• กรกิจ ดิษฐาน คอลัมนิสต์นักเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้โพสต์ว่า “สองสามวันมานี้ผมอ่านบันทึกการเดินทางของ เอเจียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ผู้ที่ทำการสำรวจ "ขอบเขตของดินแดนเขมรโบราณ" โดยเข้ามาสำรวจในภาคอีสานไทยและบางส่วนของลาว

    หนังสือสองเล่มนั้นคือ Le Cambodge. Les provinces siamoises (การสำรวจโบราณสถานเขมรโบราณในดินแดนของประเทศสยาม) กับ Voyage dans le Laos (การสำรวจภาคอีสานของไทยโดยที่เขาเรียกดินแดนนี้ว่าลาว)

    ที่สำคัญคือ เมื่อถึงเทือกเขาพนมดงรักแล้ว เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม

    สำหรับหนังสือการสำรวจทั้งสองนั้น เล่มแรกมีรสชาติเป็นวิชาการ คือ ค่อนข้างไร้อารมณ์ ส่วนเล่มสองนั้นมีเกร็ดสนุกๆ พอสมควร ทั้งสองเล่มต่างก็เล่าถึงการเดินทางมาที่ "เมืองสุรินทร์" อันเป็นจังหวัดของประเทศสยามและมีระเบียบการปกครองแบบสยาม เอโมนิเยร์ เดินทางกับลูกน้องชาวกัมพูชาจากสุรินทร์ลงมายังเทือกเขาพนมดงรักเพื่อสำรวจกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งบรรยากาศการสำรวจในหนังสือ Le Cambodge. Les provinces siamoises กล่าวถึงการรายละเอียดที่เป็นวิชาการมาก (เช่นปราสาทมีลักษณะแบบไหน ใครสร้าง จารึกว่าด้วยอะไร) แต่ Voyage dans le Laos ดูลี้ลับ สนุกเร้าใจ และน่าเสี่ยงภัยพอดู

    สิ่งสำคัญก็คือ เอเจียน เอโมนิเยร์ บอกว่า ปราสาทตาเมือน (ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือนธรรมดา) ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ แม้ว่าในเวลานั้นการกำหนดพรมแดนของไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสยังไม่ชัด แต่การระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตสุรินทร์ก็เท่ากับยอมรับว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของไทย

    และเนื้อหาของ Voyage dans le Laos ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ชัด รวมถึงการเข้ามาของข้าราชการจากสยามและบางกอกในพื้นที่นี้ ซึ่งผมจะแปลให้อ่านกัน ดังนี้ .... (บทว่าด้วยจากสังขะ ถึงสุรินทร์ สู่ดงรัก)

    "หมู่บ้านพนมได (พนมฎี?) แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักไป 4 ลีก (19.32 กิโลเมตร) นับจากช่องจุบสมัจที่ชาวสยามเรียกว่า ช่องเสม็ด ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนนำเครื่องบรรณาการจากเมืองลาวต่างๆ (อีสานและลาวฝั่งซ้าย) มายังกรุงเทพฯ เครื่องบรรณาการเหล่านี้ไม่ปลอดภัยจากการโจมตีของโจร ครั้งหนึ่งเคยถูกลักขโมยไปเมื่อปีที่แล้ว อีกครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นผู้รักษาการเจ้าถูกปล้นทรัพย์จนหมดสิ้น เขาต้องหลบหนีกลับประเทศโดยที่แม้แต่สัญญาบัตรพระราชทานตำแหน่งก็สูญหายไป พวกโจรยังปล้นสะดมได้แม้พระมหากษัตริย์ และพวกเรากับชาวกัมพูชาคนอื่นๆ กล่าวว่า "พวกเราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าในสัมภาระของเราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากกระดาษพิมพ์ลายศิลาจารึก"

    วันพุธที่ 19 ธันวาคม พวกเขาออกจากหมู่บ้านพนมไดเวลา 7 โมงเช้าเพื่อไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังที่เรียกว่าปราสาทตาเมือนบนภูเขา เวลา 9 โมง พวกเขาออกจากป่าที่โล่งและเข้าสู่ป่าสูงใหญ่ทึบที่ปกคลุมยอดเขาดงรัก ในภูมิภาคนี้ ป่าแห่งนี้มีลักษณะที่หาได้ยากในอินโดจีน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะเป็นหลุมดำทึบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ประกอบกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขา พื้นดินไม่ได้โล่งเตียน แต่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้และพุ่มไม้เล็กๆ ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาได้พบกับป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องเพลาจอมทัพเพชร เห็นได้ชัดว่าสามารถเดินได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากป่า

    หนึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าไปในป่านี้ นักเดินทางก็มาถึงปราสาทตาเมือน ในป่า ไม่ไกลจากสันเขาของกำแพงสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเขาดงรัก จากภูมิพนมได (บ้านพนมได) ไม่มีร่องให้ปีนป่ายให้เห็นเด่นชัด ภูมิประเทศดูเหมือนจะราบเรียบ และยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันครึ่งลีก (2.4 กิโลเมตร) เลยซากปรักหักพังไป ซึ่งมีทางเดินเท้าใกล้ๆ ซึ่งช่วยให้ลงจากภูเขาได้ มีคนเล่ากันว่าโจรขโมยวัวมักจะผ่านช่องเขาร้างที่เรียกว่า เพลาตาเมือน เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซากปรักหักพังเล็กๆ ของปราสาทตาเมือนตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบและเป็นทราย จากที่นั่น ลูกหาบชาวกัมพูชาของผมเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 หรือ 1,800 เมตร เพื่อเยี่ยมชมซากปรักหักพังขนาดใหญ่หรือปราสาทตาเมือนธม อนุสรณ์สถานสุดท้ายนี้ ซึ่งอยู่ในป่าขนาดใหญ่เช่นกัน มีความสำคัญมากกว่า ตั้งอยู่ใกล้สันเขา มีบันไดขนาดใหญ่ที่ลงจากภูเขาไปยังที่ราบสูงตอนล่าง ในวันแรกนั้น จารึกของปราสาทตาเมือนธมถูกพิมพ์ทำสำเนาไว้ อันส่งอุกกลับไปยังพนมไดเพื่อเฝ้าสัมภาระและพักอยู่กับชานที่ซากปรักหักพัง

    ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม เป็นวันที่ผมใช้เวลาทั้งวันในการขุดค้นจารึกของปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากไม่ได้นำอาหารมาเพียงพอ และต้องอยู่ในซากปรักหักพังนี้เกินกว่าที่คาดไว้ คนของผมและผู้นำทางจึงต้องงดอาหารเย็นและนอนที่ปราสาทตาเมือนธม ในซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างอันกว้างใหญ่นี้ พวกเขาได้รับสัญญาณเตือน ซึ่งอันเล่าว่า “พวกเราสี่คนนอนอยู่ที่นั่น จัน ผม (อัน) และชายสองคนจากภูมิพนมได ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนใบไม้ร่วงแต่ละใบส่งเสียงประหลาด เราได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์เดิน ผมต้องชื่นชมความนิ่งของชายคนหนึ่งจากท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด นิ่งสงบอยู่เสมอ แต่ราวๆ ช่วงเวลาไก่ขันครั้งแรก ชายคนนี้ก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันและตะโกนว่า “อะไรมันยืนอยู่อย่างนี้?” พลันกองไฟของเราดับลง ผมกระโดดขึ้น คว้าปืนไรเฟิลไว้ในมือข้างหนึ่งและเขย่าจันด้วยมืออีกข้างเพื่อปลุกเขา เราถามชายคนนี้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เขานิ่งลงตามปกติแล้ว หลังจากถามซ้ำหลายครั้ง เขาบอกเราเพียงว่าเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกบิน เราจึงกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำสำเนาจารึกเสร็จ เราหุงข้าวถ้วยเล็กๆ ที่เราเหลือไว้โดยการเจือจางด้วยน้ำปริมาณมาก และแบ่งโจ๊กหม้อเล็กๆ นี้ให้ทุกคนกิน งานของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราออกจากซากปรักหักพังทางทิศตะวันตก และทันใดนั้นก็พบกับงูสีดำตัวหนึ่ง ยาวสามถึง 4 เมตร ใหญ่กว่าลูกวัวเสียอีก มันกระโดดและหายเข้าไปในโพรงของซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว ผมขอปืนไรเฟิลไปอย่างไร้ผล ชายท้องถิ่นที่ถือมันไว้กลับวิ่งหนีไปแทนที่จะยื่นให้ผม ขณะที่ผมยังคงจ้องมองสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแขกยามราตรีที่ออกล่าสัตว์กับเรา"

    บันทึกนี้ระทึกใจเหมือนกำลังอ่านบทหนึ่งของเพชรพระอุมา

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม

    ดังนั้นพวก "เขมรต่ำ" ไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลาอีก”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1FziKPwjkT/?mibextid=wwXIfr
    กรกิจ ดิษฐาน คอลัมนิสต์นักเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้โพสต์ว่า “สองสามวันมานี้ผมอ่านบันทึกการเดินทางของ เอเจียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ผู้ที่ทำการสำรวจ "ขอบเขตของดินแดนเขมรโบราณ" โดยเข้ามาสำรวจในภาคอีสานไทยและบางส่วนของลาว หนังสือสองเล่มนั้นคือ Le Cambodge. Les provinces siamoises (การสำรวจโบราณสถานเขมรโบราณในดินแดนของประเทศสยาม) กับ Voyage dans le Laos (การสำรวจภาคอีสานของไทยโดยที่เขาเรียกดินแดนนี้ว่าลาว) ที่สำคัญคือ เมื่อถึงเทือกเขาพนมดงรักแล้ว เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม สำหรับหนังสือการสำรวจทั้งสองนั้น เล่มแรกมีรสชาติเป็นวิชาการ คือ ค่อนข้างไร้อารมณ์ ส่วนเล่มสองนั้นมีเกร็ดสนุกๆ พอสมควร ทั้งสองเล่มต่างก็เล่าถึงการเดินทางมาที่ "เมืองสุรินทร์" อันเป็นจังหวัดของประเทศสยามและมีระเบียบการปกครองแบบสยาม เอโมนิเยร์ เดินทางกับลูกน้องชาวกัมพูชาจากสุรินทร์ลงมายังเทือกเขาพนมดงรักเพื่อสำรวจกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งบรรยากาศการสำรวจในหนังสือ Le Cambodge. Les provinces siamoises กล่าวถึงการรายละเอียดที่เป็นวิชาการมาก (เช่นปราสาทมีลักษณะแบบไหน ใครสร้าง จารึกว่าด้วยอะไร) แต่ Voyage dans le Laos ดูลี้ลับ สนุกเร้าใจ และน่าเสี่ยงภัยพอดู สิ่งสำคัญก็คือ เอเจียน เอโมนิเยร์ บอกว่า ปราสาทตาเมือน (ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือนธรรมดา) ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ แม้ว่าในเวลานั้นการกำหนดพรมแดนของไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสยังไม่ชัด แต่การระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตสุรินทร์ก็เท่ากับยอมรับว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของไทย และเนื้อหาของ Voyage dans le Laos ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ชัด รวมถึงการเข้ามาของข้าราชการจากสยามและบางกอกในพื้นที่นี้ ซึ่งผมจะแปลให้อ่านกัน ดังนี้ .... (บทว่าด้วยจากสังขะ ถึงสุรินทร์ สู่ดงรัก) "หมู่บ้านพนมได (พนมฎี?) แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักไป 4 ลีก (19.32 กิโลเมตร) นับจากช่องจุบสมัจที่ชาวสยามเรียกว่า ช่องเสม็ด ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนนำเครื่องบรรณาการจากเมืองลาวต่างๆ (อีสานและลาวฝั่งซ้าย) มายังกรุงเทพฯ เครื่องบรรณาการเหล่านี้ไม่ปลอดภัยจากการโจมตีของโจร ครั้งหนึ่งเคยถูกลักขโมยไปเมื่อปีที่แล้ว อีกครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นผู้รักษาการเจ้าถูกปล้นทรัพย์จนหมดสิ้น เขาต้องหลบหนีกลับประเทศโดยที่แม้แต่สัญญาบัตรพระราชทานตำแหน่งก็สูญหายไป พวกโจรยังปล้นสะดมได้แม้พระมหากษัตริย์ และพวกเรากับชาวกัมพูชาคนอื่นๆ กล่าวว่า "พวกเราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าในสัมภาระของเราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากกระดาษพิมพ์ลายศิลาจารึก" วันพุธที่ 19 ธันวาคม พวกเขาออกจากหมู่บ้านพนมไดเวลา 7 โมงเช้าเพื่อไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังที่เรียกว่าปราสาทตาเมือนบนภูเขา เวลา 9 โมง พวกเขาออกจากป่าที่โล่งและเข้าสู่ป่าสูงใหญ่ทึบที่ปกคลุมยอดเขาดงรัก ในภูมิภาคนี้ ป่าแห่งนี้มีลักษณะที่หาได้ยากในอินโดจีน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะเป็นหลุมดำทึบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ประกอบกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขา พื้นดินไม่ได้โล่งเตียน แต่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้และพุ่มไม้เล็กๆ ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาได้พบกับป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องเพลาจอมทัพเพชร เห็นได้ชัดว่าสามารถเดินได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากป่า หนึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าไปในป่านี้ นักเดินทางก็มาถึงปราสาทตาเมือน ในป่า ไม่ไกลจากสันเขาของกำแพงสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเขาดงรัก จากภูมิพนมได (บ้านพนมได) ไม่มีร่องให้ปีนป่ายให้เห็นเด่นชัด ภูมิประเทศดูเหมือนจะราบเรียบ และยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันครึ่งลีก (2.4 กิโลเมตร) เลยซากปรักหักพังไป ซึ่งมีทางเดินเท้าใกล้ๆ ซึ่งช่วยให้ลงจากภูเขาได้ มีคนเล่ากันว่าโจรขโมยวัวมักจะผ่านช่องเขาร้างที่เรียกว่า เพลาตาเมือน เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซากปรักหักพังเล็กๆ ของปราสาทตาเมือนตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบและเป็นทราย จากที่นั่น ลูกหาบชาวกัมพูชาของผมเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 หรือ 1,800 เมตร เพื่อเยี่ยมชมซากปรักหักพังขนาดใหญ่หรือปราสาทตาเมือนธม อนุสรณ์สถานสุดท้ายนี้ ซึ่งอยู่ในป่าขนาดใหญ่เช่นกัน มีความสำคัญมากกว่า ตั้งอยู่ใกล้สันเขา มีบันไดขนาดใหญ่ที่ลงจากภูเขาไปยังที่ราบสูงตอนล่าง ในวันแรกนั้น จารึกของปราสาทตาเมือนธมถูกพิมพ์ทำสำเนาไว้ อันส่งอุกกลับไปยังพนมไดเพื่อเฝ้าสัมภาระและพักอยู่กับชานที่ซากปรักหักพัง ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม เป็นวันที่ผมใช้เวลาทั้งวันในการขุดค้นจารึกของปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากไม่ได้นำอาหารมาเพียงพอ และต้องอยู่ในซากปรักหักพังนี้เกินกว่าที่คาดไว้ คนของผมและผู้นำทางจึงต้องงดอาหารเย็นและนอนที่ปราสาทตาเมือนธม ในซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างอันกว้างใหญ่นี้ พวกเขาได้รับสัญญาณเตือน ซึ่งอันเล่าว่า “พวกเราสี่คนนอนอยู่ที่นั่น จัน ผม (อัน) และชายสองคนจากภูมิพนมได ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนใบไม้ร่วงแต่ละใบส่งเสียงประหลาด เราได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์เดิน ผมต้องชื่นชมความนิ่งของชายคนหนึ่งจากท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด นิ่งสงบอยู่เสมอ แต่ราวๆ ช่วงเวลาไก่ขันครั้งแรก ชายคนนี้ก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันและตะโกนว่า “อะไรมันยืนอยู่อย่างนี้?” พลันกองไฟของเราดับลง ผมกระโดดขึ้น คว้าปืนไรเฟิลไว้ในมือข้างหนึ่งและเขย่าจันด้วยมืออีกข้างเพื่อปลุกเขา เราถามชายคนนี้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เขานิ่งลงตามปกติแล้ว หลังจากถามซ้ำหลายครั้ง เขาบอกเราเพียงว่าเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกบิน เราจึงกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำสำเนาจารึกเสร็จ เราหุงข้าวถ้วยเล็กๆ ที่เราเหลือไว้โดยการเจือจางด้วยน้ำปริมาณมาก และแบ่งโจ๊กหม้อเล็กๆ นี้ให้ทุกคนกิน งานของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราออกจากซากปรักหักพังทางทิศตะวันตก และทันใดนั้นก็พบกับงูสีดำตัวหนึ่ง ยาวสามถึง 4 เมตร ใหญ่กว่าลูกวัวเสียอีก มันกระโดดและหายเข้าไปในโพรงของซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว ผมขอปืนไรเฟิลไปอย่างไร้ผล ชายท้องถิ่นที่ถือมันไว้กลับวิ่งหนีไปแทนที่จะยื่นให้ผม ขณะที่ผมยังคงจ้องมองสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแขกยามราตรีที่ออกล่าสัตว์กับเรา" บันทึกนี้ระทึกใจเหมือนกำลังอ่านบทหนึ่งของเพชรพระอุมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม ดังนั้นพวก "เขมรต่ำ" ไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลาอีก” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1FziKPwjkT/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • "อนุทิน" โต้ “เดชอิศม์” ปมงบฯ กระจุก! ชี้ท้องถิ่นเสนอตรงสำนักงบฯ ถามใครเป็นฝ่ายแค้นกันแน่ “ให้ประชาชนตัดสิน”
    https://www.thai-tai.tv/news/20313/
    .
    #อนุทิน #ภูมิใจไทย #งบประมาณท้องถิ่น #กระทรวงมหาดไทย #การเมืองไทย #เดชอิศม์ขาวทอง #งบประมาณกระจุกตัว
    "อนุทิน" โต้ “เดชอิศม์” ปมงบฯ กระจุก! ชี้ท้องถิ่นเสนอตรงสำนักงบฯ ถามใครเป็นฝ่ายแค้นกันแน่ “ให้ประชาชนตัดสิน” https://www.thai-tai.tv/news/20313/ . #อนุทิน #ภูมิใจไทย #งบประมาณท้องถิ่น #กระทรวงมหาดไทย #การเมืองไทย #เดชอิศม์ขาวทอง #งบประมาณกระจุกตัว
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • 'เดชอิศม์' ฉะ! งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน "กระจุกตัว" โยงฐานเสียงภูมิใจไทย จี้รัฐบาลเร่งทบทวนการจัดสรร
    https://www.thai-tai.tv/news/20312/
    .
    #งบประมาณ #เดชอิศม์ขาวทอง #ประชาธิปัตย์ #ภูมิใจไทย #การกระจายงบประมาณ #ท้องถิ่น #เศรษฐกิจไทย #ครม
    'เดชอิศม์' ฉะ! งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน "กระจุกตัว" โยงฐานเสียงภูมิใจไทย จี้รัฐบาลเร่งทบทวนการจัดสรร https://www.thai-tai.tv/news/20312/ . #งบประมาณ #เดชอิศม์ขาวทอง #ประชาธิปัตย์ #ภูมิใจไทย #การกระจายงบประมาณ #ท้องถิ่น #เศรษฐกิจไทย #ครม
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • 15 กรกฎาคม 2568 -รายงานข่าวระบุว่า ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามประกาศกวาดล้างแก๊งค์คอลเซนเตอร์-เว็บฉ้อโกงการพนันออนไลน์ทุกชนิดทั่วประเทศ! ลบข้อครหาดินแดน SCAMBODIA ฟาด UN หลังแฉเขมรมีแต่แก๊งค์คอลเซนเตอร์-เป็นที่ตั้งเว็บการพนันออนไลน์ข้ามชาติ Kampuchea Thmey Daily รายงานว่า ฮุนมาเน็ต นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศว่ารัฐบาลกัมพูชาได้สังเกตเห็นว่าปัจจุบันการหลอกลวงทางออนไลน์ในราชอาณาจักรกัมพูชากำลังก่อให้เกิดภัยคุกคามและความไม่ปลอดภัยทั้งในโลกและภูมิภาค กลุ่มอาชญากรต่างชาติก็ได้แทรกซึมเข้ามาในการหลอกลวงทางออนไลน์เช่นกัน เพื่อป้องกัน ควบคุมและปราบปรามการฉ้อโกงโดยใช้ระบบเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง มุ่งหวังที่จะมีส่วนสนับสนุนในการดูแลรักษาและคุ้มครองความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความปลอดภัยทางสังคม รัฐบาลจึงออกกฎระเบียบดังต่อไปนี้ 1. ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการบริหารส่วนจังหวัด นายอำเภอเมือง หัวหน้าคณะกรรมการบริหารส่วนจังหวัด และผู้บัญชาการตำรวจจังหวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการปราบปรามการทุจริตทางเทคโนโลยีในทุกพื้นที่ภายในพื้นที่และเขตอำนาจศาลของตนตามกฎหมาย ระเบียบ และบรรทัดฐานทางกฎหมายที่บังคับใช้2. กระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและกรมตรวจคนเข้าเมือง เป็นหัวหน้าหน่วยงาน มีหน้าที่จัดทำขั้นตอนการขับไล่ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับต่างด้าวที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย อาศัยอยู่โดยผิดกฎหมายหรือประกอบกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย3. กรมตำรวจแห่งชาติ กรมตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการกลางองค์การบริหารส่วนจังหวัด กองบังคับตำรวจภูมิภาค และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนในจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกัน ปิดกั้น และห้ามคนต่างด้าวลักลอบข้ามพรมแดนทางบกภายในพื้นที่และเขตอำนาจของตน4. คณะกรรมการความมั่นคงทางทะเลแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการกลางปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวชายแดนทางทะเล กองบัญชาการทหารเรือ และกรมตำรวจตระเวนชายแดนทางน้ำ มีหน้าที่ป้องกัน ปิดกั้น และห้ามมิให้คนต่างด้าวลักลอบเข้า-ออกชายแดนทางน่านน้ำภายในเขตพื้นที่และเขตอำนาจศาลของตน5. ให้กระทรวงยุติธรรม สั่งการไปยังศาลและอัยการที่สังกัดศาลทุกระดับ ให้ความสำคัญและรับผิดชอบอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตผ่านระบบเทคโนโลยีให้เป็นไปตามกฎหมายและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และให้การสนับสนุนทางกฎหมายแก่สถาบันและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการปฏิบัติงานตามความจำเป็น6. ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพกัมพูชา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาพระองค์ ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ และผู้บัญชาการกองพลที่ 70 ต้องจัดเตรียมกำลังพล เครื่องมือ และอุปกรณ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเมื่อได้รับคำสั่ง7. กระทรวงสถาบันวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ต้องร่วมมือและมีส่วนร่วมในการปราบปรามการทุจริตผ่านระบบเทคโนโลยี8. คณะกรรมการการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชาจะต้องเข้มงวดกับการจัดการและการกำกับดูแลคาสิโนหรือศูนย์การพนันที่ได้รับอนุญาตทั้งหมด โดยมีข้อห้ามอย่างเคร่งครัดดังต่อไปนี้: • การฉ้อโกงทางเทคโนโลยี• การลักพาตัว การทรมาน และการคุมขังที่ผิดกฎหมาย• การค้ามนุษย์และการแสวงประโยชน์ทางเพศทุกรูปแบบ• การค้าอาวุธ การครอบครอง และการใช้อาวุธที่ผิดกฎหมาย • การสร้างกำลังที่ผิดกฎหมายผ่านบริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชนและการใช้กองกำลังตำรวจติดอาวุธ • การค้า การใช้ และการจัดเก็บยาเสพติดและสารเสพติดที่ผิดกฎหมาย9. ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเมือง หัวหน้ากองบัญชาการร่วมของสำนักงานบริหารจังหวัดและเมืองหลวง ผู้บัญชาการตำรวจประจำเมืองหลวง ผู้บัญชาการหน่วยงาน กระทรวงและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัดและมีความรับผิดชอบ หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้หรือไม่ให้ความร่วมมือใดๆ จะถูกประเมินผลในการแต่งตั้ง โยกย้าย หรือปลดออกจากตำแหน่งโดยทันที กระทรวง สถาบัน คณะกรรมการความมั่นคงทางทะเลแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ กองบัญชาการร่วม ฝ่ายบริหารระดับจังหวัด หน่วยงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้ด้วยความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่วันที่ลงนาม
    15 กรกฎาคม 2568 -รายงานข่าวระบุว่า ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามประกาศกวาดล้างแก๊งค์คอลเซนเตอร์-เว็บฉ้อโกงการพนันออนไลน์ทุกชนิดทั่วประเทศ! ลบข้อครหาดินแดน SCAMBODIA ฟาด UN หลังแฉเขมรมีแต่แก๊งค์คอลเซนเตอร์-เป็นที่ตั้งเว็บการพนันออนไลน์ข้ามชาติ Kampuchea Thmey Daily รายงานว่า ฮุนมาเน็ต นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศว่ารัฐบาลกัมพูชาได้สังเกตเห็นว่าปัจจุบันการหลอกลวงทางออนไลน์ในราชอาณาจักรกัมพูชากำลังก่อให้เกิดภัยคุกคามและความไม่ปลอดภัยทั้งในโลกและภูมิภาค กลุ่มอาชญากรต่างชาติก็ได้แทรกซึมเข้ามาในการหลอกลวงทางออนไลน์เช่นกัน เพื่อป้องกัน ควบคุมและปราบปรามการฉ้อโกงโดยใช้ระบบเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง มุ่งหวังที่จะมีส่วนสนับสนุนในการดูแลรักษาและคุ้มครองความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความปลอดภัยทางสังคม รัฐบาลจึงออกกฎระเบียบดังต่อไปนี้ 1. ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการบริหารส่วนจังหวัด นายอำเภอเมือง หัวหน้าคณะกรรมการบริหารส่วนจังหวัด และผู้บัญชาการตำรวจจังหวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการปราบปรามการทุจริตทางเทคโนโลยีในทุกพื้นที่ภายในพื้นที่และเขตอำนาจศาลของตนตามกฎหมาย ระเบียบ และบรรทัดฐานทางกฎหมายที่บังคับใช้2. กระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและกรมตรวจคนเข้าเมือง เป็นหัวหน้าหน่วยงาน มีหน้าที่จัดทำขั้นตอนการขับไล่ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับต่างด้าวที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย อาศัยอยู่โดยผิดกฎหมายหรือประกอบกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย3. กรมตำรวจแห่งชาติ กรมตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการกลางองค์การบริหารส่วนจังหวัด กองบังคับตำรวจภูมิภาค และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนในจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกัน ปิดกั้น และห้ามคนต่างด้าวลักลอบข้ามพรมแดนทางบกภายในพื้นที่และเขตอำนาจของตน4. คณะกรรมการความมั่นคงทางทะเลแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการกลางปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวชายแดนทางทะเล กองบัญชาการทหารเรือ และกรมตำรวจตระเวนชายแดนทางน้ำ มีหน้าที่ป้องกัน ปิดกั้น และห้ามมิให้คนต่างด้าวลักลอบเข้า-ออกชายแดนทางน่านน้ำภายในเขตพื้นที่และเขตอำนาจศาลของตน5. ให้กระทรวงยุติธรรม สั่งการไปยังศาลและอัยการที่สังกัดศาลทุกระดับ ให้ความสำคัญและรับผิดชอบอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตผ่านระบบเทคโนโลยีให้เป็นไปตามกฎหมายและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และให้การสนับสนุนทางกฎหมายแก่สถาบันและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการปฏิบัติงานตามความจำเป็น6. ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพกัมพูชา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาพระองค์ ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ และผู้บัญชาการกองพลที่ 70 ต้องจัดเตรียมกำลังพล เครื่องมือ และอุปกรณ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเมื่อได้รับคำสั่ง7. กระทรวงสถาบันวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ต้องร่วมมือและมีส่วนร่วมในการปราบปรามการทุจริตผ่านระบบเทคโนโลยี8. คณะกรรมการการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชาจะต้องเข้มงวดกับการจัดการและการกำกับดูแลคาสิโนหรือศูนย์การพนันที่ได้รับอนุญาตทั้งหมด โดยมีข้อห้ามอย่างเคร่งครัดดังต่อไปนี้: • การฉ้อโกงทางเทคโนโลยี• การลักพาตัว การทรมาน และการคุมขังที่ผิดกฎหมาย• การค้ามนุษย์และการแสวงประโยชน์ทางเพศทุกรูปแบบ• การค้าอาวุธ การครอบครอง และการใช้อาวุธที่ผิดกฎหมาย • การสร้างกำลังที่ผิดกฎหมายผ่านบริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชนและการใช้กองกำลังตำรวจติดอาวุธ • การค้า การใช้ และการจัดเก็บยาเสพติดและสารเสพติดที่ผิดกฎหมาย9. ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเมือง หัวหน้ากองบัญชาการร่วมของสำนักงานบริหารจังหวัดและเมืองหลวง ผู้บัญชาการตำรวจประจำเมืองหลวง ผู้บัญชาการหน่วยงาน กระทรวงและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัดและมีความรับผิดชอบ หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้หรือไม่ให้ความร่วมมือใดๆ จะถูกประเมินผลในการแต่งตั้ง โยกย้าย หรือปลดออกจากตำแหน่งโดยทันที กระทรวง สถาบัน คณะกรรมการความมั่นคงทางทะเลแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ กองบัญชาการร่วม ฝ่ายบริหารระดับจังหวัด หน่วยงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้ด้วยความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่วันที่ลงนาม
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • ชาวเมืองเล็กๆ ในเวสต์เวอร์จิเนียลุกขึ้นสู้ – ไม่เอาโรงไฟฟ้าเพื่อ AI ที่ทำลายธรรมชาติ

    เมือง Davis ที่มีประชากรเพียง 600 คนและตั้งอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอปพาเลเชียน กำลังเผชิญกับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อจ่ายไฟให้กับศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ของบริษัท Fundamental Data ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบริษัทตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ไม่เปิดเผยชื่อ

    นายกเทศมนตรี Al Tomson และชาวเมืองจำนวนมากคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ห่างจากบ้านเรือนเพียง 1 ไมล์ และปล่อยมลพิษที่อาจกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

    แม้จะมีการประชุมสาธารณะอย่างเข้มข้นและการแจกป้าย “No data centre complex” ให้ติดหน้าบ้าน แต่กฎหมายรัฐเวสต์เวอร์จิเนียฉบับใหม่กลับห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคัดค้านโครงการศูนย์ข้อมูล เพื่อดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์

    ในขณะที่บางคนเห็นว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเหมืองถ่านหิน แต่หลายคนกังวลเรื่องมลพิษและสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

    รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตือนว่า หากไม่สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เพราะประเทศคู่แข่งอาจควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแทน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/west-virginia-villagers-take-on-ai-driven-power-plant-boom
    ชาวเมืองเล็กๆ ในเวสต์เวอร์จิเนียลุกขึ้นสู้ – ไม่เอาโรงไฟฟ้าเพื่อ AI ที่ทำลายธรรมชาติ เมือง Davis ที่มีประชากรเพียง 600 คนและตั้งอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอปพาเลเชียน กำลังเผชิญกับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อจ่ายไฟให้กับศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ของบริษัท Fundamental Data ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบริษัทตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ไม่เปิดเผยชื่อ นายกเทศมนตรี Al Tomson และชาวเมืองจำนวนมากคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ห่างจากบ้านเรือนเพียง 1 ไมล์ และปล่อยมลพิษที่อาจกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แม้จะมีการประชุมสาธารณะอย่างเข้มข้นและการแจกป้าย “No data centre complex” ให้ติดหน้าบ้าน แต่กฎหมายรัฐเวสต์เวอร์จิเนียฉบับใหม่กลับห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคัดค้านโครงการศูนย์ข้อมูล เพื่อดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บางคนเห็นว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเหมืองถ่านหิน แต่หลายคนกังวลเรื่องมลพิษและสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตือนว่า หากไม่สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เพราะประเทศคู่แข่งอาจควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแทน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/west-virginia-villagers-take-on-ai-driven-power-plant-boom
    WWW.THESTAR.COM.MY
    West Virginia villagers take on AI-driven power plant boom
    Al Tomson, mayor of a tiny town tucked away in an idyllic corner of the eastern United States, points to a spot on a map of his region.
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • ปี 2550 ภาพจิตรกรรม “ภิกษุสันดานกา” เคยตกเป็นข่าวถกเถียงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของ “อนุพงษ์ จันทร “ใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยสีอะคริลิกลงบนจีวรพระ ได้แรงบันดาลใจจากคติความเชื่อของไทยเรื่อง "เปรตภูมิ” และภาพ ”บรรพชิตทุศีล” ในสมุดภาพไตรภูมิ มีข้อความปรากฏเอาไว้ด้านล่างภาพว่า "บาปเป็นบรรพชิตทุศีลแลเลี้ยงชีพผิดมิชอบด้วยธรรม ตายไปต้องกลายเป็นเปรต มีไฟไหม้ลุกจีวรไหม้กาย"อนุพงษ์ ยืนยันว่า ”ภิกษุสันดานกา” ไม่ใช่ชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาเอง แต่มีระบุในพระไตรปิฎก ในหนังสือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ตำราดูพระภิกษุ และตนขอยืนยันว่า ภาพที่ตนเขียนขึ้นมา ไม่ใช่ภาพพระดีดีในสังคม แต่ตนเขียนเปรตที่แอบแฝงอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อเตือนสติคนในสังคม โดยสื่อภาพออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบพระภิกษุลามกว่า มีนิสัยเหมือนกา 10 อย่าง“ภิกษุทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ประกอบด้วยความเลวสิบประการ” สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. กาเป็นสัตว์ทำลายความดี 2. กาเป็นสัตว์คะนอง 3. กาเป็นสัตว์ทะเยอทะยาน 4. กาเป็นสัตว์กินจุ 5. กาเป็นสัตว์หยาบคาย 6. กาเป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี 7. กาเป็นสัตว์ทุรพล 8. กาเป็นสัตว์เสียงอึง 9. กาเป็นสัตว์ปล่อยสติ 10. กาเป็นสัตว์สะสมของกินภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เป็นเช่นเดียวกับกานั่นแหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. ภิกษุลามกเป็นคนทำลายความดี 2. ภิกษุลามกเป็นคนคะนอง 3. ภิกษุลามกเป็นคนทะเยอทะยาน 4. ภิกษุลามกเป็นคนกินจุ 5. ภิกษุลามกเป็นคนหยาบคาย 6. ภิกษุลามกเป็นคนไม่กรุณาปรานี 7. ภิกษุลามกเป็นคนทุรพล 8. ภิกษุลามกเป็นคนร้องเสียงอึง 9. ภิกษุลามกเป็นคนปล่อยสติ 10. ภิกษุลามกเป็นคนสะสมของกินโดยนัยแห่งพฤติกรรมของนกกา สิบประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นความเลวที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีศีล เช่น ภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติแต่ในความเป็นจริง ความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้ว่าจะมาบวชถือศีล 227 ข้อแล้วก็ยังมีภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุที่เข้ามาบวชเพื่อการทำความดี โดยมุ่งความหลุดพ้น ควรงดเว้นอสัทธรรม 10 ประการ อันเป็นพฤติกรรมของกาดังกล่าวอ.สามารถ มังสัง เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาภิกษุสันดานกาไว้ว่า “แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรในวงการสงฆ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงฆ์ด้วยกันเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันดังต่อไปนี้1. ทำการสำรวจสำมโนประชากรพระสงฆ์ในประเทศไทยให้แน่ชัดว่ามีอยู่เท่าใด และมีรายละเอียดลงลึกถึงเรื่องการศึกษา อายุพรรษา และภาระหน้าที่ต่อสังคมเท่าที่พระจะพึงกระทำได้ เช่น เป็นครูสอนศีลธรรม อบรมประชาชน และให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น2. เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้จัดทำแผนฟื้นฟูพฤติกรรมพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับการศึกษา และการอบรมอย่างทั่วถึง3. ให้นำพระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนมาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ แนวทางการปรับองค์กรสงฆ์ แล้วมอบหมายให้แต่ละท่านกลับไปดำเนินการในถิ่นของตนเองเป็นระยะเวลา 1-3 ปี แล้วส่งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานออกไปทำการประเมินในการดำเนินการ 3 ประการนี้ ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน และบุคลากรให้เพียงพอแก่การดำเนินงานในขณะเดียวกัน ถ้าพบว่าในท้องถิ่นใดดำเนินการไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่ทางการปกครองจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขโดยใช้อำนาจบริหาร เช่น การโยกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่ง เป็นการลงโทษผู้รับผิดชอบในระดับเจ้าคณะจังหวัด อำเภอ และตำบลลงไปตามลำดับชั้นยิ่งกว่านี้ ทางมหาเถรสมาคมจะต้องไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ในระดับปกครองเข้าไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการช่วยกันปกปิดความผิดของผู้อยู่ใต้ปกครอง เพื่อแลกกับลาภสักการะที่ผู้กระทำผิดมอบให้ถ้าทุกหน่วยงานดำเนินการได้เยี่ยงนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรของพระสงฆ์จะลดลง และหมดไปในที่สุด”https://www.facebook.com/share/1Cj37basD6/?mibextid=wwXIfr
    ปี 2550 ภาพจิตรกรรม “ภิกษุสันดานกา” เคยตกเป็นข่าวถกเถียงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของ “อนุพงษ์ จันทร “ใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยสีอะคริลิกลงบนจีวรพระ ได้แรงบันดาลใจจากคติความเชื่อของไทยเรื่อง "เปรตภูมิ” และภาพ ”บรรพชิตทุศีล” ในสมุดภาพไตรภูมิ มีข้อความปรากฏเอาไว้ด้านล่างภาพว่า "บาปเป็นบรรพชิตทุศีลแลเลี้ยงชีพผิดมิชอบด้วยธรรม ตายไปต้องกลายเป็นเปรต มีไฟไหม้ลุกจีวรไหม้กาย"อนุพงษ์ ยืนยันว่า ”ภิกษุสันดานกา” ไม่ใช่ชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาเอง แต่มีระบุในพระไตรปิฎก ในหนังสือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ตำราดูพระภิกษุ และตนขอยืนยันว่า ภาพที่ตนเขียนขึ้นมา ไม่ใช่ภาพพระดีดีในสังคม แต่ตนเขียนเปรตที่แอบแฝงอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อเตือนสติคนในสังคม โดยสื่อภาพออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบพระภิกษุลามกว่า มีนิสัยเหมือนกา 10 อย่าง“ภิกษุทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ประกอบด้วยความเลวสิบประการ” สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. กาเป็นสัตว์ทำลายความดี 2. กาเป็นสัตว์คะนอง 3. กาเป็นสัตว์ทะเยอทะยาน 4. กาเป็นสัตว์กินจุ 5. กาเป็นสัตว์หยาบคาย 6. กาเป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี 7. กาเป็นสัตว์ทุรพล 8. กาเป็นสัตว์เสียงอึง 9. กาเป็นสัตว์ปล่อยสติ 10. กาเป็นสัตว์สะสมของกินภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เป็นเช่นเดียวกับกานั่นแหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. ภิกษุลามกเป็นคนทำลายความดี 2. ภิกษุลามกเป็นคนคะนอง 3. ภิกษุลามกเป็นคนทะเยอทะยาน 4. ภิกษุลามกเป็นคนกินจุ 5. ภิกษุลามกเป็นคนหยาบคาย 6. ภิกษุลามกเป็นคนไม่กรุณาปรานี 7. ภิกษุลามกเป็นคนทุรพล 8. ภิกษุลามกเป็นคนร้องเสียงอึง 9. ภิกษุลามกเป็นคนปล่อยสติ 10. ภิกษุลามกเป็นคนสะสมของกินโดยนัยแห่งพฤติกรรมของนกกา สิบประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นความเลวที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีศีล เช่น ภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติแต่ในความเป็นจริง ความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้ว่าจะมาบวชถือศีล 227 ข้อแล้วก็ยังมีภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุที่เข้ามาบวชเพื่อการทำความดี โดยมุ่งความหลุดพ้น ควรงดเว้นอสัทธรรม 10 ประการ อันเป็นพฤติกรรมของกาดังกล่าวอ.สามารถ มังสัง เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาภิกษุสันดานกาไว้ว่า “แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรในวงการสงฆ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงฆ์ด้วยกันเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันดังต่อไปนี้1. ทำการสำรวจสำมโนประชากรพระสงฆ์ในประเทศไทยให้แน่ชัดว่ามีอยู่เท่าใด และมีรายละเอียดลงลึกถึงเรื่องการศึกษา อายุพรรษา และภาระหน้าที่ต่อสังคมเท่าที่พระจะพึงกระทำได้ เช่น เป็นครูสอนศีลธรรม อบรมประชาชน และให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น2. เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้จัดทำแผนฟื้นฟูพฤติกรรมพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับการศึกษา และการอบรมอย่างทั่วถึง3. ให้นำพระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนมาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ แนวทางการปรับองค์กรสงฆ์ แล้วมอบหมายให้แต่ละท่านกลับไปดำเนินการในถิ่นของตนเองเป็นระยะเวลา 1-3 ปี แล้วส่งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานออกไปทำการประเมินในการดำเนินการ 3 ประการนี้ ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน และบุคลากรให้เพียงพอแก่การดำเนินงานในขณะเดียวกัน ถ้าพบว่าในท้องถิ่นใดดำเนินการไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่ทางการปกครองจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขโดยใช้อำนาจบริหาร เช่น การโยกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่ง เป็นการลงโทษผู้รับผิดชอบในระดับเจ้าคณะจังหวัด อำเภอ และตำบลลงไปตามลำดับชั้นยิ่งกว่านี้ ทางมหาเถรสมาคมจะต้องไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ในระดับปกครองเข้าไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการช่วยกันปกปิดความผิดของผู้อยู่ใต้ปกครอง เพื่อแลกกับลาภสักการะที่ผู้กระทำผิดมอบให้ถ้าทุกหน่วยงานดำเนินการได้เยี่ยงนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรของพระสงฆ์จะลดลง และหมดไปในที่สุด”https://www.facebook.com/share/1Cj37basD6/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • ## สงครามภาษี แค่ข้ออ้างบังหน้า...!!! ##
    ..
    ..
    ความจริงแล้ว อเมริกา ก็เป็นประเทศ เกษตรกรรม ครับ...
    .
    เพียงแต่ เขาใช้ เทคโนโลยี เข้ามาช่วย ดังนั้น การผลิต ทุกๆอย่างที่เขาขาย จึงมีต้นทุนที่ต่ำกว่า เกษตรกรไทยมากนัก...
    .
    ถ้า รัฐบาลไทย บอกจะให้เขา ภาษี 0% อย่างว่า และ จะนำเข้าเพิ่มขึ้น เกษตรกรไทย ตายแล้วตายอีก ตายอย่างเดียวครับ วิกฤตซ้ำซ้อน...
    .
    อีกอย่าง สินค้า Local ของไทยจริงๆ ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น สินค้าสวมตอซะเยอะครับ...
    .
    ความจริง อเมริกา แค่อยากปิดกั้นจีน ขณะเดียวกันก็บีบไทย เอาผลประโยชน์ และ บีบไทย เพื่อยอมให้เชาใช้พื้นที่...
    .
    ผมว่า เราไม่สู้ ปิดสถานกงสุลหมื่นล้านที่เชียงใหม่ดู เจรจาภาษี จะต่อรองได้มากขึ้นหล่ะครับ
    .
    สุดท้าย อเมริกา ต้องการ พื้นที่สำหรับสอดแนมจีน และ ฐานทัพ ไว้คอยจัดการจีน มากว่า ภาษีจากประเทศเล็กๆอย่างไทย...
    .
    แต่ แน่นอนว่า ถ้ารัฐบาลโง่ เจรจาไม่เป็น ไถจากเราได้เท่าไหร่เขาก็เอาครับ
    ....
    ....
    ความจริง เรื่องภาษี ไทยไม่จำเป็นต้อง เจรจาแค่กับ อเมริกา
    .
    Local Content ของไทยจริงๆมีไม่มาก ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นของ จีน และ อื่นๆ...
    .
    รัฐบาลไทย ก็ไปคุยกับเขาสิครับ ว่าเนี่ยประเทศไทย โดยภาษี 36% เพราะ สินค้าพวกคุณสวมตอเราเข้าไปขาย อเมริกา เขารู้จึง โยนภาษี 36% ใส่หัวประเทศไทย
    .
    ดังนั้น นอกจากประเทศไทยจะต้องแบกส่วน Local Content ของ ไทยไว้แล้ว คุณก็ต้องช่วย ต้องมีแบก ส่วน ของพวกคุณเองด้วยนะ...
    .
    ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ จีน ช่วยนำเข้าสินค้า Local Content ของไทย เพิ่มขึ้นหน่อยได้หรือไม่...???
    .
    การที่ รัฐ จะสนับสนุน สิ้นค้าส่งออกที่เป็น Local Content ของไทย อย่างเดียว และ จำนวนไม่มาก....
    .
    จะคุ้มค่ากว่าการที่ ประเทศไทยจะปล่อยให้ ภาษีนำเข้าจาก อเมริกา เป็น 0 และ ต้องนับสินค้า การเกษตร จาก อเมริกา เข้ามาเพิ่ม
    .
    เพราะ เกษตรกรไทย จะ วินาศสิ้น วิกฤตซ้อนวิกฤต...!!!
    .
    ไม่พอ ไทยยังต้อง ทยอยลดการขาดดุล ให้ อเมริกา จนกระทั่งเหลือ 0...
    .
    โดยที่ประเทศไทย อาจจะต้อง ซื้อของ จาก อเมริกา เพิ่ม เช่น..
    .
    1.อาวุธสงคราม (ตกรุ่น ราคาแพง)
    2.ฝูงบินโบอิ้ง (ที่มีปัญหาด้านความปลอดภัย)
    3.สินค้าทางการเกษตร (ซึ่งต้นทุนถูกกว่าของประเทศไทย)
    4.เนื้อหมู (ซึ่งสารเร่งเนื้อแดง ที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่กลับไม่ผิดกฎหมายใน อเมริกา)
    5.พันธบัตร อเมริกา (เท่ากับ ประเทศไทย ต้อง ตุน ดอลลาร์ เป็นเจ้าหนี้ให้ อเมริกา กู้เงิน เพิ่ม ดอกต่ำๆ)
    .
    ที่สำคัญเลย ผมเชื่อว่า อเมริกา ต้องขอใช้ พื้นที่ในประเทศไทย เป็นฐานทัพ เช่นเดียวกันกับที่ อเมริกา มีฐานทัพทั่วโลก อยู่กว่า 800 แห่ง และ ที่ไทย มีไว้เพื่อจัดการ จีน
    .
    สิ่งพวกนี้คือ ที่ประเทศไทย ต้องแลกมาเพื่อ ให้ได้ภาษี ต่ำกว่า 36% ย้ำว่า "แค่ต่ำกว่า 36%" ไม่ใช่ 0% ด้วยซ้ำไป...
    .
    มันได้ไม่คุ้ม กับที่เราจะเสีย ครับ ไม่เลย...!!!
    .
    ประเทศไทย ควรหลุดออกจากกรอบที่ว่า ต้องเป็น เด็กว่านอนสอนง่าย ของ อเมริกา ได้แล้ว...
    .
    สิ่งไหนเป็นประโยชน์ของประเทศ ก็ต้องเลือกสิ่งนั้น ตัดสินใจด้วยสมองของตัวเอง ไม่ใช่ยอมให้เขาจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา
    ....
    ....
    สุดท้ายต้องไม่ลืมไปดู 4 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย...!!!
    .
    ไอ้นิทาน รัฐปาตานี และ นโยบายพรรคการเมืองบางพรรค ที่ว่า ปกครองตนเอง ทรัพยากรท้องถิ่น เก็บกันเอง ใช้กันเองเนี่ย เผลอๆ อาจจะเรื่องเดียวกันก็ได้ครับ...!!!
    .
    กลิ่น ไซออนิสต์ และ ขี้ข้า เป็นฝูง มันทำงานเชื่อมโยงกัน และ มีพวกลงไปอยู่ในพื้นที่ และ หนุน BRN อย่างรอบด้าน อยู่ตรงนั้นด้วย...
    ## สงครามภาษี แค่ข้ออ้างบังหน้า...!!! ## .. .. ความจริงแล้ว อเมริกา ก็เป็นประเทศ เกษตรกรรม ครับ... . เพียงแต่ เขาใช้ เทคโนโลยี เข้ามาช่วย ดังนั้น การผลิต ทุกๆอย่างที่เขาขาย จึงมีต้นทุนที่ต่ำกว่า เกษตรกรไทยมากนัก... . ถ้า รัฐบาลไทย บอกจะให้เขา ภาษี 0% อย่างว่า และ จะนำเข้าเพิ่มขึ้น เกษตรกรไทย ตายแล้วตายอีก ตายอย่างเดียวครับ วิกฤตซ้ำซ้อน... . อีกอย่าง สินค้า Local ของไทยจริงๆ ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น สินค้าสวมตอซะเยอะครับ... . ความจริง อเมริกา แค่อยากปิดกั้นจีน ขณะเดียวกันก็บีบไทย เอาผลประโยชน์ และ บีบไทย เพื่อยอมให้เชาใช้พื้นที่... . ผมว่า เราไม่สู้ ปิดสถานกงสุลหมื่นล้านที่เชียงใหม่ดู เจรจาภาษี จะต่อรองได้มากขึ้นหล่ะครับ . สุดท้าย อเมริกา ต้องการ พื้นที่สำหรับสอดแนมจีน และ ฐานทัพ ไว้คอยจัดการจีน มากว่า ภาษีจากประเทศเล็กๆอย่างไทย... . แต่ แน่นอนว่า ถ้ารัฐบาลโง่ เจรจาไม่เป็น ไถจากเราได้เท่าไหร่เขาก็เอาครับ .... .... ความจริง เรื่องภาษี ไทยไม่จำเป็นต้อง เจรจาแค่กับ อเมริกา . Local Content ของไทยจริงๆมีไม่มาก ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นของ จีน และ อื่นๆ... . รัฐบาลไทย ก็ไปคุยกับเขาสิครับ ว่าเนี่ยประเทศไทย โดยภาษี 36% เพราะ สินค้าพวกคุณสวมตอเราเข้าไปขาย อเมริกา เขารู้จึง โยนภาษี 36% ใส่หัวประเทศไทย . ดังนั้น นอกจากประเทศไทยจะต้องแบกส่วน Local Content ของ ไทยไว้แล้ว คุณก็ต้องช่วย ต้องมีแบก ส่วน ของพวกคุณเองด้วยนะ... . ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ จีน ช่วยนำเข้าสินค้า Local Content ของไทย เพิ่มขึ้นหน่อยได้หรือไม่...??? . การที่ รัฐ จะสนับสนุน สิ้นค้าส่งออกที่เป็น Local Content ของไทย อย่างเดียว และ จำนวนไม่มาก.... . จะคุ้มค่ากว่าการที่ ประเทศไทยจะปล่อยให้ ภาษีนำเข้าจาก อเมริกา เป็น 0 และ ต้องนับสินค้า การเกษตร จาก อเมริกา เข้ามาเพิ่ม . เพราะ เกษตรกรไทย จะ วินาศสิ้น วิกฤตซ้อนวิกฤต...!!! . ไม่พอ ไทยยังต้อง ทยอยลดการขาดดุล ให้ อเมริกา จนกระทั่งเหลือ 0... . โดยที่ประเทศไทย อาจจะต้อง ซื้อของ จาก อเมริกา เพิ่ม เช่น.. . 1.อาวุธสงคราม (ตกรุ่น ราคาแพง) 2.ฝูงบินโบอิ้ง (ที่มีปัญหาด้านความปลอดภัย) 3.สินค้าทางการเกษตร (ซึ่งต้นทุนถูกกว่าของประเทศไทย) 4.เนื้อหมู (ซึ่งสารเร่งเนื้อแดง ที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่กลับไม่ผิดกฎหมายใน อเมริกา) 5.พันธบัตร อเมริกา (เท่ากับ ประเทศไทย ต้อง ตุน ดอลลาร์ เป็นเจ้าหนี้ให้ อเมริกา กู้เงิน เพิ่ม ดอกต่ำๆ) . ที่สำคัญเลย ผมเชื่อว่า อเมริกา ต้องขอใช้ พื้นที่ในประเทศไทย เป็นฐานทัพ เช่นเดียวกันกับที่ อเมริกา มีฐานทัพทั่วโลก อยู่กว่า 800 แห่ง และ ที่ไทย มีไว้เพื่อจัดการ จีน . สิ่งพวกนี้คือ ที่ประเทศไทย ต้องแลกมาเพื่อ ให้ได้ภาษี ต่ำกว่า 36% ย้ำว่า "แค่ต่ำกว่า 36%" ไม่ใช่ 0% ด้วยซ้ำไป... . มันได้ไม่คุ้ม กับที่เราจะเสีย ครับ ไม่เลย...!!! . ประเทศไทย ควรหลุดออกจากกรอบที่ว่า ต้องเป็น เด็กว่านอนสอนง่าย ของ อเมริกา ได้แล้ว... . สิ่งไหนเป็นประโยชน์ของประเทศ ก็ต้องเลือกสิ่งนั้น ตัดสินใจด้วยสมองของตัวเอง ไม่ใช่ยอมให้เขาจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา .... .... สุดท้ายต้องไม่ลืมไปดู 4 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย...!!! . ไอ้นิทาน รัฐปาตานี และ นโยบายพรรคการเมืองบางพรรค ที่ว่า ปกครองตนเอง ทรัพยากรท้องถิ่น เก็บกันเอง ใช้กันเองเนี่ย เผลอๆ อาจจะเรื่องเดียวกันก็ได้ครับ...!!! . กลิ่น ไซออนิสต์ และ ขี้ข้า เป็นฝูง มันทำงานเชื่อมโยงกัน และ มีพวกลงไปอยู่ในพื้นที่ และ หนุน BRN อย่างรอบด้าน อยู่ตรงนั้นด้วย...
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • การโจมตีครั้งใหญ่เมื่อคืนที่มาโดยกองทัพรัสเซีย พื้นที่ของเมืองลวอฟ (Lvov) ทางตะวันตกของยูเครน เขตติดต่อกับโปแลนด์ คือหนึ่งในเป้าหมายหลักของรัสเซีย

    • เมื่อคืนที่ผ่านมา ขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากมุ่งเป้าไปที่โรงงานแห่งหนึ่งโดยตรง
    • แหล่งข่าวท้องถิ่นยืนยันว่าอาคารของโรงงานแห่งนี้เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศ ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
    การโจมตีครั้งใหญ่เมื่อคืนที่มาโดยกองทัพรัสเซีย พื้นที่ของเมืองลวอฟ (Lvov) ทางตะวันตกของยูเครน เขตติดต่อกับโปแลนด์ คือหนึ่งในเป้าหมายหลักของรัสเซีย • เมื่อคืนที่ผ่านมา ขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากมุ่งเป้าไปที่โรงงานแห่งหนึ่งโดยตรง • แหล่งข่าวท้องถิ่นยืนยันว่าอาคารของโรงงานแห่งนี้เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศ ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูลบูมในจอร์เจีย – เทคโนโลยีมา น้ำหาย คนอยู่ลำบาก

    ในชนบทของรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ พื้นที่ที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ กำลังถูกแทนที่ด้วยอาคารขนาดใหญ่ไร้หน้าต่างที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์—ศูนย์ข้อมูลที่เป็นหัวใจของโลกดิจิทัลยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุค AI และคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้ากลับมีปัญหาใหญ่: การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งอาจใช้น้ำถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของทั้งเมือง

    ในเมือง Mansfield ชาวบ้านบางคน เช่น Beverly Morris ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์ข้อมูลของ Meta เพียง 400 หลา บ่นว่าบ้านของเธอไม่มีน้ำใช้ และไม่สามารถดื่มน้ำจากบ่อได้อีกต่อไป

    แม้บริษัทต่าง ๆ จะอ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และบางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling หรือการเก็บน้ำฝน แต่ชาวบ้านยังคงไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาถูกลดทอนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในจอร์เจีย แต่กำลังลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง และคาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - ศูนย์ข้อมูลในจอร์เจียขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับการเติบโตของ AI และคลาวด์
    - ใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน
    - ชาวบ้านใน Mansfield รายงานว่าบ่อบ้านแห้งและไม่สามารถใช้น้ำได้
    - บริษัทต่าง ๆ อ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมและลงทุนในเทคโนโลยีลดการใช้น้ำ
    - มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling และ rainwater harvesting
    - ปัญหานี้เกิดในหลายรัฐของสหรัฐฯ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีภัยแล้ง
    - คาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลอาจกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนโดยตรง
    - การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทจัดจ้างอาจไม่เป็นกลางหรือโปร่งใส
    - ชาวบ้านบางรายยังคงใช้ “น้ำที่ไม่มั่นใจ” ในการปรุงอาหารและแปรงฟัน
    - การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอาจไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประชาชน
    - หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลอาจทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น

    https://www.techspot.com/news/108634-data-center-boom-georgia-sparks-water-worries-resident.html
    ศูนย์ข้อมูลบูมในจอร์เจีย – เทคโนโลยีมา น้ำหาย คนอยู่ลำบาก ในชนบทของรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ พื้นที่ที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ กำลังถูกแทนที่ด้วยอาคารขนาดใหญ่ไร้หน้าต่างที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์—ศูนย์ข้อมูลที่เป็นหัวใจของโลกดิจิทัลยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุค AI และคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความก้าวหน้ากลับมีปัญหาใหญ่: การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งอาจใช้น้ำถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของทั้งเมือง ในเมือง Mansfield ชาวบ้านบางคน เช่น Beverly Morris ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์ข้อมูลของ Meta เพียง 400 หลา บ่นว่าบ้านของเธอไม่มีน้ำใช้ และไม่สามารถดื่มน้ำจากบ่อได้อีกต่อไป แม้บริษัทต่าง ๆ จะอ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และบางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling หรือการเก็บน้ำฝน แต่ชาวบ้านยังคงไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาถูกลดทอนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในจอร์เจีย แต่กำลังลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง และคาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - ศูนย์ข้อมูลในจอร์เจียขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับการเติบโตของ AI และคลาวด์ - ใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน - ชาวบ้านใน Mansfield รายงานว่าบ่อบ้านแห้งและไม่สามารถใช้น้ำได้ - บริษัทต่าง ๆ อ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมและลงทุนในเทคโนโลยีลดการใช้น้ำ - มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling และ rainwater harvesting - ปัญหานี้เกิดในหลายรัฐของสหรัฐฯ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีภัยแล้ง - คาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลอาจกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนโดยตรง - การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทจัดจ้างอาจไม่เป็นกลางหรือโปร่งใส - ชาวบ้านบางรายยังคงใช้ “น้ำที่ไม่มั่นใจ” ในการปรุงอาหารและแปรงฟัน - การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอาจไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประชาชน - หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลอาจทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น https://www.techspot.com/news/108634-data-center-boom-georgia-sparks-water-worries-resident.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Data center boom in Georgia sparks water worries and resident backlash
    The rise of data centers is closely tied to the rapid growth of artificial intelligence and cloud computing. But as the demand for digital services increases, so...
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • ภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ก.ค.68 "อันเดรีย รุสโซ" วัย 35 ปี วิ่งเข้าไปในรันเวย์สนามบินแบร์กาโม เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และกระโดดเข้าไปในเครื่องยนต์ด้านซ้ายของเครื่องบินแอร์บัส A319 (เที่ยวบิน V73511) ของสายการบินโวโลเทีย ระหว่างที่เครื่องบินกำลังเตรียมการบินขึ้นเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองอัสตูเรียส ประเทศสเปน

    ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นระบุว่า ชายคนดังกล่าวไม่ใช่ทั้งพนักงานสนามบิน และ ก็ไม่ใช่ผู้โดยสารด้วย เขาขับรถยนต์เฟียต 500 สีแดง และจอดทิ้งรถไว้ก่อนที่จะพยายามหลบเลี่ยงการรักษาความปลอดภัยผ่านเข้าไปถึงรันเวย์เครื่องบิน

    สื่อยังระบุอีกว่ารุสโซมีประวัติติดยาเสพติดอย่างรุนแรง และเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวนในข้อหาฆ่าตัวตาย
    ภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ก.ค.68 "อันเดรีย รุสโซ" วัย 35 ปี วิ่งเข้าไปในรันเวย์สนามบินแบร์กาโม เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และกระโดดเข้าไปในเครื่องยนต์ด้านซ้ายของเครื่องบินแอร์บัส A319 (เที่ยวบิน V73511) ของสายการบินโวโลเทีย ระหว่างที่เครื่องบินกำลังเตรียมการบินขึ้นเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองอัสตูเรียส ประเทศสเปน ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นระบุว่า ชายคนดังกล่าวไม่ใช่ทั้งพนักงานสนามบิน และ ก็ไม่ใช่ผู้โดยสารด้วย เขาขับรถยนต์เฟียต 500 สีแดง และจอดทิ้งรถไว้ก่อนที่จะพยายามหลบเลี่ยงการรักษาความปลอดภัยผ่านเข้าไปถึงรันเวย์เครื่องบิน สื่อยังระบุอีกว่ารุสโซมีประวัติติดยาเสพติดอย่างรุนแรง และเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวนในข้อหาฆ่าตัวตาย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • "การเข้าพรรษา" นั้นปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท ซึ่งพระสงฆ์ในนิกายเถรวาททุกประเทศจะถือการปฏิบัติการเข้าจำพรรษาเหมือนกัน (แต่อาจมีความแตกต่างกันบ้างในการให้ความสำคัญและรายละเอียดประเพณีปฏิบัติของแต่ละท้องถิ่น)
    ในอดีต การเข้าพรรษามีประโยชน์แก่พระสงฆ์ในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย โดยการที่พระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มาอยู่จำพรรษารวมกันในที่ใดที่หนึ่ง พระสงฆ์เหล่านั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายองค์ความรู้ตามพระธรรมวินัยให้แก่กัน
    มาในปัจจุบัน การศึกษาพระธรรมวินัยในช่วงเข้าพรรษาในประเทศไทยก็ยังจัดเป็นกิจสำคัญของพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์ที่อุปสมบททุกรูป แม้จะอุปสมบทเพียงเพื่อชั่วเข้าพรรษาสามเดือน ก็จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม ปัจจุบันพระธรรมวินัยถูกจัดเป็นหลักสูตรของคณะสงฆ์
    "การเข้าพรรษา" นั้นปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท ซึ่งพระสงฆ์ในนิกายเถรวาททุกประเทศจะถือการปฏิบัติการเข้าจำพรรษาเหมือนกัน (แต่อาจมีความแตกต่างกันบ้างในการให้ความสำคัญและรายละเอียดประเพณีปฏิบัติของแต่ละท้องถิ่น) ในอดีต การเข้าพรรษามีประโยชน์แก่พระสงฆ์ในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย โดยการที่พระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มาอยู่จำพรรษารวมกันในที่ใดที่หนึ่ง พระสงฆ์เหล่านั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายองค์ความรู้ตามพระธรรมวินัยให้แก่กัน มาในปัจจุบัน การศึกษาพระธรรมวินัยในช่วงเข้าพรรษาในประเทศไทยก็ยังจัดเป็นกิจสำคัญของพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์ที่อุปสมบททุกรูป แม้จะอุปสมบทเพียงเพื่อชั่วเข้าพรรษาสามเดือน ก็จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม ปัจจุบันพระธรรมวินัยถูกจัดเป็นหลักสูตรของคณะสงฆ์
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย

    จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์

    หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น:
    - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด
    - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง
    - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก
    - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้
    - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023

    สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่:
    - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D
    - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight
    - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง
    - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ
    - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น: - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้ - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023 สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่: - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • แวะจอดเรือที่ Cannes แล้วต้องไปที่ไหน? รวม 4 จุดไฮไลต์หรูหราและมีเสน่ห์ของเมืองคานส์
    จากถนนคนดังระดับโลก สู่งานเทศกาลหนังระดับนานาชาติ เดินเล่นย่านเมืองเก่า ช้อปของสดท้องถิ่น — ครบทุกไฮไลท์ในวันเดียว!

    La Croisette - ถนนลา ครัวแซตต์
    ถนนเลียบชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคานส์ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก เช่น Hôtel Martinez และ InterContinental Carlton

    Palais des Festivals et des Congrès - ศูนย์จัดเทศกาลและการประชุมเมืองคานส์
    อาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ งานพรมแดงที่ดาราฮอลลีวูดและนักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลก

    Le Suquet - ย่านเมืองเก่าเลอ ซูเคต์
    ย่านเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิม

    Marché Forville - ตลาดฟอร์วิลล์
    ตลาดท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอาหารสด เช่น ผลไม้ ผัก อาหารทะเล ชีส และขนมปัง สถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและรสชาติของคานส์

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #CannesCruisePort #France #LaCroisette #PalaisdesFestivalsetdesCongrès #LeSuquet #MarchéForville #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    แวะจอดเรือที่ Cannes แล้วต้องไปที่ไหน? รวม 4 จุดไฮไลต์หรูหราและมีเสน่ห์ของเมืองคานส์ 🌴✨ จากถนนคนดังระดับโลก สู่งานเทศกาลหนังระดับนานาชาติ เดินเล่นย่านเมืองเก่า ช้อปของสดท้องถิ่น — ครบทุกไฮไลท์ในวันเดียว! ☑️ La Croisette - ถนนลา ครัวแซตต์ ถนนเลียบชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคานส์ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก เช่น Hôtel Martinez และ InterContinental Carlton ☑️ Palais des Festivals et des Congrès - ศูนย์จัดเทศกาลและการประชุมเมืองคานส์ อาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ งานพรมแดงที่ดาราฮอลลีวูดและนักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลก ☑️ Le Suquet - ย่านเมืองเก่าเลอ ซูเคต์ ย่านเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิม ☑️ Marché Forville - ตลาดฟอร์วิลล์ ตลาดท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอาหารสด เช่น ผลไม้ ผัก อาหารทะเล ชีส และขนมปัง สถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและรสชาติของคานส์ 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #CannesCruisePort #France #LaCroisette #PalaisdesFestivalsetdesCongrès #LeSuquet #MarchéForville #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • สินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เกตกรุงพนมเปญเริ่มขาดแคลน ขณะผู้บริโภคต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นหรือที่นำเข้าจากประเทศอื่น บางคนบอกเศร้าหาซื้อนมดัชมิลล์ไม่ได้แล้ว รสชาติอาหารเช้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะครูศรีลังกาที่มาสอนในกัมพูชาเผยยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้โดยไม่กิน “มาม่า” อย่างไร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064782

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เกตกรุงพนมเปญเริ่มขาดแคลน ขณะผู้บริโภคต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นหรือที่นำเข้าจากประเทศอื่น บางคนบอกเศร้าหาซื้อนมดัชมิลล์ไม่ได้แล้ว รสชาติอาหารเช้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะครูศรีลังกาที่มาสอนในกัมพูชาเผยยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้โดยไม่กิน “มาม่า” อย่างไร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064782 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    1 Comments 0 Shares 506 Views 0 Reviews
  • มีชื่อบิ๊ก มท.ในมือ ใครแช่แป้งเด้งเข้ากรุ : [THE MESSAGE]

    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เผยถึงการโยกย้ายนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง และนายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำให้เห็นว่าสามารถทำงานได้ ที่เคยพูดว่าภายใน 3 เดือน ไม่ได้หมายความว่าต้องรอ 3 เดือน อะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานสามารถอธิบายได้ ตั้งแต่เข้ามาได้จัดการเรื่องบ่อนสะพานใหม่ ตรวจสุขุมวิท ซอย 4 ซึ่งยังไม่หมด ไม่ได้ย้ายเพราะใกล้ชิด มท.1 คนเก่า ต้องการทำงานเรื่องยาเสพติดและหลายๆ เรื่อง ยึดประสิทธิภาพของงาน ไม่มีสี มีแต่สีมหาดไทย เอกซเรย์ทั้งประเทศ ในลิสต์มีว่าใครแอ็กทีฟ ใครตีกอล์ฟตลอด กลไกสำคัญที่ทำให้นโยบายต่างๆ ไม่เดินมันถูกแช่แป้ง ทั้งจากฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติ ไม่ได้คิดเรื่องเลือกตั้ง ยังมีเวลาอีกเยอะ ชี้ อำนาจยุบสภาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ยังไม่ถึงเวลาตัดสินใจ เชื่อการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ยังมีหวัง อัตราที่แจ้ง 36% ยังสวนทางกับการพูดคุย
    มีชื่อบิ๊ก มท.ในมือ ใครแช่แป้งเด้งเข้ากรุ : [THE MESSAGE] นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เผยถึงการโยกย้ายนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง และนายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำให้เห็นว่าสามารถทำงานได้ ที่เคยพูดว่าภายใน 3 เดือน ไม่ได้หมายความว่าต้องรอ 3 เดือน อะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานสามารถอธิบายได้ ตั้งแต่เข้ามาได้จัดการเรื่องบ่อนสะพานใหม่ ตรวจสุขุมวิท ซอย 4 ซึ่งยังไม่หมด ไม่ได้ย้ายเพราะใกล้ชิด มท.1 คนเก่า ต้องการทำงานเรื่องยาเสพติดและหลายๆ เรื่อง ยึดประสิทธิภาพของงาน ไม่มีสี มีแต่สีมหาดไทย เอกซเรย์ทั้งประเทศ ในลิสต์มีว่าใครแอ็กทีฟ ใครตีกอล์ฟตลอด กลไกสำคัญที่ทำให้นโยบายต่างๆ ไม่เดินมันถูกแช่แป้ง ทั้งจากฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติ ไม่ได้คิดเรื่องเลือกตั้ง ยังมีเวลาอีกเยอะ ชี้ อำนาจยุบสภาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ยังไม่ถึงเวลาตัดสินใจ เชื่อการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ยังมีหวัง อัตราที่แจ้ง 36% ยังสวนทางกับการพูดคุย
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 0 Reviews
  • ♣ อ้วน มท.1 กวาดล้างบิ๊กข้าราชการสีน้ำเงิน ย้ายอธิบดีกรมการปกครอง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายต่อไปอาจเป็น อธิบดีกรมที่ดิน ผู้ปกป้องเขากระโดง และปลัดมหาดไทย คนสนิทเสี่ยหนู
    #7ดอกจิก
    #อ้วนมท1
    #อธิบดีสีน้ำเงิน
    ♣ อ้วน มท.1 กวาดล้างบิ๊กข้าราชการสีน้ำเงิน ย้ายอธิบดีกรมการปกครอง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายต่อไปอาจเป็น อธิบดีกรมที่ดิน ผู้ปกป้องเขากระโดง และปลัดมหาดไทย คนสนิทเสี่ยหนู #7ดอกจิก #อ้วนมท1 #อธิบดีสีน้ำเงิน
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • โรงงาน Oppama ของ Nissan ที่เมืองโยโกสุกะ เป็นหนึ่งในสายการผลิตหลักมายาวนาน และมีพนักงานกว่า 3,900 คน แต่ในช่วงหลังบริษัทเริ่มประสบปัญหาในการบริหารต้นทุน จนมีแผนจะ “รวมสายการผลิต” ซึ่งหมายถึง…อาจต้องปิดโรงงานนี้

    แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอเดียใหม่โผล่มา — แทนที่จะปล่อยให้สายการผลิตว่างเปล่า ทำไมไม่ให้ Foxconn (ผู้ผลิต iPhone และเจ้าของแบรนด์ EV อย่าง Foxtron) เข้ามาใช้สายพานนี้ผลิต EV แทน?

    Nikkei รายงานว่าทั้งสองบริษัทกำลังเจรจาจริงจัง → ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น โรงงาน Oppama จะไม่ต้องปิด → งานของพนักงานหลายพันคนอาจปลอดภัย → แถม Nissan ยังได้ใช้เครือข่ายซัพพลายญี่ปุ่นต่อไป

    Nissan เจรจากับ Foxconn เพื่อผลิตรถ EV แบรนด์ Foxconn ในโรงงาน Oppama  
    • เป็นหนึ่งในแนวทาง “กู้ชีพ” โรงงานที่ถูกพิจารณาปิด  
    • สายการผลิตของโรงงานกำลังว่างและรอแผนใหม่

    โรงงาน Oppama มีพนักงานประมาณ 3,900 คน  
    • หากไม่มีดีล อาจเสี่ยงต่อการปลดพนักงานจำนวนมาก

    Foxconn เป็นผู้ผลิต iPhone ที่กำลังรุกธุรกิจ EV ภายใต้ชื่อ Foxtron  
    • กำลังหาโรงงานผลิตภายนอกไต้หวัน–จีน  
    • การเข้ามาใช้ฐานผลิตในญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจ

    แนวคิดนี้อาจช่วยคงซัพพลายเชนท้องถิ่นของญี่ปุ่น  
    • รักษา supplier network ของ Nissan ไว้ได้  
    • สร้างงานให้กับ ecosystem ท้องถิ่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/nissan-considers-foxconn-ev-output-to-save-oppama-from-closure-nikkei-says
    โรงงาน Oppama ของ Nissan ที่เมืองโยโกสุกะ เป็นหนึ่งในสายการผลิตหลักมายาวนาน และมีพนักงานกว่า 3,900 คน แต่ในช่วงหลังบริษัทเริ่มประสบปัญหาในการบริหารต้นทุน จนมีแผนจะ “รวมสายการผลิต” ซึ่งหมายถึง…อาจต้องปิดโรงงานนี้ แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอเดียใหม่โผล่มา — แทนที่จะปล่อยให้สายการผลิตว่างเปล่า ทำไมไม่ให้ Foxconn (ผู้ผลิต iPhone และเจ้าของแบรนด์ EV อย่าง Foxtron) เข้ามาใช้สายพานนี้ผลิต EV แทน? Nikkei รายงานว่าทั้งสองบริษัทกำลังเจรจาจริงจัง → ถ้าดีลนี้เกิดขึ้น โรงงาน Oppama จะไม่ต้องปิด → งานของพนักงานหลายพันคนอาจปลอดภัย → แถม Nissan ยังได้ใช้เครือข่ายซัพพลายญี่ปุ่นต่อไป ✅ Nissan เจรจากับ Foxconn เพื่อผลิตรถ EV แบรนด์ Foxconn ในโรงงาน Oppama   • เป็นหนึ่งในแนวทาง “กู้ชีพ” โรงงานที่ถูกพิจารณาปิด   • สายการผลิตของโรงงานกำลังว่างและรอแผนใหม่ ✅ โรงงาน Oppama มีพนักงานประมาณ 3,900 คน   • หากไม่มีดีล อาจเสี่ยงต่อการปลดพนักงานจำนวนมาก ✅ Foxconn เป็นผู้ผลิต iPhone ที่กำลังรุกธุรกิจ EV ภายใต้ชื่อ Foxtron   • กำลังหาโรงงานผลิตภายนอกไต้หวัน–จีน   • การเข้ามาใช้ฐานผลิตในญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจ ✅ แนวคิดนี้อาจช่วยคงซัพพลายเชนท้องถิ่นของญี่ปุ่น   • รักษา supplier network ของ Nissan ไว้ได้   • สร้างงานให้กับ ecosystem ท้องถิ่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/nissan-considers-foxconn-ev-output-to-save-oppama-from-closure-nikkei-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nissan considers Foxconn EV output to save Oppama from closure, Nikkei says
    TOKYO (Reuters) -Nissan Motor is in discussions with Taiwan's Foxconn about a collaboration in electric vehicles that could save its Oppama plant in Japan from closure, the Nikkei business daily reported on Sunday, citing an unidentified Nissan source.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • ภาพอีกมุมของการระเบิดอย่างรุนแรงในภูมิภาค Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายวันที่ 2 กรกฎาคม

    จากรายงานระบุว่าเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ “พื้นที่อุตสาหกรรม” ซึ่งเป็นโรงงานสองแห่ง

    อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุอย่างเป็นทางการ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนมีการสั่งห้ามไม่ให้เปิดเผยรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น
    ภาพอีกมุมของการระเบิดอย่างรุนแรงในภูมิภาค Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายวันที่ 2 กรกฎาคม จากรายงานระบุว่าเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ “พื้นที่อุตสาหกรรม” ซึ่งเป็นโรงงานสองแห่ง อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุอย่างเป็นทางการ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนมีการสั่งห้ามไม่ให้เปิดเผยรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 0 Reviews
  • โมร็อกโกจัดงาน Morocco Gaming Expo ปีที่ 2 ที่เมืองราบัต โดยเชิญทั้งนักพัฒนา นักศึกษา และบริษัทจากทั่วโลกมาร่วมงาน ซึ่งในงานก็มีทั้งบูธเกมใหม่ ๆ, VR โลกเสมือนจริง, การแข่ง e-sport, และเวทีหารือระหว่างภาครัฐและอุตสาหกรรม

    เบื้องหลังงานนี้คือยุทธศาสตร์ระดับประเทศ: → รัฐบาลมองว่าอุตสาหกรรมเกมที่มีมูลค่ากว่า $200,000 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ควรเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเยาวชนที่กำลังเผชิญอัตราว่างงานสูงเกือบ 30% → จึงลงทุนสร้าง Rabat Gaming City มูลค่ากว่า $26 ล้านดอลลาร์ → มีทั้งพื้นที่ฝึกงาน, co-working space, สตูดิโอผลิตเกม และการฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR และการเขียนโปรแกรม

    รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนของโมร็อกโกยังบอกเลยว่า:

    “เป้าหมายไม่ใช่แค่สร้างรายได้ แต่คือการเปิดโอกาสชีวิตให้กับเยาวชน” “เราต้องเปลี่ยนความหลงใหลของพวกเขาให้กลายเป็นอาชีพ”

    ปัจจุบัน โมร็อกโกสร้างรายได้จากเกมราว $500 ล้านดอลลาร์/ปี และตั้งเป้าเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2030 โดยหวังจะเป็นประเทศแอฟริกาต้นแบบด้านเกม เหมือนที่เกาหลีใต้เป็นผู้นำด้าน e-sport

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว:
    รัฐบาลโมร็อกโกลงทุน $26 ล้านสร้าง “Rabat Gaming City” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกม  
    • มี training center, co-working space, production studio  
    • สร้างพื้นที่ฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR, coding สำหรับเยาวชน

    จัดงาน Morocco Gaming Expo เพื่อดึงบริษัทเกมระดับโลกเข้ามาในประเทศ  
    • มีการแข่ง e-sport, โชว์เกม, เจรจาธุรกิจ, ทดลอง VR

    รัฐบาลหวังให้อุตสาหกรรมเกมเป็นทางออกสำหรับปัญหาว่างงานเยาวชน (เกือบ 30%)  
    • เน้นเปิดโอกาสให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพดิจิทัล  
    • สนับสนุนให้คนท้องถิ่นพัฒนาเกมของตัวเอง (ไม่ใช่แค่เล่น)

    อุตสาหกรรมเกมของโมร็อกโกสร้างรายได้ $500 ล้าน/ปี และมีแผนเพิ่มเป็น $1,000 ล้านภายในปี 2030

    แนวทางนี้ถือเป็นแบบอย่างการ “กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ” ของแอฟริกาโดยไม่พึ่งแค่การเกษตรหรือพลังงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/morocco-bets-on-video-game-industry-to-provide-jobs-and-diversify-economy
    โมร็อกโกจัดงาน Morocco Gaming Expo ปีที่ 2 ที่เมืองราบัต โดยเชิญทั้งนักพัฒนา นักศึกษา และบริษัทจากทั่วโลกมาร่วมงาน ซึ่งในงานก็มีทั้งบูธเกมใหม่ ๆ, VR โลกเสมือนจริง, การแข่ง e-sport, และเวทีหารือระหว่างภาครัฐและอุตสาหกรรม เบื้องหลังงานนี้คือยุทธศาสตร์ระดับประเทศ: → รัฐบาลมองว่าอุตสาหกรรมเกมที่มีมูลค่ากว่า $200,000 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ควรเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเยาวชนที่กำลังเผชิญอัตราว่างงานสูงเกือบ 30% → จึงลงทุนสร้าง Rabat Gaming City มูลค่ากว่า $26 ล้านดอลลาร์ → มีทั้งพื้นที่ฝึกงาน, co-working space, สตูดิโอผลิตเกม และการฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR และการเขียนโปรแกรม รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนของโมร็อกโกยังบอกเลยว่า: “เป้าหมายไม่ใช่แค่สร้างรายได้ แต่คือการเปิดโอกาสชีวิตให้กับเยาวชน” “เราต้องเปลี่ยนความหลงใหลของพวกเขาให้กลายเป็นอาชีพ” ปัจจุบัน โมร็อกโกสร้างรายได้จากเกมราว $500 ล้านดอลลาร์/ปี และตั้งเป้าเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2030 โดยหวังจะเป็นประเทศแอฟริกาต้นแบบด้านเกม เหมือนที่เกาหลีใต้เป็นผู้นำด้าน e-sport ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว: ✅ รัฐบาลโมร็อกโกลงทุน $26 ล้านสร้าง “Rabat Gaming City” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกม   • มี training center, co-working space, production studio   • สร้างพื้นที่ฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR, coding สำหรับเยาวชน ✅ จัดงาน Morocco Gaming Expo เพื่อดึงบริษัทเกมระดับโลกเข้ามาในประเทศ   • มีการแข่ง e-sport, โชว์เกม, เจรจาธุรกิจ, ทดลอง VR ✅ รัฐบาลหวังให้อุตสาหกรรมเกมเป็นทางออกสำหรับปัญหาว่างงานเยาวชน (เกือบ 30%)   • เน้นเปิดโอกาสให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพดิจิทัล   • สนับสนุนให้คนท้องถิ่นพัฒนาเกมของตัวเอง (ไม่ใช่แค่เล่น) ✅ อุตสาหกรรมเกมของโมร็อกโกสร้างรายได้ $500 ล้าน/ปี และมีแผนเพิ่มเป็น $1,000 ล้านภายในปี 2030 ✅ แนวทางนี้ถือเป็นแบบอย่างการ “กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ” ของแอฟริกาโดยไม่พึ่งแค่การเกษตรหรือพลังงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/morocco-bets-on-video-game-industry-to-provide-jobs-and-diversify-economy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Morocco bets on video game industry to provide jobs and diversify economy
    Morocco is laying down foundations to build a homegrown gaming industry by establishing a developer hub in the capital, training coders and launching programmes to draw tech-savvy youth into the sector.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP23 | ต้นแบบ “คืนคนดีสู่สังคม” หมู่บ้านปูลารายอ ชุมชนกาแลตาแป จ.นราธิวาส

    หมู่บ้านปูลารายอ ชุมชนกาแลตาแป จังหวัดนราธิวาส คือหนึ่งในตัวอย่างของพื้นที่ที่มีการขับเคลื่อนแนวทาง “คืนคนดีสู่สังคม” อย่างเป็นรูปธรรม

    จากพื้นที่ที่เคยมีความขัดแย้ง กลายเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง เต็มไปด้วยความหวังและความร่วมมือของคนในท้องถิ่น การให้โอกาสผู้หลงผิดได้กลับตัว กลายเป็นพลังสำคัญในการสร้างสันติสุขและความมั่นคงให้กับพื้นที่

    ชุมชนกาแลตาแปไม่เพียงเป็นบ้านของผู้คนหลากหลายศรัทธา แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ ให้อภัย และการเยียวยาทางสังคมและจิตใจ

    ติดตามเรื่องราวของผู้คนในหมู่บ้านปูลารายอ กับกระบวนการฟื้นฟูชีวิตที่สะท้อนให้เห็นว่า การให้โอกาสคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

    #สลามเมืองไทย #EP23 #คืนคนดีสู่สังคม #หมู่บ้านปูลารายอ #ชุมชนกาแลตาแป #นราธิวาส #ThaiMuslimCommunity #สันติภาพชายแดนใต้ #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP23 | ต้นแบบ “คืนคนดีสู่สังคม” หมู่บ้านปูลารายอ ชุมชนกาแลตาแป จ.นราธิวาส หมู่บ้านปูลารายอ ชุมชนกาแลตาแป จังหวัดนราธิวาส คือหนึ่งในตัวอย่างของพื้นที่ที่มีการขับเคลื่อนแนวทาง “คืนคนดีสู่สังคม” อย่างเป็นรูปธรรม จากพื้นที่ที่เคยมีความขัดแย้ง กลายเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง เต็มไปด้วยความหวังและความร่วมมือของคนในท้องถิ่น การให้โอกาสผู้หลงผิดได้กลับตัว กลายเป็นพลังสำคัญในการสร้างสันติสุขและความมั่นคงให้กับพื้นที่ ชุมชนกาแลตาแปไม่เพียงเป็นบ้านของผู้คนหลากหลายศรัทธา แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ ให้อภัย และการเยียวยาทางสังคมและจิตใจ ติดตามเรื่องราวของผู้คนในหมู่บ้านปูลารายอ กับกระบวนการฟื้นฟูชีวิตที่สะท้อนให้เห็นว่า การให้โอกาสคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน #สลามเมืองไทย #EP23 #คืนคนดีสู่สังคม #หมู่บ้านปูลารายอ #ชุมชนกาแลตาแป #นราธิวาส #ThaiMuslimCommunity #สันติภาพชายแดนใต้ #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 0 Reviews
  • 7/
    ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม

    ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย

    ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง

    จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    7/ ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม 👉 ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง 👉ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย 👉ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง 👉จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 0 Reviews
  • 6/
    ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม

    ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย

    ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง

    จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    6/ ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม 👉 ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง 👉ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย 👉ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง 👉จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 0 Reviews
  • 5/
    ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม

    ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย

    ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง

    จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    5/ ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม 👉 ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง 👉ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย 👉ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง 👉จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 0 Reviews
  • 4/
    ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม

    ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย

    ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง

    จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    4/ ภาพเหตุการณ์การระเบิดอย่างรุนแรงในเขต Zhitomir ของยูเครน ช่วงบ่ายของวันที่ 2 กรกฎาคม 👉 ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดๆ เกี่ยวกับรายงานการระเบิดอย่างรุนแรงสองครั้งในสองสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยกล่าวรายงานว่าเป็นเพียงการระเบิดของ "ปั๊มน้ำมัน" แต่จากภาพวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายมา ปั๊มน้ำมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแรงระเบิดเท่านั้น ซึ่งคาดว่าไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง 👉ต่อมาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กล่าวว่าการระเบิดได้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่งที่อยู่ใกล้กันจนหมดสิ้น แต่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ทำให้มีการคาดเดาไปว่าเกิดจากจากการก่อวินาศกรรมของสายลับรัสเซีย 👉ข้อมูลเริ่มเปิดเผยออกมาว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย บ้านเรือน 25 หลังถูกทำลายจนหมดสิ้น และอีกหลายสิบหลังได้รับความเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าหลายแห่งได้รับความเสียหาย ส่งผลไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง 👉จากข้อมูลที่สับสนของทางการยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์จากรูปลักษณ์และขนาดของการระเบิด บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ลักลอบสะสมอาวุธของกองทัพยูเครน หรืออาจเป็นสถานที่เก็บสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดในอุตสาหกรรมการทหารของยูเครน
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 0 Reviews
More Results