• ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น"

    ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์ 

    ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute" 
    แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว"

    ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ

    มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม

    มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย

    แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  

    ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง

    เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online  

    1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง

    2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน 

    3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา" 

    4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ

    สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า

    1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า

    2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม

    3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด

    4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ

    5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่

    6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม

    แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก" 

    "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น" 

    "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ

    ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว

    ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
    https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น" ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์  ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute"  แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว" ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน   ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online   1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง 2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน  3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา"  4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า 1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า 2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม 3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด 4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ 5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่ 6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก"  "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น"  "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • สว.ปฎิมา ชี้เอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ รัฐเร่งโครงการบ้านเพื่อคนไทย (20/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #บ้านเพื่อคนไทย #ประชานิยม
    สว.ปฎิมา ชี้เอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ รัฐเร่งโครงการบ้านเพื่อคนไทย (20/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #บ้านเพื่อคนไทย #ประชานิยม
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

    ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์(Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

    ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6ข้อ

    หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

    อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

    สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใชทั้งประเทศประมาณ 200,000 หน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณมาจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่าFt)

    กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

    รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

    รสนา โตสิตระกูล
    16 มกราคม 2568
    มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์(Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6ข้อ หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใชทั้งประเทศประมาณ 200,000 หน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณมาจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่าFt) กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!! รสนา โตสิตระกูล 16 มกราคม 2568
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทไทยเพิ่งชนะประมูลผลิตไฟจากโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียราคา 1.09 บาทตลอด25ปี แต่นายกฯจะให้กกพ.รับซื้อราคา 2.17 บาทตลอด 25 ปี!!??

    ข่าวจากฐานเศรษฐกิจว่าบริษัทGPSC ของไทยคว้าโซลาร์ฯ ในอินเดียกำลังผลิต 421 เมกฯเพิ่มไฟฟ้าสีเขียว ดันกำลังการผลิตในประเทศอินเดียพุ่งสูงกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ในราคา2.70 รูปี (0.03ดอลลาร์สหรัฐ) เทียบเป็นเงินไทย 1.09 บาท/หน่วย เป็นเวลา 25ปี

    ตามเงื่อนไขการประมูล ซึ่งจะมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า หรือ PPA ที่มีอายุสัญญารับซื้อเป็นเวลา 25 ปี แผนการดำเนินโครงการต้องให้แล้วเสร็จภายใน 18 เดือน โดยคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 750 ล้านหน่วยต่อปี สามารถจ่ายไฟฟ้าครอบคลุมภาคครัวเรือน ประมาณ 5 แสนครัวเรือนด้วยพลังงานสะอาด และยังมีส่วนสำคัญต่อการลดการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศเทียบเท่า 698,250 ตันต่อปี

    อินเดียประมูลซื้อขายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ลดลงตลอดอย่างน่าทึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 อินเดียประมูลซื้อไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ได้ในราคา 1.44 บาท/หน่วย พร้อมแบตเตอรี่

    แต่ประเทศไทยโดย คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ภายใต้นโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)ที่มีนายกรัฐมนตรี
    แพทองธารเป็นประธาน ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากแสงแดดในราคา 2.17 บาท/หน่วยโดยไม่มีแบตเตอรี่ เป็นเวลา25ปี และให้เวลาเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ 2-5 ปี (2570-2573) ตามแผนพัฒนาพลังงาน(PDP) 2018

    ต้องถามว่ากกพ.ประกาศทำตามมติ กพช. ที่ให้ล็อคทั้งชื่อบริษัท และ ราคา โดยไม่ใช่การประมูล เรียกว่าเหมือนการประกวดนางงามบริษัทที่ใช้ดุลยพินิจเป็นหลัก บริษัทที่ผ่านเข้ารอบดูเพียงคุณสมบัติ แต่ไม่ให้มีการประมูลราคาที่บริษัทจะขายในราคาต่ำที่สุดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้ไฟอย่างแท้จริง

    ที่น่าสนใจคือ บริษัทGPSC ที่ชนะการประมูลผลิตโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียในราคา 1.09 บาท ก็อยู่ในลิสต์รายชื่อบริษัทอันดับที่5 เสนอขายไฟฟ้า 118 เมกกะวัตต์ ที่กกพ.จะประกาศให้เป็นผู้มาทำสัญญาขายไฟในราคา 2.17 บาทโดยไม่มีแบตเตอรี่ (การมีแบตเตอรี่จะทำให้สามารถจ่ายไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน)

    ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) เสนอว่าสามารถผลิตได้ในราคา 1.50 บาท/หน่วย แต่ กกพ. ไม่ให้มาแข่งกับเอกชน ซึ่งที่จริงไม่ใช่การแข่งด้วยซ้ำ
    เพราะกพช. กำหนดราคาตายตัวไว้เลยที่2.17 บาท/หน่วย แสดงว่าจงใจให้บริษัทเอกชนได้กำไรเห็นๆ ไปยาวๆ 25ปี และไม่ต้องการให้กฟผ.ผลิตทั้งที่ทำได้ถูกกว่า เเละกฟผ.มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้าโดยตรง แต่กำลังจะทำให้ กฟผ.กลายเป็น กฟซ.
    หรือการไฟฟ้าฝ่ายซื้อ(ไฟแพง)จากเอกชนมาขายประชาชนเป็นหลัก

    ราคาพลังงานไฟฟ้าไม่มีทางถูกในระบบผูกขาดกินรวบของระบอบธุรกิจการเมือง

    ค่าไฟถูกจะเป็นเพียงกลยุทธ์ประชานิยมเพื่อหวังสร้างคะแนนเสียงชั่วครั้งชั่วคราวของรัฐบาลและพรรคการเมืองเท่านั้น

    ถ้าจะทำให้ค่าไฟราคาถูกอย่างเป็นธรรมได้ ต้องปรับโครงสร้างพลังงานให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่ผูกขาดเท่านั้น ที่ประชาชนจะได้ค่าไฟที่เป็นธรรมอย่างถาวร

    ประชาชนควรตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยโง่กว่ารัฐบาลประเทศอื่น หรือจงใจคอร์รัปชันเชิงนโยบายผ่องถ่ายกำไรมหาศาลให้กลุ่มธุรกิจเอกชนกันแน่??!!

    รสนา โตสิตระกูล
    10 มกราคม 2568
    บริษัทไทยเพิ่งชนะประมูลผลิตไฟจากโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียราคา 1.09 บาทตลอด25ปี แต่นายกฯจะให้กกพ.รับซื้อราคา 2.17 บาทตลอด 25 ปี!!?? ข่าวจากฐานเศรษฐกิจว่าบริษัทGPSC ของไทยคว้าโซลาร์ฯ ในอินเดียกำลังผลิต 421 เมกฯเพิ่มไฟฟ้าสีเขียว ดันกำลังการผลิตในประเทศอินเดียพุ่งสูงกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ในราคา2.70 รูปี (0.03ดอลลาร์สหรัฐ) เทียบเป็นเงินไทย 1.09 บาท/หน่วย เป็นเวลา 25ปี ตามเงื่อนไขการประมูล ซึ่งจะมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า หรือ PPA ที่มีอายุสัญญารับซื้อเป็นเวลา 25 ปี แผนการดำเนินโครงการต้องให้แล้วเสร็จภายใน 18 เดือน โดยคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 750 ล้านหน่วยต่อปี สามารถจ่ายไฟฟ้าครอบคลุมภาคครัวเรือน ประมาณ 5 แสนครัวเรือนด้วยพลังงานสะอาด และยังมีส่วนสำคัญต่อการลดการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศเทียบเท่า 698,250 ตันต่อปี อินเดียประมูลซื้อขายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ลดลงตลอดอย่างน่าทึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 อินเดียประมูลซื้อไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ได้ในราคา 1.44 บาท/หน่วย พร้อมแบตเตอรี่ แต่ประเทศไทยโดย คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ภายใต้นโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)ที่มีนายกรัฐมนตรี แพทองธารเป็นประธาน ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากแสงแดดในราคา 2.17 บาท/หน่วยโดยไม่มีแบตเตอรี่ เป็นเวลา25ปี และให้เวลาเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ 2-5 ปี (2570-2573) ตามแผนพัฒนาพลังงาน(PDP) 2018 ต้องถามว่ากกพ.ประกาศทำตามมติ กพช. ที่ให้ล็อคทั้งชื่อบริษัท และ ราคา โดยไม่ใช่การประมูล เรียกว่าเหมือนการประกวดนางงามบริษัทที่ใช้ดุลยพินิจเป็นหลัก บริษัทที่ผ่านเข้ารอบดูเพียงคุณสมบัติ แต่ไม่ให้มีการประมูลราคาที่บริษัทจะขายในราคาต่ำที่สุดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้ไฟอย่างแท้จริง ที่น่าสนใจคือ บริษัทGPSC ที่ชนะการประมูลผลิตโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียในราคา 1.09 บาท ก็อยู่ในลิสต์รายชื่อบริษัทอันดับที่5 เสนอขายไฟฟ้า 118 เมกกะวัตต์ ที่กกพ.จะประกาศให้เป็นผู้มาทำสัญญาขายไฟในราคา 2.17 บาทโดยไม่มีแบตเตอรี่ (การมีแบตเตอรี่จะทำให้สามารถจ่ายไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน) ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) เสนอว่าสามารถผลิตได้ในราคา 1.50 บาท/หน่วย แต่ กกพ. ไม่ให้มาแข่งกับเอกชน ซึ่งที่จริงไม่ใช่การแข่งด้วยซ้ำ เพราะกพช. กำหนดราคาตายตัวไว้เลยที่2.17 บาท/หน่วย แสดงว่าจงใจให้บริษัทเอกชนได้กำไรเห็นๆ ไปยาวๆ 25ปี และไม่ต้องการให้กฟผ.ผลิตทั้งที่ทำได้ถูกกว่า เเละกฟผ.มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้าโดยตรง แต่กำลังจะทำให้ กฟผ.กลายเป็น กฟซ. หรือการไฟฟ้าฝ่ายซื้อ(ไฟแพง)จากเอกชนมาขายประชาชนเป็นหลัก ราคาพลังงานไฟฟ้าไม่มีทางถูกในระบบผูกขาดกินรวบของระบอบธุรกิจการเมือง ค่าไฟถูกจะเป็นเพียงกลยุทธ์ประชานิยมเพื่อหวังสร้างคะแนนเสียงชั่วครั้งชั่วคราวของรัฐบาลและพรรคการเมืองเท่านั้น ถ้าจะทำให้ค่าไฟราคาถูกอย่างเป็นธรรมได้ ต้องปรับโครงสร้างพลังงานให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่ผูกขาดเท่านั้น ที่ประชาชนจะได้ค่าไฟที่เป็นธรรมอย่างถาวร ประชาชนควรตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยโง่กว่ารัฐบาลประเทศอื่น หรือจงใจคอร์รัปชันเชิงนโยบายผ่องถ่ายกำไรมหาศาลให้กลุ่มธุรกิจเอกชนกันแน่??!! รสนา โตสิตระกูล 10 มกราคม 2568
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวยอย่างชินวัตร Episode 3 : ‘รวยจนชาติบ้านเมืองชิบหาย’9 ม.ค.2568 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความ รวยอย่างชินวัตร Episode 3 : “รวยจนชาติบ้านเมืองชิบหาย” มีรายละเอียดดังนี้“คอรัปชั่น”ใน “ระบอบทักษิณ” ถาม ระบอบทักษิณเกิดและเติบโตได้อย่างไรตอบ ระบอบนี้มีทุนพื้นฐาน ๔ ประการรองรับครบถ้วน ทั้งเงินลงทุน, อำนาจในระบบ, สื่อและปัญญชนชวนเชื่อ และสาวกบริวาร ทุนทั้งสี่จะมีพลวัตสร้างเสริมกันตลอดเวลาใช้เงินสร้างอำนาจ สร้างสื่อ สร้างพวก แล้วเอาอำนาจไปสร้างเงิน สร้างพวก สร้างสื่ออีกที ด้วยพลวัตอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ระบอบนี้เติบโตได้ด้วยตนเองไปตลอดถาม ใช้เวลาไม่นานเลยนะครับตอบ คุณเห็นไหมว่าพอเข้าสมัยที่สอง ระบอบทักษิณก็ยึดสภาได้เด็ดขาด คนพลังธรรมและความหวังใหม่สลายตัวมาเข้าด้วยหมด ส่วนบ้านใหญ่ตามต่างจังหวัดก็สยบเข้าร่วมเปิดสาขา รับสินค้าประชานิยมไทยรักไทยมาขายให้ชาวบ้านทุกหัวระแหง ราวกับเปิด 7-11 พรึบทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ถาม ในระบอบอย่างนี้ ไม่มีคอรัปชั่นได้ไหม ?ตอบ ไม่ได้ครับระบอบนี้เกิดและเติบโตจากความเห็นแก่ตัวที่ไม่มีคำว่า“ประโยชน์ส่วนรวม”อยู่เลย สำหรับสาวกที่รอบริโภคนั้น ก็มีสินค้าประชานิยมมาตอบแทนคะแนนเลือกตั้ง ทั้งข้าวทุกเมล็ดเกวียนละสามหมื่น รถคันแรก ค่าจ้างขั้นต่ำ เงินแจกดิจิตอล เงินเดือนปริญญาตรี รักษาฟรีทุกแห่งทุกโรคทุกคนแม้แต่มะเร็ง ทั้งหมดนี้เราจะแจกจนมีเกียรติ -มีศักดิ์ศรี ทุกคนนะคร้าา....ถาม ที่แจกเป็นพื้นที่ เฉพาะพื้นที่ มีไหมครับตอบ มีครับ อย่างหอประชุมนานาชาตินั้น ภูเก็ตไม่เลือกเรา เราก็ไม่ให้ เราไปให้เชียงใหม่ หรือที่เป็นโครงการระดับหมู่บ้านหรือตำบล ก็มีเงินจากกองสลาก ไหลผ่านมือ สส.กับหัวคะแนน ลงไปช่วยเหลืออุ้มชูฐานเสียงไม่มีขาดสาย เงินท่อนี้ถือเป็นPocket money ทางการเมือง ที่ทำให้ระบอบทักษิณเกิดขึ้นมาอย่างทรงพลังมากๆถาม เขาสร้างท่อนี้ขึ้นมาอย่างไรตอบ หวยสามตัวสมัยทักษิณนั้น พอผลสลากใกล้จะออก จะมีการอ้างว่าไม่พอขายแล้วสั่งพิมพ์เพิ่มล้อตใหญ่ทุกครั้งไป ทำทุกงวดนานเป็นปีๆเลยนะครับ สลากมืดถาดนี้ เป็นที่มาของเงินมืดที่ใช้จ่ายกันได้สะดวก โดยไม่ปรากฏในระบบตรวจเงินแผ่นดินเลยถาม แล้วตัว สส.กับหัวคะแนน มีเงินอุดหนุนจากพรรคไหมตอบ มีแน่นอนทุกเดือนครับ ยุคแพทองธาร ๑ นี่ ข่าวยืนยันว่าอัดฉีดรายเดือนกันเป็นล้านแล้ว ส่วนที่หัวหน้าซุ้มต้องหามาให้ลูกซุ้มก็มีอีกส่วนหนึ่ง แต่เงินซุ้มนี้หัวหน้าหามาได้เมื่อไหร่ก็ต้องแบ่งส่งพรรคหลักด้วยเสมอ สำหรับกระทรวงที่ “นาย”สร้างโครงการขึ้นมาชงเองกินเองก็มีเช่นกันถาม สรุปแล้วในระบอบนี้ ทุกชีวิตก็ร่วมกันคอรัปชั่นหมด ทั้งชาวบ้านที่เสพติดประชานิยมสส.กับหัวคะแนน และรัฐมนตรี พวกเขาต่างก็ร่วมทุนกันทำมาหากินจากส่วนรวม ถือสิทธิเลือกตั้งและอำนาจหน้าที่เป็นสินทรัพย์แล้วแปรเป็นทุนด้วยตัวระบอบทั้งสิ้น ตอบ เป็นเช่นนั้น.. ในภาพรวมอย่างนี้ เราจะไปมองว่าทักษิณโกงคนเดียวไม่ได้ พวกเขาวินวิน ร่วมมือกันจนได้กินกันหมดทุกคน เปรียบเหมือนซ่องโสเภณี ที่มีรายได้อ้วนท้วนกันทุกฝ่าย ทั้งเจ้าของซ่อง แมงดาการเมืองที่เกาะกิน และตัวโสเภณีด้วย ”รวยจนสิ้นชาติบ้านเมือง” ถาม ที่ผ่านมามีคอรัปชั่นอะไรไปบ้างแล้วครับตอบ ที่ฉาวโฉ่ อุกอาจ ก็มีหลายโครงการ ชิบหายรวมเป็นแสนล้านเลย คือ- ซื้อรถเรือดับเพลิงใช้การไม่ได้กว่า ๑๐๐ ล้านด้วย จีทูจี จอมปลอม รัฐมนตรีหนีคดี- ซื้อเครื่องบินแพงและไม่จำเป็นจนการบินไทยเสียหายหลายหมื่นล้าน- สร้างระบบสายพานขนสัมภาระในสนามบินแพงเกินจริง ทางการสหรัฐรายงานว่าเลขาพรรครัฐบาลเรียกเงินเป็นพันล้าน- สร้างรถไฟเชื่อมสนามบินด้วยสัญญาเหมาเบ็ดเสร็จ ทั้งออกแบบก่อสร้างและหาแหล่งเงินทุน พบเงินปากถุงกินเปล่าก้อนใหญ่ ไปไหนไม่ทราบ รัฐมนตรีคมนาคมคุมเปิดซองด้วยตนเอง- แจกกล้ายางที่ใช้การไม่ได้ ซื้อมาแล้วขายให้รัฐโดยพอกราคารวยเละ- สร้างและขายบ้านเอื้ออาทร ด้วยสัญญาโควต้าเหมาจ่ายทั้งโครงการราคาตายตัว จ้างให้ทำทั้งหาที่ดิน-หาผู้จองก่อสร้าง แล้วจบลงเป็นบ้านร้างสร้างไม่เสร็จ หรือเป็นบ้านผีสิงไม่มีผู้จองซื้อจริงทั่วไปหมด ครั้นตรวจกระแสเงินขายโควต้า ก็พบเงิน ๑๔๐๐ ล้าน เข้าเสี่ยเปี๋ยงคนที่รับงานเจรจา เป็นลูกน้องเจ๊ใหญ่ ติดคุกด้วย- รับจำนำข้าวเกินราคาตลาด จบเป็นข้าวเน่า ค้างโกดังรัฐเสียหายเป็นแสนล้าน เสี่ยเปี๋ยง ก็โผล่มาจนติดคุกอีก ตัวนายกฯหนีคดีตามเคย- เงินกู้ธนาคารกรุงไทย คดีนี้นายสั่งให้คณะกรรมการให้บริษัทอสังหาฯกู้เงินหลายพันล้าน เอาที่ดินมาพัฒนาเป็นโครงการจอมปลอม ธนาคารเสียหายเป็นพันล้าน ตามรอยเงินพบเข้าลูกและลูกน้องชินวัตร กว่า ๑๐๐ ล้าน งานนี้ติดคุกรวดถาม วันนี้ วันหน้า ถ้า “ระบอบทักษิณ” ฟื้นขึ้นมาอีก ประเทศก็ชิบหายอีกสิครับตอบ เขาฟื้นอยู่แล้ว ขณะนี้กำลังเดินหน้าปราศัยหาเสียงไปทั่วประเทศ ดำริจะออกสลากเพิ่มพร้อมโครงการหนึ่งทุนหนึ่งตำบลอีก งบประมาณปีนี้ทำขาดดุลเพื่อเทงบมาแจกชาวบ้านแล้วก็ยังไม่พอ ต้องแปรญัตติเบี้ยวไม่จ่ายหนี้เงินกู้ให้ธนาคาร แล้วตัดลดเงินต่อหัวในโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคลงอีก หน้ามืดจะแจกเงินให้ได้อย่างนี้ อนาคตธนาคารไทยโรงพยาบาลไทยซวยแน่ๆ ถาม ถ้าทรัมป์ลุยจีน ยิวลุยอิหร่าน รัสเซียลุยเคียฟถล่มจรวดลงโปแลนด์ จนเศรษฐกิจโลกยับเยิน ซ้ำเติมสุขภาพเศรษฐกิจไทยที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จนเงินบาทลดค่า สินค้าส่งไม่ออก เงินคงคลังก็หมด อะไรจะเกิดขึ้นตอบ วิกฤตขนาดต้องดุลย์ข้าราชการหรือลูกจ้างจนตกงานกันทั้งประเทศนี่ ระวังฮุนเซ็นโมเดลไว้ให้ดีก็แล้วกันครับ
    รวยอย่างชินวัตร Episode 3 : ‘รวยจนชาติบ้านเมืองชิบหาย’9 ม.ค.2568 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความ รวยอย่างชินวัตร Episode 3 : “รวยจนชาติบ้านเมืองชิบหาย” มีรายละเอียดดังนี้“คอรัปชั่น”ใน “ระบอบทักษิณ” ถาม ระบอบทักษิณเกิดและเติบโตได้อย่างไรตอบ ระบอบนี้มีทุนพื้นฐาน ๔ ประการรองรับครบถ้วน ทั้งเงินลงทุน, อำนาจในระบบ, สื่อและปัญญชนชวนเชื่อ และสาวกบริวาร ทุนทั้งสี่จะมีพลวัตสร้างเสริมกันตลอดเวลาใช้เงินสร้างอำนาจ สร้างสื่อ สร้างพวก แล้วเอาอำนาจไปสร้างเงิน สร้างพวก สร้างสื่ออีกที ด้วยพลวัตอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ระบอบนี้เติบโตได้ด้วยตนเองไปตลอดถาม ใช้เวลาไม่นานเลยนะครับตอบ คุณเห็นไหมว่าพอเข้าสมัยที่สอง ระบอบทักษิณก็ยึดสภาได้เด็ดขาด คนพลังธรรมและความหวังใหม่สลายตัวมาเข้าด้วยหมด ส่วนบ้านใหญ่ตามต่างจังหวัดก็สยบเข้าร่วมเปิดสาขา รับสินค้าประชานิยมไทยรักไทยมาขายให้ชาวบ้านทุกหัวระแหง ราวกับเปิด 7-11 พรึบทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ถาม ในระบอบอย่างนี้ ไม่มีคอรัปชั่นได้ไหม ?ตอบ ไม่ได้ครับระบอบนี้เกิดและเติบโตจากความเห็นแก่ตัวที่ไม่มีคำว่า“ประโยชน์ส่วนรวม”อยู่เลย สำหรับสาวกที่รอบริโภคนั้น ก็มีสินค้าประชานิยมมาตอบแทนคะแนนเลือกตั้ง ทั้งข้าวทุกเมล็ดเกวียนละสามหมื่น รถคันแรก ค่าจ้างขั้นต่ำ เงินแจกดิจิตอล เงินเดือนปริญญาตรี รักษาฟรีทุกแห่งทุกโรคทุกคนแม้แต่มะเร็ง ทั้งหมดนี้เราจะแจกจนมีเกียรติ -มีศักดิ์ศรี ทุกคนนะคร้าา....ถาม ที่แจกเป็นพื้นที่ เฉพาะพื้นที่ มีไหมครับตอบ มีครับ อย่างหอประชุมนานาชาตินั้น ภูเก็ตไม่เลือกเรา เราก็ไม่ให้ เราไปให้เชียงใหม่ หรือที่เป็นโครงการระดับหมู่บ้านหรือตำบล ก็มีเงินจากกองสลาก ไหลผ่านมือ สส.กับหัวคะแนน ลงไปช่วยเหลืออุ้มชูฐานเสียงไม่มีขาดสาย เงินท่อนี้ถือเป็นPocket money ทางการเมือง ที่ทำให้ระบอบทักษิณเกิดขึ้นมาอย่างทรงพลังมากๆถาม เขาสร้างท่อนี้ขึ้นมาอย่างไรตอบ หวยสามตัวสมัยทักษิณนั้น พอผลสลากใกล้จะออก จะมีการอ้างว่าไม่พอขายแล้วสั่งพิมพ์เพิ่มล้อตใหญ่ทุกครั้งไป ทำทุกงวดนานเป็นปีๆเลยนะครับ สลากมืดถาดนี้ เป็นที่มาของเงินมืดที่ใช้จ่ายกันได้สะดวก โดยไม่ปรากฏในระบบตรวจเงินแผ่นดินเลยถาม แล้วตัว สส.กับหัวคะแนน มีเงินอุดหนุนจากพรรคไหมตอบ มีแน่นอนทุกเดือนครับ ยุคแพทองธาร ๑ นี่ ข่าวยืนยันว่าอัดฉีดรายเดือนกันเป็นล้านแล้ว ส่วนที่หัวหน้าซุ้มต้องหามาให้ลูกซุ้มก็มีอีกส่วนหนึ่ง แต่เงินซุ้มนี้หัวหน้าหามาได้เมื่อไหร่ก็ต้องแบ่งส่งพรรคหลักด้วยเสมอ สำหรับกระทรวงที่ “นาย”สร้างโครงการขึ้นมาชงเองกินเองก็มีเช่นกันถาม สรุปแล้วในระบอบนี้ ทุกชีวิตก็ร่วมกันคอรัปชั่นหมด ทั้งชาวบ้านที่เสพติดประชานิยมสส.กับหัวคะแนน และรัฐมนตรี พวกเขาต่างก็ร่วมทุนกันทำมาหากินจากส่วนรวม ถือสิทธิเลือกตั้งและอำนาจหน้าที่เป็นสินทรัพย์แล้วแปรเป็นทุนด้วยตัวระบอบทั้งสิ้น ตอบ เป็นเช่นนั้น.. ในภาพรวมอย่างนี้ เราจะไปมองว่าทักษิณโกงคนเดียวไม่ได้ พวกเขาวินวิน ร่วมมือกันจนได้กินกันหมดทุกคน เปรียบเหมือนซ่องโสเภณี ที่มีรายได้อ้วนท้วนกันทุกฝ่าย ทั้งเจ้าของซ่อง แมงดาการเมืองที่เกาะกิน และตัวโสเภณีด้วย ”รวยจนสิ้นชาติบ้านเมือง” ถาม ที่ผ่านมามีคอรัปชั่นอะไรไปบ้างแล้วครับตอบ ที่ฉาวโฉ่ อุกอาจ ก็มีหลายโครงการ ชิบหายรวมเป็นแสนล้านเลย คือ- ซื้อรถเรือดับเพลิงใช้การไม่ได้กว่า ๑๐๐ ล้านด้วย จีทูจี จอมปลอม รัฐมนตรีหนีคดี- ซื้อเครื่องบินแพงและไม่จำเป็นจนการบินไทยเสียหายหลายหมื่นล้าน- สร้างระบบสายพานขนสัมภาระในสนามบินแพงเกินจริง ทางการสหรัฐรายงานว่าเลขาพรรครัฐบาลเรียกเงินเป็นพันล้าน- สร้างรถไฟเชื่อมสนามบินด้วยสัญญาเหมาเบ็ดเสร็จ ทั้งออกแบบก่อสร้างและหาแหล่งเงินทุน พบเงินปากถุงกินเปล่าก้อนใหญ่ ไปไหนไม่ทราบ รัฐมนตรีคมนาคมคุมเปิดซองด้วยตนเอง- แจกกล้ายางที่ใช้การไม่ได้ ซื้อมาแล้วขายให้รัฐโดยพอกราคารวยเละ- สร้างและขายบ้านเอื้ออาทร ด้วยสัญญาโควต้าเหมาจ่ายทั้งโครงการราคาตายตัว จ้างให้ทำทั้งหาที่ดิน-หาผู้จองก่อสร้าง แล้วจบลงเป็นบ้านร้างสร้างไม่เสร็จ หรือเป็นบ้านผีสิงไม่มีผู้จองซื้อจริงทั่วไปหมด ครั้นตรวจกระแสเงินขายโควต้า ก็พบเงิน ๑๔๐๐ ล้าน เข้าเสี่ยเปี๋ยงคนที่รับงานเจรจา เป็นลูกน้องเจ๊ใหญ่ ติดคุกด้วย- รับจำนำข้าวเกินราคาตลาด จบเป็นข้าวเน่า ค้างโกดังรัฐเสียหายเป็นแสนล้าน เสี่ยเปี๋ยง ก็โผล่มาจนติดคุกอีก ตัวนายกฯหนีคดีตามเคย- เงินกู้ธนาคารกรุงไทย คดีนี้นายสั่งให้คณะกรรมการให้บริษัทอสังหาฯกู้เงินหลายพันล้าน เอาที่ดินมาพัฒนาเป็นโครงการจอมปลอม ธนาคารเสียหายเป็นพันล้าน ตามรอยเงินพบเข้าลูกและลูกน้องชินวัตร กว่า ๑๐๐ ล้าน งานนี้ติดคุกรวดถาม วันนี้ วันหน้า ถ้า “ระบอบทักษิณ” ฟื้นขึ้นมาอีก ประเทศก็ชิบหายอีกสิครับตอบ เขาฟื้นอยู่แล้ว ขณะนี้กำลังเดินหน้าปราศัยหาเสียงไปทั่วประเทศ ดำริจะออกสลากเพิ่มพร้อมโครงการหนึ่งทุนหนึ่งตำบลอีก งบประมาณปีนี้ทำขาดดุลเพื่อเทงบมาแจกชาวบ้านแล้วก็ยังไม่พอ ต้องแปรญัตติเบี้ยวไม่จ่ายหนี้เงินกู้ให้ธนาคาร แล้วตัดลดเงินต่อหัวในโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคลงอีก หน้ามืดจะแจกเงินให้ได้อย่างนี้ อนาคตธนาคารไทยโรงพยาบาลไทยซวยแน่ๆ ถาม ถ้าทรัมป์ลุยจีน ยิวลุยอิหร่าน รัสเซียลุยเคียฟถล่มจรวดลงโปแลนด์ จนเศรษฐกิจโลกยับเยิน ซ้ำเติมสุขภาพเศรษฐกิจไทยที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จนเงินบาทลดค่า สินค้าส่งไม่ออก เงินคงคลังก็หมด อะไรจะเกิดขึ้นตอบ วิกฤตขนาดต้องดุลย์ข้าราชการหรือลูกจ้างจนตกงานกันทั้งประเทศนี่ ระวังฮุนเซ็นโมเดลไว้ให้ดีก็แล้วกันครับ
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 635 มุมมอง 0 รีวิว
  • “๑ ประเทศ ๒ รัฐบาล” #เปลวสีเงิน
    plew

    เปลว สีเงิน

    คงเป็น “ที่สุดแห่งปี” จริงๆ
    สำหรับประเทศแห่งประชากรผู้หิวโหยและเทิดทูน ๒ พ่อลูก “ตระกูลชิน”
    บ่ายวาน(๒๗ ธ.ค.๖๗)นายกฯมาเลย์ฯ “นายอันวาร์” โพสต์เฟซ พร้อมภาพถ่ายคู่ทักษิณ

    Anwar Ibrahim
    รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์

    รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน

    การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา

    เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า

    จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ระหว่างมาเลเซียและไทย
    ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค

    ที่ผมมีร่วมกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย

    หลายทศวรรษที่ผ่านทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้มาก เมื่อร่วมมือกัน

    ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศของเราเท่านั้น
    แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นความจริง.

    นั่นคือบทบาท “นายกฯ-ผู้พ่อ” ปิดศักราช ๒๕๖๗ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ทีนี้อยากให้ดูบทบาท “นายกฯ-ผู้ลูก” ส่งท้ายปีบ้าง

    ๒๗ ธันวา. นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร”
    ส่งหนังสือลากิจ ๑ วัน ไปที่ “สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” (สลค.)

    “หยุดงาน” ยาวต่อเนื่องข้ามศักราชไปถึงปีหน้า บอกว่า “เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว”
    จะกลับมา “ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง วันที่ ๒ มกรา.๖๘

    โดยเป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตอนเช้า
    นายกฯ บอกลาอย่างนี้แล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างครับ?

    ในความรู้สึกผม….
    ประเทศเหมือน “ครอบครัวหนึ่ง” มีสมาชิก ๖๐ กว่าล้านคน มีรัฐบาลโดย “นายกฯ” เป็นหัวหน้า “รับผิดชอบ” ดูแลครอบครัว

    ปีใหม่ “หยุดยาว” สมาชิกในครอบครัว พากันไปเที่ยวไหน-ต่อไหนกันจนกรุงเทพฯ แทบโล่ง ประมาณ ๑ สัปดาห์

    แต่แทนที่ “หัวหน้าครอบครัว” จะบอกว่า หยุดยาว เที่ยวกันให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก จะระวังขะโมย-ขะโจรให้เอง

    กลับตรงกันข้าม ลูกบ้านหยุดยาวไปเที่ยว หัวหน้าบ้านก็หยุดยาวบ้าง แถมชิงเอาเปรียบ “ลาหยุด” ล่วงหน้าซะอีก ๑ วัน!

    ถามว่าผิดมั้ย?
    ก็ไม่ผิด แต่มันขาด “ภาวะสำนึก” แห่งความรับผิดชอบของ “คนเป็นผู้นำ”

    หรือพูดกันชัดๆ…
    นางสาวแพทองธาร ลูกนายทักษิณ ไม่มีทั้งวุฒิภาวะ ไม่มีทั้งสำนึกภาวะ ไม่คู่ควรตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เลย!

    เป็น “ผู้นำ” เป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง….
    หยุุดงาน-หยุดได้ แต่ไม่ใช่เห็นชาวบ้านเขาหยุดยาวในเทศกาล กูก็จะหยุดมั่ง แบบนี้

    มีธุระสำคัญอะไรที่ต้องลาหยุดเพิ่มให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ไม่ดี เช่นนี้?
    เปล่า…ลาหยุดพักผ่อนกับครอบครัว!?

    แถมบอก “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง ในวันที่ ๒ มกรา.๖๘ นั้น
    น่ารังเกียจ ประหนึ่ง “ไร้เดียงสา”!

    ต้องเข้าใจนะอุ๊งอิ๊ง คุณพ่อไม่สอนหรือว่า การไปทำงานนั้น “หยุด…คือไม่ไปที่ทำงาน” นั้น ได้

    แต่ “หน้าที่นายกฯ” มันหยุดปฎิบัติไม่ได้-ลาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน แบบไหน กำลังกิน กำลังนอน กำลังถ่าย แม้แขม็บๆ กำลังจะตาย

    “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ ได้
    แต่ลา “ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” ไม่ได้!

    เช่นเดียวกับ “ข้าราชการ” ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชครู ข้าราชการทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล
    “หยุดงาน-ลางาน” ได้

    แต่หยุด “หน้าที่” คนเป็นข้าราชการไม่ได้ ต่อให้ไปไหน-อยู่ไหน เขาพร้อม “ปฎิบัติหน้าที่” ในทันที เมื่อมีสถานการณ์

    คนเป็นผู้นำบริหารประเทศ “สำนึกภาวะ” ด้านรับผิดชอบในหน้าที่ “ต้องสูงกว่าข้าราชการ” ขึ้นไปอีกขั้น

    อย่างปีใหม่ “หยุดยาวข้ามปี”…….
    นายกฯ อยู่บ้านหรือมาทำเนียบ “ค่าเท่ากัน”

    ไม่ต้องทำเป็น “ลาก่ง-ลากิจ” ให้ดูตลกปัญญาอ่อนหรอก

    ที่สำคัญ ผู้นำต้องส่งสัญญานให้ประชาชนรู้ว่า ในขณะที่เขาทิ้งบ้านไปไหนต่อไหนกันนั้น
    ฉัน..นายกฯ อยู่นะ รัฐบาล “อยู่โยง” ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์ประเทศ” ให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ

    เที่ยวกันให้สนุก ไม่ต้อง “ห่วงหน้า-พะวงหลัง”
    เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ที่ต้องทำงานในเทศกาลหยุดยาว เขาก็พลอยมีกำลังใจ

    ว่าไม่เพียงพวกเขาต้องแกร่ว “อยู่เวร-อยู่ยาม”
    “ผู้นำรัฐบาล” ก็แกร่วอยู่ด้วย

    คอยตรวจตราสั่งการ “รักษาบ้าน-เฝ้าเมือง” ให้ประชาชน ไม่ได้ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ละทิ้งหน้าที่ไปทางไหนแต่อย่างใด!
    นี่คือ “สำนึกผู้นำ”

    ไม่ใช่ชาวบ้านเขาลาหยุดยาว กูก็ลาหยุดยาวบ้าง แถมบอกเสร็จสรรพ “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่” ในที่ ๒ มกรา.๕๘! จะให้ “ชาวบ้าน-ชาวเมือง” เข้าใจว่า…..

    จากวันนี้ จนถึง ๒ มกรา.๖๘ บ้านเมือง “ว่างเปล่า” ไม่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ งั้นหรือ?

    โบราณท่านบอก….
    เป็นหัวหน้างาน “อย่าไปแย่งงานลูกน้องทำ”

    แต่คนเป็นหัวหน้าคน “ต้องตื่นก่อน-นอนทีหลัง”

    เป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพ-นายกอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงเทศกาล ลูกน้อง-ลูกบ้าน เขาจะสนุกสนาน เที่ยวเตร่กัน
    คนเป็นนายก็ต้อง “เฝ้าบ้าน-เฝ้าประเทศ” คอยระหวังหลังให้พวกเขา

    มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นแค่ “สามัญสำนึกพื้นฐาน” ของคนเป็นนายคนเท่านั้นเอง

    พูดถึงลูกแล้ว มาพูดถึงพ่อบ้าง
    จากหลีเป๊ะ-สตูล ไปลังกาวี-มาเลเซีย ๕๒ กิโลเท่านั้นเอง ถ้านั่งเรือ ก็ชั่วโมงกว่าๆ

    ตอนเป็นเด็กวัดเคยอ่านบันทึกของ “หลุย คีรีวัต” ที่ถูกขัง
    คุกเกาะ “ตะรุเตา” กับเพื่อนนักโทษกบฎอีก ๒-๓ คน มี “โหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์” รวมอยู่ด้วย

    หลบหนีคุก ลอยคอจากเกาะตะรุเตา ไปขึ้นที่เกาะลังกาวี ซึ่งเกาะนี้ อยู่ใน “รัฐเคดะห์”

    อดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทยบุรี ดินแดนของสยาม แต่เราจำต้องเสียให้อังกฤษไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕
    เกาะนี้ “ถูกสาป” จนมีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานรักของหญิงไทยจนถึงทุกวันนี้ ไปหาอ่านกันเอาเองละกัน

    ผมเล่าตามข่าวนะ …..
    “ทักษิณ” กับ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ เขานัดพบกัน ส่วนจะพบในดินแดนมาเลย์ ที่ลังกาวี
    หรือลอยเรือในทะเลคุยกันในเขตไทยแถวๆ หลีเป๊ะ?
    ลองทายกันดูซิ….

    เพราะในทุกข่าวสาร เผยแพร่ภาพพบกัน แต่ไม่มีข่าวสารไหนยอมระบุว่าพบกันที่ไหน
    “ในแดนไทย” หรือ “ในแดนมาลย์” ที่ลังกาวี?

    แค่บอกว่า
    “ทักษิณกับร.อ.ธรรมนัส อดีตรมว.เกษตรฯ เดินทางด้วยขบวนเรือยอชต์ ๖ ลำ แวะเยือนเกาะหลีเป๊ะ สตูล

    โดยมาถึงชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธ.ค. เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. โดยไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้า เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป

    จนกระทั่งเช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ทั้งสองขึ้นฝั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่ “โรงแรมบูโลว คาซ่าแกรนด์วิว” รีสอร์ท”

    ผมไม่สนทั้งสองเขาคุยอะไรกัน เพราะที่เขาบอก “เรื่องแต่ง” ส่วน “เรื่องจริง” ใครเขาจะบอก!

    แต่ฉงนในประเด็น ทักษิณมาดูลาดเลา “ช่องทางธรรมชาติ” หรืออย่างไร?

    อย่าลืม ทักษิณเป็นจำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ ได้ประกันตัวจากศาล ด้วยเงื่อนไข “ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ”

    แล้วเชื่อได้ขนาดไหน มีใครยืนยันได้ ว่านายกฯมาเลย์กับทักษิณ นั่งเรือคุยกันในทะเลฝั่งไทย

    ไม่ใช่ทักษิณนั่งเรือยอชต์ไปพบนายอันวาร์ที่เกาะลังกาวี ในดินแดนมาเลย์
    พบ-พูดคุยกันแล้ว….
    อีกวันถึงลอยเรือยอชต์ ปรากฎตัวให้คนเห็นเป็นข่าวที่หลีเป๊ะ-เขตไทย?

    อีกประเด็นที่ผมสน “ทักษิณมีสถานะอะไร และนายอันวาร์ต้องการอะไร”
    จึงเล่นบท “การเมืองลับๆ ล่อๆ” กับทักษิณ?

    -ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ส่งเสริมสันติภาพ ๓ จว.ใต้, แก้ไขวิกฤตเมียนมา, เสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคี “มาเลเซีย-ไทย”

    ทักษิณมีตำแหน่ง-หน้าที่ใด ที่นายอันวาร์ต้องนำมาคุย นอกจากเป็นนักโทษเทวดา เป็นพ่อนายกฯ เป็นหัวหน้าแก๊งเปลี่ยนระบอบเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เป็นเจ้าของคอกหมา และฯลฯ

    อีกคุณสมบัติเดียว คุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคนี้ของทักษิณ คือ วิชา “ขายแผ่นดิน”

    และวิชา “แปลง” ทุนสำรองระหว่างประเทศ “เป็นเงินโปรย” ประชานิยม”!

    “การเมืองลับๆ ล่อๆ” นี้ “ฉีกประเทศไทย” ให้มี ๒ รัฐบาล คือ “รัฐบาลพ่อ” กับ “รัฐบาลลูก”
    แล้วกูจะต้องปฎิบัติตัวยังไงดีวะ ในประเทศ ๒ รัฐบาล?

    เปลว สีเงิน
    ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    “๑ ประเทศ ๒ รัฐบาล” #เปลวสีเงิน plew เปลว สีเงิน คงเป็น “ที่สุดแห่งปี” จริงๆ สำหรับประเทศแห่งประชากรผู้หิวโหยและเทิดทูน ๒ พ่อลูก “ตระกูลชิน” บ่ายวาน(๒๗ ธ.ค.๖๗)นายกฯมาเลย์ฯ “นายอันวาร์” โพสต์เฟซ พร้อมภาพถ่ายคู่ทักษิณ Anwar Ibrahim รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์ รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ระหว่างมาเลเซียและไทย ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค ที่ผมมีร่วมกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย หลายทศวรรษที่ผ่านทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้มาก เมื่อร่วมมือกัน ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศของเราเท่านั้น แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นความจริง. นั่นคือบทบาท “นายกฯ-ผู้พ่อ” ปิดศักราช ๒๕๖๗ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ทีนี้อยากให้ดูบทบาท “นายกฯ-ผู้ลูก” ส่งท้ายปีบ้าง ๒๗ ธันวา. นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ส่งหนังสือลากิจ ๑ วัน ไปที่ “สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” (สลค.) “หยุดงาน” ยาวต่อเนื่องข้ามศักราชไปถึงปีหน้า บอกว่า “เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว” จะกลับมา “ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง วันที่ ๒ มกรา.๖๘ โดยเป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตอนเช้า นายกฯ บอกลาอย่างนี้แล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างครับ? ในความรู้สึกผม…. ประเทศเหมือน “ครอบครัวหนึ่ง” มีสมาชิก ๖๐ กว่าล้านคน มีรัฐบาลโดย “นายกฯ” เป็นหัวหน้า “รับผิดชอบ” ดูแลครอบครัว ปีใหม่ “หยุดยาว” สมาชิกในครอบครัว พากันไปเที่ยวไหน-ต่อไหนกันจนกรุงเทพฯ แทบโล่ง ประมาณ ๑ สัปดาห์ แต่แทนที่ “หัวหน้าครอบครัว” จะบอกว่า หยุดยาว เที่ยวกันให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก จะระวังขะโมย-ขะโจรให้เอง กลับตรงกันข้าม ลูกบ้านหยุดยาวไปเที่ยว หัวหน้าบ้านก็หยุดยาวบ้าง แถมชิงเอาเปรียบ “ลาหยุด” ล่วงหน้าซะอีก ๑ วัน! ถามว่าผิดมั้ย? ก็ไม่ผิด แต่มันขาด “ภาวะสำนึก” แห่งความรับผิดชอบของ “คนเป็นผู้นำ” หรือพูดกันชัดๆ… นางสาวแพทองธาร ลูกนายทักษิณ ไม่มีทั้งวุฒิภาวะ ไม่มีทั้งสำนึกภาวะ ไม่คู่ควรตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เลย! เป็น “ผู้นำ” เป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง…. หยุุดงาน-หยุดได้ แต่ไม่ใช่เห็นชาวบ้านเขาหยุดยาวในเทศกาล กูก็จะหยุดมั่ง แบบนี้ มีธุระสำคัญอะไรที่ต้องลาหยุดเพิ่มให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ไม่ดี เช่นนี้? เปล่า…ลาหยุดพักผ่อนกับครอบครัว!? แถมบอก “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง ในวันที่ ๒ มกรา.๖๘ นั้น น่ารังเกียจ ประหนึ่ง “ไร้เดียงสา”! ต้องเข้าใจนะอุ๊งอิ๊ง คุณพ่อไม่สอนหรือว่า การไปทำงานนั้น “หยุด…คือไม่ไปที่ทำงาน” นั้น ได้ แต่ “หน้าที่นายกฯ” มันหยุดปฎิบัติไม่ได้-ลาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน แบบไหน กำลังกิน กำลังนอน กำลังถ่าย แม้แขม็บๆ กำลังจะตาย “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ ได้ แต่ลา “ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” ไม่ได้! เช่นเดียวกับ “ข้าราชการ” ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชครู ข้าราชการทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล “หยุดงาน-ลางาน” ได้ แต่หยุด “หน้าที่” คนเป็นข้าราชการไม่ได้ ต่อให้ไปไหน-อยู่ไหน เขาพร้อม “ปฎิบัติหน้าที่” ในทันที เมื่อมีสถานการณ์ คนเป็นผู้นำบริหารประเทศ “สำนึกภาวะ” ด้านรับผิดชอบในหน้าที่ “ต้องสูงกว่าข้าราชการ” ขึ้นไปอีกขั้น อย่างปีใหม่ “หยุดยาวข้ามปี”……. นายกฯ อยู่บ้านหรือมาทำเนียบ “ค่าเท่ากัน” ไม่ต้องทำเป็น “ลาก่ง-ลากิจ” ให้ดูตลกปัญญาอ่อนหรอก ที่สำคัญ ผู้นำต้องส่งสัญญานให้ประชาชนรู้ว่า ในขณะที่เขาทิ้งบ้านไปไหนต่อไหนกันนั้น ฉัน..นายกฯ อยู่นะ รัฐบาล “อยู่โยง” ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์ประเทศ” ให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ เที่ยวกันให้สนุก ไม่ต้อง “ห่วงหน้า-พะวงหลัง” เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ที่ต้องทำงานในเทศกาลหยุดยาว เขาก็พลอยมีกำลังใจ ว่าไม่เพียงพวกเขาต้องแกร่ว “อยู่เวร-อยู่ยาม” “ผู้นำรัฐบาล” ก็แกร่วอยู่ด้วย คอยตรวจตราสั่งการ “รักษาบ้าน-เฝ้าเมือง” ให้ประชาชน ไม่ได้ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ละทิ้งหน้าที่ไปทางไหนแต่อย่างใด! นี่คือ “สำนึกผู้นำ” ไม่ใช่ชาวบ้านเขาลาหยุดยาว กูก็ลาหยุดยาวบ้าง แถมบอกเสร็จสรรพ “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่” ในที่ ๒ มกรา.๕๘! จะให้ “ชาวบ้าน-ชาวเมือง” เข้าใจว่า….. จากวันนี้ จนถึง ๒ มกรา.๖๘ บ้านเมือง “ว่างเปล่า” ไม่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ งั้นหรือ? โบราณท่านบอก…. เป็นหัวหน้างาน “อย่าไปแย่งงานลูกน้องทำ” แต่คนเป็นหัวหน้าคน “ต้องตื่นก่อน-นอนทีหลัง” เป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพ-นายกอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงเทศกาล ลูกน้อง-ลูกบ้าน เขาจะสนุกสนาน เที่ยวเตร่กัน คนเป็นนายก็ต้อง “เฝ้าบ้าน-เฝ้าประเทศ” คอยระหวังหลังให้พวกเขา มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นแค่ “สามัญสำนึกพื้นฐาน” ของคนเป็นนายคนเท่านั้นเอง พูดถึงลูกแล้ว มาพูดถึงพ่อบ้าง จากหลีเป๊ะ-สตูล ไปลังกาวี-มาเลเซีย ๕๒ กิโลเท่านั้นเอง ถ้านั่งเรือ ก็ชั่วโมงกว่าๆ ตอนเป็นเด็กวัดเคยอ่านบันทึกของ “หลุย คีรีวัต” ที่ถูกขัง คุกเกาะ “ตะรุเตา” กับเพื่อนนักโทษกบฎอีก ๒-๓ คน มี “โหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์” รวมอยู่ด้วย หลบหนีคุก ลอยคอจากเกาะตะรุเตา ไปขึ้นที่เกาะลังกาวี ซึ่งเกาะนี้ อยู่ใน “รัฐเคดะห์” อดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทยบุรี ดินแดนของสยาม แต่เราจำต้องเสียให้อังกฤษไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกาะนี้ “ถูกสาป” จนมีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานรักของหญิงไทยจนถึงทุกวันนี้ ไปหาอ่านกันเอาเองละกัน ผมเล่าตามข่าวนะ ….. “ทักษิณ” กับ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ เขานัดพบกัน ส่วนจะพบในดินแดนมาเลย์ ที่ลังกาวี หรือลอยเรือในทะเลคุยกันในเขตไทยแถวๆ หลีเป๊ะ? ลองทายกันดูซิ…. เพราะในทุกข่าวสาร เผยแพร่ภาพพบกัน แต่ไม่มีข่าวสารไหนยอมระบุว่าพบกันที่ไหน “ในแดนไทย” หรือ “ในแดนมาลย์” ที่ลังกาวี? แค่บอกว่า “ทักษิณกับร.อ.ธรรมนัส อดีตรมว.เกษตรฯ เดินทางด้วยขบวนเรือยอชต์ ๖ ลำ แวะเยือนเกาะหลีเป๊ะ สตูล โดยมาถึงชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธ.ค. เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. โดยไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้า เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป จนกระทั่งเช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ทั้งสองขึ้นฝั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่ “โรงแรมบูโลว คาซ่าแกรนด์วิว” รีสอร์ท” ผมไม่สนทั้งสองเขาคุยอะไรกัน เพราะที่เขาบอก “เรื่องแต่ง” ส่วน “เรื่องจริง” ใครเขาจะบอก! แต่ฉงนในประเด็น ทักษิณมาดูลาดเลา “ช่องทางธรรมชาติ” หรืออย่างไร? อย่าลืม ทักษิณเป็นจำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ ได้ประกันตัวจากศาล ด้วยเงื่อนไข “ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ” แล้วเชื่อได้ขนาดไหน มีใครยืนยันได้ ว่านายกฯมาเลย์กับทักษิณ นั่งเรือคุยกันในทะเลฝั่งไทย ไม่ใช่ทักษิณนั่งเรือยอชต์ไปพบนายอันวาร์ที่เกาะลังกาวี ในดินแดนมาเลย์ พบ-พูดคุยกันแล้ว…. อีกวันถึงลอยเรือยอชต์ ปรากฎตัวให้คนเห็นเป็นข่าวที่หลีเป๊ะ-เขตไทย? อีกประเด็นที่ผมสน “ทักษิณมีสถานะอะไร และนายอันวาร์ต้องการอะไร” จึงเล่นบท “การเมืองลับๆ ล่อๆ” กับทักษิณ? -ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ส่งเสริมสันติภาพ ๓ จว.ใต้, แก้ไขวิกฤตเมียนมา, เสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคี “มาเลเซีย-ไทย” ทักษิณมีตำแหน่ง-หน้าที่ใด ที่นายอันวาร์ต้องนำมาคุย นอกจากเป็นนักโทษเทวดา เป็นพ่อนายกฯ เป็นหัวหน้าแก๊งเปลี่ยนระบอบเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เป็นเจ้าของคอกหมา และฯลฯ อีกคุณสมบัติเดียว คุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคนี้ของทักษิณ คือ วิชา “ขายแผ่นดิน” และวิชา “แปลง” ทุนสำรองระหว่างประเทศ “เป็นเงินโปรย” ประชานิยม”! “การเมืองลับๆ ล่อๆ” นี้ “ฉีกประเทศไทย” ให้มี ๒ รัฐบาล คือ “รัฐบาลพ่อ” กับ “รัฐบาลลูก” แล้วกูจะต้องปฎิบัติตัวยังไงดีวะ ในประเทศ ๒ รัฐบาล? เปลว สีเงิน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 628 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดตำนานบ้านร้าง เอื้ออาทรสุไหงโก-ลก

    โครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก บ้านเดี่ยว 288 ยูนิต บนที่ดิน 25 ไร่ พร้อมถนนเชื่อมระหว่างถนนประชาวิวัฒน์ ซอย 3 กับถนนเจริญเขต กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกปล่อยทิ้งร้างนานเกือบ 20 ปี เนื่องจากผู้รับเหมาสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม โครงสร้างบ้านแต่ละหลังชำรุด เต็มไปด้วยป่าหญ้าและวัชพืช ครั้งหนึ่งกลายเป็นจุดเช็กอินถ่ายภาพบนโซเชียลฯ ที่ทำเอาคนในสังคมอีกส่วนหนึ่งขำไม่ออก แต่เร็วๆ นี้กำลังจะกลายเป็นตำนาน

    เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. การเคหะแห่งชาติ นำโดยนายปรีดา สุขสุมิตร รองผู้ว่าการฯ และคณะ พร้อมด้วยนางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และผู้ที่เกี่ยวข้อง ประชุมเรื่องการใช้ที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องที่จะให้การเคหะฯ เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ โดยรื้อถอนโครงสร้างสิ่งก่อสร้างเดิม แล้วแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ 5 ไร่ การเคหะฯ จะก่อสร้างบ้านเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง

    ส่วนพื้นที่อีก 20 ไร่ จะวางแผนงานเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การเคหะฯ จะเป็นผู้จัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ภายใต้กรอบความเป็นไปได้ของพื้นที่ 2. การเคหะฯ จะเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเช่าที่ดินเพื่อการพัฒนาบริหารจัดการต่อไป โดยจะนำปัจจัยเชิงบริบทของพื้นที่ อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การจัดสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน มาประกอบแผนดำเนินการ ซึ่งการเคหฯ จะร่างแผนงานและนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสถัดไป

    ก่อนหน้านี้ การเคหะฯ ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการกับ หจก.ฉัตรวาริน ดีเวลลอปเม้นท์ ซื้อที่ดินวงเงิน 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2548 และทำสัญญาก่อสร้างบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 288 หน่วย วงเงิน 100.94 ล้านบาท กระทั่งทำสัญญาเพิ่มเติมอีก 210 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.ย.2550 จำหน่ายบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 21 ตารางวา ราคาประมาณ 390,000 บาท กำหนดส่งมอบเดือน เม.ย.2562 แต่บริษัทเอกชนสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน การเคหะฯ ได้ฟ้องและคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว โดยศาลสั่งยึดทรัพย์ 11 ล้านบาท ส่วนผู้จองมี 50 ราย ขอเงินคืนไปแล้ว 21 ราย ส่วนอีก 29 ราย ได้ผ่อนจ่ายจนครบตามสัญญา

    โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พบผู้รับเหมาทิ้งงานและการทุจริตเชิงนโยบาย มีการเรียกรับสินบนจากผู้ประกอบการ ซึ่งคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ 99 ปี กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำคุก 50 ปี แต่ได้รับการพักโทษเมื่อเร็วๆ นี้

    #Newskit
    ปิดตำนานบ้านร้าง เอื้ออาทรสุไหงโก-ลก โครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก บ้านเดี่ยว 288 ยูนิต บนที่ดิน 25 ไร่ พร้อมถนนเชื่อมระหว่างถนนประชาวิวัฒน์ ซอย 3 กับถนนเจริญเขต กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกปล่อยทิ้งร้างนานเกือบ 20 ปี เนื่องจากผู้รับเหมาสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม โครงสร้างบ้านแต่ละหลังชำรุด เต็มไปด้วยป่าหญ้าและวัชพืช ครั้งหนึ่งกลายเป็นจุดเช็กอินถ่ายภาพบนโซเชียลฯ ที่ทำเอาคนในสังคมอีกส่วนหนึ่งขำไม่ออก แต่เร็วๆ นี้กำลังจะกลายเป็นตำนาน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. การเคหะแห่งชาติ นำโดยนายปรีดา สุขสุมิตร รองผู้ว่าการฯ และคณะ พร้อมด้วยนางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และผู้ที่เกี่ยวข้อง ประชุมเรื่องการใช้ที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรสุไหงโก-ลก ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องที่จะให้การเคหะฯ เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ โดยรื้อถอนโครงสร้างสิ่งก่อสร้างเดิม แล้วแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ 5 ไร่ การเคหะฯ จะก่อสร้างบ้านเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง ส่วนพื้นที่อีก 20 ไร่ จะวางแผนงานเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การเคหะฯ จะเป็นผู้จัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ภายใต้กรอบความเป็นไปได้ของพื้นที่ 2. การเคหะฯ จะเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเช่าที่ดินเพื่อการพัฒนาบริหารจัดการต่อไป โดยจะนำปัจจัยเชิงบริบทของพื้นที่ อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การจัดสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน มาประกอบแผนดำเนินการ ซึ่งการเคหฯ จะร่างแผนงานและนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสถัดไป ก่อนหน้านี้ การเคหะฯ ได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการกับ หจก.ฉัตรวาริน ดีเวลลอปเม้นท์ ซื้อที่ดินวงเงิน 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2548 และทำสัญญาก่อสร้างบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 288 หน่วย วงเงิน 100.94 ล้านบาท กระทั่งทำสัญญาเพิ่มเติมอีก 210 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.ย.2550 จำหน่ายบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 21 ตารางวา ราคาประมาณ 390,000 บาท กำหนดส่งมอบเดือน เม.ย.2562 แต่บริษัทเอกชนสร้างไม่เสร็จแล้วทิ้งงาน การเคหะฯ ได้ฟ้องและคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว โดยศาลสั่งยึดทรัพย์ 11 ล้านบาท ส่วนผู้จองมี 50 ราย ขอเงินคืนไปแล้ว 21 ราย ส่วนอีก 29 ราย ได้ผ่อนจ่ายจนครบตามสัญญา โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พบผู้รับเหมาทิ้งงานและการทุจริตเชิงนโยบาย มีการเรียกรับสินบนจากผู้ประกอบการ ซึ่งคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ 99 ปี กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำคุก 50 ปี แต่ได้รับการพักโทษเมื่อเร็วๆ นี้ #Newskit
    Like
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Love
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 18 ธ.ค. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สนามบินน้ำ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำเสื้อเหลือง และอดีตแกนนำเสื้อแดงประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประพันธ์ คูณมี นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ นายเสน่ห์ หงษ์ทอง น.ส.นีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว นายใจเพชร กล้าจน นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ คอนเทนต์แนะนำพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาทำกิจกรรม พร้อมอ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กำลังใจป.ป.ช. ภายหลังมีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ปมนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้ และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายพิชิต​ ได้อ่านแถลงการณ์ ดังนี้​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏ หลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาต ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวง ทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไรก็ไม่ได้รับ จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าขทุจริตช่วยเหลือกัน โดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่า​ นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่งเดินขึ้นบันไดอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่างจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า การพักโทษ มาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ ดังนั้นจึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบ เกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​ สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และ หัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กับหลีกเลี่ยงแสงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุด ยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ พร้อมกับย้ำว่านี่คือหายนะ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝากปปช ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง​ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​พันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม และ​ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​ จากนั้นนายแก้วสรร กล่าวว่า ตนก็รู้สึกดีใจที่ ป.ป.ช.มีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าพวกเรามาบีบบังคับแล้วท่านก็คล้อยตามพวกเรา โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะนักกฎหมาย และเคยตรวจสอบยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว ก็อยากจะบอกว่างานนี้ทั้งหลักฐานและข้อกฎหมายมันชัดเจนเห็นตรงกันว่ามีมูล และ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มาแล้ว ในฐานะที่ตนเคยตรวจสอบมาพออ่านเกมออก งานนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจมีหลักฐานว่าป่วยจริงก็แค่เอามาให้ ป.ป.ช. ซึ่งก็จะไม่มามาถึงวันนี้แน่นอน แต่การที่กลบหลักฐาน ไม่ยอมให้หลักฐานอะไรเลย รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าเห็นนายทักษิณนั่งยิ้มกินข้าวเหนียวมะม่วง แถมออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ใส่ปลอกคอแค่พักเดียว ก็เดินไปทั่วประเทศ เพียงเท่านี้ก็มีมูลชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายแก้วสรร กล่าวว่า ดังนั้นวันนี้ตนมั่นใจใน ป.ป.ช. ว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร งานนี้ไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่สร้างขึ้นมา วันนี้ ป.ป.ช.กำลังเจอกับกระบวนการทุจริตแห่งชาติ เพราะฉะนั้นกำลังใจจึงสำคัญ ตนและประชาชนขอให้ท่านเดินหน้าเต็มที่ ใครไม่ผิดก็ปล่อยเขาไป แต่ใครที่เป็นตัวการจริงๆ และให้ความเห็นว่าหากนายทักษิณอยู่เรือนจำต้องต้องตายแน่ ถามว่ามีหรือไม่ และหมอคนนั้นคือใคร ขอให้นำหลักฐานมา เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปเมื่อไต่สวนคดี สิ่งที่เราจะเห็นคืออำนาจเด็ดขาด หากไม่ให้เอกสาร ไม่ให้ปากคำจะต้องติดคุก แค่ถามว่าป่วยจริงไหม ใครเกี่ยวข้อง ใครให้ความเห็นเท่านั้น เรื่องจะไม่ช้าแน่นอน เมื่อตรวจสอบเพียงพอแล้วต้องสรุปข้อกล่าวหาส่งให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ใครเห็นว่าไม่ทุจริตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา แต่ใครที่นั่งเงียบๆ แล้วหลักฐานไปถึง ขอให้เรียกเข้ามาตั้งข้อหาเพิ่ม จากนั้นแจ้งข้อหาให้มีการต่อสู้ เชื่อว่างานนี้จะไม่นาน นายแก้วสรร กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรกับนายทักษิณ ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังแล้วไม่มีการขังตามหมาย ก็ต้องออกหมายใหม่ เพื่อให้กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจ ของศาลคดีอาญาทางการเมือง ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอผลคดีนี้ ที่เป็นคดีของเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยตัวให้ไปรักษาถูกต้องหรือไม่ และมีใครทุจริตหรือไม่ ส่วนการขังที่ไม่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะมีคนทุจริตกี่คนหรือทุจริตหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยว ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้ ด้านนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ เพราะนายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องเวชระเบียน หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. โรงพยาบาลตำรวจ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การทำการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นเยอะ ณ วันนี้เรามาด้วยความหวัง และให้กำลังใจ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ในจำนวน 12 คนนี้ ถ้าใครไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าใครผิดก็ว่าตามผิด วันนี้ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว หรือขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาทำให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่เช่นนั้นเราจะมีความหวังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตนฝากไปถึงเลขา ป.ป.ช.ตนวาดหวังว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจการไต่สวน จนกว่าจะมีการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยแล้วว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน นพ.วรงค์ กล่าวว่า การพักโทษกรณีพิเศษในช่วง 6 เดือนหลัง ถือว่านักโทษอายุเกิน 70 ปีต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และนักโทษคนนี้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม หรือโอกาสที่จะทำผิดซ้ำนั้นมีน้อยมาก ถามว่าแล้ววันนี้เป็นอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสังคม สังคมจะกลียุคและฆ่ากันตาย ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องรีบดำเนินการ และยืนยันว่าการพักโทษกรณีนี้ไม่ได้ไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัว ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่อิสระอย่างแท้จริง ต้องตรวจสอบและถ่วงดุล เพราะสภาฯทำหน้าที่ไม่ได้ จึงต้องมาอาศัย ป.ป.ช. เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้และประชาธิปไตยอยู่รอด ถ้า ป.ป.ช.ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่มีอีกต่อไป ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งองค์คณะได้ตั้งไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ในการดำเนินการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติค่อนข้างชัดเจนว่า หากไต่สวนพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าในส่วนของ ป.ป.ช. เราทำหน้าที่ไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานตามพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดังนั้นในบางเรื่องอาจจะไม่ตรงตามใจที่ประชาชนรับทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะการพิจารณาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก และพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
    วันที่ 18 ธ.ค. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สนามบินน้ำ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำเสื้อเหลือง และอดีตแกนนำเสื้อแดงประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประพันธ์ คูณมี นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ นายเสน่ห์ หงษ์ทอง น.ส.นีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว นายใจเพชร กล้าจน นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ คอนเทนต์แนะนำพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาทำกิจกรรม พร้อมอ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กำลังใจป.ป.ช. ภายหลังมีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ปมนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้ และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายพิชิต​ ได้อ่านแถลงการณ์ ดังนี้​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏ หลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาต ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวง ทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไรก็ไม่ได้รับ จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าขทุจริตช่วยเหลือกัน โดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่า​ นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่งเดินขึ้นบันไดอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่างจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า การพักโทษ มาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ ดังนั้นจึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบ เกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​ สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และ หัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กับหลีกเลี่ยงแสงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุด ยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ พร้อมกับย้ำว่านี่คือหายนะ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝากปปช ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง​ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​พันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม และ​ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​ จากนั้นนายแก้วสรร กล่าวว่า ตนก็รู้สึกดีใจที่ ป.ป.ช.มีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าพวกเรามาบีบบังคับแล้วท่านก็คล้อยตามพวกเรา โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะนักกฎหมาย และเคยตรวจสอบยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว ก็อยากจะบอกว่างานนี้ทั้งหลักฐานและข้อกฎหมายมันชัดเจนเห็นตรงกันว่ามีมูล และ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มาแล้ว ในฐานะที่ตนเคยตรวจสอบมาพออ่านเกมออก งานนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจมีหลักฐานว่าป่วยจริงก็แค่เอามาให้ ป.ป.ช. ซึ่งก็จะไม่มามาถึงวันนี้แน่นอน แต่การที่กลบหลักฐาน ไม่ยอมให้หลักฐานอะไรเลย รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าเห็นนายทักษิณนั่งยิ้มกินข้าวเหนียวมะม่วง แถมออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ใส่ปลอกคอแค่พักเดียว ก็เดินไปทั่วประเทศ เพียงเท่านี้ก็มีมูลชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายแก้วสรร กล่าวว่า ดังนั้นวันนี้ตนมั่นใจใน ป.ป.ช. ว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร งานนี้ไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่สร้างขึ้นมา วันนี้ ป.ป.ช.กำลังเจอกับกระบวนการทุจริตแห่งชาติ เพราะฉะนั้นกำลังใจจึงสำคัญ ตนและประชาชนขอให้ท่านเดินหน้าเต็มที่ ใครไม่ผิดก็ปล่อยเขาไป แต่ใครที่เป็นตัวการจริงๆ และให้ความเห็นว่าหากนายทักษิณอยู่เรือนจำต้องต้องตายแน่ ถามว่ามีหรือไม่ และหมอคนนั้นคือใคร ขอให้นำหลักฐานมา เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปเมื่อไต่สวนคดี สิ่งที่เราจะเห็นคืออำนาจเด็ดขาด หากไม่ให้เอกสาร ไม่ให้ปากคำจะต้องติดคุก แค่ถามว่าป่วยจริงไหม ใครเกี่ยวข้อง ใครให้ความเห็นเท่านั้น เรื่องจะไม่ช้าแน่นอน เมื่อตรวจสอบเพียงพอแล้วต้องสรุปข้อกล่าวหาส่งให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ใครเห็นว่าไม่ทุจริตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา แต่ใครที่นั่งเงียบๆ แล้วหลักฐานไปถึง ขอให้เรียกเข้ามาตั้งข้อหาเพิ่ม จากนั้นแจ้งข้อหาให้มีการต่อสู้ เชื่อว่างานนี้จะไม่นาน นายแก้วสรร กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรกับนายทักษิณ ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังแล้วไม่มีการขังตามหมาย ก็ต้องออกหมายใหม่ เพื่อให้กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจ ของศาลคดีอาญาทางการเมือง ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอผลคดีนี้ ที่เป็นคดีของเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยตัวให้ไปรักษาถูกต้องหรือไม่ และมีใครทุจริตหรือไม่ ส่วนการขังที่ไม่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะมีคนทุจริตกี่คนหรือทุจริตหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยว ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้ ด้านนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ เพราะนายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องเวชระเบียน หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. โรงพยาบาลตำรวจ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การทำการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นเยอะ ณ วันนี้เรามาด้วยความหวัง และให้กำลังใจ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ในจำนวน 12 คนนี้ ถ้าใครไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าใครผิดก็ว่าตามผิด วันนี้ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว หรือขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาทำให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่เช่นนั้นเราจะมีความหวังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตนฝากไปถึงเลขา ป.ป.ช.ตนวาดหวังว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจการไต่สวน จนกว่าจะมีการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยแล้วว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน นพ.วรงค์ กล่าวว่า การพักโทษกรณีพิเศษในช่วง 6 เดือนหลัง ถือว่านักโทษอายุเกิน 70 ปีต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และนักโทษคนนี้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม หรือโอกาสที่จะทำผิดซ้ำนั้นมีน้อยมาก ถามว่าแล้ววันนี้เป็นอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสังคม สังคมจะกลียุคและฆ่ากันตาย ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องรีบดำเนินการ และยืนยันว่าการพักโทษกรณีนี้ไม่ได้ไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัว ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่อิสระอย่างแท้จริง ต้องตรวจสอบและถ่วงดุล เพราะสภาฯทำหน้าที่ไม่ได้ จึงต้องมาอาศัย ป.ป.ช. เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้และประชาธิปไตยอยู่รอด ถ้า ป.ป.ช.ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่มีอีกต่อไป ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งองค์คณะได้ตั้งไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ในการดำเนินการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติค่อนข้างชัดเจนว่า หากไต่สวนพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าในส่วนของ ป.ป.ช. เราทำหน้าที่ไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานตามพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดังนั้นในบางเรื่องอาจจะไม่ตรงตามใจที่ประชาชนรับทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะการพิจารณาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก และพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 697 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣️ เพื่อไทยร้ายลึก เอาที่หลวงมาทำนโยบายประชานิยม อ้างช่วยประชาชน แต่ตั้งชื่อเคลมผลงาน "บ้านเพื่อไทย" หรืออาจซ่อนเร้นการหาทางออกให้ตระกูลชิดชอบ ที่ครอบครองที่ดินเขากระโดง
    #7ดอกจิก
    ♣️ เพื่อไทยร้ายลึก เอาที่หลวงมาทำนโยบายประชานิยม อ้างช่วยประชาชน แต่ตั้งชื่อเคลมผลงาน "บ้านเพื่อไทย" หรืออาจซ่อนเร้นการหาทางออกให้ตระกูลชิดชอบ ที่ครอบครองที่ดินเขากระโดง #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ประธานบอร์ด แบงค์ชาติ ##
    ..
    ..
    ก็แต่งตั้งกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ ประธานบอร์ด แบงค์ชาติ
    ตอนนี้ก็กำลังรอ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง...
    .
    ในขณะเดียวกัน ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ก็ออกมายื่นหนังสือคัดค้านเพราะเห็นว่า ท่านผู้นั้น ไม่มีจริยธรรม และ จรรยาบรรณด่างพร้อย
    .
    แหม่...จะว่าไป ท่านก็ การเมืองจ๋า สีแดง เป็นคนของ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ประมาณนั้น...
    .
    ซึ่ง อาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็บอกว่า...
    .
    บอร์ดแบงค์ชาติ มีอำนาจ อนุมัติให้ใช้ เงินสำรองระหว่างประเทศได้...!!!
    ...
    ...
    โอโห...!!!
    .
    แบบนี้ใครจะไม่กังวลหล่ะครับ...???
    .
    แล้ว จะว่าไป รัฐบาล เขาก็ประชานิยมจ๋ามาแต่ไหนแต่ไร ใครไม่รู้บ้าง...???


    ## ประธานบอร์ด แบงค์ชาติ ## .. .. ก็แต่งตั้งกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ ประธานบอร์ด แบงค์ชาติ ตอนนี้ก็กำลังรอ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง... . ในขณะเดียวกัน ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ก็ออกมายื่นหนังสือคัดค้านเพราะเห็นว่า ท่านผู้นั้น ไม่มีจริยธรรม และ จรรยาบรรณด่างพร้อย . แหม่...จะว่าไป ท่านก็ การเมืองจ๋า สีแดง เป็นคนของ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" ประมาณนั้น... . ซึ่ง อาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็บอกว่า... . บอร์ดแบงค์ชาติ มีอำนาจ อนุมัติให้ใช้ เงินสำรองระหว่างประเทศได้...!!! ... ... โอโห...!!! . แบบนี้ใครจะไม่กังวลหล่ะครับ...??? . แล้ว จะว่าไป รัฐบาล เขาก็ประชานิยมจ๋ามาแต่ไหนแต่ไร ใครไม่รู้บ้าง...???
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์-แฮร์ริส ตระเวนปราศรัยตามรัฐสมรภูมิ ในวันสุดท้ายของการหาเสียงศึกชิงทำเนียบขาวที่เต็มไปด้วยดรามา ตั้งแต่การที่ทรัมป์ถูกตัดสินทำผิดอุกฉกรรจ์และถูกลอบสังหารสองครั้งสองหน จนถึงการที่ประธานาธิบดีในตำแหน่งอย่างไบเดนถูกกดดันจนต้องถอนตัวจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ แฮร์ริส เน้นชูประเด็นสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ขณะที่ทรัมป์ยังปลุกกระแสว่าถูกโกงเลือกตั้งครั้งที่แล้วและอาจถูกโกงอีกในคราวนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความมั่นใจว่า ตนเองจะเป็นผู้ชนะ
    .
    รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต วางแผนใช้เวลาทั้งวันจันทร์ (4 พ.ย.) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral votes) 19 เสียง มากที่สุดในบรรดา 7 รัฐซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐสมรภูมิ ที่หมายถึงรัฐที่ยังไม่มีความแน่นอนชัดเจนว่าจะโหวตให้ผู้สมัครคนไหน และดังนั้นจึงกลายเป็นตัวตัดสินทำให้ผู้ชนะมีโอกาสได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งจนเกินครึ่งหนึ่ง หรือ 270 คะแนนจากทั้งประเทศ 538 คะแนน ที่จะเป็นตัวชี้ขาดว่าผู้สมัครคนไหนจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
    .
    สำหรับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกันนั้น มีกำหนดตระเวนหาเสียงใน 3 รัฐสมรภูมิ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน
    .
    รายงานข่าวระบุว่า มีคนอเมริกันราว 77 ล้านคนแล้วที่ไปลงคะแนนล่วงหน้า แต่แฮร์ริสและทรัมป์ยังคงพยายามผลักดันผู้สนับสนุนอีกหลายล้านคนไปใช้สิทธิในวันอังคาร (5 ) ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ทั้งสิ้น
    .
    กล่าวคือหากทรัมป์ชนะจะทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกฟ้องร้องและถูกศาลตัดสินว่าทำผิดอุกฉกรรจ์ในคดีอาญาจากกรณีจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่าในนิวยอร์ก โดยที่การได้กลับสู่ทำเนียบขาวจะทำให้เขามีอำนาจในการยุติการสอบสวนตนเองอีกหลายคดี นอกจากนั้นทรัมป์ยังจะเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยคนก่อนหน้านี้คือ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
    .
    ส่วนแฮร์ริสจะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงผิวดำที่มีเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกของอเมริกา
    .
    แฮร์ริสจับพลัดจับผลูได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงศึกชิงทำเนียบขาวครั้งนี้ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน โชว์ผลงานการดีเบตสุดเลวร้ายเมื่อเดือนมิถุนายนจนถูกกดดันหนักและตัดสินใจถอนตัวจากการเลือกตั้ง
    .
    ทางฝั่งทรัมป์รอดหวุดหวิดจากการถูกลอบยิงระหว่างหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ต่อมาในเดือนกันยายน เจ้าหน้าที่กรมกิจการลับก็สกัดความพยายามลอบสังหารครั้งที่ 2 โดยมือปืนคนหนึ่งที่แอบซุ่มเตรียมปืนไรเฟิลในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งของทรัมป์ในฟลอริดาขณะที่เจ้าตัวกำลังตีกอล์ฟ
    .
    ในส่วนการหาเสียงนั้น แฮร์ริสประกาศตัวเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยเน้นย้ำการสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง หลังจากศาลสูงสุดได้ตัดสินยกเลิกสิทธิในการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2022 เธอยังตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดเกี่ยวกับบทบาทของทรัมป์ในเหตุการณ์ม็อบบุกโจมตีอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. 2021
    .
    รองประธานาธิบดีผู้นี้ยังโจมตีทรัมป์ว่า เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย และไม่นานมานี้ถึงขั้นเรียกทรัมป์ว่า เป็นพวกเผด็จการฟาสซิสต์
    .
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองวันสุดท้ายของการหาเสียง แฮร์ริสแทบจะหยุดโจมตีทรัมป์โดยสิ้นเชิง และหันมาให้สัญญาว่า จะแก้ไขปัญหาต่างๆ และหาทางประนีประนอม
    .
    ด้านทรัมป์ปัดฝุ่นสโลแกนยอดฮิตของตัวเอง “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และ “อเมริกาต้องมาก่อน” รวมทั้งยังประกาศจุดยืนแข็งกร้าวในประเด็นคนเข้าเมือง พร้อมโจมตีเดโมแครตเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และให้คำมั่นฟื้นยุคทองทางเศรษฐกิจ ยุติวิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปิดพรมแดนทางใต้ของอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งที่ทรัมป์ออกนอกสคริปต์ไปคร่ำครวญเรื่องที่ตัวเองถูกฟ้องหลังจากพยายามล้มล้างชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดนเมื่อปี 2020 และด้อยค่าอเมริกาว่าเป็น “ประเทศที่ล้มเหลว”
    .
    ในวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) ทรัมป์กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานอีกครั้งว่า ระบบการเลือกตั้งของอเมริกากำลังคดโกงตัวเขา และบอกว่า ไม่น่ายอมขนของออกจากทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนโอ้อวดว่า ครั้งนี้จะชนะถล่มทลายจนโกงไม่ได้
    .
    เรื่องที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีแนวโน้มชี้ขาดกันในการโหวตที่ 7 รัฐสมรภูมินั้น สามารถสาวย้อนกลับไปในปี 2016 ซึ่งทรัมป์ชนะได้เป็นประธานาธิบดี ภายหลังมีชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน แต่ในปี 2020 เมื่อเขาเสียทั้ง 3 รัฐนี้ให้ไบเดน เขาก็ตกเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งนี้อีก 4 รัฐสมรภูมิที่เหลือ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา จอร์เจีย แอริโซนา และเนวาดา
    .
    ทรัมป์นั้นเคยชนะในนอร์ทแคโรไลนา 2 ครั้ง และแพ้ในเนวาดา 2 ครั้ง เขาชนะในแอริโซนาและจอร์เจียในปี 2016 แต่แพ้ไบเดนในอีก 4 ปีต่อมา
    .
    ทางด้านทีมหาเสียงของแฮร์ริสแสดงความมั่นใจในระยะไม่กี่วันหลังๆ นี้ โดยชี้ไปที่ข้อมูลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งผู้ออกเสียงหญิงมาใช้สิทธิในจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงกว่าผู้ออกเสียงชายค่อนข้างมาก ตลอดจนผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจมีความโน้มเอียงเลือกแฮร์ริส กระนั้น บรรดาผู้ช่วยของเธออยากให้มองว่า แฮร์ริสยังคงเป็นมวยรอง
    .
    ส่วนทีมหาเสียงของทรัมป์แสดงความมั่นใจไม่แพ้กัน โดยอ้างว่า แนวทางประชานิยมของทรัมป์สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและชนชั้นแรงงานจากทุกชาติพันธุ์และสีผิว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106360
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์-แฮร์ริส ตระเวนปราศรัยตามรัฐสมรภูมิ ในวันสุดท้ายของการหาเสียงศึกชิงทำเนียบขาวที่เต็มไปด้วยดรามา ตั้งแต่การที่ทรัมป์ถูกตัดสินทำผิดอุกฉกรรจ์และถูกลอบสังหารสองครั้งสองหน จนถึงการที่ประธานาธิบดีในตำแหน่งอย่างไบเดนถูกกดดันจนต้องถอนตัวจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ แฮร์ริส เน้นชูประเด็นสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ขณะที่ทรัมป์ยังปลุกกระแสว่าถูกโกงเลือกตั้งครั้งที่แล้วและอาจถูกโกงอีกในคราวนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความมั่นใจว่า ตนเองจะเป็นผู้ชนะ . รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต วางแผนใช้เวลาทั้งวันจันทร์ (4 พ.ย.) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral votes) 19 เสียง มากที่สุดในบรรดา 7 รัฐซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐสมรภูมิ ที่หมายถึงรัฐที่ยังไม่มีความแน่นอนชัดเจนว่าจะโหวตให้ผู้สมัครคนไหน และดังนั้นจึงกลายเป็นตัวตัดสินทำให้ผู้ชนะมีโอกาสได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งจนเกินครึ่งหนึ่ง หรือ 270 คะแนนจากทั้งประเทศ 538 คะแนน ที่จะเป็นตัวชี้ขาดว่าผู้สมัครคนไหนจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป . สำหรับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกันนั้น มีกำหนดตระเวนหาเสียงใน 3 รัฐสมรภูมิ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน . รายงานข่าวระบุว่า มีคนอเมริกันราว 77 ล้านคนแล้วที่ไปลงคะแนนล่วงหน้า แต่แฮร์ริสและทรัมป์ยังคงพยายามผลักดันผู้สนับสนุนอีกหลายล้านคนไปใช้สิทธิในวันอังคาร (5 ) ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ทั้งสิ้น . กล่าวคือหากทรัมป์ชนะจะทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกฟ้องร้องและถูกศาลตัดสินว่าทำผิดอุกฉกรรจ์ในคดีอาญาจากกรณีจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่าในนิวยอร์ก โดยที่การได้กลับสู่ทำเนียบขาวจะทำให้เขามีอำนาจในการยุติการสอบสวนตนเองอีกหลายคดี นอกจากนั้นทรัมป์ยังจะเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยคนก่อนหน้านี้คือ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 . ส่วนแฮร์ริสจะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงผิวดำที่มีเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกของอเมริกา . แฮร์ริสจับพลัดจับผลูได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงศึกชิงทำเนียบขาวครั้งนี้ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน โชว์ผลงานการดีเบตสุดเลวร้ายเมื่อเดือนมิถุนายนจนถูกกดดันหนักและตัดสินใจถอนตัวจากการเลือกตั้ง . ทางฝั่งทรัมป์รอดหวุดหวิดจากการถูกลอบยิงระหว่างหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ต่อมาในเดือนกันยายน เจ้าหน้าที่กรมกิจการลับก็สกัดความพยายามลอบสังหารครั้งที่ 2 โดยมือปืนคนหนึ่งที่แอบซุ่มเตรียมปืนไรเฟิลในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งของทรัมป์ในฟลอริดาขณะที่เจ้าตัวกำลังตีกอล์ฟ . ในส่วนการหาเสียงนั้น แฮร์ริสประกาศตัวเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยเน้นย้ำการสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง หลังจากศาลสูงสุดได้ตัดสินยกเลิกสิทธิในการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2022 เธอยังตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดเกี่ยวกับบทบาทของทรัมป์ในเหตุการณ์ม็อบบุกโจมตีอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. 2021 . รองประธานาธิบดีผู้นี้ยังโจมตีทรัมป์ว่า เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย และไม่นานมานี้ถึงขั้นเรียกทรัมป์ว่า เป็นพวกเผด็จการฟาสซิสต์ . อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองวันสุดท้ายของการหาเสียง แฮร์ริสแทบจะหยุดโจมตีทรัมป์โดยสิ้นเชิง และหันมาให้สัญญาว่า จะแก้ไขปัญหาต่างๆ และหาทางประนีประนอม . ด้านทรัมป์ปัดฝุ่นสโลแกนยอดฮิตของตัวเอง “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และ “อเมริกาต้องมาก่อน” รวมทั้งยังประกาศจุดยืนแข็งกร้าวในประเด็นคนเข้าเมือง พร้อมโจมตีเดโมแครตเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และให้คำมั่นฟื้นยุคทองทางเศรษฐกิจ ยุติวิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปิดพรมแดนทางใต้ของอเมริกา . อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งที่ทรัมป์ออกนอกสคริปต์ไปคร่ำครวญเรื่องที่ตัวเองถูกฟ้องหลังจากพยายามล้มล้างชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดนเมื่อปี 2020 และด้อยค่าอเมริกาว่าเป็น “ประเทศที่ล้มเหลว” . ในวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) ทรัมป์กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานอีกครั้งว่า ระบบการเลือกตั้งของอเมริกากำลังคดโกงตัวเขา และบอกว่า ไม่น่ายอมขนของออกจากทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนโอ้อวดว่า ครั้งนี้จะชนะถล่มทลายจนโกงไม่ได้ . เรื่องที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีแนวโน้มชี้ขาดกันในการโหวตที่ 7 รัฐสมรภูมินั้น สามารถสาวย้อนกลับไปในปี 2016 ซึ่งทรัมป์ชนะได้เป็นประธานาธิบดี ภายหลังมีชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน แต่ในปี 2020 เมื่อเขาเสียทั้ง 3 รัฐนี้ให้ไบเดน เขาก็ตกเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งนี้อีก 4 รัฐสมรภูมิที่เหลือ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา จอร์เจีย แอริโซนา และเนวาดา . ทรัมป์นั้นเคยชนะในนอร์ทแคโรไลนา 2 ครั้ง และแพ้ในเนวาดา 2 ครั้ง เขาชนะในแอริโซนาและจอร์เจียในปี 2016 แต่แพ้ไบเดนในอีก 4 ปีต่อมา . ทางด้านทีมหาเสียงของแฮร์ริสแสดงความมั่นใจในระยะไม่กี่วันหลังๆ นี้ โดยชี้ไปที่ข้อมูลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งผู้ออกเสียงหญิงมาใช้สิทธิในจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงกว่าผู้ออกเสียงชายค่อนข้างมาก ตลอดจนผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจมีความโน้มเอียงเลือกแฮร์ริส กระนั้น บรรดาผู้ช่วยของเธออยากให้มองว่า แฮร์ริสยังคงเป็นมวยรอง . ส่วนทีมหาเสียงของทรัมป์แสดงความมั่นใจไม่แพ้กัน โดยอ้างว่า แนวทางประชานิยมของทรัมป์สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและชนชั้นแรงงานจากทุกชาติพันธุ์และสีผิว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106360 .............. Sondhi X
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1325 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18/10/67


    บทควาทของ
    คุณวินทร์ เลียววาริณ
    เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ

    ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข"

    ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน

    มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน

    ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง

    ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก"

    เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า

    ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน

    เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่?

    เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ

    นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง

    แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า

    นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว

    เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก

    ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ

    และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน

    คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว

    เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ

    เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา

    สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ

    มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก

    เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ

    สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน

    การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ

    มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก

    หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน

    มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ

    เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว

    ทำได้จริงหรือ?

    ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ

    ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร

    เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด

    ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ

    ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว

    เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว

    ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข

    ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม

    คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ

    วินทร์ เลียววาริณ
    18 กันยายน 2567
    18/10/67 บทควาทของ คุณวินทร์ เลียววาริณ เป็นอีกแง่คิดที่น่าสนใจครับ ผมเกิดในยุคจอมพล ป. โตในยุคจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม สโลแกนของรัฐบาลตอนนั้นคือ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ยุคนั้นยังไม่มีประชานิยมแบบสมัยนี้ ใครอยากมีเงินก็ต้องทำงาน มองซ้ายมองขวา ก็เห็นแต่คนทำงาน ปัจจุบันผมมองซ้ายมองขวา เห็นแต่แรงงานต่างชาติ พม่าบ้าง เขมรบ้าง ผมเคยถามเพื่อนว่า "คนไทยหายไปไหนหมด?" คำตอบคือ "ไปค้ายา เล่นหวย กับรอเงินแจก" เชื่อว่าเป็นคำตอบแบบกวนตีนเล่น คงไม่จริงหรอกน่า ครั้นมองซ้ายเห็นคนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยคนไทย รับแต่คนต่างชาติ เพื่อที่จะโขกสับค่าโดยสาร มองขวาเห็นคนรอรับเงิน ดิจิตัล วอลเล็ต มองบนเห็นคนจะเฉือนป่ามาแบ่งกัน มองล่างเห็นคนสนับสนุนให้สร้างบ่อน ก็เริ่มเห็นว่าบางทีเพื่อนผมไม่ได้ตอบแบบกวนตีน เราก้าวจากสังคม "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" มาเป็น "ไม่ต้องทำงานก็บันดาลสุข" แล้วหรือนี่? จริงหรือนี่? เวลาผมเขียนต่อต้านการสร้างบ่อน มักจะมีคำแย้งหนึ่งเสมอว่า การพนันเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย หนีไม่พ้นหรอก และในเมื่อหนีไม่พ้น ก็ควรหาเงินเข้ารัฐ นี่เป็นวิธีมองมุมหนึ่ง แต่ผมไม่ได้มองที่เงิน ผมมองที่สิ่งมีค่ากว่าเงินล้านเท่า ผมมองที่อนาคตของประเทศอีก 20 ปี 30 ปี 50 ปีข้างหน้า นี่ก็คือวิธีมองเดียวกับที่เมื่อผมชี้ว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่คำตอบของประเทศ อย่าพึ่งแต่การท่องเที่ยว เมืองไทยในยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมยังเล็กอยู่ เราอยู่กันเองได้ แต่เมืองไทยตอนนี้ คิดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คู่แข่งของเราไม่ใช่ร้านเจ๊จูหน้าบ้าน ร้านเจ๊กก๊กหลังบ้าน แต่คือคนทั้งโลก ถ้าเราบริหารประเทศไม่เป็น ต่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ ก็กลายเป็น failed state ได้ง่ายๆ และเครื่องมือเดียวของทุกชาติไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือคน คนไม่มีคุณภาพ ชาติพังอย่างเดียว เมืองไทยเรามีทางหาเงินได้มากมาย เราแค่ขี้เกียจเท่านั้น อยากทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเร็วๆ ได้เงินมากๆ เราจึงไปหมกตัวที่ตลาดหุ้น บ่อน คอร์รัปชั่นอยู่ในสายเลือดของเรา สิ่งเลวร้ายที่สุดของคนไทยคือความโลภ มันก่อให้เกิดคอร์รัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ มันทำลายทุกอย่าง เพราะเราปลูกฝังความโลภเข้าไปในกมลสันดาน ลอกออกยาก เงินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ สิ่งที่ได้จากบ่อนคือเงิน แต่สิ่งที่เสียไปคือคน การสร้างบ่อนก็คือการใช้ทรัพยากรคนไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ แค่เม็ดเงินนิดหน่อยที่เราหลอกตัวเองว่านำไปพัฒนาชาติ มันทำลายคุณภาพคนต่างหาก หากเราไม่เริ่มสร้างคนที่มีคุณภาพตั้งแต่วันนี้ สร้างคนที่มีความรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มีความคิดสร้างสรรค์ เราตายแน่นอน มองดูระบบการศึกษา เราได้ยินแต่เสียงว่า "ข้อสอบยากไป" "เรียนไปทำไม" "ชั่วโมงยาวไป" ฯลฯ เมืองไทยจะหวังแต่สร้างหมอนวดเท้านักท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างความหลากหลายของวิชาชีพ เราต้องคิดนำโลก ไม่ใช่ตามโลกอย่างเดียว ทำได้จริงหรือ? ดูไต้หวันเป็นตัวอย่าง ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิพที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเงิน มันยังรับประกันเอกราชของชาติ หากมีการบุกจากจีน เพราะชาติใหญ่ๆ ต้องการชิพ ลองคิดดูว่าหากไต้หวันสร้างบ่อนทั่วประเทศแทนสร้างโรงงานผลิตชิพ ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร เราคิดแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน แต่เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนต่างหากที่สำคัญที่สุด ขณะที่เราพยายามดูดนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มหาทางลดนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะ mass tourism ทำลายประเทศ ดังนั้นเวลาพูดถึงสร้างบ่อน มันจึงเป็นเรื่องกว้างกว่าบ่อนหลายปีแสง มันไม่ใช่เรื่องเงินอยู่ใต้ดินหรือบนดิน ถ้ามองตรงนี้ไม่ออก ก็จบข่าว เราไม่สามารถมองอะไรไกลเกินสี่ปีเลือกตั้ง ทั้งที่ในโลกทุกวันนี้ เราต้องมองไปสามสิบปีล่วงหน้าแล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่เป็นประเทศที่คนมีปัญญาที่สุด และปัญญาทำให้มีความสุข ได้โปรดเถอะ หยุดคิดแต่เรื่องเงินสักครู่ได้ไหม คิดถึงอนาคตของลูกหลานบ้างเถอะ วินทร์ เลียววาริณ 18 กันยายน 2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำไม่มีศีลธรรม
    กำกับจิต
    นำทางชีวิตของตน
    ยังสับสน
    นับประสาอะไรจะนำประชาชน
    คงไม่พ้นนรก
    หลุมถ่านเพลิง
    จะก่อหนี้ก่อสงคราม
    ให้บ้านเมือง
    วัน ๆ คิดแต่เรื่อง
    ให้คนเหลิง
    สร้างค่าประชานิยม
    ให้จนเพลิน
    แล้วก็เดินจากไป
    เมื่อภัยมา
    ผู้นำไม่มีศีลธรรม กำกับจิต นำทางชีวิตของตน ยังสับสน นับประสาอะไรจะนำประชาชน คงไม่พ้นนรก หลุมถ่านเพลิง จะก่อหนี้ก่อสงคราม ให้บ้านเมือง วัน ๆ คิดแต่เรื่อง ให้คนเหลิง สร้างค่าประชานิยม ให้จนเพลิน แล้วก็เดินจากไป เมื่อภัยมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว