• หนังสือจาก ตต.มาใหม่ หาซื้อได้
    ยุคสมัยนี้ต้องเรียนรู้เอไอ
    https://vt.tiktok.com/ZS2nQepC8/
    หนังสือจาก ตต.มาใหม่ หาซื้อได้ ยุคสมัยนี้ต้องเรียนรู้เอไอ https://vt.tiktok.com/ZS2nQepC8/
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • #Zurich #Film
    #Festival #เทศกาลหนังเมืองซูริค เริ่มแล้ว
    #Zurich #Film #Festival #เทศกาลหนังเมืองซูริค เริ่มแล้ว
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • 🤠#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 01.🤠

    😎#ออกจากประตูหยก😎

    🥸การเดินทางของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปทางทิศตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะนั้นเป็นการกระทำส่วนตัวโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ แต่ด้วยเหตุนี้ มุมมองของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่มีต่อภูมิภาคตะวันตกจึงมีความเป็นพลเรือนมากกว่า เป็นกลางมากกว่า และเป็นจริงมากกว่า🥸

    🥸ต่อไปนี้เชิญท่านมาเผชิญหน้ากับท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยลมและทราย เดินย่ำเหยียบฝ่าหมอกควันทะเลทราย เริ่มต้นเข้าร่วมกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ในการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์ของเขาเพื่อร่างขอบเขตดินแดนของภูมิภาคตะวันตก🥸

    😎ออกจากประตูหยก(玉门)ไปทางทิศตะวันตก 😎

    🥸ในปีคริสตศักราช 629 ภัยพิบัติน้ำแข็งเกิดขึ้นในพื้นที่กวนจง(关中) ราชวงศ์ถัง(唐)ออกคำสั่งให้พระภิกษุและฆราวาสในพื้นที่ คยองกี(Gyeonggi京畿) ย้ายไปยังสถานที่อื่นเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงหลบหนีจากความอดอยาก พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ซึ่งแต่เดิมต้องการออกจากด่านทางผ่าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักจึงใช้โอกาสนี้ออกจากฉางอาน(长安)🥸 เขาเดินทางผ่านหลานโจว(兰州)และเหลียงโจว(凉州) เขาหลีกเลี่ยงการติดตามจัยกุมของทางการโดยการเดินทางเวลากลางคืนและพักเวลากลางวัน ต่อมา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เสี่ยงภัยเดินทางผ่าน กวัวโจว(瓜州) และ อวี้เหมินกวน(Yumen Pass玉门关) ผ่านหอคอยสัญญาณไฟ 5 แห่งที่มีกองทหารคุ้มกันตามลำดับรายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากทหารรักษาชายแดนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ข้ามทะเลทรายโกบีด้วยพลังแห่งความศรัทธาและความอุตสาหะอย่างแรงกล้าก่อนจะไปถึงอีหวู(伊吾) และเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก

    🥸สถานีแรกของการเดินทาง อีหวู(伊吾) ได้มีการส่งมอบการมาถึงอย่างกะทันหันของพระภิกษุให้กับเกาชาง(Gaochang高昌) (ปัจจุบันคือเมืองถูหลู่ฟาน(Turfan 吐鲁番) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์(Xinjiang Uygur Autonomous Region 新疆维吾尔自治区)) เจ้าเหนือหัวองค์น้อยทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตกในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมแอ่งถูหลู่ฟาน(Turfan Depression吐鲁番盆地)🥸

    🥸หลังจากได้ยินข่าวว่า พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)มาถึงแล้ว กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) เสนาบดี และสาวใช้ออกมาจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทรงจุดเทียน และเข้าแถวเพื่อต้อนรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เข้าสู่พระราชวังด้วยความเคารพ🥸 หลังจากเห็น พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) แล้ว ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ดีใจมากและบอกกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ว่า: นับตั้งแต่ฉันรู้ชื่ออาจารย์ ฉันมีความสุขมากจนลืมกินลืมนอน ฉันรู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงธรรมจากตะวันออกจะมาคืนนี้ ฉันก็เลยพร้อมกับพระราชินีและเจ้าชายทรงพากันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนรอการมาถึงของพระอาจารย์

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ถูกจัดให้อยู่ที่สนามหลวงทางพิธีกรรมของศาสนาถัดจากพระราชวังกษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) และจัดขันทีให้ดูแลอาหารและชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)

    รัฐเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)เป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตก และถูกปกครองโดยผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์ฮั่น(汉)และเว่ย(魏) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่รวมหู(胡)และฮั่น(汉)เข้าด้วยกัน ในบรรดาพลเมืองนั้น ไม่เพียงแต่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวฮั่น(汉)เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากภูมิภาคตะวันตกด้วย เช่น ชาวซ็อกเดียน(Sogdians粟特) ชาวซานซาน(Shanshan鄯善人)และชาวเติร์ก(Turks突厥人) 🥸ก่อนที่ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)จะมาถึง ประเทศนี้ก็ก่อตั้งขึ้นที่นั่นมานานกว่า 100 ปีแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าข้อมูลจำเพาะของเมืองที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองฉางอัน(长安)ในราชวงศ์ซุย(隋)และราชวงศ์ถัง(唐)มาก นอกจากนี้ยังมีรูปของ ดยุคไอแห่งหลู่(鲁哀公)สอดถามขงจื๊อ(孔子)เกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่แขวนอยู่ในพระราชวังของอาณาจักร เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)🥸

    😎การต้อนรับด้วยมารยาทอันสูงส่ง😎

    🥸ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และบิดาของเขาเดินทางไปยังราชวงศ์สุย(隋)ในยุครุ่งเรืองเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิสุยหยางตี้(隋炀帝)🥸 เขาไม่เพียงแต่เดินทางไปยังฉางอาน(长安) ล่อหยาง(洛阳) เฝินหยาง(汾阳) เอี้ยนตี้(燕地) ไต้ตี้(代地) และเมืองสำคัญอื่นๆ และได้เห็นวัฒนธรรมฮั่น(汉)ของที่ราบตอนกลางดั้งเดิม แต่เขายังไปเยี่ยมคารวะพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและผู้มีคุณธรรมอีกมากมาย และเขาก็ชื่นชมที่ราบภาคกลางที่เป็นบ้านเกิดทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างมาก แต่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในอดีตของราชวงศ์ซุย ความฉลาดสามารถของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)นั้นเหนือกว่ามาก

    เมื่อใดก็ตามที่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)บรรยายธรรมแก่ขุนนางของเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ในเต็นท์ใหญ่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ถือกระถางธูปเพื่อเคลียร์นำทางให้พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วยตนเอง เมื่อพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปที่แท่นธรรมาสน์เพื่อขึ้นเทศนาธรรม กษัตริย์แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ถึงกับคุกเข่าโน้มตัวลง และทำหน้าที่เป็นบันไดให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ก้าวขึ้นแท่นธรรมาสน์ การปฏิบัตินี้ไม่สอดคล้องกับประเพณีตะวันออก แต่ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือดั้งเดิมของอินเดียบางเรื่อง สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากสิ่งแวดล้อมข้วงเคียงว่า เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)คือจุดทางสี่แยกของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการบูชาสักการะอย่างสูงสุดต่อ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ยังคัดเลือกพระภิกษุในท้องถิ่นหลายแห่งใน เกาชาง(Gaochang高昌)ให้เป็นนักเรียนและคนรับใช้ นิสัยปกิบัติในการรับลูกศิษย์ไปตลอดทางนี้ กลายเป็นต้นแบบทางประวัติศาสตร์สำหรับทีมอาจารย์และลูกศิษย์ของภิกษุราชวงศ์ถัง(唐)ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน "บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(Journey to the West西游记)" แม้ว่ากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)จะชื่นชมพรสวรรค์และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เขาถึงกับมีความคิดหน่วงรั้งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้ที่เกาชาง(Gaochang高昌)ด้วยซ้ำ และขอให้ประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป แสดงธรรมสั่งสอนให้ความรู้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ระดับชาติของ เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เห็นด้วยเพราะมีตวามเห็นว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่กว่า กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)เห็นว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) มีความมุ่งมั่นดังนั้นเขาจึงจำต้องโยนไพ่ตายทางเลือกสุดท้ายของเขาออกไป: 🥸ถ้าพระคุณท่านไม่ปรารถนาอยู่ในเกาชาง(Gaochang高昌) ข้าพระเจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งท่านอาจารย์กลับไปทางทิศตะวันออก🥸

    เมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ไม้แข็งและไม้อ่อนร่วมกันของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองว่า: 🥸พระองค์สามารถจะเพียงได้รับกระดูกของอาตมาเอาไว้ได้ แต่พระองค์ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของอาตมาที่จะไปทางตะวันตกได้🥸

    😎หนทางเบื้องหน้าอันยาวไกล😎

    🥸ด้วยเหตุนี้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) จึงอดอาหารเป็นเวลาสามวันเพื่อแสดงความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตก🥸 ในฐานะเป็นอาณาจักรในภูมิภาคตะวันตกที่นับถือศาสนาพุทธ หากมีพระภิกษุที่แสวงหาธรรมะมาอดอยากจนตายภายในดินแดนของตน ชื่อเสียงสู่ภายนอกของเกาชาง(Gaochang高昌)ในภูมิภาคตะวันตกจะเสียหายอย่างมาก และเขาจะพลอยได้รับชื่อเสียงเสื่อมเสียงจากการทำร้ายพระภิกษุที่มีชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว การขัดขวางการเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ด้วยเพื่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาเองก็เป็นการขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเขา

    🥸เมื่อเขาคิดมาถึง ณ จุดนี้ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ก้มหัวให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เพื่อขอโทษ🥸 ความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาที่มีต่อเกาชาง(Gaochang高昌) ก็ถูกขจัดออกไปในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นมีเมตตาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเวลาเดียวกันกับขณะที่รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะแสวงหาธรรมะโดยปราศจากสิ่งภายนอกมาบั่นทอนความตั้งใจ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ได้สาบานต่อฟ้าดินสัญญาเป็นพี่น้องกัน ภายใต้การอุปถัมภ์จากแม่ของแผ่นดินเจ้าจอมมารดา จาง(张太妃) เพื่อให้พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เดินทางไปถึงอินเดียได้อย่างราบรื่น กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) ทรงสั่งการให้จัดทีมงานเล็กๆ ประกอบด้วยม้า 30 ตัว พนักงานข้าราชการเกาชาง(Gaochang高昌)1 คน ผู้ติดตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 25 คน และพระภิกษุหนุ่ม 4 รูป เพื่อดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมหน้ากากและหมวกพิเศษสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สำหรับการเดินทางผ่านภูเขาและทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับเขตภูมิอากาศต่างๆ จัดทหารม้าขนนำทองคำ เงิน และผ้าไหมจำนวนมากไว้สำหรับการครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยระหว่างทางไปอินเดียเท่านั้น แต่ยังมีเงินเพียงพอที่จะทำทานอีกด้วย ในสิ่งแต่งเคิมเหล่านี้เป็นรายละเอียดด้านที่อ่อนโยนของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออัครสาวก

    🥸นอกจากทรัพย์สินแล้ว เนื่องจากเจ้าผู้ครองแคว้นตะวันตกในขณะนั้น คือ ข่านเตอร์กตะวันตก(西突厥)ได้สมรสกับราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ยังมีจดหมายแสดงความเคารพที่กษัตริย์แห่งเกาชาง(Gaochang高昌)มอบให้กับข่านแห่งเติร์กตะวันตก(西突厥) อธิบายถึงความตั้งใจของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะไปทางดินแดนแคว้นตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะ🥸 ภายใต้การคุ้มครองของเตอร์กข่านตะวันตก (西突厥) ทุกประเทศในภูมิภาคตะวันตกตลอดเส้นทางให้ความเคารพแก่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) และให้การสนับสนุนทางทหารที่เข้มแข็งและมีควาทปลอดภัยที่สุดสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)และคณะเดินทางของเขา และจดหมายแสดงความเคารพของกษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ถึงพระมหากษัตริย์ของยี่สิบสี่ประเทศในภูมิภาคตะวันตกจะช่วยให้การเดินทางของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก

    🥸ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของการอำลาอาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌) บรรดาราชวงศ์และชาวเกาชาง(Gaochang高昌)ก็ออกจากเมืองเพื่อส่งอำลา🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สัญญาว่า เมื่อเดินทางผ่านเกาชาง(Gaochang高昌)หลังจากกลับจากการศึกษาในอินเดียจะแสดงเทศนาธรรมอีก จากนั้นเขาก็กล่าวคำอำลากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ด้วยน้ำตา พวกบรรดาราชวงศ์ เกาชาง(Gaochang高昌)เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวพุทธต่างพากันออกจากเมืองส่งเสียงอำลาดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งถิ่น ราวกับว่ามือแห่งโชคชะตาได้ฉีกหัวใจและจิตวิญญาณออกจากร่างกายของชาวเกาชาง(Gaochang高昌) ทำให้พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติไปตลอดกาล

    บรรดาพวกราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ส่งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ออกไปนอกเมืองหลายสิบลี้ แม้ว่าพระภิกษุสมณเพศจะมองเห็นบรรลุแล้วการจากแยกอำลาในทางโลกแล้วก็ตาม แต่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและยังคงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาขอบคุณต่ออาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌)อย่างสุดซึ้งอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจ ราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังจับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่ำไห้ราวกับสายฝนกล่าวว่า 🥸ในเมื่อพระคุณท่านถือเป็นพี่น้องกัน สัตว์พาหนะต่าง ๆ ในประเทศก็มีเจ้าของคนเดียวกัน แล้วเหตุใดจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วย?🥸

    พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ตอบว่า: 🥸ฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของเสด็จพี่ตลอดชีวิตของอาตมา ในวันที่อาตมากลับจากนำพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนากลับมา อาตมาจะอยู่สอนธรรมะในเกาชาง(Gaochang高昌)เป็นเวลาสามปีเป็นการตอบแทน!🥸

    หลายปีต่อมาในฉางอาน(长安) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากให้เหล่าสาวกฟัง มิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีต่อราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังคงเกินคำบรรยาย ดูเหมือนราวกับว่าพิธีอำลาที่หรูหราและยิ่งใหญ่นั้นได่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ 🥸นี่ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพี่ชายร่วมสาบานของเขา🥸

    🥳โปรดติดตามบทความ#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 02.
    #อาณาจักรคาราซาห์และคูชาที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 01.🤠 😎#ออกจากประตูหยก😎 🥸การเดินทางของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปทางทิศตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะนั้นเป็นการกระทำส่วนตัวโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ แต่ด้วยเหตุนี้ มุมมองของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่มีต่อภูมิภาคตะวันตกจึงมีความเป็นพลเรือนมากกว่า เป็นกลางมากกว่า และเป็นจริงมากกว่า🥸 🥸ต่อไปนี้เชิญท่านมาเผชิญหน้ากับท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยลมและทราย เดินย่ำเหยียบฝ่าหมอกควันทะเลทราย เริ่มต้นเข้าร่วมกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ในการเดินทางอันน่ามหัศจรรย์ของเขาเพื่อร่างขอบเขตดินแดนของภูมิภาคตะวันตก🥸 😎ออกจากประตูหยก(玉门)ไปทางทิศตะวันตก 😎 🥸ในปีคริสตศักราช 629 ภัยพิบัติน้ำแข็งเกิดขึ้นในพื้นที่กวนจง(关中) ราชวงศ์ถัง(唐)ออกคำสั่งให้พระภิกษุและฆราวาสในพื้นที่ คยองกี(Gyeonggi京畿) ย้ายไปยังสถานที่อื่นเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงหลบหนีจากความอดอยาก พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ซึ่งแต่เดิมต้องการออกจากด่านทางผ่าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักจึงใช้โอกาสนี้ออกจากฉางอาน(长安)🥸 เขาเดินทางผ่านหลานโจว(兰州)และเหลียงโจว(凉州) เขาหลีกเลี่ยงการติดตามจัยกุมของทางการโดยการเดินทางเวลากลางคืนและพักเวลากลางวัน ต่อมา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เสี่ยงภัยเดินทางผ่าน กวัวโจว(瓜州) และ อวี้เหมินกวน(Yumen Pass玉门关) ผ่านหอคอยสัญญาณไฟ 5 แห่งที่มีกองทหารคุ้มกันตามลำดับรายทาง ด้วยความช่วยเหลือจากทหารรักษาชายแดนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ข้ามทะเลทรายโกบีด้วยพลังแห่งความศรัทธาและความอุตสาหะอย่างแรงกล้าก่อนจะไปถึงอีหวู(伊吾) และเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก 🥸สถานีแรกของการเดินทาง อีหวู(伊吾) ได้มีการส่งมอบการมาถึงอย่างกะทันหันของพระภิกษุให้กับเกาชาง(Gaochang高昌) (ปัจจุบันคือเมืองถูหลู่ฟาน(Turfan 吐鲁番) เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์(Xinjiang Uygur Autonomous Region 新疆维吾尔自治区)) เจ้าเหนือหัวองค์น้อยทางตะวันออกของภูมิภาคตะวันตกในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมแอ่งถูหลู่ฟาน(Turfan Depression吐鲁番盆地)🥸 🥸หลังจากได้ยินข่าวว่า พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)มาถึงแล้ว กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) เสนาบดี และสาวใช้ออกมาจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทรงจุดเทียน และเข้าแถวเพื่อต้อนรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เข้าสู่พระราชวังด้วยความเคารพ🥸 หลังจากเห็น พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) แล้ว ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ดีใจมากและบอกกับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ว่า: นับตั้งแต่ฉันรู้ชื่ออาจารย์ ฉันมีความสุขมากจนลืมกินลืมนอน ฉันรู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงธรรมจากตะวันออกจะมาคืนนี้ ฉันก็เลยพร้อมกับพระราชินีและเจ้าชายทรงพากันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนรอการมาถึงของพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ถูกจัดให้อยู่ที่สนามหลวงทางพิธีกรรมของศาสนาถัดจากพระราชวังกษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) และจัดขันทีให้ดูแลอาหารและชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) รัฐเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)เป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันตก และถูกปกครองโดยผู้รอดชีวิตจากราชวงศ์ฮั่น(汉)และเว่ย(魏) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่รวมหู(胡)และฮั่น(汉)เข้าด้วยกัน ในบรรดาพลเมืองนั้น ไม่เพียงแต่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาวฮั่น(汉)เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนจากภูมิภาคตะวันตกด้วย เช่น ชาวซ็อกเดียน(Sogdians粟特) ชาวซานซาน(Shanshan鄯善人)และชาวเติร์ก(Turks突厥人) 🥸ก่อนที่ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)จะมาถึง ประเทศนี้ก็ก่อตั้งขึ้นที่นั่นมานานกว่า 100 ปีแล้ว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าข้อมูลจำเพาะของเมืองที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองฉางอัน(长安)ในราชวงศ์ซุย(隋)และราชวงศ์ถัง(唐)มาก นอกจากนี้ยังมีรูปของ ดยุคไอแห่งหลู่(鲁哀公)สอดถามขงจื๊อ(孔子)เกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่แขวนอยู่ในพระราชวังของอาณาจักร เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)🥸 😎การต้อนรับด้วยมารยาทอันสูงส่ง😎 🥸ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และบิดาของเขาเดินทางไปยังราชวงศ์สุย(隋)ในยุครุ่งเรืองเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิสุยหยางตี้(隋炀帝)🥸 เขาไม่เพียงแต่เดินทางไปยังฉางอาน(长安) ล่อหยาง(洛阳) เฝินหยาง(汾阳) เอี้ยนตี้(燕地) ไต้ตี้(代地) และเมืองสำคัญอื่นๆ และได้เห็นวัฒนธรรมฮั่น(汉)ของที่ราบตอนกลางดั้งเดิม แต่เขายังไปเยี่ยมคารวะพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงและผู้มีคุณธรรมอีกมากมาย และเขาก็ชื่นชมที่ราบภาคกลางที่เป็นบ้านเกิดทางวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างมาก แต่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในอดีตของราชวงศ์ซุย ความฉลาดสามารถของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)นั้นเหนือกว่ามาก เมื่อใดก็ตามที่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)บรรยายธรรมแก่ขุนนางของเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ในเต็นท์ใหญ่ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ถือกระถางธูปเพื่อเคลียร์นำทางให้พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วยตนเอง เมื่อพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไปที่แท่นธรรมาสน์เพื่อขึ้นเทศนาธรรม กษัตริย์แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)ถึงกับคุกเข่าโน้มตัวลง และทำหน้าที่เป็นบันไดให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ก้าวขึ้นแท่นธรรมาสน์ การปฏิบัตินี้ไม่สอดคล้องกับประเพณีตะวันออก แต่ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือดั้งเดิมของอินเดียบางเรื่อง สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากสิ่งแวดล้อมข้วงเคียงว่า เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)คือจุดทางสี่แยกของอารยธรรมตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการบูชาสักการะอย่างสูงสุดต่อ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ยังคัดเลือกพระภิกษุในท้องถิ่นหลายแห่งใน เกาชาง(Gaochang高昌)ให้เป็นนักเรียนและคนรับใช้ นิสัยปกิบัติในการรับลูกศิษย์ไปตลอดทางนี้ กลายเป็นต้นแบบทางประวัติศาสตร์สำหรับทีมอาจารย์และลูกศิษย์ของภิกษุราชวงศ์ถัง(唐)ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน "บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก(Journey to the West西游记)" แม้ว่ากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)แห่งเกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国)จะชื่นชมพรสวรรค์และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เขาถึงกับมีความคิดหน่วงรั้งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้ที่เกาชาง(Gaochang高昌)ด้วยซ้ำ และขอให้ประทับอยู่ที่นี่ตลอดไป แสดงธรรมสั่งสอนให้ความรู้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป จนกระทั่งเป็นพระอาจารย์ระดับชาติของ เกาชางเกว๋าะ(Gaochang高昌国) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เห็นด้วยเพราะมีตวามเห็นว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องใหญ่กว่า กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)เห็นว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) มีความมุ่งมั่นดังนั้นเขาจึงจำต้องโยนไพ่ตายทางเลือกสุดท้ายของเขาออกไป: 🥸ถ้าพระคุณท่านไม่ปรารถนาอยู่ในเกาชาง(Gaochang高昌) ข้าพระเจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งท่านอาจารย์กลับไปทางทิศตะวันออก🥸 เมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ไม้แข็งและไม้อ่อนร่วมกันของ ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองว่า: 🥸พระองค์สามารถจะเพียงได้รับกระดูกของอาตมาเอาไว้ได้ แต่พระองค์ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของอาตมาที่จะไปทางตะวันตกได้🥸 😎หนทางเบื้องหน้าอันยาวไกล😎 🥸ด้วยเหตุนี้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) จึงอดอาหารเป็นเวลาสามวันเพื่อแสดงความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตก🥸 ในฐานะเป็นอาณาจักรในภูมิภาคตะวันตกที่นับถือศาสนาพุทธ หากมีพระภิกษุที่แสวงหาธรรมะมาอดอยากจนตายภายในดินแดนของตน ชื่อเสียงสู่ภายนอกของเกาชาง(Gaochang高昌)ในภูมิภาคตะวันตกจะเสียหายอย่างมาก และเขาจะพลอยได้รับชื่อเสียงเสื่อมเสียงจากการทำร้ายพระภิกษุที่มีชื่อเสียงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้ว การขัดขวางการเดินทางไปดินแดนทางทิศตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ด้วยเพื่อความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาเองก็เป็นการขัดแย้งกับความตั้งใจเดิมของเขา 🥸เมื่อเขาคิดมาถึง ณ จุดนี้ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ก็ก้มหัวให้ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) เพื่อขอโทษ🥸 ความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาที่มีต่อเกาชาง(Gaochang高昌) ก็ถูกขจัดออกไปในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นมีเมตตาที่จะช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในเวลาเดียวกันกับขณะที่รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะแสวงหาธรรมะโดยปราศจากสิ่งภายนอกมาบั่นทอนความตั้งใจ กษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)และพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ได้สาบานต่อฟ้าดินสัญญาเป็นพี่น้องกัน ภายใต้การอุปถัมภ์จากแม่ของแผ่นดินเจ้าจอมมารดา จาง(张太妃) เพื่อให้พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เดินทางไปถึงอินเดียได้อย่างราบรื่น กษัตริย์เกาชาง(Gaochang高昌) ทรงสั่งการให้จัดทีมงานเล็กๆ ประกอบด้วยม้า 30 ตัว พนักงานข้าราชการเกาชาง(Gaochang高昌)1 คน ผู้ติดตามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 25 คน และพระภิกษุหนุ่ม 4 รูป เพื่อดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และชีวิตประจำวันของพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมหน้ากากและหมวกพิเศษสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สำหรับการเดินทางผ่านภูเขาและทะเลทรายที่เต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับเขตภูมิอากาศต่างๆ จัดทหารม้าขนนำทองคำ เงิน และผ้าไหมจำนวนมากไว้สำหรับการครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องทนทุกข์จากความหิวโหยระหว่างทางไปอินเดียเท่านั้น แต่ยังมีเงินเพียงพอที่จะทำทานอีกด้วย ในสิ่งแต่งเคิมเหล่านี้เป็นรายละเอียดด้านที่อ่อนโยนของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออัครสาวก 🥸นอกจากทรัพย์สินแล้ว เนื่องจากเจ้าผู้ครองแคว้นตะวันตกในขณะนั้น คือ ข่านเตอร์กตะวันตก(西突厥)ได้สมรสกับราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ยังมีจดหมายแสดงความเคารพที่กษัตริย์แห่งเกาชาง(Gaochang高昌)มอบให้กับข่านแห่งเติร์กตะวันตก(西突厥) อธิบายถึงความตั้งใจของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ที่จะไปทางดินแดนแคว้นตะวันตกเพื่อแสวงหาธรรมะ🥸 ภายใต้การคุ้มครองของเตอร์กข่านตะวันตก (西突厥) ทุกประเทศในภูมิภาคตะวันตกตลอดเส้นทางให้ความเคารพแก่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) และให้การสนับสนุนทางทหารที่เข้มแข็งและมีควาทปลอดภัยที่สุดสำหรับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)และคณะเดินทางของเขา และจดหมายแสดงความเคารพของกษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ถึงพระมหากษัตริย์ของยี่สิบสี่ประเทศในภูมิภาคตะวันตกจะช่วยให้การเดินทางของ พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก 🥸ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของการอำลาอาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌) บรรดาราชวงศ์และชาวเกาชาง(Gaochang高昌)ก็ออกจากเมืองเพื่อส่งอำลา🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)สัญญาว่า เมื่อเดินทางผ่านเกาชาง(Gaochang高昌)หลังจากกลับจากการศึกษาในอินเดียจะแสดงเทศนาธรรมอีก จากนั้นเขาก็กล่าวคำอำลากษัตริย์ชวีเหวินไท่(Qu Wentai麹文泰)ด้วยน้ำตา พวกบรรดาราชวงศ์ เกาชาง(Gaochang高昌)เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวพุทธต่างพากันออกจากเมืองส่งเสียงอำลาดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งถิ่น ราวกับว่ามือแห่งโชคชะตาได้ฉีกหัวใจและจิตวิญญาณออกจากร่างกายของชาวเกาชาง(Gaochang高昌) ทำให้พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติไปตลอดกาล บรรดาพวกราชวงศ์เกาชาง(Gaochang高昌) ส่งพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ออกไปนอกเมืองหลายสิบลี้ แม้ว่าพระภิกษุสมณเพศจะมองเห็นบรรลุแล้วการจากแยกอำลาในทางโลกแล้วก็ตาม แต่พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและยังคงเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาขอบคุณต่ออาณาจักรเกาชาง(Gaochang高昌)อย่างสุดซึ้งอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจ ราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังจับพระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)ไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่ำไห้ราวกับสายฝนกล่าวว่า 🥸ในเมื่อพระคุณท่านถือเป็นพี่น้องกัน สัตว์พาหนะต่าง ๆ ในประเทศก็มีเจ้าของคนเดียวกัน แล้วเหตุใดจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วย?🥸 พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘) ตอบว่า: 🥸ฉันจะไม่มีวันลืมความเมตตาของเสด็จพี่ตลอดชีวิตของอาตมา ในวันที่อาตมากลับจากนำพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนากลับมา อาตมาจะอยู่สอนธรรมะในเกาชาง(Gaochang高昌)เป็นเวลาสามปีเป็นการตอบแทน!🥸 หลายปีต่อมาในฉางอาน(长安) พระถังซัมจั๋ง(Xuanzang 玄奘)เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากให้เหล่าสาวกฟัง มิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีต่อราชาแห่งเกาชาง(Gaochang高昌)ยังคงเกินคำบรรยาย ดูเหมือนราวกับว่าพิธีอำลาที่หรูหราและยิ่งใหญ่นั้นได่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ 🥸นี่ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพี่ชายร่วมสาบานของเขา🥸 🥳โปรดติดตามบทความ#โลกของภูมิภาคตะวันตกในสายตาของพระภิกษุถังซัมจั๋ง ตอน 02. #อาณาจักรคาราซาห์และคูชาที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • GUCCI
    Men’s Luxury Loafers with Buckle
    (268-2)
    Made in Italy 🇮🇹
    Size. EUR 39 (วัดความยาวด้านในได้ 25.5 cm)

    🔥 Price : 3,700฿

    รองเท้า Luxury Brand จากอิตาลี เป็นรองเท้าสไตล์ Monk Strap คอลเลกชั่นรองเท้าสำหรับผู้ชาย ส่วนหน้ารองเท้าตกแต่งด้วยสายรัดพร้อมหัวเข็มขัดโลหะสีทองสลักลายตราประทับ Gucci ดั้งเดิม

    👉รายละเอียด :-
    🔹ผู้ผลิต : Gucci
    🔹ประเทศต้นกำเนิด : อิตาลี
    🔹ประเภทรองเท้า : รองเท้าโลฟเฟอร์
    🔹ขนาด : เบอร์ 39
    🔹สภาพ : มือสอง สภาพดี
    🔹วัสดุส่วนบน : หนังแท้
    🔹วัสดุซับใน : หนังแท้
    🔹สี : ดำ
    🔹ตัวล็อค : หัวเข็มขัดเดียว
    🔹รูปทรงปลายเท้า : ปลายแหลม
    🔹จมูกรองเท้า : ทรงอัลมอนด์
    🔹น้ำหนัก : ประมาณ 0.5 กก.
    GUCCI Men’s Luxury Loafers with Buckle (268-2) Made in Italy 🇮🇹 Size. EUR 39 (วัดความยาวด้านในได้ 25.5 cm) 🔥 Price : 3,700฿ รองเท้า Luxury Brand จากอิตาลี เป็นรองเท้าสไตล์ Monk Strap คอลเลกชั่นรองเท้าสำหรับผู้ชาย ส่วนหน้ารองเท้าตกแต่งด้วยสายรัดพร้อมหัวเข็มขัดโลหะสีทองสลักลายตราประทับ Gucci ดั้งเดิม 👉รายละเอียด :- 🔹ผู้ผลิต : Gucci 🔹ประเทศต้นกำเนิด : อิตาลี 🔹ประเภทรองเท้า : รองเท้าโลฟเฟอร์ 🔹ขนาด : เบอร์ 39 🔹สภาพ : มือสอง สภาพดี 🔹วัสดุส่วนบน : หนังแท้ 🔹วัสดุซับใน : หนังแท้ 🔹สี : ดำ 🔹ตัวล็อค : หัวเข็มขัดเดียว 🔹รูปทรงปลายเท้า : ปลายแหลม 🔹จมูกรองเท้า : ทรงอัลมอนด์ 🔹น้ำหนัก : ประมาณ 0.5 กก.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • Salvatore Ferragamo
    Gancini Moccasins with Hook Ornament
    (88689)
    Size. EUR 41 (วัดความยาวด้านในได้ 26 cm)

    🔥 Price : 1,390฿

    รองเท้าโลฟเฟอร์หนังลูกวัวพันธุ์ Bos Taurus 100% ของ Ferragamo ทรงหัวมนยาวเล็กน้อย ส้นตึกทำจากหนัง ตกแต่งด้วยโลโก้ Gancini อันเป็นเอกลักษณ์สามมิติที่ด้านหน้า พื้นรองเท้าด้านในประดับหมุดโลโก้
    Salvatore Ferragamo Gancini Moccasins with Hook Ornament (88689) Size. EUR 41 (วัดความยาวด้านในได้ 26 cm) 🔥 Price : 1,390฿ รองเท้าโลฟเฟอร์หนังลูกวัวพันธุ์ Bos Taurus 100% ของ Ferragamo ทรงหัวมนยาวเล็กน้อย ส้นตึกทำจากหนัง ตกแต่งด้วยโลโก้ Gancini อันเป็นเอกลักษณ์สามมิติที่ด้านหน้า พื้นรองเท้าด้านในประดับหมุดโลโก้
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • UGG
    CHESTER CAPRA SLIPPER
    Size. US 11 /UK 10 /EUR 44 /29 cm

    🔥 Price : 690฿

    UGG แบรนด์แฟชั่นจากรองเท้าชาวเลมาสู่แฟชั่นระดับโลก มีที่มาจากรองเท้าขนแกะของชาวเลในออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันเป็นของบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน และได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากความสบายและความอบอุ่นของรองเท้า

    👉 รายละเอียด :-
    UGG : CHESTER CAPRA SLIPPER คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้บนท้องถนนในรูปทรงที่เรียบง่ายผสมผสานความสบายของรองเท้าแตะและการใช้งานของรองเท้าลำลองเข้าด้วยกัน หนังแกะนุ่มๆและพื้นรองเท้าด้านนอกยางวัลคาไนซ์ เป็นสิ่งยืนยันถึงประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันของ Chester Capra Slipper
    🔹ส่วนบนทำจากหนังแกะที่หนานุ่ม
    🔹ตะเข็บตกแต่งให้ดูโดดเด่น
    🔹เชือกผูกหนังแบบตายตัว
    🔹ซับในทำจากหนังแกะ
    🔹พื้นรองเท้าชั้นกลางทำจาก EVA Foam
    🔹พื้นรองเท้าด้านนอกทำจาก Vulcanized Rubber แบบฉีดขึ้นรูป
    🔹โลโก้ UGG® ประทับด้วยความร้อนบนพื้นรองเท้า

    👉 เรื่องราว :-
    แบรนด์ UGG โดยบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน มีรากฐานมาจากรองเท้าที่ทำจากขนแกะของชาวเลในออสเตรเลียสู่แฟชั่นระดับโลก ซึ่งสวมใส่เพื่อความอบอุ่นในสภาพอากาศหนาวเย็น

    แบรนด์ UGG ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มนักเล่นเซิร์ฟและนักสกี เนื่องจากความนุ่มสบายและความอบอุ่นของรองเท้า จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และก็ขยายตลาดไปทั่วโลก กลายเป็นแฟชั่นไอเท็มที่ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย
    UGG CHESTER CAPRA SLIPPER Size. US 11 /UK 10 /EUR 44 /29 cm 🔥 Price : 690฿ UGG แบรนด์แฟชั่นจากรองเท้าชาวเลมาสู่แฟชั่นระดับโลก มีที่มาจากรองเท้าขนแกะของชาวเลในออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันเป็นของบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน และได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากความสบายและความอบอุ่นของรองเท้า 👉 รายละเอียด :- UGG : CHESTER CAPRA SLIPPER คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้บนท้องถนนในรูปทรงที่เรียบง่ายผสมผสานความสบายของรองเท้าแตะและการใช้งานของรองเท้าลำลองเข้าด้วยกัน หนังแกะนุ่มๆและพื้นรองเท้าด้านนอกยางวัลคาไนซ์ เป็นสิ่งยืนยันถึงประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันของ Chester Capra Slipper 🔹ส่วนบนทำจากหนังแกะที่หนานุ่ม 🔹ตะเข็บตกแต่งให้ดูโดดเด่น 🔹เชือกผูกหนังแบบตายตัว 🔹ซับในทำจากหนังแกะ 🔹พื้นรองเท้าชั้นกลางทำจาก EVA Foam 🔹พื้นรองเท้าด้านนอกทำจาก Vulcanized Rubber แบบฉีดขึ้นรูป 🔹โลโก้ UGG® ประทับด้วยความร้อนบนพื้นรองเท้า 👉 เรื่องราว :- แบรนด์ UGG โดยบริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน มีรากฐานมาจากรองเท้าที่ทำจากขนแกะของชาวเลในออสเตรเลียสู่แฟชั่นระดับโลก ซึ่งสวมใส่เพื่อความอบอุ่นในสภาพอากาศหนาวเย็น แบรนด์ UGG ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มนักเล่นเซิร์ฟและนักสกี เนื่องจากความนุ่มสบายและความอบอุ่นของรองเท้า จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และก็ขยายตลาดไปทั่วโลก กลายเป็นแฟชั่นไอเท็มที่ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • Wrangler
    Men's Mitos Derby Denim Canvas Trainers
    (ART : WM91100A)
    Size. US 11 /UK 10 /EUR 44 / 28 cm

    🔥 Price : 590฿

    รองเท้ามือสอง 'Mitos Derby' สำหรับผู้ชายจาก Wrangler ผลิตจากผ้ายีนส์ที่ทนทาน เป็นรองเท้าผ้าใบข้อสั้นแบบหัวมนพื้นเรียบแบบผูกเชือกและรูร้อยเชือกโลหะ 4 รู ทรงสวยสไตล์สตรีทวินเทจออกแนว Retro ตกแต่งป้ายทะเบียนโลโก้ผ้าและหนัง “Wrangler” ที่ติดไว้บนลิ้นรองเท้าและสันรองเท้า

    👉 รายละเอียดสินค้า :-
    🔹Brand : Wrangler
    🔹ART : WM91100A
    🔹Model : Mitos Derby
    🔹Color : Navy
    🔹Upper : ผ้าใบเดนิม
    🔹Insole : Memory Foam
    🔹Outsole : ยางพร้อมโลโก้
    🔹Style :
    รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อต่ำ
    🔹Condition : มือสอง สภาพดี (85%+)
    Wrangler Men's Mitos Derby Denim Canvas Trainers (ART : WM91100A) Size. US 11 /UK 10 /EUR 44 / 28 cm 🔥 Price : 590฿ รองเท้ามือสอง 'Mitos Derby' สำหรับผู้ชายจาก Wrangler ผลิตจากผ้ายีนส์ที่ทนทาน เป็นรองเท้าผ้าใบข้อสั้นแบบหัวมนพื้นเรียบแบบผูกเชือกและรูร้อยเชือกโลหะ 4 รู ทรงสวยสไตล์สตรีทวินเทจออกแนว Retro ตกแต่งป้ายทะเบียนโลโก้ผ้าและหนัง “Wrangler” ที่ติดไว้บนลิ้นรองเท้าและสันรองเท้า 👉 รายละเอียดสินค้า :- 🔹Brand : Wrangler 🔹ART : WM91100A 🔹Model : Mitos Derby 🔹Color : Navy 🔹Upper : ผ้าใบเดนิม 🔹Insole : Memory Foam 🔹Outsole : ยางพร้อมโลโก้ 🔹Style : รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อต่ำ 🔹Condition : มือสอง สภาพดี (85%+)
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • Q1905 Legends
    PLATINUM
    Men's Sneaker Platinum - White Grey
    Size. US 9.5 /UK 9 / EUR 43 /27.5 cm

    🔥 Price 450฿

    Q1905 แบรนด์กีฬาชื่อดังของเนเธอร์แลนด์ที่มีมาตั้งแต่ปี 1905 รองเท้าผ้าใบจาก Q1905 มาในรุ่น Platinum ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเรียบง่ายที่ไม่เหมือนใคร สำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน หรือการพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์มาสู่ท้องถนน

    👉 รายละเอียด :-
    🔹ผลิตจากหนังนูบัค(หนังหมู)เนื้อนุ่ม
    🔹ปลายเท้าและส้นเท้าเสริมความแข็งแรง
    🔹ลิ้นรองเท้าขึ้นรูป
    🔹แผ่นรองพื้นรองเท้าแบบถอดได้
    🔹พื้นรองเท้าชั้นนอกทำจากยางแบบมีริ้วลายก้างปลาเพื่อการยึดเกาะและความคล่องตัว
    🔹เครื่องหมายการค้าหนังแถบคู่ที่เป็นเอกลักษณ์
    Q1905 Legends PLATINUM Men's Sneaker Platinum - White Grey Size. US 9.5 /UK 9 / EUR 43 /27.5 cm 🔥 Price 450฿ Q1905 แบรนด์กีฬาชื่อดังของเนเธอร์แลนด์ที่มีมาตั้งแต่ปี 1905 รองเท้าผ้าใบจาก Q1905 มาในรุ่น Platinum ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเรียบง่ายที่ไม่เหมือนใคร สำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน หรือการพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์มาสู่ท้องถนน 👉 รายละเอียด :- 🔹ผลิตจากหนังนูบัค(หนังหมู)เนื้อนุ่ม 🔹ปลายเท้าและส้นเท้าเสริมความแข็งแรง 🔹ลิ้นรองเท้าขึ้นรูป 🔹แผ่นรองพื้นรองเท้าแบบถอดได้ 🔹พื้นรองเท้าชั้นนอกทำจากยางแบบมีริ้วลายก้างปลาเพื่อการยึดเกาะและความคล่องตัว 🔹เครื่องหมายการค้าหนังแถบคู่ที่เป็นเอกลักษณ์
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • PME LEGEND
    Men’s American Classic Low Crafter Sneakers
    (ART : PBO2302080-906)
    “ ปี 2022 “
    Size. EUR 45 /28.5 cm
    ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ Good Condition

    🔥 Price : 590฿

    PME LEGEND
    เป็นไอเท็มที่จะทำให้การแต่งกายของคุณสมบูรณ์แบบ รองเท้าทำจากวัสดุคุณภาพสูงและได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจในทุกรายละเอียด รองเท้าแบรนด์นี้สวมใส่สบายและเข้ากันได้ดีกับการแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในคอลเลกชั่น Low Crafter นี้มีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ PME Legend เป็นรองเท้าที่เท่ สวมใส่สบาย และเหนือสิ่งอื่นใดคือใช้งานได้หลากหลาย มีดีไซน์โดดเด่น

    👉 เรื่องราว :-
    PME LEGEND AMERICAN CLASSIC
    PME Legend คือแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพ ความเป็นชาย และการผจญภัย โดยใช้เครื่องบินขนส่งสินค้าขับเคลื่อนด้วยใบพัดแบบคลาสสิกเป็นสัญลักษณ์แทน แบรนด์นี้มีต้นกำเนิดจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกของนักบินขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องบินโปรพeller-driven ที่เน้นความแข็งแรงทนทานและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    ✅ จุดเด่นของแบรนด์ PME Legend :-
    🔹การออกแบบ : เน้นดีไซน์ที่เรียบง่าย คลาสสิก แต่ทันสมัย ผสมผสานความแข็งแรงทนทานเข้ากับความสบายในการสวมใส่
    🔹วัสดุ : เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ทนทานต่อการใช้งานในทุกสภาพอากาศ
    🔹ความหลากหลาย : มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องหนัง ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ

    👉 ข้อมูลเพิ่มเติม
    https://www.pme-legend.com/
    PME LEGEND Men’s American Classic Low Crafter Sneakers (ART : PBO2302080-906) “ ปี 2022 “ Size. EUR 45 /28.5 cm ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ Good Condition 🔥 Price : 590฿ PME LEGEND เป็นไอเท็มที่จะทำให้การแต่งกายของคุณสมบูรณ์แบบ รองเท้าทำจากวัสดุคุณภาพสูงและได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจในทุกรายละเอียด รองเท้าแบรนด์นี้สวมใส่สบายและเข้ากันได้ดีกับการแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในคอลเลกชั่น Low Crafter นี้มีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ PME Legend เป็นรองเท้าที่เท่ สวมใส่สบาย และเหนือสิ่งอื่นใดคือใช้งานได้หลากหลาย มีดีไซน์โดดเด่น 👉 เรื่องราว :- PME LEGEND AMERICAN CLASSIC PME Legend คือแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพ ความเป็นชาย และการผจญภัย โดยใช้เครื่องบินขนส่งสินค้าขับเคลื่อนด้วยใบพัดแบบคลาสสิกเป็นสัญลักษณ์แทน แบรนด์นี้มีต้นกำเนิดจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกของนักบินขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องบินโปรพeller-driven ที่เน้นความแข็งแรงทนทานและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ✅ จุดเด่นของแบรนด์ PME Legend :- 🔹การออกแบบ : เน้นดีไซน์ที่เรียบง่าย คลาสสิก แต่ทันสมัย ผสมผสานความแข็งแรงทนทานเข้ากับความสบายในการสวมใส่ 🔹วัสดุ : เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ทนทานต่อการใช้งานในทุกสภาพอากาศ 🔹ความหลากหลาย : มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องหนัง ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ 👉 ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.pme-legend.com/
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ประเทศไทยมีปัญหาทุกอย่างเพราะความเห็นผิด จึงเชื่อคำพูดของคนอ่านหนังสือเล่มเดียว ด้านเดียว ...จึงมีความเห็นแบบม้าลำปาง
    ตัวอย่าง: กะปิบูด, ทะนาทวย, ช่อกันนิกา, รวมทั้งอาจมในสถานศึกษาบางแห่ง ล้วนเป็นคนตาบอด อ่านน้อย ไม่รู้แม้ประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมทั้งประวัติการต่อสู้ของชาติตะวันออก..พรรคสีส้มและแดง จึงควรตระหนักเรื่องนี้ให้มาก
    ประเทศไทยมีปัญหาทุกอย่างเพราะความเห็นผิด จึงเชื่อคำพูดของคนอ่านหนังสือเล่มเดียว ด้านเดียว ...จึงมีความเห็นแบบม้าลำปาง ตัวอย่าง: กะปิบูด, ทะนาทวย, ช่อกันนิกา, รวมทั้งอาจมในสถานศึกษาบางแห่ง ล้วนเป็นคนตาบอด อ่านน้อย ไม่รู้แม้ประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมทั้งประวัติการต่อสู้ของชาติตะวันออก..พรรคสีส้มและแดง จึงควรตระหนักเรื่องนี้ให้มาก
    0 Comments 1 Shares 149 Views 0 Reviews
  • ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • รพ.ธรรมศาสตร์ฯแถลงผลการรักษาเด็กนักเรียนหญิงสองรายอายุ 7 ขวบและ9 ขวบได้รับบาดเจ็บกรณีเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ รถบัสทัศนศึกษา โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้รับการส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 ราย ล่าสุด(13:00น.) แพทย์ได้ประเมินอาการ ดังนี้
    .
    รายที่ 1 เด็กหญิงอายุ 7 ปี แพทย์ประเมินแล้วว่า ร่างกายถูกไฟไหม้บริเวณใบหน้า และลำตัว แผลไหม้ ระดับ ที่ 2 ทั้งหมดประมาณ 13% สัญญาณชีพปกติ หยุดการให้ยากระตุ้นความดันโลหิต ผู้ป่วยหายใจผ่านท่อช่วยหายใจโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจ สามารถลดการช่วยเหลือจากเครื่องช่วยหายใจ ให้ยาแก้ปวด และให้ยานอนหลับต่อเนื่อง ปัสสาวะออกปกติ เริ่มรับอาหารทางการแพทย์ผ่านสายให้อาหารทางจมูกได้ ได้รับการประเมินทางเดินหายใจด้วยการส่องกล้องทางเดินหายใจโดยกุมารแพทย์ด้านระบบทางเดินหายใจ พบทางเดินหายใจบวมลดลง ใช้อุปกรณ์บีบคลายขาทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกอุดตัน แผลดี ปากบวมลดลง ไม่พบการติดเชื้อของแผล และยังคงต้องทำความสะอาดแผลและป้ายยาต้านจุลชีพวันละครั้ง ทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้เฝือกร่วมกับอุปกรณ์ประคองมือและแขนสูง เพื่อช่วยลดบวม และมีแผนใส่อุปกรณ์รัดลดแผลเป็นในลำดับถัดไป เปลือกตาและเยื่อตายุบบวมลง สามารถหลับตาลืมตาพอได้ เยื่อหุ้มรก และ eye corneal shield อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้ง 2 ข้าง
    .
    รายที่ 2 เด็กหญิงอายุ 9 ปี แพทย์ประเมินแล้วว่า ร่างกายถูกไฟไหม้บริเวณใบหน้า คอ แขน และมือ ทั้ง 2 ข้าง แผลไหม้ระดับที่สอง ทั้งหมดประมาณ 30% สัญญาณชีพปกติ แต่ยังคงต้องใส่ท่อช่วยหายใจ สามารถลดการช่วยเหลือจากเครื่องช่วยหายใจได้ เริ่มรับอาหารทางการแพทย์ผ่านสายให้อาหารทางจมูกได้ ให้ยาแก้ปวด และให้ยานอนหลับต่อเนื่อง สามารถลดการให้สารน้ำและเกลือแร่ทดแทนเข้าทางหลอดเลือดดำได้ โดยประเมินสารน้ำในร่างกายมีภาวะน้ำเกิน เริ่มให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำ บาดแผลบริเวณใบหน้ายุบบวมลง ความดันบริเวณแขนทั้ง 2 ข้างลดลง เนื้อเยื่อผิวหนังดีขึ้น กระบวนการอักเสบลดลง มีการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ ผิวหนัง ทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้เฝือกร่วมกับอุปกรณ์ประคองมือและแขนสูง เพื่อช่วยลดบวม ในส่วนของเปลือกตาและเยื่อตายุบบวมลง สามารถหลับตา ลืมตาพอได้ เยื่อหุ้มรก และ eye corneal shield อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมทั้ง 2 ข้าง

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/8eyigjYBqXrF5ePG/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    รพ.ธรรมศาสตร์ฯแถลงผลการรักษาเด็กนักเรียนหญิงสองรายอายุ 7 ขวบและ9 ขวบได้รับบาดเจ็บกรณีเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ รถบัสทัศนศึกษา โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้รับการส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 ราย ล่าสุด(13:00น.) แพทย์ได้ประเมินอาการ ดังนี้ . รายที่ 1 เด็กหญิงอายุ 7 ปี แพทย์ประเมินแล้วว่า ร่างกายถูกไฟไหม้บริเวณใบหน้า และลำตัว แผลไหม้ ระดับ ที่ 2 ทั้งหมดประมาณ 13% สัญญาณชีพปกติ หยุดการให้ยากระตุ้นความดันโลหิต ผู้ป่วยหายใจผ่านท่อช่วยหายใจโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจ สามารถลดการช่วยเหลือจากเครื่องช่วยหายใจ ให้ยาแก้ปวด และให้ยานอนหลับต่อเนื่อง ปัสสาวะออกปกติ เริ่มรับอาหารทางการแพทย์ผ่านสายให้อาหารทางจมูกได้ ได้รับการประเมินทางเดินหายใจด้วยการส่องกล้องทางเดินหายใจโดยกุมารแพทย์ด้านระบบทางเดินหายใจ พบทางเดินหายใจบวมลดลง ใช้อุปกรณ์บีบคลายขาทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกอุดตัน แผลดี ปากบวมลดลง ไม่พบการติดเชื้อของแผล และยังคงต้องทำความสะอาดแผลและป้ายยาต้านจุลชีพวันละครั้ง ทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้เฝือกร่วมกับอุปกรณ์ประคองมือและแขนสูง เพื่อช่วยลดบวม และมีแผนใส่อุปกรณ์รัดลดแผลเป็นในลำดับถัดไป เปลือกตาและเยื่อตายุบบวมลง สามารถหลับตาลืมตาพอได้ เยื่อหุ้มรก และ eye corneal shield อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้ง 2 ข้าง . รายที่ 2 เด็กหญิงอายุ 9 ปี แพทย์ประเมินแล้วว่า ร่างกายถูกไฟไหม้บริเวณใบหน้า คอ แขน และมือ ทั้ง 2 ข้าง แผลไหม้ระดับที่สอง ทั้งหมดประมาณ 30% สัญญาณชีพปกติ แต่ยังคงต้องใส่ท่อช่วยหายใจ สามารถลดการช่วยเหลือจากเครื่องช่วยหายใจได้ เริ่มรับอาหารทางการแพทย์ผ่านสายให้อาหารทางจมูกได้ ให้ยาแก้ปวด และให้ยานอนหลับต่อเนื่อง สามารถลดการให้สารน้ำและเกลือแร่ทดแทนเข้าทางหลอดเลือดดำได้ โดยประเมินสารน้ำในร่างกายมีภาวะน้ำเกิน เริ่มให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำ บาดแผลบริเวณใบหน้ายุบบวมลง ความดันบริเวณแขนทั้ง 2 ข้างลดลง เนื้อเยื่อผิวหนังดีขึ้น กระบวนการอักเสบลดลง มีการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ ผิวหนัง ทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้เฝือกร่วมกับอุปกรณ์ประคองมือและแขนสูง เพื่อช่วยลดบวม ในส่วนของเปลือกตาและเยื่อตายุบบวมลง สามารถหลับตา ลืมตาพอได้ เยื่อหุ้มรก และ eye corneal shield อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมทั้ง 2 ข้าง ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/8eyigjYBqXrF5ePG/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • 🌿ว่านหางจระเข้🌷

    สรรพคุณของวุ้นว่านหางจระเข้
    สรรพคุณเด่นที่รู้จักกันคือเมือกของว่านหางจระเข้ที่มีสรรพคุณในด้านการสมานแผลและรักษาบาดแผลที่เกิดจากความร้อนต่างๆ ได้ด้วยวุ้นเมือกภายในว่านหางจระเข้มีลักษณะเย็น
    จึงนิยมนำสรรพคุณส่วนนี้มาใช้ประโยชน์เป็นอันดับแรก ทั้งใช้เป็นย.าภายใน ใช้เป็นย.าภายนอก

    เป็นย.าฆ่.าเชื้อ ฝาดสมานแผล ห้ามเลือด ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
    🌷🌿🍀
    และใช้ในการเสริมความงาม🍀🌿🌷
    วิธีใช้ประโยชน์ว่านหางจระเข้กับความงาม
    ✅️ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผมและหนังศีรษะเพื่อให้ผมที่นุ่มสลวย เงางามและมีฤทธิ์ในการขจัดรังแคได้ โดยนำเอาเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ปั่นละเอียดแล้วนำมาชะโลมผมหมักไว้สักครู่เพื่อบำรุงผมและหนังศีรษะ หรือใช้ในผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร จะทำให้ผมนุ่มลื่นหวีง่าย บำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง

    ✅️ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน
    หรือใช้ในผลิตภัณฑ์ สำหรับล้างหน้า
    ผิวหน้าดูใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
    จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง

    ✅️ว่านหางจระเข้บำรุงผิวกาย สำหรับผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวพร้อมๆ กับการดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติ การใช้เนื้อว่านหางจระเข้พอกหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า หรือจะนำมาใช้ใน
    ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเจลอาบน้ำ
    หรือโลชั่น บำรุงผิว
    เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวก็ได้เช่นเดียวกัน
    เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำรุงผิวได้
    #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร
    #แชมพูว่านหางจระเข้
    #ครีมอาบน้ำว่านหางจระเข้
    #สบู่ว่านหางจระเข้
    #thaitimes
    อ่านน้อยลง
    🌿ว่านหางจระเข้🌷 สรรพคุณของวุ้นว่านหางจระเข้ สรรพคุณเด่นที่รู้จักกันคือเมือกของว่านหางจระเข้ที่มีสรรพคุณในด้านการสมานแผลและรักษาบาดแผลที่เกิดจากความร้อนต่างๆ ได้ด้วยวุ้นเมือกภายในว่านหางจระเข้มีลักษณะเย็น จึงนิยมนำสรรพคุณส่วนนี้มาใช้ประโยชน์เป็นอันดับแรก ทั้งใช้เป็นย.าภายใน ใช้เป็นย.าภายนอก เป็นย.าฆ่.าเชื้อ ฝาดสมานแผล ห้ามเลือด ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ทำให้แผลหายเร็วขึ้น 🌷🌿🍀 และใช้ในการเสริมความงาม🍀🌿🌷 วิธีใช้ประโยชน์ว่านหางจระเข้กับความงาม ✅️ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผมและหนังศีรษะเพื่อให้ผมที่นุ่มสลวย เงางามและมีฤทธิ์ในการขจัดรังแคได้ โดยนำเอาเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ปั่นละเอียดแล้วนำมาชะโลมผมหมักไว้สักครู่เพื่อบำรุงผมและหนังศีรษะ หรือใช้ในผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร จะทำให้ผมนุ่มลื่นหวีง่าย บำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง ✅️ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน หรือใช้ในผลิตภัณฑ์ สำหรับล้างหน้า ผิวหน้าดูใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง ✅️ว่านหางจระเข้บำรุงผิวกาย สำหรับผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวพร้อมๆ กับการดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติ การใช้เนื้อว่านหางจระเข้พอกหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า หรือจะนำมาใช้ใน ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเจลอาบน้ำ หรือโลชั่น บำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำรุงผิวได้ #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #แชมพูว่านหางจระเข้ #ครีมอาบน้ำว่านหางจระเข้ #สบู่ว่านหางจระเข้ #thaitimes อ่านน้อยลง
    Like
    Yay
    3
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • 🌿ว่านหางจระเข้🌷

    สรรพคุณของวุ้นว่านหางจระเข้

    สรรพคุณเด่นที่รู้จักกันคือเมือกของว่านหางจระเข้ที่มีสรรพคุณในด้านการสมานแผลและรักษาบาดแผลที่เกิดจากความร้อนต่างๆ ได้ด้วยวุ้นเมือกภายในว่านหางจระเข้มีลักษณะเย็น
    จึงนิยมนำสรรพคุณส่วนนี้มาใช้ประโยชน์เป็นอันดับแรก ทั้งใช้เป็นย.าภายใน ใช้เป็นย.าภายนอก

    เป็นย.าฆ่.าเชื้อ ฝาดสมานแผล ห้ามเลือด ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
    🌷🌿🍀
    และใช้ในการเสริมความงาม🍀🌿🌷
    วิธีใช้ประโยชน์ว่านหางจระเข้กับความงาม
    ✅️ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผมและหนังศีรษะเพื่อให้ผมที่นุ่มสลวย เงางามและมีฤทธิ์ในการขจัดรังแคได้ โดยนำเอาเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ปั่นละเอียดแล้วนำมาชะโลมผมหมักไว้สักครู่เพื่อบำรุงผมและหนังศีรษะ หรือใช้ในผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร จะทำให้ผมนุ่มลื่นหวีง่าย บำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง

    ✅️ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน
    หรือใช้ในผลิตภัณฑ์ สำหรับล้างหน้า
    ผิวหน้าดูใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
    จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง

    ✅️ว่านหางจระเข้บำรุงผิวกาย สำหรับผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวพร้อมๆ กับการดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติ การใช้เนื้อว่านหางจระเข้พอกหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า หรือจะนำมาใช้ใน
    ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเจลอาบน้ำ
    หรือโลชั่น บำรุงผิว
    เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวก็ได้เช่นเดียวกัน
    เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำรุงผิวได้
    #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร
    #แชมพูว่านหางจระเข้
    #ครีมอาบน้ำว่านหางจระเข้
    #สบู่ว่านหางจระเข้
    #thaitimes
    🌿ว่านหางจระเข้🌷 สรรพคุณของวุ้นว่านหางจระเข้ สรรพคุณเด่นที่รู้จักกันคือเมือกของว่านหางจระเข้ที่มีสรรพคุณในด้านการสมานแผลและรักษาบาดแผลที่เกิดจากความร้อนต่างๆ ได้ด้วยวุ้นเมือกภายในว่านหางจระเข้มีลักษณะเย็น จึงนิยมนำสรรพคุณส่วนนี้มาใช้ประโยชน์เป็นอันดับแรก ทั้งใช้เป็นย.าภายใน ใช้เป็นย.าภายนอก เป็นย.าฆ่.าเชื้อ ฝาดสมานแผล ห้ามเลือด ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ทำให้แผลหายเร็วขึ้น 🌷🌿🍀 และใช้ในการเสริมความงาม🍀🌿🌷 วิธีใช้ประโยชน์ว่านหางจระเข้กับความงาม ✅️ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผมและหนังศีรษะเพื่อให้ผมที่นุ่มสลวย เงางามและมีฤทธิ์ในการขจัดรังแคได้ โดยนำเอาเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ปั่นละเอียดแล้วนำมาชะโลมผมหมักไว้สักครู่เพื่อบำรุงผมและหนังศีรษะ หรือใช้ในผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร จะทำให้ผมนุ่มลื่นหวีง่าย บำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง ✅️ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน หรือใช้ในผลิตภัณฑ์ สำหรับล้างหน้า ผิวหน้าดูใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง ✅️ว่านหางจระเข้บำรุงผิวกาย สำหรับผู้ที่ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวพร้อมๆ กับการดูแลผิวด้วยวิธีธรรมชาติ การใช้เนื้อว่านหางจระเข้พอกหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า หรือจะนำมาใช้ใน ผลิตภัณฑ์ครีมหรือเจลอาบน้ำ หรือโลชั่น บำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำรุงผิวได้ #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #แชมพูว่านหางจระเข้ #ครีมอาบน้ำว่านหางจระเข้ #สบู่ว่านหางจระเข้ #thaitimes
    Like
    Yay
    2
    0 Comments 0 Shares 581 Views 208 0 Reviews
  • อดีตแม่ทัพ 4 หนีศาล 'พิศาล' โดนหมายจับ สภาเปิดทางจับได้เลย
    .
    ในขณะที่กองทัพต้องการให้ชายไทยเข้ามารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีอดีตนายทหารระดับแม่ทัพหนีคดีไม่ยอมมาขึ้นศาล โดยเอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนายทหารคนที่ว่านั้น คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยในคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ โดยล่าสุด ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ พล.อ.พิศาล แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีไม่มาตามศาลตามกำหนด ซึ่งเป็นตามคำร้องทนายโจทก์ขอให้ศาลออกหมายจับ
    .
    แม้พล.อ.พิศาล จะเป็นส.ส. แต่ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เลขาธิการศาลยุติธรรมเคยมีหนังสือมาถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขออนุญาตดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาล ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และมีหนังสือตอบกลับไปยังเลขาธิการศาลยุติธรรม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ คือ สามารถดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาลได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาขออนุมัติจากสภา ดังนั้น หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะจับกุม พล.อ.พิศาลหรือไม่ เพราะสภาได้มีมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องมาขออนุญาตต่อสภาอีก
    .
    ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิศาล ไม่เคยมาประชุมสภาเลยนั้น เลขาธิการสภากล่าวว่า พล.อ.พิศาลได้ยื่นหนังสือลาประชุมต่อสภาโดยอ้างเหตุผลว่าป่วย และเดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 30 ตุลาคม ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาได้เซ็นหนังสืออนุมัติให้
    .
    “หลังจากนี้เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าเจอตัว พล.อ.พิศาล ก็สามารถจับได้เลยเพียงแต่ว่าวันไหนที่มีการประชุมสภา ศาลก็ต้องปล่อยตัว พล.อ.พิศาลให้กลับมาประชุม พอประชุมเสร็จแล้วให้นำตัวกลับไปควบคุมใหม่” ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์กล่าว
    .
    การควบคุมตัวพล.อ.พิศาล มาดำเนินคดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้
    ................
    Sondhi X
    อดีตแม่ทัพ 4 หนีศาล 'พิศาล' โดนหมายจับ สภาเปิดทางจับได้เลย . ในขณะที่กองทัพต้องการให้ชายไทยเข้ามารับการตรวจเลือกเป็นทหารเกณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีอดีตนายทหารระดับแม่ทัพหนีคดีไม่ยอมมาขึ้นศาล โดยเอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนายทหารคนที่ว่านั้น คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยในคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ โดยล่าสุด ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ พล.อ.พิศาล แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีไม่มาตามศาลตามกำหนด ซึ่งเป็นตามคำร้องทนายโจทก์ขอให้ศาลออกหมายจับ . แม้พล.อ.พิศาล จะเป็นส.ส. แต่ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เลขาธิการศาลยุติธรรมเคยมีหนังสือมาถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขออนุญาตดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาล ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และมีหนังสือตอบกลับไปยังเลขาธิการศาลยุติธรรม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ คือ สามารถดำเนินคดีกับ พล.อ.พิศาลได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาขออนุมัติจากสภา ดังนั้น หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะจับกุม พล.อ.พิศาลหรือไม่ เพราะสภาได้มีมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรคสี่ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องมาขออนุญาตต่อสภาอีก . ส่วนกรณีที่ พล.อ.พิศาล ไม่เคยมาประชุมสภาเลยนั้น เลขาธิการสภากล่าวว่า พล.อ.พิศาลได้ยื่นหนังสือลาประชุมต่อสภาโดยอ้างเหตุผลว่าป่วย และเดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 30 ตุลาคม ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาได้เซ็นหนังสืออนุมัติให้ . “หลังจากนี้เป็นดุลพินิจของศาล ถ้าเจอตัว พล.อ.พิศาล ก็สามารถจับได้เลยเพียงแต่ว่าวันไหนที่มีการประชุมสภา ศาลก็ต้องปล่อยตัว พล.อ.พิศาลให้กลับมาประชุม พอประชุมเสร็จแล้วให้นำตัวกลับไปควบคุมใหม่” ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์กล่าว . การควบคุมตัวพล.อ.พิศาล มาดำเนินคดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ................ Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • 📚รีเบคก้า


    ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที

    ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ

    หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

    สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก

    🔻

    เนื้อเรื่องโดยย่อ

    หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง

    ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ

    แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่

    นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ

    ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง

    นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น

    🔶️

    เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก

    ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า

    การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้

    เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม

    มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง

    เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่

    ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า

    "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง"

    สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม)

    เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว

    #thaitimes
    #รีเบคกา
    #นิยายแปล
    #นิยาย
    #ลึกลับ
    #ความวิปริตทางเพศ
    #มอนติคาโล
    #ท่องเที่ยว
    #บ้านริมหาด
    #คฤหาสน์
    #หนังสือดี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    📚รีเบคก้า ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก 🔻 เนื้อเรื่องโดยย่อ หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่ นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น 🔶️ เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้ เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่ ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง" สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย . . . . . . . . . ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม) เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว #thaitimes #รีเบคกา #นิยายแปล #นิยาย #ลึกลับ #ความวิปริตทางเพศ #มอนติคาโล #ท่องเที่ยว #บ้านริมหาด #คฤหาสน์ #หนังสือดี #หนังสือน่าอ่าน #วรรณกรรมคลาสสิก
    0 Comments 0 Shares 643 Views 0 Reviews
  • “หลานม่า”ส่งถึงเวทีออสการ์ เมื่อสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เลือก ‘หลานม่า’ เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทย โดยเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 สาขา "ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม" (97th Academy Awards - International Feature Film)

    ขอแสดงความยินดีกับทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ : พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับ, เป็ด ทศพล เขียนบท,
    พี่เก้ง จิระ, พี่วัน วรรณฤดี โปรดิวเซอร์ บิวกิ้น, ยายแต๋ว อุษา, ดู๋ สัญญา, เจีย สฤญรัตน์, เผือก พงศธร, ตู ต้นตะวัน ทีมนักแสดงนำ รวมไปถึงทีมงานทุกฝ่าย สำหรับการได้รับเลือกเป็นตัวแทนหนังไทยในครั้งนี้ด้วย

    ที่มา : ภาพและข้อมูลจาก GDH

    #Thaitimes
    “หลานม่า”ส่งถึงเวทีออสการ์ เมื่อสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เลือก ‘หลานม่า’ เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทย โดยเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 สาขา "ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม" (97th Academy Awards - International Feature Film) ขอแสดงความยินดีกับทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ : พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับ, เป็ด ทศพล เขียนบท, พี่เก้ง จิระ, พี่วัน วรรณฤดี โปรดิวเซอร์ บิวกิ้น, ยายแต๋ว อุษา, ดู๋ สัญญา, เจีย สฤญรัตน์, เผือก พงศธร, ตู ต้นตะวัน ทีมนักแสดงนำ รวมไปถึงทีมงานทุกฝ่าย สำหรับการได้รับเลือกเป็นตัวแทนหนังไทยในครั้งนี้ด้วย ที่มา : ภาพและข้อมูลจาก GDH #Thaitimes
    Love
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 580 Views 0 Reviews
  • การพบกันครั้งแรก คุณหมอ 3 ท่านผู้ตื่นรู้คู่จริยธรรม
    และ 1 นักวิชาการอิสระกับงาน

    🔥ฟังคุณหมอเล่านิทาน (เรื่องที่เล่าบนสื่อทั่วไปไม่ได้) ep1🔥
    วัคซีนทำให้ป่วยเป็นอะไร?
    แก้ไขได้อย่างไร?

    ⭐️พบกันวันที่ 24 พฤศจิกายน โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30)

    ที่นั่งจำกัดเพียง 120 ที่นั่ง
    ราคา 2,222 บาท

    60 ท่านแรกได้ราคาพิเศษเพียง 1,666 บาท

    สนใจซื้อบัตรร่วมงานกดลิ้งค์ 👇
    https://www.thaipithaksith.com/awakening-ep-1

    ดำเนินรายการโดย
    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    และคุณอดิเทพ จาวลาห์ (ซันนี่) นักวิชาการอิสระ

    https://vt.tiktok.com/ZS2bmsJbR/

    https://vt.tiktok.com/ZS2budhA2/

    รายชื่อ Guest speaker
    ศ.นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ และสาขาระบบสมอง และระบบภูมิคุ้มกันและติดเชื้อของสมอง
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://vt.tiktok.com/ZS2budstF/

    ดร.นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิคุ้มกันผิวหนัง

    https://mgronline.com/qol/detail/9670000050851

    ⭐️สถานที่โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30)
    https://maps.app.goo.gl/7SFH7CRL1xkR9XPZ7?g_st=il

    ⭐️เว๊บไซด์ “คนไทยพิทักษ์สิทธิ์”
    www.thaipithaksith.com

    ⭐️กดติดตาม twitter หรือ x ของคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ในช่อง platform นี้ขอสักประมาณ 500 ติดตาม ขอบคุณครับ
    https://x.com/Thaipithaksith?t=Tq54plOEwFL_-4ysGa3kSA&s=09
    การพบกันครั้งแรก คุณหมอ 3 ท่านผู้ตื่นรู้คู่จริยธรรม และ 1 นักวิชาการอิสระกับงาน 🔥ฟังคุณหมอเล่านิทาน (เรื่องที่เล่าบนสื่อทั่วไปไม่ได้) ep1🔥 วัคซีนทำให้ป่วยเป็นอะไร? แก้ไขได้อย่างไร? ⭐️พบกันวันที่ 24 พฤศจิกายน โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30) ที่นั่งจำกัดเพียง 120 ที่นั่ง ราคา 2,222 บาท 60 ท่านแรกได้ราคาพิเศษเพียง 1,666 บาท สนใจซื้อบัตรร่วมงานกดลิ้งค์ 👇 https://www.thaipithaksith.com/awakening-ep-1 ดำเนินรายการโดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณอดิเทพ จาวลาห์ (ซันนี่) นักวิชาการอิสระ https://vt.tiktok.com/ZS2bmsJbR/ https://vt.tiktok.com/ZS2budhA2/ รายชื่อ Guest speaker ศ.นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ และสาขาระบบสมอง และระบบภูมิคุ้มกันและติดเชื้อของสมอง ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://vt.tiktok.com/ZS2budstF/ ดร.นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิคุ้มกันผิวหนัง https://mgronline.com/qol/detail/9670000050851 ⭐️สถานที่โรงแรมใบหยกสกาย ชั้น 17 ห้องเรนโบว์ เวลา 9:00-17:00 (เริ่มลงทะเบียน 8:30) https://maps.app.goo.gl/7SFH7CRL1xkR9XPZ7?g_st=il ⭐️เว๊บไซด์ “คนไทยพิทักษ์สิทธิ์” www.thaipithaksith.com ⭐️กดติดตาม twitter หรือ x ของคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ในช่อง platform นี้ขอสักประมาณ 500 ติดตาม ขอบคุณครับ https://x.com/Thaipithaksith?t=Tq54plOEwFL_-4ysGa3kSA&s=09
    การบาดเจ็บจากวัคซีน
    รายงานการบาดเจ็บจากวัคซีนของคุณที่นี่ และรับความช่วยเหลือจากแพทย์ของเรา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • ชีวิตนี้สั้นนัก ใจดีเข้าไว้เถอะนะ

    จากหนังสือ [หนังสือกอดใจ

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes
    ชีวิตนี้สั้นนัก ใจดีเข้าไว้เถอะนะ จากหนังสือ [หนังสือกอดใจ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 530 Views 0 Reviews
  • ขึ้น อย่า เหลิง
    ลง อย่า ท้อ
    ชีวิตคือการเรียนรู้
    เพื่ออยู่ให้ได้ ใน ณ ขณะนั้น

    จากหนังสือ |เป็นคนธรรมดาที่มีความสุข

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #การเรียนรู้
    ขึ้น อย่า เหลิง ลง อย่า ท้อ ชีวิตคือการเรียนรู้ เพื่ออยู่ให้ได้ ใน ณ ขณะนั้น จากหนังสือ |เป็นคนธรรมดาที่มีความสุข #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #การเรียนรู้
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 531 Views 0 Reviews
  • ที่ผ่านมาแฟนเพจคงจะเห็นผมวิจารณ์การเสนอข่าวของสื่อตะวันตกเกี่ยวกับสงครามยูเครนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดจากการอ่านข่าวในสื่อตะวันตกคือหลายครั้งที่มีข่าวอิหยังวะออกมา คนเขียนหรือแหล่งข่าวนั้นกลับไม่ใช่ตาสีตาสาหรือชาวเน็ตทั่วไป แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ถ้าเป็นภาวะปกติ คงไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอข่าวแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างเช่น

    วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2022 พลโท Ben Hodges อดีตนายทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สื่อ Fox News บอกว่ากำลังรบของรัสเซียจะหมดเกลี้ยงภายใน 10 วัน เรื่องนี้ฟังดูยังไงก็โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ ใช่ไหมครับ ประเด็นคือคนพูดเป็น "พลโท" กองทัพสหรัฐฯ เลยนะ

    วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2022 นาย Antony Beevor นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิต่างๆ หลายเล่มที่ผมเองก็อ่าน เช่นหนังสือ Stalingrad, D-Day, Arnhem, Ardennes, Berlin เป็นต้น เขียนบทความลงสื่อ The Atlantic วิจารณ์ยุทธวิธีการใช้รถถังของรัสเซีย โดยนำไปเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อ้างว่าตอนบุกยึดเบอร์ลิน จอมพลชูคอฟก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน ใช้แต่รถถังบุกเข้าเบอร์ลิน "โดยไม่มีทหารราบคุ้มกัน" ทำให้ตกเป็นเป้าของทหารเยอรมันที่ใช้อาวุธต่อสู้รถถัง Panzerfaust ผมอ่านเจอประโยคนี้อึ้งเลย ตอนบุกยึดเบอร์ลิน โซเวียตทุ่มกำลังทหารราบมากกว่า 2,500,000 นายและรถถังมากกว่า 6,000 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมัน มีทหารในเมืองแค่ 45,000 นาย โปรดฟังอีกครั้ง ในสมรภูมิเบอร์ลิน โซเวียตใช้ทหารราบ 2,500,000 นายปะทะทหารเยอรมัน 45,000 นาย น่าจะไม่มีสมรภูมิไหนที่กำลังทหารราบห่างชั้นกันขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนาย Beevor "นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2" มาบิดเบือนว่าโซเวียตใช้แต่รถถังบุกเบอร์ลิน โดยไม่มีทหารราบเลยนี่คืออิหยังวะ

    วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2023 สื่อ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวอวยรถถัง Challenger 2 ว่าเป็นรถถังเทพ ลงสนามรบเมื่อไหร่ ก็จะปราบทหารเกณฑ์รัสเซียเรียบวุธ ยูเครนชนะแน่นอน ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข่าวของ The Telegraph ไม่ใช่เกรียนชาวเน็ตที่ไหน แต่เป็น "อดีต ผบ. รถถัง" เลยนะ

    ความจริงการใช้ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาทำการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษก็มีหน่วยงานชื่อ Wellington House ที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาเขียนบทความ แผ่นพับ ใบปลิวต่างๆ เพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประโยชน์จากคุณวุฒิของบุคคลเหล่านั้นชักจูงให้คนหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ แต่โฆษณาชวนเชื่อของ Wellington House สมัยนั้นมีศิลปะ แนบเนียนกว่า "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสื่อตะวันตกปัจจุบันเยอะเลย เป็นสิ่งที่ผมผิดหวังมากเลย แล้วต่อไปเราจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจาก "พลโทกองทัพสหรัฐฯ" "นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2" "อดีต ผบ. รถถังอังกฤษ" เป็นต้น ได้อย่างไร ถ้าตะวันตกจะปัดฝุ่นวิธีการของ Wellington House มาใช้ใหม่ ก็ช่วยรักษาคุณภาพของต้นฉบับทีเถอะครับ

    สวัสดี

    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy

    03.10.2024

    ที่ผ่านมาแฟนเพจคงจะเห็นผมวิจารณ์การเสนอข่าวของสื่อตะวันตกเกี่ยวกับสงครามยูเครนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดจากการอ่านข่าวในสื่อตะวันตกคือหลายครั้งที่มีข่าวอิหยังวะออกมา คนเขียนหรือแหล่งข่าวนั้นกลับไม่ใช่ตาสีตาสาหรือชาวเน็ตทั่วไป แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ถ้าเป็นภาวะปกติ คงไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอข่าวแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2022 พลโท Ben Hodges อดีตนายทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สื่อ Fox News บอกว่ากำลังรบของรัสเซียจะหมดเกลี้ยงภายใน 10 วัน เรื่องนี้ฟังดูยังไงก็โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ ใช่ไหมครับ ประเด็นคือคนพูดเป็น "พลโท" กองทัพสหรัฐฯ เลยนะ วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2022 นาย Antony Beevor นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิต่างๆ หลายเล่มที่ผมเองก็อ่าน เช่นหนังสือ Stalingrad, D-Day, Arnhem, Ardennes, Berlin เป็นต้น เขียนบทความลงสื่อ The Atlantic วิจารณ์ยุทธวิธีการใช้รถถังของรัสเซีย โดยนำไปเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อ้างว่าตอนบุกยึดเบอร์ลิน จอมพลชูคอฟก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน ใช้แต่รถถังบุกเข้าเบอร์ลิน "โดยไม่มีทหารราบคุ้มกัน" ทำให้ตกเป็นเป้าของทหารเยอรมันที่ใช้อาวุธต่อสู้รถถัง Panzerfaust ผมอ่านเจอประโยคนี้อึ้งเลย ตอนบุกยึดเบอร์ลิน โซเวียตทุ่มกำลังทหารราบมากกว่า 2,500,000 นายและรถถังมากกว่า 6,000 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมัน มีทหารในเมืองแค่ 45,000 นาย โปรดฟังอีกครั้ง ในสมรภูมิเบอร์ลิน โซเวียตใช้ทหารราบ 2,500,000 นายปะทะทหารเยอรมัน 45,000 นาย น่าจะไม่มีสมรภูมิไหนที่กำลังทหารราบห่างชั้นกันขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนาย Beevor "นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2" มาบิดเบือนว่าโซเวียตใช้แต่รถถังบุกเบอร์ลิน โดยไม่มีทหารราบเลยนี่คืออิหยังวะ วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2023 สื่อ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวอวยรถถัง Challenger 2 ว่าเป็นรถถังเทพ ลงสนามรบเมื่อไหร่ ก็จะปราบทหารเกณฑ์รัสเซียเรียบวุธ ยูเครนชนะแน่นอน ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข่าวของ The Telegraph ไม่ใช่เกรียนชาวเน็ตที่ไหน แต่เป็น "อดีต ผบ. รถถัง" เลยนะ ความจริงการใช้ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาทำการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษก็มีหน่วยงานชื่อ Wellington House ที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาเขียนบทความ แผ่นพับ ใบปลิวต่างๆ เพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประโยชน์จากคุณวุฒิของบุคคลเหล่านั้นชักจูงให้คนหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ แต่โฆษณาชวนเชื่อของ Wellington House สมัยนั้นมีศิลปะ แนบเนียนกว่า "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสื่อตะวันตกปัจจุบันเยอะเลย เป็นสิ่งที่ผมผิดหวังมากเลย แล้วต่อไปเราจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจาก "พลโทกองทัพสหรัฐฯ" "นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2" "อดีต ผบ. รถถังอังกฤษ" เป็นต้น ได้อย่างไร ถ้าตะวันตกจะปัดฝุ่นวิธีการของ Wellington House มาใช้ใหม่ ก็ช่วยรักษาคุณภาพของต้นฉบับทีเถอะครับ สวัสดี การทูตและการทหาร Military and Diplomacy 03.10.2024
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • สำนักงานขนส่ง จ.สิงห์บุรี ยืนยันตรวจสภาพรถบัสคันเกิดเหตุเพลิงไหม้ พบติดตั้งถังแก๊ส 6 ถัง ตามการจดทะเบียนหนังสือรับรอง ปฏิเสธไม่ทราบรถคันเกิดเหตุไปติดแก๊ส 11 ถังช่วงไหน นักข่าวรอรถบัสเจ้าของเดียวกับคันที่เกิดเหตุมาตรวจสภาพที่ลพบุรี ต้องรอเก้อ เพราะคันที่นัดมาตรวจพร้อมพวกร่วมขบวนอีก 5 คันถูกอายัดที่โคราช
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000093706

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สำนักงานขนส่ง จ.สิงห์บุรี ยืนยันตรวจสภาพรถบัสคันเกิดเหตุเพลิงไหม้ พบติดตั้งถังแก๊ส 6 ถัง ตามการจดทะเบียนหนังสือรับรอง ปฏิเสธไม่ทราบรถคันเกิดเหตุไปติดแก๊ส 11 ถังช่วงไหน นักข่าวรอรถบัสเจ้าของเดียวกับคันที่เกิดเหตุมาตรวจสภาพที่ลพบุรี ต้องรอเก้อ เพราะคันที่นัดมาตรวจพร้อมพวกร่วมขบวนอีก 5 คันถูกอายัดที่โคราช อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000093706 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Angry
    Haha
    Love
    Yay
    34
    3 Comments 1 Shares 1971 Views 1 Reviews
  • วันนี้ lit nit มาพักที่นี่ บ้านโสนน้อยเรือนงาม เขตเมืองสิงห์บุรี อยู่ที่นี่ 3 คืน ต่อจากนั้นพอจะมีคิวว่างอีก 3 คืน นั่นเป็นจังหวะให้ใครที่ต้องการได้แทรกคิวอะนะ
    #ถ้าไม่มีใครแทรกก็จะไปหาที่นั่งเขียนหนังสือสักสามวันสามคืน^^
    วันนี้ lit nit มาพักที่นี่ บ้านโสนน้อยเรือนงาม เขตเมืองสิงห์บุรี อยู่ที่นี่ 3 คืน ต่อจากนั้นพอจะมีคิวว่างอีก 3 คืน นั่นเป็นจังหวะให้ใครที่ต้องการได้แทรกคิวอะนะ #ถ้าไม่มีใครแทรกก็จะไปหาที่นั่งเขียนหนังสือสักสามวันสามคืน^^
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • เราจะเป็น 'ความสุข'
    ให้กับคนสำคัญในชีวิตได้
    ก็ต่อเมื่อเรารู้จัก
    ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อน

    จากหนังสือ |อย่าลืมไปว่าใจเราสำคัญนะ

    หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสุข
    เราจะเป็น 'ความสุข' ให้กับคนสำคัญในชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จัก ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อน จากหนังสือ |อย่าลืมไปว่าใจเราสำคัญนะ หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสุข
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews
  • " พระจันทร์ที่ไม่เต็มดวง
    มันก็สวยงามไปอีกแบบ
    ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ
    มันก็สวยงามอยู่เหมือนกัน "


    จากหนังสือ |เป็นตัวเองที่มีความสุขมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ...?

    นอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความไม่สมบูรณ์แบบ
    " พระจันทร์ที่ไม่เต็มดวง มันก็สวยงามไปอีกแบบ ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ มันก็สวยงามอยู่เหมือนกัน " จากหนังสือ |เป็นตัวเองที่มีความสุขมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ...? นอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความไม่สมบูรณ์แบบ
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 415 Views 0 Reviews
  • 🤠#ปู่ของปู่เล่าให้เขาว่า🤠

    คนจีนคนไหนที่คนอเมริกันนับถือมากที่สุด? บางคนพูดว่าขงจื๊อ บางคนบอกว่าจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ บางคนบอกว่าหยางเจวิ้นหนิง(楊振寧) บางคนบอกว่าบรูซลี บางคนบอกว่าเฉิงหลง(成龍) และเจ็ต ลี(李連杰) ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในสาขาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขงจื๊อ การมีอิทธิพลกระทบในระดับโลกของเขาอาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์ตลอดทุกยุคสมัย

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือมีคนจีนที่ไม่มีผลการเรียนดีหรือเป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ แต่เขาอาศัยลำพังด้วยตัวคนเดียวก่อตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงซึ่งโด่งดังที่เราคุ้นเคยเช่น หูชื่อ(胡適) เถาสิงจวือ(陶行知) เฝิง อิ่วหลาน(馮友蘭) หม่า หยินชู(馬寅初) พาน กวงต้าน(潘光旦) สวี จวื่อหมอ(徐志摩) เหวิน อิตวอ(聞一多) ฯลฯ ล้วนมาจากที่นี่ – นี่คือภาควิชาเอเชียตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University)

    ชื่อของเขาคือ ติงหลง(丁龍) (ทับศัพท์) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลกว่างตง(廣東)เมื่อปี ค.ศ. 1857 ในขณะนั้น ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาภายในและภายนอก และอยู่ในความวุ่นวาย ชาวจีนจำนวนมากต้องหนีออกไปต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือถูกค้ามนุษย์ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ โชคไม่ดีที่ ติงหลง(丁龍)วัย 18 ปีได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นและถูกค้ามนุษย์ไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ลูกหมู" และกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายพล นายพลคนนี้คือนายพลชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)

    ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เป็นคนฉลาดและขยันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เขายังพูดปราศรัยในฐานะตัวแทนของบัณฑิตดีเด่นในปีนั้นด้วย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกเพื่อพัฒนาอาชีพของเขา ในช่วงสมัยตื่นทองเขาประสบความสำเร็จในการสร้างตัว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งแคลิฟอร์เนีย(Bank Of California)และกลายเป็นประธานธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่ในดินแดนรกร้างของสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์( Auckland)" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ แนวเขื่อนกันคลื่น และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

    เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางรถไฟสายแปซิฟิกตอนกลาง(Central Pacific Railroad) และเป็นประธานของบริษัทบริษัทโทรเลขแคลิฟอร์เนีย (California Telegraph) และ บริษัท โอเวอร์แลนด์เทเลกราฟ จำกัด(Overland Telegraph Company) ซึ่งก่อตั้งสายโทรเลขสายแรกที่เชื่อมชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทรถไฟหลายแห่งอีกด้วย เนื่องจากเขาเคยทำหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย เขาจึงเป็นที่รู้จักในนาม "นายพล" ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่เอี่ยมบนดินแดนร้างในสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

    แม้ว่า ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถือว่าความมั่งคั่งเป็นชีวิตของเขา มีอารมณ์ไม่ดี อยู่คนเดียวตลอดชีวิตและมักจะทุบตีและดุด่าคนรับใช้ของเขา วันหนึ่ง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)อารมณ์ไม่ดี ดื่มไวน์มาก ตะโกนใส่คนรับใช้ และพูดทันทีว่าเขาจะไล่ทุกคนออก รวมถึงติงหลง(丁龍)ด้วย คนรับใช้คนอื่นไม่พอใจ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)มานานแล้วและใช้โอกาสนี้จากไปทีละคน วันรุ่งขึ้น หลังจากที่สร่างเมา ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ก็ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เขาทำและเตรียมที่จะต้องเผชิญกับการอดอาหาร

    น่าแปลกที่ ติงหลง(丁龍)ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่ยังเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยให้เขาตามปกติอีกด้วย ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)พูดด้วยความประหลาดใจ: ทำไมคุณไม่จากไปเหมือนพวกเขาล่ะ? ติงหลง(丁龍)พูดอย่างใจเย็น: แม้ว่าคุณจะมีอารมณ์ไม่ดี แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดี นอกจากนี้ ตามคำสอนของขงจื๊อ ฉันไม่สามารถจากคุณไปอย่างกะทันหันได้ ขงจื๊อจีนเคยกล่าวไว้ว่า: จงภักดีต่อผู้อื่น เมื่อคุณได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนต้องภักดีต่อสิ่งต่างๆ

    นายพลท่านนี้ประหลาดใจมาก เขาคิดว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรม จึงพูดว่า: ขงจื๊อเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนเมื่อหลายพันปีก่อน ฉันไม่รู้ว่าคุณอ่านหนังสือและเข้าใจวิถีแห่งปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าติงหลง(丁龍)ตอบกลับมาว่า: ฉันไม่รู้หนังสือ แต่พ่อบอกฉันเอง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)คิดว่าพ่อของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรมหรือเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงอีกว่า ติงหลง(丁龍)ตอบว่า พ่อของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของฉันเล่าให้เขาฟัง แม้แต่ปู่ของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของปู่เล่าให้เขาฟังเอง สุงขึ้นไปกว่านั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สรุปได้ว่า ครอบครัวของฉันมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและไม่มีการศึกษา

    นายพลชาวอเมริกันตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าชาวจีนที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่น ติงหลง(丁龍)จะมีจิตใจที่เรียบง่ายและเที่ยงธรรมและความภักดีที่โดดเด่นเช่นนี้! ด้วยวิธีนี้ ติงหลง(丁龍) ได้รับความชื่นชมจาก ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) อย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยระดับต่ำสุดเขากลายเป็นแม่บ้านของ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) และในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต

    ติงหลง(丁龍) ขยันและประหยัด ภักดีต่อเจ้านายของเขา และไม่เคยแต่งงานในชีวิตนี้ ค่าตอบแทนที่เขาประหยัดได้จากการทำงานในปีต่อ ๆ มาก็เป็นเงินออมที่น่าทึ่งเช่นกัน เมื่อเขาเกษียณ เขาขอลาออกจากฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) นายท่านไม่เต็มใจที่จะทิ้งคนรับใช้ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับเขา และถามว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก อย่างไรก็ตาม คำตอบของติงหลง(丁龍)ทำให้นายพลตกใจอีกครั้ง

    ติงหลง(丁龍) เห็นว่าชาวจีนถูกรังแกในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะขอเงินบำนาญจำนวนให้มากไว้เลี้ยงชีวิตในบั้นปลาย แต่เขาขอให้เจ้าของช่วยออกมาออกหน้าช่วยในการที่เขาบริจาคเงินออมทั้งชีวิตจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยขอให้มหาวิทยาลัยก่อตั้งแผนกภาควิชาภาษาจีนศึกษา เพื่อการศึกษา วัฒนธรรมมาตุภูมิของเขาเพื่อให้ชาวอเมริกันเข้าใจจีน!

    ปีนั้นเป็นปีแห่งความทุกข์ทรมานของจีน รัฐบาลชิง(清)ถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญาซินโจว(辛丑條約)" ชาวจีนถูกชาวตะวันตกดูหมิ่นมากยิ่งขึ้น เสียงต่อต้านจีนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวจีนผู้ต่ำต้อยคนนี้ ด้วยการกระทำที่ไม่ธรรมดาของเขา กลายเป็นความฉลาดที่หาได้ยากของคนจีนในปีสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่ก็ยังเป็นเพียงเศษสตางค์ในการสร้างแผนกในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ

    นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ไม่ท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยความจริงใจ: ท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ข้าพเจ้าขอมอบเช็คเงินสดจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบริจาคให้กับกองทุนวิจัยจีนศึกษาของโรงเรียนของคุณ ลายเซ็นคือ: ติงหลง(丁龍) ชาวจีน เขาแนะนำติงหลง(丁龍) ดังนี้ นี่เป็นบุคคลที่หายาก มีความสม่ำเสมอ ดูมีระดับ มีน้ำใจ กล้าหาญ และใจดี ในด้านธรรมชาติและการศึกษาเขาเป็นผู้ศรัทธาในขงจื๊อ ในด้านพฤติกรรม เขาเป็นเหมือนคนเคร่งครัด ในด้านความเชื่อ เขาเป็น นับถือศาสนาพุทธ แต่โดยอุปนิสัยแล้ว เขาเป็นเหมือนคริสเตียน

    นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เองก็เพิ่มเงินเพิ่มอีก 500,000 ดอลลาร์ และต่อมาก็เพิ่มเงินอีก เขายังขายบ้านในแมนฮัตตันซึ่งเป็นเงินออมเกือบทั้งหมด ในสุดท้ายย้ายไปอยู่บ้านเก่าในชนบท ข่าวที่ว่ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้จัดตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วเป่ยผิง (北平) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับรัฐบาลแมนจูและราชวงศ์ชิง(清) จักรพรรดินีอัครมเหสีฉือซี(慈禧) บริจาคหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม หลี่หงจาง(李鴻章)และอู๋ถิงฟาง(伍廷芳)ทูตของรัฐบาลชิง(清)ประจำสหรัฐอเมริกา และคนอื่นๆ ต่างบริจาคเงิน รวมถึงหนังสืออ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น นั่นคือ คอลเลกชันหนังสือโบราณและสมัยใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิ(欽定古今圖書集成) จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ยังคงจัดแสดงอยู่ในห้องสมุดเอเชียตะวันออกของโคลัมเบีย

    อย่างไรก็ตาม ติงหลง(丁龍)หายตัวไปหลังปีค.ศ. 1906 บางคนบอกว่าเขาซื้อตั๋วเรือและกลับไปยังบ้านเกิดที่เขาใฝ่ฝัน บางคนบอกว่าเขากลับไปที่บ้านเกิดของนายพลคาโปนในนิวยอร์ก เพราะบางคนแปลกใจที่พบว่า ว่าในเมืองเล็กๆ นั้น มี "ถนนติงหลง" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของเขา กล่าวโดยสรุป ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาหายไปอย่างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาและพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์...

    ในปีค.ศ. 2007 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ประกาศเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเกี่ยวกับ ติงหลง(丁龍)และ China Central Television ก็เข้าร่วมด้วย คนรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อย อาจสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและทำให้บรรพบุรุษของเขาภูมิใจได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนและไม่แยแสต่อชื่อเสียงและโชคลาภ ด้วยร่างกายวิญญาณเช่นนี้ วิสัยทัศน์เช่นนี้ และจิตวิญญาณเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน มีสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ? ?

    ชื่อ ติงหลง(丁龍)ที่ปรากฏอยู่นี้ ทุกคนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่เคยได้ยินมา และไม่มีใครไม่รู้ว่า ตามที่แสดงความคิดเห็นในประกาศผู้สูญหาย: ติงหลง(丁龍)เป็นผู้บริจาคเงิน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีส่วนสนับสนุนวิสัยทัศน์และอุดมคติของเขา

    🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#ปู่ของปู่เล่าให้เขาว่า🤠 คนจีนคนไหนที่คนอเมริกันนับถือมากที่สุด? บางคนพูดว่าขงจื๊อ บางคนบอกว่าจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ บางคนบอกว่าหยางเจวิ้นหนิง(楊振寧) บางคนบอกว่าบรูซลี บางคนบอกว่าเฉิงหลง(成龍) และเจ็ต ลี(李連杰) ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในสาขาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขงจื๊อ การมีอิทธิพลกระทบในระดับโลกของเขาอาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์ตลอดทุกยุคสมัย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือมีคนจีนที่ไม่มีผลการเรียนดีหรือเป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ แต่เขาอาศัยลำพังด้วยตัวคนเดียวก่อตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงซึ่งโด่งดังที่เราคุ้นเคยเช่น หูชื่อ(胡適) เถาสิงจวือ(陶行知) เฝิง อิ่วหลาน(馮友蘭) หม่า หยินชู(馬寅初) พาน กวงต้าน(潘光旦) สวี จวื่อหมอ(徐志摩) เหวิน อิตวอ(聞一多) ฯลฯ ล้วนมาจากที่นี่ – นี่คือภาควิชาเอเชียตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University) ชื่อของเขาคือ ติงหลง(丁龍) (ทับศัพท์) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลกว่างตง(廣東)เมื่อปี ค.ศ. 1857 ในขณะนั้น ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาภายในและภายนอก และอยู่ในความวุ่นวาย ชาวจีนจำนวนมากต้องหนีออกไปต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือถูกค้ามนุษย์ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ โชคไม่ดีที่ ติงหลง(丁龍)วัย 18 ปีได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นและถูกค้ามนุษย์ไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ลูกหมู" และกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายพล นายพลคนนี้คือนายพลชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เป็นคนฉลาดและขยันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เขายังพูดปราศรัยในฐานะตัวแทนของบัณฑิตดีเด่นในปีนั้นด้วย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกเพื่อพัฒนาอาชีพของเขา ในช่วงสมัยตื่นทองเขาประสบความสำเร็จในการสร้างตัว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งแคลิฟอร์เนีย(Bank Of California)และกลายเป็นประธานธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่ในดินแดนรกร้างของสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์( Auckland)" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ แนวเขื่อนกันคลื่น และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางรถไฟสายแปซิฟิกตอนกลาง(Central Pacific Railroad) และเป็นประธานของบริษัทบริษัทโทรเลขแคลิฟอร์เนีย (California Telegraph) และ บริษัท โอเวอร์แลนด์เทเลกราฟ จำกัด(Overland Telegraph Company) ซึ่งก่อตั้งสายโทรเลขสายแรกที่เชื่อมชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทรถไฟหลายแห่งอีกด้วย เนื่องจากเขาเคยทำหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย เขาจึงเป็นที่รู้จักในนาม "นายพล" ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่เอี่ยมบนดินแดนร้างในสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถือว่าความมั่งคั่งเป็นชีวิตของเขา มีอารมณ์ไม่ดี อยู่คนเดียวตลอดชีวิตและมักจะทุบตีและดุด่าคนรับใช้ของเขา วันหนึ่ง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)อารมณ์ไม่ดี ดื่มไวน์มาก ตะโกนใส่คนรับใช้ และพูดทันทีว่าเขาจะไล่ทุกคนออก รวมถึงติงหลง(丁龍)ด้วย คนรับใช้คนอื่นไม่พอใจ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)มานานแล้วและใช้โอกาสนี้จากไปทีละคน วันรุ่งขึ้น หลังจากที่สร่างเมา ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ก็ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เขาทำและเตรียมที่จะต้องเผชิญกับการอดอาหาร น่าแปลกที่ ติงหลง(丁龍)ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่ยังเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยให้เขาตามปกติอีกด้วย ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)พูดด้วยความประหลาดใจ: ทำไมคุณไม่จากไปเหมือนพวกเขาล่ะ? ติงหลง(丁龍)พูดอย่างใจเย็น: แม้ว่าคุณจะมีอารมณ์ไม่ดี แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดี นอกจากนี้ ตามคำสอนของขงจื๊อ ฉันไม่สามารถจากคุณไปอย่างกะทันหันได้ ขงจื๊อจีนเคยกล่าวไว้ว่า: จงภักดีต่อผู้อื่น เมื่อคุณได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนต้องภักดีต่อสิ่งต่างๆ นายพลท่านนี้ประหลาดใจมาก เขาคิดว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรม จึงพูดว่า: ขงจื๊อเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนเมื่อหลายพันปีก่อน ฉันไม่รู้ว่าคุณอ่านหนังสือและเข้าใจวิถีแห่งปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าติงหลง(丁龍)ตอบกลับมาว่า: ฉันไม่รู้หนังสือ แต่พ่อบอกฉันเอง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)คิดว่าพ่อของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรมหรือเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงอีกว่า ติงหลง(丁龍)ตอบว่า พ่อของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของฉันเล่าให้เขาฟัง แม้แต่ปู่ของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของปู่เล่าให้เขาฟังเอง สุงขึ้นไปกว่านั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สรุปได้ว่า ครอบครัวของฉันมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและไม่มีการศึกษา นายพลชาวอเมริกันตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าชาวจีนที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่น ติงหลง(丁龍)จะมีจิตใจที่เรียบง่ายและเที่ยงธรรมและความภักดีที่โดดเด่นเช่นนี้! ด้วยวิธีนี้ ติงหลง(丁龍) ได้รับความชื่นชมจาก ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) อย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยระดับต่ำสุดเขากลายเป็นแม่บ้านของ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) และในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต ติงหลง(丁龍) ขยันและประหยัด ภักดีต่อเจ้านายของเขา และไม่เคยแต่งงานในชีวิตนี้ ค่าตอบแทนที่เขาประหยัดได้จากการทำงานในปีต่อ ๆ มาก็เป็นเงินออมที่น่าทึ่งเช่นกัน เมื่อเขาเกษียณ เขาขอลาออกจากฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) นายท่านไม่เต็มใจที่จะทิ้งคนรับใช้ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับเขา และถามว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก อย่างไรก็ตาม คำตอบของติงหลง(丁龍)ทำให้นายพลตกใจอีกครั้ง ติงหลง(丁龍) เห็นว่าชาวจีนถูกรังแกในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะขอเงินบำนาญจำนวนให้มากไว้เลี้ยงชีวิตในบั้นปลาย แต่เขาขอให้เจ้าของช่วยออกมาออกหน้าช่วยในการที่เขาบริจาคเงินออมทั้งชีวิตจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยขอให้มหาวิทยาลัยก่อตั้งแผนกภาควิชาภาษาจีนศึกษา เพื่อการศึกษา วัฒนธรรมมาตุภูมิของเขาเพื่อให้ชาวอเมริกันเข้าใจจีน! ปีนั้นเป็นปีแห่งความทุกข์ทรมานของจีน รัฐบาลชิง(清)ถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญาซินโจว(辛丑條約)" ชาวจีนถูกชาวตะวันตกดูหมิ่นมากยิ่งขึ้น เสียงต่อต้านจีนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวจีนผู้ต่ำต้อยคนนี้ ด้วยการกระทำที่ไม่ธรรมดาของเขา กลายเป็นความฉลาดที่หาได้ยากของคนจีนในปีสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่ก็ยังเป็นเพียงเศษสตางค์ในการสร้างแผนกในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ไม่ท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยความจริงใจ: ท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ข้าพเจ้าขอมอบเช็คเงินสดจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบริจาคให้กับกองทุนวิจัยจีนศึกษาของโรงเรียนของคุณ ลายเซ็นคือ: ติงหลง(丁龍) ชาวจีน เขาแนะนำติงหลง(丁龍) ดังนี้ นี่เป็นบุคคลที่หายาก มีความสม่ำเสมอ ดูมีระดับ มีน้ำใจ กล้าหาญ และใจดี ในด้านธรรมชาติและการศึกษาเขาเป็นผู้ศรัทธาในขงจื๊อ ในด้านพฤติกรรม เขาเป็นเหมือนคนเคร่งครัด ในด้านความเชื่อ เขาเป็น นับถือศาสนาพุทธ แต่โดยอุปนิสัยแล้ว เขาเป็นเหมือนคริสเตียน นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เองก็เพิ่มเงินเพิ่มอีก 500,000 ดอลลาร์ และต่อมาก็เพิ่มเงินอีก เขายังขายบ้านในแมนฮัตตันซึ่งเป็นเงินออมเกือบทั้งหมด ในสุดท้ายย้ายไปอยู่บ้านเก่าในชนบท ข่าวที่ว่ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้จัดตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วเป่ยผิง (北平) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับรัฐบาลแมนจูและราชวงศ์ชิง(清) จักรพรรดินีอัครมเหสีฉือซี(慈禧) บริจาคหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม หลี่หงจาง(李鴻章)และอู๋ถิงฟาง(伍廷芳)ทูตของรัฐบาลชิง(清)ประจำสหรัฐอเมริกา และคนอื่นๆ ต่างบริจาคเงิน รวมถึงหนังสืออ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น นั่นคือ คอลเลกชันหนังสือโบราณและสมัยใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิ(欽定古今圖書集成) จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ยังคงจัดแสดงอยู่ในห้องสมุดเอเชียตะวันออกของโคลัมเบีย อย่างไรก็ตาม ติงหลง(丁龍)หายตัวไปหลังปีค.ศ. 1906 บางคนบอกว่าเขาซื้อตั๋วเรือและกลับไปยังบ้านเกิดที่เขาใฝ่ฝัน บางคนบอกว่าเขากลับไปที่บ้านเกิดของนายพลคาโปนในนิวยอร์ก เพราะบางคนแปลกใจที่พบว่า ว่าในเมืองเล็กๆ นั้น มี "ถนนติงหลง" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของเขา กล่าวโดยสรุป ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาหายไปอย่างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาและพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์... ในปีค.ศ. 2007 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ประกาศเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเกี่ยวกับ ติงหลง(丁龍)และ China Central Television ก็เข้าร่วมด้วย คนรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อย อาจสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและทำให้บรรพบุรุษของเขาภูมิใจได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนและไม่แยแสต่อชื่อเสียงและโชคลาภ ด้วยร่างกายวิญญาณเช่นนี้ วิสัยทัศน์เช่นนี้ และจิตวิญญาณเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน มีสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ? ? ชื่อ ติงหลง(丁龍)ที่ปรากฏอยู่นี้ ทุกคนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่เคยได้ยินมา และไม่มีใครไม่รู้ว่า ตามที่แสดงความคิดเห็นในประกาศผู้สูญหาย: ติงหลง(丁龍)เป็นผู้บริจาคเงิน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีส่วนสนับสนุนวิสัยทัศน์และอุดมคติของเขา 🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • 📖“We're Polarized” คือ หนังสือ "เปลือยการเมืองสหรัฐฯ"

    ที่เขียนโดยนักรัฐศาสตร์ Ezra Klein ซึ่งกล่าวถึง เหตุผลเบื้องหลังความแตกแยกของ "สองขั้ว" ที่เพิ่มมากขึ้นในวงการการเมืองและสังคมของสหรัฐฯ

    ดิฉันคิดว่า หนังสือเล่มนี้อาจเน้นไปที่การวิเคราะห์ว่าปัจจัยต่างๆ เช่น สื่อ การเมืองเชิงอัตลักษณ์ และสถาบันทางการเมืองมีส่วนสนับสนุนให้เกิดความแตกแยกนี้อย่างไร

    นอกจากนี้ อาจประเมินแนวทางแก้ไขที่ Klein เสนอไว้เพื่อเชื่อมช่องว่าง และ ส่งเสริมความเข้าใจและความสามัคคีที่มากขึ้น ระหว่างกลุ่มอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน

    นอกจากนี้ สามารถตรวจสอบว่าข้อโต้แย้งของ Klein ได้รับการสนับสนุนอย่างดีหรือไม่ และ การวิเคราะห์ของเขาให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของการเมืองอเมริกันหรือไม่

    โดยรวมแล้ว หนังสือ “We're Polarized” ยังคงให้ความกระจ่างเกี่ยวกับปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้ และ เสนอแนวทางที่เป็นไปได้ในอนาคตอย่างตรงไป-ตรงมา.

    หนังสือ(สุดยอด)เล่มนี้ ได้รับการยอมรับว่า เป็น 1 ใน10 หนังสือที่ดีที่สุดอยู่ในห้องทำงาน ของ บุคคลชั้นนำของโลก และ ในสหรัฐฯ เช่น Bill Gates และ Barack Obama

    .
    Pachäree Wõng
    September22, 2024
    Sausalito, CA94965
    📖“We're Polarized” คือ หนังสือ "เปลือยการเมืองสหรัฐฯ" ที่เขียนโดยนักรัฐศาสตร์ Ezra Klein ซึ่งกล่าวถึง เหตุผลเบื้องหลังความแตกแยกของ "สองขั้ว" ที่เพิ่มมากขึ้นในวงการการเมืองและสังคมของสหรัฐฯ ดิฉันคิดว่า หนังสือเล่มนี้อาจเน้นไปที่การวิเคราะห์ว่าปัจจัยต่างๆ เช่น สื่อ การเมืองเชิงอัตลักษณ์ และสถาบันทางการเมืองมีส่วนสนับสนุนให้เกิดความแตกแยกนี้อย่างไร นอกจากนี้ อาจประเมินแนวทางแก้ไขที่ Klein เสนอไว้เพื่อเชื่อมช่องว่าง และ ส่งเสริมความเข้าใจและความสามัคคีที่มากขึ้น ระหว่างกลุ่มอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ สามารถตรวจสอบว่าข้อโต้แย้งของ Klein ได้รับการสนับสนุนอย่างดีหรือไม่ และ การวิเคราะห์ของเขาให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของการเมืองอเมริกันหรือไม่ โดยรวมแล้ว หนังสือ “We're Polarized” ยังคงให้ความกระจ่างเกี่ยวกับปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้ และ เสนอแนวทางที่เป็นไปได้ในอนาคตอย่างตรงไป-ตรงมา. หนังสือ(สุดยอด)เล่มนี้ ได้รับการยอมรับว่า เป็น 1 ใน10 หนังสือที่ดีที่สุดอยู่ในห้องทำงาน ของ บุคคลชั้นนำของโลก และ ในสหรัฐฯ เช่น Bill Gates และ Barack Obama . Pachäree Wõng September22, 2024 Sausalito, CA94965
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • รวม 25 หนังสือ 📚 ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณในแต่ละด้าน
    ไม่ว่าจะเป็น 👉 ความคิด นิสัย จิตใจ การสื่อสาร และการเงิน
    .
    📚 เปลี่ยนความคิด
    👉 หนังสือ THINK AGAIN คิดแล้ว, คิดอีก
    👉 หนังสือ 101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ (101 Essays That Will Change The Way You Think)
    👉 หนังสือ ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา (Mindset)
    👉 หนังสือ คิด, เร็วและช้า Thinking, Fast and Slow
    👉 หนังสือ ศิลปะแห่งการคิดไขว้ Crossover Creativity
    .
    📚 เปลี่ยนนิสัย
    👉 หนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น
    👉 หนังสือ แด่คุณที่กลัวการเปลี่ยนแปลงมาตลอดชีวิต
    👉 หนังสือ หยุดนิสัยทำอะไร 3 วันเลิก(MINI ROUTINES)
    👉 หนังสือ Have a nice Life
    👉 หนังสือ Mini Habits นิสัยจิ๋ว ของคนที่ประสบความสำเร็จ
    .
    📚 เปลี่ยนจิตใจ
    👉 หนังสือ วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ Why Has Nobody Told Me This Before?
    👉 หนังสือ Manifest: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา
    👉 หนังสือ ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข
    👉 หนังสือ ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ EMOTIONAL FIRST AID
    👉 หนังสือ วิชาใจเบา
    .
    📚 เปลี่ยนการสื่อสาร
    👉 หนังสือ ศิลปะการพูดให้เหมือนนั่งในใจคน
    👉 หนังสือ อย่าเป็นคนเก่งที่คุยไม่เป็น
    👉 หนังสือ คนฉลาดคิดอะไรก่อนพูด
    👉 หนังสือ พูดให้ง่ายๆ คือไม้ตายของคนเก่ง
    👉 หนังสือ พลังแห่งการหยุดพูดในโลกที่คนพูดไม่หยุด
    .
    📚 เปลี่ยนการเงิน
    👉 หนังสือ The Psychology of Money
    👉 หนังสือ ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน
    👉 หนังสือ คิดให้รวย
    👉 หนังสือ Money Mastery มั่งคั่งทั้งชีวิต
    👉 หนังสือ เศรษฐีชี้ทางรวย
    .
    🛒 สั่งซื้อคลิก > https://book-naiin.com/4h0JyeP
    .
    Credit: ร้านนายอินทร์
    รวม 25 หนังสือ 📚 ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็น 👉 ความคิด นิสัย จิตใจ การสื่อสาร และการเงิน . 📚 เปลี่ยนความคิด 👉 หนังสือ THINK AGAIN คิดแล้ว, คิดอีก 👉 หนังสือ 101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ (101 Essays That Will Change The Way You Think) 👉 หนังสือ ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา (Mindset) 👉 หนังสือ คิด, เร็วและช้า Thinking, Fast and Slow 👉 หนังสือ ศิลปะแห่งการคิดไขว้ Crossover Creativity . 📚 เปลี่ยนนิสัย 👉 หนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น 👉 หนังสือ แด่คุณที่กลัวการเปลี่ยนแปลงมาตลอดชีวิต 👉 หนังสือ หยุดนิสัยทำอะไร 3 วันเลิก(MINI ROUTINES) 👉 หนังสือ Have a nice Life 👉 หนังสือ Mini Habits นิสัยจิ๋ว ของคนที่ประสบความสำเร็จ . 📚 เปลี่ยนจิตใจ 👉 หนังสือ วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ Why Has Nobody Told Me This Before? 👉 หนังสือ Manifest: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา 👉 หนังสือ ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข 👉 หนังสือ ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ EMOTIONAL FIRST AID 👉 หนังสือ วิชาใจเบา . 📚 เปลี่ยนการสื่อสาร 👉 หนังสือ ศิลปะการพูดให้เหมือนนั่งในใจคน 👉 หนังสือ อย่าเป็นคนเก่งที่คุยไม่เป็น 👉 หนังสือ คนฉลาดคิดอะไรก่อนพูด 👉 หนังสือ พูดให้ง่ายๆ คือไม้ตายของคนเก่ง 👉 หนังสือ พลังแห่งการหยุดพูดในโลกที่คนพูดไม่หยุด . 📚 เปลี่ยนการเงิน 👉 หนังสือ The Psychology of Money 👉 หนังสือ ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน 👉 หนังสือ คิดให้รวย 👉 หนังสือ Money Mastery มั่งคั่งทั้งชีวิต 👉 หนังสือ เศรษฐีชี้ทางรวย . 🛒 สั่งซื้อคลิก > https://book-naiin.com/4h0JyeP . Credit: ร้านนายอินทร์
    0 Comments 1 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” พศ.๒๕๓๐
    แปลจาก "The One Straw Revolution"
    หนังสือเล่มนี้แหละ จุดประกายความคิดให้ฉันเข้าใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องการทำการเกษตรธรรมชาติ สรุปว่า

    ชาวนา เดินตามนักวิชาการในระบบทุนสามานย์ที่หวังครอบครองปัจจัยการผลิตสำคัญ คือ #ที่ดิน โดยสร้างงานทางวิชาการ(จอมปลอม)หลอกเกษตรกรทั่วโลก ให้นิยมทำการเกษตรแบบเคมี..สร้างความหวัง(ต้อง)พึ่งพิง สารเคมี ยาปราบวัชพืช ยาปราบศัตรูพืช..ฯลฯ
    อีกทั้ง..ชาวนายังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนเงินมหาศาล เป็นน้ำเลี้ยงระบบอุบาทว์นี้ ยืดเยื้อ ยาวนาน มานานตลอดนับร้อยปี
    สิ่งที่บิดเบือนธรรมชาติ..มีดังนี้ คือ
    👉การไถหน้าดิน ซึ่งนักวิชาเกิน โม้..ว่าเป็นวิธีการทำให้ดินโปร่ง อากาศเข้าสู่รากพืชได้ดี..นั้น
    (ความจริง)เป็นหน้าที่ของระบบรากพืช ร่วมมือกับแมง แมลง ไส้เดือน และจุลินทรีย์ ทำหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ค่ะ
    การไถยิ่งเป็นการหว่านรวมถึงการพลิกฟื้น(ช่วย)เมล็ดพันธุ์วัชพืชให้งอกได้ดีและมีจำนวนมากขึ้น. ➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    👉 ประสบการณ์ที่ผ่านมา..พิสูจน์ว่า การใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้พืชอ่อนแอ..ไม่ต้านทานโรค ➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    เป็นสาเหตุสำคัญของการลดลงของสิ่งที่มีชีวิตในดิน รวมถึงการลดลงของจุลินทรีย์ นั่นคือ..ทุกชีวิตในดิน(ตายเรียบ) นะคะ
    👉สารเคมีฆ่าแมลง ทำให้สัตว์เล็กๆ คือ ตัวห้ำ ตัวเบียฬ ที่มีบทบาทในการควบคุมแมลง(ลดลง)และหอย หนู งู ปู ปลา สูญพันธุ์ไปด้วย
    ยิ่งใช้เคมี..แมลงยิ่งดื้อยาและเพิ่มจำนวนขึ้น เป็นซะ..ง๊าน ➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    👉มีการเผาฟางเป็นการทำลายดิน..ดินสิ่งมีชีวิตและนิเวศน์ธรรมชาติ(ตายเรียบ) ที่ยากจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิม เปรียบเสมือนกับเปิดโลกแห่งสารเคมีให้เจริญเติบโตบนแผ่นดินนี้.➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    👉 การใช้ยากำจัดวัชพืช ทำให้วัชพืชตามธรรมชาติหายไป ซึ่งวัชพืชตามธรรมชาติเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความ สมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา (ตามหลักการพื้นฐาน) วัชพืชเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม แต่ไม่ต้องกำจัด การใช้ฟางคลุม และปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วปนไปกับพืชผล ตลอดจนการปล่อยน้ำเข้านาเป็นครั้งคราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได้อย่างดีในนา..แว๊ว ค่ะ.
    👉ข้าวเป็นพืชครึ่งบกครึ่งน้ำ การปลูกข้าวในน้ำทำให้ต้นข้าวต้องเสียพลังงานในการปรับตัวดูดซึมและการหายใจทางราก วิธีการปลูกข้าวที่ถูกต้องน่าจะเป็นแบบเปียกสลับแห้ง น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัยของข้าว เพราะว่าพิสูจน์แล้วว่า..แตกกอได้ดี ลำต้นอวบแข็งแรง ข้าวไม่ล้ม และผลผลิตสูงที่สุด.
    👉 พันธุ์ข้าวดัดแปลง/ ลูกผสม จากบริษัทการเกษตรพันธสัญญายักษ์ใหญ่ ได้ถูกออกแบบให้สนองตอบต่อยาและสารเคมีที่กำหนดให้เท่านั้น ทำให้เกษตรกรถูกควบคุมเป็นตัวประกัน และแปรสภาพจากเจ้าของที่ดิน กลายเป็นลูกจ้างบนที่ดินเดิมนั้น.

    หากว่า..ชาวนา ไม่ปฏิวัติ หันมาผลิตข้าวนาเกษตรธรรมชาติ(ต้นทุนต่ำ) ร่วมกับทำสวนผสมให้มีรายได้เพิ่ม สม่ำเสมอทุกวัน ใช้จักรกลทางการเกษตรที่ลดค่าแรงงาน ลดความเสี่ยง เพิ่มรอบผลผลิต
    สุดท้าย..คือ สูญเสียที่ดินทำกิน.
    “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” พศ.๒๕๓๐ แปลจาก "The One Straw Revolution" หนังสือเล่มนี้แหละ จุดประกายความคิดให้ฉันเข้าใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องการทำการเกษตรธรรมชาติ สรุปว่า ชาวนา เดินตามนักวิชาการในระบบทุนสามานย์ที่หวังครอบครองปัจจัยการผลิตสำคัญ คือ #ที่ดิน โดยสร้างงานทางวิชาการ(จอมปลอม)หลอกเกษตรกรทั่วโลก ให้นิยมทำการเกษตรแบบเคมี..สร้างความหวัง(ต้อง)พึ่งพิง สารเคมี ยาปราบวัชพืช ยาปราบศัตรูพืช..ฯลฯ อีกทั้ง..ชาวนายังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนเงินมหาศาล เป็นน้ำเลี้ยงระบบอุบาทว์นี้ ยืดเยื้อ ยาวนาน มานานตลอดนับร้อยปี สิ่งที่บิดเบือนธรรมชาติ..มีดังนี้ คือ 👉การไถหน้าดิน ซึ่งนักวิชาเกิน โม้..ว่าเป็นวิธีการทำให้ดินโปร่ง อากาศเข้าสู่รากพืชได้ดี..นั้น (ความจริง)เป็นหน้าที่ของระบบรากพืช ร่วมมือกับแมง แมลง ไส้เดือน และจุลินทรีย์ ทำหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ค่ะ การไถยิ่งเป็นการหว่านรวมถึงการพลิกฟื้น(ช่วย)เมล็ดพันธุ์วัชพืชให้งอกได้ดีและมีจำนวนมากขึ้น. ➡ เคมีเกษตร(ขายดี) 👉 ประสบการณ์ที่ผ่านมา..พิสูจน์ว่า การใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้พืชอ่อนแอ..ไม่ต้านทานโรค ➡ เคมีเกษตร(ขายดี) เป็นสาเหตุสำคัญของการลดลงของสิ่งที่มีชีวิตในดิน รวมถึงการลดลงของจุลินทรีย์ นั่นคือ..ทุกชีวิตในดิน(ตายเรียบ) นะคะ 👉สารเคมีฆ่าแมลง ทำให้สัตว์เล็กๆ คือ ตัวห้ำ ตัวเบียฬ ที่มีบทบาทในการควบคุมแมลง(ลดลง)และหอย หนู งู ปู ปลา สูญพันธุ์ไปด้วย ยิ่งใช้เคมี..แมลงยิ่งดื้อยาและเพิ่มจำนวนขึ้น เป็นซะ..ง๊าน ➡ เคมีเกษตร(ขายดี) 👉มีการเผาฟางเป็นการทำลายดิน..ดินสิ่งมีชีวิตและนิเวศน์ธรรมชาติ(ตายเรียบ) ที่ยากจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิม เปรียบเสมือนกับเปิดโลกแห่งสารเคมีให้เจริญเติบโตบนแผ่นดินนี้.➡ เคมีเกษตร(ขายดี) 👉 การใช้ยากำจัดวัชพืช ทำให้วัชพืชตามธรรมชาติหายไป ซึ่งวัชพืชตามธรรมชาติเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความ สมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา (ตามหลักการพื้นฐาน) วัชพืชเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม แต่ไม่ต้องกำจัด การใช้ฟางคลุม และปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วปนไปกับพืชผล ตลอดจนการปล่อยน้ำเข้านาเป็นครั้งคราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได้อย่างดีในนา..แว๊ว ค่ะ. 👉ข้าวเป็นพืชครึ่งบกครึ่งน้ำ การปลูกข้าวในน้ำทำให้ต้นข้าวต้องเสียพลังงานในการปรับตัวดูดซึมและการหายใจทางราก วิธีการปลูกข้าวที่ถูกต้องน่าจะเป็นแบบเปียกสลับแห้ง น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัยของข้าว เพราะว่าพิสูจน์แล้วว่า..แตกกอได้ดี ลำต้นอวบแข็งแรง ข้าวไม่ล้ม และผลผลิตสูงที่สุด. 👉 พันธุ์ข้าวดัดแปลง/ ลูกผสม จากบริษัทการเกษตรพันธสัญญายักษ์ใหญ่ ได้ถูกออกแบบให้สนองตอบต่อยาและสารเคมีที่กำหนดให้เท่านั้น ทำให้เกษตรกรถูกควบคุมเป็นตัวประกัน และแปรสภาพจากเจ้าของที่ดิน กลายเป็นลูกจ้างบนที่ดินเดิมนั้น. หากว่า..ชาวนา ไม่ปฏิวัติ หันมาผลิตข้าวนาเกษตรธรรมชาติ(ต้นทุนต่ำ) ร่วมกับทำสวนผสมให้มีรายได้เพิ่ม สม่ำเสมอทุกวัน ใช้จักรกลทางการเกษตรที่ลดค่าแรงงาน ลดความเสี่ยง เพิ่มรอบผลผลิต สุดท้าย..คือ สูญเสียที่ดินทำกิน.
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • มนุษย์ชอบตัดสินผู้อื่นโดยใช้ความชั่ว
    และกิเลสของตัวเองเป็นที่ตั้ง
    ชอบใช้บริบทในปัจจุบัน
    ไปตัดสินคนในอดีตเป็นสิ่งที่โง่
    และมนุษย์แบบนี้ไม่ควรเป็นนักเขียน
    เพราะจะเผยแพร่ความชั่ว
    และความเข้าผิดใจในสังคมได้มาก
    มนุษย์พวกนี้แหละคือผู้สร้าง Toxic Propaganda
    สร้างกับดักว่าเป็น วิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ อันดับ 1
    🍓ว่า Best Sales , New Arrival
    เพื่อดึงดูด
    เพราะมันจะต้องมีใครสักคนที่เชื่อแหละ
    ข่าวลือถูกเล่าโดยคนที่เกลียด
    แพร่กระจายโดยคนโง่
    ถูกเชื่อโดยคนปัญญาอ่อน

    เป็นวิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ
    ที่ต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้เขา
    ก็คือ “ถังขยะ” 👏🏻👏🏻

    ผู้ถูกกล่าวถึง ท่านเคยกล่าวว่า
    “กว่าคนจะรู้ว่าฉันทำอะไรให้บ้านเมือง
    ก็เวลาล่วงไปกว่าร้อยปี” มันก็จริงนะ

    เราเทิดทูนท่านมาก
    ช่วงระยะเวลา 20 กว่าปี +
    ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับงานของท่าน
    แล้วพอมาเจอหนังสือที่เรียกว่า
    Toxic Propaganda แต่ก่อนกาล
    ช่างต่างเหลือเกินเทียบไทม์ไลน์
    เหตุผล อุปสงค์-อุปทานแล้ว
    ยิ่งรักท่านมากกว่าเดิม
    และท่านต้องมีขันติสูงจริงๆ
    ความฉลาดมองการไกลล่วงหน้าว่า
    ร้อยปีทุกอย่างมันจะเปลี่ยน

    Toxic พวกนั้นทำลายความจริงที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ทำทำลายความดีของสถาบันไม่ได้ นอกจากจะล้างสมอง Gen Y ไม่ได้แล้ว
    ยิ่งทำให้รักและเทิดทูนท่านมากกว่าเดิม
    😆😆😆😆😆😆😆😆😆😆
    #ด้อยค่าเจ้ายังไง #ให้โดนรุมด่า
    #สะใจว่ะ
    มนุษย์ชอบตัดสินผู้อื่นโดยใช้ความชั่ว และกิเลสของตัวเองเป็นที่ตั้ง ชอบใช้บริบทในปัจจุบัน ไปตัดสินคนในอดีตเป็นสิ่งที่โง่ และมนุษย์แบบนี้ไม่ควรเป็นนักเขียน เพราะจะเผยแพร่ความชั่ว และความเข้าผิดใจในสังคมได้มาก มนุษย์พวกนี้แหละคือผู้สร้าง Toxic Propaganda สร้างกับดักว่าเป็น วิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ อันดับ 1 🍓ว่า Best Sales , New Arrival เพื่อดึงดูด เพราะมันจะต้องมีใครสักคนที่เชื่อแหละ ข่าวลือถูกเล่าโดยคนที่เกลียด แพร่กระจายโดยคนโง่ ถูกเชื่อโดยคนปัญญาอ่อน เป็นวิทยานิพนธ์ชั้นเลิศ ที่ต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้เขา ก็คือ “ถังขยะ” 👏🏻👏🏻 ผู้ถูกกล่าวถึง ท่านเคยกล่าวว่า “กว่าคนจะรู้ว่าฉันทำอะไรให้บ้านเมือง ก็เวลาล่วงไปกว่าร้อยปี” มันก็จริงนะ เราเทิดทูนท่านมาก ช่วงระยะเวลา 20 กว่าปี + ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับงานของท่าน แล้วพอมาเจอหนังสือที่เรียกว่า Toxic Propaganda แต่ก่อนกาล ช่างต่างเหลือเกินเทียบไทม์ไลน์ เหตุผล อุปสงค์-อุปทานแล้ว ยิ่งรักท่านมากกว่าเดิม และท่านต้องมีขันติสูงจริงๆ ความฉลาดมองการไกลล่วงหน้าว่า ร้อยปีทุกอย่างมันจะเปลี่ยน Toxic พวกนั้นทำลายความจริงที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ทำทำลายความดีของสถาบันไม่ได้ นอกจากจะล้างสมอง Gen Y ไม่ได้แล้ว ยิ่งทำให้รักและเทิดทูนท่านมากกว่าเดิม 😆😆😆😆😆😆😆😆😆😆 #ด้อยค่าเจ้ายังไง #ให้โดนรุมด่า #สะใจว่ะ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • คุณกำลังมองหาเครื่องมือสร้างเว็บอย่างง่าย แต่เป็นมืออาชีพ ไม่ต้องเช้าโฮสต์ ฟรีตลอดชีพ และสอนทำแบบ Step By Step อยู่ใช่ไหม?

    หนังสือคู่มือ สร้างเว็บไซต์ฟรีง่ายๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ คู่มือ #สร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยเว็บบล็อก blogger

    ไม่ต้องจ่าย รายเดือน รายปี ฟรีตลอดชาติ ทำเป็นเว็บ salepage ได้ ทำเว็บแนะนำสินค้า ธุรกิจ ได้ แบรนดิ้งตัวเอง ให้ค้นหาเจอบนเสิร์จเอนจิ้น google, bing ทำเว็บสำหรับองค์กรได้ ทำเป็นเว็บสื่อสารได้ ทำเว็บข่าวสารได้ ทำเว็บขายประกัน ทําเว็บ portfolio ทำได้หมด สวยด้วย ดูดี ใช้ฟรีตลอดกาลนานเทอญ

    ไปที่ร้านค้า >

    คู่มือผม 20 หน้า อธิบาย สเต็ปบายสเตป ให้ทำได้ เวลาคล่องแล้ว 5 นาทีก็ทำได้แล้ว เอาเฉพาะที่สำคัญ เน้นได้เว็บไซต์ใช้งาน พิมพ์ด้วยกระดาษ A4 พิมพ์สี ตัวหนังสือใหญ่อ่านง่าย
    เว็บ: https://book.kaewta.com
    ซื้อหนังสือ: http://vt.tiktok.com/ZS2XbXGer/
    คุณกำลังมองหาเครื่องมือสร้างเว็บอย่างง่าย แต่เป็นมืออาชีพ ไม่ต้องเช้าโฮสต์ ฟรีตลอดชีพ และสอนทำแบบ Step By Step อยู่ใช่ไหม? หนังสือคู่มือ สร้างเว็บไซต์ฟรีง่ายๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ คู่มือ #สร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยเว็บบล็อก blogger ไม่ต้องจ่าย รายเดือน รายปี ฟรีตลอดชาติ ทำเป็นเว็บ salepage ได้ ทำเว็บแนะนำสินค้า ธุรกิจ ได้ แบรนดิ้งตัวเอง ให้ค้นหาเจอบนเสิร์จเอนจิ้น google, bing ทำเว็บสำหรับองค์กรได้ ทำเป็นเว็บสื่อสารได้ ทำเว็บข่าวสารได้ ทำเว็บขายประกัน ทําเว็บ portfolio ทำได้หมด สวยด้วย ดูดี ใช้ฟรีตลอดกาลนานเทอญ ไปที่ร้านค้า > คู่มือผม 20 หน้า อธิบาย สเต็ปบายสเตป ให้ทำได้ เวลาคล่องแล้ว 5 นาทีก็ทำได้แล้ว เอาเฉพาะที่สำคัญ เน้นได้เว็บไซต์ใช้งาน พิมพ์ด้วยกระดาษ A4 พิมพ์สี ตัวหนังสือใหญ่อ่านง่าย เว็บ: https://book.kaewta.com ซื้อหนังสือ: http://vt.tiktok.com/ZS2XbXGer/
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์

    2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์

    ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย

    ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ”

    คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

    อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน

    ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง

    ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson

    #Thaitimes
    Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์ 2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์ ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ” คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson #Thaitimes
    Like
    Sad
    4
    1 Comments 0 Shares 470 Views 0 Reviews
  • 🇷🇺 ปธน.วลาดิมีร์ ปูติน ลงนามในกฤษฎีกาเกณฑ์ทหารใหม่ประจำปี ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
    .
    🏰 🇷🇺 ตามกฤษฎีกาของเครมลิน เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. ที่ลงนามโดยปธน.วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อช่วงเช้า

    🔘 กฤษฎีกาที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Rossiyskaya Gazeta การเกณฑ์ทหารรอบใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำ
    • สั่งเกณฑ์ทหารใหม่ 133,000 นาย
    • ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. ถึง 31 ธันวาคม
    • การเกณฑ์ทหารพลเมือง "ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปี มีผลบังคับใช้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกองกำลังสำรอง และผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับราชการทหารตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง
    • เงื่อนไขการเกณฑ์ทหารยังคงเหมือนเดิม คือ อายุการรับราชการเป็นเวลา 12 เดือน
    .
    🔘 พลโทวลาดิมีร์ ซิมลีอันสกี Vladimir Tsimlyansky หัวหน้าผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรและการระดมพลหลัก กล่าว :

    📌 “ผมขอแจ้งให้ทราบว่า : จะไม่มีการเรียกทหารเกณฑ์เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหารในแคว้นใหม่”😁
    .
    .... โพสต์นี้เดี๋ยวมี 🐾 🐃 🇺🇦 🇺🇸 ... 🪱 🪱 🪱 อีก ... หาว่าเพราะรัสเซียสูญเสียเยอะ 😆😂🤣 ...


    Noraseth Tuntasiri
    🇷🇺 ปธน.วลาดิมีร์ ปูติน ลงนามในกฤษฎีกาเกณฑ์ทหารใหม่ประจำปี ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง . 🏰 🇷🇺 ตามกฤษฎีกาของเครมลิน เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. ที่ลงนามโดยปธน.วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อช่วงเช้า 🔘 กฤษฎีกาที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Rossiyskaya Gazeta การเกณฑ์ทหารรอบใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำ • สั่งเกณฑ์ทหารใหม่ 133,000 นาย • ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. ถึง 31 ธันวาคม • การเกณฑ์ทหารพลเมือง "ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปี มีผลบังคับใช้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกองกำลังสำรอง และผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับราชการทหารตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง • เงื่อนไขการเกณฑ์ทหารยังคงเหมือนเดิม คือ อายุการรับราชการเป็นเวลา 12 เดือน . 🔘 พลโทวลาดิมีร์ ซิมลีอันสกี Vladimir Tsimlyansky หัวหน้าผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรและการระดมพลหลัก กล่าว : 📌 “ผมขอแจ้งให้ทราบว่า : จะไม่มีการเรียกทหารเกณฑ์เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการพิเศษทางทหารในแคว้นใหม่”😁 . .... โพสต์นี้เดี๋ยวมี 🐾 🐃 🇺🇦 🇺🇸 ... 🪱 🪱 🪱 อีก ... หาว่าเพราะรัสเซียสูญเสียเยอะ 😆😂🤣 ... Noraseth Tuntasiri
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • มิตรภาพบนเรื่องราวดีดี
    เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง
    จะเผาหนังสือเล่มหนึ่งใช้เวลา
    ไม่กี่วินาที แต่การจะเขียนหนังสือ เล่มหนึ่ง อาจต้องใช้เวลา
    อีกหลายปี

    เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์หรือมิตรภาพ กับหนังสือเล่มหนึ่ง โดยเน้นถึงความยากและคุณค่าของการสร้างและรักษามิตรภาพ

    *"มิตรภาพบนเรื่องราวดีดี
    เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง"**
    มิตรภาพที่มีเรื่องราวและความทรงจำที่ดี เปรียบเสมือนหนังสือที่มีคุณค่า แต่ละหน้าเต็มไปด้วยประสบการณ์ ความเข้าใจ ความร่วมมือ และความรักซึ่งกันและกัน การเปรียบเทียบนี้แสดงถึงความละเอียดอ่อนและความลึกซึ้งของมิตรภาพที่ต้องใช้เวลาและความพยายามในการสร้างและบำรุงรักษา

    *"จะเผาหนังสือเล่มหนึ่งใช้เวลา
    ไม่กี่วินาที"**
    การทำลายมิตรภาพหรือความสัมพันธ์อันยาวนานทำได้ง่ายและรวดเร็ว เช่นเดียวกับการเผาหนังสือที่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น แม้ว่ามิตรภาพนั้นจะมีคุณค่าหรือมีความหมายมากเพียงใด แต่เมื่อเกิดการ
    กระทำหรือคำพูดที่ทำร้ายหรือทำลาย มิตรภาพนั้นก็สามารถพังทลายได้อย่างรวดเร็ว

    *"การจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง
    อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี"**
    ในทางตรงกันข้าม การสร้างและรักษามิตรภาพนั้นต้องใช้เวลา ความพยายาม และการทุ่มเทในระยะยาว ต้องผ่านการเรียนรู้ การให้เกียรติ และการยอมรับข้อผิดพลาดของกันและกัน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ต้องใช้เวลาในการสร้างสรรค์ แต่ละหน้าล้วนต้องการความใส่ใจในรายละเอียด

    สรุปคือ การสร้างมิตรภาพต้องการเวลาและความทุ่มเท แต่การทำลายมิตรภาพนั้นง่ายและรวดเร็วกว่ามาก คำกล่าวนี้จึงเป็นการเตือนให้เราเห็นคุณค่าของมิตรภาพและรักษามันอย่างถนอม
    มิตรภาพบนเรื่องราวดีดี เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง จะเผาหนังสือเล่มหนึ่งใช้เวลา ไม่กี่วินาที แต่การจะเขียนหนังสือ เล่มหนึ่ง อาจต้องใช้เวลา อีกหลายปี เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์หรือมิตรภาพ กับหนังสือเล่มหนึ่ง โดยเน้นถึงความยากและคุณค่าของการสร้างและรักษามิตรภาพ *"มิตรภาพบนเรื่องราวดีดี เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง"** มิตรภาพที่มีเรื่องราวและความทรงจำที่ดี เปรียบเสมือนหนังสือที่มีคุณค่า แต่ละหน้าเต็มไปด้วยประสบการณ์ ความเข้าใจ ความร่วมมือ และความรักซึ่งกันและกัน การเปรียบเทียบนี้แสดงถึงความละเอียดอ่อนและความลึกซึ้งของมิตรภาพที่ต้องใช้เวลาและความพยายามในการสร้างและบำรุงรักษา *"จะเผาหนังสือเล่มหนึ่งใช้เวลา ไม่กี่วินาที"** การทำลายมิตรภาพหรือความสัมพันธ์อันยาวนานทำได้ง่ายและรวดเร็ว เช่นเดียวกับการเผาหนังสือที่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น แม้ว่ามิตรภาพนั้นจะมีคุณค่าหรือมีความหมายมากเพียงใด แต่เมื่อเกิดการ กระทำหรือคำพูดที่ทำร้ายหรือทำลาย มิตรภาพนั้นก็สามารถพังทลายได้อย่างรวดเร็ว *"การจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี"** ในทางตรงกันข้าม การสร้างและรักษามิตรภาพนั้นต้องใช้เวลา ความพยายาม และการทุ่มเทในระยะยาว ต้องผ่านการเรียนรู้ การให้เกียรติ และการยอมรับข้อผิดพลาดของกันและกัน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ต้องใช้เวลาในการสร้างสรรค์ แต่ละหน้าล้วนต้องการความใส่ใจในรายละเอียด สรุปคือ การสร้างมิตรภาพต้องการเวลาและความทุ่มเท แต่การทำลายมิตรภาพนั้นง่ายและรวดเร็วกว่ามาก คำกล่าวนี้จึงเป็นการเตือนให้เราเห็นคุณค่าของมิตรภาพและรักษามันอย่างถนอม
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร?

    เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้
    “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน
    .
    ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า
    .
    ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ
    .
    ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป
    .
    ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์
    .
    เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน
    .
    โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย
    .
    ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม'
    .
    ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift
    .
    ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี
    .
    จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที
    .
    บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้
    .
    และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น
    .
    ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน
    .
    แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม
    .
    นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก
    .
    แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง)
    .
    ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
    .
    ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“

    ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร? เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน . ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า . ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ . ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป . ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ . เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน . โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย . ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม' . ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift . ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี . จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที . บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้ . และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น . ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน . แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม . นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก . แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง) . ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง . ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“ ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 513 Views 0 Reviews
  • คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!!

    ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!!

    ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009)
    ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว….
    แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ
    ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์)
    เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ
    การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!!

    ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง
    คราวนี้จะมาทำโลกสวย….
    เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ……

    แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า…
    “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …”

    ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา…

    แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ
    เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด
    กัดดาฟี
    เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น

    ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม……
    เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง
    เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า…
    “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน
    ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส
    รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ
    ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้”
    ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ
    เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น
    แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……”

    (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…)

    ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!!

    แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง
    เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก

    ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California
    และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน
    เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ
    แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times
    ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่?
    เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…”
    คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!!

    ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์
    ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ …
    ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว…

    เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats
    ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย
    หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น
    และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน

    การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์
    เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป)
    และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่
    ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน
    แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย

    ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
    ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir
    มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท
    ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา
    เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
    หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน
    ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!!
    เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม
    และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “***** Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR)

    กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์
    เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง

    ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน
    ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้…
    ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป
    กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย

    จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่
    จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63%
    นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน ……
    ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง
    ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004)
    ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า
    “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ
    เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……”

    ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ
    ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆคะ………ที่พวกเราผ่านพบเห็นกันมาในเมืองไทย พี่ปูเขาก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกันค่าาาา………!!! ตอนยี่สิบ……คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ………แคร์ที่ไหน..?!!! ในช่วงที่เมดเวเดฟเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาเข้าขากันได้ดีกับบารัค โอบามา ที่มีการลงนามในสัญญาค้าขายต่อกัน เปิดโปรแกรมรับนักลงทุนต่างชาติใหม่ (ที่ปูตินปิดไปเมื่อ 2009) ในการประชุม World Trade Organization ที่ Davos ปลายปี 2010 เมดเวเดฟที่เตรียมคำตอบไว้มากมายเกี่ยวกับการตลาดที่จะตอบนักข่าว…. แต่…เขาโดนถามในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้ที่จะตอบให้ นั่นคือ ทางรัสเซียมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการลุกฮือของกลุ่มชาติอาหรับ (Arab Spring) ที่ต่อต้าน Qaddafi (ลิเบีย) และHosni Mubarak (อียิบต์) เขาตอบไปอย่างที่นักประชาธิปไตย ควรจะตอบ นั่นคือ เพราะ การที่รัฐบาลไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน…!!! ซึ่งนั่นคือการผิดพลาดมหันต์……ในฐานะผู้นำรัสเซียที่รัฐบาลเคยผ่านการปราบม๊อบมาสารพัดชนิด และแต่ละรายก็ไม่พ้นการเข้าทุบตี และ จับเข้าคุกไปทุกครั้ง คราวนี้จะมาทำโลกสวย…. เล่นเอา……ปูตินที่กำลังวุ่นอยู่ที่ Sochi ถึงกับกุมขมับ…… แถม……ข้อความของเมดเวเดฟ……รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ในเวลานั้น) คือ Joe Biden โดดรับลูกทันที……เขาเอาคำพูดของเมดเวเดฟไปใช้ในอภิปรายที่ Moscow State University ในเดือนมีนาคม 2011 โดยว่า… “ประชาชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่ย่อมต้องการสิทธิในการเลือกผู้นำเหมือนอย่างชาติอื่นๆ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และต้องการสื่อที่เป็นกระบอกเสียงในการที่จะต่อสู้กับการคอรัปชั่น…เพราะนั่นคือ การเป็นกิ่งใบของต้นประชาธิปไตย ผมใคร่วิงวอนนักศึกษาในวันนี้อย่ารับความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ อย่าเชื่อในสัญญามาร..(Faustian bargain) …” ~~~คงไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ว่า ทำไมปูตินถึงได้แค้นฝังหุ่นกับโจ ไบเดน…และ อเมริกา… แต่เบื้องหลังฉาก การมาของโจ ไบเดน คือการหนีบเมดเวเดฟ เข้าไปเป็นพวกในสนธิสัญญาร่วมรบ กับกลุ่มนาโต้ เพื่อที่จะส่งทหารไปช่วยในลิเบีย และร่วมในการปิดน่านฟ้า เพื่อขจัด กัดดาฟี เมดเวเดฟ……ตกบันไดพลอยโจน เพราะคำพูดของตัวเองที่ค้ำคออยู่ จึงตกลงตามนั้น ปูตินได้มองเห็นแล้วว่าเมดเวเดฟกำลังตกหลุมพรางของกลุ่มตะวันตก เพราะเขายังอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยเป็น KGB เป็นคนโลกสวย และ ชื่นชอบแสงสีวัฒนธรรมตะวันตกอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี และพอมีโอบามาเป็นเกลอเข้าหน่อย เลยเป็นปลื้ม…… เขาจึงเรียกมาดุแกมเตือนว่า……เรื่องการลุกฮือโดยการปั่นของอเมริกา จะไม่หยุดลงแค่นี้แน่นอน เพราะมันได้กลายเป็นนโนบายหลักของพญาอินทรีย์ที่จะต้องสร้างความแตกแยกในตะวันออกกลาง เขาได้บอกกับเมดเวเดฟต่อ……ว่า… “ย้อนกลับไปดูอดีตนะ ถ้ามีเวลาค้นคว้า……ว่า กลุ่มชาวอิหร่าน ที่ก่อกบฎขึ้นมา ด้วยการนำของโคไมนี่ (Khomeini) แล้วไอ้โคไมนี่คนนี้….เค้าอยู่ที่ไหน…จะบอกให้……เค้านอนเล่นเดินสบายอยู่ที่ฝรั่งเศส รอรับนโยบายจากพวกตะวันตกเอามาปั่นยุแยง……แล้วไงล่ะ ดาบนั้นคืนสนอง ตอนนี้อิหร่านมีนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง…สมน้ำหน้า…และสิ่งที่ตะวันตกทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนเสียเมื่อไหร่ ถ้าดูในประวัติศาสตร์ในยุคกลาง…เขาทำมาแล้ว ในเรื่องชักชวนพวกเพื่อนบ้านออกไปรวมกันแล้วไปตีบ้านอื่น……ในยุคนั้นเขาเรียกว่า Crusade….ตอนนี้ก็เหมือนเดิม เขาเรียกว่า “กองทัพนาโต้” ที่มีวัตถุประสงค์ทำเพื่อให้กัดดาฟี่หัวแข็งลงจากอำนาจ เพื่อที่จะเอากลุ่มที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมาแทน……มันคือการปล้นประเทศโดยการเปลี่ยนผู้นำเท่านั้น แต่…ประชาธิปไตยไม่ได้คืบหน้าไปไหน ประชาชนก็ทำมาหากินแบบอดๆอยากๆเหมือนเดิม ……” (~~~ข้อความตรงนี้”โดนใจ” มากค่ะ อธิบายได้หมดถึงความเป็นอเมริกาในทุกวันนี้…) ในขณะเดียวกันปูตินก็เริ่มได้กลิ่นไอว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตะวันออกกลาง……น่าจะเกิดขึ้นในรัสเซียไม่ช้าก็เร็ว…!!! แต่เพราะเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเรียงเป็นไข่ปลานี้ สภาได้พิจารณาแล้ว เห็นพ้องกันว่า จะขยายอายุเวลาของประธานาธิบดีไปเป็นหกปี เริ่มจากสมัยหน้าของการเลือกตั้ง เพราะรัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก ในเดือนพฤษภาคม 2011 เป็นสามปีที่เมดเวเดฟได้อยู่ในตำแหน่ง ผลงานเด่นของเขาคือ ศูนย์เทคโนโลยี Skolkovo ที่สร้างเพื่อให้เท่าเทียมหรือเกินหน้า Silicon Valley ที่ California และได้ก่อตั้งกลุ่มการเมืองเป็นของตัวเอง ชื่อ All Russia People’s Front แบบรวบรวมคนรุ่นใหม่ หัวทันสมัย ใฝ่ความเจริญทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจขึ้นมา พุ่งเป้าที่กลุ่มคนเพิ่มเริ่มทำงาน เพียงแค่ประกาศ…สมาชิกหลั่งไหลเข้ามาสมัครกันอย่างหนาแน่น ทั้งส่วนตัวและองค์กรต่างๆ แต่เมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร The Financial Times ที่ถูกถามว่า….เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่สองหรือไม่? เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า………มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “คณะ” แต่โดยทั่วไป.……ประธานาธิบดีย่อมต้องการที่จะลงสนามต่อในครั้งต่อไป…” คำตอบกำกวมแบบนั้น ได้ชี้ชัดว่า….เมดเวเดฟ……ไม่ใช่ของจริง…!! ส่วน”ของจริง” นั้น ไม่ค่อยออกงาน หรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ แต่ยังคงความนิยมชื่นชอบอย่างไม่เคยจาง เพราะเป็นคนที่ถึงลูกถึงคน ยังไปลั้ลลากิจกรรมกับกลุ่มยุวชน Nashi….ไปสวดมนต์ ในโบสถ์ ……ไปดำน้ำลึกหาวัตถุโบราณ … ยังเรียกเสียงกรี๊ดสลบได้ในทุกความเคลื่อนไหว… เมื่อตอนหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มี เมดเวเดฟ, ปูติน ,พรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรค Liberal Democrats ที่คราวนี้ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะ……กลุ่มใต้ดิน และ บนดินที่ต่อต้านการกลับมาของปูตินได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน แบ่งกันเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย หัวหน้านำคือ Boris Nemtsov นักฟิสิกส์หัวรุนแรง เคยเป็นนักการเมืองในยุคของเยลซินจนมาสู่ผู้แทนในสภาดูมา, Sergei Mironov หัวหน้าพรรค A Just Russia และ Aleksei Navalny ทนายความนักเคลื่อนไหว ต่อต้านคอร์รัปชั่น และทั้งหมด……ต่อต้านปูติน การต่อต้านได้เริ่มขยายตัวขึ้น และกล้าขึ้น ถึงขนาดกล้าโห่ไล่ปูตินในงานเปิดกีฬาชกมวยในสเตเดี้ยมที่มอสโคว์ เรื่องการต่อต้านนั้น ปูตินเจอมาเยอะ แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นทำรายการวิทยุที่ใช้ชื่อรายการว่า “หมดยุคของปูตินได้แล้ว” ดำเนินรายการโดย Alexei Navalny (หรือ AN ที่จะใช้ต่อไป) และมีการจัดตั้งการชุมนุม พากันเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่ ตำรวจได้เข้าทำการจับกุม AN ในฐานะสร้างความวุ่นวาย จำคุกไปสิบห้าวัน แต่เมื่อออกมา เขาได้จัดขบวนใหญ่กว่าเดิม ระดมคนรุ่นใหม่ นักศึกษาที่มากันมากมาย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012 สิบกว่าวันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ที่โบสถ์ออโธดอกซ์ Cathedral of Christ the Savoir มีผู้หญิงสาวห้าคน ที่ขึ้นไปปีนป่ายบนเสาสลัก ถอดเสื้อโค้ท ออก ข้างในแต่งกายสไตล์พั้งค์ แต่สวมหน้ากากหลากสี ……ต่างตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นกันไปมา เสียงที่ตะโกนดังก้องด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หนึ่งในนั้น คือ Yekaterina Samutsevich (นักดนตรี) กำลังจะเอากีตาร์ขึ้นมาดีด แต่การ์ดได้ดึงตัวเธอออกมาก่อน ทั้งหมด……ยังไม่หยุดตะโกน……ปูตินออกไป……ปูตินออกไป……!! เป็นเรื่องใหญ่ในข่าวภาคค่ำในคืนนั้น ……ที่สาวไปว่า ต้นตอเหตุมากจากกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยนที่ต้องการความเท่าเทียม และได้มี กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Pussy Riot” (ไปแปลกันเองนะคะ แต่ดิฉันจะเรียกว่า PR) กลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน ที่ไม่เปิดเผยตัวเอง แต่พร้อมที่จะก่อความวุ่นวายต่อต้านปูตินในวันที่เขาจะประกาศตัวลงชิงประธานาธิบดี แนวการต้านคือ การวาดอวัยวะเพศในที่ต่างๆในกรุงเซนต์ และ มอสโคว์ และ การร่วมเพศ เป็นสัญญลักษณ์ เช่นออกคลิปการร่วมเพศในที่สำคัญๆอย่างโจ่งแจ้ง ปูตินแก้เกมด้วยการ…ไม่พูดถึงเรื่องต่อต้าน แต่เขาประชุมผู้นำของทุกศาสนา เช่น ออโธดอกซ์,ยิว, พุทธ, อิสลาม และ คาธอลิก แม้แต่ Seventhday Adventists ให้มาร่วมรับฟังความเห็นที่ Danilov Monastery โดยมีพระอธิการ Kirill เป็นองค์ประธาน ที่ทั้งหมดได้แสดงความเสียใจกับการต่อต้านที่หยาบคาย ลบหลู่สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้… ปูตินไม่ต้องทำอะไร……เพียงแต่ช่วยทำข่าวให้กระจายออกไป กลุ่มต่อต้านได้รับคำตำหนิและรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนกลับไปอย่างมากมาย จากนั้น ปูตินยังใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยการที่จัดกิจกรรมรักชาติ ขึ้นที่โน่นที่นี่ จนถึงวันที่ 4 มีนาคม วันเลือกตั้ง เขาได้ประกาศชัยชนะด้วยการรับคะแนนเสียงถึง 63% นั่นคือ การกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยของปูติน …… ที่ฝ่ายก่อกวนเจ้าเก่า AN ที่นำผู้ชุมนุมกว่าสองพันคนข้างนอกนั้น ถึงกับหัวเสียด้วยความผิดหวัง ส่วน Sergei Udaltsov หัวหอกการต่อต้าน……ไม่ยอมแพ้ เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวตั้งเต้นท์นอนบนถนน (ตามแบบการประท้วงที่เคียฟ, ยูเครนในปี 2004) ข่าวทางรัฐบาลได้ออกมาอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ……ว่า “ผู้ชุมนุมก็เปรียบเสมือนลูกๆที่มีนิสัยเสีย ไม่ได้อะไรดังใจก็ฟาดหัวฟาดหาง เราก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ เราไม่รีบไปซื้อของเล่นให้ …แต่จะสอนให้ไปสนใจเล่นอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน……” ของเล่นที่มีประโยชน์ที่พวกชุมชุมได้รับตอนที่ตั้งเต้นท์ไม่ทันเสร็จ……คือ ตำรวจพร้อมกระบองได้เข้าบุกแบบถึงพริกถึงขิง จับเข้าคุกนับร้อย บาดเจ็บหลายสิบ ถนนในมอสโคว์….โล่งสะอาดในวันต่อมา….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • ได้รับหนังสือแล้ว ลัดคิวอ่านก่อนเลย 😊
    ได้รับหนังสือแล้ว ลัดคิวอ่านก่อนเลย 😊
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • “พระพุทธมหาชนก” พระพุทธปฏิมาประธานทรงเครื่องอย่างพระจักรพรรดิราช ประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร พระอารามหลวงในรัชกาลที่ ๑ เป็นพระพุทธรูปสำคัญฉลองพระองค์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) พระราชชนกในรัชกาลที ๑ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบ วัสดุปูนปั้นลงรักปิดทองหน้าตักกว้าง ๒ เมตร ๒ เซนติเมตร ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่๔ ยกแท่นฐานสูงขึ้นและแปลงองค์พระเป็นพระพุทธมหาจักรพรรดิทรงเครื่องกษัตริย์ มีลักษณะที่น่าสนใจ คือ การครองจีวรลายดอก ซึ่งเป็นการสร้างให้มีลักษณะเหมือนจริงแบบสัจนิยม การครองจีวรลายดอกนี้คงเนื่องมาจากการนำผ้าเนื้อดีที่นำเข้ามาคือ ผ้าแพรจากประเทศจีน นำไปย้อมเป็นผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อถวายพระพุทธรูป ที่มา : จากหนังสือ ๑๐๘ องค์พระปฏิมาพระพุทธรูปคู่แผ่นดิน โดย กรมการศาสนา #วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร #วัด #พระพุทธมหาชนก #ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ #พระปางมารวิชัย #bangkok #thailand
    “พระพุทธมหาชนก” พระพุทธปฏิมาประธานทรงเครื่องอย่างพระจักรพรรดิราช ประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร พระอารามหลวงในรัชกาลที่ ๑ เป็นพระพุทธรูปสำคัญฉลองพระองค์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) พระราชชนกในรัชกาลที ๑ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบ วัสดุปูนปั้นลงรักปิดทองหน้าตักกว้าง ๒ เมตร ๒ เซนติเมตร ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่๔ ยกแท่นฐานสูงขึ้นและแปลงองค์พระเป็นพระพุทธมหาจักรพรรดิทรงเครื่องกษัตริย์ มีลักษณะที่น่าสนใจ คือ การครองจีวรลายดอก ซึ่งเป็นการสร้างให้มีลักษณะเหมือนจริงแบบสัจนิยม การครองจีวรลายดอกนี้คงเนื่องมาจากการนำผ้าเนื้อดีที่นำเข้ามาคือ ผ้าแพรจากประเทศจีน นำไปย้อมเป็นผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อถวายพระพุทธรูป ที่มา : จากหนังสือ ๑๐๘ องค์พระปฏิมาพระพุทธรูปคู่แผ่นดิน โดย กรมการศาสนา #วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร #วัด #พระพุทธมหาชนก #ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ #พระปางมารวิชัย #bangkok #thailand
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 106 Views 29 0 Reviews
  • จงใช้ชีวิตราวกับว่า
    คุณจะตายพรุ่งนี้
    และเรียนรู้ราวกับว่า
    คุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป

    จากหนังสือ |สำเร็จเร็วกว่าที่คิด

    หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #การเรียนรู้
    จงใช้ชีวิตราวกับว่า คุณจะตายพรุ่งนี้ และเรียนรู้ราวกับว่า คุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป จากหนังสือ |สำเร็จเร็วกว่าที่คิด หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #การเรียนรู้
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 377 Views 0 Reviews
  • อย่ามองข้ามความเป็นธรรมดาที่เราเจออยู่ทุกวัน

    ขอบคุณและรู้สึกดีกับสิ่งที่เรามี
    ...แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว


    จากหนังสือ |แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

    หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสุข
    อย่ามองข้ามความเป็นธรรมดาที่เราเจออยู่ทุกวัน ขอบคุณและรู้สึกดีกับสิ่งที่เรามี ...แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว จากหนังสือ |แค่นี้ก็ดีมากแล้ว หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสุข
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • ขาดประชุมเป็นอาจิน 'บิ๊กป้อม' ไม่หนีแต่ไม่มา ขอคืนเงินเดือนแทน
    .
    เหมือนจะดูดี แต่พอพิจารณาแล้วกลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ ภายหลังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งหนังสือถือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าไม่ขอรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง พร้อมกับเงินดังกล่าวที่รับมาแล้วจะนำส่งคืนให้ทั้งหมด
    .
    เหตุที่บอกว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ส.ส.มีหน้าที่มาประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายและตรวจสอบฝ่ายบริหารให้สมกับผู้แทนราษฎร เมื่อทำงานให้กับประเทศ จึงเป็นความชอบธรรมอยู่ในตัวที่ผู้แทนราษฎรสมควรได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานให้กับประชาชนได้เต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง แต่การที่พล.อ.ประวิตร ถูกตรวจสอบเรื่องการขาดประชุมมากจนผิดปกติแล้วใช้วิธีการไม่รับและคืนเงินเดือนส.ส. เพื่อหวังลดกระแสนั้น ดูเหมือนว่าจะดูแคลนสติปัญญาของประชาชนมากไปหน่อย
    .
    ในเรื่องนี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพปชร. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
    .
    นายไพบูลย์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ ส.ส.ที่มีภารกิจมากและอาจต้องลากิจกับสภาบ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรยังระบุว่า ภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้วเนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก
    ............
    Sondhi X
    ขาดประชุมเป็นอาจิน 'บิ๊กป้อม' ไม่หนีแต่ไม่มา ขอคืนเงินเดือนแทน . เหมือนจะดูดี แต่พอพิจารณาแล้วกลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ ภายหลังพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งหนังสือถือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าไม่ขอรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง พร้อมกับเงินดังกล่าวที่รับมาแล้วจะนำส่งคืนให้ทั้งหมด . เหตุที่บอกว่าเรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรดันกลับทำ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ส.ส.มีหน้าที่มาประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายและตรวจสอบฝ่ายบริหารให้สมกับผู้แทนราษฎร เมื่อทำงานให้กับประเทศ จึงเป็นความชอบธรรมอยู่ในตัวที่ผู้แทนราษฎรสมควรได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานให้กับประชาชนได้เต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง แต่การที่พล.อ.ประวิตร ถูกตรวจสอบเรื่องการขาดประชุมมากจนผิดปกติแล้วใช้วิธีการไม่รับและคืนเงินเดือนส.ส. เพื่อหวังลดกระแสนั้น ดูเหมือนว่าจะดูแคลนสติปัญญาของประชาชนมากไปหน่อย . ในเรื่องนี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพปชร. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) . นายไพบูลย์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ ส.ส.ที่มีภารกิจมากและอาจต้องลากิจกับสภาบ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรยังระบุว่า ภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้วเนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก ............ Sondhi X
    Sad
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 402 Views 0 Reviews
  • กระทรวงศึกษาธิการ ย้ำ‼️ การทัศนศึกษาเป็นเรื่องที่ดีเปิดประสบการณ์ให้กับเด็กที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

    หลังจากนี้เพิ่มมาตรการเข้มข้น ยานพาหนะที่จะใช้ในการเดินทางจะต้องไม่ใช่รถที่ติดแก๊สอย่างเด็ดขาด
    รถที่ใช้ต้องผ่านมาตรฐานรับรองคุณภาพแล้วเท่านั้น

    นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ คณะนักเรียน และครูของโรงเรียนวัดเขาพระยา จ.อุทัยธานี เกิดอุบัติ้หตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น

    ซึ่ง ศธ.มีหนังสือแจ้งให้สถานศึกษาทุกแห่งลดธงเพื่อไว้อาลัยเป็นเวลา 3 วัน ส่วนการเยียวยาผู้ที่บาดเจ็บ เสียชีวิต รวมถึงผู้ประสบเหตุในครั้งนี้นั้น สพฐ.มีเงินสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือเยียวยา รวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรีก็จะมีการประชุมเพื่อจัดเงินสวัสดิการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย

    โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า การไปทัศนศึกษาของเด็กเป็นเรื่องที่ดี เป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับเด็ก ๆ ทุกครั้งที่เด็กได้ไปทัศนศึกษาจะมีความตื่นเต้นที่จะได้ไปพบเห็นสิ่งใหม่ ๆ แต่หลังจากนี้อาจจะต้องมีการทบทวนกันใหม่ว่าถ้าต้องพาเด็กไปทัศนศึกษาไกล ๆ ข้ามจังหวัดจะต้องมีมาตรการอะไรที่เข้มงวดมากกว่านี้หรือไม่

    ที่แน่ ๆ คือ ยานพาหนะที่จะใช้ในการเดินทางจะต้องไม่ใช่รถที่ติดแก๊สอย่างเด็ดขาด เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้จะต้องมีการพิจารณาใช้บริการรถที่มีการตรวจรับรองคุณภาพและมาตรฐานแล้วเท่านั้น

    https://www.facebook.com/share/DqsBaH8vLJpWd8zp/?mibextid=oFDknk
    กระทรวงศึกษาธิการ ย้ำ‼️ การทัศนศึกษาเป็นเรื่องที่ดีเปิดประสบการณ์ให้กับเด็กที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หลังจากนี้เพิ่มมาตรการเข้มข้น ยานพาหนะที่จะใช้ในการเดินทางจะต้องไม่ใช่รถที่ติดแก๊สอย่างเด็ดขาด รถที่ใช้ต้องผ่านมาตรฐานรับรองคุณภาพแล้วเท่านั้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ คณะนักเรียน และครูของโรงเรียนวัดเขาพระยา จ.อุทัยธานี เกิดอุบัติ้หตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น ซึ่ง ศธ.มีหนังสือแจ้งให้สถานศึกษาทุกแห่งลดธงเพื่อไว้อาลัยเป็นเวลา 3 วัน ส่วนการเยียวยาผู้ที่บาดเจ็บ เสียชีวิต รวมถึงผู้ประสบเหตุในครั้งนี้นั้น สพฐ.มีเงินสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือเยียวยา รวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรีก็จะมีการประชุมเพื่อจัดเงินสวัสดิการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า การไปทัศนศึกษาของเด็กเป็นเรื่องที่ดี เป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับเด็ก ๆ ทุกครั้งที่เด็กได้ไปทัศนศึกษาจะมีความตื่นเต้นที่จะได้ไปพบเห็นสิ่งใหม่ ๆ แต่หลังจากนี้อาจจะต้องมีการทบทวนกันใหม่ว่าถ้าต้องพาเด็กไปทัศนศึกษาไกล ๆ ข้ามจังหวัดจะต้องมีมาตรการอะไรที่เข้มงวดมากกว่านี้หรือไม่ ที่แน่ ๆ คือ ยานพาหนะที่จะใช้ในการเดินทางจะต้องไม่ใช่รถที่ติดแก๊สอย่างเด็ดขาด เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้จะต้องมีการพิจารณาใช้บริการรถที่มีการตรวจรับรองคุณภาพและมาตรฐานแล้วเท่านั้น https://www.facebook.com/share/DqsBaH8vLJpWd8zp/?mibextid=oFDknk
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • คนเล่นของ เช่น พกเครื่องรางของขลังต่างๆ หรือบางคน ที่มีการลงนะ สักยันต์ เพื่อเสริมดวงในด้านต่างๆ หรือพวกเมตตามหานิยม หรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แรงๆ เช่นท้าวเวสสุวรรณ พญานาค พ่อแก่ พญาครุฑ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ควรจะต้องมีการรักษาศีล 5 เป็นเบื้องต้น และควรสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ถ้ามิเช่นนั้นแล้วของอาจจะเข้าตัวได้

    ซึ่งทำให้เกิดอาการต่างๆดังนี้

    1.มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย เหมือนเป็นไบโพล่า อารมณ์ขึ้นๆลงๆ

    2.จะรู้สึกหงุดหงิด ถ้าไปใกล้ชิดกับคนที่สวดมนต์ไหว้พระ และมีอาการไม่อยากเข้าวัด ไม่อยากสวดมนต์ไหว้พระ

    3.มีอาการชอบเก็บตัว ไม่อยากไปสุงสิงกับใคร

    4.จะเป็นโรคที่ไม่สามารถหาสาเหตุทางการแพทย์ได้ เป็นๆหายๆ ส่วนใหญ่ที่เจอ จะเป็นพวกเนื้องอก ถึงโรค ที่อันตรายร้ายแรง ขึ้นอยู่กับความแรงของของที่บูชา และตัวตนของคนที่บูชา ว่าเป็นคนที่มีศีลมีธรรม และปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำหรือเปล่า โรคที่เกิดจากสิ่งมองไม่เห็น หรือบางคนมีอาการชอบปวดหัว ปวดท้อง ท้องผูก ระบบขับถ่าย กรดไหลย้อน มีลมในกระเพาะ เป็นแบบไม่รู้สาเหตุ หรือบางคนจะเป็นเกี่ยวกับโรคผิวหนังอยู่ดีๆก็คัน เป็นเม็ดผื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการเหล่านี้จะชัดเจนช่วงวันพระวันโกน

    5.ดวงชะตาจะติดๆขัดๆ เพราะมีสิ่งที่มาปิดกั้นดวงชะตา ทำให้ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ราบรื่น

    6.นอนไม่ค่อยหลับ ชอบตื่นมากลางดึก หรือสะดุ้งตื่น ช่วงตี2 ตี3

    7.จะเจอแต่คนที่เล่นของเข้ามา หรือที่มีพลังงานแบบเรา เพราะมันจะดึงดูดเข้าหากัน

    8.คนที่อยู่ใกล้ตัวใกล้ชิดคนที่เล่นของ จะรู้สึกไม่ชอบเรา ไม่ถูกชะตาเรา เพราะมีพลังงานไม่ดีอยู่กับตัวเรา มันส่งผลกระทบกับเขา เขาจะหงุดหงิดตลอดเวลา หรือหาเรื่องเรา ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นคนที่มีเซ้นส์ด้วยเขาก็จะรู้สึกมาก

    9.คนที่อยู่ใกล้ตัวใกล้ชิดคนเล่นของ โดยเฉพาะถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่อ่อนแอ ขาดการสวดมนต์ไหว้พระ ขาดการรักษาศีล จะได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ว่าจะทำให้ดวงชะตาติดขัด หรือเกิดความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บ หรือมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ชีวิตไม่ราบรื่น
    -----------
    #คนเล่นของ #ดูดวงแม่นๆ #หมอดูแม่นๆ #อาจารย์เจโดมิโน่จิตสัมผัส #หมอฝนยิปซี
    คนเล่นของ เช่น พกเครื่องรางของขลังต่างๆ หรือบางคน ที่มีการลงนะ สักยันต์ เพื่อเสริมดวงในด้านต่างๆ หรือพวกเมตตามหานิยม หรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แรงๆ เช่นท้าวเวสสุวรรณ พญานาค พ่อแก่ พญาครุฑ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ควรจะต้องมีการรักษาศีล 5 เป็นเบื้องต้น และควรสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ถ้ามิเช่นนั้นแล้วของอาจจะเข้าตัวได้ ซึ่งทำให้เกิดอาการต่างๆดังนี้ 1.มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย เหมือนเป็นไบโพล่า อารมณ์ขึ้นๆลงๆ 2.จะรู้สึกหงุดหงิด ถ้าไปใกล้ชิดกับคนที่สวดมนต์ไหว้พระ และมีอาการไม่อยากเข้าวัด ไม่อยากสวดมนต์ไหว้พระ 3.มีอาการชอบเก็บตัว ไม่อยากไปสุงสิงกับใคร 4.จะเป็นโรคที่ไม่สามารถหาสาเหตุทางการแพทย์ได้ เป็นๆหายๆ ส่วนใหญ่ที่เจอ จะเป็นพวกเนื้องอก ถึงโรค ที่อันตรายร้ายแรง ขึ้นอยู่กับความแรงของของที่บูชา และตัวตนของคนที่บูชา ว่าเป็นคนที่มีศีลมีธรรม และปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำหรือเปล่า โรคที่เกิดจากสิ่งมองไม่เห็น หรือบางคนมีอาการชอบปวดหัว ปวดท้อง ท้องผูก ระบบขับถ่าย กรดไหลย้อน มีลมในกระเพาะ เป็นแบบไม่รู้สาเหตุ หรือบางคนจะเป็นเกี่ยวกับโรคผิวหนังอยู่ดีๆก็คัน เป็นเม็ดผื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการเหล่านี้จะชัดเจนช่วงวันพระวันโกน 5.ดวงชะตาจะติดๆขัดๆ เพราะมีสิ่งที่มาปิดกั้นดวงชะตา ทำให้ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ราบรื่น 6.นอนไม่ค่อยหลับ ชอบตื่นมากลางดึก หรือสะดุ้งตื่น ช่วงตี2 ตี3 7.จะเจอแต่คนที่เล่นของเข้ามา หรือที่มีพลังงานแบบเรา เพราะมันจะดึงดูดเข้าหากัน 8.คนที่อยู่ใกล้ตัวใกล้ชิดคนที่เล่นของ จะรู้สึกไม่ชอบเรา ไม่ถูกชะตาเรา เพราะมีพลังงานไม่ดีอยู่กับตัวเรา มันส่งผลกระทบกับเขา เขาจะหงุดหงิดตลอดเวลา หรือหาเรื่องเรา ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นคนที่มีเซ้นส์ด้วยเขาก็จะรู้สึกมาก 9.คนที่อยู่ใกล้ตัวใกล้ชิดคนเล่นของ โดยเฉพาะถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่อ่อนแอ ขาดการสวดมนต์ไหว้พระ ขาดการรักษาศีล จะได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ว่าจะทำให้ดวงชะตาติดขัด หรือเกิดความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บ หรือมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ชีวิตไม่ราบรื่น ----------- #คนเล่นของ #ดูดวงแม่นๆ #หมอดูแม่นๆ #อาจารย์เจโดมิโน่จิตสัมผัส #หมอฝนยิปซี
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำหนังสือถึงสภา ขอคืน‘เงินเดือน สส.’ตั้งแต่รับตำแหน่งและจะไม่รับเงินเดือนอีกต่อไป ตั้งใจให้เป็นตัวอย่างของ‘สส.’ที่ชอบลาประชุม แต่ต่อไปจากนี้จะไปสภาฯมากขึ้น

    1 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแนวหน้าระบุว่าเมื่อ ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมด้วยนายภัครธรณ์ เทียนไชย และ น.ส.กาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค แถลงข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)

    นอกจากนี้ยังส่งได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ ขอคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ สส.ทั้งหมดที่ได้รับ ตั้งแต่เป็นสมาชิกภาพจนถึงวันที่ 30 ก.ย.67 โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งจำนวนเงินทั้งหมดให้ทราบโดยเร็วเพื่อนำส่งคืนให้ครบถ้วน

    “พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ สส.ที่มีภารกิจมาก และอาจต้องลากิจกับสภาฯ บ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่าภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง สส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาฯ ให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้ว เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก” นายไพบูลย์ กล่าว

    ด้าน ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สภาฯว่า พล.อ.ประวิตร ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2 ฉบับ แจ้งว่าจะไม่ขอรับเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งในการทำหน้าที่สส. นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและอีกฉบับหนึ่งแจ้งว่า ในส่วนของเงินเดือนที่รับไปแล้ว นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งสส. จะขอคืนกลับมาให้ทั้งหมด ซึ่งหลังจากได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    ที่มา : https://www.naewna.com/politic/832653

    #Thaitimes
    พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำหนังสือถึงสภา ขอคืน‘เงินเดือน สส.’ตั้งแต่รับตำแหน่งและจะไม่รับเงินเดือนอีกต่อไป ตั้งใจให้เป็นตัวอย่างของ‘สส.’ที่ชอบลาประชุม แต่ต่อไปจากนี้จะไปสภาฯมากขึ้น 1 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแนวหน้าระบุว่าเมื่อ ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมด้วยนายภัครธรณ์ เทียนไชย และ น.ส.กาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค แถลงข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร. มีความประสงค์ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นอกจากนี้ยังส่งได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ ขอคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ สส.ทั้งหมดที่ได้รับ ตั้งแต่เป็นสมาชิกภาพจนถึงวันที่ 30 ก.ย.67 โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งจำนวนเงินทั้งหมดให้ทราบโดยเร็วเพื่อนำส่งคืนให้ครบถ้วน “พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ สส.ที่มีภารกิจมาก และอาจต้องลากิจกับสภาฯ บ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่าภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง สส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาฯ ให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นหนังสือลาไว้แล้ว เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก” นายไพบูลย์ กล่าว ด้าน ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สภาฯว่า พล.อ.ประวิตร ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2 ฉบับ แจ้งว่าจะไม่ขอรับเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งในการทำหน้าที่สส. นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและอีกฉบับหนึ่งแจ้งว่า ในส่วนของเงินเดือนที่รับไปแล้ว นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งสส. จะขอคืนกลับมาให้ทั้งหมด ซึ่งหลังจากได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ที่มา : https://www.naewna.com/politic/832653 #Thaitimes
    Like
    Love
    9
    0 Comments 0 Shares 518 Views 0 Reviews
  • ยิวคือตัวปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้:

    ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมนั่งทำงานต่างๆ อยู่ พักสายตาผมก็อ่านข่าว มิฉะนั้นก็อ่านหนังสือ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นอย่างนี้ทุกวัน

    มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้อ่าน ผมมีก็แล้วกันคือ Jews are the Problem อธิบายว่ายิวคือต้นตอปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้ ยิวคือปัญหาด้านความมั่นคงจากนอกประเทศอย่างแท้จริง ถ้าไม่ศึกษาและหาทางป้องกันตัวจากการแทรกซึมของนโยบายยิว ประเทศนั้นๆ ก็จะตกเป็นเหยื่อการจัดระเบียบโลกไป

    อยากแนะนำให้ส่วนงานหน่วยความมั่นคง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สถาบันดีทีอาร์ไอและวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนี้ ยังมีองค์ความรู้ภัยความมั่นคงจากยิวไซออนิสต์กันน้อยมาก จะว่าอ่อนหัดก็ว่าได้ สังเกตการรับมือภัยจากอุดมการณ์ยิวไซออนิสต์ที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยของรัฐบาลแล้ว สี่องค์กรที่ว่าแม้จะเอาองค์ความรู้ที่มีอยู่มารวมกันก็ยังไม่เป็นสัปปะรดกันเลย

    หาอ่านกันเสียครับ

    Description:
    The most honest assessment of what’s going wrong on planet Earth is a reality we all must face to survive the 21st century. When I say “we” I mean people of all races. As someone rooted in African Nationalist thinking, I would never have imagined sharing a world view with White people, Asians, Arabs, and Hispanics.
    With the emergence of mRNA technology and the Jewish overthrow of the American Republic, the age-old desire of Jews to conquer, exterminate, and enslave the people of the planet is actually at the doorstep of completion. This reality puts Black, White, Brown, and Yellow in the same predicament.
    This book provides the narrow pathway for all races to escape this Jewish manufactured dystopian global genocide.


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ยิวคือตัวปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้: ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมนั่งทำงานต่างๆ อยู่ พักสายตาผมก็อ่านข่าว มิฉะนั้นก็อ่านหนังสือ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นอย่างนี้ทุกวัน มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้อ่าน ผมมีก็แล้วกันคือ Jews are the Problem อธิบายว่ายิวคือต้นตอปัญหาใหญ่ๆ ของโลกใบนี้ในขณะนี้ ยิวคือปัญหาด้านความมั่นคงจากนอกประเทศอย่างแท้จริง ถ้าไม่ศึกษาและหาทางป้องกันตัวจากการแทรกซึมของนโยบายยิว ประเทศนั้นๆ ก็จะตกเป็นเหยื่อการจัดระเบียบโลกไป อยากแนะนำให้ส่วนงานหน่วยความมั่นคง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สถาบันดีทีอาร์ไอและวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนี้ ยังมีองค์ความรู้ภัยความมั่นคงจากยิวไซออนิสต์กันน้อยมาก จะว่าอ่อนหัดก็ว่าได้ สังเกตการรับมือภัยจากอุดมการณ์ยิวไซออนิสต์ที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยของรัฐบาลแล้ว สี่องค์กรที่ว่าแม้จะเอาองค์ความรู้ที่มีอยู่มารวมกันก็ยังไม่เป็นสัปปะรดกันเลย หาอ่านกันเสียครับ Description: The most honest assessment of what’s going wrong on planet Earth is a reality we all must face to survive the 21st century. When I say “we” I mean people of all races. As someone rooted in African Nationalist thinking, I would never have imagined sharing a world view with White people, Asians, Arabs, and Hispanics. With the emergence of mRNA technology and the Jewish overthrow of the American Republic, the age-old desire of Jews to conquer, exterminate, and enslave the people of the planet is actually at the doorstep of completion. This reality puts Black, White, Brown, and Yellow in the same predicament. This book provides the narrow pathway for all races to escape this Jewish manufactured dystopian global genocide. ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • เป็นร้านส้มตำเก่าแก่ เปิดมานาน แต่เราเพิ่งมีโอกาสได้มาทาน เดินทางโดย MRT ลงสถานีลุมพินี แล้วเดินต่อมาประมาณ 800 เมตร เรามากันหลายคนสั่งไก่ทอด ส้มตำไทย น้ำตกหมู คอหมูย่าง และเมี่ยงปลาทับทิม ช่วงเที่ยงคนเยอะมากแต่รออาหารไม่นาน พนักงานบริการดี เราประทับใจไก่ทอดที่สุด หนังกรอบ เนื้อนุ่มฉ่ำ ไม่รู้ทำได้ยังไง กระเทียมเจียวโรยมาแบบไม่กัก น้ำจิ้มมีให้สองแบบคือน้ำจิ้มไก่หวานๆกับน้ำจิ้มแจ่ว อร่อยคนละแบบ
    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    เป็นร้านส้มตำเก่าแก่ เปิดมานาน แต่เราเพิ่งมีโอกาสได้มาทาน เดินทางโดย MRT ลงสถานีลุมพินี แล้วเดินต่อมาประมาณ 800 เมตร เรามากันหลายคนสั่งไก่ทอด ส้มตำไทย น้ำตกหมู คอหมูย่าง และเมี่ยงปลาทับทิม ช่วงเที่ยงคนเยอะมากแต่รออาหารไม่นาน พนักงานบริการดี เราประทับใจไก่ทอดที่สุด หนังกรอบ เนื้อนุ่มฉ่ำ ไม่รู้ทำได้ยังไง กระเทียมเจียวโรยมาแบบไม่กัก น้ำจิ้มมีให้สองแบบคือน้ำจิ้มไก่หวานๆกับน้ำจิ้มแจ่ว อร่อยคนละแบบ #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Like
    Love
    11
    0 Comments 0 Shares 461 Views 0 Reviews
  • แก้วไก่กรอบ ร้านอาหารอีสานยอดฮิตจากลาดกระบัง มาเปิดสาขาที่ True Digital Park จัดเต็มความโมเดิร์น แต่ยังคงความแซ่บจี๊ดจ๊าดถึงใจ ทางร้านโดดเด่นเรื่องการย่าง ห้ามพลาดเมนูไฮไลต์ ไก่ย่างหนังกรอบ ที่ใช้เทคนิคพิเศษทำให้หนังบางกรอบ เมนูยำ เมนูส้มตำ แซ่บนัวถึงเครื่องทุกเมนู อย่างเมนู ตำทะเลรวม จัดเต็มเครื่องทะเล กินกับส้มตำรสจัดจ้าน ตัวร้านตกแต่งโทนสีแดงสไตล์โมเดิร์นบอกเลยว่าสวยมาก ถูกใจสายถ่ายรูปสุด ๆ

    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    แก้วไก่กรอบ ร้านอาหารอีสานยอดฮิตจากลาดกระบัง มาเปิดสาขาที่ True Digital Park จัดเต็มความโมเดิร์น แต่ยังคงความแซ่บจี๊ดจ๊าดถึงใจ ทางร้านโดดเด่นเรื่องการย่าง ห้ามพลาดเมนูไฮไลต์ ไก่ย่างหนังกรอบ ที่ใช้เทคนิคพิเศษทำให้หนังบางกรอบ เมนูยำ เมนูส้มตำ แซ่บนัวถึงเครื่องทุกเมนู อย่างเมนู ตำทะเลรวม จัดเต็มเครื่องทะเล กินกับส้มตำรสจัดจ้าน ตัวร้านตกแต่งโทนสีแดงสไตล์โมเดิร์นบอกเลยว่าสวยมาก ถูกใจสายถ่ายรูปสุด ๆ #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Like
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • *ถูกสงสาร ใครๆ ก็ทำได้
    แต่ถูกอิจฉา คุณต้องเก่งหน่อย*


    จากหนังสือ |สำเร็จเร็วกว่าที่คิด

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสำเร็จ
    *ถูกสงสาร ใครๆ ก็ทำได้ แต่ถูกอิจฉา คุณต้องเก่งหน่อย* จากหนังสือ |สำเร็จเร็วกว่าที่คิด #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #ความสำเร็จ
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
  • จำไว้แค่นี้ว่า
    ถ้ารู้สึกเหนื่อย
    สิ่งแรกที่ต้องทำ
    ก็คือ "พักผ่อน"


    จากหนังสือ |ช่างมันเถอะอีกไม่กี่ปีเราก็เป็นเถ้าธุลีกันหมดแล้ว

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #การพักผ่อน
    จำไว้แค่นี้ว่า ถ้ารู้สึกเหนื่อย สิ่งแรกที่ต้องทำ ก็คือ "พักผ่อน" จากหนังสือ |ช่างมันเถอะอีกไม่กี่ปีเราก็เป็นเถ้าธุลีกันหมดแล้ว #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes #การพักผ่อน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 407 Views 0 Reviews
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠

    😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎

    นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

    ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย

    แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ

    ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่

    เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม

    หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า:

    “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล”

    มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ

    สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา

    หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า:

    “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้”

    ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน

    ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน

    เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้

    ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี!

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

    😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎

    นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว

    ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา

    ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน

    ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก

    เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย

    ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก

    ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น

    นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม

    ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน

    ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้

    นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม

    ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี

    นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ

    ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น

    หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด

    ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม

    ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด

    เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก?

    แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

    ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ

    แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง

    เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง

    สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป

    ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น

    ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠 😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า: “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล” มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า: “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้” ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้ ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี! นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ 😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎 นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก? แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
More Results