• มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน

    ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer

    เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ

    Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ
    โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
    สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว

    การตอบโต้ของ Meta
    ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ

    ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง
    อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification

    https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    📱 มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ➡️ โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ➡️ สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว ✅ การตอบโต้ของ Meta ➡️ ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ ‼️ ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง ⛔ อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    HACKREAD.COM
    Scammers Abuse WhatsApp Screen Sharing to Steal OTPs and Funds
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • นายกฯ อนุทิน สั่ง "ระงับ" ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ทันที หลังประชุม สมช. นานกว่า 3 ชั่วโมง
    https://www.thai-tai.tv/news/22308/
    .
    #ไทยไท #อนุทิน #ประชุมสมช. #ระงับปฏิญญา #ทหารเหยียบทุ่นระเบิด #มาตรการตอบโต้
    นายกฯ อนุทิน สั่ง "ระงับ" ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ทันที หลังประชุม สมช. นานกว่า 3 ชั่วโมง https://www.thai-tai.tv/news/22308/ . #ไทยไท #อนุทิน #ประชุมสมช. #ระงับปฏิญญา #ทหารเหยียบทุ่นระเบิด #มาตรการตอบโต้
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (3)

    ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ

    Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก

    Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว
    อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต

    สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม

    ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า

    เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson
    คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ

    แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร

    ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย

    สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (4)

    แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ
    ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้

    พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo)

    Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา

    พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ

    แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ
    เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ)

    รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (3) ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม #################### ” ฤทธิ์ยิว” (4) แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้ พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo) Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ) รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • “สภาคองเกรสสหรัฐฯ จี้ Nvidia ปมแชร์พื้นที่กับบริษัทในเครือ Huawei – ‘จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานนับสิบปี!’”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการ AI และความมั่นคง! คณะกรรมาธิการ Select Committee on China ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย กับ Futurewei บริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

    แม้จะไม่มีการกล่าวหาตรง ๆ ว่า Nvidia หรือ Futurewei มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย แต่คณะกรรมาธิการชี้ให้เห็นถึง “ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์” ของการอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของจีน

    การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นหลังจาก Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กล่าวในงานประชุมว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” และ “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” ซึ่งทำให้คณะกรรมาธิการตอบโต้ทันทีว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปีแล้ว”

    นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงคดีแพ่งที่กล่าวหาว่า Futurewei ส่งพนักงานเข้าร่วมงานประชุมโดยใช้ชื่อบริษัทปลอม เพื่อรวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีน ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการจารกรรมทางอุตสาหกรรมเกิดขึ้น

    Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานกับ Futurewei
    Futurewei เป็นบริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำ
    ตั้งอยู่ในซานตาคลารา ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ Nvidia
    คณะกรรมาธิการชี้ถึงผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์จากการอยู่ใกล้กัน

    คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์
    ระบุว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปี”
    อ้างถึงจดหมายที่เคยส่งถึง Futurewei เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
    เน้นว่าการอยู่ใกล้กันอาจเปิดช่องให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ

    Jensen Huang แสดงความคิดเห็นเรื่องสงคราม AI
    กล่าวว่าจีนกำลังจะชนะ และตามหลังสหรัฐเพียง “นาโนวินาที”
    เชื่อว่าควรให้โลกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI
    แนวคิดนี้อาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการจำกัดการเข้าถึงของจีน

    ความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ
    อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นช่องทางในการจารกรรมทางอุตสาหกรรม

    ข้อกล่าวหาว่า Futurewei ใช้ชื่อบริษัทปลอมเข้าร่วมงานประชุม
    ถูกกล่าวหาว่ารวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมในจีน
    อาจละเมิดข้อกำหนดของงานประชุมและกฎหมายความมั่นคง

    ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดของ Nvidia กับนโยบายรัฐบาล
    การเปิดให้ทุกประเทศใช้เทคโนโลยีอาจขัดกับการควบคุมการส่งออก
    อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-govt-committee-slams-nvidia-over-shared-campus-with-banned-huawei-affiliate-says-china-has-been-in-nvidias-backyard-for-a-decade-literally
    🏛️ “สภาคองเกรสสหรัฐฯ จี้ Nvidia ปมแชร์พื้นที่กับบริษัทในเครือ Huawei – ‘จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานนับสิบปี!’” เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการ AI และความมั่นคง! คณะกรรมาธิการ Select Committee on China ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย กับ Futurewei บริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แม้จะไม่มีการกล่าวหาตรง ๆ ว่า Nvidia หรือ Futurewei มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย แต่คณะกรรมาธิการชี้ให้เห็นถึง “ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์” ของการอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของจีน การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นหลังจาก Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กล่าวในงานประชุมว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” และ “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” ซึ่งทำให้คณะกรรมาธิการตอบโต้ทันทีว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปีแล้ว” นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงคดีแพ่งที่กล่าวหาว่า Futurewei ส่งพนักงานเข้าร่วมงานประชุมโดยใช้ชื่อบริษัทปลอม เพื่อรวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีน ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการจารกรรมทางอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ✅ Nvidia เคยแชร์พื้นที่สำนักงานกับ Futurewei ➡️ Futurewei เป็นบริษัทในเครือของ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ➡️ ตั้งอยู่ในซานตาคลารา ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ Nvidia ➡️ คณะกรรมาธิการชี้ถึงผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์จากการอยู่ใกล้กัน ✅ คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ ➡️ ระบุว่า “จีนอยู่ในหลังบ้าน Nvidia มานานหลายปี” ➡️ อ้างถึงจดหมายที่เคยส่งถึง Futurewei เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ เน้นว่าการอยู่ใกล้กันอาจเปิดช่องให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ✅ Jensen Huang แสดงความคิดเห็นเรื่องสงคราม AI ➡️ กล่าวว่าจีนกำลังจะชนะ และตามหลังสหรัฐเพียง “นาโนวินาที” ➡️ เชื่อว่าควรให้โลกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ แนวคิดนี้อาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการจำกัดการเข้าถึงของจีน ‼️ ความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ⛔ อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นช่องทางในการจารกรรมทางอุตสาหกรรม ‼️ ข้อกล่าวหาว่า Futurewei ใช้ชื่อบริษัทปลอมเข้าร่วมงานประชุม ⛔ ถูกกล่าวหาว่ารวบรวมข้อมูลและส่งกลับไปยังทีมในจีน ⛔ อาจละเมิดข้อกำหนดของงานประชุมและกฎหมายความมั่นคง ‼️ ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดของ Nvidia กับนโยบายรัฐบาล ⛔ การเปิดให้ทุกประเทศใช้เทคโนโลยีอาจขัดกับการควบคุมการส่งออก ⛔ อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐในระยะยาว https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-govt-committee-slams-nvidia-over-shared-campus-with-banned-huawei-affiliate-says-china-has-been-in-nvidias-backyard-for-a-decade-literally
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย

    ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ

    ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต

    คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง

    หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน

    คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี
    Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด
    คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์
    หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี
    ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน
    ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด
    ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ

    การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ
    Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก
    Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว
    Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้

    ความสำคัญของคดีนี้
    เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี

    คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย
    เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป
    การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    📱 เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน ✅ คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี ➡️ Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด ➡️ คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์ ➡️ หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน ➡️ ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด ➡️ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ ✅ การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ ➡️ Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก ➡️ Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว ➡️ Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้ ✅ ความสำคัญของคดีนี้ ➡️ เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด ➡️ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย ⛔ เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป ⛔ การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Social media giants must stand trial on addiction claims
    Meta Platforms Inc, ByteDance Ltd, Alphabet Inc and Snap Inc must face trial over claims that they designed social media platforms to addict youths, a judge ruled, clearing the way for the first of thousands of cases to be presented to juries.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • Akira Ransomware อ้างเจาะระบบ OpenOffice — แต่ Apache ปฏิเสธ พร้อมชี้แจงว่า “ไม่มีข้อมูลให้ขโมย”

    กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน, รายงานปัญหา, และไฟล์ลับภายในองค์กร พร้อมประกาศว่าจะปล่อยข้อมูลเหล่านี้ในเร็วๆ นี้

    แต่ทาง Apache Software Foundation ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า ไม่มีการโจมตีเกิดขึ้น และสิ่งที่ Akira อ้างนั้น “ไม่สมเหตุสมผล” เพราะ OpenOffice เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ไม่มีพนักงานประจำ และไม่มีข้อมูลส่วนตัวหรือไฟล์ลับใดๆ ให้ขโมย

    โครงการโอเพ่นซอร์สที่โปร่งใส
    Apache OpenOffice เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดยอาสาสมัครทั่วโลก ไม่มีพนักงานประจำ ไม่มีฐานข้อมูลส่วนตัว และทุกการพูดคุยเกี่ยวกับบั๊กหรือฟีเจอร์ใหม่ๆ ก็ถูกเผยแพร่ผ่านเมลลิสต์สาธารณะอยู่แล้ว

    ทาง Apache ยังระบุว่าไม่มีการเรียกค่าไถ่เกิดขึ้น และไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่ามีการเจาะระบบจริง จึงไม่ได้แจ้งตำรวจหรือดำเนินการใดๆ นอกจากการตรวจสอบภายใน

    Akira Ransomware อ้างเจาะระบบ OpenOffice
    อ้างว่าขโมยข้อมูล 23GB รวมถึงข้อมูลพนักงานและไฟล์ลับ
    เตรียมปล่อยข้อมูลในเร็วๆ นี้

    Apache ปฏิเสธการโจมตี
    ไม่มีพนักงานประจำหรือข้อมูลส่วนตัวให้ขโมย
    ไม่มีการเรียกค่าไถ่หรือหลักฐานการเจาะระบบ

    โครงการโอเพ่นซอร์สที่โปร่งใส
    พัฒนาโดยอาสาสมัคร ไม่มีโครงสร้างองค์กรแบบบริษัท
    การพูดคุยเรื่องบั๊กและฟีเจอร์เป็นสาธารณะ

    ความเสี่ยงจากการอ้างเท็จของแฮกเกอร์
    อาจสร้างความเข้าใจผิดในสาธารณะ
    ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น

    ความท้าทายในการตรวจสอบความจริง
    ต้องใช้เวลาตรวจสอบภายในเพื่อยืนยันว่าไม่มีการเจาะระบบ
    การตอบโต้ข่าวลือต้องใช้ความชัดเจนและโปร่งใส

    https://www.techradar.com/pro/security/apache-openoffice-says-it-wasnt-hit-by-cyberattack-despite-hacker-claims
    🛡️💻 Akira Ransomware อ้างเจาะระบบ OpenOffice — แต่ Apache ปฏิเสธ พร้อมชี้แจงว่า “ไม่มีข้อมูลให้ขโมย” กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน, รายงานปัญหา, และไฟล์ลับภายในองค์กร พร้อมประกาศว่าจะปล่อยข้อมูลเหล่านี้ในเร็วๆ นี้ แต่ทาง Apache Software Foundation ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า ไม่มีการโจมตีเกิดขึ้น และสิ่งที่ Akira อ้างนั้น “ไม่สมเหตุสมผล” เพราะ OpenOffice เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ไม่มีพนักงานประจำ และไม่มีข้อมูลส่วนตัวหรือไฟล์ลับใดๆ ให้ขโมย 🔍 โครงการโอเพ่นซอร์สที่โปร่งใส Apache OpenOffice เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดยอาสาสมัครทั่วโลก ไม่มีพนักงานประจำ ไม่มีฐานข้อมูลส่วนตัว และทุกการพูดคุยเกี่ยวกับบั๊กหรือฟีเจอร์ใหม่ๆ ก็ถูกเผยแพร่ผ่านเมลลิสต์สาธารณะอยู่แล้ว ทาง Apache ยังระบุว่าไม่มีการเรียกค่าไถ่เกิดขึ้น และไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่ามีการเจาะระบบจริง จึงไม่ได้แจ้งตำรวจหรือดำเนินการใดๆ นอกจากการตรวจสอบภายใน ✅ Akira Ransomware อ้างเจาะระบบ OpenOffice ➡️ อ้างว่าขโมยข้อมูล 23GB รวมถึงข้อมูลพนักงานและไฟล์ลับ ➡️ เตรียมปล่อยข้อมูลในเร็วๆ นี้ ✅ Apache ปฏิเสธการโจมตี ➡️ ไม่มีพนักงานประจำหรือข้อมูลส่วนตัวให้ขโมย ➡️ ไม่มีการเรียกค่าไถ่หรือหลักฐานการเจาะระบบ ✅ โครงการโอเพ่นซอร์สที่โปร่งใส ➡️ พัฒนาโดยอาสาสมัคร ไม่มีโครงสร้างองค์กรแบบบริษัท ➡️ การพูดคุยเรื่องบั๊กและฟีเจอร์เป็นสาธารณะ ‼️ ความเสี่ยงจากการอ้างเท็จของแฮกเกอร์ ⛔ อาจสร้างความเข้าใจผิดในสาธารณะ ⛔ ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น ‼️ ความท้าทายในการตรวจสอบความจริง ⛔ ต้องใช้เวลาตรวจสอบภายในเพื่อยืนยันว่าไม่มีการเจาะระบบ ⛔ การตอบโต้ข่าวลือต้องใช้ความชัดเจนและโปร่งใส https://www.techradar.com/pro/security/apache-openoffice-says-it-wasnt-hit-by-cyberattack-despite-hacker-claims
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI

    Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที

    Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที

    Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ

    Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน

    Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker
    อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc.

    Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง
    ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์
    มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย

    เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้”
    ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น

    ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น
    รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก

    ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง
    ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม
    การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์

    ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์
    องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล
    ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร

    นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล.

    https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    🧠 ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน ✅ Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker ➡️ อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี ➡️ ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. ✅ Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์ ➡️ มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย ✅ เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้” ➡️ ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น ✅ ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก ‼️ ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง ⛔ ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม ⛔ การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์ ‼️ ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์ ⛔ องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล ⛔ ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล. https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    SECURITYONLINE.INFO
    Bob Flores, Former CTO of the CIA, Joins Brinker
    Delaware, United States, 4th November 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • อิสราเอลยืนยันว่ายังคงยึดมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่มีสหรัฐฯสนับสนุน แม้เพิ่งเปิดปฏิบัติการแก้แค้นให้กับนายทหารยิวที่เสียชีวิตรายหนึ่ง ด้วยการถล่มฉนวนปาเลสไตน์ตลอดทั้งวัน สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 104 ราย ความเคลื่อนไหวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รุดออกมากลบกระแสความกังวล บอกเป็นแค่การตอบโต้กลับและเชื่อว่าข้อตกลงหยุดยิงยังไม่เสี่ยงพังครืน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000103513

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    อิสราเอลยืนยันว่ายังคงยึดมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่มีสหรัฐฯสนับสนุน แม้เพิ่งเปิดปฏิบัติการแก้แค้นให้กับนายทหารยิวที่เสียชีวิตรายหนึ่ง ด้วยการถล่มฉนวนปาเลสไตน์ตลอดทั้งวัน สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 104 ราย ความเคลื่อนไหวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รุดออกมากลบกระแสความกังวล บอกเป็นแค่การตอบโต้กลับและเชื่อว่าข้อตกลงหยุดยิงยังไม่เสี่ยงพังครืน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000103513 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 497 Views 0 Reviews
  • บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์

    บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์

    YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน”

    ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์

    บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์

    นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก
    ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย
    วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก

    การตอบโต้จากบริษัทล็อก
    ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
    กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด
    กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส
    การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ
    การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น

    คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
    การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
    ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า


    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    🔒 บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์ บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน” ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก ➡️ ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย ➡️ วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก ✅ การตอบโต้จากบริษัทล็อก ➡️ ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด ➡️ กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส ➡️ การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ ➡️ การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ⛔ การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ⛔ ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ⛔ การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    ARSTECHNICA.COM
    10M people watched a YouTuber shim a lock; the lock company sued him. Bad idea.
    It’s still legal to pick locks, even when you swing your legs.
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • Meta และ TikTok ถูก EU ตั้งข้อหา ละเมิดกฎหมาย DSA หลายประเด็น เสี่ยงโดนปรับสูงถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก

    คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ตั้งข้อหาต่อ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่มุ่งควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยข้อกล่าวหาหลักคือการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย

    สำหรับ Meta มีข้อกล่าวหาหลัก 2 ประเด็นคือ

    1️⃣ ระบบแจ้งเนื้อหาผิดกฎหมายที่ยุ่งยากและใช้ “dark design patterns” ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่กล้าแจ้งเนื้อหา เช่น CSAM (เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก)

    2️⃣ กระบวนการอุทธรณ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจงหรือส่งหลักฐานเมื่อถูกลบเนื้อหาหรือระงับบัญชี

    ทั้ง Meta และ TikTok ยังถูกกล่าวหาว่าทำให้การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของนักวิจัยเป็นเรื่องยากเกินควร ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของ DSA โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย

    หากไม่ปรับปรุงตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ทั้งสองบริษัทอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก โดย Meta ยืนยันว่าตนได้ปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ส่วน TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับกฎหมาย GDPR ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเรียกร้องให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับใช้ทั้งสองกฎหมายร่วมกัน

    ข้อกล่าวหาต่อ Meta และ TikTok จาก EU
    ไม่สามารถจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย
    Meta ใช้ดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้สับสนในการแจ้งเนื้อหา
    ระบบอุทธรณ์ของ Meta ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจง

    ผลกระทบตามกฎหมาย DSA
    หากไม่แก้ไข อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก
    ต้องปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความโปร่งใส

    การตอบโต้จากบริษัท
    Meta ยืนยันว่าปรับปรุงระบบแล้วให้สอดคล้องกับ DSA
    TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับ GDPR
    TikTok เรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบสิทธิ์ในการอุทธรณ์เมื่อถูกลบเนื้อหา
    ควรระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวในระบบที่ไม่โปร่งใส
    นักวิจัยอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากแพลตฟอร์ม

    https://securityonline.info/eu-charges-meta-and-tiktok-with-widespread-dsa-violations/
    ⚖️ Meta และ TikTok ถูก EU ตั้งข้อหา ละเมิดกฎหมาย DSA หลายประเด็น เสี่ยงโดนปรับสูงถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ตั้งข้อหาต่อ Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่มุ่งควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยข้อกล่าวหาหลักคือการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย สำหรับ Meta มีข้อกล่าวหาหลัก 2 ประเด็นคือ 1️⃣ ระบบแจ้งเนื้อหาผิดกฎหมายที่ยุ่งยากและใช้ “dark design patterns” ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่กล้าแจ้งเนื้อหา เช่น CSAM (เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก) 2️⃣ กระบวนการอุทธรณ์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจงหรือส่งหลักฐานเมื่อถูกลบเนื้อหาหรือระงับบัญชี ทั้ง Meta และ TikTok ยังถูกกล่าวหาว่าทำให้การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของนักวิจัยเป็นเรื่องยากเกินควร ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของ DSA โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบต่อเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย หากไม่ปรับปรุงตามคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ทั้งสองบริษัทอาจถูกปรับสูงสุดถึง 6% ของรายได้ทั่วโลก โดย Meta ยืนยันว่าตนได้ปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ส่วน TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับกฎหมาย GDPR ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเรียกร้องให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับใช้ทั้งสองกฎหมายร่วมกัน ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Meta และ TikTok จาก EU ➡️ ไม่สามารถจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลของนักวิจัย ➡️ Meta ใช้ดีไซน์ที่ทำให้ผู้ใช้สับสนในการแจ้งเนื้อหา ➡️ ระบบอุทธรณ์ของ Meta ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชี้แจง ✅ ผลกระทบตามกฎหมาย DSA ➡️ หากไม่แก้ไข อาจถูกปรับสูงสุด 6% ของรายได้ทั่วโลก ➡️ ต้องปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความโปร่งใส ✅ การตอบโต้จากบริษัท ➡️ Meta ยืนยันว่าปรับปรุงระบบแล้วให้สอดคล้องกับ DSA ➡️ TikTok โต้แย้งว่าข้อกำหนดของ DSA ขัดกับ GDPR ➡️ TikTok เรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบสิทธิ์ในการอุทธรณ์เมื่อถูกลบเนื้อหา ⛔ ควรระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวในระบบที่ไม่โปร่งใส ⛔ นักวิจัยอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนจากแพลตฟอร์ม https://securityonline.info/eu-charges-meta-and-tiktok-with-widespread-dsa-violations/
    SECURITYONLINE.INFO
    EU Charges Meta and TikTok with Widespread DSA Violations
    The European Commission has formally accused Meta and TikTok of violating the DSA by hiding illegal content reporting and obstructing access for researchers.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS

    มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7

    แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต

    แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน
    ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS
    เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน
    อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7

    ผลกระทบต่อจีน
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS
    อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน
    ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้
    มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน
    อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต
    การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    🇺🇸 สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7 แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ✅ แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน ➡️ ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS ➡️ เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7 ✅ ผลกระทบต่อจีน ➡️ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS ➡️ อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน ➡️ ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้ ➡️ มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน ⛔ อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต ⛔ การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ⛔ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • Reddit ฟ้อง Perplexity และบริษัท Data Broker ฐานขูดข้อมูลระดับอุตสาหกรรมเพื่อป้อน AI

    Reddit จุดชนวนสงครามข้อมูลกับบริษัท AI โดยยื่นฟ้อง Perplexity และบริษัท data broker อีก 3 ราย ได้แก่ Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานละเมิดข้อตกลงการใช้งานและขูดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Reddit เพื่อนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ได้รับอนุญาต

    Reddit ระบุว่า Perplexity เป็น “ลูกค้าผู้เต็มใจ” ในระบบเศรษฐกิจแบบ “ฟอกข้อมูล” ที่กำลังเฟื่องฟูในยุค AI โดยบริษัทเหล่านี้ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ เช่น การละเมิด robots.txt และการปลอมตัวเป็นผู้ใช้ทั่วไป เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ควรถูกป้องกันไว้

    ที่น่าสนใจคือ Reddit ได้วางกับดักโดยสร้างโพสต์ลับที่มีเพียง Google เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับพบว่าเนื้อหานั้นปรากฏในคำตอบของ Perplexity ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ Reddit ใช้ในการฟ้องร้อง

    Perplexity ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไม่ได้ใช้ข้อมูล Reddit ในการฝึกโมเดล AI แต่เพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะเท่านั้น พร้อมกล่าวหาว่า Reddit ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงด้านข้อมูลกับ Google และ OpenAI

    คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Reddit ฟ้องบริษัท AI ก่อนหน้านี้ก็เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน และสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแพลตฟอร์มเนื้อหากับบริษัท AI ที่ต้องการข้อมูลมนุษย์คุณภาพสูงเพื่อฝึกโมเดล

    รายละเอียดคดีฟ้องร้อง
    Reddit ฟ้อง Perplexity, Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานขูดข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    กล่าวหาว่า Perplexity ใช้ข้อมูล Reddit เพื่อฝึกโมเดล AI โดยไม่ทำข้อตกลงลิขสิทธิ์
    บริษัท scraping ใช้ proxy และเทคนิคหลบเลี่ยงเพื่อเข้าถึงข้อมูล

    หลักฐานสำคัญ
    Reddit สร้างโพสต์ลับที่มีเฉพาะ Google เข้าถึงได้
    พบว่า Perplexity ใช้เนื้อหานั้นในคำตอบของ AI ภายในไม่กี่ชั่วโมง
    ชี้ว่า Perplexity ขูดข้อมูลจาก Google SERPs ที่มีเนื้อหา Reddit

    การตอบโต้จาก Perplexity
    ปฏิเสธว่าไม่ได้ฝึกโมเดลด้วยข้อมูล Reddit
    ระบุว่าเพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะ
    กล่าวหาว่า Redditใช้คดีนี้เพื่อกดดัน Google และ OpenAI

    ความเคลื่อนไหวของ Reddit
    เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน
    มีข้อตกลงลิขสิทธิ์กับ Google และ OpenAI
    เน้นว่าข้อมูลจาก Reddit เป็น “เนื้อหามนุษย์คุณภาพสูง” ที่มีมูลค่าสูงในยุค AI

    https://securityonline.info/reddit-sues-perplexity-and-data-brokers-for-industrial-scale-scraping/
    🧠 Reddit ฟ้อง Perplexity และบริษัท Data Broker ฐานขูดข้อมูลระดับอุตสาหกรรมเพื่อป้อน AI Reddit จุดชนวนสงครามข้อมูลกับบริษัท AI โดยยื่นฟ้อง Perplexity และบริษัท data broker อีก 3 ราย ได้แก่ Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานละเมิดข้อตกลงการใช้งานและขูดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Reddit เพื่อนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ได้รับอนุญาต Reddit ระบุว่า Perplexity เป็น “ลูกค้าผู้เต็มใจ” ในระบบเศรษฐกิจแบบ “ฟอกข้อมูล” ที่กำลังเฟื่องฟูในยุค AI โดยบริษัทเหล่านี้ใช้เทคนิคหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ เช่น การละเมิด robots.txt และการปลอมตัวเป็นผู้ใช้ทั่วไป เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ควรถูกป้องกันไว้ ที่น่าสนใจคือ Reddit ได้วางกับดักโดยสร้างโพสต์ลับที่มีเพียง Google เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แต่กลับพบว่าเนื้อหานั้นปรากฏในคำตอบของ Perplexity ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ Reddit ใช้ในการฟ้องร้อง Perplexity ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าไม่ได้ใช้ข้อมูล Reddit ในการฝึกโมเดล AI แต่เพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะเท่านั้น พร้อมกล่าวหาว่า Reddit ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงด้านข้อมูลกับ Google และ OpenAI คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Reddit ฟ้องบริษัท AI ก่อนหน้านี้ก็เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน และสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแพลตฟอร์มเนื้อหากับบริษัท AI ที่ต้องการข้อมูลมนุษย์คุณภาพสูงเพื่อฝึกโมเดล ✅ รายละเอียดคดีฟ้องร้อง ➡️ Reddit ฟ้อง Perplexity, Oxylabs, SerpApi และ AWMProxy ฐานขูดข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ กล่าวหาว่า Perplexity ใช้ข้อมูล Reddit เพื่อฝึกโมเดล AI โดยไม่ทำข้อตกลงลิขสิทธิ์ ➡️ บริษัท scraping ใช้ proxy และเทคนิคหลบเลี่ยงเพื่อเข้าถึงข้อมูล ✅ หลักฐานสำคัญ ➡️ Reddit สร้างโพสต์ลับที่มีเฉพาะ Google เข้าถึงได้ ➡️ พบว่า Perplexity ใช้เนื้อหานั้นในคำตอบของ AI ภายในไม่กี่ชั่วโมง ➡️ ชี้ว่า Perplexity ขูดข้อมูลจาก Google SERPs ที่มีเนื้อหา Reddit ✅ การตอบโต้จาก Perplexity ➡️ ปฏิเสธว่าไม่ได้ฝึกโมเดลด้วยข้อมูล Reddit ➡️ ระบุว่าเพียงสรุปและอ้างอิงเนื้อหาสาธารณะ ➡️ กล่าวหาว่า Redditใช้คดีนี้เพื่อกดดัน Google และ OpenAI ✅ ความเคลื่อนไหวของ Reddit ➡️ เคยฟ้อง Anthropic ด้วยเหตุผลคล้ายกัน ➡️ มีข้อตกลงลิขสิทธิ์กับ Google และ OpenAI ➡️ เน้นว่าข้อมูลจาก Reddit เป็น “เนื้อหามนุษย์คุณภาพสูง” ที่มีมูลค่าสูงในยุค AI https://securityonline.info/reddit-sues-perplexity-and-data-brokers-for-industrial-scale-scraping/
    SECURITYONLINE.INFO
    Reddit Sues Perplexity and Data Brokers for 'Industrial-Scale' Scraping
    Reddit has filed a lawsuit against Perplexity and three data brokers, accusing them of unauthorized, "industrial-scale" scraping of its content for AI training.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “สหรัฐฯ เสนอแบน VPN – นักเคลื่อนไหวทั่วโลกลุกฮือจัด ‘VPN Day of Action’ ต้านกฎหมายเซ็นเซอร์”

    ในเดือนกันยายน 2025 รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ซึ่งมีเนื้อหาห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” เช่น ภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิกต่าง ๆ พร้อมบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์มที่เผยแพร่

    แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กฎหมายนี้ยังเสนอให้ แบนเครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ เช่น VPN, proxy และ encrypted tunneling ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงข้อมูลในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหา

    แม้กฎหมายนี้จะยังไม่ผ่าน แต่ก็จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยองค์กร Fight for the Future ได้จัดกิจกรรม VPN Day of Action ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN

    นักเคลื่อนไหวชี้ว่า VPN ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐและกลุ่มอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2025 นักเคลื่อนไหวในเนปาลใช้ VPN เพื่อจัดการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้รัฐบาลจะพยายามบล็อกแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็ตาม

    รายละเอียดร่างกฎหมายในมิชิแกน
    ชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act
    ห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม”
    รวมถึงภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิก
    เสนอแบน VPN, proxy และ encrypted tunneling
    มีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์ม

    การตอบโต้จากนักเคลื่อนไหว
    องค์กร Fight for the Future จัด VPN Day of Action
    มีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน
    เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN
    ชี้ว่า VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและเสรีภาพ
    ยกตัวอย่างการใช้ VPN ในการจัดการประท้วงในเนปาล

    บริบททางการเมืองและเทคโนโลยี
    กฎหมายนี้สะท้อนแนวโน้มการเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป
    สหราชอาณาจักรก็เคยเสนอจำกัด VPN หลังยอดดาวน์โหลดพุ่ง
    การแบน VPN อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกเปรียบเทียบกับรัฐเผด็จการ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ
    VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม

    https://www.slashgear.com/1998517/us-states-vpn-ban-protests-day-of-action/
    🛡️ “สหรัฐฯ เสนอแบน VPN – นักเคลื่อนไหวทั่วโลกลุกฮือจัด ‘VPN Day of Action’ ต้านกฎหมายเซ็นเซอร์” ในเดือนกันยายน 2025 รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ซึ่งมีเนื้อหาห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” เช่น ภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิกต่าง ๆ พร้อมบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์มที่เผยแพร่ แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กฎหมายนี้ยังเสนอให้ แบนเครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ เช่น VPN, proxy และ encrypted tunneling ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงข้อมูลในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหา แม้กฎหมายนี้จะยังไม่ผ่าน แต่ก็จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยองค์กร Fight for the Future ได้จัดกิจกรรม VPN Day of Action ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN นักเคลื่อนไหวชี้ว่า VPN ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐและกลุ่มอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2025 นักเคลื่อนไหวในเนปาลใช้ VPN เพื่อจัดการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้รัฐบาลจะพยายามบล็อกแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็ตาม ✅ รายละเอียดร่างกฎหมายในมิชิแกน ➡️ ชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ➡️ ห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” ➡️ รวมถึงภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิก ➡️ เสนอแบน VPN, proxy และ encrypted tunneling ➡️ มีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์ม ✅ การตอบโต้จากนักเคลื่อนไหว ➡️ องค์กร Fight for the Future จัด VPN Day of Action ➡️ มีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน ➡️ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN ➡️ ชี้ว่า VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและเสรีภาพ ➡️ ยกตัวอย่างการใช้ VPN ในการจัดการประท้วงในเนปาล ✅ บริบททางการเมืองและเทคโนโลยี ➡️ กฎหมายนี้สะท้อนแนวโน้มการเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป ➡️ สหราชอาณาจักรก็เคยเสนอจำกัด VPN หลังยอดดาวน์โหลดพุ่ง ➡️ การแบน VPN อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกเปรียบเทียบกับรัฐเผด็จการ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ ➡️ VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม https://www.slashgear.com/1998517/us-states-vpn-ban-protests-day-of-action/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    US States Want To Ban VPNs, But Citizens Are Already Fighting Back - SlashGear
    The Michigan ban is about more than moderating content. VPNs play an essential role in protecting citizens' right to access and share information.
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • “Google แฉเครือข่ายรัสเซียปล่อยข่าวเท็จโจมตีโปแลนด์ – ใช้ Portal Kombat ปั่นกระแสหลังเหตุโดรนรุกล้ำอากาศ”

    Google’s Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์โดรนรุกล้ำอากาศโปแลนด์เมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2025 เครือข่ายข้อมูลเท็จที่สนับสนุนรัสเซียได้เปิดฉากปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) อย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและบิดเบือนข้อเท็จจริง

    เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ได้แก่ Portal Kombat (หรือ Pravda Network), Doppelganger และ NDP (Niezależny Dziennik Polityczny) ซึ่งใช้เว็บไซต์ปลอมและบัญชีโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี NATO, ปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลโปแลนด์ และลดการสนับสนุนยูเครน

    GTIG ระบุว่าเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้มี 4 อย่าง:

    สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย
    โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ
    ทำให้ประชาชนโปแลนด์หมดศรัทธาต่อรัฐบาล
    ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ

    Portal Kombat ใช้เว็บไซต์ปลอมหลายแห่งที่มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศ เช่น โพสต์ว่าโดรนไม่สามารถมาจากรัสเซียได้ หรือกล่าวหาว่าผู้นำโปแลนด์ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาภายใน

    Doppelganger ใช้แบรนด์สื่อปลอม เช่น “Polski Kompas” และ “Deutsche Intelligenz” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แฝงด้วยการบิดเบือน เช่น กล่าวหาว่าชาวโปแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการช่วยยูเครน หรือกล่าวหาว่า NATO สร้างเรื่องขึ้นมา

    NDP ซึ่งเป็นเครือข่ายภาษาโปแลนด์ที่มีมายาวนาน ก็ถูกเปิดโปงว่าใช้บุคคลปลอมเป็นบรรณาธิการ และเผยแพร่บทความที่เรียกการตอบโต้ของโปแลนด์ว่า “อาการคลั่งสงคราม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลโปแลนด์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโดรนเข้ามา

    GTIG สรุปว่าเครือข่ายเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในการปั่นกระแสอย่างมีประสิทธิภาพ

    เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง
    Portal Kombat (Pravda Network) – เว็บไซต์ปลอมหลายแห่ง
    Doppelganger – สื่อปลอมเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะประเทศ
    NDP – สื่อภาษาโปแลนด์ที่ใช้บุคคลปลอมเป็นผู้เขียน

    เป้าหมายของแคมเปญข่าวสาร
    สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย
    โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ
    ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาล
    ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ

    วิธีการที่ใช้
    เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนสื่อจริง
    โพสต์โซเชียลมีเดียจากบัญชีปลอม
    การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    การตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบรวดเร็ว

    https://securityonline.info/google-exposes-russian-disinformation-blitz-over-poland-airspace-incursion-using-portal-kombat-network/
    🕵️ “Google แฉเครือข่ายรัสเซียปล่อยข่าวเท็จโจมตีโปแลนด์ – ใช้ Portal Kombat ปั่นกระแสหลังเหตุโดรนรุกล้ำอากาศ” Google’s Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์โดรนรุกล้ำอากาศโปแลนด์เมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2025 เครือข่ายข้อมูลเท็จที่สนับสนุนรัสเซียได้เปิดฉากปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) อย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและบิดเบือนข้อเท็จจริง เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ได้แก่ Portal Kombat (หรือ Pravda Network), Doppelganger และ NDP (Niezależny Dziennik Polityczny) ซึ่งใช้เว็บไซต์ปลอมและบัญชีโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี NATO, ปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลโปแลนด์ และลดการสนับสนุนยูเครน GTIG ระบุว่าเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้มี 4 อย่าง: 📰 สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย 📰 โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ 📰 ทำให้ประชาชนโปแลนด์หมดศรัทธาต่อรัฐบาล 📰 ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ Portal Kombat ใช้เว็บไซต์ปลอมหลายแห่งที่มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศ เช่น โพสต์ว่าโดรนไม่สามารถมาจากรัสเซียได้ หรือกล่าวหาว่าผู้นำโปแลนด์ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาภายใน Doppelganger ใช้แบรนด์สื่อปลอม เช่น “Polski Kompas” และ “Deutsche Intelligenz” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แฝงด้วยการบิดเบือน เช่น กล่าวหาว่าชาวโปแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการช่วยยูเครน หรือกล่าวหาว่า NATO สร้างเรื่องขึ้นมา NDP ซึ่งเป็นเครือข่ายภาษาโปแลนด์ที่มีมายาวนาน ก็ถูกเปิดโปงว่าใช้บุคคลปลอมเป็นบรรณาธิการ และเผยแพร่บทความที่เรียกการตอบโต้ของโปแลนด์ว่า “อาการคลั่งสงคราม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลโปแลนด์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโดรนเข้ามา GTIG สรุปว่าเครือข่ายเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในการปั่นกระแสอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ➡️ Portal Kombat (Pravda Network) – เว็บไซต์ปลอมหลายแห่ง ➡️ Doppelganger – สื่อปลอมเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะประเทศ ➡️ NDP – สื่อภาษาโปแลนด์ที่ใช้บุคคลปลอมเป็นผู้เขียน ✅ เป้าหมายของแคมเปญข่าวสาร ➡️ สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย ➡️ โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ ➡️ ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาล ➡️ ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ ✅ วิธีการที่ใช้ ➡️ เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนสื่อจริง ➡️ โพสต์โซเชียลมีเดียจากบัญชีปลอม ➡️ การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ การตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบรวดเร็ว https://securityonline.info/google-exposes-russian-disinformation-blitz-over-poland-airspace-incursion-using-portal-kombat-network/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Exposes Russian Disinformation Blitz Over Poland Airspace Incursion Using Portal Kombat Network
    Google exposed pro-Russia IO campaigns (Portal Kombat, Doppelganger) exploiting a Polish drone incursion to deflect blame from Russia, undermine NATO, and discredit the Polish government.
    0 Comments 0 Shares 351 Views 0 Reviews
  • “จีนเปิดฉากสอบสวน ‘แอนะล็อกชิป’ จากสหรัฐ – ขอข้อมูลลูกค้า กำไร และต้นทุนแบบละเอียด!”

    จีนกำลังดำเนินการสอบสวนการทุ่มตลาด (anti-dumping) ต่อชิปแอนะล็อกที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากบริษัทอย่าง Texas Instruments และ Analog Devices ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ เพื่อขอข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับยอดขาย ต้นทุน กำไร และชื่อของลูกค้าในจีน

    แบบสอบถามนี้ครอบคลุมข้อมูลเชิงลึก เช่น ปริมาณการขาย ค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และต้นทุนวัตถุดิบ โดยบริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเจรจาการค้าระดับสูง

    แม้จะไม่มีการระบุชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่ลักษณะของชิปที่ถูกสอบสวน—เช่น commodity interface IC และ gate driver IC ที่ใช้เทคโนโลยี 40nm ขึ้นไป—ตรงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทสหรัฐฯ หลายราย

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากจีนถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง และใช้การอนุญาตฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เป็นเครื่องมือในการเจรจา ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวนด้านการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ

    รายละเอียดการสอบสวนของจีน
    กระทรวงพาณิชย์จีนส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ
    ขอข้อมูลยอดขาย กำไร ต้นทุน และชื่อลูกค้าในจีน
    ครอบคลุมข้อมูลเช่นค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และวัตถุดิบ
    บริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ
    สอบสวนชิปแอนะล็อก เช่น interface IC และ gate driver IC

    บริบททางการค้าและการตอบโต้
    เกิดขึ้นในช่วงเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
    สหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง
    จีนตอบโต้ด้วยการสอบสวนการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ
    เป็นสัญญาณว่าจีนสามารถใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าได้
    การสอบสวนอาจนำไปสู่การจำกัดการนำเข้าชิปจากสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-wants-us-semiconductor-companies-to-submit-sensitive-data-as-part-of-probe-anti-dumping-investigation-requests-sales-and-profit-data
    🇨🇳 “จีนเปิดฉากสอบสวน ‘แอนะล็อกชิป’ จากสหรัฐ – ขอข้อมูลลูกค้า กำไร และต้นทุนแบบละเอียด!” จีนกำลังดำเนินการสอบสวนการทุ่มตลาด (anti-dumping) ต่อชิปแอนะล็อกที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากบริษัทอย่าง Texas Instruments และ Analog Devices ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ เพื่อขอข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับยอดขาย ต้นทุน กำไร และชื่อของลูกค้าในจีน แบบสอบถามนี้ครอบคลุมข้อมูลเชิงลึก เช่น ปริมาณการขาย ค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และต้นทุนวัตถุดิบ โดยบริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเจรจาการค้าระดับสูง แม้จะไม่มีการระบุชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่ลักษณะของชิปที่ถูกสอบสวน—เช่น commodity interface IC และ gate driver IC ที่ใช้เทคโนโลยี 40nm ขึ้นไป—ตรงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทสหรัฐฯ หลายราย การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากจีนถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง และใช้การอนุญาตฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เป็นเครื่องมือในการเจรจา ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวนด้านการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ ✅ รายละเอียดการสอบสวนของจีน ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสหรัฐฯ ➡️ ขอข้อมูลยอดขาย กำไร ต้นทุน และชื่อลูกค้าในจีน ➡️ ครอบคลุมข้อมูลเช่นค่าขนส่ง ค่าคลังสินค้า และวัตถุดิบ ➡️ บริษัทมีเวลา 37 วันในการตอบกลับ ➡️ สอบสวนชิปแอนะล็อก เช่น interface IC และ gate driver IC ✅ บริบททางการค้าและการตอบโต้ ➡️ เกิดขึ้นในช่วงเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิป AI ระดับสูง ➡️ จีนตอบโต้ด้วยการสอบสวนการทุ่มตลาดและการเลือกปฏิบัติ ➡️ เป็นสัญญาณว่าจีนสามารถใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าได้ ➡️ การสอบสวนอาจนำไปสู่การจำกัดการนำเข้าชิปจากสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-wants-us-semiconductor-companies-to-submit-sensitive-data-as-part-of-probe-anti-dumping-investigation-requests-sales-and-profit-data
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China wants US semiconductor companies to submit sensitive data as part of probe — 'anti-dumping' investigation requests sales and profit data
    No specific businesses have been named, but the probe seems designed to target Texas Instruments and Analog Devices.
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • “Nexperia โต้กลับอดีต CEO จีน — ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินและการแยกตัวในจีน” — เมื่อสงครามเทคโนโลยีระหว่างยุโรป-จีนลุกลามถึงระดับผู้บริหาร

    บริษัทผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์ Nexperia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ Zhang Xuezheng อดีต CEO ฝั่งจีนที่เพิ่งถูกปลด โดยระบุว่าข้อกล่าวหาที่ว่า “บริษัทไม่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานในจีน” และ “หน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานอย่างอิสระ” เป็นข้อมูลเท็จและทำให้เข้าใจผิด

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการของ Nexperia เพื่อป้องกันการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยังจีน โดยมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่กังวลว่า Zhang ใช้ทรัพยากรของ Nexperia สนับสนุนบริษัทผลิตชิปส่วนตัวของตนเอง

    หลังจากนั้น จีนได้สั่งห้ามโรงงานของ Nexperia ในจีนส่งออกสินค้า และ Zhang ก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน WeChat อ้างว่าหน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งการจัดการจากเนเธอร์แลนด์

    Nexperia ยืนยันว่าโรงงานทุกแห่งยังดำเนินงานตามปกติ และข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนนั้น “ไม่เป็นความจริง” โดยระบุว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความสับสน

    รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ Vincent Karremans ซึ่งมีอำนาจอนุมัติการตัดสินใจของบริษัทในช่วงที่รัฐบาลเข้าควบคุม กำลังเตรียมพบกับเจ้าหน้าที่จีนและคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อหาทางออก

    เขาให้สัมภาษณ์ว่า “หากไม่ดำเนินการใด ๆ ยุโรปจะต้องพึ่งพาต่างชาติ 100% ในด้านความรู้และกำลังการผลิตชิป” ซึ่งสะท้อนความกังวลด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

    Nexperia ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากอดีต CEO Zhang Xuezheng
    ระบุว่าเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนและการแยกตัวในจีนเป็นข้อมูลเท็จ

    Zhang ถูกปลดหลังถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรบริษัทสนับสนุนกิจการส่วนตัว
    เป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการ

    จีนสั่งห้ามโรงงาน Nexperia ส่งออกสินค้า
    เป็นการตอบโต้การควบคุมจากฝั่งยุโรป

    ข้อกล่าวหาถูกเผยแพร่ผ่าน WeChat ของ Nexperia China
    อ้างว่าหน่วยงานจีนสามารถดำเนินงานได้เอง

    รัฐมนตรี Vincent Karremans เตรียมหารือกับจีนและ EU
    เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง

    Nexperia เป็นผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ และยานยนต์
    แม้ไม่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/embattled-dutch-chipmaker-nexperia-blasts-ousted-ceo-over-false-accusations-claims-of-unpaid-salaries-and-independent-operation-in-china-are-falsehoods-say-company
    🇳🇱 “Nexperia โต้กลับอดีต CEO จีน — ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินและการแยกตัวในจีน” — เมื่อสงครามเทคโนโลยีระหว่างยุโรป-จีนลุกลามถึงระดับผู้บริหาร บริษัทผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์ Nexperia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ Zhang Xuezheng อดีต CEO ฝั่งจีนที่เพิ่งถูกปลด โดยระบุว่าข้อกล่าวหาที่ว่า “บริษัทไม่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานในจีน” และ “หน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานอย่างอิสระ” เป็นข้อมูลเท็จและทำให้เข้าใจผิด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการของ Nexperia เพื่อป้องกันการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยังจีน โดยมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่กังวลว่า Zhang ใช้ทรัพยากรของ Nexperia สนับสนุนบริษัทผลิตชิปส่วนตัวของตนเอง หลังจากนั้น จีนได้สั่งห้ามโรงงานของ Nexperia ในจีนส่งออกสินค้า และ Zhang ก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน WeChat อ้างว่าหน่วยงานในจีนสามารถดำเนินงานได้เองโดยไม่ต้องพึ่งการจัดการจากเนเธอร์แลนด์ Nexperia ยืนยันว่าโรงงานทุกแห่งยังดำเนินงานตามปกติ และข้อกล่าวหาเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนนั้น “ไม่เป็นความจริง” โดยระบุว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความสับสน รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ Vincent Karremans ซึ่งมีอำนาจอนุมัติการตัดสินใจของบริษัทในช่วงที่รัฐบาลเข้าควบคุม กำลังเตรียมพบกับเจ้าหน้าที่จีนและคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อหาทางออก เขาให้สัมภาษณ์ว่า “หากไม่ดำเนินการใด ๆ ยุโรปจะต้องพึ่งพาต่างชาติ 100% ในด้านความรู้และกำลังการผลิตชิป” ซึ่งสะท้อนความกังวลด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี ✅ Nexperia ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากอดีต CEO Zhang Xuezheng ➡️ ระบุว่าเรื่องไม่จ่ายเงินเดือนและการแยกตัวในจีนเป็นข้อมูลเท็จ ✅ Zhang ถูกปลดหลังถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรบริษัทสนับสนุนกิจการส่วนตัว ➡️ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการ ✅ จีนสั่งห้ามโรงงาน Nexperia ส่งออกสินค้า ➡️ เป็นการตอบโต้การควบคุมจากฝั่งยุโรป ✅ ข้อกล่าวหาถูกเผยแพร่ผ่าน WeChat ของ Nexperia China ➡️ อ้างว่าหน่วยงานจีนสามารถดำเนินงานได้เอง ✅ รัฐมนตรี Vincent Karremans เตรียมหารือกับจีนและ EU ➡️ เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง ✅ Nexperia เป็นผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ และยานยนต์ ➡️ แม้ไม่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/embattled-dutch-chipmaker-nexperia-blasts-ousted-ceo-over-false-accusations-claims-of-unpaid-salaries-and-independent-operation-in-china-are-falsehoods-say-company
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน"

    Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว

    บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง

    Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต

    มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO)
    สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา
    การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots”
    ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ

    การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO)
    Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย
    เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them”
    สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    คำเตือนจาก Sankar
    การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง
    บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต

    ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน
    Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola
    การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก
    ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร

    แนวทางที่ Sankar เสนอ
    สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง
    ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก
    ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น
    เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
    มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์

    ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน
    จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน
    การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล
    ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    🥷 "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน" Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต ✅ มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO) ➡️ สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา ➡️ การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots” ➡️ ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ ✅ การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO) ➡️ Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย ➡️ เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them” ➡️ สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนจาก Sankar ⛔ การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง ⛔ บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต ✅ ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน ➡️ Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola ➡️ การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก ➡️ ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร ✅ แนวทางที่ Sankar เสนอ ➡️ สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง ➡️ ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก ➡️ ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น ➡️ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ➡️ มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์ ✅ ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน ➡️ จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน ➡️ การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล ➡️ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
  • “Ofcom vs. 4Chan: เมื่อกฎหมายออนไลน์ของอังกฤษพยายามข้ามมหาสมุทร”

    บทความโดย Alec Muffett เล่าถึงกรณีที่ Preston Byrne ทนายของ 4Chan ได้เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom หน่วยงานกำกับดูแลด้านสื่อของอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Ofcom เชื่อว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย Online Safety Act ในการสอบสวนและลงโทษบริษัทออนไลน์ต่างชาติที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่ในสหรัฐฯ

    ในจดหมายยืนยันของ Ofcom มีการอ้างว่า Online Safety Act มี “ผลบังคับใช้ข้ามพรมแดน” โดยระบุว่า “หน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการออกแบบ การดำเนินงาน และการใช้งานในสหราชอาณาจักร” และ “เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น”

    Alec มองว่าการตีความเช่นนี้เป็นการ “โยนรัฐสภาใต้รถบัส” เพราะกฎหมายฉบับนี้ดูเหมือนจะร่างมาอย่างไม่รอบคอบ และ Ofcom เองก็อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง “Great Firewall of Britain” เพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม

    เขาเปรียบเทียบว่า 4Chan ไม่ได้ “ลักลอบเข้ามาในอังกฤษ” แต่กลับถูกมองว่าเป็นภัยต่อวัฒนธรรม ขณะที่สิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมอังกฤษจริง ๆ อาจเป็น “การ์ตูน Winnie-the-Pooh เวอร์ชันดิสนีย์” เสียมากกว่า

    ท้ายบทความ Alec เตือนว่า หากอังกฤษยังคงพยายามบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ต่อบริษัทต่างชาติ อาจนำไปสู่การตอบโต้จากสหรัฐฯ และการเรียกร้องให้มีการระบุตัวตนดิจิทัล (digital identity) เพื่อเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

    Ofcom อ้างว่ามีอำนาจตาม Online Safety Act ในการสอบสวนบริษัทต่างชาติ
    แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่นอกสหราชอาณาจักร เช่น 4Chan ในสหรัฐฯ

    กฎหมายระบุว่าหน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการใช้งานใน UK
    เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร

    Preston Byrne เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom
    เป็นหลักฐานว่ามีการตีความกฎหมายอย่างกว้างขวาง

    Alec Muffett วิจารณ์ว่า Ofcom อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ
    และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง Great Firewall of Britain

    การบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้อาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มี digital identity
    เพื่อควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์

    https://alecmuffett.com/article/117792
    ⚖️ “Ofcom vs. 4Chan: เมื่อกฎหมายออนไลน์ของอังกฤษพยายามข้ามมหาสมุทร” บทความโดย Alec Muffett เล่าถึงกรณีที่ Preston Byrne ทนายของ 4Chan ได้เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom หน่วยงานกำกับดูแลด้านสื่อของอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Ofcom เชื่อว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย Online Safety Act ในการสอบสวนและลงโทษบริษัทออนไลน์ต่างชาติที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ในจดหมายยืนยันของ Ofcom มีการอ้างว่า Online Safety Act มี “ผลบังคับใช้ข้ามพรมแดน” โดยระบุว่า “หน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการออกแบบ การดำเนินงาน และการใช้งานในสหราชอาณาจักร” และ “เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น” Alec มองว่าการตีความเช่นนี้เป็นการ “โยนรัฐสภาใต้รถบัส” เพราะกฎหมายฉบับนี้ดูเหมือนจะร่างมาอย่างไม่รอบคอบ และ Ofcom เองก็อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง “Great Firewall of Britain” เพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม เขาเปรียบเทียบว่า 4Chan ไม่ได้ “ลักลอบเข้ามาในอังกฤษ” แต่กลับถูกมองว่าเป็นภัยต่อวัฒนธรรม ขณะที่สิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมอังกฤษจริง ๆ อาจเป็น “การ์ตูน Winnie-the-Pooh เวอร์ชันดิสนีย์” เสียมากกว่า ท้ายบทความ Alec เตือนว่า หากอังกฤษยังคงพยายามบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ต่อบริษัทต่างชาติ อาจนำไปสู่การตอบโต้จากสหรัฐฯ และการเรียกร้องให้มีการระบุตัวตนดิจิทัล (digital identity) เพื่อเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ✅ Ofcom อ้างว่ามีอำนาจตาม Online Safety Act ในการสอบสวนบริษัทต่างชาติ ➡️ แม้บริษัทนั้นจะตั้งอยู่นอกสหราชอาณาจักร เช่น 4Chan ในสหรัฐฯ ✅ กฎหมายระบุว่าหน้าที่ของผู้ให้บริการครอบคลุมถึงการใช้งานใน UK ➡️ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร ✅ Preston Byrne เผยแพร่จดหมายโต้ตอบกับ Ofcom ➡️ เป็นหลักฐานว่ามีการตีความกฎหมายอย่างกว้างขวาง ✅ Alec Muffett วิจารณ์ว่า Ofcom อาจเชื่อจริง ๆ ว่าตนมีอำนาจเหนือบริษัทต่างชาติ ➡️ และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้สร้าง Great Firewall of Britain ✅ การบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้อาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มี digital identity ➡️ เพื่อควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ https://alecmuffett.com/article/117792
    ALECMUFFETT.COM
    The Ofcom Tea Party: 4Chan Lawyer publishes Ofcom correspondence, British regulator claims “sovereign immunity” to defend itself – and sovereign powers to regulate foreign companies
    Ofcom — driven by the letter of British law that they are bound to follow, but still Ofcom — are quietly making Britain look (a) very silly and (b) as if we haven’t yet shucked-off the Americ…
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • “Sundar Pichai ยอมรับ ChatGPT แซงหน้า Google ชั่วคราว — เผยเบื้องหลัง ‘Code Red’ ที่ Dreamforce” — เมื่อผู้นำ Google เปิดใจถึงจุดเปลี่ยนของยุค AI และการตอบโต้ที่เปลี่ยนทิศทางบริษัท

    ในงาน Dreamforce 2025 Sundar Pichai ซีอีโอของ Google และ Alphabet ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลาที่ “Google ถูกแซงหน้า” ในด้านเทคโนโลยี AI โดยเขายอมรับว่า ChatGPT ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับการค้นหาข้อมูล และทำให้ Google ต้องประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร

    Pichai เล่าว่า Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้วในตอนนั้น แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัวเพราะกังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล จึงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการปรับปรุง ก่อนจะเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini) ในเดือนมีนาคม 2023

    เขาเปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับอดีต เช่น ตอนที่ YouTube โผล่ขึ้นมาในปี 2006 ขณะที่ Google ยังพัฒนา video search อยู่ หรือเมื่อ Instagram แซงหน้า Facebook ในด้านการแชร์ภาพ — เหตุการณ์เหล่านี้คือ “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่บริษัทต้องปรับตัว

    แม้จะถูกมองว่า ChatGPT เป็นภัยคุกคาม แต่ Pichai กลับมองว่าเป็น “สัญญาณแห่งโอกาส” เพราะ Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งในด้านการวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์ขนาดใหญ่

    Sundar Pichai ยอมรับว่า ChatGPT เคยแซงหน้า Google ชั่วคราว
    เกิดขึ้นช่วงปลายปี 2022 หลัง ChatGPT เปิดตัว

    Google ประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร
    เร่งพัฒนาและเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini)

    Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัว
    กังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้

    Pichai เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับ YouTube และ Instagram
    มองว่าเป็นจังหวะเปลี่ยนเกมที่บริษัทต้องปรับตัว

    Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่ง
    เช่น ทีมวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์

    แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่การนำ AI สู่ตลาดต้องเร็วและแม่นยำ
    ความล่าช้าอาจทำให้คู่แข่งได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์

    https://securityonline.info/sundar-pichai-admits-chatgpt-temporarily-surpassed-google-recalls-code-red-moment-at-dreamforce/
    🚨 “Sundar Pichai ยอมรับ ChatGPT แซงหน้า Google ชั่วคราว — เผยเบื้องหลัง ‘Code Red’ ที่ Dreamforce” — เมื่อผู้นำ Google เปิดใจถึงจุดเปลี่ยนของยุค AI และการตอบโต้ที่เปลี่ยนทิศทางบริษัท ในงาน Dreamforce 2025 Sundar Pichai ซีอีโอของ Google และ Alphabet ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลาที่ “Google ถูกแซงหน้า” ในด้านเทคโนโลยี AI โดยเขายอมรับว่า ChatGPT ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับการค้นหาข้อมูล และทำให้ Google ต้องประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร Pichai เล่าว่า Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้วในตอนนั้น แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัวเพราะกังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล จึงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการปรับปรุง ก่อนจะเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini) ในเดือนมีนาคม 2023 เขาเปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับอดีต เช่น ตอนที่ YouTube โผล่ขึ้นมาในปี 2006 ขณะที่ Google ยังพัฒนา video search อยู่ หรือเมื่อ Instagram แซงหน้า Facebook ในด้านการแชร์ภาพ — เหตุการณ์เหล่านี้คือ “จังหวะเปลี่ยนเกม” ที่บริษัทต้องปรับตัว แม้จะถูกมองว่า ChatGPT เป็นภัยคุกคาม แต่ Pichai กลับมองว่าเป็น “สัญญาณแห่งโอกาส” เพราะ Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งในด้านการวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ ✅ Sundar Pichai ยอมรับว่า ChatGPT เคยแซงหน้า Google ชั่วคราว ➡️ เกิดขึ้นช่วงปลายปี 2022 หลัง ChatGPT เปิดตัว ✅ Google ประกาศ “Code Red” ภายในองค์กร ➡️ เร่งพัฒนาและเปิดตัว Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini) ✅ Google มีต้นแบบ AI สนทนาอยู่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมเปิดตัว ➡️ กังวลเรื่องคุณภาพและความรับผิดชอบต่อผู้ใช้ ✅ Pichai เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับ YouTube และ Instagram ➡️ มองว่าเป็นจังหวะเปลี่ยนเกมที่บริษัทต้องปรับตัว ✅ Google มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่แข็งแกร่ง ➡️ เช่น ทีมวิจัย, ชิป AI, และระบบคลาวด์ ‼️ แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่การนำ AI สู่ตลาดต้องเร็วและแม่นยำ ⛔ ความล่าช้าอาจทำให้คู่แข่งได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ https://securityonline.info/sundar-pichai-admits-chatgpt-temporarily-surpassed-google-recalls-code-red-moment-at-dreamforce/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sundar Pichai Admits ChatGPT Temporarily Surpassed Google, Recalls "Code Red" Moment at Dreamforce
    Google CEO Sundar Pichai admitted at Dreamforce that ChatGPT briefly surpassed Google's AI, but insists the "Code Red" moment fueled the company's long-term pursuit of generative AI innovation.
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 4
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    อเมริกาไม่มีทางเลือกมาก ผ้าเปิดเห็นหมดแล้วว่า หลังจากประเมินคู่หูรัสเซียจีน ผิด คิดไปดักตีหัวเขา ผิดทิศผิดทาง ยังไม่พอ นึกว่าเวลายังมี ดันงัดเอาหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน มาออกโรงฉายฆ่าเวลาไป 2 ปี เล่นเอากองทัพแผ่วไปหลายกิโล กองทัพก็เหมือนกล้ามเนื้อท้อง เคยออกกำลังบ่อยๆ วิ่งเล่นไล่จับแถวอิรัค สลับอาฟกานิสถาน มานานเป็นสิบปี พอไม่ค่อยได้ใช้ แถมสั่งถอน สั่งลด สั่งงดการฝึก กล้ามมันก็ห้อยย้อยหมด จะให้กลับขึ้นเป็นแผง มันก็ต้องใช้เวลาฟิต เพราะฉนั้น อเมริกาไม่น่าเลือกใช้วิธีรบยืดเยื้อ เหมือนรบกับอิรัค อาฟกานิสถาน เพราะศักยภาพของรัสเซียและพวก คนละเรื่องกับพวกที่อเมริกาเคยไปวิ่งเล่นไล่จับด้วย อเมริกาอาจจบไม่สวย อาจถึงขนาดไม่สวยอย่างมาก

    อเมริกาถือตัวว่า ในด้านอาวุธทำลายล้างของตน มีศักยภาพสูงสุด มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าใครๆ ในใลก ดังนั้นโอกาสที่อเมริกา จะเลือกยุทธศาสตร์ สยบฝ่าย รัสเซียและพวก ด้วยกำลังอาวุธสาระพัดชนิด โดยเฉพาะพวกระยะไกล น่าจะมีความเป็นได้สูงกว่า

    ถ้าเลือกใช้อาวุธนำ อเมริกาจะใช้กับใคร และเมื่อไหร่ ที่สำคัญมันต้องเป็นหมากพิฆาต รุกฆาต ตาเดียวจบ เพราะถ้าไม่รุกฆาตจริง อเมริกาเหนื่อยแน่ การตอบโต้จากอีกฝ่าย คงเกิดขึ้นมาจากสาระพัดทิศอย่างแน่นอน และเราคงได้เห็นดอกเห็ดบานเต็มท้องฟ้า

    ถ้าอเมริกา ไม่เลือกใช้วิธีรุกฆาตด้วยอาวุธ แต่ใช้ยุทธศาสตร์รุกคืบ ค่อยๆเคลื่อนพลปิดล้อม ฝ่ายรัสเซียและพวก เหมือนลนไฟให้ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ กระจายตามที่ต่างๆ ตามจังหวะความพร้อมของตัว สมันน้อยก็เตรียมตัวกันด้วยแล้วกัน จะไปขุดรู อยู่ป่า ก็เริ่มคิดไว้บ้าง ไอ้ประเภทสร้างอุโมงค์เตรียมให้ประชาชนหลบภัย เตรียมน้ำ เตรียมยา อาหาร นั่นมันในหนัง หรือบ้านอื่นที่ท่านผู้นำเขามองการณ์ไกล

    แล้วคิดว่า ฝ่ายรัสเซียกับพวก เขาจะนั่งตาลอย ทำหน้าหล่อ มองอเมริกาขยับหมากอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ!?!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 4 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) อเมริกาไม่มีทางเลือกมาก ผ้าเปิดเห็นหมดแล้วว่า หลังจากประเมินคู่หูรัสเซียจีน ผิด คิดไปดักตีหัวเขา ผิดทิศผิดทาง ยังไม่พอ นึกว่าเวลายังมี ดันงัดเอาหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน มาออกโรงฉายฆ่าเวลาไป 2 ปี เล่นเอากองทัพแผ่วไปหลายกิโล กองทัพก็เหมือนกล้ามเนื้อท้อง เคยออกกำลังบ่อยๆ วิ่งเล่นไล่จับแถวอิรัค สลับอาฟกานิสถาน มานานเป็นสิบปี พอไม่ค่อยได้ใช้ แถมสั่งถอน สั่งลด สั่งงดการฝึก กล้ามมันก็ห้อยย้อยหมด จะให้กลับขึ้นเป็นแผง มันก็ต้องใช้เวลาฟิต เพราะฉนั้น อเมริกาไม่น่าเลือกใช้วิธีรบยืดเยื้อ เหมือนรบกับอิรัค อาฟกานิสถาน เพราะศักยภาพของรัสเซียและพวก คนละเรื่องกับพวกที่อเมริกาเคยไปวิ่งเล่นไล่จับด้วย อเมริกาอาจจบไม่สวย อาจถึงขนาดไม่สวยอย่างมาก อเมริกาถือตัวว่า ในด้านอาวุธทำลายล้างของตน มีศักยภาพสูงสุด มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าใครๆ ในใลก ดังนั้นโอกาสที่อเมริกา จะเลือกยุทธศาสตร์ สยบฝ่าย รัสเซียและพวก ด้วยกำลังอาวุธสาระพัดชนิด โดยเฉพาะพวกระยะไกล น่าจะมีความเป็นได้สูงกว่า ถ้าเลือกใช้อาวุธนำ อเมริกาจะใช้กับใคร และเมื่อไหร่ ที่สำคัญมันต้องเป็นหมากพิฆาต รุกฆาต ตาเดียวจบ เพราะถ้าไม่รุกฆาตจริง อเมริกาเหนื่อยแน่ การตอบโต้จากอีกฝ่าย คงเกิดขึ้นมาจากสาระพัดทิศอย่างแน่นอน และเราคงได้เห็นดอกเห็ดบานเต็มท้องฟ้า ถ้าอเมริกา ไม่เลือกใช้วิธีรุกฆาตด้วยอาวุธ แต่ใช้ยุทธศาสตร์รุกคืบ ค่อยๆเคลื่อนพลปิดล้อม ฝ่ายรัสเซียและพวก เหมือนลนไฟให้ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ กระจายตามที่ต่างๆ ตามจังหวะความพร้อมของตัว สมันน้อยก็เตรียมตัวกันด้วยแล้วกัน จะไปขุดรู อยู่ป่า ก็เริ่มคิดไว้บ้าง ไอ้ประเภทสร้างอุโมงค์เตรียมให้ประชาชนหลบภัย เตรียมน้ำ เตรียมยา อาหาร นั่นมันในหนัง หรือบ้านอื่นที่ท่านผู้นำเขามองการณ์ไกล แล้วคิดว่า ฝ่ายรัสเซียกับพวก เขาจะนั่งตาลอย ทำหน้าหล่อ มองอเมริกาขยับหมากอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ!?! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • “สิงคโปร์ตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” — เตรียมบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัยต่อผู้ใช้

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสร้างมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับภัยออนไลน์ โดยเสนอร่างกฎหมายจัดตั้ง “คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” ซึ่งจะมีอำนาจสั่งให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบล็อกเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ภายในประเทศ

    แรงผลักดันของกฎหมายนี้เกิดจากผลการศึกษาของ Infocomm Media Development Authority ที่พบว่า กว่าครึ่งของการร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิดเด็ก การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการเปิดเผยภาพลับ ไม่ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ

    คณะกรรมการใหม่นี้จะมีอำนาจในการสั่งให้บล็อกเนื้อหาทั้งในระดับโพสต์ กลุ่ม หรือแม้แต่เว็บไซต์ของแพลตฟอร์มโดยตรง พร้อมให้สิทธิผู้เสียหายในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มได้

    นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเพิ่มประเภทของภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง โดยคณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026

    ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้ใช้กฎหมาย Online Criminal Harms Act สั่งให้ Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook โดยขู่ว่าจะปรับสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด

    ข้อมูลในข่าว
    สิงคโปร์เสนอร่างกฎหมายตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์
    คณะกรรมการจะมีอำนาจสั่งบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิด การกลั่นแกล้ง และภาพลับ
    ผู้เสียหายจะมีสิทธิในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดได้
    อำนาจครอบคลุมถึงการสั่งบล็อกกลุ่มหรือเว็บไซต์ของแพลตฟอร์ม
    จะเพิ่มประเภทภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง
    คณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026
    รัฐบาลเคยสั่ง Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจถูกลงโทษหากไม่ดำเนินการตามคำสั่งของคณะกรรมการ
    การไม่จัดการเนื้อหาที่เป็นภัยอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การถูกบล็อกทั้งแพลตฟอร์ม
    ผู้ใช้อาจถูกแบนจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มหากกระทำผิด
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถูกจัดเป็นภัยออนไลน์ในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/new-singapore-law-empowers-commission-to-block-harmful-online-content
    🛡️ “สิงคโปร์ตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” — เตรียมบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัยต่อผู้ใช้ สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสร้างมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับภัยออนไลน์ โดยเสนอร่างกฎหมายจัดตั้ง “คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์” ซึ่งจะมีอำนาจสั่งให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบล็อกเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ภายในประเทศ แรงผลักดันของกฎหมายนี้เกิดจากผลการศึกษาของ Infocomm Media Development Authority ที่พบว่า กว่าครึ่งของการร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิดเด็ก การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการเปิดเผยภาพลับ ไม่ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ คณะกรรมการใหม่นี้จะมีอำนาจในการสั่งให้บล็อกเนื้อหาทั้งในระดับโพสต์ กลุ่ม หรือแม้แต่เว็บไซต์ของแพลตฟอร์มโดยตรง พร้อมให้สิทธิผู้เสียหายในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเพิ่มประเภทของภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง โดยคณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026 ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้ใช้กฎหมาย Online Criminal Harms Act สั่งให้ Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook โดยขู่ว่าจะปรับสูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ สิงคโปร์เสนอร่างกฎหมายตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์ ➡️ คณะกรรมการจะมีอำนาจสั่งบล็อกเนื้อหาที่เป็นภัย เช่น การล่วงละเมิด การกลั่นแกล้ง และภาพลับ ➡️ ผู้เสียหายจะมีสิทธิในการตอบโต้ และสามารถแบนผู้กระทำผิดได้ ➡️ อำนาจครอบคลุมถึงการสั่งบล็อกกลุ่มหรือเว็บไซต์ของแพลตฟอร์ม ➡️ จะเพิ่มประเภทภัยออนไลน์ในอนาคต เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง ➡️ คณะกรรมการจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งแรกของปี 2026 ➡️ รัฐบาลเคยสั่ง Meta ดำเนินมาตรการป้องกันการแอบอ้างตัวตนบน Facebook ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจถูกลงโทษหากไม่ดำเนินการตามคำสั่งของคณะกรรมการ ⛔ การไม่จัดการเนื้อหาที่เป็นภัยอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การถูกบล็อกทั้งแพลตฟอร์ม ⛔ ผู้ใช้อาจถูกแบนจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มหากกระทำผิด ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถูกจัดเป็นภัยออนไลน์ในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/new-singapore-law-empowers-commission-to-block-harmful-online-content
    WWW.THESTAR.COM.MY
    New Singapore law empowers commission to block harmful online content
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore will introduce a new online safety commission with powers to order social media platforms to block harmful posts, according to a new bill that was tabled in parliament on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • “ไต้หวันยันโรงงานผลิตชิปปลอดภัยจากมาตรการควบคุมแร่หายากของจีน — แต่ผลกระทบอาจลามถึงอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์”

    หลังจากที่จีนประกาศขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ซึ่งรวมถึงธาตุเฉพาะทางอย่าง holmium, erbium, thulium, europium และ ytterbium พร้อมครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์และเอกสารทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง กระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวันได้ออกมายืนยันว่าโรงงานผลิตชิปของประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการดังกล่าว

    เจ้าหน้าที่ไต้หวันระบุว่า TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ไม่ได้ใช้ธาตุเหล่านี้ในกระบวนการผลิตเวเฟอร์โดยตรง และไต้หวันยังพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากพันธมิตรอย่างยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เป็นหลัก

    อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการผลิตชิปอาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่แร่หายากเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในส่วนประกอบอื่น ๆ ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น แม่เหล็กประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในมอเตอร์ของฮาร์ดไดรฟ์และอุปกรณ์พีซี ซึ่งอาจเริ่มได้รับผลกระทบจากการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น

    นอกจากนี้ มาตรการใหม่ของจีนยังเปิดช่องให้มีการควบคุมการใช้งานในเทคโนโลยีที่ถือว่า “อ่อนไหว” เช่น ชิป AI, ควอนตัม และอุปกรณ์ป้องกันประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการออกใบอนุญาตและเพิ่มแรงเสียดทานในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขยายมาตรการควบคุมแร่หายากเมื่อ 9 ตุลาคม 2025
    ครอบคลุม holmium, erbium, thulium, europium และ ytterbium
    กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันระบุว่า TSMC ไม่ใช้ธาตุเหล่านี้ในเวเฟอร์
    ไต้หวันนำเข้าวัตถุดิบจากยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เป็นหลัก
    แม่เหล็กประสิทธิภาพสูงในฮาร์ดไดรฟ์อาจได้รับผลกระทบ
    มาตรการใหม่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อนุพันธ์และเอกสารเทคนิค
    การใช้งานในเทคโนโลยี “อ่อนไหว” เช่น AI และควอนตัม อาจถูกควบคุม
    การออกใบอนุญาตอาจล่าช้าและเพิ่มแรงเสียดทานในห่วงโซ่อุปทาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แม่เหล็กที่ใช้แร่หายากมีบทบาทสำคัญในมอเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    Europium ใช้ในฟอสฟอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับจอแสดงผล
    Ytterbium มีบทบาทในเลเซอร์เฉพาะทางและระบบทำความเย็น
    การควบคุมแร่หายากเป็นกลยุทธ์ของจีนในการตอบโต้ข้อจำกัดจากสหรัฐฯ
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-says-its-fabs-are-safe-from-china-rare-earth-crackdown
    🧪 “ไต้หวันยันโรงงานผลิตชิปปลอดภัยจากมาตรการควบคุมแร่หายากของจีน — แต่ผลกระทบอาจลามถึงอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์” หลังจากที่จีนประกาศขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ซึ่งรวมถึงธาตุเฉพาะทางอย่าง holmium, erbium, thulium, europium และ ytterbium พร้อมครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์และเอกสารทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง กระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวันได้ออกมายืนยันว่าโรงงานผลิตชิปของประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ไต้หวันระบุว่า TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ไม่ได้ใช้ธาตุเหล่านี้ในกระบวนการผลิตเวเฟอร์โดยตรง และไต้หวันยังพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากพันธมิตรอย่างยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการผลิตชิปอาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่แร่หายากเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในส่วนประกอบอื่น ๆ ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น แม่เหล็กประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในมอเตอร์ของฮาร์ดไดรฟ์และอุปกรณ์พีซี ซึ่งอาจเริ่มได้รับผลกระทบจากการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ มาตรการใหม่ของจีนยังเปิดช่องให้มีการควบคุมการใช้งานในเทคโนโลยีที่ถือว่า “อ่อนไหว” เช่น ชิป AI, ควอนตัม และอุปกรณ์ป้องกันประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการออกใบอนุญาตและเพิ่มแรงเสียดทานในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขยายมาตรการควบคุมแร่หายากเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 ➡️ ครอบคลุม holmium, erbium, thulium, europium และ ytterbium ➡️ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันระบุว่า TSMC ไม่ใช้ธาตุเหล่านี้ในเวเฟอร์ ➡️ ไต้หวันนำเข้าวัตถุดิบจากยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เป็นหลัก ➡️ แม่เหล็กประสิทธิภาพสูงในฮาร์ดไดรฟ์อาจได้รับผลกระทบ ➡️ มาตรการใหม่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อนุพันธ์และเอกสารเทคนิค ➡️ การใช้งานในเทคโนโลยี “อ่อนไหว” เช่น AI และควอนตัม อาจถูกควบคุม ➡️ การออกใบอนุญาตอาจล่าช้าและเพิ่มแรงเสียดทานในห่วงโซ่อุปทาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แม่เหล็กที่ใช้แร่หายากมีบทบาทสำคัญในมอเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ Europium ใช้ในฟอสฟอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับจอแสดงผล ➡️ Ytterbium มีบทบาทในเลเซอร์เฉพาะทางและระบบทำความเย็น ➡️ การควบคุมแร่หายากเป็นกลยุทธ์ของจีนในการตอบโต้ข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-says-its-fabs-are-safe-from-china-rare-earth-crackdown
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Taiwan says its chip fabs are safe from China’s rare-earth crackdown
    Beijing’s latest export controls skip silicon but tighten pressure on niche metals essential to PC hardware.
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • “Claude Sonnet 4.5 จาก Anthropic เขียนโค้ดต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง — ก้าวใหม่ของ AI ด้านการพัฒนาโปรแกรม”

    Anthropic บริษัท AI คู่แข่งของ OpenAI ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการพัฒนาโมเดล AI สำหรับงานเขียนโปรแกรม โดย Claude Sonnet 4.5 สามารถทำงานเขียนโค้ดได้ต่อเนื่องถึง 30 ชั่วโมงโดยไม่สะดุด ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเวอร์ชันก่อนหน้าที่ทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง

    Sean Ward ซีอีโอของ Anthropic ระบุว่า “Claude Sonnet 4.5 ได้เปลี่ยนความคาดหวังของเรา — มันช่วยให้วิศวกรสามารถจัดการงานโครงสร้างซับซ้อนที่กินเวลาหลายเดือนให้เสร็จได้ในเวลาอันสั้น พร้อมรักษาความสอดคล้องของโค้ดขนาดใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม”

    นอกจากความสามารถในการเขียนโค้ดต่อเนื่องแล้ว Claude Sonnet 4.5 ยังมีจุดเด่นด้านการตรวจจับช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในของบริษัท

    การพัฒนา AI ด้านการเขียนโปรแกรมกำลังกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของบริษัทเทคโนโลยี โดย OpenAI เองก็เปิดตัว Codex สำหรับนักพัฒนาไปก่อนหน้านี้ และ Claude Sonnet 4.5 ถือเป็นการตอบโต้ที่ทรงพลังจากฝั่ง Anthropic

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Claude Sonnet 4.5 เขียนโค้ดต่อเนื่องได้ถึง 30 ชั่วโมง
    เวอร์ชันก่อนหน้าทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง
    ช่วยวิศวกรลดเวลาในการจัดการโครงสร้างซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่
    ตรวจจับช่องโหว่ในโค้ดที่อาจถูกใช้โจมตีทางไซเบอร์
    ถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Anthropic
    เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Codex จาก OpenAI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Sonnet 4.5 ใช้เทคนิค reasoning agent และ memory optimization เพื่อรักษาความต่อเนื่อง
    การเขียนโค้ดต่อเนื่องช่วยลด context switching ของนักพัฒนา
    การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ช่วยลดภาระของทีม security
    Claude Sonnet 4.5 รองรับการเขียนหลายภาษา เช่น Python, JavaScript, Go และ Rust
    โมเดลนี้สามารถทำงานร่วมกับ IDE ผ่าน API ได้โดยตรง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Claude Sonnet 4.5 ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์โค้ด
    การพึ่งพา AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมดอาจทำให้เกิด blind spot ด้านความปลอดภัย
    การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ยังไม่สามารถแทนที่การตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญได้
    การใช้งานต่อเนื่อง 30 ชั่วโมงอาจต้องการทรัพยากรระบบสูง
    การนำไปใช้ในองค์กรต้องมีการปรับแต่งและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างรัดกุม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/12/anthropic039s-new-ai-model-can-write-code-for-30-hours-straight
    💻 “Claude Sonnet 4.5 จาก Anthropic เขียนโค้ดต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง — ก้าวใหม่ของ AI ด้านการพัฒนาโปรแกรม” Anthropic บริษัท AI คู่แข่งของ OpenAI ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการพัฒนาโมเดล AI สำหรับงานเขียนโปรแกรม โดย Claude Sonnet 4.5 สามารถทำงานเขียนโค้ดได้ต่อเนื่องถึง 30 ชั่วโมงโดยไม่สะดุด ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเวอร์ชันก่อนหน้าที่ทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง Sean Ward ซีอีโอของ Anthropic ระบุว่า “Claude Sonnet 4.5 ได้เปลี่ยนความคาดหวังของเรา — มันช่วยให้วิศวกรสามารถจัดการงานโครงสร้างซับซ้อนที่กินเวลาหลายเดือนให้เสร็จได้ในเวลาอันสั้น พร้อมรักษาความสอดคล้องของโค้ดขนาดใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม” นอกจากความสามารถในการเขียนโค้ดต่อเนื่องแล้ว Claude Sonnet 4.5 ยังมีจุดเด่นด้านการตรวจจับช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในของบริษัท การพัฒนา AI ด้านการเขียนโปรแกรมกำลังกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของบริษัทเทคโนโลยี โดย OpenAI เองก็เปิดตัว Codex สำหรับนักพัฒนาไปก่อนหน้านี้ และ Claude Sonnet 4.5 ถือเป็นการตอบโต้ที่ทรงพลังจากฝั่ง Anthropic ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Claude Sonnet 4.5 เขียนโค้ดต่อเนื่องได้ถึง 30 ชั่วโมง ➡️ เวอร์ชันก่อนหน้าทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง ➡️ ช่วยวิศวกรลดเวลาในการจัดการโครงสร้างซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ➡️ ตรวจจับช่องโหว่ในโค้ดที่อาจถูกใช้โจมตีทางไซเบอร์ ➡️ ถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Anthropic ➡️ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Codex จาก OpenAI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Sonnet 4.5 ใช้เทคนิค reasoning agent และ memory optimization เพื่อรักษาความต่อเนื่อง ➡️ การเขียนโค้ดต่อเนื่องช่วยลด context switching ของนักพัฒนา ➡️ การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ช่วยลดภาระของทีม security ➡️ Claude Sonnet 4.5 รองรับการเขียนหลายภาษา เช่น Python, JavaScript, Go และ Rust ➡️ โมเดลนี้สามารถทำงานร่วมกับ IDE ผ่าน API ได้โดยตรง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Claude Sonnet 4.5 ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์โค้ด ⛔ การพึ่งพา AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมดอาจทำให้เกิด blind spot ด้านความปลอดภัย ⛔ การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ยังไม่สามารถแทนที่การตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญได้ ⛔ การใช้งานต่อเนื่อง 30 ชั่วโมงอาจต้องการทรัพยากรระบบสูง ⛔ การนำไปใช้ในองค์กรต้องมีการปรับแต่งและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างรัดกุม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/12/anthropic039s-new-ai-model-can-write-code-for-30-hours-straight
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Anthropic's new AI model can write code for 30 hours straight
    Anthropic – an AI company competing with the likes of ChatGPT maker OpenAI – has reached a milestone in using its software for programming.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน
    ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน

    วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว
    เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม
    กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว

    พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง

    วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน
    แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว

    เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา

    สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง

    สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว
    เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ

    ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank

    วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ
    ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา

    โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิย. 2557
    0 Comments 0 Shares 680 Views 0 Reviews
  • Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง

    หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่

    ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94%

    Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง
    ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่
    ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores

    ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4
    Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก
    Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ

    มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่
    รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก
    อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94%

    Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต
    คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD
    แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น

    https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    📰 Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่ ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026 อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94% ✅ Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง ➡️ ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่ ➡️ ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores ✅ ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4 ➡️ Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก ➡️ Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ ✅ มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่ ➡️ รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ➡️ อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94% ✅ Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต ➡️ คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD ➡️ แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    WCCFTECH.COM
    Intel Assures They Will Continue To Have GPU Product Offerings In The Future, NVIDIA Deal Complimentary To Product Roadmap
    Intel has reassured that it will continue to have GPU products in the future despite the new NVIDIA deal, which was announced today.
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
More Results