• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 10

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 10
    ในปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่นมอบหมายให้ ทากาฮาชิ ซึ่งไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ไปทำหน้าที่หาเงินกู้ที่อังกฤษ เพื่อให้ญี่ปุ่นมีทุนไปรบรัสเซีย ปรากฏว่า มีผู้อุดหนุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซียล้นหลาม แสดงว่า รัสเซียคงไม่ค่อยมีเพื่อนในอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีผู้ลงทุนจากนิวยอร์ค ปารีส และฮัมเบอร์ก รายชื่อผู้ลงทุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย นอกจากมีสาระพัดบริษัทเงินทุนใหญ่คับโลกแล้ว ยังมีคนใหญ่ๆ คับโลก เช่น Lord Spencer เสนาบดีกระทรวงวังของอังกฤษ และมงกุฏราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์ในชื่อของกษัตริย์ George ที่ 5 อีกด้วย
    จากการไปเดินสายหาเงินสนับสนุนการรบ ทากาฮาชิ ได้ข้อคิดกลับมาว่า ชัยชนะของญี่ปุ่น ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถของญี่ปุ่นโดยลำพัง แต่จะต้องได้รับการสนับสนุน ด้านการเงินและอาวุธ จากอังกฤษและอเมริกา
    เขากลับมาบอกกับฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพญี่ปุ่นเช่นนั้น และทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของฝ่ายกองทัพอย่างยิ่ง
    เมื่อปรากฏว่า กองทัพญี่ปุ่นรบชนะรัสเซียในปี ค.ศ.1905 ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่ก็คิดว่า ตนเองใกล้จะเป็นมหาอำนาจแล้ว งบประมาณของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1905 ถึง ปี ค.ศ.1914 จึงเน้นไปในทางพัฒนากองทัพและอาวุธ และเมื่อถึง ปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่พวกฝรั่งกำลังทำสงครามโลกรบกันเอง ญี่ปุ่นจึงลองเชิง ยื่นข้อเสนอ 21 ข้อ ให้จีน
    ทากาฮาชิไม่เห็นด้วย เขาบอกว่า ญี่ปุ่นกำลังหาเรื่องใส่ตัว การกระทำดังกล่าว จะสร้างแรงสะท้อนกลับ ทำให้อังกฤษและอเมริกาไม่พอใจญี่ปุ่น และจะทำให้จีนเอง ก็เพิ่มการต่อต้านญี่ปุ่นด้วย และเมื่อทากาฮาชิได้เป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี ค.ศ.1920 เขาจึงเสนอให้มีการลดกำลังกองทัพบก และกองทัพเรือลง เพราะว่ากองทัพกำลังคุกคามความเป็นประชาธิปไตยของญี่ปุ่น ในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศ
    ดูเหมือนคำเตือนของทากาฮาชิ และข้อเสนอของเขา จะยิ่งสร้างความแตกแยก เกี่ยวกับเรื่องกองทัพของญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดมีการลอบฆ่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย แน่นอน ผู้ที่ถูกลอบฆ่ามักจะเป็นเป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีกองทัพ
    เมื่อนายกรัฐมนตรี ฮารา เคอิ Hara Kei ถูกลอบฆ่าในปี ค.ศ.1921 ทากาฮาชิ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและไปตกลงทำสัญญา Washington Treaty 1922 ที่มีผลให้กองทัพเรือญี่ปุ่นต้องจำกัดจำนวนเรือ เมื่อเทียบกับกับอเมริกา อังกฤษ แล้ว สัดส่วนจำนวนเรือรบของญี่ปุ่นจะเป็นเพียง 3 ใน 5 ส่วน ของอเมริกากับอังกฤษแต่ละประเทศ และญี่ปุ่น ต้องคืนเกาะชิงเตา ของจีน ที่ให้เยอรมันเช่าไป และญี่ปุ่นไปยึดมาในช่วงทำสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้ ข้อสัญญายังกำหนดให้ทุกฝ่ายเคารพอาณาเขตและอธิปไตยของจีน และหยุดการใช้กำลังทางทหารกับจีน
    สัญญานี้ ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่ฝ่ายกองทัพของญี่ปุ่น ซึ่งบอกว่า ทากาฮาชิกำลังพาญี่ปุ่นเข้าไปอยูใต้ตีนของอังกฤษและอเมริกา เรื่องจีน
    เหมือนใครกำลังเล่นอะไร ปกป้อง คุ้มครอง ทนุถนอมจีนเป็นพิเศษ ถ้านึกถึงเรื่องสงครามฝิ่นและกบฏนักมวย ก็คงเข้าใจได้ว่า มันไม่ใช่เพราะความเห็นใจจีน และคงพอเห็นรางๆว่า น่าจะเป็นรายการหวงชามข้าว หรือแย่งชามข้าวกันมากกว่า
    หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง อังกฤษยังไม่ได้ทุกอย่างตามที่ลงทุนวางแผน ขนาดบ้านเมืองฉิบหายกันไปทั่ว และผู้คนล้มตายเกลื่อน อังกฤษ ยังมีเรื่องค้างที่ต้องทำต่ออีกแยะ คือการแบ่งสมบัติของผู้แพ้สงคราม การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง การจัดการเรื่อง อิตาลี เยอรมัน และรัสเซียให้จบแบบเบ็ดเสร็จ และไม่ใช่อังกฤษจะวุ่นเรื่องยุโรปเท่านั้น เรื่องในเอเซียก็ต้องจัดการด้วย สรุปคือ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย หลังจากสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 เสร็จ คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกไปเรียบร้อยแล้ว จึงต้องการจัดการบ้านเมืองผู้อื่น รวมทั้งทรัพยากรของเขา ให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ
    อ้าว แล้วอังกฤษ ลืมอเมริกา เจ้าหนี้รายใหญ่และผู้ร่วมปล้นตัวสำคัญไปแล้วหรือ คิดว่าอเมริกาจะอือออช่วยกันห่อแล้วหมกด้วยกันทุกเรื่องหรือไง
    ย้อนกลับมาที่จีน ในช่วง ปี ค.ศ.1900 หลังจากกบฏนักมวย จีนก็ยิ่งแตกเป็นก๊กมากขึ้น แต่ในที่สุด ในปี ค.ศ.1911 ซุนยัดเซ็น แห่งก๊กมินตั๋ง ก็ปฏิวัติยึดอำนาจในจีน โค่นราชวงศ์ชิงลงได้
    แต่อังกฤษไม่สบอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติในจีนอย่างยิ่ง ถึงกับบอกว่า ซุนยัดเซ็นคือตัวปัญหาใหญ่ของอังกฤษ ในเอเซีย ซุนยัดเซ็นควรจะปฏิวัติให้สำเร็จ และรีบปราบก๊กต่างๆ ในจีนให้ราบคาบ แต่ซุนยัดเซ็นกลับเดินสายพูดว่า เราต้องล้างคราบอาณานิคมฝรั่ง โดยเฉพาะอังกฤษ ให้หมดไปจากจีน
    เอะ ไหนเขาว่า ซุนยัดเซ็นนี้เป็นเด็กสร้างของฝรั่งไง สงสัยต้องขุดเรื่องคุณหมอซุนกันหน่อย จะได้ตามทันว่า อังกฤษต่อมแตก เพราะอะไร
    ซุนยัดเซ็น เกิดเมื่อปี ค.ศ.1866 เป็นชาวเมืองเจียงชัน (Xiangshan) ครอบครัวแค่พอมีกินมีใช้ อายุเพียง 13 ก็ นั่งเรือไปฮาวาย ไปอยู่กับ ซุนไหม พี่ชาย ที่นั่น เพื่อเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนฝรั่ง เขาพูด เขียนภาษาอังกฤษได้คล่อง แถมได้รางวัลด้านไวยากรณ์อังกฤษอีกด้วย หลังจากนั้นก็ เข้ารีต ไปนับถือศาสนาคริสเตียน และได้รับการสนับสนุนจากพวกมิชันนารีในจีนและฮาวาย ให้ข้ามไปเรียนหมอที่ฮ่องกงจนจบ ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ของคุณหมอซุน ต่างก็ขึ้นเรือหนีชีวิตลำเค็ญในจีน ไปอยู่อเมริกาเป็นแถว พ่อเลยบอกว่า เขาก็ควรทำเช่นนั้น แต่คุณหมอซุนกลับนึกถึงประเทศจีน ที่ถูกฝรั่งกำลังลอกคราบ จึงไม่อยากไปทำงานในอเมริกา แต่คิดอยากทำปฏิวัติ ไล่ราชวงศ์จีน ไล่ฝรั่งออกไป แล้วสร้างจีนใหม่ เพื่อประชาชนจีนปกครองตัวเอง ขึ้นมาแทน
    ปี ค.ศ.1884 คุณหมอซุน ก็จัดประชุมที่ฮาวาย เพื่อจะตั้งสมาคมลับ ที่มีเป้าหมายจะโค่นล้มราชวงศ์แมนจู ต่อมาสมาคมลับนี้ ก็พัฒนาเป็นพวกก๊กมินตั๋ง
    คุณหมอซุน ได้เพื่อนที่ดูเหมือนจะเป็นคนมองเห็นการณ์ไกล คอยให้การสนับสนุน ชื่อ ชาลี ซ่ง ( Charlie Soong) เป็นชาวจีน ที่ไปสู้เอาข้างหน้าในอเมริกา แต่รวยแล้วกลับมาอยู่ในจีนแล้วก็ยิ่งรวยใหญ่ ชาลีชื่นชมความคิดของคุณหมอซุน ให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่เขาว่า มาแตกคอกัน เมื่อคุณหมอซุน ทดลองซ้อมปฏิวัติครั้งแรก ในปี ค.ศ.1895 แล้วปรากฏว่าล่มไม่เป็นท่า คุณหมอกับพวก ก็เลยอพยพ หลบไปปักหลักอยูที่ญี่ปุ่นเสียนาน โดยลูกสาว ชาลี ซ่ง หนีตามไปอยู่ด้วย เลยไม่แน่ใจว่า ชาลี ซ่ง แตกคอกับซุนยัดเซ็น เพราะเสียดายลูกสาว หรือเสียดายว่า ซุนยัดเซ็นปฏิวัติไม่สำเร็จ
    เอะ ปี ค.ศ.1895 นี่มัน จีนกับญี่ปุ่นทะเลาะกันรบกัน ไม่ใช่หรือ ก็ที่ญี่ปุ่นรบกับจีนเรื่องเกาหลีนะ ก็น่าคิด เหมือนมีใครมากระซิบบอกคุณหมอว่า จีนต้องยกกองทัพไปเกาหลี ค่ายทหารว่างทางปลอด น่าจะเป็นเวลาเหมาะในการปฏิวัติจีน แต่คุณหมอดันทำปฏิวัติไม่สำเร็จ แถมเลือกหลบภัยไปอยู่บ้านศัตรู เรื่องนี้มันชวนให้งงจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 10 ในปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่นมอบหมายให้ ทากาฮาชิ ซึ่งไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ไปทำหน้าที่หาเงินกู้ที่อังกฤษ เพื่อให้ญี่ปุ่นมีทุนไปรบรัสเซีย ปรากฏว่า มีผู้อุดหนุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซียล้นหลาม แสดงว่า รัสเซียคงไม่ค่อยมีเพื่อนในอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีผู้ลงทุนจากนิวยอร์ค ปารีส และฮัมเบอร์ก รายชื่อผู้ลงทุนให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย นอกจากมีสาระพัดบริษัทเงินทุนใหญ่คับโลกแล้ว ยังมีคนใหญ่ๆ คับโลก เช่น Lord Spencer เสนาบดีกระทรวงวังของอังกฤษ และมงกุฏราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์ในชื่อของกษัตริย์ George ที่ 5 อีกด้วย จากการไปเดินสายหาเงินสนับสนุนการรบ ทากาฮาชิ ได้ข้อคิดกลับมาว่า ชัยชนะของญี่ปุ่น ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถของญี่ปุ่นโดยลำพัง แต่จะต้องได้รับการสนับสนุน ด้านการเงินและอาวุธ จากอังกฤษและอเมริกา เขากลับมาบอกกับฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพญี่ปุ่นเช่นนั้น และทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของฝ่ายกองทัพอย่างยิ่ง เมื่อปรากฏว่า กองทัพญี่ปุ่นรบชนะรัสเซียในปี ค.ศ.1905 ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่ก็คิดว่า ตนเองใกล้จะเป็นมหาอำนาจแล้ว งบประมาณของญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1905 ถึง ปี ค.ศ.1914 จึงเน้นไปในทางพัฒนากองทัพและอาวุธ และเมื่อถึง ปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่พวกฝรั่งกำลังทำสงครามโลกรบกันเอง ญี่ปุ่นจึงลองเชิง ยื่นข้อเสนอ 21 ข้อ ให้จีน ทากาฮาชิไม่เห็นด้วย เขาบอกว่า ญี่ปุ่นกำลังหาเรื่องใส่ตัว การกระทำดังกล่าว จะสร้างแรงสะท้อนกลับ ทำให้อังกฤษและอเมริกาไม่พอใจญี่ปุ่น และจะทำให้จีนเอง ก็เพิ่มการต่อต้านญี่ปุ่นด้วย และเมื่อทากาฮาชิได้เป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี ค.ศ.1920 เขาจึงเสนอให้มีการลดกำลังกองทัพบก และกองทัพเรือลง เพราะว่ากองทัพกำลังคุกคามความเป็นประชาธิปไตยของญี่ปุ่น ในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศ ดูเหมือนคำเตือนของทากาฮาชิ และข้อเสนอของเขา จะยิ่งสร้างความแตกแยก เกี่ยวกับเรื่องกองทัพของญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดมีการลอบฆ่าผู้ที่ไม่เห็นด้วย แน่นอน ผู้ที่ถูกลอบฆ่ามักจะเป็นเป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีกองทัพ เมื่อนายกรัฐมนตรี ฮารา เคอิ Hara Kei ถูกลอบฆ่าในปี ค.ศ.1921 ทากาฮาชิ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและไปตกลงทำสัญญา Washington Treaty 1922 ที่มีผลให้กองทัพเรือญี่ปุ่นต้องจำกัดจำนวนเรือ เมื่อเทียบกับกับอเมริกา อังกฤษ แล้ว สัดส่วนจำนวนเรือรบของญี่ปุ่นจะเป็นเพียง 3 ใน 5 ส่วน ของอเมริกากับอังกฤษแต่ละประเทศ และญี่ปุ่น ต้องคืนเกาะชิงเตา ของจีน ที่ให้เยอรมันเช่าไป และญี่ปุ่นไปยึดมาในช่วงทำสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้ ข้อสัญญายังกำหนดให้ทุกฝ่ายเคารพอาณาเขตและอธิปไตยของจีน และหยุดการใช้กำลังทางทหารกับจีน สัญญานี้ ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่ฝ่ายกองทัพของญี่ปุ่น ซึ่งบอกว่า ทากาฮาชิกำลังพาญี่ปุ่นเข้าไปอยูใต้ตีนของอังกฤษและอเมริกา เรื่องจีน เหมือนใครกำลังเล่นอะไร ปกป้อง คุ้มครอง ทนุถนอมจีนเป็นพิเศษ ถ้านึกถึงเรื่องสงครามฝิ่นและกบฏนักมวย ก็คงเข้าใจได้ว่า มันไม่ใช่เพราะความเห็นใจจีน และคงพอเห็นรางๆว่า น่าจะเป็นรายการหวงชามข้าว หรือแย่งชามข้าวกันมากกว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง อังกฤษยังไม่ได้ทุกอย่างตามที่ลงทุนวางแผน ขนาดบ้านเมืองฉิบหายกันไปทั่ว และผู้คนล้มตายเกลื่อน อังกฤษ ยังมีเรื่องค้างที่ต้องทำต่ออีกแยะ คือการแบ่งสมบัติของผู้แพ้สงคราม การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง การจัดการเรื่อง อิตาลี เยอรมัน และรัสเซียให้จบแบบเบ็ดเสร็จ และไม่ใช่อังกฤษจะวุ่นเรื่องยุโรปเท่านั้น เรื่องในเอเซียก็ต้องจัดการด้วย สรุปคือ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย หลังจากสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 เสร็จ คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกไปเรียบร้อยแล้ว จึงต้องการจัดการบ้านเมืองผู้อื่น รวมทั้งทรัพยากรของเขา ให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ อ้าว แล้วอังกฤษ ลืมอเมริกา เจ้าหนี้รายใหญ่และผู้ร่วมปล้นตัวสำคัญไปแล้วหรือ คิดว่าอเมริกาจะอือออช่วยกันห่อแล้วหมกด้วยกันทุกเรื่องหรือไง ย้อนกลับมาที่จีน ในช่วง ปี ค.ศ.1900 หลังจากกบฏนักมวย จีนก็ยิ่งแตกเป็นก๊กมากขึ้น แต่ในที่สุด ในปี ค.ศ.1911 ซุนยัดเซ็น แห่งก๊กมินตั๋ง ก็ปฏิวัติยึดอำนาจในจีน โค่นราชวงศ์ชิงลงได้ แต่อังกฤษไม่สบอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติในจีนอย่างยิ่ง ถึงกับบอกว่า ซุนยัดเซ็นคือตัวปัญหาใหญ่ของอังกฤษ ในเอเซีย ซุนยัดเซ็นควรจะปฏิวัติให้สำเร็จ และรีบปราบก๊กต่างๆ ในจีนให้ราบคาบ แต่ซุนยัดเซ็นกลับเดินสายพูดว่า เราต้องล้างคราบอาณานิคมฝรั่ง โดยเฉพาะอังกฤษ ให้หมดไปจากจีน เอะ ไหนเขาว่า ซุนยัดเซ็นนี้เป็นเด็กสร้างของฝรั่งไง สงสัยต้องขุดเรื่องคุณหมอซุนกันหน่อย จะได้ตามทันว่า อังกฤษต่อมแตก เพราะอะไร ซุนยัดเซ็น เกิดเมื่อปี ค.ศ.1866 เป็นชาวเมืองเจียงชัน (Xiangshan) ครอบครัวแค่พอมีกินมีใช้ อายุเพียง 13 ก็ นั่งเรือไปฮาวาย ไปอยู่กับ ซุนไหม พี่ชาย ที่นั่น เพื่อเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนฝรั่ง เขาพูด เขียนภาษาอังกฤษได้คล่อง แถมได้รางวัลด้านไวยากรณ์อังกฤษอีกด้วย หลังจากนั้นก็ เข้ารีต ไปนับถือศาสนาคริสเตียน และได้รับการสนับสนุนจากพวกมิชันนารีในจีนและฮาวาย ให้ข้ามไปเรียนหมอที่ฮ่องกงจนจบ ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ของคุณหมอซุน ต่างก็ขึ้นเรือหนีชีวิตลำเค็ญในจีน ไปอยู่อเมริกาเป็นแถว พ่อเลยบอกว่า เขาก็ควรทำเช่นนั้น แต่คุณหมอซุนกลับนึกถึงประเทศจีน ที่ถูกฝรั่งกำลังลอกคราบ จึงไม่อยากไปทำงานในอเมริกา แต่คิดอยากทำปฏิวัติ ไล่ราชวงศ์จีน ไล่ฝรั่งออกไป แล้วสร้างจีนใหม่ เพื่อประชาชนจีนปกครองตัวเอง ขึ้นมาแทน ปี ค.ศ.1884 คุณหมอซุน ก็จัดประชุมที่ฮาวาย เพื่อจะตั้งสมาคมลับ ที่มีเป้าหมายจะโค่นล้มราชวงศ์แมนจู ต่อมาสมาคมลับนี้ ก็พัฒนาเป็นพวกก๊กมินตั๋ง คุณหมอซุน ได้เพื่อนที่ดูเหมือนจะเป็นคนมองเห็นการณ์ไกล คอยให้การสนับสนุน ชื่อ ชาลี ซ่ง ( Charlie Soong) เป็นชาวจีน ที่ไปสู้เอาข้างหน้าในอเมริกา แต่รวยแล้วกลับมาอยู่ในจีนแล้วก็ยิ่งรวยใหญ่ ชาลีชื่นชมความคิดของคุณหมอซุน ให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่เขาว่า มาแตกคอกัน เมื่อคุณหมอซุน ทดลองซ้อมปฏิวัติครั้งแรก ในปี ค.ศ.1895 แล้วปรากฏว่าล่มไม่เป็นท่า คุณหมอกับพวก ก็เลยอพยพ หลบไปปักหลักอยูที่ญี่ปุ่นเสียนาน โดยลูกสาว ชาลี ซ่ง หนีตามไปอยู่ด้วย เลยไม่แน่ใจว่า ชาลี ซ่ง แตกคอกับซุนยัดเซ็น เพราะเสียดายลูกสาว หรือเสียดายว่า ซุนยัดเซ็นปฏิวัติไม่สำเร็จ เอะ ปี ค.ศ.1895 นี่มัน จีนกับญี่ปุ่นทะเลาะกันรบกัน ไม่ใช่หรือ ก็ที่ญี่ปุ่นรบกับจีนเรื่องเกาหลีนะ ก็น่าคิด เหมือนมีใครมากระซิบบอกคุณหมอว่า จีนต้องยกกองทัพไปเกาหลี ค่ายทหารว่างทางปลอด น่าจะเป็นเวลาเหมาะในการปฏิวัติจีน แต่คุณหมอดันทำปฏิวัติไม่สำเร็จ แถมเลือกหลบภัยไปอยู่บ้านศัตรู เรื่องนี้มันชวนให้งงจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงรายหนาวต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พื้นราบอุณหภูมิ 15-18 องศาฯ หมอกเช้าหนาจนรถต้องระวัง ขณะที่ภูชี้ฟ้า อุณหภูมิลดฮวบเหลือ 8 องศาฯ ฟ้าใสลมหนาวพัดแรง นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นชมวิวคึกคัก

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110838

    #เชียงราย #ภูชี้ฟ้า #อากาศหนาว #หมอกหนา #ท่องเที่ยว #ภาคเหนือ #News1live #News1
    เชียงรายหนาวต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พื้นราบอุณหภูมิ 15-18 องศาฯ หมอกเช้าหนาจนรถต้องระวัง ขณะที่ภูชี้ฟ้า อุณหภูมิลดฮวบเหลือ 8 องศาฯ ฟ้าใสลมหนาวพัดแรง นักท่องเที่ยวทยอยขึ้นชมวิวคึกคัก • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110838 • #เชียงราย #ภูชี้ฟ้า #อากาศหนาว #หมอกหนา #ท่องเที่ยว #ภาคเหนือ #News1live #News1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • จนท.เปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” รวบยกแก๊งขบวนการส่วยสัญชาติ เชือดตั้งแต่อดีตปลัดฯ–หน.ทะเบียน–ลูกจ้างอำเภอ รวมถึงกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน และนายหน้าคนต่างด้าว รวมผู้ต้องหากว่า 10 ราย

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110767

    #ตัดหมอกเวียงแหง #ส่วยสัญชาติ #เวียงแหง #เชียงใหม่ #ทุจริต #กรมการปกครอง #ปปป #DSI #News1live #News1
    จนท.เปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” รวบยกแก๊งขบวนการส่วยสัญชาติ เชือดตั้งแต่อดีตปลัดฯ–หน.ทะเบียน–ลูกจ้างอำเภอ รวมถึงกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน และนายหน้าคนต่างด้าว รวมผู้ต้องหากว่า 10 ราย • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110767 • #ตัดหมอกเวียงแหง #ส่วยสัญชาติ #เวียงแหง #เชียงใหม่ #ทุจริต #กรมการปกครอง #ปปป #DSI #News1live #News1
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 4

    ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน

    พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน

    สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย

    Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย

    ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน

    ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม?
    Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ
    Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ

    หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า

    ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน

    เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno

    แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ

    ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน
    Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania

    ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…”

    ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..”

    เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…”

    4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 4 ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม? Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…” ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..” เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…” 4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด

    ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก

    แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

    โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า

    นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ

    ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย

    โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด
    ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง
    ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน
    เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน

    โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน
    ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ
    สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ

    ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ
    ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D
    สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ

    นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย
    ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา
    โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ

    โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว
    ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้
    ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง

    การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา
    ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
    ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    🦇 โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย ✅ โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด ➡️ ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง ➡️ ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน ➡️ เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน ✅ โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ ➡️ สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ ✅ ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ ➡️ ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D ➡️ สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ ✅ นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย ➡️ ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา ➡️ โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ ‼️ โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว ⛔ ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้ ⛔ ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง ‼️ การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา ⛔ ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ⛔ ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How tiny drones inspired by bats could save lives in dark and stormy conditions
    Don't be fooled by the fog machine, spooky lights and fake bats: the robotics lab at Worcester Polytechnic Institute lab isn't hosting a Halloween party.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทย-ลาว มิตรภาพแน่นแฟ้น

    แม้รัฐบาลจะมีอายุการทำงานเพียงแค่ 4 เดือน และสถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่การเดินทางไปเยือนประเทศลาว ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและคณะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ต.ค.) ในวาระครอบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ครบ 75 ปี ในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าลาวยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่วางใจได้ ธงชาติไทยสลับกับธงชาติลาวบริเวณประตูไช แลนด์มาร์คสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ เป็นภาพที่คนไทยและชาวลาวต่างรู้สึกเป็นบวก เพราะเป็นชาติที่คนไทยแทบไม่ต้องแปลภาษาก็สื่อสารกันง่าย เปรียบดังมองตาก็รู้ใจ

    การเดินทางมาเยือนลาวในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอนุทินลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและลาว 1 ฉบับ ได้แก่ เอ็มโอยูระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และธนาคารส่งเสริมกสิกรรมแห่ง สปป.ลาว รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงิน 10 ล้านบาท สำหรับโครงการความร่วมมือสกัดกั้นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติด ไทย-ลาว การส่งมอบเซรุ่มแก้พิษงู มูลค่า 875,000 บาท อุปกรณ์พัฒนาและฝึกอาชีพแรงงาน มูลค่า 1.49 ล้านบาท ความช่วยเหลือทางวิชาการ สำหรับงานออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาระบบประปาระยะที่ 2 มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท

    นอกจากนี้ ยังยกระดับความร่วมมือกับลาวในด้านต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแลนด์ล็อกเป็นแลนด์ลิงก์ เชื่อมโยงด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ และความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น การเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมช้ามชาติ ยาเสพติด ฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ โดยการตั้งศูนย์ Contact point และศูนย์ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน การบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขงโดยใช้เทคโนโลยี ตามยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ยืนยันการจัดประชุม COOP ครั้งที่ 8 ส่งเสริมการค้าชายแดน เอสเอ็มอี ตั้งเป้าหมายการค้าที่ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2570 สนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และแผนยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ไทย-ลาวอย่างครบวงจร ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียว โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ระหว่างทั้งสองประเทศ

    อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยและ สปป.ลาว เตรียมร่วมกันเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ ในช่วงปลายปี 2568 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ระหว่างไทยกับลาวและภูมิภาคอินโดจีน ไปยังท่าเรือน้ำลึกในประเทศเวียดนาม เช่น ท่าเรือสากลลาว-เวียด หรือท่าเรือหวุงอ๋าง จังหวัดฮาติงห์ ถือเป็นทางออกสู่ทะเลที่ใกล้ที่สุดของลาว และเชื่อมต่อทางตอนใต้ของประเทศจีน

    #Newskit
    ไทย-ลาว มิตรภาพแน่นแฟ้น แม้รัฐบาลจะมีอายุการทำงานเพียงแค่ 4 เดือน และสถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่การเดินทางไปเยือนประเทศลาว ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและคณะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ต.ค.) ในวาระครอบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ครบ 75 ปี ในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าลาวยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่วางใจได้ ธงชาติไทยสลับกับธงชาติลาวบริเวณประตูไช แลนด์มาร์คสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ เป็นภาพที่คนไทยและชาวลาวต่างรู้สึกเป็นบวก เพราะเป็นชาติที่คนไทยแทบไม่ต้องแปลภาษาก็สื่อสารกันง่าย เปรียบดังมองตาก็รู้ใจ การเดินทางมาเยือนลาวในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอนุทินลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและลาว 1 ฉบับ ได้แก่ เอ็มโอยูระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และธนาคารส่งเสริมกสิกรรมแห่ง สปป.ลาว รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงิน 10 ล้านบาท สำหรับโครงการความร่วมมือสกัดกั้นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติด ไทย-ลาว การส่งมอบเซรุ่มแก้พิษงู มูลค่า 875,000 บาท อุปกรณ์พัฒนาและฝึกอาชีพแรงงาน มูลค่า 1.49 ล้านบาท ความช่วยเหลือทางวิชาการ สำหรับงานออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาระบบประปาระยะที่ 2 มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังยกระดับความร่วมมือกับลาวในด้านต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแลนด์ล็อกเป็นแลนด์ลิงก์ เชื่อมโยงด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ และความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น การเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมช้ามชาติ ยาเสพติด ฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ โดยการตั้งศูนย์ Contact point และศูนย์ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน การบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขงโดยใช้เทคโนโลยี ตามยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ยืนยันการจัดประชุม COOP ครั้งที่ 8 ส่งเสริมการค้าชายแดน เอสเอ็มอี ตั้งเป้าหมายการค้าที่ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2570 สนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และแผนยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ไทย-ลาวอย่างครบวงจร ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียว โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ระหว่างทั้งสองประเทศ อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยและ สปป.ลาว เตรียมร่วมกันเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ ในช่วงปลายปี 2568 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ระหว่างไทยกับลาวและภูมิภาคอินโดจีน ไปยังท่าเรือน้ำลึกในประเทศเวียดนาม เช่น ท่าเรือสากลลาว-เวียด หรือท่าเรือหวุงอ๋าง จังหวัดฮาติงห์ ถือเป็นทางออกสู่ทะเลที่ใกล้ที่สุดของลาว และเชื่อมต่อทางตอนใต้ของประเทศจีน #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประชาธิปไตยคือรากฐานที่เราวางระบบปกครองกันผิด เพราะคณะกบฎ2475ก่อการด้วยจิตทรามไม่บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อลัทธิฝรั่งอีลิทรีตตาเดียวหมายล้มสถาบันกษัตริย์ทำลายระบบกษัตริย์ในไทยเท่านั้น,
    ..ไทยเราต้องปกครองระบบธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้แล้ว ต่อยอดจากของฝรั่งส่งออกมา,เรา..ประเทศไทยตัดทำใหม่ให้เหมาะสมกันจริตนิสัยสันดานคนไทยเราใหม่.
    ..การเรียนรู้ต่างๆทั้งประเทศไทยจะอิสระเสรีทันที อัพเลเวลก็เราเขียนโปรแกรมระบบปฏิบัติการเอง ไม่ต้องรอฝรั่งมาสั่งมาอ้างว่าระบบนี้ต้องสมควรเป็นแบบนี้แบบนั้นแบบมันเป็นในประเทศมันนะ,ตอนนี้มองกันดูดีๆประเทศไทยถูกปกครองโดยรีตลัทธิไซออนิสต์deep stateชัดเจนเพียงเปลี่ยนร่างหุ่นตัวใหม่เหมือนทุกๆครั้งเพื่อมิให้ครไทยเห็นสิ่งผิดปกตินั้น,เปลี่ยนเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย แต่ความจริงก็ดำเนินนโยบายหลักของdeep stateเหมือนเดิน ดูพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็รู้ คาร์บอนเครดิต จนประกาศชัดกลางรัฐสภาเลย มันเป้าหมายdeep state agendaชัดเจน,รากหลักเราคือสิ่งนี้ต้องคนไทยมาไม่โง่ตรงนี้ร่วมกันทั่วประเทศ,พื้นฐานทุกๆคนไทยต้องมารับรู้เรื่องนี้,ส่วนจะไปเก่งไปดีไปชำนาญการเชี่ยวชาญแขนงสัมมาอาชีพสัมมาชีวิตแบบไหนก็แล้วแต่ใคร,เหมือนเรารู้ภาษาไทยพื้นฐานแล้ว จะแสดงไปรู้เก่งภาษาอื่นๆ10หรือ100ภาษาก็ตามสบาย,ชำนาญช่างหมอกีฬาอะไรก็ตามสบาย แต่พื้นฐานเราทุกๆคนไทยต้องมาเรียนรู้พื้นหลักตรงนี้ก่อน,รัฐบาลไทยเราเองทำให้พื้นฐานเราโง่เพื่อปกครอง,อยากเก่งเรื่องอื่นๆต้องเสียตังหรือเอาชีวิตแลกอย่างยากลำบากเองซึ่งแท้จริงรัฐบาลต้องส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาการทรัพยากรคนไทยในชาติตนทุกๆมิติให้มากที่สุดแต่มันไม่ทำเพราะกลัวเก่งฉลาดจะควบคุมไม่ได้บวกต่อต้านคัดค้านอำนาจปกครองตนนั่นเองซึ่งอีลิทเลวยอมรับไม่ได้.
    ..วิถีปกครองเราผิดพลาดและล้มเหลวแต่ต้น ,หมากที่วางให้แพ้ วางมิให้เติบโต วางมิให้เจริญแต่เริ่มแรก,เลี้ยงเพียงมิให้ตายบวกก็ไม่ให้เจริญเติบโตฉลาดรอบรู้ด้วย.

    ..มันปิดบัง มันปิดลับ,โง่=ไม่รู้=ไม่เปิดเผย แค่นั้น

    ..สรุป รัฐบาลโดยผู้นำที่ผ่านๆมาทั้งหมดของประเทศไทยเรา,มันปกครองให้คนไทยโง่,มรึงอยากไม่โง่ต้องกู้เงินเรียนเอาเองไปเป็นหนี้กยศ.ไป๊!!!.,อยากเรียนต้องเป็นหนี้จะได้ไม่โง่,ไม่รวมเอาชีวิตแลกตายให้มีวิชาไม่โง่อีกนะ,วิชาชีวิตแลกความไม่โง่,โง่ก่อนจึงหายโง่.,เรา..คนไทยมิอาจไม่โง่ทุกๆเรื่อง ,แต่โง่ในหลายๆเรื่องจากรัฐบาลเราเองทำให้เราต้องโง่,ไม่โง่ก็จากเราเองและจากรัฐบาลเองที่เปิดเผยออกมาให้หายโง่,สนใจทั้งสิ่งโง่และไม่สนใจในสิ่งโง่ๆก็ด้วย.
    ..บ่อน้ำมันก็ปกปิดคนไทยจนโง่ เป็นต้น
    ..ง่ายๆดูว่าคนไทยถูกปลดปล่อยปลดแอกจากการเป็นทาสเป็นควายเป็นวัวได้ดูที่เรา..ประเทศไทยในนามรัฐบาลไทยยึดคืนบ่อปิโตรเลียมบนแผ่นดินไทยตนเองคืนมาทั้งหมดทุกๆแปลงได้หรือยัง,รัฐบาลแบบอนุทินนายกฯปัจจุบันแถลงนโยบายชัดเจนว่าสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่เปิดสัมปทานไปเป็นโมฆะทั้งหมดเพราะรัฐสภาฯสส.สว.มิได้ลงมติเห็นชอบ รัฐบาลปัจจุบันถ้าแถลงแบบนี้เชื่อได้ว่าเรา..ประเทศไทยมิได้เป็นทาสขี้ข้าdeep stateไซออนิสต์โลกอีกต่อไปนั้นเอง,อนาคตเรา..ประชาชนคนไทยจะสุดยอดฉลาดขึ้นเป็นลำดับๆแน่นอนจากที่โง่ทั้งประเทศส่วนใหญ่โดยพื้นฐานเพราะน้ำมัน คนไทยเราเติมใส่รถตนเกือบทุกๆคน,อนุทินนายกฯแค่แถลงโมฆะสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดวันนี้ ประเทศไทยจะแก้วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศทันทีและกลับมาเจริญแบบก้าวกระโดดทันที,ทีพูดว่าวิกฤติๆนั้นนี้โน้นทั้งภายนอกมากระทบไทย ภายในยิ่งอีก จะจัดการได้หมดทันที,แต่ไม่มีรัฐบาลใดในประเทศไทยแถลงพูดออกมาสักแอ๊ะ!!!,ปัจจุบันก็เช่นกันอ้อมปัญหาหมด,ที่เราปะทะเขมรก็บ่อน้ำมันในอ่าวไทยนี้ที่ต่างชาติแบบฝรั่งต่างๆอยากได้ชัดเจนรวมถึงเขมรและคนไทยเทาสาระเลวชั่วทรามทรยศแผ่นดินด้วย,สื่อใดๆไม่กล้าตีข่าวขยายความบ่อน้ำมันเลย พูดสักสิบรอบต่อวันก็ได้ อาทิบายฑูตต่างชาติถึงความจริงนี้ก็ได้,สื่อไทยมาร่วมกันโหนกระแสยึดคืนบ่อน้ำมันทั้งหมดก็ได้ โหนกระแสยึดคืนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ แดนบูรพาทั้งหมดเราคืนรวมเกาะกงก็ได้ เล่าเรื่องราวอดีตย่อๆออกสื่อหลักเราจะเอาคืนทำไมก็ได้เพราะฝรั่งเศสคืนผิดเจ้าของก็ไม่สื่อ,สื่อไทยก็โง่ได้เหมือนกัน,ซึ่งวิสัยสื่อต้องไม่โง่เพราะเรื่องนี้มิใช่ความลับอะไรที่ปิดบังลึกใต้ดินขนาดนั้น หอสมุดแห่งชาติมีตรึมนอกจากเน็ตเว็บกูรูต่างๆสร้างถ่ายทอดออกมา,กต.ยิ่งโง่ เพราะพื้นฐานไม่สมควรโง่ ต้องเดินหมากตานี้ในกระดานเพื่อรุกฆาตได้แผ่นดินไทยตนคืนด้วยที่จ่ายฝรั่งเศสไปแล้วด้วยกว่า60ล้านบาทหรือ2ล้านฟรังมันถ้าจำไม่ผิด,
    ..ประชาธิปไตยไม่ใช่อธิปไตยไทยสร้าง เราต้องคืนให้ฝรั่งมันระบบปกครองนี้แก่ฝรั่งอีลิทตะวีนตกยิวสร้างก็ได้คู่ขนานคอมมิวนิสต์ที่มันยิวเองก็สร้างระบบคอมมิวนิสต์ด้วย,เราใช้ระบบประชาธิปไตยมันมีแต่ถูกปล้นชิงวัตถุดิบสร้างชาติพัฒนาชาติเราไม่หยุดหย่อนจนถึงปัจจุบัน,ถูกแย่งชิงสาระพัดรูปแบบ จากระบบปกครองมัน,มันเองปัจจุบันก็จะสิ้นชาติล้มสลายแล้วในระบบปกครองมันเองในตะวันตกชาติฝรั่งมัน.,เราต้องสร้างระบบปกครองเราเอง.,เพื่อเป็นอธิปไตยเอกลักษณ์อัตลักษณ์ในแบบไทยๆเรา.,ฉลาดหรือไม่โง่ก็แบบสไตล์ไทยเราแล้ว.

    https://youtube.com/shorts/ADbWiqr2buU?si=5QA6qCaliPb-TKHF
    ประชาธิปไตยคือรากฐานที่เราวางระบบปกครองกันผิด เพราะคณะกบฎ2475ก่อการด้วยจิตทรามไม่บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อลัทธิฝรั่งอีลิทรีตตาเดียวหมายล้มสถาบันกษัตริย์ทำลายระบบกษัตริย์ในไทยเท่านั้น, ..ไทยเราต้องปกครองระบบธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้แล้ว ต่อยอดจากของฝรั่งส่งออกมา,เรา..ประเทศไทยตัดทำใหม่ให้เหมาะสมกันจริตนิสัยสันดานคนไทยเราใหม่. ..การเรียนรู้ต่างๆทั้งประเทศไทยจะอิสระเสรีทันที อัพเลเวลก็เราเขียนโปรแกรมระบบปฏิบัติการเอง ไม่ต้องรอฝรั่งมาสั่งมาอ้างว่าระบบนี้ต้องสมควรเป็นแบบนี้แบบนั้นแบบมันเป็นในประเทศมันนะ,ตอนนี้มองกันดูดีๆประเทศไทยถูกปกครองโดยรีตลัทธิไซออนิสต์deep stateชัดเจนเพียงเปลี่ยนร่างหุ่นตัวใหม่เหมือนทุกๆครั้งเพื่อมิให้ครไทยเห็นสิ่งผิดปกตินั้น,เปลี่ยนเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย แต่ความจริงก็ดำเนินนโยบายหลักของdeep stateเหมือนเดิน ดูพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็รู้ คาร์บอนเครดิต จนประกาศชัดกลางรัฐสภาเลย มันเป้าหมายdeep state agendaชัดเจน,รากหลักเราคือสิ่งนี้ต้องคนไทยมาไม่โง่ตรงนี้ร่วมกันทั่วประเทศ,พื้นฐานทุกๆคนไทยต้องมารับรู้เรื่องนี้,ส่วนจะไปเก่งไปดีไปชำนาญการเชี่ยวชาญแขนงสัมมาอาชีพสัมมาชีวิตแบบไหนก็แล้วแต่ใคร,เหมือนเรารู้ภาษาไทยพื้นฐานแล้ว จะแสดงไปรู้เก่งภาษาอื่นๆ10หรือ100ภาษาก็ตามสบาย,ชำนาญช่างหมอกีฬาอะไรก็ตามสบาย แต่พื้นฐานเราทุกๆคนไทยต้องมาเรียนรู้พื้นหลักตรงนี้ก่อน,รัฐบาลไทยเราเองทำให้พื้นฐานเราโง่เพื่อปกครอง,อยากเก่งเรื่องอื่นๆต้องเสียตังหรือเอาชีวิตแลกอย่างยากลำบากเองซึ่งแท้จริงรัฐบาลต้องส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาการทรัพยากรคนไทยในชาติตนทุกๆมิติให้มากที่สุดแต่มันไม่ทำเพราะกลัวเก่งฉลาดจะควบคุมไม่ได้บวกต่อต้านคัดค้านอำนาจปกครองตนนั่นเองซึ่งอีลิทเลวยอมรับไม่ได้. ..วิถีปกครองเราผิดพลาดและล้มเหลวแต่ต้น ,หมากที่วางให้แพ้ วางมิให้เติบโต วางมิให้เจริญแต่เริ่มแรก,เลี้ยงเพียงมิให้ตายบวกก็ไม่ให้เจริญเติบโตฉลาดรอบรู้ด้วย. ..มันปิดบัง มันปิดลับ,โง่=ไม่รู้=ไม่เปิดเผย แค่นั้น ..สรุป รัฐบาลโดยผู้นำที่ผ่านๆมาทั้งหมดของประเทศไทยเรา,มันปกครองให้คนไทยโง่,มรึงอยากไม่โง่ต้องกู้เงินเรียนเอาเองไปเป็นหนี้กยศ.ไป๊!!!.,อยากเรียนต้องเป็นหนี้จะได้ไม่โง่,ไม่รวมเอาชีวิตแลกตายให้มีวิชาไม่โง่อีกนะ,วิชาชีวิตแลกความไม่โง่,โง่ก่อนจึงหายโง่.,เรา..คนไทยมิอาจไม่โง่ทุกๆเรื่อง ,แต่โง่ในหลายๆเรื่องจากรัฐบาลเราเองทำให้เราต้องโง่,ไม่โง่ก็จากเราเองและจากรัฐบาลเองที่เปิดเผยออกมาให้หายโง่,สนใจทั้งสิ่งโง่และไม่สนใจในสิ่งโง่ๆก็ด้วย. ..บ่อน้ำมันก็ปกปิดคนไทยจนโง่ เป็นต้น ..ง่ายๆดูว่าคนไทยถูกปลดปล่อยปลดแอกจากการเป็นทาสเป็นควายเป็นวัวได้ดูที่เรา..ประเทศไทยในนามรัฐบาลไทยยึดคืนบ่อปิโตรเลียมบนแผ่นดินไทยตนเองคืนมาทั้งหมดทุกๆแปลงได้หรือยัง,รัฐบาลแบบอนุทินนายกฯปัจจุบันแถลงนโยบายชัดเจนว่าสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่เปิดสัมปทานไปเป็นโมฆะทั้งหมดเพราะรัฐสภาฯสส.สว.มิได้ลงมติเห็นชอบ รัฐบาลปัจจุบันถ้าแถลงแบบนี้เชื่อได้ว่าเรา..ประเทศไทยมิได้เป็นทาสขี้ข้าdeep stateไซออนิสต์โลกอีกต่อไปนั้นเอง,อนาคตเรา..ประชาชนคนไทยจะสุดยอดฉลาดขึ้นเป็นลำดับๆแน่นอนจากที่โง่ทั้งประเทศส่วนใหญ่โดยพื้นฐานเพราะน้ำมัน คนไทยเราเติมใส่รถตนเกือบทุกๆคน,อนุทินนายกฯแค่แถลงโมฆะสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดวันนี้ ประเทศไทยจะแก้วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศทันทีและกลับมาเจริญแบบก้าวกระโดดทันที,ทีพูดว่าวิกฤติๆนั้นนี้โน้นทั้งภายนอกมากระทบไทย ภายในยิ่งอีก จะจัดการได้หมดทันที,แต่ไม่มีรัฐบาลใดในประเทศไทยแถลงพูดออกมาสักแอ๊ะ!!!,ปัจจุบันก็เช่นกันอ้อมปัญหาหมด,ที่เราปะทะเขมรก็บ่อน้ำมันในอ่าวไทยนี้ที่ต่างชาติแบบฝรั่งต่างๆอยากได้ชัดเจนรวมถึงเขมรและคนไทยเทาสาระเลวชั่วทรามทรยศแผ่นดินด้วย,สื่อใดๆไม่กล้าตีข่าวขยายความบ่อน้ำมันเลย พูดสักสิบรอบต่อวันก็ได้ อาทิบายฑูตต่างชาติถึงความจริงนี้ก็ได้,สื่อไทยมาร่วมกันโหนกระแสยึดคืนบ่อน้ำมันทั้งหมดก็ได้ โหนกระแสยึดคืนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ แดนบูรพาทั้งหมดเราคืนรวมเกาะกงก็ได้ เล่าเรื่องราวอดีตย่อๆออกสื่อหลักเราจะเอาคืนทำไมก็ได้เพราะฝรั่งเศสคืนผิดเจ้าของก็ไม่สื่อ,สื่อไทยก็โง่ได้เหมือนกัน,ซึ่งวิสัยสื่อต้องไม่โง่เพราะเรื่องนี้มิใช่ความลับอะไรที่ปิดบังลึกใต้ดินขนาดนั้น หอสมุดแห่งชาติมีตรึมนอกจากเน็ตเว็บกูรูต่างๆสร้างถ่ายทอดออกมา,กต.ยิ่งโง่ เพราะพื้นฐานไม่สมควรโง่ ต้องเดินหมากตานี้ในกระดานเพื่อรุกฆาตได้แผ่นดินไทยตนคืนด้วยที่จ่ายฝรั่งเศสไปแล้วด้วยกว่า60ล้านบาทหรือ2ล้านฟรังมันถ้าจำไม่ผิด, ..ประชาธิปไตยไม่ใช่อธิปไตยไทยสร้าง เราต้องคืนให้ฝรั่งมันระบบปกครองนี้แก่ฝรั่งอีลิทตะวีนตกยิวสร้างก็ได้คู่ขนานคอมมิวนิสต์ที่มันยิวเองก็สร้างระบบคอมมิวนิสต์ด้วย,เราใช้ระบบประชาธิปไตยมันมีแต่ถูกปล้นชิงวัตถุดิบสร้างชาติพัฒนาชาติเราไม่หยุดหย่อนจนถึงปัจจุบัน,ถูกแย่งชิงสาระพัดรูปแบบ จากระบบปกครองมัน,มันเองปัจจุบันก็จะสิ้นชาติล้มสลายแล้วในระบบปกครองมันเองในตะวันตกชาติฝรั่งมัน.,เราต้องสร้างระบบปกครองเราเอง.,เพื่อเป็นอธิปไตยเอกลักษณ์อัตลักษณ์ในแบบไทยๆเรา.,ฉลาดหรือไม่โง่ก็แบบสไตล์ไทยเราแล้ว. https://youtube.com/shorts/ADbWiqr2buU?si=5QA6qCaliPb-TKHF ล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 796 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ”

    เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน

    การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว

    เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว

    จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ

    แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม

    กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด

    https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    🧊 “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ” เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    MATDUGGAN.COM
    matduggan.com
    It's JSON all the way down
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • Château Christophe ตอนที่ 5
    นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 5
    เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก
    สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป
    จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !”
    เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย
    ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน
    ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้
    เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย
    เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้
    ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ
    หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith
    พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น
    ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
    คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    Château Christophe ตอนที่ 5 นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 5 เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !” เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้ ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คนเล่านิทาน
7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 663 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย.เตือนภัยผู้บริโภค
    ระวังแป้งปนเปื้อน
    ทาแล้วอาจอักเสบจนหลังหัก
    ต้องบินไปหาหมอกระดูกถึงดูไบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อย.เตือนภัยผู้บริโภค ระวังแป้งปนเปื้อน ทาแล้วอาจอักเสบจนหลังหัก ต้องบินไปหาหมอกระดูกถึงดูไบ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนอุทาหรณ์การฉีดหน้ากับหมอกระเป๋า! : [News story]

    นัท นิสามณี หรือ “นัทนิสา” โพสต์คลิปเตือนอุทาหรณ์ หน้าพัง หวิดไม่รอด หลังติดเชื้อที่แก้มรุนแรง จากสารเหลวที่เคยฉีดกับ หมอกระเป๋า เมื่อหลายปีก่อน
    เตือนอุทาหรณ์การฉีดหน้ากับหมอกระเป๋า! : [News story] นัท นิสามณี หรือ “นัทนิสา” โพสต์คลิปเตือนอุทาหรณ์ หน้าพัง หวิดไม่รอด หลังติดเชื้อที่แก้มรุนแรง จากสารเหลวที่เคยฉีดกับ หมอกระเป๋า เมื่อหลายปีก่อน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เขมรหลอนทั้งกองทัพ หมอกบอกว่าควันพิษ ไลฟ์เฟคนิวส์ทุกวันเหมน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เขมรหลอนทั้งกองทัพ หมอกบอกว่าควันพิษ ไลฟ์เฟคนิวส์ทุกวันเหมน #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ทำไมต้อง "Gripen"

    เครื่องบิน JAS Gripen ได้รับการรีวิวจริงไปแล้วครั้งแรกในโลกโดยประเทศไทยของเรานี่เอง รีวิวใส่กัมพูชาชนิดที่ว่า โลกเห็นแล้วต้องชื่นชมในศักยภาพ

    หลายคนรู้จัก F-16 ได้ยินชื่อนี้มานานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาได้ยินชื่อ Gripen เมื่อไม่นานมานี้ และทำไมเราถึงใช้ Gripen ในภารกิจนี้ และวางแผนจะนำมาทดแทน F-16 มันดีกว่ายังไง?
    .
    ประวัติของ Gripen
    ประเทศสวีเดนคือผู้ให้กำเนิด Gripen ซึ่งถูกพัฒนามาจากปลายยุค 1970 หลังจากกองทัพอากาศสวีเดินเล็งเห็นว่า เครื่องบินรบรุ่นเก่าของสวีเดินเริ่มล้าสมัย สวีเดินจึงคิดผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ "ขึ้นมาเอง" เพราะไม่อยากพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป ด้วยการก่อตั้งโครงการ "JAS" ในปี 1979
    โครงการ JAS มาจากคำว่า J = (Jakt) ยัคต์ แปลว่า ขับไล่ A= (Attack) แอทแทค แปลว่าโจมตี และ S = Spaning (สแปนนิ่ง) แปลว่า ลาดตระเวน คือแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องบินรบล้ำสมัยล้ำยุค ที่ใช้เครื่องบินเพียง 1 ลำ แต่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้ง 3 แบบในลำเดียว เที่ยวเดียวได้

    ปี 1982 บริษัท SAAB ได้รับหน้าที่พัฒนาโครางการนี้ แต่เนื่องจากโปรเจคนี้ใหญ่มา และต้องการความเป็น "ที่สุด" จึงได้ระดมสมองร่วมกับอีกหลายบริษัท เข้ามาดูแลความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ ได้แก่ บริษัท Ericsson เข้ามาช่วยพัฒนาระบบเรดาห์และการบิน บริษัท Volvo Aero เข้ามาช่วยปรับแต่งเครื่องยนตร์ และบริษัท FFV มาดูเรื่องระบบอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร
    ปี 1988 เครื่องต้นแบบลำแรกสำเร็จ แต่เมื่อบินทดสอบกลับไม่สำเร็จจนพังไป หลังจากทดลองจนเสร็จสมบูรณ์แบบ Gripen ลำแรกก็พร้อมประจำการได้ในปี 1996
    .
    ความสามารถอันเป็นที่สุดของ Gripen
    ทำหน้าที่ได้ถึง 3 หน้าที่ใน 1 ลำ
    1. เป็นเครื่องบินขับไล่ - ต่อสู้เครื่องบินศัตรูจากกลางอากาศได้
    2. เป็นเครื่องบินโจมตี - โจมตีภาคพื้นดิน ฐานทัพ บังเกอร์ รถถัง
    3. เป็นเครื่องบินลาดตระเวณ สอดแนม - บินไปถ่ยาภาพและสอดแนมตำแหน่งศัตรูได้
    .
    * ปกติเครื่องบินรบ 1 หน้าที่จะแยกเป็น 1 ลำไป แต่ Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง เป็น Swing-Role อย่างเช่น ลาดตระเวณอยู่ แต่เจอศัตรู ก็เปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ทางอากาศได้ และสลับไปสอดแนมต่อก็ยังได้ในการบินเที่ยวเดียว หรือจะสลับทำทั้ง 3 หน้าที่คือไปสอดแนม โจมตีศัตรูบนอากาศ และพื้นดินก็ยังได้
    .
    มีระบบ "TIDLS" อันทันสมัย สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกัน ทุกลำเหมือนมี "ตาเดียวกัน" ทำให้ทุกลำโจมตีได้ร่วมกัน เช่น ลำนี้ตรวจเจอศัตรูแต่มุมยิงไม่ได้ ก็ให้อีกลำยิงแทน และตรวจจับศัตรูได้หลากหลายเป้าหมาย แม้ในสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นมีหมอก มีพายุ มีฝุ่น
    .
    มีระบบ EW คือระบบป้องกันตัวเอง สามารถรู้ได้ว่าเรดาห์ศัตรูตรวจเจอก็จะแจ้งเตือน หรือเมื่อถูกโจมตีด้วยมิซไซล์ ก็จะแจ้งเตือน มีการยิงเป้าหลอก แท่งความร้อนหลอกมิซไซล์ รวมถึงมีระบบส่งคลื่นสัญญาณรบกวน ทั้งหมดนี้ ยังสามารถเชื่อมระบบการโจมตีร่วมกับกองทัพเรือและกองทัพบกได้ด้วย
    .
    มีระบบ AI ช่วยการตัดสินใจให้นักบิน เพราะเวลารบ นักบินต้องตัดสินใจรวดเร็วมากในขณะที่ยังต้องควบคุมการบินและวิเคราะห์การรบ แต่ Gripen มี Mission Computer ที่จะรวบรวมระบบจากทุกลำมาตัดสินใจการรบแทนให้ มันวิเคราะห์สถานการณ์แบบ Realime ได้ เช่น จะเลือกล็อคเป้าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดให้โจมตีก่อน มีหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงถึงการโจมตี เส้นทางการหลบหนี ตำแหน่งของเพื่อนร่วมฝูง ทำให้นักบินเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก Gripen คิดให้หมดและคิดเป็นทีม
    .
    Gripen มีความยืดหยุ่นที่จะ Upgrade เครื่องได้หลากหลาย ทำให้ไม่ตกยุค สามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ได้ตลอด เช่น อัพเกรดให้เชื่อมต่อกับเรือรบในระบบอื่นได้ มีระบบฝึกการบินภายในตัวเครื่องเองโดยไม่ต้องบินขึ้น ไม่ต้องไปซื้อระบบจำลองการบินเพิ่ม สแกนตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองได้ อะไรมีปัญหา อะไหล่ชิ้นไหนใกล้เสื่อม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
    .
    Gripen มีความพร้อมรบ ต้องการพื้นที่ลงจอดได้แม้แต่ถนนยาวไม่ถึ่งกิโล สามารถออกรบซ้ำได้ภายใน 10 นาที เพราะเติมเชื้อเพลิง-ติดอาวุธได้แบบสั้นๆ (ใช้คนติดตั้งได้แค่ 5 คน) ต้นทุนการบินต่อชั่วโมงก็ต่ำ เทียบกับ F-16 แล้ว ถูกกว่าเกือบครึ่ง
    .
    ณ ปัจจุบัน Gripen มีอยู่ที่ประเทศสวีเดนผู้ให้กำเนิด ทั้งหมด 156 ลำ รองมาคือบราซิล 36 ลำ แอฟริกาใต้ 26 ลำ ฮังการีและเช็ค 14 ลำ และต่อไป เราจะมีเป็นลำดับที่ 5 คือ 12 ลำ และเราคือประเทศแรกของโลกที่ได้นำออกไปใช้ในสถานการณ์จริง!
    .
    Gripen ของกองทัพอากาศไทย ปี 2008-2010 เราจัดซื้อ Gripen ทั้งหมดแล้ว 12 ลำ แต่เราได้ดีลจากบริษัท SAAB ด้วยการเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ และจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและอากาศยานให้ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังจะมาลงทุนผลิตอะไหล่เพื่อขายให้กับประเทศอื่นได้ด้วย เราจึงได้ทั้งการลงทุน ความรู้ การจ้างงาน ซึ่งนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท
    .
    ปี 2025 เราได้ทำการจัดซื้อล็อตใหม่ ซึ่งจะทยอยซื้อ ทยอยส่งมอบ เสร็จสิ้นในปี 2034 ทำให้ในปีนั้น เราจะมีฝูงบิน Gripen ถึง 24 ลำด้วยกัน!!!

    .
    CR:กองทัพอากาศไทยเครื่องบินขับไล่ Jas-39 Saab Gripen ทำการลงจอดและบินขึ้นจากถนนทางหลวงหมายเลข 4287 จังหวัดสงขลา 27 กุมภาพันธ์ 2568
    #RTAF
    🇹🇭ทำไมต้อง "Gripen" 🇸🇪 เครื่องบิน JAS Gripen ได้รับการรีวิวจริงไปแล้วครั้งแรกในโลกโดยประเทศไทยของเรานี่เอง รีวิวใส่กัมพูชาชนิดที่ว่า โลกเห็นแล้วต้องชื่นชมในศักยภาพ หลายคนรู้จัก F-16 ได้ยินชื่อนี้มานานหลายสิบปี แต่เพิ่งมาได้ยินชื่อ Gripen เมื่อไม่นานมานี้ และทำไมเราถึงใช้ Gripen ในภารกิจนี้ และวางแผนจะนำมาทดแทน F-16 มันดีกว่ายังไง? . 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ประวัติของ Gripen ประเทศสวีเดนคือผู้ให้กำเนิด Gripen ซึ่งถูกพัฒนามาจากปลายยุค 1970 หลังจากกองทัพอากาศสวีเดินเล็งเห็นว่า เครื่องบินรบรุ่นเก่าของสวีเดินเริ่มล้าสมัย สวีเดินจึงคิดผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ "ขึ้นมาเอง" เพราะไม่อยากพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป ด้วยการก่อตั้งโครงการ "JAS" ในปี 1979 โครงการ JAS มาจากคำว่า J = (Jakt) ยัคต์ แปลว่า ขับไล่ A= (Attack) แอทแทค แปลว่าโจมตี และ S = Spaning (สแปนนิ่ง) แปลว่า ลาดตระเวน คือแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องบินรบล้ำสมัยล้ำยุค ที่ใช้เครื่องบินเพียง 1 ลำ แต่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้ง 3 แบบในลำเดียว เที่ยวเดียวได้ ปี 1982 บริษัท SAAB ได้รับหน้าที่พัฒนาโครางการนี้ แต่เนื่องจากโปรเจคนี้ใหญ่มา และต้องการความเป็น "ที่สุด" จึงได้ระดมสมองร่วมกับอีกหลายบริษัท เข้ามาดูแลความเป็นที่สุดในด้านต่างๆ ได้แก่ บริษัท Ericsson เข้ามาช่วยพัฒนาระบบเรดาห์และการบิน บริษัท Volvo Aero เข้ามาช่วยปรับแต่งเครื่องยนตร์ และบริษัท FFV มาดูเรื่องระบบอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร ปี 1988 เครื่องต้นแบบลำแรกสำเร็จ แต่เมื่อบินทดสอบกลับไม่สำเร็จจนพังไป หลังจากทดลองจนเสร็จสมบูรณ์แบบ Gripen ลำแรกก็พร้อมประจำการได้ในปี 1996 . 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ความสามารถอันเป็นที่สุดของ Gripen 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 🇸🇪 ทำหน้าที่ได้ถึง 3 หน้าที่ใน 1 ลำ 1. เป็นเครื่องบินขับไล่ - ต่อสู้เครื่องบินศัตรูจากกลางอากาศได้ 2. เป็นเครื่องบินโจมตี - โจมตีภาคพื้นดิน ฐานทัพ บังเกอร์ รถถัง 3. เป็นเครื่องบินลาดตระเวณ สอดแนม - บินไปถ่ยาภาพและสอดแนมตำแหน่งศัตรูได้ . * ปกติเครื่องบินรบ 1 หน้าที่จะแยกเป็น 1 ลำไป แต่ Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง เป็น Swing-Role อย่างเช่น ลาดตระเวณอยู่ แต่เจอศัตรู ก็เปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ทางอากาศได้ และสลับไปสอดแนมต่อก็ยังได้ในการบินเที่ยวเดียว หรือจะสลับทำทั้ง 3 หน้าที่คือไปสอดแนม โจมตีศัตรูบนอากาศ และพื้นดินก็ยังได้ . 🇸🇪 มีระบบ "TIDLS" อันทันสมัย สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกัน ทุกลำเหมือนมี "ตาเดียวกัน" ทำให้ทุกลำโจมตีได้ร่วมกัน เช่น ลำนี้ตรวจเจอศัตรูแต่มุมยิงไม่ได้ ก็ให้อีกลำยิงแทน และตรวจจับศัตรูได้หลากหลายเป้าหมาย แม้ในสภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นมีหมอก มีพายุ มีฝุ่น . 🇸🇪 มีระบบ EW คือระบบป้องกันตัวเอง สามารถรู้ได้ว่าเรดาห์ศัตรูตรวจเจอก็จะแจ้งเตือน หรือเมื่อถูกโจมตีด้วยมิซไซล์ ก็จะแจ้งเตือน มีการยิงเป้าหลอก แท่งความร้อนหลอกมิซไซล์ รวมถึงมีระบบส่งคลื่นสัญญาณรบกวน ทั้งหมดนี้ ยังสามารถเชื่อมระบบการโจมตีร่วมกับกองทัพเรือและกองทัพบกได้ด้วย . 🇸🇪 มีระบบ AI ช่วยการตัดสินใจให้นักบิน เพราะเวลารบ นักบินต้องตัดสินใจรวดเร็วมากในขณะที่ยังต้องควบคุมการบินและวิเคราะห์การรบ แต่ Gripen มี Mission Computer ที่จะรวบรวมระบบจากทุกลำมาตัดสินใจการรบแทนให้ มันวิเคราะห์สถานการณ์แบบ Realime ได้ เช่น จะเลือกล็อคเป้าเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดให้โจมตีก่อน มีหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงถึงการโจมตี เส้นทางการหลบหนี ตำแหน่งของเพื่อนร่วมฝูง ทำให้นักบินเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก Gripen คิดให้หมดและคิดเป็นทีม . 🇸🇪 Gripen มีความยืดหยุ่นที่จะ Upgrade เครื่องได้หลากหลาย ทำให้ไม่ตกยุค สามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ได้ตลอด เช่น อัพเกรดให้เชื่อมต่อกับเรือรบในระบบอื่นได้ มีระบบฝึกการบินภายในตัวเครื่องเองโดยไม่ต้องบินขึ้น ไม่ต้องไปซื้อระบบจำลองการบินเพิ่ม สแกนตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองได้ อะไรมีปัญหา อะไหล่ชิ้นไหนใกล้เสื่อม จึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน . 🇸🇪 Gripen มีความพร้อมรบ ต้องการพื้นที่ลงจอดได้แม้แต่ถนนยาวไม่ถึ่งกิโล สามารถออกรบซ้ำได้ภายใน 10 นาที เพราะเติมเชื้อเพลิง-ติดอาวุธได้แบบสั้นๆ (ใช้คนติดตั้งได้แค่ 5 คน) ต้นทุนการบินต่อชั่วโมงก็ต่ำ เทียบกับ F-16 แล้ว ถูกกว่าเกือบครึ่ง . 🇸🇪 ณ ปัจจุบัน Gripen มีอยู่ที่ประเทศสวีเดนผู้ให้กำเนิด ทั้งหมด 156 ลำ รองมาคือบราซิล 36 ลำ แอฟริกาใต้ 26 ลำ ฮังการีและเช็ค 14 ลำ และต่อไป เราจะมีเป็นลำดับที่ 5 คือ 12 ลำ และเราคือประเทศแรกของโลกที่ได้นำออกไปใช้ในสถานการณ์จริง! . 🇸🇪 Gripen ของกองทัพอากาศไทย ปี 2008-2010 เราจัดซื้อ Gripen ทั้งหมดแล้ว 12 ลำ แต่เราได้ดีลจากบริษัท SAAB ด้วยการเสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ และจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและอากาศยานให้ ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังจะมาลงทุนผลิตอะไหล่เพื่อขายให้กับประเทศอื่นได้ด้วย เราจึงได้ทั้งการลงทุน ความรู้ การจ้างงาน ซึ่งนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท . 🇸🇪 ปี 2025 เราได้ทำการจัดซื้อล็อตใหม่ ซึ่งจะทยอยซื้อ ทยอยส่งมอบ เสร็จสิ้นในปี 2034 ทำให้ในปีนั้น เราจะมีฝูงบิน Gripen ถึง 24 ลำด้วยกัน!!! . CR:กองทัพอากาศไทยเครื่องบินขับไล่ Jas-39 Saab Gripen ทำการลงจอดและบินขึ้นจากถนนทางหลวงหมายเลข 4287 จังหวัดสงขลา 27 กุมภาพันธ์ 2568 #RTAF
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 917 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องไม่ดี ไม่ได้มีไว้ให้เราทุกข์เสมอไป
    บางเรื่อง...มีไว้ให้ “แก้”
    บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ฝึก”
    บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ปล่อย”

    ถ้าคุณเคยพลาด
    แสดงว่าคุณ “มีพลัง” พอจะแก้
    ถ้าคุณอยากสำเร็จ
    แสดงว่าคุณ “มีศักยภาพ” ที่จะฝึก
    ถ้าคุณรู้สึกขัดใจ
    แต่เรื่องนั้นอยู่นอกอำนาจคุณ
    แสดงว่าคุณ “มีหน้าที่” ต้องวาง

    หลายครั้ง
    เราทุกข์เพราะ “แบกทุกเรื่องไว้บนหัว”
    โดยไม่เคยแยกแยะว่า...

    เรื่องนี้คือ ภาระของเรา — ต้องลงมือ
    เรื่องนี้คือ ของคนอื่น — ต้องปล่อยมือ
    เรื่องนี้คือ ความฝันของเรา — ต้องไม่ทิ้ง
    เรื่องนี้คือ ความฝืนของเรา — ต้องรู้จักพอ

    ถ้าคุณแยกแยะออก
    หัวจะเบา ใจจะสบาย
    ชีวิตจะโล่งเหมือนบ้านที่จัดของได้ถูกที่

    บางทีความทุกข์
    ไม่ได้มาจากเรื่องที่เกิดขึ้น
    แต่มาจาก เราไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับมัน มากกว่า

    เริ่มต้นจากการ “แยกแยะ”
    แล้วคุณจะพบว่า…
    ความวุ่นวายที่เคยครองใจ
    ค่อยๆ มลายหายไปเหมือนหมอกในแดดเช้า

    #เรื่องไหนเรื่องของเราให้ทำ
    #เรื่องไหนเรื่องของเขาให้วาง
    #ธรรมะเข้าใจง่าย
    #จัดระเบียบใจ
    🌀 เรื่องไม่ดี ไม่ได้มีไว้ให้เราทุกข์เสมอไป บางเรื่อง...มีไว้ให้ “แก้” บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ฝึก” บางเรื่อง...มีไว้ให้ “ปล่อย” 📍ถ้าคุณเคยพลาด แสดงว่าคุณ “มีพลัง” พอจะแก้ 📍ถ้าคุณอยากสำเร็จ แสดงว่าคุณ “มีศักยภาพ” ที่จะฝึก 📍ถ้าคุณรู้สึกขัดใจ แต่เรื่องนั้นอยู่นอกอำนาจคุณ แสดงว่าคุณ “มีหน้าที่” ต้องวาง หลายครั้ง เราทุกข์เพราะ “แบกทุกเรื่องไว้บนหัว” โดยไม่เคยแยกแยะว่า... 🔹 เรื่องนี้คือ ภาระของเรา — ต้องลงมือ 🔹 เรื่องนี้คือ ของคนอื่น — ต้องปล่อยมือ 🔹 เรื่องนี้คือ ความฝันของเรา — ต้องไม่ทิ้ง 🔹 เรื่องนี้คือ ความฝืนของเรา — ต้องรู้จักพอ 🌿 ถ้าคุณแยกแยะออก หัวจะเบา ใจจะสบาย ชีวิตจะโล่งเหมือนบ้านที่จัดของได้ถูกที่ บางทีความทุกข์ ไม่ได้มาจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่มาจาก เราไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับมัน มากกว่า เริ่มต้นจากการ “แยกแยะ” แล้วคุณจะพบว่า… ความวุ่นวายที่เคยครองใจ ค่อยๆ มลายหายไปเหมือนหมอกในแดดเช้า ☀️ #เรื่องไหนเรื่องของเราให้ทำ #เรื่องไหนเรื่องของเขาให้วาง #ธรรมะเข้าใจง่าย #จัดระเบียบใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 445 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิยายไซไฟ Aurora
    ในปี 2999 ที่ดาวเคราะห์ศูนย์กลางอารยธรรมมนุษย์ชื่อ **"นิวสยาม"** อากาศภายนอกโดมเมืองเป็นพิษจนหายใจไม่ได้ ทว่าในย่านสูงสุดของ **"สกายซิตี้"** ที่ลอยอยู่เหนือเมฆหมอก นครแห่งแสงนีออนและยานพาหนะไร้คนขับนั้น มีเรื่องรักข้ามภพชั้นกำเนิดกำลังก่อตัว...

    **อร (Aurora) ลูกสาวแห่งตระกูล "วัชระ"**
    รัชทายาทแห่งอาณาจักรค้าทองคำจากอุกกาบาต **"ทองจักรราศี"** ที่พ่อของเธอ – **มหาเศรษฐีวรวัชร์** – ขุดพบในแถบดาวเคราะห์น้อย Kuiper Belt แร่ธาตุนี้เรืองแสงสีชมพูอมม่วงใต้แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแปรรูปเป็นเครื่องประดับล้ำยุคสำหรับชนชั้นสูงสุด ทว่าความมั่งคั่งทั้งหมดมาจากการกดขี่แรงงานเหมืองดาวเคราะห์น้อย และการสมคบกับรัฐบาลเทคโนแครต

    **ธัช (Thad) นักศึกษาวิชาชีวภาพจักรวาลแห่งมหาวิทยาลัยใต้โดม**
    หนุ่มน้อยแถบสลัม "ดินแดง" ผู้ใช้ทักษะการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพื่อสร้างอาหารราคาถูกให้คนจน เขาคือแกนนำกลุ่ม **"ปฏิวัฒน์ชีวภาพ"** ที่ต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีโดยบรรษัทข้ามดาว ฝันถึงจักรวาลที่มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ ไม่ใช่ทำลายมัน

    ---

    ### จุดชนะใจกลางพายุฝุ่นดาวอังคาร
    คืนหนึ่งขณะธัชแฝงตัวขึ้นสกายซิตี้เพื่อปล่อยไวรัสดิจิทัลโจมตีเซิร์ฟเวอร์บริษัทวัชระ เขาต้องหลบหนีลงมาทางท่อขนส่งขยะ... และพบอรซึ่งกำลังหลบงานเลี้ยงหรูเพื่อตามห้าแมวไซบอร์กลักพาตัวของเธอในเขตทิ้งของเก่า แสงเรืองจากสร้อยคอทองจักรราศีของอรทำให้นาฬิกาจับพิกัดของธัชเสียหาย ทว่าแทนที่จะแจ้งความ...

    **"คุณรู้ไหมว่าทองเส้นนี้ทำให้คนงานตาบอด 3 คนเพราะรังสี?"** ธัชถามด้วยความโกรธ
    **"และคุณรู้ไหมว่ามันคือชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่จากดาวบ้านเกิดแม่ฉัน?"** อรตอบด้วยน้ำตา

    กลางกองขยะไฮเทคที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียดัดแปลง ทั้งคู่พบว่าต่างถูกคุมขังโดยระบบชนชั้นเดียวกัน: อรคือหุ่นเชิดของตระกูล ส่วนธัชคือฟันเฟืองในเครื่องจักรปฏิวัติ

    ---

    ### 7 ดาวเคราะห์ที่รักบ่มเพาะ
    1. **ห้องทดลองลับใต้ดิน**
    ธัชพาอรไปเห็น "สวนสวรรค์ชีวภาพ" ที่เขาสร้างไว้ – ระบบนิเวศขนาดกระเป๋าเดินทางที่มีพืชจาก 7 ดาวเคราะห์ อรใช้ความรู้ด้านแร่วิทยาช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุจนดอกไม้เหล็กจากเนปจูนผลิบาน

    2. **งานเต้นรำกลางดาวเคราะห์น้อย**
    อรพาธัชแฝงตัวขึ้นยานส่วนตัวไปยังแอสเทอรอยด์ VH-2982 ที่ตระกูลวัชระกำลังขุดเจาะ ทั้งคู่เต้นรำในสภาพไร้น้ำหนักใต้แสงดาวนับล้าน โดยมีหุ่นยนต์ขนทองเป็นสักขีพยาน

    3. **การทรยศของ "แสงชัย" หุ่น AI คู่ใจอร**
    เมื่อ AI ในสร้อยคอของอรแจ้งเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้วรวัชร์ทราบ ธัชถูกตั้งค่าหัวโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของบริษัท อรต้องตัดสินใจ: ใช้ระเบิดนาโนทำลายแสงชัย หรือปล่อยให้ธัชตาย...

    ---

    ### จุดแตกหักแห่งจักรวาล
    วรวัชร์เปิดเผยแผนชั่วร้าย: **"โครงการฟีนิกซ์"** ที่จะเผาทุกชุมชนใต้โดมเพื่อสร้างเหมืองทองใหม่ ความจริงที่น่าขนลุกคือ... **ทองจักรราศีคือสปอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาว** ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นทาสทางความคิดเมื่อสวมใส่เกิน 7 ปี!

    อรเห็นแม่แท้ๆ ของเธอ – ผู้สวมมงกุฎทองตลอดเวลา – ถูกควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยสิ่งมีชีวิตสีทองในตู้เลี้ยง ทางรอดเดียวคือไวรัสที่ธัชพัฒนาจากแบคทีเรียใน "สวนสวรรค์" ซึ่งฆ่าสปอร์ทองโดยไม่ทำร้ายมนุษย์

    ---

    ### รักสุดขอบฟ้า
    คืนสุดท้ายก่อนการปฏิวัติใหญ่ ธัชกับอรยืนอยู่บนดาดฟ้ายานอวกาศเก่า ด้านล่างคือชุมชนใต้โดมที่กำลังลุกเป็นไฟ

    **"ถ้าเราเผาทองทั้งหมด... ครอบครัวฉันจะล่มสลาย"**
    **"และถ้าไม่เผา... มนุษยชาติจะสูญสิ้น"**

    อรกดส่งรหัสทำลายคลังทองหลักของตระกูล ส่วนธัชปล่อยไวรัสสู่ระบบปรับอากาศสกายซิตี้ เมื่อแสงระเบิดสีชมพูอมม่วงวาบขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งคู่จับมือกันกระโดดลงแคปซูลหนีภัย...

    **ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงคำถาม:**
    เมื่อทองคำอันเป็นตัวตนของเธอละลายไป
    เมื่อการปฏิวัติอันเป็นตัวตนของเขาชำระสำเร็จ
    รักข้ามดวงดาวนี้จะเหลืออะไรให้รักกัน?

    ---

    โลกปี 2999 ยังไม่มีคำตอบ
    มีเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังผลิดอก
    จากเศษทองที่หลอมรวมกับแบคทีเรียแห่งความหวัง
    โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นสวนสวรรค์ใหม่...
    หรือไวรัสร้ายแบบใหม่กันแน่?
    นิยายไซไฟ Aurora ในปี 2999 ที่ดาวเคราะห์ศูนย์กลางอารยธรรมมนุษย์ชื่อ **"นิวสยาม"** อากาศภายนอกโดมเมืองเป็นพิษจนหายใจไม่ได้ ทว่าในย่านสูงสุดของ **"สกายซิตี้"** ที่ลอยอยู่เหนือเมฆหมอก นครแห่งแสงนีออนและยานพาหนะไร้คนขับนั้น มีเรื่องรักข้ามภพชั้นกำเนิดกำลังก่อตัว... **อร (Aurora) ลูกสาวแห่งตระกูล "วัชระ"** รัชทายาทแห่งอาณาจักรค้าทองคำจากอุกกาบาต **"ทองจักรราศี"** ที่พ่อของเธอ – **มหาเศรษฐีวรวัชร์** – ขุดพบในแถบดาวเคราะห์น้อย Kuiper Belt แร่ธาตุนี้เรืองแสงสีชมพูอมม่วงใต้แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแปรรูปเป็นเครื่องประดับล้ำยุคสำหรับชนชั้นสูงสุด ทว่าความมั่งคั่งทั้งหมดมาจากการกดขี่แรงงานเหมืองดาวเคราะห์น้อย และการสมคบกับรัฐบาลเทคโนแครต **ธัช (Thad) นักศึกษาวิชาชีวภาพจักรวาลแห่งมหาวิทยาลัยใต้โดม** หนุ่มน้อยแถบสลัม "ดินแดง" ผู้ใช้ทักษะการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพื่อสร้างอาหารราคาถูกให้คนจน เขาคือแกนนำกลุ่ม **"ปฏิวัฒน์ชีวภาพ"** ที่ต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีโดยบรรษัทข้ามดาว ฝันถึงจักรวาลที่มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ ไม่ใช่ทำลายมัน --- ### จุดชนะใจกลางพายุฝุ่นดาวอังคาร คืนหนึ่งขณะธัชแฝงตัวขึ้นสกายซิตี้เพื่อปล่อยไวรัสดิจิทัลโจมตีเซิร์ฟเวอร์บริษัทวัชระ เขาต้องหลบหนีลงมาทางท่อขนส่งขยะ... และพบอรซึ่งกำลังหลบงานเลี้ยงหรูเพื่อตามห้าแมวไซบอร์กลักพาตัวของเธอในเขตทิ้งของเก่า แสงเรืองจากสร้อยคอทองจักรราศีของอรทำให้นาฬิกาจับพิกัดของธัชเสียหาย ทว่าแทนที่จะแจ้งความ... **"คุณรู้ไหมว่าทองเส้นนี้ทำให้คนงานตาบอด 3 คนเพราะรังสี?"** ธัชถามด้วยความโกรธ **"และคุณรู้ไหมว่ามันคือชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่จากดาวบ้านเกิดแม่ฉัน?"** อรตอบด้วยน้ำตา กลางกองขยะไฮเทคที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียดัดแปลง ทั้งคู่พบว่าต่างถูกคุมขังโดยระบบชนชั้นเดียวกัน: อรคือหุ่นเชิดของตระกูล ส่วนธัชคือฟันเฟืองในเครื่องจักรปฏิวัติ --- ### 7 ดาวเคราะห์ที่รักบ่มเพาะ 1. **ห้องทดลองลับใต้ดิน** ธัชพาอรไปเห็น "สวนสวรรค์ชีวภาพ" ที่เขาสร้างไว้ – ระบบนิเวศขนาดกระเป๋าเดินทางที่มีพืชจาก 7 ดาวเคราะห์ อรใช้ความรู้ด้านแร่วิทยาช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุจนดอกไม้เหล็กจากเนปจูนผลิบาน 2. **งานเต้นรำกลางดาวเคราะห์น้อย** อรพาธัชแฝงตัวขึ้นยานส่วนตัวไปยังแอสเทอรอยด์ VH-2982 ที่ตระกูลวัชระกำลังขุดเจาะ ทั้งคู่เต้นรำในสภาพไร้น้ำหนักใต้แสงดาวนับล้าน โดยมีหุ่นยนต์ขนทองเป็นสักขีพยาน 3. **การทรยศของ "แสงชัย" หุ่น AI คู่ใจอร** เมื่อ AI ในสร้อยคอของอรแจ้งเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้วรวัชร์ทราบ ธัชถูกตั้งค่าหัวโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของบริษัท อรต้องตัดสินใจ: ใช้ระเบิดนาโนทำลายแสงชัย หรือปล่อยให้ธัชตาย... --- ### จุดแตกหักแห่งจักรวาล วรวัชร์เปิดเผยแผนชั่วร้าย: **"โครงการฟีนิกซ์"** ที่จะเผาทุกชุมชนใต้โดมเพื่อสร้างเหมืองทองใหม่ ความจริงที่น่าขนลุกคือ... **ทองจักรราศีคือสปอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาว** ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นทาสทางความคิดเมื่อสวมใส่เกิน 7 ปี! อรเห็นแม่แท้ๆ ของเธอ – ผู้สวมมงกุฎทองตลอดเวลา – ถูกควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยสิ่งมีชีวิตสีทองในตู้เลี้ยง ทางรอดเดียวคือไวรัสที่ธัชพัฒนาจากแบคทีเรียใน "สวนสวรรค์" ซึ่งฆ่าสปอร์ทองโดยไม่ทำร้ายมนุษย์ --- ### รักสุดขอบฟ้า คืนสุดท้ายก่อนการปฏิวัติใหญ่ ธัชกับอรยืนอยู่บนดาดฟ้ายานอวกาศเก่า ด้านล่างคือชุมชนใต้โดมที่กำลังลุกเป็นไฟ **"ถ้าเราเผาทองทั้งหมด... ครอบครัวฉันจะล่มสลาย"** **"และถ้าไม่เผา... มนุษยชาติจะสูญสิ้น"** อรกดส่งรหัสทำลายคลังทองหลักของตระกูล ส่วนธัชปล่อยไวรัสสู่ระบบปรับอากาศสกายซิตี้ เมื่อแสงระเบิดสีชมพูอมม่วงวาบขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งคู่จับมือกันกระโดดลงแคปซูลหนีภัย... **ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงคำถาม:** เมื่อทองคำอันเป็นตัวตนของเธอละลายไป เมื่อการปฏิวัติอันเป็นตัวตนของเขาชำระสำเร็จ รักข้ามดวงดาวนี้จะเหลืออะไรให้รักกัน? --- โลกปี 2999 ยังไม่มีคำตอบ มีเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังผลิดอก จากเศษทองที่หลอมรวมกับแบคทีเรียแห่งความหวัง โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นสวนสวรรค์ใหม่... หรือไวรัสร้ายแบบใหม่กันแน่?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 821 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขณะนี้ในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันซึ่งเป็นผลจากการโจมตีของอิสราเอล
    ขณะนี้ในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันซึ่งเป็นผลจากการโจมตีของอิสราเอล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 31 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีทางในการบรรถึงวิมุตตธรรมเมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    สัทธรรมลำดับที่ : 652
    ชื่อบทธรรม :- เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวาย
    อยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว
    เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น
    ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่
    #สังโยชน์(สญฺโญ)​ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น)
    ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.-
    http://etipitaka.com/read/pali/23/129/?keywords=สญฺโญชนานิ

    (*--ท่านพุทธทาสอธิบายความว่า
    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ
    --*).

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/126/68.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๖/๖๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/126/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=652
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีทางในการบรรถึงวิมุตตธรรมเมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ สัทธรรมลำดับที่ : 652 ชื่อบทธรรม :- เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652 เนื้อความทั้งหมด :- --เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวาย อยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ #สังโยชน์(สญฺโญ)​ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น) ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.- http://etipitaka.com/read/pali/23/129/?keywords=สญฺโญชนานิ (*--ท่านพุทธทาสอธิบายความว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ --*). #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/126/68. http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๖/๖๘. http://etipitaka.com/read/pali/23/126/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=652 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เมื่อสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    -เมื่อสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวายอยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์ ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น) ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป้าหมายหลักอีกแห่ง อยู่ที่เมืองคาร์คิฟของยูเครน ซึ่งถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้หมอกควันหนาทึบ
    เป้าหมายหลักอีกแห่ง อยู่ที่เมืองคาร์คิฟของยูเครน ซึ่งถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้หมอกควันหนาทึบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศดาวยูเรนัสจากข้อมูล 20 ปีของ Hubble
    นักดาราศาสตร์ใช้ข้อมูลจาก กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) ที่รวบรวมมาตลอด 20 ปี เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศดาวยูเรนัส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้ำแข็งที่มีลักษณะพิเศษคือ โคจรรอบดวงอาทิตย์ในแนวเอียง

    ยูเรนัสมีฤดูกาลที่ยาวนานมาก โดย แต่ละฤดูใช้เวลาประมาณ 42 ปี เนื่องจากวงโคจรของมันรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาถึง 84 ปีโลก ข้อมูลจาก Hubble แสดงให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงของละอองลอยและหมอกในบรรยากาศ ซึ่งจะสว่างขึ้นในบริเวณขั้วเหนือเมื่อถึง ครีษมายันของซีกโลกเหนือในปี 2030

    นักวิจัยพบว่า มีการกระจายตัวของก๊าซมีเทนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยบริเวณขั้วของดาวยูเรนัสมีปริมาณก๊าซมีเทนต่ำกว่าบริเวณอื่น ซึ่งแตกต่างจากดาวเคราะห์แก๊สยักษ์อื่น ๆ เช่น ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักดาราศาสตร์ใช้ข้อมูลจาก Hubble ที่รวบรวมมาตลอด 20 ปี เพื่อศึกษาบรรยากาศของยูเรนัส
    - ยูเรนัสมีฤดูกาลที่ยาวนานมาก โดยแต่ละฤดูใช้เวลาประมาณ 42 ปี
    - ละอองลอยและหมอกในบรรยากาศจะสว่างขึ้นในบริเวณขั้วเหนือเมื่อถึงครีษมายันในปี 2030
    - ก๊าซมีเทนในบรรยากาศของยูเรนัสมีการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอ โดยบริเวณขั้วมีปริมาณต่ำกว่าบริเวณอื่น
    - การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจาก Hubble ที่บันทึกในปี 2002, 2012, 2015 และ 2022

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครอบคลุมเพียง 4 ช่วงเวลาในรอบ 20 ปี อาจยังไม่เพียงพอในการสรุปแนวโน้มระยะยาว
    - ต้องรอการสังเกตเพิ่มเติมจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น
    - การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศอาจมีผลต่อการศึกษาดาวบริวารของยูเรนัส เช่น Miranda
    - ยังไม่มีการสำรวจโดยยานอวกาศที่เข้าใกล้ยูเรนัสตั้งแต่ Voyager 2 ในปี 1986

    ผลกระทบต่อการศึกษาดาวเคราะห์
    การศึกษานี้ช่วยให้เราเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศดาวยูเรนัส และอาจช่วยให้เราคาดการณ์สภาพอากาศของดาวเคราะห์น้ำแข็งอื่น ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ James Webb Space Telescope อาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์ประกอบของบรรยากาศและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/108115-astronomers-use-hubble-data-explore-uranus-atmosphere-afar.html
    🔭 การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศดาวยูเรนัสจากข้อมูล 20 ปีของ Hubble นักดาราศาสตร์ใช้ข้อมูลจาก กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) ที่รวบรวมมาตลอด 20 ปี เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศดาวยูเรนัส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้ำแข็งที่มีลักษณะพิเศษคือ โคจรรอบดวงอาทิตย์ในแนวเอียง ยูเรนัสมีฤดูกาลที่ยาวนานมาก โดย แต่ละฤดูใช้เวลาประมาณ 42 ปี เนื่องจากวงโคจรของมันรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาถึง 84 ปีโลก ข้อมูลจาก Hubble แสดงให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงของละอองลอยและหมอกในบรรยากาศ ซึ่งจะสว่างขึ้นในบริเวณขั้วเหนือเมื่อถึง ครีษมายันของซีกโลกเหนือในปี 2030 นักวิจัยพบว่า มีการกระจายตัวของก๊าซมีเทนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยบริเวณขั้วของดาวยูเรนัสมีปริมาณก๊าซมีเทนต่ำกว่าบริเวณอื่น ซึ่งแตกต่างจากดาวเคราะห์แก๊สยักษ์อื่น ๆ เช่น ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักดาราศาสตร์ใช้ข้อมูลจาก Hubble ที่รวบรวมมาตลอด 20 ปี เพื่อศึกษาบรรยากาศของยูเรนัส - ยูเรนัสมีฤดูกาลที่ยาวนานมาก โดยแต่ละฤดูใช้เวลาประมาณ 42 ปี - ละอองลอยและหมอกในบรรยากาศจะสว่างขึ้นในบริเวณขั้วเหนือเมื่อถึงครีษมายันในปี 2030 - ก๊าซมีเทนในบรรยากาศของยูเรนัสมีการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอ โดยบริเวณขั้วมีปริมาณต่ำกว่าบริเวณอื่น - การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจาก Hubble ที่บันทึกในปี 2002, 2012, 2015 และ 2022 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครอบคลุมเพียง 4 ช่วงเวลาในรอบ 20 ปี อาจยังไม่เพียงพอในการสรุปแนวโน้มระยะยาว - ต้องรอการสังเกตเพิ่มเติมจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น - การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศอาจมีผลต่อการศึกษาดาวบริวารของยูเรนัส เช่น Miranda - ยังไม่มีการสำรวจโดยยานอวกาศที่เข้าใกล้ยูเรนัสตั้งแต่ Voyager 2 ในปี 1986 🚀 ผลกระทบต่อการศึกษาดาวเคราะห์ การศึกษานี้ช่วยให้เราเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศดาวยูเรนัส และอาจช่วยให้เราคาดการณ์สภาพอากาศของดาวเคราะห์น้ำแข็งอื่น ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ James Webb Space Telescope อาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์ประกอบของบรรยากาศและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต https://www.techspot.com/news/108115-astronomers-use-hubble-data-explore-uranus-atmosphere-afar.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Hubble reveals 20-year time-lapse of Uranus' changing atmosphere
    An international team used 20 years of data and photos taken by the Hubble Space Telescope to study Uranus' atmosphere and its seasonal changes. The icy world...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลใช้เลเซอร์ยิงโดรนในสนามรบเป็นครั้งแรก
    กองทัพอิสราเอลประกาศว่าได้ใช้ ระบบป้องกันด้วยเลเซอร์ ในการยิงโดรนของกลุ่ม Hezbollah เป็นครั้งแรกในสถานการณ์จริง โดยใช้ Lite Beam ซึ่งเป็นต้นแบบของ Iron Beam ที่จะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปี 2025

    ระบบ Iron Beam เป็นเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศที่ใช้เลเซอร์แทนขีปนาวุธ ซึ่งช่วยลดต้นทุนต่อการยิงลงเหลือเพียงไม่กี่ดอลลาร์ต่อครั้ง เทียบกับระบบป้องกันแบบเดิมที่มีค่าใช้จ่าย 50,000 - 100,000 ดอลลาร์ต่อการยิงหนึ่งครั้ง

    นอกจากนี้ สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ก็กำลังพัฒนาอาวุธเลเซอร์สำหรับการป้องกันภัยทางอากาศ โดยเฉพาะระบบ DragonFire ของอังกฤษที่สามารถยิงโดรนได้จากระยะ 1 กิโลเมตร ด้วยต้นทุนเพียง 13 ดอลลาร์ต่อครั้ง

    ข้อมูลจากข่าว
    - อิสราเอลใช้เลเซอร์ยิงโดรน Hezbollah เป็นครั้งแรก ในสนามรบจริง
    - Lite Beam เป็นต้นแบบของ Iron Beam ซึ่งจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในปี 2025
    - Iron Beam ใช้เลเซอร์แทนขีปนาวุธ ลดต้นทุนต่อการยิงลงเหลือไม่กี่ดอลลาร์
    - ระบบสามารถยิงเป้าหมายได้ที่ความเร็วแสง และมี "กระสุน" ไม่จำกัดตราบใดที่มีพลังงาน
    - Iron Beam จะถูกบูรณาการเข้ากับระบบป้องกัน Iron Dome

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ประสิทธิภาพของเลเซอร์ลดลงในสภาพอากาศเลวร้าย เช่น หมอก, ฝนหนัก หรือพายุทราย
    - ระบบยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และต้องรอการทดสอบเพิ่มเติม
    - การใช้เลเซอร์ในสนามรบอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายกัน
    - ต้องจับตาดูว่าการใช้เลเซอร์จะส่งผลต่อยุทธศาสตร์การป้องกันภัยทางอากาศในอนาคต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาวุธ
    การใช้เลเซอร์ในสนามรบจริงเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนาอาวุธในอนาคต โดยเฉพาะการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับภัยคุกคามทางอากาศ

    https://www.techspot.com/news/108105-first-ever-operational-use-israel-reveals-shot-down.html
    🔥 อิสราเอลใช้เลเซอร์ยิงโดรนในสนามรบเป็นครั้งแรก กองทัพอิสราเอลประกาศว่าได้ใช้ ระบบป้องกันด้วยเลเซอร์ ในการยิงโดรนของกลุ่ม Hezbollah เป็นครั้งแรกในสถานการณ์จริง โดยใช้ Lite Beam ซึ่งเป็นต้นแบบของ Iron Beam ที่จะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปี 2025 ระบบ Iron Beam เป็นเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศที่ใช้เลเซอร์แทนขีปนาวุธ ซึ่งช่วยลดต้นทุนต่อการยิงลงเหลือเพียงไม่กี่ดอลลาร์ต่อครั้ง เทียบกับระบบป้องกันแบบเดิมที่มีค่าใช้จ่าย 50,000 - 100,000 ดอลลาร์ต่อการยิงหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ก็กำลังพัฒนาอาวุธเลเซอร์สำหรับการป้องกันภัยทางอากาศ โดยเฉพาะระบบ DragonFire ของอังกฤษที่สามารถยิงโดรนได้จากระยะ 1 กิโลเมตร ด้วยต้นทุนเพียง 13 ดอลลาร์ต่อครั้ง ✅ ข้อมูลจากข่าว - อิสราเอลใช้เลเซอร์ยิงโดรน Hezbollah เป็นครั้งแรก ในสนามรบจริง - Lite Beam เป็นต้นแบบของ Iron Beam ซึ่งจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในปี 2025 - Iron Beam ใช้เลเซอร์แทนขีปนาวุธ ลดต้นทุนต่อการยิงลงเหลือไม่กี่ดอลลาร์ - ระบบสามารถยิงเป้าหมายได้ที่ความเร็วแสง และมี "กระสุน" ไม่จำกัดตราบใดที่มีพลังงาน - Iron Beam จะถูกบูรณาการเข้ากับระบบป้องกัน Iron Dome ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ประสิทธิภาพของเลเซอร์ลดลงในสภาพอากาศเลวร้าย เช่น หมอก, ฝนหนัก หรือพายุทราย - ระบบยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และต้องรอการทดสอบเพิ่มเติม - การใช้เลเซอร์ในสนามรบอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายกัน - ต้องจับตาดูว่าการใช้เลเซอร์จะส่งผลต่อยุทธศาสตร์การป้องกันภัยทางอากาศในอนาคต 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาวุธ การใช้เลเซอร์ในสนามรบจริงเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอากาศ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนาอาวุธในอนาคต โดยเฉพาะการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับภัยคุกคามทางอากาศ https://www.techspot.com/news/108105-first-ever-operational-use-israel-reveals-shot-down.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Israel confirms world-first combat use of laser-beam weapon, downs Hezbollah drones
    The 10kW Lite Beam prototype system that was used is a less powerful version of the Iron Beam laser interceptor, which is set to become operational sometime...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • คอนแทคเลนส์มองเห็นกลางคืน: เทคโนโลยีแห่งอนาคตของแว่นตา

    นักวิจัยจาก University of Science and Technology of China ได้พัฒนา คอนแทคเลนส์ที่สามารถรับรู้แสงอินฟราเรดได้ โดยใช้ นาโนอนุภาคที่เปลี่ยนแสงอินฟราเรดเป็นแสงสีแดง เขียว และน้ำเงิน ทำให้ ผู้ใช้สามารถมองเห็นทั้งแสงธรรมชาติและแสงอินฟราเรดพร้อมกัน

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์มองเห็นกลางคืน
    คอนแทคเลนส์สามารถรับรู้แสงอินฟราเรดได้โดยไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานภายนอก
    - แตกต่างจาก แว่นตามองกลางคืนทั่วไปที่ต้องใช้แบตเตอรี่

    เลนส์มีความโปร่งใส ทำให้สามารถมองเห็นแสงธรรมชาติและแสงอินฟราเรดพร้อมกัน
    - ช่วยให้ สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย เช่น หมอกหรือฝุ่น

    นาโนอนุภาคสามารถเปลี่ยนแสงอินฟราเรดเป็นแสงสีที่มองเห็นได้
    - ทำให้ สามารถตรวจจับวัตถุที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

    สามารถใช้ในอุตสาหกรรมความปลอดภัยและการช่วยเหลือฉุกเฉิน
    - เช่น การค้นหาผู้สูญหายในสภาพแวดล้อมที่มืดหรือมีควัน

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยผู้ที่มีภาวะตาบอดสีให้สามารถรับรู้สีได้ดีขึ้น
    - โดย เปลี่ยนแสงที่มองไม่เห็นให้เป็นสีที่สามารถรับรู้ได้

    https://www.techspot.com/news/108030-night-vision-contact-lenses-offer-glimpse-future-eyewear.html
    คอนแทคเลนส์มองเห็นกลางคืน: เทคโนโลยีแห่งอนาคตของแว่นตา นักวิจัยจาก University of Science and Technology of China ได้พัฒนา คอนแทคเลนส์ที่สามารถรับรู้แสงอินฟราเรดได้ โดยใช้ นาโนอนุภาคที่เปลี่ยนแสงอินฟราเรดเป็นแสงสีแดง เขียว และน้ำเงิน ทำให้ ผู้ใช้สามารถมองเห็นทั้งแสงธรรมชาติและแสงอินฟราเรดพร้อมกัน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์มองเห็นกลางคืน ✅ คอนแทคเลนส์สามารถรับรู้แสงอินฟราเรดได้โดยไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานภายนอก - แตกต่างจาก แว่นตามองกลางคืนทั่วไปที่ต้องใช้แบตเตอรี่ ✅ เลนส์มีความโปร่งใส ทำให้สามารถมองเห็นแสงธรรมชาติและแสงอินฟราเรดพร้อมกัน - ช่วยให้ สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย เช่น หมอกหรือฝุ่น ✅ นาโนอนุภาคสามารถเปลี่ยนแสงอินฟราเรดเป็นแสงสีที่มองเห็นได้ - ทำให้ สามารถตรวจจับวัตถุที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ✅ สามารถใช้ในอุตสาหกรรมความปลอดภัยและการช่วยเหลือฉุกเฉิน - เช่น การค้นหาผู้สูญหายในสภาพแวดล้อมที่มืดหรือมีควัน ✅ เทคโนโลยีนี้อาจช่วยผู้ที่มีภาวะตาบอดสีให้สามารถรับรู้สีได้ดีขึ้น - โดย เปลี่ยนแสงที่มองไม่เห็นให้เป็นสีที่สามารถรับรู้ได้ https://www.techspot.com/news/108030-night-vision-contact-lenses-offer-glimpse-future-eyewear.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Night vision contact lenses offer a glimpse into the future of eyewear
    Contact lenses and eyeglasses could one day enable people to see beyond the natural visible light spectrum. Eyewear equipped with this special technology holds promise for enhancing...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จำดี” คือผลของจิตที่ใส ไม่ใช่เพราะหัวดี

    คนที่จำแม่น จำลึก จำได้นาน
    ไม่ใช่เพราะสมองเก่งกว่าคนอื่น
    แต่เพราะ จิตสะอาดกว่า คนทั่วไปต่างหาก

    ศีลที่รักษาได้สะอาด
    จะพาให้โมหะจาง
    เหมือนเอาผ้าเช็ดคราบหมอกบนกระจกใจ
    ให้เห็นชัดขึ้นว่า...เราเคยตั้งใจอะไรไว้บ้าง

    คนที่ลืมง่าย ไม่ใช่เพราะ “ความจำสั้น”
    แต่อาจเพราะ “ใจอ่อน”
    ตั้งใจดี แต่ไม่ยอมยืนหยัดรักษาความตั้งใจนั้นไว้
    พอจิตไม่ตั้งมั่น ก็ย่อมลืมง่าย
    ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเคยอยากเป็นคนดี

    ---

    อยากจำดี ต้องตั้งใจดี แล้ว “ไม่ลืมว่าตั้งใจอะไรไว้”

    ความจำดีคือผลของการฝึกจิตให้ “ไม่ลอย”
    จิตที่ไม่ลอยไปตามอารมณ์
    คือจิตที่อยู่กับเป้าหมาย
    เป้าหมายที่มาจากเจตนาดี
    เจตนาดีที่ตั้งไว้แล้ว...ยังรักษาอยู่ได้

    จำดี = จำเป้าหมายดี
    จำดี = จำคำมั่นที่ให้ไว้กับตัวเอง
    จำดี = จำคุณคน จำคุณธรรม
    และไม่ปล่อยให้จางหายไปในคลื่นอารมณ์ประจำวัน
    “จำดี” คือผลของจิตที่ใส ไม่ใช่เพราะหัวดี คนที่จำแม่น จำลึก จำได้นาน ไม่ใช่เพราะสมองเก่งกว่าคนอื่น แต่เพราะ จิตสะอาดกว่า คนทั่วไปต่างหาก ศีลที่รักษาได้สะอาด จะพาให้โมหะจาง เหมือนเอาผ้าเช็ดคราบหมอกบนกระจกใจ ให้เห็นชัดขึ้นว่า...เราเคยตั้งใจอะไรไว้บ้าง คนที่ลืมง่าย ไม่ใช่เพราะ “ความจำสั้น” แต่อาจเพราะ “ใจอ่อน” ตั้งใจดี แต่ไม่ยอมยืนหยัดรักษาความตั้งใจนั้นไว้ พอจิตไม่ตั้งมั่น ก็ย่อมลืมง่าย ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเคยอยากเป็นคนดี --- อยากจำดี ต้องตั้งใจดี แล้ว “ไม่ลืมว่าตั้งใจอะไรไว้” ความจำดีคือผลของการฝึกจิตให้ “ไม่ลอย” จิตที่ไม่ลอยไปตามอารมณ์ คือจิตที่อยู่กับเป้าหมาย เป้าหมายที่มาจากเจตนาดี เจตนาดีที่ตั้งไว้แล้ว...ยังรักษาอยู่ได้ จำดี = จำเป้าหมายดี จำดี = จำคำมั่นที่ให้ไว้กับตัวเอง จำดี = จำคุณคน จำคุณธรรม และไม่ปล่อยให้จางหายไปในคลื่นอารมณ์ประจำวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❌️ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน
    โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช

    หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ

    "Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

    ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

    แฝดที่ดี

    เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ

    1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

    2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ

    3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

    4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

    5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ

    แฝดที่ร้าย

    แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

    1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

    2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

    3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

    4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

    5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

    ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

    เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

    ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ
    ❌️😡⚕️ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ "Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ แฝดที่ดี เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ 1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย 2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ 3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ 4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ 5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ แฝดที่ร้าย แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ 1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ 2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน 3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้ 4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย 5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 930 มุมมอง 0 รีวิว
  • **“เหนื่อย…แต่ไม่ไร้ค่า”
    แรงที่เผาผลาญไปวันนี้ คุ้มค่าแค่ไหน?**

    คุณรู้ไหมว่า
    ทุกวันไม่ว่าคุณจะกินอาหารมากแค่ไหน
    สมองคุณจะขอส่วนแบ่งพลังงานจากอาหารไปถึง 20% เสมอ

    ใช่…
    แม้คุณจะไม่ได้ขยับแขนขา
    แม้คุณจะนั่งเฉยๆเพียงแค่ “คิด”
    สมองคุณก็กินพลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นทั้งหมด

    เพราะแบบนี้
    แค่คิดมาก…ก็เหนื่อยได้จริง
    ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง
    แต่คือความจริงระดับชีววิทยา

    ---

    แต่สิ่งที่สำคัญกว่า “คิดมากหรือคิดน้อย” ก็คือ… “คิดไปเพื่ออะไร?”

    ถ้าสมองคุณกำลังทำงานแบบมีเป้าหมาย
    แม้จะเหนื่อย ก็จะรู้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไร
    รู้สึกคุ้ม แม้จะล้า

    แต่หากคุณใช้พลังสมองไปกับการคิดฟุ้ง
    คิดซ้ำ คิดวน คิดไร้เป้าหมาย
    แรงทั้งหมดที่เผาผลาญออกไป
    จะเหลือไว้เพียง “หมอกในหัว”
    และความรู้สึกเศร้าใจว่า

    > “วันนี้หมดแรงไป…แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

    ---

    สิ่งที่มนุษย์ลืมคิดกันคือ… “พลังงานของฉันไม่ได้มาฟรี”

    สัตว์หลายตัวเสียชีวิต
    เพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้คุณกิน
    อาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน
    พลังงานเหล่านั้นถูกส่งเข้าสู่สมอง
    สมองถูกใช้เพื่อ “นั่งฟุ้งอยู่กับความสงสารตัวเอง”…

    เมื่อคิดได้อย่างนี้
    บางคนที่เคยนั่งเศร้าโดยไม่มีเป้าหมาย
    จะเริ่มเกรงใจ…เกรงใจสิ่งมีชีวิตอื่น
    ที่ต้องตายไปเพื่อป้อนพลังให้เรามาใช้เปล่าๆ

    ---

    คราวหน้า เมื่อรู้สึกเหนื่อย…ให้ลองถามตัวเองว่า

    > “แรงที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่นี้ แปรเป็นอะไรดีๆแล้วหรือยัง?”

    หากคำตอบคือ

    > “ได้คิดสิ่งดีๆ ได้เขียนสิ่งดีๆ ได้เข้าใจใครบางคนมากขึ้น”
    คุณจะเริ่มรู้สึกอิ่มใจ คุ้มค่า

    แต่ถ้าคำตอบคือ

    > “เอาไปคิดซ้ำ คิดวน คิดแย่กับตัวเองไม่หยุด”
    ก็แค่รู้ตัว แล้วเปลี่ยนทิศทางความคิดใหม่อีกครั้ง

    ---

    **อย่าให้สมองระดับสูงที่สุดของโลก…

    ถูกใช้ไปกับเรื่องไร้สาระในใจคนเพียงคนเดียว**

    ในทางโลก
    คุณอาจลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆ
    ให้เพื่อนมนุษย์ได้เห็นแสงบ้าง

    ในทางธรรม
    คุณอาจเริ่มเจริญสติทีละลมหายใจ
    เพื่อค่อยๆปลดเปลื้องตัวเอง
    จาก “ความเบียดเบียนโดยไม่รู้ตัว”

    > จนกระทั่งวันหนึ่ง
    คุณจะกลายเป็นมนุษย์ที่ “ไม่มีใครต้องตายเพื่อเราอีก”
    เพราะเราไม่ฟุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน
    แต่ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณ…และรู้ค่า
    **“เหนื่อย…แต่ไม่ไร้ค่า” แรงที่เผาผลาญไปวันนี้ คุ้มค่าแค่ไหน?** คุณรู้ไหมว่า ทุกวันไม่ว่าคุณจะกินอาหารมากแค่ไหน สมองคุณจะขอส่วนแบ่งพลังงานจากอาหารไปถึง 20% เสมอ ใช่… แม้คุณจะไม่ได้ขยับแขนขา แม้คุณจะนั่งเฉยๆเพียงแค่ “คิด” สมองคุณก็กินพลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นทั้งหมด เพราะแบบนี้ แค่คิดมาก…ก็เหนื่อยได้จริง ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง แต่คือความจริงระดับชีววิทยา --- แต่สิ่งที่สำคัญกว่า “คิดมากหรือคิดน้อย” ก็คือ… “คิดไปเพื่ออะไร?” ถ้าสมองคุณกำลังทำงานแบบมีเป้าหมาย แม้จะเหนื่อย ก็จะรู้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไร รู้สึกคุ้ม แม้จะล้า แต่หากคุณใช้พลังสมองไปกับการคิดฟุ้ง คิดซ้ำ คิดวน คิดไร้เป้าหมาย แรงทั้งหมดที่เผาผลาญออกไป จะเหลือไว้เพียง “หมอกในหัว” และความรู้สึกเศร้าใจว่า > “วันนี้หมดแรงไป…แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย” --- สิ่งที่มนุษย์ลืมคิดกันคือ… “พลังงานของฉันไม่ได้มาฟรี” สัตว์หลายตัวเสียชีวิต เพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้คุณกิน อาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน พลังงานเหล่านั้นถูกส่งเข้าสู่สมอง สมองถูกใช้เพื่อ “นั่งฟุ้งอยู่กับความสงสารตัวเอง”… เมื่อคิดได้อย่างนี้ บางคนที่เคยนั่งเศร้าโดยไม่มีเป้าหมาย จะเริ่มเกรงใจ…เกรงใจสิ่งมีชีวิตอื่น ที่ต้องตายไปเพื่อป้อนพลังให้เรามาใช้เปล่าๆ --- คราวหน้า เมื่อรู้สึกเหนื่อย…ให้ลองถามตัวเองว่า > “แรงที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่นี้ แปรเป็นอะไรดีๆแล้วหรือยัง?” หากคำตอบคือ > “ได้คิดสิ่งดีๆ ได้เขียนสิ่งดีๆ ได้เข้าใจใครบางคนมากขึ้น” คุณจะเริ่มรู้สึกอิ่มใจ คุ้มค่า แต่ถ้าคำตอบคือ > “เอาไปคิดซ้ำ คิดวน คิดแย่กับตัวเองไม่หยุด” ก็แค่รู้ตัว แล้วเปลี่ยนทิศทางความคิดใหม่อีกครั้ง --- **อย่าให้สมองระดับสูงที่สุดของโลก… ถูกใช้ไปกับเรื่องไร้สาระในใจคนเพียงคนเดียว** ในทางโลก คุณอาจลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆ ให้เพื่อนมนุษย์ได้เห็นแสงบ้าง ในทางธรรม คุณอาจเริ่มเจริญสติทีละลมหายใจ เพื่อค่อยๆปลดเปลื้องตัวเอง จาก “ความเบียดเบียนโดยไม่รู้ตัว” > จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณจะกลายเป็นมนุษย์ที่ “ไม่มีใครต้องตายเพื่อเราอีก” เพราะเราไม่ฟุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณ…และรู้ค่า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกเพื่อไทยแจง ไม่เคยพูดว่า “ทักษิณ” ป่วยวิกฤต เคยแถลงตอนออกจาก รพ.ตำรวจว่าป่วยและได้รับการผ่าตัดเท่านั้น เพราะคนสอบถามมาเยอะ อ้างคำว่า “วิกฤติ” มุมมองของหมอกับคนทั่วไปอาจต่างกัน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000043535

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โฆษกเพื่อไทยแจง ไม่เคยพูดว่า “ทักษิณ” ป่วยวิกฤต เคยแถลงตอนออกจาก รพ.ตำรวจว่าป่วยและได้รับการผ่าตัดเท่านั้น เพราะคนสอบถามมาเยอะ อ้างคำว่า “วิกฤติ” มุมมองของหมอกับคนทั่วไปอาจต่างกัน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000043535 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts