยุทธหัตถีครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง ความสามัคคีและการต่อสู้ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ

    พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในการนำทัพ

    มรดกทางวัฒนธรรม การยุทธหัตถีได้กลายเป็นตำนาน ที่มีการเล่าขาน และเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยุทธหัตถี
    1. ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ไหน?
    ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

    2. ช้างศึกคืออะไร?
    ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้ในการทำสงคราม มีลักษณะเด่นตามตำราคชลักษณ์

    3. ทำไมยุทธหัตถีถึงมีเกียรติ?
    เพราะเป็นการต่อสู้ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา และแสดงถึงความกล้าหาญ

    ยุทธหัตถีหนองสาหร่ายในปี พ.ศ. 2135 เป็นสงครามที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราช และศักดิ์ศรีของชาติไว้ได้

    เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนไทย ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาเกียรติภูมิของตน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180833 ม.ค. 2568

    #สมเด็จพระนเรศวร #ยุทธหัตถี #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามชนช้าง #กรุงศรีอยุธยา #ดอนเจดีย์ #หงสาวดี #ชาติไทย #วีรกรรมไทย #สงครามไทย

    🎉
    433 ปี ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย ศึกแห่งเกียรติยศขององค์ดำ-องค์ขาว 🇹🇭🐘 ย้อนไปเมื่อ 433 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องจารึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์ “ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย” ที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ในการต่อสู้กับทัพพม่า ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ เพื่ออาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึง ศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ไทย ผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และประชาชนชาวไทย การยุทธหัตถีครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีการเล่าขาน และรำลึกถึงจนถึงทุกวันนี้ สงครามบนหลังช้างที่สะท้อนศักดิ์ศรี ยุทธหัตถี หมายถึง การทำสงครามบนหลังช้าง โดยผู้บัญชาการสูงสุด ของกองทัพทั้งสองฝ่าย จะเผชิญหน้ากันบนหลังช้างศึก เป็นการต่อสู้ ที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถ การฝึกฝน ความกล้าหาญของกษัตริย์ และช้างศึก การชนช้างนี้ถือว่า เป็นการทำศึกที่มีเกียรติยศ และเป็นที่ยอมรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย พม่า และกัมพูชา ในยุคโบราณ ช้างถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ การทำยุทธหัตถี จึงไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้ เพื่อชัยชนะทางการทหารเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของผู้ปกครอง ที่นำทัพด้วยตัวเอง สงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ. 2135 มีต้นเหตุจากการที่กรุงหงสาวดี (พม่า) มีความต้องการ จะยึดครองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้านันทบุเรง ผู้ปกครองหงสาวดีในเวลานั้น จึงส่งกองทัพใหญ่กว่า 240,000 นาย นำโดย พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด) และมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโร เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา พระองค์ดำทรงทราบถึง การเคลื่อนทัพของพม่า จึงทรงระดมกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเตรียมการป้องกันเมือง พร้อมกับทรงออกคำประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการต่อต้านการปกครองของพม่า อย่างเต็มตัว เมื่อกองทัพของมังสามเกียด เคลื่อนมาถึงสุพรรณบุรี พระองค์ดำทรงนำทัพหลวงไปตั้งค่าย ที่ตำบลหนองสาหร่าย พร้อมกับพระองค์ขาว เช้าวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง องค์ดำและองค์ขาว ทรงเครื่องพิชัยยุทธเต็มยศ พร้อมด้วยช้างศึกทรง 2 เชือก คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ช้างทรงของพระองค์ดำ เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ช้างทรงของพระองค์ขาว ทั้งสองพระองค์ทรงนำช้างศึกเข้าสู่สนามรบ แต่ระหว่างที่เคลื่อนทัพเกิดความวุ่นวาย ทำให้ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ หลุดเข้าไปในวงล้อมของทัพพม่า และเผชิญหน้ากับมังสามเกียด และมางจาชโร โดยตรง เผชิญหน้าบนหลังช้าง พระองค์ดำทรงเรียกท้ามังสามเกียด ซึ่งสนิทสนมกันตั้งแต่วัยพระเยาว์ เมื่อครั้งองค์ดำ ทรงเป็นองค์ประกัน อยู่ที่กรุงหงสาวดี ให้มาทำยุทธหัตถี ด้วยพระดำรัส ที่แสดงถึงความองอาจว่า “พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด” มังสามเกียดจึงไสช้าง เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อถึงจังหวะสำคัญ พระองค์ดำทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟันเข้าที่พระอังสะขวา ของมังสามเกียด จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง ในขณะเดียวกัน พระองค์ขาวทรงฟันมางจาชโร จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้างเช่นกัน เป็นการปิดฉาก ศึกยุทธหัตถีอันยิ่งใหญ่ ชัยชนะของพระองค์ดำ ในยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และสร้างความเกรงขามให้แก่กรุงหงสาวดี จนไม่มีการรุกรานอีก เป็นเวลาหลายปี หลังสงคราม พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไป ในศึกครั้งนี้ และกรุงศรีอยุธยาก็ได้สร้าง พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้ ความสำคัญของยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทย สัญลักษณ์ของเอกราช ยุทธหัตถีครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง ความสามัคคีและการต่อสู้ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในการนำทัพ มรดกทางวัฒนธรรม การยุทธหัตถีได้กลายเป็นตำนาน ที่มีการเล่าขาน และเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยุทธหัตถี 1. ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ไหน? ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี 2. ช้างศึกคืออะไร? ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้ในการทำสงคราม มีลักษณะเด่นตามตำราคชลักษณ์ 3. ทำไมยุทธหัตถีถึงมีเกียรติ? เพราะเป็นการต่อสู้ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา และแสดงถึงความกล้าหาญ ยุทธหัตถีหนองสาหร่ายในปี พ.ศ. 2135 เป็นสงครามที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราช และศักดิ์ศรีของชาติไว้ได้ เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนไทย ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาเกียรติภูมิของตน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180833 ม.ค. 2568 #สมเด็จพระนเรศวร #ยุทธหัตถี #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามชนช้าง #กรุงศรีอยุธยา #ดอนเจดีย์ #หงสาวดี #ชาติไทย #วีรกรรมไทย #สงครามไทย 🎉
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • 04-04-62/14 : หมี CNN / ระบอบกษัตริย์ชาติอื่นเป็นยังไง? กูไม่รู้ กูไม่สนใจ? แต่ระบบกษัตริย์ไทย หล่อมว๊าก! หัวใจล้วนๆ เทใจให้ราษฎรแบบที่ไหนในโลกก็ไม่มี? อย่าคิดว่าเหี้ยโปรยเศษเงินมาให้ แล้วพวกมรึงคิดจะล้มล้างสถาบัน ตราบใดที่ยังมีคนไทยหัวใจหล่อมว๊ากอยู่อีกมหาศาลเกลื่อนแผ่นดิน?

    พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว
    พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม
    พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก
    พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น
    พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง
    พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว
    พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน
    พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา
    พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย
    พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน
    พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้
    พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า
    พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย
    พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน
    พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง
    พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง
    พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
    พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ
    พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย
    พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก
    พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง
    พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้
    พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ
    พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย
    พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น

    มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!

    หมี CNN(ด้วยจิตสำนึกรักพ่อ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)
    04 เม.ย. 62
    16.53 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    Jeerachart Jongsomchai / “ปฏิวัติฝรั่งเศส ของใคร โดยใคร เพื่อใคร ?”

    ... “สาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส” มีหลายแนวคิดหลักๆคือ

    ... มูลเหตุของการปฏิวัติมีความซับซ้อนและยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ เช่นปัจจัยภายในต่าง ๆ ของระบอบเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจรวมถึงความหิวโหยและทุพโภชนาการในประชากรกลุ่มที่ยากแค้นที่สุด ซึ่งบางส่วนเกิดจากสภาพอากาศผิดปกติจาก “สภาพอากาศ” ความหนาวเย็นผิดฤดู ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกิจกรรมของภูเขาไฟที่ลากีและกริมสวอทน์

    ... ใน ค.ศ. 1783-1784 ประกอบกับ “ราคาอาหารที่สูงขึ้น” และ “ระบบการขนส่งที่ไม่เพียงพอ” ซึ่งขัดขวาง “การส่งสินค้าอาหารปริมาณมากจากพื้นที่ชนบทไปยังศูนย์กลางประชากรขนาดใหญ่” ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้สังคมฝรั่งเศสขาดเสถียรภาพในช่วงก่อนการปฏิวัติอย่างยิ่ง

    ... สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ “ภาวะใกล้จะล้มละลายของรัฐบาลจากค่าใช้จ่ายในสงครามที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบจำนวนมหาศาล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเจ็ดปี (1756 จนถึง 1763 หรือ “สงครามโลกครั้งที่ศูนย์” โดยเกี่ยวข้องกับทุกประเทศมหาอำนาจในยุโรป มีการสู้รบเกิดขึ้นในห้าทวีป สงครามเจ็ดปีเป็นสงครามระหว่างสองข้างด้วยกัน ข้างหนึ่งนำโดยบริเตนใหญ่ พร้อมด้วยปรัสเซียและกลุ่มนครรัฐเล็กในเยอรมัน กับอีกข้างหนึ่งที่นำด้วยฝรั่งเศส พร้อมด้วยออสเตรีย, รัสเซีย, สวีเดน และซัคเซิน โดยรัสเซียเปลี่ยนข้างอยู่ระยะหนึ่งในช่วงปลายของสงคราม ) และ “สงครามปฏิวัติอเมริกา” สงครามใหญ่เหล่านี้ก่อหนี้จำนวนมหาศาลให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากการสูญเสียการครอบครองพื้นที่อาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ และการครอบงำทางพาณิชย์ของ “บริเตนใหญ่”ที่เพิ่มขึ้น ทั้ง “ระบบการเงิน” ที่ไม่มีประสิทธิภาพและล้าสมัยของฝรั่งเศสก็ไม่สามารถจัดการกับหนี้สาธารณะได้ ทางรัฐบาลพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม

    … การที่ฝรั่งเศส ช่วย “อเมริกา” รบกับ “อังกฤษ” นั้น ไม่ได้ต้องการให้เอกราช กับอเมริกาแต่เพราะต้องการตัดกำลังของอังกฤษคู่แข่งอาณานิคมของตัวเอง ( เหมือนตอนที่ อเมริกา หลังได้เอกราช ก็ได้ช่วย “ฟิลิปปินส์” กับ “คิวบา” เป็นเอกราชจากสเปนนั้น ไม่ได้ต้องการให้ทั้งสองชาติสัมผัสกับอิสรภาพ หรือตัวเองซาบซึ้งกับระบอบปประชาธิปไตย แต่ต้องการจะเป็นเจ้าอาณานิคมแทนเจ้าเดิม )

    ... หลังการปฏิวัติมีการ ยกเลิกระบบศักดินา ยุบมณฑลต่าง ๆ แบ่งประเทศออกเป็น 83 จังหวัด มีการพยายาม “รวมศูนย์อำนาจ” เข้าสู่ศูนย์เดียวที่ปารีส ไม่ยินยอมให้เป็นเอกเทศ จึงมีการต่อต้านขัดขืน

    ... กระแสความตื่นตัวและอารมณ์ของประชาชนได้เปลี่ยนทิศทางของการปฏิวัติจนลึกลงไปถึงรากฐาน ซึ่งปูทางให้กับการขึ้นสู่อำนาจของ “มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์” ที่เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง และ “กลุ่มฌากอแบ็ง” และกลายมาเป็น “เผด็จการโดยแท้” ภายใต้ “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” ในระหว่างปี ค.ศ. 1793 ถึง 1794 มีผู้ต่อต้านพวกเขาถูกสังหารถึงระหว่าง 16,000 ถึง 40,000 คน ( ในตอนนั้นมันคือการเปลี่ยนจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” ไปสู่ระบอบ “เผด็จการ” )

    ... สโมสรฌากอแบ็ง Club des Jacobins เป็นสโมสรทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ก่อตั้งในช่วงการประชุมสภาฐานันดร ค.ศ. 1789 จากการรวมกลุ่มของ “พวกผู้แทน” จากแคว้น “ดัชชีเบรอตาญ” ที่เป็นแคว้นศักดินาแห่งหนึ่งนัฝรั่งเศส ที่เน้นการ “ต่อต้านราชวงศ์” หรือ “ล้มเจ้า” อันเป็นพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ เริ่มแรกมีสมาชิกไม่กี่คนและเป็นการรวมตัวอย่างลับ ๆ ก่อนที่ต่อมาได้พัฒนากลายเป็นขบวนการระดับชาติที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้จัดตั้งสาธารณรัฐซึ่งมีสมาชิกมากกว่าครึ่งล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากโค่นล้มระบบกษัตริย์สำเร็จและจัดตั&#3657
    04-04-62/14 : หมี CNN / ระบอบกษัตริย์ชาติอื่นเป็นยังไง? กูไม่รู้ กูไม่สนใจ? แต่ระบบกษัตริย์ไทย หล่อมว๊าก! หัวใจล้วนๆ เทใจให้ราษฎรแบบที่ไหนในโลกก็ไม่มี? อย่าคิดว่าเหี้ยโปรยเศษเงินมาให้ แล้วพวกมรึงคิดจะล้มล้างสถาบัน ตราบใดที่ยังมีคนไทยหัวใจหล่อมว๊ากอยู่อีกมหาศาลเกลื่อนแผ่นดิน? พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้ พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย! หมี CNN(ด้วยจิตสำนึกรักพ่อ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์) 04 เม.ย. 62 16.53 น. ------------------------------------------------------------------------— Jeerachart Jongsomchai / “ปฏิวัติฝรั่งเศส ของใคร โดยใคร เพื่อใคร ?” ... “สาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส” มีหลายแนวคิดหลักๆคือ ... มูลเหตุของการปฏิวัติมีความซับซ้อนและยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ เช่นปัจจัยภายในต่าง ๆ ของระบอบเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจรวมถึงความหิวโหยและทุพโภชนาการในประชากรกลุ่มที่ยากแค้นที่สุด ซึ่งบางส่วนเกิดจากสภาพอากาศผิดปกติจาก “สภาพอากาศ” ความหนาวเย็นผิดฤดู ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกิจกรรมของภูเขาไฟที่ลากีและกริมสวอทน์ ... ใน ค.ศ. 1783-1784 ประกอบกับ “ราคาอาหารที่สูงขึ้น” และ “ระบบการขนส่งที่ไม่เพียงพอ” ซึ่งขัดขวาง “การส่งสินค้าอาหารปริมาณมากจากพื้นที่ชนบทไปยังศูนย์กลางประชากรขนาดใหญ่” ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้สังคมฝรั่งเศสขาดเสถียรภาพในช่วงก่อนการปฏิวัติอย่างยิ่ง ... สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ “ภาวะใกล้จะล้มละลายของรัฐบาลจากค่าใช้จ่ายในสงครามที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบจำนวนมหาศาล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเจ็ดปี (1756 จนถึง 1763 หรือ “สงครามโลกครั้งที่ศูนย์” โดยเกี่ยวข้องกับทุกประเทศมหาอำนาจในยุโรป มีการสู้รบเกิดขึ้นในห้าทวีป สงครามเจ็ดปีเป็นสงครามระหว่างสองข้างด้วยกัน ข้างหนึ่งนำโดยบริเตนใหญ่ พร้อมด้วยปรัสเซียและกลุ่มนครรัฐเล็กในเยอรมัน กับอีกข้างหนึ่งที่นำด้วยฝรั่งเศส พร้อมด้วยออสเตรีย, รัสเซีย, สวีเดน และซัคเซิน โดยรัสเซียเปลี่ยนข้างอยู่ระยะหนึ่งในช่วงปลายของสงคราม ) และ “สงครามปฏิวัติอเมริกา” สงครามใหญ่เหล่านี้ก่อหนี้จำนวนมหาศาลให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากการสูญเสียการครอบครองพื้นที่อาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ และการครอบงำทางพาณิชย์ของ “บริเตนใหญ่”ที่เพิ่มขึ้น ทั้ง “ระบบการเงิน” ที่ไม่มีประสิทธิภาพและล้าสมัยของฝรั่งเศสก็ไม่สามารถจัดการกับหนี้สาธารณะได้ ทางรัฐบาลพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม … การที่ฝรั่งเศส ช่วย “อเมริกา” รบกับ “อังกฤษ” นั้น ไม่ได้ต้องการให้เอกราช กับอเมริกาแต่เพราะต้องการตัดกำลังของอังกฤษคู่แข่งอาณานิคมของตัวเอง ( เหมือนตอนที่ อเมริกา หลังได้เอกราช ก็ได้ช่วย “ฟิลิปปินส์” กับ “คิวบา” เป็นเอกราชจากสเปนนั้น ไม่ได้ต้องการให้ทั้งสองชาติสัมผัสกับอิสรภาพ หรือตัวเองซาบซึ้งกับระบอบปประชาธิปไตย แต่ต้องการจะเป็นเจ้าอาณานิคมแทนเจ้าเดิม ) ... หลังการปฏิวัติมีการ ยกเลิกระบบศักดินา ยุบมณฑลต่าง ๆ แบ่งประเทศออกเป็น 83 จังหวัด มีการพยายาม “รวมศูนย์อำนาจ” เข้าสู่ศูนย์เดียวที่ปารีส ไม่ยินยอมให้เป็นเอกเทศ จึงมีการต่อต้านขัดขืน ... กระแสความตื่นตัวและอารมณ์ของประชาชนได้เปลี่ยนทิศทางของการปฏิวัติจนลึกลงไปถึงรากฐาน ซึ่งปูทางให้กับการขึ้นสู่อำนาจของ “มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์” ที่เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง และ “กลุ่มฌากอแบ็ง” และกลายมาเป็น “เผด็จการโดยแท้” ภายใต้ “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” ในระหว่างปี ค.ศ. 1793 ถึง 1794 มีผู้ต่อต้านพวกเขาถูกสังหารถึงระหว่าง 16,000 ถึง 40,000 คน ( ในตอนนั้นมันคือการเปลี่ยนจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” ไปสู่ระบอบ “เผด็จการ” ) ... สโมสรฌากอแบ็ง Club des Jacobins เป็นสโมสรทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ก่อตั้งในช่วงการประชุมสภาฐานันดร ค.ศ. 1789 จากการรวมกลุ่มของ “พวกผู้แทน” จากแคว้น “ดัชชีเบรอตาญ” ที่เป็นแคว้นศักดินาแห่งหนึ่งนัฝรั่งเศส ที่เน้นการ “ต่อต้านราชวงศ์” หรือ “ล้มเจ้า” อันเป็นพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ เริ่มแรกมีสมาชิกไม่กี่คนและเป็นการรวมตัวอย่างลับ ๆ ก่อนที่ต่อมาได้พัฒนากลายเป็นขบวนการระดับชาติที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้จัดตั้งสาธารณรัฐซึ่งมีสมาชิกมากกว่าครึ่งล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากโค่นล้มระบบกษัตริย์สำเร็จและจัดตั&#3657
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้
    9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน

    1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน
    2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%)
    3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร
    4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ
    5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต.
    6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก
    7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า
    8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย”
    9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย
    10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star
    11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star
    12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี
    13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น
    14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง
    15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี
    16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น
    17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง
    18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ
    19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
    20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี
    20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา
    20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้)
    21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น
    22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ
    23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด
    ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล
    24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม
    25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย
    26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี
    27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล
    28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง
    29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
    30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ
    31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง
    32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา
    33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม
    34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน…
    35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้
    36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ?
    37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ)
    38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ
    39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด
    40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ
    40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่……………
    40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่
    40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….”
    คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า
    40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน
    40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด
    40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ
    40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้ 9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน 1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน 2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%) 3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร 4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ 5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต. 6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก 7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า 8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย” 9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย 10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star 11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star 12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี 13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น 14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง 15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี 16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น 17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง 18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ 19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ 20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี 20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา 20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้) 21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น 22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ 23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล 24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม 25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย 26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี 27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล 28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง 29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง 30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ 31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง 32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา 33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม 34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน… 35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้ 36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ? 37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ) 38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ 39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด 40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ 40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่…………… 40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่ 40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….” คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า 40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน 40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด 40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ 40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงนี้อากาศดี หวังให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความเจริญ มีระบบการศึกษาให้ประชาชนส่วนใหญ่จบมามีคุณภาพมากกว่าปัจจุบัน โดยคงยึดโยงกับสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างมั่นคงครับ
    สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงนี้อากาศดี หวังให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความเจริญ มีระบบการศึกษาให้ประชาชนส่วนใหญ่จบมามีคุณภาพมากกว่าปัจจุบัน โดยคงยึดโยงกับสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างมั่นคงครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Art of Pipop พิภพ บุษราคัมวดี

    “ไม่เหมาะ มิบังควรอย่างยิ่ง!
    เมื่อคืนนี้เราไปเจอสินค้าชิ้นหนึ่งในแอป Temu เป็นพรมที่วางอยู่บนพื้น รูปธนบัตรไทยด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10

    โดยเขียนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาไทยไว้ว่า
    “พรมห้องครัวดีไซน์เหรียญบาทไทย, โพลีเอสเตอร์ 100%, ไม่ลื่น, สามารถซักเครื่อง, ผูกผ้า, ทนทาน, ใช้ได้ทั้งประตู/ห้องน้ำ”

    ส่วนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาอังกฤษคือ
    “Thai Baht Coin Design Kitchen Mat, Soft Polyester 100%, Non-Slip, Machine Washable, Knit Weave, Durab”

    * หมายเหตุ: ขอเบลอภาพบางส่วนเพื่อความเหมาะสม

    ภาพทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสม เป็นการนำพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่ต่ำ ทั้งๆ ที่ควรประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง

    นอกจากนี้การนำพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาทำเป็นพรมหรือพรมเช็ดเท้า ถือเป็นการไม่เคารพและดูหมิ่น

    ใครที่ซื้อไปแล้วนำไปวางบนพื้น ก็มีโอกาสที่เท้าจะไปเหยียบย่ำ!

    ในขณะเดียวกัน พรมหรือพรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก และอาจเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา การนำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้ในลักษณะนี้ จึงเป็นการแสดงออกถึงความไม่เหมาะสมและไม่สมควรที่สุด

    ประชาชนชาวไทยมีความเคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจและความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนทั่วไป

    Temu และเจ้าของผลิตภัณฑ์ควรมีวิจารณญาณในการใช้พระบรมฉายาลักษณ์ในทุกกรณี

    ขอเรียกร้องให้ Temu ระงับการจำหน่ายสินค้านี้

    ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดต่อกับ Temu โดยด่วน

    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Art of Pipop พิภพ บุษราคัมวดี “ไม่เหมาะ มิบังควรอย่างยิ่ง! เมื่อคืนนี้เราไปเจอสินค้าชิ้นหนึ่งในแอป Temu เป็นพรมที่วางอยู่บนพื้น รูปธนบัตรไทยด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 โดยเขียนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาไทยไว้ว่า “พรมห้องครัวดีไซน์เหรียญบาทไทย, โพลีเอสเตอร์ 100%, ไม่ลื่น, สามารถซักเครื่อง, ผูกผ้า, ทนทาน, ใช้ได้ทั้งประตู/ห้องน้ำ” ส่วนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาอังกฤษคือ “Thai Baht Coin Design Kitchen Mat, Soft Polyester 100%, Non-Slip, Machine Washable, Knit Weave, Durab” * หมายเหตุ: ขอเบลอภาพบางส่วนเพื่อความเหมาะสม ภาพทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสม เป็นการนำพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่ต่ำ ทั้งๆ ที่ควรประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง นอกจากนี้การนำพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาทำเป็นพรมหรือพรมเช็ดเท้า ถือเป็นการไม่เคารพและดูหมิ่น ใครที่ซื้อไปแล้วนำไปวางบนพื้น ก็มีโอกาสที่เท้าจะไปเหยียบย่ำ! ในขณะเดียวกัน พรมหรือพรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก และอาจเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา การนำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้ในลักษณะนี้ จึงเป็นการแสดงออกถึงความไม่เหมาะสมและไม่สมควรที่สุด ประชาชนชาวไทยมีความเคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจและความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนทั่วไป Temu และเจ้าของผลิตภัณฑ์ควรมีวิจารณญาณในการใช้พระบรมฉายาลักษณ์ในทุกกรณี ขอเรียกร้องให้ Temu ระงับการจำหน่ายสินค้านี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดต่อกับ Temu โดยด่วน
    Angry
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยเราเสียหาย
    และเสียโอกาส
    ที่จะเป็นฐานการผลิต ซิบ
    เพราะ พ่อมันเรียกรับ %
    จากนักธุรกิจ ต่างชาติ
    จริงหรือไม่ คนไม่ไร้ปัญญา
    ฟังก็จะบรรลุ ธรรม ที่ต้อง ทำ ครับ
    https://www.youtube.com/live/4I_8MEbdnsM?si=iUjfAXSyPLznZOn9
    เมื่อเราหยุดความเหี้ยของมันไม่ได้ ขนาด มันโกงที่ พระมหากษัตริย์
    ลดอภัยโทษให้เหลือ 1 ปี
    มันยังโดงได้ลงคอ
    พวกเราได้แต่ยืนดูการโกง เพราะคนส่วนใหญ่ที่โง่ ยังยอมให้มันโกง ด้วยการยืนยันแสดงออกให้มันโกงต่อไป
    ด้วยการเลือก คนของพรรคของมันที่ส่งลงสมัคร
    เราก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่

    จึงขอเชิญเพื่อน ๆ
    ื หันมาดูแลสุขภาพ
    แบบคนจนก้น ด้วยการ
    รักษาสุขภาพ แบบคนจน เอาไว้
    เพื่อรอธรรมะเวลาที่จะจัดเวลามาถึง ว่าไอ้คนที่ขายแผ่นดิน โกงสัมปทาน เอาหุ้นของรัฐไปขาย

    มันจะพบกับความ วิบัติ หรือไม่

    มารอดูกรรม ที่มัน ทำ กำหนดกัน

    https://www.facebook.com/share/v/18g2utqCKq/
    ไทยเราเสียหาย และเสียโอกาส ที่จะเป็นฐานการผลิต ซิบ เพราะ พ่อมันเรียกรับ % จากนักธุรกิจ ต่างชาติ จริงหรือไม่ คนไม่ไร้ปัญญา ฟังก็จะบรรลุ ธรรม ที่ต้อง ทำ ครับ https://www.youtube.com/live/4I_8MEbdnsM?si=iUjfAXSyPLznZOn9 เมื่อเราหยุดความเหี้ยของมันไม่ได้ ขนาด มันโกงที่ พระมหากษัตริย์ ลดอภัยโทษให้เหลือ 1 ปี มันยังโดงได้ลงคอ พวกเราได้แต่ยืนดูการโกง เพราะคนส่วนใหญ่ที่โง่ ยังยอมให้มันโกง ด้วยการยืนยันแสดงออกให้มันโกงต่อไป ด้วยการเลือก คนของพรรคของมันที่ส่งลงสมัคร เราก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่ จึงขอเชิญเพื่อน ๆ ื หันมาดูแลสุขภาพ แบบคนจนก้น ด้วยการ รักษาสุขภาพ แบบคนจน เอาไว้ เพื่อรอธรรมะเวลาที่จะจัดเวลามาถึง ว่าไอ้คนที่ขายแผ่นดิน โกงสัมปทาน เอาหุ้นของรัฐไปขาย มันจะพบกับความ วิบัติ หรือไม่ มารอดูกรรม ที่มัน ทำ กำหนดกัน https://www.facebook.com/share/v/18g2utqCKq/
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 เป็นวันปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่ 4” ซึ่งประชาชนเรียกพระนามว่า “พระเจ้าตากสิน” และได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชจากพม่าให้คืนมาแก่ประเทศไทย และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีเพียงพระองค์เดียว
    28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 เป็นวันปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่ 4” ซึ่งประชาชนเรียกพระนามว่า “พระเจ้าตากสิน” และได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชจากพม่าให้คืนมาแก่ประเทศไทย และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีเพียงพระองค์เดียว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ## ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ ทวงคำตอบ กรณี MOU44 และ JC44 กับรัฐบาล ##
    ..
    ..
    ข้อเรียกร้อง ย่ออย่างสั้นที่สุดคือ...
    .
    1.ขอให้นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี รักษาอธิปไตยของชาติ
    2.ขอให้นายกรัฐมนตรี นำเรื่อง MOU44 และ JC44 เข้า ครม. ลงมติ และ ส่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความว่า การทำ MOU44 และ JC44 ชอบด้วย รัฐธรรมนูญหรือไม่
    3.หาก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอน MOU44 และ JC44 ไป
    4.หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้ รัฐบาลไปเจรจา กับ กัมพูชา เพื่อยกเลิก MOU44 และ JC44 เพื่อป้องกันความสุ่มเสี่ยงที่ประเทศไทย อาจจะเสียเปรียบในอนาคต บนเวทีสากล หรือ ศาลโลก
    5.ขอให้ยุติการตั้ง คณะกรรมาธิการร่วมทางเทคนิค ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้านทะเล หรือ JTC เอาไว้ก่อน
    6.ขอให้รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อเสวนาและให้ความรู้ประชาชน และ สุดท้ายให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
    .
    แต่ คำตอบของ นายกรัฐมนตรี คือ เห็นหนังสือร้องเรียนแล้ว ได้ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศแล้ว หากมีเรื่องใดจะร้องทุกข์ให้มาที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 111
    .
    สรุปคำตอบของ ท่านนายกรัฐมนตรี คือ ถามวัว ตอบควาย...!!!
    .
    เนื่องจาก ครบกำหนด 15 วันแล้ว และ ท่าตอบไม่ตรงคำถาม ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ จึงได้มาทวงถามคำตอบอีกครั้ง...
    ...
    ...
    โดยในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นาย สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง หอบหิ้ว ข้าราชการนับ 10 หน่วยงาน มาร่วมประชุมรับหน้า ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ
    .
    เช่น...
    .
    1.ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักยนายกรัฐมนตรี
    2.ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
    3.ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน
    4.ผู้เชี่ยวชาญด้านมวลชน
    5.ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน
    6.ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา ***
    7.รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล
    8.สำนักนโยบายและแผนกองบัญชาการกองทัพเรือ ***
    9.ตัวแทนกองบัญชาการกองทัพเรือ ***
    10.ผู้อำนวยการด้านกองความมั่นคงทางทะเล ***
    11.นักการทูตชำนาญการกระทรวงการต่างประเทศ ***
    12.นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการสภาความนั่นคงแห่งชาติ ***
    ...
    ...
    ผมว่าการเชิญข้าราชการเหล่านี้มาคุยเป็นเรื่องดีครับ แต่ในทางที่ถูกคือควรจะเปิดเผยต่อสาธารณะชนครับ
    .
    แน่นอนว่า วิธีนี้อาจเป็นการรักษาหน้าของ ข้าราชการที่ถูกเรียกมาให้ข้อมูลยันกับ คุณลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ
    .
    เพราะบางท่านอาจถูกบังคับให้มาด้วย ตำแหน่งหน้าที่ และ สายการบังคับบัญชา โดยที่ท่านเหล่านั้น อาจจะไม่ได้เต็มใจมาค้านข้อมูลของภาคประชาชนก็ได้
    .
    มีข้อสังเกตุว่า การตระเตรียมการนำข้าราชการหลาย 10 ท่าน มาในวันนั้น ไม่ได้มีการแจ้งภาคประชาชนมากก่อน
    .
    เพราะภาคประชาชนเพียงมาทวงคำตอบ จึงไม่ได้เตรียมเอกสารหรือข้อมูลมาเพื่อพูดคุยกัน
    .
    แต่เมื่อเริ่มประชุม ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลกลับ เริ่มต้น ให้ ภาคประชาชนถามคำถามที่ค้างคาใจ...
    .
    แม้กระนั้น อาจารย์ปานเทพ ก็เทพ สมชื่อ จัดหนักข้อมูชุดใหญ่ให้ที่ประชุม แถม เสริม และ แย้ง ข้อมูลของ ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา ที่พูดไม่ครบถ้วนกระบวนความ จนความหมายผิดเพียนไปได้อย่างหนักแน่น จนอึ้งไปกันหมดทุกคน...
    ...
    ...
    ประเด็นสำคัญคือ
    .
    พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกำหนดวิธีการเจรจาไว้แล้ว ว่า ให้ใช้หลักกฎหมายสากล ซึ่งก็คือ เส้นมัธยฐาน
    .
    แต่ MOU44 และ JC44 ที่จัดทำขึ้นโดยไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา จึง ขัดต่อบทบัญญัตของ รัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ การทำหนังสือสัญญาใดๆระหว่างประเทศ เป็น อำนาจ ของ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระประมุขของประเทศ
    .
    เมื่อเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ จึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภา
    .
    เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา ดังนั้น MOU44 และ JC44 จึงเป็น เอกสารเถื่อน มีผลป็น โมฆะ มาตั้งแต่ต้น
    .
    แถม MOU44 ยัง มีแผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา แนบท้ายมาใน MOU44 อีกด้วย
    .
    มีผลเป็นการ "รับรู้" และ เป็นครั้งแรก ที่เอกสารของประเทศไทย ได้มี แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา เข้ามาสู้ระบบเอกสารของประเทศไทยอย่างทางการ
    .
    มีผลเป็นการที่ รัฐบาล และ หน่วยงานรัฐใดๆที่เกี่ยวข้อง "รับรู้" และ "ไม่ปฎิเสธ" แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา
    .
    อีกทั้งใน MOU44 ยังมีเนื้อหาที่ ทำให้เกิดความพยายามที่จะยอมรับพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างไทยกับกัมพูชา ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ลงมา
    .
    ว่าเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันเป็นที่ยุติแล้ว มีจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร ที่ไม่ต้องมีการตกลงเรื่องเขตแดนกันอีก
    .
    โดยกำหนดพื้นที่ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ให้แบ่งผลประโยชน์กัน ระหว่าง ประเทศไทย กับ กัมพูชา
    .
    ซึ่งวิธีการดังกล่าง เป็นการ ตกลงกันเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจาก หลักกฎหมาย ของ กฎหมายสากลทางทะเล (เส้น มัธยฐาน)
    .
    ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทย สูญเสียผลประโยชน์เกินกว่าความเป็นจริง และ เป็นการ ขัดพระบรมราชโองการ ประกาศเขตไหล่ทวีป ของ ในหลวงรัชการที่ 9 ซึ่งได้กำหนด วิธีการเจรจาไว้เป็นหนึ่งเดียว ตลอดไป...
    .
    สรุป สุดท้าน ภาคประชาชน ขอให้ รัฐบาลทำให้สือตอบกลับมาเป็น ลายลักษณ์อักษร หากท่านทำผิดกฎหมาย ภาคประชาชน จะไปดำเนินคดีกับท่านเอง
    .
    และได้ บอกกล่าวว่าปีหน้าจะ ไปยื่นหนังสือที่
    1.รัฐสภา
    2.กระทรวงการต่างประเทศ และ
    3.กองทัพเรือ
    .
    เรื่อง ดินแดน อำนาจอธิปไตย และ สิทธิอธิปไตย เป็นเรื่องที่คุกรุ่นอยู่ในใจของประชาชนครับ
    .
    สุดท้ายของฝากไว้...
    ....
    ....
    ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119

    ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
    ....
    ....
    https://youtu.be/pee-3jgOGrQ?si=VEkike7oS8olHZqn
    ## ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ ทวงคำตอบ กรณี MOU44 และ JC44 กับรัฐบาล ## .. .. ข้อเรียกร้อง ย่ออย่างสั้นที่สุดคือ... . 1.ขอให้นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี รักษาอธิปไตยของชาติ 2.ขอให้นายกรัฐมนตรี นำเรื่อง MOU44 และ JC44 เข้า ครม. ลงมติ และ ส่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความว่า การทำ MOU44 และ JC44 ชอบด้วย รัฐธรรมนูญหรือไม่ 3.หาก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอน MOU44 และ JC44 ไป 4.หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้ รัฐบาลไปเจรจา กับ กัมพูชา เพื่อยกเลิก MOU44 และ JC44 เพื่อป้องกันความสุ่มเสี่ยงที่ประเทศไทย อาจจะเสียเปรียบในอนาคต บนเวทีสากล หรือ ศาลโลก 5.ขอให้ยุติการตั้ง คณะกรรมาธิการร่วมทางเทคนิค ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้านทะเล หรือ JTC เอาไว้ก่อน 6.ขอให้รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อเสวนาและให้ความรู้ประชาชน และ สุดท้ายให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ . แต่ คำตอบของ นายกรัฐมนตรี คือ เห็นหนังสือร้องเรียนแล้ว ได้ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศแล้ว หากมีเรื่องใดจะร้องทุกข์ให้มาที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 111 . สรุปคำตอบของ ท่านนายกรัฐมนตรี คือ ถามวัว ตอบควาย...!!! . เนื่องจาก ครบกำหนด 15 วันแล้ว และ ท่าตอบไม่ตรงคำถาม ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ จึงได้มาทวงถามคำตอบอีกครั้ง... ... ... โดยในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นาย สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง หอบหิ้ว ข้าราชการนับ 10 หน่วยงาน มาร่วมประชุมรับหน้า ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ . เช่น... . 1.ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักยนายกรัฐมนตรี 2.ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี 3.ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน 4.ผู้เชี่ยวชาญด้านมวลชน 5.ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน 6.ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา *** 7.รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล 8.สำนักนโยบายและแผนกองบัญชาการกองทัพเรือ *** 9.ตัวแทนกองบัญชาการกองทัพเรือ *** 10.ผู้อำนวยการด้านกองความมั่นคงทางทะเล *** 11.นักการทูตชำนาญการกระทรวงการต่างประเทศ *** 12.นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการสภาความนั่นคงแห่งชาติ *** ... ... ผมว่าการเชิญข้าราชการเหล่านี้มาคุยเป็นเรื่องดีครับ แต่ในทางที่ถูกคือควรจะเปิดเผยต่อสาธารณะชนครับ . แน่นอนว่า วิธีนี้อาจเป็นการรักษาหน้าของ ข้าราชการที่ถูกเรียกมาให้ข้อมูลยันกับ คุณลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ . เพราะบางท่านอาจถูกบังคับให้มาด้วย ตำแหน่งหน้าที่ และ สายการบังคับบัญชา โดยที่ท่านเหล่านั้น อาจจะไม่ได้เต็มใจมาค้านข้อมูลของภาคประชาชนก็ได้ . มีข้อสังเกตุว่า การตระเตรียมการนำข้าราชการหลาย 10 ท่าน มาในวันนั้น ไม่ได้มีการแจ้งภาคประชาชนมากก่อน . เพราะภาคประชาชนเพียงมาทวงคำตอบ จึงไม่ได้เตรียมเอกสารหรือข้อมูลมาเพื่อพูดคุยกัน . แต่เมื่อเริ่มประชุม ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลกลับ เริ่มต้น ให้ ภาคประชาชนถามคำถามที่ค้างคาใจ... . แม้กระนั้น อาจารย์ปานเทพ ก็เทพ สมชื่อ จัดหนักข้อมูชุดใหญ่ให้ที่ประชุม แถม เสริม และ แย้ง ข้อมูลของ ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา ที่พูดไม่ครบถ้วนกระบวนความ จนความหมายผิดเพียนไปได้อย่างหนักแน่น จนอึ้งไปกันหมดทุกคน... ... ... ประเด็นสำคัญคือ . พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกำหนดวิธีการเจรจาไว้แล้ว ว่า ให้ใช้หลักกฎหมายสากล ซึ่งก็คือ เส้นมัธยฐาน . แต่ MOU44 และ JC44 ที่จัดทำขึ้นโดยไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา จึง ขัดต่อบทบัญญัตของ รัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ การทำหนังสือสัญญาใดๆระหว่างประเทศ เป็น อำนาจ ของ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระประมุขของประเทศ . เมื่อเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ จึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภา . เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา ดังนั้น MOU44 และ JC44 จึงเป็น เอกสารเถื่อน มีผลป็น โมฆะ มาตั้งแต่ต้น . แถม MOU44 ยัง มีแผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา แนบท้ายมาใน MOU44 อีกด้วย . มีผลเป็นการ "รับรู้" และ เป็นครั้งแรก ที่เอกสารของประเทศไทย ได้มี แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา เข้ามาสู้ระบบเอกสารของประเทศไทยอย่างทางการ . มีผลเป็นการที่ รัฐบาล และ หน่วยงานรัฐใดๆที่เกี่ยวข้อง "รับรู้" และ "ไม่ปฎิเสธ" แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา . อีกทั้งใน MOU44 ยังมีเนื้อหาที่ ทำให้เกิดความพยายามที่จะยอมรับพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างไทยกับกัมพูชา ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ลงมา . ว่าเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันเป็นที่ยุติแล้ว มีจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร ที่ไม่ต้องมีการตกลงเรื่องเขตแดนกันอีก . โดยกำหนดพื้นที่ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ให้แบ่งผลประโยชน์กัน ระหว่าง ประเทศไทย กับ กัมพูชา . ซึ่งวิธีการดังกล่าง เป็นการ ตกลงกันเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจาก หลักกฎหมาย ของ กฎหมายสากลทางทะเล (เส้น มัธยฐาน) . ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทย สูญเสียผลประโยชน์เกินกว่าความเป็นจริง และ เป็นการ ขัดพระบรมราชโองการ ประกาศเขตไหล่ทวีป ของ ในหลวงรัชการที่ 9 ซึ่งได้กำหนด วิธีการเจรจาไว้เป็นหนึ่งเดียว ตลอดไป... . สรุป สุดท้าน ภาคประชาชน ขอให้ รัฐบาลทำให้สือตอบกลับมาเป็น ลายลักษณ์อักษร หากท่านทำผิดกฎหมาย ภาคประชาชน จะไปดำเนินคดีกับท่านเอง . และได้ บอกกล่าวว่าปีหน้าจะ ไปยื่นหนังสือที่ 1.รัฐสภา 2.กระทรวงการต่างประเทศ และ 3.กองทัพเรือ . เรื่อง ดินแดน อำนาจอธิปไตย และ สิทธิอธิปไตย เป็นเรื่องที่คุกรุ่นอยู่ในใจของประชาชนครับ . สุดท้ายของฝากไว้... .... .... ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต .... .... https://youtu.be/pee-3jgOGrQ?si=VEkike7oS8olHZqn
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    ถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยคือ
    “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”
    หรือวันคล้ายวันปราบดาภิเษก
    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
    พระมหากษัตริย์พระองค์แรก
    และ พระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี
    ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗ ถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยคือ “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” หรือวันคล้ายวันปราบดาภิเษก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์พระองค์แรก และ พระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ ทวงคำตอบ กรณี MOU44 และ JC44 กับรัฐบาล ##
    ..
    ..
    ข้อเรียกร้อง ย่ออย่างสั้นที่สุดคือ...
    .
    1.ขอให้นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี รักษาอธิปไตยของชาติ

    2.ขอให้นายกรัฐมนตรี นำเรื่อง MOU44 และ JC44 เข้า ครม. ลงมติ และ ส่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความว่า การทำ MOU44 และ JC44 ชอบด้วย รัฐธรรมนูญหรือไม่

    3.หาก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอน MOU44 และ JC44 ไป

    4.หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้ รัฐบาลไปเจรจา กับ กัมพูชา เพื่อยกเลิก MOU44 และ JC44 เพื่อป้องกันความสุ่มเสี่ยงที่ประเทศไทย อาจจะเสียเปรียบในอนาคต บนเวทีสากล หรือ ศาลโลก

    5.ขอให้ยุติการตั้ง คณะกรรมาธิการร่วมทางเทคนิค ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้านทะเล หรือ JTC เอาไว้ก่อน

    6.ขอให้รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อเสวนาและให้ความรู้ประชาชน และ สุดท้ายให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
    .
    แต่ คำตอบของ นายกรัฐมนตรี คือ เห็นหนังสือร้องเรียนแล้ว ได้ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศแล้ว หากมีเรื่องใดจะร้องทุกข์ให้มาที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 111
    .
    สรุปคำตอบของ ท่านนายกรัฐมนตรี คือ ถามวัว ตอบควาย...!!!
    .
    เนื่องจาก ครบกำหนด 15 วันแล้ว และ ท่านตอบไม่ตรงคำถาม ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ จึงได้มาทวงถามคำตอบอีกครั้ง...
    ...
    ...
    โดยในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นาย สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง หอบหิ้ว ข้าราชการนับ 10 หน่วยงาน มาร่วมประชุมรับหน้า ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ
    .
    เช่น...
    .
    1.ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักยนายกรัฐมนตรี
    2.ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
    3.ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน
    4.ผู้เชี่ยวชาญด้านมวลชน
    5.ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน
    6.ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา ***
    7.รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล
    8.สำนักนโยบายและแผนกองบัญชาการกองทัพเรือ ***
    9.ตัวแทนกองบัญชาการกองทัพเรือ ***
    10.ผู้อำนวยการด้านกองความมั่นคงทางทะเล ***
    11.นักการทูตชำนาญการกระทรวงการต่างประเทศ ***
    12.นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการสภาความนั่นคงแห่งชาติ ***
    ...
    ...
    ผมว่าการเชิญข้าราชการเหล่านี้มาคุยเป็นเรื่องดีครับ แต่ในทางที่ถูกคือควรจะเปิดเผยต่อสาธารณะชนครับ
    .
    แน่นอนว่า วิธีนี้อาจเป็นการรักษาหน้าของ ข้าราชการที่ถูกเรียกมาให้ข้อมูลยันกับ คุณลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ
    .
    เพราะบางท่านอาจถูกบังคับให้มาด้วย ตำแหน่งหน้าที่ และ สายการบังคับบัญชา โดยที่ท่านเหล่านั้น อาจจะไม่ได้เต็มใจมาค้านข้อมูลของภาคประชาชนก็ได้
    .
    มีข้อสังเกตุว่า การตระเตรียมการนำข้าราชการหลาย 10 ท่าน มาในวันนั้น ไม่ได้มีการแจ้งภาคประชาชนมากก่อน
    .
    เพราะภาคประชาชนเพียงมาทวงคำตอบ จึงไม่ได้เตรียมเอกสารหรือข้อมูลมาเพื่อพูดคุยกัน
    .
    แต่เมื่อเริ่มประชุม ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลกลับ เริ่มต้น ให้ ภาคประชาชนถามคำถามที่ค้างคาใจ...
    .
    แม้กระนั้น อาจารย์ปานเทพ ก็เทพ สมชื่อ จัดหนักข้อมูชุดใหญ่ให้ที่ประชุม แถม เสริม และ แย้ง ข้อมูลของ ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา ที่พูดไม่ครบถ้วนกระบวนความ จนความหมายผิดเพียนไปได้อย่างหนักแน่น จนอึ้งไปกันหมดทุกคน...
    ...
    ...
    ประเด็นสำคัญคือ
    .
    พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกำหนดวิธีการเจรจาไว้แล้ว ว่า ให้ใช้หลักกฎหมายสากล ซึ่งก็คือ เส้นมัธยฐาน
    .
    แต่ MOU44 และ JC44 ที่จัดทำขึ้นโดยไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา จึง ขัดต่อบทบัญญัตของ รัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ การทำหนังสือสัญญาใดๆระหว่างประเทศ เป็น อำนาจ ของ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระประมุขของประเทศ
    .
    เมื่อเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ จึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภา
    .
    เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา ดังนั้น MOU44 และ JC44 จึงเป็น เอกสารเถื่อน มีผลป็น โมฆะ มาตั้งแต่ต้น
    .
    แถม MOU44 ยัง มีแผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา แนบท้ายมาใน MOU44 อีกด้วย
    .
    มีผลเป็นการ "รับรู้" และ เป็นครั้งแรก ที่เอกสารของประเทศไทย ได้มี แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา เข้ามาสู้ระบบเอกสารของประเทศไทยอย่างทางการ
    .
    มีผลเป็นการที่ รัฐบาล และ หน่วยงานรัฐใดๆที่เกี่ยวข้อง "รับรู้" และ "ไม่ปฎิเสธ" แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา
    .
    อีกทั้งใน MOU44 ยังมีเนื้อหาที่ ทำให้เกิดความพยายามที่จะยอมรับพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างไทยกับกัมพูชา ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ลงมา
    .
    ว่าเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันเป็นที่ยุติแล้ว มีจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร ที่ไม่ต้องมีการตกลงเรื่องเขตแดนกันอีก
    .
    โดยกำหนดพื้นที่ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ให้แบ่งผลประโยชน์กัน ระหว่าง ประเทศไทย กับ กัมพูชา
    .
    ซึ่งวิธีการดังกล่าง เป็นการ ตกลงกันเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจาก หลักกฎหมาย ของ กฎหมายสากลทางทะเล (เส้น มัธยฐาน)
    .
    ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทย สูญเสียผลประโยชน์เกินกว่าความเป็นจริง และ เป็นการ ขัดพระบรมราชโองการ ประกาศเขตไหล่ทวีป ของ ในหลวงรัชการที่ 9 ซึ่งได้กำหนด วิธีการเจรจาไว้เป็นหนึ่งเดียว ตลอดไป...
    .
    สรุป สุดท้าน ภาคประชาชน ขอให้ รัฐบาลทำให้สือตอบกลับมาเป็น ลายลักษณ์อักษร หากท่านทำผิดกฎหมาย ภาคประชาชน จะไปดำเนินคดีกับท่านเอง
    .
    และได้ บอกกล่าวว่าปีหน้าจะ ไปยื่นหนังสือที่
    1.รัฐสภา
    2.กระทรวงการต่างประเทศ และ
    3.กองทัพเรือ
    .
    เรื่อง ดินแดน อำนาจอธิปไตย และ สิทธิอธิปไตย เป็นเรื่องที่คุกรุ่นอยู่ในใจของประชาชนครับ
    .
    สุดท้ายของฝากไว้...
    ....
    ....
    ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119

    ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
    ....
    ....
    https://youtu.be/wR4PZ-c5ExA?si=onTI6IaLFkxZfEnv
    ## ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ ทวงคำตอบ กรณี MOU44 และ JC44 กับรัฐบาล ## .. .. ข้อเรียกร้อง ย่ออย่างสั้นที่สุดคือ... . 1.ขอให้นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี รักษาอธิปไตยของชาติ 2.ขอให้นายกรัฐมนตรี นำเรื่อง MOU44 และ JC44 เข้า ครม. ลงมติ และ ส่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความว่า การทำ MOU44 และ JC44 ชอบด้วย รัฐธรรมนูญหรือไม่ 3.หาก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอน MOU44 และ JC44 ไป 4.หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU44 และ JC44 ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ ขอให้ รัฐบาลไปเจรจา กับ กัมพูชา เพื่อยกเลิก MOU44 และ JC44 เพื่อป้องกันความสุ่มเสี่ยงที่ประเทศไทย อาจจะเสียเปรียบในอนาคต บนเวทีสากล หรือ ศาลโลก 5.ขอให้ยุติการตั้ง คณะกรรมาธิการร่วมทางเทคนิค ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้านทะเล หรือ JTC เอาไว้ก่อน 6.ขอให้รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อเสวนาและให้ความรู้ประชาชน และ สุดท้ายให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ . แต่ คำตอบของ นายกรัฐมนตรี คือ เห็นหนังสือร้องเรียนแล้ว ได้ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศแล้ว หากมีเรื่องใดจะร้องทุกข์ให้มาที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 111 . สรุปคำตอบของ ท่านนายกรัฐมนตรี คือ ถามวัว ตอบควาย...!!! . เนื่องจาก ครบกำหนด 15 วันแล้ว และ ท่านตอบไม่ตรงคำถาม ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ จึงได้มาทวงถามคำตอบอีกครั้ง... ... ... โดยในวันที่ 24 ธันวาคม 2567 นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นาย สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง หอบหิ้ว ข้าราชการนับ 10 หน่วยงาน มาร่วมประชุมรับหน้า ลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ . เช่น... . 1.ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักยนายกรัฐมนตรี 2.ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี 3.ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน 4.ผู้เชี่ยวชาญด้านมวลชน 5.ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชนและองค์กรประชาชน 6.ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา *** 7.รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล 8.สำนักนโยบายและแผนกองบัญชาการกองทัพเรือ *** 9.ตัวแทนกองบัญชาการกองทัพเรือ *** 10.ผู้อำนวยการด้านกองความมั่นคงทางทะเล *** 11.นักการทูตชำนาญการกระทรวงการต่างประเทศ *** 12.นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการสภาความนั่นคงแห่งชาติ *** ... ... ผมว่าการเชิญข้าราชการเหล่านี้มาคุยเป็นเรื่องดีครับ แต่ในทางที่ถูกคือควรจะเปิดเผยต่อสาธารณะชนครับ . แน่นอนว่า วิธีนี้อาจเป็นการรักษาหน้าของ ข้าราชการที่ถูกเรียกมาให้ข้อมูลยันกับ คุณลุงสนธิ และ อาจารย์ปานเทพ . เพราะบางท่านอาจถูกบังคับให้มาด้วย ตำแหน่งหน้าที่ และ สายการบังคับบัญชา โดยที่ท่านเหล่านั้น อาจจะไม่ได้เต็มใจมาค้านข้อมูลของภาคประชาชนก็ได้ . มีข้อสังเกตุว่า การตระเตรียมการนำข้าราชการหลาย 10 ท่าน มาในวันนั้น ไม่ได้มีการแจ้งภาคประชาชนมากก่อน . เพราะภาคประชาชนเพียงมาทวงคำตอบ จึงไม่ได้เตรียมเอกสารหรือข้อมูลมาเพื่อพูดคุยกัน . แต่เมื่อเริ่มประชุม ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลกลับ เริ่มต้น ให้ ภาคประชาชนถามคำถามที่ค้างคาใจ... . แม้กระนั้น อาจารย์ปานเทพ ก็เทพ สมชื่อ จัดหนักข้อมูชุดใหญ่ให้ที่ประชุม แถม เสริม และ แย้ง ข้อมูลของ ผู้อำนวยการกองกฎหมายกรมสนธิสัญญา ที่พูดไม่ครบถ้วนกระบวนความ จนความหมายผิดเพียนไปได้อย่างหนักแน่น จนอึ้งไปกันหมดทุกคน... ... ... ประเด็นสำคัญคือ . พระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกำหนดวิธีการเจรจาไว้แล้ว ว่า ให้ใช้หลักกฎหมายสากล ซึ่งก็คือ เส้นมัธยฐาน . แต่ MOU44 และ JC44 ที่จัดทำขึ้นโดยไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา จึง ขัดต่อบทบัญญัตของ รัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ การทำหนังสือสัญญาใดๆระหว่างประเทศ เป็น อำนาจ ของ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระประมุขของประเทศ . เมื่อเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ จึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภา . เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภา ดังนั้น MOU44 และ JC44 จึงเป็น เอกสารเถื่อน มีผลป็น โมฆะ มาตั้งแต่ต้น . แถม MOU44 ยัง มีแผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา แนบท้ายมาใน MOU44 อีกด้วย . มีผลเป็นการ "รับรู้" และ เป็นครั้งแรก ที่เอกสารของประเทศไทย ได้มี แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา เข้ามาสู้ระบบเอกสารของประเทศไทยอย่างทางการ . มีผลเป็นการที่ รัฐบาล และ หน่วยงานรัฐใดๆที่เกี่ยวข้อง "รับรู้" และ "ไม่ปฎิเสธ" แผนที่ไหล่ทวีป ที่วาดเอาตามอำเภอใจของ กัมพูชา . อีกทั้งใน MOU44 ยังมีเนื้อหาที่ ทำให้เกิดความพยายามที่จะยอมรับพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างไทยกับกัมพูชา ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ลงมา . ว่าเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันเป็นที่ยุติแล้ว มีจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร ที่ไม่ต้องมีการตกลงเรื่องเขตแดนกันอีก . โดยกำหนดพื้นที่ด้านใต้ ละติจูดที่ 11 องศา ให้แบ่งผลประโยชน์กัน ระหว่าง ประเทศไทย กับ กัมพูชา . ซึ่งวิธีการดังกล่าง เป็นการ ตกลงกันเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจาก หลักกฎหมาย ของ กฎหมายสากลทางทะเล (เส้น มัธยฐาน) . ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทย สูญเสียผลประโยชน์เกินกว่าความเป็นจริง และ เป็นการ ขัดพระบรมราชโองการ ประกาศเขตไหล่ทวีป ของ ในหลวงรัชการที่ 9 ซึ่งได้กำหนด วิธีการเจรจาไว้เป็นหนึ่งเดียว ตลอดไป... . สรุป สุดท้าน ภาคประชาชน ขอให้ รัฐบาลทำให้สือตอบกลับมาเป็น ลายลักษณ์อักษร หากท่านทำผิดกฎหมาย ภาคประชาชน จะไปดำเนินคดีกับท่านเอง . และได้ บอกกล่าวว่าปีหน้าจะ ไปยื่นหนังสือที่ 1.รัฐสภา 2.กระทรวงการต่างประเทศ และ 3.กองทัพเรือ . เรื่อง ดินแดน อำนาจอธิปไตย และ สิทธิอธิปไตย เป็นเรื่องที่คุกรุ่นอยู่ในใจของประชาชนครับ . สุดท้ายของฝากไว้... .... .... ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต .... .... https://youtu.be/wR4PZ-c5ExA?si=onTI6IaLFkxZfEnv
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## เปิด 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้หยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 (ฉบับย่อ) ##
    ..
    ..
    เนื่องด้วยหนังสือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่จะยื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 ธันวาคม 2567) มีความยาวถึง 14 หน้าและยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยอีกจำนวนมาก อันจะทำให้สื่อมวลชนอาจไม่สามารถนำเสนอข่าวตามเนื้อหาทั้งหมดได้ครบถ้วน จึงได้จัดทำสรุปเป็นฉบับย่อลงประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนดังนี้
    วันนี้ (9 มีนาคม 2567) นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะบุคคลได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เส้นไหล่ทวีปราชาณาอาณาจักรไทยกับกัมพูชา (MOU 2544) และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (JC 2544) เพราะมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1985 และกฎหมายอื่น รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังไม่มีพระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยเหตุผลดังนี้
    ข้อ 1 ประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และหนังสือสัญญาดังกล่าวระบุว่า “เกาะกูด” เป็นของสยาม
    .
    ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตประเทศไทยมีระยะ ”12 ไมล์ทะเล“ โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เป็นการประกาศ “อำนาจอธิปไตย” ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำภายในจนถึงแนวทะเลประชิดชายฝั่ง ซึ่งเรียกว่า“ทะเลอาณาเขต” รวมตลอดถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต พื้นท้องทะเล และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขต ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้
    .
    ข้อ 3 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512 โดยมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 ส่งผลการยืนยันประกาศพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต”ว่าเป็น “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศไทยตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958
    อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังได้กำหนด “เขตต่อเนื่อง” ขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเลอาณาเขต สำหรับเป็นพื้นที่ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของประเทศไทยอีกด้วย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังกำหนดด้วยว่าหากไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น รัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามหรือประชิดกันให้ใช้ “เส้นมัธยะ” คือ จุดทุกจุดบนเส้นนั้นมีระยะห่างเท่ากันจากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ
    ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2513 ได้มีประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย โดยมีเส้นที่ลากเส้นจาก “หลักเขตที่ 73” ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดไปยังปลายแหลมด้านใต้สุดของ “เกาะกูด” นั้นเป็น “เส้นฐานตรง” โดยพื้นที่เหนือเส้นฐานตรงบริเวณนี้เป็น “น่านน้ำภายใน” ของราชอาณาจักรไทย มีอำนาจอธิปไตยเหมือนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยทุกประการ
    เมื่อ “เกาะกูด”เป็นของประเทศไทยตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ดังนั้น พื้นที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทย และน่านน้ำภายในของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นเขตแดนทางทะเลที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้
    ดังนั้นพื้นที่เหนือของเส้นฐานตรงที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงปลายแหลมสุดทิศด้านใต้ของเกาะกูดของราชอาณาจักรไทย จึงอยู่ใน“อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย รวมทั้งทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเส้นฐานของเกาะกูดก็เป็นเขตที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน อันเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งผู้ใดหรือชาติใดจะละเมิดมิได้
    .
    ข้อ 4 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2516 เพื่อประกาศสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของประเทศไทยกับเกาะกงของกัมพูชา เป็น “เส้นมัธยะ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิอธิปไตยจากประเทศอื่น ไม่มีการแบ่งปันการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นใด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “เส้นมัธยะ” ของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 พระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขวิธีการเจรจาตกลงกระหว่างประเทศใกล้เคียงในอนาคตด้วยว่าต้องเป็นไปตามมูลฐานกฎหมายทะเลสากลเท่านั้นไม่ใช่การเจรจาตกลงกันตามอำเภอใจ
    ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยได้ยึดถือและปกป้องอำนาจอธิปไตยน่านน้ำทะเลภายในและทะเลอาณาเขต ตลอดจนรักษาสิทธิอธิปไตยตามเส้นเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการทุกฉบับ โดยได้ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 มาโดยตลอด และต่อมาประเทศไทยได้มีการลงนามและยึดถือมูลฐานตามที่กำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ที่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ด้วย
    .
    ข้อ 5 อย่างไรก็ตาม MOU 2544 ได้แนบแผนที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตามพระราชกฤษฎีกาประกาศเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ก่อให้เกิดการอ้างสิทธิในพื้นที่ไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง โดยไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชาเกินกว่าหลักมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958
    การอ้างสิทธิดังกล่าวจึงส่งผลทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลง “หลักการ” สำคัญของอำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย คือ เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบริเวณพื้นที่ “น่านน้ำภายใน”เหนือเส้นฐานตรงด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด และการละเมิดอำนาจอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด และไม่ยึดหลักเส้น “มัธยะ” เพียงอย่างเดียวที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 แต่กลับไปยึดถือ “เขตแดนแนวทางอื่น” ในการเจรจาตกลงกันเองระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิเกินจริงของกัมพูชา รวมพื้นที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชาเป็นหลัก
    ดังนั้นการดำเนินการตาม MOU 2544 ที่ถูกรับรองโดย JC 2544 จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดทะเลอาณาเขต เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2509 และพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ซึ่งได้ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แห่งมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958
    .
    ข้อ 6 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ซึ่งลงนามใน MOU 2544 ได้เคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ยอมรับว่า MOU 2544 มีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ในขณะที่ นายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียได้เขียนบทความ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 แนะนำว่า ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล
    ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่ที่มีการอ้างสิทธิเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตาม MOU 2544 อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบซ้ำรอยการถูกตัดสินโดย “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ประเทศไทยเคย “รับรู้”และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่แนบท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ในการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว
    .
    ข้อ 7 เมื่อพิจารณาตาม MOU 2544 แล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีแต่จะเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งมีพื้นที่อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปใต้พื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ หรือถึงขั้นสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลไปมากกว่านี้ได้ด้วย
    ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงย่อมส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิอธิปไตยมากกว่าวิธีการเจรจาด้วย “เส้นมัธยะ” ตามมูลฐานที่บัญญัติเอาไว้ภายใต้อนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อ MOU 2544 ซึ่งได้รับรองโดย JC 2544 มีผลทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภากรณีจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตั้งแต่แรกและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
    นอกจากนั้น MOU 2544 ที่รับรองโดย JC 2544 ยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจึงย่อมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ด้วยเช่นเดียวกัน
    .
    จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที และดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้
    .
    1)ให้ท่านและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงแห่งรัฐในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด รวมทั้งเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการที่ประกาศตามมูลฐานแห่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตามบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 52 ของหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
    .
    2) ให้ท่านเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตั้งแต่แรก และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ รวมทั้งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อน
    .
    3) หากดำเนินการตาม ๒) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544และ JC 2544 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจาตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที
    .
    4) หากดำเนินการตาม 2) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544 และ JC 2544 ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที โดยให้เจรจากันใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานโดยใช้หลักการของ “เส้นมัธยะ” ในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนตามจริงของมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ประกอบกับอนุสัญญาสหประชาชาติด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 แล้วนำผลของการเจรจาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้เจรจาเสร็จสิ้น ก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศเป็นพระราชโองการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1 และมาตรา 178 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป
    .
    5) ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ตาม MOU 2544 และ JC 2544ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีการดำเนินการให้ถูกต้อง
    .
    6) ให้จัดเวทีสาธารณะให้แก่ประชาชนในเรื่อง MOU 2544 และ JC 2544 โดยให้มีความเห็นของผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งที่มีความเห็นต่างและที่มีความเห็นด้วยในเวทีอภิปรายสาธารณะซึ่งมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ในสัดส่วนของเวลาที่เท่ากัน เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศไทยต่อไป
    ทั้งนี้ขอให้ท่านเสนอหนังสือฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และหากคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีผลเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งข้าพเจ้าได้ทราบ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาหนังสือฉบับนี้
    .
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1110891340404565/?
    ## เปิด 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้หยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 (ฉบับย่อ) ## .. .. เนื่องด้วยหนังสือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่จะยื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 ธันวาคม 2567) มีความยาวถึง 14 หน้าและยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยอีกจำนวนมาก อันจะทำให้สื่อมวลชนอาจไม่สามารถนำเสนอข่าวตามเนื้อหาทั้งหมดได้ครบถ้วน จึงได้จัดทำสรุปเป็นฉบับย่อลงประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนดังนี้ วันนี้ (9 มีนาคม 2567) นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะบุคคลได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เส้นไหล่ทวีปราชาณาอาณาจักรไทยกับกัมพูชา (MOU 2544) และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (JC 2544) เพราะมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1985 และกฎหมายอื่น รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังไม่มีพระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยเหตุผลดังนี้ ข้อ 1 ประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และหนังสือสัญญาดังกล่าวระบุว่า “เกาะกูด” เป็นของสยาม . ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตประเทศไทยมีระยะ ”12 ไมล์ทะเล“ โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เป็นการประกาศ “อำนาจอธิปไตย” ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำภายในจนถึงแนวทะเลประชิดชายฝั่ง ซึ่งเรียกว่า“ทะเลอาณาเขต” รวมตลอดถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต พื้นท้องทะเล และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขต ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้ . ข้อ 3 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512 โดยมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 ส่งผลการยืนยันประกาศพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต”ว่าเป็น “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศไทยตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังได้กำหนด “เขตต่อเนื่อง” ขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเลอาณาเขต สำหรับเป็นพื้นที่ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของประเทศไทยอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังกำหนดด้วยว่าหากไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น รัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามหรือประชิดกันให้ใช้ “เส้นมัธยะ” คือ จุดทุกจุดบนเส้นนั้นมีระยะห่างเท่ากันจากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2513 ได้มีประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย โดยมีเส้นที่ลากเส้นจาก “หลักเขตที่ 73” ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดไปยังปลายแหลมด้านใต้สุดของ “เกาะกูด” นั้นเป็น “เส้นฐานตรง” โดยพื้นที่เหนือเส้นฐานตรงบริเวณนี้เป็น “น่านน้ำภายใน” ของราชอาณาจักรไทย มีอำนาจอธิปไตยเหมือนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยทุกประการ เมื่อ “เกาะกูด”เป็นของประเทศไทยตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ดังนั้น พื้นที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทย และน่านน้ำภายในของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นเขตแดนทางทะเลที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้ ดังนั้นพื้นที่เหนือของเส้นฐานตรงที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงปลายแหลมสุดทิศด้านใต้ของเกาะกูดของราชอาณาจักรไทย จึงอยู่ใน“อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย รวมทั้งทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเส้นฐานของเกาะกูดก็เป็นเขตที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน อันเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งผู้ใดหรือชาติใดจะละเมิดมิได้ . ข้อ 4 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2516 เพื่อประกาศสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของประเทศไทยกับเกาะกงของกัมพูชา เป็น “เส้นมัธยะ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิอธิปไตยจากประเทศอื่น ไม่มีการแบ่งปันการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นใด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “เส้นมัธยะ” ของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 พระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขวิธีการเจรจาตกลงกระหว่างประเทศใกล้เคียงในอนาคตด้วยว่าต้องเป็นไปตามมูลฐานกฎหมายทะเลสากลเท่านั้นไม่ใช่การเจรจาตกลงกันตามอำเภอใจ ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยได้ยึดถือและปกป้องอำนาจอธิปไตยน่านน้ำทะเลภายในและทะเลอาณาเขต ตลอดจนรักษาสิทธิอธิปไตยตามเส้นเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการทุกฉบับ โดยได้ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 มาโดยตลอด และต่อมาประเทศไทยได้มีการลงนามและยึดถือมูลฐานตามที่กำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ที่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ด้วย . ข้อ 5 อย่างไรก็ตาม MOU 2544 ได้แนบแผนที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตามพระราชกฤษฎีกาประกาศเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ก่อให้เกิดการอ้างสิทธิในพื้นที่ไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง โดยไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชาเกินกว่าหลักมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 การอ้างสิทธิดังกล่าวจึงส่งผลทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลง “หลักการ” สำคัญของอำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย คือ เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบริเวณพื้นที่ “น่านน้ำภายใน”เหนือเส้นฐานตรงด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด และการละเมิดอำนาจอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด และไม่ยึดหลักเส้น “มัธยะ” เพียงอย่างเดียวที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 แต่กลับไปยึดถือ “เขตแดนแนวทางอื่น” ในการเจรจาตกลงกันเองระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิเกินจริงของกัมพูชา รวมพื้นที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชาเป็นหลัก ดังนั้นการดำเนินการตาม MOU 2544 ที่ถูกรับรองโดย JC 2544 จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดทะเลอาณาเขต เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2509 และพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ซึ่งได้ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แห่งมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 . ข้อ 6 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ซึ่งลงนามใน MOU 2544 ได้เคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ยอมรับว่า MOU 2544 มีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ในขณะที่ นายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียได้เขียนบทความ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 แนะนำว่า ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่ที่มีการอ้างสิทธิเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตาม MOU 2544 อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบซ้ำรอยการถูกตัดสินโดย “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ประเทศไทยเคย “รับรู้”และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่แนบท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ในการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว . ข้อ 7 เมื่อพิจารณาตาม MOU 2544 แล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีแต่จะเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งมีพื้นที่อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปใต้พื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ หรือถึงขั้นสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลไปมากกว่านี้ได้ด้วย ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงย่อมส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิอธิปไตยมากกว่าวิธีการเจรจาด้วย “เส้นมัธยะ” ตามมูลฐานที่บัญญัติเอาไว้ภายใต้อนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อ MOU 2544 ซึ่งได้รับรองโดย JC 2544 มีผลทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภากรณีจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตั้งแต่แรกและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น MOU 2544 ที่รับรองโดย JC 2544 ยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจึงย่อมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ด้วยเช่นเดียวกัน . จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที และดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ . 1)ให้ท่านและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงแห่งรัฐในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด รวมทั้งเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการที่ประกาศตามมูลฐานแห่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตามบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 52 ของหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 . 2) ให้ท่านเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตั้งแต่แรก และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ รวมทั้งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อน . 3) หากดำเนินการตาม ๒) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544และ JC 2544 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจาตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที . 4) หากดำเนินการตาม 2) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544 และ JC 2544 ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที โดยให้เจรจากันใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานโดยใช้หลักการของ “เส้นมัธยะ” ในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนตามจริงของมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ประกอบกับอนุสัญญาสหประชาชาติด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 แล้วนำผลของการเจรจาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้เจรจาเสร็จสิ้น ก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศเป็นพระราชโองการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1 และมาตรา 178 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป . 5) ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ตาม MOU 2544 และ JC 2544ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีการดำเนินการให้ถูกต้อง . 6) ให้จัดเวทีสาธารณะให้แก่ประชาชนในเรื่อง MOU 2544 และ JC 2544 โดยให้มีความเห็นของผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งที่มีความเห็นต่างและที่มีความเห็นด้วยในเวทีอภิปรายสาธารณะซึ่งมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ในสัดส่วนของเวลาที่เท่ากัน เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ขอให้ท่านเสนอหนังสือฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และหากคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีผลเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งข้าพเจ้าได้ทราบ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาหนังสือฉบับนี้ . https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1110891340404565/?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวเขมรนั้นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผมเสมอมาโดยเฉพาะในเรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษยชาติ” (แต่จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง บุพกษัตริย์และวีรชนของชาติซึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมากกว่ามากมายนัก)ไม่ต้องพูดถึงอดีตกาลโบราณ เอาแค่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ซึ่งมีไทยส่งเสริมสนับสนุนและเป็นชาติแรกๆ ที่รับรองกัมพูชาเป็นสมาชิก UNช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ๒๕๑๕ เป็นต้นไป “รัฐบาลไทยสนับสนุนรัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุซึ่งวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น”แต่ CIA เห็นว่าเจ้าสีหนุที่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและไว้ใจไม่ได้ จึงสนับสนุนนายพลลอนนนอลรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาฝ่ายพรรคคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเห็นความอ่อนแอของรัฐ จึงยึดประเทศเกิดสงครามกลางเมือง (นี่ คือจุดอ่อนของระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาจึงง่ายกับการถูกรัฐประหารและล้มล้างระบอบการปกครอง)สงครามกลางเมืองขยายขอบเขตสร้างความเดือนร้อนต่อประชาชนอย่างมหาศาลและกลายเป็นผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนนับหมิ่นๆ คนตลอดแนวชายแดนไทย/กัมพูชาโดยเฉพาะที่บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ เสด็จไปเยี่ยมผู้อพยพเขมรจนพระองค์ติดเชื้อโรคร้ายเกือบสิ้นพระชนม์ชีพในช่วงนั้นเลย) จิตอาสาแพทย์ไทยหลายสิบๆ คนเสียสละไปช่วยรักษาโรคให้ผู้อพยพเขมรจำนวนมากกองทัพไทยส่งหน่วยทหารไปวางแผนช่วยรัฐบาลนายพลลอนนอลรบกับคอมมิวนิสต์ โดยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงในเขตยึดครองเขมรแดงสนับสนุนนายพลลอนนอล (มีตำนานเล่าขานว่า มีนักบิน T-28 ทอ.ไทยถูกยิงตกที่บริเวณทะเลสาปเขมรแต่ก่อนตายถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมมากๆ) ขณะเดียวกันรัฐบาลลอนนอลฉวยโอกาสประกาศอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปทับทะเลอาณาเขตของไทย (ที่เป็นช่องทางให้สมเด็จฮุนเซนและลูกใช้อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนและหวังนำสู่ศาลโลกเพื่อพลิกผันให้มีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งโดยมีคนไทยในระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดนายพลลอนนอลคงไม่รู้คำว่า “กตัญญูกตเวทิตา” เป็นแน่แท้ (นายพลลอนนอลหนีไปสหรัฐฯ และเป็นโรคร้ายตายในสหรัฐฯ ไปแล้วและเรื่องที่ต้องเล่าแม้เป็นตำนานแต่ก็เป็นที่รู้กัน คือ เรื่องนี้เพราะ รร.นายร้อย West Piont นั้นไม่ใช่จะสมัครสอบเข้าเรียนได้เหมือนอย่างแหล่งอุดมศึกษาอื่นๆ ในสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขทางกฎหมายสหรัฐฯ กำกับไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์อย่างชัดเจนคือ นายพล ฮุน มาเน็ต ที่เรียนจบจาก รร.นายร้อย West Point นั้นได้เข้าเรียนเพราะกองทัพบกไทย (โดยนายพลท่านหนึ่งสั่งการและอนุมัติให้กองทับบกดำเนินการเอาโคว้ต้าของนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สามารถเข้าเรียนได้ตามสิทธิ์ในข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไปให้ ฮุน มาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซนได้เข้าเรียนที่ West Point เป็นกรณีพิเศษเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายพลท่านผู้นั้น)ผมไม่ได้ตำหนิ “นายพลคนใดคนหนึ่งในกองทัพบก” เพราะท่านก็ทำเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีเพื่อชาติ (สัมพันธไมตรีนั้นเป็น “นามธรรม” มูลค่าวัดไม่ได้) แต่เรื่องที่ผมอยากพูด คือ คนเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณคนไทยทั้งชาติ สำหรับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ไม่รู้บุญคุณนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สละสิทธิ์ให้เขาไปเรียน :Vachara Riddhagni
    เรื่องราวเขมรนั้นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผมเสมอมาโดยเฉพาะในเรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษยชาติ” (แต่จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง บุพกษัตริย์และวีรชนของชาติซึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมากกว่ามากมายนัก)ไม่ต้องพูดถึงอดีตกาลโบราณ เอาแค่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ซึ่งมีไทยส่งเสริมสนับสนุนและเป็นชาติแรกๆ ที่รับรองกัมพูชาเป็นสมาชิก UNช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ๒๕๑๕ เป็นต้นไป “รัฐบาลไทยสนับสนุนรัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุซึ่งวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น”แต่ CIA เห็นว่าเจ้าสีหนุที่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและไว้ใจไม่ได้ จึงสนับสนุนนายพลลอนนนอลรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาฝ่ายพรรคคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเห็นความอ่อนแอของรัฐ จึงยึดประเทศเกิดสงครามกลางเมือง (นี่ คือจุดอ่อนของระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาจึงง่ายกับการถูกรัฐประหารและล้มล้างระบอบการปกครอง)สงครามกลางเมืองขยายขอบเขตสร้างความเดือนร้อนต่อประชาชนอย่างมหาศาลและกลายเป็นผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนนับหมิ่นๆ คนตลอดแนวชายแดนไทย/กัมพูชาโดยเฉพาะที่บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ เสด็จไปเยี่ยมผู้อพยพเขมรจนพระองค์ติดเชื้อโรคร้ายเกือบสิ้นพระชนม์ชีพในช่วงนั้นเลย) จิตอาสาแพทย์ไทยหลายสิบๆ คนเสียสละไปช่วยรักษาโรคให้ผู้อพยพเขมรจำนวนมากกองทัพไทยส่งหน่วยทหารไปวางแผนช่วยรัฐบาลนายพลลอนนอลรบกับคอมมิวนิสต์ โดยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงในเขตยึดครองเขมรแดงสนับสนุนนายพลลอนนอล (มีตำนานเล่าขานว่า มีนักบิน T-28 ทอ.ไทยถูกยิงตกที่บริเวณทะเลสาปเขมรแต่ก่อนตายถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมมากๆ) ขณะเดียวกันรัฐบาลลอนนอลฉวยโอกาสประกาศอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปทับทะเลอาณาเขตของไทย (ที่เป็นช่องทางให้สมเด็จฮุนเซนและลูกใช้อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนและหวังนำสู่ศาลโลกเพื่อพลิกผันให้มีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งโดยมีคนไทยในระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดนายพลลอนนอลคงไม่รู้คำว่า “กตัญญูกตเวทิตา” เป็นแน่แท้ (นายพลลอนนอลหนีไปสหรัฐฯ และเป็นโรคร้ายตายในสหรัฐฯ ไปแล้วและเรื่องที่ต้องเล่าแม้เป็นตำนานแต่ก็เป็นที่รู้กัน คือ เรื่องนี้เพราะ รร.นายร้อย West Piont นั้นไม่ใช่จะสมัครสอบเข้าเรียนได้เหมือนอย่างแหล่งอุดมศึกษาอื่นๆ ในสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขทางกฎหมายสหรัฐฯ กำกับไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์อย่างชัดเจนคือ นายพล ฮุน มาเน็ต ที่เรียนจบจาก รร.นายร้อย West Point นั้นได้เข้าเรียนเพราะกองทัพบกไทย (โดยนายพลท่านหนึ่งสั่งการและอนุมัติให้กองทับบกดำเนินการเอาโคว้ต้าของนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สามารถเข้าเรียนได้ตามสิทธิ์ในข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไปให้ ฮุน มาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซนได้เข้าเรียนที่ West Point เป็นกรณีพิเศษเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายพลท่านผู้นั้น)ผมไม่ได้ตำหนิ “นายพลคนใดคนหนึ่งในกองทัพบก” เพราะท่านก็ทำเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีเพื่อชาติ (สัมพันธไมตรีนั้นเป็น “นามธรรม” มูลค่าวัดไม่ได้) แต่เรื่องที่ผมอยากพูด คือ คนเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณคนไทยทั้งชาติ สำหรับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ไม่รู้บุญคุณนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สละสิทธิ์ให้เขาไปเรียน :Vachara Riddhagni
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวง-พระราชินี ทรงเปิด “สะพานทศราชัน” •เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2567 เวลา 17.25 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด “สะพานทศราชัน” ณ สะพานทศราชัน ทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร• เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงบริเวณสะพานทศมราชัน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ผู้บริหาร และข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ จากนั้น เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงกราบ ทรงศีล ประธานสงฆ์ถวายศีล จบ เสร็จแล้ว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ต่อจากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายบัตร Easy Passที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงานความเป็นมาของการก่อสร้าง “สะพานทศราชัน” โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก •จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังแท่นพิธี ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายชื่อ “สะพานทศราชัน” พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานลั่นฆ้อง ประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ เสร็จแล้ว เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ต่อจากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายรัชนัย เปรมปราคิน ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณ เข้ารับพระราชทานของที่ระลึก เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของการก่อสร้าง “สะพานทศนราชัน”รูปแบบและแนวคิดในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมของสะพานทศมราชัน จากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และนายชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (วิศวกรรมและบำรุงรักษา) เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึก แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องรับรอง ทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย ในสมุดที่ระลึก สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ• สะพานทศมราชัน” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เป็นสะพานคู่ขนานแม่น้ำเจ้าพระยาคู่ (Cable Stayed Bridge) แบบไม่มีเสาอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยา ขนาด 8 ช่องจราจร ความยาวสะพาน 781.2 เมตร ซึ่งกระทรวงคมนาคม โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้มีแนวคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมสะพานแห่งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยองค์ประกอบต่าง ๆ ของสะพานจะสื่อถึงพระองค์ท่าน ดังนี้ • ส่วนยอดของเสาสะพาน หมายถึง ฝ่าพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงถึงความโอบอุ้มปกป้อง ให้ความรัก และความห่วงใยต่อพสกนิกร และพสกนิกรต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือเกล้า • สายเคเบิล เป็นสีเหลือง เพื่อสื่อถึงวันพระบรมราชสมภพ คือ วันจันทร์ •รูปปั้นพญานาคสีเหลืองทอง อยู่บนโคนเสาสะพานทั้ง 4 ต้น ซึ่งเป็นราศีประจำปีมะโรง ปีพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายอารักขาแด่พระองค์ • รั้วสะพานกันกระโดด ออกแบบให้เป็นลายดอกรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำพระองค์ • โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร ก่อสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกจากการเดินทางจากภาคใต้สู่กรุงเทพมหานคร และช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบนทางพิเศษช่วงบางโคล่ - คาวคะนอง และถนนพระรามที่ ๒ ช่วงดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร • ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อสะพานนี้ว่า “สะพานทศมราชัน” หมายถึง พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 10 และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์ เนื่องในโอกาสพระราชทานพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ไปประดิษฐานบนสะพานแห่งนี้ด้วย
    ในหลวง-พระราชินี ทรงเปิด “สะพานทศราชัน” •เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2567 เวลา 17.25 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด “สะพานทศราชัน” ณ สะพานทศราชัน ทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร• เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงบริเวณสะพานทศมราชัน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ผู้บริหาร และข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ จากนั้น เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงกราบ ทรงศีล ประธานสงฆ์ถวายศีล จบ เสร็จแล้ว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ต่อจากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายบัตร Easy Passที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงานความเป็นมาของการก่อสร้าง “สะพานทศราชัน” โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก •จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังแท่นพิธี ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายชื่อ “สะพานทศราชัน” พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานลั่นฆ้อง ประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ เสร็จแล้ว เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ต่อจากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายรัชนัย เปรมปราคิน ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณ เข้ารับพระราชทานของที่ระลึก เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของการก่อสร้าง “สะพานทศนราชัน”รูปแบบและแนวคิดในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมของสะพานทศมราชัน จากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และนายชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (วิศวกรรมและบำรุงรักษา) เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึก แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องรับรอง ทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย ในสมุดที่ระลึก สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ• สะพานทศมราชัน” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เป็นสะพานคู่ขนานแม่น้ำเจ้าพระยาคู่ (Cable Stayed Bridge) แบบไม่มีเสาอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยา ขนาด 8 ช่องจราจร ความยาวสะพาน 781.2 เมตร ซึ่งกระทรวงคมนาคม โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้มีแนวคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมสะพานแห่งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยองค์ประกอบต่าง ๆ ของสะพานจะสื่อถึงพระองค์ท่าน ดังนี้ • ส่วนยอดของเสาสะพาน หมายถึง ฝ่าพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงถึงความโอบอุ้มปกป้อง ให้ความรัก และความห่วงใยต่อพสกนิกร และพสกนิกรต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือเกล้า • สายเคเบิล เป็นสีเหลือง เพื่อสื่อถึงวันพระบรมราชสมภพ คือ วันจันทร์ •รูปปั้นพญานาคสีเหลืองทอง อยู่บนโคนเสาสะพานทั้ง 4 ต้น ซึ่งเป็นราศีประจำปีมะโรง ปีพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายอารักขาแด่พระองค์ • รั้วสะพานกันกระโดด ออกแบบให้เป็นลายดอกรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำพระองค์ • โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร ก่อสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกจากการเดินทางจากภาคใต้สู่กรุงเทพมหานคร และช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบนทางพิเศษช่วงบางโคล่ - คาวคะนอง และถนนพระรามที่ ๒ ช่วงดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร • ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อสะพานนี้ว่า “สะพานทศมราชัน” หมายถึง พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 10 และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์ เนื่องในโอกาสพระราชทานพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ไปประดิษฐานบนสะพานแห่งนี้ด้วย
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 595 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักการเมืองที่ร่าง พรบ.กห.ฉบับใหม่คนนี้เหมือนจะลอกจากระบบอังกฤษแต่เว้นไม่พูดเรื่อง “ตำแหน่งจอมทัพ” เพราะ “พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงเป็น “จอมทัพ” มีอำนาจเยี่ยงจอมทัพจริงๆ แต่ในขนบธรรมเนียมกองทัพอังกฤษในระบอบประชาธิปไตย (ซึ่งมีวิวัฒนาการตั้งแต่ ค.ศ.๑๒๑๕ (พ.ศ.๑๗๕๘) พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจการจัดการกองทัพให้รัฐบาลแล้วและระบบอังกฤษ “ไม่มี” การนำเรื่องการบริหารหรือการแต่งตั้งนายทหารเข้าครม.พิจารณาการบริหารราชการกองทัพ “เพราะตามพรบ.กลาโหมอังกฤษ มี “Defence Council”ซึ่งประกอบด้วย “Defence Board” มี นักการเมือง ๕ คน ทหาร ๖ คนและสำนักงานพระราชวัง ๓ คนเพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ สำหรับ รมว.กห.เป็นตัวแทนของ ครม.อยู่แล้ว ซึ่ง Defence Board ในระบบอังกฤษกำกับดูแลการบริหารและการปฏิบัติการ Operations ของกองทัพ จึงไม่จำเป็นต้องนำเสนอ ครม.เพราะ Defence Council นั้นทำในในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ครม.อังกฤษกำกับดูแลกองทัพ ในเรื่อง การใช้กำลังทหารทำสงคราม งบประมาณกลาโหม การพิจารณาการพัฒนากองทัพเพื่อการสงคราม การเตรียมกำลังสำรองและกฎหมายให้ภาคเอกชนช่วยทำสงคราม เท่านั้นไม่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง “ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารขนาดใหญ่ “หน่วยที่เล็กที่สุดในยุทธบริเวณ คือ กองพัน หน่วยที่ใหญ่ที่สุดในยุทธบริเวณ คือ กองพล (หมายถึงหน่วยที่รบพุ่งในสมรภูมิ” และสูงกว่านั้น Defence Board เป็นองค์กรพิจารณาแต่งตั้งสำหรับกองทัพสหรัฐฯ นายทหารระดับนายพลนั้น “รัฐสภาเป็นองค์กรแต่งตั้งนายพลตามวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของกองทัพสหรัฐฯ เพราะ “นักการเมืองสร้างกองทัพ” (นักการเมืองลงขันสร้างกองทัพขึ้นสู้กับกองทัพอังกฤษสมัยทำสงครามปลดแอกจากอังกฤษ)แต่นักการเมืองไทยและพรรคการเมืองนี้มีเจตนาอย่างชัดเจนที่จะควบคุมกองทัพ นั่นเป็นแนวคิดที่ผิดมากๆ เพราะเป็นอคติต่อกองทัพ ซึ่งจะก่อให้เกิดการแตกแยกในกองทัพ ทหารจะเสียขวัญกำลังใจ (อันตรายมากๆ)เพราะเนื้อหาในร่าง พรบ.กห.ฉบับใหม่นี้มีการออกคุณสมบัติของนายทหารชั้นนายพล เสมือนว่า “นายพลระดับผู้บริหารเหล่าทัพ” เคยมีประวัติชั่วร้ายโกงกิน (คุณสมบัติเหล่าที่ร่าง พรบ.กห.ใหม่กำหนดไว้ก็เป็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคนทั้งสิ้น “โดยเฉพาะนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนักการเมืองที่ถูกศาลตัดสินว่าทำผิดกฎหมายจริงจนเป็นที่ประจักษ์ หรือรูปแบบต่างๆ ของนักการเมืองที่ถูกตัดสินติดคุกแต่อยู่ในคุกไม่นานตามที่เป็นข่าวอยู่นี้ เป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยหรือ?”การกำหนดคุณสมบัตินายทหารชั้นนายพลนั้นเป็นการดูถูก “นายทหารแห่งกองทัพไทย” เพราะ “กว่าจะเป็นนายพลนั้นก็ผ่านการกลั่นกรองมาตามลำดับชั้นอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว”นักการเมืองพรรคเพื่อไทยคนนี้คิดจะทำลายกองทัพ การรัฐประหารเกิดจากนักการเมืองก่อเรื่องทั้งสิ้นรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๕๗ จะไม่เกิด ไม่มี คสช.หากรัฐบาลชั่วคราวระบอบทักษิณ “ลาออก” พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีเงื่อนไขที่จะรัฐประหาร: Vachara Riddhagni
    นักการเมืองที่ร่าง พรบ.กห.ฉบับใหม่คนนี้เหมือนจะลอกจากระบบอังกฤษแต่เว้นไม่พูดเรื่อง “ตำแหน่งจอมทัพ” เพราะ “พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงเป็น “จอมทัพ” มีอำนาจเยี่ยงจอมทัพจริงๆ แต่ในขนบธรรมเนียมกองทัพอังกฤษในระบอบประชาธิปไตย (ซึ่งมีวิวัฒนาการตั้งแต่ ค.ศ.๑๒๑๕ (พ.ศ.๑๗๕๘) พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจการจัดการกองทัพให้รัฐบาลแล้วและระบบอังกฤษ “ไม่มี” การนำเรื่องการบริหารหรือการแต่งตั้งนายทหารเข้าครม.พิจารณาการบริหารราชการกองทัพ “เพราะตามพรบ.กลาโหมอังกฤษ มี “Defence Council”ซึ่งประกอบด้วย “Defence Board” มี นักการเมือง ๕ คน ทหาร ๖ คนและสำนักงานพระราชวัง ๓ คนเพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ สำหรับ รมว.กห.เป็นตัวแทนของ ครม.อยู่แล้ว ซึ่ง Defence Board ในระบบอังกฤษกำกับดูแลการบริหารและการปฏิบัติการ Operations ของกองทัพ จึงไม่จำเป็นต้องนำเสนอ ครม.เพราะ Defence Council นั้นทำในในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ครม.อังกฤษกำกับดูแลกองทัพ ในเรื่อง การใช้กำลังทหารทำสงคราม งบประมาณกลาโหม การพิจารณาการพัฒนากองทัพเพื่อการสงคราม การเตรียมกำลังสำรองและกฎหมายให้ภาคเอกชนช่วยทำสงคราม เท่านั้นไม่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง “ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารขนาดใหญ่ “หน่วยที่เล็กที่สุดในยุทธบริเวณ คือ กองพัน หน่วยที่ใหญ่ที่สุดในยุทธบริเวณ คือ กองพล (หมายถึงหน่วยที่รบพุ่งในสมรภูมิ” และสูงกว่านั้น Defence Board เป็นองค์กรพิจารณาแต่งตั้งสำหรับกองทัพสหรัฐฯ นายทหารระดับนายพลนั้น “รัฐสภาเป็นองค์กรแต่งตั้งนายพลตามวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของกองทัพสหรัฐฯ เพราะ “นักการเมืองสร้างกองทัพ” (นักการเมืองลงขันสร้างกองทัพขึ้นสู้กับกองทัพอังกฤษสมัยทำสงครามปลดแอกจากอังกฤษ)แต่นักการเมืองไทยและพรรคการเมืองนี้มีเจตนาอย่างชัดเจนที่จะควบคุมกองทัพ นั่นเป็นแนวคิดที่ผิดมากๆ เพราะเป็นอคติต่อกองทัพ ซึ่งจะก่อให้เกิดการแตกแยกในกองทัพ ทหารจะเสียขวัญกำลังใจ (อันตรายมากๆ)เพราะเนื้อหาในร่าง พรบ.กห.ฉบับใหม่นี้มีการออกคุณสมบัติของนายทหารชั้นนายพล เสมือนว่า “นายพลระดับผู้บริหารเหล่าทัพ” เคยมีประวัติชั่วร้ายโกงกิน (คุณสมบัติเหล่าที่ร่าง พรบ.กห.ใหม่กำหนดไว้ก็เป็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคนทั้งสิ้น “โดยเฉพาะนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนักการเมืองที่ถูกศาลตัดสินว่าทำผิดกฎหมายจริงจนเป็นที่ประจักษ์ หรือรูปแบบต่างๆ ของนักการเมืองที่ถูกตัดสินติดคุกแต่อยู่ในคุกไม่นานตามที่เป็นข่าวอยู่นี้ เป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยหรือ?”การกำหนดคุณสมบัตินายทหารชั้นนายพลนั้นเป็นการดูถูก “นายทหารแห่งกองทัพไทย” เพราะ “กว่าจะเป็นนายพลนั้นก็ผ่านการกลั่นกรองมาตามลำดับชั้นอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว”นักการเมืองพรรคเพื่อไทยคนนี้คิดจะทำลายกองทัพ การรัฐประหารเกิดจากนักการเมืองก่อเรื่องทั้งสิ้นรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๕๗ จะไม่เกิด ไม่มี คสช.หากรัฐบาลชั่วคราวระบอบทักษิณ “ลาออก” พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีเงื่อนไขที่จะรัฐประหาร: Vachara Riddhagni
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9/12/67

    เปิด 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้หยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 (ฉบับย่อ)

    เนื่องด้วยหนังสือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่จะยื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 ธันวาคม 2567) มีความยาวถึง 14 หน้าและยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยอีกจำนวนมาก อันจะทำให้สื่อมวลชนอาจไม่สามารถนำเสนอข่าวตามเนื้อหาทั้งหมดได้ครบถ้วน จึงได้จัดทำสรุปเป็นฉบับย่อลงประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนดังนี้

    วันนี้ (9 มีนาคม 2567) นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะบุคคลได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เส้นไหล่ทวีปราชาณาอาณาจักรไทยกับกัมพูชา (MOU 2544) และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (JC 2544) เพราะมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1985 และกฎหมายอื่น รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังไม่มีพระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยเหตุผลดังนี้

    ข้อ 1 ประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และหนังสือสัญญาดังกล่าวระบุว่า “เกาะกูด” เป็นของสยาม

    ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตประเทศไทยมีระยะ ”12 ไมล์ทะเล“ โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เป็นการประกาศ “อำนาจอธิปไตย” ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำภายในจนถึงแนวทะเลประชิดชายฝั่ง ซึ่งเรียกว่า“ทะเลอาณาเขต” รวมตลอดถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต พื้นท้องทะเล และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขต ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้

    ข้อ 3 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512 โดยมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 ส่งผลการยืนยันประกาศพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต”ว่าเป็น “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศไทยตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958

    อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังได้กำหนด “เขตต่อเนื่อง” ขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเลอาณาเขต สำหรับเป็นพื้นที่ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของประเทศไทยอีกด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังกำหนดด้วยว่าหากไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น รัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามหรือประชิดกันให้ใช้ “เส้นมัธยะ” คือ จุดทุกจุดบนเส้นนั้นมีระยะห่างเท่ากันจากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ

    ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2513 ได้มีประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย โดยมีเส้นที่ลากเส้นจาก “หลักเขตที่ 73” ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดไปยังปลายแหลมด้านใต้สุดของ “เกาะกูด” นั้นเป็น “เส้นฐานตรง” โดยพื้นที่เหนือเส้นฐานตรงบริเวณนี้เป็น “น่านน้ำภายใน” ของราชอาณาจักรไทย มีอำนาจอธิปไตยเหมือนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยทุกประการ

    เมื่อ “เกาะกูด”เป็นของประเทศไทยตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ดังนั้น พื้นที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทย และน่านน้ำภายในของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นเขตแดนทางทะเลที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้

    ดังนั้นพื้นที่เหนือของเส้นฐานตรงที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงปลายแหลมสุดทิศด้านใต้ของเกาะกูดของราชอาณาจักรไทย จึงอยู่ใน“อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย รวมทั้งทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเส้นฐานของเกาะกูดก็เป็นเขตที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน อันเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งผู้ใดหรือชาติใดจะละเมิดมิได้

    ข้อ 4 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2516 เพื่อประกาศสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของประเทศไทยกับเกาะกงของกัมพูชา เป็น “เส้นมัธยะ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิอธิปไตยจากประเทศอื่น ไม่มีการแบ่งปันการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นใด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “เส้นมัธยะ” ของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 พระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขวิธีการเจรจาตกลงกระหว่างประเทศใกล้เคียงในอนาคตด้วยว่าต้องเป็นไปตามมูลฐานกฎหมายทะเลสากลเท่านั้นไม่ใช่การเจรจาตกลงกันตามอำเภอใจ

    ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยได้ยึดถือและปกป้องอำนาจอธิปไตยน่านน้ำทะเลภายในและทะเลอาณาเขต ตลอดจนรักษาสิทธิอธิปไตยตามเส้นเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการทุกฉบับ โดยได้ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 มาโดยตลอด และต่อมาประเทศไทยได้มีการลงนามและยึดถือมูลฐานตามที่กำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ที่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ด้วย

    ข้อ 5 อย่างไรก็ตาม MOU 2544 ได้แนบแผนที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตามพระราชกฤษฎีกาประกาศเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ก่อให้เกิดการอ้างสิทธิในพื้นที่ไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง โดยไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชาเกินกว่าหลักมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958

    การอ้างสิทธิดังกล่าวจึงส่งผลทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลง “หลักการ” สำคัญของอำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย คือ เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบริเวณพื้นที่ “น่านน้ำภายใน”เหนือเส้นฐานตรงด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด และการละเมิดอำนาจอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด และไม่ยึดหลักเส้น “มัธยะ” เพียงอย่างเดียวที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 แต่กลับไปยึดถือ “เขตแดนแนวทางอื่น” ในการเจรจาตกลงกันเองระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิเกินจริงของกัมพูชา รวมพื้นที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชาเป็นหลัก

    ดังนั้นการดำเนินการตาม MOU 2544 ที่ถูกรับรองโดย JC 2544 จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดทะเลอาณาเขต เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2509 และพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ซึ่งได้ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แห่งมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958

    ข้อ 6 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ซึ่งลงนามใน MOU 2544 ได้เคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ยอมรับว่า MOU 2544 มีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ในขณะที่ นายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียได้เขียนบทความ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 แนะนำว่า ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล

    ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่ที่มีการอ้างสิทธิเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตาม MOU 2544 อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบซ้ำรอยการถูกตัดสินโดย “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ประเทศไทยเคย “รับรู้”และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่แนบท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ในการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว

    ข้อ 7 เมื่อพิจารณาตาม MOU 2544 แล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีแต่จะเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งมีพื้นที่อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปใต้พื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ หรือถึงขั้นสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลไปมากกว่านี้ได้ด้วย

    ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงย่อมส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิอธิปไตยมากกว่าวิธีการเจรจาด้วย “เส้นมัธยะ” ตามมูลฐานที่บัญญัติเอาไว้ภายใต้อนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อ MOU 2544 ซึ่งได้รับรองโดย JC 2544 มีผลทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภากรณีจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตั้งแต่แรกและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น MOU 2544 ที่รับรองโดย JC 2544 ยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจึงย่อมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ด้วยเช่นเดียวกัน

    จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที และดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้

    1)ให้ท่านและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงแห่งรัฐในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด รวมทั้งเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการที่ประกาศตามมูลฐานแห่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตามบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 52 ของหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

    2) ให้ท่านเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตั้งแต่แรก และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ รวมทั้งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อน

    3) หากดำเนินการตาม ๒) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544และ JC 2544 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจาตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที

    4) หากดำเนินการตาม 2) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544 และ JC 2544 ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที โดยให้เจรจากันใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานโดยใช้หลักการของ “เส้นมัธยะ” ในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนตามจริงของมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ประกอบกับอนุสัญญาสหประชาชาติด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 แล้วนำผลของการเจรจาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้เจรจาเสร็จสิ้น ก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศเป็นพระราชโองการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1 และมาตรา 178 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป

    5) ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ตาม MOU 2544 และ JC 2544ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีการดำเนินการให้ถูกต้อง

    6) ให้จัดเวทีสาธารณะให้แก่ประชาชนในเรื่อง MOU 2544 และ JC 2544 โดยให้มีความเห็นของผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งที่มีความเห็นต่างและที่มีความเห็นด้วยในเวทีอภิปรายสาธารณะซึ่งมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ในสัดส่วนของเวลาที่เท่ากัน เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศไทยต่อไป

    ทั้งนี้ขอให้ท่านเสนอหนังสือฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และหากคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีผลเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งข้าพเจ้าได้ทราบ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาหนังสือฉบับนี้

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1110891340404565/?
    9/12/67 เปิด 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้หยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 (ฉบับย่อ) เนื่องด้วยหนังสือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่จะยื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 ธันวาคม 2567) มีความยาวถึง 14 หน้าและยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยอีกจำนวนมาก อันจะทำให้สื่อมวลชนอาจไม่สามารถนำเสนอข่าวตามเนื้อหาทั้งหมดได้ครบถ้วน จึงได้จัดทำสรุปเป็นฉบับย่อลงประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนดังนี้ วันนี้ (9 มีนาคม 2567) นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะบุคคลได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เส้นไหล่ทวีปราชาณาอาณาจักรไทยกับกัมพูชา (MOU 2544) และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (JC 2544) เพราะมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1985 และกฎหมายอื่น รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังไม่มีพระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยเหตุผลดังนี้ ข้อ 1 ประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และหนังสือสัญญาดังกล่าวระบุว่า “เกาะกูด” เป็นของสยาม ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตประเทศไทยมีระยะ ”12 ไมล์ทะเล“ โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เป็นการประกาศ “อำนาจอธิปไตย” ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำภายในจนถึงแนวทะเลประชิดชายฝั่ง ซึ่งเรียกว่า“ทะเลอาณาเขต” รวมตลอดถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต พื้นท้องทะเล และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขต ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้ ข้อ 3 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512 โดยมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 ส่งผลการยืนยันประกาศพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต”ว่าเป็น “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศไทยตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังได้กำหนด “เขตต่อเนื่อง” ขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเลอาณาเขต สำหรับเป็นพื้นที่ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของประเทศไทยอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังกำหนดด้วยว่าหากไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น รัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามหรือประชิดกันให้ใช้ “เส้นมัธยะ” คือ จุดทุกจุดบนเส้นนั้นมีระยะห่างเท่ากันจากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2513 ได้มีประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย โดยมีเส้นที่ลากเส้นจาก “หลักเขตที่ 73” ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดไปยังปลายแหลมด้านใต้สุดของ “เกาะกูด” นั้นเป็น “เส้นฐานตรง” โดยพื้นที่เหนือเส้นฐานตรงบริเวณนี้เป็น “น่านน้ำภายใน” ของราชอาณาจักรไทย มีอำนาจอธิปไตยเหมือนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยทุกประการ เมื่อ “เกาะกูด”เป็นของประเทศไทยตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ดังนั้น พื้นที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทย และน่านน้ำภายในของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นเขตแดนทางทะเลที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้ ดังนั้นพื้นที่เหนือของเส้นฐานตรงที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงปลายแหลมสุดทิศด้านใต้ของเกาะกูดของราชอาณาจักรไทย จึงอยู่ใน“อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย รวมทั้งทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเส้นฐานของเกาะกูดก็เป็นเขตที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน อันเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งผู้ใดหรือชาติใดจะละเมิดมิได้ ข้อ 4 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2516 เพื่อประกาศสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของประเทศไทยกับเกาะกงของกัมพูชา เป็น “เส้นมัธยะ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิอธิปไตยจากประเทศอื่น ไม่มีการแบ่งปันการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นใด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “เส้นมัธยะ” ของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 พระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขวิธีการเจรจาตกลงกระหว่างประเทศใกล้เคียงในอนาคตด้วยว่าต้องเป็นไปตามมูลฐานกฎหมายทะเลสากลเท่านั้นไม่ใช่การเจรจาตกลงกันตามอำเภอใจ ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยได้ยึดถือและปกป้องอำนาจอธิปไตยน่านน้ำทะเลภายในและทะเลอาณาเขต ตลอดจนรักษาสิทธิอธิปไตยตามเส้นเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการทุกฉบับ โดยได้ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 มาโดยตลอด และต่อมาประเทศไทยได้มีการลงนามและยึดถือมูลฐานตามที่กำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ที่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ด้วย ข้อ 5 อย่างไรก็ตาม MOU 2544 ได้แนบแผนที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตามพระราชกฤษฎีกาประกาศเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ก่อให้เกิดการอ้างสิทธิในพื้นที่ไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง โดยไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชาเกินกว่าหลักมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 การอ้างสิทธิดังกล่าวจึงส่งผลทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลง “หลักการ” สำคัญของอำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย คือ เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบริเวณพื้นที่ “น่านน้ำภายใน”เหนือเส้นฐานตรงด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด และการละเมิดอำนาจอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด และไม่ยึดหลักเส้น “มัธยะ” เพียงอย่างเดียวที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 แต่กลับไปยึดถือ “เขตแดนแนวทางอื่น” ในการเจรจาตกลงกันเองระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิเกินจริงของกัมพูชา รวมพื้นที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชาเป็นหลัก ดังนั้นการดำเนินการตาม MOU 2544 ที่ถูกรับรองโดย JC 2544 จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดทะเลอาณาเขต เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2509 และพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ซึ่งได้ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แห่งมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ข้อ 6 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ซึ่งลงนามใน MOU 2544 ได้เคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ยอมรับว่า MOU 2544 มีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ในขณะที่ นายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียได้เขียนบทความ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 แนะนำว่า ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่ที่มีการอ้างสิทธิเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตาม MOU 2544 อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบซ้ำรอยการถูกตัดสินโดย “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ประเทศไทยเคย “รับรู้”และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่แนบท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ในการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว ข้อ 7 เมื่อพิจารณาตาม MOU 2544 แล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีแต่จะเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งมีพื้นที่อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปใต้พื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ หรือถึงขั้นสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลไปมากกว่านี้ได้ด้วย ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงย่อมส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิอธิปไตยมากกว่าวิธีการเจรจาด้วย “เส้นมัธยะ” ตามมูลฐานที่บัญญัติเอาไว้ภายใต้อนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อ MOU 2544 ซึ่งได้รับรองโดย JC 2544 มีผลทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภากรณีจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตั้งแต่แรกและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น MOU 2544 ที่รับรองโดย JC 2544 ยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจึงย่อมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ด้วยเช่นเดียวกัน จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที และดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ 1)ให้ท่านและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงแห่งรัฐในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด รวมทั้งเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการที่ประกาศตามมูลฐานแห่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตามบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 52 ของหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 2) ให้ท่านเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตั้งแต่แรก และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ รวมทั้งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อน 3) หากดำเนินการตาม ๒) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544และ JC 2544 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจาตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที 4) หากดำเนินการตาม 2) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544 และ JC 2544 ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที โดยให้เจรจากันใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานโดยใช้หลักการของ “เส้นมัธยะ” ในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนตามจริงของมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ประกอบกับอนุสัญญาสหประชาชาติด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 แล้วนำผลของการเจรจาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้เจรจาเสร็จสิ้น ก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศเป็นพระราชโองการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1 และมาตรา 178 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป 5) ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ตาม MOU 2544 และ JC 2544ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีการดำเนินการให้ถูกต้อง 6) ให้จัดเวทีสาธารณะให้แก่ประชาชนในเรื่อง MOU 2544 และ JC 2544 โดยให้มีความเห็นของผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งที่มีความเห็นต่างและที่มีความเห็นด้วยในเวทีอภิปรายสาธารณะซึ่งมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ในสัดส่วนของเวลาที่เท่ากัน เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ขอให้ท่านเสนอหนังสือฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และหากคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีผลเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งข้าพเจ้าได้ทราบ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาหนังสือฉบับนี้ https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1110891340404565/?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 640 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรา รู้ ถูกต้องเราปฏิบัติเอง ...ไม่ไปบอกใครเราได้ผลคนเดียว...*แต่ถ้าเรา รู้ ถูกต้อง แล้ว ติดประกาศไว้ ไม่ระบุเจาะจง ทำเป็นสังฆทานไว้ใครก็ตาม มาตามข้อรู้ ของเราแล้วนำไปปฏิบัติเราจะได้ วิหารทาน...และถ้าเค้านำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลกับเค้าเช่นเดียวกับเรา......เราจะได้ ธรรมทานด้วยปล. เราจึงปวารณาตน ออกมาชี้แจงความจริงที่มีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวิชาชีพหมอดูที่ใช้หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตเรา......ไม่เคยเว้นแม้แต่...วันเดียว#พลัมเฮร่า #หมอดู #ไพ่ยิปซี #ลูกแก้วไอยคุปต์ #ดูดวง #ดวงชะตา #โหราศาสตร์ #มูเตลู #สายมู #ตัวแม่ #จักรวาล #Tarotreader #Inspirater #เรียนพระไตรปิฎกกับครูนัท #หนอนพระไตรปิฎก #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ #รักชาติศาสน์กษัตริย์
    เรา รู้ ถูกต้องเราปฏิบัติเอง ...ไม่ไปบอกใครเราได้ผลคนเดียว...*แต่ถ้าเรา รู้ ถูกต้อง แล้ว ติดประกาศไว้ ไม่ระบุเจาะจง ทำเป็นสังฆทานไว้ใครก็ตาม มาตามข้อรู้ ของเราแล้วนำไปปฏิบัติเราจะได้ วิหารทาน...และถ้าเค้านำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลกับเค้าเช่นเดียวกับเรา......เราจะได้ ธรรมทานด้วยปล. เราจึงปวารณาตน ออกมาชี้แจงความจริงที่มีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวิชาชีพหมอดูที่ใช้หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตเรา......ไม่เคยเว้นแม้แต่...วันเดียว#พลัมเฮร่า #หมอดู #ไพ่ยิปซี #ลูกแก้วไอยคุปต์ #ดูดวง #ดวงชะตา #โหราศาสตร์ #มูเตลู #สายมู #ตัวแม่ #จักรวาล #Tarotreader #Inspirater #เรียนพระไตรปิฎกกับครูนัท #หนอนพระไตรปิฎก #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ #รักชาติศาสน์กษัตริย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองเท้าพระมหากษัตริย์!! ..กราบแผ่นดิน!! (05/12/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #รองเท้าพระมหากษัตริย์ #ในหลวงรัชกาลที่9 #วันดินโลก
    รองเท้าพระมหากษัตริย์!! ..กราบแผ่นดิน!! (05/12/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #รองเท้าพระมหากษัตริย์ #ในหลวงรัชกาลที่9 #วันดินโลก
    Love
    Like
    26
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1438 มุมมอง 73 3 รีวิว
  • ตื่นรู้ ตื่นทำดี ตื่นทำมาหากินสุจริต ตื่นดูแล ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    ตื่นรู้ ตื่นทำดี ตื่นทำมาหากินสุจริต ตื่นดูแล ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • "วันพ่อแห่งชาติ" ปีนี้ 2567 ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 5 ธันวาคม ซึ่งวันนี้ถูกกำหนดให้เป็น "วันพ่อแห่งชาติ" เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และเป็นวันที่ยกย่อง "พ่อ" ผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัววันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567ในปี 2563 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจัด "วันพ่อแห่งชาติ" ขึ้น โดยผู้คิดริเริ่ม คือ คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา กำหนดให้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ซึ่งเป็นคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นที่ทราบกันดีว่าทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี คือ "วันพ่อแห่งชาติ" เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ รัชกาลที่ 9 รวมถึงเป็นการให้ความสำคัญกับบทบาทของพ่อในครอบครัว "วันพ่อแห่งชาติ" ยังถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการประจำปีในประเทศไทย อีกด้วย ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 รัฐบาลประกาศ "วันพ่อแห่งชาติ" ยังคงไว้ให้เป็นวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี วันชาติ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ยังถูกกำหนดให้เป็น "วันชาติ" ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 วันชาติ 5 ธันวาคม 2567ในอดีต "วันชาติ" เคยมีการกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน เนื่องจากเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2481 และมีการฉลองวันชาติครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนายน 2482 ในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอดเป็นระยะเวลาถึง 21 ปี จนถึงสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการทบทวนว่าไม่ควรใช้วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ เนื่องจากมีความไม่เหมาะสมหลายประการ มีการตั้งคณะกรรมการ พิจารณาและเสนอความเห็นว่าประเทศที่มี ระบอบประชาธิปไตย และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติหลายประเทศถือเอาวันพระราชสมภพ ของพระมหากษัตริย์ เป็นวันฉลองของชาติ เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้น เพื่อยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ และเป็นวันศูนย์รวมจิตใจ ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นวันฉลอง "วันชาติ" ตั้งแต่ 2503 เป็นต้นมา โดยภาครัฐและเอกชนจะจัดกิจกรรมกันทั่วประเทศ สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ คือ "ดอกพุทธรักษา" เนื่องจากดอกพุทธรักษามีสีเหลืองตรงกับสีวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ รัชกาลที่ 9 (วันจันทร์) นอกจากนี้ชาวพุทธยังมีความเชื่อว่า ดอกพุทธรักษา คือ ดอกไม้มงคล อีกด้วยพิธีสำคัญ วันที่ 5 ธันวาคม 2567 ในปี 2567 นี้ รัฐบาล จัดกิจกรรม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 ดังนี้ช่วงเช้า เวลา 07.30 น. มีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล โดยส่วนกลางจัดพิธี ณ ท้องสนามหลวง พระสงฆ์ จำนวน 189 รูป มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีพร้อมคู่สมรสส่วนภูมิภาคทุกจังหวัดจัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม และในต่างประเทศสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลพิจารณาการจัดพิธีตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมมีการ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณาให้วัดทุกวัดในประเทศไทย จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล จัดพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่วนภูมิภาคทุกจังหวัดจัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์และสาธารณกุศลเฉลิมพระเกียรติฯ ในเดือนธันวาคม 2567 อีกด้วย
    "วันพ่อแห่งชาติ" ปีนี้ 2567 ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 5 ธันวาคม ซึ่งวันนี้ถูกกำหนดให้เป็น "วันพ่อแห่งชาติ" เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และเป็นวันที่ยกย่อง "พ่อ" ผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัววันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567ในปี 2563 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจัด "วันพ่อแห่งชาติ" ขึ้น โดยผู้คิดริเริ่ม คือ คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา กำหนดให้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ซึ่งเป็นคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นที่ทราบกันดีว่าทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี คือ "วันพ่อแห่งชาติ" เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ รัชกาลที่ 9 รวมถึงเป็นการให้ความสำคัญกับบทบาทของพ่อในครอบครัว "วันพ่อแห่งชาติ" ยังถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการประจำปีในประเทศไทย อีกด้วย ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 รัฐบาลประกาศ "วันพ่อแห่งชาติ" ยังคงไว้ให้เป็นวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี วันชาติ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ยังถูกกำหนดให้เป็น "วันชาติ" ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 วันชาติ 5 ธันวาคม 2567ในอดีต "วันชาติ" เคยมีการกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน เนื่องจากเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2481 และมีการฉลองวันชาติครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนายน 2482 ในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอดเป็นระยะเวลาถึง 21 ปี จนถึงสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการทบทวนว่าไม่ควรใช้วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ เนื่องจากมีความไม่เหมาะสมหลายประการ มีการตั้งคณะกรรมการ พิจารณาและเสนอความเห็นว่าประเทศที่มี ระบอบประชาธิปไตย และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติหลายประเทศถือเอาวันพระราชสมภพ ของพระมหากษัตริย์ เป็นวันฉลองของชาติ เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้น เพื่อยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ และเป็นวันศูนย์รวมจิตใจ ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นวันฉลอง "วันชาติ" ตั้งแต่ 2503 เป็นต้นมา โดยภาครัฐและเอกชนจะจัดกิจกรรมกันทั่วประเทศ สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ คือ "ดอกพุทธรักษา" เนื่องจากดอกพุทธรักษามีสีเหลืองตรงกับสีวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ รัชกาลที่ 9 (วันจันทร์) นอกจากนี้ชาวพุทธยังมีความเชื่อว่า ดอกพุทธรักษา คือ ดอกไม้มงคล อีกด้วยพิธีสำคัญ วันที่ 5 ธันวาคม 2567 ในปี 2567 นี้ รัฐบาล จัดกิจกรรม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 ดังนี้ช่วงเช้า เวลา 07.30 น. มีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล โดยส่วนกลางจัดพิธี ณ ท้องสนามหลวง พระสงฆ์ จำนวน 189 รูป มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีพร้อมคู่สมรสส่วนภูมิภาคทุกจังหวัดจัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม และในต่างประเทศสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลพิจารณาการจัดพิธีตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมมีการ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณาให้วัดทุกวัดในประเทศไทย จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล จัดพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่วนภูมิภาคทุกจังหวัดจัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์และสาธารณกุศลเฉลิมพระเกียรติฯ ในเดือนธันวาคม 2567 อีกด้วย
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 612 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวง ทรงมีพระราชดำรัสให้ทหารทุกนายร่วมแรงร่วมใจกับทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

    วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 18.11 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับยืน รองผู้บังคับกองผสมสั่งหมู่เชิญธง ทรงรับการถวายเคารพ แล้วประทับพระราชอาสน์

    จากนั้นพลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเอกพันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลโทอชิรวิชญ์ ศรีไพบูลย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทบ เข้าประจำแถวหน้าพลับพลาที่ประทับ แล้วพลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล พร้อมนำกำลังพลสวนสนามฯกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตน

    “ข้าพระพุทธเจ้า จักยอมตาย เพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
    ข้าพระพุทธเจ้า จักจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่
    ข้าพระพุทธเจ้า จักเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจะปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทุกประการ ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” เมื่อกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนจบ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ปืนใหญ่ยุงสลุตเฉลิมพระเกียรติ 21 นัด

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่กำลังพลสวนสนามทุกทั้ง 11 กองพัน ดังสรุปใจความว่า “ ขอให้ทหารทุกนายปฎิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณด้วยใจจริง..และขอให้ร่วมแรงร่วมใจกับทุกฝ่ายในบ้านเมือง..อันจะนำมาซึ่งความผาสุกของบ้านเมือง..”

    เมื่อพระราชทานพระบรมราโชวาทจบ กำลังพลสวนสนามฯ และผู้ร่วมในพิธี ร่วมกันร้องเพลงราชสวัสดิ์ถวาย รองผู้บังคับกองผสมสั่ง กองผสมถวายความเคารพธงชัยเฉลิมพล หมู่เชิญธงชัยเฉลิมพลจัดแถว และเดินกลับเข้าประจำแถวทหาร

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จออกจากพระลานพระราชวังดุสิตกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ระหว่างที่รถพระที่นั่งกำลังเคลื่อนเข้าสู่ทางประตูภูธรลีลาศนั้น รองผู้บังคับกองผสมนำกำลังพลสวนสนามฯ และผู้ร่วมในพิธีเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องทั่วพระลานพระราชวังดุสิต

    นำมาซึ่งภาพแห่งความประทับใจยิ่ง ที่หน่วยทหารรักษาพระองค์จากเหล่าทัพต่าง ๆ พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวาย ความเคารพต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชนชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุดแด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต ความผาสุกร่มเย็นของราชอาณาจักรไทยนี้ มีขึ้นได้ด้วยการหลอมรวมใจของ คนไทยทั้งแผ่นดิน โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของจิตใจโดยแท้จริง

    #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    ในหลวง ทรงมีพระราชดำรัสให้ทหารทุกนายร่วมแรงร่วมใจกับทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน • วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 18.11 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับยืน รองผู้บังคับกองผสมสั่งหมู่เชิญธง ทรงรับการถวายเคารพ แล้วประทับพระราชอาสน์ • จากนั้นพลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเอกพันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลโทอชิรวิชญ์ ศรีไพบูลย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทบ เข้าประจำแถวหน้าพลับพลาที่ประทับ แล้วพลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล พร้อมนำกำลังพลสวนสนามฯกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตน • “ข้าพระพุทธเจ้า จักยอมตาย เพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพระพุทธเจ้า จักจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จักเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจะปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทุกประการ ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” เมื่อกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนจบ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ปืนใหญ่ยุงสลุตเฉลิมพระเกียรติ 21 นัด • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่กำลังพลสวนสนามทุกทั้ง 11 กองพัน ดังสรุปใจความว่า “ ขอให้ทหารทุกนายปฎิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณด้วยใจจริง..และขอให้ร่วมแรงร่วมใจกับทุกฝ่ายในบ้านเมือง..อันจะนำมาซึ่งความผาสุกของบ้านเมือง..” • เมื่อพระราชทานพระบรมราโชวาทจบ กำลังพลสวนสนามฯ และผู้ร่วมในพิธี ร่วมกันร้องเพลงราชสวัสดิ์ถวาย รองผู้บังคับกองผสมสั่ง กองผสมถวายความเคารพธงชัยเฉลิมพล หมู่เชิญธงชัยเฉลิมพลจัดแถว และเดินกลับเข้าประจำแถวทหาร • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จออกจากพระลานพระราชวังดุสิตกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ระหว่างที่รถพระที่นั่งกำลังเคลื่อนเข้าสู่ทางประตูภูธรลีลาศนั้น รองผู้บังคับกองผสมนำกำลังพลสวนสนามฯ และผู้ร่วมในพิธีเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องทั่วพระลานพระราชวังดุสิต • นำมาซึ่งภาพแห่งความประทับใจยิ่ง ที่หน่วยทหารรักษาพระองค์จากเหล่าทัพต่าง ๆ พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวาย ความเคารพต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชนชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุดแด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต ความผาสุกร่มเย็นของราชอาณาจักรไทยนี้ มีขึ้นได้ด้วยการหลอมรวมใจของ คนไทยทั้งแผ่นดิน โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของจิตใจโดยแท้จริง • #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวง เสด็จฯไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภฯ พระราชินี ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม”

    วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.20 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 “ราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา72 พรรษามหามงคล” ณ พระลานพระราชวังดุสิต

    ในการนี้พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ทรงนำการสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์สามเหล่าทัพในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” พร้อมด้วยพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมสวนสนาม ทรงม้านำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์“

    ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเฝ้ารอเฝ้าฯรับเสด็จฯ ณ พลับพลาที่ประทับ

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    จากนั้นองค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้า บก.กองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯทรงตรวจพลสวนสนาม
    เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 4 กรม 10 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ , กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

    เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย

    พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว บก.กองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ "ราชวัลลภ" และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย

    พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 10 กองพัน ตามลำดับ

    พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี

    สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษใน การถวายความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจ พลสวนสนาม ทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจาก ขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ ทหารรักษาพระองค์ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่ นั้นมา

    ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

    เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 6 รอบ จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวาย สัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต

    #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    ในหลวง เสด็จฯไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภฯ พระราชินี ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” • วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.20 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 “ราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา72 พรรษามหามงคล” ณ พระลานพระราชวังดุสิต • ในการนี้พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ทรงนำการสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์สามเหล่าทัพในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” พร้อมด้วยพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมสวนสนาม ทรงม้านำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์“ • ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเฝ้ารอเฝ้าฯรับเสด็จฯ ณ พลับพลาที่ประทับ • เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว • จากนั้นองค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้า บก.กองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯทรงตรวจพลสวนสนาม เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 4 กรม 10 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ , กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน • เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย • พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว บก.กองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ "ราชวัลลภ" และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย • พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 10 กองพัน ตามลำดับ • พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี • สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษใน การถวายความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจ พลสวนสนาม ทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจาก ขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ ทหารรักษาพระองค์ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่ นั้นมา • ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก • เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 6 รอบ จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวาย สัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต • #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาสั่งจำคุก ‘อานนท์’ 2 ปี หมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 -พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คดีโพสต์จดหมายราษฎรสาส์น รวมโทษจำคุก 5 คดี 16 ปี 2 เดือน 20 วัน เจ้าตัวยันยื่นอุทธรณ์สู้คดี

    วันนี้ (3 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1395/2565 ที่อัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ นำภา ทนายความและแกนนำม็อบราษฎร ในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินีฯ มาตรา 112 และ ข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000116391

    #MGROnline #อานนท์นำภา #แกนนำม็อบราษฎร #สั่งจำคุก
    ศาลอาญาสั่งจำคุก ‘อานนท์’ 2 ปี หมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 -พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คดีโพสต์จดหมายราษฎรสาส์น รวมโทษจำคุก 5 คดี 16 ปี 2 เดือน 20 วัน เจ้าตัวยันยื่นอุทธรณ์สู้คดี • วันนี้ (3 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1395/2565 ที่อัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ นำภา ทนายความและแกนนำม็อบราษฎร ในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินีฯ มาตรา 112 และ ข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000116391 • #MGROnline #อานนท์นำภา #แกนนำม็อบราษฎร #สั่งจำคุก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร เตรียมปั้น ตำรวจอินฟลู มาต่อสู้คนเลว
    บิ๊กต่าย ผบ.ตร ได้รับเสียงสรรเสริญจากตํารวจทั้งประเทศ ในการแถลง สิบห้านโยบายหลักของสํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยให้ตํารวจทั้งหมดปฏิบัติตามนโยบายอย่างเร่งด่วนประกอบด้วย
    ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนmindsetให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ให้รางวัลแก่ตํารวจน้ําดี และลงโทษตํารวจเลว พัฒนางานสถานีตํารวจ แก้ไขปัญหางานสอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง สร้างเสริมวินัยจราจร ทํางานเชิงรุกด้านการข่าว ประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเป็นต้น
    ซึ่ง ข้อหนึ่งที่สร้างความฮือฮาก็คือให้ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการ จะต้องเป็น influencerด้วยตนเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ตํารวจจะต้องเป็น influ เองสักทีเพราะที่ผ่านมา influ สายกฎหมายสายสังคม กลับมาก่อคดีอาญาต่างๆนานาเสียเอง อย่างทนายตั้มที่กลายร่างเป็นทนายต้ม สร้างภาพหลอกลวงสังคมปกปิดความสกปรกชั่วร้ายที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เอกสายไหม ต้องรอด โดนคดีปั่นข่าวเท็จดีไอคอน ด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับอะไรสักอย่าง ฟิล์มรัฐภูมิ จ่อถูกดําเนินคดีข้อหาพยายามตบทรัพย์ดิไอคอน แกนนําต้านโกงอย่างเจ๊พัฒน์ กิจอนงค์ สุดท้ายมาโดนคดีตบทรัพย์เสียเอง
    ตัวอย่างเหล่านี้เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย ลงภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สะอาดจริงปล่อยให้มายึดหัวหาดเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่องค์กรตํารวจยุคบิ๊กต่าย จะผลักดันคนดีคนเก่งในสํานักงานตํารวจแห่งชาติขึ้นมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อคานอํานาจอินฟลูปลอมๆ ทั้งหลาย
    อย่างน้อยตํารวจเก่าสองคนก็ผลักดันตัวเองสําเร็จจนผงาดเป็นอินฟลูชื่อดัง เวลาพูดถึงประเด็นปัญหาใดๆจะมีน้ําหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งก็คือ อาเรย์วัด และผู้การแต้มหรือมือปราบหูดํา 2 คนนี้ให้ความจริงทุกเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร
    ในความเป็นอินฟลู ผู้การแต้ม มีจุดยืนชัดเจนไม่หิวแสงการจะไปออกรายการแต่ละทียังเลือกคนร่วมรายการเช่นไม่ยอมไปออกทีวี กับ นายสิธาเบี้ยบังเกิด อย่างเด็ดขาดจนเป็นที่รู้กันว่ารายการใดมีพู่กันแต้มต้องไม่มีทนายตั้ม ส่วนอาเรย์วัดเป็นอินฟูในสายเฮฮาบู๊ล้างผลาญ ต้องติดตามกันต่อไปว่าตํารวจในเครื่องแบบคนใดจะประสบความสําเร็จตามนโยบายนี้ของบิ๊กต่าย ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ผบ.ตร เตรียมปั้น ตำรวจอินฟลู มาต่อสู้คนเลว บิ๊กต่าย ผบ.ตร ได้รับเสียงสรรเสริญจากตํารวจทั้งประเทศ ในการแถลง สิบห้านโยบายหลักของสํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยให้ตํารวจทั้งหมดปฏิบัติตามนโยบายอย่างเร่งด่วนประกอบด้วย ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนmindsetให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ให้รางวัลแก่ตํารวจน้ําดี และลงโทษตํารวจเลว พัฒนางานสถานีตํารวจ แก้ไขปัญหางานสอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง สร้างเสริมวินัยจราจร ทํางานเชิงรุกด้านการข่าว ประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเป็นต้น ซึ่ง ข้อหนึ่งที่สร้างความฮือฮาก็คือให้ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการ จะต้องเป็น influencerด้วยตนเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ตํารวจจะต้องเป็น influ เองสักทีเพราะที่ผ่านมา influ สายกฎหมายสายสังคม กลับมาก่อคดีอาญาต่างๆนานาเสียเอง อย่างทนายตั้มที่กลายร่างเป็นทนายต้ม สร้างภาพหลอกลวงสังคมปกปิดความสกปรกชั่วร้ายที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เอกสายไหม ต้องรอด โดนคดีปั่นข่าวเท็จดีไอคอน ด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับอะไรสักอย่าง ฟิล์มรัฐภูมิ จ่อถูกดําเนินคดีข้อหาพยายามตบทรัพย์ดิไอคอน แกนนําต้านโกงอย่างเจ๊พัฒน์ กิจอนงค์ สุดท้ายมาโดนคดีตบทรัพย์เสียเอง ตัวอย่างเหล่านี้เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย ลงภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สะอาดจริงปล่อยให้มายึดหัวหาดเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่องค์กรตํารวจยุคบิ๊กต่าย จะผลักดันคนดีคนเก่งในสํานักงานตํารวจแห่งชาติขึ้นมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อคานอํานาจอินฟลูปลอมๆ ทั้งหลาย อย่างน้อยตํารวจเก่าสองคนก็ผลักดันตัวเองสําเร็จจนผงาดเป็นอินฟลูชื่อดัง เวลาพูดถึงประเด็นปัญหาใดๆจะมีน้ําหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งก็คือ อาเรย์วัด และผู้การแต้มหรือมือปราบหูดํา 2 คนนี้ให้ความจริงทุกเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร ในความเป็นอินฟลู ผู้การแต้ม มีจุดยืนชัดเจนไม่หิวแสงการจะไปออกรายการแต่ละทียังเลือกคนร่วมรายการเช่นไม่ยอมไปออกทีวี กับ นายสิธาเบี้ยบังเกิด อย่างเด็ดขาดจนเป็นที่รู้กันว่ารายการใดมีพู่กันแต้มต้องไม่มีทนายตั้ม ส่วนอาเรย์วัดเป็นอินฟูในสายเฮฮาบู๊ล้างผลาญ ต้องติดตามกันต่อไปว่าตํารวจในเครื่องแบบคนใดจะประสบความสําเร็จตามนโยบายนี้ของบิ๊กต่าย ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 690 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัว "สนธิ" ลงถนน ต้าน MOU 2544 รัฐยกอธิปไตยไทยให้เขมร.คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัวว่าผมจะลงถนนต้าน MOU 2544 ผมอยากพูดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนที่ออกมาต่อต้านผม ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด จะได้เข้าใจ ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ผมจะชวนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล หากรัฐบาลกระทำการอันใดก็ตามในเรื่อง MOU 2544 ที่เป็นการส่อเจตนาที่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลของเราให้กับฝ่ายเขมร นั่นล่ะ ผมถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับผมแล้ว และผมเชื่อว่าก็จะเป็นเรื่องเป็นราวกับท่านผู้ชมด้วย ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักพระมหากษัตริย์.เดิมทีเรากำหนดว่าผมจะไปยื่นหนังสือให้กับท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 2 คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่เผอิญทนายความผมบอกว่าวันที่ 2 ผมติดภารกิจที่ศาล ตกลงเราจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ผมและอาจารย์ปานเทพ จะเดินทางไปยื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าท่านผู้ชมสนใจ อยากไปยื่นหนังสือ ก็ไปได้ แต่ท่านอย่าไปชุมนุมบนท้องถนนนะครับ.ความเคลื่อนไหวของผมไปกระตุกต่อมของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ละคนดาหน้าออกมาพูดถึงเรื่องการลงถนนกันใหญ่ ตั้งแต่คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เปรยแกมขู่ผม คุณภูมิธรรมนี่ความจำสั้น สมัยที่พวกเสื้อแดงของคุณออกมาประท้วง ประเทศชาติทั้งประเทศ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง มิหนำซ้ำ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมา แล้วก็ยังมีคนอย่างเช่นคุณชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอีกท่านหนึ่ง คือ คุณพายัพ ปั้นเกตุ อดีตหัวหน้า นปช.ตอนนี้มีบทบาทมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณบอกว่าการต่อสู้ การทำให้ประเทศชาติต้องวุ่นวายถดถอยไปนั้น ถ้าคุณพูดมีความหมายอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเห็นด้วยกับอำนาจทางการเมืองที่ทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นได้จากคนที่มีอำนาจทางการเมือง ใช่หรือเปล่า .คุณรู้ไหม 2548 ที่ผมออกมา มาถึง 2566 สิบแปดปี ที่ผมสู้ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็เลยปรากฏออกมาในประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อสิงหาคม 2566 ที่ “นายคุณ”กลับมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับสารภาพผิดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องๆ นี่เป็นหลักฐานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา จะโกหกอะไร โกหกได้ แต่โกหกความจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างไร นั่นข้อแรก. ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอย ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลชุดอุ๊งอิ๊งค์ ที่ได้รับอิทธิพลจากนายคุณ คือพ่อเขา นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องการรักษาตัวบนชั้น 14 คุณก็รู้ว่านายคุณโกงเวลาติดคุก ผมคิดในใจว่ามันทุเรศ ปล่อยให้ชาวบ้านเขารุมเหยียบกันดีกว่า.แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของนายคุณ รวมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็พูดตลอดเวลา ว่าทะเลาะกันทำไมเรื่องพื้นที่ เอาสัมปทานมาแบ่งกัน 50-50 ใครเป็นคนพูด คุณณัฐวุฒิ คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณชูศักดิ์ ศิรินิล คุณภูมิธรรม เวชยชัย ใครเป็นคนพูด "ต้องแบ่งกัน 50-50" ทั้งนายคุณพูด ทั้งลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของนายคุณก็พูด และความสนิทสนมระหว่างสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นบิดาของฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับนายคุณ สนิทสนมมากอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเห็นได้ชัด ทำให้คนเขาอนุมานได้ และเขาเกิดความไม่ไว้วางใจพวกคุณ.ผมจะเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันแรก ปี 2548 ที่ผมตัดสินใจจะลงถนนสู้กับนายคุณ คุณไปดูคลิปเก่าๆ ไปดูข้อมูลเก่าๆ คุณจะจำได้ว่าผมพูดว่าอย่างนี้ จำใส่ใจไว้นะ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมบอกว่า ถึงจะเป็นผมเพียงคนเดียวออกมาสู้ ผมก็จะสู้ ผมพูดอย่างนี้ครับ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะเป็นผมคนเดียว ผมก็จะออกมา ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้กับประชาชนเขาทราบ และผมเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเห็นด้วยว่าผมทำถูกต้อง นี่คือสมบัติของชาติ
    คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัว "สนธิ" ลงถนน ต้าน MOU 2544 รัฐยกอธิปไตยไทยให้เขมร.คนในรัฐบาลนั่งไม่ติด กลัวว่าผมจะลงถนนต้าน MOU 2544 ผมอยากพูดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนที่ออกมาต่อต้านผม ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด จะได้เข้าใจ ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ผมจะชวนพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล หากรัฐบาลกระทำการอันใดก็ตามในเรื่อง MOU 2544 ที่เป็นการส่อเจตนาที่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลของเราให้กับฝ่ายเขมร นั่นล่ะ ผมถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับผมแล้ว และผมเชื่อว่าก็จะเป็นเรื่องเป็นราวกับท่านผู้ชมด้วย ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักพระมหากษัตริย์.เดิมทีเรากำหนดว่าผมจะไปยื่นหนังสือให้กับท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 2 คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แต่เผอิญทนายความผมบอกว่าวันที่ 2 ผมติดภารกิจที่ศาล ตกลงเราจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ผมและอาจารย์ปานเทพ จะเดินทางไปยื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณี MOU ไทย-กัมพูชา 2544 พร้อมกับกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ด้วยว่า ให้ระวังว่ากำลังจะมีการกระทำที่เป็นการยกอธิปไตยรอบเกาะกูดให้กัมพูชาอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าท่านผู้ชมสนใจ อยากไปยื่นหนังสือ ก็ไปได้ แต่ท่านอย่าไปชุมนุมบนท้องถนนนะครับ.ความเคลื่อนไหวของผมไปกระตุกต่อมของรัฐบาลเพื่อไทย แต่ละคนดาหน้าออกมาพูดถึงเรื่องการลงถนนกันใหญ่ ตั้งแต่คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เปรยแกมขู่ผม คุณภูมิธรรมนี่ความจำสั้น สมัยที่พวกเสื้อแดงของคุณออกมาประท้วง ประเทศชาติทั้งประเทศ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง มิหนำซ้ำ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมา แล้วก็ยังมีคนอย่างเช่นคุณชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอีกท่านหนึ่ง คือ คุณพายัพ ปั้นเกตุ อดีตหัวหน้า นปช.ตอนนี้มีบทบาทมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณบอกว่าการต่อสู้ การทำให้ประเทศชาติต้องวุ่นวายถดถอยไปนั้น ถ้าคุณพูดมีความหมายอย่างนี้ ก็แปลว่าคุณเห็นด้วยกับอำนาจทางการเมืองที่ทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นได้จากคนที่มีอำนาจทางการเมือง ใช่หรือเปล่า .คุณรู้ไหม 2548 ที่ผมออกมา มาถึง 2566 สิบแปดปี ที่ผมสู้ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็เลยปรากฏออกมาในประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อสิงหาคม 2566 ที่ “นายคุณ”กลับมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับสารภาพผิดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องๆ นี่เป็นหลักฐานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา จะโกหกอะไร โกหกได้ แต่โกหกความจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างไร นั่นข้อแรก. ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอย ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลชุดอุ๊งอิ๊งค์ ที่ได้รับอิทธิพลจากนายคุณ คือพ่อเขา นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องการรักษาตัวบนชั้น 14 คุณก็รู้ว่านายคุณโกงเวลาติดคุก ผมคิดในใจว่ามันทุเรศ ปล่อยให้ชาวบ้านเขารุมเหยียบกันดีกว่า.แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของนายคุณ รวมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็พูดตลอดเวลา ว่าทะเลาะกันทำไมเรื่องพื้นที่ เอาสัมปทานมาแบ่งกัน 50-50 ใครเป็นคนพูด คุณณัฐวุฒิ คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณชูศักดิ์ ศิรินิล คุณภูมิธรรม เวชยชัย ใครเป็นคนพูด "ต้องแบ่งกัน 50-50" ทั้งนายคุณพูด ทั้งลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของนายคุณก็พูด และความสนิทสนมระหว่างสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นบิดาของฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับนายคุณ สนิทสนมมากอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันเห็นได้ชัด ทำให้คนเขาอนุมานได้ และเขาเกิดความไม่ไว้วางใจพวกคุณ.ผมจะเรียนให้ทราบ ตั้งแต่วันแรก ปี 2548 ที่ผมตัดสินใจจะลงถนนสู้กับนายคุณ คุณไปดูคลิปเก่าๆ ไปดูข้อมูลเก่าๆ คุณจะจำได้ว่าผมพูดว่าอย่างนี้ จำใส่ใจไว้นะ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมบอกว่า ถึงจะเป็นผมเพียงคนเดียวออกมาสู้ ผมก็จะสู้ ผมพูดอย่างนี้ครับ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะเป็นผมคนเดียว ผมก็จะออกมา ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้กับประชาชนเขาทราบ และผมเชื่อว่ามีประชาชนคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเห็นด้วยว่าผมทำถูกต้อง นี่คือสมบัติของชาติ
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## เจ๊เพ็ญ เปลี่ยนแล้วไป จริง...??? ##
    ..
    ..
    ส่วนตัว ผมยังไม่ค่อยเชื่อครับ ว่าแนวคิดของ คุณ จักรภพ เพ็ญแข จะเปลี่ยนไปจริงๆ...
    .
    แต่ นั่นเป็นแค่สิ่งที่ผมคิด ไม่ใช่บทสรุปสุดท้าย...!!!
    .
    คุณ จักรภพ เพ็ญแข แสดงท่าที หรือ พยายามจะโพส ไปในแนวทางว่า ตนเปลี่ยนแนวคิดไปแล้ว...
    .
    สิ่งที่เราควรทำคือ เปิดใจให้กว้าง แล้ว "เฝ้าจับตาดู"
    .
    เพราะหาก คุณ จักรภพ เพ็ญแข เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ดีมากๆครับ...
    .
    แม้ว่า เขาจะยัง เชียร์ หรือ แบก สีแดง อยู่ก็ตามที...
    .
    อย่าลืมนะครับ เราอยู่ในระบอบ ที่เสียงข้างมากคือ The Winner...!!!
    .
    การเปลี่ยน ฝั่งตรงข้าม มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา คือ หัวใจของ ชัยชนะ ใน "ระบอบเสียงข้างมาก"...
    .
    ถึงแม้จะยังไม่ได้ดังใจเต็ม 100
    .
    แต่ ถือว่ามีแนวร่วมปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่มอีก 1 คน ก็ยังดีกว่าลดไป 1 คนใช่มั๊ยครับ...???
    .
    ส่วน Top News ผมก็ยังดูตามปกติ...
    .
    ปกติผมดูและอ่าน หลายช่องทางอยู่แล้ว...
    .
    คุณกนก คุณธีระ คุณสันติสุข เขาก็ยังวิจารณ์เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ...
    .
    แต่แน่นอนว่า ผมเข้าใจเอาเองว่าเขาพยายามปรับแนวทางให้ ดูกลางมากยิ่งขึ้น
    .
    ให้พื้นที่ หลายๆฝั่ง รวมทั้ง ฝั่งรัฐบาล ได้มาออกรายการ ได้ชี้แจง ด้วย
    .
    ปรับโทน ไม่ถึงขั้นให้ความรู้สึกเป็นศัตรูกับรัฐบาลขนาดนั้น...
    .
    อันนี้ผมว่าก็ไม่ผิดอะไรครับ...
    .
    แล้ว ก็ให้ความเป็นธรรมเขาด้วย...
    .
    เรื่อง มีการสั่ง ไม่ให้เล่นข่าว MOU44 มีจริงมั้ยผมไม่รู้
    .
    แต่ที่แน่ๆคือ เขายังมีเล่นข่าว MOU44 อยู่ครับ เท่าที่หาดูคร่าวๆประมาณ 40 กว่าคลิป นะครับ...
    .
    ความจริง Top News เราควรจะมองเขาเป็น แนวร่วม เป็น พันธมิตรกัน นะครับ...
    .
    ประเด็นอะไรที คุณลุงสนธิ เปิด Top News เขาช่วยเอาไปขยายต่อให้อยู่เนืองๆนะครับ
    .
    ลองนึกถึงสมัยก่อนดูครับ เราแทบไม่มีพื้นที่ให้พูด ไม่มีหน้าสื่อให้รับรู้ ข่าวสารของฝั่งพวกเราเลยด้วยซ้ำ
    .
    ยุคนี้ดีแค่ไหนแล้ว ที่เรายังมี ช่องข่าวที่เป็นเหมือนพันธมิตรกัน คิดเห็นในแนวทางเดียวกัน ช่วยพูด ช่วยเผยแพร่ความจริง ในแนวทางคล้ายๆกัน...
    .
    รักกันไว้เถิด ลองเฝ้าจับตาดูครับ ถ้าเขาเปลี่ยนไปจริงเราก็แค่เลิกติดตาม เท่านั้นเองครับ...
    .
    สุดท้าย ผมยังไม่เชื่อว่า คุณ จักรภพ เพ็ญแข จะเปลี่ยนไป แต่ก็หวังลึกๆในใจครับ ว่าขอให้แกเปลี่ยนไปได้จริงๆ...
    ## เจ๊เพ็ญ เปลี่ยนแล้วไป จริง...??? ## .. .. ส่วนตัว ผมยังไม่ค่อยเชื่อครับ ว่าแนวคิดของ คุณ จักรภพ เพ็ญแข จะเปลี่ยนไปจริงๆ... . แต่ นั่นเป็นแค่สิ่งที่ผมคิด ไม่ใช่บทสรุปสุดท้าย...!!! . คุณ จักรภพ เพ็ญแข แสดงท่าที หรือ พยายามจะโพส ไปในแนวทางว่า ตนเปลี่ยนแนวคิดไปแล้ว... . สิ่งที่เราควรทำคือ เปิดใจให้กว้าง แล้ว "เฝ้าจับตาดู" . เพราะหาก คุณ จักรภพ เพ็ญแข เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ดีมากๆครับ... . แม้ว่า เขาจะยัง เชียร์ หรือ แบก สีแดง อยู่ก็ตามที... . อย่าลืมนะครับ เราอยู่ในระบอบ ที่เสียงข้างมากคือ The Winner...!!! . การเปลี่ยน ฝั่งตรงข้าม มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา คือ หัวใจของ ชัยชนะ ใน "ระบอบเสียงข้างมาก"... . ถึงแม้จะยังไม่ได้ดังใจเต็ม 100 . แต่ ถือว่ามีแนวร่วมปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่มอีก 1 คน ก็ยังดีกว่าลดไป 1 คนใช่มั๊ยครับ...??? . ส่วน Top News ผมก็ยังดูตามปกติ... . ปกติผมดูและอ่าน หลายช่องทางอยู่แล้ว... . คุณกนก คุณธีระ คุณสันติสุข เขาก็ยังวิจารณ์เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ... . แต่แน่นอนว่า ผมเข้าใจเอาเองว่าเขาพยายามปรับแนวทางให้ ดูกลางมากยิ่งขึ้น . ให้พื้นที่ หลายๆฝั่ง รวมทั้ง ฝั่งรัฐบาล ได้มาออกรายการ ได้ชี้แจง ด้วย . ปรับโทน ไม่ถึงขั้นให้ความรู้สึกเป็นศัตรูกับรัฐบาลขนาดนั้น... . อันนี้ผมว่าก็ไม่ผิดอะไรครับ... . แล้ว ก็ให้ความเป็นธรรมเขาด้วย... . เรื่อง มีการสั่ง ไม่ให้เล่นข่าว MOU44 มีจริงมั้ยผมไม่รู้ . แต่ที่แน่ๆคือ เขายังมีเล่นข่าว MOU44 อยู่ครับ เท่าที่หาดูคร่าวๆประมาณ 40 กว่าคลิป นะครับ... . ความจริง Top News เราควรจะมองเขาเป็น แนวร่วม เป็น พันธมิตรกัน นะครับ... . ประเด็นอะไรที คุณลุงสนธิ เปิด Top News เขาช่วยเอาไปขยายต่อให้อยู่เนืองๆนะครับ . ลองนึกถึงสมัยก่อนดูครับ เราแทบไม่มีพื้นที่ให้พูด ไม่มีหน้าสื่อให้รับรู้ ข่าวสารของฝั่งพวกเราเลยด้วยซ้ำ . ยุคนี้ดีแค่ไหนแล้ว ที่เรายังมี ช่องข่าวที่เป็นเหมือนพันธมิตรกัน คิดเห็นในแนวทางเดียวกัน ช่วยพูด ช่วยเผยแพร่ความจริง ในแนวทางคล้ายๆกัน... . รักกันไว้เถิด ลองเฝ้าจับตาดูครับ ถ้าเขาเปลี่ยนไปจริงเราก็แค่เลิกติดตาม เท่านั้นเองครับ... . สุดท้าย ผมยังไม่เชื่อว่า คุณ จักรภพ เพ็ญแข จะเปลี่ยนไป แต่ก็หวังลึกๆในใจครับ ว่าขอให้แกเปลี่ยนไปได้จริงๆ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts