• 1 มี.ค.2568 - กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไล่ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกจากทำเนียบขาว หลังจากโต้เถียงกัน ส่อแววล้มข้อตกลงสันติภาพ รวมทั้งข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายาก

    ล่าสุด รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

    ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน

    1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย

    2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)

    4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้

    5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่

    1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว

    2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ

    3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล

    4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ

    5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ

    6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง

    ที่มา ไทยโพสต์
    1 มี.ค.2568 - กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไล่ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกจากทำเนียบขาว หลังจากโต้เถียงกัน ส่อแววล้มข้อตกลงสันติภาพ รวมทั้งข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายาก ล่าสุด รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน 1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย 2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) 4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ 5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ 6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่ 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง ที่มา ไทยโพสต์
    Like
    Love
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
    .
    ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน
    .
    1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย
    .
    2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    .
    3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)
    .
    4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้
    .
    5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ
    .
    6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่
    1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว
    2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ
    3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
    4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ
    5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ
    6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง
    .
    ผมเขียนเรื่องยูเครนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 at the beginning of the end ขอเอามาแปะอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ

    1. จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง https://thestandard.co/asean-and-hybrid-warfare/
    2. จากยูเครนสู่ปัตตานี กรณี Gerasimov Doctrine และแผนบันได 7 ขั้น https://www.the101.world/ukraine-to-pattani/
    .
    Cr. รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม
    คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ . ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน . 1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย . 2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ . 3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) . 4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ . 5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ . 6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่ 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง . ผมเขียนเรื่องยูเครนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 at the beginning of the end ขอเอามาแปะอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ 1. จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง https://thestandard.co/asean-and-hybrid-warfare/ 2. จากยูเครนสู่ปัตตานี กรณี Gerasimov Doctrine และแผนบันได 7 ขั้น https://www.the101.world/ukraine-to-pattani/ . Cr. รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    THESTANDARD.CO
    จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง
    การสงครามผสมผสาน การสงครามผสมผสาน หรือ Hybrid Warfare เป็นยุทธศาสตร์ทางทหารซึ่งใช้การสงครามทางการเมือง และผสมรวมการสงครามตามแบบ (Conventional Warfare)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • 54 ปี ลอบสังหาร “ครูโกมล คีมทอง” คอมมิวนิสต์เข้าใจผิด! คิดว่าเป็น… สายลับรัฐบาลไทย

    ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ครูหนุ่มผู้มุ่งมั่นเพื่อการศึกษาในชนบท แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ท่ามกลางความเข้าใจผิด ในยุคสมัย ที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ร้อนระอุ

    📌 เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ยังเป็นปริศนา ย้อนไปเมื่อ 54 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เสียงปืนดังขึ้นที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลสินเจริญ กิ่งอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ครูหนุ่มวัยเพียง 24 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย

    "โกมล คีมทอง ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์แรงกล้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบการศึกษา ที่เหมาะสมกับชุมชน ทว่า… ด้วยความเข้าใจผิด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำให้ถูกตราหน้าว่า เป็นสายลับของรัฐบาลไทย และนำไปสู่การสังหารอันน่าเศร้า

    เรื่องราวของครูโกมล เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นเหยื่อของสงครามอุดมการณ์ ที่ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็เพ่งเล็งและไม่ไว้ใจ จนกระทั่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อีกสองคน

    📖 ครูโกมล คีมทอง จากเด็กหนุ่มหัวใจนักสู้ สู่ครูผู้เสียสละ
    👦🏻 "ครูโกมล คีมทอง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ จังหวัดสุโขทัย เติบโตขึ้นมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญ กับการศึกษา

    จบชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเข้าศึกษาต่อ ที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู

    🎓 เส้นทางสู่อาชีพครู และอุดมการณ์ที่แรงกล้า
    ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โกมลเป็นนิสิตที่กระตือรือร้น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา และค่ายพัฒนาชนบทเป็นประจำ ทำให้เห็นถึงความลำบากของเด็ก ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจแน่วแน่ว่า "ชีวิตนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาในชนบท"

    ในปีสุดท้ายของการเรียน ครูโกมลได้รับโอกาสเข้าร่วม “ค่ายพัฒนากำลังคน เหมืองห้วยในเขา” ซึ่งจัดขึ้นที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เอง ที่โกมลได้เห็นปัญหาการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ "สร้างโรงเรียนชุมชน"

    🏫 โรงเรียนชุมชนที่เหมืองห้วยในเขา อุดมการณ์ที่เป็นภัย
    🎯 จุดมุ่งหมายของครูโกมล โรงเรียนที่ครูโกมลตั้งใจสร้าง ไม่ใช่แค่สถานศึกษาแบบทั่วไป แต่เป็นโรงเรียนที่ออกแบบมา ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน

    ✔️ หลักสูตรพิเศษ เน้นวิชาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ และงานช่าง
    ✔️ วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม เช่น หนังตะลุง มโนราห์ และนิทานพื้นบ้าน
    ✔️ ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ไม่ใช่รัฐ

    แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จับตามอง ด้วยความสงสัยว่า "แท้จริงแล้ว ครูโกมลทำงานให้ฝ่ายใด?"

    🔥 สงครามอุดมการณ์ จุดเริ่มต้นของความหวาดระแวง
    🏴 ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ครูโกมลเป็น "แนวร่วมคอมมิวนิสต์"
    รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเห็นว่า แนวคิดของครูโกมล อาจสนับสนุนอุดมการณ์ ของพรรคคอมมิวนิสต์ โรงเรียนของครูโกมล ไม่ได้ใช้หลักสูตร จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจเป็นศูนย์กลาง ของขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ

    🚩 ฝ่ายคอมมิวนิสต์มองว่า "สายลับรัฐบาล"
    ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กำลังทำสงครามกองโจร กับรัฐบาลไทย การที่ครูโกมล เดินทางไปพบปะชาวบ้าน ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทำให้พคท.เข้าใจว่ากำลังสอดแนม อีกทั้งการที่ครูโกมล ได้รับเงินสนับสนุนจาก "มูลนิธิเอเชีย" ซึ่งเป็นองค์กรต่างชาติ ยิ่งทำให้พคท.เชื่อว่า กำลังทำงานให้รัฐบาลไทย สุดท้าย... ความเข้าใจผิดนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ไม่มีวันย้อนคืน

    ☠️ โศกนาฏกรรม คืนสังหารที่ไม่มีวันลืม
    22 กุมภาพันธ์ 2514 📍 บ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ครูโกมล คีมทอง, รัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเสรี ปรีชา หมอเร่ขายยา ถูกกลุ่มกองกำลัง พรรคคอมมิวนิสต จับตัวไป และถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด

    หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลไทยได้โปรยใบปลิวปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร" ขณะที่ พคท. ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า "เป็นผู้ลงมือสังหาร เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า ครูโกมลเป็นสายลับรัฐบาลไทย"

    🏛️ แม้ว่า "ครูโกมล คีมทอง" จะจากไป แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ
    ✔️ การเสียสละทำให้เกิด “มูลนิธิโกมล คีมทอง” ในปี พ.ศ. 2514
    ✔️ สร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นหลังอุทิศตน เพื่อพัฒนาสังคม
    ✔️ หลักสูตรการศึกษา ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นแนวคิด ที่นำมาใช้ในการศึกษายุคใหม่

    🎭 ครูโกมลถูกฆ่าโดยใคร?
    👉 ฝ่ายรัฐบาล หรือ พรรคคอมมิวนิสต์?
    👉 เป็นเพียงครูธรรมดา หรือมีบทบาทที่ลึกซึ้งกว่านั้น?
    👉 ถ้าไม่มีการสังหารในวันนั้น ครูโกมลจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ได้มากแค่ไหน?

    แม้ข้อเท็จจริง จะได้รับการเปิดเผยไปแล้ว แต่คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมา จนถึงทุกวันนี้...

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221245 ก.พ. 2568

    #️⃣ #ครูโกมลคีมทอง #54ปีลอบสังหาร #โกมลคีมทอง #ประวัติศาสตร์ไทย #คอมมิวนิสต์ไทย #การศึกษาชนบท #ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ #มูลนิธิโกมลคีมทอง #ครูผู้เสียสละ #ประวัติศาสตร์ต้องรู้
    54 ปี ลอบสังหาร “ครูโกมล คีมทอง” คอมมิวนิสต์เข้าใจผิด! คิดว่าเป็น… สายลับรัฐบาลไทย ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ครูหนุ่มผู้มุ่งมั่นเพื่อการศึกษาในชนบท แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ท่ามกลางความเข้าใจผิด ในยุคสมัย ที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ร้อนระอุ 📌 เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ยังเป็นปริศนา ย้อนไปเมื่อ 54 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เสียงปืนดังขึ้นที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลสินเจริญ กิ่งอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ครูหนุ่มวัยเพียง 24 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย "โกมล คีมทอง ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์แรงกล้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเยาวชน ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบการศึกษา ที่เหมาะสมกับชุมชน ทว่า… ด้วยความเข้าใจผิด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำให้ถูกตราหน้าว่า เป็นสายลับของรัฐบาลไทย และนำไปสู่การสังหารอันน่าเศร้า เรื่องราวของครูโกมล เต็มไปด้วยความซับซ้อน เป็นเหยื่อของสงครามอุดมการณ์ ที่ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็เพ่งเล็งและไม่ไว้ใจ จนกระทั่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อีกสองคน 📖 ครูโกมล คีมทอง จากเด็กหนุ่มหัวใจนักสู้ สู่ครูผู้เสียสละ 👦🏻 "ครูโกมล คีมทอง" เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ จังหวัดสุโขทัย เติบโตขึ้นมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญ กับการศึกษา จบชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และเข้าศึกษาต่อ ที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู 🎓 เส้นทางสู่อาชีพครู และอุดมการณ์ที่แรงกล้า ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โกมลเป็นนิสิตที่กระตือรือร้น เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา และค่ายพัฒนาชนบทเป็นประจำ ทำให้เห็นถึงความลำบากของเด็ก ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจแน่วแน่ว่า "ชีวิตนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาในชนบท" ในปีสุดท้ายของการเรียน ครูโกมลได้รับโอกาสเข้าร่วม “ค่ายพัฒนากำลังคน เหมืองห้วยในเขา” ซึ่งจัดขึ้นที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เอง ที่โกมลได้เห็นปัญหาการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ "สร้างโรงเรียนชุมชน" 🏫 โรงเรียนชุมชนที่เหมืองห้วยในเขา อุดมการณ์ที่เป็นภัย 🎯 จุดมุ่งหมายของครูโกมล โรงเรียนที่ครูโกมลตั้งใจสร้าง ไม่ใช่แค่สถานศึกษาแบบทั่วไป แต่เป็นโรงเรียนที่ออกแบบมา ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ✔️ หลักสูตรพิเศษ เน้นวิชาที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ และงานช่าง ✔️ วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม เช่น หนังตะลุง มโนราห์ และนิทานพื้นบ้าน ✔️ ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ไม่ใช่รัฐ แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์จับตามอง ด้วยความสงสัยว่า "แท้จริงแล้ว ครูโกมลทำงานให้ฝ่ายใด?" 🔥 สงครามอุดมการณ์ จุดเริ่มต้นของความหวาดระแวง 🏴 ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ครูโกมลเป็น "แนวร่วมคอมมิวนิสต์" รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเห็นว่า แนวคิดของครูโกมล อาจสนับสนุนอุดมการณ์ ของพรรคคอมมิวนิสต์ โรงเรียนของครูโกมล ไม่ได้ใช้หลักสูตร จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจเป็นศูนย์กลาง ของขบวนการล้มล้างอำนาจรัฐ 🚩 ฝ่ายคอมมิวนิสต์มองว่า "สายลับรัฐบาล" ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กำลังทำสงครามกองโจร กับรัฐบาลไทย การที่ครูโกมล เดินทางไปพบปะชาวบ้าน ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทำให้พคท.เข้าใจว่ากำลังสอดแนม อีกทั้งการที่ครูโกมล ได้รับเงินสนับสนุนจาก "มูลนิธิเอเชีย" ซึ่งเป็นองค์กรต่างชาติ ยิ่งทำให้พคท.เชื่อว่า กำลังทำงานให้รัฐบาลไทย สุดท้าย... ความเข้าใจผิดนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ที่ไม่มีวันย้อนคืน ☠️ โศกนาฏกรรม คืนสังหารที่ไม่มีวันลืม 22 กุมภาพันธ์ 2514 📍 บ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครูโกมล คีมทอง, รัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเสรี ปรีชา หมอเร่ขายยา ถูกกลุ่มกองกำลัง พรรคคอมมิวนิสต จับตัวไป และถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลไทยได้โปรยใบปลิวปฏิเสธว่า "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร" ขณะที่ พคท. ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า "เป็นผู้ลงมือสังหาร เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า ครูโกมลเป็นสายลับรัฐบาลไทย" 🏛️ แม้ว่า "ครูโกมล คีมทอง" จะจากไป แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ ✔️ การเสียสละทำให้เกิด “มูลนิธิโกมล คีมทอง” ในปี พ.ศ. 2514 ✔️ สร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นหลังอุทิศตน เพื่อพัฒนาสังคม ✔️ หลักสูตรการศึกษา ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยังคงเป็นแนวคิด ที่นำมาใช้ในการศึกษายุคใหม่ 🎭 ครูโกมลถูกฆ่าโดยใคร? 👉 ฝ่ายรัฐบาล หรือ พรรคคอมมิวนิสต์? 👉 เป็นเพียงครูธรรมดา หรือมีบทบาทที่ลึกซึ้งกว่านั้น? 👉 ถ้าไม่มีการสังหารในวันนั้น ครูโกมลจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ได้มากแค่ไหน? แม้ข้อเท็จจริง จะได้รับการเปิดเผยไปแล้ว แต่คำถามเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมา จนถึงทุกวันนี้... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221245 ก.พ. 2568 #️⃣ #ครูโกมลคีมทอง #54ปีลอบสังหาร #โกมลคีมทอง #ประวัติศาสตร์ไทย #คอมมิวนิสต์ไทย #การศึกษาชนบท #ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ #มูลนิธิโกมลคีมทอง #ครูผู้เสียสละ #ประวัติศาสตร์ต้องรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 949 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชิญชมฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 75 12/02/68 #งานฟุตบอลประเพณี #จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    เชิญชมฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 75 12/02/68 #งานฟุตบอลประเพณี #จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 792 มุมมอง 37 0 รีวิว
  • ตัดไฟ-น้ำมัน-เน็ต ตัดจบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่? : คนเคาะข่าว 10-02-68
    : รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว
    ตัดไฟ-น้ำมัน-เน็ต ตัดจบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่? : คนเคาะข่าว 10-02-68 : รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • 87 ปี “สนามศุภชลาศัย” ตำนานสนามกีฬาแห่งชาติไทย อนาคตที่ไม่แน่นอน ควรพัฒนา หรือว่า… อนุรักษ์?

    "สนามศุภชลาศัย" หรือที่เรียกกันว่า "สนามกีฬาแห่งชาติ" เป็นสนามกีฬา ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 87 ปี นับตั้งแต่เปิดใช้งานครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2481 สนามแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ และนานาชาติมากมาย ตั้งแต่ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ ฟุตบอลทีมชาติ ไปจนถึงคอนเสิร์ตระดับโลก อย่างเช่นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน ในปี พ.ศ. 2536

    แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อนาคตของสนามศุภชลาศัย ตกอยู่ในความไม่แน่นอน เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องสัญญาเช่าที่ดิ นระหว่างกรมพลศึกษา หรือสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า…

    เราควรพัฒนาสนามศุภฯ ให้ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ในปัจจุบันหรือไม่?
    หรือควรอนุรักษ์ให้เป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ในรูปแบบดั้งเดิม เพื่อคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์? 🏟️

    🔹 จุดกำเนิดสนามกีฬาแห่งชาติ
    ก่อนหน้าที่จะมีสนามศุภชลาศัย การแข่งขันกีฬาของไทย มักจัดขึ้นที่สนามของ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และต่อมา ได้ย้ายไปที่ท้องสนามหลวง

    จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2477 นาวาโทหลวงศุภชลาศัย ร.น. อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก ได้ผลักดันให้มีสนามกีฬากลางประจำชาติ และได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณที่เคยเป็นวังวินด์เซอร์ เพื่อสร้างสนามกรีฑาสถานแห่งชาติ

    🔹 เปลี่ยนชื่อเป็น “สนามศุภชลาศัย”
    - พ.ศ. 2481 สนามกรีฑาสถานแห่งชาติ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ
    - พ.ศ. 2484 กรมพลศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ" เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย

    สนามศุภชลาศัยกลายเป็น ศูนย์กลางของวงการกีฬาประเทศไทย และเป็นสนามกีฬามาตรฐาน แห่งแรกในเอเชีย

    สนามศุภฯ กับการแข่งขันระดับชาติ และนานาชาติ
    สนามศุภชลาศัย ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญ หลายรายการ ได้แก่

    🏆 กีฬาระดับอาเซียน และเอเชีย
    - พ.ศ. 2502 กีฬาแหลมทอง (เซียพเกมส์) ครั้งที่ 1
    - พ.ศ. 2509 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5
    - พ.ศ. 2513 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 6
    - พ.ศ. 2518 กีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 8

    ⚽ การแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ
    ฟุตบอลทีมชาติไทย ใช้สนามศุภฯ เป็นรังเหย้ามานานหลายสิบปี
    พ.ศ. 2536 ใช้จัดการแข่งขัน ฟุตบอลเยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี

    🎤 งานบันเทิงระดับโลก
    สนามศุภชลาศัย ไม่เพียงแต่ใช้แข่งขันกีฬา แต่ยังถูกใช้เป็นสถานที่ จัดคอนเสิร์ตระดับโลก
    - พ.ศ. 2536 คอนเสิร์ตของ ไมเคิล แจ็กสัน
    - พ.ศ. 2555 คอนเสิร์ตของ บิ๊กแบง (BIGBANG)

    ปัญหาสัญญาเช่าที่ดิน และอนาคตที่คลอนแคลน
    💰 ค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้น
    หลังจากสัญญาเช่ายาว หมดลงในปี พ.ศ. 2555 ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ขอปรับค่าเช่าที่จาก 3 ล้านบาทต่อปี เป็น 153 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นภาระหนัก สำหรับกรมพลศึกษา

    📉 ผลกระทบต่อการพัฒนา
    เนื่องจากการเช่าแบบปีต่อปี กรมพลศึกษาไม่สามารถลงทุนปรับปรุงสนามได้ เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน และหากคืนพื้นที่ในอนาคต การลงทุนอาจสูญเปล่า

    ปัจจุบันสนามศุภฯ เก่าและทรุดโทรม พื้นสนามหญ้า ห้องน้ำ ห้องพักนักกีฬา อัฒจันทร์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร

    สนามศุภฯ ควรพัฒนา หรือควรอนุรักษ์?
    🔹 ฝ่ายที่ต้องการพัฒนา
    - ต้องการปรับปรุงสนาม ให้ทันสมัยเทียบเท่า สนามกีฬาในต่างประเทศ
    - เพิ่มขีดความสามารถ ในการจัดการแข่งขันระดับโลก
    - ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    🔹 ฝ่ายที่ต้องการอนุรักษ์
    - สนามศุภฯ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ควรคงไว้ในรูปแบบดั้งเดิม
    - มีศิลปะสถาปัตยกรรม ที่ออกแบบโดย อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น ตราสัญลักษณ์องค์พระพลบดี
    - การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จะทำให้การรื้อสร้างใหม่ เป็นไปได้ยาก

    สนามศุภชลาศัยควรไปทางไหนต่อ?
    ✅ ข้อสรุปสำคัญ
    - หากพัฒนา สนามจะสามารถรองรับการแข่งขันระดับโลก แต่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล
    - หากอนุรักษ์ จะรักษาประวัติศาสตร์ไว้ได้ แต่สนามอาจไม่ได้มาตรฐานสำหรับการแข่งขันในอนาคต
    - ทางออกที่เป็นไปได้ คือ การบูรณะให้สนามมีมาตรฐานสากล ในขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 100958 ก.พ. 2568

    🏷️ #สนามศุภชลาศัย #สนามกีฬาแห่งชาติ #ThailandStadium #กีฬาประเทศไทย #อนาคตสนามศุภ #สนามศุภต้องรอด #ฟุตบอลไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์หรือพัฒนา #SEOGuide
    87 ปี “สนามศุภชลาศัย” ตำนานสนามกีฬาแห่งชาติไทย อนาคตที่ไม่แน่นอน ควรพัฒนา หรือว่า… อนุรักษ์? "สนามศุภชลาศัย" หรือที่เรียกกันว่า "สนามกีฬาแห่งชาติ" เป็นสนามกีฬา ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 87 ปี นับตั้งแต่เปิดใช้งานครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2481 สนามแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ และนานาชาติมากมาย ตั้งแต่ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ ฟุตบอลทีมชาติ ไปจนถึงคอนเสิร์ตระดับโลก อย่างเช่นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน ในปี พ.ศ. 2536 แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อนาคตของสนามศุภชลาศัย ตกอยู่ในความไม่แน่นอน เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องสัญญาเช่าที่ดิ นระหว่างกรมพลศึกษา หรือสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า… เราควรพัฒนาสนามศุภฯ ให้ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ในปัจจุบันหรือไม่? หรือควรอนุรักษ์ให้เป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ในรูปแบบดั้งเดิม เพื่อคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์? 🏟️ 🔹 จุดกำเนิดสนามกีฬาแห่งชาติ ก่อนหน้าที่จะมีสนามศุภชลาศัย การแข่งขันกีฬาของไทย มักจัดขึ้นที่สนามของ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และต่อมา ได้ย้ายไปที่ท้องสนามหลวง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2477 นาวาโทหลวงศุภชลาศัย ร.น. อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก ได้ผลักดันให้มีสนามกีฬากลางประจำชาติ และได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณที่เคยเป็นวังวินด์เซอร์ เพื่อสร้างสนามกรีฑาสถานแห่งชาติ 🔹 เปลี่ยนชื่อเป็น “สนามศุภชลาศัย” - พ.ศ. 2481 สนามกรีฑาสถานแห่งชาติ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ - พ.ศ. 2484 กรมพลศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ" เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย สนามศุภชลาศัยกลายเป็น ศูนย์กลางของวงการกีฬาประเทศไทย และเป็นสนามกีฬามาตรฐาน แห่งแรกในเอเชีย สนามศุภฯ กับการแข่งขันระดับชาติ และนานาชาติ สนามศุภชลาศัย ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญ หลายรายการ ได้แก่ 🏆 กีฬาระดับอาเซียน และเอเชีย - พ.ศ. 2502 กีฬาแหลมทอง (เซียพเกมส์) ครั้งที่ 1 - พ.ศ. 2509 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5 - พ.ศ. 2513 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 6 - พ.ศ. 2518 กีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 8 ⚽ การแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ ฟุตบอลทีมชาติไทย ใช้สนามศุภฯ เป็นรังเหย้ามานานหลายสิบปี พ.ศ. 2536 ใช้จัดการแข่งขัน ฟุตบอลเยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี 🎤 งานบันเทิงระดับโลก สนามศุภชลาศัย ไม่เพียงแต่ใช้แข่งขันกีฬา แต่ยังถูกใช้เป็นสถานที่ จัดคอนเสิร์ตระดับโลก - พ.ศ. 2536 คอนเสิร์ตของ ไมเคิล แจ็กสัน - พ.ศ. 2555 คอนเสิร์ตของ บิ๊กแบง (BIGBANG) ปัญหาสัญญาเช่าที่ดิน และอนาคตที่คลอนแคลน 💰 ค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากสัญญาเช่ายาว หมดลงในปี พ.ศ. 2555 ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ขอปรับค่าเช่าที่จาก 3 ล้านบาทต่อปี เป็น 153 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นภาระหนัก สำหรับกรมพลศึกษา 📉 ผลกระทบต่อการพัฒนา เนื่องจากการเช่าแบบปีต่อปี กรมพลศึกษาไม่สามารถลงทุนปรับปรุงสนามได้ เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน และหากคืนพื้นที่ในอนาคต การลงทุนอาจสูญเปล่า ปัจจุบันสนามศุภฯ เก่าและทรุดโทรม พื้นสนามหญ้า ห้องน้ำ ห้องพักนักกีฬา อัฒจันทร์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร สนามศุภฯ ควรพัฒนา หรือควรอนุรักษ์? 🔹 ฝ่ายที่ต้องการพัฒนา - ต้องการปรับปรุงสนาม ให้ทันสมัยเทียบเท่า สนามกีฬาในต่างประเทศ - เพิ่มขีดความสามารถ ในการจัดการแข่งขันระดับโลก - ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 🔹 ฝ่ายที่ต้องการอนุรักษ์ - สนามศุภฯ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ควรคงไว้ในรูปแบบดั้งเดิม - มีศิลปะสถาปัตยกรรม ที่ออกแบบโดย อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น ตราสัญลักษณ์องค์พระพลบดี - การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จะทำให้การรื้อสร้างใหม่ เป็นไปได้ยาก สนามศุภชลาศัยควรไปทางไหนต่อ? ✅ ข้อสรุปสำคัญ - หากพัฒนา สนามจะสามารถรองรับการแข่งขันระดับโลก แต่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล - หากอนุรักษ์ จะรักษาประวัติศาสตร์ไว้ได้ แต่สนามอาจไม่ได้มาตรฐานสำหรับการแข่งขันในอนาคต - ทางออกที่เป็นไปได้ คือ การบูรณะให้สนามมีมาตรฐานสากล ในขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 100958 ก.พ. 2568 🏷️ #สนามศุภชลาศัย #สนามกีฬาแห่งชาติ #ThailandStadium #กีฬาประเทศไทย #อนาคตสนามศุภ #สนามศุภต้องรอด #ฟุตบอลไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์หรือพัฒนา #SEOGuide
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 725 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 874 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครูวาฬ สอนเปียโน​ กีตาร์​ ​ตามบ้าน และออนไลน์
    สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2555

    สาขาวิชาที่รับสอน :
    1. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Piano สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม
    2. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Guitar สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม
    3. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก Western Music Theory
    4. การฝึกโสตและการอ่านโน้ต Ear Training And Sight-Singing
    5. ลักษณะของจังหวะ ควบคู่กับเครื่องกำกับจังหวะ Rhythm Concept With Metronome

    รูปแบบการสอน และสถานที่รับสอน :
    1. Private Teaching บริเวณที่พักอาศัยของผู้เรียน ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดนนทบุรี
    2. Online Teaching หรือ Learn From Home ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ Web and Video Conferencing Application ต่างๆ เช่น Google Meets, Cisco Webex, Zoom, Line ฯลฯ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย และต่างประเทศ

    วัตถุประสงค์ของการสอน :
    1. ให้ผู้เรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรี ระดับเตรียมอุดมฯ และระดับปริญญาตรี, การสอบตามเกณฑ์ในระดับต่างๆ และการสอบเทียบทางด้านดนตรี
    2. ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ การสังสรรค์ และงานอดิเรก
    3. ให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต
    4. ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และความรู้ ที่เพียงพอในศาสตร์ด้านดนตรี

    * หัวข้อหลักในการเรียน การสอน​ :
    1. เทคนิคพื้นฐาน Basic ต่างๆ ตั้งแต่ท่าทาง, การจัดระเบียบ, รูปลักษณ์, ลักษณะที่ดี และถูกต้อง
    2. วิธีการเล่นดนตรี การซ้อมดนตรีที่ดี มีประสิทธิภาพ ถูกวิธี และเป็นระบบ เช่น ความสบาย, การ Save พลัง และการป้องกันการบาดเจ็บได้ดี
    3. Mindset ระบบความคิด, Attitude ทัศนคติ, การวางแผน Plan, วิธีคิด, ความสัมพันธ์ และการคิดล่วงหน้า
    4. เทคนิคในการอ่านโน้ตดนตรี
    5. การให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียง มิติเสียงที่ควรจะเป็น และทิศทางประโยคของบทเพลง
    6. เทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี การควบคุมเสียง และความต่อเนื่องในการเล่นอย่างมั่นใจ ไม่สะดุดและติดขัด
    7. ความเที่ยงตรงของจังหวะ, ความเร็วของจังหวะ Tempo มีความคงที่ และระดับเสียงที่ถูกต้อง
    8. การเล่นดนตรี ร่วมกับผู้อื่น เพื่อพัฒนาโสตประสาท การรักษาจังหวะ และอารมณ์เพลง ให้มีประสิทธิภาพ
    9. การบริหารการจัดการ และการก้าวข้ามผ่านอุปสรรค
    และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อปูพื้นฐานทักษะเหล่านี้ ให้แข็งแรง แข็งแกร่ง ไปจนถึงสามารถเล่นเพลงได้ทุกเพลงในโลก ที่มีโน้ตเพลงอยู่ข้างหน้าเรา อย่างมีประสิทธิภาพ

    ประสบการณ์การทำงานและการสอน :
    1. เข้าร่วมคณะนักร้องเสียงประสาน Mahidol Symphonic Choir เมื่อปีพ.ศ. 2551 - 2552 ผ่านการแสดงร้องเสียงประสานในบทเพลง
    - Ludwig van Beethoven, "An die Freude" (Ode to Joy) from Symphony No.9, Op.125 "Choral" (1882) และ​ Carl Orff's Carmina Burana​ ร่วมกับวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Philharmonic Orchestra
    - Johannes Brahms's Ein Deutshes Requiem
    - Puccini's Messa di Gloria
    2. ผู้ช่วยคณะกรรมการคุมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมดนตรี และระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เ​​มื่อปีพ.ศ. 2552
    3. รับสอนตามสถาบันสอนดนตรี, โรงเรียนสอนดนตรี, ที่พักอาศัยของผู้เรียน และที่พักอาศัยของครูผู้สอน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึงปัจจุบัน

    ประวัติการฝึกอบรม :
    1. เข้าร่วมอบรมโครงการ "การใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม" วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2553
    2. เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "พัฒนาผู้นำองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MU Leadership Program" รุ่นที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2553
    3. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โควิด19 และระบาดวิทยา" โดยศาสตราจารย์ นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2564
    4. ผ่านการอบรมออนไลน์ "ชีวิตวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล New Normal Life and Digital Quotient" โดยรองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2564
    5. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรทางไซเบอร์" สำหรับบุคคลทั่วไป "หลักสูตรเสริมสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ Build a Strong Security Awareness Program" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และบริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ในปีพ.ศ. 2564
    6. เข้าร่วมอบรมออนไลน์ "Thailand National Cyber Week 2021 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในปีพ.ศ. 2564

    คุณลักษณะ :
    ใจเย็น ใส่ใจในรายละเอียด สามารถปรับแก้ไขเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการฝึกระเบียบวินัยเบื้องต้นต่อตนเองและผู้อื่น ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ทั้งแนวทางการดูแล การจัดการ การปฏิบัติ การป้องกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ให้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด

    คุณสมบัติของผู้เรียน :
    มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น​ อายุ​ 12​ ปี​, วัยมัธยมปลาย, วัยมหาวิทยาลัย, วัยผู้ใหญ่, วัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ​ อายุ​ 60​ ปีขึ้นไป

    สนใจสมัครเรียน :
    ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-483-5190
    ถ้าไม่มีสัญญานตอบรับ หรือไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนั้น สามารถไปที่เว็บไซต์ https://bestkru.com/39158 ได้เช่นกัน และรอการติดต่อกลับ จากครูวาฬได้ ทั้ง 2 ช่องทางครับ

    ขอบคุณครับ
    ครูวาฬ สอนเปียโน​ กีตาร์​ ​ตามบ้าน และออนไลน์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2555 สาขาวิชาที่รับสอน : 1. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Piano สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม 2. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Guitar สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม 3. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก Western Music Theory 4. การฝึกโสตและการอ่านโน้ต Ear Training And Sight-Singing 5. ลักษณะของจังหวะ ควบคู่กับเครื่องกำกับจังหวะ Rhythm Concept With Metronome รูปแบบการสอน และสถานที่รับสอน : 1. Private Teaching บริเวณที่พักอาศัยของผู้เรียน ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดนนทบุรี 2. Online Teaching หรือ Learn From Home ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ Web and Video Conferencing Application ต่างๆ เช่น Google Meets, Cisco Webex, Zoom, Line ฯลฯ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย และต่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการสอน : 1. ให้ผู้เรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรี ระดับเตรียมอุดมฯ และระดับปริญญาตรี, การสอบตามเกณฑ์ในระดับต่างๆ และการสอบเทียบทางด้านดนตรี 2. ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ การสังสรรค์ และงานอดิเรก 3. ให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต 4. ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และความรู้ ที่เพียงพอในศาสตร์ด้านดนตรี * หัวข้อหลักในการเรียน การสอน​ : 1. เทคนิคพื้นฐาน Basic ต่างๆ ตั้งแต่ท่าทาง, การจัดระเบียบ, รูปลักษณ์, ลักษณะที่ดี และถูกต้อง 2. วิธีการเล่นดนตรี การซ้อมดนตรีที่ดี มีประสิทธิภาพ ถูกวิธี และเป็นระบบ เช่น ความสบาย, การ Save พลัง และการป้องกันการบาดเจ็บได้ดี 3. Mindset ระบบความคิด, Attitude ทัศนคติ, การวางแผน Plan, วิธีคิด, ความสัมพันธ์ และการคิดล่วงหน้า 4. เทคนิคในการอ่านโน้ตดนตรี 5. การให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียง มิติเสียงที่ควรจะเป็น และทิศทางประโยคของบทเพลง 6. เทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี การควบคุมเสียง และความต่อเนื่องในการเล่นอย่างมั่นใจ ไม่สะดุดและติดขัด 7. ความเที่ยงตรงของจังหวะ, ความเร็วของจังหวะ Tempo มีความคงที่ และระดับเสียงที่ถูกต้อง 8. การเล่นดนตรี ร่วมกับผู้อื่น เพื่อพัฒนาโสตประสาท การรักษาจังหวะ และอารมณ์เพลง ให้มีประสิทธิภาพ 9. การบริหารการจัดการ และการก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อปูพื้นฐานทักษะเหล่านี้ ให้แข็งแรง แข็งแกร่ง ไปจนถึงสามารถเล่นเพลงได้ทุกเพลงในโลก ที่มีโน้ตเพลงอยู่ข้างหน้าเรา อย่างมีประสิทธิภาพ ประสบการณ์การทำงานและการสอน : 1. เข้าร่วมคณะนักร้องเสียงประสาน Mahidol Symphonic Choir เมื่อปีพ.ศ. 2551 - 2552 ผ่านการแสดงร้องเสียงประสานในบทเพลง - Ludwig van Beethoven, "An die Freude" (Ode to Joy) from Symphony No.9, Op.125 "Choral" (1882) และ​ Carl Orff's Carmina Burana​ ร่วมกับวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Philharmonic Orchestra - Johannes Brahms's Ein Deutshes Requiem - Puccini's Messa di Gloria 2. ผู้ช่วยคณะกรรมการคุมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมดนตรี และระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เ​​มื่อปีพ.ศ. 2552 3. รับสอนตามสถาบันสอนดนตรี, โรงเรียนสอนดนตรี, ที่พักอาศัยของผู้เรียน และที่พักอาศัยของครูผู้สอน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึงปัจจุบัน ประวัติการฝึกอบรม : 1. เข้าร่วมอบรมโครงการ "การใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม" วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2553 2. เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "พัฒนาผู้นำองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MU Leadership Program" รุ่นที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2553 3. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โควิด19 และระบาดวิทยา" โดยศาสตราจารย์ นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2564 4. ผ่านการอบรมออนไลน์ "ชีวิตวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล New Normal Life and Digital Quotient" โดยรองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2564 5. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรทางไซเบอร์" สำหรับบุคคลทั่วไป "หลักสูตรเสริมสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ Build a Strong Security Awareness Program" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และบริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ในปีพ.ศ. 2564 6. เข้าร่วมอบรมออนไลน์ "Thailand National Cyber Week 2021 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในปีพ.ศ. 2564 คุณลักษณะ : ใจเย็น ใส่ใจในรายละเอียด สามารถปรับแก้ไขเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการฝึกระเบียบวินัยเบื้องต้นต่อตนเองและผู้อื่น ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ทั้งแนวทางการดูแล การจัดการ การปฏิบัติ การป้องกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ให้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณสมบัติของผู้เรียน : มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น​ อายุ​ 12​ ปี​, วัยมัธยมปลาย, วัยมหาวิทยาลัย, วัยผู้ใหญ่, วัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ​ อายุ​ 60​ ปีขึ้นไป สนใจสมัครเรียน : ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-483-5190 ถ้าไม่มีสัญญานตอบรับ หรือไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนั้น สามารถไปที่เว็บไซต์ https://bestkru.com/39158 ได้เช่นกัน และรอการติดต่อกลับ จากครูวาฬได้ ทั้ง 2 ช่องทางครับ ขอบคุณครับ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 0 รีวิว
  • 82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย

    ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย

    ความหมายของ “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่
    “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม"
    “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี"

    เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง”

    ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย

    จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย

    หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา

    ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น
    ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น

    “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน
    “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่

    คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ

    การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน
    แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น

    “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า
    “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน
    “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น
    “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน

    อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง

    การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย
    การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น

    ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ
    ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง
    ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น

    นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น
    ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์
    ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า
    ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน

    “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล
    แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น

    - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต
    - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล
    - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย

    การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น

    “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย
    การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน

    “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568

    #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย ความหมายของ “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่ “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม" “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี" เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง” ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่ คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์ ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568 #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 777 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น่าน ร่วมกับศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค และสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ จัดกิจกรรม CHULA NAN RUNNING 2025 "วิ่งเติมฝัน เพื่อวันของน้อง"

    เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 ช่วงเช้า สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น่าน ร่วมกับศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค และสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม CHULA NAN RUNNING 2025 "วิ่งเติมฝัน เพื่อวันของน้อง" โดยมี นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน เป็นประธานในพิธีเปิดฯ ณ ป่า ทำ มา (PATAMMA) ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน

    เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งสนับสนุน "โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในพื้นที่จังหวัดน่าน" และ "โครงการพัฒนากล้องจุลทรรศน์มอบให้แก่โรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่จังหวัดน่าน ของศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ"

    โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก แบ่งเป็นระยะ 5 กม. (Fun Run) และระยะ 10 กม. (Minimarathon) ชาย หญิง รุ่นอายุ 5-19 ปี 20-29 ปี 30-39 ปี 40-49 ปี และ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมีเหรียญรางวัล มอบให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม และถ้วยไม้แกะสลักอัตลักษณ์เรือแข่งน่าน มอบแก่ผู้ชนะในแต่ละรุ่นอีกด้วย

    ท่ามกลางบรรยากาศวิวที่สวยงามของป่าทำมา พร้อมอากาศหนาวเย็น และสายหมอกยามเช้า กิจกรรมภายในงานนอกจากได้ร่วมกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีกิจกรรมป้อนนมลูกแพะ กิจกรรมผลไม้เคลือบช็อกโกแลต บูธตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลน่าน พร้อมบริการอาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ฟรีตลอดงาน รับฟรีภาพถ่ายกับวิวสวย ๆ บรรยากาศ ป่า ทำ มา ตลอดเส้นทางวิ่ง และรับไอศกรีมนมแพะ นมพาสเจอร์ไรซ์ คุกกี้ บัตเตอร์เค้กจากฟาร์มศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ อีกด้วย
    @@@@@@@@@@@@@

    ประสิทธิ์ สองเมืองแก่น จ.น่าน
    สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น่าน ร่วมกับศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค และสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ จัดกิจกรรม CHULA NAN RUNNING 2025 "วิ่งเติมฝัน เพื่อวันของน้อง" เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 ช่วงเช้า สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น่าน ร่วมกับศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค และสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม CHULA NAN RUNNING 2025 "วิ่งเติมฝัน เพื่อวันของน้อง" โดยมี นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน เป็นประธานในพิธีเปิดฯ ณ ป่า ทำ มา (PATAMMA) ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งสนับสนุน "โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในพื้นที่จังหวัดน่าน" และ "โครงการพัฒนากล้องจุลทรรศน์มอบให้แก่โรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่จังหวัดน่าน ของศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ" โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก แบ่งเป็นระยะ 5 กม. (Fun Run) และระยะ 10 กม. (Minimarathon) ชาย หญิง รุ่นอายุ 5-19 ปี 20-29 ปี 30-39 ปี 40-49 ปี และ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมีเหรียญรางวัล มอบให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม และถ้วยไม้แกะสลักอัตลักษณ์เรือแข่งน่าน มอบแก่ผู้ชนะในแต่ละรุ่นอีกด้วย ท่ามกลางบรรยากาศวิวที่สวยงามของป่าทำมา พร้อมอากาศหนาวเย็น และสายหมอกยามเช้า กิจกรรมภายในงานนอกจากได้ร่วมกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีกิจกรรมป้อนนมลูกแพะ กิจกรรมผลไม้เคลือบช็อกโกแลต บูธตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลน่าน พร้อมบริการอาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ฟรีตลอดงาน รับฟรีภาพถ่ายกับวิวสวย ๆ บรรยากาศ ป่า ทำ มา ตลอดเส้นทางวิ่ง และรับไอศกรีมนมแพะ นมพาสเจอร์ไรซ์ คุกกี้ บัตเตอร์เค้กจากฟาร์มศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ อีกด้วย @@@@@@@@@@@@@ ประสิทธิ์ สองเมืองแก่น จ.น่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 ปี สิ้นวีรบุรุษสะพานมัฆวาน “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มือปราบกบฏยังเติร์ก

    ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญ ผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์การเมือง และการทหารของชาติไป นั่นคือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “บิ๊กซัน” วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย และปราบกบฏยังเติร์ก อย่างกล้าหาญ

    พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยตรีพิณ กำลังเอก และนางสาคร กำลังเอก ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยายามในการศึกษา

    การศึกษาของพลเอกอาทิตย์ เริ่มต้นที่โรงเรียนพรหมวิทยามูล ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร

    ด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร จึงได้เข้าศึกษาใน โรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 (ตทบ. 5) ระหว่างปี พ.ศ. 2487–2491 โดยรุ่นเดียวกันนี้ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นสำคัญ อาทิ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกบรรจบ บุนนาค

    วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนาน
    หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์โดดเด่นคือ การประท้วงใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนรวมตัวกัน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส

    ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์มียศเพียงร้อยเอก และเป็นหนึ่งในทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้สั่งห้ามทหาร ทำร้ายประชาชน โดยเด็ดขาด

    การเปิดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ให้ขบวนประท้วง เดินผ่านไปยังทำเนียบรัฐบาล ได้โดยสงบ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ และการใช้เหตุผลเหนือกำลังอาวุธ

    กบฏยังเติร์ก บทบาทผู้นำในช่วงวิกฤต
    อีกเหตุการณ์ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์ ได้รับการยกย่องคือ การเข้าร่วมปราบ กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 เมษายน พ.ศ. 2524

    กลุ่มกบฏซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนายทหารรุ่น “จปร. 7” มีเป้าหมายที่จะยึดอำนาจ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการเคลื่อนกำลังทหารถึง 42 กองพัน ถือว่าเป็นความพยายามรัฐประหาร ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย

    ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มกบฏ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และความไว้วางใจจากพลเอกเปรม

    ผลลัพธ์ของกบฏ
    การก่อกบฏสิ้นสุดลง โดยไม่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกเปรมสามารถจัดการสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มกบฏ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

    บทบาทของพลเอกอาทิตย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และในเวลาต่อมาได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก

    ความสัมพันธ์กับพลเอกเปรม จากมิตรสู่ความขัดแย้ง
    ในช่วงที่พลเอกเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกอาทิตย์ ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับตึงเครียดในช่วงปี พ.ศ. 2527 เมื่อพลเอกอาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

    ความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การที่พลเอกอาทิตย์ ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2529 ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนแรง

    หลังเกษียณ ชีวิตในวงการการเมือง
    หลังจากเกษียณราชการ พลเอกอาทิตย์ได้เข้าสู่การเมือง โดยการก่อตั้ง พรรคปวงชนชาวไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

    อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายชีวิตทางการเมือง กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535)

    การจากไปของ “บิ๊กซัน”
    พลเอกอาทิตย์ป่วยเรื้อรัง จากอาการติดเชื้อในปอด และเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ด้วยวัย 89 ปี

    พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ไทย ในหลายด้าน ทั้งในฐานะนักปกป้องประชาธิปไตย วีรบุรุษสะพานมัฆวาน และผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์การเมือง

    แม้จะมีช่วงเวลา ที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นในหน้าที่ และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังคงทำให้ชื่อของบิ๊กซัน เป็นที่จดจำ

    🎖️ ความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน! 🎖️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190919 ม.ค. 2568

    #บิ๊กซัน #อาทิตย์กำลังเอก #วีรบุรุษสะพานมัฆวาน #กบฏยังเติร์ก #ประวัติศาสตร์ไทย #ผู้นำแห่งชาติ #ไทยในอดีต #การเมืองไทย #กองทัพไทย #10ปีแห่งการจากไป
    10 ปี สิ้นวีรบุรุษสะพานมัฆวาน “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มือปราบกบฏยังเติร์ก ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญ ผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์การเมือง และการทหารของชาติไป นั่นคือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “บิ๊กซัน” วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย และปราบกบฏยังเติร์ก อย่างกล้าหาญ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยตรีพิณ กำลังเอก และนางสาคร กำลังเอก ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยายามในการศึกษา การศึกษาของพลเอกอาทิตย์ เริ่มต้นที่โรงเรียนพรหมวิทยามูล ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร ด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร จึงได้เข้าศึกษาใน โรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 (ตทบ. 5) ระหว่างปี พ.ศ. 2487–2491 โดยรุ่นเดียวกันนี้ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นสำคัญ อาทิ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกบรรจบ บุนนาค วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนาน หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์โดดเด่นคือ การประท้วงใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนรวมตัวกัน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์มียศเพียงร้อยเอก และเป็นหนึ่งในทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้สั่งห้ามทหาร ทำร้ายประชาชน โดยเด็ดขาด การเปิดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ให้ขบวนประท้วง เดินผ่านไปยังทำเนียบรัฐบาล ได้โดยสงบ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ และการใช้เหตุผลเหนือกำลังอาวุธ กบฏยังเติร์ก บทบาทผู้นำในช่วงวิกฤต อีกเหตุการณ์ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์ ได้รับการยกย่องคือ การเข้าร่วมปราบ กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 เมษายน พ.ศ. 2524 กลุ่มกบฏซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนายทหารรุ่น “จปร. 7” มีเป้าหมายที่จะยึดอำนาจ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการเคลื่อนกำลังทหารถึง 42 กองพัน ถือว่าเป็นความพยายามรัฐประหาร ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มกบฏ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และความไว้วางใจจากพลเอกเปรม ผลลัพธ์ของกบฏ การก่อกบฏสิ้นสุดลง โดยไม่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกเปรมสามารถจัดการสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มกบฏ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ บทบาทของพลเอกอาทิตย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และในเวลาต่อมาได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก ความสัมพันธ์กับพลเอกเปรม จากมิตรสู่ความขัดแย้ง ในช่วงที่พลเอกเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกอาทิตย์ ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับตึงเครียดในช่วงปี พ.ศ. 2527 เมื่อพลเอกอาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การที่พลเอกอาทิตย์ ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2529 ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนแรง หลังเกษียณ ชีวิตในวงการการเมือง หลังจากเกษียณราชการ พลเอกอาทิตย์ได้เข้าสู่การเมือง โดยการก่อตั้ง พรรคปวงชนชาวไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายชีวิตทางการเมือง กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535) การจากไปของ “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ป่วยเรื้อรัง จากอาการติดเชื้อในปอด และเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ด้วยวัย 89 ปี พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ไทย ในหลายด้าน ทั้งในฐานะนักปกป้องประชาธิปไตย วีรบุรุษสะพานมัฆวาน และผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์การเมือง แม้จะมีช่วงเวลา ที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นในหน้าที่ และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังคงทำให้ชื่อของบิ๊กซัน เป็นที่จดจำ 🎖️ ความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน! 🎖️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190919 ม.ค. 2568 #บิ๊กซัน #อาทิตย์กำลังเอก #วีรบุรุษสะพานมัฆวาน #กบฏยังเติร์ก #ประวัติศาสตร์ไทย #ผู้นำแห่งชาติ #ไทยในอดีต #การเมืองไทย #กองทัพไทย #10ปีแห่งการจากไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 823 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✴ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมเฝ้าติดตามการเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุของคนไทย โดยเข้าไปที่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หลังจากทบทวนข้อมูลย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา
    สิ่งที่ทำให้ผมข้องใจ และตั้งคำถามมาตลอดคือ เหตุใดคนไทยจึงเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่การระบาดของโควิดลดลง เพราะว่าถ้าเป็นการเสียชีวิตจากการระบาดของโควิด เมื่อการระบาดจบลงการเสียชีวิตย่อมต้องลดลงไปใกล้เคียงกับการเสียชีวิตก่อนการระบาด หรือถ้าจะโทษการปิดบ้านปิดเมืองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
    เมื่อเปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ การเสียชีวิตก็ควรจะต้องลดลงมาใกล้เคียงกับก่อนปิดบ้านปิดเมือง แต่ตัวเลขสถิติที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    🔸️ในปี 2562 (2019) ก่อนการระบาดของเชื้อโควิด (อย่าลืมว่าบ้านเราเริ่มระบาดปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020) คนไทยเสียชีวิตโดยรวมทั้งปี 506,221 ราย ไม่มีเสียชีวิตจากโควิดเลย
    🔸️ในปี 2563 (2020) ปีเริ่มระบาด ปีที่ยังไม่มีวัคซีน คนไทยเสียชีวิตโดยรวม "ลดลง" เหลือ 501,438 ราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 61 ราย
    🔸️ปี 2564 (2021) การระบาดรุนแรง เสียชีวิตจากโควิดรวม 21,637 ราย เป็นปีที่มีการเสียชีวิตจากโควิดมากที่สุด ปีนั้นคนไทยเสียชีวิตโดยรวม 563,650 ราย ปีนี้เป็นปีที่มีการเริ่มต้นฉีดวัคซีน โดยเริ่มจากวันที่ 28 กพ เริ่มฉีด ชิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า วันที่ 25 มิย เริ่มฉีดชิโนฟาร์ม วันที่ 30 กค เริ่มฉีดไฟเซอร์ และวันที่ 9 พย เริ่มฉีดโมเดอร์นา
    🔸️ปี 2565 (2022) ปีนั้น การระบาดเริ่มสงบลง เชื้อกลายพันธุ์ ลดความรุนแรง คนไทยเสียชีวิตจากโควิดลดลงเหลือ 11,073 ราย แต่คนไทยเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 595,965 ราย ทั้งที่การระบาดยุติ เปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ และที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนไปมากมาย
    🔸️ปี 2566 (2023) ปีนี้การระบาดยุติ การเสียชีวิตจากโควิดทั้งปี เหลือ 852 ราย แต่การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกันยังคงสูงถึง 565,992 ราย
    ปีล่าสุดที่พึ่งผ่านมา
    🔸️2567 (2024) โควิดเงียบสงบมาก ทั้งปีเสียชีวิตจากโควิดเพียง 220 ราย แต่การเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุ สูงถึง 571,646 ราย หรือสูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด 65,425 ราย มากกว่า การเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดรวมกันทั้งหมด

    Figure 1จำนวนผู้เสียชีวิตรวมทุกสาเหตุรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567

    ❓คำถามคือ ทำไม คนไทยยังคงเสียชีวิตในอัตราที่สูงอยู่ทั้งที่การระบาดยุติลง และเป็นการเสียชีวิตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันสามปี ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไม่มีปัญหา คลื่นความร้อนเหมือนในไทย ปัจจัยเดียวที่พบร่วมกันคือ มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนโควิด เหมือนกัน และอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นหลังการระดมฉีดเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเหล่านั้น รวมทั้งประเทศไทย ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ไม่มีการนำเสนอข่าวสำคัญนี้ในสื่อกระแสหลัก หรือว่า เรื่องการเสียชีวิตที่ผิดปกตินี้ เป็นอีกเรื่องที่ ขัดกับ narrative ขัดกับความต้องการของบริษัทยา❗ ไม่ต่างจากการปิดบังเรื่องอื่นๆ ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดของเชื้อโควิด จากห้องทดลอง เรื่องยาถูกดีปลอดภัยที่ใช้รักษาโควิดได้ เรื่องภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด
    😰คำถาม คือ คนไทย หมอไทย จะรอดูคนใกล้ชิด ล้มตายก่อนวัยอันควร โดยไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?ปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้ายอมรับและลงมือแก้ไข ย่อมมีทางแก้ปัญหาเสมอ แต่การวิ่งหนีปัญหา ไม่ยอมรับรังแต่จะทำให้ปัญหานั้นทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรู้ตัว อาจจะสายไปแล้ว

    Figure 2 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มการระบาด

    Figure 3 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

    Figure 4 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566

    Figure 5 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

    ไฟล์PDF
    https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drivesdk

    https://www.facebook.com/share/p/15vyAPBgac/
    นิลฉงน นลเฉลย

    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ✴ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมเฝ้าติดตามการเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุของคนไทย โดยเข้าไปที่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หลังจากทบทวนข้อมูลย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้ผมข้องใจ และตั้งคำถามมาตลอดคือ เหตุใดคนไทยจึงเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่การระบาดของโควิดลดลง เพราะว่าถ้าเป็นการเสียชีวิตจากการระบาดของโควิด เมื่อการระบาดจบลงการเสียชีวิตย่อมต้องลดลงไปใกล้เคียงกับการเสียชีวิตก่อนการระบาด หรือถ้าจะโทษการปิดบ้านปิดเมืองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต เมื่อเปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ การเสียชีวิตก็ควรจะต้องลดลงมาใกล้เคียงกับก่อนปิดบ้านปิดเมือง แต่ตัวเลขสถิติที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น 🔸️ในปี 2562 (2019) ก่อนการระบาดของเชื้อโควิด (อย่าลืมว่าบ้านเราเริ่มระบาดปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020) คนไทยเสียชีวิตโดยรวมทั้งปี 506,221 ราย ไม่มีเสียชีวิตจากโควิดเลย 🔸️ในปี 2563 (2020) ปีเริ่มระบาด ปีที่ยังไม่มีวัคซีน คนไทยเสียชีวิตโดยรวม "ลดลง" เหลือ 501,438 ราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 61 ราย 🔸️ปี 2564 (2021) การระบาดรุนแรง เสียชีวิตจากโควิดรวม 21,637 ราย เป็นปีที่มีการเสียชีวิตจากโควิดมากที่สุด ปีนั้นคนไทยเสียชีวิตโดยรวม 563,650 ราย ปีนี้เป็นปีที่มีการเริ่มต้นฉีดวัคซีน โดยเริ่มจากวันที่ 28 กพ เริ่มฉีด ชิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า วันที่ 25 มิย เริ่มฉีดชิโนฟาร์ม วันที่ 30 กค เริ่มฉีดไฟเซอร์ และวันที่ 9 พย เริ่มฉีดโมเดอร์นา 🔸️ปี 2565 (2022) ปีนั้น การระบาดเริ่มสงบลง เชื้อกลายพันธุ์ ลดความรุนแรง คนไทยเสียชีวิตจากโควิดลดลงเหลือ 11,073 ราย แต่คนไทยเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 595,965 ราย ทั้งที่การระบาดยุติ เปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ และที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนไปมากมาย 🔸️ปี 2566 (2023) ปีนี้การระบาดยุติ การเสียชีวิตจากโควิดทั้งปี เหลือ 852 ราย แต่การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกันยังคงสูงถึง 565,992 ราย ปีล่าสุดที่พึ่งผ่านมา 🔸️2567 (2024) โควิดเงียบสงบมาก ทั้งปีเสียชีวิตจากโควิดเพียง 220 ราย แต่การเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุ สูงถึง 571,646 ราย หรือสูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด 65,425 ราย มากกว่า การเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดรวมกันทั้งหมด Figure 1จำนวนผู้เสียชีวิตรวมทุกสาเหตุรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567 ❓คำถามคือ ทำไม คนไทยยังคงเสียชีวิตในอัตราที่สูงอยู่ทั้งที่การระบาดยุติลง และเป็นการเสียชีวิตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันสามปี ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไม่มีปัญหา คลื่นความร้อนเหมือนในไทย ปัจจัยเดียวที่พบร่วมกันคือ มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนโควิด เหมือนกัน และอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นหลังการระดมฉีดเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเหล่านั้น รวมทั้งประเทศไทย ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ไม่มีการนำเสนอข่าวสำคัญนี้ในสื่อกระแสหลัก หรือว่า เรื่องการเสียชีวิตที่ผิดปกตินี้ เป็นอีกเรื่องที่ ขัดกับ narrative ขัดกับความต้องการของบริษัทยา❗ ไม่ต่างจากการปิดบังเรื่องอื่นๆ ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดของเชื้อโควิด จากห้องทดลอง เรื่องยาถูกดีปลอดภัยที่ใช้รักษาโควิดได้ เรื่องภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด 😰คำถาม คือ คนไทย หมอไทย จะรอดูคนใกล้ชิด ล้มตายก่อนวัยอันควร โดยไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?ปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้ายอมรับและลงมือแก้ไข ย่อมมีทางแก้ปัญหาเสมอ แต่การวิ่งหนีปัญหา ไม่ยอมรับรังแต่จะทำให้ปัญหานั้นทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรู้ตัว อาจจะสายไปแล้ว Figure 2 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มการระบาด Figure 3 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 Figure 4 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 Figure 5 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ไฟล์PDF https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drivesdk https://www.facebook.com/share/p/15vyAPBgac/ นิลฉงน นลเฉลย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 603 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘อ.ต่อตระกูล ยมนาค’ ประกาศเลิกดูรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย’ หลัง ‘หมาแก่’ บอกเสียดาย ‘กิตติรัตน์’ ไม่ได้เป็น ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ

    รองศาสตราจารย์ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... “หมาแก่” ช่อง อสมท. ( MCOT 30 ) ออกมาประกาศ ช่วยสนับสนุน กิตติรัตน์ เป็นประธานแบงก์ชาติ โดยเอ่ยคำว่า “เสียดาย กิตติรัตน์” (ถ้าไม่ได้เป็น ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ )
    ‘อ.ต่อตระกูล ยมนาค’ ประกาศเลิกดูรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย’ หลัง ‘หมาแก่’ บอกเสียดาย ‘กิตติรัตน์’ ไม่ได้เป็น ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ รองศาสตราจารย์ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... “หมาแก่” ช่อง อสมท. ( MCOT 30 ) ออกมาประกาศ ช่วยสนับสนุน กิตติรัตน์ เป็นประธานแบงก์ชาติ โดยเอ่ยคำว่า “เสียดาย กิตติรัตน์” (ถ้าไม่ได้เป็น ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ )
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง

    13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

    กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

    ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

    ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี

    เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

    แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ

    ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง

    ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ

    ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ

    โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette

    #Thaitimes
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง 13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" ฟ้อง"ณัฐพล-ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ ชี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
    ศาลแพ่งยกฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนาฟ้องณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1438 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพยนตร์ 2475 จากหนังสู่การ์ตูน

    แม้ว่าภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จะมียอดผู้ชมกว่า 1.2 ล้านครั้ง หลังเผยแพร่ในยูทูบเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567 แต่ความตั้งใจที่ต้องการทำให้ผลงานสมบูรณ์แบบมากขึ้น นำมาซึ่งหนังสือการ์ตูนหนา 488 หน้า ปกแข็ง พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม โดยได้จัดงานเปิดตัวที่คลิคเอ็กซ์ สามย่าน ศูนย์การค้าแอมพาร์ค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา

    ซัง วิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวถึงที่มาของหนังสือการ์ตูนว่า ต้องการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่มีในภาพยนตร์ ด้วยข้อจำกัดที่หลายฉากไม่ได้ใส่เข้าไป หรือหาทางแก้ไขยาก อีกทั้งเห็นว่าหนังสืออยู่ได้นับร้อยปีในห้องสมุดโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ แม้จะมีผู้ชมภาพยนตร์จำนวนมาก แต่รายได้จากยูทูบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท จึงเป็นอีกทางเลือกที่จะเป็นรายได้ให้ผู้สร้างภาพยนตร์และทีมงาน

    "ระหว่างทำแอนิเมชัน เราเคยคิดเรื่องการดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน แต่ภาพยังไม่ค่อยชัดมาก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเอาแอนิเมชันให้จบก่อน พอจบแล้วเสียงตอบรับดี เนื้อหาของเรื่องมันได้ บทที่ใส่ไปในเรื่องมันพร้อมที่จะทำ คิดว่าถ้ามันประสบผลสำเร็จ ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเป็นรายได้ให้กับพวกเราด้วย แต่ผมก็ไม่อยากที่จะให้หนังสือมันแพงมาก ผมต้องการให้หนังสือมีคุณค่า ผมจึงทำเป็นปกแข็งและทำสี่สีทั้งเล่ม"

    หนังสือการ์ตูนดังกล่าวใช้เวลาจัดทำ 4 เดือน ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับการวาดการ์ตูนใหม่ทั้งหมด ฉากไหนไม่สมบูรณ์ก็นำมาวาดเพิ่ม โดยได้ เก่ง สุทธิ บุญมนัส วาดการ์ตูนและวางโครงเรื่องแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัยโดยเฉพาะเด็ก เป็นอีกสื่อการสอนแก่ครูสอนวิชาประวัติศาตร์และสังคมศึกษา ที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต

    สิ่งที่ซัง วิวัธน์ภูมิใจมากที่สุด คือ เด็กอ่านแล้วรู้เรื่อง อ่านแล้วสนุก มีผู้ปกครองรายหนึ่งส่งรูปมาให้ดูว่าลูกชาย ป.5 นั่งอ่านการ์ตูนโดยที่วางไม่ลง รู้สึกหายเหนื่อยในสิ่งที่ทำมาได้ประโยชน์จริง ซึ่งความตั้งใจก็คือทำให้ผลงานมีประโยชน์กับสังคม สามารถคลี่คลายความขัดแย้ง ตั้งใจว่ายังมีหลายเรื่องที่เด็กๆ ควรรู้ว่าบูรพกษัตริย์ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างไร ทำไมประเทศไทยต้องมีสถาบันฯ ถ้าเด็กๆ รู้รากที่มาที่ไป จะเป็นคนที่รากแข็งแรงและหยัดยืนเติบโตได้

    สำหรับหนังสือการ์ตูน 2475 Dawn of Revolution ราคาเล่มละ 555 บาท สั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊ก 2475 Dawn of Revolution

    #Newskit #2475animation #24มิถุนา
    ภาพยนตร์ 2475 จากหนังสู่การ์ตูน แม้ว่าภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จะมียอดผู้ชมกว่า 1.2 ล้านครั้ง หลังเผยแพร่ในยูทูบเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567 แต่ความตั้งใจที่ต้องการทำให้ผลงานสมบูรณ์แบบมากขึ้น นำมาซึ่งหนังสือการ์ตูนหนา 488 หน้า ปกแข็ง พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม โดยได้จัดงานเปิดตัวที่คลิคเอ็กซ์ สามย่าน ศูนย์การค้าแอมพาร์ค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซัง วิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวถึงที่มาของหนังสือการ์ตูนว่า ต้องการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่มีในภาพยนตร์ ด้วยข้อจำกัดที่หลายฉากไม่ได้ใส่เข้าไป หรือหาทางแก้ไขยาก อีกทั้งเห็นว่าหนังสืออยู่ได้นับร้อยปีในห้องสมุดโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ แม้จะมีผู้ชมภาพยนตร์จำนวนมาก แต่รายได้จากยูทูบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท จึงเป็นอีกทางเลือกที่จะเป็นรายได้ให้ผู้สร้างภาพยนตร์และทีมงาน "ระหว่างทำแอนิเมชัน เราเคยคิดเรื่องการดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน แต่ภาพยังไม่ค่อยชัดมาก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเอาแอนิเมชันให้จบก่อน พอจบแล้วเสียงตอบรับดี เนื้อหาของเรื่องมันได้ บทที่ใส่ไปในเรื่องมันพร้อมที่จะทำ คิดว่าถ้ามันประสบผลสำเร็จ ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเป็นรายได้ให้กับพวกเราด้วย แต่ผมก็ไม่อยากที่จะให้หนังสือมันแพงมาก ผมต้องการให้หนังสือมีคุณค่า ผมจึงทำเป็นปกแข็งและทำสี่สีทั้งเล่ม" หนังสือการ์ตูนดังกล่าวใช้เวลาจัดทำ 4 เดือน ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับการวาดการ์ตูนใหม่ทั้งหมด ฉากไหนไม่สมบูรณ์ก็นำมาวาดเพิ่ม โดยได้ เก่ง สุทธิ บุญมนัส วาดการ์ตูนและวางโครงเรื่องแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัยโดยเฉพาะเด็ก เป็นอีกสื่อการสอนแก่ครูสอนวิชาประวัติศาตร์และสังคมศึกษา ที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต สิ่งที่ซัง วิวัธน์ภูมิใจมากที่สุด คือ เด็กอ่านแล้วรู้เรื่อง อ่านแล้วสนุก มีผู้ปกครองรายหนึ่งส่งรูปมาให้ดูว่าลูกชาย ป.5 นั่งอ่านการ์ตูนโดยที่วางไม่ลง รู้สึกหายเหนื่อยในสิ่งที่ทำมาได้ประโยชน์จริง ซึ่งความตั้งใจก็คือทำให้ผลงานมีประโยชน์กับสังคม สามารถคลี่คลายความขัดแย้ง ตั้งใจว่ายังมีหลายเรื่องที่เด็กๆ ควรรู้ว่าบูรพกษัตริย์ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างไร ทำไมประเทศไทยต้องมีสถาบันฯ ถ้าเด็กๆ รู้รากที่มาที่ไป จะเป็นคนที่รากแข็งแรงและหยัดยืนเติบโตได้ สำหรับหนังสือการ์ตูน 2475 Dawn of Revolution ราคาเล่มละ 555 บาท สั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊ก 2475 Dawn of Revolution #Newskit #2475animation #24มิถุนา
    Like
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1090 มุมมอง 0 รีวิว
  • 8 พฤศจิกายน 2567- รายงานประชาติธุรกิจ ระบุว่า “ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” นักรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความวิชาการถึง การอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ข้อสังเกตทางรัฐศาสตร์ รวมทั้งหมด 32 ข้อ

    https://www.prachachat.net/politics/news-1691393

    #Thaitimes
    8 พฤศจิกายน 2567- รายงานประชาติธุรกิจ ระบุว่า “ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” นักรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความวิชาการถึง การอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ข้อสังเกตทางรัฐศาสตร์ รวมทั้งหมด 32 ข้อ https://www.prachachat.net/politics/news-1691393 #Thaitimes
    WWW.PRACHACHAT.NET
    สุรชาติ : เจรจาพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ไม่มี The Winner Take All
    พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา กลายเป็นประเด็นร้อนแรงทางการเมือง พรรคพลังประชารัฐเดินหน้าภายใต้การสั่งการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 766 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ้น สมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต-อดีตสปช. อายุ 86 ปี 

    เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานว่า นายสมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปช.) เสียชีวิต เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 สิริอายุ 86 ปี

    สำหรับ นายสมชัย เป็นน้องชายของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2481 สำเร็จการศึกษา เศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุรุศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, Master of Philosophy The University of Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Doctor of Philosophy The University of Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา

    นายสมชัย เคยดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง นักเศรษฐศาสตร์ประจำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อีกทั้งยัง ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการองค์กร และบริษัทชั้นนำอีกหลายแห่ง

    ที่มา https://www.matichon.co.th/politics/news_4885914

    #Thaitimes
    สิ้น สมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต-อดีตสปช. อายุ 86 ปี  เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานว่า นายสมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปช.) เสียชีวิต เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 สิริอายุ 86 ปี สำหรับ นายสมชัย เป็นน้องชายของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2481 สำเร็จการศึกษา เศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุรุศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, Master of Philosophy The University of Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Doctor of Philosophy The University of Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา นายสมชัย เคยดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง นักเศรษฐศาสตร์ประจำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อีกทั้งยัง ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการองค์กร และบริษัทชั้นนำอีกหลายแห่ง ที่มา https://www.matichon.co.th/politics/news_4885914 #Thaitimes
    WWW.MATICHON.CO.TH
    สิ้น สมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต อายุ 86 ปี
    สิ้น สมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต อายุ 86 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถาม chatGPT Search ให้สรุปเกี่ยวกับเราเอง นี่คือผลที่ได้ครับ

    วศิน ภิรมย์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2523 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ระดับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในปี พ.ศ. 2545 และปริญญาโทวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2548 (MGR Online)

    ในด้านอาชีพ วศินเริ่มต้นด้วยการก่อตั้งบริษัท ไอยรา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (ปัจจุบันคือ บริษัท อีเลิร์นนิ่ง กูรู จำกัด) ในปี พ.ศ. 2546 นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมีความเชี่ยวชาญด้าน E-Learning และเทคโนโลยีมีเดีย (MGR Online)

    ในปี พ.ศ. 2556 วศินได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะผู้สมัครอิสระ หมายเลข 13 โดยมีนโยบายที่เน้นการพัฒนากรุงเทพฯ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (MGR Online)

    ปัจจุบัน วศินดำรงตำแหน่งหัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศ ที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมีบทบาทในการจัดกิจกรรมบริการวิชาการสัญจร เช่น การอบรมการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์สมัยใหม่ให้กับโรงเรียนวัดปริยัติธรรม วัดธรรมมงคล (ปทุมธานีอินเทอร์เน็ตเทคโนโลยี)

    นอกจากนี้ วศินยังเคยปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ “ไปไหนไปกัน” เมื่ออายุ 27 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความสามารถของเขาในด้านต่างๆ (YouTube)

    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวศิน ภิรมย์ สามารถรับชมวิดีโอด้านล่างนี้:

    วศิน ภิรมย์ ออกรายการไปไหนไปกัน ตอนอายุ 27 ปี
    ถาม chatGPT Search ให้สรุปเกี่ยวกับเราเอง นี่คือผลที่ได้ครับ วศิน ภิรมย์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2523 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ระดับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในปี พ.ศ. 2545 และปริญญาโทวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2548 (MGR Online) ในด้านอาชีพ วศินเริ่มต้นด้วยการก่อตั้งบริษัท ไอยรา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (ปัจจุบันคือ บริษัท อีเลิร์นนิ่ง กูรู จำกัด) ในปี พ.ศ. 2546 นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมีความเชี่ยวชาญด้าน E-Learning และเทคโนโลยีมีเดีย (MGR Online) ในปี พ.ศ. 2556 วศินได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะผู้สมัครอิสระ หมายเลข 13 โดยมีนโยบายที่เน้นการพัฒนากรุงเทพฯ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (MGR Online) ปัจจุบัน วศินดำรงตำแหน่งหัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศ ที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมีบทบาทในการจัดกิจกรรมบริการวิชาการสัญจร เช่น การอบรมการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์สมัยใหม่ให้กับโรงเรียนวัดปริยัติธรรม วัดธรรมมงคล (ปทุมธานีอินเทอร์เน็ตเทคโนโลยี) นอกจากนี้ วศินยังเคยปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ “ไปไหนไปกัน” เมื่ออายุ 27 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความสามารถของเขาในด้านต่างๆ (YouTube) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวศิน ภิรมย์ สามารถรับชมวิดีโอด้านล่างนี้: วศิน ภิรมย์ ออกรายการไปไหนไปกัน ตอนอายุ 27 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 597 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระราม 4 หอมกลิ่นความเจริญ

    การเปิดตัวโครงการวันแบงค็อก (One Bangkok) อสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ย่านถนนพระรามที่ 4 ในวันที่ 25 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ นับเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 108 ไร่ ส่วนหนึ่งชนะประมูลที่ดินระยะยาวจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 30 ปี และต่อสัญญาอีก 30 ปี พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้แก่ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

    วันแบงค็อก ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีกกว่า 190,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพาเหรด โซนเดอะสตอรี่ส์ และโซนโพสต์ไนน์ทีนทเวนตี้เอท มีแมกเนตหลักได้แก่ King Power City Boutique กับ Mitsukoshi ของกลุ่มอิเซตันมิตซูโคชิ อาคารสำนักงานหนึ่งในนั้นคือซิกเนเจอร์ ทาวเวอร์ สูง 65 ชั้น 436.1 เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะครองแชมป์สูงที่สุดในไทย อีกด้านกำลังจะมีโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แบงค็อก โรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก และเฟรเซอร์ สวีทส์ เซอร์วิสอพาร์มเมนท์

    หากสำรวจตลอดแนวถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่สถานีรถไฟหัวลำโพง ถึงพระโขนง พบว่ามีหลายโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มสิริวัฒนภักดี อาทิ สามย่านมิตรทาวน์ มิกซ์ยูส 3 อาคาร บนที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 ไร่ เปิดตัวเมื่อปี 2562 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้, สีลมเอจ (SILOM EDGE) อาคารสูง 24 ชั้น บริเวณแยกศาลาแดง เปิดตัวเมื่อปี 2566 พัฒนาโดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

    ส่วนบริเวณแยกพระรามที่ 4 ประกอบด้วย เดอะปาร์ค (THE PARQ) อาคารสำนักงานสูง 16 ชั้น เปิดตัวเมื่อปี 2563 พัฒนาโดย เกษมทรัพย์สิริ, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ปิดปรับปรุงเมื่อปี 2562 ก่อนเปิดตัวเมื่อปี 2565 ด้วยพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร พัฒนาโดย เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์, อาคารไทยเบฟควอเตอร์ (Thaibev Quarter) สูง 18 ชั้น อดีตอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ แล้วเสร็จเมื่อปี 2562, เอฟวายไอเซ็นเตอร์ (FYI Center) อาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร เปิดตัวเมื่อปี 2560 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้

    ไม่นับรวมห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 อดีตห้างคาร์ฟูร์ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2543 แข่งกับห้างโลตัส พระราม 4 ปัจจุบันเป็นของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ธุรกิจค้าปลีกของตระกูลสิริวัฒนภักดี และเมื่อเข้าไปในซอยโรงพยาบาล 1 บริเวณโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แล้วไปออกซอยรูเบีย ก็ยังมีอาคารบีเจซี เฮ้าส์ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี อีกด้วย

    #Newskit #OneBangkok #พระราม4
    พระราม 4 หอมกลิ่นความเจริญ การเปิดตัวโครงการวันแบงค็อก (One Bangkok) อสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ย่านถนนพระรามที่ 4 ในวันที่ 25 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ นับเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 108 ไร่ ส่วนหนึ่งชนะประมูลที่ดินระยะยาวจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 30 ปี และต่อสัญญาอีก 30 ปี พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้แก่ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ วันแบงค็อก ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีกกว่า 190,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพาเหรด โซนเดอะสตอรี่ส์ และโซนโพสต์ไนน์ทีนทเวนตี้เอท มีแมกเนตหลักได้แก่ King Power City Boutique กับ Mitsukoshi ของกลุ่มอิเซตันมิตซูโคชิ อาคารสำนักงานหนึ่งในนั้นคือซิกเนเจอร์ ทาวเวอร์ สูง 65 ชั้น 436.1 เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะครองแชมป์สูงที่สุดในไทย อีกด้านกำลังจะมีโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แบงค็อก โรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก และเฟรเซอร์ สวีทส์ เซอร์วิสอพาร์มเมนท์ หากสำรวจตลอดแนวถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่สถานีรถไฟหัวลำโพง ถึงพระโขนง พบว่ามีหลายโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มสิริวัฒนภักดี อาทิ สามย่านมิตรทาวน์ มิกซ์ยูส 3 อาคาร บนที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 ไร่ เปิดตัวเมื่อปี 2562 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้, สีลมเอจ (SILOM EDGE) อาคารสูง 24 ชั้น บริเวณแยกศาลาแดง เปิดตัวเมื่อปี 2566 พัฒนาโดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ส่วนบริเวณแยกพระรามที่ 4 ประกอบด้วย เดอะปาร์ค (THE PARQ) อาคารสำนักงานสูง 16 ชั้น เปิดตัวเมื่อปี 2563 พัฒนาโดย เกษมทรัพย์สิริ, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ปิดปรับปรุงเมื่อปี 2562 ก่อนเปิดตัวเมื่อปี 2565 ด้วยพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร พัฒนาโดย เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์, อาคารไทยเบฟควอเตอร์ (Thaibev Quarter) สูง 18 ชั้น อดีตอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ แล้วเสร็จเมื่อปี 2562, เอฟวายไอเซ็นเตอร์ (FYI Center) อาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร เปิดตัวเมื่อปี 2560 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ไม่นับรวมห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 อดีตห้างคาร์ฟูร์ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2543 แข่งกับห้างโลตัส พระราม 4 ปัจจุบันเป็นของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ธุรกิจค้าปลีกของตระกูลสิริวัฒนภักดี และเมื่อเข้าไปในซอยโรงพยาบาล 1 บริเวณโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แล้วไปออกซอยรูเบีย ก็ยังมีอาคารบีเจซี เฮ้าส์ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี อีกด้วย #Newskit #OneBangkok #พระราม4
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 766 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มอบอุปกรณ์ทางการศึกษาและฟื้นฟูให้กับโรงเรียนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดน่าน ภายใต้โครงการ “ฟื้นฟูชุมชน บรรเทาทุกข์ บำรุงสุขให้ยั่งยืน”

    https://www.facebook.com/share/K7RGDJq7wtmxKyCg
    มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มอบอุปกรณ์ทางการศึกษาและฟื้นฟูให้กับโรงเรียนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดน่าน ภายใต้โครงการ “ฟื้นฟูชุมชน บรรเทาทุกข์ บำรุงสุขให้ยั่งยืน” https://www.facebook.com/share/K7RGDJq7wtmxKyCg
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨 Update แจ้งพิกัดจุดนัดพบ ‼️

    🛳 สำหรับท่านที่จองล่องเรือ Costa Serena เส้นทาง แหลมฉบัง
    ✅ วันที่ 15 -19 ก.พ. 68
    ✅ วันที่ 19 - 22 ก.พ. 68
    ✅ วันที่ 22 -27 ก.พ. 68

    ➡️ Location : ลานจอดรถ สวนหลวง สแควร์ บนถนนบรรทัดทอง เขตปทุมวัน ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอุทยาน 100 ปีจุฬา ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าและตรงกลางของโครงการ ทำให้สะดวกต่อการพบปะและจอดรถ และยังอยู่ใกล้กับโซนร้านอาหารและคาเฟ่หลายแห่งบริเวณลานจอดรถอีกด้วย 🍙🍷

    รายละเอียดต่างๆของเรือสำราญ Costa Serena
    https://www.cruisedomain.com/costa-serena-9th.php

    ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696 (Auto)

    #CostaSerena #Costa #แหลมฉบัง #LaemChabang #เรือสำราญออกจากไทย #Vietnam #CruiseDomain #News #ข่าว #ล่องเรือสำราญ #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🚨 Update แจ้งพิกัดจุดนัดพบ ‼️ 🛳 สำหรับท่านที่จองล่องเรือ Costa Serena เส้นทาง แหลมฉบัง ✅ วันที่ 15 -19 ก.พ. 68 ✅ วันที่ 19 - 22 ก.พ. 68 ✅ วันที่ 22 -27 ก.พ. 68 ➡️ Location : ลานจอดรถ สวนหลวง สแควร์ บนถนนบรรทัดทอง เขตปทุมวัน ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอุทยาน 100 ปีจุฬา ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าและตรงกลางของโครงการ ทำให้สะดวกต่อการพบปะและจอดรถ และยังอยู่ใกล้กับโซนร้านอาหารและคาเฟ่หลายแห่งบริเวณลานจอดรถอีกด้วย 🍙🍷 รายละเอียดต่างๆของเรือสำราญ Costa Serena https://www.cruisedomain.com/costa-serena-9th.php ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #CostaSerena #Costa #แหลมฉบัง #LaemChabang #เรือสำราญออกจากไทย #Vietnam #CruiseDomain #News #ข่าว #ล่องเรือสำราญ #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2126 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2567 ซึ่งจะมีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 นี้ สถาบันไทยศึกษา ร่วมกับคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันสุนทรภู่ ดำริจัดโครงการประชุมวิชาการ “พระเสด็จโดยแดนชล” วัฒนธรรมเห่เรือในวรรณคดีและศิลปกรรมไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโอกาสมหามงคล และเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเห่เรือที่มีความสำคัญต่อวรรณคดีและศิลปกรรมของไทย

    คณะผู้จัดงานขอเรียนเชิญร่วมการประชุมวิชาการและพิธีมอบรางวัลการประกวดบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่ ระดับมัธยมศึกษา ในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เวลา 8.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 15 อาคารบรมราชกุมารี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ลงทะเบียนทาง https://forms.gle/UKMzgSJzomVUhZCn7

    --------

    กำหนดการ

    08.30 - 09.00
    ลงทะเบียน

    09.00 - 09.15
    พิธีการ

    09.15 - 09.30
    อาเศียรวาทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    09.30 - 10.10
    กาพย์เห่เฉลิมพระเกียรติ
    ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต
    - ราชบัณฑิต สาขาวิชาวรรณกรรมร้อยกรอง ประเภทวิชาวรรณศิลป์ สำนักศิลปกรรม

    10.10 - 10.50
    “พระเสด็จโดยแดนชล” วัฒนธรรมเห่เรือในศิลปกรรมไทย
    ดร.ไพโรจน์ ทองคำสุก
    - ราชบัณฑิต สาขาวิชานาฏกรรมไทย ประเภทวิชาวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม

    10.50 - 11.10
    พักการประชุม

    11.10 – 11.30
    การแสดงเห่เรือ ผลงานผู้ชนะเลิศประกวดบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่ ระดับมัธยมศึกษา

    11.30 - 12.00
    พิธีมอบรางวัลการประกวดบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่ ระดับมัธยมศึกษา

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/o2aBwLn4SrE69GYz/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2567 ซึ่งจะมีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 นี้ สถาบันไทยศึกษา ร่วมกับคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันสุนทรภู่ ดำริจัดโครงการประชุมวิชาการ “พระเสด็จโดยแดนชล” วัฒนธรรมเห่เรือในวรรณคดีและศิลปกรรมไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโอกาสมหามงคล และเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเห่เรือที่มีความสำคัญต่อวรรณคดีและศิลปกรรมของไทย คณะผู้จัดงานขอเรียนเชิญร่วมการประชุมวิชาการและพิธีมอบรางวัลการประกวดบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่ ระดับมัธยมศึกษา ในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เวลา 8.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 15 อาคารบรมราชกุมารี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงทะเบียนทาง https://forms.gle/UKMzgSJzomVUhZCn7 -------- กำหนดการ 08.30 - 09.00 ลงทะเบียน 09.00 - 09.15 พิธีการ 09.15 - 09.30 อาเศียรวาทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 09.30 - 10.10 กาพย์เห่เฉลิมพระเกียรติ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต - ราชบัณฑิต สาขาวิชาวรรณกรรมร้อยกรอง ประเภทวิชาวรรณศิลป์ สำนักศิลปกรรม 10.10 - 10.50 “พระเสด็จโดยแดนชล” วัฒนธรรมเห่เรือในศิลปกรรมไทย ดร.ไพโรจน์ ทองคำสุก - ราชบัณฑิต สาขาวิชานาฏกรรมไทย ประเภทวิชาวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม 10.50 - 11.10 พักการประชุม 11.10 – 11.30 การแสดงเห่เรือ ผลงานผู้ชนะเลิศประกวดบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่ ระดับมัธยมศึกษา 11.30 - 12.00 พิธีมอบรางวัลการประกวดบทร้อยกรองประเภทกาพย์เห่ ระดับมัธยมศึกษา ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/o2aBwLn4SrE69GYz/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Love
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพบกันครั้งแรก คุณหมอ 3 ท่านผู้ตื่นรู้คู่จริยธรรม
    และ 1 นักวิชาการอิสระกับงาน

    🔥ฟังคุณหมอเล่านิทาน (เรื่องที่เล่าบนสื่อทั่วไปไม่ได้) ep1🔥
    วัคซีนทำให้ป่วยเป็นอะไร?
    แก้ไขได้อย่างไร?

    ⭐️พบกันวันที่ 24 พฤศจิกายน โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30)

    ที่นั่งจำกัดเพียง 120 ที่นั่ง
    ราคา 2,222 บาท

    60 ท่านแรกได้ราคาพิเศษเพียง 1,666 บาท

    สนใจซื้อบัตรร่วมงานกดลิ้งค์ 👇
    https://www.thaipithaksith.com/awakening-ep-1

    ดำเนินรายการโดย
    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    และคุณอดิเทพ จาวลาห์ (ซันนี่) นักวิชาการอิสระ

    https://vt.tiktok.com/ZS2bmsJbR/

    https://vt.tiktok.com/ZS2budhA2/

    รายชื่อ Guest speaker
    ศ.นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ และสาขาระบบสมอง และระบบภูมิคุ้มกันและติดเชื้อของสมอง
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://vt.tiktok.com/ZS2budstF/

    ดร.นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิคุ้มกันผิวหนัง

    https://mgronline.com/qol/detail/9670000050851

    ⭐️สถานที่โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30)
    https://maps.app.goo.gl/7SFH7CRL1xkR9XPZ7?g_st=il

    ⭐️เว๊บไซด์ “คนไทยพิทักษ์สิทธิ์”
    www.thaipithaksith.com

    ⭐️กดติดตาม twitter หรือ x ของคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ในช่อง platform นี้ขอสักประมาณ 500 ติดตาม ขอบคุณครับ
    https://x.com/Thaipithaksith?t=Tq54plOEwFL_-4ysGa3kSA&s=09
    การพบกันครั้งแรก คุณหมอ 3 ท่านผู้ตื่นรู้คู่จริยธรรม และ 1 นักวิชาการอิสระกับงาน 🔥ฟังคุณหมอเล่านิทาน (เรื่องที่เล่าบนสื่อทั่วไปไม่ได้) ep1🔥 วัคซีนทำให้ป่วยเป็นอะไร? แก้ไขได้อย่างไร? ⭐️พบกันวันที่ 24 พฤศจิกายน โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30) ที่นั่งจำกัดเพียง 120 ที่นั่ง ราคา 2,222 บาท 60 ท่านแรกได้ราคาพิเศษเพียง 1,666 บาท สนใจซื้อบัตรร่วมงานกดลิ้งค์ 👇 https://www.thaipithaksith.com/awakening-ep-1 ดำเนินรายการโดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณอดิเทพ จาวลาห์ (ซันนี่) นักวิชาการอิสระ https://vt.tiktok.com/ZS2bmsJbR/ https://vt.tiktok.com/ZS2budhA2/ รายชื่อ Guest speaker ศ.นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ และสาขาระบบสมอง และระบบภูมิคุ้มกันและติดเชื้อของสมอง ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://vt.tiktok.com/ZS2budstF/ ดร.นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิคุ้มกันผิวหนัง https://mgronline.com/qol/detail/9670000050851 ⭐️สถานที่โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30) https://maps.app.goo.gl/7SFH7CRL1xkR9XPZ7?g_st=il ⭐️เว๊บไซด์ “คนไทยพิทักษ์สิทธิ์” www.thaipithaksith.com ⭐️กดติดตาม twitter หรือ x ของคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ในช่อง platform นี้ขอสักประมาณ 500 ติดตาม ขอบคุณครับ https://x.com/Thaipithaksith?t=Tq54plOEwFL_-4ysGa3kSA&s=09
    การบาดเจ็บจากวัคซีน
    รายงานการบาดเจ็บจากวัคซีนของคุณที่นี่ และรับความช่วยเหลือจากแพทย์ของเรา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • (30 ก.ย. 67) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...
    .
    ข่าวดี สารโมเลกุลมณีแดง ใกล้พร้อมใช้ในมนุษย์
    .
    จากการที่ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ได้ปรึกษาหารือเรื่องประสาทวิทยาอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดอภิวัฒน์ บอกว่าการศึกษาความเป็นพิษในหนูแรทเกรด GLP ที่เป็นมาตรฐานสำคัญในการทำการศึกษาทางคลินิก ผ่านแล้ว พบว่า ในขนาดยาที่ใช้รักษา สารโมเลกุลมณีแดง ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติและพยาธิสภาพของร่างกายใด ๆ
    .
    นอกจากผ่านการศึกษาความเป็นพิษแล้ว การศึกษาสารโมเลกุลมณีแดงสำเร็จแล้วในทุก ๆ ด้าน ได้แก่...
    .
    1. การค้นพบกลไกความชราของดีเอ็นเอ
    .
    2. การผลิตยา ร่วมกับสถานเสาวภา Pharmaceutical Grade มีระบบ QC เรียบร้อย
    .
    3. การศึกษาในสัตว์ทดลอง เพื่อหาข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ Senile dementia rat, Alzheimer’s rat, Parkinson’s rat, Lung fibrosis rat, Liver cirrhosis mouse, Insulin resistance rat, Burn สารโมเลกุลมณีแดง รักษาได้ทุกตัว แก้ไขพยาธิสภาพให้หายไปรวมถึง มี การสร้างเซลล์สมองใหม่ (neurogenesis)
    .
    4. การศึกษาคุณสมบัติของยา Safety test หรือความปลอดภัย ทำที่ National Primate Research Center of Thailand ลิงแสม > 1 ปี ผลลิงทุกตัวปลอดภัยดี หายแก่ > 40 สัปดาห์
    .
    5. Toxicity test ทำ 2 ที่ สถานเสาวภา ทำหลายสปีชี่ mouse, rat, หนูตะเภา กระต่าย ที่ ม. นเรศวร เป็น GLP rats ผ่านแล้ว
    .
    6. Pharmacokinetic and organ distribution เสร็จแล้ว
    .
    7. Storage conditions เสร็จแล้ว
    .
    ส่วน Clinical trials กำลังเตรียมการ
    .
    (30 ก.ย. 67) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... . ข่าวดี สารโมเลกุลมณีแดง ใกล้พร้อมใช้ในมนุษย์ . จากการที่ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ได้ปรึกษาหารือเรื่องประสาทวิทยาอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดอภิวัฒน์ บอกว่าการศึกษาความเป็นพิษในหนูแรทเกรด GLP ที่เป็นมาตรฐานสำคัญในการทำการศึกษาทางคลินิก ผ่านแล้ว พบว่า ในขนาดยาที่ใช้รักษา สารโมเลกุลมณีแดง ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติและพยาธิสภาพของร่างกายใด ๆ . นอกจากผ่านการศึกษาความเป็นพิษแล้ว การศึกษาสารโมเลกุลมณีแดงสำเร็จแล้วในทุก ๆ ด้าน ได้แก่... . 1. การค้นพบกลไกความชราของดีเอ็นเอ . 2. การผลิตยา ร่วมกับสถานเสาวภา Pharmaceutical Grade มีระบบ QC เรียบร้อย . 3. การศึกษาในสัตว์ทดลอง เพื่อหาข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ Senile dementia rat, Alzheimer’s rat, Parkinson’s rat, Lung fibrosis rat, Liver cirrhosis mouse, Insulin resistance rat, Burn สารโมเลกุลมณีแดง รักษาได้ทุกตัว แก้ไขพยาธิสภาพให้หายไปรวมถึง มี การสร้างเซลล์สมองใหม่ (neurogenesis) . 4. การศึกษาคุณสมบัติของยา Safety test หรือความปลอดภัย ทำที่ National Primate Research Center of Thailand ลิงแสม > 1 ปี ผลลิงทุกตัวปลอดภัยดี หายแก่ > 40 สัปดาห์ . 5. Toxicity test ทำ 2 ที่ สถานเสาวภา ทำหลายสปีชี่ mouse, rat, หนูตะเภา กระต่าย ที่ ม. นเรศวร เป็น GLP rats ผ่านแล้ว . 6. Pharmacokinetic and organ distribution เสร็จแล้ว . 7. Storage conditions เสร็จแล้ว . ส่วน Clinical trials กำลังเตรียมการ .
    Like
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 กันยายน2567- พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ตามที่ได้มีผู้เขียนหนังสือชื่อ“ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย”โดยมีการตีพิมพ์จำหน่ายทั้งแบบรูปเล่มหนังสือ และรูปแบบออนไลน์ เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีการจำหน่ายทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ประกอบกับมีการนำข้อมูลในหนังสือที่ตนเองเขียนเองนั้น ไปบอกเล่าผ่านการเสวนา และการบรรยายในเวทีต่างๆ พร้อมกับได้มีการบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจำนวนหลายครั้ง

    พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กอ.รมน. ได้ทำการตรวจสอบ พบว่าผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าว ไม่ได้มีคุณวุฒิการศึกษาและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงโดยตรง อีกทั้งไม่ได้รับผิดชอบให้ทำการสอนในเรื่องดังกล่าว และไม่มีผลงานทางวิชาการในด้านความมั่นคงปรากฏให้เห็นมาตามลำดับ โดยหนังสือและผลงานทางวิชาการของผู้เขียน ก็ไม่ได้ทำการศึกษาวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัย แต่กลับใช้วิธีการเลือกนำข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนแนวคิดตนเองที่ตั้งไว้แล้ว นำมาเป็นข้อสรุปขึ้นเอง ประกอบกับไม่ได้มีการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงาน เช่น กอ.รมน. หรือ กองทัพโดยตรง รวมถึงไม่ได้ทำการศึกษากฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติราชการ จึงเกิดเป็นข้อสรุปย่อยที่เป็นเท็จจำนวนมาก นำมาสู่ข้อสรุปในภาพรวมถึงการแทรกซึมของกองทัพ โดยมี กอ.รมน. เป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมสังคมไทย พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า การที่ผู้เขียนได้มีการนำข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนสูงในลักษณะนี้ ไปตีพิมพ์เผยแพร่จำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอน และกิจการการศึกษา จึงอาจเป็นการละเมิดข้อบังคับจริยธรรมของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายด้วยเช่นกัน จึงขอเรียนว่า การนำหนังสือและบทความทางวิชาการที่มีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการจำหน่ายเป็นแบบรูปเล่มหนังสือ และการไปร่วมเสวนาบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน

    “กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือดังกล่าว และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด ได้กรุณาพิจารณาในเรื่องของจริยธรรม รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้ หากนักวิชาการ สื่อมวลชน หรือสังคมมีความสงสัย ต้องการทราบรายละเอียดในประเด็นใด สามารถติดต่อมาที่หน่วยงาน หรือทีมโฆษก กอ.รมน. ได้ตลอดเวลา” พล.ต.วินธัย กล่าว

    ส่วน รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ลงข้อความว่า “เฮ้ออออ หนังสืออิฉันเองค่ะ”พร้อมได้ลงปกหนังสือเล่มดังกล่าว

    #Thaitimes
    14 กันยายน2567- พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ตามที่ได้มีผู้เขียนหนังสือชื่อ“ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย”โดยมีการตีพิมพ์จำหน่ายทั้งแบบรูปเล่มหนังสือ และรูปแบบออนไลน์ เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีการจำหน่ายทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ประกอบกับมีการนำข้อมูลในหนังสือที่ตนเองเขียนเองนั้น ไปบอกเล่าผ่านการเสวนา และการบรรยายในเวทีต่างๆ พร้อมกับได้มีการบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจำนวนหลายครั้ง พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กอ.รมน. ได้ทำการตรวจสอบ พบว่าผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าว ไม่ได้มีคุณวุฒิการศึกษาและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงโดยตรง อีกทั้งไม่ได้รับผิดชอบให้ทำการสอนในเรื่องดังกล่าว และไม่มีผลงานทางวิชาการในด้านความมั่นคงปรากฏให้เห็นมาตามลำดับ โดยหนังสือและผลงานทางวิชาการของผู้เขียน ก็ไม่ได้ทำการศึกษาวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัย แต่กลับใช้วิธีการเลือกนำข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนแนวคิดตนเองที่ตั้งไว้แล้ว นำมาเป็นข้อสรุปขึ้นเอง ประกอบกับไม่ได้มีการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงาน เช่น กอ.รมน. หรือ กองทัพโดยตรง รวมถึงไม่ได้ทำการศึกษากฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติราชการ จึงเกิดเป็นข้อสรุปย่อยที่เป็นเท็จจำนวนมาก นำมาสู่ข้อสรุปในภาพรวมถึงการแทรกซึมของกองทัพ โดยมี กอ.รมน. เป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมสังคมไทย พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า การที่ผู้เขียนได้มีการนำข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนสูงในลักษณะนี้ ไปตีพิมพ์เผยแพร่จำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอน และกิจการการศึกษา จึงอาจเป็นการละเมิดข้อบังคับจริยธรรมของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายด้วยเช่นกัน จึงขอเรียนว่า การนำหนังสือและบทความทางวิชาการที่มีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการจำหน่ายเป็นแบบรูปเล่มหนังสือ และการไปร่วมเสวนาบันทึกนำไปเผยแพร่ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน “กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือดังกล่าว และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด ได้กรุณาพิจารณาในเรื่องของจริยธรรม รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้ หากนักวิชาการ สื่อมวลชน หรือสังคมมีความสงสัย ต้องการทราบรายละเอียดในประเด็นใด สามารถติดต่อมาที่หน่วยงาน หรือทีมโฆษก กอ.รมน. ได้ตลอดเวลา” พล.ต.วินธัย กล่าว ส่วน รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ลงข้อความว่า “เฮ้ออออ หนังสืออิฉันเองค่ะ”พร้อมได้ลงปกหนังสือเล่มดังกล่าว #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 740 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts