มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์(Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6ข้อ

หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใชทั้งประเทศประมาณ 200,000 หน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณมาจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่าFt)

กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

รสนา โตสิตระกูล
16 มกราคม 2568
มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์(Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6ข้อ หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใชทั้งประเทศประมาณ 200,000 หน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณมาจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่าFt) กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!! รสนา โตสิตระกูล 16 มกราคม 2568
Like
4
0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว