• สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ
    .
    รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น
    .
    วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน
    .
    - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย
    .
    - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น
    .
    - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย
    .
    - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ
    .
    - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ
    .
    - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน
    .
    - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร
    .
    - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ
    .
    - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้
    .
    - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง
    ..............
    Sondhi X
    สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ . รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น . วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้ . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน . - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย . - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น . - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย . - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ . - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ . - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน . - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร . - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ . - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้ . - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    7
    2 Comments 0 Shares 601 Views 0 Reviews
  • แพ้แล้วแพ้อีกแพ้มาตลอดทางเลย ก็คือบิ๊กโจ๊ก สุรเชชษฐ์ หักพาล ล่าสุดแพ้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดในการยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการอุทธรณ์คดีเพื่อจะได้กลับมาเป็นตํารวจตามเดิม มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด มีมติเมื่อวันที่13 พฤศจิกายน 2567คะแนนออกมาฝ่ายไม่รับคําร้องของบิ๊กโจ๊กชนะท่วมท้นฝ่ายเข้าข้างโจ๊กที่มี5 มือ อันเป็นที่มาตัวเลข 200 กิโลกรัม
    สื่อตีข่าวบิ๊กโจ๊กมีลุ้นคัมแบ็คเป็นรอง ผบตร ตามเดิมโดยระบุว่าคณะอนุกรรมการของศาลปกครองสูงสุดมีมติ 5 ต่อ0 ชี้ว่า คําสั่งให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการเป็นคําสั่งที่มิชอบ บางสื่ออย่างหมาแก่รายงานข่าวนี้แบบปกปิดอาการกระหยิ่มไว้ไม่มิด ประสาคนรักกันชอบกันกับบิ๊กโจ๊ก หมาแก่บอกตอนนี้ผีโจ๊กเฮี้ยนทําเอาตํารวจหนาวขนหัวลุกกันทั้งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
    อย่างไรก็ตามพอเริ่มเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดผลคะแนนก็ออกมาอย่างที่เห็นบิ๊กโจ๊กแพ้ขาดลอยอีกครั้ง ยังดีไม่ถึงกับกินไข่ศูนย์แต้มแบบการพิจารณาในชั้น กตรและคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตํารวจ ท ถามว่าบิ๊กโจ๊กหมดหวังที่จะได้กลับมาเป็นตํารวจแล้วหรือไม่ จริงๆก็ยังมีหวังอยู่เพราะศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้ชี้ขาดว่าคําสั่งให้ออกชอบหรือไม่ชอบ
    จากเดิมที่บิ๊กโจ๊กรู้สึกอุ่นใจใน ปปช ที่ทําทุกวิถีทางให้คดีหลุดมือจากตํารวจมาอยู่ในมือ ปปช แต่ความซวยมาเยือนเมื่อ ปปช มีการผลัดใบแล้วจากการเกษียณอายุราชการของพลตํารวจเอก วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานปปชคนเดิม ซึ่งพลตํารวจเอกวัชรพลและบิ๊กโจ๊กต่างก็เป็นคนของลุงป้อม ในยุคเรืองอํานาจของสามป. มีข่าวว่าปปช.ยุคใหม่ต้องการเรียกเกียรติและศักดิ์ศรีกลับคืนองค์กร หลังจากถูกประชาชนก่นด่าหูอื้อมาหลายปีนับจากคดีนาฬิกายืมเพื่อน ปปช.อยากเจริญลอยตามสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในยุคบิ๊กต่า ซึ่งกําลังทํางานเข้าตาประชาชนจากการทําคดีใหญ่รัวๆ ด้วยความเที่ยงธรรมฉับไวดูทรงแล้วคดีของบิ๊กโจ๊กมีโอกาสที่จะได้เป็นคดีตัวอย่างที่ปปช.จะใช้กอบกู้ศรัทธาขณะที่การพิจารณาความผิดวินัยร้ายแรงซึ่งหยุดชะงักไปชั่วคราวจากการเกษียณอายุราชการของประธานสอบสวน ตอนนี้ บิ๊กต่า กําลังแบ่งงานให้กับรอง ผบตร 4 คนหากลงตัวเมื่อไหร่ก็จะมีการตั้งประธานสอบสวนวินัยคนใหม่การสอบสวนวินัยจะเป็นอีกดาบที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติจะใช้เชือดบิ๊กโจ๊กเพราะคราวนี้จะไม่ใช่แค่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนแต่อาจถึงขั้นไล่ออกถาวรเลยทีเดียว ต้องบอกว่าฟ้ามีตา พอบิ๊กโจ๊กหมดวาสนาก็ดับเลยทันที แบบไม่มีอะไรกั้น
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    แพ้แล้วแพ้อีกแพ้มาตลอดทางเลย ก็คือบิ๊กโจ๊ก สุรเชชษฐ์ หักพาล ล่าสุดแพ้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดในการยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการอุทธรณ์คดีเพื่อจะได้กลับมาเป็นตํารวจตามเดิม มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด มีมติเมื่อวันที่13 พฤศจิกายน 2567คะแนนออกมาฝ่ายไม่รับคําร้องของบิ๊กโจ๊กชนะท่วมท้นฝ่ายเข้าข้างโจ๊กที่มี5 มือ อันเป็นที่มาตัวเลข 200 กิโลกรัม สื่อตีข่าวบิ๊กโจ๊กมีลุ้นคัมแบ็คเป็นรอง ผบตร ตามเดิมโดยระบุว่าคณะอนุกรรมการของศาลปกครองสูงสุดมีมติ 5 ต่อ0 ชี้ว่า คําสั่งให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการเป็นคําสั่งที่มิชอบ บางสื่ออย่างหมาแก่รายงานข่าวนี้แบบปกปิดอาการกระหยิ่มไว้ไม่มิด ประสาคนรักกันชอบกันกับบิ๊กโจ๊ก หมาแก่บอกตอนนี้ผีโจ๊กเฮี้ยนทําเอาตํารวจหนาวขนหัวลุกกันทั้งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อย่างไรก็ตามพอเริ่มเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดผลคะแนนก็ออกมาอย่างที่เห็นบิ๊กโจ๊กแพ้ขาดลอยอีกครั้ง ยังดีไม่ถึงกับกินไข่ศูนย์แต้มแบบการพิจารณาในชั้น กตรและคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตํารวจ ท ถามว่าบิ๊กโจ๊กหมดหวังที่จะได้กลับมาเป็นตํารวจแล้วหรือไม่ จริงๆก็ยังมีหวังอยู่เพราะศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้ชี้ขาดว่าคําสั่งให้ออกชอบหรือไม่ชอบ จากเดิมที่บิ๊กโจ๊กรู้สึกอุ่นใจใน ปปช ที่ทําทุกวิถีทางให้คดีหลุดมือจากตํารวจมาอยู่ในมือ ปปช แต่ความซวยมาเยือนเมื่อ ปปช มีการผลัดใบแล้วจากการเกษียณอายุราชการของพลตํารวจเอก วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานปปชคนเดิม ซึ่งพลตํารวจเอกวัชรพลและบิ๊กโจ๊กต่างก็เป็นคนของลุงป้อม ในยุคเรืองอํานาจของสามป. มีข่าวว่าปปช.ยุคใหม่ต้องการเรียกเกียรติและศักดิ์ศรีกลับคืนองค์กร หลังจากถูกประชาชนก่นด่าหูอื้อมาหลายปีนับจากคดีนาฬิกายืมเพื่อน ปปช.อยากเจริญลอยตามสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในยุคบิ๊กต่า ซึ่งกําลังทํางานเข้าตาประชาชนจากการทําคดีใหญ่รัวๆ ด้วยความเที่ยงธรรมฉับไวดูทรงแล้วคดีของบิ๊กโจ๊กมีโอกาสที่จะได้เป็นคดีตัวอย่างที่ปปช.จะใช้กอบกู้ศรัทธาขณะที่การพิจารณาความผิดวินัยร้ายแรงซึ่งหยุดชะงักไปชั่วคราวจากการเกษียณอายุราชการของประธานสอบสวน ตอนนี้ บิ๊กต่า กําลังแบ่งงานให้กับรอง ผบตร 4 คนหากลงตัวเมื่อไหร่ก็จะมีการตั้งประธานสอบสวนวินัยคนใหม่การสอบสวนวินัยจะเป็นอีกดาบที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติจะใช้เชือดบิ๊กโจ๊กเพราะคราวนี้จะไม่ใช่แค่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนแต่อาจถึงขั้นไล่ออกถาวรเลยทีเดียว ต้องบอกว่าฟ้ามีตา พอบิ๊กโจ๊กหมดวาสนาก็ดับเลยทันที แบบไม่มีอะไรกั้น ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์.เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง.วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย .จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้.ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย.ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล.แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์.เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง.วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย .จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้.ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย.ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล.แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • เมื่อ ป.ป.ช ฟ้าเปลี่ยนสี
    .
    ไม่เกินธันวาคมนี้ ก็จะมีเลือกตั้ง กรรมการ ป.ป.ช. ใหม่ ขณะนี้ ป.ป.ช. มีความจำเป็นต้องการคนเข้ามาเป็นกรรมการอย่างน้อย 7 คน ใน 10 คน ทำไมต้องเยอะขนาดนั้น ? เหตุผลเพราะว่าการพิจารณาข้าราชการตำแหน่งระดับสูง ระดับพลตำรวจเอกนั้น ต้องใช้กรรมการ ป.ป.ช. ประมาณ 7 คน แล้วคนที่จะเข้ามาใหม่ก็จะได้รับการเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ในเดือนธันวาคมนี้ 2 คน มีอยู่คนหนึ่ง คือท่านประภาศ คงเอียด อดีตข้าราชการกระทรวงการคลัง และท่านประภาศนั้นกำลังรอโปรดเกล้าฯ อยู่
    .
    ป.ป.ช. นั้น ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว คนที่เข้ามาใหม่ คือท่านภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา และกรรมการ ป.ป.ช. ที่เข้ามาใหม่ทุกคนรับรู้ถึงความเน่าเฟะของ ป.ป.ช. ในอดีต ยุคที่ พล.ต.อ.วัชรพล เป็นประธาน ป.ป.ช. คุณนิวัติไชย เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช.
    .
    แล้วท่านผู้ชมไม่คิดหรือว่าคนที่เข้ามาใหม่ ท่านประธาน ป.ป.ช. แล้วคนที่เพิ่งได้รับเลือกแล้วเข้ามา เขาไม่ต้องการจะล้างภาพพจน์เลวๆ ของ ป.ป.ช. ออกหรือ? เขาต้องการเช็ด ทำความสะอาด ป.ป.ช.
    .
    และท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านเป็นคนลูกหม้อของ ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนไหนส่วนไหน ที่เป็นคณะอนุกรรมการคอยพิจารณาเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แล้วก็เก็บเรื่องเอาไว้ ช่วยเหลือเอาไว้ ผมถามว่าท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านจะไม่รู้หรือว่าเป็นใครบ้าง ท่านรู้ ท่านรู้หมด ผมถึงกล้าพูดว่านี่คือฟ้าเปลี่ยนสี
    .
    เมื่อฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่เกิน 2 ปี (2568-2569) เราจะเริ่มเห็นคดีที่สุรเชชษฐ์ หักพาล จะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่กระทำความผิดขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็คือการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จากการให้เช่าพระจากเฮียอั๊ง โดยอ้างว่าเฮียอั๊งให้สุรเชชษฐ์ ไปหาท่านผู้ว่าฯ ที่เกษียณแล้ว อายุ 90 ปี ท่านไปแจ้งความที่ สน.ตลิ่งชัน ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องเลย ท่านไม่เคยรู้จักสุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วเฮียอั๊ง ก็ไม่ได้สนิท มาขอเช่าพระองค์หนึ่งมูลค่าหมื่นกว่าบาท แล้ว ป.ป.ช. ก็เข้าไปสอบท่านแล้วด้วย ท่านก็ให้การเป็นไปตามที่ผมพูด ตอนนี้รออย่างเดียว
    .
    คุณสุรเชชษฐ์ ครับ 2568-2569 ไม่เกินสองปีนี้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เพราะว่าถ้ามีการเอาเรื่องแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จขึ้นมา เพราะว่าได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ใน ป.ป.ช. ปิดบังข้อเท็จจริงและไม่ยอมพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วมีความผิด เขาชี้มูลความผิดเลย เมื่อเขาชี้มูลความผิดปัง เผอิญท่านไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะท่านถูกให้ออก ไม่เป็นไร แต่สมมุติมองในมุมกลับ ถ้าท่านยังเป็นรอง ผบ.ตร. อยู่ ถ้าถูกชี้มูลความผิด ต้องให้ออกจากราชการเช่นกัน แล้วกระบวนการก็คือว่า เมื่อชี้มูลความผิดแล้ว ก็ส่งไปอัยการ อัยการพิจารณาแล้ว มีข้อมูลข้อเท็จจริง หลักฐานที่ฟ้องได้ ก็จะฟ้อง ถ้าอัยการถูกวิ่งเต้น จะโดยใครก็ตาม ไม่ยอมฟ้อง เรื่องก็กลับไปที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช. ก็จำเป็นต้องฟ้องเอง
    .
    นี่คือภาพรวมทั้งหมดที่ผมตีแผ่ให้ดู ว่าชีวิตคุณจากนี้ไป ไม่ใช่สนุกสนาน คุณฟ้องผม 4-5 คดี เดี๋ยววันหน้าวันหลังผมจะเอาคดีที่คุณฟ้องผมมาว่ามีอะไรบ้าง แล้วคุณจงใจไปฟ้องผมที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณรู้จักกับผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่นหรือเปล่า ไม่เป็นไรครับ หนังเรื่องนี้ยังต้องดูกันอีกยาวนาน แต่อันหนึ่งที่แน่นอน ผมไม่ยอมแพ้คุณหรอก
    เมื่อ ป.ป.ช ฟ้าเปลี่ยนสี . ไม่เกินธันวาคมนี้ ก็จะมีเลือกตั้ง กรรมการ ป.ป.ช. ใหม่ ขณะนี้ ป.ป.ช. มีความจำเป็นต้องการคนเข้ามาเป็นกรรมการอย่างน้อย 7 คน ใน 10 คน ทำไมต้องเยอะขนาดนั้น ? เหตุผลเพราะว่าการพิจารณาข้าราชการตำแหน่งระดับสูง ระดับพลตำรวจเอกนั้น ต้องใช้กรรมการ ป.ป.ช. ประมาณ 7 คน แล้วคนที่จะเข้ามาใหม่ก็จะได้รับการเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ในเดือนธันวาคมนี้ 2 คน มีอยู่คนหนึ่ง คือท่านประภาศ คงเอียด อดีตข้าราชการกระทรวงการคลัง และท่านประภาศนั้นกำลังรอโปรดเกล้าฯ อยู่ . ป.ป.ช. นั้น ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว คนที่เข้ามาใหม่ คือท่านภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา และกรรมการ ป.ป.ช. ที่เข้ามาใหม่ทุกคนรับรู้ถึงความเน่าเฟะของ ป.ป.ช. ในอดีต ยุคที่ พล.ต.อ.วัชรพล เป็นประธาน ป.ป.ช. คุณนิวัติไชย เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. . แล้วท่านผู้ชมไม่คิดหรือว่าคนที่เข้ามาใหม่ ท่านประธาน ป.ป.ช. แล้วคนที่เพิ่งได้รับเลือกแล้วเข้ามา เขาไม่ต้องการจะล้างภาพพจน์เลวๆ ของ ป.ป.ช. ออกหรือ? เขาต้องการเช็ด ทำความสะอาด ป.ป.ช. . และท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านเป็นคนลูกหม้อของ ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนไหนส่วนไหน ที่เป็นคณะอนุกรรมการคอยพิจารณาเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แล้วก็เก็บเรื่องเอาไว้ ช่วยเหลือเอาไว้ ผมถามว่าท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คนใหม่ ท่านจะไม่รู้หรือว่าเป็นใครบ้าง ท่านรู้ ท่านรู้หมด ผมถึงกล้าพูดว่านี่คือฟ้าเปลี่ยนสี . เมื่อฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่เกิน 2 ปี (2568-2569) เราจะเริ่มเห็นคดีที่สุรเชชษฐ์ หักพาล จะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่กระทำความผิดขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็คือการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จากการให้เช่าพระจากเฮียอั๊ง โดยอ้างว่าเฮียอั๊งให้สุรเชชษฐ์ ไปหาท่านผู้ว่าฯ ที่เกษียณแล้ว อายุ 90 ปี ท่านไปแจ้งความที่ สน.ตลิ่งชัน ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องเลย ท่านไม่เคยรู้จักสุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วเฮียอั๊ง ก็ไม่ได้สนิท มาขอเช่าพระองค์หนึ่งมูลค่าหมื่นกว่าบาท แล้ว ป.ป.ช. ก็เข้าไปสอบท่านแล้วด้วย ท่านก็ให้การเป็นไปตามที่ผมพูด ตอนนี้รออย่างเดียว . คุณสุรเชชษฐ์ ครับ 2568-2569 ไม่เกินสองปีนี้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เพราะว่าถ้ามีการเอาเรื่องแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จขึ้นมา เพราะว่าได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ใน ป.ป.ช. ปิดบังข้อเท็จจริงและไม่ยอมพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วมีความผิด เขาชี้มูลความผิดเลย เมื่อเขาชี้มูลความผิดปัง เผอิญท่านไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะท่านถูกให้ออก ไม่เป็นไร แต่สมมุติมองในมุมกลับ ถ้าท่านยังเป็นรอง ผบ.ตร. อยู่ ถ้าถูกชี้มูลความผิด ต้องให้ออกจากราชการเช่นกัน แล้วกระบวนการก็คือว่า เมื่อชี้มูลความผิดแล้ว ก็ส่งไปอัยการ อัยการพิจารณาแล้ว มีข้อมูลข้อเท็จจริง หลักฐานที่ฟ้องได้ ก็จะฟ้อง ถ้าอัยการถูกวิ่งเต้น จะโดยใครก็ตาม ไม่ยอมฟ้อง เรื่องก็กลับไปที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช. ก็จำเป็นต้องฟ้องเอง . นี่คือภาพรวมทั้งหมดที่ผมตีแผ่ให้ดู ว่าชีวิตคุณจากนี้ไป ไม่ใช่สนุกสนาน คุณฟ้องผม 4-5 คดี เดี๋ยววันหน้าวันหลังผมจะเอาคดีที่คุณฟ้องผมมาว่ามีอะไรบ้าง แล้วคุณจงใจไปฟ้องผมที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณรู้จักกับผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่นหรือเปล่า ไม่เป็นไรครับ หนังเรื่องนี้ยังต้องดูกันอีกยาวนาน แต่อันหนึ่งที่แน่นอน ผมไม่ยอมแพ้คุณหรอก
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 583 Views 0 Reviews
  • เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์
    .
    เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
    .
    วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย
    .
    จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้
    .
    ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย
    .
    ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล
    .
    แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    เส้นทาง‘สุรเชชษฐ์’หลังศาลยกคำร้องอุทธรณ์ . เผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลย ทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้ว เข้าเลย ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงของเจ้าของคดีอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง . วัตถุประสงค์ของสุรเชชษฐ์ หักพาล ที่ต้องการกลับไป มีอยู่ข้อเดียว ต้องการไปใช้สิทธิ์ของตัวเองในฐานะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาวุโสอันดับหนึ่งที่เขาภูมิใจมาก เขาน่าจะรู้ดีว่าในช่วง 2 ปีจากนี้ไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้น อย่างไรก็ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ โดยที่ไม่มีใครสามารถจะโค่นล้มได้ เพราะถูกต้องตามกฎหมาย . จะเริ่มมีปัญหาก็ตอนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ จะเกษียณอายุ แล้วต้องเสนอรายชื่อคนที่จะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนต่อไป ซึ่งผมคิดว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มองประเด็นนี้มากกว่า เพราะความเป็นคนช่างฟ้อง และภูมิใจมากกับการเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ เอง ก็ลืมนึกไปว่า ในพระราชบัญญัติตำรวจชุดใหม่นี้ เขาไม่ได้ห้ามให้คณะกรรมการสามารถคัดเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่อาวุโสอันดับหนึ่งได้ เปิดช่องเอาไว้ . ในกรณีนี้ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ชัดเจนว่า นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย . ณ วันนี้ สุรเชชษฐ์ หักพาล ไม่ได้กลับเข้าตำรวจ และไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อน ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชชษฐ์ มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีกดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชชษฐ์ หักพาล และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า หน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล . แล้วพอคนใหม่ขึ้นมาอีก หลังจากที่สุรเชชษฐ์ ฟ้องแล้ว ผมเชื่อว่าศาลปกครองเมื่อดูข้อมูล ดู พ.ร.บ.แล้ว ดูคำว่า "เหมาะสม" ว่าอาวุโสอันดับหนึ่งไม่เหมาะสม เพราะโดนหมายจับ โดนคดีอาญา โดนร้องไปที่ ป.ป.ช. ตั้ง 3-4 คดี เขาก็บอกว่าคนนี้ไม่เหมาะสม ให้ไปที่คนที่สอง ถ้าคนที่สองขึ้นมา เขาก็อยู่อีก 2 ปี ก็เช่นกัน สองปีนี้ตำรวจสายสุรเชชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี สรุปแล้วแช่แข็งไป 4 ปี นี่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    Like
    5
    1 Comments 0 Shares 565 Views 0 Reviews
  • ปิดตำนานแมว 9 ชีวิต : SondhitalkEP268 VDO
    เบื้องลึก "โจ๊ก สุรเชชษฐ์" อดกลับ ตร. ศาลปกครองสูงสุดตีตกคำร้อง
    #Sondhitalk #สนธิทอล์ค #สนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #sondhiapp #sondhiX #จีน #อเมริกา #ผู้นำเศรษฐกิจโลก
    ปิดตำนานแมว 9 ชีวิต : SondhitalkEP268 VDO เบื้องลึก "โจ๊ก สุรเชชษฐ์" อดกลับ ตร. ศาลปกครองสูงสุดตีตกคำร้อง #Sondhitalk #สนธิทอล์ค #สนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #sondhiapp #sondhiX #จีน #อเมริกา #ผู้นำเศรษฐกิจโลก
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    Sad
    25
    0 Comments 1 Shares 2518 Views 340 1 Reviews
  • Sondhitalk EP 268 : ตั้มมันร้าย สุมหัวโกงอีก 39 ล้าน - 151167 (Full)

    - “ตั้ม-นุ-สา”สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน
    - "โจ๊ก”กินแห้ว ส่ออดกลับ ตร.
    - สารเปิดผนึก“สีจิ้นผิง” ถึง “ทรัมป์”
    - “อเมริกา” พ่าย “สงครามเทคโนโลยี”

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitime #ทนายตั้ม #จุดจบทนายตั้ม #โกงเป็นปกติธุระ #โจ๊กสุรเชชษฐ์ #แก๊ง999 #สีจิ้นผิง #ทรัมป์ #สงครามเทคโนโลยี
    Sondhitalk EP 268 : ตั้มมันร้าย สุมหัวโกงอีก 39 ล้าน - 151167 (Full) - “ตั้ม-นุ-สา”สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน - "โจ๊ก”กินแห้ว ส่ออดกลับ ตร. - สารเปิดผนึก“สีจิ้นผิง” ถึง “ทรัมป์” - “อเมริกา” พ่าย “สงครามเทคโนโลยี” #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitime #ทนายตั้ม #จุดจบทนายตั้ม #โกงเป็นปกติธุระ #โจ๊กสุรเชชษฐ์ #แก๊ง999 #สีจิ้นผิง #ทรัมป์ #สงครามเทคโนโลยี
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    57
    3 Comments 0 Shares 2815 Views 547 5 Reviews
  • ฟ้ามีตา พอบิ๊กโจ๊กหมดวาสนา ม้าใช้คู่ใจอย่างทนายตั้ม ที่รับงานก่อกวนป่วนวงการตำรวจมาตลอด ก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สุรเชชษฐ์หักพาล #ยกคำร้องบิ๊กโจ๊ก #ทนายต้ม #หมาแก่ #ฟ้ามีตา
    ฟ้ามีตา พอบิ๊กโจ๊กหมดวาสนา ม้าใช้คู่ใจอย่างทนายตั้ม ที่รับงานก่อกวนป่วนวงการตำรวจมาตลอด ก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #สุรเชชษฐ์หักพาล #ยกคำร้องบิ๊กโจ๊ก #ทนายต้ม #หมาแก่ #ฟ้ามีตา
    Like
    Haha
    Love
    14
    0 Comments 0 Shares 1214 Views 156 0 Reviews
  • อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง 4 ผู้ต้องหาผิดสมคบฟอกเงินคดีพัวพันเว็บพนัน เครือข่าย ‘มินนี่’ ตามความเห็นแย้ง ผบ.ตร. ส่วนคดีที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ และตัว "มินนี่" ตกเป็นผู้ต้องหา สำนวนคดียังอยู่ ป.ป.ช.ไม่คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ย.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้ส่งสำนวนสอบสวนคดีที่ 724/2566 คดีระหว่าง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ กล่าวหา นายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ กับพวกรวม 61 คน ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน มายังสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เพื่อพิจารณาดำเนินการโดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 - 7, 15 - 19, 27, 31 – 32, 38 – 39, 44, 49 – 51, 53, 55 และที่ 59 รวม 21 คน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้ตัวมา รวม 20 คน คือ ผู้ต้องหาที่ 28, 30, 33 – 36, 40 – 43, 45 – 48, 52, 54, 56 – 58, ที่ 60 ตามข้อกล่าวหาและมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 –11 รวม 4 คน (ผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 หลบหนี) ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 8 - 11 และส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 11 และชี้ขาดควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 9 และผู้ต้องหาที่ 10 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 9 และ 10 มาดำเนินคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และที่ 61 รวม 14 คน สำนวนอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้ต้องหาที่ 29 และ 37 อีก 2 คน เป็นเยาวชน ส่วนผลความคืบหน้าทางคดีเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ ผู้ต้องหาที่ 1 - 3, ที่ 12 - 14, ที่ 20 - 26 และ ที่ 61 รวม 14 คน ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เเละ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ หรือ "มินนี่" รวมอยู่ด้วยนั้นเป็นกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่ง ป.ป.ช.ขอสำนวนคืนจากอัยการไป ขณะนี้ยังไม่ปรากฎความคืบหน้า
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดถกเครียด ปมคดี ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอคืนตำแหน่งหลังกระแสข่าวองค์คณะฯ ชุดเล็กมีมติเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    วันนี้( 13 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.30น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยมีรายงานว่าจะมีการนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาเข้สพิจารณา

    ซึ่งปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามีผู้สื่อข่าวมาติดตามผลการประชุมจำนวนมาก

    โดยเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดและเป็นการประชุมภายใน มีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม 40-50 คน โดยวาระที่จะพิจารณาในวันนี้มี 4-5 วาระ เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000109260

    #MGROnline #ศาลปกครอง #บิ๊กโจ๊ก #ขอคืนตำแหน่ง
    ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดถกเครียด ปมคดี ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอคืนตำแหน่งหลังกระแสข่าวองค์คณะฯ ชุดเล็กมีมติเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย • วันนี้( 13 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.30น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยมีรายงานว่าจะมีการนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาเข้สพิจารณา • ซึ่งปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามีผู้สื่อข่าวมาติดตามผลการประชุมจำนวนมาก • โดยเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดและเป็นการประชุมภายใน มีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม 40-50 คน โดยวาระที่จะพิจารณาในวันนี้มี 4-5 วาระ เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000109260 • #MGROnline #ศาลปกครอง #บิ๊กโจ๊ก #ขอคืนตำแหน่ง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • "ทนายจุ๊กกรู้" ที่ผมก็ไม่อยากรู้จักด้วย
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่ 4พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายเดชาออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 กับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในรายการ ทนายเดชากล่าวพาดพิงตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีจะจัดการทนายโซเชียลที่เดินสายออกทีวี เนื่องจากได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและสมาชิกทนายความส่วนใหญ่
    .
    นายเดชาอ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาทนายทำผิด ถือเป็นการกระทำเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก และอุปนายก มาจากการเลือกตั้ง สามปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียล จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดการได้
    .
    อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในรายการวันศุกร์ที่แล้วว่าผมจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสภาทนายความชุดปัจจุบันให้ถอดถอนตั๋วทนายหรือใบอนุญาตเป็นทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายและละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายประเด็นด้วยกัน
    .
    แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม
    .
    จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของนายของทนายตั้ม คือ สุรเชชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชชษฐ์ ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้น อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่าเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย
    .
    ทนายเดชาและคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณกับแก๊งทนายหิวแสงนั้น ยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้นคุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย
    .
    ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ

    ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    https://www.facebook.com/share/p/18cR1aRJcH/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    "ทนายจุ๊กกรู้" ที่ผมก็ไม่อยากรู้จักด้วย . เมื่อวันจันทร์ที่ 4พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายเดชาออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 กับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในรายการ ทนายเดชากล่าวพาดพิงตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีจะจัดการทนายโซเชียลที่เดินสายออกทีวี เนื่องจากได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและสมาชิกทนายความส่วนใหญ่ . นายเดชาอ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาทนายทำผิด ถือเป็นการกระทำเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก และอุปนายก มาจากการเลือกตั้ง สามปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียล จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดการได้ . อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในรายการวันศุกร์ที่แล้วว่าผมจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสภาทนายความชุดปัจจุบันให้ถอดถอนตั๋วทนายหรือใบอนุญาตเป็นทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายและละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายประเด็นด้วยกัน . แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม . จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของนายของทนายตั้ม คือ สุรเชชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชชษฐ์ ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้น อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่าเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย . ทนายเดชาและคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณกับแก๊งทนายหิวแสงนั้น ยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้นคุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย . ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://www.facebook.com/share/p/18cR1aRJcH/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    5
    1 Comments 0 Shares 643 Views 0 Reviews
  • "ทนายจุ๊กกรู้" ที่ผมก็ไม่อยากรู้จักด้วย
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่่4พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายเดชาออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 กับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในรายการ "ถกไม่เถียง" ทนายเดชากล่าวพาดพิงตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีจะจัดการทนายโซเชียลที่เดินสายออกทีวี เนื่องจากได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและสมาชิกทนายความส่วนใหญ่
    .
    นายเดชาอ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาทนายทำผิด ถือเป็นการกระทำเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก และอุปนายก มาจากการเลือกตั้ง สามปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียล จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดการได้
    .
    อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในรายการวันศุกร์ที่แล้วว่าผมจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสภาทนายความชุดปัจจุบันให้ถอดถอนตั๋วทนายหรือใบอนุญาตเป็นทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายและละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายประเด็นด้วยกัน
    .
    แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม
    .
    จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของนายของทนายตั้ม คือ สุรเชชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชชษฐ์ ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้น อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่าเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย
    .
    ทนายเดชาและคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณกับแก๊งทนายหิวแสงนั้น ยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้นคุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย
    .
    ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ
    "ทนายจุ๊กกรู้" ที่ผมก็ไม่อยากรู้จักด้วย . เมื่อวันจันทร์ที่่4พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายเดชาออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 กับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในรายการ "ถกไม่เถียง" ทนายเดชากล่าวพาดพิงตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีจะจัดการทนายโซเชียลที่เดินสายออกทีวี เนื่องจากได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและสมาชิกทนายความส่วนใหญ่ . นายเดชาอ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาทนายทำผิด ถือเป็นการกระทำเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก และอุปนายก มาจากการเลือกตั้ง สามปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียล จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดการได้ . อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในรายการวันศุกร์ที่แล้วว่าผมจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสภาทนายความชุดปัจจุบันให้ถอดถอนตั๋วทนายหรือใบอนุญาตเป็นทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายและละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายประเด็นด้วยกัน . แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม . จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของนายของทนายตั้ม คือ สุรเชชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชชษฐ์ ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้น อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่าเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย . ทนายเดชาและคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณกับแก๊งทนายหิวแสงนั้น ยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้นคุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย . ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ
    Like
    13
    1 Comments 0 Shares 650 Views 0 Reviews
  • งานเข้า…ผกก.เด็กโจ๊ก สน.บางซื่อพันคดี39 ล. รับแจ้งเท็จต้มเจ๊อ้อย

    คดีสแกมเมอร์ทิพย์ 39 ล้าน ส่อเค้าจะกลายเป็นคดีที่ใหญ่ เพราะนอกจากจะทำกันเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันหลอกต้มพี่อ้อย ยังโยงไปถึงตำรวจ เด็กโจ๊กอีกด้วย

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #ทนายตั้ม #สนบางซื่อ #ผกกเด็กโจ๊ก#สุรเชชษฐ์หักพาล
    งานเข้า…ผกก.เด็กโจ๊ก สน.บางซื่อพันคดี39 ล. รับแจ้งเท็จต้มเจ๊อ้อย คดีสแกมเมอร์ทิพย์ 39 ล้าน ส่อเค้าจะกลายเป็นคดีที่ใหญ่ เพราะนอกจากจะทำกันเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันหลอกต้มพี่อ้อย ยังโยงไปถึงตำรวจ เด็กโจ๊กอีกด้วย #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #ทนายตั้ม #สนบางซื่อ #ผกกเด็กโจ๊ก#สุรเชชษฐ์หักพาล
    Like
    Haha
    11
    1 Comments 0 Shares 1264 Views 811 1 Reviews
  • 'กมธ.มั่นคง' กุมขมับ หน่วยงานรัฐตีกรรเชียง ไม่ให้ข้อมูลกรณีชั้น 14
    .
    การสืบสาวราวของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นที่พักพิงแทนเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ปรากฎว่าคณะกรรมาธิการฯ ใกล้เคียงกับคำว่าคว้าน้ำเหลวเข้าไปทุกที
    .
    ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่มีหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล หรือแม้แต่บุคคลสำคัญอย่างพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. รวมไปถึง พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯคาดว่าจะมาให้ข้อมูล สุดท้ายคดีพลิก เนื่องจากไม่ได้มาร่วมประชุมแต่อย่างใด
    .
    นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ยอมรับว่า ตลอดการทำหน้าที่ของประธาน กมธ. 53 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการน้อยที่สุด และหน่วยงานราชการไม่อยากจะตอบอะไร ทำให้ความสงสัยของสังคมกรณีชั้น 14 ก็คงจะต้องมีอยู่ต่อไป
    .
    "ความจำเป็นที่จะหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไป ตนเชื่อว่า ศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกฝ่ายต้องมีส่วนช่วยให้กระบวนการยุติธรรมของเราได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" นายรังสิมันต์ ระบุ
    .
    ขณะที่ การประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีเพียงการมาให้ข้อมูลของอดีตผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจอย่าง พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แต่คณะกรรมาธิการฯก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก เนื่องจากอดีตนายตำรวจรายนี้ แจ้งเพียงว่า ช่วงที่ทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะกำลังทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และพักร้อนในช่วงนั้น เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้รักษา เราก็รักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยและความเห็นของแพทย์ที่ดูแลด้วย โดยส่วนตัวเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผ่านกล้อง ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดนายทักษิณ ส่วนนายทักษิณจะผ่าตัดหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ เพราะตอนนั้นลาพักร้อน 3 สัปดาห์ ส่วนการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับภาวะของโรค ส่วนตัวไม่เคยไปรักษาชั้น 14 ไม่สามารถตอบได้ ขณะที่เรื่องการบันทึกภาพระหว่างรักษาตัว ก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่จากประสบการณ์ที่เคยรักษาผู้ต้องขังนั้น ไม่เคยเห็นต้องบันทึกภาพ
    ..............
    Sondhi X
    'กมธ.มั่นคง' กุมขมับ หน่วยงานรัฐตีกรรเชียง ไม่ให้ข้อมูลกรณีชั้น 14 . การสืบสาวราวของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นที่พักพิงแทนเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ปรากฎว่าคณะกรรมาธิการฯ ใกล้เคียงกับคำว่าคว้าน้ำเหลวเข้าไปทุกที . ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่มีหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล หรือแม้แต่บุคคลสำคัญอย่างพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. รวมไปถึง พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯคาดว่าจะมาให้ข้อมูล สุดท้ายคดีพลิก เนื่องจากไม่ได้มาร่วมประชุมแต่อย่างใด . นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ยอมรับว่า ตลอดการทำหน้าที่ของประธาน กมธ. 53 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการน้อยที่สุด และหน่วยงานราชการไม่อยากจะตอบอะไร ทำให้ความสงสัยของสังคมกรณีชั้น 14 ก็คงจะต้องมีอยู่ต่อไป . "ความจำเป็นที่จะหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไป ตนเชื่อว่า ศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกฝ่ายต้องมีส่วนช่วยให้กระบวนการยุติธรรมของเราได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" นายรังสิมันต์ ระบุ . ขณะที่ การประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีเพียงการมาให้ข้อมูลของอดีตผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจอย่าง พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แต่คณะกรรมาธิการฯก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก เนื่องจากอดีตนายตำรวจรายนี้ แจ้งเพียงว่า ช่วงที่ทำหน้าที่เป็นรองนายแพทย์ใหญ่ ไม่ทราบข้อมูลผู้ป่วย เพราะกำลังทำเรื่องเออรี่รีไทร์ และพักร้อนในช่วงนั้น เมื่อมีหนังสือส่งตัวมาให้รักษา เราก็รักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยและความเห็นของแพทย์ที่ดูแลด้วย โดยส่วนตัวเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดผ่านกล้อง ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดนายทักษิณ ส่วนนายทักษิณจะผ่าตัดหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ เพราะตอนนั้นลาพักร้อน 3 สัปดาห์ ส่วนการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับภาวะของโรค ส่วนตัวไม่เคยไปรักษาชั้น 14 ไม่สามารถตอบได้ ขณะที่เรื่องการบันทึกภาพระหว่างรักษาตัว ก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่จากประสบการณ์ที่เคยรักษาผู้ต้องขังนั้น ไม่เคยเห็นต้องบันทึกภาพ .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    2
    0 Comments 0 Shares 676 Views 0 Reviews
  • เดชากลับลำแทบไม่ทัน ระบุคดีทนายตั้มรอดยาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ
    .
    ทนายเดชากลับลำไม่อุ้มษิทรา ชี้หลักฐานจากเพจ "ดาวแปดแฉก" สแกมเมอร์คือใคร อาจเป็นจุดจบทนายดัง น่าจะรอดยากปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ ชาวเน็ตแห่แซวพลิกลิ้น 360 องศา ถามหันหัวเรือแล้วหรือ พบเมื่อคืนตำหนิน้องรักทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู
    .
    วันนี้ (6 พ.ย.) เฟซบุ๊ก "ทนายเดชา" ของนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ และประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความถึงคดีฉ้อโกงของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ระบุว่า "จุดจบทนายตั้มคดีฉ้อโกงลูกความ? ให้ไปดูที่ #เพจดาวแปดแฉก #อาจเป็นจุดจบทนายดัง" พร้อมระบุคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า "พยานหลักฐานที่เพจดาวแปดแฉกนำมาเสนอ มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า สแกมเมอร์คือใคร คือผู้ต้องหาในคดีนี้หรือไม่ และที่สำคัญมีการนำแคชเชียร์เช็คไปเบิกเงิน หลังจากนั้นใครรับแคชเชียร์เช็คไป ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำ แคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีใคร ใครได้เงินจากการหลอกลวง อาจเป็นจุดจบทนายดัง พยานหลักฐานสำคัญกว่าน้ำลาย บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล) กล่าวไว้ว่ากรรมใครกรรมมัน" และว่า "พยานหลักฐานล่าสุดจนถึงวันนี้ทนายตั้มน่าจะรอดยากแล้วครับ"
    .
    เมื่อชาวเน็ตถามว่า "วันนี้อาจารย์เดชากินยาผิดเหรอครับ" นายเดชา กล่าวว่า "ข้อมูลเพิ่มเติม การวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้รับมา" เมื่อถามว่า คิดว่าทนายตั้มจะรอดไหม นายเดชา กล่าวว่า "จนถึงเวลานี้เท่าที่ได้ข้อมูลรอดยาก" นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นอื่นๆ เช่น "ถ้าหลักฐานไม่แน่นพอ คุณสนธิไม่ลงเล่นด้วยหรอก ระดับไหนแล้ว" "น่าจะมีคนพลิกลิ้น 360 องศาแล้วล่ะครับ" "โดนลุงสนธิพูดไปหน่อย หันหัวเรือเเล้วหรอครับ" "ตอนแรกเหมือนเข้าข้างทนายด้วยกันอยู่เลย" "อาจารย์จะมาทิ้งน้องรักแบบนี้ไม่ได้นะครับ" "อ้าวน้าเดย์ สละเรือแล้วเหรอครับ ไม่หนุกเลย" เป็นต้น
    .
    ต่อมานายเดชาโพสต์ภาพเซลฟี่ตัวเอง ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมข้อความระบุว่า "รอขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองไปว่าความที่พิษณุโลกครับ คดีทนายดังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจครับ ชีวิตมีอะไรที่น่าค้นหามากกว่านี้ เย็นนี้แเพื่อนัดเพื่อนดื่มไวน์ตามประสาคนขี้เมาครับ"
    .
    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อวานนี้ (5 พ.ย.) เวลาประมาณ 22.11 น. นายเดชาโพสต์ข้อความว่า "วันนี้ทนายตั้มพลาดเป็นอย่างมาก ทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู" และคอมเมนต์ว่า "ศัตรูเก่าศัตรูใหม่รวมทั้งสื่อมวลชนสหบาทาเล่นงานทนายตั้มจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม" "ทนายตั้มเติบโตมาจากโซเชียลเติบโตมาจากการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนแต่วันนี้กลับไปพูดในลักษณะดูถูกสื่อมวลชนโดยเฉพาะคุณพุทธอภิวันท์เป็นเรื่องที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก" และ "การไม่ควบคุมอารมณ์ขณะให้สัมภาษณ์เช่นกรณีไม่ให้ดาวแปดแฉกสัมภาษณ์ ส่วนตัวผมถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสื่อมวลชน"
    .
    ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่นายพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 จัดรายการลุยชนข่าว ตอบโต้นายษิทราที่ไปกล่าวหาว่ามีนักข่าวไปคุกคามชีวิตถึงบ้าน และขอให้นายพุทธอภิวรรณเลิกคุกคามชีวิตส่วนตัวก่อน และยังกล่าวว่า ไม่ให้สัมภาษณ์กับเพจดาวแปดแฉก ระหว่างปรากฎตัวครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวคดีฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ที่กองปราบปราม โดยนายพุทธอภิวรรณยืนยันว่าตนและทีมข่าวช่อง 8 ไม่เคยคุกคาม อีกทั้งคดีหวย 30 ล้าน นายษิทราเคยแนะให้ถามคู่กรณี และฝ่ายคู่กรณีก็ไม่เคยพูดว่าสื่อคุกคาม
    ..............
    Sondhi X
    เดชากลับลำแทบไม่ทัน ระบุคดีทนายตั้มรอดยาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ . ทนายเดชากลับลำไม่อุ้มษิทรา ชี้หลักฐานจากเพจ "ดาวแปดแฉก" สแกมเมอร์คือใคร อาจเป็นจุดจบทนายดัง น่าจะรอดยากปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจ ชาวเน็ตแห่แซวพลิกลิ้น 360 องศา ถามหันหัวเรือแล้วหรือ พบเมื่อคืนตำหนิน้องรักทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู . วันนี้ (6 พ.ย.) เฟซบุ๊ก "ทนายเดชา" ของนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ และประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความถึงคดีฉ้อโกงของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ระบุว่า "จุดจบทนายตั้มคดีฉ้อโกงลูกความ? ให้ไปดูที่ #เพจดาวแปดแฉก #อาจเป็นจุดจบทนายดัง" พร้อมระบุคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า "พยานหลักฐานที่เพจดาวแปดแฉกนำมาเสนอ มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า สแกมเมอร์คือใคร คือผู้ต้องหาในคดีนี้หรือไม่ และที่สำคัญมีการนำแคชเชียร์เช็คไปเบิกเงิน หลังจากนั้นใครรับแคชเชียร์เช็คไป ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำ แคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีใคร ใครได้เงินจากการหลอกลวง อาจเป็นจุดจบทนายดัง พยานหลักฐานสำคัญกว่าน้ำลาย บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล) กล่าวไว้ว่ากรรมใครกรรมมัน" และว่า "พยานหลักฐานล่าสุดจนถึงวันนี้ทนายตั้มน่าจะรอดยากแล้วครับ" . เมื่อชาวเน็ตถามว่า "วันนี้อาจารย์เดชากินยาผิดเหรอครับ" นายเดชา กล่าวว่า "ข้อมูลเพิ่มเติม การวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้รับมา" เมื่อถามว่า คิดว่าทนายตั้มจะรอดไหม นายเดชา กล่าวว่า "จนถึงเวลานี้เท่าที่ได้ข้อมูลรอดยาก" นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นอื่นๆ เช่น "ถ้าหลักฐานไม่แน่นพอ คุณสนธิไม่ลงเล่นด้วยหรอก ระดับไหนแล้ว" "น่าจะมีคนพลิกลิ้น 360 องศาแล้วล่ะครับ" "โดนลุงสนธิพูดไปหน่อย หันหัวเรือเเล้วหรอครับ" "ตอนแรกเหมือนเข้าข้างทนายด้วยกันอยู่เลย" "อาจารย์จะมาทิ้งน้องรักแบบนี้ไม่ได้นะครับ" "อ้าวน้าเดย์ สละเรือแล้วเหรอครับ ไม่หนุกเลย" เป็นต้น . ต่อมานายเดชาโพสต์ภาพเซลฟี่ตัวเอง ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมข้อความระบุว่า "รอขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองไปว่าความที่พิษณุโลกครับ คดีทนายดังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจครับ ชีวิตมีอะไรที่น่าค้นหามากกว่านี้ เย็นนี้แเพื่อนัดเพื่อนดื่มไวน์ตามประสาคนขี้เมาครับ" . รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อวานนี้ (5 พ.ย.) เวลาประมาณ 22.11 น. นายเดชาโพสต์ข้อความว่า "วันนี้ทนายตั้มพลาดเป็นอย่างมาก ทะเลาะกับสื่อขาดสติทำให้เพิ่มศัตรู" และคอมเมนต์ว่า "ศัตรูเก่าศัตรูใหม่รวมทั้งสื่อมวลชนสหบาทาเล่นงานทนายตั้มจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม" "ทนายตั้มเติบโตมาจากโซเชียลเติบโตมาจากการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนแต่วันนี้กลับไปพูดในลักษณะดูถูกสื่อมวลชนโดยเฉพาะคุณพุทธอภิวันท์เป็นเรื่องที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก" และ "การไม่ควบคุมอารมณ์ขณะให้สัมภาษณ์เช่นกรณีไม่ให้ดาวแปดแฉกสัมภาษณ์ ส่วนตัวผมถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสื่อมวลชน" . ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่นายพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 จัดรายการลุยชนข่าว ตอบโต้นายษิทราที่ไปกล่าวหาว่ามีนักข่าวไปคุกคามชีวิตถึงบ้าน และขอให้นายพุทธอภิวรรณเลิกคุกคามชีวิตส่วนตัวก่อน และยังกล่าวว่า ไม่ให้สัมภาษณ์กับเพจดาวแปดแฉก ระหว่างปรากฎตัวครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวคดีฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ที่กองปราบปราม โดยนายพุทธอภิวรรณยืนยันว่าตนและทีมข่าวช่อง 8 ไม่เคยคุกคาม อีกทั้งคดีหวย 30 ล้าน นายษิทราเคยแนะให้ถามคู่กรณี และฝ่ายคู่กรณีก็ไม่เคยพูดว่าสื่อคุกคาม .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    11
    1 Comments 0 Shares 1035 Views 0 Reviews
  • คดีขโมยทรัพย์หักสวาทกับกลิ่นตุๆ 10 ปมพิรุธ ปกปิดทรัพย์สินเมียบิ๊กตำรวจ
    .
    22 ตุลาคมนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ คุณธนัฎฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง อายุ 50 ปี อาชีพเป็นถึงอาจารย์พิเศษ อยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน นครปฐมไปออกรายการ ถกไม่เถียง มีคุณทิน โชคกมลกิจ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ผู้หญิงคนนี้มาแฉว่าเมียบิ๊กตำรวจมาเล่นชู้กับสามีตัวเองที่เป็นตำรวจเช่นกัน ในคอนโดฯ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ มิหนำซ้ำยังขโมยทรัพย์สินเป็นทองคำกว่า 120 บาท และเงินสดอีก 6 แสนบาท มูลค่ารวม 5 ล้านกว่าบาท
    .
    ผมอยากให้ท่านผู้ชมเห็นพิรุธของคนทั้งสามคนนี้ คือในเรื่องขโมยทรัพย์หักสวาทเรื่องนี้มันมีกลิ่นตุๆ ซุกซ่อนอยู่ในนี้หลายประเด็น
    .
    หนึ่ง เท่าที่ผมรู้ ดร.ศิรินัดดา ขจัดพาล ให้การกับตำรวจขณะมามอบตัวว่ามีการเช่าคอนโดฯ ห้องที่เกิดเหตุกับพ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ สามีคุณหนิงตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2567ต้นปี ตกลงเช่ากันไว้ 1 ปี ในราคาเดือนละ 10,000 บาท แต่ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 120,000 บาท แสดงว่าการเช่าสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า (2568) เพราะฉะนั้นแล้วการเอากระสอบสีรุ้ง 5 ใบ ก็สามารถเก็บไว้ได้ตามอายุสัญญาเช่า ไม่จำเป็นต้องเอาออกไปแต่อย่างใด
    .
    สอง ตามคำให้การของคุณหนิง พบว่าคุณหนิงกับสามี พ.ต.อ.ภีมพจน์ มีการเข้าห้องที่เกิดเหตุตั้งหลายครั้ง ทำไม ดร.ศิรินัดดา ไม่มีการแจ้งความในข้อหาบุกรุกกับสองคนผัวเมีย
    .
    สาม ถ้ามีการเช่า ทำไมไม่เปลี่ยนกุญแจคีย์การ์ดล็อกได้อีกชั้น ถ้าไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวายในห้องนี้
    .
    สี่ ในซอยสุขุมวิท 101 ซอยย่อย 47 ดร.ศิรินัดดา มีคอนโดฯอีก 3 ห้อง ซึ่งใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุอยู่ซอย 21 ทำไมถึงไม่เอาเงินทอง 5 ถุงไปเก็บไว้ที่มีตำรวจตัวเอง
    .
    ห้า ข้อมูลเชิงลึก ดร.ศิรินัดดาหรือมาดามกุ๊กคบหารู้จักสามีคุณหนิงตั้งแต่เป็นสารวัตร รับราชการที่จังหวัดสงขลา จนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
    .
    หก เรื่องซื้อขายทองตามปรากฏ post-it ในถุงสีรุ้ง ดันไปตรงกับข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ที่ พ.ต.ต.ชานนท์ รายงานการซื้อขายทอง ตรงกับหลักฐานที่ ปปง. มีอยู่ จึงเชื่อได้ว่าทองคำที่คุณหนิงอ้างว่าถูกมาดามกุ๊กขโมยไปนั้น ไม่น่าจะเป็นทองของคุณหนิง แต่เป็นทองของสุรเชชษฐ์ กับมาดามกุ๊กมากกว่า แต่ทำไมคุณหนิงแต่งเรื่องเพื่อแบล็กเมล ใช่หรือเปล่า
    .
    เจ็ด ตัวคุณหนิงเองก็เคยมีประวัติถูกแจ้งความดำเนินคดี ถูกฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์เกือบสิบคดี และเบื้องหลังคุณหนิงกับสามีก็ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จะเอาทองคำ 120 บาท กับเงิน 6 แสนบาท มาจากไหนครับและหลักฐานที่จะแสดงถึงว่าคุณซื้อทองยังไม่มีเลย
    .
    แปด ตรรกะง่ายๆ เมียที่ไหนจับได้ว่าผู้หญิงเอาผัวตัวไปทำชู้พร้อมหลักฐานชัดเจน แต่ไม่อาละวาด เคลียร์กันเงียบๆ แล้วแยกย้ายจากกัน ดูเป็นแม่พระเหลือเกิน ต่างกับตอนมาออกรายการโหนกระแส ธาตุแท้ยิ่งกว่าตลาด บุคลากรแบบนี้หรือที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจนำมาสั่งสอนนักเรียนนายร้อยตำรวจ ดีแล้วที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่ให้คุณทำการสอนต่อ
    .
    เก้า คุณหนิงกับสามีรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในรายการ “โหนกระแส” ทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดร้ายแรงของระบบราชการที่มีการคบซ้อนเชิงชู้สาว ร้ายแรงถึงออกจากราชการ แต่ทั้งคู่ไม่ได้แคร์ เหมือนกับรู้ว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่จนกระทั่งไม่สนชีวิตราชการ แม้กระทั่งเงินบำเหน็จบำนาญ
    .
    สิบ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ มันขมวดถึงข้อพิรุธและความน่าสงสัยของการพยายามปกปิดทรัพย์สิน ร่ำรวยเกินกว่าเหตุของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล และ ดร.ศิรินัดดา รวมถึงเส้นทางทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายมินนี่ หรือ BNK Master เรื่องคดีพวกนี้ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ผมก็ยังงงกับหน่วยงานที่ไปตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. หรือ ปปง. ที่ยังเชื่องช้าเหมือนเด็กหัดเดิน ทำอะไร พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่ได้เต็มข้อเสียที ทั้งๆ ที่ตำรวจขนหลักฐานไปให้ไม่รู้เท่าไร พวกคุณรออะไรกันอยู่ หรือจะรอให้มันโยกเงินโยกทองหนีออกนอกประเทศไปก่อน
    .
    เรื่องคดีอาญาที่ ปปง. ดำเนินการ ไปถึงไหนแล้ว บทเรียนมีไม่ใช่หรือ ว่ามันโยกเงินแม้กระทั่งจากกรมธรรม์ประกันชีวิต มันก็ทำไปแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือข้อสังเกตของผม ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆ น่าสนใจมาก
    คดีขโมยทรัพย์หักสวาทกับกลิ่นตุๆ 10 ปมพิรุธ ปกปิดทรัพย์สินเมียบิ๊กตำรวจ . 22 ตุลาคมนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ คุณธนัฎฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง อายุ 50 ปี อาชีพเป็นถึงอาจารย์พิเศษ อยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน นครปฐมไปออกรายการ ถกไม่เถียง มีคุณทิน โชคกมลกิจ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ผู้หญิงคนนี้มาแฉว่าเมียบิ๊กตำรวจมาเล่นชู้กับสามีตัวเองที่เป็นตำรวจเช่นกัน ในคอนโดฯ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ มิหนำซ้ำยังขโมยทรัพย์สินเป็นทองคำกว่า 120 บาท และเงินสดอีก 6 แสนบาท มูลค่ารวม 5 ล้านกว่าบาท . ผมอยากให้ท่านผู้ชมเห็นพิรุธของคนทั้งสามคนนี้ คือในเรื่องขโมยทรัพย์หักสวาทเรื่องนี้มันมีกลิ่นตุๆ ซุกซ่อนอยู่ในนี้หลายประเด็น . หนึ่ง เท่าที่ผมรู้ ดร.ศิรินัดดา ขจัดพาล ให้การกับตำรวจขณะมามอบตัวว่ามีการเช่าคอนโดฯ ห้องที่เกิดเหตุกับพ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ สามีคุณหนิงตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2567ต้นปี ตกลงเช่ากันไว้ 1 ปี ในราคาเดือนละ 10,000 บาท แต่ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 120,000 บาท แสดงว่าการเช่าสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า (2568) เพราะฉะนั้นแล้วการเอากระสอบสีรุ้ง 5 ใบ ก็สามารถเก็บไว้ได้ตามอายุสัญญาเช่า ไม่จำเป็นต้องเอาออกไปแต่อย่างใด . สอง ตามคำให้การของคุณหนิง พบว่าคุณหนิงกับสามี พ.ต.อ.ภีมพจน์ มีการเข้าห้องที่เกิดเหตุตั้งหลายครั้ง ทำไม ดร.ศิรินัดดา ไม่มีการแจ้งความในข้อหาบุกรุกกับสองคนผัวเมีย . สาม ถ้ามีการเช่า ทำไมไม่เปลี่ยนกุญแจคีย์การ์ดล็อกได้อีกชั้น ถ้าไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวายในห้องนี้ . สี่ ในซอยสุขุมวิท 101 ซอยย่อย 47 ดร.ศิรินัดดา มีคอนโดฯอีก 3 ห้อง ซึ่งใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุอยู่ซอย 21 ทำไมถึงไม่เอาเงินทอง 5 ถุงไปเก็บไว้ที่มีตำรวจตัวเอง . ห้า ข้อมูลเชิงลึก ดร.ศิรินัดดาหรือมาดามกุ๊กคบหารู้จักสามีคุณหนิงตั้งแต่เป็นสารวัตร รับราชการที่จังหวัดสงขลา จนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง . หก เรื่องซื้อขายทองตามปรากฏ post-it ในถุงสีรุ้ง ดันไปตรงกับข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ที่ พ.ต.ต.ชานนท์ รายงานการซื้อขายทอง ตรงกับหลักฐานที่ ปปง. มีอยู่ จึงเชื่อได้ว่าทองคำที่คุณหนิงอ้างว่าถูกมาดามกุ๊กขโมยไปนั้น ไม่น่าจะเป็นทองของคุณหนิง แต่เป็นทองของสุรเชชษฐ์ กับมาดามกุ๊กมากกว่า แต่ทำไมคุณหนิงแต่งเรื่องเพื่อแบล็กเมล ใช่หรือเปล่า . เจ็ด ตัวคุณหนิงเองก็เคยมีประวัติถูกแจ้งความดำเนินคดี ถูกฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์เกือบสิบคดี และเบื้องหลังคุณหนิงกับสามีก็ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จะเอาทองคำ 120 บาท กับเงิน 6 แสนบาท มาจากไหนครับและหลักฐานที่จะแสดงถึงว่าคุณซื้อทองยังไม่มีเลย . แปด ตรรกะง่ายๆ เมียที่ไหนจับได้ว่าผู้หญิงเอาผัวตัวไปทำชู้พร้อมหลักฐานชัดเจน แต่ไม่อาละวาด เคลียร์กันเงียบๆ แล้วแยกย้ายจากกัน ดูเป็นแม่พระเหลือเกิน ต่างกับตอนมาออกรายการโหนกระแส ธาตุแท้ยิ่งกว่าตลาด บุคลากรแบบนี้หรือที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจนำมาสั่งสอนนักเรียนนายร้อยตำรวจ ดีแล้วที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่ให้คุณทำการสอนต่อ . เก้า คุณหนิงกับสามีรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในรายการ “โหนกระแส” ทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดร้ายแรงของระบบราชการที่มีการคบซ้อนเชิงชู้สาว ร้ายแรงถึงออกจากราชการ แต่ทั้งคู่ไม่ได้แคร์ เหมือนกับรู้ว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่จนกระทั่งไม่สนชีวิตราชการ แม้กระทั่งเงินบำเหน็จบำนาญ . สิบ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ มันขมวดถึงข้อพิรุธและความน่าสงสัยของการพยายามปกปิดทรัพย์สิน ร่ำรวยเกินกว่าเหตุของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล และ ดร.ศิรินัดดา รวมถึงเส้นทางทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายมินนี่ หรือ BNK Master เรื่องคดีพวกนี้ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ผมก็ยังงงกับหน่วยงานที่ไปตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. หรือ ปปง. ที่ยังเชื่องช้าเหมือนเด็กหัดเดิน ทำอะไร พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ไม่ได้เต็มข้อเสียที ทั้งๆ ที่ตำรวจขนหลักฐานไปให้ไม่รู้เท่าไร พวกคุณรออะไรกันอยู่ หรือจะรอให้มันโยกเงินโยกทองหนีออกนอกประเทศไปก่อน . เรื่องคดีอาญาที่ ปปง. ดำเนินการ ไปถึงไหนแล้ว บทเรียนมีไม่ใช่หรือ ว่ามันโยกเงินแม้กระทั่งจากกรมธรรม์ประกันชีวิต มันก็ทำไปแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือข้อสังเกตของผม ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆ น่าสนใจมาก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 704 Views 0 Reviews
  • Sondhitalk EP 266 : “ษิทรา” คนอย่างคุณไม่ควรมีที่ยืนในสังคม 01-11-67 (Full)

    - “อ้อย จตุพร” นางฟ้าเดินดิน
    - ทนายตั้มอับแสง ศัตรูรอบทิศมิตรหนีหาย
    - DSI มีไว้ทำไม?
    - ขโมยทรัพย์ หักสวาท “โจ๊ก สุรเชชษฐ์”
    - “BRICS 2024”
    - เลือกตั้งสหรัฐฯ ปาหี่ประชาธิปไตย

    แจ้งเรื่องร้องเรียน “ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด”
    Inbox เพจFacebook : คุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ email : Sondhitalk@gmail.com
    Sondhitalk EP 266 : “ษิทรา” คนอย่างคุณไม่ควรมีที่ยืนในสังคม 01-11-67 (Full) - “อ้อย จตุพร” นางฟ้าเดินดิน - ทนายตั้มอับแสง ศัตรูรอบทิศมิตรหนีหาย - DSI มีไว้ทำไม? - ขโมยทรัพย์ หักสวาท “โจ๊ก สุรเชชษฐ์” - “BRICS 2024” - เลือกตั้งสหรัฐฯ ปาหี่ประชาธิปไตย แจ้งเรื่องร้องเรียน “ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด” Inbox เพจFacebook : คุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ email : Sondhitalk@gmail.com
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    106
    2 Comments 2 Shares 4702 Views 3506 11 Reviews
  • วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #สุรเชชษฐ์
    #บิ๊กโจ๊ก
    วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง #คิงส์โพธิ์ดำ #สุรเชชษฐ์ #บิ๊กโจ๊ก
    0 Comments 0 Shares 174 Views 35 0 Reviews
  • 71 ล้านเสน่หาหรือฉ้อโกงและเสียภาษีหรือยัง?
    .
    มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง
    .
    มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
    .
    ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
    .
    จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์
    .
    วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย
    .
    เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ
    .
    ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ
    .
    คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป
    .
    คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา
    .
    ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร
    .
    และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด
    .
    คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด
    .
    วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/5VdnTLYvmR1Em1mH/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    71 ล้านเสน่หาหรือฉ้อโกงและเสียภาษีหรือยัง? . มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง . มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส . ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา . จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์ . วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย . เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ . ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ . คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป . คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา . ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร . และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด . คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด . วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่มา https://www.facebook.com/share/p/5VdnTLYvmR1Em1mH/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    1 Comments 1 Shares 621 Views 0 Reviews
  • 71 ล้าน เสน่หาหรือฉ้อโกง และเสียภาษีหรือยัง?
    .
    มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง
    .
    มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
    .
    ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
    .
    จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์
    .
    วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย
    .
    เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ
    .
    ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ
    .
    คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป
    .
    คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา
    .
    ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร
    .
    และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด
    .
    คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด
    .
    วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล
    71 ล้าน เสน่หาหรือฉ้อโกง และเสียภาษีหรือยัง? . มหาเศรษฐีคนที่คุณตั้มอ้างว่าเคยจ้างทนายตั้มเดือนละสามแสนอยู่ปีกว่า ให้เงินทนายตั้มมาโดยเสน่หา 2 ล้านยูโร ประมาณ 71 ล้านกว่าบาท ออกค่าใช้จ่ายให้ทนายตั้มและครอบครัวนั่งเครื่องบินบิซเนสคลาส เฟิร์สตคลาส ออกค่าโรงแรมให้ไปเที่ยวยุโรปทั้งครอบครัวอยู่เป็นประจำแทบจะทุกเดือน สัญญาว่าจะหาบ้านให้ พร้อมส่งเสียลูกของทนายตั้มไปเรียนต่อยุโรป หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ทนายตั้มอ้าง . มหาเศรษฐีคนนี้ชื่อ คุณจตุพร อุบลเลิศ ทนายตั้มเรียกว่า"พี่อ้อย" เธอเป็นคนมีตัวตนจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจะโยกย้ายตามสามีไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และย้ายต่อไปอยู่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส . ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความ ของคุณอ้อย จตุพร ได้มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิดฉ้อโกง ต่อสถานีตำรวจภูธรปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 หรือเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา . จากคำให้การคุณอ้อย ได้ว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำสัญญาตกลงว่าจะจ่ายเงินเดือน เดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งไม่ได้จ่ายผ่านลอว์ เฟิร์ม แต่จ่ายผ่านบุคคล ต่อมาปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 นายษิทรา บอกผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งฯ มาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ หลังจากที่พี่อ้อย คุณจตุพร ได้ปรึกษาครอบครัว เห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความตั้งใจของคุณจตุพร (พี่อ้อย) ที่จะลงทุนอะไรบางอย่างไว้ให้กับลูกชาย ที่ได้ย้ายมาอยู่ไทยแล้ว ก็เลยตกลงทำสัญญาลงนามที่จะทำแพลตฟอร์ม เขียนโปรแกรมหวยออนไลน์ . วันที่16กุมภาพันธ์ 2566ทนายตั้มบอกผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่เขาก่อน เพื่อจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่องใช้ชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อรับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย . เงิน 2 ล้านยูโรที่คุณอ้างว่า ลูกความคุณเป็นมหาเศรษฐี เขาให้คุณโดยเสน่หา ผมมีคำตอบให้คุณชัดๆมันเป็นใบโอนเงินใบนี้ ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาปากช่อง รายละเอียดจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร เท่ากับ 71,067,764.70 (เจ็ดสิบเอ็ดล้านหกหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่บาทเจ็ดสิบสตางค์) ชัดไหมครับ . ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วมหาเศรษฐีที่ทนายตั้มอ้างว่าเป็นลูกความของตัวเอง เป็นคนไทยอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาให้เงินคุณมา 2 ล้านยูโร หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ 71 ล้านบาท โดยเสน่หาจริงหรือไม่ ? ถามใคร ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณษิทรา แม้แต่หนุ่ม กรรชัย เองก็ไม่เชื่อ . คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ถ้าคุณฟังอยู่ มีประเด็นให้คุณตอบโต้ผมได้ ถ้าผมพูดผิด เงิน 70 ล้าน ที่คุณได้มา คุณได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ? คุณแจ้งสรรพากรไหม ? เพราะมีหลักฐานว่าคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด รับเงินมาแล้ว 71 ล้าน อ้างว่าได้มาด้วยเสน่หา เพราะฉะนั้นต้องจ่ายภาษี คุณไม่ได้แจ้ง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยหรือ รอให้ผมทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรมสรรพากรก่อน และเอาหลักฐานที่คุณพูดมา นี่คือการทำผิดกฎหมายของคุณอีกข้อหนึ่งที่จะแขวนคอคุณต่อไป . คุณหนีภาษี แล้วยังมาลอยหน้าว่าคุณเป็นทนายเพื่อประชาชน ถ้าคุณบอกว่าคุณเสียภาษีเงิน 70 ล้าน เอาหลักฐานมาดูหน่อยซิ ผมจะกราบตีนคุณเลย คุณไม่ได้เสียภาษีหรอก นี่คือคำโกหก เพราะคุณคุยโวตลอดเวลา . ที่ผมเล่าให้ฟังมาตลอดนี่ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นเสน่หา เป็นเรื่องที่คุณไปเอาเงินเขามาเพื่อมาลงทุน ที่ผ่านมาเขาเมตตาคุณมากนะ ให้เงินคุณไปมากมาย ค่าทนายเดือนละสามแสนบาท เป็นปี ซึ่งคุณไม่ได้เอาเข้าบริษัท ส่งเข้าตัวบุคคล รวมกันแล้วหลายล้านบาท คุณยังมาเอาเงินเขาไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร . และมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องเบนซ์ G Class รุ่น G400 ราคาคันละประมาณ 9 ล้านบาท ให้คุณหารถคันนี้ให้ คุณอ้อย จะได้ใช้งานสะดวกเอาไว้ใช้เมื่อมากรุงเทพ แต่ว่าคุณก็ไปตุกติกกับเขาสารพัด . คุณษิทรา คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าบ้านที่คุณซื้อไป คุณใช้แคชเชียร์เช็คมูลค่า 46 ล้านซื้อใช่ไหม แล้วคุณใส่ชื่อเจ้าของบ้านคือภรรยาคุณ สรรพากรหรือชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเขาสงสัยว่าภรรยาคุณทำงานอะไรถึงมีเงินเป็นสิบๆ ล้าน มาซื้อบ้านหลังนี้เป็นเงินสด . วันนี้คุณอ้างคุณอ้อย จตุพร ไม่ได้แล้ว คำถามมีอยู่ชัดเจน ภรรยาคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะว่าคุณใส่ชื่อบ้านหลังนั้นเป็นชื่อภรรยาคุณ นี่คุณยังไม่รู้หรือว่าคุณกำลังเดินลงหลุมไปทีละนิดๆ เหมือนกับลูกพี่คุณ สุรเชชษฐ์ หักพาล
    Like
    10
    0 Comments 0 Shares 813 Views 0 Reviews
  • “เมียโจ๊ก” ชิงมอบตัว หลังศาลอนุมัติหมายจับ ร่วมกันลักทรัพย์-บุกรุกเคหะสถาน
    .
    วันนี้ (24 ต.ค.) ศาลอาญาพระโขนง อนุมัติออกหมายจับที่ จ.717/2567 ให้จับกุมนางศิรินัดดา หักพาล อายุ 50 ปี ภรรยา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน และร่วมกันบุกรุกเคหะสถาน ตามที่ พ.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ขออนุมัติศาลออกหมายจับ และได้ส่งหมายจับถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา จับตัวมาดำเนินคดี โดยมีอายุความ 10 ปี
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 14.50 น. นางศิรินัดดาเข้ามอบตัวที่ สน.พระโขนงแล้ว หลังศาลอาญาพระโขนงอนุมัติหมายจับไม่นานนัก เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดว่าอะไรที่เสียหายขอให้เป็นเรื่องของทนายความ เมื่อนักข่าวถามเรื่องคีย์การ์ดขโมยไปจริงหรือไม่ นางศิรินัดดาไม่ตอบ เมื่อถามว่าคีย์การ์ดได้มาอย่างไร ก็ตอบว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของทนายความ เมื่อถามว่า ยืนยันว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นางศิรินัดดา ตอบว่า ค่ะ เมื่อถามว่าเบื้องต้นได้มีการติดต่อหรือพูดคุยกับผู้เสียหายหรือไม่ นางศิรินัดดา ไม่ตอบ เมื่อถามย้ำว่าได้ขโมยของหรือไม่ ก็กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของทนายความ ถามว่าคืนนั้นทำไมต้องเข้าไปที่คอนโดเขา ถามว่าถุงกระสอบที่เขากล่าวอ้างเป็นถุงอะไร เจ้าตัวไม่ตอบ ก่อนเข้าพบตำรวจ
    .
    สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2567 เวลาประมาณ 14.00-16.00 น. นางศิรินัดดาบุกเข้าไปในห้องพักของคอนโดมิเนียม กรีนคอนโด ในซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ก่อนที่ผู้เสียหายเป็นอาจารย์พิเศษ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 ว่าทรัพย์สินเป็นทองคำน้ำหนัก 120 บาท มูลค่า 5 ล้านบาทหายไป แม้ผู้เสียหายพยายามทวงถามเพื่อขอคืนทรัพย์สิน แต่นางศิรินัดดาไม่ยอมพูดคุยด้วย ตัดการติดต่อทุกช่องทาง และเมื่อสอบถามไปยัง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับอ้างว่าเป็นเรื่องของภรรยา ตัวเองไม่ขอรับรู้ จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนงทันที
    .
    นอกจากนี้ มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายยังไปออกรายการโทรทัศน์ แฉว่ามีภรรยานายตำรวจใหญ่รายหนึ่ง แย่งสามีของตน โดยมีคลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นถึงภรรยานายตำรวจใหญ่ กำลังมีเพศสัมพันธ์กับสามีของผู้เสียหาย เป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. รับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน อีกทั้งยังมีการซุกทรัพย์สินใส่ถุงกระสอบ 5 ถุง มาฝากไว้ที่ห้อง รวมทั้งฉวยโอกาสหยิบคีย์การ์ดไปด้วย สามารถเข้า-ออกคอนโดมิเนียมได้ตามอำเภอใจ และในทางสืบสวนของตำรวจพบว่าเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า เครือข่ายการพนันของนายตำรวจใหญ่ มาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ห้องพักดังกล่าวอีกด้วย
    ..............
    Sondhi X
    “เมียโจ๊ก” ชิงมอบตัว หลังศาลอนุมัติหมายจับ ร่วมกันลักทรัพย์-บุกรุกเคหะสถาน . วันนี้ (24 ต.ค.) ศาลอาญาพระโขนง อนุมัติออกหมายจับที่ จ.717/2567 ให้จับกุมนางศิรินัดดา หักพาล อายุ 50 ปี ภรรยา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน และร่วมกันบุกรุกเคหะสถาน ตามที่ พ.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ขออนุมัติศาลออกหมายจับ และได้ส่งหมายจับถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา จับตัวมาดำเนินคดี โดยมีอายุความ 10 ปี . ล่าสุดเมื่อเวลา 14.50 น. นางศิรินัดดาเข้ามอบตัวที่ สน.พระโขนงแล้ว หลังศาลอาญาพระโขนงอนุมัติหมายจับไม่นานนัก เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดว่าอะไรที่เสียหายขอให้เป็นเรื่องของทนายความ เมื่อนักข่าวถามเรื่องคีย์การ์ดขโมยไปจริงหรือไม่ นางศิรินัดดาไม่ตอบ เมื่อถามว่าคีย์การ์ดได้มาอย่างไร ก็ตอบว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของทนายความ เมื่อถามว่า ยืนยันว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นางศิรินัดดา ตอบว่า ค่ะ เมื่อถามว่าเบื้องต้นได้มีการติดต่อหรือพูดคุยกับผู้เสียหายหรือไม่ นางศิรินัดดา ไม่ตอบ เมื่อถามย้ำว่าได้ขโมยของหรือไม่ ก็กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของทนายความ ถามว่าคืนนั้นทำไมต้องเข้าไปที่คอนโดเขา ถามว่าถุงกระสอบที่เขากล่าวอ้างเป็นถุงอะไร เจ้าตัวไม่ตอบ ก่อนเข้าพบตำรวจ . สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2567 เวลาประมาณ 14.00-16.00 น. นางศิรินัดดาบุกเข้าไปในห้องพักของคอนโดมิเนียม กรีนคอนโด ในซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ก่อนที่ผู้เสียหายเป็นอาจารย์พิเศษ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 ว่าทรัพย์สินเป็นทองคำน้ำหนัก 120 บาท มูลค่า 5 ล้านบาทหายไป แม้ผู้เสียหายพยายามทวงถามเพื่อขอคืนทรัพย์สิน แต่นางศิรินัดดาไม่ยอมพูดคุยด้วย ตัดการติดต่อทุกช่องทาง และเมื่อสอบถามไปยัง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กลับอ้างว่าเป็นเรื่องของภรรยา ตัวเองไม่ขอรับรู้ จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนงทันที . นอกจากนี้ มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายยังไปออกรายการโทรทัศน์ แฉว่ามีภรรยานายตำรวจใหญ่รายหนึ่ง แย่งสามีของตน โดยมีคลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นถึงภรรยานายตำรวจใหญ่ กำลังมีเพศสัมพันธ์กับสามีของผู้เสียหาย เป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. รับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน อีกทั้งยังมีการซุกทรัพย์สินใส่ถุงกระสอบ 5 ถุง มาฝากไว้ที่ห้อง รวมทั้งฉวยโอกาสหยิบคีย์การ์ดไปด้วย สามารถเข้า-ออกคอนโดมิเนียมได้ตามอำเภอใจ และในทางสืบสวนของตำรวจพบว่าเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า เครือข่ายการพนันของนายตำรวจใหญ่ มาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ห้องพักดังกล่าวอีกด้วย .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    0 Comments 0 Shares 1061 Views 0 Reviews
  • โจ๊กและเมีย วิบากกรรมทำงาน
    สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งองครักษ์พิทักษ์นาย ไม่ว่าจะเป็น
    1. ดนัย หมาแก่ กับเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ที่เป็นรายการฟอกขาวที่มีประสิทธิภาพให้กับ สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้อาหารหมาขาดแคลน ก็ได้ประกาศตัวดุจเป็นฝั่งตรงข้าม ถึงกับเอ่ยว่า “สุรเชชษฐ์ทำไมไม่มีใครชอบคุณ” แล้ววันนี้หมาแก่ ก็หากระแสใหม่ ฉีกแนวไปทำเรื่องดิไอคอนรัวๆ ไม่หันกลับมามองนายเก่าจากโจ๊กอีกเลย
    2. ตั้ม ทนายหิวแสง ที่เล่นใหญ่ เกินเบอร์ นัดสื่อแถลงรัวๆ รับงานจากโจ๊กมา หวังคว่ำบิ๊กต่าย และบิ๊กเต่า จนทำให้ประชาชนรู้แนว ไม่ให้ค่า และถึงแม้วันนี้จะหวังกระแสดิไอคอน ตั้มไปออกหน้าออกตาที่โหนกระแส แต่ก็มิวายที่ประชาชนไม่เอา คือไม่เอา จนสุดท้ายปล่อยไก่ อ้างว่าหาข้อมูลไม่หลับไม่นอน แต่ดันไม่รู้ว่า ชื่อที่ตนเองบอกว่าเป็นไอ้โม่งในเครือข่ายดิไอค่อนนั้น กลับเป็นแม่แท้ๆของบอสพอลแห่งดิไอค่อน จนต้องยกมือไหว้ขอขมาหน้าจอ หน้าเจื่อนจนแทบไม่พูดอะไรต่อตลอดรายการ
    3. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวสที่วางตัวคล้ายเป็นพ่อบุญธรรมของสุรเชชษฐ์ วางแนวการต่อสู้ ทั้งเกมการไม่ยอมรับหมายเรียก หวังให้คดีหมดอายุความ ตามที่ตนทำมาตลอด แต่สุรเชชษฐ์กลับไม่รอด แต่ก็ยังคงดิ้นเฮือกสุดท้าย ไปออกหน้าออกตาที่จันทร์ส่องหล้า หวังได้กลับมาคุมตร. และได้ใช้อำนาจในการช่วยเหลือสุรเชชษฐ์ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
    จนแถลงแบล็คเมลคนชั้น 14 ว่าจะเปิดข้อมูลเด็ด แต่เชิงหมาแก่คนชั้น 14 และลูกสาวกลับไม่ให้ราคา ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย
    และจากข้อมูลล่าสุด อัยการจะยื่นฟ้องยึดทรัพย์โจ๊ก กับ เมีย 4.8 แสนบาท
    ถึงแม้จะมีเสียงขำขัน ว่ายึดได้แค่นี้หรือมีเสียงแขวะ เสียงแซะสตช.ไม่ขาดสาย แต่หารู้ไม่ยอดจำนวนนี้ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โจ๊กมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเงินดำจากเว็บออนไลน์จริง แม้จะมีการยักย้าย ถ่ายเทไปสู่ usdt จำนวนมหาศาลแล้วก็ตาม
    ยอด 4.8 แสนบาทนี้ ได้มาจากพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เส้นทางการเงิน ยืนยัน ชัดเจน
    ผลการสืบสวนโดย ปปง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะ ที่ไม่มีส่วนได้เสีย กับผู้ใดใน สตช
    พิสูจน์ยืนยัน จนนำไปสู่การเสนอเรื่องไปอัยการ ฟ้องต่อศาล เพื่อยึดทรัพย์ข้างต้น
    สำนวนที่เสนอไปเฉพาะเรื่องนี้ ร่วม 1400 กว่า หน้า เลยทีเดียว
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    โจ๊กและเมีย วิบากกรรมทำงาน สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งองครักษ์พิทักษ์นาย ไม่ว่าจะเป็น 1. ดนัย หมาแก่ กับเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ที่เป็นรายการฟอกขาวที่มีประสิทธิภาพให้กับ สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่วันนี้อาหารหมาขาดแคลน ก็ได้ประกาศตัวดุจเป็นฝั่งตรงข้าม ถึงกับเอ่ยว่า “สุรเชชษฐ์ทำไมไม่มีใครชอบคุณ” แล้ววันนี้หมาแก่ ก็หากระแสใหม่ ฉีกแนวไปทำเรื่องดิไอคอนรัวๆ ไม่หันกลับมามองนายเก่าจากโจ๊กอีกเลย 2. ตั้ม ทนายหิวแสง ที่เล่นใหญ่ เกินเบอร์ นัดสื่อแถลงรัวๆ รับงานจากโจ๊กมา หวังคว่ำบิ๊กต่าย และบิ๊กเต่า จนทำให้ประชาชนรู้แนว ไม่ให้ค่า และถึงแม้วันนี้จะหวังกระแสดิไอคอน ตั้มไปออกหน้าออกตาที่โหนกระแส แต่ก็มิวายที่ประชาชนไม่เอา คือไม่เอา จนสุดท้ายปล่อยไก่ อ้างว่าหาข้อมูลไม่หลับไม่นอน แต่ดันไม่รู้ว่า ชื่อที่ตนเองบอกว่าเป็นไอ้โม่งในเครือข่ายดิไอค่อนนั้น กลับเป็นแม่แท้ๆของบอสพอลแห่งดิไอค่อน จนต้องยกมือไหว้ขอขมาหน้าจอ หน้าเจื่อนจนแทบไม่พูดอะไรต่อตลอดรายการ 3. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวสที่วางตัวคล้ายเป็นพ่อบุญธรรมของสุรเชชษฐ์ วางแนวการต่อสู้ ทั้งเกมการไม่ยอมรับหมายเรียก หวังให้คดีหมดอายุความ ตามที่ตนทำมาตลอด แต่สุรเชชษฐ์กลับไม่รอด แต่ก็ยังคงดิ้นเฮือกสุดท้าย ไปออกหน้าออกตาที่จันทร์ส่องหล้า หวังได้กลับมาคุมตร. และได้ใช้อำนาจในการช่วยเหลือสุรเชชษฐ์ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง จนแถลงแบล็คเมลคนชั้น 14 ว่าจะเปิดข้อมูลเด็ด แต่เชิงหมาแก่คนชั้น 14 และลูกสาวกลับไม่ให้ราคา ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย และจากข้อมูลล่าสุด อัยการจะยื่นฟ้องยึดทรัพย์โจ๊ก กับ เมีย 4.8 แสนบาท ถึงแม้จะมีเสียงขำขัน ว่ายึดได้แค่นี้หรือมีเสียงแขวะ เสียงแซะสตช.ไม่ขาดสาย แต่หารู้ไม่ยอดจำนวนนี้ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โจ๊กมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเงินดำจากเว็บออนไลน์จริง แม้จะมีการยักย้าย ถ่ายเทไปสู่ usdt จำนวนมหาศาลแล้วก็ตาม ยอด 4.8 แสนบาทนี้ ได้มาจากพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เส้นทางการเงิน ยืนยัน ชัดเจน ผลการสืบสวนโดย ปปง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะ ที่ไม่มีส่วนได้เสีย กับผู้ใดใน สตช พิสูจน์ยืนยัน จนนำไปสู่การเสนอเรื่องไปอัยการ ฟ้องต่อศาล เพื่อยึดทรัพย์ข้างต้น สำนวนที่เสนอไปเฉพาะเรื่องนี้ ร่วม 1400 กว่า หน้า เลยทีเดียว #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • จุ๊กกรู!!เอาไงดีลูกเพ่

    ปาปารัชชี่ไม่ได้รับเชิญแอบเห็นอดีตตำรวจใหญ่"โจ๊กสายมู" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ก็อดใจไม่ไหวแชะรูปมาฝาก"คิงส์" กะว่าจะเซอร์ไพร้สส่งมาอวดเพราะมากินข้าวร้านเดียวกันกับคนดัง

    ชะอุ๊ย!พอจะซูมดูหน้าตาสง่าราศีตำรวจคนดีย์ ยังดีอยู่ไหมเห็นหมองๆไปตั้งแต่ต้องคดีพัวพันเว็บพนันออนไลน์ถูกให้ออกจากราชการกลับไปสะดุดตากับคนข้างที่นั่งหน้าเป็นตูดพอๆกับโจ๊ก

    หน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้วคงจะพูดคุยกันด้วยเรื่องเครียด หน้ายิ่งดำกันไปใหญ่ ดีที่คิงส์ปรับแสงจากมือถือช่วย จึงรู้ว่า คนที่ร่วมวงกินข้าว คุยกันซีเรียสหาใช่คนโนเนม

    เพราะทั่นคือ "บิ๊กเม่น" พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.

    อย่าเพิ่งเกาหัวถ้าดูจากชื่อตำแหน่งแล้วนึกไม่ออก ลองเสิร์ชชื่อคำนำหน้าเป็นราษฎรอย่างเราๆว่า "นายพันธนะ นุชนารถ"อากู๋จะบอกเลย นี่คือหุ้นส่วนใหญ่ผับหรูหราหมาเห่าชื่อดัง"คริสตัลคลับ" ทองหล่อ 25 ซึ่งเป็นจุดแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตำนาน

    พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ เป็นนายตำรวจหนุ่มที่เติบโตพรวดพราดปานจรวดในสตม.เพราะมีลูกพี่โจ๊ก สมัยยังหญ่ายคับสตช.หนุนหลัง

    ระหว่างโจ๊กกับเม่น ไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เพราะใครๆก็รู้ว่าโจ๊กคุมสตม.มานานปี วางรากฐานไว้ที่สตม.ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ สืบทอดอำนาจมารุ่นสู่รุ่น ไม่ยอมปล่อยมือจากสตม.สักที

    ตอนนี้ลมเปลี่ยนทิศ แว่วว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องการกู้วิกฤติศรัทธาสตช. หน่วยไหนที่เคยเป็นแหล่งผลประโยชน์ที่ทำมาหากินของตำรวจคนดีย์ เป็น"มะเร็ง"ร้ายที่ทำร้ายทำลายองค์กรมานานจะขุดรากถอนโคนผ่าตัดเก็บกวาดให้หมด

    นี่อ่ะเปล่าที่ทำให้ทั้งสองต้องนัดกินข้าวกันถี่ๆคุยเรื่องซีเรียสหน้าดำแล้วดำอีก!

    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    จุ๊กกรู!!เอาไงดีลูกเพ่ ปาปารัชชี่ไม่ได้รับเชิญแอบเห็นอดีตตำรวจใหญ่"โจ๊กสายมู" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ก็อดใจไม่ไหวแชะรูปมาฝาก"คิงส์" กะว่าจะเซอร์ไพร้สส่งมาอวดเพราะมากินข้าวร้านเดียวกันกับคนดัง ชะอุ๊ย!พอจะซูมดูหน้าตาสง่าราศีตำรวจคนดีย์ ยังดีอยู่ไหมเห็นหมองๆไปตั้งแต่ต้องคดีพัวพันเว็บพนันออนไลน์ถูกให้ออกจากราชการกลับไปสะดุดตากับคนข้างที่นั่งหน้าเป็นตูดพอๆกับโจ๊ก หน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้วคงจะพูดคุยกันด้วยเรื่องเครียด หน้ายิ่งดำกันไปใหญ่ ดีที่คิงส์ปรับแสงจากมือถือช่วย จึงรู้ว่า คนที่ร่วมวงกินข้าว คุยกันซีเรียสหาใช่คนโนเนม เพราะทั่นคือ "บิ๊กเม่น" พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. อย่าเพิ่งเกาหัวถ้าดูจากชื่อตำแหน่งแล้วนึกไม่ออก ลองเสิร์ชชื่อคำนำหน้าเป็นราษฎรอย่างเราๆว่า "นายพันธนะ นุชนารถ"อากู๋จะบอกเลย นี่คือหุ้นส่วนใหญ่ผับหรูหราหมาเห่าชื่อดัง"คริสตัลคลับ" ทองหล่อ 25 ซึ่งเป็นจุดแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตำนาน พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ เป็นนายตำรวจหนุ่มที่เติบโตพรวดพราดปานจรวดในสตม.เพราะมีลูกพี่โจ๊ก สมัยยังหญ่ายคับสตช.หนุนหลัง ระหว่างโจ๊กกับเม่น ไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เพราะใครๆก็รู้ว่าโจ๊กคุมสตม.มานานปี วางรากฐานไว้ที่สตม.ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ สืบทอดอำนาจมารุ่นสู่รุ่น ไม่ยอมปล่อยมือจากสตม.สักที ตอนนี้ลมเปลี่ยนทิศ แว่วว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องการกู้วิกฤติศรัทธาสตช. หน่วยไหนที่เคยเป็นแหล่งผลประโยชน์ที่ทำมาหากินของตำรวจคนดีย์ เป็น"มะเร็ง"ร้ายที่ทำร้ายทำลายองค์กรมานานจะขุดรากถอนโคนผ่าตัดเก็บกวาดให้หมด นี่อ่ะเปล่าที่ทำให้ทั้งสองต้องนัดกินข้าวกันถี่ๆคุยเรื่องซีเรียสหน้าดำแล้วดำอีก! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 529 Views 0 Reviews
  • ผู้ต้องหา ในดวงใจ โจ๊กโหนคนใต้ สร้างภาพคนดี

    คนที่พร้อมจะใส่เสื้อลายเซ็นของ “บิ๊กโจ๊ก” ใจคอจะหลับหูหลับตาเชียร์ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงอะไรเลยหรือ?

    #SondhiX #Sondhi #Sondhitalk #จับประเด็น #โจ๊กสุรเชชษฐ์หักพาล #บิ๊กโจ๊ก
    ผู้ต้องหา ในดวงใจ โจ๊กโหนคนใต้ สร้างภาพคนดี คนที่พร้อมจะใส่เสื้อลายเซ็นของ “บิ๊กโจ๊ก” ใจคอจะหลับหูหลับตาเชียร์ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงอะไรเลยหรือ? #SondhiX #Sondhi #Sondhitalk #จับประเด็น #โจ๊กสุรเชชษฐ์หักพาล #บิ๊กโจ๊ก
    Like
    Haha
    Love
    Wow
    18
    0 Comments 1 Shares 1610 Views 747 0 Reviews

  • 23 กันยายน 2567-Exclusive”สนธิเล่าเรื่อง“เบื้องลึกเบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่าง "จักรทิพย์ ชัยจินดา-โจ๊ก สุรเชชษฐ์-ชูวิทย์-ทนายตั้ม"
    ที่มา https://m.youtube.com/watch?v=xUo8tNUV6p4&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1TpD8TD6ROH0dF8V0Z8GwjvNHdnPjwsf-PYfvWc-mzIMgK4LD7Ou0pAag_aem_wLPO-z47zqzUsE7vgoL5IQ&ab_channel=sondhitalk

    #Thaitimes
    23 กันยายน 2567-Exclusive”สนธิเล่าเรื่อง“เบื้องลึกเบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่าง "จักรทิพย์ ชัยจินดา-โจ๊ก สุรเชชษฐ์-ชูวิทย์-ทนายตั้ม" ที่มา https://m.youtube.com/watch?v=xUo8tNUV6p4&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR1TpD8TD6ROH0dF8V0Z8GwjvNHdnPjwsf-PYfvWc-mzIMgK4LD7Ou0pAag_aem_wLPO-z47zqzUsE7vgoL5IQ&ab_channel=sondhitalk #Thaitimes
    Like
    Love
    13
    0 Comments 0 Shares 2636 Views 1 Reviews
More Results